คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 24 ธันวาคม 2017 เรื่อง “ความหมายวันคริสตมาส” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  24  ธันวาคม  2017

 เรื่อง “ความหมายวันคริสตมาส

โดย นคร  เวชสุภาพร

            Merry Christmas” ภาษาไทย คือ “ขอให้ท่านได้พบสันติสุขและความสงบทางใจ จากการเสียสละของพระเยซูคริสต์ ที่ได้ทรงไถ่บาปให้กับท่านแล้ว”

ก่อนจะเฉลิมฉลองวันสำคัญ เราควรต้องรู้ความหมายที่แท้จริงก่อน ทุกคนทราบดีว่าวัน คริสตมาส ก็คือวันประสูติของพระเยซูคริสต์ แต่ความหมายที่แท้จริง ที่เป็นเหตุให้มีการเฉลิมฉลอง ใหญ่โตมโหฬารกันทั่วโลก มากขึ้นทุกวันๆ วันจริงๆ ไม่รู้หรอก เป็นวันเฉลิมฉลองการประสูติของพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อลบล้างบาปให้กับมวลมนุษยชาติ

ท่านเคยคิดไหม? ทำไมพระเยซูจำเป็นต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นพระเจ้า แล้วก็มาช่วยมนุษย์เลยไม่ได้หรือ!  เหตุผลที่พระเจ้าต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อมาไถ่บาป ให้มนุษย์รอดพ้นจากการถูกลงโทษ เพราะความบาป พระคัมภีร์ไบเบิ้ล ได้บันทึกไว้ว่ามนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป และต้องได้รับโทษของความบาปนั้น คือจะเชื่อ หรือไม่เชื่อก็ตาม พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้อย่างนั้น ในวิญญาณของเขา ในจิตสำนึกของทุกคน จะรู้ว่าตัวเองเป็นคนบาปอยู่ มีบาป เวรกรรมาตั้งแต่เกิด แต่ก็ไม่รู้ว่าจะช่วยตัวเองได้อย่างไร?  จะหลุดพ้นจากบาปนั้นได้อย่างไร?  หรือหมดเวร หมดกรรม ได้อย่างไร? ซึ่งในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลได้บันทึกไว้ว่ามีเพียงหนทางเดียวเท่านั้น ที่จะทำให้มนุษย์รอดพ้นจากบาปเวรกรรมของเขาได้ ก็คือพระเยซูต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ ก็คือพระเจ้าต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อเป็นตัวแทนของมนุษย์ที่จะรับโทษของความบาปทั้งหมด แทนมวลมนุษย์ เขาเรียกว่าตัวตายตัวแทนนั่นเอง

เพราะว่าตัวการที่ทำให้มนุษย์ทุกคนตกลงไปเป็นคนบาป ได้รับโทษของบาป ก็คือบรรพบุรุษของมนุษย์ ชื่ออาดัมและเอวา พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น เพราะฉะนั้น ผู้ที่จะมาไถ่บาปให้กับมนุษยชาติ ทำให้มนุษย์หมดเวรหมดกรรมได้ ก็ต้องเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์เหมือนกัน โดยมนุษย์เป็นตัวแทนของมนุษย์เท่านั้น ทูตสวรรค์ วิญญาณลงมาแทนมนุษย์ไม่ได้ นี่คือกฎระเบียบทางวิญญาณ ที่พระเจ้าได้วางไว้ตั้งแต่ก่อนสร้างโลกแล้ว เพราะฉะนั้น พระเจ้าเองก็ต้องทำตามกฎของพระองค์ ก็คือพระองค์ทรงลงมาเป็นพระเจ้า และช่วยมนุษย์ไม่ได้ เพราะฉะนั้น พระเยซูจึงต้องสละสภาพพระเจ้า ลงมาเกิดในร่างกายของมนุษย์ นี่คือคำตอบที่ว่าทำไมพระเยซูจึงต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ หรือทำไมต้องมีวันคริสตมาสนั่นเอง เพราะว่ามนุษย์ช่วยตัวเองไม่ได้ และมนุษย์ไม่มีใครช่วยใครได้เลย  เพราะต่างคนต่างบาปหมด เพราะฉะนั้น พระเจ้าจึงต้องมาเกิดเป็นมนุษย์

แล้วคราวนี้ มนุษย์ที่มีนามว่าเยซู ที่เรากำลังกล่าวถึง มีอะไรพิเศษ แตกต่างจากมนุษย์คนอื่นๆ จึงสามารถเป็นตัวแทนไถ่บาปให้มนุษยชาติได้ทั้งหมด ก็เพราะว่ามนุษย์ทุกคน มีเชื้อบาปติดตัวมาเหมือนกันทุกคน ตามที่พระคัมภีร์บันทึกไว้ เป็นเชื้อบาปที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษอาดัมและเอวา พระคัมภีร์ใช้คำว่ามนุษย์ทุกคนอยู่ในอาดัม

ฟังให้ดีๆ พระเจ้าบันทึกไว้ สอนเราทั้งหลายว่ามนุษย์ทุกคนตกอยู่ในความบาป และมนุษย์ทุกคนอยู่ในอาดัม ก็คืออยู่ในชีวิตอาดัม เชื้อบาปอยู่ในอาดัม เราก็เป็นบาปไปด้วย  เกิดก็บาปแล้ว และเมื่อมนุษย์มีเชื้อบาปอยู่ มนุษย์ก็อยู่ใต้อำนาจของมาร ไม่มีกำลังพอที่จะต่อสู้กับอำนาจของความบาปและความตายได้ และไม่มีกำลังพอที่จะช่วยเหลือมนุษย์ ซึ่งกันและกันได้ พระเยซูซึ่งแม้มาเกิดในสภาพมนุษย์ก็จริง มีเลือด มีเนื้อ เหมือนมนุษย์ทุกอย่าง แต่ในขณะเดียวกัน พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า พระคัมภีร์ทรงบันทึกไว้อย่างนั้น และในขณะเดียวกัน พระองค์ทรงไม่มีบาปเลย พระองค์จึงไม่ได้อยู่ภายใต้อำนาจของมาร ของบาป ดังนั้น พระเยซูจึงสามารถรับโทษบาปทั้งปวง แทนมนุษย์ได้ พระเยซูไม่ได้เกิดมาอยู่ในอาดัม 1 ยอห์น 3:5

1 ยอห์น 3:5 “แต่ท่านทั้งหลายรู้ว่าพระองค์ได้มา เพื่อขจัดบาปของเรา และในพระองค์  ไม่มีบาป”

 

ในพระเยซูไม่มีบาป คำถามที่ตามมา คือพระเยซูซึ่งมาเกิดเป็นมนุษย์ มีเลือด มีเนื้อ เหมือนมนุษย์ทุกอย่าง แล้วทำไมพระองค์จึงเป็นมนุษย์เพียงผู้เดียวที่ไม่มีบาปเล่า ก็เพราะว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้า อยู่ในสภาพพระเจ้า ที่ลงมาจุติในครรภ์ของหญิงพรหมจารี คือแมรี่ โดยฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ โดยไม่มีเชื้อจากมนุษย์

“จุติ” ภาษาไทย แปลว่าแปลงสภาพจากวิญญาณ มาสู่เนื้อหนัง พูดง่ายๆ ก็คือพระเยซูแปลงสภาพวิญญาณจากพระเจ้าลงมาอยู่ในเนื้อหนัง ในครรภ์ของแมรี่หญิงพรหมจารีย์ หนังสือลูกาได้บันทึกเหตุการณ์ในช่วงที่โยเซฟกับแมรี่หรือมารีย์ยังเป็นคู่หมั้นกัน และพระเจ้าได้ส่งทูตสวรรค์ไปบอกข่าวกับนางมารีย์อย่างนี้ ตั้งใจฟังให้ดีๆ นี่คือกำลังจะเกิดวันคริสตมาสแรกในโลก ย้อนกลับไปประมาณ 2,000 ปี ใกล้ๆ วันที่พระเยซูจะประสูติ เป็นทารก ก่อนหน้านั้น สักปีหนึ่ง พระเจ้ามาบอกข่าว ทูตสวรรค์มาบอกมารีย์ ในลูกา 1:31-35

ลูกา 1:31-35 “31 เธอจะตั้งครรภ์และคลอดบุตรชาย จงตั้งชื่อบุตรนั้นว่าเยซู 32 พระองค์จะทรงยิ่งใหญ่และได้ชื่อว่าพระบุตรของพระเจ้าสูงสุด พระเจ้าจะประทานบัลลังก์ของดาวิดบรรพบุรุษของพระองค์แก่พระองค์ 33 และพระองค์จะทรงครอบครองพงศ์พันธุ์ของยาโคบตลอดไป  อาณาจักรของพระองค์จะไม่มีวันสิ้นสุดเลย” 34 มารีย์ถามทูตสวรรค์นั้นว่า “จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร ในเมื่อข้าพเจ้าเป็นสาวพรหมจารี?” 35 ทูตนั้นตอบว่า “พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเสด็จลงมาเหนือเธอและฤทธิ์อำนาจขององค์ผู้สูงสุดจะปกคลุมเธอ ดังนั้น องค์บริสุทธิ์ที่ประสูติมา จะได้ชื่อว่าพระบุตรของพระเจ้า”

 

นึกถึงสภาพตอนนั้น ย้อนกลับไปประมาณ 2,000 ปี ตอนที่ทูตสวรรค์พูดกับมารีย์ว่าเธอจะตั้งครรภ์และคลอดบุตรชาย แน่นอนทีเดียว แมรี่ก็ต้องไม่เชื่อ คิดว่ามันจะเป็นไปได้อย่างไร? เพราะว่าตอนนั้นเธอเองเป็นคู่หมั้นของโยเซฟอยู่ ยังไม่ได้แต่งงาน ในช่วงนั้น ประเพณีของชาวยิว ถ้าหญิงใด ร่วมกับชาย โดยไม่ได้แต่งงาน เอาหินขว้างให้ตาย ประหารชีวิต ลองคิดดู แล้วพระเจ้าส่งทูตสวรรค์มาบอกแมรี่อย่างนี้ เธอจึงตกใจ เป็นไปได้อย่างไร?  เธอจึงถามทูตสวรรค์ว่า …

“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร? ในเมื่อข้าพเจ้าเป็นสาวพรหมจารี”

ทูตสวรรค์ก็ตอบว่า “เป็นไปได้ เพราะบุตรชายที่จะเกิดมาในครรภ์ของเธอนั้น มาจากพระเจ้า มาจากฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ไม่ได้มาจากการปฏิสนธิตามธรรมชาติของมนุษย์นั่นเอง”

ทูตสวรรค์กำลังบอกอย่างนี้ ไม่ อย่าไปคิดแบบมนุษย์ นี่เป็นอัศจรรย์ที่พระเจ้าจะกระทำ แล้วมารีย์จะเข้าใจไหมเนี้ย ไม่มีทางเข้าใจหรอก แต่พระเจ้าฟูมฟัก ประชากรของพระองค์ คือชาวอิสราเอล หรือชาวยิว ซึ่งเป็นตัวแทนของมนุษยชาติทั้งมวลให้ติดสนิทอยู่กับพระองค์มาตั้งนานแล้ว เป็นพันๆ ปีแล้ว เพื่อฝังรากลึกของความเชื่อในพระเจ้า แม้ว่ามองไม่เห็นก็ตาม ด้วยสุดจิต สุดใจ ไม่ว่าตาจะเห็นอย่างไร? คิดอย่างไร? พระเจ้าบอกอย่างไร? ฉันจะเชื่ออย่างนั้น ฝังมาตั้งนานแล้ว เป็นพันๆ ปี ก็เพื่อการนี้แหละ พระเจ้าบอกว่า …

“ฟ้าสวรรค์สูงกว่าแผ่นดินโลกเท่าไร? ความคิดของเรา ก็อยู่เหนือความคิดของเจ้า สติปัญญาเรามากกว่าของเจ้า เพราะฉะนั้น เจ้ามีอย่างเดียว คือเชื่อเราเท่านั้นเอง”

ฝังรากลึกมาเป็นพันๆ ปี จนกระทั่งถึงมารีย์ เกิดในตระกูลของชาวยิวที่มีความเชื่อสูง ก็คือพระเจ้าเล็งจะใช้เธอตั้งนานแล้ว เธอก็มีความเชื่อส่งต่อกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษของเธอในครอบครัว ตั้งแต่ปู่ย่าตายาย ตั้งแต่เชื่อพระเจ้า เขาเรียกว่าหลับหูหลับตาเชื่อจริงๆ ถึงแม้ความคิดภายนอกต่างๆ มันจะแย้งหมดเลย เป็นไปได้อย่างไร? ไม่ได้แย้งอย่างเดียว แถมกลัวตายอีกต่างหาก

“ถ้าเกิดท้องขึ้นมา ไม่ได้แต่งงาน แล้วจะไปพูดอะไรกับว่าที่สามี คือคู่หมั้นที่ชื่อโยเซฟ … โยเซฟคงตกใจ หนีไปแล้ว แต่ว่าฉันเป็นหญิงพรหมจารีที่ตั้งครรภ์ ฉันไม่ได้มีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายเลย ใครจะเชื่อฉัน คู่หมั้นฉันจะเชื่อไหม? คู่หมั้นฉันคงจะถอนหมั้น แล้วฉันก็จะถูกเอาหินขว้างตาย”

เขาคงคิดอย่างนี้แหละ เพราะเรากำลังพูดถึงเหตุการณ์เมื่อ 2,000 กว่าปีที่แล้ว  การที่หญิงพรหมจารีจะตั้งครรภ์และคลอดลูก มันเป็นไปไม่ได้เลย แม้แต่ 100 ปีก่อนนี้ ก็เป็นไปไม่ได้เลย ไม่มีทางเกิดขึ้นแน่ๆ ถ้าใครมาพูดกับเราในสมัยโน้น สมัย 500, 600 ปีที่แล้ว หรือ 200 ปีที่แล้ว เราคงว่าคนนี้บ้าหรือเปล่า? แต่ถ้าเป็นในยุคปัจจุบันนี้ ด้วยเทคโนโลยี และวิวัฒนาการทางการแพทย์ การที่หญิงสาวพรหมจารีจะตั้งครรภ์ และทำให้เกิดทารกขึ้นในครรภ์ ต้องถือว่าเป็นเรื่องธรรมดามากเลย มีทั้งการอุ้มบุญ ทั้งผสมเทียน ทั้งการทำเด็กหลอดแก้ว เยอะแยะไปหมด

แต่ไม่ว่าจะเป็นการตั้งครรภ์โดยธรรมชาติ หรือทางเทคโนโลยีก็ตาม ทารกทุกคนต้องเกิดจากเชื้อของผู้ชาย  เป็นพงศ์พันธุ์ของชาย มาจากชายทั้งสิ้น และไปผสมกับไข่ของแม่ ไม่ว่าจะทำกิ๊ฟท์ อุ้มบุญ ผสมเทียม การทำเด็กหลอดแก้ว ต้องมีเชื้อผู้ชายอย่างแน่นอน ถึงจะทำได้ เซลแรก หรือกำเนิดชีวิตแรกของมนุษย์ใดๆ ก็ตาม มาจากเชื้อของผู้ชายมาผสมกับไข่ของผู้หญิง จึงเกิดเป็นเซลแรกขึ้นในครรภ์ ในมดลูก ตอนนี้เราเห็นชัดแล้วนะ

แต่การประสูติของพระเยซูคริสต์ พระองค์ไม่ได้อาศัยเชื้อจากชายเลย ตามที่เราอ่านเมื่อสักครู่นี้  ถ้าจะพูดให้เห็นภาพทางวิทยาศาสตร์แบบปัจจุบัน ก็คงพูดว่าพระเจ้าทรงให้กำเนิดเซลแรกขึ้นในครรภ์ หรือในมดลูกของมารีย์ เมื่อ 2,000 ปีก่อนนั้น โดยไม่ต้องอาศัยเชื้อจากมนุษย์ผู้ชายเลย แต่ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า พระเจ้าบอกว่าเพียงแค่ …

“มารีย์ เราขออาศัยครรภ์ของเธอหรือมดลูกของเธอ เพื่อจะฟูมฟักเซลแรกนี้ แบบมนุษย์ทั่วๆ ไป จนถึงวันคริสตมาส เพื่อจะได้คลอดเขาออกมาเป็นทารกที่บริสุทธิ์ ที่ปราศจากเชื้อบาปเลย แม้แต่นิดเดียว ก็คล้ายๆ กับที่เขามีการจ้างหญิงที่แข็งแรง สาวๆ ที่มดลูกแข็งแรง ร่างกายแข็งแรง มาอุ้มบุญ แทนที่จะเป็นพระเจ้าไปบอก ปัจจุบันเป็นหมอไปบอก หมอบอก …

“มีครอบครัวหนึ่งนะ มีปัญหาเรื่องมีบุตร เขาอยากมีบุตรมากเลย  เขาขอจ้างเธอ ช่วยอุ้มบุญให้ที เขาจะเอาเชื้อของคนเป็นพ่อและเป็นแม่มาผสมกัน เสร็จแล้วก็จะฉีดเข้าไปในครรภ์ของเธอ ให้เธอช่วยอุ้มครรภ์ไว้สัก 9 เดือน แล้วก็คืนเขาไป ให้เธอสัก 300,000 เอาไหม?”

พระเจ้าเราไฮเทคมาก 2,000 ปีกับปัจจุบัน มันต่างกันเหมือนฟ้ากับเหวเลยนะ เราจึงเห็นพระเจ้าพูดอะไร มันเป็นตามนั้นจริงๆ แม้บางครั้ง ตอนพูด เราไม่เข้าใจ แต่วันหนึ่งเราจะเข้าใจ ไม่ว่าวันที่เข้าใจจะอยู่ในโลกใบนี้ หรืออยู่ในสวรรค์ก็ตาม จะเข้าใจเอง

ขอบคุณพระเจ้า หลายครั้งพระองค์เปิดตาให้เรารู้ก่อนเลย บนโลกใบนี้  อย่างเช่น ตอนนี้เรามาศึกษาเรื่องนี้ เทคโนโลยีไม่กี่ปีเท่านั้นเอง ทำตรงนี้ได้ เราจึงเห็นว่าพระเยซูมาเกิดในหญิงพรหมจารี เป็นเรื่องหมูมากเลย เมื่อประมาณ 5, 6 ปีก่อน แค่ร้องเพลงคริสตมาส ปากยังเขินอยู่เลย พระเยซูเกิดในหญิงพรหมจารี หัวเราะ เดี๋ยวนี้ร้องไป ทึ่ง ใช่จริงๆ ด้วย เหมือนที่บอกว่า …

“โลกกลม เป็นพันๆ ปี ไม่เชื่อ ไม่กี่ร้อยปีนี้มาพิสูจน์ เอ่อ! โลกมันกลมจริงๆ”

คล้ายกันอย่างนี้ มันตื่นเต้นนะ

พระเยซูจึงไม่มีเชื้อบาปใดๆ อยู่ในตัวพระองค์เลย มารีย์จึงเป็นผู้คลอดมนุษย์พิเศษ คือพระเยซู ที่ไม่มีมลทินใดๆ เลย ท่ามกลางมนุษย์ทั้งปวงบนโลกใบนี้นั่นเอง พระเยซูจึงเป็นมนุษย์ ผู้เดียวที่แตกต่างกว่ามนุษย์ทั้งปวงบนโลกทั้งหมดเลย ตั้งแต่ 2,000 ปีที่แล้ว พระคัมภีร์จึงใช้คำว่าพระเยซูเป็นพงศ์พันธุ์ของหญิง เพราะมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ เป็นพงศ์พันธุ์ของชายทั้งสิ้น เกิดมาจากชายทั้งสิ้น

พระเยซูเป็นพระเจ้า สำคัญไหม? สำคัญ ต้องเชื่อ แต่ต้องเชื่อไหมว่าพระเยซูเป็นมนุษย์ ต้องมากยิ่งกว่าพระเยซูเป็นพระเจ้าอีก เพราะถ้าท่านไม่เชื่อว่าพระเยซูเป็นมนุษย์ พระเยซูไม่สามารถเป็นตัวแทนท่านได้นั่นเอง จบข่าว พระองค์เป็นมนุษย์ อยู่กับเราได้ เป็นตัวแทนเราได้ เอาบาปของเราไปได้ ถ้าพระเยซูไม่เป็นมนุษย์ เป็นพระเจ้าอย่างเดียว อยู่ห่างจากเรา เราก็ได้แต่ เหมือนหมาแหงนดูเครื่องบิน ได้แต่เห็น บริสุทธิ์ สะอาด ช่วยอะไรเราไม่ได้เลย  แต่พระองค์ทรงสภาพมาเกิดเหมือนเราเลย แต่ไม่มีบาป เพราะฉะนั้น การเกิดของพระเยซูที่เป็นมนุษย์ เป็นสิ่งที่สำคัญที่จะต้องบรรยาย ที่จะต้องเทศนา ต้องประกาศไปเรื่อยๆ ว่าพระองค์เป็นพระเจ้า และเป็นมนุษย์ เวลาพูดกับใครต้องพูดตรงนี้ชัดๆ อย่าบอกว่าพระเยซูเป็นพระเจ้าเฉยๆ ต้องบอกว่าเป็นมนุษย์ เพราะว่าพระคัมภีร์บันทึก และเน้นตรงนี้ว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้า และเป็นมนุษย์

คำว่า “เป็นมนุษย์” ในพระคัมภีร์อธิบายหลายอัน เมื่อเป็นมนุษย์และเป็นพระเจ้าด้วย จึงสามารถไถ่บาปให้กับมวลมนุษยชาติได้ พระองค์เป็นมนุษย์จริงๆ เกิดเหมือนเราจริงๆ รับประทานอาหารเหมือนเราจริงๆ ตอนที่อยู่ในท้อง ในครรภ์ ก็ได้รับอาหารจากแม่ทางสายสะดือแบบพวกเราจริงๆ  เพียงแต่จุดกำเนิด ก็คือเซลแรก ในครรภ์นั้น ไม่เหมือนเรา ฮีบรู 2:14-17 บันทึกไว้เกือบ 2,000 ปีว่าทำไมพระเยซูจึงต้องเกิดมาเป็นมนุษย์ สำคัญอย่างไร?

ฮีบรู 2:14-17 “14 ในเมื่อบุตรทั้งหลาย (มวลมนุษย์) มีเลือดและเนื้อ พระองค์ (พระเยซู) จึงทรงร่วมในความเป็นมนุษย์ของพวกเขา เพื่อว่าโดยการสิ้นพระชนม์ พระองค์จะได้ทรงทำลายผู้กุมอำนาจแห่งความตาย คือมาร 15 และปลดปล่อยบรรดาผู้ซึ่งตลอดชั่วชีวิตตกเป็นทาส (บาป) เนื่องจากกลัวความตาย 16 เพราะแน่นอนว่าพระองค์ไม่ได้ทรงช่วยทูตสวรรค์ แต่ทรงช่วยวงศ์วานของอับราฮัม (มวลมนุษย์) 17 ด้วยเหตุนี้เอง พระองค์จึงต้องเป็นเหมือนกับพี่น้องของพระองค์ทุกอย่าง เพื่อจะได้ทรงเป็นมหาปุโรหิต (เป็นตัวแทนของมวลมนุษย์ ติดต่อกับพระเจ้า เพื่อไถ่บาปมวลมนุษย์) ผู้เปี่ยมด้วยความเมตตาและความสัตย์ซื่อ ในการรับใช้พระเจ้า และเพื่อจะได้ทรงลบมลทินบาปของปวงประชากร (มวลมนุษยชาติ)”

 

“ด้วยเหตุนี้เอง พระองค์จึงต้องเป็นเหมือนกับพี่น้องของพระองค์ทุกอย่าง” เป็นพี่น้อง ก็คือเป็นมนุษย์นั่นเอง เผ่าพันธุ์ ครอบครัวมนุษย์ เรียกว่าพี่น้องครอบครัวใหญ่ๆ นี้  คือพระองค์ต้องมาเป็นมนุษย์เหมือนเขา

“เพื่อจะได้ทรงเป็นมหาปุโรหิต”

คำว่า”ปุโรหิต” แปลว่าผู้รับใช้พระเจ้า มีหน้าที่เป็นคนกลางระหว่างมนุษย์กับพระเจ้าติดต่อกัน ไม่ใช่มีพระเยซูผู้เดียว ยังมีมนุษย์คนอื่นๆ ที่เป็นปุโรหิตและมหาปุโรหิตด้วย ยกตัวอย่างเช่น อาโรน เป็นต้น และอีกเยอะแยะที่เขามีหน้าที่ทำพิธีกรรมต่างๆ คนที่ทำเหล่านี้เขาเรียกว่าปุโรหิต … ปุโรหิต ก็คือคนที่ติดต่อกับพระเจ้า แล้วก็เป็นตัวแทนมนุษย์

ยกตัวอย่างเช่น ตรุษยิว ก็แล้วกัน เมื่อหลายพันปีก่อนตรุษยิว ท่านก็เอาวัวไปแล้วก็บอกอาโรน

“อาโรนช่วยเอาวัวนี้ไถ่บาปให้ฉันที เอาไปให้พระเจ้าที บอกว่าอภัยให้ฉัน อวยพรให้ฉันด้วย ปีต่อไป”

อาโรน ก็คือปุโรหิต เอาวัวตามที่ท่านบอกไป แล้วก็ไปฆ่าวัว แล้วก็บอกพระเจ้า

“พระเจ้า จ๋องเขาจะมาไถ่บาปเขา ปีนี้ ผมเป็นผู้รับใช้ เป็นปุโรหิต ทำแล้ว”

จบ ทำให้เรียบร้อยแล้ว อย่างนี้เขาเรียกว่าปุโรหิต

มหาปุโรหิต คือใคร? ง่ายๆ ก็คือหัวหน้า มีปุโรหิตอย่างนี้หลายคน คนนี้ทำให้จ๋อง คนนั้น ทำให้จิ๊ก หลายๆ คนไปช่วยกันทำ แต่ในหลายๆ คน มีหัวหน้าอยู่คนหนึ่ง เรียกว่ามหาปุโรหิต ในโลกวิญญาณพระเยซูมาเป็นมหาปุโรหิต ให้กับมวลมนุษย์เลย  ทั้งหมดเลย  โดยแทนที่จะเอาวัวไปฆ่า พระองค์เอาตัวเองไปให้ถูกฆ่า เพื่อไถ่บาปพวกเรา

พระเยซูทรงถือกำเนิดเป็นทารกที่ปราศจากเชื้อบาป และตลอดชีวิตของพระเยซู จนถึงวันสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  พระองค์ไม่เคยมีบาป ไม่เคยทำบาปเลย  พระองค์จึงสามารถที่จะแบกรับความบาปทั้งหมดของมวลมนุษยชาติ ไว้ที่พระกายของพระองค์ พระคัมภีร์เขียนไว้อย่างนั้น ซึ่งพระเจ้าก็ได้เตรียมแผนการนี้ บอกไว้ตั้งแต่ก่อนสร้างโลกว่ามันจะเป็นอย่างนี้ 1 เปโตร 1:19-20

1 เปโตร 1:19-20 “19 แต่ด้วยพระโลหิตล้ำค่าของพระคริสต์ ผู้เป็นลูกแกะอันปราศจากตำหนิ หรือข้อบกพร่องใดๆ 20 พระองค์ได้ทรงเลือกสรรพระคริสต์ไว้ ตั้งแต่ก่อนทรงสร้างโลก แต่ทรงให้พระคริสต์ปรากฏในวาระสุดท้ายนี้ เพื่อท่านทั้งหลาย”

 

ย้อนไปนิดหนึ่ง พูดถึงมหาปุโรหิตที่บอกว่าเป็นตัวแทนมนุษย์ ท่านรู้ไหม? ใครเป็นผู้ถวายพระเยซูแทนมนุษย์ทั้งปวง ก็ต้องเป็นมหาปุโรหิตใช่ไหม? คือมหาปุโรหิตในสมัยเมื่อ 2,000 ปี ไม่ใช่มหาปุโรหิตผู้เดียว คณะปุโรหิตในตอนนั้น เกือบทั้งหมด เห็นด้วยกันกับที่จะเอาพระเยซูไปตรึงที่ไม้กางเขน บอกให้ปีลาตสั่งตรึงเสีย ปีลาตบอกเขาไม่ได้ทำผิดอะไร ตรึงทำไม? ต้องตรึงเขาให้ได้ แล้วก็ไปปลุกระดมมวลชน ให้พูดในสิ่งที่เขาต้องการ คือฆ่าเขาซะ เอาเขาไปตรึงๆ พระคัมภีร์บันทึกไว้ พูดง่ายๆ ก็คือปุโรหิตที่เป็นคนตอนนั้น และกลุ่มปุโรหิต ได้ทำการบูชาพระเยซูบนไม้กางเขน เพื่อไถ่บาปให้กับเรา นี่ชัด แต่พระเยซูเป็นมหาปุโรหิตแบบโลกวิญญาณ ไม่ใช่แบบมนุษย์แล้ว ทำการใหญ่กว่านั้น ก็คือเป็นตัวแทนของมวลมนุษยชาติทั้งหมดเลย และก็เอาเลือดของตนเอง ที่ปราศจากตำหนิ ไปถวายพระเจ้า เพื่อไถ่บาปเขา

กลับมาที่เรื่องพระเยซูเป็นผู้บริสุทธิ์ ปราศจากบาป พระเจ้าทรงให้พระเยซูมาจุติในครรภ์ของหญิงพรหมจารีและให้ประสูติในวันคริสตมาส ในสภาพของมนุษย์ที่ปราศจากบาป ช่วงนี้ไปไหนก็ตาม จะได้ยินเพลงนี้เยอะแยะไปหมด Silent Night,  Holy Night, Virgin Mother, Holy Child คือความบริสุทธิ์นั่นเอง ปราศจากบาป เพื่อรอให้ถึงวันศุกร์ประเสริฐ วันที่พระเยซูถูกจับไปตรึงที่ไม้กางเขน ตายไป และถูกฝังไว้ 3 วัน วันอีสเตอร์เป็นขึ้นมาใหม่ ซึ่งเราถือว่าฉลองเทศกาลการเป็นขึ้นมาใหม่ของพระเยซู คืออีสเตอร์ ให้พระเยซูเกิดในวันคริสตมาส แล้วไปตายในวันศุกร์ประเสริฐ และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 คือวันอีสเตอร์

ทั้งหมดนี้ เพื่อจะรับเอาโทษของความบาป ของมนุษย์ทั้งปวงไว้ที่พระองค์เอง เพื่อให้มนุษย์ทุกคนหลุดพ้นจากความบาป และเป็นอิสรภาพจากโทษของความบาป ที่เกิดขึ้นในอาดัม ถ้าเอาออกจากอาดัมได้ เราก็อยู่ในพระคริสต์ เราจะเห็นภาพอย่างนี้ชัดเจนขึ้น ให้เราเป็นอิสรภาพจากโทษที่เราอยู่ในอาดัม ก็คือจากโทษที่เราไม่ได้ทำเลย  ที่หลายๆ คนบอกว่า …

“เกิดมา ฉันไม่ได้ทำอะไร? ทำไมฉันตกอยู่ในบาป เวรกรรม”

ก็เพราะบรรพบุรุษของเรา เป็นอย่างนั้น แต่ตอนนี้เรามีทางเลือกใหม่แล้ว คือพระเยซูคริสต์เป็นบรรพบุรุษให้กับเราได้ สายใหม่ให้กับเราได้ และเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ เป็นแผนการที่พระเจ้าบันทึกไว้ล่วงหน้าแล้ว หลายร้อยปี ก่อนพระเยซูจะมาประสูติ ก่อนที่จะมีวันคริสตมาสอีก นี่คือหนึ่งในจำนวนมากมาย ในพระคัมภีร์ ที่บันทึกไว้ว่าพระเจ้าจะทำอย่างนี้ พระเยซูจะมาจุติ จากสภาพเป็นพระเจ้า มาเป็นมนุษย์ที่ต่ำต้อย มาเกิดในหญิงพรหมจารี บันทึกไว้อย่างนี้ทั้งเล่ม อิสยาห์ 7:14

อิสยาห์ 7:14 “องค์พระผู้เป็นเจ้าเอง จะประทานหมายสำคัญแก่ท่าน คือหญิงพรหมจารีคนหนึ่งจะตั้งครรภ์และคลอดบุตรชาย และจะเรียกบุตรนั้นว่าอิมมานูเอล”

 

“อิมมานูเอล” แปลว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเรา

นี่คือหมายสำคัญและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ในวันคริสตมาส ที่พระเจ้าบอกไว้ล่วงหน้าว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ ถ้าใครมีไหวพริบ พอบอกโลกวิญญาณปุ๊บ ท่านจะมองเห็นอะไรทันที? เห็นเก้าอี้ 2 ตัว มาอีกแล้ว ทำไมต้องมีเก้าอี้ 2 ตัว?  เพราะโลกวิญญาณมองไม่เห็น ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร? ก็เลยมีอันนี้มา เพื่อให้เห็น เป็นเครื่องไม้เครื่องมือที่ทำให้เราเข้าใจง่ายขึ้นนิดหนึ่ง

อย่างที่บอก ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในหนังสือเล่มนี้ทั้งหมด เกี่ยวพันและเป็นเรื่องโลกวิญญาณล้วนๆ เลย ไม่ว่าจะเกิดขึ้นในวัตถุ ในนี้ที่เป็นเรื่องเป็นราวอะไรต่างๆ ทั้งหมด เล็งไปถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในโลกวิญญาณเท่านั้น ยังจำได้นะ อาณาจักรแห่งโลกวิญญาณ ซึ่งเดิมนั้น เป็นอาณาจักรแห่งความมืด นับตั้งแต่มนุษย์คู่แรก บรรพบุรุษของเรา อาดัมและเอวาล้มลงในความบาป ที่พระคัมภีร์ใช้คำว่ามนุษย์ทั้งหลายอยู่ในอาดัม มนุษย์ทั้งหลายอยู่ในความมืด อันเดียวกัน ตั้งแต่อาดัมและเอวาบรรพบุรุษของมนุษย์ พาญาติโกโหติกา ครอบครัวของตัวเอง คือเผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งหมดตกลงไปในความบาป คือตกลงไปในความมืด เป็นทาสของความบาปและความตาย  คืออยู่ในสภาพความมืดบอดนั่นเอง อยู่ในสภาพของการได้รับโทษ คือเป็นเหมือนอาชญากร  ที่ต้องได้รับการลงโทษ คือความตาย มนุษย์ทั้งหลายอยู่ในอาดัม และเพราะมีวันคริสตมาส เกิดขึ้น เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว   ตามแผนการของพระเจ้าจึงนำไปสู่การเกิดอาณาจักรแห่งความสว่างขึ้น   ตั้งแต่วัน คริสตมาสนั้นเป็นต้นมา ก่อนวันคริสตมาสไม่มี มีแต่ในอาดัม ในความมืด โลกนี้อยู่ในความมืด แต่พอมีวันคริสตมาส มีวันที่พระเยซูตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 วันอีสเตอร์ ทันทีทันใด เกิดมีพระเยซูคริสต์ ผู้เป็นขึ้นมาใหม่ และมีความสว่าง นี่คือข่าวดี ที่มาถึงมนุษย์ทุกคน ไม่เว้นแม้แต่คนเดียว จำไว้เลย ไม่มีศาสนาคริสต์นะ แล้วแต่คนจะเรียก

แต่นี่เป็นความเป็นจริงของมวลมนุษยชาติ ศาสนาเป็นสิ่งที่ดี ที่เป็นกฎหมายต่างๆ แล้วแต่ประเพณี การเป็นอยู่ วัฒนธรรม เป็นกฎหมายทางศีลธรรม มันดีอยู่แล้ว แต่เรื่องพระเยซูคริสต์ที่เรากำลังคุยกันอยู่นี้ เป็นประวัติ ในเรื่องโลกวิญญาณทั้งสิ้น ถ้าท่านเอาคำว่าโลกวิญญาณออกไป ท่านจะฟังไม่รู้เรื่องเลย แล้วท่านจะบอกเป็นไปไม่ได้ๆ ไม่รู้เรื่อง แล้วท่านจะอ่านพระคัมภีร์ ก็ไม่รู้เรื่องอยู่ดีนั่นแหละ เพราะฉะนั้น ท่านต้องเข้าใจเบอร์แรกเลยว่ามันเกิดขึ้นในโลกวิญญาณเท่านั้น

เกิดตั้งแต่ 2,000 ปีที่แล้ว วันคริสตมาสแรกของโลก เกิดเป็นเก้าอี้ 2 ตัวนี้ทันทีเลย คืออันหนึ่งเล็งถึงความสว่าง ก็คือผ้าขาว อีกอันหนึ่ง ก็คือผ้าดำ ในอาดัม 2 อาณาจักรแห่งโลกวิญญาณ คืออาณาจักรแห่งความมืด

เพราะมีวันคริสตมาสเกิดขึ้น มนุษย์จึงมีโอกาส ที่จะย้ายจากอาณาจักรแห่งความมืดไปอยู่อาณาจักรแห่งความสว่าง ถ้าไม่มีวันคริสตมาสจะเกิดอะไรขึ้น ทำไมเขาฉลองกันทั่วโลก

Joy to the world the Lord is come

แปลว่า           ชาวโลกทั้งหลายชื่นใจยินดี มีพระราชาประสูติ

คือพระเยซูเสด็จลงมา ให้เราร้องเพลงสรรเสริญ

ฟังให้ดีๆ ถ้าไม่มีพระเยซูเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ พระคัมภีร์บันทึกว่าอยู่ตรงนี้ ไม่มีทางเลือกเลย นี่คือเหตุที่ทำไม พระเจ้าจึงจำเป็นต้องให้พระเยซูมาเกิดบนโลกใบนี้ จำเป็นต้องให้มีวันคริสตมาส ก่อนสร้างโลกก็กำหนดไว้แล้วว่าต้องมี เพราะถ้าไม่มีมนุษย์ก็อยู่ในอาดัมตลอด

ในประวัติศาสตร์โลกบอกว่าพระเยซูเกิดราว ค.ศ.4 หรือ 3 ประมาณนี้  สมมติว่าก่อนคริสตศักราช 4 แล้วกัน ที่พระเยซูจะเกิด มนุษย์อยู่ตรงนี้ทั้งหมด (ฝั่งดำ) สมมติว่าพระเยซูเกิด ค.ศ.4 เดือนธันวาคม พอวันที่ 25 ธันวาคม ค.ศ.4 ในพระคัมภีร์บอก มีดวงดาวส่องตรงที่พระเยซูประสูติ ที่เบธเลเฮม แต่มนุษย์ยังอยู่ฝั่งดำอยู่ จนเด็กทารกผู้นี้ คลอดออกมา 30 ปีไม่ได้ทำอะไรเลย ไม่ใช่ไม่ทำ ทำอะไรต่างๆ ก็ว่ากันไปตามแบบมนุษย์ธรรมดา ทำมาหากิน เพื่อสำแดงให้ผู้คนทั้งหลายในโลกนี้ ทั้งมหาจักรวาลว่า …

“ฉันเป็นมนุษย์เหมือนเขาเลย ฉันต้องทำมาหากิน ต้องทำงาน แล้วฉันก็ไม่รู้จักกับพระเจ้าทุกอย่าง ทุกเรื่อง เป็นพระเจ้าหมด ไม่ใช่ ฉันก็เป็นคนธรรมดา ค่อยๆ เรียนรู้จากพระเจ้า ค่อยๆ ศึกษาหาความรู้สติปัญญาในทางโลกวิญญาณมากขึ้นเรื่อยๆ” ในพระคัมภีร์เขียนไว้อย่างนั้น

เสร็จแล้ว ก็ค่อยๆ ขึ้นมาเรื่อยๆ จนอายุ 33 ปี ค.ศ.37 พระองค์ตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ทันทีทันใดนั้น มาฝั่งขวาเลย ก่อนหน้านั้นไม่กี่วัน ไม่กี่ปี พระเยซูยังบอกเลยว่าสวรรค์กำลังมา ความสว่างกำลังมา เราคือความสว่าง แต่ยังไม่ได้บอกว่าสถาปนา จนกระทั่งพระองค์ทรงตายที่ไม้กางเขน  และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 พระองค์ทรงประกาศว่า …

… บัดนี้ สวรรค์อยู่ที่นี่แล้ว จงไปประกาศเรื่องนี้ให้กับมวลมนุษยชาติทั้งหมดได้รู้เลย บัดนี้ สิทธิอำนาจทั้งหมด ในสวรรค์ก็ดี ในโลกก็ดี ได้ถูกมอบให้กับมนุษย์ โดยผ่านทางเรา ซึ่งเป็นตัวแทนของมนุษย์ทั้งหลายแล้ว จงไปบอกเขาทั้งหลาย ให้ย้ายซะ ย้ายมาอยู่ให้หมดเลย พระเยซูบอกให้ไปประกาศข่าวดี ให้กับทุกคนในโลกนี้เลย

“จงไปประกาศ จนสุดปลายแผ่นดินโลก”

พูดคำนี้ จบเลย ตรงไหนที่ยังไม่มีประเทศ ไม่เป็นไร เดี๋ยวมีประเทศ เธอไปประกาศแล้วกัน เพราะฉันสั่งไปแล้ว ไม่ใช่ไปประกาศให้มนุษย์ทุกคนเดี๋ยวนี้ ขณะนี้ แต่บอกว่าจงไปประกาศ จนสุดปลายแผ่นดินโลกเลย ก็คือประเทศไทยยังไม่เกิด ตอนนี้เกิดแล้ว ก็อยู่ในคำสั่ง เพราะประเทศไทยก็อยู่ในสุดปลายแผ่นดินโลกเหมือนกัน พระองค์ทรงสั่งอย่างนี้ มันสำคัญและง่ายมากเลย สิทธิอำนาจถูกมอบให้กับเราแล้ว ตอนนี้สวรรค์อยู่ที่นี่แล้ว พระบิดาบอกผ่านทางเรา จบแล้วนะ ไปบอกให้หมดเลย เอเมน

สิ่งเหล่านี้ทั้งหมด เกิดขึ้นที่โลกวิญญาณทั้งนั้น ในโลกวัตถุมันก็ดูเหมือนกัน แต่ไม่ใช่ นี่คือโลกวิญญาณ โคโลสี 1:12-13

โคโลสี 1:12-13 “12 ขอบพระคุณพระบิดา ผู้ทรงทำให้พวกท่านเหมาะสมที่จะมีส่วน ในกรรมสิทธิ์ของประชากรของพระเจ้า ในอาณาจักรแห่งความสว่าง 13 เพราะพระองค์ได้ทรงช่วยเรา ให้พ้นจากอาณาจักรแห่งความมืด และทรงนำเราเข้ามาสู่อาณาจักร (แห่งความสว่าง) ของพระบุตรที่รักของพระองค์”

 

นั่งตรงนี้ (ฝั่งดำ) เครียดทั้งวัน หน้ายุ่ง ชีวิตทำไมมันทุกข์ลำบากอย่างนี้ ความหวังก็ไม่มี

ตอนนี้ (ฝั่งขาว) นั่งยิ้ม Joy to the world the Lord is come

เราถูกย้ายออกจากอาณาจักรแห่งความมืดมาสู่อาณาจักรแห่งแสงสว่างด้วยความเชื่อ … เชื่อในข่าวดีของพระเยซูว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้า และเป็นมนุษย์ เพื่อไถ่บาปให้กับมนุษย์ทั้งหลาย รวมทั้งฉันด้วย โดยการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนของพระองค์ และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 สรุปง่ายๆ คือเชื่อในความเป็นจริงในข่าวประเสริฐ ข่าวดีของพระเยซูนั่นเอง ข่าวดีของพระเยซู ก็คือเชื่อในวันคริสตมาส เชื่อในวันศุกร์ประเสริฐ เชื่อในวันอีสเตอร์ จบข่าว

และอย่างที่ผมพูดอยู่บ่อยๆ ตัวตนที่แท้จริงของมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ไม่ว่าท่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ก็ตาม ท่านเป็นวิญญาณ ร่างกายที่เราเห็นกันอยู่นี้ ไม่ใช่ตัวจริงของเรา วันหนึ่งมันต้องลงไปในดิน มันต้องถูกทิ้งไป เหมือนเสื้อผ้า แต่ตัวจริงๆ ของท่าน คือวิญญาณ จะอยู่ตลอดไป และที่อยู่อาศัยของวิญญาณ ก็คือโลกทางวิญญาณนั่นเอง เพราะฉะนั้น ผมถึงบอกว่าพระคัมภีร์ต้องอ่านแล้ว เรียนรู้ทางโลกวิญญาณ  เพราะท่านจะได้เข้าใจ และเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ซึ่งอาณาจักรโลกวิญญาณ มี 2 อาณาจักร มืดและสว่าง วิญญาณของมนุษย์ทุกคน ก็จะต้องอยู่ในอาณาจักรใด อาณาจักรหนึ่ง ไม่ว่ามืดหรือสว่างก็ตาม ไม่ว่าคนนั้นจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อ … เชื่อข้อมูลนี้ หรือไม่เชื่อก็ตาม ในพระคัมภีร์ได้บันทึกไว้อย่างนั้นว่ามนุษย์ทุกคนในปัจจุบันต้องอยู่ในอาณาจักรใดอาณาจักรหนึ่ง ไม่ว่าจะมืดหรือสว่างก็ตาม อย่างแน่นอน เหมือนที่พระคัมภีร์บอกว่าท่านกำลังเดินอยู่บนโลกใบนี้ แล้วโลกใบนี้มันหมุนรอบตัวเอง มันโลกกลม ท่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม แต่โลกกลมจริงๆ

ผมอยากจะยกตัวอย่าง สภาพในโลกวิญญาณของโลกใบนี้ ขณะนี้ เส้นทางการดำเนินชีวิตของมนุษย์ แต่ละคนบนโลกใบนี้ เปรียบเหมือนการนั่งรถโดยสารที่จะขับเคลื่อน นำพาชีวิตเราไป ซึ่งจะมีรถโดยสารให้เลือกอยู่ 2 คัน มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ก็ต้องอยู่บนรถโดยสารนี้ ไม่คันใด ก็คันหนึ่งอย่างแน่นอน

รถโดยสารคันที่หนึ่ง เป็นรถโดยสารที่สว่างไสว มีผู้ขับเคลื่อนรถคันนี้ ชื่อพระเยซูคริสต์ และมีพระเจ้าเป็นผู้กำกับทาง  เป็นผู้คอยให้กำลังใจ คอยปลอบโยน  ระหว่างทาง  อาจจะเจอถนนขุระบ้าง เจอหลุมกระแทกบ้าง เจอพายุพัดไปพัดมา เสียวไส้อะไรต่างๆ พระเจ้าก็จะมาคอยปลอบใจ ให้กำลังใจทุกคน

“สบายๆ นะ ไม่ต้องกลัวๆ เราอยู่ด้วยๆ”

ส่วนรถโดยสารอีกคันหนึ่ง เป็นรถที่มืดสนิท คนขับรถชื่ออะไรก็ไม่รู้ เป็นใครก็ไม่รู้ รู้แต่พระเยซูบอกว่าเป็นพวกขโมย ฆ่าและทำลาย เป็นพวกมิจฉาชีพ ที่คอยมาหลอกล่อลักพาตัวผู้คนไปขึ้นรถ จับเป็นตัวประกัน แล้วคนที่คอยกำกับระหว่างทาง ก็เต็มไปด้วยความโหดร้าย เต็มไปด้วยความน่ากลัว คอยข่มขู่ เคี่ยวเข็ญตลอดเวลา

ผู้คนที่อาศัยอยู่ในรถโดยสารคันที่ 1 คันที่เป็นแสงสว่าง ก็มีแต่ความสุข ความสงบ แม้หนทางจะเป็นหลุม เจอบ่อเป็นระยะ เจอถนนเรียบบ้าง ขุระบ้าง แต่ก็ยังมีสันติสุข มีความสงบ ผู้คนบนรถเต็มไปด้วยความรัก ความเมตตา ถ้อยทีถ้อยอาศัย แบ่งปัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน มีความเผื่อแผ่ซึ่งกันและกัน วางใจในพระเจ้า ให้ผู้กำกับรถคันนี้ คือพระเจ้าเป็นผู้นำพาชีวิตต่อไป ตามรถคันนี้ และที่เป็นแบบนี้ได้ ก็เพราะว่าทุกคนที่อาศัยอยู่ในรถแสงสว่างนี้ ทราบดีว่ารถคันนี้ กำลังจะวิ่งไปไหน แล้วเคลื่อนไปที่ไหน? จุดหมายปลายทางอยู่ที่ใด? และที่นั่นเป็นอย่างไร? เขาจะอยู่อย่างไร? พูดง่ายๆ มีความหวังว่าจะไปถึงสวรรค์นั่นเอง

ในขณะที่รถโดยสารคันที่ 2 ที่เป็นความมืดมิด ตลอดเส้นทาง มีแต่การข่มขู่ มีแต่การคาดโทษ มีแต่ตวาด  และถึงแม้ว่ารถคันมืด  บางครั้งขับไปบนถนนราบเรียบ  ไม่เจอหลุม  ไม่เจอบ่อ  ถนนไม่ขุระ แต่ทุกคนที่อาศัยอยู่ในรถคันนี้ ก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัว แม้กระทั่งถนนเรียบ ยังกลัวเลย กังวลตลอดเวลา คอยแก่งแย่งกัน เบียดเบียนกัน มีแต่ความกระสับกระส่าย วุ่นวาย เครียดกันไปทั้งรถ ไม่มีใครเลยบนรถคันนี้ ที่จะมีสันติสุขและความสงบสุขที่แท้จริงได้ มันกลัว มันระวังไปหมด

และเหตุผลที่ผู้คนในรถคันที่สองที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว เต็มไปด้วยการแก่งแย่งกัน เบียดเบียนกัน ก็เพราะว่าคนที่อยู่บนรถคันนี้ ที่มืดมิด ทั้งสับสนวุ่นวายนี้ ไม่มีใครสักคนเลยรู้ว่ารถคันนี้กำลังขับเคลื่อนไปทิศทางใด? จะไปไหน? จะไปจุดหมายปลายทางที่ใด? และที่นั่นจะเป็นอย่างไร? ชีวิตหลังจากลงจากรถแล้ว จะเป็นอย่างไร? จะเกิดอะไรขึ้น? พูดง่ายๆ มันมืดแปดด้าน มันไม่มีความหวังนั่นเอง

นี่คือภาพที่ผมเปรียบเทียบ ให้เห็นชัดๆ ในโลกทางวิญญาณ ตามหลักพระคัมภีร์ เมื่อเราได้รับเชื่อในข่าวดีในองค์พระเยซูคริสต์แล้ว เราก็จะได้ขึ้นไปในรถโดยสารคันที่ 1 คันที่เรียกว่าแสงสว่าง ที่มีผู้ขับชื่อพระเยซูคริสต์ เราก็จะมีสันติสุข มีความสงบสุข แม้ว่าทางจะขุระบ้าง เจอทางลำบากบ้าง? เจอพายุบ้าง แต่เรารู้ว่ารถคันนี้จะไปไหน? แล้วผู้ที่คอยปลอบโยน ที่คอยดูเราตลอดเวลา คือพ่อของเรา คือพระเจ้านั่นเอง เราก็สบายใจ มีสันติสุขได้ และเมื่อเราขึ้นอยู่บนรถคันนี้ เราจึงมีความรู้สึกเหมือนพระเยซูคริสต์บอก

“ผู้ใดที่แบกภาระและเหน็ดเหนื่อยจงมาหาเรา เราจะให้ผู้นั้นหายเหนื่อยและเป็นสุข”

ก็คือเราหายเหนื่อยและเป็นสุข เมื่อเรารับพระเยซูคริสต์ เราก็ถูกย้ายเข้ามาอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่าง รถแห่งความสว่าง รถคันนี้เต็มไปด้วยสันติสุข เราก็จะหายเหนื่อยและเป็นสุข และเมื่อเราอยู่ในรถแห่งความสว่างนี้  เราก็จะสัมผัสถึงสิ่งต่างๆ ที่ตะกี้เล่ามาทั้งหมด ตั้งแต่เริ่มต้น แล้วเราอยากที่จะบอกข่าวดีนี้ให้ใครก็ตามที่อยู่ข้างๆ เรา อยากให้โลกได้รู้ โลกก็คือมนุษย์ อยากให้มนุษย์ทุกคนได้รู้จริงๆ ว่ามันง่ายนิดเดียว ในการที่จะมีสันติสุขแบบที่เรามี ง่ายนิดเดียวที่จะมาอยู่ในสวรรค์ เพียงเชื่อในข่าวดีของพระเยซู แล้วก็ย้ายมาแค่นั้นเอง ทิ้งความเย่อหยิ่ง ทิ้งความอวดดี ทิ้งสติปัญญา ทิ้งอะไรทั้งหมดของเรา แล้วเชื่อ … เชื่ออย่างเดียว ไม่ต้องเสียอะไรเลยแม้แต่นิดหนึ่ง เชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์เท่านั้น แล้วทันทีทันใด พระเจ้าก็จะย้ายเราไปอยู่ในนี้ เราก็จะเต็มไปด้วยสันติสุข

และจากนั้น พอเกิดขึ้นกับตัวเราเอง เราก็อยากจะไปบอกคนอื่นแล้วว่าข่าวดีนี้คืออะไร? เราอยากให้เขาได้สันติสุขและความสงบทางใจ อันเกิดจากการเสียสละของพระเยซูคริสต์ที่ทรงไถ่บาปให้กับเรา เพราะฉะนั้น ร่วมกันทำทุกวัน จึงจัดเป็นงานฉลองว่าปีหนึ่งจึงมีใหญ่ๆ ครั้งหนึ่ง นอกนั้นมีเล็กๆ ทุกวันก็เป็นคริสตมาส สำหรับเรา แต่วันที่รวมกันใหญ่ๆ ก็คือปีหนึ่งมีครั้งหนึ่ง ในวันที่ 25 นี้ ก็คือวันคริสตมาส เราจึงอวยพรทั้งโลกเลย ไม่ว่าใครมีโอกาส ติดที่บ้าน ติดที่ไหนก็ตาม

ติดคำว่า … “Merry Christmas”

Merry แปลว่าขอให้ท่านได้พบสันติสุขและความสงบทางใจ

Christmas มาจาก Christes Maesse แปลว่ามิซซาของพระคริสต์ คือการเข้ามาร่วมเป็นหนึ่งกับพระคริสต์ การที่พระเยซูคริสต์ตายที่ไม้กางเขน  และหลั่งพระโลหิตชำระบาปให้กับมนุษย์ เรียกว่ามิซซา … มิซซาของพระคริสต์ ก็คือการที่พระเยซูถูกตรึงตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ทำให้มนุษย์กับพระเจ้าสามารถคืนดีกันได้ ตรงนี้ เรียกว่ามิซซาของพระคริสต์ เรียกว่าคริสตมาส

ดังนั้นมาแปลเป็นไทย ไปที่ไหน เราก็อยากจะอวยพรกันว่า Merry Christmas ก็คือขอให้ท่านได้พบสันติสุขและความสงบทางใจ อันเหตุเกิดขึ้น จากการเสียสละของพระเยซูคริสต์ ที่ได้ทรงตาย เพื่อไถ่บาปให้กับท่านแล้ว เอเมน         ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*********************

 

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 3 ธันวาคม 2017 เรื่อง “สุขสันต์วันพ่อ” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  3  ธันวาคม  2017

 เรื่อง “สุขสันต์วันพ่อ”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

วันนี้เป็นวันพิเศษ วันพ่อของโบสถ์จัดก่อน วันพ่อ ก็คือวันที่ 5 แน่นอน เมื่อได้ยินคำว่า “วันพ่อ” ทุกคนก็ต้องนึกถึงพ่อหลวง หรือในหลวง รัชกาลที่ 9 ซึ่งแม้ตอนนี้พระองค์ท่านจะสวรรคตแล้ว แต่คนไทยทุกคน ก็ยังคงระลึกถึง และยังคงสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน ที่มีต่อปวงชนชาวไทยทั้งปวงอย่างมากมาย

          เมื่อต้นปี ทางราชการประกาศให้วันที่ 5 ธันวาคมของทุกปี เป็นวันสำคัญของชาติไทย คือ …

          (1)เป็นวันคล้ายวันเฉลิมพระชนม์ชนพรรษาของในหลวงรัชกาลที่ 9 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร

          (2) เป็นวันชาติ

          (3) เป็นวันพ่อแห่งชาติ

หลายปีที่ผ่านมา ช่วงเวลาใกล้ๆ วันพ่อแบบนี้  เรามักจะคุ้นเคยกับชื่อโครงการนี้ เป็นโครงการหนึ่งของในหลวง รัชกาลที่ 9 ของเราเป็นผู้ริเริ่ม หลายคนอาจเคยเข้าไปร่วมในกิจกรรมด้วย คือโครงการทำดีเพื่อพ่อ ซึ่งเป็นโครงการที่รณรงค์ให้คนไทย ได้ร่วมกันกระทำความดีอย่างสามัคคี โดยเน้น เพื่อให้เกิดพลังแห่งการให้ออกไปในสิ่งที่ดีๆ ในมิติต่างๆ ในชีวิต ในสังคม

ยกตัวอย่างเช่น รณรงค์ให้คนทำดี เพื่อพ่อ โดยการให้อภัย ให้โอกาส ให้รอยยิ้ม ให้เวลา ให้ความรู้สึกดีๆ ให้ความรัก ให้ความช่วยเหลือ ทั้งร่างกาย แรงกาย วัตถุสิ่งของการเงิน ให้ความใกล้ชิด ให้ความจริงใจ ให้ความสัตย์ซื่อ เช่นนี้เป็นต้น และอีกหลายๆ อย่าง ถามว่าทำไมคนไทย จึงพร้อมใจกัน ตั้งใจที่จะทำดี เพื่อพ่อ หรือทำความดีนี้ เพื่อพ่อ ลองถามสิ เพราะอะไร? ออกเป็นกฎหมายหรือเปล่า? ไม่ใช่ เพราะกฎหมายบังคับ เพราะกลัวว่าถ้าไม่ทำแล้ว จะเกิดมีความผิดหรือเปล่า? ไม่ใช่ หรือคิดว่าทำแล้วจะได้บุญ หรือได้รับผลตอบแทน กลับคืนมาหรือเปล่า? ไม่ใช่ พ่อหลวงจะได้รับผลจากความดีที่เราทำหรือเปล่า? เราก็ไม่คิดอย่างนั้น  ถูกไหม? แล้วถามว่าเราร่วมใจกัน เป็นความสามัคคีของคนไทยทั้งชาติเลย อยากจะทำความดีเพื่อพ่อ ก็เพราะว่าเรามีพ่อหลวงที่ประเสริฐ ที่มีความรัก ความเมตตา เป็นพ่อผู้เสียสละ อย่างเห็นได้ชัดเจน เป็นเวลาหลายสิบปี พิสูจน์แล้ว ใช่ไหม?

นั่นคือความรักมันเกิดขึ้นแล้ว ในใจของคนไทยทั้งปวง เพราะเรารู้ดีว่าพระองค์ท่านอยากเห็นคนไทย ซึ่งเป็นเสมือนลูกหลานของพระองค์ มีความรักซึ่งกันและกัน มีความสามัคคีกัน มีสังคมที่อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข สันติสุข และอยู่ดีกินดีกันทุกๆ คน คนไทยจึงพร้อมใจกันทำสิ่งนี้ เพื่อเป็นการตอบแทนในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน เพียงแค่อยากทำให้พระองค์พอพระทัย คุ้นๆ หูเนอะ ทำให้พระองค์พอพระทัย ทำให้พระองค์สบายใจ มีความยินดี เห็นไหมมีอะไรเกิดขึ้นกับเรา ไม่มีใครบังคับเราเลย แต่เราอยากทำ เพราะเราสัมผัสในความรัก ความเมตตาของพระองค์ท่านที่มีต่อเราเท่านั้นเอง

ถามว่าคนไทยร่วมใจกันทำความดีเหล่านี้แล้ว พระเจ้าอยู่หัวได้รับผลประโยชน์ตอบแทนอะไรหรือเปล่า? นอกจากความยินดีพอพระทัย ไม่ได้รับอะไรเลย แล้วเราทำดีอย่างนี้ เราเพิ่มพระเกียรติ เพิ่มพระบารมีให้พระองค์ท่านหรือเปล่า? เปล่าเลย พระเกียรติ พระบารมี พระเจ้าอยู่หัวยิ่งใหญ่มากมายอยู่แล้ว ไม่ต้องการให้เราช่วยเหลือเลย แล้วเราช่วยไม่ได้ด้วย  ถูกไหม?  ในทางกลับกันเมื่อเราตั้งใจทำความดี เพื่อพ่อ ผลที่ได้รับ จะตกอยู่กับพวกเราเองนั่นแหละ ความสงบสุขของสังคม ความสงบสุขของประเทศชาติ ก็ส่งผลมาเป็นความสงบสุขของตัวเราเอง การกินดี อยู่ดีของเรา ของประชาชนชาวไทย ก็เกิดขึ้น เป็นผลสืบเนื่องและกระทบมาถึงพวกเราทุกคน คนทำนั่นแหละได้ดีเอง ถูกไหม?  และสำหรับพวกเราผู้เชื่อ ในพระเยซูคริสต์ ที่เราเรียกกันติดปากว่าพวกคริสเตียน ที่เชื่อ ยอมรับว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรของพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อไถ่บาปให้กับมนุษยชาติทั้งปวงให้พ้นจากบาป และสามารถบริสุทธิ์ผุดผ่อง มาสถิตอยู่ด้วยกับเขา และเขาจะอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถานนิรันดร์กาล เพราะว่าพ้นจากบาปแล้ว ผู้ที่เชื่อในพระเยซูเหล่านี้ ที่เรียกว่าคริสเตียน นอกจากพ่อทางกาย และพ่อหลวงของคนไทยแล้ว เรายังมีพระเจ้าที่เป็นพ่อแห่งฟ้าสวรรค์ของเราด้วย เป็นพ่อของเรานั่นเอง

เช่นเดียวกัน ถ้อยคำพระเจ้าในพระคัมภีร์ ก็สอนให้เราทำความดี ให้ใช้ชีวิตในขณะที่เราเชื่อพระเจ้าแล้ว ยอมรับพระเยซูแล้ว ได้สิทธิเป็นลูกของพระเจ้าที่สะอาดบริสุทธิ์แล้ว ให้เราดำเนินชีวิตที่สำแดงออกมาถึงสิ่งที่ดีๆ สิ่งที่เป็นความดี ทำดี เพื่อพ่อของเราเหมือนกัน แต่เป็นพ่อทางฝ่ายวิญญาณ พระคัมภีร์สอนเราอย่างนี้ เหมือนกัน

พระคัมภีร์บอกอย่างไร? สรุปง่ายๆ ทำดีอย่างไร? ให้ผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่อยู่ในวิญญาณของเรา ที่เราบังเกิดใหม่ในพระเจ้าแล้ว รับเชื่อในการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ เรารับสิทธิของเราที่พระเยซูไถ่บาปให้กับเราที่ไม้กางเขน ทันทีทันใด เราก็มาอยู่ในอาณาจักรสวรรค์ อยู่ในครอบครัวของพระเจ้า อยู่ในอาณาจักรแห่งแสงสว่าง มีพระเจ้าเป็นพ่อของเรา มีพระเยซูเป็นพี่ชายคนโตของเรา พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็สถิตอยู่กับเรา เราสะอาดหมดจดแล้ว เราอยากจะทำสิ่งที่ดีๆ เพื่อพ่อของเรา เราอยากจะสำแดงผลของพระวิญญาณ คือข้างในที่เราบังเกิดใหม่ เราอยากสำแดงวิญญาณที่เราบังเกิดใหม่ ที่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่กับเรานั้น ออกมา มันจะออกมาอย่างไร? เราจะรู้ได้อย่างไร?  มันจะมีผลลักษณะอย่างนี้อยู่ 9 อย่างเท่านั้นเอง ถ้าออกมา 9 อย่างนี้ แสดงว่ามาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผล 9 อย่างนี้ คือความรัก  ความปลาบปลื้มใจ สันติสุข  ความอดกลั้นใจ  ความปราณี  ความดี  ความสัตย์ซื่อ  ความสุภาพอ่อนน้อม  และการรู้จักบังคับตน มันจะออกมาจากวิญญาณของเรา บังเกิดใหม่เป็นลูกของพระเจ้า นี่คือทำดี เพื่อพ่อ รู้ว่าทำสิ่งนี้ดีเพื่อพ่อ ดูว่ามันอยู่ใน 9 อย่างนี้ไหม?

ยกตัวอย่างว่าเมื่อเช้านี้ รอรถเมล์อยู่ รถเมล์แทนที่จะจอด ไม่จอด จะมาโบสถ์ไม่ทัน เราก็เลยหงุดหงิด เราก็บ่น …

“คนนี้จะขับรถไปตายที่ไหน คนรออยู่ ทำไมไม่จอด”

ใช่วิญญาณบริสุทธิ์ไหม? ไม่ใช่ แล้วใครทำ? ก็เนื้อหนัง ตัวเก่าฉันนี่แหละ ที่ฉันเห็นในกระจกทุกวัน มันไม่ใช่ลูกพระเจ้าหรอกตัวนี้  ตัวนี้ ตายไปแล้ว มันรอวันที่จะเปลี่ยนใหม่ เสื้อคลุมนี้ ตัวร่างกายเก่านี้ แต่ถ้าเผื่อรถมันขับไม่จอด ผ่านไปเมื่อเช้านี้  เราบอก …

“ขอพระเจ้าอวยพร วันนี้เขาคงมีธุระสำคัญ เขาคงจะไปรับคนข้างหน้า ขอบคุณพระเจ้า เรารออีกสักหน่อย อาจารย์นำคงไม่ว่า นำนมัสการช้าหน่อยก็ได้”

อะไรประมาณนี้ สมมตินะ เราก็สงบสุข ขอบคุณพระเจ้า อย่างนี้เขาเรียกว่าบังคับตน ทั้งๆ ที่ในร่างกายนี้มันกำลังจะโมโห เพราะว่ารอไป 2 คัน ไม่จอด อย่างนี้เป็นต้น ท่านจะเห็นภาพชัดเจน อะไรที่มันตรงกันข้ามกับ 9 อย่างนี้ แสดงว่ามันไม่ได้มาจากข้างในของเรา แต่มาจากข้างนอก ซึ่งเป็นร่างกายที่มีเชื้อบาปอยู่ เห็นไหม? แต่ถ้าเราทำจากข้างใน คือเราทำดีเพื่อพ่อ … พ่อเรา คือพระเจ้า … พระเจ้าก็จะได้พอพระทัย พระเจ้าจะได้ยินดี สบายใจ เราถวายเกียรติพระเจ้ามากขึ้นไหม? ไม่ใช่เลย  วิธีการถวายเกียรติพระเจ้า ก็คือเรามีสุข แล้วพ่อเรา พระเจ้าก็มีสุข ยินดีกับเราด้วย ใน 2 ทิโมธี 3:16-17 ได้บันทึกไว้อย่างนี้

2 ทิโมธี 3:16-17 “16 พระคัมภีร์ทุกตอน ได้รับการดลใจจากพระเจ้า และเป็นประโยชน์ในการสั่งสอน การว่ากล่าวตักเตือน การแก้ไขข้อบกพร่อง และการฝึกฝนในความชอบธรรม 17 เพื่อเตรียมคนของพระเจ้า ให้พรักพร้อมสำหรับการดีทุกอย่าง”

 

เพื่อพรักพร้อมในการกระทำความดีทุกอย่าง  การดีทุกอย่าง คือผลออกมาจากการกระทำของพระวิญญาณ เราจะรู้ว่านี่คือการดีได้ เมื่อเราทำแล้วมันสอดคล้องกับในพระคัมภีร์ที่บันทึกไว้ บางครั้ง คำว่าความดีของมนุษย์ กับความดีในสายตาพระเจ้า ไม่เหมือนกัน ฟังให้ดีๆ หลายอย่าง เรานึกว่าเราทำดีแล้ว แต่ไปค้นในพระคัมภีร์ ไม่เห็นมีบอกว่าตรงนี้ทำดีเลย ปรากฏว่าตรงนี้ยังบอกด้วยซ้ำว่ากำลังเย่อหยิ่งอยู่ เป็นไง แสบมากเลย ถามจริงๆ มีไหม? มี หลายอย่างเลย บางทีเราทำอาการหลายอย่างเลย เช่น การให้ทรัพย์ คือหยิบเงินในกระเป๋าที่เรามีสิทธิ์เต็มที่ นี่เงินของเรา  เราจะยกให้ใครก็ได้

สมมติเราเอามาร้อยหนึ่ง นี่เป็นเงินของเรา ให้ใครไปก็ได้ อาการนี้ ถ้าตามนุษย์มองเห็น ทุกคนเรียกว่าการให้ ถูกไหม? แต่พระเจ้าบอกว่ามันอยู่ที่ข้างใน อาการเหมือนกันเลย อีกคนก็ให้ออกไป 100 พระเจ้าบอกไม่เหมือนกัน คนที่สอง นั่นให้จริง เขาจะได้พร คนแรกเย่อหยิ่งจองหอง มนุษย์สรรเสริญคนแรกมากเลย เพราะเห็นเขาให้ เหมือนๆ กัน เผลอๆ ให้เยอะกว่าอีก ทำไมมนุษย์มองเห็นว่าน่าสรรเสริญ แต่พระเจ้าว่าไม่น่าสรรเสริญ ไม่ได้จริงใจ พระเจ้ามองที่ใจ เพราะอาการข้างนอก เราเห็นเขาให้ แต่เขาอาจจะไม่ได้ตั้งใจที่จะให้หรอก ข้างในเขากำลังให้ออกไป แล้วก็คิดว่าตรงนี้ เขาจะได้กลับคืนมาสัก 10 เท่า คือให้ไป 100 จะกลับมา 1,000 บาท ถ้าผมให้ไป 100 แล้วผมหวังว่าจะได้ 1,000 บาทกลับคืนมา อย่างนี้เป็นการลงทุน

เมื่อเรารู้ว่าพระเจ้าเสียสละ รักเรามากขนาดไหน? เราควรจะทำในสิ่งที่ถูกต้อง ตามท่าทีที่พระเจ้า ผู้เป็นพ่อในฟ้าสวรรค์ของเรา ต้องการ และยินดี ก็คือทำตามที่พระคัมภีร์บอกว่าควรทำ

เรากลับมาที่ว่าคนไทยพร้อมใจกันทำดี เพื่อพ่อ ก็เพราะว่าเรามีพ่อหลวงที่บริสุทธิ์ ที่ประเสริฐ ที่รักเรา ที่เราเห็นได้ชัดว่าพระองค์รักเราจริงๆ เราจึงสัมผัสความรักนั้นได้ แล้วก็สามารถทำสิ่งที่เรียกว่าความดีได้ โดยที่ไม่ได้หวังสิ่งตอบแทน

นอกจากคริสเตียน ที่มีพระวิญญาณที่อยู่ในเราแล้ว เรามีถ้อยคำพระเจ้าในพระคัมภีร์ เป็นเหมือนกับไกด์นำทางให้เรา บอกเราว่าเราควรจะปฏิบัติตัวอย่างไร ถึงจะได้สิ่งที่ดีๆ ในชีวิตเราเอง ไม่ใช่สิ่งที่ดีๆ สำหรับพ่อของเรา พระเจ้า ไม่ใช่สิ่งดีๆ ที่จะไปยกให้พระเจ้า ไม่ใช่สิ่งดีที่จะเป็นผลประโยชน์แด่พระเจ้า ไม่ใช่ไปถวายเกียรติพระเจ้า  แต่จริงๆ แล้วพระเจ้าต้องการให้เราได้สิ่งที่ดีที่สุด และพระองค์ก็ดีใจ เพราะลูกได้สิ่งที่ดีๆ

พระคัมภีร์สอนเราให้ฝึกฝนที่จะทำความดี ตักเตือน ให้แก้ไขข้อบกพร่อง ไม่ใช่ เพื่อการได้รับความรอด หรือการรอดพ้นจากการถูกลงโทษจากบาป แต่พระคัมภีร์บอกว่าเมื่อเราได้รับความรอด ผ่านทางพระคุณความรักของพระเจ้าแล้ว ผ่านทางความเมตตาของพระเจ้าแล้ว เราควรเชื่อฟัง เห็นไหม? ไม่ได้บังคับเรา พระเจ้าผู้เป็นพ่อฝ่ายวิญญาณ ก็ไม่ได้บังคับเรา ตอนที่เราทำดี เพื่อพ่อ ในการรณรงค์ในประเทศไทย ก็ไม่มีใครออกกฎหมายมาบังคับเรา เรายินดีทำ ในทำนองเดียวกัน ในทางพระเจ้า ในทางเป็นคริสเตียน ก็เหมือนกัน เราตั้งใจจะทำดีเพื่อพ่อ เพราะว่าเรารักพ่อเราแล้ว พ่อเราสำแดงความรักของพระองค์ประจักษ์แก่ชีวิตของเราแล้ว โดยประทานพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระองค์มาตายที่ไม้กางเขน รับบาปแทนเรา เราซาบซึ้งแล้ว เรารู้แล้ว พอเรารู้แล้ว เราก็อยากจะทำดี เพื่อพระองค์ เพื่อพ่อของเรา นี่คือท่าทีที่อยู่ข้างในว่าเราควรเชื่อฟัง ไม่ใช่เราต้องเชื่อฟัง คนละอันนะ เราควรเชื่อฟัง ถ้าเราไม่เชื่อฟัง ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ผลร้ายจะเกิดขึ้นกับเราเอง เพราะเราทำไม่ได้ดี ผลไม่ดีเกิดขึ้น ไม่ใช่พ่อเรามาไล่ตีเรา ไม่ใช่พ่อเรามาจับเราเข้าคุก เปล่า ถ้าอย่างนั้น ต้องเรียกว่าเราต้องทำดี แต่นี่ไม่ใช่  ต้องเชื่อฟัง แต่ควรเชื่อฟัง ถ้าไม่เชื่อฟัง ก็เจ็บตัวเอง พ่อไม่ได้ทำอะไรหรอก พ่อก็เสียใจด้วย มานั่งลูบหัวเรา

“น่าสงสารจริงๆ ถ้าเชื่อเรา ก็จะได้ดีนะ”

พ่อไม่ซ้ำเติมเราหรอก ชัดไหม?  เราควรจะเชื่อฟังและทำตามคำสอนของพระเจ้า เพื่อให้เป็นที่พอพระทัย เป็นที่ยินดี สำหรับพ่อเรา พอเราได้ดี พ่อเราก็ดีใจแล้ว ในโรม 12:1 บอกไว้ชัดเจน

“เพื่อเห็นแก่พระเมตตาคุณของพระเจ้าที่ได้ทรงไถ่เรา พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอวิงวอนให้ท่านมีชีวิตอยู่อย่างบริสุทธิ์สะอาด ตามที่พระเจ้าได้จัดเตรียมไว้ให้กับท่านนั่นแหละ บริสุทธิ์สะอาดแล้ว เป็นลูกพระเจ้าแล้ว  เพื่อเป็นการทดแทนพระคุณของพระองค์”

เราไม่ได้ทำสิ่งที่ดีๆ หรือทำความดี เพื่อที่จะได้มาเป็นลูกของพระเจ้า ถ้าอย่างนั้น เราต้องเปลี่ยนโครงการนี้ว่า “ทำดี เพื่อมาเป็นลูกพระเจ้า” ไม่ใช่ เราทำดี เพื่อพ่อของเราเฉยๆ เราไม่ได้กระทำความดี เพื่อจะได้รับสิทธิมาเป็นลูกของพระเจ้า ไม่ใช่ แต่เพราะเราได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราจึงได้สำนึกในพระคุณ ความเมตตาของพระเจ้า และได้รับกำลัง จากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่อยู่ในวิญญาณของเราที่บังเกิดใหม่ ที่ได้รับกำลังแล้ว ที่จะช่วยนำพาเรา ให้กำลังกับเรา จากข้างใน ออกมาข้างนอก ควบคุมข้างนอกให้สามารถดำเนินชีวิต ให้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระเจ้า ตามคำสอนในพระคัมภีร์ได้นั่นเอง (ได้เท่าที่ได้) ไม่ใช่ได้หมด ได้มากขึ้น

เอเฟซัส 2:8-9 ยืนยันตรงนี้ไว้ว่าอย่างนี้ “8 เพราะโดยพระคุณความเมตตา และความโปรดปรานของพระเจ้า ที่ได้นำท่านเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ ท่านทั้งหลายจึงได้รับความรอด พ้นจากการถูกตัดสินลงโทษเนื่องจากบาป และได้รับชีวิตนิรันดร์ผ่านทางความเชื่อ 9 ความรอดนี้ ไม่ได้เป็นผลจากการพยายามทำด้วยตัวท่านเอง แต่เป็นพระคุณของพระเจ้าที่ได้ประทานให้ ไม่ใช่ความรอดโดยการประพฤติ หรือความพยายามที่จะรักษาบทบัญญัติของพระเจ้า เพื่อจะไม่มีใครโอ้อวด และแอบอ้างความดีตัวเอง ในความรอดของตนได้”

 

เพื่อที่จะไม่มีใครโอ้อวดและอ้างว่า “ฉันรอด เพราะว่าฉันทำดี ฉันเป็นคนดี”

หรือบางคนก็อ้างหนักกว่านั้นเลย “คนนี้รอด เพราะฉันไปอธิษฐานให้เขา” ไปกันใหญ่

“คนนี้รอด เพราะว่าฉันทำอะไรให้เขา”

ไม่ใช่ ทุกอย่าง ความรอดเป็นของประทาน มาจากพระเจ้าประทานผ่านทางพระเยซูคริสต์ ที่ได้ทรงตายที่ไม้กางเขน  เพื่อมนุษยชาติทั้งปวง และพระองค์ทรงกระทำเสร็จไปแล้ว 2,000 ปี ใครก็ตามที่ได้รับรู้เรื่องข่าวดีนี้  ความจริงนี้ และยอมรับในข่าวดีนี้ เชื่อในข่าวดีนี้ เขาก็ได้รับสิทธิของเขา ที่พระเจ้าได้ทำให้กับเขา ผ่านทางพระเยซูคริสต์ จึงไม่มีใครสามารถอวดอ้าง หรือแอบอ้างความดีความชอบตรงนี้ได้เลย  ในความรอด จากบาปของมนุษยชาติทั้งปวง เอเมน

กลับมาที่พ่อที่เป็นมนุษย์ธรรมดาอย่างเราในสังคมนี้  ในสังคมโลก พูดถึงพ่อทั่วๆ ไป  พระคัมภีร์สอนอย่างไร สำหรับคนที่เป็นพ่อในการปกครองดูแลลูกของตน สุภาษิต  22:6

สุภาษิต 22:6 “จงฝึกเด็กในทางที่เขาควรจะเดินไป และเมื่อเขาเป็นผู้ใหญ่แล้ว เขาจะ ไม่พราก จากทางนั้น”

 

พระคัมภีร์บอก “จงฝึกเด็กในทางที่เขาควรจะเดินไป”

ฝึกตัวนี้ คือฝึกวินัย  ให้มีวินัย  พระคัมภีร์บอก “จงฝึกวินัยเด็กในทางที่เขาควรจะเดินไป” ควรจะเดินไปทางไหน?  ดูในพระคัมภีร์บอกไว้ พ่อบางคนก็ตั้งหน้าตั้งตาฝึก ฝึกฝน กฎระเบียบทุกอย่างต้องเป๊ะ ต้องปฏิบัติตาม ฟังให้ดีๆ กิริยามารยาททุกอย่าง ต้องเป๊ะ ฝึกจนกระทั่งเครียดไปทั้งบ้านเลย เพราะเขาใช้คำว่า “ต้อง”

ในพระคัมภีร์บอกว่า “จงฝึกเด็กในทางที่เขาควรจะเดินไป” ไม่ได้บอกว่าต้อง และให้เราเลียนแบบพระเจ้า … พระเจ้าไม่เคยบังคับเราเลย ตั้งแต่เราเกิดใหม่ เพราะฉะนั้น พ่อบนโลกใบนี้ รวมทั้งแม่ด้วยนะ เพราะเนื่องจากวันนี้ เทศน์ในวันพ่อ จึงพยายามพูดไปถึงพ่อ จริงๆ รวมทั้งแม่ด้วย 2 คนช่วยกัน มีหน้าที่ดูแลบุตรหลานอยู่แล้ว พระคัมภีร์บอกให้ฝึกฝน ไม่ใช่ครอบงำ ไม่ใช่ข่มขู่ ถ้าครอบงำ ไม่ใช่ความรัก ถ้าข่มขู่ ไม่ใช่ความรัก ต้องเมตตา โอเค พระคัมภีร์จึงมีคำสอนให้คนเป็นพ่อด้วยว่าให้อบรมสั่งสอนบุตร ตามหลักของพระเจ้า เอเฟซัสพระเจ้าเตือนคนที่เป็นพ่อ (เป็นแม่ด้วย) ว่าอย่างไร?

เอเฟซัส 6:4 “ฝ่ายท่านผู้เป็นบิดา (มารดา) อย่ายั่วบุตรของตนให้เกิดโทสะ แต่จงอบรมบุตรด้วยการสั่งสอน และการเตือนสติตามหลักขององค์พระผู้เป็นเจ้า”

 

ทำไมเขาถึงเขียนบิดาอย่างเดียว เพราะสมัยโน้น เขาเรียกว่าวัฒนธรรม ประเพณีของมนุษยชาติ ผู้ชายเป็นช้างเท้าหน้า ผู้ชายจะเป็นผู้นำ เวลาเขาจะนับประชากรของพระเจ้า เขาไม่นับผู้หญิงเลย เขาจะนับผู้ชาย แล้วก็คูณกะประมาณเอาว่ามีกี่คน? คำนวณประชากร ผู้ชายเป็นผู้ให้กำเนิดเผ่าพันธุ์ เพราะฉะนั้น ครอบครัวเขาก็จะนับแต่ผู้ชายๆ ผู้ชายจึงรับผิดชอบสูง แต่มาปัจจุบัน ไม่ใช่แล้ว ต้องร่วมกัน หลังๆ จะเห็นสังคมยอมรับ ในการที่ผู้หญิงจะออกไปทำงานข้างนอกมากขึ้น เมื่อไม่กี่สิบปีนี้ แต่ก่อนนี้ ถ้าผู้หญิงไปทำงานนอกบ้าน จะรู้สึกแปลกๆ ครอบครัวนี้ทารุณมากเลย  เอาเพศแม่ไปทำงานด้วย เขาต้องเลี้ยงลูก เขาต้องทำงานบ้าน เขาต้องทำอะไรต่างๆ ใช่ไหม?

หลักขององค์พระผู้เป็นเจ้า คืออะไร? ซึ่งเราย้ำกันมาตลอดว่าพระเจ้าเป็นความรัก เพราะฉะนั้น หลักการของพระเจ้า ก็คือความรัก และความรัก  คืออดทนนาน กระทำคุณให้ ไม่อิจฉา ไม่หยิ่งผยอง ไม่อวดตัว ไม่เห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว เห็นแก่ผู้อื่น ไม่ยินดีเมื่อกระทำผิด เยอะแยะไปหมด ใน 1 โครินธ์ 13:4 เป็นต้นไป  นั่นเป็นความรัก เราก็รู้กันหมดว่าคืออะไร?  นี่คือหลักการ เห็นไหม? ไม่ใช่เราคิดเอง เราเป็นผู้ปกครอง เป็นพ่อแม่ เราคิดเอง เขาจะต้องเรียนหมอให้ได้ เพราะเราคิดดีแล้ว เป็นหมอนะดีแล้ว ดีที่สุด เกิดมาก็ใส่ความคิด ให้เขาตั้งแต่เด็กเลย เรียนหมอๆ พอครูถาม อยู่อนุบาล 3 ครูถามว่า …

“ความฝันของเด็กๆ เป็นอะไร?”

“เรียนหมอ”

รู้เรื่องไหมถามจริงๆ? ไม่รู้หรอก ฟังพ่อแม่มา อายุกี่ขวบ? อนุบาล 3 ถึง 4 ขวบ เขาจะรู้เหรออนาคต หมอคืออะไร? พ่อแม่ใส่มา ให้ ป.1 ด้วย เขียนเรียงความมา อยากจะเป็นอะไร? อยากเป็นทหาร ถูกหรือไม่ถูก? ใครเป็นคนใส่มา? พ่อแม่ก็ตอบ ฉันไม่รู้นะ ฉันไม่ได้ใส่ คือมาจากพ่อแม่นั่นแหละ อายุตั้งแต่เด็กจนป.1 ใครสมควรเป็นผู้ดูแล แล้วจะบอกว่าเขาเอามาจากทีวี ก็อาจเป็นไปได้นะ แต่ก็เป็นความรับผิดชอบของเราที่ให้เขาดูทีวีมากกว่าดูเรา จนกระทั่ง เขาไปติด มันต้องติดมาจากใครคนหนึ่ง เพราะเด็กขนาดนั้น ไม่มีโอกาสที่จะมานั่งคิดอยากจะเป็นอะไรในอนาคต ใช่ไหม? ถ้าเผื่ออายุมากขึ้นแล้ว อาจจะคิด 15 – 16 ก็ว่าไป อย่างนี้เราจะเห็นภาพ นี่ยกตัวอย่างให้ฟัง เพราะฉะนั้น มันต้องมาจากความรัก

ในพระคัมภีร์จะเห็นว่าคำสอนของพระเจ้าจะควบคู่กันไปตลอด ระหว่างการฝึกฝนกับความรัก นี่คือหลักการของพระเจ้า มันต้องไปด้วยกันเสมอ แต่ความรักมาก่อนนะ เพราะว่าเชื้อของความบาป ที่มันยังอยู่ในชีวิตเก่าๆ ร่างกายเก่าๆ ของเรา ทำให้มนุษย์ทำอะไร มันก็ไม่พอดีไปหมด มันไม่สมดุล

ความไม่สมดุลของเรา ยกตัวอย่างเช่น เรื่องเงินๆ ทองๆ เราอยากได้มากเกินกว่าพอดี เขาเรียกกันว่าโลภ เราอยากได้น้อยเกินกว่าสมควร เรียกว่าขี้เกียจ อย่าให้เขากิน พระคัมภีร์บอก แสดงว่าขี้เกียจ มันต้องพอดี ขยันพอดี แต่ไม่โลภ ขยันได้เงินมา แบ่งปัน ให้ออกไป เขาบอกกันว่ามารไม่ต้องทำอะไรมนุษย์เลย  มารเพียงแต่หลอกมนุษย์ ทำสิ่งเดียว คือทำสิ่งที่ไม่มากไป ก็น้อยไปเท่านั้น เพราะมากไป ก็ตกขอบ น้อยไปก็ตกขอบ มันต้องพอดีๆ เหมือนที่ในหลวง รัชกาลที่ 9 ที่สอนเราในโครงการพอเพียง การพอดีลึกซึ้งในโลกวิญญาณมันเป็นอย่างนี้ มันพอดี ไม่ใช่เฉพาะแค่ที่เรามองเห็น พระองค์ท่านให้เราลึกซึ้งในชีวิตเราว่าต้องพอดีในทุกอย่าง แม้กระทั่งคำพูด ก็อย่าพูดเยอะไป บางครั้งเงียบบ้างก็ได้  แต่ก็ไม่ใช่เงียบตลอด เขาจะถามความเห็น สติปัญญาอะไร ก็เงียบ ไม่พูดสักอย่าง มันไม่ใช่เงียบ แล้วดีตลอด เห็นไหม? ทั้งๆ ที่บางทีก็ต้องเงียบ ถามว่ารู้ได้อย่างไรว่าเมื่อไรจะเงียบ เมื่อไรจะพูด ก็พึ่งพระเจ้า มันก็ต้องฝึกฝนไป หลุดไปบ้าง

“ฉันไม่น่าพูดมากขนาดนั้น วันนี้น่าจะพูดแค่ 2 คำแล้วหยุด พระเจ้าช่วยลูกด้วย สอนลูก ครั้งต่อไปที่ลูกควรจะพูดอะไร”

นี่แหละ ความบาป คือการทำอะไรก็ตามที่มันไม่พอดี ความบริสุทธิ์ของพระเจ้า คือทำอะไรก็ตามที่มันพอดี แค่นั้นเอง มันง่ายนะ

มันมีเหมือนลัทธิหนึ่ง ความเชื่อหนึ่งก็ได้ พระคัมภีร์ใช้คำนี้ว่าเป็นวัตถุเคารพ บางครั้งเราอ่าน เราชอบไปนึกถึงรูปปั้น อะไรต่างๆ แต่จริงๆ มันไม่ใช่ มันเป็นการบูชาความดี เคยได้ยินไหม? ยกย่องความดีจนเกินไป  ก็มีอยู่ในชีวิตของมนุษย์ มีมาตั้งนานแล้ว ทุกวันนี้ก็ยังมี คือบูชาความดี ยกย่องความดีจนเกินไป จนทำให้เกิดความไม่พอดี ยกตัวอย่าง บางครั้งเราบอกบูชาความดี ต้องให้ออกไป เราให้จนเกิน นี่ให้จริงๆ นะ อาการเหมือนตะกี้ที่บอกเลย แต่ไม่ได้ดูกำลังตัวเองว่าควรให้ไหม? ปรากฏให้จนลูกเมียอดอยาก ไม่มีอะไรจะกิน มันเกินไปแล้วไง เข้าใจไหมครับ ผมกำลังจะบอกว่ามันไม่พอดีปุ๊บ มันเป็นการบูชาความดี ซึ่งการให้ออกไป เราให้จริงๆ นะ แต่มันเกินกำลังไปแล้ว เกิดความเดือดร้อนกับผู้อื่น กับสังคม ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวหรืออะไรก็ตาม มันมีโอกาสจะเป็นอย่างนี้จริงๆ

หรือตรงกันข้ามกัน อีกฝ่ายหนึ่งก็บูชาความดีเหมือนกัน คือเหนียวตลอด ไม่ยอมจ่ายเลย บาทหนึ่งก็ไม่ยอมจ่าย คนเดือดร้อนอย่างไร ก็ไม่สนใจ อยู่คนเดียว เป็นเศรษฐีคนเดียว รวยอยู่คนเดียว พอใจแล้ว อย่างนี้เรียกว่าแล้งน้ำใจ เป็นคนไม่มีน้ำใจ เป็นคนเห็นแก่ตัว เห็นไหม มันก็กลายเป็นอย่างนี้ ทั้งๆ ที่มีเยอะแยะ ถ้าฉันจะให้ออกไป ฉันจะต้องหวังว่ามันจะต้องได้อะไรกลับมา ไม่อย่างนั้นฉันไม่ปล่อยแม้แต่เม็ดเดียว ซื้อมังคุดก็ 3 โล 100 เขาจะขายโลละ 30 ก็ 3 โล 100 โอเคซื้อ ทั้งๆ ที่ตัวเองเสียเปรียบ ก็ซื้อ เพราะโลภ คิดในใจกลัวเสียเปรียบๆ นี่ก็น่าเป็นทุกข์ เขาเรียกว่าไม่พอดี

บางคนมีรายได้น้อย แต่ไปใช้จ่ายมากเกินตัว ก็เกิดหนี้สิน เป็นความทุกข์ เป็นความลำบากภายหลัง เรียกว่าไม่พอดี บางคนก็มีรายได้พอเพียง มีพอ แต่ใช้ไม่พอเพียง  คือไม่ยอมใช้เลย กลายเป็นคนขี้เหนียว แล้วก็ไม่มีความสุข เพราะเป็นคนเห็นแก่ตัว ไม่ช่วยเหลือคนอื่นเลย ไม่มีเมตตากับทุกคนเลย รวมทั้งไม่มีเมตตากับตัวเองด้วย คือนึกแต่วัตถุๆ ต้องเก็บทรัพย์สมบัติไว้ ทรัพย์ที่มองไม่เห็น มีราคามากกว่าตั้งเยอะ เช่น สุขภาพร่างกายของตัวเอง มองไม่เห็น สุขภาพของคนในครอบครัว มองไม่เห็น เห็นแต่วัตถุอย่างเดียว คือทรัพย์สินเงินทอง กลายเป็นคนแข็งกระด้าง คนเครียด ทั้งๆ ที่เงินมีไหม? พอเพียงไหม? พอเพียง เห็นไหม? แต่ทำตัวเหมือนคนจน

ฉันใดก็ฉันนั้น วันนี้พูดถึงเรื่องพ่อ การดูแลบุตรหลานของท่านที่เป็นพ่อแม่ ก็เช่นเดียวกัน พ่อบางคน หรือพ่อแม่บางคนก็ฝึกลูกด้วยวินัย ตามถ้อยคำพระเจ้าไหม? ตาม แต่ไม่ตามตรงที่ฝึกวินัย แต่ตรงนี้ฝึกวินัยลูก ไม่พอดี มากจนเกินไป แข็งจนเกินไป กลายเป็นตาต่อตา ฟันต่อฟัน ทุกอย่างต้องตามใจพ่อให้ได้ ถ้าพ่อพูดอย่างนี้ ต้องทำอย่างนี้ให้ได้ ต้องเป็นไปตามความคิดของพ่อเท่านั้น ส่วนพ่อแม่บางราย ก็ไม่มีการฝึกวินัยลูกเลย ปล่อยตามสบาย ลูกอยากจะทำอะไรก็เชิญสนองให้ อยากได้อะไรก็เอาให้ ให้ทุกอย่างตามใจลูกทั้งสิ้น ลูกนอนดิ้นๆ อยู่ที่ลานขายของในซุปเปอร์มาร์เก็ต หรือตามห้าง ซื้อให้ทันที มีตัวอย่างนะ

ถามว่าการดูแลแบบไหนจะทำให้เกิดปัญหากับลูก? มีปัญหาทั้งสองทาง คือไม่พอดี คือไม่เบาไป ก็หนักไป ก็คือไม่พอเพียง ไม่สมดุล มันต้องอยู่ตรงกลาง มันต้องพอเพียง ต้องมีสมดุล ถึงจะดีที่สุด การฝึกวินัย ต้องฝึกด้วยความรัก อย่างที่ผมบอก ความรักกับการฝึกวินัย ต้องอยู่ควบคู่กันเสมอ ไม่เอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง จริงๆ ตรงนี้เอามาใช้ได้ในชีวิตของเราทั้งหมด ไม่ใช่ฝึกเด็กอย่างเดียว ฝึกตัวเองด้วย  ไม่เอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง เอาแต่ฝึกวินัยอย่างเดียว ก็กลายเป็นตาต่อตา ฟันต่อฟัน จะเอาให้ตายให้ได้ หรือใช้แต่ความรักลูกเดียว ก็ปล่อยปละละเลย  ทำให้ลูกเสียคน เหมือนคำพูดที่บอกว่าพ่อแม่ไม่สั่งสอน ในภาษาสำนวนไทยพูดคำนี้มา แสบมาก เจ็บไปทั้งตระกูลเลย เพราะฉะนั้นต้องทำอย่างไร? ก็คือต้องทำให้มันสมดุล

ผมพยายามนึกหาคำที่จะอธิบายความหมายของการฝึกวินัยควบคู่ไปกับความรัก พยายามหา แล้วก็นึกถึงละครไทย ทำไมชอบดูละคร ผมไม่ได้ดูนะปกติ ไม่เคยดูเลย แต่มันก็เข้ามาในหัว แสดงว่ามันฮิตมาก ผมก็ไปนึกถึงละครไทย ซึ่งมักจะมีบทนี้ ซึ่งคนติดกันงอมแงม ตบจูบๆ เคยได้ยินไหม?  ผมมานั่งคิด มันก็จริงๆ นะ การลงวินัย ฝึกวินัยเด็ก ไม่ว่าจะลงโทษด้วยวิธีใดก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นการตี กักบริเวณ ตัดค่าขนม จะต้องควบคู่ไปกับความรักด้วยเสมอ แรงจูงใจในการที่จะสอนด้วยความรักต่างหาก สำคัญที่สุด ต้องใช้เวลา ใช้ความอดทน

ผมจึงนึกภาพขึ้นได้ ฉะนั้น ความรักสำคัญกว่าคำว่าวินัยด้วยซ้ำไป ถูกไหม? วินัยอย่างเดียวไปไม่รอด ความรักอย่างเดียวไปรอด ผมนึกถึงภาพแซนวิท มีขนมปังก่อน แล้วก็วางด้วยผัก ด้วยเนื้อตรงกลาง แล้วก็ประกบด้วยขนมปังอีกแผ่นหนึ่ง การฝึกเด็กแบบแซนวิท คือตรงกลาง มันไม่ใช่เนื้อ ไม่ใช่ผัก แต่มันเป็นพริกเผ็ดๆ หรือผักอะไรก็ตามที่ขมมากๆ ทั้งเผ็ดทั้งขมอยู่ตรงกลางเลย  และขนมปังที่อยู่ข้างบนกับข้างล่าง ก็คือความรักนั่นเอง

เริ่มต้นด้วยความรัก ตามด้วยฝึกวินัย ลงวินัย และตามด้วยความรัก ก็จะเป็นความรัก วินัย ความรัก ให้นึกภาพแซนวิทไว้

เพราะว่าถ้าทำเช่นนี้แล้ว ผู้ที่ถูกฝึกวินัย หมายถึงลูกของเรา ก็จะเจริญเติบโตไปในทางที่เป็นความรักทั้งสิ้น เพราะการลงวินัยหรือการถูกลงโทษนั้น มันเต็มไปด้วยข้างบนและข้างล่างที่เป็นความรักอย่างแท้จริง เขาจะหนีไปไหนไม่ได้เลย ประกบไปได้เลย ไปไหนไปด้วยกัน

และอันนี้ มันก็ไม่ใช่สำหรับการดูแลเด็กได้เท่านั้น มันดูแลอย่างอื่นได้ด้วย สามารถใช้ได้ทั้งหมดเลย ไม่ว่าจะเป็นพนักงานในองค์กร สมมติเราเป็นผู้ใหญ่ เป็นคนดูแล หรือข้าราชการ โรงเรียน แม้กระทั่งคริสตจักรก็ตาม ฟังอีกที แม้กระทั่งคริสตจักรก็ตาม บางคนบอกอุตส่าห์มาโบสถ์ นึกว่าสบายๆ ทำไมระเบียบเยอะจัง ต้องมีระเบียบไหม? อาจารย์ต่างๆ ศิษยาภิบาล ผู้ที่ดูแลระเบียบเหล่านี้ เขาดูแลระเบียบด้วยความรัก … รักเริ่มต้น ติเตียนท่าน แล้วเต็มไปด้วยความรักท่าน

เข้ามาถึง เขาอธิษฐานให้ท่านแล้ว ดูแลท่านด้วยความรัก อาจารย์วราพรทำกับข้าวให้อร่อยๆ เขาเรียกว่าขนมปัง มาเจอผม ผมก็โอเค ดีนะ โอ๋ให้กำลังใจ ไปเจอคนที่เขามีหน้าที่พระเจ้าเตรียมเขามาดูแลระเบียบ เขาก็จัดการตามระเบียบ เพราะฉะนั้น ท่านต้องดีใจ นี่เป็นขบวนการของการเจริญเติบโต ขบวนการของการทำสิ่งที่ดีให้พ่อเรายินดี เอเมน มันต้องมีระเบียบ ไม่อย่างนั้น เราก็ไม่โต

ถ้าพ่อแม่ใช้วิธีการดูแลลูกหลานตามหลักการที่ผมบอกวันนี้ ลูกหลานก็จะเจริญเติบโตขึ้น เป็นคนดีของสังคม มีวินัย ไม่สร้างปัญหาให้กับสังคม เพราะเขารู้ว่าเขาถูกฝึกมา และถ้าสังคมทุกสถาบัน ทุกองค์กร ใช้ระบบการดูแล การบริหารด้วยวิธีการแบบนี้ สังคมก็จะอยู่รอด ไม่มีปัญหา

เวลาลงวินัย มันลงได้หลายวิธี สมมติว่าลูกเกเรวันนี้ โดดเรียน อันนี้ไม่ดีแน่นอน ท่านเรียกลูกมา ท่านจะพูดอะไรกับเขาก่อน ที่ตามพระคัมภีร์ เอาง่ายๆ ท่านก็เข้าไปกอดเขา

“วันนี้พ่อรักลูกมากนะ”

ทำได้ไหม? ผมจะบอก ทำไม่ได้หรอก ถ้าท่านไม่ฝึก เพราะท่านกำลังโมโห ตะกี้นี้ ครูผู้ปกครองโทรมาหยกๆ มันหนีเรียน พอเขาเดินเข้ามาปุ๊บ ท่านบอก …

“พ่อรักลูก”

ทำไม่ได้ แต่มันทำได้ ถ้าท่านฝึก พระวิญญาณจะช่วยท่าน เอเมน อธิษฐานก่อน พระเจ้าช่วยลูกด้วย จดเป็นสคริปไว้เลย พอมาถึงกอดทีหนึ่งก่อน เรามาอธิษฐานกันก่อนนะ ต่อไปนี้ ถ้าท่านทำอย่างนี้บ่อยๆ ลูกหนาวเลย  วันหลังพอลูกมาถึง ขอกอดหน่อย พ่อจะกอดเหรอ มีอะไรอีกวันนี้ ท่านเสียว แต่วันนี้ไม่มีอะไร? กอดฟรีๆ วันนี้มีแต่ขนมปังอย่างเดียว ท่านก็กอดเขา อย่างที่บอก ถ้าทำไม่ได้ ก็อธิษฐานด้วยกัน สั้นๆ ท่านสงบแล้ว สมาธิเกิด ปัญญามาทันที พระวิญญาณบริสุทธิ์ทำงานได้ทันที ท่านจะรู้ว่าควรจะพูดอะไร ในสิ่งที่เขาทำผิดพลาดไป ด้วยความรัก ท่านก็พูดไปตามที่เขียนไว้

“ตะกี้นี้อาจารย์ปกครองที่โรงเรียนโทรมานะ”

ก็เล่าให้เขาฟัง คราวนี้ก็ว่าไปเรื่อย สมมติจะต้องมีการลงวินัย

“ค่าขนมที่เคยให้ไว้ อาทิตย์ละ 200 พ่ออยากจะฝึกวินัยตามถ้อยคำพระเจ้า พ่อก็ไม่อยากทำหรอก แต่ทำเพื่อตัวเราเอง มันต้องลำบากหน่อยนะ เพราะฉะนั้น ตัดเหลือ 100 บาท เข้าใจนะ”

ลูกก็เข้าใจแล้ว ความรักมาแล้ว จบสุดท้าย

“โอเคนะ  จากนี้ต่อไป สัก 4 อาทิตย์ เอาเป็นอาทิตย์ละ 100 พอ”

ฝึกฝนตัวเองใหม่ จบเข้าไป กอดอีกทีหนึ่ง แล้วก็อธิษฐานกัน

แล้วมีอะไรอีกล่ะ เอาแรงกว่านั้น ขโมยเงิน เขาอยากได้ของมาก ขโมยเงินพ่อไปซื้อของมา จับได้ ท่านก็เรียกเขาไปหา ถ้ายังกอดเขาไม่ได้ อธิษฐานก่อนก็ได้ บางทีมันกอดไม่ลงจริงๆ มันโมโหไง คนที่เคยเข้าไปอยู่ในช่วงเวลาอย่างนั้น จะรู้ดีว่าเวลาตอนนั้น มันไม่ง่ายอย่างนี้ เวลาบอกในโบสถ์ สอนอย่างนี้ มันง่ายนะ บอกให้ท่านอธิษฐานให้เขา อภัยให้คนที่ทำร้ายเรา อภัยให้คนที่รังแกเรา ละเมิดสิทธิ์เรา พูดนะง่าย  แต่พอมาทำจริงๆ ไม่อยากจะอธิษฐาน อธิษฐานยังไม่ออกเลย  อย่าว่าแต่ไปเจอหน้าแล้วเข้าไปกอดเขา มันไม่ไหว ก็เท่าที่ทำได้ แล้วรอไว้ก่อน

ในทำนองเดียวกัน ท่านอาจจะทำไม่ได้ ท่านได้แต่คิด มาอธิษฐานกัน ข้างในมันยังกับไฟแล้ว พอท่านอธิษฐาน มันก็จะสงบลง ท่านก็จะลงวินัยเขา ไม่ลงวินัยไม่ได้นะ จำไว้ ขาดไม่ได้ ตอนนี้เราเน้นถึงขนมปัง แต่ข้างในตรงกลาง ขาดไม่ได้ คือพริกเผ็ดๆ อะไรที่ขมๆ มีไว้เสมอ ไม่อย่างนั้นมันไม่เป็นแซนวิท ตรงกลาง คือการฝึกวินัย ฝึกให้ถูกลงโทษบ้าง ด้วยความรัก อันนี้มันแรงขึ้น  เที่ยวนี้ต้องตีแล้วนะ

ไม้เรียวจะทำให้เขาโต ทำให้เขาเป็นคนดี พ่อต้องตี แม่ต้องตี ด้วยความรัก

“เอาสักกี่ทีดี 3 ทีดีไหม?”

เปิดโอกาสให้ท่านได้คุย เสร็จปุ๊บ โอเค หันก้นมา

“เอ๊ะ ใส่กางเกง 2 ชั้นมาเนี้ย  ไหนดูสิกางเกง อ้าว! ใส่สองชั้นมา”

คราวนี้ ถอดกางเกงหมดเลย  หนักกว่าเก่า อย่างนี้เป็นต้น เพื่อจะฝึกเขา ในพระคัมภีร์บอกไว้ว่าให้ลงวินัยด้วยไม้เรียว ไม้เรียวตีเจ็บแป๊บเดียว มันหายไปแล้ว บางคนบอกไม่ตีลูก เพราะว่าเรามีความรักเขา ไม่กล้าตี ไม่ใช่ เราไม่รัก ถ้าเรารัก เรากล้าทำ ถึงแม้เราจะเจ็บ เราก็ทำ เพราะเรารู้ว่าเราทำสิ่งดี

ยกตัวอย่างให้ท่านฟัง ตีเลย  ให้เขาเจ็บจริงๆ ให้มันขม ให้มันเผ็ด แล้วสุดท้ายก็ตามด้วยความรัก ก็คือขนมปังอีกชิ้นหนึ่งมาประกบท้าย อธิษฐานด้วยกัน กอดกัน ร้องไห้ด้วยกัน เขาก็ร้อง เราก็ร้อง เขาก็ซึ้ง เราก็ซึ้ง นี่แหละจะอยู่กับเขาไปตลอด ไม่ว่าเขาจะไปไหน? ท่านก็อยู่ด้วย  ต่อให้ท่านไม่อยู่แล้ว ท่านตายไปแล้ว เขาจะไปไหน? ท่านก็อยู่กับเขาด้วย  เอเมน

พระเจ้าเราก็จะทำอย่างนี้แหละ นี่คือตัวอย่างเอามาใช้ในชีวิตของผู้เป็นพ่อแม่ ที่เป็นมนุษย์ พระเจ้าดูแลลูกของพระองค์ อย่างนี้เหมือนกัน เราทั้งหลายเป็นลูกของพระองค์ ในพระคัมภีร์ พระเจ้าบอกไว้ในหนังสือ 1 ยอห์น 3:1 “ดูเถิด ความรักของพระเจ้ามีให้กับเรามากล้นเพียงใด ที่พระองค์ทรงให้เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว”

มากเหลือเกิน ถ้าเราเข้าใจตรงนี้แล้ว เพราะเราเป็นลูกของพระเจ้า พระเจ้าก็จะดูแลเราอย่างดี แต่มันไม่เหมือนกันตรงไหน? ฟังให้ดีๆ นะ มันไม่เหมือนกันตรงที่พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้า เข้าใจไหม?  พระเจ้าทำแซนวิทกับเราง่าย เพราะพระองค์เป็นพระเจ้าแห่งความรัก เราจะไปทำแซนวิทกับลูกเรา บางครั้งเราก็ผิด เราก็พลาด เพราะว่าเราไม่ใช่พระเจ้า เราเป็นมนุษย์ ที่มีเชื้อของความบาปอยู่ในร่างกายนี้ เรายังมีความคิดเดิมๆ อยู่ บางครั้ง ก็สู้มันไม่ได้ อดไม่ได้ หลุดออกมาบ้าง ก็แค่นั่นเอง แต่พระเจ้าไม่มีหลุดเลย พระเจ้าเป็นความรัก พระเจ้าก็ดูแลลูกของพระองค์ เป็นความรัก ไม่ใช่ตาต่อตา ฟันต่อฟัน แต่ว่าในสมัยพระคัมภีร์เดิม พระเจ้าจำเป็นต้องดิวกับมนุษย์ คือติดต่อกับมนุษย์ ในฐานะที่ไม่ใช่ลูกพระเจ้า เป็นประชากรของพระเจ้านิดหน่อย พวกอิสราเอลที่พระเจ้าเลือกไว้ ยังไม่เป็นลูกของพระเจ้า ทั้งหมด ทั้งโลกนี้ ก่อนพระเยซูจะมาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตชำระบาปให้กับมนุษย์ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ก่อนหน้านั้น ทั้งหมด มนุษย์ทั้งปวงไม่ได้เป็นลูกพระเจ้า แต่เป็นศัตรูกับพระเจ้า ต่อต้านพระเจ้า ในพระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น

ในหนังสือเอเฟซัส บทที่ 2 บอกว่า … “เพราะฉะนั้น เมื่อก่อนนี้ ท่านเป็นอย่างนั้น สมควรอยู่ในพระพิโรธของพระเจ้า สมควรถูกลงโทษ”

และพระเจ้าก็ดิวกับมนุษย์ คือตาต่อตา ฟันต่อฟัน เพราะจะช่วยเขาไง เพียงแต่รอแผนการว่าทำทุกอย่างตามพระประสงค์ของพระองค์ เพื่อช่วยมนุษย์ให้รอดพ้น เพื่อให้พระเยซูได้มาเกิดเป็นมนุษย์ ในครอบครัวของแมรี่ และตายที่ไม้กางเขนได้ เพื่อชำระบาปให้กับมนุษย์ทั้งปวง เพื่อจะพามนุษย์กลับคืนมาใหม่ มาเป็นลูกของพระเจ้า และพระองค์จะได้ติดต่อเขา ดูแลเขา ด้วยพระคุณความรัก ไม่ใช่ตาต่อตา ฟันต่อฟันอีกต่อไป แต่เป็นความรัก พระองค์จะได้ทำแซนวิทให้เขาได้ เอเมน

1 ยอห์น 3:1 “ดูเถิด ความรักที่พระบิดาทรงมีต่อเราทั้งหลายนั้น ใหญ่หลวงปานใด ในการที่เราได้ชื่อว่าบุตรของพระเจ้า! และเราก็เป็นเช่นนั้น! เหตุที่โลกไม่รู้จักเรา ก็เพราะโลกไม่รู้จักพระองค์”

 

ดูเถิด ความรักของพระบิดาทรงมีต่อเรา ใหญ่หลวงขนาดไหน? ที่เรียกเราว่าเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เมื่อเราเป็นลูกของพระเจ้า พระเจ้าก็จะดูแลเราอย่างนี้ ท่านไม่ต้องกลัวแล้ว เพราะชีวิตท่านที่อยู่บนโลกใบนี้ ตอนนี้ ที่ผมยกตัวอย่างเมื่อสักครู่นี้ เรื่องแซนวิท พระเจ้าก็ใช้วิธีนี้กับท่านเหมือนกัน พระเจ้าพูดในหนังสือโรม บทที่ 8 บอกว่าพระเยซู พระบุตรของพระเจ้า หรือผู้ซึ่งมาตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตชำระบาปกับท่าน ทุกวันนี้ยังอธิษฐานให้กับท่าน อยู่ในสวรรค์นั้น จะเป็นผู้ลงโทษท่านเหรอ ตี เฆี่ยนท่านเหรอ

“ไม่มีอีกแล้ว ไม่มีความรัก หรือความเกลียดชัง ฤทธิ์เดชอำนาจใด? วิญญาณตัวไหน? เอาพวกเธอออกไปจากมือฉันได้อีกแล้ว ออกไปจากแซนวิทนี้อีกแล้ว เพราะฉันรักเธออย่างสุดหัวใจ”

ไม่มีใครที่อยู่ในพระคริสต์ ที่พระเจ้าบอกว่าจะรักเขามากขึ้น  ไม่มีทาง เพราะว่ามันรักสุดไปแล้ว ที่พระเยซูตายที่ไม้กางเขน แล้วท่านมารับเชื่อในความรักไปเท่านั้นเอง มันรักสุดไปแล้ว ไม่สามารถที่จะรักท่านมากขึ้นกว่านี้ได้อีกแล้ว

เพราะฉะนั้น ชีวิตท่านจงสบายใจ อบอุ่น หายเหนื่อยและเป็นสุขอยู่ในความรักนี้ บนก็ความรัก ล่างก็ความรัก แล้วตรงกลางล่ะ ตรงกลาง คือการฝึกวินัยแบบพระเจ้า ฝึกวินัยอย่างพระเจ้า อย่างที่บอกพระองค์ก็จะทรงนำเราไป ปล่อยเรา ไม่ได้ตีเราหรอก ถ้าเราทำผิดจากที่พระเจ้าสอนไว้ มันก็โดนลงโทษเอง ไม่ต้องทำอะไร พระเยซูคริสต์บอกว่าพระองค์มาไม่ใช่เพื่อลงโทษมนุษย์ แต่พระองค์มาบังเกิด เพื่อจะช่วยมนุษย์ให้รอด ถ้าใครไม่เชื่อ ก็โดนลงโทษอยู่แล้ว ไม่ใช่พระองค์ไปลงโทษเขา ถ้าท่านทำไม่ดี ทำไม่เป็นไปตามที่พระเจ้าสอนในพระคัมภีร์ ท่านก็จะเก็บเกี่ยวผลของความไม่ดีไปเอง พระเจ้าไม่ต้องทำอะไรท่านเลย  พระเจ้าทำตรงกันข้ามด้วยซ้ำ ไปปลอบโยนท่าน

“ลูกอดทนหน่อยนะ ลูกก็ต้องฝึกทำให้มันดีหน่อยสิ อดทนกว่านี้ได้ไหม? ฝึกฝนมากขึ้น  พ่อบอกอย่าทำ ลูกก็อย่าทำนะ  อย่าก้าวเข้าไปในการทดลอง พยายามนะ”

ลูบหัวเรา ในปัจจุบัน มันจะเป็นอย่างนี้ ท่านจะเห็นภาพชัดเจน วันนี้ผมเอาความรักของพระเจ้า  มาเทียบกับความรักของมนุษย์ และมาเทียบกับการสั่งสอน ฝึกวินัยของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์ และฝึกวินัยแบบมนุษย์ ที่อยู่ในความบาป แม้จะได้รับความรอด โดยวิญญาณแล้วก็ตาม แต่การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เนื้อหนังนี้ ยังมีเชื้อของความบาปอยู่ ผมเอามาให้ท่านเปรียบเทียบกันว่าเราควรทำอย่างไร? ถ้าเราเป็นพ่อ เป็นแม่ เราควรปฏิบัติตัวอย่างไรต่อคนที่เรารัก  คือลูกของเรา  และเราควรทำอย่างไรในฐานะที่เราเป็นลูกของพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ ทุกคนเป็นลูกของพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ ผู้ที่เกิดใหม่ในพระเยซู เราสมควรทำอย่างไร? ให้พระองค์ยินดี  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

**************************

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 26 พฤศจิกายน 2017 เรื่อง “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท” ตอน 7 “สองอาณาจักรแห่งโลกวิญญาณ” ตอน 4 “มรดกของผู้เชื่อในพระเยซู” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  26  พฤศจิกายน  2017

 เรื่อง “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท”

ตอน 7 “สองอาณาจักรแห่งโลกวิญญาณ” ตอน 4

“มรดกของผู้เชื่อในพระเยซู”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

เรายังอยู่ในซีรี่ย์ชุด “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท” ตอนที่ 7 “สองอาณาจักรแห่งโลกวิญญาณ” ตอน 4  ซึ่งมีเก้าอี้ 2 ตัวนี้อยู่เหมือนเดิม แต่วันนี้จะเน้นนิดหนึ่ง คือ “สองอาณาจักรแห่งโลกวิญญาณ” เรื่องมรดกของผู้เชื่อในพระเยซู

เรามาสรุปกันก่อนว่าความหมายและความแตกต่างของ 2 อาณาจักรจากโลกวิญญาณ ที่เราได้เรียนกันมา 6 ตอนแล้วเป็นอย่างไรบ้าง?

สองอาณาจักรแห่งโลกวิญญาณ ก็คือโลกวิญญาณที่ซ้อนอยู่บนโลกวัตถุ บนโลกใบนี้ ในพระคัมภีร์บอกว่ามี 2 อาณาจักร … อาณาจักรแรกที่เห็นทางซ้ายมือของท่านนั้น จะเป็นแบบสว่างหน่อย ทางขวามือมืดหน่อย จริงๆ ไม่เห็นด้วยตาเนื้อของเรา แต่พระเจ้าบอกจงมองให้เห็นเถิด

ชีวิตในฝ่ายวิญญาณของผู้ที่เชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ ตัวจริงของเขาได้อาศัยอยู่ในครอบครัวพระคริสต์นี้ทันที เขาจะดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะทำอะไรผิดก็ตาม ก็ยังนับว่าเป็นถูกเสมอ นี่พระคัมภีร์เขียนไว้อย่างนั้น  ไม่ว่าทำผิดอะไรแค่ไหน? ก็ยังถูก เพราะว่าแกนมันถูก พระเยซูบอกว่าต้นไม้ดี ก็จะให้ผลที่ดี ต้นไม้เลว ก็จะให้ผลที่เลว มันไม่ได้อยู่ที่ผล แต่มันอยู่ที่ต้นตอ

มาอีกอันหนึ่ง ทางขวามือของท่าน ก็คือมืดๆ พระคัมภีร์ให้ชื่อว่า “ครอบครัวของอาดัม” ใครที่อยู่ในอาดัม ก็คือใครที่ไม่ได้อยู่ในพระคริสต์ เพราะมันมีอยู่ 2 อันเท่านั้นเอง จะบอกว่า …

“ฉันอยู่ตรงกลาง”

พระคัมภีร์บอกไม่มี มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ต้องอยู่ที่ใดที่หนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นมืดหรือสว่าง ในครอบครัวอาดัมหรือในครอบครัวพระคริสต์

ใครอยู่ในครอบครัวอาดัม คนนั้นมีสถานะ ในพระคัมภีร์เรียกว่าคนอธรรมนิรันดร์ ก็คือผู้มีบาป ต้องชดใช้บาปเวรกรรมของเขาไปนิรันดร์ ซึ่งตรงกันข้ามกับแสงสว่าง คนที่มาอยู่ในพระคริสต์ เรียกว่าคนชอบธรรม

เพราะฉะนั้น ใครอยู่ในอาดัม พระคัมภีร์บอกว่าเขาเป็นคนอธรรมนิรันดร์ อธรรม คือยังคงมีบาป ต้องชดใช้บาปเวรกรรมของเขาไปนิรันดร์ และคนที่วิญญาณอยู่ในอาดัม เขาดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  ทำถูก ทำดีแค่ไหน ก็ยังผิด นี่พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น เพราะว่าแกนมันผิด ไส้ในผิด เพราะว่าเป็นต้นไม้เลวแล้ว มันออกลูกอะไรมา มันก็ผิดทั้งนั้น เป็นต้นไม้ที่ออกผลมาเป็นเลวหมด นี่คือพระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น

สรุปแล้ว 6 สัปดาห์เรียนมาได้แค่นี้ พระเยซูจึงบอกว่าต้นไม้ดี ต้องให้ผลดี ต้นไม้เลว ก็ให้ผลเลว แล้วเราจะรู้ได้อย่างไร?  แสดงว่าต้นไม้ดีหรือเลว ก็ต้องมองไปที่โลกวิญญาณ เพราะโลกวิญญาณ คือแกนของมนุษย์ทั้งปวง วิญญาณจะอยู่ตลอดไปนิรันดร์ แต่เนื้อหนังร่างกายที่เราเห็นอยู่นี้ มันอยู่แค่ชั่วคราว เพราะฉะนั้น วิญญาณของมนุษย์นั้น สำคัญมากที่สุด  แต่ว่าพอเรามาคุย เรื่องความจริงแบบนี้ เนื้อหนัง คือความคิดของมนุษย์ ความเคยชินในความคิดของมนุษย์ ที่ไม่ใช่ถ้อยคำของพระเจ้า บางครั้งถ้อยคำของพระเจ้า มันตรงกับความคิดของมนุษย์ก็มี แต่หลายครั้ง ความคิดของมนุษย์ สติปัญญาของมนุษย์ ไม่สามารถจะเข้าใจโลกวิญญาณได้ พอพูดอย่างนี้ปุ๊บ เนื้อหนัง ความคิด สติปัญญาของมนุษย์ มันก็เริ่มทำงานแล้ว มันเริ่มต่อต้าน พอเริ่มรู้ความจริงว่าพอเราได้มานั่งเก้าอี้ตัวนี้ปุ๊บ พอเรารู้ความจริงว่าเราเกิดมา ก็อยู่ในอาดัม

พระคัมภีร์บอกมนุษย์ ตั้งแต่เกิดก็อยู่ในอาดัมแล้ว เพราะว่ามันได้พรีโปรแกรมแล้ว ยกตัวอย่างลูกของผม ก็อยู่ในตัวผม ตั้งแต่เกิดแล้ว DNA ของผม ก็ถ่ายทอดไปที่เขา ในทำนองเดียวกัน ไล่ไปเรื่อยๆ จนถึงสุด มนุษย์ทั้งปวง ก็มาจากอาดัม นี่พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น บรรพบุรุษของมนุษย์ คืออาดัม เพราะเราเกิดมาก็อยู่ในอาดัม … อาดัมบาป เราก็บาป อาดัม DNA ในวิญญาณเขาบาป เราก็ DNA เป็นบาป แต่พอเรามาเชื่อพระเยซู ที่ได้ไถ่บาป “เชื่อ” คำนี้ แปลว่ายอมรับว่าพระเยซูมาไถ่บาปให้กับผมจริงๆ ผมเชื่อจริงๆ ผมก็รับสิทธิของผม พระเยซูทำให้ผม 2,000 ปีมาแล้ว ผมยังไม่ได้รู้เรื่อง พอผมรู้ ผมจะใช้สิทธิของผมบ้างแล้ว พระเยซูเป็นตัวแทนผม รับบาปของผมไปแล้ว พอผมเชื่อปุ๊บ ทันทีทันใด พระเจ้าก็ให้วิญญาณผมบังเกิดใหม่ มาอยู่อาณาจักรแสงสว่าง ทันทีทันใด ผมก็เป็นลูกของพระเจ้า และผมจะอยู่ที่นี่ตลอดไป พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น

พอคนเราฟังอย่างนี้ มันทำอะไรผิดก็ถูกหมดเลย เพราะเราอยู่ที่ขาวแล้ว คนที่อยู่ที่ดำ ทำอะไรที่ดีๆ ก็ผิดหมดเลย  ทำไมเป็นอย่างนั้น มันรับไม่ได้ใช่ไหม? ก็เลยเกิดความขัดแย้งว่าถ้าอย่างนี้ คนที่อยู่ในแสงสว่างแล้ว สะอาดนิรันดร์แล้ว พ้นจากบาปนิรันดร์ ไปสวรรค์แน่นอนนิรันดร์แล้ว

“อ้าว! อย่างนี้ จากนี้ต่อไป ผมอยู่ที่นี่ ก็จะทำอะไรก็ได้  ผมไปสวรรค์แล้ว ก็จะทำดีไปทำไม ไม่ต้องทำดีแล้ว ไม่ต้องรักตัว สงวนตัว หรือว่าพยายามฝึกฝนประพฤติแต่สิ่งที่ดีๆ ในโลกใบนี้ ก็สบายสิ พระเจ้าสอนให้มนุษย์เป็นคนเลวได้อย่างไร? ผมจะทำอย่างไรก็ได้ เพราะอย่างไรก็ได้รับความรอดอยู่แล้ว จริงหรือไม่จริง”

จริงในทางความคิดและสติปัญญาของมนุษย์อันน้อยนิด ทุกคนก็จะคิดอย่างนี้

พระคัมภีร์สอนให้เรามีความรัก มีความเมตตา กระทำดีกับผู้อื่น ไม่โลภ พระเยซูบอกว่าจงอย่าโลภ สอนให้เราไม่อิจฉา สอนให้เราเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่เย่อหยิ่งจองหอง และสอนเราในเรื่องผลของพระวิญญาณ 9 อย่าง ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีทั้งนั้นเลย แต่ฟังให้ดีๆ พระคัมภีร์ไม่ได้สอนให้เราทำดี ละเว้นการกระทำชั่ว เพื่อที่จะได้รับความรอดจากบาป ที่ติดมาจากอาดัมที่เป็นเชื้อบาป เพื่อที่เราจะย้ายออกจากอาณาจักรของความมืดมาสู่ความสว่าง เพราะว่าไม่มีใครทำได้ดีพร้อมตามที่กฎเกณฑ์พระเจ้าได้วางเอาไว้ คือทำได้ครบถ้วนบริบูรณ์ ไม่มีเลย พระเจ้าจึงได้ส่งพระเยซูมาเป็นตัวแทนให้กับมนุษย์ ทำแทนเรา เพราะฉะนั้น การจะได้รับสิ่งเหล่านี้ จะได้รับจากพระเยซูเท่านั้น

แต่พระคัมภีร์บอกว่าเมื่อเราได้รับความรัก ความเมตตาจากพระเจ้า โดยการเชื่อในพระเยซูคริสต์ ที่มาไถ่บาปให้กับเรา พอเราได้รับความรัก ความเมตตาจากพระเจ้าอย่างนี้แล้ว พระคัมภีร์สอนเราอย่างนี้ว่าเราก็ควร หรือสมควรที่จะเป็นลูกที่เชื่อฟัง ทำตามคำสอน เพื่อให้เป็นที่พอใจ หรือสบายใจของพ่อเรา  คือพระเจ้า ทดแทนพระคุณ ความรักของพ่อเรา พระคัมภีร์บอกว่าเรา ผู้ที่เชื่อในพระเยซู ที่ย้ายไปอยู่ ที่เก้าอี้พระเยซูคริสต์แล้ว สะอาดหมดจดแล้ว อยู่ในสวรรค์นิรันดร์แล้ว เราไม่ได้ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ตั้งใจจะทำความดี เพื่อที่จะได้มาเป็นลูกของพระเจ้า หรือเพื่อที่จะเข้ามาอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่าง เพราะเราได้อยู่ที่นั่นแล้ว แต่เพราะเราได้เป็นลูกแล้ว เราจึงสำนึกในพระคุณ ความเมตตาของพระเจ้า ที่เป็นผู้พาเราไปตรงนั้น เราสะอาดแล้ว เราจึงไม่อยากทำสิ่งสกปรกแล้ว

วิญญาณของมนุษย์ทั้งปวงที่เชื่อเป็นอย่างนี้ นี่คือความจริง เราได้รับกำลังจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่กับเรา  ที่จะช่วยนำพาเรา ให้ดำเนินชีวิตตามแผนการที่พระเจ้าวางไว้สำหรับเรา ตามคำสอนของพระองค์ที่บอกไว้ในพระคัมภีร์ว่าให้ทำอะไร? พระวิญญาณก็จะพาเราไปทำสิ่งเหล่านั้น  พระคัมภีร์จึงใช้คำว่า “ผลแห่งพระวิญญาณ” เพราะว่าไม่ใช่กำลังของเราเอง แต่ผลแห่งการบังเกิดใหม่ของวิญญาณตัวจริงๆ ของเรา  เป็นลูกของพระเจ้าที่บริสุทธิ์ สะอาดแล้ว ย้ายมาตรงนี้ พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็อยู่กับเรา พระเจ้าก็อยู่กับเรา  วิญญาณเราก็สะอาดหมดจดแล้ว ไม่อยากจะทำอะไรที่เสื่อมเสีย สกปรกหรอก มันเป็นอย่างนี้

นี่คือความจริง ในพระคัมภีร์ที่เกี่ยวกับเรื่องโลกวิญญาณ เราไม่ได้ทำความดีหรือละเว้นความชั่ว เพราะความกลัวอีกต่อไป แต่ก่อนนี้ เราพยายามทำดี เพราะเรากลัวจะถูกลงโทษ เรากลัวจะตกนรก เราจึงไม่กล้าทำ แต่เดี๋ยวนี้ เราไปสวรรค์แน่นอน แต่เราทำ เพราะเรารักพ่อของเรา และทำเพราะเนเจอร์หรือธรรมชาติ ตัวจริงๆ ของเราเป็นบริสุทธิ์เหมือนพ่อเรา

เคยได้ยินเรื่องธรรมชาตินี้ไหม? เขาเอาหมู ทำให้สะอาดเลย โกนขน ชมพู เป็นเบ๊บเลยนะ แล้วก็ผูกคอด้วย ใส่กระดิ่ง เหมือนสุนัขคล้องเชือก เดินไปด้วยกัน ในห้างสรรพสินค้า คนก็มอง น่ารักมากเลย สักพักเราก็อุ้มมันขึ้นรถ พอกลับมาบ้าน เราก็ปลดโซ่ออก พอปลดออก มันวิ่งไปหาโคลนนอกบ้านทันที เพราะว่าธรรมชาติมันเป็นเช่นนั้นเอง แต่เราบังเกิดใหม่แล้ว ธรรมชาติในวิญญาณของเรา เหมือนพระเจ้าแล้ว วิญญาณเราเป็นลูกพระเจ้า สะอาดหมดจดแล้ว มันก็จะไม่วิ่งไปหาสิ่งสกปรก ถ้ามันไปเจอสิ่งสกปรก มันจะรีบวิ่งไปห้องน้ำ ไปขัดมันออก เพราะว่าธรรมชาติต้องการความสะอาด ตรงกันข้ามกับหมู ท่านเห็นภาพไหม? ของเราสะอาดหมดจดแล้ว มันก็จะวิ่งไปหาความสะอาด เพราะวิญญาณมันสะอาด อย่างไรก็วิ่งไปหาความสะอาด แต่ถ้าข้างในสกปรก เดี๋ยวมันก็ทนไม่ไหว ไปหาโคลน ตามธรรมชาติที่เป็นอยู่

อีกอันหนึ่ง ก็คือที่เราทำสิ่งที่ดีงาม ละเว้นความชั่ว เพราะว่าเรามั่นใจว่าอาณาจักรแห่งความสว่าง อาณาจักรสวรรค์ เป็นที่อยู่ถาวรนิรันดร์ของเราแล้ว เราอยู่ที่นี่ ไม่มีใครเอาเราออกไปจากที่นี่ได้อีกแล้ว ในหนังสือโรม 8 ข้อท้ายๆ พระคัมภีร์บอกว่าไม่มีฤทธิ์อำนาจใหญ่ขนาดไหน? ใคร? หรือทูตสวรรค์ หรืออะไรก็ตามที่จะมาเอาเราออกไปจากความรักของพระเจ้า ที่มีในพระเยซูคริสต์ เพื่อเราทั้งหลายอีกแล้ว อยู่ในกำมือพระเจ้าแล้ว ไม่มีใครเอาออกไปแล้ว พระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก  ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย  ผู้ทรงฤทธานุภาพอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด ผู้ทรงกระทำสิ่งสารพัด ไม่มีผู้ใด หรือสิ่งใดขัดขวางได้  พอไหม? พระเจ้ารับประกันขนาดนี้  พอแล้ว ท่านก็จะได้เดินอย่างสบาย แล้วก็ตั้งใจที่จะทำสิ่งที่ดี เพราะว่าเราสำนึกในพระคุณ ความรัก ความเมตตา ที่พระเจ้ามีต่อเรา

นอกเหนือจากพระคุณพระเจ้าที่มีเมตตาต่อเราแล้ว เรายังยำเกรง เราไม่อยากจะเจอกับสิ่งที่ทำให้เราเป็นทุกข์บนโลกใบนี้ เพราะพ่อเราสอนไว้ ไม่ใช่พ่อเราบอกว่าเราจะตกนรก แต่พ่อบอกจะอยู่กับพระองค์นิรันดร์ แต่ถ้าเธอไปเจอของสกปรกมา เธอแพ้นะ เธอผื่นขึ้นนะ เธออาจจะเป็นโรคผิวหนังนะ ถ้าเธอไม่เชื่อฉัน เธอจะเจ็บปวดในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้มันทุกข์ลำบากนะ แต่ถ้าเธอเชื่อฉัน มันก็ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ แบบสันติสุข ทุกข์น้อยหน่อย เอาแบบไหน? ลูกก็บอกอยากจะเดินอย่างดี เผลอไปทำไม่ดีบ้าง ก็เกิดสิ่งที่ไม่ดีขึ้นในชีวิตเรา ซึ่งเราเรียกตามภาษาทั่วๆ ไปว่าผลกรรมของโลกใบนี้ คือหว่านอะไรไปแล้ว ก็เก็บเกี่ยวตรงนั้นเข้ามา เป็นผลทั่วๆ ไป

สมัยต้องทำบ้าน ตกแต่งบ้านใหม่ ลูกก็ยังเล็กอยู่ … อยู่ไปด้วย ทำไปด้วย ไม่ได้สร้างใหม่ เขาก็กองไม้ไว้เยอะแยะ ทั้งไม้ที่ติดตะปู ก็พาลูกไป

“ลูกจำไว้นะ แถบสนามห้ามเข้าไปเลยนะ แต่ก่อนวิ่งได้ แต่ตอนนี้วิ่งไม่ได้ ตะปูมันเยอะแยะไปหมด เหยียบเข้าไป มันทะลุเข้าไปที่เท้าเจ็บปวดนะ เข้าใจไหม?”

“เข้าใจ”

วันหนึ่ง พ่อแม่ไม่อยู่ ลืมที่พ่อแม่สั่งไว้ อย่าเข้าไปในสนาม เล่นเพลินเพลิด เข้าไปในสนาม ก็ไปโดนไม้ที่มีตะปูจริงๆ ทิ่มทะลุรองเท้าผ้าใบ อายุประมาณ 4-5 ขวบ ทะลุรองเท้า เลือดไหลโชกเลย ไม่ร้องไห้สักคำ เพราะรู้ว่าไม่น่าเลย พ่อสั่งไว้แล้ว รีบไปให้แม่บ้านช่วยทายาให้ พอผมกลับมา ทำหน้าตาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย  จนแม่บ้านมาฟ้อง

“วันนี้เหยียบไปเลือดไหลโชกเลย”

“ทำไมเขาเดินเหมือนไม่มีอะไรเลย”

ไม่กล้าบอก เพราะเราสอนแล้ว รู้สึกแล้วว่าถ้าเผื่อไม่เชื่อฟัง มันก็ได้ผลไม่ดี เหมือนที่พ่อได้บอกไว้ แล้วผมกลับมา ผมรู้แล้ว ผมจะทำอย่างนี้ไหม?  ไม่เชื่อฟัง เตะออกนอกบ้านไปเลย  ผมไม่ทำ เพราะเป็นลูกผม ต่อให้ทำมากกว่านี้ ก็ยังเป็นลูกอยู่ดี เห็นไหม?  ก็เหมือนกันเรากับพระเจ้า พระเจ้าบอกว่าอย่าโลภ พอเราโลภ พระเจ้ามาบอก

“สมน้ำหน้า บอกอย่าโลภ ยังโลภ”

พระเจ้าพูดอย่างนี้ไหม?  พระเจ้าก็มาถึง ลูบหัว พ่อก็บอกแล้วไง แล้วเราก็บอกว่า

“ไม่น่าเลย วันหลังไม่เอาแล้วจริงๆ พ่อจ๋าช่วยด้วย”

พอปีต่อมา เราก็โลภอีก เพลินๆ ไป แล้วก็เผลอ เหมือนเด็กตะกี้นี้ เพลินๆ ไป วิ่งเล่นเข้าไปในสนามหญ้า ก็บอกอย่าไป  มันลืม เมื่อพลาด แทบจะไม่อยากกลับมาอธิษฐานเลย เพราะอาย นี่แหละคือความสำนึกที่อยู่ข้างใน ไม่ใช่ความกลัวแบบสมัยก่อน รู้ว่าอย่างไรเราก็รอด รู้ว่าอย่างไร? พระเจ้าก็ไม่ไล่เราออกจากบ้าน รู้ว่าอย่างไรเราก็อยากจะเชื่อฟัง แต่บางครั้งมันเพลินไปหน่อย เพราะว่าเนื้อหนังของมนุษย์ มันยังมีอิทธิพลของความบาป ยังต้องต่อสู้กันอยู่ บางครั้งเราก็ชนะเนื้อหนัง ทำตามถ้อยคำพระเจ้า ที่สอนเรา บางครั้งลืมตัวไปหน่อย โลภไปหน่อย พระเจ้าบอกให้เราอภัย ตอนนี้อภัยไม่ได้ เพราะมันเห็นต่อหน้า และเป็นครั้งที่ 10 แล้ว ที่เขาทำแบบนี้ ไม่ไหวจริงๆ บางคนไม่ถึง 10 หรอก แค่ครั้งเดียว ก็ไม่ไหวแล้ว  อภัยไม่ได้ พระเจ้าบอกถ้าไม่อภัย คืนนี้นอนไม่หลับนะ คืนนี้ก่อนจะนอนหลับ อภัยได้ไหม?  เป็นคนนอนเที่ยงคืน ถึงเที่ยงคืน อ้าว! อภัยแล้ว หลับ ได้หรือเปล่า? ง่ายอย่างนั้นไหม? ไม่ง่าย ไม่อภัย แล้วหลับไป ด้วยความโกรธ กัดฟันก๊อตๆ นอนก็ไม่หลับ แล้วก็แค้น แล้วใครทุกข์ คนที่เราโกรธ เขาทุกข์ไหม?  คนที่เขาทำเรา เขาทุกข์ไหม?  เราไม่รู้ แต่เรานั่น ทุกข์เห็นชัดๆ นอนก็ไม่หลับ ความดันขึ้นอีก ก็พ่อเราบอกแล้ว ตื่นเช้ามา พ่อบอก

“ก็ฉันพูด แล้วเธอไม่เชื่อฟัง บอกให้อภัย เห็นไหม?  ไป ออกจากบ้านไปเดี๋ยวนี้”

เป็นไปได้ไหม?  ไม่ได้ ท่านจะเห็นภาพ นอกจากพระคุณความรักของพระเจ้า ที่เราจะทดแทนแล้ว ความไม่อยากจะเจอสิ่งที่ไม่ดีในชีวิตเรา พระเจ้าบอกอย่าโลภ เราก็ไม่โลภ พระเจ้าบอกถ้าท่านตะกละ จงเอามีดจ่อที่คอหอยของท่าน  พอมันจะกลืน ท่านแทงมันเลย  เคี้ยว แล้วคายออกมา ทำได้ไหม? ถ้าท่านตะกละ จงเอามีดจ่อไว้ ก็คือถ้าท่านไม่ยอมหยุดยั้งในกิเลส หรือความอยากได้ พูดถึงอาหารยิ่งชัดเจน ถ้าท่านกินไม่เลือก ท่านก็จะต้องรับผลของมัน เมื่ออายุมากขึ้น แล้วมันส่งผลมา ท่านกินเข้าไปเลย แป้ง บอกกินน้อยหน่อย ก็กินเยอะ น้ำตาล บอกให้กินน้อยหน่อย ก็จะกินเยอะ มันอร่อย มันหวาน น้ำมันที่ไม่ดี บอกอย่ากิน มันอร่อย มันทอด แล้วมันสนุก ชีวิตมันต้องสนุกบ้าง นั่นพูด และในที่สุด ก็ต้องรับผลของมัน แล้วพ่อเราดีใจไหม? ดีใจ บอกแล้วอย่าทำ ทำ ถึงเป็นเบาหวาน ต้องไปตัดขา สมมตินะ

พ่อเราเป็นอย่างนี้ไหม? ไม่หรอก พ่อเราคงเสียใจ นี่แหละ คือความเสียใจ เมื่อเราทำบาป ขณะที่เรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว ขณะที่เราอยู่ในความสว่างตรงนี้แล้ว ที่บอกทำให้พ่อเสียใจ เพราะเราไม่ได้ทำสิ่งดี เพราะรักเรา  ไม่ได้เสียใจ เพราะเราทำบาป เราทำให้พ่อเราเสียเกียรติ ไม่ใช่ พ่อเรามีเกียรติเยอะแยะ แล้วพ่อไม่สนใจเกียรติอีกแล้ว แต่สนใจชีวิตเราว่าเราคงทรมาน ลูกเราไปเหยียบตะปู เลือดสาด ถ้าเขาเชื่อเรา เขาก็ไม่เป็นอย่างนี้  เจ็บใจตัวเอง ใช่ไหม? ถ้าเป็นมนุษย์ คงโกรธ เพราะรัก แต่ถ้าเป็นพระเจ้าไม่โกรธแล้ว เพียงแต่เสียใจว่า …

“ถ้าลูกไปทำอย่างนี้ ลูกก็มีความทุกข์ ลูกอย่าทำเลย เชื่อพ่อเถอะ”

แต่พ่อก็เข้าใจว่าทำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ก็ให้พระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นพี่เลี้ยงช่วยเรา ให้ดำเนินชีวิตในโลกใบนี้ ให้ทุกข์น้อยที่สุด เพราะอยู่บนโลกใบนี้ มันทุกข์อยู่แล้ว เพราะโลกใบนี้มันเสียหาย ตั้งแต่สมัยที่อาดัมมอบโลกใบนี้ ให้กับมาร ตกอยู่ในความมืดนั้น ความสาปแช่ง มันเข้ามา และคำสาปแช่งนั้น ก็ยังอยู่ในโลกวัตถุนี้อยู่ ยกเว้นคำสาปแช่งในโลกวิญญาณ พระเยซูไถ่หมดแล้ว เอเมน แต่วันหนึ่งข้างหน้า พระเยซูจะมาไถ่โลกวัตถุนี้ให้กับเรา คือวันที่พระองค์จะกลับมาอีกครั้งหนึ่ง วันที่เราได้รับร่างกายใหม่ ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ จะใหม่ทั้งสิ้น โลกใบนี้จะถูกทำใหม่ขึ้นมา เรียกว่าเยรูซาเล็ม เอเมน

ท่านเห็นไหม? พอเราเอาความจริงในถ้อยคำพระเจ้ามาพูดกันอย่างชัดๆ เราจะเห็นความรู้สึกของพระเจ้า เราจะเห็นมันเป็นจริงๆ นี่คือมันเกินสติปัญญาของมนุษย์ ที่จะเข้าใจ นี่คือสติปัญญาของพระเจ้าที่เขียนในพระคัมภีร์ให้เราได้เห็นอย่างนี้

ฟังดีๆ นะ ถ้าพ่อแม่เลี้ยงลูกให้เชื่อฟัง เพราะความกลัว ห้ามทำอย่างนั้น ห้ามทำอย่างนี้ ถ้าทำจะถูกลงโทษอย่างโหด ตามพระคัมภีร์เขาเรียกว่าตาต่อตา ฟันต่อฟัน เอามันให้ตาย  ถามว่าเด็กเชื่อฟังไหม? เชื่อ เพราะกลัว แต่พอโต อาจจะสู้พ่อแม่ โตแล้ว เขาก็ออกไปใช้ชีวิตเอง อยากจะทำอะไรก็ทำ เขาไม่ได้คิดถึงพ่อแม่อีกแล้ว แต่ถ้าเราเลี้ยงดูเขาด้วยความรัก ด้วยความอบอุ่น ไม่ใช้การข่มขู่ ไม่ใช้การคาดโทษ อย่างที่ผมบอก ตาต่อตา ฟันต่อฟัน แต่ใช้ฝึกวินัย มีการลงโทษเหมือนกัน ลงโทษด้วยความรัก เขาเรียกว่าฝึกวินัย ลงโทษด้วยความโหดร้าย เขาเรียกตาต่อตา ฟันต่อฟัน เอาให้มันตายเลย ว่ากันตามกฎเลย ตรงแป๊ะเลย

ความรักที่พ่อแม่มีให้กับเขานั้นแหละ ที่จะเป็นเกราะคุ้มกัน ไม่ให้เขาเดินไปในทางที่ผิด เพราะเขาไม่ได้กลัวการถูกลงโทษ แต่เขาไม่อยากจะทำให้พ่อแม่เสียใจ เพราะเขารักพ่อแม่ เขาสัมผัสความรักที่พ่อแม่มีให้กับเขาได้ เวลาท่านเลี้ยงลูกในครอบครัว ถามว่าลูกสัมผัสความรักของท่านในครอบครัวได้ไหม? ท่านถามตัวเอง ท่านจะรู้เอง  ไม่ต้องมีใครเช็คท่าน ลูกสัมผัสความรักของท่านได้ไหม? หรือว่าลูกเข้าหาท่านทีไร ขาสั่นตลอดเวลา

เพราะฉะนั้น เด็กก็จะไม่ทำสิ่งที่ไม่ดี ทั้งต่อหน้าและลับหลัง จะพยายามทำสิ่งที่พ่อแม่สอนทั้งต่อหน้าและลับหลังให้ดีที่สุด หรือถ้าเผลอๆ ไปทำผิดอะไรจริงๆ เขาก็จะมาบอกเรา มาขอโทษ เพราะเขามั่นใจในเราว่าเรารักเขา เพื่อให้เราปลอบโยนเขา พันแผลให้เขา เขาไม่ได้มาขอให้เรายกโทษ เขารู้อยู่แล้วว่าเรายกโทษ เข้าใจไหม? การที่เราเข้าไปหาพระเจ้า เมื่อเราทำผิด คือให้พระเจ้าพันแผล ไม่ใช่ขอพระเจ้ายกโทษ … ยกโทษอะไร ก็ยกโทษตั้งแต่พระเยซูอยู่ที่ไม้กางเขนแล้ว ถ้าท่านเชื่อในพระเยซู ท่านมาอยู่ที่นี่แล้ว ท่านได้รับความรอดแล้ว ถามว่ามีใครที่รับพระเยซูแล้ว อยู่ในความเชื่อแล้ว อยู่ในแสงสว่างนี้แล้ว

“โอ! พระเจ้า ขอช่วยลูกให้ได้รับความรอดจากอาณาจักรของความมืด รอดจากนรกที”

“พระเจ้ายกโทษให้ลูกด้วย ลูกทำอะไรผิดไป ลูกกลัวนรกนะ ชำระล้างลูกด้วย ให้ลูกเป็นผู้ชอบธรรม”

ใครยังอธิษฐานแบบนี้อยู่ ความรอดมาพร้อมความชอบธรรม มาพร้อมกับการบังเกิดใหม่ มาพร้อมกันทั้งกล่อง อภัยโทษทุกอย่างที่เราทำ ไม่ว่าจะอดีต ปัจจุบัน อนาคต ได้รับความรอด วิญญาณเปลี่ยนใหม่ บังเกิดใหม่ ทุกอย่างอยู่ในนี้ครบแล้ว แต่เนื่องจากชีวิตเดิมๆ ของเรามันเป็นอย่างนั้น  เราจึงไม่สามารถที่จะรับความผิดตรงนั้น พระเจ้าดูเราเหมือนเด็กๆ คนหนึ่ง แล้วเราตั้งใจทำสิ่งที่ถูกต้อง อย่างที่ผมบอกว่ายิ่งคนที่ไม่เข้าใจพระเจ้ามากเท่าไร? ไม่ได้มาบังเกิดมากเท่าไร? ก็จะไม่เข้าใจในสิ่งที่พระเจ้าสอนมากเท่านั้น แต่พอมาเรียนรู้กันตามถ้อยคำพระเจ้า ท่านจะเห็นภาพชัดเจน ท่านจะเห็นภาพชัดเจนว่ามันต่างกันอย่างไร?

ความจริงจะทำให้เราเป็นไท ในเรื่องนี้ที่บอกว่าเราไม่ต้องทำดี เพื่อไปสวรรค์ แต่เพราะเราอยู่ในสวรรค์แล้ว เราจึงทำดี ตามธรรมชาติ แบบชาวสวรรค์ สำหรับคนภายนอกฟัง ตกใจ มันเป็นไปได้อย่างไร? แต่สำหรับเรา เราเริ่มเข้าใจแล้ว เพราะว่ามนุษย์ทุกคนอยู่ในวงจรความคิดแบบเก่าๆ เคยถูกปลูกฝังมานานว่าทำดี ก็ต้องได้ดีสิ  ทำชั่ว ก็ได้ชั่ว มันถูกในเรื่องของโลกวัตถุ แต่เรากำลังพูดถึงโลกวิญญาณ ซึ่งมีผลเหมือนกันในทางวัตถุ ก็คือทางโลกวิญญาณ ถ้าเผื่อเราได้รับการสนับสนุนจากพระเจ้า … พระเจ้าก็จะช่วยเราทำสิ่งที่ถูกต้องดีงามบนโลกใบนี้ ได้สิ่งที่ดีๆ บนโลกใบนี้ มากขึ้นกว่าไม่มีใครช่วยเราเลย เพราะเราถูกปลูกฝังมานานว่าทำดี ได้ไปสวรรค์ ทำชั่วได้ไปนรก มันติดอยู่ในใจเราตลอดเวลา โดยเฉพาะคนเอเชีย ติดเยอะ

พอไปอยู่ในที่สว่างแล้ว พระเจ้าบอกนิรันดร์ พอเราทำอะไรผิดไป เราก็นึกว่าต้องลงนรกอีกแล้ว มันก็เลยไม่ตรงตามพระคัมภีร์ แค่นั้นเอง พระเจ้าจึงบอกว่าคนๆ นั้นต้องได้รับการเปิดตาฝ่ายวิญญาณ ต้องมองทะลุเข้าไปทางวิญญาณ จึงจะเข้าใจในสิ่งที่เรากำลังพูดอยู่นี้ได้ ไม่อย่างนั้นลำบากมากเลย

การบังเกิดใหม่ในโลกวิญญาณ จึงสำคัญที่สุด ไม่อย่างนั้น เราไปสะเปะสะปะในโลกวัตถุ   จับต้นชนปลายไม่ถูกเลย เหมือนติดกระดุมเม็ดแรกผิด ผิดหมด เบี้ยวไปเบี้ยวมา ถ้าท่านเริ่มที่โลกวิญญาณก่อน ท่านจะเริ่มถูกต้องแล้ว  มันอาจจะติดช้าหน่อย แต่ติดถูกเม็ด เพราะฉะนั้น ต่อไป มันก็เรียงตรง

เปาโลเป็นนักประกาศ พอมีคนเชื่อใหม่ปุ๊บ อาจารย์เปาโลก็อธิษฐานไม่หยุดหย่อนเลย ในเอเฟซัส 1:17

เอเฟซัส 1:17 “ข้าพเจ้าเพียรทูลขออยู่เสมอให้พระเจ้าขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา คือพระบิดาผู้ทรงพระเกียรติสิริ ทรงให้ท่านมีวิญญาณแห่งสติปัญญา และวิญญาณการสำแดงความรู้ เรื่องเกี่ยวกับพระคริสต์ เพื่อท่านจะได้รู้จักลึกซึ้ง และสนิทสนมกับพระองค์ เป็นการส่วนตัว และท่านจะได้มีความรู้ที่แท้จริง เรื่องพระองค์”

 

เปาโลบอก “ข้าพเจ้าเพียรทูลขออยู่เสมอ” เสมอๆ เลย ไม่ใช่เสมอธรรมดา “ให้พระเจ้าขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา คือพระบิดา ผู้ทรงพระเกียรติสิริ”

ก็คือขอให้พระเจ้า พ่อของพระเยซูที่เราเชื่อกันอยู่ กำลังพูดกับผู้เชื่อใหม่ชาวเอเฟซัส “เรา” ในที่นี้ รวมทั้งเปาโลด้วย

แสดงว่าที่ท่านได้ยินข่าวประเสริฐมา มันไม่พอ เพื่อท่านจะได้รู้มากกว่านั้น

“ขอพระเจ้า ให้ท่านมีวิญญาณแห่งสติปัญญา และมีวิญญาณแห่งการสำแดงความรู้”

วิญญาณนี้ หมายถึงโลกวิญญาณ … วิญญาณนี้ไม่ได้หมายถึง เพื่อท่านจะได้มีสติปัญญาแบบมนุษย์ เพื่อท่านจะขยันอ่านพระคัมภีร์ เพื่อท่านจะขยันท่องพระคัมภีร์ เพื่อท่านจะได้ขยันไปโรงเรียนพระคัมภีร์ เพื่อท่านจะได้ขยันมาโบสถ์ เพื่อท่านจะขยันเข้าห้องเรียนพระคัมภีร์ สิ่งเหล่านี้ดีหมด แต่ไม่ได้เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด  สิ่งสำคัญที่สุด นอกเหนือจากที่พูดมาทั้งหมด ต้องเริ่มที่วิญญาณ … วิญญาณตรงนี้อาจจะหมายถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทรงสถิตกับเรา เป็นหนึ่งเดียวกัน ขณะที่เรามาอยู่ที่นี่ วิญญาณของท่านเป็นวิญญาณที่เป็นลูกพระเจ้า บังเกิดใหม่ อยู่ด้วยกันกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระคัมภีร์บอกพระเจ้าทรงประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้กับเรา เมื่อเราบังเกิดใหม่ มาเป็นพี่เลี้ยงเรา สอนเราในเรื่องเกี่ยวกับพ่อเรา เกี่ยวกับพระเจ้าและพระคริสต์ว่าในวิญญาณเป็นอย่างไร?

วิญญาณแห่งการสำแดงความรู้ตรงนี้ ภาษาอังกฤษใช้คำว่า Revelation คนชอบไปใช้ผิด  พระเจ้าสำแดงความรู้ให้กับเราแล้ว รู้ว่าพระเยซูจะกลับมาเมื่อไร? อีกประมาณ 10 กว่าปี ได้กลับแน่ โอ้! วิญญาณสำแดงให้เรารู้แล้ว รู้ว่าพระเจ้าจะอวยพรท่านในการทำธุรกิจนี้เจริญเติบโตจริงๆ ทำต่อไป ถูกหรือไม่ถูก?

“พระเจ้าประทานวิญญาณแห่งความรู้ให้กับผมแล้ว รู้ว่าตอนนี้ คุณเป็นโรคอะไร?”

เขาพูดอย่างนี้ คุณคิดว่าถูกไหม? บางครั้งผลของมันมา ที่ตะกี้พูด มันอาจจะตรงกับความจริงบ้าง? แต่มันไม่ใช่เรื่องของพระคริสต์ ที่ตรงบ้าง อะไรต่างๆ เหล่านั้น บางครั้งมาจากเรื่องลี้ลับ ไม่ได้มาจากเรื่องพระเยซู ก็ยังทำได้เลย ใช้พลังจิตก็ได้ ใช้หลักไสยศาสตร์ ก็ทำได้ วิทยาคมก็ทำได้ เราก็จะหลงไปในทางนั้น เรามาดูจริงๆ พระคัมภีร์บอกว่ามันคืออะไร?

วิญญาณแห่งสติปัญญาและวิญญาณแห่งการสำแดงความรู้ เรื่องเกี่ยวกับพระคริสต์อย่างเดียว  ไม่เกี่ยวกับอย่างอื่นเลย ไม่เกี่ยวกับว่าปีหน้าไปทำงานที่นี่ ออกจากที่นี่ดีไหม? ปีนี้จะแต่งงานกับคนนี้ ดีไหม?  ผู้รับใช้พระเจ้าคนนี้มีของประทานมากในการสำแดงความรู้จากพระวิญญาณ จะมาบอกว่าอนาคตของท่าน ไปไหม?  ไม่ต้องไป ทำไม่ได้หรอก ถ้าท่านไป ไปหาหมอดูดีกว่า อาจจะเก่งกว่า เข้าใจไหม? ผมกำลังจะบอกท่านว่าวิญญาณสำแดงความรู้ เกี่ยวกับพระคริสต์ … พระคริสต์อย่างเดียวเลย ท่านต้องรู้โลกวิญญาณตรงนี้

ต่อไป “เพื่อท่านจะได้รู้จักลึกซึ้ง และสนิทสนมกับพระองค์”

เพิ่งมาเชื่อเอง ยังไม่สนิทสนมเลย ไม่รู้ว่าพระเยซูเป็นใคร? พระวิญญาณเป็นใคร? พ่อของเราเป็นใคร? พระคัมภีร์บอกว่าพระวิญญาณจะสำแดง พระเจ้าให้เรารู้ พอเรามาตรงนี้แล้ว ขอเสมอ ขอให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ช่วยเรา เปิดตาฝ่ายวิญญาณเรา ให้เรามีสติปัญญาและความรู้เกี่ยวกับพระคริสต์ เพื่อเราจะได้รู้จักพระเยซูคริสต์ รู้จักพระเจ้า อย่างลึกซึ้งและสนิทสนมกับพระองค์ เป็นการส่วนตัวเลย ไม่ใช่ฟังมาจากพาสเตอร์บรรยายให้ฟัง อันนั้น เป็นส่วนเริ่ม จริงๆ จากข้างในเราเองนั่นแหละ สำคัญกว่า ถ้าท่านฟังผม แล้วท่านไม่เข้าใจ ไม่ต้องพยายามมาเชื่อผม แต่ถ้าท่านฟัง แล้วท่านเอาไปคิดตามอะไรต่างๆ พระวิญญาณคอนเฟิร์มว่านี่ คือพระคัมภีร์ในนั้นจริงไหม?  ถ้าจริง ถ้าท่านเชื่อ ก็ขอบคุณพระเจ้าไป เป็นการส่วนตัว และท่านจะได้มีความรู้ที่แท้จริง เรื่องพระองค์ เพราะฉะนั้น มันก็จะมีเรื่องที่ไม่แท้จริงของพระองค์แฝงอยู่ในนี้  ถูกไหม? ผมยกตัวอย่างให้ท่านเห็น ชัดเจนเลย มาดูในข้อที่ 18

เอเฟซัส 1:18 “ข้าพเจ้ายังอธิษฐานขอพระเจ้า ให้ตาของวิญญาณ (ซึ่งเป็นตัวจริงๆ ของท่าน) สว่าง เพื่อจะได้รับการสำแดงความรู้ จากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เพื่อท่านจะได้รับรู้ถึงความหวัง และมีความมั่นใจ ในเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ของพระเจ้า ที่พระองค์ได้เรียกท่านเข้ามานั้น  และรับรู้เรื่องมรดก ที่เต็มไปด้วยสง่าราศีอันยิ่งใหญ่ รุ่งเรือง และมีค่าที่สุดของพระองค์ ที่ได้ทรงจัดเตรียมไว้ให้กับท่าน ผู้ซึ่งได้เป็นประชากรที่บริสุทธิ์ชอบธรรมของพระเจ้าแล้ว (โดยผ่านทางความเชื่อและรับสิทธิ์ของท่านที่พระเยซูได้ไถ่บาปให้)”

 

“ข้าพเจ้ายังอธิษฐานขอพระเจ้าให้ตาวิญญาณเปิดออก (ซึ่งเป็นตัวจริงๆ ของท่าน)”

ไม่ใช่ตาเนื้อหนัง ที่เป็นสติปัญญาของท่าน ที่ท่านเรียนหนังสือ หรือเรียนปรัชญาของชีวิต ตาวิญญาณของท่านสว่าง เพื่อรับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับเรื่องโลกวิญญาณ เพื่อจะได้รับการสำแดงความรู้ เรื่องพระเจ้าจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพื่อท่านจะได้รับรู้ถึงความหวัง และมีความมั่นใจ ในเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ ที่ท่านนั่งอยู่นั่นแหละ ที่พระองค์ได้เรียกท่านเข้ามานั้น อันนี้เปาโลบอกสำคัญมาก ตาวิญญาณท่านต้องถูกเปิดออก  และพระเจ้าช่วยท่าน เพื่อท่านจะได้ รับรู้เรื่องมรดก ที่เต็มไปด้วยสง่าราศีอันยิ่งใหญ่ รุ่งเรือง และมีค่าที่สุดของพระองค์ ที่ได้ทรงจัดเตรียมไว้ให้กับท่านแล้ว ผู้ที่ได้เป็นประชากรบริสุทธิ์ ชอบธรรมของพระเจ้าแล้ว

แล้วแปลว่าเสร็จแล้ว เป็นลูกของพระเจ้าที่บริสุทธิ์แล้ว มีมรดก จัดเตรียมให้กับเราแล้ว เพราะฉะนั้น ใครที่ย้ายจากอาณาจักรความมืด มาสู่อาณาจักรความสว่าง ทันทีทันใด เขามีมรดกแล้ว

อาจารย์เปาโลทำหน้าที่เป็นพระเอก ไปค้นหาทายาทพันล้าน ก็ไปพบผู้หญิงคนหนึ่ง ที่อยู่ต่างจังหวัด น่ารักเชียว ถูกข่มเหงรังแกต่างๆ ก็ปลอมตัว เป็นเด็กเกเร ทำท่าเป็นผู้ชาย มีปมด้อย ไม่อยากจะเป็นผู้หญิง เสร็จแล้ว ก็ช่วยอุปการะ เรียกมาทำงานที่บ้าน ปรากฏว่ามาทำงานที่บ้าน โดนคนโน้นคนนี้รังแก ข่มเหง จนกระทั่ง เสียศูนย์ เสียสติไปเลย เสียมากๆ ในที่สุด วันหนึ่ง พ่อของพระเอกก็ตาย พ่อพระเอกเป็นเจ้าของมรดกมากมาย ก็ปรากฏว่าในพินัยกรรม เขียนมรดกให้เด็กคนนี้เป็นเจ้าของทั้งหมด แล้วทุกคนทั้งทนายความ ทั้งแม่และคนอื่นๆ ก็เป็นคนไปบอกว่า …

“มรดกเป็นของเธอ บัดนี้ เธอไม่ได้เป็นเด็กรับใช้ที่นี่ต่อไปแล้ว เธอเป็นเจ้าของบ้านเลย จะไล่คนไหนออก ก็ไล่ได้เลย”

ไม่เชื่อ ร้องไห้ วิ่งหนีไปเลย  ขนาดหาหลักฐานว่าในหนังสือพินัยกรรมบอกไว้ว่าคนๆ นี้ มีปานอยู่ข้างหลัง สีแดง 1 ปาน สีชมพู 1 ปาน สีน้ำตาล 1 ปาน สมมตินะ ไปดูได้ หลักฐานต้องเป็นคนนี้แน่นอน ถ้าเป็นสมัยปัจจุบัน คงเป็น DNA ในหนังสือพินัยกรรมเขียนอย่างนั้นจริงๆ ปรากฏทนายและทุกคนตรวจ นางเอกคนนี้มีหลักฐานครบถ้วนบริบูรณ์ พอไปบอก นางเอกได้ยินได้ฟังอย่างนั้น ร้องไห้ ไม่เชื่อ เป็นไปไม่ได้ วิ่งหนีไปอีก

ถ้าอย่างนี้ต้องถึงเราแล้วสิ พระเอกก็เดินเข้าไปอธิบายด้วยความรัก เพราะพระเอกรักเขาอยู่แล้ว

“เป็นอย่างนี้นะ ที่ฉันทำทั้งหมดนี้ เพราะรักเธอ”

แค่บอกว่ารัก ผู้หญิงสัมผัสได้ เพราะว่าพระเอกทำดีกับเขามาตลอด ตั้งแต่สมัยยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย เขาสัมผัสความรักได้ ก็เริ่มเปิดใจ จริงก็จริง เชื่อ ก็เลยเปลี่ยนสภาพตัวเอง จากหญิงสาวใช้ ถูกรังแก กลายเป็นเจ้าของบ้าน มีมรดกเยอะแยะมากมาย เพราะความรัก

เพราะฉะนั้น เวลาเราไปประกาศให้ใคร ต้องประกาศด้วยความรัก ให้ความรักสัมผัสเขา ค่อยๆ อดทน ให้พระวิญญาณทำงาน บางทีเราอดทนไม่ได้ กิเลสตัณหาเรา มันสูงกว่า เราจะเอาด้วยตัวเอง แล้วในที่สุด มันก็จะเกิดปัญหา พระคัมภีร์ หนังสือภาษาเดิมแปลว่าหนังสือมรดก ที่บอกให้ท่านอ่านพระคัมภีร์ทุกวัน ที่ให้ท่านศึกษาพระคัมภีร์ ไม่ว่าจะพระคัมภีร์ใหม่หรือพระคัมภีร์เก่า แปลว่ามรดกเก่า มรดกใหม่ มีในนั้นบอกเสร็จเลยว่ามรดกท่านเป็นอะไร? ท่านจะไปรับได้อย่างไร? New Testament แปลว่ามรดกใหม่

ในนี้บอกว่ามรดกที่เต็มไปด้วยสง่าราศี อันยิ่งใหญ่ รุ่งเรือง และมีค่าที่สุดของพระองค์ ที่ได้ทรงจัดเตรียมไว้ให้กับท่าน คือเปาโลไม่รู้จะใช้คำไหนแล้ว มันใหญ่มหึมามาก นี่สุดแล้ว สุดของสุด ซึ่งการกระทำสิ่งเหล่านี้ ผ่านทางความเชื่อ

เพราะฉะนั้น หน้าที่ของเราตอนนี้ เราอธิษฐานให้ตัวเราเองด้วย  อธิษฐานให้คนอื่นด้วยว่าขอพระเจ้าช่วยเรา ให้เราเข้าใจในโลกวิญญาณ มันสำคัญมาก อะไรที่ไม่เข้าใจ อย่าพึ่งติเตียนใคร อย่าพยายามคิดด้วยสติปัญญาของมนุษย์ ให้วางใจในพระเจ้า แล้วอธิษฐาน

“ขอให้พระเจ้าประทานวิญญาณสติปัญญา ในการสำแดงความรู้ ให้กับลูกด้วย ลูกจะได้มีปัญญาเข้าใจ ลูกไม่เข้าใจหรอก”

แล้วก็ฝากไว้ที่พระองค์ ไม่ใช่ไม่เข้าใจ แล้วก็หงุดหงิด เดี๋ยวอยู่ดีๆ มันก็จะเข้าใจไปเอง เอเมน เขาเรียกว่าเจริญเติบโตขึ้นในวิญญาณของเรา ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุด  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

***********************

 

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 12 พฤศจิกายน 2017 เรื่อง “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท” ตอน 6 “สองอาณาจักรแห่งโลกวิญญาณ” ตอน 3 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  12  พฤศจิกายน  2017

 เรื่อง “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท”

ตอน 6 “สองอาณาจักรแห่งโลกวิญญาณ” ตอน 3

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

“ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท” ตอนที่ 6 ยังอยู่ “สองอาณาจักรแห่งโลกวิญญาณ” ตอนที่ 3 เรามาทบทวนความเข้าใจ ขั้นพื้นฐานของเรื่องโลกวิญญาณที่เราได้สรุปไว้ในครั้งที่แล้วกันก่อน ถ้าเราอยากจะเรียนรู้เรื่องพระเจ้าได้มากขึ้น  อยากจะเรียนรู้จักพระเยซูมากขึ้น  อยากจะมีชีวิตที่เจริญเติบโตในเรื่องพระเจ้ามากขึ้น อยากจะคุยกับใครถึงเรื่องพระเจ้า อยากจะตอบคำถามที่อยู่ในใจเราตั้งนานแล้วมากขึ้น เราต้องเริ่มต้นจากการเรียนรู้ความจริงในโลกวิญญาณนั้นว่าโลกวิญญาณมีอยู่จริงๆ ให้มีความมั่นใจ มองอะไรต่างๆ ในชีวิตนี้ มันจะเปลี่ยนไปหมดเลยว่าเรามองทะลุไปถึง เรื่องทั้งสิ้นว่ามันเกิดอะไรขึ้น ในโลกวิญญาณ

เรามาทวนนิดหนึ่ง เริ่มต้นตั้งแต่โลกวิญญาณทั้งหมด มีพระเจ้าเป็นผู้ควบคุมและครอบครองยิ่งใหญ่สูงสุด ซึ่งแรกเริ่มเดิมทีมีอาณาจักรเดียว คืออาณาจักรแห่งความสว่างของพระเจ้า ที่มนุษย์ยังเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า สามารถติดต่อกับพระเจ้าได้

แล้วต่อมามนุษย์คู่แรก ที่พระเจ้าสร้าง ก็กบฏต่อพระเจ้า ไม่เชื่อฟังพระเจ้า หันไปเชื่อฟังคำพูดของศัตรูต่อพระเจ้า ก็คือมาร ขัดคำสั่งพระเจ้า เราเรียกกันตามภาษาพระคัมภีร์ว่าล้มลงในบาป “บาป” ก็คือการพลาดจากเป้าพลาด (Miss the target) ที่พระเจ้าตั้งใจให้ลูกพระองค์เป็นอย่างนี้ มันพลาดเป้าไป บาปก็เข้ามาในมนุษยชาติบนโลกใบนี้ สิ่งที่เกิดขึ้น คือโลกวิญญาณ ซึ่งเคยเป็นอาณาจักรแห่งความสว่าง  ก็กลายเป็นอาณาจักรแห่งความมืด ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของมาร และมนุษย์ทั้งหลายก็ได้รับเชื้อหนึ่ง เรียกว่าบาปกันหมดเลย เป็นตระกูลแห่งการกบฏ เพราะมาจากบรรพบุรุษ คืออาดัม กลายเป็นมนุษย์ทุกคน มีเชื้อบาป ถูกตัดขาดความสัมพันธ์กับพระเจ้าผู้ทรงสร้างเขา โลกกบฏต่อพระเจ้า ความมืดเข้ามา

จนมาถึงเมื่อประมาณ 2,000 ปีที่แล้ว ที่พระเยซูคริสต์พระบุตรของพระเจ้าได้มาเกิดเป็นมนุษย์ และมารับโทษบาปแทนมนุษย์ทั้งปวง ผ่านทางการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นจากความตาย ตั้งแต่วันนั้น จนมาถึงวันนี้ โลกวิญญาณ ก็เกิดเป็น 2 อาณาจักร คืออาณาจักรแห่งแสงสว่างกับอาณาจักรแห่งความมืด ซ้อนกันอยู่ ซึ่งเปรียบได้กับ 2 เผ่าพันธุ์ 2 ครอบครัวใหญ่ๆ ของมนุษยชาติบนโลกใบนี้นั่นเอง

อาณาจักรแห่งความสว่าง ก็คืออาณาจักรของพระเจ้า มีพระเยซูเป็นผู้นำ เป็นหัวหน้าครอบครัว แล้วก็มีมนุษย์ทั้งปวงที่เชื่อในพระเยซู เป็นสมาชิกในครอบครัว ปกครองครอบครัวนี้ด้วยความรัก มีพระเยซูเป็นพี่ เรียกเราทั้งหลายว่าน้อง เรียกว่าครอบครัวพระคริสต์

อาณาจักรแห่งความมืด ก็คืออาณาจักรของมาร ซึ่งมีอาดัมเป็นบรรพบุรุษ หรือเป็นหัวหน้าครอบครัว แล้วก็มีมนุษย์ที่ยังไม่ได้รับเชื่อในข่าวดีของพระเยซู ยังไม่เชื่อในพระเยซู เป็นสมาชิกในครอบครัว ครอบครัวนี้ปกครองด้วยการกดขี่ข่มขู่ ลักษณะเป็นทาส เป็นนักโทษ เป็นลูกหนี้ คอยถูกตามทวงตลอดชีวิต นี่คือภาพของอาณาจักรแห่งความมืด

และมนุษย์ทุกคนจะต้องเป็นสมาชิกอยู่ในครอบครัวใดครอบครัวหนึ่งอย่างแน่นอน ถ้าไม่เป็นสมาชิกในครอบครัวของอาดัม ก็จะเป็นสมาชิกในครอบครัวของพระเยซูคริสต์ พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น ไม่ว่าท่านจะนั่งอยู่ที่นี่ หรืออยู่ในประเทศใดในขณะนี้ ในโลกวิญญาณ ไม่เกี่ยวกับประเทศไทย ไม่เกี่ยวกับประเทศจีน ไม่เกี่ยวกับอเมริกา เกี่ยวกับ 2 อาณาจักรเท่านั้น คือท่านไม่อยู่ในอาดัม ท่านก็อยู่ในพระคริสต์ ท่านไม่อยู่ในความสว่าง ท่านก็อยู่ในความมืด พระคัมภีร์ได้บอกไว้อย่างนั้น

เมื่อเรารู้ความจริงในเรื่องถ้อยคำพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ จะได้ไม่ถูกมารหลอก ผ่านการเป็นอยู่บนโลกใบนี้ ผ่านความคิดเก่าๆ ของเรา ผ่านทางเพื่อนฝูงของเรา และผ่านทางในคริสตจักรเอง โดยเราไม่รู้อะไร แล้วสอนผิดไป ก็ถูกหลอก โดยรู้บ้าง ไม่รู้บ้าง บางครั้งไม่รู้ เพราะว่ากิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนังมันบังไว้ บางทีเราอยากได้ลาภ อยากได้ยศ อยากได้สรรเสริญ มันก็เผลอตัวไป ถูกหลอก แล้วก็สอนในสิ่งที่ผิดไป ก็เป็นไปได้ หรือบางทีไม่ได้ตั้งใจจะหลอก และไม่ได้ตั้งใจอยากได้อะไร? แต่มันไม่รู้จริงๆ นึกว่าถูกแล้ว ก็มี เพราะฉะนั้นสิ่งเหล่านี้ ทำให้มนุษย์ทั้งหลาย สามารถจะถูกหลอก ในเรื่องเหล่านี้ได้ เช่นเดียวกัน เหมือนครั้งหนึ่งที่เราเคยอยู่ที่นี่

ตอนที่เริ่มใหม่ๆ เมื่อ 24 ปีที่แล้ว เราก็สอนอะไรหลายอย่างที่มันผิดไป แต่เราก็ไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นอย่างนั้น เรานึกว่ามันถูกแล้ว

ยกตัวอย่างเช่น เรื่องฤทธิ์เดช เรื่องอำนาจ จะต้องเรียกเงินเข้ามา จะต้องหายโรค จะต้องอะไรต่างๆ เราไม่รู้จริงๆ แต่เมื่อเรารู้ พระวิญญาณสอนเรา เราก็คำนับ และรับเอาสิ่งนั้น แล้วก็เปลี่ยนใหม่ซะ ให้มันถูกต้องว่ารอยแผลเฆี่ยนของพระเยซูคริสต์ ที่เราเคยสอนว่ารักษาเราหายทุกโรค ถ้าเราเชื่อในถ้อยคำนี้ มะเร็งเราก็หาย มันไม่จริง มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ ตอนนั้นเราไม่เข้าใจเรื่องโลกวิญญาณ เราก็อยากได้ทางโลกวัตถุ  แต่ในโลกวิญญาณหมายถึงด้วยรอยแผลเฆี่ยนของพระเยซูคริสต์ พระองค์ได้ทรงตายที่ไม้กางเขน รักษาเราให้หายจากโรคบาป ซึ่งเป็นโรคทางวิญญาณ วิญญาณเราหายแล้ว เหมือนกับที่เรากำลังเรียนรู้เรื่อง 2 โลกว่าตอนนี้เราอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่าง เป็นเรื่องโลกวิญญาณทั้งสิ้น

และเมื่อเราทั้งหลายรู้แล้วว่าเรามาเชื่อพระเจ้า … เชื่อพระเจ้า หมายถึงยอมรับในข่าวประเสริฐของพระเยซู ยอมรับเชื่อ ในพระคัมภีร์จะพูดเสมอว่าให้ท่านเชื่อ ท่านก็ไม่เข้าใจ ท่านคิดว่าพระคัมภีร์บอกให้ท่านเชื่อ หมายถึงเชื่อว่าพระเยซูรักษาท่านหายโรคได้ พระเยซูทำให้ท่านร่ำรวยได้ พระเยซูสามารถใช้หนี้สินที่ยังติดอยู่ได้ มันไม่ใช่อย่างนั้น แต่หมายถึงยอมรับ และเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว แล้วเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 แล้วเอาอาณาจักรแห่งความสว่างมาสถาปนา ตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา แล้วท่านยอมรับตรงนี้ ที่ท่านยอมรับพระเยซูว่าท่านเชื่อตรงนี้  ทันทีทันใดนั้น ได้เข้ามาอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่าง วินาทีนั้นเลย แต่เราไม่รู้ว่ามันวินาทีไหน? ที่เราเชื่อจริงๆ เราอาจจะได้ยินคนพูดเรื่องนี้มา 5 ครั้งแล้ว เริ่มต้นเชื่อนิดๆ หน่อยๆ แต่มันยังไม่เกิดขึ้นในวิญญาณเราจริงๆ ก็ได้ อาจจะเป็นครั้งที่ 15  ที่เราได้ยินเรื่องนี้ หรืออาจเป็นครั้งที่ 500 เราได้ยินเรื่องนี้ แล้วเราปิ๊งขึ้นมาทันทีในวิญญาณของเรา ในวินาทีนั้น มันเกิดสิ่งหนึ่ง ในโลกวิญญาณ คือเราได้บังเกิดใหม่ ย้ายจากโลกวิญญาณที่อยู่ในอาณาจักรแห่งความมืด เข้ามาสู่อาณาจักรแห่งแสงสว่าง ซึ่งเรียกว่าสวรรค์ของพระเจ้าทันทีเลย

ในพระคัมภีร์บอกว่าจะไม่มีผู้ใด หรืออำนาจใด หรือสิ่งใดๆ หรือการกระทำใดๆ ที่จะสามารถนำท่านออกไปจากอาณาจักรนี้ได้อีกแล้ว ท่านจะอยู่ที่นี่ตลอดไปเลย

ท่านเชื่อหรือไม่ว่าพระคัมภีร์บอกว่าเมื่อท่านย้ายเข้ามาสู่อาณาจักรแห่งความสว่าง โดยที่ท่านเชื่อในพระเยซู ในการไถ่บาปของพระองค์ พระเจ้าได้ย้ายท่านเข้ามาสู่อาณาจักรแห่งแสงสว่างของพระเยซูคริสต์ พอท่านย้ายเข้ามาอยู่ในอาณาจักรแสงสว่างแล้ว ท่านอยู่ที่นี่ตลอดไป ไม่มีทางออกไปอีกแล้ว มันจริงตามนั้น เพราะท่านเข้าไปอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ท่านเข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์ ท่านเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์แล้ว ไม่มีทางเลย มันอยู่ไปตลอด ไม่มีการมาอยู่ แล้วก็ออก เข้าๆ ออกๆ พระเจ้ายิ่งใหญ่ พระเจ้าควบคุมทุกสิ่ง ตอนนี้อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ท่านออกไปได้ไหม ถ้าเราเข้าไป แล้วเราออกมาได้ ก็แสดงว่าวันนี้เข้า พรุ่งนี้ออก วันนี้ทำดี ก็ได้เข้ามาอยู่ในความสว่าง อยู่กับพระเจ้า พรุ่งนี้ไปตะคอก ไปโกหกเขา ไปโมโหด่าเขา ทันทีทันใด ไปอยู่ที่มืดแล้ว ท่านคิดว่าเป็นไปได้ไหม? ท่านอยู่กับพระเจ้าตรงนี้ พระเจ้ายิ่งใหญ่ อยู่กับพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกัน เขาเรียกว่าดองกัน แยกกันไม่ออกเลย  วันนี้ทำดี วันนี้มาโบสถ์วันอาทิตย์ เลยอยู่ที่นี่  เดี๋ยวเดินออกไป แดดมันร้อน โมโห หงุดหงิด ไปด่าคนเขาบนรถเมล์ มาอยู่มืดเลยเหรอ กลับไปถึงบ้าน นึกขึ้นได้ พระเจ้าขอโทษด้วยๆ ทำผิดไปแล้ว เข้าไปอยู่สว่าง ลูกทำข้าวให้กินวันนี้ โมโหหิว ทุกทีให้ทำ 6 โมงเย็น ทำไมวันนี้ ไม่ทำ ลูกบอกลืมไป ตวาดลูก กลับไปอยู่มืดอีก อย่างนี้เหรอ เพลินๆ อิ่มแล้วสบายใจ นึกขึ้นได้ตะกี้ไปตวาดลูก บอกพระเจ้าลูกเสียใจด้วย  ท่านจะกลับไปกลับมาวันละกี่ครั้ง? ท่านลองนึกดู เป็นไปได้ไหม?

ความคิดเดิม ความเชื่อเดิม เราคิดอย่างนั้นจริงๆ เพียงแต่เราไม่ได้เอามาเจาะให้มันลึกละเอียดๆ อย่างนี้  พอเจาะละเอียดๆ อย่างนี้ เราก็จะรู้ว่าเราคิดผิด มันไม่ใช่ พระเจ้ายิ่งใหญ่เกินกว่าใคร พระเจ้าบอกว่าฤทธิ์เดชอำนาจของพระองค์ไม่มีใครต้านทานได้ ไม่ว่าฤทธิ์เดชอำนาจใด ก็ไม่สามารถเอาท่านออกไปจากความรักของพระเจ้าได้ อย่างนี้ค่อยสมควรร้องเพลงพระเจ้ายิ่งใหญ่ ถูกไหม? ไม่ใช่กลับไปกลับมา ถ้าเราเชื่อในพระเยซูจริงๆ แล้ว ตลอด เราจะอยู่ในความสว่าง

ตอนนี้ถ้าท่านต้องกลับไปที่บ้านทุกคืน แล้วนั่งคิดว่าวันนี้ตรงไหนบ้างที่ฉันยังไม่ได้สารภาพบาป แล้วเกิดลืมไป ทำอย่างไร? ท่านต้องเอากระดาษแผ่นหนึ่ง เดินไปที่ไหนท่านคอยจด อันนี้ทำไม่ถูกต้อง กลับมาถึงบ้านเปิดลิสมาเลย 1, 2, 3, 4  สารภาพไปเลย สบายใจหน่อย หลับสนิท อย่างนั้นเหรอ ท่านก็รู้แล้วว่าไม่ใช่ ถ้าไม่ใช่ อีกทางหนึ่งต้องใช่สิ นั่นแหละคือทางพระคัมภีร์เป๊ะเลย ผมจะพาท่านไปอ่าน โรม 3:22-26

โรม 3:22-26 “22 ความชอบธรรมจากพระเจ้านี้ ผ่านมาทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์ ไปถึงคนทั้งปวงที่เชื่อ ไม่มีข้อแตกต่างกัน 23 เพราะว่าทุกคนทำบาป และเสื่อมจากพระเกียรติสิริของพระเจ้า 24 และโดยพระคุณของพระเจ้า พระองค์ทรงนับว่าพวกเขาเป็นผู้ชอบธรรม โดยไม่คิดมูลค่า ด้วยการที่พระเยซูคริสต์ทรงได้ไถ่พวกเขา 25 พระเจ้าทรงให้พระเยซูเป็นเครื่องบูชาลบบาป  แก่ผู้ที่มีความเชื่อ ในพระโลหิตของพระเยซู พระเจ้าทรงกระทำเช่นนี้ เพื่อสำแดงความยุติธรรมของพระองค์ เพราะโดยความอดกลั้นพระทัย พระองค์จึงไม่ได้ทรงลงโทษบาป ที่ทำไปก่อนหน้านั้น 26 พระองค์ทรงกระทำเช่นนี้ เพื่อสำแดงความยุติธรรมของพระองค์ในกาลปัจจุบัน เพื่อว่าพระองค์จะทรงเป็นผู้เที่ยงธรรม และเป็นผู้ที่ให้บรรดาคนที่มีความเชื่อในพระเยซู ถูกนับเป็นผู้ชอบธรรมด้วย”

 

ความชอบธรรมจากพระเจ้า คือพระเจ้าตัดสิน แล้วว่าท่านไม่มีบาปแล้ว  ท่านสะอาดหมดจด บริสุทธิ์ไม่มีโทษ ไม่มีตำหนิ ขาวมาก เรียกว่าผู้ชอบธรรม  … อธรรม คือท่านอยู่ตรงนี้ (ฝั่งดำ) ท่านเต็มไปด้วยความบาป สกปรก กบฏต่อพระเจ้า ต้องใช้หนี้เขา แต่บัดนี้ ผ่านทางความเชื่อในพระเยซู เชื่อในการไถ่บาปของพระเยซูที่ไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว พระเจ้าเรียกท่านว่าเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว อยู่ที่โลกแห่งความสว่าง อยู่กับพระเยซู อยู่กับพระเจ้าแล้ว ทันทีทันใด ในขณะที่ท่านอยู่บนโลกนี้ ท่านก็อยู่ในความสว่างนั้นแล้ว ไม่ต้องรอให้ตายแล้วค่อยไป เอเมน

ไม่มีข้อแตกต่างกัน เพราะทุกคนทำบาป และเสื่อมจากพระเกียรติสิริของพระเจ้า และโดยพระคุณของพระเจ้า พระองค์ทรงนับว่าพวกเขาเป็นผู้ชอบธรรม โดยไม่คิดมูลค่า ด้วยการที่พระเยซูคริสต์ ได้ไถ่ แสดงว่ามันสำเร็จไปแล้ว ตอนพระเยซูอยู่ที่ไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีก่อน พระคัมภีร์บันทึกว่าพระองค์ทรงตรัสก่อนสิ้นพระชนม์ว่า …

“สำเร็จแล้ว ได้ไถ่แล้ว ได้จ่ายเงินให้ครบหมดเรียบร้อยแล้ว จ่ายหนี้ให้พวกเธอหมดแล้ว เธอเป็นอิสระแล้ว เมื่อไรใครรับเชื่อ ก็ได้เลย” เอเมน

“ได้” คือสำเร็จแล้ว  พูดถึงการไถ่ของพระเยซู เมื่อไร? ในพระคัมภีร์ใหม่ พระคัมภีร์ยุคคริสเตียน หรือหลังจากที่พระเยซูตายที่ไม้กางเขนแล้ว จะใช้คำว่า “ได้” ทั้งนั้น ผ่านมาแล้วทั้งนั้น เป็นอดีตไปแล้วทั้งนั้น  เอเมน แค่นี้นิดเดียว ความเชื่อเราเปลี่ยนไปแล้ว นึกว่ายังไม่ได้ รออยู่ตั้งนาน ด้วยการที่พระเยซูคริสต์ได้ไถ่พวกเขา

หมายถึง 2 พวกเท่านั้นเอง คือคนที่เชื่อพระเยซู และคนอิสราเอล 2 พวกนี้พระเจ้าเตรียมไว้ ให้เป็นผู้ชอบธรรม โลกนี้มี 2 เผ่าพันธุ์ คือยิวและอีกเผ่าพันธุ์หนึ่งที่ไม่ได้เป็นยิว เราก็อยู่ในพวกที่ไม่ได้เป็นยิว แต่เราเชื่อในข่าวดี คนที่เป็นยิว เขาก็จะต้องเชื่อในข่าวดีเหมือนกัน เขาจึงจะได้รับความรอด ไม่แตกต่างกัน เอเมน

ในนี้ก็เหมือนกัน พระเจ้าทรงให้พระเยซูเป็นเครื่องบูชาลบบาป แก่ผู้ที่มีความเชื่อในพระโลหิตพระเยซู ถ้าท่านฟังผมพูด ท่านจะรู้แล้วว่าตรงนี้ต้องแปลว่าพระเจ้าได้ให้พระเยซูเป็นเครื่องลบบาป ทำเสร็จไปแล้วทั้งนั้น แก่ผู้ที่มีความเชื่อ เชื่อในพระโลหิตของพระเยซู พระเจ้าได้กระทำเช่นนี้  คือส่งพระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์และตายที่ไม้กางเขน และหลั่งพระโลหิตชำระบาปให้มนุษย์ทั้งปวง พระองค์ทรงทำให้เรียบร้อย ต้องเขียนคำว่า …

“พระเจ้าได้กระทำเช่นนี้ เพื่อสำแดงความยุติธรรมของพระองค์ สำแดงว่าพระองค์เป็นพระเจ้าแห่งความสัตย์ซื่อ และโดยความอดกลั้นพระทัย พระองค์จึงไม่ได้ลงโทษบาปที่ทำไปก่อนหน้านั้น”

ก่อนพระเยซูคริสต์จะเกิด ลบออกหมดเลย หลังพระเยซูคริสต์ ลบออกหมดเลย พระองค์ได้กระทำเช่นนี้  เพื่อสำแดงความยุติธรรมของพระองค์ ในการปัจจุบัน ก็คือหลังจากพระเยซูตายและเป็นขึ้นมาใหม่แล้ว เพื่อว่าพระองค์จะเป็นผู้เที่ยงธรรม และเป็นผู้ที่ในบรรดาคนที่มีความเชื่อในพระเยซู ก็คือพวกเราทั้งหลายที่นั่งอยู่ที่นี่ เชื่อในพระเยซู พระองค์นับเขาว่าเป็นผู้ชอบธรรม พระเจ้านับเราเป็นผู้ชอบธรรม พระเจ้าเป็นผู้พิพากษาของมหาจักรวาล ตัดสินเราเรียบร้อยแล้วว่าเราเป็นผู้ชอบธรรม สมควรนั่งกับพระเยซูในสวรรค์สถานในโลกฝ่ายวิญญาณ ที่เรียกว่าโลกแห่งความสว่าง หรือเรียกว่าสวรรค์ หรือเรียกว่าในพระคริสต์ ทันทีทันใด เมื่อใครก็ตาม เชื่อ ยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน ทันทีทันใด ขณะที่เขาเริ่มต้นเชื่อ เขาอาจจะฟังครั้งแรก มีคนมาพูด เขาก็สนใจนะ หรืออาจจะไม่สนใจก็ได้ ฟังครั้งที่ 2 จากวิทยุ เขาพูด ก็ดี อีกครั้งหนึ่ง ฟังครั้งที่ 300 จากใบปลิว ก็ดีเหมือนกัน ฟังครั้งที่ 7,000 จากเพื่อนสนิท ฟังครั้งที่หนึ่งหมื่น  จากภรรยาตัวเอง  มันเกิดอะไรขึ้นมา เกิดเอาไปคิด นั่งอยู่ที่บ้านก็คิดๆ ในเช้าวันหนึ่ง ก็คิด

“ฉันเอาดีกว่า ฉันเชื่อแล้วล่ะ”

นั่นแหละเขาเรียกว่ารับเชื่อ ในวิญญาณของเขามันเกิดการเปลี่ยนแปลง เรียกว่าการบังเกิดใหม่ในวิญญาณ เขายังไม่รู้ตัวเลย ไม่ต้องมีความรู้สึกขนลุก ขนพอง สยองเกล้า ไม่ต้องมีดีใจ ร้องไห้ มีก็ได้ ไม่มีก็ได้ บางคนไม่ได้ขึ้นอยู่ตรงนั้น บางคนอาจจะรู้สึก เชื่อพระเจ้าดีกว่า ซึ่งอาจจะเป็น ณ วินาทีนั้นก็ได้ ที่วิญญาณของเขาเกิดใหม่จริงๆ พระเจ้าได้ส่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ลงมาเจิมเขา เรียกว่าชุบเขา เรียกว่าบัพติศมาเขา ด้วยฤทธิ์เดช ด้วยไฟของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเจ้าย้ายเขามาอยู่นี่เลย  และนับเขาว่าเขาเป็นผู้ชอบธรรม เพราะว่าเขายอมรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระผู้ไถ่บาปแล้ว พระเยซูรับเขาแล้ว จบ เขาก็มาใช้สิทธิของเขา ที่พระเยซูคริสต์ทำให้มาตั้งนานแล้ว แล้วเขาไม่ใช้ ซึ่งเป็นสิทธิ์ของเขา มันอยู่ตรงนั้นมาตั้งนาน เป็นมรดกให้เขาตั้งนานแล้ว อยู่ที่เขาจะมารับหรือไม่รับ ใครไปรับแทนเขาก็ไม่ได้ ใครจะผลักเขามารับ ก็ไม่ได้ ต้องเขาเป็นคนตัดสินใจเอง ไม่มีใครเอาเขาออกไปอีกแล้ว เขาจะอยู่ที่นี่ตลอดไป จบแล้ว ต่อไปเป็นหน้าที่ของพระเจ้า

คำถามที่มักมีคนถาม แม้กระทั่งตัวเราเอง อาจจะถามในใจว่าถ้าอย่างนั้น การมาเป็นคริสเตียน การเชื่อในข่าวดีของพระเยซู ยอมรับพระเยซูมาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด คือเมื่อรับเชื่อแล้ว ไม่ต้องทำความดีก็ได้สิ

ฟังให้ดีๆ ถูกไหม? ท่านจะถูกคนแย้งตามเหตุผลมนุษย์ ทำแต่เรื่องผิดๆ ก็ได้  เพราะแค่เชื่ออย่างเดียว ก็ได้รับความรอดแล้ว จริงไหม? มาดูโรม 12:1-2

โรม 12:1-2 “1 เหตุฉะนั้น พี่น้องทั้งหลายเมื่อพิจารณาถึงพระเมตตาของพระเจ้า ข้าพเจ้าจึงขอให้ท่านทั้งหลายถวายตัวของท่านแด่พระเจ้า เป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิต ที่บริสุทธิ์ และที่พระเจ้าพอพระทัย นี่เป็นการนมัสการที่แท้จริง 2 อย่าดำเนินชีวิตตามอย่างคนในโลกนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจของท่านใหม่ แล้วท่านจึงจะสามารถพิสูจน์ และยืนยันได้ว่าสิ่งใด คือพระประสงค์ของพระเจ้า คือพระประสงค์อันดี อันเป็นที่พอพระทัย และสมบูรณ์พร้อมของพระองค์

 

ถ้าแปลตรงนี้ง่ายๆ ก็เหมือนตะกี้เราเชื่อพระเจ้าแล้วใช่ไหม? เราเป็นคริสเตียนแล้ว เราก็เข้ามาอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่าง เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าแล้ว วิญญาณเราเปลี่ยนไปเลย  สะอาดบริสุทธิ์แล้ว เหมือนพระเจ้า เราอยู่กับพระเจ้า ในนั้น แต่เนื้อหนังข้างนอกเรายังเป็นเหมือนเดิม เป็นคนเดิม สรุปเป็นเหมือนกับการหนุนใจพี่น้องในครอบครัวแห่งความสว่าง ที่เขาอยู่กันด้วยความรัก

“น้อง!  น้องเข้ามาอยู่ใหม่  หรือน้องที่อยู่นานแล้ว  พระเจ้ารักเรามากนะ  ทำสิ่งต่างๆ เหล่านี้ให้เรา  รู้อยู่แล้วใช่ไหม? เราเป็นผู้บริสุทธิ์สะอาด”

“เพราะฉะนั้น  เนื้อหนังร่างกาย ก็พยายามทำอะไรก็ตาม ให้มันเป็นไปตามวิญญาณ … วิญญาณเราสะอาดหมดจดแล้ว อย่าไปทำสิ่งสกปรกเหมือนเดิมนะ เห็นแก่พระเจ้า เห็นแก่พ่อเรา พ่อเรารักเรามากเลย”

รวมสรุป ต้องการให้เรารู้แค่นี้เอง  และเป็นอย่างนั้น ตั้งใจทำสิ่งที่มันสมควรที่จะกระทำ เพราะว่าเราเป็นลูกของพระเจ้าแล้วนะ เราสะอาดหมดจด เราสมควรทำสิ่งที่เป็นสะอาดๆ อย่าไปทำสิ่งเก่าๆ พระเจ้าจะไม่สอนเราว่า …

“รู้ไหม? ทำไมถึงเข้ามาในนี้ได้ เพราะพระเจ้ารักนครมากไง”

ไม่ใช่ รักเท่ากันทุกคนแหละ เข้าใจไหม?

“เพราะนครก่อนมาเชื่อ เขาทำดีไว้เยอะ พระเจ้ามองดูอยู่แล้ว”

จริงหรือไม่จริง? ไม่จริง

“ก่อนมาเชื่อพระเจ้า เธอเคยไปสร้างโบสถ์คริสเตียนไง”

จริงหรือไม่จริง? ไม่จริง หรือมาเชื่อแล้วก็ตาม

“เธอต้องทำดีเยอะๆ เลยนะ พระเจ้ารักคนที่ทำดีมากๆ”

ไม่ใช่อีกแหละ ถ้าเธอทำอย่างนี้ พระเจ้าไม่รักเธอแล้ว พระเจ้าเกลียดเธอเลย  จริงหรือไม่จริง? ไม่จริง เพราะพระเจ้ารักเราแล้ว และรักตลอดไป และอภัยให้เราตลอดไป เอเมน

ท่านพอมองเห็นภาพไหมว่าผมกำลังนำท่านให้เห็นในโลกฝ่ายวิญญาณจริงๆ เราได้รับความรอด เพราะเป็นพระคุณ ความรัก ความเมตตาจากพระเจ้าที่ให้เราเรียบร้อยไปแล้ว เราจึงมีความรู้สึกตั้งใจ เชื่อฟังและจะทำตามคำสอนของพระเจ้า เพื่อให้เป็นที่พอใจของพ่อเรา พ่อเราดีใจ เรารักพ่อเราแล้ว แต่เราทำได้หมดไหม?  ไม่ได้  พอไม่ได้ พ่อเราโกรธ ว่า ตบซ้ายขวาหัน กระเด็นเป็นอย่างนั้นหรือ?

พระเจ้าเป็นความรัก            พระเจ้าเป็นความรัก  พระเจ้าเป็นความรัก

พระเจ้าอภัยให้เราเสมอแหละ พระเจ้าไม่ได้มองตรงนั้นเลย ทุกวันนี้ มานั่งบรรยายแก้ต่างให้พระเจ้าของเรา  ฟังให้ดีๆ นะ เราไม่ได้ทำความดี เพื่อมาเป็นลูกพระเจ้า หรือเพื่อจะได้เข้ามาอยู่ในอาณาจักรแห่งแสงสว่าง ซึ่งเป็นไปไม่ได้ ไม่มีใครสามารถที่จะกระทำความดี เพื่อจะย้ายตัวเองมาอยู่ในอาณาจักรแห่งแสงสว่าง เพื่อจะมาอยู่ในพระคริสต์ แต่เพราะเราได้เป็นลูกของพระเจ้าด้วยความเชื่อ โดยไม่ได้ทำอะไรเลย ในพระเยซูคริสต์ เราจึงได้เข้ามาอยู่ในอาณาจักรแห่งแสงสว่าง พออยู่ในความสว่าง เราจึงสำนึกในพระคุณความเมตตาจากพระเจ้า และได้กำลังจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งสถิตอยู่กับเรา ให้ดำเนินชีวิตตามพระประสงค์ของพระเจ้า ตามคำสอนของพระองค์ ในพระคัมภีร์ได้ เอเมน คำว่าได้เมื่อตะกี้ ผมไม่ได้หมายถึงได้หมด หมายถึงตั้งใจ เราถึงจะมีความตั้งใจอย่างนั้น วิญญาณของทุกคนที่เชื่อในพระเยซู ไม่มีวิญญาณไหนอยากจะทำสิ่งที่ผิดพลาด เขาอยากจะทำถูกต้องหมด เพราะว่าวิญญาณเขาสะอาดหมดจด แต่ปัญหามันอยู่ที่ร่างกายเก่า ความคิดเก่าๆ ซึ่งจำเป็นจะต้องถูกเปลี่ยนแปลงเสียใหม่ พระคัมภีร์บอกได้รับการเปลี่ยน ที่เราเรียนกันอยู่ทุกวันนี้ เราอ่านพระคัมภีร์ทุกวันนี้ หรือเราฟังถ้อยคำพระเจ้าทุกวันนี้ หรือเราดำเนินชีวิตกับพระเจ้าทุกวันนี้ พระวิญญาณกำลังสอนเรา กำลังเปลี่ยนแปลงเราไปเรื่อยๆ ในวิญญาณของเรา

เราสำนึกอยู่ในใจว่าเราสมควรทำในสิ่งที่พ่อเราบอก พ่อเราบอกว่าดี เราก็ทำ เราต้องยึดมั่นคงในความเชื่อว่าเราอยู่ในความสว่างนั้น เราเป็นผู้ชอบธรรม ถูกนับเป็นผู้ชอบธรรมได้เพียงกรณีเดียว ก็คือเพราะว่าเราเชื่อในพระเยซูคริสต์ เราต้องยึดกอดตรงนี้ไว้ให้แน่น เพราะเรามาเชื่อพระเจ้า เดี๋ยวมันก็เซไปเรื่อยๆ ว่าเราต้องทำอันโน้น เราต้องทำอันนี้ เพื่อเราจะรักษาตำแหน่งให้อยู่ตรงความสว่าง ไม่ใช่เลย ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม คุณก็อยู่ในความสว่าง เอเมน มันฝืนกับความคิดเก่าๆ แต่มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ

เราไม่ได้ทำความดี หรือละเว้นการกระทำชั่ว เพราะความกลัวต่อไปแล้ว สมัยก่อนเราทำ เพราะเรากลัว แต่ตอนนี้ เราทำ ไม่ใช่ เพราะกลัวพระเจ้า พระเจ้าเป็นความรัก ไม่กลัวแล้วว่าถ้าไม่สะสมความดี จะไม่ได้ไปสวรรค์ ไม่กลัวแล้วว่าถ้าทำบาป จะต้องไปนรก ถ้าท่านกลัวอย่างนั้น อย่างที่ผมบอก แล้วท่านรู้ได้อย่างไรวันหนึ่ง ท่านทำบาปไปกี่ครั้ง แค่ไปตะคอกเขา แค่อารมณ์เสียใส่เขา ก็บาปแล้ว พระเยซูบอก แค่ว่าพี่น้องว่าไอ้โง่ ก็ตกนรกแล้ว แค่เห็นผู้หญิง แล้วคุณมีความรู้สึก ความคิด ตกนรกแล้ว

พระเยซูกำลังจะบอกว่าไม่มีใครทำได้หรอก มาตรฐานของพระเจ้าในความบริสุทธิ์ โดยการกระทำด้วยตัวเอง เป็นไปไม่ได้ ถ้าตาพาไปทำผิด ควักตาออก ถ้ามือขโมยของ ตัดมือทิ้ง ถ้าขาพาไปชั่ว ตัด ทุกคนเข้าสวรรค์ คงเป็นพิการหมด พระเยซูกำลังจะบอกว่ามันทำไม่ได้ พระเยซูบอกว่าอย่างไร?

“ท่านจงอธิษฐานอย่างนี้”

จบสุดท้ายบอกว่า “ถ้าท่านยกโทษให้กับคนที่ทำผิดต่อท่าน เหมือนกับที่พระเจ้ายกโทษให้กับท่าน พระเจ้าก็จะอภัยให้ท่านด้วย  ฟังให้ดีๆ พระเจ้าจะอภัยให้กับคนที่อภัยให้กับคนอื่นที่ทำไม่ดีต่อท่าน ท่านว่าเป็นไปได้ไหม? มีคนทำได้ไหม? แล้วพระองค์ก็ตรัส ที่ตะกี้นี้บอกว่าถ้าตา ทำให้ท่านไปทำบาป  ตัดทิ้ง  พูดง่ายๆ  พูดอะไรออกมา  มนุษย์ทำไม่ได้ทั้งหมดเลย  พวกฟาริสีเหล่านั้น เขารู้ทันทีว่าใครจะไปทำได้ โกรธเขา อภัยให้ตลอดเลย เขาทำอะไรให้ อภัยให้ตลอดเลย มันทำไม่ได้ นั่นแหละ พระเยซูกำลังบอกว่าทำให้ตาย ก็ทำไม่ได้ กำลังจะบอกว่าเราต้องพึ่งพระเจ้า พึ่งในการไถ่บาปของพระเยซู เวลาท่านอ่านไป พอท่านรู้ แล้วท่านจะขำว่าเสร็จแล้วเกิดอะไรขึ้น ฟาริสีเกิด 2 พวก พวกหนึ่งก็งง อีกพวกหนึ่งเจ็บแค้น พระเยซูเหมือนกับว่าเขาทางอ้อมว่าหน้าซื่อใจคด

อย่างที่ผมบอก พระเจ้าอภัยให้เราหมดแล้วที่ไม้กางเขน ที่พระเยซูบอก “สำเร็จแล้ว” หมายถึงบาปทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ได้ถูกลบล้างไปหมดแล้ว ท่านคิดดู มีเหตุผลไหม? บาปในอดีตของเรามาจากไหน? มาจากเราไม่ได้ทำอะไรเลย ไม่ใช่มาจากเราไปทำบาปนะ มันมาจากเราเกิดมา เราก็บาปแล้ว แล้วพอพระเยซูบอกว่าพระเจ้าส่งพระองค์มาเกิดบนโลกใบนี้  มีคนไถ่บาปให้กับเรา มนุษย์ทุกคนไม่ต้องทำดีอะไรเลย ก็พ้นจากบาปแล้ว ทีอย่างนี้ไม่เอา แต่ที่บอกว่ามนุษย์ทุกคนเกิดมาก็บาปแล้ว ต้องใช้หนี้ ใช้เวร ใช้กรรม เอา ไม่มีเหตุผลเลย  อยู่ดีๆ เกิดมา ใช้หนี้ ใช้กรรม

“อะไร ฉันยังไม่ได้ทำอะไรเลย ทำอะไร เมื่อไร บอกมาสิ ไม่เห็นมีใครบอก มีแต่บอกว่าเกิดมาต้องใช้หนี้ ใช้เวร ใช้กรรม”

แล้วเราก็เชื่อ แล้วมีอีกฝ่ายหนึ่งมาบอกข่าวดีของพระเยซูว่า …

“เธอมีหนี้ เวร กรรมต้องใช้ใช่ไหม? พระเยซูใช้ให้หมดแล้ว ต่อไปนี้ เธอไม่ต้องทำอะไร? แค่เชื่อพระเยซูก็ใช้หมดแล้ว”

“เป็นไปไม่ได้  คนเราต้องทำสิ่งที่ดีๆ มันเป็นไปได้อย่างไร?”

อ้าว! ตอนที่คุณรับ บอกว่าผิด มีบาป ใช้เวร ใช้กรรม คุณไม่เห็นพูดกับเขาเลย

“ผมไปทำเวรกรรมที่ไหน? บอกผมมาสิ ผมต้องใช้แค่ไหน? ผมต้องทำดีเท่าไร ถึงจะใช้มันหมด กี่ตังค์ว่ามา”

ไม่เห็นพูดเลย “ใช้ไปกี่ปี กี่ชาติก็ไม่มีวันจบ”

อ้าว! พูดอย่างนั้นอีก แล้วคุณก็เชื่อด้วยนะว่าเกิดมาใช้เวร ใช้กรรมตลอด พอพระเยซูมาบอก พระเจ้าส่งพระเยซูมา เพื่อเราจะหมดเวร หมดกรรม หมดเลย มันเชื่อยากจริงๆ

นี่พูดให้ท่านเห็นชัดๆ การมาเรียนรู้เรื่องโลกวิญญาณ ก็เพื่อให้ท่านเกิดความมั่นใจว่าอาณาจักรแห่งความสว่าง หรืออาณาจักรสวรรค์ จะเป็นที่อยู่ถาวรนิรันดร์ของท่าน ท่านแค่ยอมรับ และเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระผู้ไถ่ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ที่ส่งมาเมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว แค่นั้นเอง ในโลกวิญญาณมีแค่นั้น นอกนั้น ท่านคิดกันเองหมด แล้วต่อจากนั้น เราทำสิ่งที่ดีๆ ก็เพราะเราสำนึกในพระคุณ เรารักพ่อของเรา เราอยากทำสิ่งที่ดีๆ ทำผิดพลาดไป พ่อเราก็อภัย แต่เราตั้งใจทำสิ่งที่ดี แค่นั้นเอง จบ แล้วก็มั่นใจว่าพระคริสต์นำพาเราได้ ฤทธิ์เดชอำนาจพระองค์ยิ่งใหญ่เหลือเกินมหาศาล

เพราะฉะนั้น นี่คือสิ่งที่บอกว่าอาณาจักรแห่งความสว่างของพระคริสต์ เขาปกครองกันแบบครอบครัว เต็มไปด้วยความรักอย่างนี้แหละ มันไม่เหมือนกับโลกของความมืด ที่ตะกี้เราบอกว่าควบคุมโดยความบาปของมาร อยู่เหมือนเป็นทาส ถูกข่มเหง ถูกตวาด ถูกข่มขู่ ถูกใช้งาน เหนื่อย เข้ามาอยู่กับพระเยซูหายเหนื่อยและเป็นสุข แต่อย่างที่ผมบอก โลกวิญญาณเป็นเรื่องความจริงที่ตามนุษย์เรามองไม่เห็น หูมนุษย์ ก็ไม่ได้ยิน จึงเป็นสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ ด้วยสัมผัสทั้ง 5 ของเรา มันจึงยากที่จะเข้าใจ มันจึงต้องใช้ความเชื่อในถ้อยคำพระเจ้าที่สอนเรา ทีละนิดทีละหน่อย แล้วค่อยๆ ให้พระวิญญาณนำไป ย่อยไปทีละนิด ถึงจะเข้าใจได้ อย่าใช้ความรู้สึก ซึ่งอยู่ในสัมผัส อย่าใช้ตา ต้องเห็น อย่าใช้มือ ต้องจับ ไม่ใช่ ไม่ว่าจะเป็นตา หู จมูก ลิ้น กาย และจิตใต้สำนึก ไม่ได้ช่วยเราในเรื่องพระเจ้าเลย  แม้แต่นิดหนึ่ง ถ้าใครไปยึดติดอยู่ตรงนั้น สิ่งใดสิ่งหนึ่ง กลับกลายเป็นแย่ด้วยซ้ำไป ในเรื่องของสัมผัสว่าถ้าพระวิญญาณมา ต้องขนลุกนิดๆ ถ้าพระวิญญาณมา ต้องลอยไปลอยมา หรือพระวิญญาณมาได้รับการเจิม ต้องนอนกลิ้งไป หรือล้มลงไป ไม่ใช่เลย ไม่เกี่ยวเลย  ไม่ได้ขึ้นอยู่กับตรงนั้น

นี่คือความจริง จึงเป็นเรื่องไม่ง่ายในการที่จะมาเรียนรู้เรื่องโลกวิญญาณว่าโลกวิญญาณมีอยู่จริงๆ แล้วตอนนี้ ฉันอยู่ในสถานที่ใดสถานที่หนึ่งในโลกวิญญาณจริงๆ ไม่ว่าจะโลกวิญญาณ แบบที่เรียกว่าโลกแห่งความสว่างของพระเจ้า หรือโลกวิญญาณที่เรียกว่าความมืด ฉันอยู่ที่ใดที่หนึ่งจริงๆ ที่เราจะมั่นใจว่ามันเป็นจริง ร่างกายฉันตอนนี้นั่งอยู่ในโบสถ์โฮลี่ อยู่ที่ซอย 8 กรุงเทพกรีฑาก็จริง แต่วิญญาณอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน เอเมน มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ

พระคัมภีร์จึงบอกว่าคนที่จะได้รับรู้ เรื่องโลกวิญญาณ เรียนรู้อย่างนี้  แล้วก็มากขึ้นในโลกวิญญาณ เข้าใจ จึงไม่สามารถจะใช้อธิบายด้วยตามนุษย์ หรือปากมนุษย์ หรือความคิดแบบมนุษย์ แล้วเข้าใจอย่างนี้ได้

ตอนนี้เราจะพูดถึงคนที่ถูกย้ายเข้ามาอยู่ในนี้เป็นอย่างไร? พอย้ายมาแล้ว มาอยู่ในความสว่างก็จริง แต่นิสัยเดิมๆ ความคิดเดิม มันก็ติดมาหมดแหละ สมมติเสื้อตัวนี้ คือร่างกายเรา ร่างกายก็ร่างกายเดิม มีวิญญาณเท่านั้นที่เป็นขาวใหม่ เท่านั้นเอง ในหนังสือเอเฟซัส 1:18 อาจารย์เปาโลจึงอธิษฐานให้กับบรรดาผู้เชื่อเริ่มต้นเหล่านี้ว่าเธอต้องได้รับตรงนี้ แล้วเธอถึงจะเจริญเติบโต รู้ว่าเธออยู่ที่ไหน? มีชีวิตที่เต็มไปด้วยชัยชนะ มีชีวิตที่จะสามารถสัมผัสกับบรรดาผู้คนมากมาย เพื่อให้ข่าวประเสริฐไปหาเขาทุกคนได้ เป็นชีวิตที่พระเจ้าจะใช้ได้ เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระองค์ได้

เอเฟซัส 1:18 “ข้าพเจ้ายังอธิษฐานขอพระเจ้า ให้ตาของวิญญาณ (ซึ่งเป็นตัวจริงๆ ของท่าน) สว่าง เพื่อจะได้รับการสำแดงความรู้ จากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เพื่อท่านจะได้รับรู้ถึงความหวัง และมีความมั่นใจ ในเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ของพระเจ้า ที่พระองค์ได้เรียกท่านเข้ามานั้น และรับรู้เรื่องมรดกที่เต็มไปด้วยสง่าราศีอันยิ่งใหญ่ รุ่งเรือง และมีค่าที่สุดของพระองค์  ที่ได้ทรงจัดเตรียมไว้ให้กับท่าน ผู้ซึ่งได้เป็นประชากรที่บริสุทธิ์ชอบธรรมของพระเจ้าแล้ว (โดยผ่านทางความเชื่อและรับสิทธิ์ของท่าน ที่พระเยซูได้ไถ่บาปให้)”

 

แปลจากอันสุดท้ายขึ้นมาก่อน “ผ่านทางความเชื่อและรับสิทธิ์ของท่าน ที่พระเยซูไถ่บาปให้ท่าน”  ผมนั่งอยู่ที่นี่ ผมได้ยินข่าวประเสริฐ เขาบอกว่าพระเยซู เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว เป็นพระบุตรของพระเจ้า มาตายที่ไม้กางเขน ชำระบาปเวรกรรมให้กับมนุษย์ทั้งปวง และพระองค์ทรงทำเสร็จแล้วที่ไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปี ผมได้ยินอย่างนั้น ผ่านทางความเชื่อ รับสิทธิที่พระเยซูทำให้ ผมเชื่ออย่างนั้น ผมจะรับสิทธิของผมแล้ว ผมจะได้รับการไถ่บาป พอได้รับการไถ่บาปปุ๊บ ผมก็กลายมาเป็นผู้บริสุทธิ์ชอบธรรมของพระเจ้า

บริสุทธิ์นี้ ใช้คำๆ เดียวกับโบสถ์เลย Holy ใช้คำเดียวกับที่พระเยซูทำเลย ก็คือชำระ ซึ่งได้รับเป็นประชากรของพระเจ้า ที่ถูกชำระให้บริสุทธิ์สะอาด ชอบธรรม ไม่มีบาปเลยของพระเจ้าแล้ว เมื่อเป็นเช่นนั้น ก็อยู่ที่มืดๆ ต่อไปไม่ได้แล้ว เพราะย้ายมาตรงนี้แล้ว

ตอนต้นบอกว่า  “ข้าพเจ้าอธิษฐานขอพระเจ้าให้ตาวิญญาณ” วิญญาณซึ่งเป็นตัวจริงๆ ของท่าน ที่เราเห็นกันอยู่ นั่งกันอยู่ ไม่ใช่ตัวจริงๆ ของเรา ร่างกายเราถูกสร้างด้วยดิน ก็ต้องกลับไปสู่ดิน เวลาเขาทำพิธีฝังศพที่สุสาน ศิษยาภิบาลก็จะบอกว่ามาจากดิน ตามถ้อยคำพระเจ้า ก็ไปสู่ดิน แล้วก็เอาดินกลบ  เป็นสัญลักษณ์ ดินนั้น ก็คือดิน น้ำ ลม ไฟ ธาตุทั้ง 4 บนโลกใบนี้  พอเราตาย ร่างกายนี้ ถูกฝังเข้าไปในดิน บางคนกลัวถูกเผา เป็นคริสเตียน ไม่กล้าให้เผา เพราะกลัวร้อน  งง จริงๆ มีบางคน ติดจากของเก่า กลัวร้อน แล้วบางคนก็บอกว่าเดี๋ยวตอนพระเยซูกลับมาใหม่ ในพระคัมภีร์บอกว่าร่างกายของเราที่ตายไปแล้ว จะกลับขึ้นมาใหม่ แล้วมันจะเป็นขึ้นมาได้อย่างไร? มันถูกเผาไปหมดแล้ว คิดไปถึงขนาดนั้น ลืมคิดไปว่าฝังลงไปในดิน มันก็หายไปหมด เหมือนกัน

ดินก็ไปสู่ดิน น้ำก็ไปสู่น้ำ ไฟก็ไปสู่ไฟ ลมก็ไปสู่ลม หมดทั้งตัว ไม่เหลืออะไรเลย คำว่า “เป็นขึ้นมาใหม่” พระเจ้ามีวิธีทำให้ท่านเป็นขึ้นมาใหม่ ด้วยร่างกายใหม่ ที่เต็มไปด้วยพระสิริของพระเจ้า เอเมน ไม่ต้องพยายามคิดหรอกว่าทำอย่างนั้น อย่างนี้ อย่างไร?

ยกตัวอย่างอันหนึ่งให้ดู เอาใกล้เคียงที่สุดเคยเห็นต้นข้าวไหม? ต้นข้าว ออกดอกเหลืองอร่าม แล้วช่อก็สวยงาม ต้นนี้เปรียบเหมือนเราได้รับร่างกายใหม่จากพระเจ้า ต้นข้าวเริ่มต้นจากเมล็ดเดียวเล็กๆ  แล้วในพระคัมภีร์ใน 1 โครินธ์ 15 บอก เมล็ดนั้นต้องลงไปที่ดิน ต้องเน่าก่อน ใช้คำว่าเน่าเลย  แล้วมันถึงเกิดสิ่งใหม่ขึ้นมา

ตัวจริงๆ ของเรา คือวิญญาณของเรา ซึ่งจะอยู่ตลอดไป ไม่ว่าจะอยู่ในอาณาจักรของความมืด หรืออยู่ในอาณาจักรของความสว่าง ก็จะอยู่ที่นั่นตลอดไป และวิญญาณตัวนั้น มีตาวิญญาณที่จะรับรู้ ให้ตาวิญญาณของท่านสว่างขึ้น เพื่อจะรับการสำแดงความรู้ จากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งเป็นพี่เลี้ยงท่าน นำพาท่านไป ตามทางที่พระเจ้าวางไว้

เพื่อท่านจะได้รับรู้ถึงความหวัง และมีความมั่นใจในเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ ที่ท่านนั่งอยู่นั่น สวรรค์แล้ว ท่านไม่รู้เรื่อง ท่านจะได้มีความมั่นใจว่าท่านนั่งอยู่ในสวรรค์แล้ว พระเจ้าได้พาท่านเข้ามาอยู่ในนี้แล้ว เรียนรู้ด้วยทางวิญญาณ ไม่ใช่เรียนรู้ด้วยความคิดมนุษย์ ท่านต้องเรียนรู้ใหม่

อย่างเช่น เริ่มต้นเรียนรู้เรื่องโลกวิญญาณมี 2 อาณาจักรแล้ว อย่างนี้เป็นต้น

“และรับรู้เรื่องมรดก ที่เต็มไปด้วยสง่าราศีอันยิ่งใหญ่ รุ่งเรือง และมีค่าที่สุดของพระองค์ ที่ได้ทรงจัดเตรียมไว้ให้กับท่าน ได้รับมรดกเรียบร้อยแล้ว”

ยกตัวอย่าง นางเอกถูกข่มเหงตลอด มารู้ทีหลังว่าเป็นทายาท คุณปู่ยกสมบัติให้ แต่เธอไม่เชื่อ พระเอกก็ไม่รู้จะทำอย่างไร? จะไปขุดเอาคุณปู่ขึ้นมา ก็ไม่ได้ เพราะคุณปู่ตายแล้ว เอาแม่ของตัวเอง ซึ่งเป็นลูกสาวของคุณปู่มา ยืนยัน ใช่จริงๆ ตอนเธอเกิด คุณปู่บอกเลยว่าเธอเป็นลูกคนโน้นคนนี้ เขารักเธอมาก ยกให้เธอคนเดียวเลย ไม่เชื่อหรือ? คุณปู่บอกฉันว่าเธอมีปานซ้าย ที่มือขวาข้างหลัง อะไรก็ว่าไป เปิดมาดู มีจริงๆ ใช่แน่นอน นางเอกบอกว่าไม่เชื่อ เป็นไปไม่ได้

เพราะสิ่งเหล่านี้ มาเทียบกับข่าวประเสริฐของพระเจ้า มาตรงเลย เพราะเอาเหตุผลของมนุษย์มาเทียบไม่ได้เลย ต้องทางวิญญาณจริงๆ แล้วทำอย่างไรนางเอกถึงจะเปลี่ยนใจได้ พระเอกมาบอกใหม่

“ฉันบอกความจริงเธอทั้งหมด เพราะฉันรักเธอจริงๆ”

โอ้โห! รับได้เลย เพราะไม่ได้ด้วยเหตุผลแล้ว ความรัก คืออะไรบางอย่างที่มันเหนือเหตุผล

“เพราะฉันรักเธอ ฉันไม่โกหกเธอหรอก”

“ใช่”

เห็นไหม? ความคิดมนุษย์ จะไปบอกเรื่องพระเยซูกับใคร? มรดกยิ่งใหญ่ขนาดไหน? ไม่เชื่อหรอก เหมือนนางเอกเรื่องนี้ แต่ในที่สุด เขาก็ได้รับมรดกของเขา ตามที่เขาสมควรจะได้รับ เพราะมีใครบางคนรักเขาจริงๆ เขามั่นใจคนนี้ จากนั้นเขาเลยเริ่มต้นเรียนรู้เรื่องกฎหมาย ไปอ่านดู มรดกที่เขียนไว้ เริ่มเข้าใจ อันนี้ก็ของฉันจริงๆ นี่ก็ของฉันจริงๆ จากนั้นนางเอกเปลี่ยนจากเป็นคนใช้ กลายเป็นคนใช้เขา กลายเป็นเจ้าของบ้าน ชีวิตก็เปลี่ยนไปทุกอย่าง นี่ยกตัวอย่างให้ฟัง

เพราะฉะนั้น ก็ค่อยๆ เรียนรู้กันเรื่องนี้ ต่อไปเรื่อยๆ พระเจ้าจะนำท่านต่อไปเอง แล้วท่านจะเดินต่อไป เราเรียกที่นี่ว่าในพระคริสต์  … ในพระคริสต์ เราจึงมีความหวัง … ความหวังไม่ใช่พึ่งการกระทำของตัวอีกต่อไป ความหวังไม่ใช่พึ่งความสามารถของตนเองอีกแล้ว

ความหวัง ก็คือฉันฝากชีวิตไว้กับพระเยซู ฉันจะเดินกับพระองค์ เหมือนกับเพลงที่บอกว่าอยู่ในพระคริสต์ เดินอยู่กับพระคริสต์ อยู่ก็อยู่เพื่อพระคริสต์ ตายก็ได้กำไร เพราะหมดหน้าที่ มอบให้กับพระเจ้าแล้ว เป็นของพระองค์ต่อไป เอเมน  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

***********************

 

 

 

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 5 พฤศจิกายน 2017 เรื่อง “หนังสือฮักกัย บทที่ 2 นิเวศน์พระเจ้า” โดย นคร เวชสุภาพร

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 5 พฤศจิกายน 2017

เรื่อง “หนังสือฮักกัย บทที่ 2 นิเวศน์พระเจ้า”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            ช่วงนี้เราย่ำกันอยู่เรื่อยๆ ถึงเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ ต้องย่ำกันอยู่เรื่อยๆ อย่างที่ผมพูดอยู่บ่อยๆ ว่าถ้อยคำทั้งหมดในพระคัมภีร์ทั้งเล่ม เป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น  เล็งไปถึงโลกวิญญาณทั้งสิ้น  ตั้งแต่คำแรกจนถึงคำสุดท้าย คำแรก ก็คือคำว่า “พระเจ้าสร้างโลก” นั่นแหละ ตอนนั้น ในปฐมกาล จนถึงหน้าสุดท้ายวิวรณ์ ต้องมองไปที่โลกวิญญาณทั้งสิ้น ล้วนเล็งถึงโลกวิญญาณ

การเล็งถึงโลกวิญญาณหมายถึงอะไร? หมายถึงพระเจ้ากำลังบอกถึงแผนการล่วงหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้น  พระองค์จะทำอะไรเกิดขึ้น ในโลกวิญญาณจะเกิดอะไรขึ้น ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่าอาพกกะลิฟ ก็คือนิมิต คือเรื่องราวที่บอกถึงโลกวิญญาณ คือการนำเอาเหตุการณ์ต่างๆ ในโลกวัตถุมาเป็นเหมือนตัวแสดงให้เห็นว่ามันเล็งถึงอะไรเกิดขึ้น ค่อยๆ เรียนรู้กันต่อไป

เพราะฉะนั้น เวลาเราอ่านพระคัมภีร์ ไม่ว่าจะเป็นพระคัมภีร์เดิมหรือพระคัมภีร์ใหม่ก็ตาม แล้วโยงมาถึงเรื่องราวทางโลก เรื่องทางกายภาพทางโลก เรื่องทางวัตถุทางโลก แล้วเราก็นึกว่ามันเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ทางโลก  เราก็มีความรู้สึกมันขัดแย้งกัน ข้อนี้ไปแย้งกับข้อนั้น  ข้อนั้นจะไปแย้งกับข้อนี้ ยุ่งไปหมดเลย มันจะไม่เข้าใจ มันจะไม่เป็นเรื่องเดียว จะเป็นแปดสิบ ร้อยพันเรื่อง ยุ่งวุ่นวายไปหมดว่าทำไมมันแย้งกันเต็มไปหมด

ยกตัวอย่างเช่นทำไมพระเจ้าเป็นความรัก แล้วทำไมพระเจ้าโหดร้ายอย่างนี้  มันจะยุ่งไปหมด ทำไมพระเจ้าสั่งให้ฆ่าไปหมดเลย มันไม่เข้าใจ เล็งไปถึงโลกวิญญาณ มันจะอ๋อๆๆๆ ทุกคำตลอดไปเลย  นี่คือเคล็ดลับ

พระคัมภีร์บอกนี้คือตัวอย่าง ถ้าท่านเล็งไปถึงโลกวัตถุ เล็งไปถึงสิ่งที่ตามองเห็น ไม่ใช่พระคัมภีร์ ท่านจะงงไปหมดเลย  ยกตัวอย่างเช่นอะไร อันนี้ชัดเจน พระคัมภีร์บอกว่าอะไร?

“โดยรอยแผลเฆี่ยนของพระเยซู เราได้รับการรักษาให้หาย”

ถูกไหม? แล้วเราก็ไปเชื่อว่าอ๋อ! หมายถึงเราเชื่อพระเยซู เราจะได้รับการรักษาให้หายโรค พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน  ถูกเฆี่ยน รอยแผลเฆี่ยนของพระองค์ ทำให้เราหายโรค จากโรคมะเร็ง โรคหวัด โรคเจ็บคอ โรคอะไรแล้วแต่ สมมติ เราคิดว่ามันเป็นเรื่องวัตถุ เสร็จเลย

“เอ๊ะ ทำไมคนนี้ป่วยตาย เป็นคริสเตียน ทำไมป่วยเป็นมะเร็งตาย”

มันยุ่งวุ่นวายไปหมดเลย แต่ถ้าท่านเล็งไปถึงโลกวิญญาณว่าตรงนี้ พระคัมภีร์เขียนไว้ กำลังบอกเราล่วงหน้าถึงโลกฝ่ายวิญญาณว่ามันจะเกิดขึ้นอย่างนี้  รอยแผลเฆี่ยนของพระเยซู พระเยซูมารับบาปของเรา เอาบาปของเราออกไป เราหายจากโรคบาปทางวิญญาณแล้ว  จบเลย  วิญญาณเราใสปิ้ง ไปอยู่ในสวรรค์แน่นอน ส่วนร่างกายก็ว่ากันไป ตามที่พระเจ้าจะนำพาเราต่อไป เอเมน อย่างนี้มันเป๊ะเลย มันไม่ยาก

อีกอันหนึ่ง พระคัมภีร์บอก พระเยซูตรัสเองนะ … “จงขอแล้วจะได้ จงเคาะแล้วจะเปิด” พระเยซูตรัสเองเลย  จงขอแล้วจะได้ ปรากฏว่าเราขอมาตั้งนานแล้ว  ทั้งอดอาหาร ก็อดแล้ว อธิษฐานโต้รุ่งก็ทำมาแล้ว แต่ทั้งหมด ก็ยังไม่ได้ตามที่ขอเลย ถูกไหม?  เราก็ฟุ้งซ่านไปหมด พระเยซูกำลังบอกว่าถ้าเราแสวงหาจริงจัง ในทางวิญญาณ เราจะได้พระพรตรงโน้น  เอเมน เห็นแล้วมันจะโอ้โห วิญญาณทั้งสิ้น

ยกตัวอย่างอีกอันหนึ่ง พระคัมภีร์บอกว่าจงให้ออกไป แล้วเจ้าจะได้กลับมา 100 เท่า 1000 ทวี บางคนเอาไปใช้ 100 เท่า ให้ไป 100 เพราะฉะนั้น คูณ 100 เท่า ก็เป็นเท่าไร? 100000 หรือ? โอ้โห ไม่มีหุ้นไหนดีกว่านี้แล้ว มาลงทุนกับพระเจ้าดีกว่า เขาประกาศกันอย่างนี้  มาลงทุนกับพระเจ้า 1 ได้ 100 ถ้าความเชื่อน้อยที่สุด ได้ 30 เท่า แค่นี้ก็รวยแล้ว  ปรากฏว่าเราลงไปจริงๆ เลย  ความเชื่อมั่นคงเลยว่าถ้อยคำนี้เป็นจริง ปรากฏว่าแล้วได้ไหม?  ถ้าได้ผมไม่เห็น ผมไม่เห็นท่านนั่งรถเมล์มา  แต่นี่หลายคนก็ยังนั่งรถเมล์มาอยู่นะ  ให้ไปตั้งนานแล้ว ควรจะซื้อรถไปได้แล้ว จริงไหม? แต่ตรงนั้นมันหมายถึงท่านให้ไปด้วยความเชื่อศรัทธาในนี้  ด้วยวิญญาณของท่าน ไม่ต้องการจะได้รับสิ่งกลับคืนเลย  เป็นความรักแท้จริงในการให้ออกไปเลย ไม่ต้องการหวังสิ่งกลับคืน ท่านจะได้รับพระพรเป็นหมื่นๆ ทวี ทางวิญญาณ

ถ้าพระเจ้าจะให้ฉันอยู่อย่างขัดๆ สนๆ อยู่บนโลกใบนี้  ใช้ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง อะไรประมาณนั้น ก็ว่ากันไปตามที่พระเจ้านำพา เอเมน แต่ไม่ขาด ก็แล้วกัน พระเจ้าสัญญาว่าไม่ขาด แต่ไม่ใช่โวยวายจะเอา 100 เท่า ป่านนี้ คริสเตียนรวยที่สุดแล้ว  ไม่จนอย่างนี้หรอก (จนทางกายภาพ) หมายถึงจนทางร่างกายวัตถุ การเงิน แต่ทางวิญญาณรวยมหารวยเลย คนที่เป็นคริสเตียน

นี่คือ 1 ในเหตุผลว่าทำไมผมถึงพยายามย่ำเรื่องโลกวิญญาณให้ท่าน มันเป็นเคล็ดลับอันหนึ่งที่ทำให้ท่านเป็นอิสระจากการถูกหลอกทั้งปวง ถ้ามาบอกท่านว่าระวัง  เดี๋ยวถูกหลอกเรื่องนี้  ระวังถูกหลอกเรื่องนี้ ต้องพูดไปอีก 8 หมื่นล้านครั้ง เพราะมันจะมีหลอกล่อมาหลายๆ เรื่อง  เยอะแยะไปหมด ตามไม่ทัน แต่ถ้าบอกเคล็ดลับท่านรู้ปุ๊บ ท่านอ๋อวันนี้  ต่อไปนี้ท่านจะไม่ถูกหลอกแล้ว เพราะท่านจะแปลไปทางโลกวิญญาณ ซึ่งเป็นไปตามถ้อยคำพระเจ้าจริงๆ เสียทีหนึ่ง  จะได้ไม่ถูกหลอก เลยต้องพูดวนไปวนมา  ถึงโลกวิญญาณว่าโลกวิญญาณมีจริง เรื่องทั้งหมด ในพระคัมภีร์ เป็นเรื่องโลกวิญญาณจริงๆ นะ ทั้งสิ้นเลย  ทั้งหมดเลย  ไม่ว่าท่านจะเข้าใจตอนนี้ หรือไม่เข้าใจ พระเจ้าเปิดเผยให้ท่านอย่างไรก็ตาม แต่มันเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น

เพราะผมรู้ว่าตรงนี้เป็นสิ่งที่สำคัญมาก และทุกครั้งที่ท่านอ่านพระคัมภีร์ ท่านก็จะสามารถมองทะลุไปทางโลกฝ่ายวิญญาณว่าที่กำลังอ่าน มันเกี่ยวข้องอะไรกับทางโลกฝ่ายวิญญาณ เกี่ยวข้องอะไรกับพระเยซูคริสต์จะมาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน  มาไถ่บาปให้กับมนุษย์ทั้งปวง เกี่ยวข้องอะไรกับแผนการใหญ่ที่เรียกว่าข่าวดีของพระเจ้า ท่านจะมองทะลุหมดเลย  เกี่ยวข้องหมดเลย

ผมจะยกตัวอย่างให้ท่านดูอีกข้อหนึ่ง เอาพระคัมภีร์ขึ้นมาเลย สมมติว่าท่านอ่านข้อพระคัมภีร์นี้  แล้วดูสิถ้าท่านคิดไปในทางโลก แปลไปในทางวัตถุ ซึ่งไม่ตรงกับถ้อยคำพระเจ้า ซึ่งแปลไปทางโลกวิญญาณ มันจะเกิดอะไรขึ้น ยกตัวอย่างนะครับ ฮักกัย 2:7-9 ท่านอ่านพระคัมภีร์ตามผมนะ ตรงนี้พระเจ้านะ  ตอนนี้เป็นเรื่องราวตอนสมัยอิสราเอล พระเจ้าปลดปล่อย ให้อพยพออกมาจากบาบิโลน จะมาสร้างเยรูซาเล็ม รื้อฟื้นเยรูซาเล็มใหม่

ฮักกัย 2:7-9 “7 เราจะเขย่ามวลประชาชาติ และสิ่งที่ประชาชาติทั้งหลายพึงปรารถนาจะหลั่งไหลมา และเราจะทำให้นิเวศนี้ เปี่ยมด้วยสง่าราศี’ พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสดังนั้น 8 พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ประกาศว่า ‘เงินและทองเป็นของเรา 9 สง่าราศีของนิเวศปัจจุบันจะรุ่งโรจน์กว่าสง่าราศีของนิเวศเดิม’ พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสดังนั้น ‘และเราจะให้สันติสุขแก่สถานที่นี้’ พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ประกาศดังนั้น”

 

ถ้าท่านอ่านเฉยๆ แล้วท่านไม่ได้เล็งไปที่โลกฝ่ายวิญญาณ ท่านจะมีความรู้สึกอย่างไร?  ถ้าเราอ่านข้อพระคัมภีร์นี้ แล้วก็ตีความแบบโลกวัตถุทั่วๆ ไป ตามตามองเห็น  ซึ่งไม่ตรงตามพระคัมภีร์ จะได้ความหมายอย่างไรครับ? นิเวศของพระเจ้าจะต้องเปี่ยมด้วยสง่าราศี  พระเจ้าจะทำให้สง่าราศีของนิเวศน์ปัจจุบัน รุ่งโรจน์กว่าสง่าราศีของนิเวศน์เดิม

เพราะฉะนั้น ถ้าคุยกันแบบโลกวัตถุ นิเวศน์ของพระเจ้า ก็คือคริสตจักรของพระเจ้า ถูกไหม?  คริสตจักรของพระเจ้าจะเปี่ยมด้วยสง่าราศี  ก็มีความหมายว่าคริสตจักรของพระเจ้าจะต้องใหญ่โต สวยงาม โอ่อ่าตระการ ดูภูมิฐาน สมพระเกียรติพระเจ้า ถูกไหม?  ถ้าท่านแปลว่าอย่างนี้ โอ้โห คริสตจักรต้องสวยงามสิ ต้องสมเกียรติพระเจ้า พระเจ้ายิ่งใหญ่

สง่าราศีของนิเวศน์ปัจจุบันจะรุ่งโรจน์กว่าสง่าราศีของนิเวศน์เดิม  พระเจ้าตรัสอย่างนั้น  เพราะฉะนั้น ถ้าพระเจ้าจะให้เราสร้างคริสตจักรใหม่ ก็แปลว่าคริสตจักรใหม่จะต้องดีกว่าคริสตจักรเดิมอย่างแน่นอน เพราะพระเจ้าตรัสไว้อย่างนั้น นี่ไปแล้วๆ เห็นหรือยัง? เห็นอะไรไหม?  ถูกไหม? แล้วท่านเชื่ออย่างนั้นไหม?  พอดีเลย โฮลี่กำลังจะมีคริสตจักรใหม่ในอนาคตอันใกล้นี้  มันจะหมดสัญญาที่นี่แล้ว  เรากำลังอธิษฐานขอการทรงนำจากพระเจ้าว่าจะให้เราดำเนินการอย่างไรต่อไป ซึ่งถ้าเราตีความตามถ้อยคำพระเจ้าที่เราอ่านในฮักกัย เมื่อสักครู่นี้  เราก็ต้องมองไปหาที่ที่ทำไม? ใหญ่กว่านี้ สวยกว่านี้ ดีกว่านี้ โปเจคเตอร์ดีกว่านี้  เก้าอี้ที่นั่งดีกว่านี้  เอเมนไหม? ไม่เอเมน มันไม่ต่างกันกับพระเจ้าเอเมนได้อย่างไร?  เพราะท่านชินกับของเก่ามา ชินกับความรู้เก่าๆ  ชินกับสิ่งที่ท่านคิดว่ามันควรจะเป็น ท่านคิดเองว่าควรจะเป็น แต่พระเจ้าบอกว่าไม่ได้สัญญาไว้อย่างนี้สักหน่อย

ท่านคิดดูสิว่าถ้อยคำพระเจ้า เราเอามาจากไหน? ที่ผมบอกตะกี้นี้ เอามาตั้งแต่สมัยที่พระเจ้าตรัสผ่าน บอกล่วงหน้าถึงโลกฝ่ายวิญญาณ ผ่านทางเรื่องราวที่เกิดขึ้น ในสมัยอิสราเอลอพยพออกจากบาบิโลน มาสู่เยรูซาเล็ม แล้วก็ได้รื้อฟื้นสร้างเยรูซาเล็มใหม่  จากนั้นมา เยรูซาเล็มก็ถูกสร้างขึ้นมาใหม่  มาสุดท้ายจนจบ  อีกประมาณสักหลายร้อยปีต่อมา  สร้างจบตอนไหน?  จบตอนกษัตริย์เฮโรด ตอนที่พระเยซูเกิดนั้น  สร้างสวยงามเลย สวยงามจริงๆ  หล่อเป็นทอง เอาทองใส่เรียบร้อยเลย  คนเขานึกว่าแสดงว่าพระคัมภีร์บอกจริง แล้วจริงไหม? ปรากฏว่าสวยงามมากใช่ไหม? พระเยซูเดินผ่าน พระเยซูบอกแม้หินสักก้อน ก็จะไม่เหลือ ในอนาคตอีกไม่ช้า ปรากฏตอนนี้พระเยซูตายไปแล้ว และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม ไปอยู่ในสวรรค์แล้ว  กรุงโรมส่งทหารมา จัดการกับอิสราเอลเรียบวุธ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วิหารหลังนี้ถูกเผา ถูกเอาทอง ลอกเอาทองไป แม้แต่หินก้อนหนึ่ง ก็ไม่ให้เหลือตามที่พระเยซูบอกล่วงหน้าไว้แล้ว ไหนล่ะ สง่าราศีกว่าเดิมไง

แล้วจากวันนี้ต่อมา จนถึงทุกวันนี้  ก็ยังเป็นซากปรักหักพังอยู่ถึงทุกวันนี้เลย  ไหนสง่าราศีดีกว่าเดิม ไหนล่ะ ท่านก็จะแย้งกันแล้ว แล้วท่านก็จะเก็บไว้ในใจ ช่างมันๆ มันจะไม่เกิด มันก็ไม่เกิด แล้วแต่น้ำพระทัย ไม่ใช่น้ำพระทัย แต่เพราะท่านแปลผิด  เห็นหรือยัง? เห็นภาพหรือยัง? เพราะฉะนั้น ในโลกฝ่ายวิญญาณ มันเป็นอีกคนละเรื่องกัน  ท่านจะมองเห็นภาพแล้ว

เพราะฉะนั้น นี่คือตัวอย่างการอ่านพระคัมภีร์และตีความแบบผิดๆ  ซึ่งในความหมายที่แท้จริงของพระคัมภีร์ตรงนี้ เรามาดูกันนะ เราต้องอ่านและทำความเข้าใจในเนื้อหา บริบท และเล็งไปถึงโลกวิญญาณว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นในโลกวิญญาณ โลกวิญญาณอะไรที่เกิด พระเจ้ากำลังทำอะไร?  ซึ่งเราเรียกว่านิมิต เรากำลังเข้าไปหาการสำแดงความรู้ทางโลกวิญญาณว่าเปิดตาวิญญาณให้ลูกที ลูกจะได้เข้าใจตรงนี้ว่าพระองค์กำลังทำอะไรในโลกวิญญาณ

แล้วดูนะว่าความหมายในโลกวิญญาณเป็นอย่างไร? เราลองมาอ่านถ้อยคำเมื่อตะกี้นี้  แล้วก็เติมก่อนหน้านี้อีกสักนิดหนึ่ง  เพื่อท่านจะได้เห็นภาพชัดเจน ซึ่งก่อนหน้านี้ พระองค์ตรัสไว้ว่าอย่างไร? ในฮักกัย 2:4-9 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ …

ฮักกัย 2:4-9 “4 แต่บัดนี้ จงเข้มแข็งเถิด เศรุบบาเบลเอ๋ย’ องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า ‘จงเข้มแข็งเถิด มหาปุโรหิตโยชูวาบุตรเยโฮซาดักเอ๋ย จงเข้มแข็งเถิด ประชาชนทั้งปวงในดินแดนนี้’ องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น ‘และจงทำงานไปเถิด เพราะเราอยู่กับเจ้า’ พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ประกาศดังนั้น 5 ‘ตามที่เราได้ทำพันธสัญญาไว้กับเจ้า เมื่อเจ้าออกมาจากอียิปต์ และจิตวิญญาณของเรายังคงอยู่ท่ามกลางพวกเจ้า อย่ากลัวเลย6 “พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสว่า ‘อีกสักหน่อยหนึ่ง เราจะเขย่าฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ทะเล และผืนแผ่นดินอีกครั้ง 7 เราจะเขย่ามวลประชาชาติ และสิ่งที่ประชาชาติทั้งหลายพึงปรารถนาจะหลั่งไหลมา และเราจะทำให้นิเวศนี้ เปี่ยมด้วยสง่าราศี’ พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสดังนั้น 8 พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ประกาศว่า ‘เงินและทองเป็นของเรา 9 สง่าราศีของนิเวศปัจจุบันจะรุ่งโรจน์กว่าสง่าราศีของนิเวศเดิม’ พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสดังนั้น ‘และเราจะให้สันติสุขแก่สถานที่นี้’ พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ประกาศดังนั้น”

 

มันหมายถึงสิ่งที่พระเจ้าจะทำตอนที่พระเยซูตายที่ไม้กางเขน  และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 และสร้างอาณาจักรหนึ่งขึ้นมา  ที่เราเรียกว่าโลกวิญญาณ อาณาจักรแห่งแสงสว่างลงมาบนโลกใบนี้ ที่เรียกว่าสวรรค์ พระองค์กำลังพูดถึงนี้ นี่คือคริสตจักร นี่คือพระนิเวศน์ของพระเจ้า

สมัยก่อนนี้ ก่อนที่พระเยซูจะเกิด พระนิเวศน์เดิม คืออะไร? คือพระเจ้ามาอยู่บนโลกใบนี้ ต้องอยู่กับมนุษย์ อยู่กับอาดัม อยู่กับมนุษย์ อยู่ท่ามกลางมนุษย์ แต่พอพระเยซูมา พระนิเวศน์ที่พระเยซูสร้างขึ้นในโลกวิญญาณนั้น พระเจ้ามาอยู่กับมนุษย์หรือเปล่า? มาอยู่กับเราหรือเปล่า? ใครบอกยกมือขึ้น? มาอยู่ในเราแล้ว  ดีกว่าเก่าตั้งเยอะ แต่ก่อนนี้อยู่ข้างๆ  อยู่ท่ามกลาง แต่ตอนนี้อยู่ในวิญญาณของเราแล้ว สง่าราศีตรงนี้ใหญ่กว่าเก่าตั้งเยอะ นี่เขาเรียกว่าการสำแดงความรู้ การเปิดตาฝ่ายวิญญาณ เข้าใจในโลกวิญญาณเห็นไหม?  ผิดไปเลยไหม? ผิดกับตะกี้เราแปลผิดปุ๊บ  ไปโลดเลย

เห็นไหม? พอท่านเข้าใจโลกวิญญาณ สมัยก่อนเดินกับอาดัม เดินกับมนุษย์ เดินกับโมเสส เดินกับโมเสส เดินกับอิสราเอล แต่ตอนนี้ เดินในผู้เชื่อในพระเยซู อยู่ในพระคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกันเลย  ไม่ใช่อยู่ข้างๆ ร่วมกันเป็นหนึ่ง เอเมน

นี่คือประโยชน์ของการเรียนรู้โลกวิญญาณ พูดถึงโลกวิญญาณ พูดถึงถ้อยคำพระเจ้า ต้องเป็นหนึ่งเดียวกันตลอด ทิ้งไว้ก่อน อย่าไปแปลมัน อย่าพยายามมันทางโลก  ไม่รู้ช่างมัน  อย่าไปยุ่งกับมัน ถ้าจะแปลนึกถึงโลกวิญญาณและในโลกวิญญาณมีเรื่องเดียวที่เป็นพล่อยสำคัญที่สุด คือพระเยซูมาตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต เพื่อชำระบาปให้กับมนุษย์ สร้างคริสตจักรขึ้นมาใหม่ เอาอาณาจักรสวรรค์ เอาอาณาจักรแห่งแสงสว่างลงมาบนโลกใบนี้

นี่คือเมนของเรื่องเท่านั้น จบแล้ว ใครๆ ก็เรียนได้ และที่ยังไม่รู้ ก็อธิษฐานขอพระเจ้าเปิดตาฝ่ายวิญญาณให้เราได้รับวิญญาณแห่งสติปัญญา วิญญาณแห่งการสำแดงความรู้ เปิดตาวิญญาณเรา ให้เราเข้าใจโลกวิญญาณว่ามันเกิดอะไรขึ้น  มันเกี่ยวข้องอะไรกับโลกวิญญาณบ้าง? เอเมน

 

********************

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 29 ตุลาคม 2017 เรื่อง “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท” ตอน 5 “สองอาณาจักรแห่งโลกวิญญาณ” ตอน 2 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  29  ตุลาคม  2017

 เรื่อง “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท”

ตอน 5 “สองอาณาจักรแห่งโลกวิญญาณ” ตอน 2

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

สวัสดีครับพี่น้อง วันนี้ “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท” ตอน 5 เรื่อง “สองอาณาจักรแห่งโลกวิญญาณ” ตอน 2 จะย้ำอยู่อย่างนี้ เพราะต้องการจะให้ทุกท่านได้เข้าใจ ได้เชื่อ ได้มั่นใจ เขาเรียกว่าได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่ง รู้สึกลึกซึ้งจริงๆ ว่าโลกวิญญาณมีอยู่จริงๆ

เพราะฉะนั้น พระเยซูมักพูดเสมอๆ ในเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณว่า Behold แปลว่าจงมองให้เห็นเถิด

ท่านรู้ไหมคำนี้ โมเสสใช้ตอนที่คนอิสราเอลตกใจกลัว หนีมาชนทะเลแดง ตายแน่ ลงไปก็จมน้ำตาย หันไปข้างหลัง กองทัพเต็มไปด้วยอาวุธเต็มขนาดมา ฆ่าเราตายแน่ๆ โมเสสได้รับคำสั่งจากพระเจ้า ทำอย่างไรจึงจะสยบความกลัวของประชาชนเยอะแยะมากมาย เป็นล้านๆ โมเสสขึ้นไปบนก้อนหินสูงๆ ยกไม้เท้าขึ้น แล้วบอกว่า …

“Behold”

ตะโกนดังลั่นเลย  “จงมองให้เห็นเถิด”

ทางโลกฝ่ายวิญญาณว่า “Behold ความช่วยให้รอด พระหัตถ์พระเจ้ามาแล้ว”

ท่านนึกภาพ เห็นโมเสสตอนนั้น ที่อยู่บนก้อนหิน แล้วตะโกนไปเห็นคนเป็นล้าน แล้วทุกคนกำลังกลัว โมเสสต้องเรียกเอาความสนใจของเขามาที่นี่ให้หมด พระเจ้าตรัสว่า …

“จงมองให้เห็นเถิด”

เริ่มต้นตั้งแต่โลกวิญญาณทั้งหมด มีพระเจ้าเป็นผู้ควบคุม และครอบครองยิ่งใหญ่สูงสุด จงมองให้เห็นในโลกฝ่ายวิญญาณ จำไว้ว่าทั้งหมดนี้ เกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น และอาณาจักรแห่งโลกวิญญาณที่ซ้อนหรือคลุมโลกอยู่ในเวลานั้น ก็มีเพียงอาณาจักรเดียว คืออาณาจักรแห่งความสว่าง ที่มีมนุษย์ยังคงเป็นมนุษย์ที่เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า สามารถติดต่อกับพระเจ้าได้สนิทสนมเป็นมิตร เป็นลูกเป็นพ่อกัน นี่ปฐมกาล

แล้วต่อมามนุษย์คู่แรก ที่พระเจ้าทรงสร้าง คืออาดัมและเอวาก็กบฏต่อพระเจ้า ไม่เชื่อฟังพระเจ้า หันไปเชื่อฟังคำพูดของมาร ซาตาน ขัดคำสั่งพระเจ้า จึงล้มลงในความบาป จากนั้น โลกวิญญาณ ที่เคยเป็นอาณาจักรแห่งความสว่าง ก็กลับกลายเป็นอาณาจักรแห่งความมืด จากการถูกลงโทษ ถูกสาปแช่ง ต้องตกอยู่ภายใต้การควบคุมของมาร และมนุษย์ทั้งหลาย ก็ได้รับเชื้อบาป มาจากบรรพบุรุษ คืออาดัม กลายเป็นคนบาป ที่ถูกตัดขาดความสัมพันธ์กับพระเจ้า ถูกลงโทษ ถูกสาปแช่ง ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา และจนมาถึงเมื่อประมาณ 2,000 ปีที่ผ่านมาแล้ว แผนการของพระเจ้าที่ได้ทรงเตรียมไว้ ตั้งแต่ก่อนสร้างโลกก็เกิดขึ้น คือพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้าได้มาเกิดเป็นมนุษย์ มาเป็นตัวแทนมนุษย์ รับโทษของความบาปทั้งหลายทั้งมวลของมนุษย์ โดยผ่านทางการตาย และหลั่งพระโลหิตของพระองค์บนไม้กางเขน เอาโทษออกไป และจากวันนั้น 2,000 ปีที่แล้ว จนถึงวันนี้ เดี๋ยวนี้ โลกวิญญาณที่ซ้อนอยู่ หรือครอบคลุมโลกวัตถุนี้อยู่ ก็เกิดเป็น 2 อาณาจักรขึ้นทันที คืออาณาจักรแห่งความสว่างกับอาณาจักรแห่งความมืด โดยทั้ง 2 อาณาจักร ก็เปรียบได้ เท่ากับครอบครัวใหญ่ๆ 2 ครอบครัวของมนุษยชาติ บนโลกใบนี้ นั่นเอง

อาณาจักรแห่งความสว่าง ก็คืออาณาจักรของพระเจ้า ซึ่งมีพระเยซูคริสต์ เป็นหัวหน้าครอบครัว แล้วก็มีมนุษย์ เป็นสมาชิกในครอบครัวนี้ ครอบครัวนี้ มีชื่อเรียกว่าครอบครัวพระคริสต์ ผู้ที่อยู่อาศัยในครอบครัวนี้ จึงถูกเรียกว่าอยู่ในพระคริสต์

สำหรับอาณาจักรแห่งความมืด ก็คืออาณาจักรของมาร ซึ่งมีอาดัมเป็นบรรพบุรุษ หรือเป็นหัวหน้าครอบครัวเดิม ตั้งแต่สมัยโน้นอยู่ แล้วก็มีมนุษย์เป็นสมาชิกในครอบครัวนี้ ครอบครัวนี้มีชื่อว่าครอบครัวอาดัม ผู้ที่อาศัยอยู่ในครอบครัวนี้  ได้ชื่อว่าอยู่ในอาดัม

และจากที่เราได้เรียนรู้จากข้อพระคัมภีร์ ถ้อยคำต่างๆ ที่อยู่ในพระคัมภีร์ ที่อธิบายถึงลักษณะ สภาพ และความเป็นอยู่ พอสังเขปได้ของอาณาจักรแห่งความมืด ก็จะมีคำต่างๆ เหล่านี้ ในพระคัมภีร์ ที่บอกถึงสภาพ ลักษณะในอาณาจักรนี้ว่าเขาอยู่อย่างไร? เป็นอย่างไร? พอจะเข้าใจได้บ้าง พอสังเขป   เช่น ความมืด, ตายนิรันดร์, คนบาป, คนอธรรม, ถูกสาปแช่ง, ความเกลียดชัง, ความพิโรธของพระเจ้า, กดขี่ข่มเหง, ข่มขู่, ลูกแห่งการกบฏ เป็นต้น เหล่านี้ คือถ้อยคำ หรือลักษณะของพระคัมภีร์ที่อธิบายถึงสภาพของอาณาจักรแห่งความมืด

และในพระคัมภีร์ที่อธิบายถึงสภาพและลักษณะของอาณาจักรแห่งความสว่าง ก็จะมีคำต่างๆ เหล่านี้ ท่านจะคุ้นๆ มาก  เช่น  ความสว่าง, อาณาจักรสวรรค์, ชีวิตนิรันดร์, ผู้ชอบธรรม, บริสุทธิ์,  ความรัก, พระเกียรติสิริ, พระคุณ, สง่าราศี, ลูกของพระเจ้า เป็นต้น ถ้อยคำเหล่านี้  จะบอกลักษณะสภาพของผู้ที่อยู่ในอาณาจักรนี้ ซึ่งเราได้ยินบ่อยๆ เพราะเราเรียนรู้แล้ว อย่างเช่นพระเยซูบอก ตอนที่พระองค์ทรงเดินอยู่บนโลกนี้ พระองค์บอกว่า …

“สวรรค์กำลังมา และอยู่ที่นี่แล้ว”

ตอนนี้สวรรค์อยู่ที่นี่ และพระองค์ทรงเป็นผู้นำเอาสวรรค์มา ตอนนี้พระองค์บอกว่าพระองค์เป็นแสงสว่าง เอาแสงสว่างเข้ามาบนโลกแล้ว พระองค์กำลังจะพูดถึงว่าอีกไม่นาน พระองค์จะตายที่ไม้กางเขน และสถาปนาอาณาจักรแห่งแสงสว่างนี้ขึ้นมา ยกตัวอย่างให้ท่านฟัง ใครที่เชื่อเรา (พระเยซู) เขาจะได้รับชีวิตนิรันดร์ แปลว่าชีวิตที่เหมือนพระเจ้า อะไรอย่างนี้เป็นต้น ตอนนี้ท่านเริ่มอ๋อ! แล้วท่านฟังไปเรื่อยๆ พระวิญญาณจะย่อยสลายถ้อยคำเหล่านี้ ลงไปในวิญญาณของท่าน เกิดเป็นสติปัญญา เกิดเป็นการรับรู้ในเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้าว่าพระเจ้า คือใคร? และทำอะไรให้ฉันบ้าง? ให้มนุษยชาติบนโลกใบนี้บ้าง?

ฝั่งอาณาจักรของความสว่าง ที่มีพระเยซูเป็นหัวหน้าครอบครัว ก็จะปกครองอยู่ในอาณาจักรนี้ ด้วยความรักฉันท์พี่น้อง แบบครอบครัว เรียกว่าครอบครัวพระคริสต์ เหมือนที่เราชอบลงท้ายจดหมายหรืออะไรต่างๆ ว่า “รักในพระคริสต์” “ความรักในพระคริสต์” แปลว่าอย่างนี้  ในครอบครัวของความสว่าง ในโลกวิญญาณ

ส่วนฝั่งของอาณาจักรแห่งความมืด มีอาดัมอยู่ อาดัมมอบอำนาจให้มารไปแล้ว ก็เท่ากับว่ามีหัวหน้าครอบครัวเป็นอาดัม แต่เซ็นต์มอบอำนาจให้มารเป็นใหญ่ ก็จะปกครองด้วยการกดขี่ข่มขู่ ให้หวาดกลัวตลอดเวลา ตกนรก เธอแย่ เธอเลว เธออะไรต่างๆ เหล่านั้น เธอสมควรตาย เหมือนอยู่ในคุก เหมือนที่กักขังทาส ทุกคนเป็นเหมือนทาส เป็นเหมือนเชลย

นี่คือสิ่งที่พระคัมภีร์ได้อธิบายให้เราฟัง ถึงสภาพของ 2 อาณาจักรนี้  ซึ่งในโลกวิญญาณบอกว่ามนุษย์ทุกคน จะต้องเป็นสมาชิกในครอบครัวใด  ครอบครัวหนึ่งอย่างแน่นอน หนีไม่พ้น ตราบใดที่ท่านเป็นมนุษย์ และเดินอยู่บนโลกใบนี้ ท่านต้องอยู่ในอันใดอันหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นสว่างหรือมืด พระเยซู หรืออาดัม

ยกตัวอย่างว่าท่านเดินออกไปข้างนอก กลางวัน ที่มีดวงอาทิตย์ ทุกคนก็แดดร้อนเท่าๆ กันหมด เหมือนที่บอกว่าโลกกลม ไม่ว่าท่านจะบอกว่าโลกแบนหรืออย่างไร? แต่ในที่สุด มันก็คือโลกกลม

แผนการของพระเจ้าที่ได้ทรงส่งพระบุตร คือพระเยซูคริสต์มาไถ่บาปให้กับมนุษย์นั้น เพื่อมนุษย์จะได้มีโอกาสเลือกและสามารถย้ายสำมโนครัว จากครอบครัวเดิม สู่ครอบครัวใหม่ที่ดีกว่าได้ แค่นั้นเอง พระเจ้าทำสำเร็จไปเรียบร้อยแล้ว บนไม้กางเขน พระเยซูตรัสชัดเจนว่าสำเร็จแล้ว เริ่มต้นปฐมกาล พระเจ้าบอกว่าจะทำ จะส่งพระบุตรลงมาบนโลกใบนี้ เพื่อจัดการไถ่บาปให้กับมนุษย์ และเตรียมโลกใหม่ให้กับมนุษย์ เตรียมครอบครัวใหม่ให้กับมนุษย์ จะได้พ้นจากบาป จากเวร จากกรรมเสียทีหนึ่ง เวลาผ่านมาเนิ่นนานมากมาย จนกระทั่งพระเยซูที่ไม้กางเขน พระองค์บอกทำแล้ว เสร็จแล้ว จบแล้ว ต่อไปนี้ ไม่ต้องทำอะไรแล้ว เพราะทำให้เสร็จแล้ว ไปบอกข่าวดีนี้ให้กับทุกคน มนุษยชาติ ที่เกิดมาบนโลกใบนี้ว่ามันมีที่ที่ดีกว่าแล้ว ย้ายเถอะๆ ท่านต้องมีความรู้อะไรมากมายไหม? ไปประกาศข่าวดีนี้ โลกวิญญาณมี 2 อาณาจักร มีอาณาจักรแห่งความมืด และตอนนี้มีอาณาจักรแห่งความสว่าง ดีกว่าตั้งเยอะแยะมากมายเลย  พระเยซูมาทำให้แล้ว พระเจ้าส่งพระบุตรมาให้เรียบร้อยแล้ว ตายที่ไม้กางเขนเรียบร้อยแล้ว เปลี่ยนเลย รับสิทธิท่านไป เปลี่ยนทันที ไม่ต้องทำอะไรเลย ทำให้ท่านเรียบร้อยแล้ว แค่นี้ ฮีบรู 2:11

ฮีบรู 2:11 “พระองค์ผู้ที่ทำให้มนุษย์ทั้งหลายบริสุทธิ์กับบรรดาผู้ที่ทรงทำให้บริสุทธิ์นั้น เป็นครอบครัวเดียวกัน ฉะนั้น พระเยซูจึงไม่ทรงละอาย ที่จะเรียกเขาเหล่านั้นว่าพี่น้อง”

 

พระเยซูเรียกท่านว่า “พี่น้อง” แล้วทำไมท่านเรียกพระเยซูว่าพระองค์ล่ะ อ้าว! ท่านต้องเรียกพระองค์ว่าพี่ กล้าเรียกไหม? เขินอ่ะ เพราะว่าเราไม่รู้จักพระองค์จริงๆ แต่พระองค์รู้จักเรา ถูกไหม? พระเยซูเจอทัศนัย

“น้องนัยว่าอย่างไร?”

น้องนัยหันกลับมา “ข้าพระองค์”

รู้สึกห่างเหินจริงๆ พระเยซูบอกอยากจะเข้าไปกอด “อย่ากอดหม่อนฉันเลย”

มันเป็นอย่างนี้จริงๆ วิธีแก้ไขทำอย่างไร? เรียนรู้จักพระองค์มากขึ้น เรียนรู้จักวิธีใด ก็พยายามอธิษฐานขอพระเจ้า ขอพระวิญญาณบริสุทธิ์สำแดงให้เรารู้ว่าพระองค์คือใคร? แล้วเราเป็นใคร? นี่แหละ เรากำลังเรียนรู้ ตอนนี้เราสนิทขึ้นตั้งเยอะแล้ว สมัยก่อนเราสนิทอย่างนี้ไหม? เราก็ไม่ได้สนิทถึงขนาดนี้ แต่ถามว่าสนิทขนาดนี้ มากขนาดนี้ได้ไหม? เรียกพระเยซูว่าพี่ได้ไหม? ยังไม่ได้ใช่ไหม?  แต่วันหนึ่งจะได้ ถูกไหม? แต่ตอนนี้ก็เริ่มสนิทแล้วนะ ตอนก่อนหน้านี้ แย่กว่านี้ หลายคนเชื่อใหม่ๆ ไม่กล้าอธิษฐาน ต้องคุกเข่า พอไม่คุกเข่า รู้สึกมันไม่ถ่อมใจ ยืนอธิษฐานไม่ได้ บางคนยืนอยู่บนรถเมล์ไม่กล้าอธิษฐาน บางคนอยู่ในห้องน้ำไม่กล้าอธิษฐานเลย นี่เรื่องจริง ผมก็คือหนึ่งในนั้น เข้าห้องน้ำรู้สึกเขินๆ มีความรู้สึกว่าจะอธิษฐาน ต้องหาที่สงบๆ ห้องเงียบๆ ปิดประตูหมด รู้สึกพระเยซูอยู่ใกล้เหลือเกิน จริงๆ ก็ใกล้เหมือนเดิมนั่นแหละ ที่เดียวกัน ในห้องน้ำเหมือนกัน แต่ตัวเราเอง รู้จักพระองค์ไม่พอ พอเข้าห้องน้ำ เขินพระเยซู ไม่กล้าอธิษฐาน รู้สึกโป๊ ไม่สุภาพ จะอธิษฐานต้องไปเตรียมชุดให้ดีๆ ใส่ชุดให้เรียบร้อย เข้าไปสง่างาม คุกเข่าลง  ท่านเห็นภาพหรือยัง? ฮีบรู 2:14-15

ฮีบรู 2:14-15 “14 ในเมื่อบุตรทั้งหลายมีเลือดและเนื้อ พระองค์จึงทรงร่วมในความเป็นมนุษย์ของพวกเขา เพื่อว่าโดยการสิ้นพระชนม์ พระองค์จะได้ทรงทำลายผู้กุมอำนาจแห่งความตายคือมาร 15 และปลดปล่อยบรรดา ผู้ซึ่งตลอดชั่วชีวิต ตกเป็นทาสเนื่องจากกลัวความตาย”

 

“ในเมื่อบุตรทั้งหลายมีเลือดและเนื้อ” บุตรทั้งหลาย ก็คือพวกเราทั้งหลายที่เชื่อพระองค์ มนุษย์ทั้งหลาย ในเมื่อน้องๆ ทั้งหลาย เป็นมนุษย์ พี่ก็ต้องเกิดมาเป็นมนุษย์เหมือนกัน เพื่อจะได้เป็นตัวแทนของน้องๆ ได้ พี่เป็นพระเจ้า เป็นวิญญาณเฉยๆ มาช่วยน้องๆ ไม่ได้ พี่ก็เลยต้องยอมสละสภาพพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์เหมือนน้องๆ ต้องมาอยู่ในเนื้อหนัง ร่างกายที่มองเห็น ต่ำต้อยมาก ยอมมาอยู่ในนี้ เพื่อว่าพี่จะได้สามารถตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตชำระบาปให้กับน้องๆ ทั้งหลายได้  เรื่องพระเจ้า คือเรื่องครอบครัวแค่นี้เอง ถ้าท่านเห็นภาพในโลกวิญญาณ เห็นชัดเจน ท่านเข้าใจ ท่านจะสามารถพูด อย่างที่ผมพูดอย่างง่ายๆ เลยว่ามันเป็นครอบครัว กำลังเล่าให้ฟังว่าพี่ไปทำอะไรมา? มาช่วยน้องๆ อย่างไร? พ่อส่งพี่มาช่วย พ่อให้พี่มาช่วย  แล้ววิธีช่วยของพี่ คือพี่ต้องเข้ามาอยู่กับน้องๆ อยู่ท่ามกลางน้องๆ เพื่อจะได้เป็นพวกเดียวกันกับน้องๆ เพราะว่าถ้าพี่ยังเป็นพระเจ้าอยู่ พี่ตายไม่ได้ ไม่สามารถหมดลมหายใจได้ ไม่สามารถมีเลือดหลั่งออกมาชำระบาปได้ เพราะฉะนั้น พี่ต้องมาในสภาพเหมือนน้องๆ คือเป็นร่างกายที่มีเนื้อหนัง มีเลือด เพื่อว่าจะได้ตายได้ จะได้เลือดหลั่งได้  เพื่อการตายและหลั่งเลือดนั่น ชำระบาป ตามกฎกติกาของพระเจ้า เพื่อช่วยให้น้องๆ ได้หลุดพ้น จากการถูกลงโทษได้ หลุดพ้นจากคำสาปได้ ก็แค่นี้เอง

อ่านแล้วมันศาสนาเหลือเกิน มันไม่เข้าใจเลย เราคิดมากไป เราคิดเยอะไป ไม่มีอะไร มีอยู่แค่นี้  พอเรามาแกะเปลือกออกปุ๊บ เหลือแต่แก่นเท่านั้น แก่นมันไม่มีอะไรเลย ง่ายขนาดนี้เลยเหรอ ขอบคุณพี่พระเยซูมากเลย พี่ดีกับเรามากจริงๆ

การถ่อมใจ คือการยอมรับในสิ่งที่พระเยซูบอกว่ามันเป็นจริง พระเยซูบอกว่าเป็นพี่น้อง ถ้าเราบอกเป็นพี่น้อง พี่พระเยซู … พระเยซูเรียกอย่างนี้ว่าถ่อมใจ แต่ถ้าพระเยซูบอกเราเป็นพี่น้อง แล้วเราบอกเราต้องคุกเข่าลง พระเยซูบอกไม่ถ่อมใจเลย  มันกลับกัน นั่นคือความถ่อมใจแบบมนุษย์ … มนุษย์ถ่อมใจ คือต้องคุกเข่า พระเยซูบอกเราเป็นพี่น้องกัน คุกเข่าทำไม? เพราะเราไม่เชื่อ เพราะความรู้เราไม่พอ หรือไม่เชื่อ เพราะการรับรู้ของเราไปไม่ถึง แต่รวมความแล้ว เรายังไม่ถ่อมใจจริงๆ การถ่อมใจในฝ่ายวิญญาณ ในทางพระเจ้า คืออย่างนี้ รับรู้ในสิ่งที่พระองค์ทรงบอกว่าเป็น เราก็บอกว่าเป็นอย่างนั้น นั่นแหละคือการถ่อมใจ ถ้าพระองค์บอกว่าเป็นอย่างนี้ แล้วเราบอกไม่ใช่ อย่างนี้เขาเรียกว่าไม่ถ่อมใจ เขาเรียกว่าเย่อหยิ่ง พระเยซูบอกเราเป็นพี่น้องกัน เราบอกไม่ใช่ พระองค์ยังเป็นเจ้านายอยู่เหมือนเดิม อย่างนี้ไม่ถ่อมใจ แต่ถ้าพระองค์บอกเราเป็นพี่น้องกัน แล้วเราบอก อ้าว! พี่ว่าอย่างไร? พระเยซูบอกนี่ คนถ่อมใจเป็นคนนี้

พระองค์จึงชอบว่าพวกฟาริสีที่ชอบทำตัวเป็นเคร่งครัดทางศาสนา ดูเหมือนถ่อมใจ พระเยซูบอกถ่อมใจไม่ใช่อย่างนั้น ลองดูว่าเรากล้าพูดมั๊ย

“พี่ รถเมล์ไม่มาเลย รอนานแล้ว ฝนจะตกแล้วพี่ พี่ขอรถเมล์ด่วนจี๋มาสักคันได้ไหมพี่ ช่วยหน่อย”

อันนี้คิดในใจนะ สมมติ “พี่ ช่วยน้องหน่อยเถอะ วันนี้ เห็นเขาบรรยายว่าให้เรียกพี่ เรียกน้อง … น้องก็ไม่ค่อยกล้าเรียกมาก ทดลองเรียก พี่ช่วยหน่อยนะพี่นะ”

ท่านคิดในใจอย่างนี้ ท่านคิดว่าพี่ แต่ท่านรู้ว่าคำว่าพี่ของท่าน คือใคร? ท่านคิดแต่ว่าพระเยซูบอกว่าไม่ได้ เธอต้องบอกว่าพระเยซูช่วยน้องด้วย อย่างนี้เหรอ ท่านบอกว่าพี่ แต่ในใจท่านคิดว่าใคร ก็คือท่านนั่นแหละ คนนั้นแหละ คำว่าเยซู … พระเยซู แปลเป็นภาษาของมนุษย์แล้วไม่รู้กี่พันภาษานะ มันไม่ได้สำคัญตรงชื่อนั้น ทุกวันนี้ยังมีคนใช้ชื่อเยซู … เยซู โยชูวา มันไม่ได้สำคัญตรงคำพูดของคน แต่สำคัญตรงคนที่พูด แล้วรู้ความหมายว่า …

“ฉันกำลังพูดถึงใคร?  ฉันบอกว่าโยชูวา หรือฉันบอกว่าเยซู แต่ฉันหมายถึงคนนั้นแหละที่เกิดมาจากพระเจ้า มาตายที่ไม้กางเขน เพื่อฉัน หลั่งพระโลหิตชำระบาปให้กับฉัน และมนุษย์ทั้งหลายบนโลกใบนี้ ฉันหมายถึงคนนี้ ต่อให้ท่านพูดเพี้ยนๆ เป็นเยซูๆๆๆ ก็ถูก”

หรือท่านไม่ต้องกล่าวถึงชื่อเลย แค่ระลึกถึง เรียกเขาว่าพี่ พอเข้าใจใช่ไหม? จึงต้องอธิบายในทางของพระเจ้า ที่บอกว่ามาเชื่อพระเจ้า แล้วท่านจะหายเหนื่อยและเป็นสุข ท่านเดือดร้อนอะไร?  ก็คุยกับพระเยซู คุยเลย คุยกับพี่เราอย่างนี้

“พี่ช่วยน้องหน่อยนะ ไม่ไหวแล้ววันนี้ ช่วยหน่อย”

ฝึกไปเรื่อยๆ จนคล่อง มันก็จะชิน จนเกิดการรับรู้ว่าเราสนิทกัน ท่านกำลังทำสิ่งที่พระเจ้าพอพระทัยมากที่สุด ท่านกำลังถ่อมใจมากๆ พระเจ้าพอใจคนถ่อมใจมากๆ ก็ด้วยวิธีนี้แหละ เอเมน พอถึงพระเจ้า ก็บอก …

“พ่อจ๋า วันนี้”

เรายังชินมากนะ พระเยซูเรียกเป็นพี่ มันไม่เคย ในนี้จึงบอกว่าพระเยซูไม่ทรงละอาย ที่จะเรียกเขาเหล่านั้นว่าพี่น้อง พระองค์เป็นพี่ เราเป็นน้อง

วิญญาณของมนุษย์ผู้ใดที่ได้เข้ามาอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่างแล้ว เขาอยู่กับพระเยซูแล้ว เขาจะอยู่ในความสว่างอย่างนี้ตลอดไป  แม้ว่าวันหนึ่ง ร่างกายที่เห็นอยู่นี้ อายุ 80 ปี 70 ปี หรือ 90 ปี 100 ปี จะต้องกลับไปสู่ดิน จะต้องสูญสิ้นไป  ทรุดโทรมไป  หมดไป แต่วิญญาณเขาไม่ได้ไปไหน เขายังอยู่กับพระเจ้าเหมือนเดิม และเมื่อใครก็ตามเข้ามาอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่างนี้ มาอยู่กับพระเยซูคริสต์ ย้ายจากครอบครัวเดิม คือครอบครัวอาดัม มาอยู่นครอบครัวพระเยซู อยู่ในความสว่างกับพระเจ้า กับพระเยซู เขาจะอยู่ที่นี่ตลอดไป และในพระคัมภีร์บอกว่าขณะที่เขาอยู่ ไม่มีใครที่ไหน แม้กระทั่งตัวเขาเอง จะสามารถเอาเขาออกไปจากอาณาจักรแห่งความสว่าง กลับมาอยู่ในความมืดนี้ได้ ไม่มีทางเด็ดขาด เพราะเขาได้อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ทรงฤทธิ์อำนาจยิ่งใหญ่สูงสุดนี้แล้ว เอเมน

นี่คือความสบายใจและการหายเหนื่อยและเป็นสุข ที่พระเยซูบอก หลายคนไม่เข้าใจ กลัว ฉันจะได้รับความรอดไหม? วันนี้ ถ้าฉันทำไม่ดีไป ฉันจะตกกลับมาอยู่ที่นี่เหมือนเดิม  ปรากฏว่าวันทั้งวันย้ายไปก็ย้ายมา เมื่อตะกี้นี้ขับรถมา ทนไม่ไหว คนขับรถตัดหน้า ด่าไปแบบสุดๆ เลย ท่านมีความเชื่อว่าถ้าไม่สารภาพบาป ท่านยังต้องตกนรกอยู่ เพราะฉะนั้น ท่านก็ยังตกนรกอยู่ ถ้าผมไม่ได้เตือนท่าน แล้วท่านต้องคอยจำว่าตั้งแต่เช้ามาท่านทำอะไรผิดไปบ้าง แล้วสารภาพหรือยัง?

เพราะฉะนั้น ถ้าใช้ความเชื่อแบบเดิมๆ ท่านเดินไปเดินมา ทำผิด ท่านก็ต้องสารภาพผิด ขอโทษพระเจ้า ไปไหนมาไหน ก็ต้องขอโทษพระเจ้า หนักกว่าเดิม ไม่ใช่หายเหนื่อยแล้วเป็นสุข พระคัมภีร์บอกว่าท่านเป็นนิวครีเอชั่น ได้เป็นสิ่งที่ถูกสร้างใหม่แล้ว พระเจ้าสร้างท่านใหม่ ก่อนจะเชื่อพระเยซู ท่านอยู่ในอาดัม อยู่ในอาณาจักรแห่งความมืด เหนื่อย ทุกอย่างต้องทำด้วยตัวเอง ไม่รู้จะไปพึ่งใคร? เมื่อท่านได้ยินข่าวประเสริฐ ท่านบอก …

“ข่าวประเสริฐดีจริง ฉันเชื่อแล้ว ฉันเอาด้วย ฉันจะใช้สิทธิของฉันในพระเยซูคริสต์ ที่พระเยซูทำให้ฉัน คือตายแทนฉันที่ไม้กางเขน เป็นพี่ชายให้กับฉัน มารับโทษบาปแทนฉัน ฉันเอาด้วยคน ฉันใช้สิทธิของฉันแล้ว ฉันรับแล้ว”

พระคัมภีร์บอกว่าเมื่อท่านพูดด้วยปาก และเชื่อด้วยใจว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต ชำระบาปให้กับท่าน … ท่านจะรอด พอท่านพูด ท่านเชื่อปุ๊บ พระคัมภีร์บอกว่าโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า กระทำการงาน โดยวินาทีนั้นทันที 2 โครินธ์ บทที่ 17 สร้างท่านขึ้นใหม่ เป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ นิวครีเอชั่น  คำเดียวกับปฐมกาลเลย ถูกสร้างขึ้นใหม่ ในพระเยซูคริสต์ สิ่งเก่าๆ ๆก็ล่วงไป นี่แหละ Behold อันเดียวกัน แปลว่าจงมองให้เห็นเถิด ทุกสิ่งทุกอย่างใหม่เอี่ยมทั้งสิ้น วิญญาณเก่าเอาออกไป เราให้ใจใหม่กับเจ้า เอเมน พระเจ้าบอกไม่มีฤทธิ์อำนาจใดๆ เอาท่านออกไป จากความรักของพระเจ้าได้อีกแล้ว ไม่ยอมให้ใครมาเอาไปเด็ดขาด ท่านว่าพระเจ้าทำได้ไหม? ทำได้แล้ว และทำไปแล้ว นี่คือความสบายใจ ไม่ต้องกลัวอะไรอีกแล้ว เมื่ออยู่กับพระเจ้า

พูดถึงเรื่องนี้ ผมเคยตกใจ ผมว่าหลายคนก็เคยตกใจเหมือนผม มีอยู่ครั้งหนึ่ง ไปบ้านเพื่อน คนรู้จัก เลี้ยงหมาดุเอาไว้ แต่จำเป็นต้องไป เพื่อนก็ไม่บอกเรานะว่าหมามันดุมาก

“ไม่เป็นไร มันไม่ได้ดุอะไรมาก”

เราก็เดินจะเข้าประตู ปุ๊บ มันกระโจนมาเลย ดุมาก หมาไทย ขอบคุณพระเจ้า โซ่มันพอดี คือเขาผูกไว้พอดี ให้แขกสามารถเดินเข้าบ้านเขาได้ ด้วยความตกใจกลัวสุดขีด มันบอกไม่เป็นไร เพราะมันผูกไว้แล้ว  ตัวเจ้าของเขารู้ว่าไม่กัดแน่ แต่ผมไม่รู้ หัวใจแทบหล่นไปอยู่ตาตุ่ม มันกระโจนมา เรารู้สึกเฉียดนิดเดียว แต่จริงๆ ไม่นิด ก็ 3 – 4 คืบ คือสุดปลายโซ่ ถ้าขึ้นบันได มันก็สุดปลายโซ่ แต่ทำไมเรากลัว ใจหายเลย  ถามว่ามันดุจริงไหม? จริง ถามว่ามันจะกัดจริงหรือเปล่า? จริง ถ้าไม่มีใครผูกไว้ มันกัดผมแน่ ฉันใดก็ฉันนั้น พระคัมภีร์บอกว่ามารมันเป็นเหมือนสิงคำรามรอบตัวท่าน มันคอยจะกัดท่าน ถ้ามันทำได้ แต่มันทำไม่ได้หรอก เพราะว่าพระเจ้าผูกมันไว้ ถ้าท่านอยู่ฝั่งอาดัม มันกัดท่านอยู่ทั้งวัน แต่ท่านย้ายมา มันกัดท่านไม่ได้แล้ว มันได้แต่ทำให้เรากลัว สะดุ้งตกใจ แต่พอนานๆ เริ่มชิน มันทำอะไรเราไม่ได้นี่หน่า มันจะทำเราได้ต่อเมื่อเราไม่ได้อยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่าง แต่ตราบใดที่เราย้ายมาแล้ว มันทำอะไรเราไม่ได้อีกต่อไปแล้ว

เพราะฉะนั้น คนที่ย้ายมาอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่าง อยู่กับพระเยซูคริสต์แล้ว ควรจะทำเหมือนที่พระเยซูบอก คือถ่อมใจ บอกว่า …

“ฉันหายเหนื่อย และเป็นสุขแล้ว”

ก็คือนั่ง แล้วไข่วห้างด้วย มันสบาย ไม่ใช่นั่งไป กลัวไป  เมื่อไรจะมา ขู่ได้ไหม? ได้ เข้าใจไหม?  พระองค์มีชัยชนะเหนือทุกสิ่ง เราอยู่ที่นี่แล้ว ได้แต่ขู่เรา

“แน่ใจได้อย่างไรว่าไม่ได้ทำอะไรผิดบาปแล้ว แน่ใจได้อย่างไร? เมื่อวานยังมีความรู้สึกโลภ”

พระเยซูบอกแค่โลภก็แย่แล้ว เมื่อวานนี้ยังดูการประกวดนางงามอยู่เลย พระเยซูบอกแค่คิดกำหนัด ก็บาป ตกนรกแล้วนะ ชักไปใหญ่แล้ว แล้วสิบลดยังไม่ได้ถวาย ศิษยาภิบาลบอกตกนรกอีก ฉันอยากกลับไปเหมือนเดิม นี่แหละถูกมารมันเห่าตลอดเวลา ตกลงชักจะกลับไปเหมือนเดิมแล้วนะ ท่านดีอย่างไร? ท่านจึงสามารถอยู่ในอาณาจักรสวรรค์ได้ ฉันไม่ได้ทำอะไรดีเลย พระเยซูบอกฟรี แล้วไปให้เขาขู่ว่าไม่ได้ทำอะไรดีเลย  แล้วสมควรจะอยู่ในสวรรค์เหรอ คนนั้นทำดีกว่า คนนี้ทำดีกว่า ทำไมเธอมั่นใจตัวเองไปสวรรค์แน่นอน

นี่คือการขู่ ฤทธิ์อำนาจของพระเยซู คือมั่นใจในถ้อยคำพระเจ้า ถ้อยคำพระเจ้าบอกอย่างนี้ ฉันก็บอกอย่างนี้ จบ กัดฉันไม่ได้แน่นอน ได้แต่ขู่ไป ไม่มีประโยชน์ เห็นหรือยัง? พอท่านมาอยู่ที่นี่ พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะนำท่าน พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะสอนท่านในการดำเนินชีวิต แบบใหม่ แบบคนที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ ให้ระลึกถึงพระคุณของพระเยซูคริสต์ที่ไถ่บาปให้กับเรา ให้ระลึกถึงความดีงามของพระองค์ พ่อเรา ที่รักเรามาก เป็นครอบครัว ไม่ใช่ให้กลัว ให้ระลึกถึง แล้วตั้งใจจะทำชีวิตให้ดีงาม ให้เป็นที่พอพระทัยของพ่อของเรา ทำได้ครบบ้าง ไม่ครบบ้าง แต่ไม่กลัว เพราะพ่อเราไม่ได้ว่าอะไรหรอก เราก็ตั้งใจของเราได้แค่นี้ หล่นบ้าง ตกบ้าง ไม่สนใจ เพราะได้แค่ขู่ฉัน ทำอะไรฉันไม่ได้ ชัยชนะแปลว่าอย่างนี้

ชนะความบาป ก็หมายถึงอย่างนี้ ชนะหมดเลย เกลี้ยงเลย เธอทำอะไรฉันไม่ได้อีกแล้ว จบ

“เธอทำบาป จะได้รับความรอดได้อย่างไร? เธอมาเชื่อพระเจ้า เธอยังโกหกอยู่เลย เธอจะได้รับความรอดได้อย่างไร?”

บอกมันเลย  “ต่อให้โกหกฉันก็ได้รับความรอด ฉันได้รับการชำระโดยโลหิตของพระเยซูคริสต์ไปแล้ว ฉันไม่ได้ชำระตัวเองด้วยความดีของฉัน ฉันได้รับการชำระ ฉันมาอยู่ตรงนี้ เพราะว่าพระเยซูทำให้ ฉันได้มาฟรีๆ เพราะฉะนั้น ต่อให้ฉันเผลอไปโกหก ฉันก็รอดอยู่ดี”

นี่แหละ คือคำที่สยบมารที่คำรามใส่เรา แล้วพระวิญญาณก็นำพาเรา ให้เราทำสิ่งที่ดีๆ ที่สุด เพื่อพ่อเรา เพื่อพระเจ้าที่ทำดีกับเรา เรารักพ่อ เราเลยอยากทำสิ่งที่ดี สิ่งที่พลาดไป

“ขอโทษทีพ่อ ลูกพลาดไป ลูกขอโทษ”

จบ ไม่ต้องไปคิดมันแล้ว ต่อไปก็อยู่กับพ่อเหมือนเดิม ผมนึกถึงสมัยที่ผมจบใหม่ๆ ผมไปเล่นดนตรีอยู่ที่แคมป์ทหาร ที่นครพนม ตอนนั้น ทหารอเมริกันไปรบ แล้วกลับมาพักที่แคมป์ เขาไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะตายหรือไม่?  เที่ยวหน้าต่อไป เขาอาจจะไม่ได้กลับมาก็ได้ เขาก็ใช้เงิน ใช้ทอง เสพความสุขต่างๆ ให้มากที่สุด หนึ่งในจำนวนนั้น ก็คือเรื่องของยาเสพติด มีหมดทุกชนิดเลย แล้วผมเป็นนักดนตรีก็ต้องคลุกคลีกับพวกทหารเหล่านี้ เป็นเพื่อนกัน ถามว่ารอดจากยาเสพติดเหล่านั้นได้อย่างไร? คือพ่อแม่ไม่ได้บังคับผมเลยนะ พ่อแม่อยู่กรุงเทพ ผมก็รู้ว่าท่านเป็นห่วง แต่ด้วยความรักของพ่อแม่  ผมรู้ว่าพ่อแม่รัก อะไรที่ไม่ดี พยายามที่จะรู้ตัวว่ามีคนที่รักเราอยู่ เราก็ไม่อยากทำ ความรักเป็นพลังให้กับเรา  แต่เราทำได้ 100% ไหม? ไม่ได้ 100% แต่ผมรู้ถึงไม่ได้ 100% แต่ถ้าพ่อผมได้ยิน ได้ฟัง ได้รู้ แม่ได้ยิน ได้ฟัง ได้รู้ แม่คงไม่เอาหวายมาเฆี่ยนผม  แม่ก็คงเข้าใจผม พ่อก็คงเข้าใจ ไม่คิด ไม่ถือสาตรงนั้น ให้ลูกได้รอด ก็แล้วกัน ผมรอด เพราะความรักของพ่อแม่ เป็นพลังให้กับเรา ในการที่เราจะเป็นคนที่ดี แต่เราไม่สามารถเป็นคนที่ดีพร้อมได้ แต่เราสามารถเป็นคนดีได้  ด้วยพลังที่พ่อให้เรา  ในทำนองเดียวกัน พระเจ้าเป็นพลัง พระเยซูเป็นพลัง พระคุณเป็นพลัง เมื่อเห็นแก่พระคุณของพระองค์ เราตั้งใจที่จะทำสิ่งที่ดีที่สุด ถวายร่างกายนี้ ให้พระองค์ใช้ดีที่สุด ส่วนจะผิดพลาดพลั้งไป ตามสัญชาตญาณบาปที่ทำงานอยู่ในเนื้อหนังนี้ ก็ว่ากันไป แต่ในใจ ผมไม่เคยคิดเลย ที่จะไปทำอะไรให้พ่อแม่ไม่สบายใจ ในหนังสือโรม บทที่ 12 จึงบอกว่า …

“ท่านรู้ในเหตุการณ์ที่พระเจ้า  ทำให้ท่านได้รับความรอดอย่างนี้แล้ว โดยท่านไม่ต้องทำอะไร? ข้าพเจ้าขอวิงวอนท่านให้เห็นแก่พระคุณของพระเจ้า ที่ทำให้ท่านมานั่งตรงนี้ ทำให้เห็นแก่พระคุณของพระเจ้า ผู้เป็นพ่อที่รักท่านมากๆ ให้ดำเนินชีวิตในทางที่เป็นที่ถวายเกียรติ ให้พระเจ้าพอใจ”

ให้ทดแทนพระคุณพระเจ้า ดำเนินชีวิตให้ดีๆ ตั้งใจ พลาดไป ก็ไม่เป็นไร แต่ให้ท่านตั้งใจตรงนี้  นี่คือความสบายใจของผู้ที่ย้ายตัวเองมาอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่าง มาอยู่ในพระเยซูคริสต์ หายเหนื่อยและเป็นสุข พระเยซูบอกสวรรค์มาแล้ว ก็คืออาณาจักรแห่งแสงสว่าง ที่พระองค์จะทรงนำเข้ามา กำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว เมื่อพระองค์ทรงตายที่ไม้กางเขน มันเริ่มสถาปนาแล้ว เมื่อพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม อาณาจักรแห่งสวรรค์ อาณาจักรแห่งความสว่างได้ลงมาบนโลกนี้แล้ว มนุษย์ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเข้ามาอยู่ในนี้ได้ ง่ายนิดเดียว เพราะพระเยซูทำให้แล้ว เปิดให้แล้ว เพียงแต่เดินก้าวเข้ามา แล้วบอกว่า …

“ฉันเชื่อ”

จบ พระเยซูตอนที่เดินอยู่บนโลกนี้ บอกว่าบุตรมนุษย์ คือพระองค์จะถูกตรึงที่ไม้กางเขน และพระองค์จะถูกยกขึ้นมา แล้วพระองค์จะทรงรอ คือดึงเอามนุษย์ทั้งหมดบนโลกใบนี้ เข้ามาหาพระองค์ด้วยวิธีนี้แหละ ผมก็ถูกดึงเข้ามาหาพระองค์ ทุกคนก็ถูกดึงเข้ามาหาพระองค์ คือเข้ามาสู่อาณาจักรแห่งความสว่าง เข้ามาสู่ความสงบ เข้ามาสู่การพักผ่อน จบแล้ว ต่อไปนี้ ก็ให้พระวิญญาณบริสุทธิ์นำพาเรา วันต่อวันไปเรื่อยๆ ไม่ต้องไปกังวล ไม่ต้องไปกลัวอะไรเลย เราอยู่เหนือทุกสิ่งแล้วในพระเยซูคริสต์ พระคัมภีร์พูดไว้อย่างนั้น ทุกอย่าง ทุกสิ่ง ทั้งโลกฝ่ายวิญญาณ โลกฝ่ายวัตถุอยู่ใต้เท้าพระเยซูคริสต์ แล้วเราไปกลัวอะไร? เอเมน เรากำลังอยู่ในสวรรค์ รอเพียงแค่ ให้มันชัดเจน มองได้ง่ายขึ้น ไม่ต้องพยายามเหมือนทุกวันนี้ จงมองให้เห็นเถิด โลกฝ่ายวิญญาณเป็นอย่างไร? เพราะเรายังติดอยู่ในร่างกายเก่านี้ พระเจ้ายังต้องใช้ร่างกายเก่าของเรานี้ ให้เป็นประโยชน์ในการประกาศข่าวดีให้กับมนุษย์ เพราะเราต้องเป็นมนุษย์ ถึงจะประกาศได้

เพราะฉะนั้น ถ้าพระเจ้าเลิกใช้เราเมื่อไร? ร่างกายนี้หมดลมหายใจ เมื่อไร? เป็นวันที่เราเป็นอิสระ เราอยู่ในสวรรค์ที่เดิม แต่เราเห็นชัดเจน ตาต่อตา เห็นชัดแจ๋ว ทุกวันนี้ พระคัมภีร์ไบเบิ้ล เปาโลบอกว่าเราเห็นเพียงรางๆ จึงต้องมาอธิษฐาน ขอพระเจ้าช่วยเรา จงมองให้เห็นเถิด แต่วันนั้น ถ้าร่างกายเราทิ้งไปแล้ว เป็นอิสระแล้ว เราจะเห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้าเลย ไม่ต้องใช้ความเชื่ออีกต่อไปแล้ว เอเมน แล้ววันนั้น มันก็ใกล้เข้ามา พระเจ้าจะใช้เราอีกนานต่อไปเท่าไร? ก็อยู่ที่พระองค์ เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*************************

 

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 15 ตุลาคม 2017 เรื่อง “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท” ตอน 4 “สองอาณาจักรแห่งโลกวิญญาณ” ตอน 1 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  15  ตุลาคม  2017

 เรื่อง “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท”

ตอน 4 “สองอาณาจักรแห่งโลกวิญญาณ” ตอน 1

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

สวัสดีครับ เรากำลังเรียนรู้ ถ้อยคำพระเจ้า เรื่องความจริงจะทำให้เราเป็นไท ที่พระคัมภีร์พูดถึงนี้ ไม่ได้ใช้เฉพาะโลกวิญญาณ หรือเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้าเท่านั้น  จริงๆ ใช้ในชีวิตเราทั้งหมดเลย ถ้าเรารู้เรื่องจริง อะไรก็ตาม จะทำให้เราเป็นอิสระ ไม่ถูกหลอก เมื่อไม่ถูกหลอก เราก็ดำเนินชีวิตได้ถูกต้อง กับตัวเราเอง ในทุกเรื่อง ไม่ว่าเรื่องสุขภาพ เรื่องอะไรก็ตาม ทุกเรื่องเลย ถ้าเรารู้ความจริง แม้กระทั่งเรื่องคนอื่นที่เราไปวิพากษ์วิจารณ์ ไปเขียนในเฟสบุ๊ค ในโซเชียลมีเดียทั้งหลาย บางทีเราไม่รู้ว่าเบื้องหลัง มีอะไร? เราก็คิดของเราไปเรื่อยเปื่อย เราก็ตัดสินใจผิด คอมเม้นท์ผิด แล้วก็ไม่รู้ว่าจริงๆ เกิดอะไรขึ้น เห็นไหม? ความจริงจะทำให้เราเป็นไท พระเยซูพูดไปตั้งนานแล้ว ตั้ง 2,000 ปีแล้ว ถ้าเราไม่รู้ความจริง เราพูดไปในความไม่จริง ก็จะเกิดความเสียหาย ใครเสียหายมากที่สุด ตัวคนๆ นั้นแหละ ที่ทำ

ยกตัวอย่างเช่น ความกตัญญู เขาบอกให้เรามีความกตัญญูต่อพ่อแม่ ต่อผู้มีพระคุณทั้งหลาย พระเยซูบอกแม้แต่น้ำแก้วหนึ่ง ยังให้เรามีความกตัญญูเลย น้ำแก้วหนึ่งยังได้รับอะไรบางอย่าง ที่เรียกว่าสิ่งที่ดีๆ ตอบแทน คนที่เขาให้น้ำแก้วหนึ่ง ด้วยความรักแท้ ด้วยความจริงใจ ไม่ได้หวังอะไรกลับคืน ความกตัญญู คนอื่นก็นึกว่าพ่อแม่ต้องการให้เราไปช่วย พ่อแม่ต้องการความกตัญญู ไม่ใช่ พูด สอน เพื่อให้ประโยชน์เกิดขึ้นกับคนที่กตัญญู คนที่กตัญญูก็จะได้ กตัญญูต่อแผ่นดิน ก็ได้พระพร ได้สิ่งดีๆ เข้ามาในชีวิต กตัญญูต่อพ่อแม่ กตัญญูต่อธรรมชาติ น้ำอะไรต่างๆ ให้มันสะอาด อย่าทำให้มันสกปรก อย่าเอาขยะทิ้งลงไป นี่คือความกตัญญู คนนั้นก็ได้พร คือได้สิ่งที่ดีๆ ในชีวิตของเขา ถ้าเขาไม่กตัญญู เขาก็จะได้สิ่งที่ไม่ดี ไม่รู้จักคุณค่าของสัตว์ ของสิ่งมีชีวิต ของป่าไม้ ของพืชพรรณ ของอากาศที่ดีๆ ไม่รู้จักคุณ ไม่กตัญญูต่อเขา ทำสิ่งไปต่อต้านเขา คนนั้น ก็ได้สิ่งที่ไม่เป็นพร เข้ามาในตัวเอง เรียกว่าได้คำสาปแช่งเข้ามา นี่เห็นไหม แค่พูดถึงเรื่องถ้อยคำเดียวที่พระเยซูบอกว่าความจริง จะทำให้เราเป็นไท เป็นอิสระ แค่นี้ก็พูดไม่จบเลย นี่ยังไม่รวมถึงเรื่องความรอดในพระเยซูคริสต์

วันนี้เป็นตอนที่ 4 ใช้ชื่อเรื่องว่า “สองอาณาจักรแห่งโลกวิญญาณ” ให้พูดบ่อยๆ เพื่อเราจะได้ชินกับคำศัพท์ที่ใช้ในโลกวิญญาณ ชินกับความคิด เรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณที่มนุษย์มองไม่เห็น มือจับต้องไม่ได้ หูไม่ได้ยิน แต่เป็นจริงในพระคัมภีร์สอนไว้ เพื่อจะชินกับการคิด มองด้วยตาฝ่ายวิญญาณ ทะลุให้เห็นว่าโลกวิญญาณมีจริง และหน้าตามันเป็นอย่างไร? นี่คือสิ่งที่ผมคิดว่าท่านทั้งหลาย หรือผมควรจะทำและฝึกบ่อยๆ ยิ่งฝึกมาก มันก็จะชำนาญมากขึ้น ทุกทีๆ พระเยซูบอกว่าผู้ที่จะเข้าไปอยู่ในสวรรค์ ผู้ที่จะมีสวรรค์เป็นของเขา เรียนถ้อยคำพระเจ้า เรียนเรื่องสวรรค์ เราต้องทำตัวเป็นเด็ก

วันนี้การบรรยายชุด “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท” ตอนที่ 4 “สองอาณาจักรแห่งโลกวิญญาณ” โลกวิญญาณมันซ้อนอยู่ในโลกนี้ มันเป็นอีกมิติหนึ่ง อยู่ตรงนี้แหละ มันคลุมอยู่กับโลกที่เรานั่งอยู่ที่นี่ ที่เราเห็นอยู่ตรงนี้ เหมือนที่พระเยซูพูด …

  1. โลกวิญญาณอยู่ที่ไหน?  อยู่ที่นี่ หมายถึงคลุมอยู่บนโลกใบนี้  ซ้อนกันอยู่ตรงนี้
  2. ตอนที่มีโลกใหม่ๆ ตอนที่พระเจ้าสร้างโลกใหม่ๆ โลกวิญญาณมีกี่อาณาจักร?  1 อาณาจักร
  3. ใครเป็นผู้นำความมืดเข้ามาในโลกวิญญาณ? อาดัม ผ่านทางมาร อาดัมไม่มีความมืด ผ่านทางมาร เชิญมารเข้ามา
  4. ตอนความมืดเข้ามาครั้งแรก โลกวิญญาณตอนนั้น มีกี่อาณาจักร? 1 อาณาจักร เพราะความมืดเข้ามา พระเจ้าก็ถอยออกไป
  5. เวลาเลยมา ยาวยืดจากปฐมกาลมาจนถึงปัจจุบันนี้  โลกวิญญาณมีกี่อาณาจักร? 2 อาณาจักร คืออาณาจักรแห่งความสว่าง และอาณาจักรแห่งความมืด
  6. อาณาจักรแห่งความสว่างเกิดขึ้นได้อย่างไร? เกิดขึ้นเมื่อพระเยซูมาตายที่ไม้กางเขน พระเยซูเป็นพระบุตรพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตชำระบาปให้กับมนุษย์ทั้งปวง และทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 พระเจ้า แต่งตั้งให้พระเยซูคริสต์นั่งที่เบื้องขวาของพระองค์ในสวรรค์สถาน เต็มไปด้วยฤทธิ์เดชอำนาจ พระองค์ทรงนำเอาความสว่างเข้ามาในโลกนี้ ซ้อนเข้ามาอยู่บนโลกนี้เลย โลกวิญญาณ ก็เลยมี 2 อาณาจักรเกิดขึ้น จนถึงปัจจุบัน
  7. ใครเป็นหัวหน้าอาณาจักรแห่งความสว่าง? พระเยซูคริสต์ … ใครเป็นหัวหน้าอาณาจักรแห่งความมืด? มาร

เหนือพระเยซูคริสต์ ใครเป็นผู้ให้สิทธิอำนาจพระเยซูคริสต์? พระเจ้า … พอมาอาณาจักรแห่งความมืด ใครเป็นหัวหน้าอาณาจักร? อาดัม ใครเป็นคนให้สิทธิอำนาจแก่อาดัม ในการเป็นหัวหน้าอาณาจักรแห่งความมืดบนโลกใบนี้ ชื่อมาร ท่านเห็นภาพไหม? นี่คือความเป็นจริงในโลกที่เราเรียกว่าโลกฝ่ายวิญญาณ ที่พระคัมภีร์พระเจ้า อยากให้เราลูกๆ ของพระองค์ได้เรียนรู้สิ่งเหล่านี้ เราจะได้เป็นไท เป็นอิสระ

  1. ใครเป็นผู้มีสิทธิ์ที่จะเลือกว่าจะไปอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่าง หรืออยากจะอยู่ในอาณาจักรมืดต่อไป? มนุษย์ เป็นผู้เลือกเอง ไม่มีใครเลือกให้ ทูตสวรรค์ พระเยซูไม่ได้เลือกให้ มารก็ไม่ได้เลือกให้ มนุษย์เป็นผู้มีสิทธิ์ ต้องเป็นผู้เลือกด้วยตัวเอง ไม่ใช่มนุษย์เลือกให้อีกคนหนึ่ง พ่อแม่เลือกให้ได้ไหม? ไม่ได้
  2. ขณะที่ท่านนั่งอยู่ในห้องนี้ ตอนนี้ วิญญาณของท่านอยู่ที่ไหน? อยู่ในอาณาจักรไหน? มืดหรือสว่าง? ตัวใครก็ตัวเขาแหละ ถามคนที่บ้านว่าขณะที่ท่านฟังคลิปนี้อยู่ในยูทูปหรือเฟสบุ๊คของโฮลี่ก็ตาม วิญญาณท่านอยู่ที่ไหน? ไม่ได้อยู่ที่บ้านหรอก ที่บ้านท่านก็มีโลกวิญญาณเหมือนกัน โลกวิญญาณซ้อนโลกนี้อยู่ คลุมโลกนี้อยู่ทั้งหมด ถามตัวท่านเองในใจ? ถามตัวเองที่กระจกว่า …

“ฉันอยู่ที่ไหน?” ตามพระคัมภีร์ไบเบิ้ลนี้

และในวันนี้ เราก็จะมาเรียนรู้กันต่อว่าระหว่างอาณาจักรแห่งความสว่างและอาณาจักรแห่งความมืด พระคัมภีร์ได้มีคำอธิบายหรือมีคำบอกเล่าคุณลักษณะความแตกต่างของทั้งสองอาณาจักรไว้อย่างไรบ้าง? เพื่อท่านจะได้คุ้นกับหูของท่าน ซึ่งเป็นหูทางฝ่ายเนื้อหนัง ฝ่ายร่างกาย หูวิญญาณท่านเปิดแล้ว ท่านเข้าใจแล้ว แต่หูข้างนอก มันไม่คุ้น เราก็เลยต้องมาทำความคุ้นเคย ซึ่งถ้าเราได้เข้าใจในความหมายเล่านี้ เวลาอ่านพระคัมภีร์เราจะเข้าใจได้ง่ายขึ้น มากขึ้น เร็วขึ้น อย่างที่ผมย้ำอยู่เสมอว่าพระคัมภีร์ทั้งเล่ม เป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นคำสอนในพระคัมภีร์ เป็นอุปมา ตัวอย่าง คำเปรียบเทียบ หรือแม้แต่เป็นนิทาน หรือเรื่องเล่า หรือประวัติศาสตร์ที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ทั้งหมด ล้วนเล็งถึงสิ่งที่เกิดขึ้นและเป็นอยู่ในโลกวิญญาณทั้งนั้นเลย

ยกตัวอย่าง เช่นถ้อยคำที่บอกว่าในพระคัมภีร์เขียนว่า “เราได้ตายแล้ว และบังเกิดใหม่แล้ว” แค่นี้ ถ้าเราไม่ได้คิดถึงโลกวิญญาณ เราไม่เข้าใจเลย แต่ตอนนี้เราเข้าใจแล้ว วิญญาณเราได้ตายไปแล้ว เราได้เกิดใหม่แล้ว คือเราเกิดในวิญญาณ

ผมก็เลยพยายามรวบรวมถ้อยคำ คำศัพท์ต่างๆ ที่ปรากฏในพระคัมภีร์นี้ เท่าที่ทำได้ เป็นคำศัพท์ที่กล่าวถึงอาณาจักรแห่งความสว่างและอาณาจักรแห่งความมืด ที่เรากำลังเรียนอยู่นี้

เอเฟซัส 4:2-6 “4 แต่เนื่องด้วยความรักใหญ่หลวงที่ทรงมีต่อเรา พระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยพระเมตตาอันอุดม 5 จึงทรงให้เรามีชีวิตอยู่กับพระคริสต์ แม้เมื่อเราได้ตายแล้วในบาป คือท่านทั้งหลายได้รับความรอดโดยพระคุณ 6 และพระองค์ทรงให้เราเป็นขึ้นมากับพระคริสต์ และในพระเยซูคริสต์  พระเจ้าทรงให้เรานั่งในสวรรคสถานกับพระคริสต์

 

คำเหล่านี้เกี่ยวข้องกับอาณาจักรแห่งความสว่างในโลกวิญญาณ ท่านต้องเข้าใจในโลกวิญญาณอย่างเดียวเท่านั้น ไม่อย่างนั้นท่านจะไม่รู้เรื่องเลยว่ามันแปลว่าอะไร?  พอท่านเข้าใจในโลกฝ่ายวิญญาณว่าที่ขีดไว้นั้นหมายถึงอะไร? ….

“มีชีวิตอยู่กับพระคริสต์” ก็คือมีชีวิตเหมือนพระเจ้า “อยู่กับพระคริสต์” ก็คืออยู่กับพระคริสต์

“รอดโดยพระคุณ” ก็คือไม่ต้องทำอะไร? รอด ก็คือรอดจากความมืดมาสู่ความสว่าง รอดโดยพระคุณ คือ …

“ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย ฉันเลือกเอา แล้วพระเจ้าช่วยให้ฉันรอด”

“ให้เราเป็นขึ้นมากับพระคริสต์” ท่านรู้แล้วว่าความหมายคำนี้จะเปลี่ยนไป แต่คำว่า “เป็นขึ้นมา” คือ …

“ตอนที่ฉันอยู่ในความมืด ก็แสดงว่าฉันตายอยู่ ตอนนี้ผ่านทางพระเยซู พระเจ้าทำให้ฉันเป็นขึ้นมาใหม่กับพระเยซูคริสต์ มาอยู่ในความสว่าง”

“ในพระเยซูคริสต์” แปลว่าฉันนั่งอยู่ในที่เดียวกันกับพระเยซู

“นั่งในสวรรค์สถานกับพระคริสต์” ฉันนั่งอยู่ในพระคริสต์ ฉันได้นั่งอยู่ในสวรรค์สถานเดี๋ยวนี้ พระคัมภีร์บอกว่ามันเกิดขึ้นแล้ว เดี๋ยวนี้ และอยู่ต่อไปเรื่อยๆ ตลอดไป

ถ้าท่านมองไปในโลกวิญญาณ ไม่ศึกษาทางวิญญาณ ไม่เข้าใจเลย โลกมันซ้อนกันอยู่ โลกวิญญาณซ้อนกันอยู่ แม้กระทั่งตอนนี้ฉันเดินอยู่ในห้องใต้ดิน ซึ่งปิดไฟมืดสนิท ฉันก็อยู่ในอาณาจักรของความสว่าง แม้ว่าคนที่ยังไม่ได้ใช้สิทธิ์ของเขาในพระเยซูคริสต์ เขาจะเดินอยู่ตอนเที่ยงวัน แดดจ้า ร้อนมาก เขาก็กำลังเดินอยู่ในความมืด ท่านเห็นแล้ว

โรม 14:17 “เพราะอาณาจักรของพระเจ้า ไม่ใช่เรื่องของการกินการดื่ม แต่เป็นความชอบธรรม  สันติสุข และความชื่นชมยินดีในพระวิญญาณบริสุทธิ์

 

“อาณาจักรของพระเจ้า” ก็คืออาณาจักรแห่งความสว่าง ที่มีพระคริสต์เป็นหัวหน้าอยู่

“ความชอบธรรม” แปลว่าไม่ผิด ไม่บาป ถูกต้อง ทำอะไรก็ถูกหมด ดีหมด คนดี ดีงามเหมือนพระเจ้าเลย  อยู่ตรงนี้ แล้วมันก็มีสันติสุข

“สันติสุข” คือความสงบสุข ไม่กลัวโดนลงโทษ ไม่เหมือนกับคนที่อยู่ตรงนี้ (เก้าอี้ที่มีผ้าดำ) มีข้อกล่าวหา เป็นนักโทษ ผิดหมด ถูกลงโทษ แต่อันนี้ถูกหมด ไม่ถูกลงโทษ สันติสุข แปลว่าอย่างนี้

“ความชื่นชมยินดีในพระวิญญาณบริสุทธิ์” พระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็คือพระวิญญาณของพระเจ้า  (เก้าอี้ที่มีผ้าขาว) เรานั่งอยู่ที่นี่  เรามีความแฮปปี้ ยินดี มีความสุข ชีวิตคริสเตียน คือชีวิตที่มีความสุขที่สุดในโลก (ทั้งโลกวิญญาณและโลกวัตถุ) ถ้าเข้าใจสิ่งนี้ มันหลุดเลย มันจึงเป็นไทจริงๆ

โรม 5:1-2 “1 เหตุฉะนั้น เมื่อเราได้ถูกนับเป็นผู้ชอบธรรมโดยความเชื่อแล้ว เราจึงมีสันติสุขกับพระเจ้า โดยทางองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา 2 โดยทางพระองค์ เราจึงได้เข้าในร่มพระคุณที่เรายืนอยู่นี้ ด้วยความเชื่อ และเราจึงชื่นชมยินดีในความหวัง ที่จะได้มีส่วนในพระเกียรติสิริของพระเจ้า”

 

“ผู้ชอบธรรมโดยความเชื่อ” พอพูดผู้ชอบธรรมปุ๊บ  ท่านรู้ อยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่าง  อยู่กับพระเจ้าผู้ชอบธรรม ไม่ได้โดนลงโทษอีกต่อไป ไม่ใช่เป็นนักโทษ ผู้ชอบธรรมโดยความเชื่อ แสดงว่าฉันไม่ได้ทำเอง พระเยซูทำให้

“ร่มพระคุณ” แปลว่าฉันเข้ามาอยู่ในพระคุณ ฉันเลือกที่จะเข้ามาอยู่ในร่มพระคุณ ปกคลุมด้วยพระคุณ พระเจ้าทำให้ฉัน และฉันใช้สิทธิ์นี้ ถ้าฉันไม่ใช้สิทธิ ฉันไม่ได้อยู่ในร่มของพระคุณ พระเจ้าทำให้กับฉันฟรีๆ ฉันรอดแล้วในพระคริสต์ เหมือนร่มอันหนึ่งที่กางออกมาแล้ว ถ้าฉันไม่เข้าไปในร่มนี้  ฉันก็ไม่ได้อยู่ในร่มพระคุณ ฉันจะอยู่ในร่มพระคุณ เพราะฉันยอม ที่จะรับว่ามันเป็นจริง และเชื่อ ฉันขอเข้าไปอยู่ในร่มด้วยคน เหมือนฝนตก แล้วคนถือร่มมา ถ้าท่านไม่ไป ขอเข้าไปด้วยคน ท่านก็เปียกฝน ในขณะเดียวกัน ตรงนี้ก็เหมือนกัน พระเจ้ากางร่มให้ท่านแล้ว แล้วบอกมาสิ เข้ามาสิ เข้ามาในแสงสว่าง เข้ามาในความรอดในพระเยซูคริสต์สิ ท่านมีหน้าที่เชื่อ และเอาๆ ขอร่มด้วยคน แล้วท่านก็เข้ามาอยู่ในร่มพระคุณ แค่นี้เอง ไม่ต้องเสียอะไรเลย ถือร่มไว้แล้ว ร่มนี้ ชื่อร่มพระเยซูคริสต์

“พระคุณ” แปลว่าไม่ได้จ่ายตังค์ ไม่มีอะไรเลย  และไม่มีใครสามารถผลักท่านเข้าไปได้ด้วยไม่มีใครสามารถลากเข้าไปได้ ท่านต้องตัดสินใจด้วยตัวท่านเองว่าท่านจะเข้าไปอยู่ในร่มนี้ หรือไม่? หรือจะยืนตากฝน ตากแดดอยู่ต่อไป พระเจ้าให้คนเชิญท่านได้ คือประกาศข่าวดีให้กับท่าน แต่ท่านต้องเป็นคนตัดสินเองว่าจะเข้ามาในร่มหรือไม่? คุณพ่อคุณแม่ คนที่มีพระคุณ ศิษยาภิบาลใหญ่ๆ ศิษยาภิบาลที่ดังๆ นักประกาศ ก็ไม่สามารถ นี่ตามหลักพระคัมภีร์นะ พระเจ้าสามารถทำทุกสิ่งได้ ยกเว้นอย่างเดียว คือบังคับให้คุณเข้ามาอยู่ในนี้ ทำไม่ได้ นอกจากเชื้อเชิญ เคาะประตูแล้ว เคาะประตูอีก ง้อคุณแล้ว ง้อคุณอีก เอาข่าวประเสริฐให้คุณฟังตั้งหลายครั้งแล้ว ตั้งกี่ปี คุณก็ไม่เชื่อ แถมไล่พระเจ้าออกไป ไล่พระเยซูไปอีก ไม่สนใจอะไรเลย  พระองค์ไม่เคยงอน ไม่เคยโกรธ ไม่เคยรู้สึกน้อยใจเลย จะตามคุณไปเรื่อยๆ เพราะรู้ว่าคุณไม่เข้าใจ

พระเจ้าทำได้แค่นั้น ผ่านทางทุกเหตุการณ์บนโลกใบนี้ ผ่านทางมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ แม้กระทั่ง สัตว์ป่า สัตว์ใช้งาน หรือต้นไม้ เรียกผ่านทางสิ่งเหล่านั้นทั้งหมด เพื่อให้มนุษย์ที่ยังไม่รู้จักพระองค์ได้เข้ามาในร่มพระคุณนี้

พระเกียรติสิริ คือพระลักษณะของพระเจ้า ถ้าผมจะแปลเป็นยกตัวอย่างง่ายๆ แบบไทยๆ แบบมนุษย์ธรรมดา จะแปลได้อย่างนี้ว่าลูกของผม โต๋เต๋เขาก็มีสิริของผม อยู่ในตัวเขา ลูกของท่านก็มีสิริของพ่อแม่อยู่ในตัวเขา เข้าใจไหม? สิริ ก็คือตัวตนของผู้ที่ให้กำเนิด เพราะฉะนั้น ในนี้บอกว่าท่านอยู่ในพระเกียรติสิริของพระเจ้า คือท่านเข้าไปมีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า DNA ทางฝ่ายวิญญาณ ท่านมีส่วนอยู่ในนั้น เหมือนลูกผมมี DNA ของผมกับแม่อยู่ในตัวของเขา เหมือนลูกของท่านมี DNA ของท่านและคู่ครองของท่านอยู่ในตัวเขา เราพอเข้ามาเชื่อพระเจ้าแล้ว รับสิทธิ เราอยู่ในพระคริสต์ เป็นลูกพระเจ้าแล้ว ในโลกวิญญาณนะ เรามีส่วนเข้าไปอยู่ใน DNA ทางโลกวิญญาณ ที่เรียกว่าพระเจ้า ซึ่งภาษาพระคัมภีร์ใช้คำว่า “พระสิริ” หรือ “พระเกียรติสิริ” หรือ Glory of God ความสง่างาม ความยิ่งใหญ่ ความเป็นพระเจ้าของพระองค์ เรามีส่วนเข้าไปอยู่ในนั้นทันที

เพราะฉะนั้น เมื่อได้ร่มพระคุณแล้ว  เข้ามาอยู่ในร่มพระคุณแล้ว ด้วยความเชื่อ เราจึงชื่นชมยินดีและมีความหวังที่ได้มีส่วนอยู่ในพระสิริของพระเจ้าแล้ว เพียงแต่ตอนนี้ติดอยู่ในร่างกายนี้ชั่วคราวเท่านั้นเอง แป๊บเดียว เดี๋ยวมันก็หมดไปแล้ว อีกไม่กี่สิบปี

โคโลสี 1:22  “บัดนี้ ทรงให้ท่านคืนดีกับพระเจ้า โดยการสิ้นพระชนม์ของพระคริสต์ เพื่อถวายท่านให้เป็นผู้บริสุทธิ์ ปราศจากตำหนิ และพ้นจากข้อกล่าวหา ต่อหน้าพระองค์”

 

“คืนดีกับพระเจ้า” ก็แสดงว่าตอนที่เราอยู่ที่นี่ (เก้าอี้ผ้าดำ) ตรงกันข้ามกับคืนดี ก็เป็นศัตรูกับพระเจ้า เข้ากันไม่ได้ เราเป็นเหมือนน้ำกับน้ำมัน น้ำกับไฟ เจอกันไม่ได้เลย  มีเรื่อง อย่ามายุ่งกันดีกว่า พระเจ้าบริสุทธิ์ แต่เรานั้นสกปรก บาป แต่ตอนนี้ เราได้คืนดีกับพระเจ้าแล้ว มีส่วนเข้าไปในพระสิริของพระองค์

“ผู้บริสุทธิ์  ปราศจากตำหนิ”  คืนดีกับพระเจ้า  มาเป็นเหมือนพระองค์ เพราะฉะนั้น เราจึงบริสุทธิ์ ไม่เป็นบาป ไม่สกปรกอีกต่อไป ปราศจากตำหนิ คือไม่มีจุดด่างดำ แม้แต่นิดเดียว

ในพระคัมภีร์เขียนบอก เป็นเดี๋ยวนี้ ทันทีเลย  ไม่ต้องรอตาย  ยังอยู่ในเนื้อหนัง ร่างกายนี้อยู่ ก็เป็นตามนี้แล้ว เป็นผู้บริสุทธิ์ ปราศจากตำหนิ

“พ้นจากข้อกล่าวหา”  คือพ้นจากการเป็นนักโทษ ไม่ต้องใช้เวร ใช้กรรมแล้ว ขอบคุณพระเจ้า ฉันไม่ต้องทำอะไร? พระเยซูทำให้หมดแล้ว ทำเมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว และผลเกิดเดี๋ยวนี้แล้ว ไม่ต้องรอตาย คริสเตียนจึงไม่ควรที่จะมีทุกข์เลย ต้องมีน้อย ข้างในใจต้องมีการชื่นชมยินดีมากที่สุด ยิ่งถ้าเราได้รับรู้ทางโลกวิญญาณอย่างนี้มาก มันก็จะเกิดความชื่นชมยินดีในวิญญาณเรามาก ขนาดตามที่เรารู้ … รู้มาก ก็สันติสุขมาก รู้น้อย ก็สันติสุขน้อย รู้น้อย ก็กลัวมาก รู้มาก ก็กลัวน้อย

ยอห์น 17:3 “นี่แหละ คือชีวิตนิรันดร์ คือที่เขารู้จักพระองค์ ผู้ทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้ แต่องค์เดียว และรู้จักพระเยซูคริสต์ ผู้ซึ่งพระองค์ทรงส่งมา”

 

พระเยซู พระเจ้าส่งมา เห็นไหม?

“ชีวิตนิรันดร์” แปลว่าอยู่ในแสงสว่าง ชีวิตที่เหมือนพระเจ้า ชีวิตที่มีพระเกียรติสิริของพระเจ้า … พระเจ้าอยู่ในตัวเรา ชีวิตที่บริสุทธิ์ สะอาด ปราศจากตำหนิ ชีวิตที่สง่างาม ชีวิตที่เต็มไปด้วยฤทธานุภาพยิ่งใหญ่สูงสุด ชีวิตที่ชอบธรรม ที่เราว่ามาตั้งแต่ต้นทั้งหมด เรานั่งอยู่นี่ เรามีชีวิตนิรันดร์ มิได้หมายถึงว่าเรามาเชื่อพระเจ้า แล้วเรามีชีวิตตลอดไป ต่อให้เรามีชีวิตในความมืด เราก็มีชีวิตตลอดไป เพียงแต่เราอยู่ในความมืดตลอดไป  โลกวิญญาณเป็นอย่างนี้

สรุปแล้ว เราได้คำอะไรบ้างที่พระคัมภีร์อธิบาย เวลากล่าวถึงอาณาจักรแห่งความสว่าง

–  อาณาจักรสวรรค์ / อาณาจักรของพระเจ้า  / อาณาจักรของพระคริสต์

–  ในพระคริสต์  /   พระเกียรติสิริ  /  สง่าราศี  /   ความสว่าง

–  เป็นขึ้นมาใหม่  /  มีชีวิต  /  ชีวิตนิรันดร์

–  ความชอบธรรม  /  เป็นผู้ชอบธรรม  /   พระคุณ  /  ความรัก

–  บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า /  ลูกของพระเจ้า /  คืนดีกับพระเจ้า  /   ติดต่อกับพระเจ้าได้

นี่คือคำศัพท์ที่พูดถึงลักษณะสภาพของคนที่อยู่ในโลกวิญญาณ ที่เรียกว่าอาณาจักรของความสว่างของพระคริสต์

คราวนี้ มาดูอีกฝั่งหนึ่ง แน่นอนฝั่งอาณาจักรของความมืด ดูว่าพระคัมภีร์มักใช้คำอะไร? ที่พูดถึงสภาพของอาณาจักรแห่งความมืดในโลกวิญญาณบ้าง?

โคโลสี 1:21 “ครั้งหนึ่ง พวกท่านเคยแยกขาดจากพระเจ้า และเป็นศัตรูกับพระองค์อยู่ในใจ เพราะพฤติการณ์ชั่วของท่าน”

 

“แยกขาดจากพระเจ้า” ตอนที่ฉันยังไม่รับเชื่อ ไม่ได้ใช้สิทธิของฉันในพระเยซูคริสต์ ฉันนั่งอยู่กับอาดัมกับมาร ในอาณาจักรแห่งความมืด ฉันอยู่ในอาดัม โดยการควบคุมของมาร อยู่ในอาณาจักรที่เรียกว่าความมืด ตอนนั้นฉันขาดจากพระเจ้า ติดต่อกันไม่ได้ เป็นศัตรูกัน ต้านกันอยู่ เป็นน้ำกับน้ำมัน เป็นไฟกับน้ำ เป็นอะไรที่อยู่ตรงกันข้าม เป็นบวกกับเป็นลบ

“เป็นศัตรูกับพระเจ้า” ตอนที่ฉันอยู่ในอาณาจักรของความมืด ฉันเป็นศัตรูกับพระเจ้า ฉันยังไม่ได้คืนดีกับพระเจ้า ฉันยังต่อต้าน สู้ตลอดเวลา  มีคนมาประกาศข่าวดีเรื่องพระเยซูคริสต์ให้ฉัน ฉันอาจจะยิ้มรับๆ แต่ในใจฉันต่อต้าน ฉันรับไม่ได้เลย พูดเรื่องพระเยซู ฉันทรมานใจมากเลย ทั้งๆ ที่ฉันไม่รู้ว่าทำไม? เคยรู้สึกไหม? พูดเรื่องอะไรก็ได้ ในเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ ฉันไม่รำคาญเลย แต่พอพูดเรื่องพระเยซู ฉันรำคาญมากเลย  เมื่อไรจะพูดเสร็จสักที ทั้งๆ ทีเขาก็พูดไปนิดเดียว แต่พอพูดเรื่องอื่น ฉันอยากฟังมากเลย ไม่แปลก เพราะว่าพระคัมภีร์บอกไว้แล้ว

เพราะตอนนั้น ฉันเป็นศัตรูกับพระเจ้า ผู้เป็นเจ้าของความสว่าง รับไม่ได้เลย ฉันไม่รู้ตัวหรอก  แม้บางครั้ง ฉันจะไปโบสถ์คริสเตียน ตามคำเชิญของคนที่รักกันทางมนุษย์ ยกตัวอย่าง อาจจะเป็นพ่อฉัน แม่ฉัน เป็นญาติพี่น้องที่เคารพกัน  เชิญฉันไปงานคริสตมาส แล้วฉันก็ไป ดูเหมือนท่าทางข้างนอกดีหมดเลย มีมารยาทที่ดีมากเลย แล้วบางครั้ง ฉันไปทำอะไรพิเศษให้เขา ผมก็เหมือนรับตามมารยาท ผมก็ไปร้องเพลงพิเศษในวันคริสตมาส ผมก็ร้องไปอย่างนั้น แต่ในใจผมไม่ชอบ ไม่มีเหตุผล คิดย้อนกลับมา เดี๋ยวนี้ ถามตัวเองว่าไม่ชอบพระเยซูเหรอ ไม่รู้สิ คำนี้มาไม่ชอบ ผมเป็นอย่างนั้นนะ เคยคุยกับหลายๆ ท่าน เป็นอย่างนั้นจริงๆ  เพราะว่าผมเป็นศัตรู

ที่กำลังพูดนี้ เรากำลังพูดศัพท์เหล่านี้  เป็นศัพท์ทางฝ่ายวิญญาณ ที่พูดมาทั้งหมดนี้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งหมด เพราะฉะนั้น ผมเป็นศัตรูกับพระองค์ทางวิญญาณ ทางข้างนอก ไม่มีอะไรกันเลย  เขาไม่ได้ทำอะไรผม ช่วยผมด้วยซ้ำไป สมมตินะ ให้เรียนภาษาอังกฤษฟรีด้วย  เลี้ยงข้าวคริสตมาส ก็ฟรีด้วย ผมเอาแต่สิ่งที่ฟรีๆ เหล่านั้น แต่สิ่งที่ฟรีในโลกวิญญาณผมไม่เอา เพราะในวิญญาณผมยังเป็นศัตรูกับพระองค์อยู่แค่นี้เอง

มัทธิว 12:25-26  “25 พระเยซูทรงตรัสว่า “ทุกๆ อาณาจักรที่แตกแยกกันเอง ย่อมถูกทำลาย และทุกๆ บ้านเมืองหรือครัวเรือนที่แตกแยกกันเอง ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ 26 หากซาตานขับไล่ซาตาน มันก็แตกแยกกับตัวเอง แล้วอาณาจักรของมัน (ซาตาน) จะตั้งอยู่ได้อย่างไร”

 

“อาณาจักรที่แตกแยก” อาณาจักรแห่งความมืดที่กำลังพูดถึงนี้ ไม่มีแตกแยกเลย มันมืดสนิท อยู่ใต้การควบคุมของมาร เช่นเดียวกัน ในอาณาจักรแห่งความสว่าง สว่างจ้าเลย  ไม่มีการแตกแยกกัน ทั้งหมด เป็นหนึ่งเดียวกัน พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตรพระเยซู พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ และเหล่าผู้เชื่อทั้งหมด ผู้ที่ใช้สิทธิของเขา ที่พระเยซูคริสต์ไถ่เขาแล้ว เขาเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ รวมทั้งทูตสวรรค์อีกทั้งกอง เยอะแยะมากมาย เป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่มีใครต่อต้านกันเลย ในทำนองเดียวกัน ทางนี้ก็มืดสนิท แย้งกัน

“อาณาจักรของมัน (ซาตาน)” นี่เป็นคำพูดพระเยซูนะ ก็แสดงว่าอาณาจักรของซาตาน หรืออาณาจักรมารตรงนี้ มีจริงๆ ในโลกวิญญาณ ตอนนี้เรากำลังพูดถึงศัพท์ที่ใช้ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลที่พูดถึงสภาพของอาณาจักรของความมืดในโลกวิญญาณ

โรม 3:23  “เพราะว่าทุกคนเป็นคนบาป และเสื่อมจากพระเกียรติสิริของพระเจ้า”

 

“คนบาป” เรากำลังพูดถึงฝั่งความมืด เพราะว่าทุกคนเป็นคนบาป … บาป ภาษาเดิม ภาษาฮีบรู แปลเป็นภาษากรีก “Miss the target” แปลเป็นภาษาไทยว่า “ไม่ตรงตามเป้าหมาย” ไม่เป็นไปตามความตั้งใจ ก็คือผู้ที่ให้กำเนิดเรา  ก็คือพระเจ้า เราบาป ก็คือเราไม่เป็นไปตามคาดหมายของพระเจ้า พระเจ้าตั้งใจให้เราอยู่กับพระองค์ เราจะหนีพระองค์ไป เราไปอยู่กับมารซะ อะไรอย่างนี้

“เสื่อมจากพระเกียรติสิริ” คือพระเกียรติสิริหายไป DNA. ที่เป็นของพระเจ้าเสียหายไป กลายเป็นมะเร็งทางวิญญาณ กลายเป็นมะเร็งใน DNA.  … DNA. ที่บริสุทธิ์สะอาดเหมือนพระเจ้า มันกลายเป็นเชื้อบาปเข้ามา เมื่อมารเข้ามาปุ๊บ ความมืดทางวิญญาณเข้ามาปุ๊บ DNA. ทางวิญญาณกลายเป็นมะเร็ง กลายพันธุ์ไป ก็แค่นั้น ทั้งหมดที่กำลังพูดตอนนี้ เกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น

พระเจ้าบอกว่าเมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ลงมาสถิตอยู่กับมนุษย์เมื่อไร?  เมื่อพระเยซูตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 เมื่อ 2,000 ปีก่อน พระเจ้าตรัสไว้ล่วงหน้า เป็นพันๆ ปีมาแล้วว่าเมื่อนั้น มนุษย์ทุกคนไม่มีใครมาสอนใครแล้ว ให้รู้จักกับพระเจ้า แต่เขาจะรู้จักเราด้วย ตัวเขาเอง เราจะไปสอนเขาเอง เราจะไปอยู่กับเขา  แค่เริ่มต้นใช้สิทธิของเขาเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้น มนุษย์ทุกคนมีหน้าที่ไม่ใช่ให้รู้จักพระเจ้าหรอก หน้าที่ของเรา คือประกาศข่าวดีเท่านั้นเอง พอประกาศข่าวดีแล้ว ไม่ต้องทำอะไรแล้ว เดี๋ยวพระเจ้าสอนเขาเอง พาเขาไปเอง เอเมน

ยากอบ 1:15 “หลังจากมีตัณหาแล้ว ก็ก่อให้เกิดบาป และเมื่อบาปโตเต็มที่ ก็ก่อให้เกิดความตาย

 

“ความบาป” ตรงกันข้ามกับความชอบธรรม ในความมืดเขาเรียกว่าบาป เพราะฉะนั้นตรงกันข้าม เขาเรียกในทางแสงสว่าง เรียกว่าความชอบธรรม ถ้าเรายังไม่ย้ายไป  เรายังไม่รับเชื่อพระเยซู เราเป็นคนบาป ถ้าเราย้ายไป เราเป็นคนชอบธรรม

“ความตาย” ความตายอยู่ในอาณาจักรของความมืด อยู่กับมาร ถ้าตรงกันข้ามเรารับเชื่อพระเยซู มาอยู่แสงสว่าง ตรงกันข้ามกับความตาย เรียกว่ามีชีวิต และมีชีวิตที่เหมือนพระเจ้า เรียกว่ามีชีวิตนิรันดร์ ความตาย คือถูกตัดขาดออกจากพระเจ้า

ยอห์น 3:36 “ผู้ใดที่เชื่อในพระบุตร ก็มีชีวิตนิรันดร์ แต่ผู้ใดที่ไม่ยอมรับพระบุตร ก็จะไม่ได้เห็นชีวิต (ตายนิรันดร์) เพราะพระพิโรธของพระเจ้ายังอยู่กับเขา”

 

“ไม่ได้เห็นชีวิต (ตายนิรันดร์)” คำว่า “นิรันดร์” ตรงนี้ ตายนิรันดร์จริงๆ ไม่ได้เห็นชีวิตเลย  ไม่ได้เห็นพระเจ้าเลย  เห็นแต่มาร

“พระพิโรธของพระเจ้า” ตรงกันข้ามกับพระพิโรธของพระเจ้า เรียกว่า “ร่มพระคุณ” ในพระคัมภีร์บอก พระเจ้าของเรา เป็นพระเจ้าแห่งความรัก  พระองค์ไม่เคยโกรธใครเลย พระพิโรธตรงนี้หมายถึงอยู่ตรงข้ามกัน ต่อต้านกัน เป็นศัตรูกัน ถ้าทำอะไรผิด ตายเลย ตายเพราะว่าเข้ากันไม่ได้ ไม่ใช่ตาย เพราะว่าพระเจ้ามาฆ่าเรา มันเหมือนไฟช๊อตเรา ไฟฟ้าพลังมหาศาล เราไปจับก็ตาย  ไฟฟ้าโกรธเรามากเหรอ เมื่อวานนี้ มีช่างไฟฟ้าทำงาน แล้วก็เอาบันไดเหล็กไปพาดไฟฟ้าแรงสูง ไฟฟ้ามันโกรธมากเลย ฆ่าคนนั้นตายเลย ไม่ใช่ ไฟฟ้าต่อต้านกับคน แต่คนรับพลังงานไฟฟ้านั้นไม่ได้ พอไฟฟ้าวิ่งผ่านเราลงดิน เราตายเลย เพราะฉะนั้น เราต้องมีฉนวน ไม่ให้ไฟฟ้าผ่านตัวเรา ให้มันลงดินไปก่อน มีประจุไฟฟ้า

ในทางพระเจ้า ไม่ใช่พระเจ้าโกรธเรามาก พระเจ้าอยากจะเจอกันจริงๆ อยากจะกอดเรา กอดไม่ได้ กอดไป เราตาย  เพราะเราไม่มีแรงต้านทานความยิ่งใหญ่  ความบริสุทธิ์ของพระเจ้า  เราเป็นมนุษย์สกปรก โสโครก เต็มไปด้วยความบาป  ถ้าแตะเรา เราตายเลย แล้วต้องทำอย่างไร? รักษาเราให้หายก่อน แล้วเรามากอดทีหลัง รักษาอย่างไร? คิดเองอย่างนี้นะ พระองค์ก็สร้างวัคซีนหนึ่ง ชื่อวัคซีนว่าโลหิตพระเยซูคริสต์  สามารถที่จะรักษาเราหายจากบาปได้ พอเราหายแล้ว เราก็มีภูมิต้านทาน เราก็ไปอยู่กับพระเจ้า กอดได้เหมือนเดิม นี่คือร่มพระคุณ เพราะฉะนั้น ท่านจะเข้าใจ พระเจ้าเสียที

โรม 2:12 “คนทั้งปวงที่ไม่มีบทบัญญัติ และได้ทำบาปจะพินาศ โดยไม่ต้องอ้างถึงบทบัญญัติ และคนทั้งปวงที่อยู่ภายใต้บทบัญญัติ และได้ทำบาปจะถูกตัดสินตามบทบัญญัติ”

 

“พินาศ” แปลว่าอยู่ในความมืด  ไม่ได้อยู่กับพระเจ้า นิรันดร์กาล ต้องอยู่ในความทุกข์ทรมานนิรันดร์ อยู่กับมารนิรันดร์ไปเลย แม้ร่างกายจะตายไปแล้ว วิญญาณก็อยู่ในความมืดนี้ตลอดไป

ข้อนี้บอกว่าทั้งคนที่พยายามปฏิบัติตามบัญญัติที่พระเจ้าวางไว้ สมัยโมเสส และคนที่ไม่ปฏิบัติ ถือว่าฉันไม่ได้เป็นยิว ฉันไม่ต้องทำก็ได้ ไม่ว่าจะปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติ ไม่ว่าจะทำได้มากขนาดไหน? ล้วนต้องอยู่ในความพินาศทั้งสิ้น เพราะว่าจะย้ายไปอยู่กับพระเจ้าได้ มีทางเดียวเท่านั้น ไม่ใช่ด้วยตัวเราเอง ไม่ใช่รักษาธรรมบัญญัติ ไม่ใช่รักษาความดีงาม ผมไม่ได้พูดว่าเราไม่ควรทำความดีนะ แต่ไม่ใช่การรักษาความดี ทำให้เรารอด แต่เรารอด เพื่อเราจะไปรักษาความดีทีหลัง เข้าใจใช่ไหมครับ? ท่านไม่สามารถที่จะทำด้วยตัวเอง แล้วบริสุทธิ์สะอาด ไปอยู่กับพระเจ้าได้ ไม่มีทางหรอก ทำให้ตาย ท่านก็ยังมืดอยู่ดี มันแปลว่าอย่างนั้น ไม่ว่าท่านจะบอกว่าบัญญัติไม่สำคัญ หรือท่านจะบอกว่าบัญญัติสำคัญมากเลย คนเราต้องเข้มงวดเรื่องศีลธรรมมากเลย  ไม่ว่าจะ 2 อย่างนี้ ท่านก็อยู่ในความมืดอยู่ดี ไม่มีทางไปฝั่งโน้นได้เลย ไม่มีวันไปแสงสว่างได้เลย  เพราะแสงสว่างนั้น มาได้โดยทางร่มพระคุณเท่านั้น คือพระเจ้าให้ฟรีๆ เพราะรู้ว่าเราทำไม่ได้ ท่านลองคิดง่ายๆ มีมนุษย์คนไหน? ที่ทำได้ครบถ้วนบริบูรณ์ และไม่เคยทำบาปเลย เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว และโลกวิญญาณ เราก็รู้เป็นเรื่องจริงว่าเราบาป ไม่ใช่เพราะตัวเรา เราบาป เพราะเราอยู่ในอาดัม และอาดัมมอบเราให้กับมาร มอบเราให้กับบาป เอาเชื้อบาปเข้ามา เราน่าสงสารมาก เราไม่ได้ทำอะไรเลย  เราเกิดมา เราก็บาปแล้ว บาปใน DNA. วิญญาณของเราบาป เพราะเราอยู่กับอาดัม ถูกไหม?

เพราะฉะนั้น เราไม่มีทางช่วยตัวเอง จนกระทั่งเราบริสุทธิ์ไปอยู่กับพระเจ้า ไม่มีทางเลย นอกจากคนที่มีความสามารถมาช่วยเรา พระเจ้าจึงส่งพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระองค์ มาเกิดเป็นมนุษย์ ถามว่าทำไมมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อมาเป็นตัวแทนของมนุษย์ไง เพราะผมเป็นมนุษย์ พระเยซูก็เป็นมนุษย์ ตอนที่ผมอยู่ในอาณาจักรแห่งความมืด ผมอยู่ในมนุษย์คนแรก บรรพบุรุษของเรา ที่ชื่ออาดัม เราทั้งหลายอยู่ในอาดัม พระคัมภีร์บอกเราเกิดมาก็อยู่ในอาดัมแล้ว ก่อนเราเกิด เราก็อยู่ในอาดัม พระเจ้าโปรแกรมไว้เรียบร้อยแล้วว่าเราจะเกิดมาบนโลกใบนี้  โดยมีอาดัมเป็นแม่พิมพ์ของเรา  เหมือนพระเจ้า เหมือนเขาจะสร้างรถแสนคัน แต่ตอนนี้ ทำแม่พิมพ์ออกมาคันหนึ่งแล้ว แต่อีก 99,999 คันยังไม่ได้ทำ ถามว่าคันที่ 1,000 อยู่ที่ไหน? อยู่ที่แม่พิมพ์อันนี้ เพราะในที่สุดสั่งพิมพ์ไป เดี๋ยวมันก็ออกมา พอเข้าใจใช่ไหมครับ ก็เหมือนกันถ่ายเอกสาร 1 แสนชิ้น ชิ้นสุดท้าย มันก็เหมือนกับชิ้นแรก  ชิ้นแรกขีดฆ่าผิดอะไร ชิ้นสุดท้ายก็ผิด แม้ว่าตอนนี้พิมพ์อยู่แค่ 3 แผ่นเอง แต่แผ่นสุดท้าย แผ่นที่แสน มันก็ถูกตั้งโปรแกรมไว้แล้ว เหมือนกัน

เราอยู่ในอาดัม .. อาดัมตกลงไปในความบาป เราก็ตกด้วย  เราเกิดมา ก็อยู่ในอาดัม เพราะว่าเราถูกโปรแกรมอยู่ในอาดัม พระเจ้าจึงส่งพระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อมาตั้งอาณาจักรของมนุษย์ใหม่ 1 อันที่เรียกว่าอาณาจักรแห่งความสว่าง พระเยซูเป็นมนุษย์เหมือนอาดัมเลย เหมือนพวกเราเลย แต่ต่างกันอย่างเดียว คือวิญญาณของพระองค์ไม่ได้บาปเหมือนเรา เพราะว่า DNA. ของพระองค์มาจากพระเจ้าโดยตรง แต่พระองค์เกิดเป็นมนุษย์ เพราะฉะนั้น พระองค์มาสถาปนา คืออาณาจักรของความสว่าง เพื่อจะได้อยู่บนโลกนี้ได้ เป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์อีกเผ่าพันธุ์หนึ่ง ถ้าไม่มีมนุษย์เราไม่รู้จะไปไหนแล้ว เพราะอยู่เผ่าพันธุ์เดียว คือทุกคนเกิดในอาดัม

แต่ตอนนี้ พระเจ้าส่งพระเยซูคริสต์มาเป็นทางเลือกให้กับเราว่าบนโลกใบนี้ มีมนุษย์พันธุ์ใหม่ พันธุ์สวรรค์ เรียกว่าพระคริสต์ เกิดขึ้นแล้ว 2,000 ปี ผู้ใดได้ยิน เปลี่ยนซะ ย้ายตัวเขาเอง ย้ายสำมะโนครัว จากอาดัมมาอยู่ในพระคริสต์ซะ เขาไม่ต้องอยู่ในอาดัมอีกต่อไป  แต่เขาจะอยู่ในพระคริสต์ และพระคริสต์เป็นแสงสว่าง บาปหมดไป  กลับมาเป็นลูกพระเจ้า คืนดีกับพระเจ้า และจะอยู่กับพระคริสต์ตลอดไป และพระคริสต์ได้รับการสถาปนาจากพระเจ้า  สิทธินี้เป็นของพระเจ้า ทรงประทานให้เป็นของพระคริสต์ ตั้งเหมือนครอบครัวใหม่ เพราะฉะนั้น ท่านเพียงแต่ย้ายสำมะโนครัวแค่นี้เอง ไม่มีอะไรเลย ถ้าท่านไม่ย้าย ก็ไม่มีใครช่วยท่านได้ เพราะท่านเกิดมาอย่างไร? ท่านก็เป็นอย่างนั้น ท่านอยู่ในอาดัม ก็อยู่ในอาดัม ท่านไม่มีทางทำอะไร สั่งสมเท่าไร? ก็ไม่มีทางแก้ DNA. นั้นได้ มีทางเดียวที่พระเจ้าวางไว้ให้ก็คือย้ายซะ ไม่ได้เกี่ยวกับท่านรักษาหรือไม่รักษาบัญญัติ ท่านตั้งใจทำความดีมากน้อยเพียงใด ไม่ใช่ มันเกี่ยวกับท่านรู้ความจริงนี้ไหม? ความจริงทำให้ท่านเป็นไท แค่นี้เอง

แล้วพอท่านมาอยู่ตรงนี้  ท่านจะสามารถรักษาความดีที่ท่านเคยทำตรงนี้ ได้มากกว่าเก่าด้วย มันไม่ครบถ้วนหรอก สมมติท่านทำแต่ความดีตรงนี้ได้ ระดับดี ถ้าท่านรับเชื่อในพระเยซูคริสต์ แล้วก็ย้ายอาณาจักรมาอยู่กับพระคริสต์ ท่านจะได้ B+ ถ้าท่านอยู่ตรงนี้ ได้เกรด D แบบแย่มาก เป็นคนที่ขี้เหล้าเมายา ไม่เอาถ่านเลย นี่พูดถึงวิญญาณนะ  พูดถึงความตั้งใจของมนุษย์ ที่มนุษย์เห็น ท่านมาตรงนี้ ท่านอาจจะได้ C หรือได้ D+ นิดหนึ่ง เพราะท่านตายก่อน ไม่ได้ทำความดีมาก พอย้ายมาแป๊บหนึ่ง ตายแล้ว คนละเรื่องกัน พระเจ้าดูที่วิญญาณเรา ซึ่งเป็นที่จะอยู่ถาวร สิ่งสำคัญกว่า แค่นี้เอง แล้วเราค่อยๆ เรียนรู้กันไปเรื่อยๆ ทีละนิดทีละหน่อยอย่างนี้ อาจจะเหมือนย้ำอยู่กับที่ แต่สิ่งเหล่านี้ มันต้องย้ำอยู่บ่อยๆ ย้ำจนกระทั่งท่านตอบผม แล้วไม่มีใครตอบผิดเลย  ตะโกนมาถูกหมดเลย  มันคล่องปากว่ามันเป็นอย่างนี้ วนอยู่แค่นี้  แล้วท่านไปอ่านพระคัมภีร์ มันก็จะไปอยู่ตรงนั้น แล้วถ้าใครอ่านจากนี้ต่อไป มีคำอะไรที่รู้สึกแปลกๆ ไม่เข้าใจตรงนี้ เขียนมาถามได้ ส่งจดหมายมาถามก็ได้ ส่งจดหมายที่โฮลี่ แล้วผมจะเอามาตอบท่าน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

**********************

 

 

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 1 ตุลาคม 2017 เรื่อง “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท” ตอน 3 “เรื่องจริงแห่งโลกวิญญาณ” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  1  ตุลาคม  2017

 เรื่อง “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท”

ตอน 3 “เรื่องจริงแห่งโลกวิญญาณ”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

เรากำลังเรียนรู้และเน้นในซีรี่ย์นี้ เกี่ยวกับโลกวิญญาณ หรือโลกฝ่ายวิญญาณนี้  เราไม่ค่อยได้คุ้นเคยเท่าไร? มันเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ และผมอยากให้ทุกท่านเข้าใจจริงๆ ถ่องแท้ละเอียดลึกซึ้ง ไม่ใช่แค่ฟังผ่านๆ ไปเท่านั้น แต่ให้ตั้งใจจริงๆ เพราะเป็นพื้นฐานของเรื่องของพระเจ้าทั้งหมด และเป็นพื้นฐานของชีวิตของมนุษย์ทั้งสิ้นทุกอย่าง อยากให้ท่านมีความเข้าใจในเรื่องนี้ ชนิดที่เรียกว่าลึกซึ้ง เห็นภาพชัดเจน และมั่นใจ 100% ในความเชื่อว่าโลกวิญญาณ มีอยู่จริงๆ

เพราะฉะนั้น ทุกคำพูด ทุกคำอธิบายจากนี้ต่อไป ต้องใช้คำพูด เหมือนพระเยซูคริสต์ชอบพูดเสมอ เพราะพระเยซูทรงรู้จักโลกฝ่ายวิญญาณทั้งหมดแล้ว พระองค์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ในร่างกายของท่าน ก็เหมือนมนุษย์คนหนึ่งเดินบนโลกนี้ แต่พระองค์เป็นมนุษย์ที่ไม่บาป วิญญาณมาจากพระเจ้า ใสสะอาดบริสุทธิ์ มองทะลุ เห็นโลกวิญญาณหมดเลย

เพราะฉะนั้น เวลาพระเยซูจะสอนอะไรเกี่ยวกับเรื่องโลกฝ่ายวิญญาณ พระเยซูจึงต้องพูดคำนี้  ภาษาอังกฤษเขาแปลจากภาษาเดิม ใช้คำว่า Behold แปลว่าจงมองให้เห็นเถิด หรือไม่ก็บอกว่าใครมีตา จงให้เห็น ใครมีหูให้ได้ยิน แล้วใครไม่มีล่ะ มีทั้งนั้นแหละ หมายถึงในวิญญาณ จงมองให้เห็นเถิดว่ามันเป็นจริงๆ แต่พระองค์ทรงทราบก่อนล่วงหน้าแล้ว เพียงแต่พูดตรงนี้ เพื่อว่าวันหนึ่งเมื่อพระองค์กระทำงานสำเร็จเรียบร้อยแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์สามารถลงมาที่มนุษย์ได้แล้ว มนุษย์บังเกิดใหม่แล้ว หลังจากที่พระองค์ทรงตายที่ไม้กางเขน แล้วนั้น มนุษย์จะสามารถเห็นในสิ่งที่พระองค์พูด เข้าใจในสิ่งที่พระองค์พูดว่าจงมองให้เห็นเถิด ในก่อนหน้านี้ เพราะฉะนั้น ผมก็จะขออนุญาตพระเยซู ใช้คำนั้นว่าจงมองให้เห็นเถิด มองทะลุเข้าไปในโลกฝ่ายวิญญาณ

วันนี้กลับไปบ้าน เข้าห้องน้ำ แปรงฟัน มองไปที่กระจก พูดกับตัวเองว่าจงมองให้เห็นเถิด โลกฝ่ายวิญญาณมันมีอยู่จริงๆ แล้วตัวนี้ จะเป็นตัวพื้นฐานในการอ่านพระคัมภีร์ทั้งหมดเลย  เพราะทั้งหมดนั้น เวลาอ่านจะเข้าใจ มันต้องมองให้ทะลุเข้าไปในความหมายทางโลกวิญญาณ ไม่ใช่อ่าน แล้วไปเข้าใจทางโลกวัตถุ ทางปัญญามนุษย์คิด แต่จงมองไปในโลกวิญญาณว่ามันคืออะไรในโลกวิญญาณ เอเมน นี่คือพื้นฐาน แค่นี้ก็จบแล้ว

ผมจะพาท่านย้อนไปพูดตอนที่ 1 อีกนิดหนึ่ง โลกวิญญาณ หรือภาษาอังกฤษ เขาใช้คำว่า “Spirit World” เป็นโลกที่อยู่คู่กันกับโลกวัตถุ ที่เรามองเห็น จับต้องได้ ตรงนี้แหละ พระเยซูจึงบอกว่าสวรรค์อยู่ที่นี่แล้ว เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่กับเราแล้ว จะมาสอนเราในเรื่องนี้ว่าโลกวิญญาณอยู่คู่กันกับโลกวัตถุนี่แหละ จะใช้คำว่าครอบคลุมอยู่ก็ได้ หรือจะใช้คำว่าทับซ้อนอยู่ ก็ได้ กับโลกวัตถุนี้ เพราะฉะนั้น เข้าใจอันดับแรก คือโลกฝ่ายวิญญาณอยู่ตรงนี้ คลุมซ้อนกันอยู่ตรงนี้ เป็นอีกมิติหนึ่ง มนุษย์ไม่เข้าใจ จึงเรียกว่าอีกมิติหนึ่ง ที่เรามองด้วยตาเนื้อมนุษย์ไม่เห็น จับต้องไม่ได้ แต่มันมีอยู่จริงๆ อยู่ตรงนี้  ไม่ต้องไปไกล ถ้าท่านเข้าใจแค่นี้  ท่านจะเข้าใจถ้อยคำพระเจ้าในพระคัมภีร์อีกเยอะมากมาย

โลกวัตถุ คือโลกใบนี้ที่ตาเรามองเห็น จับต้องได้ และเป็นโลกที่พระเจ้าสร้างขึ้น  ให้เป็นที่อาศัยของบรรดาสรรพสิ่งทั้งหลาย นี่พูดถึงโลกใบนี้ และที่ผมพูดเสมอว่ามนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิต ชนิดเดียวที่อาศัยอยู่บนโลกใบนี้ ที่เป็นวิญญาณ เพราะฉะนั้น จะมีเพียงมนุษย์เท่านั้น บนโลกใบนี้ ที่เป็นสิ่งมีชีวิตบนโลกใบนี้ ที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวพันไปกับทั้ง 2 โลก … โลกทางวิญญาณด้วย และโลกทางวัตถุ ที่จับต้องมองเห็นได้ด้วย เพราะมนุษย์เป็นวิญญาณ แต่สิ่งมีชีวิตอื่นๆ บนโลกใบนี้นั้น ไม่มีวิญญาณ รู้แต่เรื่องสัญชาตญาณ โลกวัตถุเท่านั้น จับต้องมองเห็นได้ ไม่มีวิญญาณ ไม่เป็นวิญญาณ

พูดถึงมนุษย์ ร่างกายอยู่ในโลกวัตถุ จับต้องมองเห็นกัน ส่วนวิญญาณของมนุษย์ ก็อยู่ในโลกวิญญาณ ในขณะเดียวกันเลย พร้อมกันเดี๋ยวนี้เลย คือในขณะที่ท่านนั่งอยู่ในห้องนี้ ร่างกายของท่าน ก็อยู่ในคริสตจักรอภิสุทธิสถาน ในเวลาเดียวกัน วิญญาณของท่าน ตามหลักพระคัมภีร์ต้องบอกว่ามนุษย์เป็นวิญญาณ ไม่ใช่ “มี” เพราะวิญญาณ คือตัวตนที่แท้จริงของมนุษย์นั่นเอง ที่จะอยู่ตลอดไป ถาวรนิรันดร์ ส่วนร่างกายนั้น จะอยู่เพียงชั่วคราว และมีวันที่จะต้องเสื่อมสลาย ตามอายุขัย และดับลง คือตายไปในที่สุด เน่าเละไปในที่สุด เพราะแต่ก่อนนี้ มันไม่ได้เป็นอย่างนี้ ไม่ใช่จุดหมายดั้งเดิมที่พระเจ้าได้สร้างมนุษย์ พระเจ้าสร้างมนุษย์ แม้เป็นร่างกายวัตถุจับต้องมองเห็นได้ ก็จะไม่มีวันเสื่อมสลาย ไม่มีการตาย เป็นนิรันดร์เหมือนกัน นิรันดร์แบบความยาวเหมือนกัน แต่เพราะมนุษย์ตกลงไปในความบาป ร่างกายนี้ มันต้องถึงวาระสุดท้าย คือต้องตายนั่นเอง แต่วิญญาณอยู่นิรันดร์ อยู่ตลอดไป

ถ้าจะเปรียบให้เห็นภาพ ระหว่างร่างกายที่เป็นชั่วคราว ที่เราเห็นกันอยู่ กับวิญญาณที่เป็นถาวรนิรันดร์ เราอาจจะเปรียบได้กับชีวิต ที่ผมเห็นบ่อยๆ ไปทะเลก็จะเห็น ปูเสฉวน ซึ่งมันมีเปลือกแข็ง ท่านลองนึกภาพตามนะ ระหว่างเปลือกหอยกับสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในเปลือกหอย ท่านว่าอันไหนคือตัวตนแท้จริงของหอย เวลาเราบอกมันวิ่งๆ เรากำลังบอกไหมว่าเปลือกมันกำลังวิ่ง เปล่า เรากำลังหมายถึงตัวที่อยู่ข้างใน นั่นแหละ ฉันใดฉันนั้น ข้างใน ตัวจริงของมัน อยู่ในเปลือกหอย ซึ่งเปลือกหอยมีวันที่จะแตกหัก โดนอะไรชน แต่ตัวจริงมันอยู่ข้างใน เหมือนมนุษย์ที่ผมบอกว่าข้างในของเรา เป็นวิญญาณ ชีวิตมนุษย์ ร่างกายเรา ที่มีวันเสื่อมสลาย เสื่อมสภาพ ตายลง ตามอายุขัย แต่ตัวตนที่แท้จริงของเรา คือวิญญาณของเรา จะอยู่ตลอดไป ตามการทรงสร้างของพระเจ้า แค่นี้ คือความจริงอันยิ่งใหญ่ ที่เราต้องเตือนตัวเองตลอดเวลา แม้เราเชื่อพระเจ้า เรายังต้องเตือนว่ามันเป็นอย่างนี้ นี่เป็นเรื่องจริงตามพระคัมภีร์บอก พระเจ้าอธิบาย สอนเราอย่างละเอียดในพระคัมภีร์ บอกหมดเลย เราจะเรียนรู้ไหม? เราจะยอมรับไหมเท่านั้นเอง

เช่นเดียวกัน ที่อยู่อาศัยของร่างกายของมนุษย์ อาศัยอยู่บนโลกใบนี้ ที่จะมีวันเสื่อมสูญ ก็คือมีโอกาสถูกทำลายลงเหมือนกัน คือโลกใบนี้  คริสตจักรนี้ โฮลี่ ออฟ โฮลี่ส์นี้ มันก็ถูกคำสาปแช่ง เนื่องจากมนุษย์เอาความบาปเข้ามา มันก็ต้องเสื่อมสลายไปเหมือนกัน ไม่วันใดก็วันหนึ่งในอนาคต

และวิญญาณของมนุษย์ที่อาศัยในโลกวิญญาณ ในพระคัมภีร์บอก มันอยู่ตลอดไป  แม้โลกใบนี้สิ้นสุดหมดแล้ว ถูกเผาพลาญหมดแล้ว วิญญาณของเรายังอยู่ตลอดไป  แต่มันอยู่ที่ไหนไม่รู้ ถ้าเผื่อมันทุกข์ หมายถึงมันทุกข์ตลอด มันไม่มีวันสิ้นสุด น่ากลัว นี่คือความจริง เราคุยกันเหมือนเรื่องง่ายๆ ตามพระคัมภีร์ บางครั้งก็คุยสนุกๆ แต่ความหมาย เมื่อรู้ลึกซึ้งแล้ว มันน่ากลัวมาก ร่างกายเราอยู่ชั่วคราว เราอาจจะทุกข์มาก เราอาจจะเจ็บป่วย บาดเจ็บ หรือทุกข์ใจ เจอปัญหาบนโลกใบนี้ แต่เรายังมีความหวังว่ามันยังอยู่ชั่วคราว 80 ปี เอาให้ 100 ปี 120 ปี มันก็ต้องจากโลกนี้ไป จบสิ้น แต่วิญญาณมันไม่มีการจบเลย ถ้าเกิดเจอความทุกข์ มันก็คงหมดหวังเลย มันทุกข์นิรันดร์ ทุกข์ตลอดไป

โลกวิญญาณมันก็เหมือนโลกทางวัตถุใบนี้ ที่มีการแบ่งแยกดินแดนออกเป็นอาณาจักรต่างๆ ประเทศต่างๆ ซึ่งแต่ละประเทศ หรือแต่ละอาณาจักรบนโลกนี้ ก็จะมีลักษณะภูมิประเทศแตกต่างกันออกไป มีการปกครองที่แตกต่าง มีสภาวะแวดล้อมต่างกันออกไป เรียกว่าแบ่งกันเป็นประเทศในโลกวัตถุนี้ แม้ที่เรานั่งอยู่นี้ แบ่งเป็นคริสตจักรนี้ แบ่งเป็นซอยกรุงเทพกรีฑา รามคำแหง 150 อะไรแล้วแต่ มันก็แบ่งออกไปเรื่อยๆ พระคัมภีร์บอกไว้ว่าโลกวิญญาณมีแบ่งแยกออกเป็น 2 อาณาจักรเท่านั้น คืออาณาจักรแห่งความมืด และอาณาจักรแห่งความสว่าง ตอนพระเจ้าสร้างโลกใหม่ๆ มีอยู่แค่อาณาจักรเดียว ที่คลุมโลก หรือซ้อนโลกวัตถุนี้อยู่ คืออาณาจักรแห่งความสว่าง

พระคัมภีร์บอกว่าโลกถูกปกคลุมด้วยพระสิริของพระเจ้า ในสมัยเริ่มต้นปฐมกาล พระสิริของพระเจ้า ก็คือความสว่างของพระองค์ คือฤทธิ์อำนาจ คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าในตอนแรกเริ่มนั้น มีแต่ความสว่างเพียงเท่านั้น แล้วอาณาจักรแห่งความมืดของมาร อยู่ในชั้นฟ้าอากาศ นอกโลก มารมันถูกเขี่ยตกกระป๋องออกจากอาณาจักรของพระเจ้า

หลังจากบรรพบุรุษของมนุษย์ คืออาดัมกับเอวาได้นำเอาเชื้อโรคในวิญญาณตัวร้ายแรง ที่เรียกว่าเชื้อบาป ไวรัสบาป เข้ามาสู่ DNA ของอาดัมและเอวา DNA อันนั้น มีพวกเราทั้งหลายมนุษย์ทุกคนอยู่ในนั้น เพราะพระเจ้าสร้างแบบเทคโนโลยี แบบสมัยใหม่มาก สร้างมนุษย์ขึ้นทั้งหมด จากคนๆ เดียวเลย แล้วก็ให้พวกเราอยู่ในนั้น แล้วค่อยๆ ผลิตออกมา ท่านพอจะเห็นภาพชัดเจน

เพราะฉะนั้น DAN ของความบาปนี้ ที่ติดเชื้อบาปนี้ เราก็เลยติดไปด้วย ซึ่งเจ้าไวรัสบาป หรือเชื้อบาปตัวนี้ มาจากมาร เข้ามาสู่เผ่าพันธุ์มนุษย์ เข้ามาสู่โลก ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ความมืดก็เข้ามาแทนที่ความสว่างของพระเจ้า ตามที่พระคัมภีร์บอกไว้ในโรม บทที่ 3

โรม 3:23 “เพราะว่าทุกคนทำบาป และเสื่อมจากพระเกียรติสิริของพระเจ้า”

 

ตรงนี้ไม่ใช่ทำบาปนะ ตรงนี้ภาษาเดิมบอกว่า “เพราะว่ามนุษย์ทุกคนบาป มีเชื้อบาป ติดเชื้อบาป และเสื่อมจากพระเกียรติสิริของพระเจ้า”

เพราะมนุษย์ทุกคนทำบาป หรือเป็นบาป ติดเชื้อบาปเข้าไปแล้ว จึงเสื่อมพระสิริของพระเจ้า ก็คือหลุดออกไปจากความสัมพันธ์กัน เหมือนกับเชิญความมืดเข้ามา ไล่ความสว่างออกไป เสื่อมจากพระเกียรติสิริของพระเจ้า ก็คือเสื่อม หรือหายไป เสียหายไป แสงสว่างของพระเจ้าหายไป ความมืดเข้ามาแทนที่ เข้ามาปกคลุมอยู่เหนือโลก และทุกสิ่งที่พระเจ้าสร้างขึ้นมาบนโลกใบนี้ ที่มีชีวิต ทั้งหมดเลย ทั้งสัตว์เล็กสัตว์น้อย  สัตว์ใหญ่ รวมกระทั่งพืชเล็กพืชน้อย แม้กระทั่งก้อนหิน วัตถุทุกอย่าง ถูกปกคลุมไปด้วยความมืดทั้งหมดเลย

ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาบังเกิดเป็นมนุษย์ พระคัมภีร์เดิมทั้งหมดเลยจะพูดถึงเรื่องนี้ว่ามนุษย์ตกอยู่ตรงนี้แหละ และมีหลายแห่งที่บอกชัดๆ เลยว่าทุกคนเป็นคนบาป พระเจ้าบอกมองลงมา มีแต่คนทำชั่ว ไม่มีสักคนเลยที่เอาพระเจ้า ไม่มีสักคนเลยที่ทำดี เพราะความมืดปกคลุมอยู่ มันไม่ได้เกี่ยวกับตัวมนุษย์ มันเกี่ยวกับโลกนี้  และวิญญาณมนุษย์ทุกคนก็ถูกปกคลุมไปด้วยความมืดสนิทนั่นเอง อยู่ในอาณาจักรของความมืด ไม่มีทางเลือก ต่างคนก็ต่างมืดด้วยกันทั้งคู่ บรรพบุรุษเราก็มืด เราเกิดมาก็มืด คนต่อไปก็มืด มองไปทุกอย่างมืดหมด แม้กระทั่งสัตว์ พืช มืดหมด ไม่มีใครช่วยใครได้เลย จนกระทั่งถึงวันที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้ วางแผนการเลยว่าจะกลับมาช่วยมนุษย์ให้หลุดพ้นจากความมืดนี้ นี่คือแผนการใหญ่ของพระเจ้า ใหญ่มาก โดยพระเจ้าตั้งใจที่จะทำให้โลกวิญญาณได้กลับสว่างขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง พระเยซูตรัสว่า …

“เราเป็นความสว่าง ความสว่างเข้ามายังโลก”

มนุษย์ทุกคนเป็นความมืด แต่พระเยซูบอกว่า “เราเป็นความสว่าง” และตอนนี้ความสว่างกำลังเข้ามาสู่ความมืด

เมื่อประมาณ 2,000 ปีที่แล้ว วันที่พระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ แต่วิญญาณพระองค์เป็นพระเจ้า วิญญาณพระองค์สะอาดหมดจด แล้วพระองค์ทรงดำเนินไปถึงตายที่ไม้กางเขน เพื่อหลั่งพระโลหิต ชำระบาปให้กับเรา ให้กับมนุษย์ทุกคน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 เป็นการสถาปนาอาณาจักรแห่งความสว่างขึ้นอีกครั้งหนึ่ง บนโลกใบนี้

การสิ้นพระชนม์ของพระเยซูบนไม้กางเขน ทำให้โลกวิญญาณ แบ่งแยกออกเป็น 2 อาณาจักร คืออาณาจักรแห่งความมืด ที่อยู่ก่อนหน้านี้ และอาณาจักรที่เกิดใหม่ ที่เรียกว่าอาณาจักรแห่งความสว่าง แต่ทั้งหมด ที่เกิดขึ้นนี้ เกิดขึ้นเฉพาะในโลกวิญญาณเท่านั้น มันไม่ได้รวมถึงโลกวัตถุ ที่เราจับต้องมองเห็นด้วยตานี้เลยแม้แต่นิดเดียว เพราะฉะนั้น โลกที่เราจับต้องมองเห็นได้ ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ เป็นสัตว์ เป็นตัวเราเอง ร่างกายนี้  มันก็เหมือนเดิม ก็ยังอยู่ในการลงโทษของบาปอยู่ดี ร่างกายเราก็ยังต้องตายอยู่ดี แต่อะไรบางอย่างในโลกวิญญาณมันเปลี่ยนไปแล้ว

ตอนนี้มนุษย์มีสิทธิ์เลือกว่าจะเข้าไปอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่าง หรือจะยังคงอยู่ในอาณาจักรแห่งความมืดเหมือนเดิม

และนี่คือความจริงที่ทำให้เราเป็นไทอย่างแท้จริง เพราะถ้าเรารู้และเข้าใจอย่างถูกต้องลึกซึ้งในโลกวิญญาณอย่างนี้แล้ว การมีชีวิตบนโลกนี้ ของมนุษย์ทุกคน หรือของเรา มุมมองในเรื่องการแก้ปัญหาต่างๆ ของเรา มันก็จะเปลี่ยนไปหมดเลย มุมมองในการตั้งเป้าหมายในชีวิตก็เปลี่ยนไป การตัดสินใจในเรื่องต่างๆ การแก้ไขปัญหาในเรื่องต่างๆ ก็จะเปลี่ยนไป มันจะอยู่บนพื้นฐานของโลกวิญญาณทั้งหมดเลย จะเห็นภาพชัดเลย แล้วมันก็จะเกิดเป็นความหวัง ความอดทน ความสุข ความสงบ ความพอเพียงขึ้นในใจ ในชีวิตของคนๆ นั้น ที่รู้ความจริงตรงนี้ ไม่ว่าเขาจะเป็นใครก็ตาม ขอให้เขาเป็นมนุษย์เถอะ เขาจะได้รับตรงนี้แหละ

ความรู้ ความเข้าใจในโลกวิญญาณแบบนี้ ก็เปรียบเหมือนที่ผมเคยเล่าให้ฟังเรื่องกลัดกระดุมผิด สมัยตอนที่เล่นดนตรีอยู่นั้น บางคอนเสิร์ตต้องเข้าไปเปลี่ยนชุด ต้องเปลี่ยนเร็วมาก เพื่อจะออกมาให้ทัน เข้าไปถึงจะมีคนมารุมเราเลยนะ สมมติว่าเรากำลังใส่รองเท้าอยู่ ก็จะมีคนมาใส่เสื้อให้ แล้วก็มีคนกลัดกระดุมให้ กลัดรีบๆ เลย พอจะเดินออกไป เฮ้ย! จับคอเสื้อทำไมไม่ได้สักที เพราะว่ามันกลัดไปเรียบร้อยแล้ว แต่กระดุมเม็ดแรกมันผิดกลัดไปอีก 10 เม็ด เวลาจะแก้ ช้ากว่าเก่าตั้งเยอะ เลย มันต้องถอดทีละเม็ดๆ พอมันผิดตั้งแต่เริ่มต้น ต้องแก้ใหม่หมดเลย

ถ้าเราไม่รู้ความจริง เราเริ่มแก้ปัญหาจากสิ่งที่ผิด มันก็จะผิดตลอดไป อย่างที่บอกว่าความรู้ ความเข้าใจในโลกวิญญาณ ก็เปรียบเหมือนการติดกระดุม ถ้าท่านรู้เหตุผลมันคืออะไรเกิดขึ้น มันมีเงื่อนไขอย่างไร? มันเป็นอย่างไร? ตอนนี้อาจจะแก้ช้าหน่อย แต่มันก็สำเร็จอยู่ดี แต่ถ้ามันผิด มันไม่ใช่ ท่านรีบอย่างไร? ท่านทุ่มเทอย่างไร? ยิ่งผิดใหญ่เลย ยิ่งทุ่มเทมาก ยิ่งผิดเยอะ แทนที่จะติดกระดุมผิด ไป 5 เม็ด แต่ติดกระดุมผิดไป 10 เม็ดเลยทีนี้ ทุ่มเทเยอะ แต่ว่าเริ่มต้นมันผิดแล้ว

อย่างเช่นเรื่องข้อเท็จจริงเกี่ยวกับโลกนี้ ที่ผมบอกบ่อยๆ ว่าพระเจ้าบอกว่าโลกกลม สมัยก่อนนี้มนุษย์ก็ไม่เชื่อฟัง ก็บอกว่าโลกแบน พยายามคิดค้นทฤษฎีต่างๆ มาสนับสนุน เชื่อว่าโลกแบน คิดอะไรออกมาเยอะแยะก็ผิดหมด ทดลองอะไรก็ไม่สำเร็จสักอย่าง เสียเวลาไปเยอะแยะมากมาย ก็เพราะว่าพื้นฐานมันผิด เริ่มต้นมันผิดแล้วว่าโลกมันแบน ก็เหมือนกลัดกระดุมเม็ดแรกผิดนั่นแหละ พระคัมภีร์บอกโลกวิญญาณมีจริงๆ และมีอยู่ 2 อาณาจักร คืออาณาจักรของความมืด และอาณาจักรของความสว่าง และมนุษย์มีสิทธิ์เลือกได้เองว่าจะเข้าไปอยู่ในอาณาจักรใดก็ได้ พระคัมภีร์บอกว่ามีสิทธิ์เลือกได้เอง โดยไม่ต้องทำอะไรเลย ใช้เชื่อเอา เพราะพระเยซูคริสต์ทำให้เรียบร้อยแล้ว แค่เลือกและใช้สิทธิ์ของตัวเองเท่านั้น แต่มนุษย์จำนวนมาก ก็ยังไม่ยอมเชื่อความจริงตรงนี้ ยังพยายามที่จะขวนขวาย คิดตามเหตุผลว่าเราต้องทำ ถ้าเราไม่ทำ เราก็ไม่สมควรจะได้ ถ้าเราอยากได้ เราต้องทำ ก็ทำต่อไปด้วยตัวเอง ซึ่งทำเท่าไร? มันก็ไม่มีทางสำเร็จ เพราะถ้าความจริงมันเป็นอย่างนี้ ทำอย่างไรก็ไม่สำเร็จ เหมือนกับแก้ไขกระดุมอย่างไรก็ไม่สำเร็จ ถ้าไม่แก้ที่กระดุมเม็ดแรกที่ผิดไปนั่น

เม็ดแรก เทียบกับโลกวิญญาณมันมีจริงๆ พระเยซูคริสต์มาไถ่บาปมนุษย์จริงๆ หรือแม้กระทั่งเทียบกับเรื่องคุณยายหาเข็มก็ได้ ถ้าคิดตามเหตุผลแล้ว มนุษย์คิดเองนะ เพราะมนุษย์มาจากพระเจ้า พระเจ้าสร้างมนุษย์ขึ้นมา คิดเก่งมากเลย ตามเหตุผล ตามตรรกะ หรือตามภาษาอังกฤษเขาเรียกว่าตามโลจิกต์ มนุษย์เก่งมาก ถ้าอันนี้ต้องเป็นอย่างนี้ อันนั้นต้องเป็นอย่างนี้คิดทุกเรื่องเลย แต่ในโลกฝ่ายวิญญาณคิดอย่างนั้นไม่ได้ เพราะโลกฝ่ายวิญญาณ มันสูง เทคโนโลยีมากกว่าที่ความคิดมนุษย์คิดไปถึง มันเยอะกว่ามากเลย มนุษย์ก็คิดว่าถ้าจับตรงนี้ได้ แสดงว่าหน้าตาพระเจ้าคงมีแข็งๆ เหมือนจับช้าง ไปจับเอาที่ตรงงา ช้างต้องเป็นอย่างนี้ ปลายๆ แหลมๆ และแข็งๆ อีกคนหนึ่งไปแตะถูกตรงกลาง ตัวนิ่มๆ พระเจ้าต้องเป็นอย่างนี้ ดูเหมือนถูก แต่ผิดหมดเลย เพราะมนุษย์ใช้ความคิดของตัวเอง

เพราะคิดแบบโลจิกต์ คิดแบบเหตุผลของมนุษย์ พระเจ้าจึงบอกให้เราเชื่อ ถ้อยคำของพระเจ้าในพระคัมภีร์ พระองค์บอกอย่างไร ก็จงเชื่ออย่างนั้นเถิด เพราะเราเป็นเหมือนเด็กคนหนึ่ง เมื่อเทียบกับความรู้ของพระเจ้า ถ้าเด็กคนหนึ่งมาถามท่านว่า …

“แม่ ไมโครเวฟมันทำงานอย่างไร?”

ท่านจะตอบไหม? หรือท่านจะบอกว่า  …

“อย่าถามมากเลย กดอันนี้ มันก็ใช้งานแล้ว กดไป 1 นาที น้ำเดือดแล้ว ไม่ต้องอธิบาย ฉันอธิบายไม่ได้เหมือนกัน”

ถูกไหม? ถ้าท่านไปอธิบายให้เด็ก 10 ขวบฟัง เรื่องระบบมันมีคลื่นไฟฟ้านะ คลื่นไฟฟ้าแปลงเป็นคลื่นอิเล็กโทลนิก เรียกว่าคลื่นไมโครเวฟ และคลื่นไมโครเวฟไปทำงานเป็นโมเลกุล … โมเลกุลสั่นสะเทือน โมเลกุลจะกลายเป็นความร้อน ท่านว่าเด็กเข้าใจไหม?  ถ้าเผื่อพระเจ้าจะอธิบายให้เราอย่างนั้น เราจะตายก่อน แล้วลงไปอยู่ในนรก ไม่มีโอกาสได้เลือกพระเจ้าแล้ว ช้าไปแล้ว และไม่มีวันได้ด้วย

พระคัมภีร์ได้อธิบาย ให้มนุษย์ได้รู้จักสภาพของอาณาจักรทั้งสองแห่งนี้ เพื่อจะได้เป็นพื้นฐานในการเรียนรู้ในโลกวิญญาณ คำที่ใช้บ่อยในพระคัมภีร์จะมีคำว่า …

 

                   –  อาณาจักรสวรรค์ / อาณาจักรของพระเจ้า  / อาณาจักรของพระคริสต์

 

ต่อไปนี้ ท่านจะเห็นคำเหล่านี้ ท่านจะมองภาพเห็น ที่วันนั้น เราสาธิตกัน จำเก้าอี้ตัวนั้นได้เลย ที่เป็นสีขาว สมมติว่าเป็นอาณาจักรๆ หนึ่ง เรียกว่าอาณาจักรสวรรค์ อาณาจักรของพระคริสต์

 

                   –  ในพระคริสต์  /   พระเกียรติสิริ  /  สง่าราศี  /   ความสว่าง

 

แล้วในพระคัมภีร์ยังเรียกคนที่อยู่ในอาณาจักรนี้  อยู่ในพระคริสต์ ตอนนี้ฉันอยู่ในพระคริสต์ คือฉันอยู่ในอาณาจักรพระคริสต์ ในอาณาจักรสวรรค์ อาณาจักรของพระเจ้า

คือในพระคริสต์ ฉันมีความหวัง ในพระคริสต์ ฉันนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน ในพระคริสต์ ฉันเหมือนพระเจ้า แปลว่าอย่างนี้ เพราะฉะนั้น ฉันไม่กลัวตายอีกต่อไป ตายทางร่างกายนี้ ก็แค่เปลี่ยนมิติ ก็อยู่ที่เดิมไม่ได้ไปไหนด้วย ไปไหนมาไหนก็สะดวกขึ้น พระคัมภีร์เรียกว่าอินเนอร์แมน คือมนุษย์ตัวใน คือวิญญาณของฉัน

จะพูดถึงตรงนี้ในอาณาจักรแห่งความสว่าง พระเกียรติสิริ  /  สง่าราศี  /   ความสว่าง … พระเกียรติสิริ คือความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ความสะอาด บริสุทธิ์ของพระเจ้า ความอลังการของพระเจ้า แบบเต็มไปด้วยฤทธิ์อำนาจ ถ้าท่านจะยกตัวอย่างพระสิริ ท่านต้องนึกถึงดวงอาทิตย์ ท่านมองไปที่ดวงอาทิตย์ ท่านยังมองไม่ได้เลย พระสิริของพระเจ้า มันยิ่งกว่าดวงอาทิตย์ล้านๆ เท่า และตอนนี้ท่านนั่งอยู่ในดวงอาทิตย์ วิญญาณท่านประกอบด้วยพระสิริพระเจ้า ท่านเห็นอะไรบางอย่างไหม? ท่านจะกลัวผีอีกต่อไปไหม? ก็กลัวต่อไป เพราะถ้ากลัว มันก็กลัว มันอยู่ในความคิด มันอยู่ในร่างกายภายนอก อันที่ไม่กลัว ที่เต็มไปด้วยพระเกียรติสิริของพระเจ้า มันอยู่ข้างในนี้ ขาววอก วิญญาณผมสะอาดบริสุทธิ์ เต็มไปด้วยพระสิริของพระเจ้า แต่ข้างนอกผมคลุมไปด้วยร่างกาย ที่เต็มไปด้วยผิดบ้าง? ถูกบ้าง? ดำบ้าง? ขาวบ้าง?  มัวบ้าง? เทาๆ บ้าง? ทุกท่านก็ใส่เสื้อเหมือนผม ร่างกายท่านใส่เสื้อแบบนี้ คือเสื้อลายขาว ดำ เทา ก็คือมันมีขาวๆ ทำดีบ้าง? อยากทำดี ทำไม่ดีบ้าง? แต่ข้างในนี้ สีขาวหมด เอเมน

เพราะเราอยู่ในพระคริสต์ บอกกันได้ เดี๋ยวนี้เราอยู่ในโลกฝ่ายวิญญาณ พระคัมภีร์ทั้งหมด พูดถึงโลกวิญญาณทั้งสิ้น

                   –  เป็นขึ้นมาใหม่  /  มีชีวิต  /  ชีวิตนิรันดร์

 

“เป็นขึ้นมาใหม่”  ในโลกฝ่ายวิญญาณ  ในเรื่องอาณาจักรแห่งความสว่าง จะมีคำนี้บ่อยๆ ท่านเป็นขึ้นมาใหม่ ร่วมกับพระเยซูคริสต์  ท่านเป็นขึ้นมาใหม่ พร้อมกับพระเยซู พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นมาใหม่ ท่านก็เป็นด้วย ท่านเป็นขึ้นมาใหม่ ในโลกวิญญาณเป็นขึ้นจากความตาย คือมืดสนิทเลย  ตอนนี้ตายอยู่ เป็นขึ้นจากความตาย คือ …

“พระเยซูลูกเชื่อพระองค์ ว่าพระองค์เป็นผู้ไถ่บาป แล้วก็ได้มาชำระบาปให้กับมนุษย์ทุกคน ลูกได้ยินข่าวดีนี้แล้ว ลูกเชื่อ ตอนนี้ลูกขอต้อนรับสิทธิที่พระองค์ทรงทำให้กับลูกที่ไม้กางเขน ตายที่ไม้กางเขนเพื่อลูก ชำระบาปให้กับลูก และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 สถาปนาอาณาจักรแห่งแสงสว่าง บัดนี้ ลูกเชื่อแล้ว ลูกขอรับสิทธินี้”

ทันทีทันใดนั้น  ในวินาทีนั้น ผมเกิดใหม่ อย่างนี้เขาเรียกว่าเกิดใหม่ วิญญาณเก่าตายไปแล้ว ตัวมืด ตายไป ตัวเก่าๆ ที่เรียกว่าวิญญาณ ในพระคัมภีร์เรียกว่าตายไป แล้วมันเกิดมาใหม่ นี่พูดถึงวิญญาณนะ ข้างใน ข้างนอกยังคนเดิม แต่ข้างในเปลี่ยนแล้ว เมื่อกี้ข้างในเสื้อกล้ามดำ ตอนนี้เสื้อกล้ามขาว เต็มไปด้วยพระเกียรติสิริของพระเจ้า เหมือนดวงอาทิตย์ร้อนแรงอยู่ในวิญญาณของเรา มีสง่าราศี พระเกียรติสิริของพระเจ้าอยู่ในนั้น ความบริสุทธิ์อยู่ในนั้น นี่คือคำศัพท์ที่ใช้บ่อย แล้วมีอะไรอีก?

“มีชีวิต” พระองค์บอกว่าพระองค์มา เพื่อเราทั้งหลายจะได้มีชีวิต ฉันยังไม่ตายเลย จะมีชีวิตได้อย่างไร?  คำว่ามีชีวิต หมายถึงมีชีวิตกลับคืนสู่พระเจ้า

คำว่า “มีชีวิต” แปลว่าเกิดใหม่ แต่ก่อนนี้ ไม่มีชีวิต คือตายอยู่ พระเยซูบอก เรามาเพื่อท่านทั้งหลายจะมีชีวิต คือเมื่อมารับพระเยซู ท่านก็กลับมามีชีวิต

“ชีวิตนิรันดร์” นอกจากท่านจะมีชีวิตแล้ว คำว่า “มีชีวิต” เป็นกริยา คือการบังเกิดใหม่ มีชีวิตขึ้นมา  แต่คำว่า “ชีวิตนิรันดร์” ตรงนี้ เป็นคำนาม แปลว่าสภาพ คุณภาพของชีวิต ไม่ใช่ นิรันดร์ แปลว่าอยู่ตลอด อดีตยังไม่รับเชื่อ เราอยู่ในที่มืด เราก็อยู่ในความมืดนิรันดร์ คำว่า “ชีวิตนิรันดร์” ตะกี้นี้ ในบทบาทของความสว่าง คือเมื่อท่านมาเชื่อพระเยซู ท่านมีชีวิตนิรันดร์ แปลว่าอีเทอร์เนลไลฟ์ คือชีวิตที่เป็นนิรันดร์ ไม่ใช่มียาวนิรันดร์ มีคุณสมบัตินิรันดร์ คำนี้ใช้เฉพาะกับคุณภาพของวิญญาณของพระเจ้าเท่านั้น แต่ดั้งเดิม วิญญาณของพระเจ้า มีชื่อวิญญาณว่าวิญญาณนิรันดร์ พระเจ้าอยู่นิรันดร์อยู่แล้ว แต่วิญญาณพระองค์เป็นวิญญาณชนิด นิรันดร์ ไม่ใช่อยู่นิรันดร์ แต่เป็นคุณภาพนิรันดร์ จำเอาแล้วกัน มันไม่มีทางเข้าใจหรอก พูดง่ายๆ คำว่า “นิรันดร์” มันมี 2 ความหมาย ตามภาษาไทย ตามตรรกะมนุษย์ คือ …

–  นิรันดร์ตัวแรก เขาเรียกว่านิรันดร์แบบบอกถึงระยะทาง ก็คืออยู่หลายๆ ปี ไม่สิ้นสุด เรียกว่าตลอดกาล

–  นิรันดร์ที่สอง เป็นลักษณะ คุณภาพของวิญญาณ คุณภาพและวิญญาณของพระเจ้า เรียกว่าวิญญาณนิรันดร์ คุณภาพและวิญญาณของมารซาตาน  เรียกว่าวิญญาณตาย วิญญาณบาป วิญญาณกบฏ ท่านจะได้เห็นภาพ คุณภาพวิญญาณ แต่วิญญาณจะอยู่นิรันดร์ ก็พยายามเข้าใจแล้วกัน เข้าใจแบบพระเจ้า ถ้าเข้าใจแบบมนุษย์ มันลำบาก อย่างที่บอก ไม่สามารถอธิบาย ในโลกฝ่ายวิญญาณ มีคำอะไรอีก

 

                   –  ความชอบธรรม  /  ผู้ชอบธรรม  /   พระคุณ  /  ความรัก

 

“ความชอบธรรม” คือเราไปศาล เราถูกกล่าวหาว่าเป็นคนฆ่าคนตาย แล้วศาลตัดสินคดีว่าเธอไม่ได้เป็นคนฆ่าหรอก เธอเป็นอิสระ นั่นแหละ เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว คำว่าชอบธรรม คือถูกต้อง ไม่ใช่ทำดีนะ  ความชอบธรรม หมายถึงว่าถูกตัดสินว่าเป็นคนไม่ผิด  เพราะฉะนั้น ความชอบธรรม คือความถูกต้องนั่นเอง จะใช้กับคนที่มาอยู่ในแสงสว่าง ชอบธรรม เพราะฉะนั้น อยู่ตรงข้าม คือความไม่ชอบธรรม

และจากนั้น มี “ผู้ชอบธรรม” คือผู้ที่มีความชอบธรรม กลายเป็นคนนั้น เป็นผู้ชอบธรรม คือเป็นอิสระจากการถูกตัดสินลงโทษ

และต่อไป ก็มีคำว่า “พระคุณ”  “ความรัก”   พอบอกความรักของพระเจ้า อย่าไปนึกถึงความรักแบบรักกัน ไม่ใช่ เป็นคุณภาพของวิญญาณ เรียกว่าความรัก พระเจ้าไม่มีทางโกรธใครเลย พระองค์ “เป็นความรัก” ไม่ใช่ “มีความรัก” เมื่อผมมาเชื่อพระเจ้าแล้ว วิญญาณผมเป็นเหมือนพระเจ้าแล้ว ข้างในผม เป็นความรัก ผมไม่ได้มีความรัก และผมไม่ได้ดำเนินในความรักตลอดไป ผมเป็นความรัก แต่ข้างนอกจะดำเนินชีวิตเป็นความเกลียดบ้าง เป็นอะไรบ้าง แล้วแต่เนื้อหนังเก่าๆ ที่มันทำอยู่ ก็คนละเรื่องกัน แต่วิญญาณผมไม่มีเกลียดใครอยู่แล้ว ผมไม่เคยโกรธใครเลยแม้แต่นิดเดียว มันสะอาดหมดจด มันเป็นความรัก ไม่ใช่เป็นความเกลียด มันทำไม่ได้เลย เพราะมันขาวสะอาด นี่แหละ คือคำว่าความรัก

ถ้าพระเจ้าเป็นความรัก เรามาเป็นเหมือนพระเจ้า เราก็เป็นความรักเหมือนกัน เมื่อเราเป็นความรัก เปโตรมาถามว่าถ้ามนุษย์ทำสิ่งที่ไม่ดี ทำบาปต่อเรา เราจะต้องอภัยให้กี่ครั้ง? พระเยซูบอกอภัยให้ตลอดเลย คือไม่ต้องอภัยกัน เมื่อท่านมาเชื่อในพระเจ้า ท่านบังเกิดใหม่แล้ว ท่านจะไม่โกรธใครอีกแล้ว เพราะข้างในท่านบริสุทธิ์ ท่านไม่ต้องอภัยหรอก เพราะมันอภัยอยู่แล้ว ท่านไม่เคยโกรธ ท่านจะไปอภัยทำไมล่ะ สมมติคนบอกให้ท่านให้อภัยคนนี้สิ แต่คุณไม่เคยโกรธเขาเลย คุณจะไปอภัย ก็คงขำ หัวเราะ อภัยให้เขา ผมไม่เคยโกรธเขาเลยนะ ผมอภัยให้ได้อย่างไร?  ผมอภัยให้ไม่ได้หรอก ทำไมเป็นคนอภัยให้ใครไม่ได้ ก็ผมไม่เคยโกรธเขาเลย  จะไปอภัยให้ได้อย่างไร? เหมือนกัน วิญญาณ ความรักตรงนี้

เพราะฉะนั้น สิ่งเหล่านี้ เมื่ออธิบายทางโลกวิญญาณแล้ว มันจะเห็นภาพชัดเจนอีกอันหนึ่ง ซึ่งสามารถเข้ากับข้อพระคัมภีร์ในพระคัมภีร์ทั้งหมด ทั้งเล่มได้

 

                   –  บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า /  ลูกของพระเจ้า /  คืนดีกับพระเจ้า  /   ติดต่อกับพระเจ้าได้

 

“บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า” พอเรามาเชื่อพระเจ้า เราสะอาด บริสุทธิ์จริงๆ ข้างใน พูดถึงวิญญาณของเรา เพราะเราอยู่กับพระเจ้า เราไม่สามารถสกปรกได้เลย เพราะสกปรกอยู่กับพระเจ้าไม่ได้

“ลูกของพระเจ้า” พอเรามาอยู่ในความสว่าง เราเป็นลูกๆ ของพระเจ้า เขาเรียกเราว่าลูกๆ ของพระเจ้า พระเจ้าเรียกเราว่าลูกๆ ของพระเจ้า ไม่ใช่ทาส ไม่ใช่คนรับใช้ เป็นลูกเลย ลูกจริงๆ พระเจ้าบอกท่านเป็นคนบาป ยังรู้จักรักลูกของตนเอง แล้วพระเจ้าเป็นความรัก รับท่านเป็นลูก จะรักท่านมากขนาดไหน? ท่านลองคิดดูแล้วกัน ท่านจะเห็นภาพเหล่านี้

“คืนดีกับพระเจ้า” ท่านเคยได้ยินใช่ไหม? โดยพระเยซูคริสต์ เราได้รับการคืนดีกับพระเจ้า แปลว่าท่านไปโกรธกับพระเจ้าเมื่อไร?  คืนดี ก็คือแต่ก่อนนี้เข้ากันไม่ได้ แต่ก่อนนี้คนละเคมี แต่พระเยซูชำระเราให้สะอาดแล้ว เคมีเดียวกัน เข้ากับพระเจ้าได้ คืนดีกับพระเจ้า แปลว่าอย่างนี้

“ติดต่อกับพระเจ้าได้” “เป็นหนึ่งกับพระเจ้า” อยู่บ้านหลังเดียวกันแล้ว

ซึ่งวันนี้ เอาแค่นี้ก่อน แล้วค่อยๆ เรียนรู้กันต่อๆ ไป ในอาณาจักรของความมืด ความสว่างเป็นอย่างไร? ท่านจะเห็นภาพชัดเจนว่าถ้าเราไม่เรียนรู้สิ่งเหล่านี้ เราเสียโอกาสไปเยอะขนาดไหน? และถ้าเราเรียนรู้ความจริงเหล่านี้ เราจะเห็นภาพว่าเราสามารถที่จะเชื่อพระเจ้าได้ง่ายขึ้น เยอะเลย พระเยซูจึงบอกว่าท่านจะรู้ความจริง และความจริง จะทำให้ท่านเป็นไท

ในหนังสือที่บอกอย่างชัดเจน ก็คือในหนังสือยอห์น 3:16 เป็นข้อพระคัมภีร์ที่เขาประกาศข่าวประเสริฐกันมากเลย แต่ถ้าเขาประกาศอย่างนี้ ก็เป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น สำหรับคนที่รับเชื่อ รับสิทธิของเขา

ยอห์น 3:16-18 “16 เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก (คือมนุษย์ยิ่งนัก) จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ (พระเยซู) เพื่อทุกคนที่เชื่อในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์ 17 เพราะพระเจ้าไม่ได้ทรงส่งพระบุตรของพระองค์มาในโลก เพื่อพิพากษาลงโทษโลก แต่เพื่อช่วยโลกให้รอด โดยทางพระบุตรนั้น 18 ผู้ใดที่เชื่อในพระองค์ก็ไม่ถูกพิพากษา แต่ผู้ใดที่ไม่เชื่อก็ถูกพิพากษาอยู่แล้ว เพราะเขาไม่เชื่อในพระนามของพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า”

 

ไม่พินาศ คือไม่ตายลงไปในวิญญาณ  ไม่ต้องอยู่ในนรกนิรันดร์ แต่มามีชีวิตเหมือนพระเจ้า อยู่ในอาณาจักรสว่างนิรันดร์

พระเจ้าไม่ได้ส่งพระเยซูมา เพื่อลงโทษมนุษย์บนโลกใบนี้ แต่เพื่อช่วยโลกให้รอด โดยทางพระบุตรนั้น ก็คือช่วยมนุษย์ทุกคนให้รอด โดยพระบุตร คำว่า “โลกนี้” มันรวมทั้งมนุษย์ทุกคน และสรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างบนโลกใบนี้

ผู้ใดที่เชื่อในพระองค์ ผู้ใดที่เชื่อในพระเยซู ก็ไม่ถูกพิพากษา แต่ผู้ใดที่ไม่เชื่อ ก็ถูกพิพากษาอยู่แล้ว เพราะอยู่ในอาณาจักรของความมืดอยู่แล้ว ไม่ได้เลือกใช้สิทธิ มันก็อยู่ในความมืด พระเยซูไม่ได้มาทำอะไร?

ชัดไหม? พระเยซูจึงบอกว่าเราไม่ได้มา เพื่อพิพากษาโลก พิพากษามนุษย์ ไม่ใช่ เพราะมนุษย์อยู่ในความมืดอยู่แล้ว ถ้าเขาไม่รับสิทธิ ที่เราทำให้ เขาก็อยู่ในความมืด และสำหรับคนที่รับสิทธิแล้ว ทันทีทันใด เขาก็ได้รับความรอด เขาถึงเรียกข่าวดี ข่าวประเสริฐมาถึงมนุษย์ทุกคน มันง่าย ไม่ต้องทำอะไร? มนุษย์ทุกคนอยู่ในอาณาจักรของความมืด  ต้องรับโทษนิรันดร์เลย แล้วพระเยซูก็มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน เพื่อสถาปนาอาณาจักรแห่งแสงสว่าง แล้วก็มาเคาะประตูเราตลอดเวลาว่าให้เราย้ายเถิดๆ ย้ายตอนไหน? ย้ายก่อนตาย ก่อนทิ้งร่าง เพราะพระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อเป็นตัวแทนให้กับมนุษย์เท่านั้น

ถ้าผมเป็นมนุษย์อยู่ตรงนี้ ผมจึงให้พระเยซูเป็นตัวแทนได้ แต่ถ้าวันหนึ่งที่ผม ร่างกายผมเน่าไปแล้ว วิญญาณออกจากร่าง ผมไม่ได้เป็นมนุษย์อีกต่อไปแล้ว ตอนนั้น ผมเป็นวิญญาณเฉยๆ ผมใช้สิทธิ์ไม่ได้แล้ว เพราะพระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นตัวแทนมนุษย์ มนุษย์เท่านั้นที่จะใช้สิทธิที่พระเยซูทำ เป็นตัวแทนให้ได้

พระคัมภีร์จึงให้เราตัดสินใจก่อนที่วิญญาณเราจะออกจากร่าง เพราะถ้าวิญญาณเราออกจากร่างแล้ว มันสายไปแล้ว วิญญาณเราออกจากร่างแล้ว เราอยู่ไหน? ก็อยู่ตรงนั้น  ถ้าวิญญาณเราออกจากร่าง เราอยู่ในอาณาจักรของความมืด เราก็อยู่ตรงนี้ ไม่มีทางเลือกแล้วตลอดไป ไม่มีใครช่วยให้เรารอดแล้ว ไม่มีพระเยซูอีกต่อไปแล้ว มีเราก็ทำอะไรไม่ได้ ช่วยอะไรไม่ได้ เพราะเราไม่สามารถใช้สิทธิในการเป็นมนุษย์ได้ เราเป็นวิญญาณที่อยู่ในความมืด เป็นวิญญาณที่อยู่กับมาร เป็นวิญญาณที่พินาศไปแล้ว

ท่านคิดดูว่ามันง่ายขนาดไหน? ท่านประกาศข่าวประเสริฐแค่นี้ ให้เขารับสิทธิเขา มันไม่ได้เกี่ยว ไม่ต้องทำอันโน้น อันนี้  ไม่ต้องทำอะไรเลย  ทำอย่างเดียว คือรับสิทธิสิ รับสิทธิ์ทำอย่างไร?

“ฉันเชื่อ พระเยซูไถ่บาปให้กับฉันใช่ไหม? ฉันเอาแล้ว ฉันเอาด้วยคน ใครไม่เอา ฉันไม่รู้ ฉันตัดสินใจเอาเท่านี้ เข้าใจไม่เข้าใจ ฉันเชื่อ เชื่อคนมาพูด ก็ได้”

ทันทีทันใดนั้น ท่านก็ย้ายมาอยู่ฝั่งสว่างเกิดอะไรขึ้น? วิญญาณท่านก็ขาวสะอาด ท่านอยู่ในสวรรค์แล้วทันทีเลย  ไม่ต้องรอให้ตายแล้วไปสวรรค์ ท่านเชื่อปุ๊บ ท่านอยู่ในสวรรค์ทันทีทันใดเลย แล้วจะอยู่ที่นี่ตลอดกาล ไม่มีใครเอาวิญญาณท่านออกไปได้แล้ว เพราะพระเจ้าคลุมตรงนี้อยู่ตลอด ไม่มีใครจะโผล่เข้ามาในแสงสว่าง แบบดวงอาทิตย์เป็นล้านๆ ดวงในวิญญาณของท่านอีก ไม่มีทางแล้ว ท่านอยู่ในสวรรค์แล้ว เอเมน วันหนึ่งท่านจะตายจากโลกนี้ ท่านจะดีใจมากเลย เพราะแค่ไปสู่อีกมิติหนึ่งเท่านั้นเอง ท่านก็พะงาบๆ หมดภารกิจสักที พอวิญญาณท่านออกจากร่างไป ท่านก็ไปอยู่สวรรค์ คราวนี้ท่านก็สบาย มองเห็นทุกอย่าง ไม่ต้องมาวุ่นวาย  ไม่ต้องนั่งแท็กซี่ ใช้เหาะไป อันนี้พูดไปเรื่อยเปื่อย แต่ไม่รู้เทคโนโลยีเป็นอย่างไร? แต่ท่านก็เหมือนพระเยซู ท่านไม่ต้องทุกข์ลำบากอีกแล้ว นั่งนานก็ไม่ได้ ไข่วห้างนานก็ไม่ได้ อะไรก็ยุ่งวุ่นวายไปหมด ท่านไม่ต้องวุ่นวาย วิญญาณท่านอยู่ในสวรรค์เหมือนเดิม ไม่ได้ไปไหนเลย

เพราะฉะนั้น เวลาที่บอกว่าพระบิดารอคอยเราอยู่ในสวรรค์ แปลว่าพระบิดารอคอยให้เราจากความมืด ย้ายมาสู่ความสว่าง จากนั้นพระบิดาไม่รอคอยแล้ว พระบิดารอคอยเราในสวรรค์ ก็คืออย่างนี้ พอเราขึ้นมาอย่างนี้ปุ๊บ อยู่กับพระบิดาแล้วตอนนี้  อยู่ในสวรรค์แล้ว เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

******************************