คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 1 พฤศจิกายน 2020 เรื่อง “มั่นคง ไม่หวั่นไหว ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก” ตอน 1 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  1  พฤศจิกายน  2020

 เรื่อง “มั่นคง ไม่หวั่นไหว ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก”  ตอน 1

โดย  นคร   เวชสุภาพร

 

เรามาเริ่มต้นคำบรรยายในวันนี้ มาเรียนรู้ถ้อยคำพระเจ้ากัน ถ้อยคำวันนี้เป็นเรื่องที่สำคัญอีกเหมือนกัน เป็นเรื่องที่กำลังเป็นที่กล่าวถึงทุกแห่งทั่วโลก โดยเฉพาะใกล้ถึงสิ้นปี ทุกคนก็จะคิดย้อนเหตุการณ์ต่างๆ ตลอดทั้งปีที่ผ่านมาว่ามีอะไรเกิดขึ้นในระหว่างปีที่ผ่านมาบ้าง

ทั้งสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเราเอง เกิดขึ้นกับคนรอบข้าง เกิดขึ้นกับประเทศ เกิดขึ้นทั้งโลก โดยเฉพาะปีที่ผ่านมา เราเรียนรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น บนโลกใบนี้บ้าง เราต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากเพียงไรในเรื่องของโควิด เบอร์หนึ่งแล้ว โควิดมาปลายปที่แล้ว แต่มันส่งผลมาปีนี้ นอกจากโควิด มีเรื่องอื่นอีก เรื่องภายในประเทศ ความวุ่นวายของทั่วโลก เศรษฐกิจการเงิน การทอง การสู้รบ สงครามทางด้านเศรษฐกิจ สงครามทางด้านยุทธศาสตร์ ยุทธการก็มี เยอะไปหมดเลย

มีเว๊บไซด์อยู่แห่งหนึ่ง เขาทำสำรวจว่าถ้อยคำพระเจ้าในพระคัมภีร์ ข้อไหนถูกใช้มากที่สุดในการบรรยาย ในการเทศนาในปีนี้ ทั่วโลกนะ ลองทายในใจว่าความยุ่งยาก หรือความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ทั้งหมด ในคริสตจักรส่วนใหญ่ เขาเทศน์กันเรื่องอะไรมากที่สุด? คำตอบก็คือถ้อยคำในหนังสือยอห์น 16:33 ที่บอกไว้ว่า …

ยอห์น 16:33 “เราบอกสิ่งเหล่านี้แก่พวกท่าน  เพื่อพวกท่านจะได้มีสันติสุขในเรา  ในโลกนี้  พวกท่านจะต้องเผชิญกับความทุกข์ยาก  แต่จงชื่นใจเถิด  เราได้ชนะโลกแล้ว

 

นี่เป็นถ้อยคำพระเจ้า จากพระคัมภีร์ที่มีการเทศนากันมากที่สุด ใน 1 ปีที่ผ่านมานี้  แต่พระคัมภีร์ข้อนี้ ถูกหยิบยกขึ้นมาสอนในช่วงนี้ ก็สะท้อนให้เห็นว่าประชากรในโลกใบนี้ ในขณะนี้ กำลังเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก ซึ่งเราก็เห็นอยู่ว่ามันเป็นจริงตามนั้นจริงๆ ตั้งแต่เรื่องโรคภัยไข้เจ็บ  โควิด-19 กระทบไปทั่วหน้า  ไม่ว่าจะเป็นคริสเตียน หรือไม่เป็นคริสเตียน  จะทำเลวหรือทำดีอะไรก็ตาม โดนไปทั่วหน้าทั้งหมด ทั้งโลก ยังไม่หยุดเลยนะ แต่ละเรื่องที่เกิดขึ้น เป็นเรื่องใหญ่ทั้งนั้นที่กระทบ อย่างเช่นกระทบ เรื่องเศรษฐกิจ ปากท้องจากโควิด เราอาจจะไม่ได้เจ็บป่วย  ไม่ได้ติดเชื้อ แต่เราก็ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจ การเงิน การอยู่ ลำบากลำบน ผลของการทำมาหากิน ลำบากลำบน การเดินทาง ความเครียด วุ่นวายไปหมดทุกอย่าง เดินทางไปไหนก็ลำบาก เหมือนทั้งโลกติดอยู่ในคุก ทุกคนอยู่ในเรือนจำหมด  แต่เป็นเรือนจำที่ใหญ่หน่อยเท่านั้นเอง ดูเหมือนมีอิสระ แต่ไม่มีอิสระ มันก็ลามไปถึงสุขภาพของจิตใจ ร่างกาย

สรุปแล้วก็คือความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ ที่พระเยซูบอก ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาไม่ได้พิเศษเลย  ความทุกข์ยากลำบาก มันไม่ได้มีเฉพาะเดี๋ยวนี้  บางคนบอกยุคนี้เป็นยุคที่ความทุกข์ยากลำบากมากมาย ทุกคนก็พูดอย่างนี้ มาทุกยุคทุกสมัย ถ้าถามอาดัมและเอวาได้ ตั้งแต่ยังไม่มีลูกคนแรกเลย ผมว่าเขาก็พูดเหมือนเราพูดทุกวันนี้ ความทุกข์ยากลำบาก ทำไมเป็นเยอะอย่างนี้ ในยุคนี้ ยุคไหน? ยุคที่มนุษย์ตกลงไปในความบาป ความสาปแช่ง โรคภัยไข้เจ็บเริ่มต้นแล้ว มีมาแล้ว ตั้งแต่อาดัมและเอวาล้มลงในความบาป  โลกวิปริต ถูกสาปแช่งไปแล้ว ตั้งแต่นั้นมา ทุกคนก็พูดคำนี้แหละ …

“มันลำบาก ลำบนจริงๆ ยุคนี้”

เพราะว่าแต่ละคน ก็พูดในแต่ละยุคของตัวเอง ยุคเมื่อ 2,000 ปีก่อน ยุคที่พระเยซูเดินอยู่บนโลกใบนี้ มาประกาศข่าวดี นั่นก็ทุกข์ทรมาน อยู่ใต้อำนาจของโรมัน มีแต่เรื่องราวเยอะแยะมากมาย โรมันก็แสวงหาอำนาจ เที่ยวไประรานประเทศต่างๆ นำมาเป็นเมืองขึ้น เป็นทาสเขา อะไรต่างๆ เหล่านี้  ยุ่งไปหมด เชื้อโรค โรคภัยไข้เจ็บ โรคเรื้อนก็เต็มไปหมด หนักกว่าโควิดปัจจุบันอีก เขาก็พูดแบบนี้ตอนนั้น ตอนนี้เราก็พูดแบบนี้

“โควิดหนักกว่า”

สรุปแล้ว มันก็หนักเท่ากันแหละ มันเหมือนกัน มันถูกสาปแช่งไปแล้ว แต่ดูมันเหมือนมากกว่า เพราะว่าคนมันเยอะขึ้น แต่ก่อนนี้อาจจะมีคนไม่เยอะขนาดนี้ ตอนนี้มี 7,000 ล้านคนทั่วโลก มันก็สับสนวุ่นวายมากขึ้น อีก 100 ปีข้างหน้า อาจจะมีเป็น 8,000 ล้านคน มันก็จะวุ่นวายมากขึ้นอีก เขาถึงเรียกว่าคนไง คน แปลว่าวุ่นวายสับสน ยิ่งคนเยอะ ยิ่งสับสนเยอะ

จากถ้อยคำเมื่อตะกี้ที่เราอ่านกัน ที่บอกว่า … “เราบอกสิ่งเหล่านี้แก่ท่าน เพื่อพวกท่านจะได้มีสันติสุขในเรา”

พระเยซูบอก … “เราบอกท่านแล้วว่าโลกใบนี้ มันมีแต่ความทุกข์นะ ความลำบาก แต่ท่านจะมีสันติสุขในเรา ในโลกนี้ พวกท่านจะต้องเผชิญความทุกข์ยาก แต่จงชื่นใจเถิด เราได้ชนะโลกแล้ว”

พระเยซูกำลังบอกเราว่าพระองค์ได้ชนะโลกแล้ว ชนะความทุกข์ยากทั้งหมดเหล่านี้แล้ว แต่ว่ามันยังไม่สำเร็จ เสร็จขบวนการการชนะทั้งหมด โลกได้ถูกชนะไปหมดแล้ว มารได้ถูกตัดสินไปเรียบร้อยแล้ว ระบบของโลกที่วิปริตเสียหาย ได้ถูกตัดสินไปแล้ว แต่มันยังไม่ Active มันถูกสั่งไปแล้ว แต่มันยังไม่ได้ปฏิบัติ ยังไม่ถึงเวลาปฏิบัติ เหมือนนักโทษที่ถูกสั่งว่านำไปประหารชีวิต

คำว่า “ประหารชีวิต” ถูกสั่งไปแล้ว โดยศาล แต่ขบวนการที่จะนำนักโทษคนนี้ไปยิงเป้า ไปทำลาย ไปนั่งเก้าอี้ไฟฟ้า เพื่อประหารชีวิตยังไม่ถึงขั้นนั้น อาจจะต้องรออีกอาทิตย์ สองอาทิตย์ ทำเรื่องราวเอกสารให้พร้อมอะไรต่างๆ เหล่านี้

ในทำนองเดียวกัน โลกเหมือนกัน  พระเยซูชนะโลกแล้ว ตั้งแต่เมื่อ 2,000 ปีที่แล้วก็จริง คำพิพากษานั้น ได้พิพากษาเรียบร้อยไปแล้ว ทุกอย่างเป็นไปตามนั้นแล้ว โลกวิญญาณอันไหนทำได้ทำเรียบร้อยแล้ว อันไหนที่รอขบวนการ ก็ยังรออยู่ อย่างเช่นโลกใบนี้ ได้ถูกสั่งให้ยุบ สูญ ระบบนี้ได้ถูกขจัดออกไปเรียบร้อยแล้ว แล้วเตรียมระบบใหม่ไว้ให้เสร็จเรียบร้อย โลกใบใหม่เตรียมไว้แล้ว แต่รอเวลาทำขบวนการให้มันเสร็จ  มารได้ถูกสั่งให้ลงบึงไฟนรก เรียบร้อย ถูกขังในบึงไฟนรกเรียบร้อยแล้ว แต่รอขบวนการให้ถึงวันนั้นก่อน เพราะฉะนั้น โลกใบนี้ ก็ยังวุ่นวายอย่างนี้อยู่

ดังนั้น การชนะโลกของพระเยซู หมายถึงตรงนี้ กำลังจะบอกพวกเรา สำหรับคนที่ยังอยู่บนโลกใบนี้นะ รออีกแป๊บเดียว ก็จะมีโลกใหม่มาให้เราแล้ว แป๊บเดียว ศัตรูของมนุษย์ทุกคน คือมารซาตาน ก็จะถูกขังไปตลอดนิรันดร์ ไม่ได้มายุ่งอะไรกับเราอีกแล้ว เราก็สบาย ไม่มีมาหลอกให้เราทำผิด ทำบาปอีกต่อไป ให้เป็นศัตรูกับพระเจ้าอีกต่อไป

แต่ขณะที่ขบวนการนี้ยังไม่สำเร็จ  ก็ต้องอยู่ในความทุกข์ยากลำบากไปก่อน เพราะว่าโลกนี้มันยังอยู่อย่างนี้ ยังถูกสาปแช่งอยู่

วันนี้เราจึงจะมาเรียนรู้ มาตั้งหลักกันใหม่ว่าเราควรทำอย่างไร? เพื่อให้ได้รับตามสิ่งที่พระเยซูทรงสัญญาไว้ว่าแม้โลกนี้ เต็มไปด้วยความทุกข์ยากลำบาก  วิปริต เสียหายต่างๆ นานา ทำอย่างไรเราจึงมีสันติสุข ที่เกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่เข้าใจ ที่พระเยซูสัญญาไว้นั้นได้

หัวข้อการบรรยายวันนี้ จึงมีชื่อว่า “มั่นคงไม่หวั่นไหว ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก” พูดกับตัวเอง …

“ทำอย่างไร ฉันถึงมั่นคง ไม่หวั่นไหว ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก”

ท่ามกลางโควิดมา ถามตัวเองสิว่าเรามั่นคงไม่หวั่นไหวไหม? ตอนที่ธุรกิจต้องหยุดไป เงินเดือนที่รับประจำ จากบริษัทลดเหลือครึ่งหนึ่ง เหลือครึ่งหนึ่งไม่พอ ตอนนี้เหลือ 20% มั่นคงไม่หวั่นไหว ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบากไหม?

หรือสุขภาพไม่ดี หมอตรวจแล้วพบโรคร้าย เรายังมั่นคง ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบากหรือไม่?  ทำอย่างไรถึงจะมีความมั่นคง ชื่นชมยินดีในสันติสุข ในความหวัง ไม่หวั่นไหว ไม่ว่าจะเผชิญกับสถานการณ์อะไร? เช่นไรก็ตาม ทำอย่างไรถึงจะทำให้เรามีความมั่นคง แบบที่กษัตริย์ดาวิดบรรยายไว้ในหนังสือสดุดี ซึ่งใครอ่านแล้วอยากได้ ซึ่งว่ากันตามจริง  สดุดี กษัตริย์ดาวิดพูดตรงนี้  เหมือนกับเผยพระวจนะ เหมือนกับเป็นเงาให้เรา  ในพระคัมภีร์ใหม่ได้รู้ว่าเมื่อเรามีพระเจ้าแล้ว มันน่าจะเป็นอย่างนี้ ในสดุดี 16:8 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

สดุดี 16:8  “ข้าพเจ้าให้องค์พระผู้เป็นเจ้า  ทรงอยู่ตรงหน้าข้าพเจ้าเสมอ  เพราะพระองค์ทรงประทับอยู่ที่ด้านขวามือของข้าพเจ้า  ข้าพเจ้าจะไม่หวั่นไหว

 

คนที่เป็นคริสเตียน พระเจ้าสถิตอยู่ด้วย เราอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน  เราสามารถพูดคำนี้ได้ไหมว่า …

“ข้าพเจ้าจะไม่หวั่นไหว พระเจ้าอยู่ที่ซ้ายมือของข้าพเจ้า”

ไม่ใช่ขวามือแล้วนะ  เพราะพระคัมภีร์ใหม่บอกเราเกิดใหม่พร้อมพระเยซู ได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน เบื้องขวาของพระเจ้า แสดงว่าพระเจ้าอยู่ที่ซ้ายมือของเรา เราสามารถพูดได้ไหมว่า …

“เพราะว่าพระเจ้าประทับอยู่ที่ซ้ายมือของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่หวั่นไหว”

และจริงๆ ไม่ได้ประทับอยู่ซ้ายมือ  … “ประทับอยู่ข้างในของข้าพเจ้า ในตัวเลย ข้าพเจ้าก็ยิ่งจะไม่หวั่นไหว”

มันน่าจะเป็นอย่างนั้นนะ เราจะมาเรียนรู้กันว่าจะทำอย่างไรให้มันเป็นไปตามความจริง ในถ้อยคำพระเจ้าอย่างนี้แหละ ท่านจะได้ไม่หวั่นไหว คำว่าความทุกข์ยากลำบากที่เรากำลังพูดถึงนี้ ไม่ใช่แค่หมายถึงสภาวะลำบาก ในเรื่องการกินการอยู่เท่านั้น แต่รวมไปถึงปัญหาทุกอย่าง ที่เราพบเจอในการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ มันรวมทั้งอะไรบางอย่าง ที่เรามองไม่เห็นด้วย เยอะแยะมากมาย เช่นปัญหาปากท้อง สูญเสียคนที่รักจากการทะเลาะวิวาท การขัดแย้ง นี่ความทุกข์ยากลำบากทั้งนั้นนะ สูญเสียคนที่รัก ยังพอมองเห็น เรื่องปากท้อง การกินการอยู่ยังพอมองเห็น เงินเดือนรายรับต่างๆ พอยังมองเห็น ทะเลาะวิวาทมองไม่ค่อยเห็น  ความขัดแย้งยิ่งมองไม่เห็น ปัญหาสุขภาพ ปัญหาครอบครัว การไม่ได้ดั่งใจ นิสัยที่เราไม่ได้ดั่งใจ นี่ก็ไม่เห็น แต่มันทุกข์ไหมล่ะ ปัญหาเรื่องการเรียน ปัญหาเรื่องเพื่อนฝูง เยอะแยะไปหมด ปัญหาเรื่องจิตใจ ความเครียด ความวิตกกังวล ความกลัว นี่เป็นปัญหาทั้งนั้น

การอยู่บนโลกใบนี้ ความทุกข์ยาก ปัญหาที่พระเยซูบอก เราอย่าไปนึกถึงแค่การกิน การอยู่ โรคภัยไข้เจ็บเท่านั้น แต่มันรวมอะไรอีกเยอะแยะมากมาย การไม่มีเป้าหมายในชีวิต การเบื่อหน่ายชีวิต อยู่ดีๆ มันเบื่อขึ้นมา นั่นก็คือความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้นะ

สรุปแล้ว ระบบของโลกใบนี้ มันต่อต้านกับมนุษย์ทั้งปวงเลย มันต่อสู้กับมนุษย์ทั้งปวง มันต้องการให้มนุษย์ทั้งปวง ทุกข์ยากลำบาก มีความทุกข์ มีความเศร้าโศก แล้วก็ไปสู่ความพินาศพร้อมๆ กับมัน ที่ควบคุมระบบของโลกนี้อยู่ ก็คือมาร แต่พระเยซูบอก เราชนะโลกนี้แล้ว พระองค์ก็จะทรงทำให้เรามีวิธีที่มีสันติสุข ท่ามกลางความพยายามของมารได้ คืออะไรก็ตามที่ทำให้เราเป็นทุกข์ ไม่ว่าจะทุกข์ทางร่างกาย ทุกข์ทางจิตใจ ทั้งหมด ก็คือสถานการณ์ ความทุกข์ยากลำบาก  ที่เราต้องเผชิญในการใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ตามที่พระเยซูบอกนั่นเอง ซึ่งมนุษย์ทุกคนต้องเจอแน่ๆ ไม่มีการเว้นแม้แต่คนเดียว ความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้ มากบ้าง น้อยบ้าง แต่เจอแน่ๆ รับรองได้

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คริสเตียนเจอแน่ๆ ผู้เชื่อเจอแน่ๆ จริงๆ มันเจอทุกคนแหละ ผู้เชื่อเจอแน่ๆ เพราะพระคัมภีร์บอกแล้วไงว่าขณะที่เราเชื่อในพระเจ้าแล้ว เราได้ถูกย้ายออกจากอาณาจักรของความมืด ในอาดัม การเป็นทาสมาร ย้ายเข้ามาสู่อาณาจักรแห่งแสงสว่างของพระบุตร อันเป็นที่รักของพระองค์ คือในพระเยซูคริสต์ มาอยู่อาณาจักรแห่งแสงสว่าง อยู่ฝ่ายพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว แปลว่ากำลังดำเนินชีวิตอยู่ในนี้ ทางโลกวิญญาณ ก็ถูกย้ายเข้ามาอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้าแล้ว ก็แสดงว่าเราย้ายเข้ามาอยู่ตรงกันข้ามกับอาณาจักรเดิม คืออาณาจักรของความมืด และความมืดกับความสว่าง มันเข้ากันไม่ได้อยู่แล้ว มันต้องต่อต้านกัน คำว่า “ต่อต้าน” มันคือการเป็นศัตรูกันนั่นเอง โดยตรงเลย

แม้ว่ามนุษย์ทุกคนไม่เชื่อพระเจ้า ก็พบกับความทุกข์ยากลำบากต่างๆ นานา เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้วก็ตาม แต่อย่างน้อย เขาก็ยังเป็นพวกเดียวกันกับความมืดนั่น พอเห็นไหมครับ แต่เป็นพวกเดียวกันกับความมืดในลักษณะการเป็นทาสเขา มันทุบตี เฆี่ยนตี แล้วมันไม่ได้จริงใจหรอก มันขโมย ฆ่า และทำลาย แต่คริสเตียนหลุดพ้นแล้วก็จริง แต่ในวิญญาณ เราเป็นศัตรูกับเขาแล้ว เป็นศัตรูกับระบบของโลกนี้ เป็นศัตรูกับโลกใบนี้เลย พระเยซูจึงบอกว่าโลกใบนี้ เกลียดชังเรา … “เรา” ในที่นี้ หมายถึงพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ และใครก็ตามที่อยู่พวกพระเยซู เราอยู่พวกใคร? ลองถามตัวเองว่าเราอยู่พวกใคร?

เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เราจะมีอะไรที่ยึดเหนี่ยว ที่จะเป็นกำลัง เป็นเรี่ยวแรงในพระเยซูคริสต์ ที่ให้เราสามารถเผชิญความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้ ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ในการต่อสู้กับสงคราม กับศัตรูเหล่านี้ อะไรที่เป็นกำลัง เป็นฤทธิ์เดชให้กับเรา เพื่อเราจะได้มีสันติสุข ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก ปัญหาต่างๆ บนโลกใบนี้ ที่เราเห็นกันดาษดื่น เป็นเรื่องธรรมดานั้น

เราจะเริ่มต้นที่ฮีบรู 6:18-19 “18 ดังนั้น พระเจ้าได้ประทานให้เรา ทั้งจากคำสัญญาและคำสาบานที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง  เพราะเป็นไปไม่ได้ ที่พระเจ้าจะพูดโกหก  19 ด้วยเหตุนี้ พวกเราที่ได้หนีมาพึ่งในพระองค์   จึงมีกำลังและมีกำลังใจอย่างเข้มแข็ง ที่จะยึดมั่นในความหวัง  ที่อยู่เบื้องหน้าเรา    ความหวังและความมั่นใจของเรานี้  เป็นเหมือนสมอเรือ  ที่มั่นคงและติดแน่นของความคิดจิตใจ  และความหวังนี้  ได้นำพาเราเข้าไปสู่หลังม่านสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในสวรรค์ คืออภิสุทธิสถาน  ซึ่งเป็นสถานที่ทรงสถิตของพระเจ้า”

 

ถ้อยคำนี้เขียนไปถึงผู้ที่เป็นคริสเตียน ที่เชื่อแล้ว ที่เป็นชาวยิว พื้นฐานชาวยิว จึงยกตัวอย่างอะไรบางอย่าง บางทีเราอาจจะไม่เข้าใจ แต่ว่าชาวยิวเข้าใจดี

ยกตัวอย่างเช่น ดังนั้น พระเจ้าได้ประทานให้เรา ทั้งจากคำสัญญาและคำสาบาน คือ 2 สิ่งนี้  เป็นสิ่งที่พระคัมภีร์ตอนนี้ บอกให้เราผู้เป็นคริสเตียน มีความมั่นคง มีความมั่นใจ ในความเชื่อ ในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ว่าเป็นคำสัญญา จากพระเจ้า ไม่ได้สัญญาว่าวันหนึ่ง จะส่งพระมาซีฮา คือพระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอด มาช่วยท่านทั้งหลาย พระเจ้าไม่ได้สัญญากับชาวอิสราเอล แค่นั้น ซึ่งรวมทั้งผลมาถึงคนที่ไม่ได้เป็นอิสราเอลด้วย นอกจากสัญญาแล้ว พระองค์ยังทรงกระทำสิ่งหนึ่ง ซึ่งเป็นพิธีการของชาวยิวในขณะนั้นที่ทำกัน เมื่อมีอะไรที่ถกเถียงขัดแย้ง หรือต้องการพูดอะไรให้มีความมั่นใจ สำหรับคู่กรณี หรือคนที่ฟัง ก็คือเขาจะพูด และเขาจะสาบานตามหลักการของพระคัมภีร์เดิม กฎเดิม ให้สาบานได้ โดยผู้ที่สูงกว่าเรา เขาเลยสาบานในนามของพระเจ้า

สมมติว่ามีการขโมย บอกว่า … “ฉันไม่ได้ขโมย”

เขาจะยืนยันมั่นคงว่า … “ฉันไม่ได้ขโมย ฉันสาบานในนามของพระเจ้า ฉันไม่ได้ขโมยจริงๆ”

อย่างนี้ นึกออกใช่ไหม? คนชาวยิว ก็จะรู้ว่าถ้าพูดตรงนี้เมื่อไร? เชื่อถือได้ มั่นคงแล้ว เขาสามารถสาบาน โดยใช้พระนามของพระเจ้า ซึ่งเขานับถือสูงสุด แต่พอมาถึงตอนนี้ พระเจ้าทำให้เขาได้เห็นชัดเจนว่าพระองค์ได้สัญญาว่าจะส่งคนมาช่วยให้รอด คือพระเยซูคริสต์ และนอกจากนั้น พระองค์ยังสาบานด้วยพระนามของพระองค์ ไม่มีนามไหนใหญ่กว่าพระเจ้าอีกแล้ว พระองค์ทรงสาบานด้วยนามของพระองค์เองว่ามันเป็นจริง พระเยซูคริสต์ที่ส่งมาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นจริง ในนี้ จึงบอกว่า 2 สิ่งนี้ ที่พระเจ้าได้ทำ ซึ่งไม่มีวันเปลี่ยนแปลง คือคำสัญญาและคำสาบานนี้ ได้พูดไปแล้ว โดยพระเจ้า ไม่มีการเปลี่ยนแปลง เป็นอย่างนั้นแน่นอน เพราะเป็นไปไม่ได้ ที่พระเจ้าจะพูดโกหก

ด้วยเหตุนี้ พวกเราที่ได้หนีมาพึ่งในพระองค์ คือผู้เชื่อ หมายถึงผู้ที่หนีออกจากการเป็นทาสของมารซาตาน การเป็นทาสของอาณจักรแห่งความมืด หนีมาพึ่งพระคุณของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์มาสู่ความสว่าง มันหมายถึงตรงนี้ พวกเราที่เชื่อในพระเจ้าแล้ว ได้หนีมาพึ่งพระเจ้า จึงมีกำลัง และมีกำลังใจอย่างเข้มแข็งที่จะยึดมั่น ในความหวัง ก็คือในสัญญา ที่พระเจ้าสัญญาไว้ ในพระเยซูคริสต์ ที่อยู่เบื้องหน้าเรา

สำหรับผู้เชื่อแล้ว  ความหวัง ก็คือความเชื่อของเราในข่าวดี ในความมั่นใจของเรานี้ เป็นเหมือนสมอเรือที่มั่นคง และติดแน่นของความคิดจิตใจ  ไม่ใช่ในความคิดจิตใจ ต้องเป็น “ของ” ความคิดจิตใจ  สมอเรือของความคิดจิตใจ จำแค่นี้ไว้ก่อน เป็นสมอเรือที่มั่นคงของความคิดจิตใจ และความหวังนี้ ก็คือความเชื่อในข่าวดีนี้ ได้นำพาเราเข้าสู่หลังม่าน สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในสวรรค์ คืออภิสุทธิสถาน ซึ่งเป็นสถานที่ทรงสถิตของพระเจ้า แปลตรงนี้ให้ฟังก่อน

และความเชื่อในข่าวดีนี้ ได้ทำให้เราเข้าสู่สวรรค์แล้ว ไปนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน  เป็นลูกของพระเจ้าที่ศักดิ์สิทธิ์ บริสุทธิ์เหมือนพระองค์แล้ว มันหมายถึงแค่นี้  พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่กับเรา ในร่างกายเราแล้ว โดยความเชื่อ ความหวังนี้ คือความเชื่อในข่าวดี

ที่เขาต้องใช้ความหวัง ก็เพราะว่าสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นเรียบร้อยไปแล้วนั้น มันอยู่ในโลกวิญญาณ  มันยังจับต้องมองไม่เห็น แต่ความหวังนี้มีพื้นฐาน คือความเชื่อศรัทธา เพราะฉะนั้น ความเชื่อศรัทธาในข่าวดี ก็คือความหวังที่จับต้องมองเห็นได้ของสิ่งที่มองไม่เห็น  ความเชื่อศรัทธาในข่าวดี คือความหวังในโลกวิญญาณ ในสวรรค์สถาน ที่พระเจ้าได้ให้เราไปนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน ในพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว ตั้งแต่วันที่เราเชื่อในพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระองค์ พระผู้ช่วยให้รอด เราได้เกิดใหม่ในโลกวิญญาณ เข้าไปนั่งอยู่ในสวรรค์เรียบร้อยไปแล้ว แต่ถามว่าจับต้องมองเห็นได้ไหม? ไม่ได้ ภาษามนุษย์จึงเรียกว่ายังเป็นความหวัง แต่ไม่ใช่ความหวังธรรมดา เพราะเป็นความหวังที่ประกอบไปด้วยพื้นฐานที่เป็นความเชื่อศรัทธา ที่สามารถสัมผัสได้ด้วยโลกวิญญาณ ด้วยวิญญาณของเรา มันก็คือความเชื่อศรัทธาที่สามารถทำให้ความหวังที่มองไม่เห็นนี้ กลายเป็นความหวังที่จับต้องมองเห็นได้ เหมือนในหนังสือฮีบรู 11:1 ที่บอกไว้ว่า … “เดี๋ยวนี้ ความเชื่อปัจจุบันนี้ ความเชื่อ คือความหวังที่จับต้องมองเห็นได้ของสิ่งที่มองไม่เห็น”

พระเจ้าของเรา เป็นพระเจ้าผู้ทรงสัตย์ซื่อ เป็นพระเจ้าที่ไม่โกหก เป็นพระเจ้าที่รักษาคำมั่นสัญญา  พันธสัญญาของพระองค์ทั้งหมด พระองค์รักษาไว้ ถามว่าความหวังใจทั้งหมดที่เราได้รับมานั้น เราสามารถมั่นใจได้ 100% ไหมว่าจะเป็นจริงตามนั้น พระเจ้าสัญญาอะไรไว้กับเราบ้าง? เรามั่นใจ 100% ไหมว่ามันเป็นตามนั้น เมื่อเราเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ความหวังใจเรา คืออะไร? ที่พระเจ้าสัญญาไว้ พอนึกออกไหม? ถ้าท่านหวังผิด ในสิ่งที่พระเจ้าไม่ได้สัญญา ท่านก็หลงทางไป ต้องรู้เลยว่าที่หวังใจในความเชื่อในพระเยซูนั้น พระเจ้าสัญญาไว้  และสาบานด้วยพระนามของพระองค์เอง และท่านเชื่อว่ามันเป็นจริงตามนั้นแน่นอน ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ท่านรู้ไหมพระองค์ทรงสัญญาอะไร? ท่านอย่าตู่ว่าสัญญาว่าอยู่บนโลกใบนี้แล้ว ท่านจะแข็งแรง ไม่มีเจ็บป่วยเลย ไม่มีวันจนเลย เพราะพระเยซูบอกอยู่บนโลกใบนี้ ท่านจะพบกับความทุกข์ยากลำบากต่างๆ นานา พระเจ้าไม่ได้สัญญาว่าเมื่อเราเชื่อในพระองค์แล้ว เชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว เราจะสุขสบายบนโลกใบนี้ ไม่เจ็บป่วย ไม่ทุกข์ยากลำบากเลย ถูกต้องเลยใช่ไหม?

นั่นแหละ เราต้องรู้ว่าถ้าอย่างนั้น พระเจ้าสัญญาอะไรกับเรา พอนึกออกไหม?  จดจ่อ  จดจำ  จนขึ้นใจในพระสัญญาของพระเจ้า  จดจ่อ  จดจำ  จนขึ้นใจถึงสิ่งที่อยู่เบื้องบน สิ่งที่อยู่เบื้องบน ก็คือสิ่งที่อยู่ในโลกวิญญาณ  ที่ไม่ใช่โลกใบนี้ สิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่พระเยซูคริสต์สถิตอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน เราทั้งหลายก็อยู่ที่นั่นด้วย อย่าจดจ่อที่ฝ่ายโลก เห็นไหมถ้าจดจ่อที่ฝ่ายโลก ก็อยากจะมีความสุขบนโลกใบนี้ ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้  ก็ทุกข์ไปเปล่าๆ ถูกหลอก

ในโคโลสีบอกให้จดจ่อไปที่เบื้องบน ที่ซึ่งพระเยซูคริสต์สถิตอยู่ ณ เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน และท่านทั้งหลาย  ที่เกิดใหม่แล้ว  ท่านอยู่ในพระเยซูคริสต์ เป็นร่างกายของพระองค์ เป็นวิญญาณเดียวกันกับพระองค์ นั่งอยู่ร่วมกับพระเยซูคริสต์ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน  นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ร่วมกับพระเยซูคริสต์ ในสวรรค์สถานเรียบร้อยไปแล้ว สัญญาว่าตรงนี้  และสัญญาจากนี้ไปเท่าไร? เยอะแยะไปหมดเลย ท่านเป็นลูกพระเจ้าแล้ว ก็คือโลกวิญญาณ  พระเจ้าให้ท่านเป็นทายาทครอบครองร่วมกับพระเยซูคริสต์ ในการดูแลระบบของโลกใบนี้ทั้งหมดแล้ว  นี่ก็คือเกิดขึ้นแล้วในโลกวิญญาณ ที่ท่านเป็นอยู่ในพระคริสต์ แล้วยังมีพระพรอีกนานัปการ ในพระเยซูคริสต์ที่พระองค์ทรงสัญญาไว้แล้ว บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ใหม่ ท่านต้องไปเรียนรู้ แล้วก็จดจำ จดจ่อ จนขึ้นใจ ถึงพระพรเหล่านี้  คำสัญญาเหล่านี้ ท่านจึงจะได้รู้ว่าที่เราไม่หวั่นไหว เรามีความเชื่อที่มั่นคง ในคำสัญญาของพระเจ้า คำสัญญานี้คืออะไร? เราจะได้รู้ จะได้ไม่ถูกหลอก

เมื่อเรามีความมั่นใจ ในความหวังตรงนี้ นึกภาพนะ ถามว่าตรงนี้ตรงไหน?  คือตรงเบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน สั้นๆ แค่นี้ ท่านจะได้รู้ว่าจากสั้นๆ ท่านไปนึกในใจ ขยายเอง  ในจิตใจของท่าน ความคิดของท่าน  …

“ในเบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน ฉันเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ฉันนั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์ ฉันมีร่างกายใหม่ที่เตรียมไว้เรียบร้อยแล้ววันหนึ่งข้างหน้า  ฉันจะอยู่บนโลกใบนี้ชั่วคราวเท่านั้นเอง โลกใหม่จัดเตรียมให้กับฉันแล้ว อะไรอีกหลายอย่างมากมาย พระเจ้าสถิตอยู่กับฉัน ฉันเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์”

นี่คือความหวังใจของเรา  ความมั่นใจของเราอยู่ตรงนี้  ซึ่งก็จะเป็นพลัง เป็นกำลังที่เข้มแข็ง ที่จะนำพาเราเผชิญทุกสิ่งได้ ในนี้บอกว่าความหวังและความเชื่อ  ความมั่นใจตรงนี้ เป็นเหมือนสมอเรือ ที่มั่นคงและติดแน่นของความคิดจิตใจ

การเชื่อว่าอยู่ในสวรรค์แล้วตามพระสัญญาของพระเจ้า เมื่อเรามาเชื่อในพระเยซูคริสต์ ในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ เราได้เกิดใหม่ในวิญญาณ ถูกย้ายจากอาณาจักรของความมืด มาอยู่ในอาณาจักรแห่งแสงสว่าง ถูกย้ายออกจากอาณาจักรอาดัม มาอยู่ในอาณาจักรของพระเยซูคริสต์ ถูกย้ายจากการเป็นทาสของมาร มาเป็นลูกของพระเจ้า ถูกย้ายออกจากนรก มาอยู่ในสวรรค์สถานของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว และจะอยู่กับพระเจ้าอย่างนี้นิรันดร์กาล  ตรงนี้คือความหวังใจของเราผู้เชื่อทั้งหลาย และมันเป็นเหมือนที่ปักของสมอเรือลงไป

ผมจะเล่าให้ฟัง สัปดาห์ที่แล้วผมได้ไปพักผ่อนที่ชายทะเล แล้วก็ได้มีโอกาสนั่งเรือออกไปเที่ยวทะเล ตอนที่เรือแล่นไป 1 ชั่วโมง มันก็โยกพอสมควร มันก็เมาเรือ พอสมควร ไม่เยอะเท่าไร? แต่พอไปถึงที่เขาจอด เมาคืออะไรเรารู้แล้ว มันโยกเยกๆ ยิ่งพอมีเรือใหญ่แล่นผ่านมา คลื่นมันก็ใหญ่ขึ้นอีก พอเรือใหญ่มา กัปตันเขาก็จะบอกว่า …

“ระวังนะครับ เกาะให้แน่นๆ”

จะรู้ทันทีว่าเรือใหญ่ผ่านมา มันจะทำคลื่นมากระทบเรา ที่เราโยกอยู่แล้ว ก็จะโยกหนักขึ้น ถึงขนาดต้องเกาะไว้ มีสิทธิ์โยกผลักเราตกลงน้ำได้ เพราะฉะนั้น ต้องเกาะไว้ดีๆ ยิ่งเมาใหญ่เลย แต่พอแล่นไปถึงที่หมายแล้ว ที่จะให้ลงเล่นน้ำปุ๊บ เขาก็จะเอาสมอเรือ ที่หนักแน่น ที่ดีๆ ที่มั่นคงแข็งแกร่ง โยนลงไปที่โขดหิน เขาจะเลือกที่ที่ตรงนั้น มีโขดหินอยู่ ที่มันสามารถเกาะแน่นได้ เขาก็จะโยนลงไปที่หิน สมอเรือมันก็จะไปเกาะที่หิน พอสมอเรือเกาะที่หิน ทันทีนั้น สมอเรือก็ช่วยให้เรือไม่โครงเครง ทำให้โครงเครงน้อยลง มันก็ไม่เมามากแล้ว มันก็อยู่กับที่แล้ว พอเรือใหญ่ผ่านมา มีคลื่นใหญ่มา เขาก็ไม่ต้องตะโกนว่า …

“จับไว้ๆ”

ไม่ต้องจับแล้ว เพราะว่ามันก็โครงเครงมากขึ้นไปอีกนิด สมอเรือมันก็อยู่นิ่งขึ้น ฉันใดก็ฉันนั้น ในนี้จึงบอกว่าเป็นเหมือนสมอเรือ ความหวัง ความมั่นใจว่าเราอยู่ในสวรรค์สถานแล้ว เราอยู่ในพระเจ้า พระเยซูคริสต์ พระเจ้าอยู่กับเรา  เราเป็นลูกของพระเจ้าอยู่ในอภิสุทธิสถาน อยู่ในสวรรค์สถานอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว ตรงนี้ คือศิลาที่กล้าแข็งในพระคริสต์

ความคิดจิตใจของเรา ก็คือเรือ … สมอเรือ ก็คือสมอของความคิดจิตใจของเรา ความคิดจิตใจของเราจะโดนคลื่นที่มารซาตาน หรือความทุกข์ยากลำบากของโลกใบนี้ส่งมา เอียงไปก็เอียงมา เมาเยอะ เมาน้อย ขึ้นอยู่กับว่าเราทิ้งสมอแล้วหรือยัง?  ถ้าเราไม่ทิ้งสมอ เราเชื่อพระเจ้าใหม่ๆ ยิ่งโลเลๆ กระแสคลื่นของระบบของโลกนี้ ส่งข้อมูลเข้ามาในความคิดจิตใจของเรา เราก็จะเซไปเซมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่เรือใหญ่วิ่งผ่านมา มันจะสร้างคลื่นที่ใหญ่ขึ้น ยิ่งเรือใหญ่ คลื่นยิ่งใหญ่  พอมันพัดเข้ามาถูกเรือเรา เรือเราก็จะยิ่งโครงเครงหนักขึ้น มีสิทธิ์ที่จะกระเด็นตกลงไปเลย

พอเห็นไหม? มารก็ทำคลื่นโหมกระหน่ำมากขึ้น วันนี้ มันเอาเรือประมาณ 100 ฟุตมา คลื่นก็หนา 100 ฟุต ทำให้เราเวียนหัว แต่เรายังพอยืนหยัดอยู่ได้  เดือนหน้ามันก็จะส่งมาเป็นเรือลำ 200 ฟุต เพื่อจะสร้างคลื่นใหญ่ขึ้นมาอีก เพื่อจะโถมเข้ามา เพื่อให้เราตกเรือให้ได้

เรือ คือความคิดจิตใจของเรา ที่รับสิ่งต่างๆ เหล่านี้ เข้ามา โยกไปโยกมา หวั่นไหวไป หวั่นไหวมา ผมถึงใส่หัวเรื่องว่า “มั่นคง ไม่หวั่นไหว”  ความคิดเราต้องมั่นคงไม่หวั่นไหว มั่นคงในไหน? มั่นคงในความเชื่อ ความหวังใจของเรา ที่อยู่ในพระคริสต์ คือตอนนี้เราอยู่ในสวรรค์ อยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถานแล้ว ที่เหลือให้ความคิดไหลไปเอง ถ้าท่านคิดตรงนี้ขึ้นมาได้ปุ๊บ ที่ว่าพระเจ้าสัญญาอะไรให้ท่านเรียบร้อยแล้ว ในพระเยซูคริสต์ ทำเสร็จเรียบร้อยไปแล้ว ตั้งแต่ 2,000 ปีมาแล้ว มีอะไรบ้าง? แค่ท่านใช้คำที่เป็นคีย์แค่นี้ว่า …

“ฉันอยู่ในสวรรค์ อยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถานเรียบร้อยไปแล้ว”

ปุ๊บ มันจะไหลออกมาอีกเยอะเลย

“ฉันเป็นลูกพระเจ้า ฉันได้ถูกย้ายออกมาจากอาณาจักรของความมืด มาอยู่ในอาณาจักรแห่งแสงสว่าง ฉันไม่ได้เป็นทาสมาร ฉันเป็นลูกพระเจ้าแล้ว”

อะไรต่างๆ เหล่านี้ มันจะไหลมาอีกเยอะ

และตรงนี้แหละ คือความมั่นคงในความเชื่อ คือหินผา คือก้อนหินที่หนักแน่น ที่อยู่ใต้ทะเล ที่ท่านจะเอาสมอของความคิดจิตใจท่านโยนลงไป ให้มันเกาะติดตรงนี้ให้ได้  ถ้าท่านเกาะติดโลกวิญญาณ ในพันธสัญญาของพระเจ้า  ที่พระเจ้าทรงสัญญาและไม่สัญญาธรรมดา สัญญาด้วยและ พระเจ้าสาบาน ไม่เคยได้ยินพระเจ้าสาบานเลยใช่ไหม?  พระเจ้าสาบานกับมนุษย์ครั้งเดียวว่าพระเยซูที่เราสัญญาไว้ว่า …

“จะส่งมาช่วยพวกเธอ วันหนึ่งเราจะส่งพระผู้ช่วยให้รอด มาช่วยพวกเธอ บัดนี้ส่งมาเรียบร้อยแล้ว ฉันสัญญาและสาบาน โดยพระนามของตัวฉันเอง เพราะไม่มีใครใหญ่กว่าฉันแล้ว ท่านยังไม่พอใจอีกเหรอ”

นี่คือความแข็งแกร่งของหินผาในพระคริสต์ ที่เราจะสามารถปัก โยน และก็เอาสมอไปปักอยู่ตรงนี้ให้ได้ ถ้าปักได้เมื่อไร? สบาย  ยังมีคลื่นไหม ถามจริงๆ มีคลื่นไหม? มี ตอนไปเล่นทะเล เขาโยนสมอลงไปแล้ว  สมอลงไปปุ๊บ คลื่นหยุดเลยเหรอ ยังมีคลื่นไหม? มี เรายังอยู่ในเรือไหม?  อยู่ เราออกจากเรือหรือยัง? ยัง คลื่นมันมีอยู่เหมือนเดิม แต่ทำอะไรเราไม่ได้แล้ว ได้แค่เมานิดๆ โยกไปโยกมา เพลินๆ แต่ทำอะไรเราไม่ได้แล้ว สมอเราแข็งแกร่งเท่าไร? ก็ยึดได้มั่นคงเท่านั้น เห็นภาพนะ

นี่คือสิ่งที่เปรียบเทียบให้เห็นว่าในพระคริสต์ มั่นคงแข็งแกร่งเท่าไร? พระเยซูบอก …

“บนศิลานี้ เราจะสร้างคริสตจักร”

บนศิลานี้  คือในพระคริสต์นี้ เราจะสร้างคริสตจักร คือผู้เชื่อทั้งหลาย  ในพระคริสต์ เราจะสร้างคริสตจักรของเรา  และอำนาจของความตาย ก็คือคลื่นของความตาย คลื่นของความทุกข์ยากลำบากต่างๆ เหล่านั้น ที่มีอยู่บนโลกใบนี้นั้น มันไม่สามารถมีชัยชนะ เหนือคริสตจักรได้เลย  เพราะว่าเราได้ปักเขาลงไปในหินผาอันยิ่งใหญ่นี้แล้ว เขาแค่โครงเครงเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้นเอง ในโลกนี้ ท่านจะพบกับความทุกข์ยากลำบาก พบกับความล่อลวงของมารต่างๆ นานา แต่จงชื่นชมยินดีเถิด เราได้ชนะโลกแล้ว ในยามทุกข์ยากลำบาก เราจะประทานสันติสุขให้กับท่าน ในยามที่คลื่นเข้ามา  ท่านสามารถอยู่ได้ ไม่ถึงขนาดอ๊วกแตก เวลาเมาจริงๆ อยู่ไม่ได้เลยนะ ขอโทษนะ ยิ่งกว่าอาเจียน มันอ๊วกแบบไม่มีอะไรจะอ๊วกแล้ว แต่ต้องอ๊วก เมา นอนก็ไม่หลับ ทำไมมันทุกข์ทรมานอย่างนั้น  เรือส่วนใหญ่จะมีสมอเดียว แต่บางลำก็จะมีสองสมอ แต่พวกเราไม่สามารถอยู่เรือลำเดียวกันได้ เพราะเรือของใครของมัน เราไม่สามารถเอาสมอของเราไปช่วยคนอื่นได้ เราต้องทิ้งสมอของตัวเราเองไป อย่าปล่อยให้มันลอยไปลอยมา แล้วก็สร้างสมอนั้นให้เข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ ก็คือความคิดจิตใจของถ้าจะปักให้แน่นมากขึ้นเท่าไร? ก็โยกน้อยลงเท่านั้น ซึ่งทำให้เรามีท่าทีต่อการเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ การเผชิญกับคลื่น พายุที่โหมกระหน่ำเรือของเรานั้น ได้มากขึ้นเท่านั้น ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม เราก็จะไม่หวั่นไหว ไม่ว่าคลื่นจะใหญ่เท่าไร? เราก็จะไม่เมาจนกระทั่งอ๊วกแตก สลบจนกระทั่งทำอะไรไม่ได้เลย เพราะว่าเรามีสมอใหญ่พอสมควร และปักอยู่ที่สำคัญ ไม่ใช่ปักอยู่ที่ทราย มันก็ลากไปด้วย  ทั้งสมอ ทั้งเรือไปด้วยกัน เขาต้องเลือกที่มันแข็งแกร่ง พื้นข้างล่างเป็นหิน  กัปตันเขาจะรู้ว่าตรงไหนเป็นอย่างไร?

ถ้าไม่มีสมอ ท่านลองคิดดูสิ พายุมา เรือไปไหน ไม่มีทิศทางเลยนะ เละตุ้มเปะเลย แล้วมันจะพาไปไหน? ท่านก็รู้อยู่แล้ว ดูหนัง ก็เคยเห็นใช่ไหม?  พายุจะพาพัดไปสะเปะสะปะเลย ยิ่งพัดแรง  ไปชนหินโสโครก ในที่สุดเรือแตก มารมันต้องการอย่างนั้นแหละ เพราะฉะนั้น เราต้องระมัดระวังตรงนี้ให้ดีๆ คือความคิดจิตใจของเรา จะมีสันติสุขได้ ต้องดูแลตรงนี้ให้ดีๆ

ทำอย่างไรถึงจะสามารถทิ้งสมอได้ดีที่สุด? ท่านคงคิดอย่างนี้ แล้วทำอย่างไร ฉันอยากจะทิ้งสมอ ทุกคนก็มีความคิดจิตใจ เหมือนเรืออยู่ แล้วคลื่นมันมาทุกวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเปิดไอโฟนมาเยอะเลย ไม่ค่อยจะเปิดเรื่องถ้อยคำพระเจ้าหรอก เปิดไอโฟนเมื่อไรยิ่งมีคลื่น ลม พายุทั้งนั้นแหละ ไม่ค่อยมีอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอัน ที่สำหรับเริ่มสมอเรือนี้เลย ส่วนใหญ่จะเป็นอย่างนั้น เพราะมันล่อลวงเรามาก ไม่ได้ตำหนิใครนะ นี่เป็นเรื่องธรรมชาติ เป็นเรื่องจริงของระบบของโลกนี้ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เป็นมาทุกยุคทุกสมัยแล้ว มันยั่วยวนให้เราเปิดเหลือเกิน

สมมติเราจะเปิดเพลงนมัสการ มันก็แนะนำเพลงอื่นมาเยอะแยะ แนะนำอย่างอื่นมาเยอะแยะ แล้วเราก็จะบอก เดี๋ยวเราแวะไปดูนิดหนึ่ง พอไป ก็จะไปเฉยเลย แรกๆ เริ่มจะไปเปิดเพลงนมัสการฟัง ยังไม่ทันฟังเพลงนมัสการ เลยไปครึ่งชั่วโมงแล้ว ไปดูอันนั้นต่ออันนี้ ที่ที่เขาเสนอมา ถามว่ามันเสริมพายุหรือเสริมสมอเรือของเรา เห็นหรือยัง? มันเป็นอย่างนี้

เพราะฉะนั้น ท่านลองคิดในใจว่าทำอย่างไร? อยากจะให้มันแข็งแกร่ง แล้วจะได้ตามที่พระเยซูบอกว่ามีสันติสุขตรงนี้  ท่ามกลางพายุมันต้องมีอยู่แล้ว ทำอย่างไรถึงจะมีสันติสุขได้ ลองดูประสบการณ์ของผู้เชื่อ ที่เขาได้รับมาแล้ว  ผู้เชื่อใหม่นะ อาจารย์เปาโลไปดูแลผู้เชื่อใหม่ และสอนผู้เชื่อใหม่  และผู้เชื่อใหม่เหล่านี้เขาทำสำเร็จด้วย จนอาจารย์เปาโลให้ 100 คะแนน จากการทดสอบ และดูว่าชีวิตเปลี่ยนไปจริงๆ มีสันติสุขจริงๆ มีความมั่นคงในความเชื่อจริงๆ อาจารย์เปาโลจึงเขียนจดหมายไปแสดงความยินดีกับเขาว่า …

“ฉันดีใจเหลือเกิน พวกเธอตอนนี้สมอแข็งแกร่ง แข็งแรงมากเลย พายุโหมเท่าไร ก็ไม่อ๊วกแตก ไม่เมาจนกระทั่งเละเทะ ดีมากๆ ยอดเยี่ยมเลย ดูตัวอย่างนี้นะ คือพี่น้องที่เชื่อพระเจ้าแล้ว ที่อยู่ที่โคโลสี ผู้เชื่อใหม่ทั้งนั้น โคโลสี 2:5-7

โคโลสี 2:5-7 “5 เพราะถึงแม้ตัวข้าพเจ้าไม่อยู่กับท่าน แต่ใจก็อยู่กับท่าน และดีใจที่เห็นว่าท่านอยู่กันอย่างเรียบร้อย และเชื่อมั่นคงในพระคริสต์ 6 ดังนั้น ในเมื่อท่านได้รับพระเยซูคริสต์ เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว ก็จงดำเนินชีวิตในพระองค์ต่อไป 7 ด้วยการหยั่งราก และรับการก่อร่างสร้างขึ้นในพระองค์ มั่นคงขึ้นในความเชื่อ ตามที่ได้รับการสอนมา และเต็มล้นด้วยการขอบพระคุณ”

 

“เพราะถึงแม้ตัวข้าพเจ้าไม่อยู่กับท่าน” พออาจารย์เปาโลตั้งคริสตจักรตรงนี้เรียบร้อยแล้ว ก็เดินทางไปที่อื่น เพื่อไปประกาศอะไรต่างๆ เหล่านั้น ไม่อยู่จริง แต่ใจก็อยู่กับท่าน และดีใจ ชื่นชมยินดี ที่ได้เห็นว่าท่านอยู่กันอย่างเรียบร้อย อยู่ในกฎระเบียบของชุมชน คริสตจักร ไม่ทะเลาะเบาะแว้งกัน และเชื่อมั่นคงในพระคริสต์ ความเชื่อของท่านแข็งแกร่ง ตรงนี้คือความเชื่อ ความหวังของท่านในพระคริสต์ ที่อยู่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน ตอนนี้ แข็งแกร่งมาก อาจารย์เปาโลดีใจมากเลย

ดังนั้น เมื่อท่านได้รับพระเยซูคริสต์เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว ก็จงดำเนินชีวิตในพระองค์ต่อไป ดีแล้ว ทำอย่างนั้นนะ ดำเนินชีวิตในพระเยซูคริสต์ต่อไป ด้วยการหยั่งราก และรับการก่อสร้างในพระองค์ ก็คือให้หยั่งรากลึกลงไปอีก ให้สมอนั้น ปักแน่นเข้าไปอีก บนหินใต้น้ำ ที่บอกว่าจะล็อคเรือลำนี้ไว้ ล๊อคความคิดจิตใจเราไว้ ล๊อคด้วยการหยั่งเอาสมอเรือของความคิดของเรา ลงไปในพระคริสต์ เพื่อจะได้รับการสร้างใหม่ในพระองค์ นิ่งเท่าไร ก็เจริญเติบโตเหมือนพระเยซูมากเท่านั้น สันติสุขก็มีมากเท่านั้น ไม่เมา ถ้าเมาอย่างที่ตะกี้บอก อ๊วกแตก มันเรียนอะไรไม่รู้เรื่องแล้ว  แต่ถ้าไม่เมานะ ค่อยๆ เรียนรู้ไป ค่อยๆ เจริญเติบโต ค่อยๆ สามารถที่จะยืนอยู่ได้บนเรือที่โครงเครงบ้าง หรือบางครั้งโครงเครงหนักขึ้น ก็ยังพอยืนอยู่ได้ เพราะว่ามั่นคงแข็งแกร่งในสมอเรือนั้นแล้ว คลื่นใหญ่ขึ้นมา ก็ยังยืนได้ มันหมายถึงอย่างนั้น

ได้รับการก่อร่างสร้างขึ้นในพระคริสต์ มั่นคงในความเชื่อ ตามที่ได้รับการสอนมา … เราจึงได้เห็นว่าความมั่นคงในความเชื่อ หรือในความหวังตรงนี้ มันต้องใช้เวลา ใช้ขบวนการ ไม่ใช่ว่ามาเชื่อพระเจ้าแล้ว อัดมันเต็มที่เลย พรุ่งนี้ มะรืนนี้ จะได้แข็งแกร่ง สมอจะได้ใหญ่ขึ้น นิ่งขึ้น มันไม่ได้  มันต้องค่อยๆ เจริญเติบโต เหมือนเลี้ยงลูก ตั้งแต่ลูกแบเบาะ ค่อยๆ โตขึ้นทีละนิดๆ ไม่สามารถยัดให้กินข้าว กินเยอะๆ เลย เดี๋ยวปีหน้าจะได้โตเต็มที่เลย ไม่ได้มันก็ว่ากันไปตามธรรมชาติ การเจริญเติบโต ทางวิญญาณในพระเยซูคริสต์ ก็เช่นเดียวกัน  การทิ้งสมอเรือของเรา ในความคิดของเรา ก็ลักษณะเดียวกัน ต้องเรียนรู้ทีละนิด ทีละหน่อย ผ่านทางการได้รับการสอนมาที่ถูกต้องกับถ้อยคำพระเจ้า คือความจริงของพระเจ้าในพระคัมภีร์ อย่างที่ตะกี้ผมบอก ถ้าท่านไม่ถูกสอนมาอย่างถูกต้อง ท่านไปหวังเอาในสิ่งที่พระเจ้าไม่สัญญา แล้วก็ไปหวังเอาๆ มันก็ผิดหวังแน่นอน มันก็ทุกข์ยากลำบากแน่นอน และมันไม่ใช่แค่นั้น แต่มันทำให้น้ำพระทัยพระเจ้า แผนการพระเจ้าที่เตรียมไว้ให้กับท่าน มันไม่สำเร็จ มันไม่เจริญเติบโต แผนการของพระเจ้า คือการก่อร่างสร้างขึ้นมาของวิญญาณของเรา ชีวิตของเรา ในพระคริสต์ให้เราเจริญเติบโต เหมือนพระคริสต์ เราจะไม่เหมือน เพราะเราไปหวังในสิ่งที่ผิดหวัง ที่คนเขาสัญญา ไม่ใช่พระเจ้าสัญญา พระสัญญาของพระเจ้าอยู่โลกวิญญาณ คนสัญญาบอกว่า …

“คุณจะต้องแข็งแรง คุณสร้างความเชื่อของคุณ คุณจะแข็งแรง คุณสร้างความเชื่อของคุณ คุณจะได้มีเงินเยอะๆ ไม่ขัดสน ไม่ขาดแคลน”

ใครบอก? ไม่รู้ แต่พระเจ้าบอกอย่างนั้นหรือ? ไม่ได้บอก …

“ถ้าท่านมีความเชื่อมากๆ ท่านจะไม่มีความทุกข์ยากลำบาก ปัญหาในโลกใบนี้เลย”

ใครบอก? ไม่รู้ แต่พระเยซูบอกว่า … “ท่านจะมีความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ เป็นเรื่องธรรมดา”

มันต้องถูกสร้างบนความจริงนี้ แต่มันต้องเป็นขบวนการ และท่านเห็นไหม? ตรงนี้เขียนเป็นขบวนการ เกิดขึ้นด้วยวิธีใด?

“ตามที่ได้รับการสอนมา และเต็มล้นด้วยการขอบพระคุณ” แปลว่าอะไร? อาจารย์เปาโลสอนตรงนี้อยู่เรื่อยๆ การเจริญเติบในพระคริสต์ การจะฝึกฝน หรือสร้างสมอให้ใหญ่ขึ้น ให้เข้มแข็งขึ้น โยนลงไปในทะเล ให้เกาะแน่นขึ้น  ต้องเป็นขบวนการ การผ่านความทุกข์ยากลำบาก แล้วท่านสามารถที่จะขอบพระคุณ เต็มล้น แปลว่าดี ขอบพระคุณ ไม่มีใครต้องฝึกหรอก ถ้าท่านได้รับสิ่งที่ดีๆ เข้ามา ไม่ได้ทุกข์เลย มีความสุขดี แล้วขอบคุณพระเจ้า เป็นเรื่องใครๆ ก็ทำได้ ไม่ได้อยู่ในพระคริสต์ก็ทำได้ อยู่ในอาดัมก็ทำได้ ถูกไหม? แต่ถ้าท่านได้รับสิ่งอะไรที่ไม่ดีเข้ามา เกิดความทุกข์ยากลำบากต่างๆ นานาเข้ามา ท่านสามารถขอบคุณได้ เต็มล้นด้วยความขอบคุณได้ นี่แสดงว่าโตครับ โตทางวิญญาณ

นี่คือแผนการของพระเจ้า และทำให้คนที่สอน คนที่ดูแลอยู่ ก็คืออาจารย์เปาโลมีความดีใจ ที่เห็นว่าผู้เชื่อเหล่านี้ เจริญเติบโตแล้ว ฮาเลลูยา ไม่ใช่ขอบคุณพระเจ้า ดีใจจังเลย ดีใจอะไร?  ดีใจที่สมาชิกเราตอนนี้มีงานทำหมดเลย อยู่ท่ามกลางโควิดก็มีงานทำ มีรายได้เหมือนเดิม ดีกว่าเดิมด้วย อันนั้นก็ขอบคุณได้ มันไม่ยากนะ นึกออกใช่ไหม? มันไม่ยากที่ผมจะขอบคุณพระเจ้าอย่างนั้น ซึ่งก็ขอบคุณไหม? ก็ขอบคุณ ก็ดีใจด้วย แต่ผมจะดีใจมากกว่า เมื่อเห็นสมาชิกยิ้มแย้มแจ่มใส …

“ขอบคุณพระเจ้า เป็นอย่างไรบ้าง?”

“ที่ร้านปิดมา 4 เดือนแล้ว ยังไม่มีรายได้ แต่ขอบคุณพระเจ้า เดี๋ยวพระเจ้าก็จะพาผ่านไปเอง แหะๆ ขอบคุณพระเจ้า”

ถามว่าใครก็ตามที่เป็นพาสเตอร์ที่นี่ หรือเป็นผู้ใหญ่ที่นี่ ถามสิว่าท่านจะดีใจกับฝั่งไหนมากกว่ากัน ไม่ใช่เลือกข้างนะ แต่กำลังจะพูดถึงว่าความดีใจ คนที่กำลังสอบอยู่ แล้วผ่านใช่ไหม?  กับคนที่ยังไม่ได้เข้าสอบ มันต่างกันนะ  คนที่สอบแล้วผ่าน เราดีใจมาก  เขาสอบ แล้วผ่าน แล้วเรามั่นคงแข็งแกร่งเลยว่าอนาคตเขาก็จะอยู่นิ่งมากขึ้น อย่างนี้ไง

นี่แหละ คือความหมายของคำว่า “สันติสุข ท่ามกลางปัญหา” หรือตามชื่อเรื่องที่บอกว่า “มั่นคง ไม่หวั่นไหว ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก” มั่นคง ไม่หวั่นไหว ท่ามกลางความสุขสบาย พระพรต่างๆ บนโลกใบนี้ อันนี้ง่ายๆ ขอบคุณพระเจ้า ใครๆ ก็ทำได้ ไม่เป็นการเสริมสร้างให้เจริญเติบโตและแข็งแกร่งขึ้น ฟังให้ดีๆ ไม่เป็นการเสริมสร้างให้เราเจริญเติบโต และเข้มแข็งขึ้น เผลอๆ อาจจะทำให้เราอ่อนแอลงด้วย เราเริ่มชิน แต่จะเจริญเติบโตได้ สมอจะใหญ่ขึ้น แข็งแกร่งขึ้น เผชิญกับพายุได้มากขึ้น ต้องมั่นคงไม่หวั่นไหว ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก ยิ่งความทุกข์ยากลำบากมากเท่าไร? ยิ่งมั่นคงไม่หวั่นไหวมากขึ้น  แสดงว่าสมอใหญ่มาก ความหวังใจในพระคริสต์นั้นเข้มแข็ง เข้มข้นมากยิ่งขึ้น ซึ่งพระคัมภีร์เรียกว่าการเจริญเติบโตทางวิญญาณ  เป็นผู้ใหญ่ในพระคริสต์ในฝ่ายวิญญาณ ซึ่งต้องใช้เวลาสร้างขึ้นทีละนิดทีละหน่อย  และนี่แหละ คือชัยชนะเหนือโลกนี้จริงๆ ของคริสเตียน

เอาแค่นี้ก่อนวันนี้ สันติสุขในองค์พระเยซูคริสต์เจ้า  ที่เกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจสามารถเกิดขึ้นได้จริงๆ ถ้าเรียนรู้ถ้อยคำพระเจ้าและวิถีการของพระองค์ ซึ่งจะกระทำผ่านทางชีวิตของเรา ให้ถูกต้องเสียก่อน คือสามารถมั่นคง ไม่หวั่นไหว แม้เผชิญความทุกข์ยากลำบากต่างๆ นานา สามารถวางใจในพระเจ้าได้ทุกสถานการณ์ ไม่ว่าสถานการณ์นั้นจะเป็นเช่นไร ถ้าดี มันก็ไม่ยากที่จะวางใจในพระเจ้า แต่ถ้ามันร้าย เรายังวางใจในพระเจ้าได้หรือไม่? นี่แหละ คือการเผชิญกับทุกสิ่งได้ ผ่านทางพระเยซูคริสต์ผู้ทรงเสริมกำลังให้กับเรา วางใจด้วยความรักในพระเจ้าว่าพระองค์ทรงสัญญา และไม่ได้สัญญาอย่างเดียว  แต่ 2 สิ่งที่พระองค์ทรงกระทำ คือสัญญาและรักษาคำสัญญา เพราะพระองค์เป็นพระเจ้า นอกจากสัญญาแล้ว อันที่สอง พระองค์ทรงทำหนักแน่นกว่านั้น ก็คือสาบานด้วย พระเจ้าสาบานด้วยว่า …

“เป็นจริงตามนั้น เราช่วยให้เจ้ารอด เราอยู่กับเจ้าตลอดเวลา เราจะนำพาเจ้า และเราผู้ทรง เริ่มต้นการงานดีในเจ้าแล้ว เราก็จะกระทำต่อไป จนกระทั่งสำเร็จ  เราสามารถพาเจ้าจนกระทั่งสำเร็จได้ เมื่อเจ้าเริ่มต้นเชื่อ แล้วเราเข้าไปอยู่กับเจ้า เราจะจูงมือเจ้าเดิน พาเจ้าไป และเราสามารถช่วยเจ้าได้ ทำให้เจ้าสำเร็จ เป็นไปตามแผนการของเราได้ ในพระเยซูคริสต์ เอเมน”

พระเจ้าอวยพรครับ

 

*********************