คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 3 มิถุนายน 2018 เรื่อง “เพราะข่าวดีสำเร็จแล้ว เราจึงเป็นไทแล้วจริงๆ” ตอน 1 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  3  มิถุนายน  2018

เรื่อง “เพราะข่าวดีสำเร็จแล้ว เราจึงเป็นไทแล้วจริงๆ” ตอน 1

โดย นคร  เวชสุภาพร

            ถึงช่วงที่สำคัญที่สุด คือช่วงแบ่งปันถ้อยคำพระเจ้า พระคัมภีร์บอกว่าถ้อยคำพระเจ้าเป็นอาหารทางฝ่ายวิญญาณของเรา พระเยซูบอกว่าความจริงทำให้ท่านเป็นไท เป็นอิสระ ความจริงจะทำให้ท่านมีสุข ไม่ถูกหลอกลวง และความจริงมาจากพระเยซู มาจากถ้อยคำของพระองค์นั่นเอง

วันนี้ ก็จะเป็นตอนของข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นพระสัญญาของพระเจ้าที่ได้ทรงเตรียมไว้ล่วงหน้า ก่อนสร้างโลก และได้กระทำสำเร็จแล้วที่ไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีก่อน สิ่งเดียวที่สำคัญที่สุด ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล

พระคัมภีร์ทั้งเล่ม จะพุ่งไปประเด็นสำคัญตรงนี้ คือในพันธสัญญาเดิม ตรงที่ว่าข่าวดีหรือข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์เป็นพระสัญญาของพระเจ้าที่ได้ทรงเตรียมไว้ล่วงหน้า ตั้งแต่สร้างโลก แต่ถูกปิดบังเอาไว้ก่อน รอถึงเวลาที่เหมาะสม ก็จะค่อยๆ เปิดเผยออกมา ผ่านทางผู้เผยพระวจนะ หรือ “Prophet” คือผู้ที่พระเจ้าได้บอกไว้ล่วงหน้าว่าพระองค์จะให้อะไรเกิดขึ้นในอนาคต รอจนกระทั่ง พระเยซูมาทำให้สำเร็จนั่นเอง

“Prophet” คือผู้ที่พระเจ้าเจิมตั้งไว้เป็นผู้ที่จะพูดข่าวสารที่พระองค์จะบอกกับมนุษย์ ให้คนนั้นพูดออกมา เรียกว่าเผยพระวจนะ พูดอนาคตว่าพระเจ้าจะทำอะไรบ้าง?  พระเยซูคริสต์จะมาเป็นอย่างไร? มาช่วยอย่างไร?  บอกเป็นแผนการลับ อยู่ในถ้อยคำพระเจ้า ในหนังสือพระคัมภีร์เดิมทั้งหมด

พอมาถึงพระคัมภีร์ใหม่ ก็จะมาเน้นว่าข่าวดีที่ได้มีการบอกล่วงหน้า มีการเผยพระวจนะไว้ในพระคัมภีร์เดิม ตั้งแต่บรรพบุรุษของเรา บัดนี้ เกิดขึ้นจริงๆ แล้ว และถูกกระทำให้สำเร็จแล้วที่ไม้กางเขน โดยพระเยซูคริสต์

ความจริงก็คือพระคัมภีร์เล่มนี้ทั้งหมดเป็นความจริง ความจริงทำให้เป็นไท เพราะความจริงจะทำให้ท่านรู้ว่าพระเจ้าทรงไถ่ถอนมนุษย์อย่างไร? วางแผนไว้ล่วงหน้าอย่างไร?  และทั้งหมดนี้ ก็คือข่าวดีที่สำเร็จ ข่าวดีที่พระเยซูมาตายที่ไม้กางเขนแล้ว พระเยซูเป็นผู้พูดเอง ประกาศว่าเราทำสำเร็จแล้ว ตามนั้นทุกประการ จุดๆ หนึ่ง และขีดๆ หนึ่งก็จะไม่ลบเลือนหายไป  มันเกิดขึ้นแล้วจริงๆ จงเชื่อเถิด ถ้าใครเชื่อความจริงนี้ จะทำให้คนนั้นเป็นอิสระ

สมมุติว่าคนนี้เป็นหนี้ธนาคารอยู่ ก็ยังเป็นหนี้ธนาคารเหมือนเดิม แต่วิญญาณเป็นอิสรภาพแล้ว เดี๋ยวพระเจ้าก็จะนำพาไปลดหนี้ธนาคารทีหลัง บางคนก็บอกว่า …

“มาเชื่อพระเจ้าจะได้เป็นอิสรภาพ เป็นไทสักที ติดหนี้เขา จะได้หมดสักที”

อันนี้คนละเรื่องกัน ค่อยมารับพระพรทีหลัง เป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกฝ่ายวิญญาณทั้งสิ้น สิ่งที่เกิดขึ้นในพระคัมภีร์ เมื่อพูดถึงข่าวดีของพระเจ้า

ถึงแม้เราจะได้เรียนรู้หัวใจสำคัญของพระคัมภีร์ไปแล้ว พูดซ้ำๆ ขนาดนี้ ย้ำขนาดนี้ ไปแล้ว แต่ด้วยเนื้อหนังของเรา ร่างกาย ความคิด จิตใจเก่าๆ ของเรา ความเชื่อเก่าๆ ของเรา  และด้วยความมีจิตใต้สำนึกที่เป็นคนบาปอยู่ ยังหยั่งรากลึกในความรู้สึก ที่ไม่รู้สึกปลอดภัย รู้สึกเป็นคนไม่สะอาด ไม่เหมือนในพระคัมภีร์บอกเลย พระเยซูบอกว่าไถ่ จนกระทั่งวิญญาณสะอาดหมด เรารู้สึกมันไม่สะอาดเลย ความรู้สึกในจิตใต้สำนึกนี้ มันลึกๆ ยังอยู่ในมนุษย์ทุกคน แม้ว่าเราจะเชื่อพระเจ้าแล้ว เชื่อในข่าวประเสริฐแล้ว เป็นลูกพระเจ้าแล้วก็ตาม  มันก็เลยทำให้คนเชื่อในถ้อยคำพระเจ้ายาก เราที่เป็นลูกพระเจ้า หลายอย่าง เรายังยาก แล้วคนที่ไม่รู้เลย ไม่ได้เรียนข่าวประเสริฐเลย ยิ่งเชื่อในข่าวดีนี้ยากมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เชื่อในฤทธิ์เดชอำนาจของข่าวประเสริฐ ซึ่งเป็นฤทธิ์เดชอำนาจเกิดขึ้น ทางโลกวิญญาณ

ยกตัวอย่างเช่นว่าเชื่อในข่าวดีนี้ เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน เป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 เชื่อจริงๆ นะ จะได้เกิดใหม่ทางวิญญาณ แค่นี้ก็เสร็จแล้ว แล้วเชื่ออย่างไร? เกิดอย่างไร? ขนาดนิโคเดมัสยังบอกว่าเกิดอย่างไร? ต้องมุดเข้าไปอยู่ในครรภ์มารดาอีกครั้งหนึ่งเหรอ ตามพระเยซู มันยาก แต่ไม่ยาก สำหรับพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า พระเจ้าจะให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นผู้สำแดงความจริงนี้ เข้ามาในวิญญาณของเรา ให้เรารู้ ถ้าคนนั้นสนใจจริงๆ แสวงหาพระเจ้า แสวงหาความจริง คนนั้นจะพบพระองค์ แสวงหา ก็จะพบ เคาะ ก็จะถูกเปิดให้กับเขา ขอแล้วเขาจะได้ ทั้งหมดนี้พูดถึงเรื่องโลกวิญญาณ ที่จะทะลุไปถึงความจริงแห่งพระเยซูคริสต์ ในข่าวดีของพระเยซู เพื่อเขาเป็นไท เคาะบ่อยๆ เคาะตลอดเวลา ก็จะถูกเปิดให้เขา ใครที่ขอและขอตลอดเวลา ก็จะถูกประทานให้ตลอดเวลา

ใครที่แสวงหาตลอดเวลา แสวงหาไม่หยุด หาต่อเนื่อง เขาก็จะได้พบอย่างต่อเนื่องเรื่อยๆ นี่พูดถึงภาษาเดิม ในมัทธิว บทที่ 7 ตรงนี้ แปลว่าอย่างนี้ ถ้าทำอยู่เรื่อยๆ ก็จะได้เรื่อยๆ ตอนนี้เรากำลังทำอยู่เรื่อยๆ เราก็พูดแต่เรื่องนี้เรื่อยๆ พอถึงวันอาทิตย์ทีหนึ่ง เราก็มาพูดถึง บรรยายถึงถ้อยคำพระเจ้า เกี่ยวกับข่าวดีนี้ ก็ฟังแต่เรื่องข่าวดีนี้ว่าพระเยซูทำอะไรบ้าง? ฟังมาเป็นเวลา 30, 40 ปี บางคน 50 ปี ฟังมาแล้ว 5 ปี กลับบ้านก็ยังไปฟังอีก อ่านอีก ก็ฟังแต่เรื่องนี้ เรื่องเดียว ท่านกำลังหาและหาต่อเนื่อง ท่านกำลังเคาะ และเคาะต่อเนื่อง ท่านกำลังขอ และขอต่อเนื่อง ขอรู้เรื่องราวเกี่ยวกับความจริงในสวรรค์สถาน ท่านก็จะได้รับจากพระเจ้า ต่อเนื่องเรื่อยๆ ก็เจริญเติบโตขึ้น เข้าไปในความจริง ก็จะทำให้ท่านเป็นไทมากขึ้น  เอเมน

บางทีก่อนนอน ผมก็คิดตรงนี้ พระเจ้าอยากรู้จริงๆ นานเท่าไรก็ไม่รู้ อยู่ดีๆ มันก็รู้เรื่องนี้ขึ้นมา  ไม่เคยหยุดอ่านพระคัมภีร์ ไม่เคยหยุดอธิษฐานขอ ไม่เคยหยุดที่จะคิดว่าอาณาจักรสวรรค์มันเป็นอย่างไร? ขนาดเดินเที่ยว เดินซื้อของ เดินไปไหน? พอเห็นป้าย เห็นอะไรต่างๆ ก็จะคิดไปแต่เรื่องสวรรค์ นี่แหละ เขาเรียกว่าไม่ยอมหยุด ที่จะแสวงหา ที่จะเคาะ ที่จะขอ เราต้องมีอุปนิสัยอย่างนี้  เราจะได้รับสิ่งต่างๆ เหล่านี้

พอคนมีพื้นเพของความเป็นคนบาป ตามพระคัมภีร์บอก มนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป แม้ว่าจะเชื่อพระเจ้าก็จริง ก็รู้สึกตัวเองสกปรก ก็เลยมีหลายคน เมื่อมาเชื่อพระเจ้า เป็นลูกพระเจ้าแล้ว  แต่คงพยายามที่จะขวนขวาย ทำอะไรต่อมิอะไร ด้วยตัวเอง เพิ่มเติม เพื่อให้ตัวเองรอดพ้น จากบาป เวรกรรมอีก ก็คือพระเยซูทำให้บนไม้กางเขน พระองค์บอกสำเร็จหมด เรียบร้อยแล้ว เรายังไม่พอ ขอทำอีก ทั้งที่รู้หรือไม่รู้ก็ตาม มันยังไม่พอ พระองค์บอกว่าปลดปล่อยเราออกจากกฎต่างๆ เรากลับไปเพิ่มกฎอีกนิดหนึ่ง เพราะรู้สึกว่าทำตามกฎ แล้วรู้สึกสบายดี รู้สึกว่าตัวเองสะอาดขึ้น

ทั้งๆ ที่พระคัมภีร์ก็บอกชัดเจนว่าพระเยซูมายกเลิกกฎเกณฑ์ทุกอย่างแล้ว ทรงฉีกกรมธรรม์ ที่ผูกมัดเอาไว้ เอาไปตรึงที่ไม้กางเขนแล้ว แต่เราก็ยังไม่วายที่จะมีคนเอากฎเกณฑ์เหล่านี้ กลับมาให้กับเราอีก หรือแม้กระทั่งตัวเราเอง เอากลับมาใช้อีก เอามาตั้งเป็นข้อบัญญัติของตัวเอง เป็นข้อห้ามของตัวเอง แล้วก็สอนต่อๆ กันไปจนกระทั่งวุ่นวายกันไปหมด

ยังจำได้ไหมครับว่าที่ผมยกตัวอย่างครั้งที่แล้วว่าถ้าลองไปค้นหา ในอินเตอร์เนต โดยเฉพาะในพันธุ์ทิพ กระทู้เกี่ยวกับคริสเตียนจะมีคนถามเยอะแยะไปหมดว่าคริสเตียนทำนี่ได้ไหม? ทำอย่างโน้นผิดไหม? ทำอย่างนั้นบาปไหม? แต่ก่อนยังไม่คิดมากขนาดนี้ แต่พอเป็นคริสเตียนยุ่งไปหมดเลย

อย่างเช่น ไปร่วมงานบวชได้ไหม? ไปร่วมงานศพได้ไหม? ทานอาหารที่ไหว้รูปเคารพได้ไหม? ไม่ออกไปประกาศกับเขาได้ไหม? ไม่ถวายสิบลด ผิดไหม? ต้องกลายเป็นคริสเตียนที่อยู่ภายใต้กฎเกณฑ์อีกครั้งหนึ่ง และมากกว่าเก่าด้วย แทนที่เชื่อพระเจ้าแล้ว จะหายเหนื่อยและเป็นสุขตามที่พระเจ้าบอก ตามที่พระเยซูสัญญาไว้ ก็เลยกลายเป็นมาเชื่อพระเจ้าแล้ว ยิ่งเหนื่อย ยิ่งเป็นทุกข์มากขึ้น เพราะยังต้องแบกภาระหนักต่อไป และหนักมากขึ้นกว่าเดิมอีกต่างหาก

หัวข้อบรรยายวันนี้ คือ “เพราะข่าวดีสำเร็จแล้ว เราจึงเป็นไทแล้วจริงๆ” เมื่อเราเชื่อพระเจ้าแล้ว พระเยซูบอกเป็นไทแล้ว เป็นอิสรภาพ รอดพ้นจากกฎแห่งบาปและความตายแล้ว วิญญาณเราเป็นไทอย่างแท้จริง  นี่คือถ้อยคำพระเจ้า ไม่เกี่ยวอะไรกับโลกนี้ ที่เรายังไม่เป็นไท อย่างเช่น เป็นหนี้ธนาคารอยู่ หรือถูกจองจำอยู่ เพราะเราทำผิดกฎหมาย คนละเรื่องกัน

เราเป็นไทแล้วในฝ่ายวิญญาณจริงๆ แต่ในขณะเดียวกัน เราก็ยังสามารถทำให้ร่างกายที่ยังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ได้รับอิสรภาพและเป็นไทได้ด้วยจริงๆ แต่เวลาดำเนินชีวิต เราไม่เห็นดำเนินตามถ้อยคำพระเจ้าที่ตะกี้เราพูดเลย เราไม่อิสระ ทำอันนี้ เราก็กลัว เราทำอันนั้น เรายังกลัวอยู่เลย นั่นแหละ เราเป็นคนเลือกว่าเราจะเป็นอิสระตามถ้อยคำพระเจ้า หรือเราจะไม่เป็นอิสระ เราจะยังอยู่ในบทบัญญัติ กฎหมาย หรือว่าอยู่ในที่จองจำต่อไป มันขึ้นอยู่กับตัวเรา เรามีสิทธิ์ที่จะทำสิ่งต่างๆ เหล่านั้นได้ด้วยตัวเราเอง อย่างเช่นคอยหวาดระแวง เป็นกังวลว่าอันโน้นทำได้ไหม? อันนี้ทำได้ไหม? กลัวจะสูญเสียความรอดไป พอมาเชื่อพระเยซูปุ๊บ ได้รับความรอด จากนั้นอยู่ดีๆ ก็กลายเป็นวิตกกังวลหนักกว่าเก่าอีก เพราะกลัวจะเสียความรอด

ก่อนมาเชื่อพระเยซู ทุกข์แค่ว่าเวรกรรมเมื่อไรจะใช้หมด ตอนนี้ทุกข์ 2 แห่ง ก็คือเชื่อพระเยซูแล้ว เชื่อว่าบาปเวรกรรมตัวเองก็ยังไม่หมด ต้องทำด้วยตัวเองไม่พอ ความรอดที่พระเยซูเคยให้มา ที่เชื่อว่าพระเยซูให้แล้ว ทำอันนี้ เดี๋ยวมันจะหายไปไหม? ยิ่งกลัวดับเบิ้ลกลัว นี่คือความกังวลซ้อนกังวล ที่อยู่ในจิตใจของลูกพระเจ้า ที่เรียกว่าเป็นคริสเตียน  ที่ยังไม่รู้ความจริงในโลกฝ่ายวิญญาณ ไม่รู้ความจริงในถ้อยคำพระเจ้าอย่างลึกๆ ว่ามันคืออะไร? กังวลว่าจะสูญเสียความรอดไป มีบางท่านมาปรึกษาผม เครียดมากเลย

“ช่วยอธิษฐานให้หนูหน่อย”

“เป็นอะไร?”

“หนูกังวลมากเลย นอนไม่หลับทุกคืน  อธิษฐาน ดึกดื่น”

“เรื่องอะไรล่ะ”

“คือหนูกลัวว่าหนูจะตกนรก”

“แล้วหนูไปทำอะไรมา”

“ไม่ได้ทำอะไร? หนูรู้สึกว่าหนูกลัวว่าหนูจะไปทำอะไร? ที่จะทำให้หนูผิดสัญญากับพระเยซู กลัวตกนรก หนูเลยเครียด ทำให้นอนไม่หลับ”

“แล้วไปทำอะไรหรือยัง?”

“ยัง แต่กลัวจะไปทำ”

เป็นอย่างนี้จริงๆ ถึงอยากจะเล่าให้ฟังว่าเวลาเราไม่เป็น ก็ไม่เป็นไร แต่คนเป็น มันเครียดจริงๆ นอนไม่หลับเลย ไม่ใช่คนเดียว หลายคนเหมือนกัน เราจึงจำเป็นต้องมาศึกษาเรื่องนี้

ทุกเรื่องในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ถ้าเราเข้าใจหลักการพื้นฐานในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลที่พระเจ้าแนะนำ สอน เราก็จะสามารถตัดสินใจได้ถูกในทุกพื้นที่ชีวิตว่าอะไรควรทำ? อะไรไม่ควรทำอย่างมีอิสรภาพ เราจะไม่ต้องไปวุ่นวายมากมาย เพราะเรามีฐานมั่นคง หลักการจากพระเจ้านำเรา

ยกตัวอย่างเช่น จะทำพิธีต่างๆ เกี่ยวกับโลกวิญญาณทำได้ไหม? ผมต้องใส่คำนี้ว่า “จะทำพิธีอะไรเกี่ยวกับโลกวิญญาณ” ก็คือทำอะไรที่เล็งไปถึงโลกวิญญาณ

ยกตัวอย่างอีกอันหนึ่ง ก็คือ …

การไปดูหมอดู ก็เกี่ยวกับโลกวิญญาณนะ

การถือโหราศาสตร์ ก็เกี่ยวกับโลกวิญญาณ

การไปเข้าเจ้าเข้าทรงก็เกี่ยวกับโลกวิญญาณ

ท่านพอเข้าใจใช่ไหมว่าทำอะไรต่างๆ ที่เกี่ยวกับโลกวิญญาณ ทำได้ไหม? เกี่ยวกับเรื่องนี้

ที่บ้านยังมีการไหว้ตามเทศกาลต่างๆ จะร่วมทานอาหารที่ไหว้รูปเคารพได้ไหม?

ไปร่วมงานศพได้ไหม? แค่เรื่องงานศพนะ กระทู้ที่มีคนตั้งคำถามว่าคริสเตียนไปร่วมงานศพ ที่วัดได้ไหม? ปรากฎว่ามีคนช่วยกันตอบเยอะแยะมากมาย มีตั้งแต่บอกอย่างนี้ว่าไปไม่ได้ อีกคนหนึ่งมาตอบว่าไปได้ แต่ไม่เข้าร่วมพิธี อีกคนบอก แค่ไปให้เจ้าภาพเห็นหน้าเฉยๆ ก็พอ ไปร่วมได้ แต่ห้ามกราบศพ … กราบศพ ก็ได้ แต่ห้ามจุดธูป จุดธูป ก็ได้ แต่อย่าเกิน 2 ดอก นี่มันถูกจองจำชัดๆ หนักกว่าเดิม

ซื้อล๊อตเตอร์รี่ได้ไหม?  บางคนก็บอกซื้อไม่ได้ พระคัมภีร์บอกว่าอย่างไร? พระเยซูตรัสว่า …

“จงระวังเว้นเสียจากความโลภทุกชนิด ระวังห่างจากความโลภทุกชนิด”

เพราะฉะนั้น สรุปซื้อล๊อตเตอร์รี่ไม่ได้ ซึ่งเอาว่ากันตามจริงๆ ไม่ต้องซื้อล๊อตเตอร์รี่หรอก ก็สามารถโลภได้เหมือนกัน ถวายเงินให้โบสถ์ โลภได้ไหม? ได้ ไม่ว่าจะซื้อล๊อตเตอร์รี่หรือถวายทรัพย์ ก็โลภได้เท่ากัน ถ้าจะโลภ ไม่ได้อยู่ที่ล๊อตเตอร์รี่ ไม่ได้อยู่ที่ถวายทรัพย์

เพราะฉะนั้น ถ้าเราเข้าใจในพื้นฐานของคำสอน ความจริงในพระคัมภีร์อย่างลึกซึ้ง เราก็จะสามารถตอบคำถามต่างๆ เหล่านี้ได้หมด

พื้นฐานของคำตอบที่เป็นไปตามถ้อยคำพระเจ้าในพระคัมภีร์ มีบันทึกไว้ใน 1 โครินธ์ 10:23 ที่ครั้งที่แล้ว เราได้คุยกันนิดหนึ่ง เรามาดู …

1 โครินธ์ 10:23 “เราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งจะเป็นประโยชน์ เราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่ง จะเป็นการเสริมสร้างขึ้น”

 

หลายสิ่งหลายอย่าง ที่ในสมัยพันธสัญญาเดิม เป็นบทบัญญัติที่จำเป็นต้องปฎิบัติตาม ถ้าไม่ทำตาม หรือฝ่าฝืน ถูกลงโทษ ที่เรียกว่ากฎตาต่อตา ฟันต่อฟัน นั่นคือตอนที่พระเยซูยังทำไม่สำเร็จ พระเยซูยังไม่มาเกิดเป็นมนุษย์ ยังไม่ตายที่ไม้กางเขน แต่พอมาถึงพันธสัญญาใหม่ หลังที่พระเยซูได้ Tetelestai ได้ทำสำเร็จ การงานของพระองค์ที่ไม้กางเขนแล้ว คือทำให้พันธสัญญาของพระเจ้าสำเร็จ ตามที่ได้สัญญาไว้ ตั้งแต่ก่อนหน้าโน้น กฎแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน ก็ถูกลบล้างไปแล้ว กลายมาเป็นยุคกฎแห่งพระคุณ คือให้เปล่าๆ นี่คือหลักการ ซึ่งในยุคแห่งพระคุณนี้ เราไม่ได้อยู่ใต้กฎเกณฑ์ ไม่ได้อยู่ภายใต้บทบัญญัติอีกต่อไปแล้ว ไม่มีคำว่า “ต้องทำ”  ไม่มีคำว่า “ห้ามทำ” มิฉะนั้น จะถูกลงโทษ ไม่อีกแล้ว แต่เราจะทำทุกอย่างด้วยความเชื่อในข่าวดีของพระเยซู ที่บอกสำเร็จแล้วเท่านั้น ทำด้วยความรัก ด้วยความไม่เห็นแก่ตัว และด้วยความเสียสละ เห็นแก่ผู้อื่นก่อนเสมอ นี่คือหลักการ อิสรภาพอยู่ตรงนี้

เพราะฉะนั้น ผู้เชื่อในข่าวดีทุกคน หรือเรียกว่าคริสเตียนทุกคน สามารถทำอะไรก็ได้ แต่อยู่บนพื้นฐานของความเชื่อในวิญญาณ พระเยซูเป็นพระเจ้า เป็นผู้ช่วยให้รอด และกระทำทุกสิ่งด้วยความรักแท้จริง จากวิญญาณที่ได้บังเกิดใหม่ข้างใน ด้วยความเชื่อ เป็นวิญญาณที่สะอาดหมดจด บริสุทธิ์ ปราศจากตำหนิใดๆ ตามพระคัมภีร์บอก เป็นวิญญาณของความรักแท้ของพระเจ้า ที่อยู่ในเรา ที่เสียสละเหมือนพระเยซูนั่นแหละ ถ้าทำจากตรงนั้น มันถูกหมด ได้หมด เอเมน

นี่คือความหมายที่บอกว่าเมื่อพระเยซูได้กระทำสำเร็จแล้ว เราก็ได้รับอิสรภาพ และเป็นไทแล้วจริงๆ ตรงวิญญาณข้างในเรา เรารู้ว่าเราเป็นใคร รู้ว่าเรากำลังทำด้วยความรักแท้จริง  ไม่เห็นแก่ตัว คำตอบที่ว่าจะทำอะไรได้หรือไม่? เราไม่ได้ตอบจากกฎเกณฑ์ หรือข้อบังคับใดๆ เรารู้จากข้างในวิญญาณเรา ขณะที่ทำ เพราะฉะนั้น อะไรจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรก็ตาม แต่วิญญาณข้างในมันไม่เปลี่ยน เหตุการณ์อาจจะเปลี่ยนแปลงไป เมื่อ 2,000 ปีที่แล้วกับเดี๋ยวนี้ ต่างกันเยอะ จากนี้ต่อไปอีกพันปีก็ต่างกันเยอะ แต่พื้นฐานพระเยซูทำให้เราเป็นไท เป็นอิสรภาพ โดยวิญญาณ ที่ไม้กางเขนนั้น มันไม่เปลี่ยนแปลงเลย เพราะฉะนั้น ใช้ฐานนี้ สามารถใช้ได้ทุกเรื่องทุกราว ถูกหมด เอเมน

มีข้อหนึ่งที่จะให้ท่านเห็นว่ากฎเกณฑ์ ฐานที่ท่านควรจะเอาไปเทียบกับการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ การมีอิสรภาพทางวิญญาณ ผ่านทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์ เป็นอย่างไร? คือในหนังสือกาลาเทีย 5:13-15

กาลาเทีย 5:13-15 “13 พี่น้องทั้งหลาย ที่ทรงเรียกท่านนั้น ก็เพื่อให้มีเสรีภาพ แต่อย่าใช้เสรีภาพของท่าน เพื่อปล่อยตัวตามวิสัยบาป แต่จงรับใช้กันและกันด้วยความรัก 14 บทบัญญัติทั้งหมด สรุปรวมเป็นข้อเดียวว่า “จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง” 15 หากท่านยังคอยแต่กัดกินกันเอง ระวังให้ดี จะย่อยยับไปตามๆ กัน

 

ท่านต้องเอาฐาน 2 ข้อนี้ไปดูบ่อยๆ ว่ามันคืออะไร? ฐานนี้จะทำให้ท่านไปไหนก็ได้ ไม่ต้องถามใครแล้วว่าตรงนี้ทำได้ไหม? เป็นงานศพได้ไหม? ไปวัดได้ไหม? ไปอะไรได้ไหม?  ท่านจะรู้จากข้างในว่าอยู่ในเกณฑ์นี้ไหม? อยู่ในเกณฑ์อิสรภาพแบบนี้ไหม? ท่านมีอิสรภาพ อิสรภาพท่านอยู่ในเกณฑ์แบบผู้บังเกิดใหม่ในวิญญาณ เป็นอิสรภาพจริงๆ จากกฎเกณฑ์ต่างๆ ทางวิญญาณ ในวิญญาณของเราที่มันเปลี่ยนไป หลุดพ้นด้วยการเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ และได้บังเกิดใหม่ในวิญญาณเท่านั้น เราจึงมีอิสรภาพ ไม่ใช่ด้วยวิธีอะไรอื่นๆ ไม่ใช่ด้วยสติปัญญาของมนุษย์ หรือวิธีไปพยายามว่ามันถูกไหม? มันได้ไหม? อย่างนี้มันทำได้ไหม? ไม่ใช่ แต่ด้วยอิสรภาพทางวิญญาณ ท่านรู้จริงๆ ทางโลกวิญญาณว่าท่านเป็นใคร? ในพระคริสต์ ท่านได้บังเกิดใหม่ในวิญญาณ ท่านเป็นอิสรภาพแล้ว ก่อนจะเชื่อพระเยซู วิญญาณเราอยู่ในที่จองจำ พระคัมภีร์บอกว่าเหมือนอยู่ในคุก พอเราเชื่อพระเยซูคริสต์ปุ๊บ มันจะเกิดการบังเกิดใหม่ มีฤทธิ์ขึ้นใหม่ในวิญญาณของเรา คือพระเจ้าทำให้วิญญาณที่เราตายไปแล้วนั้น มันเกิดใหม่ หลุดออกมาจากคุก กลายเป็นอิสรภาพ มีเสรีภาพ เหมือนคนที่ติดคุกอยู่ แล้วออกจากคุกมา อย่างนั้นเลยในโลกวิญญาณ ท่านต้องเห็นภาพนั้นให้ได้ว่าในวิญญาณท่านเป็นอะไรตอนนี้

ความรอดจากบาป การออกจากที่จองจำในโลกวิญญาณ มันจะเกิดขึ้นได้ทางเดียวเท่านั้น คือโดยทางความเชื่อในพระเยซู และได้บังเกิดใหม่เท่านั้น มันถึงจะเป็นอิสระได้ เชื่อในข่าวดี หรือข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์เท่านั้น

ขั้นตอนที่ 1 คนนั้น เริ่มได้ยินข่าวดี มีคนมาพูดถึงข่าวดี ไม่ว่าจะเป็นทางไหน? จะอ่านเอาเอง จะฟัง จะมีคนมาบอก ฟังจากวิทยุ ฟังจากทีวี อ่านหนังสือด้วยตัวเอง อ่านหนังสือพิมพ์ มันมีข้อมูลข่าวสาร ข่าวดีของพระเยซูเข้ามาหาคนนั้น

ขั้นตอนที่ 2 คนนั้น ไม่ปฏิเสธข่าวดีนี้ เริ่มต้นด้วยการรับรู้ เริ่มต้นเชื่อ และเก็บรักษาความเชื่อ ข่าวดีไว้ในใจ

ขั้นตอนที่ 3 คนนั้น เก็บเอาไว้ จนกระทั่งความเชื่อที่เขาเก็บเอาไว้ และเริ่มต้นได้รับมา มันดิ่งลงไปในวิญญาณ ดิ่งลงไปในใจลึกๆ สำแดงออกมาเป็นการเนรมิต เรียกว่าครีเอชั่น เรียกว่าเหมือนตอนที่พระเจ้าสร้างโลก คล้ายๆ อย่างนั้น คือเกิดการบังเกิดใหม่ขึ้นมาในวิญญาณ กลายเป็นลูกของพระเจ้า ซึ่งตามพระคัมภีร์โรม 10:9-10 บอกไว้อย่างนั้น

โรม 10:9-10 “9 ถ้าท่านยอมรับด้วยปากของท่านว่าพระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า  และเชื่อในใจของท่านว่าพระเจ้าทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตาย ท่านก็จะได้รับความรอด 10 เพราะท่านเชื่อด้วยใจ จึงทรงให้ท่านเป็นผู้ชอบธรรม และเพราะท่านยอมรับด้วยปาก จึงทรงให้ท่านรอด”

 

เมื่อท่านเริ่มรับเชื่อ รักษามันไว้ให้ดีๆ เก็บเมล็ดพันธุ์นั้น ที่มีคนหว่านมาทางวิญญาณ แล้วก็บ่มมันไว้ ไม่ทิ้งไปไหนเลย ไม่ว่าจะทุกข์ยากลำบากอะไร ก็จะเก็บไว้ ไม่เข้าใจ มีคนว่าก็จะเก็บไว้ มีคนบอกไอ้โง่ ก็จะเก็บไว้ ยังไม่ได้ตามที่อยากได้ ก็เก็บอยู่ ไม่ทิ้ง วันหนึ่งมันต้องเกิดขึ้นแน่นอน เพราะเป็นเมล็ดพันธุ์ที่ดี ข่าวดีมาจากพระเจ้าแน่นอน ถ้าท่านไม่ทิ้งมัน เกิดผลแน่นอน มันก็จะเกิดเป็นการเกิดใหม่ในวิญญาณ เรารู้ว่าเริ่มต้นรับรู้เมื่อไร? พอจะจำได้บ้าง? แต่เราไม่รู้ว่าจริงๆ วันที่เมล็ดนี้งอกทางวิญญาณ เปรี้ยงขึ้นมา เป็นต้นไม้นี้  วันที่ใบเล็กๆ มันโผล่มา ไม่รู้ว่ามันเป็นเมื่อไร? แต่นี่มันชัดเจน

และเมื่อบังเกิด 3 ขั้นตอนนี้  เกิดขึ้นอย่างครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว ท่านก็จะมีสถานะเป็นลูกของพระเจ้าตลอดไป  ไม่มีเปลี่ยนกลับไปกลับมาอีกแล้ว ตามพระคัมภีร์เลย

ตัวอย่าง โต๋เป็นลูกผม เพราะเกิดมาเป็นลูก ไม่ใช่เพราะเขาไปทำอะไรมา ถึงมาเป็นลูกเรา เราเตือนเขาว่าอย่าไปเล่นตรงกองไม้ กำลังซ่อมแซมบ้าน มีตะปูระวัง เดี๋ยวมันจะทิ่มเท้า เราบอกอย่าไปนะ แล้วเขาก็ไม่เชื่อฟัง เขาก็ไปเหยียบตะปู เลือดไหล ทันทีทันใด เรากลับมา เลยบอกว่าเลิก ไม่ต้องเป็นลูกแล้ว เป็นไปไม่ได้ มันคนละเรื่องกัน เขาก็เจ็บปวดไป แต่เขาก็ยังเป็นลูกอยู่เหมือนเดิม ไม่มีอะไรตัดเขาออกจากการเป็นลูกของเราได้เลย ต่อให้เขาทำมากกว่านั้น เขาก็ยังเป็นลูกเรา

ลักษณะเดียวกัน เพียงแต่ที่เขาไม่เชื่อฟัง ทำให้เกิดความทุกข์ลำบาก เจ็บตัวมากขึ้น  ลำบากมากขึ้นในชีวิตของเขานั่นเอง

พระคุณ คือการให้เปล่าๆ ให้ด้วยความรักแท้จริง เราได้มาเป็นลูกของพระเจ้า  เกิดใหม่ในวิญญาณ ด้วยการกระทำของเราหรือ? ไม่ใช่ ด้วยพระคุณ ผ่านทางพระเยซูคริสต์ พระเจ้าให้เราฟรีๆ ไม่ใช่ด้วยการกระทำสิ่งใดๆ เลย เราได้มาเป็นลูกพระเจ้า ไม่ใช่เป็นคนดี มาตลอดชีวิตเรา พระเจ้าจึง เรียกเรามาเป็นลูกพระองค์ เปล่าเลย พระเยซูตายตั้งแต่เรายังไม่เกิดเป็นมนุษย์เลย เราก็สกปรกเท่ากับคนอื่นเขาทั่วๆ ไป พระคัมภีร์บอกว่าทุกคนเป็นคนบาป ไม่มีบาปน้อย บาปมาก ทุกคนเป็นคนบาปเท่ากันหมด พระเยซูตายเพื่อคนบาป ตายเพื่อเรา ฉันใดฉันนั้น การกระทำสิ่งใดๆ ก็ไม่สามารถให้เราขาดจากการเป็นลูกของพระเจ้า แม้แต่นิดเดียว มันจึงไม่มีการกลับไปกลับมา ถ้าเกิดใหม่ ท่านก็เกิดใหม่ ไม่เกิดใหม่ ก็คือไม่เกิดใหม่ พระเจ้าเองได้ตรัสเสมอว่า …

“พระคุณ ความรักของพระองค์ใหญ่หลวง และไม่มีวันสิ้นสุด อยู่นิรันดร์เลย” เอเมน ฮาเลลูยา

พูดทั้งเล่มเลย ตั้งแต่พระคัมภีร์เก่า บอกล่วงหน้า พระคุณความรักของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์ ที่เป็นคนบาปนั้น อยู่นิรันดร์กาล ไม่มีวันสิ้นสุด เมื่อพระคุณไม่มีวันสิ้นสุด การเป็นลูกของพระเจ้า ก็ไม่มีวันหมดไป ไม่ว่าคุณจะไปทำอะไรก็ตาม เพราะฉะนั้น ไม่ว่าบาปอะไร? ใหญ่ขนาดไหน? จะแดงเหมือนเลือดนกขนาดไหน ก็ตาม? ที่พูดนี้มาจากพระคัมภีร์ทั้งนั้น  พระคุณของพระเจ้า ที่สำแดงผ่านทางพระโลหิตพระเยซูคริสต์ ก็สามารถชำระล้างได้ ให้ขาวเหมือนหิมะ

นี่คือพื้นฐาน พระคัมภีร์บอกว่าบาปทั้งปวง ทั้งหมดของมนุษยชาติ อภัยให้หมดแล้วที่ไม้กางเขน ทำสำเร็จแล้ว มนุษย์เป็นอิสรภาพจากบาปแล้ว แต่ว่ามีบาปอีกชนิดหนึ่ง เป็นชนิดเดียวเท่านั้น ที่ทำให้มนุษย์ไม่สามารถได้รับการอภัย บาปที่ร้ายแรงที่สุด อันตรายที่สุด นั่นก็คือบาปแห่งการไม่เชื่อข่าวดี ปฏิเสธพระเยซูคริสต์ ความหมาย ก็คือไม่เชื่อในฤทธิ์เดชอำนาจของพระโลหิตของพระเยซูคริสต์นั่นเอง ไม่เชื่อในพระคุณของพระเจ้า นี่คือบาปอันเดียว ในพระคัมภีร์บอกว่าอันนี้ ทำให้ตาย ร้ายแรงที่สุด คือปฏิเสธพระเจ้า ไม่ยอมรับพระเยซู

ผมยกตัวอย่างให้ท่านเห็น ฮีบรู 6:4-6  ก่อนอ่านเรื่องนี้ เล่าให้ฟังถึงภูมิหลังของจดหมายที่ได้เขียนถึงชาวยิวเหล่านี้ มันเป็นลักษณะอย่างไร?  คือฮีบรู เป็นหนังสือสอนข่าวประเสริฐให้กับชาวยิว  ชาวยิวคุ้นเคยกับพระเจ้ามากเลย จดหมายนี้เขียนไปถึงชาวยิว 3 ประเภท

ประเภทที่ 1 ยิวที่เป็นคริสเตียนแล้ว เป็นคนที่เชื่อในข่าวประเสริฐ ถึงขั้นตอนที่ 3 แล้ว ได้บังเกิดใหม่แล้ว เป็นลูกพระเจ้าแล้ว คำว่าเป็นคริสเตียน ผมหมายถึงเป็นจริงๆ เชื่อ บังเกิดใหม่แล้วจริงๆ เป็นลูกพระเจ้าตลอดไปเลย

ประเภทที่ 2 ยิวที่กำลังเริ่มต้นรับรู้ความจริงเรื่องพระเยซู กำลังเสาะแสวงหาพระเยซู กำลังเรียนรู้พระเยซู ยอมรับในข่าวดีของพระเยซู แต่มันยังไม่ดิ่งลงไปในวิญญาณ ยังไม่ถึงเวลานั้น กำลังดูๆ อยู่ เอาอย่างไรดี ถูกเขาว่ามาอย่างนี้ ต้องอย่างนั้น ต้องกลับไปทำพิธีถวายสัตว์ ถ้าไม่ทำ พ่อแม่ก็ไม่ยอม ไม่ถวาย เอาเลือดไปที่วิหาร ฟาริสีที่รู้จักกัน ปุโรหิตที่รู้จักกัน ก็มาดุว่าหลุดจากพันธสัญญาเก่าไปแล้ว ไม่รู้จะทำอย่างไรดี ก็กลัวๆ กล้าๆ แต่ขณะเดียวกัน ข่าวประเสริฐก็ถูกดี เพื่อนเรายังเชื่อเลย  แล้วเราเห็นพระเยซูเดินต่อหน้า พระเยซูเป็นพระเจ้าจริงๆ เราเห็นพระเยซูทำอัศจรรย์ เรียกคนตายให้ฟื้น พระเยซูเป็นพระเจ้าจริงๆ แล้วที่ทำในอดีตเล็งถึงพระองค์ น่าเชื่อถือ กลับมาถึงบ้านปุ๊บ มาเจอพ่อแม่หัวเก่า บอกว่า …

“ทำอย่างนี้เธอตกนรกแน่ เธอต้องไปขอขมาต่อพระเจ้า ทำไม่ได้”

มันยุ่งไปหมดเลย ก็เลยกล้ำๆ กลึ่งๆ จะไปทางไหนดี ไปนั้นดี ไปนี้ดี ก็เลยยังไม่ดิ่งลงไป แต่ขณะเดียวกัน ก็ยังไม่ทิ้งวันสะบาโต บางคนก็ไม่ต้องแอบ บางคนต้องแอบมานะ เดี๋ยวญาติพี่น้อง ฟาริสีที่รู้จักกัน หรือคนที่ต่อต้านพระเยซู เขาจะข่มเหง เขาจะว่ากล่าว ดุอะไรต่างๆ ก็ว่าไป ต้องแอบเข้ามาสู่ที่ชุมนุม … “ที่ชุมนุม” คืออะไร? มันไม่ใช่โบสถ์นะ มันคือที่ประชุมของคนที่เชื่อในข่าวดีนี้ และจะมีคนที่เชื่อในข่าวดีนี้  มาสอน แบบในหนังสือฮีบรู คล้ายๆ กับมีเปาโลมาสอนให้ฟัง เรื่องเกี่ยวกับข่าวดีนี้ว่าพระเยซู คือใคร? พระองค์ทำสำเร็จแล้วที่ไม้กางเขนอย่างไร? โมเสสเล็งให้เห็นถึงพระเยซูทั้งสิ้น การกระทำในอดีต ในบัญญัติต่างๆ ที่พระเจ้าสั่งไว้นั้น  ทำให้เล็งเห็นถึงว่าพระเยซูจะเกิดเป็นมนุษย์ และตายที่ไม้กางเขน  และทำให้สำเร็จ เมื่อพระเยซูทำสำเร็จแล้ว เราก็ไม่กลับไปทำอย่างนั้น อีกต่อไป พวกนี้ก็ต้องแอบไปฟัง เรื่องข่าวประเสริฐของพระเจ้า

พอฟังเสร็จ ก็ต้องกลับมาอยู่ท่ามกลางบรรดายิวทั้งหลาย ที่ยังปฏิเสธพระเยซูอยู่ ท่านพอเห็นไหม? หลายคนก็ยังไม่ตัดสินใจแน่นอน ยังรอวันที่เมล็ดพันธุ์ข่าวประเสริฐ จะเป็นผลขึ้นมา คือบังเกิดใหม่ในวิญญาณ ก็เป็นพวกที่สอง

ประเภทที่ 3 คือพวกที่เป็นยิว และยังปฏิเสธพระเยซู เป็นยิวกลุ่มเดียวกับที่ใส่ร้ายพระเยซู ให้จับพระเยซูไปตรึงที่ไม้กางเขน เพราะหาว่าพระเยซูหมิ่นประมาทพระเจ้า หาว่าพระเยซู อ้างตัวเองว่าเป็นลูกพระเจ้า ปฏิเสธเด็ดขาด 100% ไม่สนใจข่าวประเสริฐด้วย

เพราะฉะนั้น จดหมายนี้เขียนไปถึง 3 พวกนี้ ที่เป็นยิวทั้งหมด ใต้พื้นฐานเดียวกัน ทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้ศาสนายิวเก่าทั้งสิ้น พอเห็นภาพแล้วใช่ไหมครับ? ดูสิว่าในนี้ คนที่เขียนไป เขาเตือนไว้ว่าอย่างไร? ฮีบรู 6:4-6 …

ฮีบรู 6:4-6 “4 สำหรับผู้ที่เคยเห็นแจ่มแจ้งมาแล้ว  ผู้ที่เคยลิ้มรสของประทานจากสวรรค์  ผู้ที่เคยมีส่วนร่วมในพระวิญญาณบริสุทธิ์ 5 ผู้ที่เคยลิ้มรสความเยี่ยมยอดของพระวจนะของพระเจ้า และอานุภาพของยุคหน้า 6 หากยังเตลิดไป  ก็สุดวิสัยที่จะนำเขามาสู่การกลับใจได้อีก เพราะการหลงไปของเขา ได้ตรึงพระบุตรของพระเจ้าบนไม้กางเขนซ้ำอีกครั้ง และทำให้พระองค์อับอายต่อหน้าธารกำนัล”

 

อันนี้เขียนไปถึงพวกที่ 2 พวกที่เริ่มต้นด้วยความเชื่อ ยอมรับข่าวประเสริฐ แต่ยังไม่ตัดสินใจจริงๆ ยังไม่ดิ่งลงไปในวิญญาณ จนบังเกิดใหม่ บางคนในนี้อาจจะเห็นพระเยซูเดิน และเดินกับพระเยซู วันที่พระเยซูทำการอัศจรรย์ จริงๆ เลย เห็นกับตา เห็นเปโตรเรียกคนง่อยลุกขึ้นยืน ที่หน้าวิหาร เห็นพระวิญญาณลงมาในวันเพ็นเตคอส สาวกพูดภาษาต่างประเทศได้ โดยที่ไม่ได้เรียนมา พูดภาษาตุรกี ภาษาฮีบรู ทั้งที่ไม่ใช่คนฮีบรู พูดภาษากรีก ทั้งๆ ที่ไม่ใช่คนกรีก พูดคล่องเลย อัศจรรย์ทั้งนั้น คนเหล่านี้เห็นหมด ผู้ที่เคยลิ้มรสเยี่ยมยอดของพระวจนะของพระเจ้า  และอนุภาพของยุคหน้า คือรู้เรื่องต่างๆ ที่พระเยซูอาจจะเป็นผู้พูดเองเลยก็ตาม ผมจะพูดให้ท่านฟังว่ายังอยู่ในสมัยของบางคนที่อายุยืน ยังอยู่ตรงนั้น เขาอาจจะได้ยิน หรือได้ยินจากอัครสาวกรุ่นแรกๆ หรือเขาอาจจะได้เห็นก็ตาม แต่เนื่องจาก อย่างที่บอก กลับมาที่บ้าน กลับมาที่สังคมเดิม หลายสิ่งหลายอย่างมันสู้กันจนกระทั่งเขาตัดสินใจยังไม่ถูก ไม่ใช่ไม่เอา แต่ยังไม่แน่ใจว่าจะทำอย่างไรดี? ในนี้เตือน หากยังเตลิดไป ทำในสิ่งที่พระเยซูบอกเป็นอิสระแล้ว ก็เท่ากับไม่เชื่อพระเยซู กลับไปที่บ้าน ที่บ้านบอกว่าถึงเวลาแล้ว ที่เราจะต้องนำสัตว์ ไปให้ปุโรหิต และฆ่าถวายพระเจ้า เพื่อลบล้างบาปให้กับตัวเอง ที่ทำประจำมา แต่ก่อนนี้ตั้งนานแล้ว หลายปีแล้ว ปีนี้ก็ต้องทำนะ ในใจก็บอก …

“เอ๊! เราก็ได้ยินว่าพระเยซูชำระเราพ้นบาปให้เรียบร้อยแล้ว ตายที่ไม้กางเขนแล้ว” เข้าใจใช่ไหม? แต่ในความคิด เขาบอกว่า …

“มันจะจริงเหรอ!”

สรุปแล้ว ก็คืออาจจะไม่จริงก็ได้  เราต้องช่วยเหลือตัวเราเองสิ ก็คนข้างๆ พ่อแม่เราเอ่ย หรือปุโรหิต ก็บอกเราว่าเราต้องช่วยเหลือตัวเราเอง เราต้องเชื่อและรักษาบัญญัติไว้อย่างเคร่งครัด ก็เลยทำ ทำด้วยจิตใต้สำนึกที่ต้องการ เพื่อชำระบาปตัวเอง

ฟังให้ดีๆ ทำเพื่อต้องการชำระบาปของตนเอง ให้มันหมด ทั้งๆ ที่ข่าวประเสริฐบอกว่าพระเยซูชำระให้หมดแล้ว เหมือนเอาพระเยซูไปตรึงอีกครั้งหนึ่ง ทำให้พระเยซูได้รับความอับอาย เมื่อพระเยซูบอกว่าเราได้ไถ่บาปเจ้าหมดแล้ว เรากำลังบอกว่าไม่จริงหรอก ยังไม่หมดหรอก เพราะฉะนั้น เราต้องไปทำเอง เขาเรียกตบหน้าพระเยซูอย่างแรง คือพระเยซูพูดโกหก ไม่ได้เป็นพวกพระเยซู เป็นศัตรูต่อพระเยซู เป็นศัตรูต่อข่าวประเสริฐ

ผมยกตัวอย่างให้ท่านฟัง ท่านจะเห็นชัดเองว่าสิ่งเหล่านี้ มันจึงเกิดขึ้นได้จากคนที่มารับข่าวประเสริฐแล้ว ยังไม่แน่ใจว่าจะไปทางไหนดี อาจจะถูกทางโลกผลักดัน จนกระทั่งในที่สุดทิ้งข่าวประเสริฐ เตลิดไป ก็จะไม่มีอะไรช่วยเขาได้แล้ว เป็นบาปที่ร้ายแรงที่สุด คุณปฏิเสธพระเยซู ปฏิเสธพระคุณ ก็จะไม่มีใครมาช่วยแล้ว

มันเหมือนกับเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นกับโฮลี่ เมื่อหลายปีก่อน คนที่อยู่ที่นี่หลายคน ก็เป็นคนที่รักษาเมล็ดพันธุ์นี้ไว้ จนกระทั่งเกิดผล เป็นลูกพระเจ้า จนมาถึงทุกวันนี้ แต่ละคนที่เห็นอัศจรรย์พระเจ้า เห็นการวางมืออธิษฐาน การหายป่วยอย่างอัศจรรย์ ได้รับอัศจรรย์อย่างเยอะแยะ แล้วก็เตลิดไปในที่สุด ไปเจอสังคมทางโลก ข้อบังคับทางโลก ในที่สุดทิ้งพระเยซูไป ก็เยอะ ทั้งที่รับข่าว และก็เห็นกับตาว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทำอะไร? เมื่อหลายปี หลายคนที่นี่ ก็ได้รับอัศจรรย์อย่างนั้น และยังอยู่จนเกิดใหม่ หลายคนที่ได้รับแล้ว ไปเลย ก็มี หลายคนมาไม่รับ แล้วก็ไปเลย ก็มี คน 3 ประเภทเหมือนกันเลย

พระคัมภีร์จึงคอยย้ำเตือนให้เรามั่นคง ยืนอยู่ข้างพระเยซู ไม่เป็นศัตรูกับพระองค์ ถึงแม้ว่าความรู้สึก หรือตามที่ตามองเห็น จะไม่สามารถเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาของเรา แต่ก็จำเป็นที่ต้องยืนหยัดอยู่ในความเชื่อ อยู่ในข่าวดีที่พระเยซูได้ตรัส สำเร็จแล้วให้ได้ ตามที่พระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้ เราเชื่อตามนั้น  ไม่ว่าคิดออกหรือไม่ออก ไม่ว่าจะเห็นเป็นอย่างไรก็ตาม ไม่ว่ามันจะแย้งกับสถานการณ์อย่างไร?  หรือไม่ว่าคนจะพูดอย่างไรใส่หู ก็ตาม ที่มันแย้ง เราต้องยืนหยัดในความจริง ในถ้อยคำพระเจ้าทั้งนั้น

อยากจะฝากข่าวสารนี้ไปถึง 3 ประเภทนี้ ก็คือ …

สำหรับพวกที่หนึ่ง ผู้ที่ปฎิเสธ ไม่ยอมรับข่าวเลย ซึ่งในพระคัมภีร์บอกอยู่ในการถูกลงโทษอยู่แล้ว ไม่ยอมรับข่าวดี ไม่ฟังเลย  ก็อยากขอร้องให้ท่านกลับไปคิดให้ดีๆ ให้เวลากับเรื่องนี้สักหน่อย อย่าเพิ่งทิ้งไป

สำหรับพวกที่สอง ที่ยังไม่ได้เป็นลูกพระเจ้า แต่เริ่มต้นเชื่อ เริ่มต้นยอมรับ อยู่ในระหว่างการรับรู้เรื่องข่าวดีของพระเยซูอย่างต่อเนื่อง ก็อยากจะบอกท่านว่าอย่าทิ้งความเชื่อในข่าวดีนี้ ที่ท่านได้รับมา อาจจะหลายวันก่อน หลายเดือนก่อน หลายปีก่อนก็ตาม มันได้เริ่มต้นไปแล้ว อย่าทิ้ง รักษาไว้ จนมันดิ่งลงไปในใจของท่าน ให้มันเกิดใหม่ จนเกิดเป็นการพูดด้วยปาก เชื่อด้วยใจ นำไปสู่ความรอด บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า และท่านได้พักหายเหนื่อยและเป็นสุข ท่านจะได้เข้าใจหลายสิ่งหลายอย่าง ที่ทุกวันนี้ ท่านอาจจะไม่ค่อยเข้าใจ

และในที่สุด สำหรับผู้ที่เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว รู้แล้วว่าท่านเป็นลูกของพระเจ้า ท่านไม่ไปไหนแล้ว ท่านก็อยู่ที่นี่ตลอดไป  แต่เนื่องจากเรายังดำเนินชีวิตอยู่ในร่างกายที่เป็นเนื้อหนัง มีเชื้อบาปอยู่ ก็อยากเตือนให้ท่านดำเนินชีวิต ด้วยความรัก ที่อยู่ในตัวเราที่เชื่อ เป็นลูกพระเจ้าแล้ว ด้วยอิสรภาพและเสรีภาพจริงๆ ในวิญญาณ อย่าตกเป็นทาสอะไรอีกต่อไป ช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน มีสันติสุข มีความสงบสุข รอคอยวันข้างหน้า ด้วยความหวังเต็มล้น ที่จะได้อยู่กับพระเจ้าตลอดนิรันดร์ในสวรรค์สถาน คนที่เป็นลูกพระเจ้า จะเป็นอย่างนี้ แล้วก็ทำความดีให้ที่สุด เท่าที่สามารถจะทำได้ ภายใต้พระคุณ และการถ่อมใจ … ถ่อมใจว่าที่ได้รับความรอดนี้ ไม่ใช่เพราะทำดี แต่เป็นเพราะพระคุณ ยิ่งทำดีมากเท่าไร? ต้องยิ่งถ่อมใจ เพราะทำดีไปเรื่อยๆ กลายเป็นหยิ่งยโส นึกว่ารอด เพราะว่าฉันเป็นคนดี อันนี้เสร็จอีกแล้ว กลับไป มันไม่ได้กลับไปที่เดิมนะ แต่มันทำให้เกิดความเสื่อมเสีย ไม่ได้พระพรเต็มที่ โดยเฉพาะคนที่กำลังศึกษา ยังไม่ได้เกิดเป็นลูกพระเจ้า ก็อาจกลายเป็นหลุดไปเลย ไปสู่ความเชื่ออีกแบบหนึ่ง

ทั้งหมดนี้ ให้เชื่อและมั่นใจในฤทธิ์อำนาจของพระโลหิตพระเยซูคริสต์ ในข่าวดีของพระเจ้าเท่านั้น ไม่พึ่งพาในการกระทำดีของเราเอง เราทำดี เพราะเราเป็นลูกแล้ว ไม่ใช่ทำดี เพราะเราอยากเป็นลูก เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

***********************