คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 7 มีนาคม 2021 เรื่อง “อย่ากลัวเลย” ตอน 47 โดย วราพร คงล้วน

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  7  มีนาคม  2021

 เรื่อง “อย่ากลัวเลย”  ตอน 47

โดย วราพร  คงล้วน

 

วันนี้เรามาต่อในหนังสือลูกา   ที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้ สำหรับผู้คนของพระองค์ ตั้งแต่เริ่มต้น มนุษย์ล้มลงในความบาป พระเจ้าก็เตรียมแผนการ การช่วยกู้ การช่วยให้รอด ให้กับมนุษยชาติ แผนการนี้ถูกเตรียมไว้เป็นเวลายาวนานมาก หลายพันปี แล้วพระเจ้าทรงเป็นผู้เดินเรื่องทั้งหมด ที่ เริ่มต้นจากทูตสวรรค์ไปพบกับเศคาริยาห์ ซึ่งเป็นปุโรหิต ในสมัยนั้น ก่อนที่พระเยซูจะสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ไถ่บาปของพวกเราทั้งหลาย มนุษยชาติยังต้องพึ่งพาตัวเอง ในการดำเนินชีวิตในแต่ละวัน พระเจ้าทรงเลือกชนชาติอิสราเอลมาเป็นแบบอย่าง ในเรื่องของพระคุณความรัก ที่พระเจ้าทรงโปรดประทานให้

ฉะนั้น พระเจ้าก็ทำงานผ่านผู้เผยพระวจนะ บอกคนอิสราเอลว่าในแต่ละปีคนอิสราเอลจำเป็นต้องนำเอาแพะ เอาแกะมาถวาย เป็นเครื่องบูชา เพื่อลบบาปปีต่อปี หมายความว่าบาปของมนุษยชาติ เราไม่สามารถลบล้างด้วยความดีของเรา แล้วพระเจ้าก็ทรงเลือกเผ่าหนึ่งของอิสราเอล มาเป็นผู้รับใช้ของพระองค์ ก็คือเผ่าเลวี เป็นปุโรหิต มหาปุโรหิตที่จะเข้าไปถวายเครื่องบูชาแด่พระเจ้า

ฉะนั้น มหาปุโรหิต คือคนที่พระเจ้าเลือกไว้ใหญ่ที่สุด ปีหนึ่งสามารถเข้าไปเฝ้าพระเจ้าในอภิสุทธิสถาน แค่ครั้งเดียว แล้วปุโรหิตคนแรกที่พระเจ้าทรงแต่งตั้ง ชื่อว่าอาโรน อยู่ในตระกูลเลวี แล้วหลังจากนั้น ลูกหลานของอาโรนก็จะเป็นสายพันธุ์ ที่พระเจ้าเลือก แยกออกมา โดยเฉพาะเจาะจงที่จะปรนิบัติรับใช้ในพระวิหารของพระเจ้า

และการที่จะได้เข้าไปในอภิสุทธิสถาน เป็นขบวนการที่ยุ่งยากมาก ปีหนึ่งเข้าได้ครั้งเดียว  แล้วเข้าไป ต้องรีบๆ ถวายเครื่องบูชาให้เสร็จ แล้วมหาปุโรหิตที่ได้เข้าไป  เริ่มต้นจากการต้องชำระตัวเองให้บริสุทธิ์ ต้องสารภาพบาป ก่อนที่จะเข้าไปถวายเครื่องบูชา ดังนั้น คนที่ลืมสารภาพบาปเข้าไป มีความบาปติดตัวนิดหนึ่ง เข้าไปปุ๊บ ตายทันที  ความบาปไม่สามารถอยู่ร่วมกับความบริสุทธิ์ของพระเจ้าได้  ก็คือโดยปริยาย พระเจ้าไม่ต้องทำอะไรเลย  ดังนั้น ปุโรหิตที่ไม่เตรียมพร้อม ไม่ชำระตัวเองให้บริสุทธิ์เข้าไป ก็ตายลูกเดียว

อิสราเอลมีความเกรงกลัวพระเจ้ามาก อย่างที่บอกในยุคพระคัมภีร์เดิม  เราเรียกว่ายุคพระเดช คือใครทำอะไรผิดปุ๊บ ตายอย่างเดียว พอมาถึงยุคของพระเยซูคริสต์ เขาเรียกว่ายุคพระคุณ  คือพระเยซูคริสต์ได้มาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว ได้มาสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เพื่อมนุษยชาติแล้ว และได้เป็นขึ้นมาจากความตาย เพื่อมนุษยชาติเช่นเดียวกัน

อันนี้แหละ คือข่าวประเสริฐที่พวกเราผู้เชื่อ ในฐานะที่เราเป็นคริสเตียน  เราก็ประกาศอยู่อย่างนี้แหละ เรื่องนี้ถูกประกาศมาตั้งแต่ 2,000 ปีที่แล้ว ตั้งแต่วันที่พระเยซูคริสต์ทำภารกิจของพระองค์สำเร็จ จนถึงยุคปัจจุบัน ก็ยังคงเป็นเรื่องเดิม เรื่องเดียวกัน ที่เราจะประกาศไป  ดังนั้น ข่าวประเสริฐของพระเจ้า มีแค่ 5 ประโยค คือพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ มาตายแทนเราที่ไม้กางเขน เป็นขึ้นมาจากความตาย และนั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า ณ เวลานี้

ดังนั้น ใครก็ตามที่เชื่อในสิ่งที่พระเยซูกระทำ เพื่อเขาบนไม้กางเขน ก็ได้รับการเปลี่ยนวิญญาณ จากวิญญาณที่เคยบาป เป็นวิญญาณบาป  เป็นวิญญาณที่รอวันตาย ที่นรกนิรันดร์กาล เปลี่ยนมาเป็นวิญญาณที่สะอาด บริสุทธิ์ ผ่านทางความเชื่อ ในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำเพื่อเราบนไม้กางเขน วิญญาณของพวกเรา ผู้เชื่อ ณ เวลานี้ สะอาดบริสุทธิ์หมดจด เป็นผู้ชอบธรรม แล้วพระคัมภีร์ก็ได้บอกเราว่าเราได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า ที่เดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ในโลกวิญญาณ ณ เวลานี้

ขณะที่เรายังต้องดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ที่พระเจ้าบอกว่างานเรายังไม่เสร็จ คือทุกคนมีงานที่พระเจ้าจะให้ทำ งานอะไรก็แล้วแต่ที่พระเจ้าเตรียมเอาไว้  งานเรายังไม่เสร็จ ลมหายใจเราก็ยังมีอยู่ เราก็ไม่จากไปไหน พระเจ้าก็บอกทำงานก่อน แต่เมื่อไรก็ตามที่งานเราเสร็จ  พระเจ้าก็เอาลมหายใจออกจากร่าง ก็คือวิญญาณเราได้ไปอยู่กับพระเจ้า ครบถ้วนสมบูรณ์  นี่คือสิ่งที่คริสเตียนทุกคนในโลกใบนี้ ตั้งเป้ารอคอย

พวกเราเช่นเดียวกัน เราก็รอคอยวันนั้นแหละ วันที่เราเสร็จงาน พี่น้องนึกภาพนะ เวลาเราทำงาน เหนื่อยไหม? เหนื่อย กิจวัตรประจำวันทุกวัน ตื่นมา ก็ต้องอาบน้ำ แปรงฟัน แต่งตัว เดินทางออกจากบ้าน  บางวันรถติด กว่าจะไปถึงที่ทำงาน  3 ชั่วโมง 4 ชั่วโมง เหนื่อยมาก ทำงานเสร็จ กลับบ้านตอนเย็น เจอช่วงเวลารถติดอีก กว่าจะไปถึงบ้าน มืด ค่ำ ดึกดื่น เราต้องทำอย่างนี้ทุกวัน บางคนขอบคุณพระเจ้า ทำอาทิตย์ละแค่ 5 วัน  ได้หยุดพัก 2 วัน บางคนอาทิตย์ 6 วัน บางคนอาทิตย์ 7 วัน อันนั้นเยอะไป ถ้าใครทำงานอาทิตย์ละ 7 วัน ก็ช่วยๆ หยุดสักวันหนึ่ง ให้ร่างกายเราได้พักผ่อน

ฉะนั้น เป็นการยากลำบากบนโลกใบนี้มากๆ ที่เราจะต้องดำเนินชีวิต  แต่พระเยซูคริสต์ยังคงตรัสกับเราว่าในโลกนี้ เราจะประสบกับความทุกข์ยาก แต่ให้เราชื่นใจเถิด เราชนะโลกนี้แล้ว ไม่ว่าความทุกข์ยาก ปัญหาอุปสรรค ไม่มีสิทธิ์ที่จะอยู่เหนือพวกเราทุกคน เราสามารถลอยตัว เพราะเรารู้ว่าต่อให้ทุกข์ยากขนาดไหน?  มีเวลาจบ เหมือนเราทำงาน เหนื่อยขนาดไหน? เรารู้แล้ว  เดี๋ยว 5 โมงเย็น จบงาน เราได้กลับบ้านแล้ว  เราได้พักผ่อนแล้ว พรุ่งนี้ก็ว่ากันใหม่  เป็นลักษณะแบบนั้นจริงๆ

แต่ในโลกวิญญาณที่เราดำเนินกับพระเจ้า  เรารู้ว่าวันจบสุดท้ายของเรา คืองานการที่พระเจ้ามอบหมายบนโลกใบนี้จบ  แล้วเราก็ได้พักจริงๆ พักผ่อนถาวรนิรันดร์กาล ที่สวรรค์กับพระเจ้า เรายังอดอิจฉาพี่น้องที่ไปก่อนไม่ได้ คือเขาจากไป  ในด้านของมนุษย์ ดูเหมือนเราโศกเศร้า  เราเสียใจ บางคนจากไป ตั้งแต่อายุยังน้อย เรารู้สึกยังเด็กอยู่เลย ทำไมพระเจ้าถึงพาเขากลับบ้าน เราก็รู้สึกเสียใจ  แต่ว่าความเสียใจของมนุษย์ เราก็แค่เสียใจว่าจากนี้ เราไม่สามารถเจอหน้าเขาบนโลกใบนี้ แต่เรามีความหวังใจในฐานะที่เป็นคริสเตียนว่าหลังจากโลกนี้ไป เราได้ไปเจอคนที่เรารัก ที่สวรรค์สถานนิรันดร์กาล แต่ว่าต้องตามเงื่อนไขที่พระเจ้าบอกไว้ คือสำหรับผู้เชื่อเท่านั้น ผู้ที่เชื่อวางใจในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ เพื่อเรา บนไม้กางเขนเท่านั้น  ถึงมีสิทธิ์ไปอยู่ในที่ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้

สำหรับคนที่พยายามพึ่งพาตนเอง ไม่เป็นไรหรอก ไม่ต้องพึ่งพระเจ้า  เรามีความสามารถพอ เราเก่งกาจพอ เราสามารถที่จะสั่งสมบารมีของเราเอง อันตราย เพราะว่าถึงจุดจบของชีวิต ก็ไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถที่จะไปถึงมาตรฐานของพระเจ้าได้ จุดจบ ก็คือไปอยู่นรกนิรันดร์กาล

นี่คือเหตุผลหนึ่งที่พระเจ้าบอกให้เราไปประกาศข่าวประเสริฐ ให้เราประกาศข่าวดี  เป็นข่าวดีจริงๆ ตรงที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย  พระเจ้าทำให้เราเสร็จหมดทุกอย่าง แค่เราเดินมารับของขวัญเท่านั้นเอง เหมือนเรามางานฉลองวันคริสตมาส  เราก็เตรียมตัวเตรียมใจเลย เพื่อที่จะรับของขวัญ ก็มีการให้ของขวัญแก่กันและกัน  ฉะนั้น การได้รับของขวัญ ก็เป็นสิ่งที่ทำให้เราชื่นชมยินดี   แต่ว่าของขวัญบนโลกใบนี้ ไม่มีของขวัญชิ้นไหนที่มีค่ามาก เท่ากับของขวัญชิ้นพิเศษที่พระเจ้าประทานให้ คือพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า  ที่ได้ประทานให้กับพวกเรา

วันนี้เรามาต่อในลูกา 1:39-45 “39 คราวนั้นมารีย์ จึงรีบออกไปถึงเมืองหนึ่ง ในแถบภูเขาแห่งยูเดีย 40 แล้วเข้าไปในเรือนของเศคาริยาห์ ทักทายปราศรัยนางเอลีซาเบธ 41 เมื่อนางเอลีซาเบธได้ยินคำปราศรัยของมารีย์ ทารกในครรภ์ของเขาก็ดิ้น และนางเอลีซาเบธก็เต็มไปด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ 42 จึงร้องเสียงดังว่า “ในบรรดาสตรีท่านได้รับพระพรมาก  และทารกในครรภ์ของท่านก็ได้รับพระพรด้วย 43 เป็นไฉน ข้าพเจ้าจึงได้ความโปรดปรานเช่นนี้ คือมารดาขององค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า ได้มาหาข้าพเจ้า 44 เพราะดูเถิดพอเสียงปราศรัยของท่านเข้าหูข้าพเจ้า ทารกในครรภ์ของข้าพเจ้า ก็ดิ้นด้วยความยินดี 45 สตรีที่ได้เชื่อก็เป็นสุข เพราะว่าจะสำเร็จตามพระดำรัสจากพระเป็นเจ้า ที่มาถึงเขา”

 

เหตุการณ์ตรงนี้ เกิดขึ้นหลังจากที่เศคาริยาห์เข้าไปถวายเครื่องบูชาแด่พระเจ้า แล้วทูตสวรรค์ของพระเจ้า มาบอกว่านางเอลีซาเบธ ซึ่งอายุเยอะมากแล้ว จะตั้งครรภ์ และคลอดบุตรคนหนึ่ง แล้วทูตสวรรค์ก็บอกว่าบุตรชายคนนี้ ให้ตั้งชื่อว่ายอห์น เขาจะเป็นคนที่นำทางพระเยซู ก็คือก่อนที่พระเยซูจะประกาศภารกิจของพระองค์ในโลกใบนี้ ยอห์นจะเป็นผู้มากรุยทางก่อน

แล้วเศคาริยาห์ก็สงสัยว่าจะเป็นไปได้อย่างไร? ภรรยาก็แก่มากแล้ว ทูตสวรรค์ก็เลยบอกว่าเพราะเธอไม่เชื่อ ก็เป็นใบ้ไปเลย พูดไม่ได้ พอออกจากห้องถวายสัตวบูชา คือห้องอภิสุทธิสถาน  เศคาริยาห์ก็พูดไม่ได้  หลังจากนั้น นางเอลีซาเบธก็ตั้งครรภ์ คือนางเอลีซาเบธตั้งครรภ์ก่อนที่นางมารีย์จะได้พบกับทูตสวรรค์ 6 เดือน แต่ว่าเหตุการณ์เดียวกันได้เกิดขึ้น ตอนที่นางมารีย์อยู่คนเดียว แล้วทูตสวรรค์ก็มาหา  พูดในทำนองเดียวกันเลย

“เธอเป็นคนที่พระเจ้าโปรดปราน พระเจ้าจะให้เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์มาจุติในครรภ์ของเธอ แล้วเธอจะคลอดบุตรคนหนึ่ง แล้วตั้งชื่อบุตรคนนั้นว่าเยซู เพราะว่าบุตรคนนี้จะเป็นผู้มาปลดปล่อยชนชาติของพระองค์ให้เป็นอิสระ”

นี่คือสิ่งที่ทูตสวรรค์ได้พูดกับมารีย์

นางมารีย์ก็ … “เอ๊ะ! เป็นได้อย่างไรล่ะ ฉันยังไม่เคยไปนอนกับใครเลย จะตั้งครรภ์ได้อย่างไร?”

ทูตสวรรค์ก็บอกว่า … “ฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเข้ามาจุติในครรภ์ของเธอ แล้วเด็กคนนี้จะเรียกว่าวิสุทธิ์ ก็คือไม่มีเชื้อบาปของมนุษย์คนใดเลย”

นางมารีย์พอฟังอย่างนั้น ก็บอกว่า … “เป็นอย่างนั้นเหรอ ก็ให้เป็นไปตามที่พระเจ้าได้ตรัสไว้  พระเจ้าว่าอย่างไร? ว่าตาม”

คราวที่แล้วเราก็จบตรงนี้ว่านางมารีย์ต้องใช้ความกล้าอย่างมากมาย เพราะว่าหญิงสมัยก่อน ถ้าตั้งครรภ์ โดยไม่มีสามี ก็จะถูกหินขว้างให้ตาย แต่นางมารีย์ก็ตัดสินใจที่จะเชื่อฟังพระเจ้า ทำตามน้ำพระทัยของพระองค์

ให้พี่น้องมั่นใจเลย ถ้าพระเจ้าทรงใช้ท่าน หรือใช้ใครก็ตาม พระเจ้าจะหนุนหลังพวกเรา แม้ว่าเรื่องนั้นจะมีภัยอันตรายมากขนาดไหน? พระเจ้าก็จะปกป้องคุ้มครองเราไว้ ให้เราทำสิ่งที่พระเจ้าได้มอบหมายให้กับเราไปจนสำเร็จ แล้วนางมารีย์ก็เป็นอย่างนั้น ในหนังสือมัทธิวไม่ได้แจงรายละเอียด แต่ในหนังสือเล่มอื่นๆ ก็บอกว่าโยเซฟเป็นคู่หมั้นของมารีย์ พอได้ข่าวว่านางมารีย์ตั้งครรภ์ โยเซฟก็ได้แต่คิดว่าจะไปแอบถอนหมั้นลับๆ โดยที่ไม่ให้นางมารีย์อับอาย  ก่อนที่โยเซฟจะตัดสินใจ ทูตสวรรค์ของพระเจ้า ก็มาคุยกับโยเซฟบอกว่าให้รับนางมารีย์เป็นภรรยา เพราะว่านางมารีย์มิได้เป็นหญิงสำส่อน แต่ว่าทารกในครรภ์ของเธอ มาจากฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ แล้วเราก็ขอบคุณพระเจ้า ที่โยเซฟฟังปุ๊บ เชื่อเลย ก็ไปรับนางมารีย์มาเป็นภรรยา ในพระคัมภีร์เขียนว่าก็ไม่ได้แตะต้องตัวนางมารีย์เลย จนนางมารีย์คลอดพระเยซูคริสต์ออกมา

เหตุการณ์นี้พระเจ้าได้เขียนไว้ตั้งแต่สมัยพระคัมภีร์เดิม  แล้วก็เดินเรื่องมาตลอด แล้วโยเซฟอยู่ในตระกูลยูดาห์  เพราะว่าพระเจ้าบอกว่าพระเยซูคริสต์จะมาจากตระกูลยูดาห์ เป็นสายพันธุ์ของกษัตริย์ดาวิด แล้วก็เดินเรื่องมาเป็นเรื่องเดียวกัน

หลังจากนั้น นางมารีย์ก็ไปหานางเอลีซาเบธ เพราะเขาเป็นญาติกัน พอไปถึงนางมารีย์พูดปุ๊บ เด็กในครรภ์ ก็คือยอห์น ที่ถูกพยากรณ์เอาไว้ เต้นใหญ่เลย คือลิงโลด มารดาขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาเยี่ยมเขา คือได้สัมผัสในวิญญาณถึงเด็กในครรภ์ของนางมารีย์ ก็คือพระเยซูคริสต์ เด็กในครรภ์ตื่นเต้น นางเอลีซาเบธก็ตื้นเต้นด้วย

“เห็นไหม? พอเธอพูดปุ๊บ เด็กในครรภ์เต้นใหญ่เลย” … ก็คือมีความชื่นชมยินดี

ทำไมนางเอลีซาเบธถึงชื่นชมยินดี?  เพราะจริงๆ แล้วคนอิสราเอลรู้เรื่องนี้ดีมาก เพราะเป็นคำพยากรณ์ เป็นคำเผยพระวจนะของพระเจ้าตั้งแต่อดีต สมัยปฐมกาล เริ่มต้นที่มนุษย์ล้มลงในความบาป พระเจ้าก็บอกเรื่องนี้ไว้เรียบร้อยแล้ว ฉะนั้น คนอิสราเอลก็ตั้งตารอคอยพระผู้ช่วยให้รอด ที่จะมาปลดปล่อยเขาให้เป็นอิสรภาพ แต่ ณ เวลานั้น คนอิสราเอลยังไม่เข้าใจคำว่าอิสรภาพอย่างแท้จริง

ดังนั้น แผนการของพระเจ้าที่จะมาปลดปล่อยชนชาติอิสราเอล และปลดปล่อยมนุษยชาติทั้งหมดบนโลกใบนี้ คืออิสรภาพในทางวิญญาณ อิสรภาพจริงๆ ที่เราจะไม่ต้องกลัว ที่ต้องชดใช้บาปอีกต่อไป  เมื่อมนุษย์ล้มลงในความบาป ถูกตัดขาดจากพระเจ้า ก็คือแยกทางเลย ไม่สามารถเดินกับพระเจ้า ก่อนหน้านั้น เดินคุยกัน จับมือกัน แต่เริ่มจากมนุษย์ล้มลงในความบาป เดินเป็นเส้นขนานกับพระเจ้า  ไม่มีโอกาสที่จะบรรจบกันเลย  แล้วไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถทำได้ด้วย เพราะว่ามนุษย์มีเชื้อบาป  ไม่บริสุทธิ์พอตามกำหนดของพระเจ้า กำหนดของพระเจ้า คือดีครบถ้วน 100% เต็ม ไม่มีใครทำได้  แล้วมนุษย์ก็พยายามแสวงหา เพราะว่าวิญญาณของมนุษย์มาจากพระเจ้า

พระเจ้าได้ระบายลมปราณเข้าไปในดินก้อนที่พระเจ้าปั้น แล้วเกิดมาเป็นมนุษย์ มีวิญญาณเดียวกันกับพระเจ้า ฉะนั้น วิญญาณของมนุษย์หลังจากล้มลงในความบาป ถูกตัดขาดจากพระเจ้า แต่ความหิวกระหาย ในการอยากจะแสวงหาพระเจ้า มันมีอยู่ แต่ว่าหาเท่าไร ก็หาพระเจ้าไม่เจอ เพราะว่าความบาปกับความบริสุทธิ์อยู่ด้วยกันไม่ได้ พอหาไม่เจอ มนุษย์ก็พยายามหาอะไรมาทดแทน หรือชดเชย  มนุษย์ก็เริ่มสร้างพระ สร้างศาสนา สร้างอะไร เพื่อคิดว่าจะเป็นพระผู้นั้นแหละ ที่เขาเคยอยู่ด้วยกัน แต่ก็หาพระเจ้าไม่เจอ เพราะว่ามนุษย์ไม่สามารถหาพระเจ้าเจอด้วยกำลังของตัวเอง  ต้องพึ่งพระเจ้าเท่านั้น

ดังนั้น พระเยซูคริสต์มารับภารกิจนี้ เพื่อมนุษยชาติทั้งหมด เป็นพระสัญญาที่พระเจ้าได้สัญญากับมนุษย์คู่แรก  แล้วพระเจ้าก็รักษาพันธสัญญาของพระองค์มาตลอด แล้วทำให้เกิดเป็นจริงตามที่พระเจ้าสัญญาไว้ แล้วสิ่งที่พระเจ้าสัญญา ก็สำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว เมื่อ 2,000 กว่าปีที่แล้ว เมื่อพระเยซูคริสต์เสด็จมาบังเกิด

ดังนั้น ณ เวลานี้ นางมารีย์ก็ตั้งครรภ์แล้ว  แล้วนางเอลีซาเบธก็ชื่นชมยินดีมาก คือรอคอยมานานมากเลย พระมาซีฮา บัดนี้ได้มาแล้ว กำลังจะมาเกิดบนโลกใบนี้แล้ว

เรามาดูต่อในลูกา 1:57-61 “57 ครั้นเวลาซึ่งนางเอลีซาเบธจะคลอดบุตรครบถ้วนแล้ว นางก็คลอดบุตรเป็นชาย 58 เพื่อนบ้านและญาติพี่น้องของนางได้ยินว่าพระเจ้าได้ทรงสำแดงพระมหากรุณาแก่นาง เขาทั้งหลายก็พากันเปรมปรีดิ์ด้วย 59 ครั้นถึงวันที่แปดแล้ว เขาก็พากันมาให้ทารกนั้นเข้าสุหนัต และเขาจะให้ชื่อทารกว่าเศคาริยาห์ตามชื่อบิดา 60 ฝ่ายมารดาจึงตอบว่า “ไม่ใช่ แต่ต้องให้ชื่อว่ายอห์น” 61 เขาพากันตอบว่า “ไม่มีผู้ใดในพวกญาติของท่านที่มีชื่ออย่างนั้น”

 

ณ เวลานี้ พระเยซูยังไม่ได้ทำให้ภารกิจของพระองค์สำเร็จ คนยิวในยุคนั้น ก็ยังต้องใช้กฎเดิมอยู่

กฎเดิมที่พระเจ้าตั้งไว้ครั้งแรก ที่พระเจ้าให้ทำพิธีเข้าสุหนัต ก็คือเป็นพันธสัญญาระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์เป็นครั้งแรกด้วยเลือด พระเจ้าสั่งให้อับราฮัมทำพิธีเข้าสุหนัต คือขลิบหนังปลายองคชาติของผู้ชาย ฉะนั้น พระเจ้าให้อับราฮัมทำเป็นคนแรก และตอนที่อับราฮัมทำพิธีนี้ อับราฮัมอายุ 99 ปี ที่พระเจ้ามาบอกอับราฮัมว่าในวันนี้ ปีหน้า นางซารายจะคลอดบุตรชายคนหนึ่ง และให้ตั้งชื่อว่าอิสอัค นี่คือสิ่งที่พระเจ้าบอกไว้

แล้วพระเจ้าก็บอกกับอับราฮัมว่าให้ตั้งเป็นกฎเกณฑ์ เป็นพันธสัญญาเลือด คือต้องมีโลหิตหลั่งออก เพื่อที่จะเป็นพันธสัญญาของมนุษย์กับพระเจ้า ให้เด็กชายทุกคนของชนชาติอิสราเอล พออายุถึง 8 วัน ก็ต้องพาเข้าไปในพระวิหาร แล้วก็ทำพิธีนี้ เหมือนถวายให้พระเจ้า เหมือนปัจจุบันเราเรียกพิธีถวายบุตร ก็ไม่ใช่ 8 วันหรอก เด็กที่เอามาถวายบุตร เราก็รอให้เขาแข็งแรงหน่อย อาจจะ 2 เดือน 3 เดือน 4 เดือน คุณพ่อคุณแม่ก็พามามอบถวายให้กับพระเจ้า แต่สมัยนั้น 8 วัน ต้องพาไปที่พระวิหาร  แล้วก็ไปทำพิธีเข้าสุหนัต

พอทำพิธีนี้เสร็จ ก็เข้าสู่ขบวนการที่ต้องตั้งชื่อของเด็กคนนี้ ญาติๆ ก็บอกว่าให้ตั้งชื่อว่าเศคาริยาห์แล้วกัน จะได้เป็นเหมือนพ่อ สมัยก่อนเขาก็ตั้งชื่อตามพ่อ อะไรประมาณนั้น  เชื่อมั่นว่าตอนที่เศคาริยาห์ออกมาจากอภิสุทธิสถาน ที่พูดไม่ได้ กลับไป เขาคงคุยกับนางเอลีซาเบธด้วยการเขียนว่า …

“เขาได้เห็นหมายสำคัญ ได้เห็นทูตสวรรค์มาบอกฉันอย่างนี้ แล้วเด็กคนนี้ ถ้าคลอดออกมา ต้องตั้งชื่อเขาว่ายอห์นนะ”

ฉะนั้น พอญาติๆ มาถามว่า … “เอาอย่างนี้ดีไหม? ตั้งชื่อว่าเศคาริยาห์”

นางเอลีซาเบธบอกว่า … “ไม่ได้ๆ ต้องตั้งชื่อว่ายอห์น”

ซึ่งญาติๆ ก็งงเหมือนกันว่าในตระกูลเรา ไม่เห็นใครตั้งชื่อแบบนี้ อาจจะฉีกแนวไปจากตระกูลของเขา ที่จะตั้งชื่อ ฉะนั้น ทุกคนก็บอกไม่น่าจะเป็นไปได้ แล้วในข้อที่ 62-64 จึงว่า …

ลูกา 1:62-64 “62 แล้วเขาจึงใช้ใบ้กับบิดาถามว่าท่านอยากจะให้บุตรนั้นชื่ออะไร 63 บิดาจึงขอกระดานชนวนมา เขียนว่า “ชื่อของบุตรคือ ยอห์น” คนทั้งหลายก็ประหลาดใจนัก 64 ในทันใดนั้น ปากและลิ้นของท่านก็คืนดีอีก แล้วท่านกล่าวสรรเสริญพระเจ้า”

 

ก็คือเหตุการณ์ที่พระเจ้าได้พูดกับเศคาริยาห์ว่านางเอลีซาเบธจะตั้งครรภ์ และเมื่อคลอดบุตร บุตรคนนี้ชื่อว่ายอห์น  และบุตรคนนี้จะเป็นผู้นำทาง คือเดินนำหน้า ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาประกอบภารกิจ แล้วเศคาริยาห์ หลังจากที่พูดไม่ได้ เชื่อมั่นว่าข้างในใจรู้แล้วว่าสิ่งที่เขาพบเจอเป็นเรื่องจริง ทูตสวรรค์พูดจริงแน่นอน หลังจากที่นางเอลีซาเบธตั้งครรภ์ เขาก็ตั้งเป้าว่าลูกคนนี้ต้องชื่อยอห์น เป็นอื่นไม่ได้

พอเขาแสดงเจตจำนงว่าลูกคนนี้ต้องชื่อยอห์น ปุ๊บ ปากเขาพูดได้เลย เมื่อเศคาริยาห์พูดได้ปุ๊บ ก็สรรเสริญพระเจ้า ขอบคุณสำหรับแผนการล้ำเลิศที่พระเจ้าได้ทรงโปรดประทานให้กับครอบครัวของเขา

ลูกา 1:65-66 “65 เพื่อนบ้านของท่าน ก็บังเกิดความกลัว และเหตุการณ์ทั้งปวงนั้น ก็เลื่องลือไปทั่วแถบภูเขาแคว้นยูเดีย 66 บรรดาคนที่ได้ยินก็จดจำไว้ในใจ และว่า “แล้วทารกนั้นจะเป็นอะไรข้างหน้า ด้วยว่าพระหัตถ์ของพระเจ้าอยู่กับเขา”

 

เพราะว่าพระเจ้าเตรียมยอห์นไว้เรียบร้อยแล้ว ที่จะทำดภารกิจที่ยิ่งใหญ่ให้กับพระเจ้า แล้วยอห์นคนนี้อายุไม่ยาวนะ อายุสั้น  ก็คือมากรุยทางก่อนพระเยซูคริสต์ออกมาสำแดงตัวเอง ปกติคนยิวทุกปี ก็จะพาตัวเอง และลูกหลานไปที่พระวิหาร เพื่อถวายเครื่องบูชา  แล้วพระเยซูก็ถูกพาไปทุกปีๆ  จนพระเยซูอายุ 12 ก็พาไปเหมือนเดิม พอเสร็จภารกิจทุกคนก็เดินทางกลับบ้าน เดินไปประมาณหนึ่ง พระเยซูหายไปไหน? ทุกคนก็เลยชักแถวเดินกลับไปที่เดิม ปรากฏว่าเห็นพระเยซูนั่งถกถ้อยคำกับพวกปุโรหิต พวกธรรมาจารย์  แล้วจากนั้นพระเยซูก็ติดตามนางมารีย์และโยเซฟกลับไปบ้าน

โยเซฟเป็นช่างไม้ ในพระคัมภีร์ไม่ได้บันทึกอะไรมากมาย เชื่อมั่นว่าพระเยซูคงใช้ชีวิตปกติ ช่วยพ่อทำงาน ไสไม้ ต่อโต๊ะ อะไรก็แล้วแต่ จนอายุ 30 พระเยซูก็เริ่มต้นภารกิจของพระองค์ พระเยซูก็ออกมา ประกาศ …

“แผ่นดินสวรรค์มาใกล้แล้ว  จงกลับใจเสียใหม่”

แผ่นดินสวรรค์มาใกล้แล้ว ก็คือใกล้ถึงเวลาที่พระเจ้าจะสำเร็จภารกิจของพระองค์ คือสิ่งที่พระเยซูประกาศตอนอายุ 30 ก็คืออีก 3 ปีกว่าๆ เท่านั้น มนุษยชาติจะได้รับความรอด ผ่านทางสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำเพื่อเขาบนไม้กางเขน มนุษยชาติจะไม่ต้องใช้บาปของตัวเองอีกต่อไป มนุษยชาติจะไม่ต้องไปถวายเครื่องบูชาของตัวเองปีต่อปีอีกต่อไป และมนุษยชาติก็สามารถที่จะคืนดีกับพระเจ้าด้วย นี่คือภารกิจที่พระเจ้า พระเยซูคริสต์มาทำ เพื่อพวกเราทุกๆ คน

ใครก็ตามที่เชื่อในสิ่งนี้ ก็ได้รับทั้งหมดที่พระเยซูคริสต์ได้บอกไว้ เราสามารถคืนดีกับพระเจ้าได้ เราไม่เหมือนคนสมัยเดิม ที่คนยิวต้องพึ่งปุโรหิต สารภาพบาป ก็ต้องไปคิดๆ บาปของตัวเอง ทำไว้เท่าไร? เยอะแค่ไหน? แล้วก็ไปสารภาพกับปุโรหิต แล้วปุโรหิตก็ต้องจำๆ ด้วยนะ  แล้วก็เอาไปสารภาพกับพระเจ้า  งงเหมือนกันว่าเขาทำกันได้อย่างไร?  คนยุคนั้น เขาทำอย่างนั้นจริงๆ  แต่ว่าพอถึงยุคนี้ การสารภาพบาปของพวกเราทุกคน มีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ที่เราต้องกลับใจใหม่ สารภาพบาปกับพระเจ้าว่าเราเป็นคนบาป เราช่วยเหลือตัวเองไม่ได้  เราต้องการการช่วยเหลือจากพระเจ้า เราขอรับเอาสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ เพื่อเราที่ไม้กางเขนเข้ามาเป็นของเรา  ยอมรับการช่วยเหลือจากพระเจ้า นั่นคือการสารภาพบาปครั้งแรก ครั้งเดียว จบ คริสเตียนทำแค่นั้น

มาคุยเรื่องนี้ มีพี่น้องหลายๆ คนก็สงสัยตรงนี้ …

“อ้าว! ในพระคัมภีร์บอกว่าถ้าเราทำบาป ให้เรามาสารภาพกับพระเจ้า พระเจ้าจะได้ยกโทษบาปให้กับเรา”

แล้วในตอนนี้ในถ้อยคำ เรารับรู้ว่าสารภาพแค่ครั้งเดียวพอ ก็คือกลับใจใหม่แค่ครั้งเดียว สารภาพบาปทั้งหมด พระเยซูบอกว่า …

“บาปของเจ้าถูกยกแล้ว เราไม่เอาผิดเจ้า”

หมายความว่าพระเยซูชดใช้บาปให้กับพวกเราเรียบร้อยแล้ว แปลว่าพวกเราที่เป็น คริสเตียน เป็นผู้เชื่อ ณ เวลานี้  เราไม่มีบาปเลย เราเป็นผู้ชอบธรรมจริงหรือไม่?  จริงตามถ้อยคำพระเจ้า ตอนนี้เราเป็นผู้ชอบธรรม พระเจ้าบอกเราอย่างนั้น ถ้อยคำบอกเราอย่างนั้น เราไม่มีบาปเลยในโลกวิญญาณ เราไม่มีความจำเป็นที่ต้องสารภาพบาปซ้ำแล้วซ้ำเล่าอีกต่อไป นี่คือความจริง

ในพระธรรมฮีบรูบอกว่าพระเยซูคริสต์ทำให้เราครั้งเดียวพอ ก็คือสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนครั้งเดียว เป็นขึ้นมาจากความตาย จบ  ก็คืองานทุกอย่างที่พระเจ้าทำให้กับเรา มันจบเรียบร้อย สมบูรณ์ ครบถ้วน เรารับมา ก็คือสมบูรณ์ครบถ้วน เราไม่ใช่คนบาปอีกต่อไป ณ เวลานี้ ธรรมชาติของเรา คือผู้ชอบธรรม ในวิญญาณนะ

แต่ว่าในขณะที่เรายังอยู่บนโลกใบนี้ เรายังมีร่างกายนี้ ที่เป็นเนื้อหนังอยู่ เราอาจจะถูกล่อลวงด้วยตัวเราเอง หรือด้วยผีมารซาตาน หรือด้วยอะไรก็ตามที่ทำให้เราหลงไปทำบาปบ้าง ไม่ทำบ้าง ทำดีบ้าง อะไรก็แล้วแต่ แล้วในพระคัมภีร์บอกว่ามันจะมีผล ถ้าเราทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง หลังจากที่เรารับเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว วิญญาณเราสะอาดหมดจด ชอบธรรม ไม่มีบาปอีกต่อไป ต่อให้เราตายตอนไหน? เราก็เป็นผู้ชอบธรรม ได้ไปนั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า คือที่เดิม  ที่ปัจจุบันเราเป็นอยู่

ไม่ต้องกลัวว่าวันนี้เราทำบาป ตกลงเราจะตกนรกไหม? ไม่มีนะ เพราะพระคัมภีร์เขียนไว้อย่างนั้นว่าทันทีที่เราเชื่อ พระเจ้าได้เอาวิญญาณของเราบัพติสมาเข้าไป เป็นเนื้อเดียวกันกับพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระเยซูคริสต์ พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ รวมทั้งวิญญาณของเรา 4 วิญญาณหลอมกันเป็นหนึ่งเดียวกัน ฉะนั้น จะไม่มีบาปอีกต่อไปในวิญญาณของเรา

แต่ถ้าเราทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องบนโลกใบนี้ เราก็จะรับผล ไม่ได้หมายความว่าพอเราไม่มีบาปในวิญญาณแล้ว เราทำอะไรก็ได้  เราทำบาป ก็ได้ เราไปโกงเขาก็ได้ พระเจ้าจะไม่ทำอะไรเลย ก็ไม่จริงนะ ก็คือเรายังต้องรับผลในโลกใบนี้อยู่ แต่แค่ผลในโลกใบนี้เท่านั้น ถ้าเราฆ่าคนตาย ก็ถูกจับติดคุก ถ้าเป็นโทษหนักๆ ก็ถูกนั่งเก้าอี้ไฟฟ้า ประหารชีวิต ร่างกายตายเท่านั้น แต่วิญญาณท่านยังรอด แยกให้ชัดเจนนะ

ถ้าพี่น้องแยกได้ชัดเจน เชื่อว่าพอเรามาเชื่อพระเจ้าปุ๊บ ไม่มีใครหรอกไปทำแบบนั้น ต่อให้หลุดไป แบบไม่ไหว ไปเชื่อสิ่งที่อยู่รอบข้าง ชักจูงเราไป ให้ทำผิด เราคงไม่ทำผิดหนักถึงขนาดที่ว่าไปฆ่าใครตาย

ตอนที่เชื่อพระเจ้าใหม่ๆ ก็ถูกสอนมาว่าเราต้องสารภาพบาปทุกวัน แล้วเราก็ทุกข์ คือจำไม่ได้ พี่น้องเคยจำสิ่งที่เราทำเองไม่หมดไหม? จำไม่ได้ พอตกเย็น เราไปทำอะไรมา แล้วเราจะรอดไหมเนี้ย  ถ้าเราสารภาพไม่หมด  นั่นคือความทุกข์ใจ ที่เรารู้ความจริงไม่หมด  พอเรารู้ความจริงครึ่งๆ กลางๆ ไม่หมดตามที่ถ้อยคำพระเจ้าบอกไว้  เราก็ไม่สามารถดำเนินชีวิตแบบมั่นคงเดินกับพระเจ้าได้  เราก็กลัว ในพระคัมภีร์บอก ในความรักไม่มีความกลัว ความกลัวเข้ากับการลงโทษ ดังนั้น เราควรจะต้องไม่มีความกลัวอีกต่อไป  เพราะว่าเราเชื่อในสิ่งที่พระเยซูกระทำ วิญญาณเราอย่างไรก็รอด  แต่ไม่ได้หมายความว่าพอเราไม่กลัว เราจะไปทำตัวเหลวไหล ไปทำบาป มันก็คงไม่ใช่  เราก็คงพยายามสุดกำลังแหละ ล้มลง ก็ลุกขึ้น รู้ว่าตรงนี้พลาดแล้ว …

“พระเจ้าลูกขอโทษนะ  ลูกเสียใจ”

ไม่ต้องไปสารภาพบาปแล้ว … “คือเสียใจที่ทำไป ให้กำลังลูกด้วย ที่ลูกจะไม่ทำอีก”

แต่ต่อให้เราอธิษฐานแบบนี้ เราก็ยังทำอีกแหละ ในเรื่องเดิม เหมือนเรามีแผล เวลาไปเดินชนอะไร ไม่ได้ชนที่อื่นหรอก ชนแผลตัวเองประจำ แล้วก็เจ็บซ้ำเจ็บซาก

เหมือนกัน หลายครั้งเราทำผิดในเรื่องเดิมๆ แต่ว่าพระเจ้าจะให้กำลังเรา ที่เราจะทำน้อยลง  ถ้าเรายิ่งเข้าใจในถ้อยคำของพระเจ้ามากเท่าไร?  เห็นถึงความรักที่พระเยซูคริสต์มีกับเรามากเท่าไร? เราก็จะระวังชีวิตของเรา เราก็จะไม่ทำสิ่งที่พระเจ้าไม่ชอบ และทำให้พระเจ้าเสียใจ  เหมือนเรารักพ่อแม่ ถ้าเรารักพ่อแม่ได้มากเท่าไร เราก็จะไม่ทำสิ่งที่พ่อแม่ไม่ชอบ แล้วก็เสียใจ ไม่ใช่ว่าพอเราทำบาปปุ๊บ พ่อแม่ตัดเราออกจากการเป็นลูก ตัดเราออกจากกองมรดก มันเป็นไปไม่ได้ เพราะว่าเป็นพ่อแม่แล้ว ก็เป็นไปตลอดชีวิต เหมือนเราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราก็เป็นลูกของพระองค์ไปตลอดชีวิต ไม่มีรายการว่าวันนี้เราทำบาป พระเจ้าบอกว่าตัดหางปล่อยวัด ไม่มี

พอเราซาบซึ้ง ซึมซับ เห็นความรักของพระเจ้ามากเท่าไร? จะเป็นกำลังใจให้กับพวกเรา ที่พวกเราจะสามารถเอาชนะการล่อลวง ทุกรูปแบบได้ อาจจะนานๆ แพ้บ้าง? อะไรบ้าง? ก็ไม่เป็นไร  แต่ไม่ว่าเราจะล้ม แพ้ หรือหลงทำบาป  อย่าให้มารหลอกเราว่า …

“นี่ไง ทำบาปแล้ว เธอไม่รอดแน่ๆ  เธอตายแน่ๆ”

ไม่จริงนะ เชื่อแล้วเชื่อเลย เป็นลูกแล้วเป็นลูกเลย วิญญาณเราถูกเปลี่ยนเรียบร้อยไปแล้ว ก็เป็นอย่างนั้นเลย ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงกลับไปที่เดิมได้อีก

นี่คือสิ่งที่ถ้อยคำของพระเจ้าบอกไว้ เราขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์เปิดตาใจให้เราเห็นชัดๆ เมื่อก่อนเห็นไม่ชัด กลัว วันนี้ทำอีกแล้ว จะรอดไหม  ต่อให้เป็นผู้รับใช้ ก็รู้สึกนะ  ตกลงเราจะรอดไหม อะไรแบบนี้

แต่ว่าตอนนี้ พอรู้ความจริง  ความจริงก็ปลดปล่อยเราให้เป็นอิสระ เป็นไท เราก็ไม่ต้องไปกลัวแล้วว่าตกลงเราจะรอดหรือไม่รอด แค่ว่าถ้าเธอทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เธอก็เจ็บ  เจ็บบนโลกใบนี้ อย่างไรเธอก็ต้องรับผล อะไรอย่างนี้

เราก็ขอบคุณพระเจ้า สำหรับอาจารย์นครที่สอนเราในเรื่องของตัวตนจริงๆ ของเรา สมัยก่อน มีพระคัมภีร์เล่มแรกที่หายไป นั่งแท็กซี่แล้วก็ลืมไว้ในรถ เสียดายมาก จดอะไรเยอะแยะมากมาย แต่ดีแล้วล่ะ  เพราะที่จดๆ มันไม่ใช่  เคยวาดรูปการ์ตูนด้วย เคยสอนด้วย คือสอนว่าตื่นเช้าขึ้นมา เราก็จะสู้กับตัวเอง คือตัวเก่าของเรา กับตัวใหม่ด้วย แล้วสู้กัน แล้วดูสิว่าตัวไหนจะชนะ ถ้าตัวเก่าชนะ เราก็ไปทำบาป ถ้าตัวใหม่ชนะ เราก็ไม่ทำบาป ซึ่งมันไม่ใช่นะ ความจริงที่พระเจ้าเปิดให้เห็น ก็คือเราไม่ต้องสู้กับตัวเอง  เราไม่ได้เป็นศัตรูกับตัวเอง  เราเป็นมิตรกับตัวเอง เราเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว เราไม่ต้องต่อสู้อะไร สิ่งที่เราต้องสู้ คือผีมารซาตานที่มันมาล่อเรา นั่นแหละ ศัตรูตัวจริงๆ ของเราที่แอบแฝงอยู่ เราสู้กับศัตรูตัวนี้แหละ ตัวเอง เราไม่ต้องสู้แล้ว  เพราะตัวเก่า ตัวบาปของเรา ได้ตายไปแล้ว ถูกฝังไปกับพระเยซูคริสต์ ในวันที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเราเรียบร้อยไปแล้ว ตายแล้ว วิญญาณบาปตายแล้ว ณ เวลานี้ วิญญาณเราเป็นวิญญาณใหม่ ชอบธรรม สะอาดหมดจด บริสุทธิ์ เหมือนพระเจ้า เหมือนพระเยซูคริสต์ไม่มีผิดเลย

นี่คือความจริง ความจริงที่เราต้องรับรู้ พระเยซูถึงบอกว่า …

“ถ้าท่านรู้ความจริง ความจริงจะปลดปล่อยท่านให้เป็นไท ให้เป็นอิสรภาพ”

โดยที่เราไม่ต้องหวาดกลัวอะไร แล้วเรารู้ว่าพระเจ้าที่อยู่ในเรา พระองค์จะคอยช่วยเหลือเรา คอยเป็นกำลังใจให้กับเรา คอยหนุนจิตชูใจเรา คอยพยุงเรา แล้วพระเจ้าทรงสัญญาว่าพระองค์จะไม่ทอดทิ้งเรา พระองค์จะจับมือเราเดิน ไม่ว่าจะยากขนาดไหน? พระเจ้าจะพาเราเดินผ่านไป ด้วยพระคุณ ด้วยความรัก ซึ่งมาจากพระเจ้า พระเจ้าอวยพรค่ะ

 

***************************

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2021 เรื่อง “พลังอำนาจแห่งความรัก ที่ไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้า” ตอน 3 “ความรักของพระเจ้า เป็นแรงบันดาลใจ ให้เรากระทำดีตามน้ำพระทัย” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  28  กุมภาพันธ์  2021

 เรื่อง “พลังอำนาจแห่งความรัก ที่ไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้า”

ตอน 3 “ความรักของพระเจ้า เป็นแรงบันดาลใจ ให้เรากระทำดีตามน้ำพระทัย”

โดย   นคร  เวชสุภาพร

 

สวัสดีครับพี่น้อง วันนี้เราก็มาสู่ตอนจบ ในการบรรยายเรื่องเกี่ยวกับความรัก หัวข้อก็คือ “พลังอำนาจแห่งความรัก ที่ไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้า” ผ่านไปแล้ว 2 ตอน

ตอนที่ 1 คือ “จงมองให้เห็น ซึมซับ และรับเอา”

ตอนที่ 2 คือ “พระคุณความรักของพระเจ้า เป็นพลังให้เราทำดี ตามความปรารถนาในใจ”

วันนี้จะเป็นตอนที่ 3 มีชื่อตอนว่า “ความรักของพระเจ้า เป็นแรงบันดาลใจ ให้เรากระทำดี  ตามน้ำพระทัย”

การได้เห็น ซึมซับ และรับเอาพลังอำนาจความรักยิ่งใหญ่ ไม่มีสิ้นสุดของพระเจ้า  ที่มีต่อเราทั้งหลายนั้น จะเป็นแรงผลักดัน สร้างกำลังใจ สร้างแรงจูงใจ ให้กับเรา ขับเคลื่อนเรา ควบคุมเราในการกระทำดี ชนิดที่ดีจริงๆ ในแบบพระเจ้า  ก็คือดีตามน้ำพระทัยพระเจ้า เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เราจบลงที่ 2 โครินธ์ 5:14-15 ….

2 โครินธ์ 5:14-15  “14 เพราะว่าความรักของพระคริสต์ได้ครอบครองเราอยู่  เพราะเราคิดเห็นอย่างนี้ว่าถ้าผู้หนึ่งได้ตายเพื่อคนทั้งปวง เหตุฉะนั้น คนทั้งปวงจึงตายแล้ว 15 และพระองค์ได้ทรงวายพระชนม์ เพื่อคนทั้งปวง เพื่อคนเหล่านั้นที่มีชีวิตอยู่  จะมิได้เป็นอยู่เพื่อประโยชน์แก่ตัวเองอีกต่อไป แต่จะอยู่เพื่อพระองค์ ผู้ทรงสิ้นพระชนม์ และทรงเป็นขึ้นมา เพราะเห็นแก่เขาทั้งหลาย”

 

ข้อความที่สำคัญที่สุดของข้อนี้ ก็คือ “ก็เพราะว่าความรักของพระคริสต์ได้ครอบครองเราอยู่” ความหมาย ก็คือได้ครอบครอง ควบคุม ขับเคลื่อนชีวิตของเราอยู่  เพราะว่าพระเยซูตาย เพื่อเรา ตัวเก่าเราตายไปแล้ว  นี่เราเกิดใหม่แล้ว  เป็นวิญญาณที่มาจากพระเจ้า พระคริสต์ให้วิญญาณกับเรา เกิดใหม่ เกิดเป็นวิญญาณของความรัก

ความรักของพระเจ้าเป็นแรงผลักดันในใจ ให้เราประพฤติดีตามน้ำพระทัยเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ที่จะทำตามน้ำพระทัย ก็คือทำตามพลังอำนาจของความรักแบบของพระองค์ ที่อยู่ในใจของเรา เพราะฉะนั้น เราจึงจำเป็นต้องเปิดใจ และปล่อยให้พลังความรักของพระเจ้าเข้ามา ทำตามที่ 2 โครินธ์บอกไว้ มาควบคุมครอบครอง เข้ามาครอบงำ เป็นแรงบรรดาใจ เพื่อจะผลักดัน ชักชวน หว่านล้อม ชักจูง ดลใจ และแนะนำ มีอิทธิพลต่อทัศนคติ ความคิดต่อทางเลือกในการตัดสินใจ และมีอิทธิพลต่อทุกสิ่งทุกอย่าง  ที่เราเป็น  ทุกสิ่งทุกอย่างที่เรากระทำ กำลังดำเนินตลอดเวลา และตลอดไป มันหมายถึงอย่างนั้น เปิดใจ รับเอา พลังอำนาจเข้ามา และถ้าเราไม่รู้จัก ไม่ถ่อมใจลง ไม่ยอมรับความรักชนิดนี้ ก็คือไม่เห็นถึงพลังอำนาจ ความรักที่ไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้า  ที่มีต่อเราแต่ละคน มนุษย์บนโลกใบนี้ว่ามันมากมาย ใหญ่โตขนาดไหน? ถ้าเราไม่เห็นพลังความรัก เราก็ไม่สามารถที่จะให้ความรัก พลังอำนาจนี้ ผลักดัน ควบคุม มีอิทธิพลต่อทัศนคติ ต่อการดำเนินชีวิตของเราได้เลย บนโลกใบนี้ เห็นไหมครับว่าสำคัญมาก

เพราะฉะนั้น มี “ต้อง” อันเดียว ก็คือต้องเรียนรู้ความรัก เพื่อให้ตาวิญญาณได้เห็น ตาเนื้อมองไม่เห็นหรอก ความรักเป็นอย่างไร? พระคัมภีร์บอกว่าความรักสำแดงออก ที่พระเยซูคริสต์ถูกตรึงที่ไม้กางเขน มองไป ก็ไม่เห็นหรอก แต่ต้องใช้ตาฝ่ายวิญญาณ  ที่ถูกมองทะลุ เราจึงต้องเรียนรู้ ให้ตาฝ่ายวิญญาณเปิดออก ให้เห็น ซึมซับ และรับเอาพลังอำนาจในความรัก ที่ไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้า ซึมซับ รับเอา ยิ่งรับมากเท่าไร? ก็เท่ากับว่าเราได้ชาร์จพลังงานความรักของพระเจ้าเข้ามาในชีวิตเรามากขึ้นเท่านั้น เราก็จะสามารถมีชีวิตอยู่ และดำเนินชีวิตอยู่ด้วยพลังขับเคลื่อนด้วยแรงบันดาลใจ ด้วยพลังความรัก แบบอากาเป้ของพระเจ้านี้ได้ ในชีวิตของเรานั่นเอง

ไม่ใช่จากพลังความรักของตัวเอง ที่คิดเอง สร้างขึ้นเอง ตามใจตัวเอง คิดว่าถูก คิดว่าอย่างนี้รัก ซึ่งมันมีเงื่อนไข ถ้าเราพึ่งตนเองมีขีดจำกัด ความรักของเรามีไม่พอหรอก เราต้องพึ่งพลังอำนาจของความรักของพระเจ้าเท่านั้น เหมือนถีบจักรยาน ผมมีจักรยานอยู่ 2 คันที่บ้าน  คันหนึ่งเป็นแบบโบราณหน่อย คือเวลาถีบจักรยานตอนกลางคืน ต้องเปิดไฟ ไม่ได้เปิดสวิตช์ ผลักดันเกียร์ปุ๊บ มันเปิดไฟ ซึ่งเราถีบไป มันจะปั่นไฟให้เรา พอเราปั่นเร็วเท่าไร? ไฟก็จะสว่างขึ้นเท่านั้น ไฟจักรยานโบราณ มันปั่นไฟจากการถีบของเรา

แต่มีอีกคันหนึ่งสมัยใหม่หน่อย พอขึ้นไปนั่ง เราก็เปิดสวิตช์ไฟ  พลังงานดวงไฟมันสว่างจ้าเลย ถ้าเราใช้กำลังของเราเอง ถีบจักรยานรุ่นเก่า ถีบๆ ไป ในที่สุดมันหมดแรง พอหมดแรงมันค่อยๆ อ่อนลงๆ ในที่สุดถีบไม่ไหว มันก็ดับ แต่จักรยานสมัยใหม่ มันมีแบตเตอร์รี่เสร็จเรียบร้อยในนั้น เปิดสวิตช์เท่านั้นเอง เปิดแล้วซึมซับ และรับเอาพลังงานในนั้น เปิดปุ๊บ ยังไม่ได้ถีบเลย ขี่ไปไหนก็ได้ มันสว่างแล้ว ฉันใด ก็ฉันนั้น นี่คือการยกตัวอย่าง ที่เห็นชัดเจน

อีกตัวอย่างหนึ่ง คือพระเยซูบอกเราเป็นแสงสว่างใช่ไหม? เพราะฉะนั้น เราไม่จำเป็นต้องพยายามไปปั่นไฟเอง เพราะพระองค์บอกว่าเราเป็นแสงสว่าง มันก็จะเหมือนถีบจักรยานเมื่อสักครู่นี้

สมมติว่าบ้านเราใช้ไฟฟ้า แล้วเราปั่นไฟด้วยตัวเอง ใช้น้ำมัน ไปซื้อน้ำมันมาใส่ พอน้ำมันหมด ก็ไฟดับ เพราะมันไม่ปั่นไฟแล้ว มันปั่นได้ เพราะเราวิ่งออกไปซื้อน้ำมัน

แต่ในสมัยปัจจุบัน  มันไม่ต้องทำอย่างนั้นแล้ว มันมีไฟฟ้าหลวง จากองค์การไฟฟ้าส่งเข้ามา ถ้าเราอยากให้มันสว่าง เราเพียงแค่ไปเปิดสวิตช์  รับเอาพลังงานจากองค์การไฟฟ้าวิ่งมา บ้านสว่างทันที ไม่ต้องวิ่งออกไปให้เหนื่อย ไปซื้อน้ำมันมาใส่ มันสว่างตลอด นี่แหละชัดเจนดีไหม?

เพราะฉะนั้น เราแก้ไขอย่างไร? เปิดสวิตช์และปลดปล่อยพลังงานไฟฟ้า จากองค์การไฟฟ้า รับพลังงานใหญ่เข้ามา ในบ้านของเราให้มันสว่าง ใช้ให้เป็นประโยชน์ในพลังงานนั้น อย่างนี้เป็นต้น

ยกตัวอย่างอีกอันหนึ่ง อันนี้ก็ชัดเจนดี เหมือนเราเอาสำลี … สำลีเปรียบเหมือนความคิดจิตใจของเรา  … เหมือนเราเอาสำลีจุ่มลงไป ซึมซับน้ำหอมในขวด พอเอาสำลีออกมา ไม่ต้องทำอะไรเลย กลิ่นมันหอม ไปที่ไหน? มันก็หอมที่นั่น

สำลี ก็คือความคิดจิตใจเรา จุ่มลงไป ก็คือเอาความคิดจิตใจของเรา จดจ่อลงไปที่ขวดน้ำหอม คือพลังอำนาจของความรักของการบังเกิดใหม่ของเรา ในพระเยซูคริสต์  ความรักของพระเจ้าที่มีต่อเรา ที่ให้เราบังเกิดใหม่นั้น จุ่มลงไป มันก็ชุ่มด้วยความหอมของพระคริสต์  เคยได้ยินไหม? กลิ่นหอมของข่าวประเสริฐ กลิ่นหอมของพระคริสต์ มันก็อบอวลความรักของพระคริสต์ แบบไม่มีเงื่อนไข ในชีวิตเรา ไปที่ไหนมันก็มีกลิ่นออกไป ไม่ต้องไปพยายามสร้างกลิ่น กลิ่นมันออกมาเอง เพราะว่าเราจดจ่อความคิดของเรา ซึมซับ รับเอากลิ่นหอมของข่าวประเสริฐของความรักของพระเยซูคริสต์เข้ามาในชีวิตของเรา มันก็จะถูกปลดปล่อยออกไป โดยธรรมชาติ

เพราะฉะนั้น เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามาในชีวิต บางคนชอบคิดว่าเรากำลังถวายชีวิตของตัวเองให้กับพระเจ้า มอบถวาย บางทีร้องกันไปตลอดชีวิตเลยว่ามอบถวายชีวิตของเราแด่พระเจ้า แต่ตามพระคัมภีร์แล้ว เราไม่ได้ถวายชีวิต แด่พระองค์ แต่พระองค์ต่างหากที่ให้ชีวิตกับเรา เรามอบชีวิตให้กับพระองค์ครั้งเดียว คือแบกกางเขนของเรา ตามพระองค์ไป ตายที่ไม้กางเขน เพื่อว่าเราจะได้รับชีวิตใหม่จากพระองค์มอบชีวิตให้เรา พระองค์ทรงตายที่ไม้กางเขน เพื่อเรา เราไม่ได้ตายที่ไม้กางเขน เพื่อพระองค์นะ เราตายที่ไม้กางเขน เพื่อจะได้รับชีวิตของพระองค์เข้ามาในชีวิตของเรา เพราะฉะนั้น เราไม่ได้ถวายอะไรให้พระองค์เลย แต่พระองค์ต่างหากที่มอบชีวิตพระองค์ให้เรา แบ่งปันชีวิตของพระองค์ให้กับเรา เรียกว่าชีวิตนิรันดร์ ถ้าเรารู้ความจริงตรงนี้ ทัศนคติหลายๆ อย่างจะเปลี่ยนไป เพราะเราไม่ได้ทำอะไรเลย ทุกอย่างเป็นพระคุณเท่านั้นเอง

ชีวิตเราหลังจากเชื่อข่าวดี เปิดใจ ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว คือเรารับเอาชีวิตของพระเยซูคริสต์เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเรา ก็คือเข้ามาเริ่มต้นชีวิตของเรา พูดง่ายๆ เราเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของพระเยซูคริสต์นั่นเอง เราจึงคิดเหมือนพระองค์ เราจึงเป็นความรักเหมือนพระองค์ รักเหมือนพระองค์เลย ดำเนินชีวิตอยู่ เพื่อพระองค์ โดยพระองค์ เป็นของพระองค์เท่านั้น เป็นธรรมชาติ บังเกิดใหม่เป็นอย่างนี้เอง เพราะฉะนั้น เราจึงเป็นความรักเหมือนพระองค์

การได้รับรู้ ได้เห็น ซึมซับและรับเอาความจริงเหล่านี้เข้ามาในความคิดจิตใจของเรา คือการชาร์จแบตเตอร์รี่ คือการชาร์จพลังงานอันยิ่งใหญ่มหาศาลของพระเจ้า ที่เรียกว่าอากาเป้ เข้ามาในความคิดจิตใจ แล้วเราก็ปลดปล่อยพลังอำนาจนี้ ที่พระองค์ทรงใส่เข้ามาในวิญญาณของเรา ในพระเยซูคริสต์นี้ ให้ควบคุมพฤติกรรม ตา หู จมูก ลิ้น กายของเรา ให้ดำเนินชีวิต ตามทางของพระองค์ ตามน้ำพระทัยของพระองค์ ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ และตลอดไปเลย

คราวนี้เราจะมาเรียนรู้ว่าเราจะรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งที่เรากำลังทำ ที่เราคิดว่าเราทำดีแล้ว ที่สายตามนุษย์มองดูข้างนอก อาจจะมองดูว่าดี  เพราะหลายอย่าง ไม่ดี ก็เห็นอยู่แล้วว่าไม่ดี แต่บางอย่างมันดูเหมือนดี เราจะรู้ได้อย่างไรว่าทำดีจากพลัง การกระทำของตนเอง ที่สร้างขึ้น เหมือนปั่นจักรยานด้วยตนเอง หรือเรากำลังทำจากความรักของพระเจ้า พลังอำนาจของพระเจ้า

เราจะรู้ได้อย่างไร? โดยการสังเกตว่าที่เรากำลังทำดีอยู่นั้น ที่เราคิดว่าดีอยู่นั้น เราทำเพื่อผลประโยชน์ของตัวเราเองหรือเปล่า? หรือเพื่อพระคริสต์ เพื่อพระเจ้ากันแน่ ค่อยๆ คิดตามนะ ช้าๆ เราลองคิดดู เอ๊ะ! เราทำเพื่อผลประโยชน์ตัวเองไหม? ถ้าไม่ชัด เดี๋ยวตามต่อมา

แต่ก่อนนี้ ก่อนที่เราจะเชื่อในพระเจ้า ก่อนที่เราจะบังเกิดใหม่ เราทำดี เหมือนทำบุญ ทำทาน หวังจะได้ผลบุญ จากการกระทำดีนั้น ใช่หรือไม่?  แล้วเมื่อมาเป็นคริสเตียนแล้ว มาเกิดใหม่แล้ว เรายังหวังผลจากการกระทำที่เราคิดว่าดีอีกหรือเปล่า? คิดให้ดีๆ

หรือเราทำดีจากแรงบันดาลใจของวิญญาณของเรา ที่ได้บังเกิดใหม่ ที่เหมือนพระเยซู เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซู เป็นความรักเหมือนพระเยซู เป็นความต้องการของพระองค์ที่ผลักดันให้เรากระทำสิ่งเหล่านั้น ซึ่งเราเรียกว่า “อยู่เพื่อพระคริสต์ มิใช่อยู่เพื่อตนเอง” ภาษาอังกฤษตรงนี้ชัดมาก เปาโลบันทึกเอาไว้หลายตอนบอกว่า “To live is Christ” แปลเป็นภาษาไทยยาก การมีชีวิตอยู่ is Christ จะบอกว่าอยู่เพื่อพระคริสต์มันก็ไม่เชิงนะ ต้องบอกว่า To live is Christ อยู่ก็อยู่เป็นแบบพระคริสต์เถอะ

บางคนที่เชื่อพระเจ้าแล้ว กระทำดี ก็ยังหวังว่าจะตั้งใจทำให้ดี เพื่อจะได้รางวัลในสวรรค์ดีกว่าคนอื่นๆ โอ้โห! อันนี้ชัดมากเลย บางทีเราไม่ได้นึกว่าจะมากกว่าคนอื่นๆ แต่พอมาดูอีกที มันใช่ ครั้งหนึ่งเมื่อเริ่มเชื่อ ยังไม่โตในโลกวิญญาณ ผมก็คิดอย่างนั้นว่ากระทำดีเหล่านี้ เพื่อเราจะได้สะสม ไปรับรางวัลในสวรรค์มากๆ อาจจะมีคอนโดใหญ่กว่าเขาบ้าง? บ้านใหญ่กว่าเขาบ้าง? รับใช้มากๆ จะได้ มีอะไรดีๆ บนสวรรค์ เป็นเรื่องธรรมดา เราจะคิดอย่างนั้นได้ แต่พระเยซูบอกว่าไม่มีหรอก ขึ้นไปบนนั้น บนสวรรค์เท่ากันหมดแหละ ไม่มีคนต้นคนปลายหรอก ทุกคน พระเจ้าจ่ายให้เท่ากัน รางวัล ก็คือไปสวรรค์ ยังไม่พออีกหรือ? แค่ไปสวรรค์ อยู่กับพระเจ้าที่พระองค์ทรงรักดั่งแก้วตาดวงใจ อยู่ตลอดไปเลย ในบ้านของพระองค์ ในสวรรค์สถานที่พระองค์ทรงจัดเตรียมให้ แค่นั้นก็เหลือเฟือแล้ว ยังจะเอา คิดอยากมีมากกว่าคนอื่นอีกหรือ? คิดดูสิ ผมลองคิด แล้วอายตัวเอง คิดไปถึงอดีต ตอนที่เรายังไม่รู้เรื่อง

บางคนบอกว่าประกาศข่าวดี ไปให้กับผู้ที่ยังไม่เชื่อ เพื่อหวังว่าจะได้รับรางวัล ได้รับคำชมจากพระเจ้า ขึ้นสวรรค์แล้ว พระเจ้าจะได้ชมว่า …

“เยี่ยมมากเลยๆ”

แต่พระคัมภีร์บอกว่าไม่ใช่การกระทำที่จะมาอวดอ้างได้ว่า …

“ฉันทำดีอย่างนั้น ฉันทำดีอย่างนี้”

แล้วแต่จะคิดนะ ท่านไปคิดเรื่อยๆ แล้วกันว่าจะเห็นด้วยกันกับผมหรือไม่?

พระคัมภีร์บอกไว้ว่าอย่างนี้ สรุปว่าความรัก คือการให้ ถูกไหม? การให้ ให้จริงๆ นะ

การให้ คือการไม่หวังสิ่งตอบแทน ถ้าเราหวังสิ่งตอบแทน ก็ไม่เรียกว่าการให้ ถ้าเราหวังสิ่งตอบแทน ก็คือการลงทุน ไม่ใช่การให้

เพราะฉะนั้น การให้จริงๆ ออกจากความรัก ก็คือการให้ โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน  เพราะฉะนั้น เราไม่สามารถรักแบบอากาเป้ รักแบบพระเจ้า โดยหวังสิ่งตอบแทน ได้เลย ไม่มีทางเลย

อีกครั้งหนึ่ง … เราไม่สามารถแสดงความรัก หรือมีกิริยาที่เรียกว่าความรัก แบบพระเจ้า หรืออากาเป้ได้ โดยหวังสิ่งตอบแทน  เราสามารถให้ โดยปราศจากความรัก แบบอากาเป้ได้ อย่างที่บอก ให้เพราะสงสารก็ได้ …

เราสามารถให้ โดยปราศจากความรัก แบบอากาเป้ แต่เราไม่สามารถรักแบบอากาเป้ คืออย่างไม่มีเงื่อนไขได้ โดยปราศจากการให้ โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน

กลับไปใคร่ครวญคิดดูให้ดีๆ ตรงนี้ เราจะไม่สามารถรักแบบอากาเป้ได้ ตราบใดที่เรายังไม่เห็น ซึมซับ และรับเอา ชาร์จแบตเตอร์รี่ พลังงานอันยิ่งใหญ่แห่งความรัก ที่ไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้า เข้ามาในชีวิตของเรา เราไม่มีทางจะปล่อยความรักนี้ออกไปได้เลย เพราะเราไม่มีอยู่ข้างใน จะให้ได้อย่างไร? มีจึงจะให้ได้ มันไม่มี จะให้ได้อย่างไร?

ความรัก แบบไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้า ที่เรียกว่าอากาเป้นี้ เราได้มาแล้ว เรายังต้องมองให้เห็นถึงความจริงนี้ และซึมซับ และรับเอา ซึ่งเรียกว่าชาร์จพลังแบตเตอร์รี่ ต้องเรียนรู้ ซึมซับ และรับเอา ต้องเรียนรู้ให้ตาเปิดออก ให้เห็นให้ได้ ซึ่งเปาโลก็เพียรอธิษฐาน วิงวอน ขอต่อพระเจ้า ขอเปิดตาวิญญาณเขาๆ ให้เขาเห็นถึงพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่ที่พระองค์ทรงกระทำให้พระเยซู ที่ไม้กางเขนนั้น คือความรักที่พระองค์ทรงสำแดง ทุกวันนี้ ฤทธิ์อำนาจนี้ ยังทำงานอยู่ในตัวเขา ผู้เชื่อทั้งหลาย ให้เขาได้เห็น เราจึงจำเป็นต้องเรียนรู้ และหมั่นพูดอยู่เสมอ ถึงความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ที่มีต่อเรา เห็นมากเท่าไร? ซึมซับมากเท่าไร? ก็มีพลังมากเท่านั้น เอามาใช้ได้มากเท่านั้น

พูดอย่างนี้ บางคนเขาก็กลัวว่าถ้าเราสอนความจริงของพระเจ้าอย่างนี้ ว่าความรักของพระเจ้าที่ไม่มีเงื่อนไข เป็นอากาเป้ คืออภัยความบาปให้กับเราหมดแล้ว ทั้งในอดีต บาปในปัจจุบันด้วย และบาปที่จะทำให้อนาคตอีกต่างหาก พระเยซูเอาออกไปหมดแล้ว เป็นความรักแบบอากาเป้

ถ้าเกิดเรารับรู้ความจริงอย่างนี้ จะทำให้เสียนิสัย ทำบาปมากขึ้น ท่านคิดว่ามันจริงไหม? มันเป็นไปได้ไหม? ที่ผมเคยยกตัวอย่างในตอนแรก เรื่องเกี่ยวกับแม่ที่รักลูกมาก ที่ลูกดื้อ ทำตัวเหลวไหล เกเร และลูกได้เห็นความรักของแม่ที่ไม่มีเงื่อนไข คุกเข่าขอชีวิตกับนายทุน เจ้าหนี้ ให้กับลูกของตนเอง พอลูกเห็นความรักของแม่อันยิ่งใหญ่นั้น แล้วทำบาปมากขึ้นหรือ? ลองคิดดูแค่นี้

ถ้าเรามาเรียนรู้จักความจริง ในถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าแต่ก่อนนี้ ก่อนที่เราจะเชื่อพระเจ้า เราอยู่ในอาดัม ถูกครอบงำด้วยความบาป เกลียดชังพระเจ้า คือเกลียดชังความดี ต้องฝืนมากเลย ที่จะทำความดี หรือทำความชอบธรรม ฝืนมากเลย ถ้าจะมีความรักแบบแท้ๆ แบบอากาเป้ ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลย เพราะเราเป็นทาสของมาร โดยกำเนิด ถูกหรือไม่ถูก? คิดไปด้วยกันช้าๆ แต่เดี๋ยวนี้เราเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์แล้ว พระคัมภีร์เมื่อตะกี้ที่เราอ่าน บอกว่าเราถูกครอบงำ เป็นทาสของพระคริสต์ เหมือนสมัยก่อนอาดัม แต่มันตรงกันข้ามกันเท่านั้นเอง เป็นทาสเหมือนกันเลย ถูกครอบงำ เพราะฉะนั้น เราเป็นทาสของความรัก แบบอากาเป้ของพระเจ้า ถูกไหม?

เพราะฉะนั้น เราต้องฝืนมากเลย ที่จะทำบาป และฝืนมากที่จะทำความเกลียดชัง มันฝืนกันมากเลย จากความเป็นจริงในวิญญาณของเรา

ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าพระคุณความรักของพระเจ้า ทำให้เราทำบาปน้อยลง ลบความบาปออกไป จำนวนมากมาย เหตุจากความรักและพระคุณของพระเจ้า

คราวนี้เรามาดูว่าความรัก แบบอากาเป้ตรงนี้ ที่บอกว่าเป็นพลังอำนาจมหาศาล ที่กำลังทำงานอยู่ในผู้เชื่อ ที่เกิดใหม่แล้ว อยู่ในวิญญาณของเรา จากการกำเนิด เกิดมาเป็น หน้าตาของความรัก พลังอำนาจของความรักเป็นอย่างไร? คร่าวๆ ดูสิว่าพระคัมภีร์เขียนไว้ว่าอย่างไร? อย่าลืมว่าเรากำเนิด เกิดมาเป็นเลยนะ “เป็น” ตรงนี้แหละว่าความรักที่ทำงานอยู่ในวิญญาณของเรา ตัวตนแท้ๆ ของเรานี้ หน้าตามันเป็นอย่างไร? อยู่ในหนังสือ 1 โครินธ์ บทที่ 13 ก่อนที่จะอ่านบทที่ 13 ไปอ่านบทที่ 12 ข้อ 31 ก่อน 1 โครินธ์ 12:31 …

1 โครินธ์ 12:31  “แต่ท่านทั้งหลายจงขวนขวายของประทานต่างๆ ที่ยิ่งใหญ่กว่า  และข้าพเจ้าจะชี้ให้เห็นถึงทางที่ดีที่สุดแก่ท่านทั้งหลาย”

 

ก่อนหน้านี้เปาโลกำลังอธิบายถึงเรื่องเกี่ยวกับพรสวรรค์หรือของประทาน ที่พระวิญญาณให้กับผู้เชื่อทั้งหลาย ในความถนัด พูดง่ายๆ “ถนัด” จะเห็นชัด มีพรสวรรค์ พระองค์ทรงประทานให้แต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนเป็นครูสอน บางคนเป็นศิษยาภิบาล บางคนเป็นผู้เผยพระวจนะ  บางคนอธิษฐานวางมือรักษาโรค บางคนมีของประทานแห่งความเชื่อ ทำการอัศจรรย์ ทั้งหมดนี้ พระวิญญาณเป็นผู้ประทานให้เยอะแยะ

แล้วก็มาพูดสรุปสุดท้ายว่า … “แต่ท่านทั้งหลาย จงขวนขวายของประทานต่างๆ ที่ยิ่งใหญ่กว่า” ก็คือให้เป็นไปตามที่พระเจ้าเตรียมท่านไว้ว่าของประทานของท่านเป็นอะไร?

“และข้าพเจ้าจะชี้ให้เห็นถึงทางที่ดีที่สุดแก่ท่านทั้งหลาย” ก็คือและตอนนี้ ต่อไป จะบอกว่า ที่ให้ขวนขวายหาของประทาน เพื่อรับใช้กันและกันนั้น สิ่งที่สำคัญกว่านั้น คือความรักตรงนี้แหละ 1 โครินธ์ 13:4-8 …

1 โครินธ์ 13:4-8  “4 ความรักย่อมอดทนนาน  ความรัก คือความเมตตา  ไม่อิจฉา  ไม่อวดตัว  ไม่หยิ่งผยอง  5 ไม่หยาบคาย  ไม่เห็นแก่ตัว  ไม่ฉุนเฉียว  ไม่จดจำความผิด  6  ความรักไม่ปีติยินดีในความชั่ว  แต่ชื่นชมยินดีในความจริง 7 ความรักปกป้องคุ้มครองเสมอ  ไว้วางใจเสมอ  มีความหวังอยู่เสมอและอดทนบากบั่นอยู่เสมอ 8 ความรักไม่มีวันสูญสิ้น  แม้การเผยพระวจนะจะเลิกรา  การพูดภาษาแปลกๆ จะเงียบหาย  ความรู้จะล่วงพ้นไป”

 

แต่ความรักอยู่ไปตลอด จนนิรันดร์ เพราะเป็นพระลักษณะของพระเจ้า และเราทั้งหลายที่เป็นลูกของพระองค์นั่นเอง คริสเตียนส่วนใหญ่จะคุ้นเคยกับถ้อยคำตรงนี้อย่างดี หลายคนเอาไปท่องจำขึ้นใจเลยนะ แต่ก็มีจำนวนไม่น้อยที่ยังไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริง จริงๆ แล้วสาระสำคัญของถ้อยคำตรงนี้ บรรยายถึงคุณสมบัติของความรักแบบอากาเป้ของพระเจ้า แบบไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้า หน้าตามันเป็นอย่างนี้ กำลังอธิบายถึงลักษณะ คุณสมบัติ แต่สิ่งที่คนมักจะเข้าใจผิด คือไปหยิบยกเอาข้อความนี้มา แล้วก็บอกว่า …

“นี่คือสิ่งที่คริสเตียน ต้องทำให้ได้”

เอาล่ะสิ เพราะคริสเตียนต้องมีความรัก  คริสเตียนต้องรักผู้อื่น   เพราะฉะนั้น คริสเตียนต้องมีเมตตา  ต้องไม่อิจฉา  ต้องไม่อวดตัว  ต้องไม่หยาบคาย  ต้องอดทนให้ได้  สารพัด “ต้อง” ต้องๆๆๆๆ รวมความ ก็คือต้องกระทำด้วยตัวเอง ให้เป็นไปตามนี้ ถูกหรือไม่? มีคริสเตียนส่วนใหญ่ ก็คิดอย่างนี้

แล้วถ้าเรามาศึกษาความหมายของถ้อยคำตรงนี้จริงๆ จะเห็นว่าคำว่า “ความรัก” ที่ตะกี้นี้อ่านกัน มันเป็นคำนาม ซึ่งหมายถึงเป็นคุณสมบัติ เป็นคุณลักษณะ ไม่ใช่เป็นคำกิริยาว่าการกระทำ ต้องทำ ในบริบทนี้ ในข้อพระคัมภีร์นี้ จากตรงนี้เลย เป็นคำนาม ก็คือ “มี” ความรักแบบนี้ ไม่ได้บอกให้ทำแบบนี้ ซึ่งในทางกลับกัน ต่อให้ท่านทำสิ่งเหล่านี้ได้ ไม่ว่าจะเป็นความอดทนนาน มีเมตตา ไม่อิจฉา ไม่หยาบคาย ต่อให้ทำได้มากขนาดไหน? ก็ตาม ซึ่งดูแล้วมันดีใช่ไหม? ใครๆ ก็บอกว่าดี ทำอย่างนี้ อดทนก็ดี  ไม่อิจฉา ก็ดี ไม่หยาบคาย ก็ดี ซึ่งต่อให้ทำได้มากขนาดไหน? ซึ่งไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของความรัก แบบอากาเป้ ก็ไม่สามารถเป็นพลัง หรือเป็นแรงขับเคลื่อน ที่เป็นของแท้ๆ ที่มาจากพระเจ้าได้เลย คิดให้ดีๆ

อาจารย์เปาโลก็รู้ ก่อนหน้าในหนังสือ 1 โครินธ์ 13:4-8 จึงได้เขียนไว้ในข้อที่ 1-3  บอกว่าต่อให้ทำดีถึงขนาดขายของทั้งหมดเลย ยอมยากจนเลย แล้วเอาไปให้กับคนจน  หรือเอาตัวไปเผาไฟ ก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย ถ้าไม่ได้ถูกผลักดันด้วย ข้อ 4-8 ก็คือไม่ได้ถูกผลักดันด้วยความรักแบบนี้ ก็แสดงว่าตามสายตาของมนุษย์ ข้างนอกที่เรามองเห็น มันวัดกันไม่ได้นะว่าทำอย่างนี้มันดีหรือไม่ดี ดูเหมือนดี เหมือนๆ กัน ขายของทั้งหมดเลย แล้วเอาไปให้คนจน ดูดีหมดทุกคน แต่เป็นไปได้ว่าขายของให้คนจนทั้งหมด เพื่อหวังสิ่งตอบแทนอะไรบางอย่าง ไม่รู้ คนนั้นรู้เอง

เห็นไหม? น่าตกใจขนาดไหน? คุยกันไม่จบเลยนะเรื่องนี้ ที่บอกว่าทำอย่างนี้คือดี ทำอย่างนี้คือความรัก เปาโลบอกว่าพระเจ้าให้ดูที่ข้างใน เราอาจจะเป็นหลุมศพฉาบปูนขาวก็ได้ ข้างในเหม็นหึ่งเลย ข้างนอกดูเหมือนมีกลิ่นหอม แต่เป็นน้ำหอมเทียม เดี๋ยวมันก็หมดไป อะไรอย่างนี้

เมื่อเราได้บังเกิดใหม่ พระเจ้าได้ให้พระวิญญาณบริสุทธิ์มาอยู่กับเรา ซึ่งพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเป็นผู้กระทำการงานในตัวเรา ทำการอัศจรรย์ ผ่าตัดวิญญาณเรา เรียกว่าบัพติศมาเราด้วยไฟ ก็คือพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเป็นผู้กระทำการงานในตัวเรา ให้เราบังเกิดใหม่  เป็นความรักแบบนี้ ตาม 1 โครินธ์ 13:4-8 ต้องให้เห็น ซึมซับ และรับเอาให้ได้ เห็นมากเท่าไร? ก็ใช้ประโยชน์ได้มากเท่านั้น

พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเป็นผู้กระทำการงานในตัวเรา ให้ตัวเราเป็นความรัก  แบบนี้ คือให้มีคุณสมบัติในวิญญาณที่บังเกิดใหม่แบบนี้ ไม่ใช่ต้องทำให้เป็นแบบนี้ ด้วยตัวเราเอง แต่จะเป็นแบบนี้ จากการบังเกิดใหม่ กำเนิด เกิดมาเป็นความรักแบบนี้เลย เอเมน

บางคนบอกว่าเราเป็นถึงผู้รับใช้ เป็นถึงศิษยาภิบาลต้องมีความอดทน โกรธไม่ได้ ด่าใครก็ไม่ได้ ผู้รับใช้ทั้งหลายเลยต้องพยายามนับ 1 – 100 กัดฟันทน  ทนดีไหม? ดี … ดีในสายตาใคร? สายตาคนรอบข้างดูดีหมด แต่ถามว่าความอดทนนั้น มาจากความรักแบบอากาเป้ข้างใน มาจากแรงผลักดัน จากพระเยซูที่อยู่ข้างในหรือไม่? อันนี้ก็ไม่รู้นะ บางคนเครียดเลย เพราะถูกสอนมาว่ามาเชื่อพระเจ้าแล้ว ต้องพยายามทำให้ได้ตามนี้ทั้งหมด ก็เลยพยายามไปหาซื้อหนังสือที่เขาสอนว่า “วิธีฝึกให้มีความอดทน” “วิธีฝึกให้รู้จักบังคับตัวเอง” มีหนังสือคริสเตียนเต็มไปหมดเลย ที่สอนวิธีการฝึก ฝึกให้เป็นไปตามผลของพระวิญญาณ สังเกตคำว่าฝึกและผลนะ สอนวิธีฝึกให้เป็นไปตามผลของพระวิญญาณ

เมื่อตะกี้เราบอกแล้วนะว่าเราบังเกิดใหม่ โดยการกำเนิด เกิดมาเป็น

บางแห่งก็มีสอนว่าเราต้องสร้างผลของพระวิญญาณทั้ง 9 อย่างขึ้นมา ความรัก  สันติสุข  ความปลาบปลื้มใจ  ความอดทน  ความปราณี  ความดี  ความสัตย์ซื่อ  ความสุภาพอ่อนน้อม  และการรู้จักบังคับตน  นี่คือคุณสมบัติของผลของพระวิญญาณ ใครที่ยังทำไม่ได้ทั้งหมดนี้ ก็พยายามค่อยๆ ฝึกไปทีละอย่าง เจอหน้ากัน …

“วันนี้ฝึกตัวไหนอยู่”

“วันนี้ฝึกความอดทนอยู่”

“วันนี้ฝึกเสร็จแล้วความอดทน เดือนหน้ากะว่าจะฝึกตัวใหม่ ก็คือฝึกตัวสัตย์ซื่อ”

ฟังดูก็เหมือนดี แต่จริงๆ แล้ว โดยชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่เราเกิดมาเป็นเลย ไม่ได้ให้เราสร้างผลขึ้นมา เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ด้วยกับใคร? ก็จะทำให้ผู้นั้นมีคุณสมบัติเหล่านี้ เรียกว่าผล หรือคุณสมบัติของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ไม่ใช่ผลจากการกระทำของตัวเราเอง จริงๆ แล้วชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นผลของพระวิญญาณ เมื่อเราบังเกิดใหม่แล้ว มีพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ด้วยแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะทำให้เกิดผลในตัวเราเอง

เกิดใหม่จริงหรือไม่? พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้าไปอยู่เป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณของท่านแล้วหรือไม่? ตรงนี้มากกว่า ไม่ใช่เกิดจากการกระทำภายนอก แต่เกิดจากการกระทำข้างใน เกิดจากบังเกิดขึ้นข้างใน ไม่ใช่ให้เราสร้างขึ้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะให้เกิดผลข้างในเราเอง ไม่ใช่ให้เราสร้างสิ่งเหล่านี้ด้วยตัวเราเอง พระองค์จะเป็นแรงขับเคลื่อนจากข้างในออกมา จากภายในของเราออกมา ไม่ใช่ ให้เราฝึกฝนจากภายนอก ไม่ใช่

ถ้าเราทำจากภายนอก ก็เป็นผลจากภายนอก เป็นผลจากการกระทำของเราเอง เราฝึกฝน พยายามจะอดทน นับ 1, 2, 3 เขาบอกก่อนจะอดทน ให้นึกถึงอันโน้นอันนี้ นับลูกแกะ นับอะไรก็ว่าไป ให้พยายามนึกถึงว่าถ้าเราไม่อดทน มันจะเกิดความเสียหาย อันนี้ไม่ใช่ นั่นคือการกระทำฝึกฝนของตัวเราเอง แต่นี่ออกมาจากพลัง จากข้างใน คือผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในเรา จากการบังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ต่างหาก

ความหมายของความรักแบบอากาเป้ที่อธิบายใน 1 โครินธ์ ตรงนี้ เป็นคุณลักษณะ หรือคุณสมบัติของความรักแบบไม่มีเงื่อนไขของพระคริสต์ และเมื่อเราได้รับการบังเกิดใหม่ ที่บอกว่าเราได้เป็นเหมือนพระคริสต์ เราก็เป็นความรักแบบเดียวกันกับพระองค์ คือเป็นความรักแบบไม่มีเงื่อนไข ตัวตนแท้ๆ ของเราเป็นอยู่ จากการบังเกิดใหม่แล้ว ตัวตนแท้ๆ เราเป็นความรักแบบพระคริสต์อย่างนี้เลย ต้องเรียนรู้ พระเจ้าทรงเปิดตาวิญญาณเราทั้งหลายให้เห็น ซึมซับ และรับเอาความจริงตรงนี้เข้ามาด้วยเถิด ซึ่งเป็นการชาร์จพลังงานความรักนี้เข้ามาในชีวิตของเรา เพื่อจะผลักดัน ควบคุม และเป็นแรงขับเคลื่อนชีวิตของเราออกไปให้เหมือนพระคริสต์ให้มากที่สุดนั่นเอง

เพราะฉะนั้น อยากให้ท่านกลับไปอ่านถ้อยคำตรงที่เราได้วิเคราะห์ตรงนี้กันใหม่ ใน 1 โครินธ์ 13:4-8 โดยอยากให้ท่านอ่าน เมื่อถึงคำว่า “ความรัก” ให้ท่านเปลี่ยนเป็น “พระคริสต์” หรือพระเยซูก็ได้ ลองอ่าน

“พระเยซูคือความเมตตา  พระเยซูไม่อิจฉา  พระเยซูไม่อวดตัว  พระเยซูไม่หยิ่งผยอง  พระเยซูไม่หยาบคาย  พระเยซูไม่เห็นแก่ตัว  พระเยซูไม่ฉุนเฉียว  พระเยซูไม่จดจำความผิด  พระเยซูไม่ปีติยินดีในความชั่ว  แต่ชื่นชมยินดีในความจริง พระเยซูปกป้องคุ้มครองเสมอ  พระเยซูไว้วางใจเสมอ  พระเยซูมีความหวังอยู่เสมอและพระเยซูอดทนบากบั่นอยู่เสมอ พระเยซูไม่มีวันสูญสิ้น แม้การเผยพระวจนะจะเลิกรา การพูดภาษาแปลๆ จะเงียบหาย ความรู้จะล่วงพ้นไป”

แต่พระเยซูทรงอยู่ตั้งแต่วานนี้ วันนี้ และสืบๆ ไปเป็นนิตย์ เอเมน และเราทั้งหลาย พระวิญญาณบริสุทธิ์ผ่าตัดวิญญาณเรา ตอนเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ให้เราเป็นขึ้นจากความตาย เป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซู เหมือนพระเยซู ฉะนั้น ที่พระเยซูอดทนนาน ก็เป็น …

“ฉันย่อมอดทนนาน ฉันมีเมตตา ฉันเป็นนะ ฉันไม่อิจฉา ฉันไม่อวดตัว” เห็นภาพหรือยัง?

เราเรียนกันมาตลอดว่าพระเจ้าเป็นความรัก และเราเป็นเหมือนพระเจ้า เราร้องเพลงกันได้ตั้งแต่เด็กๆ เลยนะ

“พระเจ้าเป็นความรักๆ”

แล้วเราก็ลืมว่าเราก็เป็นความรักเหมือนพระเจ้า  เราจึงเป็นความรักชนิดเดียวกันกับพระเจ้า คือเป็นอากาเป้เหมือนกัน ไม่ใช่ให้เรากระทำความรักให้เหมือนพระเจ้า ไม่ใช่ให้เราปฏิบัติตัวให้เหมือนพระเจ้า แต่เราเป็นเหมือนพระเจ้าแล้ว หน้าที่ของเรา ไม่ใช่ให้เรากระทำ ให้เราสร้างผลของพระวิญญาณ คือความรักตรงนี้ขึ้นมา แต่ให้เราปลดปล่อยให้วิญญาณกระทำการงานในตัวเรา ปลดปล่อยให้พลังความรักนี้ออกมา กระทำการงาน เหมือนที่ตะกี้นี้บอกว่าปลดปล่อยให้พลังงานเปิดสวิตช์เท่านั้นเอง แล้วพลังนี้จะออกมาเฉยๆ ไม่ใช่ต้องไปปั่นจักรยานรุ่นเก่าให้พลังไฟฟ้าออกมา อยากให้สว่างๆ เดี๋ยวนี้เขามีใหม่แล้ว เกิดใหม่แล้วจักรยาน อยากมีพลังแสงสว่าง เปิดสวิตช์ ปลดปล่อยพลังงานแห่งแสงสว่างออกมา ต้องรู้ตรงนี้ ถ้ายังไม่รู้ เราก็ยังคงใช้จักรยานรุ่นเก่าอยู่ดี

และนี่ก็คือความหมายที่บอกว่าให้เดินกับพระวิญญาณ ก็แปลว่าอย่างนี้ ให้พระวิญญาณสร้างผลในตัวเรา ให้ผลของพระวิญญาณเกิดขึ้นมา โดยพระวิญญาณเอง ไม่ใช่ตัวเราเอง แต่พอเราได้ทราบความจริงตรงนี้แล้ว ก็เกิดคำถามขึ้นมาว่าถ้าอย่างนั้น ความรักแบบไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้า จะเป็นอันตรายไหม? จะทำให้เราทำบาปมากขึ้นหรือไม่? ซึ่งตะกี้บอกไปแล้ว อ่านอีกทีหนึ่งในข้อพระคัมภีร์นี้ 1 เปโตร 4:8 ได้บันทึกเอาไว้อย่างนี้ ชัดเจนแจ่มใสเลยว่ากลัวไหม? กลัวว่าถ้ารู้ว่าความจริงเป็นอย่างนี้แล้ว เราก็ทำบาปกันสบายใจเลยสิ ลองอ่านดูสิ …

1 เปโตร 4:8  “เหนือสิ่งอื่นใด  จงรักกันอย่างลึกซึ้ง  เพราะความรักลบความผิดบาปมากมายได้  โดยการให้อภัย”

 

ตรงนี้ถ้าไม่เข้าใจความหมาย อาจกลายเป็นว่าอย่าให้มีความรักเยอะ เพราะว่าความรักเยอะ มันจะล่อลวงให้ไปทำบาป มันไม่ใช่อย่างนั้น ในนี้บอกว่าความรักยิ่งเยอะ ยิ่งไม่เห็นแก่ตัว ตะกี้นี้ก็อ่านพร้อมกัน ความรักยิ่งเยอะ ยิ่งไม่เห็นแก่ตัว ไม่เย่อหยิ่งจองหอง ไม่อิจฉาริษยา ไม่ฉุนเฉียว แล้วมันลดไหม? ลดความบาปหรือเพิ่ม ง่ายนิดเดียว พอรู้ความจริงเหล่านี้ ท่านจะเห็นชัดเจน ไม่ซี้ซั้วพูดตามความคิดของตนเอง  เอเฟซัส 3:19 ได้บันทึกอย่างนี้ …

เอเฟซัส 3:19 “ให้ซาบซึ้งในความรักนี้  ซึ่งเหนือกว่าความรู้  เพื่อท่านจะบริบูรณ์ด้วยความสมบูรณ์ทั้งสิ้นของพระเจ้า”

 

“ให้ซาบซึ้งในความรักนี้” หมายถึงให้เห็น ซึมซับ รับเอา ให้ท่วมท้น ให้จุ่มลงไป เหมือนน้ำหอมเมื่อตะกี้นี้ จุ่มลงไปในพลังความรักอันนี้ มากกว่าไปเรียนความรู้อื่นๆ อีกเยอะแยะเลย เพื่อท่านจะได้บริบูรณ์ด้วยความสมบูรณ์ทั้งสิ้นของพระเจ้า เต็มไปด้วยน้ำพระทัย เต็มไปด้วยความดีงาม แบบพระเจ้า

เปาโลพยายามที่จะอธิบายว่าจะเป็นอย่างไร? เมื่อชีวิตของเราถูกขับเคลื่อน ครอบงำ เป็นทาสของความรักแบบไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้านี้ ให้พระวิญญาณบริสุทธิ์มาเป็นแรงขับเคลื่อน ผลักดัน ครอบครอง ควบคุม เป็นเจ้านายเราในการดำเนินชีวิต มันเป็นอย่างไร? เปาโลกำลังบอกว่าต่อให้ท่านมีความรู้มากสักเท่าไร? ต่อให้ท่องพระคัมภีร์ได้ทั้งเล่ม ต่อให้รู้ประวัติศาสตร์ทั้งหมดเลย อ่านพระคัมภีร์มา 80 เที่ยว 100 เที่ยว ก็ไม่มีอะไรสำคัญกว่าความรู้และความเข้าใจ อันลึกซึ้งถึงความรัก ที่ไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้าตรงนี้ได้เลย อยากให้ท่านรู้เข้าไปลึกๆ ทั้งกว้าง ทั้งยาว ทั้งลึก ทั้งสูงของความรักตรงนี้ พูดไม่ถูกเลย มันต้องเรียนกันไม่จบเลย มากกว่า สำคัญกว่าความรู้อื่นๆ สำคัญกว่าความเชื่อเยอะๆ ทำอัศจรรย์ได้ สำคัญกว่าการเผยพระวจนะได้ สำคัญกว่าการเป็นครูสอนศาสนา  สำคัญกว่าการเป็นพาสเตอร์ ศิษยาภิบาล สำคัญที่สุด เพราะมันจะอยู่ตลอดไปชั่วนิรันดร์ เพราะมันเป็นตัวท่าน และเป็นบุคลิก ตัวตนของพระเจ้านั่นเอง

เพราะฉะนั้น ความรักของพระเจ้าจะมีอันตรายแบบที่คิดไหม? เมื่อเรียนรู้ความรักของพระเจ้าแบบนี้ มีอันตรายแน่นอนเลย มีอันตรายต่อมนุษย์ไหม? ไม่มีเลย มีอันตรายต่อมารไหม? มี เพราะมันอยู่ตรงกันข้ามกับความรัก ก็อดทนนาน มารบอก … ความเกลียดชังสิ ความเกลียดชัง คือความไม่อดทนนาน ความเกลียดชังคือความฉุนเฉียว ความเกลียดชังคือการฆ่า ขโมย และทำลาย ต้องท่องอย่างนี้ ต้องทำอย่างนี้ ถ้าทำไม่ได้ โกหกอย่างอื่น ก็โกหกหลอกลวงให้เราทำเหมือนความรักอย่างนี้ เสแสร้ง ปลอมตัวมาเป็นพระคริสต์ ทำตัวเหมือนความรัก เหมือนอดทนนานเลย แต่อดทนนานจากข้างใน อะไรบางอย่างที่เก็บเอาไว้ ยัง ยังไม่ใช่ของแท้ พูดง่ายๆ แล้วบอกว่าพระคริสต์ พระคริสต์เทียมไง ทำข้างนอกดูเหมือนพระคริสต์เลย แต่ข้างในถูกแอบไว้ ถูกกลบไว้ ไม่อิจฉา ที่ไม่อิจฉา เพราะว่าเก็บไว้ มีอะไรอยู่ในใจ ไม่รู้หรอก ข้างนอกเราดูเอา ไม่เห็น แต่ไม่มีใครสามารถปกปิด จากพระเจ้าได้ พระองค์มองดูที่ใจข้างใน รู้เลยว่าคนนี้ทำไป เพื่ออะไร? และอย่างไร? เห็นไหมชัดเจน โรม 15:30-31 …

โรม 15:30-31 “30 พี่น้องทั้งหลาย  โดยองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา  และโดยความรักจากพระวิญญาณ   ข้าพเจ้าขอให้พวกท่านร่วมในการดิ้นรนต่อสู้ของข้าพเจ้า  ด้วยการอธิษฐานต่อพระเจ้า เพื่อข้าพเจ้า 31 ขออธิษฐานให้ข้าพเจ้าได้รับการช่วยเหลือ ให้พ้นจากผู้ไม่เชื่อทั้งหลายในแคว้นยูเดีย และขอให้ประชากรของพระเจ้าในกรุงเยรูซาเล็ม  ยอมรับความช่วยเหลือของข้าพเจ้า”

 

อาจารย์เปาโลอยากจะให้ผู้เชื่อทั้งหลายอธิษฐานให้อาจารย์เปาโล ในการที่จะไปประกาศข่าวประเสริฐในที่ต่างๆ สำหรับคนต่างชาติ ซึ่งถูกข่มเหง รังแก โดยชาวยิวบ้าง โดยคนที่เสียผลประโยชน์บ้าง ขัดขวางอะไรต่างๆ ก็เลยให้ช่วยอธิษฐานด้วย ดูสิ สังเกตให้พี่น้องอธิษฐานด้วยอะไร?

“พี่น้องทั้งหลาย  โดยองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา  และโดยพลังอำนาจของความรักจากพระวิญญาณ ข้าพเจ้าขอให้พวกท่านร่วมในการดิ้นรนต่อสู้ของข้าพเจ้า”

ให้ร่วมเป็นหนึ่งในการปล้ำสู้กับข้าพเจ้าในเรื่องนี้ อธิษฐานโดยฤทธิ์อำนาจของความรักจากพระวิญญาณ

มีคริสเตียนบางคน เวลาพูดถึงพระเยซูคริสต์ ก็จะนึกถึงความรัก  เห็นชัด ความเสียสละของพระองค์ ยอมตายที่ไม้กางเขน ความเมตตาของพระองค์ แต่พอพูดถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์ ตกใจกลัว กลายเป็นความกลัว กลายเป็นการมาสอนว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นพี่เลี้ยงเรา จะคอยตีเรา เฆี่ยนเราถ้าเผื่อหมิ่นประมาณพระวิญญาณตกนรกทันทีอะไรอย่างนี้ ซึ่งเป็นความเข้าใจผิดทั้งหมด พระวิญญาณก็รักเรา เห็นหรือยัง? จากพลังอำนาจความรักอันเดียวกันนั้น จากพระวิญญาณก็แสดงว่าทั้งพระวิญญาณ ทั้งพระเยซูคริสต์ ทั้งพระบิดารักเราด้วยความรักเหมือนกันหมดเลย คือความรักแบบอากาเป้ จริงๆ แล้วทั้ง 3 พระภาคล้วนเป็นความรัก แบบอากาเป้ทั้งสิ้น ซึ่งรวมเราเข้าไปอีกหนึ่งในนั้น คือเป็นหนึ่งเดียวกันทั้ง 3 ภาค เราเลยกลายเป็นความรักแบบเดียวกัน คือความรักแบบไม่มีเงื่อนไข แบบอากาเป้ เป็นพลังอำนาจในการขับเคลื่อนชีวิตเรา อย่างนี้ไม่ดีเหรอ?

พลังอำนาจที่ขับเคลื่อนเรา คือพลังอำนาจที่มาจากพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งทรงสถิตอยู่กับเรา ทรงรักเรา เรียกว่าพลังอำนาจแห่งความรัก และทำให้ตัวเราทั้งหลายได้เกิดใหม่ กลายเป็นความรักชนิดเดียวกันแล้ว ให้ความรักชนิดนี้ ผลักดันเราในการดำเนินชีวิต บนโลกใบนี้ มันหมายถึงอย่างนั้น นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด กาลาเทีย 5:13 …

กาลาเทีย 5:13 “พี่น้องทั้งหลาย  ที่ทรงเรียกท่านนั้น  ก็เพื่อให้มีเสรีภาพ  แต่อย่าใช้เสรีภาพของท่าน  เพื่อปล่อยตัวตามวิสัยบาป  แต่จงรับใช้กันและกันด้วยความรัก”

 

“จงรับใช้กันและกันด้วยความรัก” แบบอากาเป้อย่างนี้ แบบพระเจ้า ให้ความรักนี้ขับเคลื่อน และในนี้บอกว่า “อย่าปล่อยตัวของท่านตามวิสัยบาป” วิสัยบาปตรงนี้ ไม่ใช่นะ ต้องแปลจากภาษาเดิม มันคล้ายๆ กัน แต่ไม่ใช่วิสัยบาป … วิสัยบาป คริสเตียนไม่มีแล้ว เพราะว่าตายไปแล้ว ถูกตรึงที่ไม้กางเขนแล้ว นั่นแหละวิสัยบาป ตัวตนจริงๆ ของเรา ก็คือในอาดัม อดีตนั้น มันตายไปแล้ว ตอนนี้วิสัยของเรา คือวิสัยชอบธรรม วิสัยดี วิสัยความรัก

แต่ตรงนี้มันหมายถึง “อย่าปล่อยตัวไปตามเนื้อหนัง” ก็คืออิทธิพล ระบบที่เขาดำเนินกันบนโลกใบนี้ ที่คนไม่รู้จักพระเจ้า และเราในอดีตที่ไม่รู้จักพระเจ้า ก็ดำเนินอย่างนี้ ความเคยชินในระบบเก่าๆ อย่าปล่อยให้เป็นไปตามเนื้อหนังอย่างนั้น

แสดงว่าการรับใช้ซึ่งกันและกัน สามารถมาได้ 2 ทาง คือจากพลังของความรักของพระเจ้าที่อยู่ในเราก็ได้ และมาจากระบบของโลกนี้ เนื้อหนังก็ได้เช่นกัน เรามีอิสระที่จะเลือก พระเจ้าไม่ได้บังคับเราว่าต้องทำอย่างนี้ ต้องทำอย่างนั้น ให้เราเลือกเอา แต่ถ้าเราเห็น ซึมซับ และรับเอาตลอดเวลา จดจ่อไปที่ความรักตรงนี้อยู่เรื่อยๆ เราก็จะได้พลังความรักตรงนี้มาผลักดันเรา แต่ถ้าจดจ่อบนโลกใบนี้ จดจ่อระบบของโลกใบนี้เหมือนเดิม ในที่สุด ดูเหมือนทำดี แต่แรงผลักดันออกมาจากเนื้อหนังของเรา ระบบเดิมของเรา ตัวตนจริงๆ ของเรา เราไม่รู้เรื่องเลย แต่ออกมาจากความคิดตามเนื้อหนัง ตามระบบของโลกใบนี้ มันมี 2 ทางให้เราเลือก นี่ก็ชัดเจน

การรับใช้ซึ่งกันและกันในทางพระเจ้า ต้องมาจากพลังขับเคลื่อนของความรัก อากาเป้ของพระเจ้าเท่านั้น ถึงจะเป็นของแท้ ไม่ใช่มาจากเนื้อหนัง เคยได้ยินใช่ไหม? คริสเตียนเนื้อหนัง คือคริสเตียนที่ยังต้องพึ่งตนเอง พึ่งความสามารถของตนเอง พึ่งระบบของโลกใบนี้ พึ่งการกระทำเก่าๆ ที่เคยกระทำมา พึ่งขนบธรรมเนียมประเพณีที่เคยทำมา แทนที่จะพึ่งอย่างเดียว ไว้วางใจอย่างเดียว คือเราได้บังเกิดใหม่ เป็นความรักชนิดของพระเจ้าอยู่ข้างในเราแล้ว ต้องมาจากความรักจากภายใน ที่พระเจ้าสร้างมาในชีวิตเราเท่านั้น แต่การที่เราจะสามารถทำได้ ตามที่บอกนั้น เคล็ดลับอยู่ที่เห็น ซึมซับ และรับเอา และรับเอาพลังอำนาจของพระเจ้า ที่ไม่มีขีดจำกัด ไม่มีเงื่อนไข เท่ากับชาร์จพลังอำนาจ ความรักของพระเจ้าเข้ามา เราจึงมีพลังนี้ออกไปได้ เคล็ดลับอยู่ที่ซึมซับ รับเอาก่อน แล้วจึงจะให้ออกไป ฝึกที่จะเป็นคนรับก่อน ที่จะให้ ถ้าท่านไม่ฝึกที่จะเป็นคนรับ ท่านจะเอาอะไรไปให้  มันไม่มี ฝึกที่จะเป็นคนรับจากพระเจ้าก่อน 1 ยอห์น 4:17-18 นี่ก็ชัดเจนเหมือนกัน …

1 ยอห์น 4:17-18 “17 เช่นนี้  ความรักจึงเต็มบริบูรณ์ท่ามกลางเราทั้งหลาย  เพื่อเราจะมีความมั่นใจในวันพิพากษา  เพราะในโลกนี้  เราเป็นเหมือนพระองค์ 18 ในความรักไม่มีความกลัว  แต่ความรักที่สมบูรณ์  ย่อมขจัดความกลัวออกไป  เพราะความกลัว  เกี่ยวข้องกับการลงโทษ  ผู้ที่กลัว  ก็ยังไม่มีความรักที่สมบูรณ์”

 

อย่างที่ผมบอกแล้วใช่ไหมครับว่ามีอยู่ 2 แหล่ง ที่เราจะดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ข้างนอกดูคล้ายๆ กัน เราอาจจะทำดูเหมือนความรัก แต่ข้างในผลักดันมาจากความกลัว ไม่ได้มาจากความเชื่อ ในพระเยซูคริสต์ จากข่าวประเสริฐของพระองค์ หมายถึงความเชื่ออย่างแท้ๆ นะ ถ้าไม่เชื่ออย่างแท้ๆ มันก็เป็นความกลัว เมื่อเกิดความกลัว มันก็จะเห็นแก่ตัว จะพึ่งตนเอง  แต่ดูข้างนอก ดูไม่ออก

มีแต่ตัวเราเองเท่านั้น ที่จะเอาถ้อยคำพระเจ้า ในวันนี้ ไปวิเคราะห์ เข้าไปแก้ไข ชันสูตร ข้อกระดูก เข้าไปในจิตวิญญาณลึกๆ ว่าเราเป็นชนิดไหนกันแน่

“เช่นนี้ ความรักจึงเต็มบริบูรณ์ท่ามกลางเราทั้งหลาย เพื่อเราจะมีความมั่นใจในวันพิพากษา” เมื่อวานนี้ ใช้อารมณ์โกรธ ว่าคนอื่นเขาอย่างรุนแรง มั่นใจไหมว่าท่านได้ไปสวรรค์เหมือนเดิม มันหมายถึงอย่างนั้น  มั่นใจไหมว่าท่านได้รับความรอด รอดแล้วรอดเลย กำเนิดเกิดมาเป็น ท่านมั่นใจไหม? ถ้าไม่มั่นใจ ก็แสดงว่าความรักมันไม่เต็มบริบูรณ์ในท่าน ถ้าความรักของพระเจ้าที่ท่านเห็น ซึมซับ รับเอามันเต็มบริบูรณ์ในท่าน ท่านจะรู้เลยว่าอย่างไรท่านก็รอด พระเจ้าอภัยให้ท่านเรียบร้อยไปแล้ว ทั้งหมดแล้ว ครั้งเดียวเป็นพอ รักท่านดั่งแก้วตาดวงใจ ท่านเชื่อในพระองค์ เป็นลูกของพระองค์แล้ว อยู่ฝ่ายพระองค์ อยู่ข้างพระองค์ พระองค์ก็อยู่ฝ่ายท่าน เคียงข้างท่านตลอด มันหมายถึงอย่างนั้น

ความรักตรงนี้ทำให้เราเกิดความมั่นใจในความรอด บางคนยังไม่มั่นใจในความรอดของตนเองเลย อย่างนี้ต้องอธิษฐานเยอะๆ นะ เดี๋ยวจะสูญเสียความรอดตรงนี้ ต้องอภัยนะ ถ้าเธอไม่อภัย พระเจ้าก็ไม่อภัยให้เธอ อะไรประมาณนี้ เยอะแยะไปหมด เพราะความรักไม่เต็มบริบูรณ์

ในข้อ 18 บอกว่า “เพราะในความรักไม่มีความกลัว” เห็นไหม? ถ้าทำด้วยความรัก ไม่มีความกลัว แต่ความรักที่สมบูรณ์ ย่อมขจัดความกลัวออกไป จนหมดสิ้น ไม่มีการลงโทษ ผู้ที่กลัว ก็ยังไม่มีความรักที่สมบูรณ์

ถ้าท่านยังทำอะไรต่างๆ เพราะความกลัวอยู่ ก็ไม่มีความรักอย่างสมบูรณ์ มาคริสตจักรเป็นประจำดีไหม? ดีมาก  แต่พอไม่มาวันหนึ่งปุ๊บ ติดธุระวันหนึ่งปุ๊บ ท่านรู้สึกฟ้องผิด ไม่มาไม่ได้หรอก พระเจ้าไม่พอใจ เดี๋ยวเกิดตายไป ไม่ได้ไปสวรรค์ พระเจ้าไม่อวยพระพร ไม่ได้มา คิดเอาเองว่าในใจท่านคิดอะไรอยู่ ท่านถวายทรัพย์ เพราะกลัวว่าจะถูกสาปแช่งหรือ? เปาโลจึงสอนว่าให้เราอธิษฐาน ก็อธิษฐานจากใจ ถวายทรัพย์ให้ออกไป ก็ให้จากใจ จากความตั้งใจจริง ไม่ใช่ จากถูกคนเขาชักจูง ก็เกิดความกลัว หรือไม่ก็ความโลภ ชักจูงมี 2 อย่าง คือ …

“ถ้าเธอไม่ให้นะ สมาชิกไม่ให้นะ ตกนรก พระเจ้าจะสาปแช่ง” นี่คือความกลัว

ชักจูง ก็คือ … “นี่นะ เราจะได้รับรางวัลกลับคืน ได้อันนั้น อันนี้” แล้วเราก็ให้ ก็คือการลงทุน ไม่ใช่ความรักแท้

เพราะฉะนั้น สรุปจบความรักทั้งหลายทั้งปวงของเรื่องความรัก แบบไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้า ที่เราบอกรักไม่ฉุนเฉียว ไม่อวดตัว ไม่เย่อหยิ่ง ผยอง ไม่จดจำความผิดของผู้อื่น อภัยได้เสมอ อดทนได้ทุกอย่าง

ความรักทั้งปวงเหล่านี้ เคล็ดลับสรุปจบแล้วอยู่ที่ 1 ยอห์น 4:19 บันทึกไว้ว่า …

1 ยอห์น 4:19 “เรารัก ก็เพราะพระองค์ทรงรักเราก่อน”

 

เรารัก เราไม่ใช่ต้องรัก เรารัก เพราะพระเยซูรักเราก่อน  พูดง่ายๆ ว่าเราให้ความรัก เพราะพระเยซูให้ความรักกับเราก่อน เราไม่สามารถให้ความรัก ถ้าเราไม่รู้ว่าพระเยซูให้ความรักกับเรา สมมติความรักนี้เป็นเงิน เราให้เงินออกไป เพราะพระเยซูให้เงินกับเราก่อน เราจึงมีเงินไปให้คนอื่นเขาได้ ถ้าเราไม่รับความรักจากพระเยซู พระเยซูให้ความรักกับเรา แล้วเราไม่เอา แล้วเราจะเอาอะไรไปให้คนอื่น เราก็พยายามสร้างความรักเราเอง ให้กับคนอื่น มันก็อนิจจา มันก็ทุกข์ทรมาน และมันก็เสียข่าวประเสริฐของพระเจ้าของพระเยซูคริสต์ไป พระเยซูบอกว่าแอกของเราก็พอเหมาะ ภาระของเราก็เบา จงมาพักผ่อนในเรา หายเหนื่อยและเป็นสุข ก็คือรับมาอย่างไร? ก็ให้ไปอย่างนั้น รับจากพระเยซูคริสต์มาอย่างไร? ก็ให้อย่างนั้น เรารัก ก็เพราะพระองค์ทรงรักเราก่อน พระเจ้าอวยพรครับ

 

***************************

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2021 เรื่อง “พลังอำนาจแห่งความรัก ที่ไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้า” ตอนที่ 2 “พระคุณความรักของพระเจ้า เป็นพลังให้เราทำดี ตามความปรารถนาในใจ” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  21  กุมภาพันธ์  2021

 เรื่อง “พลังอำนาจแห่งความรัก ที่ไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้า”

ตอนที่ 2 “พระคุณความรักของพระเจ้า เป็นพลังให้เราทำดี ตามความปรารถนาในใจ”

โดย   นคร  เวชสุภาพร

 

วันนี้เรามาต่อถึงความรักของพระเจ้าที่เป็นพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่ ที่เราจำเป็นต้องนำมาใช้สอยในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ วันนี้เราจะมาต่อกันที่หัวข้อเรื่อง “พลังอำนาจแห่งความรัก ที่ไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้า”

สัปดาห์ที่แล้ววันวาเลนไทน์ เราเริ่มต้นกันตอน 1 ชื่อตอนว่า “จงมองให้เห็น ซึมซับ และรับเอา” สัปดาห์นี้มาต่อ ตอนที่ 2 ซึ่งมีชื่อตอนว่า “พระคุณความรักของพระเจ้า เป็นพลังให้เราทำดี ตามความปรารถนาในใจ” ในใจหรือในวิญญาณที่ได้บังเกิดใหม่  โดยพระเจ้านั่นเอง ครั้งที่แล้วเราสรุปกันตรงสุดท้ายที่โรม 8:38-39 …

โรม 8:38-39 “38 เพราะผมมั่นใจว่าไม่ว่าจะเป็นความตายหรือชีวิต ทูตสวรรค์หรือเทพเจ้า สิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน  หรือสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต  พวกวิญญาณที่มีฤทธิ์อำนาจ  สิ่งที่อยู่เหนือเรา 39 หรือสิ่งที่อยู่ต่ำกว่าเรา หรืออะไรก็ตาม ที่ถูกสร้างขึ้นมา พวกมันก็ไม่มีทางแยกเราออกจาก ความรักของพระเจ้า ที่เราเห็น ในพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา”

 

“ที่เราเห็นในพระเยซูคริสต์ของเรา” … “ที่เราเห็น” เป็นกุญแจสำคัญ

นี่อาจารย์เปาโลเขียน ผู้ซึ่งได้เรียนรู้จักความรักของพระเจ้า ผู้ประกาศข่าวประเสริฐ ข่าวดีตั้งแต่สมัยโน้น ในพระคัมภีร์ใหม่เยอะแยะมากมาย และตัวผมเองและท่านทั้งหลายที่ได้เรียนรู้จักเรื่องความรักของพระเจ้า  จากสัปดาห์ที่แล้ว จากถ้อยคำพระเจ้า  มีความมั่นใจหรือยังว่า …

“ไม่ว่าจะเป็นความตายหรือชีวิต ทูตสวรรค์หรือเทพเจ้า สิ่งที่เป็นอยู่ปัจจุบัน หรือสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และพวกวิญญาณที่มีฤทธิ์อำนาจ สิ่งที่อยู่เหนือเรา หรือสิ่งที่อยู่ต่ำกว่าเรา หรืออะไรก็ตามที่ถูกสร้างขึ้นมา พวกมันก็ไม่มีทางแยกเราออกจากความรักของพระเจ้าที่เราเห็นในพระเยซูคริสต์เจ้าของเรานี้ได้เลย”

ไม่มีทางเลย ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ให้เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ได้บังเกิดใหม่แล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว จะไม่มีสิ่งใดมาแยกเราออกจากความรักของพระเจ้า ไม่มีสิ่งใดที่จะแยกเราออกไปจากอ้อมกอดของพระเจ้าอีกเลย นี่พระเจ้าสัญญาไว้ ถึงขนาดนั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นความเจ็บป่วย ความตาย  ความยากจน ความทุกข์ยากลำบากในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ หรือการถูกหลอกลวง การทำบาปต่างๆ  ไม่มีอะไรเลยที่จะสามารถแยกเราออกจากพระเจ้าได้อีกแล้ว เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  และได้บังเกิดใหม่แล้ว

นี่คือคำสัญญาจากพระเจ้าผู้เป็นพ่อที่หนักแน่นมั่นคงในความรัก ที่มีต่อเรา ลูกๆ ของพระองค์ ซึ่งไม่ใช่เฉพาะขณะที่เรากำลังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้เท่านั้น แต่ไปถึงนิรันดร์กาลเลย มันจะเป็นอย่างนี้ว่าไม่มีใครเอาเราออกไป จากพระเจ้าได้อีกแล้ว เราต้องกล้าพูดตามความเป็นจริง

เพราะฉะนั้น ตอนที่เราเริ่มต้นอ่านบอกว่า … “เพราะผมมั่นใจ”

น่าเปลี่ยนเป็น … “เพราะฉันมั่นใจ” …  “เพราะฉันเห็นแล้ว ความรักของพระเจ้า ในพระเยซูคริสต์”

เห็นหรือยัง?  ถ้าเห็นแล้ว ก็สามารถพูดตรงนี้ได้ว่า …

“เพราะฉันมั่นใจแล้วว่าฉันมั่นใจในอะไร? ไม่มีใครเอาฉันออกจากพระเจ้าได้อีกแล้ว ฉันอยู่ในพระเจ้า ฉันรอดแล้ว รอดเลย”  มันหมายถึงอย่างนั้น

แต่ในความเป็นจริง ในการดำเนินชีวิตของคริสเตียนบนโลกใบนี้ ส่วนใหญ่ มักกลัวว่าทำไม่ดีพอ เดี๋ยวจะไม่ได้ไปสวรรค์ …

“ฉันยังทำบาปอยู่เลย ฉันจะไปสวรรค์ได้อย่างไร?”

มันจะแว๊บเข้ามาในความคิดอยู่เรื่อยๆ …

–  กลัวว่าพระเจ้าจะลงโทษ ถ้าเราทำแบบนี้

–  กลัวว่าพระเจ้าจะลงโทษ ถ้าเผื่อเราทำบาปอย่างนี้

ทั้งๆ ที่พระเจ้าบอกไว้ในโรม 8:1 ชัดเจนเลยว่า …

“ไม่มีการลงโทษแล้วลูกเอ่ย ไม่มีการลงโทษใดๆ สำหรับผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ ผู้ที่เป็นลูกพระเจ้า ไม่มีการลงโทษอีกแล้ว”

แต่เราก็มักทำอย่างนี้ เดี๋ยวพระเจ้าลงโทษ เดี๋ยวพระเจ้าไม่ให้พร  นี่แหละ คือความสงสัย ความไม่เชื่อ ความไม่สงบสุขในการดำเนินชีวิตคริสเตียนบนโลกใบนี้  ซึ่งทำให้พระเจ้าทุกข์ใจ พระเจ้าอยากให้ลูกของพระองค์มีความสุข  ซึ่งพระองค์ก็บอกว่า …

“เราจะไม่ละทิ้งเจ้า  เราจะอยู่กับเจ้า จะรักเจ้านิรันดร์กาล ตลอดไปนั่นเอง”

พระเจ้ากำลังโอบกอดเราอยู่ขณะนี้ ด้วยความรักของพระองค์ จงมองให้เห็นเถิด พระเจ้ากำลังโอบกอดเรา ปลอบโยนเราว่า …

“เรายังคงรักเจ้าดั่งแก้วตาดวงใจของเรา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ไม่ว่าเจ้าจะเป็นเช่นไร ไม่ว่าเจ้าจะทำดีมากน้อยแค่ไหน? ก็ตาม ไม่ว่าเจ้าจะรู้สึกเชื่อมากหรือเชื่อน้อยก็ตาม เรายังคงรักเจ้า เป็นความรักนิรันดร์เหมือนเดิม พระเจ้าไม่เปลี่ยนแปลง”

ไม่ว่าเราจะเปลี่ยนแปลงเท่าไร? พระองค์บอกว่าพระองค์ไม่เปลี่ยนแปลง พระองค์รักเราเหมือนเดิม ในอดีตเป็นอย่างไร พระองค์ก็รักเราเหมือนเดิม วันนี้และสืบๆ ไปเป็นนิตย์ เอเมน ตามถ้อยคำพระเจ้า

“รักของเราที่มีต่อเจ้า ไม่มีเงื่อนไข ไม่มีคำว่าถ้า ไม่มีคำว่าแม้ ไม่มีคำว่าแต่ใดๆ ทั้งสิ้น”

ไม่มีเลย นี่คือความจริงที่เราต้องใส่เข้ามา นี่คือความรักของพระเจ้าที่พูดกับเรา บอกเรา  เป็นการสำแดงออก ที่เราได้เรียนรู้ไปสัปดาห์ที่แล้ว จากการถูกตรึง สิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน และการเป็นขึ้นจากความตาย  ซึ่งเราทั้งหลายก็เป็นขึ้นมากับพระองค์ด้วย

นี่แหละ เราต้องเห็นสิ่งเหล่านี้ในชีวิตคริสเตียนของเรา  ที่กำลังดำเนินบนโลกใบนี้ ถ้าเราอยากทำให้พระเจ้าพอพระทัย พระเจ้าแฮปปี้ เราต้องเห็นสิ่งต่างๆ เหล่านี้

พระคัมภีร์จึงบอกว่าผู้ชอบธรรมจะดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ ด้วยการเชื่อเอา ไม่ใช่ตามองเห็น ไม่ใช่ใช้ความรู้สึก

“วันนี้ รู้สึกพระเจ้ารักเรามาก”

“วันนี้ รู้สึกพระเจ้าเกลียดฉันมาก”

“วันนี้ รู้สึกฉันไม่ดีเลย  ในสายตาพระเจ้าคงไม่พอใจฉัน”

พระเจ้าบอก … “ไม่มีเงื่อนไข ไม่ว่าเจ้าจะรู้สึกอย่างไรก็ตาม เราก็รักเจ้าไม่เปลี่ยนแปลง แม้ว่าเจ้าจะเปลี่ยนแปลง แต่เราก็ไม่เปลี่ยนเด็ดขาด  เพราะเราเป็นผู้ให้กำเนิดเจ้า”

พระเจ้าตรัสกับเราอย่างนี้  กำลังโอบกอดเราอยู่ อยู่กับเรา อยู่ในอ้อมพระหัตถ์ของพระองค์อยู่ในขณะนี้  จงมองให้เห็นเถิด

และไม่ใช่เฉพาะกับผู้เชื่อ ที่ใช้สิทธิของเขา ที่พระเยซูคริสต์ได้ตายที่ไม้กางเขน เพื่อเขาเรียบร้อยไปแล้วนั้น  ไม่ใช่เฉพาะคริสเตียนเท่านั้น  ที่พระเจ้ารักมากแบบนี้  แต่รวมทั้งมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้  ที่ยังไม่ใช้สิทธิของเขา  ที่ยังไม่เชื่อในข่าวดีของพระองค์ พระองค์ก็รักเขาอย่างนี้แหละ รู้ได้อย่างไร? ก็ในยอห์น 3:16 ที่เรารู้จักกันดี บันทึกไว้ …

ยอห์น 3:16 “เพราะว่าพระเจ้ารัก ผูกพันกับมนุษย์ในโลกนี้มาก  จนถึงขนาดยอมสละพระบุตรเพียงองค์เดียวของพระองค์  เพื่อว่าทุกคนที่ไว้วางใจในพระบุตรนั้น  จะไม่สูญสิ้น (ในนรก) แต่จะมีชีวิตนิรันดร์กับพระเจ้าตลอดไป”

 

นี่ชัดเจน แจ่มใสเลยนะ  รักมนุษย์ ผูกพันกับมนุษย์ในโลกนี้มากเลย ก็คือมนุษย์ทุกคน  เพื่อว่าทุกคนที่วางใจในพระบุตร คือวางใจในพระเยซู จะได้ไม่ต้องอยู่ในนรกต่อไป  แต่จะได้รับชีวิตของพระเจ้า … ชีวิตนิรันดร์ ก็คือชีวิตที่เป็นเหมือนพระเจ้า ที่เป็น DNA  ทางฝ่ายวิญญาณ มาจากพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้านั่นเอง ไม่ตกนรก  เพราะโทษของความบาป แค่นั้นไม่พอ  ยังรับเราเป็นลูกอีก

โรม 5:8 ที่สัปดาห์ที่แล้วเราได้อ่านกัน  และเป็นหัวข้อสำคัญ บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

โรม 5:8  “แต่พระเจ้าได้แสดงความรักต่อเรา  โดยยอมส่งพระคริสต์มาตายเพื่อเรา ทั้งๆ ที่   เรายังเป็นคนบาปอยู่

 

“ทั้งๆ ที่เรายังเป็นคนบาปอยู่” … “เรา” คือมนุษย์ทุกๆ คน ไม่ใช่คริสเตียนอย่างเดียว “แม้ว่ามนุษย์ทุกคนยังเป็นคนบาปอยู่” เป็นคนบาป ไม่ได้ทำบาป  ทำบาปนั้นทำแน่ๆ  แต่บางคนบอกว่าเขาไม่ได้เป็นคนบาป  แค่ทำบาปเฉยๆ  แต่พระคัมภีร์บอกว่าเขาเป็นคนบาป “เป็น” กับ “ทำ” มันต่างกันเยอะนะ

พระเจ้าบอกว่ารักมนุษย์ทุกคนมาก  แม้ว่ามนุษย์ทุกคนยังทำชั่ว ทำบาป “เป็นคนบาป” ก็คือเป็นปฏิปักษ์ เป็นศัตรูกับพระเจ้า ไม่รู้จักพระเจ้า เมื่อไม่รู้จักพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า ไม่ใช่ไม่เชื่ออย่างเดียว  เกลียดด้วย เพราะว่าเป็นศัตรู พระคัมภีร์บอกอย่างนั้น ไม่เชื่อฟัง ดื้อ ลบหลู่พระเจ้า เหยียดหยามพระเจ้า และอะไรต่างๆ อีกมากมาย ท่านลองคิดดูสิ ในใจของมนุษย์  ล้อเลียนพระเจ้า ไม่ว่าทำอะไรก็ตามที่เรียกว่าเป็นบาป ที่เป็นศัตรูกับพระเจ้า พระเจ้าบอกว่าไม่ถือสา  ยังรักเขามากเหมือนเดิม และมากยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด ที่มนุษย์ผู้ที่เชื่อแล้ว เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว เป็นลูกแล้ว เข้ามาอยู่ในอ้อมกอดพระองค์ เป็นมิตรกับพระองค์แล้ว เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์แล้ว รักพระองค์แล้ว  มากกว่านั้นสักเท่าใดที่พระเจ้าจะปกปักษ์ คุ้มครอง ดูแล ปลอบโยน โอบกอด หวงแหน  ห่วงใยเขา มากกว่านั้นอีกสักเท่าใด  เพราะตอนนี้เข้ามาอยู่ในครอบครัวของพระองค์แล้ว เป็นลูกของพระองค์แล้ว เกิดใหม่แล้ว

ท่านลองคิดดูแล้วกัน  ความรักของพระเจ้าที่ไม่มีเงื่อนไขอย่างนี้ จึงเป็นพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่มหาศาล เป็นกุญแจสำคัญในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ของคริสเตียน

ทำไมถึงบอกว่าเป็นพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่ สำหรับคริสเตียน ก็เพราะว่าคนที่ยังไม่ได้เป็นคริสเตียน ยังไม่ได้เป็นลูก เขายังไม่เข้าใจสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ก็ไม่สามารถอยู่แล้วที่จะรับ ซึมซับ และเห็นความรักของพระเจ้า เป็นพลังงานตรงนี้เข้ามาในชีวิตของเขา แต่คนที่ดำเนินชีวิต เป็นคริสเตียนแล้ว  พระเจ้าได้กระทำสิ่งต่างๆ เหล่านี้  เรียบร้อยไปแล้ว เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ อยู่ในวิญญาณของเขาแล้ว เขาจึงมีโอกาสได้ใช้ความรักอันนี้ ให้เป็นประโยชน์ เป็นกุญแจสำคัญในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ให้เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าได้

เพราะฉะนั้น การเรียนรู้ รับรู้ ให้เห็น ให้ซึมซับและรับเอาความรักที่ไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้า ซึ่งเป็นพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่ ในการขับเคลื่อนชีวิตของเรานั้น  เป็นพลัง เป็นแรงบันดาลใจในวิญญาณ ไม่ใช่ในใจนะ  หรือเรียกว่าในใจใหม่ที่พระเจ้าให้เราเกิดใหม่แล้ว เพื่อว่าจะดลบันดาล ผลักดันให้ใจของเรา หรือวิญญาณของเราทำดีตามน้ำพระทัยพระเจ้า ทำตามแผนการของพระเจ้า ไม่ใช่ทำตามความคิดของตนเอง มันสำคัญอย่างนี้

และเมื่อได้รับรู้อย่างนี้แล้ว ซึมซับ เห็นความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ตามถ้อยคำพระเจ้าอย่างนี้แล้ว ถามว่าจะเป็นอันตรายไหม? หรือจะทำให้ทำบาปมากขึ้นหรือ?  คนที่ไม่เข้าใจ ก็จะคิดอย่างนี้  เหมือนกับคิดอย่างนี้มาแล้ว 2,000 ปี ที่บันทึกไว้ในหนังสือโรม เขาก็คิดอย่างนี้ เวลาอาจารย์เปาโลแสดงความรักของพระเจ้า ให้เขาเห็นว่าพระเจ้ารักเขาขนาดไหน?  เขาก็คิดอย่างนี้ว่าจะทำให้คนเอาความรักนี้ ไปทำบาปมากขึ้นอย่างนั้นหรือ? เราจะเรียนรู้เรื่องนี้ เพื่อจะให้เห็นชัดว่าเปาโลพูดว่าอย่างไร?  พระเจ้าต้องการอะไร?  และเป็นจริงตามที่เขาคิดไหมว่าเห็นความรักของพระเจ้าอย่างนี้  ซึมซับความรักของพระเจ้าอย่างนี้  รับเอาความรักของพระเจ้าที่ไม่มีเงื่อนไขใดๆ ทั้งสิ้นอย่างนี้ เข้ามาแล้ว รู้แล้ว อย่างนี้  จะทำให้ทำบาปมากขึ้นจริงๆ หรือ? อะไรจะมาเป็นตัวพิสูจน์ตรงนี้ได้ ก็คือความจริงเท่านั้น เพราะพระคัมภีร์บอกว่าความจริง จะทำให้เราเป็นไท เป็นอิสระจากการถูกหลอกลวง

เพราะฉะนั้น เราต้องรู้ความจริงให้ได้ มาศึกษาด้วย มาดูด้วยกันว่าถ้อยคำพระเจ้าบันทึกไว้ว่าอย่างไร?  พระเจ้าได้สำแดงความรักของพระองค์อย่างไร? ในถ้อยคำของพระองค์บอกไว้อย่างไร? เราจะได้เป็นอิสระ เป็นไทจากการถูกหลอก

มันมีความจริงในถ้อยคำพระเจ้าอีกหลายอย่าง ที่อาจจะไม่จำเป็นมากนัก แต่พื้นฐานที่จำเป็นมาก สำหรับการดำรงชีวิตคริสเตียน ผู้เชื่อ ให้เป็นไปตามถ้อยคำพระเจ้า เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า  เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า พื้นฐานความจริงนี้ ก็คือ …

“เรากำเนิด เกิดมาเป็นลูกของพระเจ้า  เป็นผู้บริสุทธิ์ของพระเจ้า”

เรากำเนิด เกิดมาเป็น ไม่ใช่ด้วยความประพฤติ หรือการกระทำของเราเอง

เปาโลก็พยายามอธิษฐาน หัวข้อสำคัญเลย ให้กับผู้เชื่อทั้งหลาย …

“พระเจ้าเปิดตาภายในวิญญาณของเขา ประทานสติปัญญาและวิญญาณแห่งการสำแดงความรู้ของพระองค์ให้กับเขา เพื่อเขาจะได้เห็น ซึมซับ และรับเอาฤทธิ์เดชอำนาจอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ อันมหาศาลมาก ที่พระองค์ทรงกระทำ ที่พระเยซูคริสต์ เมื่อตอนที่พระองค์ทรงชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย พระองค์ทรงมอบพระบุตรของพระองค์ให้กับเขาทั้งหลายแล้ว”

“เขาทั้งหลาย” คือมนุษย์ทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกำลังอธิษฐานให้กับผู้ที่เชื่อแล้ว  ได้เห็นถึงสิ่งเหล่านี้

เราจะมาดูสิว่าเปาโลพูดอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้นิดหนึ่ง เพื่อเราจะได้เห็น  อย่างที่เปาโลได้เห็นแล้ว โดยพระเจ้าเปิดตาวิญญาณให้เขาได้เห็นความจริงแห่งข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ เขาจึงทิ้งทุกอย่าง แล้วมองไปที่อย่างเดียว เห็นอย่างเดียว คือพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า ทรงสิ้นพระชนม์ ด้วยความทุกข์ทรมาน  ที่ไม้กางเขน ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 นี่คือสุดยอดความรักของพระเจ้า  ที่ได้สำแดงแล้ว ให้เห็นแล้ว ชัดเจนทั่วโลกแล้ว มหาจักรวาลนี้ ได้เห็นหมดเลยสิ่งเหล่านี้ ที่เกิดขึ้นว่าพระเจ้ารักมนุษย์ขนาดไหน?  ยิ่งใหญ่ขนาดไหน? และกระทำสำเร็จแล้วด้วย คือการตายที่ไม้กางเขนของพระบุตรของพระองค์ คือการอภัยในความบาปผิดทั้งสิ้นของมนุษยชาติตลอดไปเลย อภัยทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็ตาม ไม่ใช่อภัยอย่างเดียว  แต่ยังรับเขามาเป็นลูกของพระองค์ โดยการให้กำเนิดกับเขา ให้เขาเกิดใหม่พร้อมกับพระเยซูคริสต์ ร่วมกับพระเยซูคริสต์ไปเลย ครอบครองร่วมกับพระเยซูคริสต์ไปเลย เป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์ไปเลย

นี่คือความรักที่ได้สำแดงแล้ว ถ้าใครเห็น เขาจะเห็นความรักที่ยิ่งใหญ่นี้ เปาโลจึงพยายามที่จะอธิบายตรงนี้ให้ฟัง เราลองมาติดตามดูว่าเปาโลอธิษฐาน อยากให้เราเห็นอะไร? เมื่อตะกี้นี้ อธิษฐานอยู่ในเอเฟซัส 1:16 เป็นต้นมา จนมาถึงเอเฟซัส บทที่ 2 เริ่มต้นที่ข้อ 1-3 ก่อน …

เอเฟซัส 2:1-3  “1 ส่วนท่านทั้งหลายได้ตายแล้วในวิญญาณ  จากการล่วงละเมิด  และในบาป (ในอาดัม)  ถูกตัดขาดจากความสัมพันธ์กับพระเจ้า  จากความบริสุทธิ์ของพระเจ้า 2 ซึ่งท่าน เคยดำเนินชีวิตตามวิถีของบาปของโลกนี้  และตามการครอบงำของเจ้าแห่งย่านฟ้าอากาศ (มาร) ซึ่งเป็นวิญญาณ  ที่บัดนี้ทำการอยู่ในบรรดาผู้ที่ไม่เชื่อ (ไม่ได้ใช้สิทธิ์ในการไถ่บาปของพระเยซู) 3 ครั้งหนึ่ง เราเคยมีชีวิตเหมือนกับผู้คนเหล่านั้นที่ (ไม่เชื่อ ไม่ได้ใช้สิทธิ์ ในการไถ่บาปของพระเยซู) ทำตามตัณหาของวิสัยบาปของเรา  สนองความอยากกับความคิดของมัน  ตามธรรมชาติบาปของวิญญาณที่ตายของเรา  (ในอาดัม เป็นศัตรูกับพระเจ้า ไม่บริสุทธิ์ ไม่มีพระลักษณะของพระเจ้า) เราจึงควรแก่การถูกลงโทษ  สาปแช่ง  เหมือนคนอื่นๆ ที่ไม่เชื่อ ไม่ได้ใช้สิทธิ์ ในการไถ่บาปที่พระเยซูได้กระทำให้”

 

อาจารย์เปาโลอธิษฐาน … “โอ พระเจ้าเปิดตาวิญญาณให้กับเขา  ให้สติปัญญากับเขา ที่เขาจะเข้าใจเรื่องโลกวิญญาณอย่างนี้ด้วยเถิด  คือว่า ให้เขาเห็นว่าก่อนที่เขาจะเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เขาเป็นอย่างไรอยู่ ในวิญญาณเขาเป็นอย่างไร? และหลังจากที่เขาเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ แล้วเป็นอย่างไรนั่นเอง”

ในอดีตก่อนเชื่อนั้น ท่านทั้งหลายได้ตายแล้วในวิญญาณ จากการล่วงละเมิดในบาป “ในบาป” ก็คือในอาดัม ท่านตายจากพระเจ้า คือท่านไม่รู้จักพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า  และตัวท่านเองในโลกวิญญาณ อยู่ในอาณาจักรหนึ่งที่เรียกว่าในอาดัม เหมือนเราอยู่ในประเทศไทย ในประเทศอเมริกา  ประเทศอังกฤษ ตอนนี้ในโลกวิญญาณท่านอยู่ในอาดัม มนุษย์ทั้งหลาย  ที่ไม่เชื่อพระเจ้าอยู่ในอาดัม อยู่ในบาป  ถูกตัดขาดจากความสัมพันธ์กับพระเจ้า จากความบริสุทธิ์ของพระเจ้า เห็นไหมครับ ไม่มีความบริสุทธิ์เหลืออยู่เลย ซึ่งท่านเคยดำเนินชีวิตตามวิสัยของบาปนี้ แล้วมันครอบงำชีวิตท่านอยู่ด้วยบาปนี้  ครอบงำโดยมาร  และบัดนี้ มารตัวนี้ ก็ยังทำการงานครอบงำอยู่ในคนไม่เชื่อนั่นเอง

ครั้งหนึ่ง เราเคยมีชีวิตเหมือนกับคนเหล่านั้น ก็คือครั้งหนึ่ง ตอนก่อนที่เราจะเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เราก็เป็นอย่างนั้นแหละ  เพราะฉะนั้น ตามธรรมชาติของความบาป ของวิญญาณที่ตายอยู่นั้น ที่ยังไม่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์นั้น เรียกว่าวิญญาณนั้นอยู่ในอาดัม เป็นศัตรูกับพระเจ้า ไม่บริสุทธิ์ ไม่มีพระลักษณะของพระเจ้าอยู่ในวิญญาณนั้นเลย แม้แต่นิดหนึ่ง ในวิญญาณที่เป็นตัวตนจริงๆ ของมนุษย์ทุกคนเลย

ในขณะนั้น ในวิญญาณที่เป็นศัตรูกับพระเจ้านั้น เราจึงสมควรแก่การถูกลงโทษ ก็คือถูกตัดสินพิพากษาลงโทษไปแล้ว ให้อยู่ในนรก  ก็คือถูกสาปแช่งตลอดเวลา  เพราะตอนนั้นเรายังไม่เกิดใหม่  เรายังไม่เปิดใจต้อนรับผู้ช่วยให้รอดของเรา  เราไม่สามารถช่วยเหลือตัวเราเอง ให้เป็นคนดีได้  เพราะว่าเราเกิดมาบาป  ไม่ใช่เราทำบาป ถ้าเราทำบาป เรายังแก้ให้ทำดีได้ แต่เราเกิดมาบาป  แล้วจะทำอย่างไรล่ะ

เปาโลบอกว่า … “ข้าพเจ้าอธิษฐานให้กับท่านอยู่เสมอๆ ตลอดเวลาเลย ขอพระเจ้าทรงเปิดตาวิญญาณให้ท่านเห็นเถิด”

เอเฟซัส 2:4  “แต่เนื่องด้วยความรักใหญ่หลวงที่ทรงมีต่อเรา  พระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยพระเมตตาอันอุดม”

 

ก่อนที่ท่านจะเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด มาเป็นผู้ช่วยท่าน  ให้พ้นจากการเป็นคนบาป ให้พ้นจากการอยู่ในอาณาจักรหนึ่งที่เรียกว่าอาณาจักรอาดัม ในบาป ในอาดัม ในความมืด ในนรก เพราะมันเกิดมาเป็น มันจึงเป็น 100% ไม่มีครึ่งๆ กลางๆ ไม่ใช่เกิดมาเป็นอาดัม เกิดเป็นคนบาป แล้วกระทำดีเยอะๆ เพราะฉะนั้น บาปลดเหลืออยู่ 50% ไม่ใช่ เพราะมันเกิดมาเป็น

ที่ผมบอกพื้นฐานความจริงของถ้อยคำพระเจ้าจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะเราเกิดมาเป็น เราจะทำดีให้ตาย อย่างไร มันก็ไม่สามารถลบความเป็นเราไปได้ เหมือนฝรั่งมาอยู่เมืองไทย  จะพยายามฝึกกินปลาร้า ฝึกกินน้ำพริกปลาทูมากเท่าไร? ฝึกกินแกงมากเท่าไร? ก็ไม่สามารถที่จะทำให้เขาเป็นคนไทยได้  หรือคนไทยพยายามฝึกกินขนมปัง  กินเนย กินเบค่อน กินทุกวัน เพื่อจะให้เป็นฝรั่ง มันก็เป็นไปไม่ได้ เพราะว่ามันเกิดมาเป็น เพราะเนื่องด้วยความรักใหญ่หลวง ที่ทรงมีต่อเรา “เรา” คือมนุษย์ทุกคน พระเจ้าผู้เปี่ยมล้นไปด้วยพระเมตตาและพระคุณอันอุดม

พูดง่ายๆ “จงมองให้เห็นเถิด จงซึมซับและรับเอาเถิด”

รับเอา ความรักอันใหญ่หลวง ที่ทรงมีต่อเรา พระเจ้าผู้เปี่ยมล้นด้วยพระเมตตา และพระคุณอันอุดม รักเรามากมายมหาศาล  อย่างไม่มีเงื่อนไขเลย รักเราทั้งหลายมนุษย์ทุกคน โดยเฉพาะคนที่เชื่อ เปิดใจแล้ว เป็นลูกของพระองค์แล้ว  จงซึมซับ รับเอาพลังงาน แห่งความรักนี้ จงมองให้เห็นเถิด …

เอเฟซัส 2:5  “จึงได้ทรงกระทำให้ วิญญาณของเรากลับมีชีวิตอยู่กับพระคริสต์  แม้ในขณะที่วิญญาณเราได้ตายแล้วในบาป  คือท่านทั้งหลายได้รับความรอด (จากการลงโทษ จากคำสาปแช่ง) โดยพระคุณ”

 

พูดง่ายๆ ก็คือมีการย้ายถิ่นฐานเกิดขึ้น  มีการย้ายที่อยู่ในอาณาจักรในโลกวิญญาณเกิดขึ้น  ด้วยความรักนี้ พระเจ้าจึงได้ทรงกระทำให้วิญญาณของเรา  ซึ่งเป็นตัวตนแท้ๆ ของเรานั้น กลับมามีชีวิต เมื่อตะกี้ตายอยู่ในอาดัม กลับมามีชีวิต อยู่ในพระคริสต์ แม้ขณะที่วิญญาณเราได้ตายไปแล้วในบาป  คือท่านทั้งหลายได้รับความรอดนี้  รอดจากในอาดัม ในอาณาจักรของความมืด ที่เรียกว่านรกนี้ ซึ่งเรียกว่าการถูกลงโทษ ถูกสาปแช่ง ในนรกนี้ รอดโดยพระคุณความรักอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ที่มีต่อท่าน เป็นความรักที่ไม่มีเงื่อนไข จึงเรียกว่าพระคุณไง  คือไม่มีเงื่อนไข ให้ฟรีๆ  ให้เปล่าๆ ให้เป็นของขวัญ  ช่วยท่านด้วยความรักของพระองค์ ช่วยท่านย้ายถิ่นฐาน ออกจากในอาดัม มาเกิดใหม่  มีชีวิตใหม่ในพระคริสต์  ย้ายมาเลย ไม่ใช่ย้ายมาครึ่งๆ กลางๆ อีกแล้ว

ในโลกวิญญาณ ก็เหมือนกับโลกวัตถุ บนโลกวัตถุนี้ เราอยู่ที่ใดที่หนึ่ง ถูกไหมครับ? เราอยู่ในประเทศจีน  หรือเราอยู่ในประเทศไทย  เราอยู่ในกรุงเทพ หรือเราอยู่ที่เชียงใหม่  เราต้องอยู่ที่ใดที่หนึ่งแน่ ในโลกวิญญาณก็เช่นเดียวกัน มี 2 แห่งเท่านั้นเอง  ท่านจะอยู่ในอาดัมหรืออยู่ในพระคริสต์ ซึ่งท่านทำเองไม่ได้ด้วย  ต้องเกิดมาเป็น เกิดมาอยู่ในอาดัม หรือจะเกิดใหม่อยู่ในพระคริสต์ พระเจ้าสามารถทำให้ท่านได้ และทำให้เรียบร้อยไปแล้ว  โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน  ซึ่งสำแดงความรักอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ที่มีต่อเราทั้งหลาย  ดูในข้อ 6 ต่อ …

เอเฟซัส 2:6  “และพระองค์ได้ทรงให้วิญญาณของเรา  เป็นขึ้นมากับพระคริสต์  และในพระเยซูคริสต์  พระเจ้าได้ทรงให้เรานั่งในสวรรค์สถานกับพระคริสต์”

 

โอ้โห! เห็นหรือยัง ทำไมเปาโลจึงอธิษฐานวิงวอน ด้วยน้ำตาไหลเลยว่า … ขอให้ตาวิญญาณทุกคนเปิดออก ได้เห็นสิ่งต่างๆ เหล่านี้ … เพราะว่าถ้าเขาเห็นสิ่งต่างๆ เหล่านี้  เขาจะได้ซึมซับ รับเอาพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าที่ไม่มีเงื่อนไข สำหรับเขา ที่ทำให้สำเร็จเรียบร้อยแล้ว เป็นพลังงาน ขับเคลื่อนในการดำเนินชีวิต  และพระองค์ทรงให้วิญญาณของเรา เป็นขึ้นมากับพระคริสต์

พระองค์ให้วิญญาณของเรา ที่ตายอยู่ในอาดัม อยู่ในนรกกับอาดัม เป็นขึ้นมาพร้อมพระเยซูคริสต์ ในโลกวิญญาณนั้น พระคัมภีร์พูดไว้ในหนังสือโรม บทที่ 6 บอกว่าเมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ พระองค์นำวิญญาณของเรา  เข้าไปในการชำระให้สะอาดหมดจด บริสุทธิ์ โดยการนำวิญญาณของเรา ผ่าตัดวิญญาณของเรา ที่อยู่ในอาดัมนั้น เข้าไปอยู่ในพระคริสต์ แล้วก็ไปตายชดใช้บาป  ที่ไม้กางเขน ร่วมกับพระเยซูคริสต์ เพราะเราอยู่ในพระเยซูคริสต์ ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ เพื่อเป็นพยานหลักฐานว่าเราได้ตายต่อตัวเก่า ซึ่งอยู่ในอาดัมนั้น ได้ถูกฆ่าให้ตายเรียบร้อย ได้ถูกกำจัดไปเรียบร้อยแล้ว  ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 เกิดใหม่ พร้อมๆ กับพระเยซูคริสต์ เพราะเราอยู่ในพระเยซูคริสต์ มันหมายถึงอย่างนั้น

“และในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ทรงให้เรา”

“ได้” แปลว่าทำแล้ว และในการเกิดใหม่พร้อมกับพระเยซูคริสต์นั้น พระองค์ได้แต่งตั้งวิญญาณของเราที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ ให้เรานั่งในสวรรค์สถานกับพระคริสต์ด้วย  พระคริสต์นั่งในสวรรค์สถาน เราก็นั่งพร้อมกับพระเยซูคริสต์ ที่เบื้องขวาของพระองค์ในสวรรค์สถาน  ก็แปลว่าขณะนี้ได้ทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว  ขณะที่เราเรียกว่าเป็นคริสเตียน เป็นผู้เชื่อที่ยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ วิญญาณของเรา ได้กำเนิด เกิดมาเป็นลูกของพระเจ้า นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน  ในพระเยซูคริสต์แล้ว ออกจากอาดัมเข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว พระเยซูคริสต์นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า เราก็นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าด้วย

ในอดีต ในอาดัมได้ถูกลงโทษ ตายจากพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า เราก็อยู่ในอาดัม ตายต่อพระเจ้า เป็นศัตรูต่อพระเจ้า เกลียดพระเจ้า อยู่ในนรก แต่เดี่ยวนี้เราอยู่ในพระคริสต์ นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์ครับ

พูดพร้อมกันตอนนี้เลยว่า … “เราอยู่ในสวรรค์แล้วเดี๋ยวนี้”

เปิดใจรับเชื่อพระเยซู เราก็อยู่ในสวรรค์แล้ว ขอพระเจ้าประทานสติปัญญา และวิญญาณแห่งการสำแดงความรู้ เปิดตาวิญญาณให้เราทั้งหลายได้เห็นถึงสิ่งเหล่านี้เถิด  นี่แหละคือพื้นฐานสำคัญที่จะได้เห็น เพื่อจะได้ซึมซับและรับเอาพลังอำนาจความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ที่มีต่อเรามนุษย์ทั้งหลายบนโลกใบนี้ เข้ามาเป็นแรงผลักดันในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  ข้อที่ 7 …

เอเฟซัส 2:7  “เพื่อในยุคต่อๆ ไป  พระองค์จะได้ทรงสำแดงความอุดมแห่งพระคุณ  อันหาใดเปรียบ  ซึ่งได้ทรงแสดงด้วยพระกรุณาที่มีต่อเราในพระเยซูคริสต์

 

พูดง่ายๆ ว่าได้แสดงความรักอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ให้กับเรา ในพระเยซูคริสต์แล้ว ก็จะสำแดงอย่างนี้ตลอดไปทุกยุค ทุกสมัย ชั่วนิรันดร์ มันหมายถึงอย่างนั้น จงมองให้เห็นเถิด  ข้อ 8 …

เอเฟซัส 2:8  “เพราะโดยพระคุณ ความเมตตา และความโปรดปรานของพระเจ้า  ที่ได้นำท่านเข้ามาอยู่ในพระคริสต์  ท่านทั้งหลายจึงได้รับความรอดพ้นจากการถูกตัดสินลงโทษ เนื่องจากบาป และได้รับชีวิตนิรันดร์ผ่านทางความเชื่อ”

 

ท่านเห็นความรัก ซึมซับและรับเอาความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าที่มีต่อเราไหม? เปาโลพูดแล้วพูดอีก  ซ้ำแล้วซ้ำอีก

“เพราะโดยพระคุณ ความเมตตา ความโปรดปรานของพระเจ้า”

เพราะความรัก ความเมตตา พระคุณของพระเจ้าที่ให้เราฟรีๆ โปรดปรานเรามากเลย ของพ่อเราที่อยู่ในสวรรค์  ที่ได้นำเรา ย้ายออกมาจากในอาดัม ในนรก มาอยู่ในพระคริสต์ มาอยู่ได้ เพราะความรัก ความเมตตา ผมจะย้ำตามเปาโลนะ เพราะพระคุณความรัก เมตตา ความโปรดปรานของพระเจ้าที่มีต่อเราทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจึงได้รับความรอด  พ้นจากการถูกตัดสินลงโทษ เนื่องจากบาป เราทั้งหลาย จึงสามารถหลุดพ้นจากการถูกตัดสินลงโทษ  เพราะเราอยู่ในอาดัม อยู่ในความบาป เป็นคนบาปอยู่นั้น  รอดออกมาได้ และได้รับชีวิตนิรันดร์  ก็คือได้รับการเป็นลูกของพระเจ้า  มีวิญญาณที่มาจากพระเจ้า  เรียกว่าวิญญาณนิรันดร์ ได้รับชีวิตนิรันดร์ แปลว่าอย่างนี้ ไม่ใช่ตลอดรอดฝั่ง ตลอดไป ตลอดกาล ไม่ใช่  ชีวิตนิรันดร์ คือคุณภาพชีวิตที่เป็นเหมือนพระเจ้า เป็นวิญญาณแบบพระเจ้า ที่พระเจ้าได้แบ่งส่วนของพระองค์ วิญญาณของพระองค์มาให้กับเรา  เรียกว่าชีวิตนิรันดร์ พระเจ้าเป็นชีวิตนิรันดร์  เราก็เป็นชีวิตนิรันดร์  ที่พระเจ้าแบ่งส่วนมาให้กับเรา

ได้รับชีวิตนิรันดร์ โดยการบังเกิดใหม่  ผ่านทางความเชื่อ เริ่มต้นด้วยเชื่อในความรักของพระเจ้า  ที่สำแดงออกของพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน พอเราเริ่มเชื่อปุ๊บ เราก็เปิดใจ  หว่านเมล็ดมัสตาร์ดแห่งความเชื่อของเรา นิดเดียวลงไปในความไว้วางใจในพระเยซูคริสต์ ฤทธิ์เดชอำนาจแห่งความรักอันยิ่งใหญ่ อันไม่มีเงื่อนไขนี้  ก็เกิดพลังมหาศาล เกิดอัศจรรย์ขึ้น ทำให้เราได้บังเกิดใหม่ นี่แหละ เราจำเป็นต้องใช้พลังนี้ ในการดำเนินชีวิตต่อไป ด้วยความเชื่อ บนโลกใบนี้นั่นเอง

เห็นความรัก ซึมซับ และรับเอาไหม? ความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ท่านเห็นอะไรไหม? จากข้อความเมื่อสักครู่นี้  ก็คือพระเจ้าทรงอภัยในบาปทั้งสิ้นของเรา ไม่ว่าจะอดีต ปัจจุบัน อนาคต อภัยให้หมดเรียบร้อย จนเราสะอาดหมดจด พ้นจากบาป  แค่นั้นไม่พอ ยังรับเราเป็นลูกของพระองค์ และเข้ามาสถิตอยู่กับเรา โอบกอดเรา ณ วินาทีนั้น และไปถึงนิรันดร์เลย  ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ พระองค์ก็ทรงอยู่กับเรา  ไปไหน ไปด้วยตลอดเวลา  และเราจะกลัวอะไรอีกล่ะ

ตรงนี้จึงเป็นพลังอันยิ่งใหญ่มหาศาล  แบ็คอัพชีวิตของใครก็ตาม ที่ได้เห็น ซึมซับ รับเอาตรงนี้เข้าไป ข้อที่ 9 …

เอเฟซัส 2:9  “ความรอดนี้  ไม่ได้เป็นผลจากการพยายามทำด้วยตัวท่านเอง  แต่เป็นพระคุณของพระเจ้าที่ได้ประทานให้  ไม่ใช่ความรอดโดยการประพฤติ หรือความพยายามที่จะรักษาบทบัญญัติของพระเจ้า  เพื่อจะไม่มีใครโอ้อวดและแอบอ้างความดี  ในความรอดของตนได้”

 

“ความรอดนี้ ไม่ได้เป็นผลจากการพยายามด้วยตัวท่านเอง แต่เป็นพระคุณความรักของพระเจ้า ที่ได้ประทานให้ท่านเปล่าๆ ฟรีๆ”

ความรักอีกแล้ว  ไม่ใช่ความรอด โดยการประพฤติหรือความพยายาม ที่จะรักษาบทบัญญัติของพระเจ้า ไม่ใช่เลย

พยายามรักษา ทำความดี  ตามที่บทบัญญัติบันทึกไว้ดีไหม? ดี แต่ในนี้บอกว่ามันไม่ดีพอ สำหรับการที่เราจะได้รับความรอด  ไม่ใช่ความรอด โดยการประพฤติ หรือความพยายามที่จะรักษาบทบัญญัติของพระเจ้า เพื่อจะได้ไม่มีใครมาโอ้อวด และแอบอ้าง ความดี ในความรอดของตนเอง ไม่สามารถมาเย่อหยิ่ง บอกว่า …

“ฉันทำดีกว่าคนอื่นเขา ฉันถึงได้อย่างนี้ เพราะฉันอธิษฐานมาก ฉันถึงได้อย่างนี้  เพราะฉันรับใช้เยอะ ฉันถึงได้อย่างนี้”

มันรวมอยู่ตรงนี้ด้วยนะ … “เพราะฉันเป็นศิษยาภิบาล ฉันถึงได้มากกว่า”

ไม่มีใครสามารถแอบอ้างและอวดการกระทำของตนเองได้เลย เพราะทุกสิ่งทุกอย่าง  ทุกคนนั้น ได้รับจากพระเจ้าทั้งสิ้น โดยเป็น อยู่ คือ ก็คือได้ทั้งเป็น  ได้ทั้งอยู่ที่ไหน?  ย้ายออกมา และเป็นลูกพระเจ้าแล้ว  ได้รับการอภัยจากพระเจ้า ทั้งหมดนี้มาโดยพระคุณของพระเจ้าที่ได้ให้เราได้กำเนิด เกิดมาเป็น ต้องจำไว้เลย กำเนิด เกิดมาเป็น  อย่าเย่อหยิ่ง อย่าจองหอง

ถึงท่านเย่อหยิ่งจองหอง พระเจ้าก็ไม่ได้ว่าอะไรท่านเลยนะ เพียงแต่พระองค์เสียใจ เพราะท่านจะไม่ได้รับพระพร ไม่ได้รับพลังงานบริสุทธิ์ จากพระเจ้าจริงๆ แท้ๆ ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้เท่านั้น ทำให้ข่าวประเสริฐของพระเจ้าไม่มีกำลังแรงพอ

สิ่งต่างๆ เหล่านี้ เราได้มาจากการกำเนิด เกิดมา แล้วเราเป็นอย่างนี้ พอเรารู้ว่าเรากำเนิด เกิดมาเป็น เราก็จะถ่อมใจและรู้ว่าสิ่งเหล่านี้เราได้รับมาจากพลังอันยิ่งใหญ่ที่ไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้า เพราะเกิดมาเป็นแล้ว  เป็นเลย ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอีกแล้วครับ ข้อที่ 10 …

เอเฟซัส 2:10  “เพราะเราทั้งหลายเป็นผลงานศิลปะชิ้นเอก  ที่ประณีตยอดเยี่ยมของพระเจ้า  ที่สร้างสรรค์ขึ้นในพระเยซูคริสต์  ซึ่งวิญญาณได้บังเกิดใหม่  พร้อมที่จะให้พระเจ้าใช้  เพื่อทำการดีต่างๆ ซึ่งพระเจ้าได้เตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว  เพื่อเราจะได้ดำเนินชีวิตที่ดี เป็นไปตามแผนการของพระองค์”

 

ขอพระเจ้าเมตตา ให้ตาวิญญาณเราเปิดออกเถิด คริสเตียนทุกๆ คน

“เพราะเราเป็นผลงานศิลปะชั้นเอก ที่ประณีตและยอดเยี่ยมของพระเจ้า ที่สร้างขึ้นในพระเยซูคริสต์”

พระเจ้าบอกว่าชีวิตที่พระองค์ทรงให้เรากำเนิด เกิดมาใหม่ ในพระคริสต์แล้ว โดยความเชื่อ  ไม่ใช่โดยการกระทำของเราเอง แต่เป็นผลงานศิลปะชิ้นเอก ที่ประณีตยอดเยี่ยมของพระเจ้าที่ทรงสร้างขึ้นในพระเยซูคริสต์ สวยงามยอดเยี่ยมเลย เมื่อท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ท่านเกิดใหม่แล้ว นั่นแหละที่พระเจ้ามองมา เป็นผลงานศิลปะชิ้นเอก ที่ยอดเยี่ยมมากเลย ของพระเจ้า ไม่ใช่ของตัวท่านเอง  ไม่ใช่ เพราะการกระทำของท่าน  ไม่ใช่ เพราะการกระทำของศิษยาภิบาลที่อธิษฐานให้ท่าน ไม่ใช่เพราะว่าอะไรทั้งสิ้นของมนุษย์ แต่เป็นผลงานของความรักอันยิ่งใหญ่ ที่พระเยซูคริสต์ได้ทำที่ไม้กางเขน เมื่อท่านเชื่อ ท่านได้บังเกิดใหม่  เป็นลูกของพระเจ้าที่สะอาดหมดจด เป็นผลงานศิลปะชิ้นเอก ที่ประณีตยอดเยี่ยมของพระเจ้า  ที่ทรงสร้างขึ้นในพระเยซูคริสต์ ทั้งร่างกาย ความคิดจิตใจ และวิญญาณเป็นใหม่ทั้งสิ้น

แต่อนิจจา หลายครั้งเราไม่รู้ความจริงนี้ ตาวิญญาณเราเปิดออก ไม่ชัดเจน  เราถูกหลอกด้วยความคิดของเราเอง  คิดว่าเราไม่ดีพอ  เราอธิษฐานน้อยเกินไป เราอ่านพระคัมภีร์น้อยเกินไป  คนอื่นเขายังอ่านพระคัมภีร์เยอะกว่านี้เลย โบสถ์เราก็มาบ้าง ไม่มาบ้าง เราแย่เหลือเกิน

หรือหลายคนอาจจะคิดอย่างนี้ด้วยซ้ำ เราไม่ได้รับใช้พระเจ้าอะไรเลยสักนิดหนึ่ง  ท่านเข้าใจคำว่ารับใช้พระเจ้าผิดไปแล้ว

ยิ่งคนที่ยังไม่เปิดใจต้อนรับพระเยซู ยิ่งเห็นชัด เราเป็นคนบาป เราต้องชดใช้เวรกรรมของเราต่อไป  ทั้งๆ ที่ความจริง คือพระเยซูคริสต์ได้ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตของพระองค์ ชำระบาปให้กับมนุษยชาติทุกคนเรียบร้อยไปแล้ว อย่างนี้เห็นชัด แม้มาเป็นคริสเตียน ก็ยังสามารถถูกหลอกอย่างนี้ได้ แต่เบาบางลงเท่านั้นเอง

หลายครั้ง เรารู้สึกฟ้องผิดกับตัวเองว่าเราไม่พร้อม เราดีไม่พอ แต่พระคัมภีร์บอกว่าพวกเราทั้งหลาย แค่เกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ พวกเราก็เป็นผลงานศิลปะชิ้นเอก ประณีตยอดเยี่ยมของพระเจ้า  พระเจ้าบอกดี  เราก็เถียงพระเจ้าบอกว่าไม่ดี  นอกจากเถียงพระเจ้าว่าตัวเองไม่ดี ไม่พอ ยังไปชี้หน้าคนอื่นอีกว่าคนนี้ไม่ดี  ทำไมเชื่อพระเจ้าแล้ว ยังทำอย่างโน้นอย่างนี้  แต่พระเจ้ามองไปบอกว่าดีแล้ว ไม่ใช่ดี คือการกระทำอย่างนั้นดี แต่หมายถึงทั้งหมดนั้น เดี๋ยวพระเจ้าจะเป็นผู้จัดการเขาเอง นำพาชีวิตเขาเอง เป็นเรื่องของพระองค์ ไม่ใช่เป็นเรื่องเกี่ยวกับท่านที่จะไปชี้ว่าเขาต้องทำเหมือนเรา  บางครั้งเราทำอย่างนี้ พระเจ้านำเราจากข้างใน เราจะไปบอกคนอื่นให้ทำเหมือนเรา เหมือนทุกคนไม่ได้ มันขึ้นอยู่กับพระเจ้าที่สถิตอยู่ในเขา เพราะว่าเขาก็เป็นผลงานศิลปะชิ้นเอก ที่ประณีตยอดเยี่ยมของพระเจ้า เหมือนกับเรานั่นแหละ เพราะฉะนั้น ให้มันออกมาจากใจไม่ดีกว่าหรือ? มันหมายถึงอย่างนั้น

เราเป็นศิลปะชิ้นเอก ที่ประณีตยอดเยี่ยมของพระเจ้า ที่สร้างขึ้นในพระเยซูคริสต์ ซึ่งวิญญาณได้บังเกิดใหม่ พร้อมที่จะให้พระเจ้าใช้

ถามว่า … “พร้อมหรือยัง?  ทุกคนที่มาเชื่อพระเจ้า พร้อมให้พระเจ้าใช้หรือยัง?”

ต้องตอบว่า … “พร้อมแล้ว”

ในวิญญาณมันพร้อมแล้ว  แต่ทำไมบางครั้งเรายังดื้อ  เพราะว่ามันยังมีระบบของเนื้อหนังอยู่ ซึ่งเราจะเรียนรู้กันต่อๆ ไป

แต่ในวิญญาณ ตัวตนจริงๆ แท้ๆ ของเราที่ได้บังเกิดใหม่ พร้อมที่จะให้พระเจ้าใช้  เพื่อทำการดีต่างๆ ที่พระเจ้าได้ทรงเตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว

พร้อมที่จะกระทำความดี ก็คือพร้อมที่จะผลักดันให้เราดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ใช้อวัยวะในร่างกายนี้ กระทำดีต่างๆ ซึ่งพระเจ้าได้เตรียมไว้ล่วงหน้าเรียบร้อยไปแล้ว  เพื่อเราจะได้ดำเนินชีวิตที่ดี ไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น เป็นไปตามแผนการของพระเจ้า คือเป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้า เป็นไปตามพระประสงค์ของพระเจ้า ไม่ใช่เป็นไปตามการงานที่เราคิดว่าดี ที่เรารู้สึกว่าดี ที่มนุษย์ข้างเคียงบอกว่าอย่างนี้แหละดี

บางครั้ง สิ่งที่มนุษย์มองเห็นว่าดี พระเจ้าอาจจะบอกว่าสิ่งนี้มันดีจริง  แต่สำหรับเจ้า เราเตรียมไว้อย่างนี้ดีกว่า เห็นไหมว่าเพราะอะไร? ถ้าให้ดีครบถ้วนบริบูรณ์ ดีอย่างสมบูรณ์ ต้องดีตามน้ำพระทัย ตามแผนการของพระเจ้า

ยกตัวอย่างง่ายๆ เราอาจถูกผลักดันด้วยอิทธิพล ผู้คนรอบข้าง จากเพื่อน จากที่ประชุม ให้เราถวายตัวเลย ทิ้งงาน ทิ้งการมารับใช้พระเจ้าที่โบสถ์ดีกว่า ใครๆ เขาก็ทำอย่างนี้ ท่านแน่ใจหรือว่าพระเจ้าทรงเตรียมให้ท่านเป็นอย่างนั้น หรือท่านทำด้วยตัวเอง ตามคำคนอื่นเขา จากการสัมมนา ถูกผลักดันด้วยอารมณ์ต่างๆ ตัดสินใจทิ้งทุกอย่าง ใช่หรือ? มันดูดีหมดล่ะ แต่มันดีแบบไหน?

ทำความดีงาม จากพลังอำนาจของความรัก ชนิดที่เหมือนพระเจ้า  ที่ไม่มีเงื่อนไข ที่อยู่ในตัวเรา ที่พระเจ้าใส่ความปรารถนาเข้ามาในวิญญาณของเรา วิญญาณที่เกิดใหม่นั่นน่ะ ให้เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า ให้พลังอำนาจตรงนี้ ในวิญญาณ ในใจของเรา เป็นแรงผลักดันในวิญญาณ  ให้เราทำดีตามใจที่เกิดใหม่ ที่มีความคิดของพระคริสต์ เหมือนพระคริสต์อยู่ข้างใน  ที่พระเจ้าใส่เข้ามา ตอนเราบังเกิดใหม่  ในพระคริสต์ เพื่อเราจะได้ทำตามน้ำพระทัย ตามแผนการของพระองค์ ไม่ใช่ความคิดของเรา หรือแรงผลักดันจากผู้คนรอบข้าง แรงจูงใจจากผู้คนรอบข้าง แรงโปรโมทจากผู้คนรอบข้าง ให้มันออกมาจากใจ และมันจะมาได้อย่างไร? จะรู้ได้อย่างไร?  ก็ขอให้ตาฝ่ายวิญญาณเราเปิดออก ให้เห็น ซึมซับและรับเอา ถ้าเราไม่เห็นซึมซับและรับเอาพลังอำนาจของพระเจ้าตรงนี้เข้ามา เราก็มองไม่เห็นว่าพลังอำนาจนี้ ผลักดันเราได้แค่ไหน?

เคล็ดลับจึงอยู่ที่เห็น ซึมซับและรับเอา เปาโลจึงอธิษฐานตรงนี้มาก แรงผลักดัน เป็นแรงสร้างการบันดาลใจให้กับเรา จากภายใน ในการกระทำดี ตามน้ำพระทัยพระเจ้า บางครั้ง ดูตามมนุษย์มองทั่วๆ ไป มันเหมือนดีนะ แต่ดีจริงหรือเปล่าไม่รู้ 2 โครินธ์ 5:14-15 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ …

2 โครินธ์ 5:14-15 “14 เพราะว่าความรักของพระคริสต์ได้ครอบครองเราอยู่  เพราะเราคิดเห็นอย่างนี้ว่าถ้าผู้หนึ่งได้ตาย เพื่อคนทั้งปวง  เหตุฉะนั้น  คนทั้งปวงจึงตายแล้ว 15 และพระองค์ได้ทรงวายพระชนม์ เพื่อคนทั้งปวง เพื่อคนเหล่านั้นที่มีชีวิตอยู่จะมิได้เป็นอยู่ เพื่อประโยชน์แก่ตัวเองอีกต่อไป  แต่จะอยู่เพื่อพระองค์  ผู้ทรงสิ้นพระชนม์ และทรงเป็นขึ้นมา เพราะเห็นแก่เขาทั้งหลาย”

 

เห็นไหมครับสิ่งเหล่านี้ เกิดขึ้นโดยพระเจ้า เพื่อพระเจ้า และแด่พระเจ้าเท่านั้น ไม่มีมนุษย์เข้าไปยุ่งเกี่ยวเลย พระองค์ทรงกระทำการงาน โดยพระองค์เองทั้งสิ้น ขอให้เราเพียงแต่เห็น ซึมซับ และรับเอาพลังอำนาจความรักตรงนี้เข้ามาในชีวิตเท่านั้นเอง เดี๋ยวความรักนี้จะผลักดันท่าน ให้เป็นไปตามธรรมชาติเอง เพราะว่าความรักของรพระคริสต์ได้ครอบครองเราอยู่

ทรงครอบครองตรงนี้ สามารถแปลได้ว่าเพราะความรักของพระคริสต์ได้ผลักดัน ได้เป็นกำลัง พลังมหาศาล ควบคุมเราอยู่ เหมือนสมัยก่อนนี้ ก่อนที่เรายังไม่เชื่อ เรามีพลังควบคุมเรา ก็คือมาร ก็คือบาป ผลักดันเราอยู่ แต่ตอนนี้มีแรงสนับสนุนจากข้างใน  เป็นตัวตนของเราจริงๆ คือฤทธิ์เดชอำนาจแห่งความรักของพระคริสต์ ของพระเจ้า ควบคุมภายในใจ ภายในวิญญาณที่เกิดใหม่นี้อยู่ เพราะเราคิดอย่างนี้ว่าถ้าผู้หนึ่งได้ตาย เพื่อคนทั้งปวง เหตุฉะนั้น คนทั้งปวง จึงตายแล้ว เพราะเราคิดอย่างนี้ ก็คือเพราะเรารู้ไง  เรารู้ว่าเราตายไปแล้ว ตัวเก่านั้น ตายจากอาดัมไปแล้ว ไม่ได้อยู่ในอาดัมแล้ว ตอนนี้เราอยู่ในพระคริสต์

และพระองค์ได้ทรงวายพระชนม์  เพื่อคนทั้งปวง รวมทั้งตัวเราด้วย  เพื่อคนเหล่านั้นจะได้มีชีวิตอยู่ จะมิได้อยู่เพื่อประโยชน์แก่ตัวเองอีกต่อไป ก็หมายถึงพระองค์ทรงตาย เพื่อเราจะได้บังเกิดใหม่ พอเราเกิดใหม่ พระองค์ทรงใส่ชีวิตใหม่ เข้ามาในวิญญาณของเรา  ทำให้วิญญาณของเราตรงนั้น ไม่ได้อยู่เพื่อตัวเองอีกต่อไปแล้ว ไม่ใช่เราตัดสินใจว่าจะอยู่เพื่อตัวเอง แต่วิญญาณที่เกิดใหม่นั้น มีลักษณะ คือไม่ได้อยู่เพื่อตัวเองอีกต่อไป แต่เหมือนพระเยซู อยู่เพื่อรับใช้พระเจ้า เป็นธรรมชาติ มันเกิดใหม่ มันเป็นอย่างนั้นเอง

ในนี้บอกว่าแต่จะอยู่เพื่อพระองค์ผู้ทรงสิ้นพระชนม์ คืออยู่เพื่อพระคริสต์

เพราะฉะนั้น ท่านรู้แล้วว่าการอยู่เพื่อพระคริสต์นั้น มันกำเนิดเกิดมาเป็นอยู่ เพื่อพระคริสต์ ไม่ใช่พยายามทำอยู่ เพื่อพระคริสต์ แต่เป็นอยู่ เพื่อพระคริสต์ อาจจะเข้าใจยากนิดหนึ่งตรงนี้ แต่ขอพระเจ้าทรงเปิดตาวิญญาณให้เราสามารถเข้าใจตรงนี้มากขึ้นด้วยเถิด เพราะเป็นฤทธิ์เดชอำนาจอันมหาศาลที่พระเจ้าทรงกระทำในพระเยซูคริสต์ เมื่อตอนที่พระองค์ทรงชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย  ท่านจะไม่ได้อยู่ เพื่อตัวเองอีกต่อไป  เมื่อท่านเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้าแล้ว กำเนิดเกิดใหม่แล้ว ท่านเป็นธรรมชาติเลย ท่านจะอยู่เพื่อพระเจ้า ให้พระเจ้าใช้ เหมือนเมื่อสักครู่ที่เราอ่านในเอเฟซัส  พระเจ้าทำให้ท่านพร้อมที่จะเป็นผู้รับใช้พระองค์แล้ว ในวิญญาณ

การทำดีของเรา สามารถเกิดจากแหล่งพลังงาน การบันดาลใจ ผลักดันได้ 2 ทาง คือ …

  1. เราสามารถทำดี ด้วยพลังจากใจ  จากวิญญาณ  ที่ตะกี้บอกว่าพระเจ้าใส่เข้ามาตอนเรากำเนิดเกิดใหม่ หรือ …
  2. เราสามารถทำดี จากความคิดของเรา จากพลังของความตั้งใจ จากสิ่งแวดล้อม จากความรู้สึกจูงใจ จากการมองเห็นผู้คนต่างๆ บนโลกใบนี้

มี 2 อัน พูดง่ายๆ สั้นๆ ก็คืออันหนึ่งเห็นความรักของพระเจ้าในโลกวิญญาณ อีกอันหนึ่ง เห็นบนโลกใบนี้  สัมผัสแตะต้องได้บนโลกใบนี้ว่ามีความรู้สึกอยากจะรับใช้ ใครๆ เขาก็รับใช้กัน พอมองออกนะ

ยกตัวอย่าง ถ้าเราไม่ทำบาป เพราะกลัวว่าจะต้องรับผลการกระทำที่ไม่ดีนั้น หรือกลัวว่าพระเจ้าจะลงโทษ กลัวว่าจะไม่ได้รับความรอด เมื่อตายไปแล้ว การทำดีในลักษณะนี้ เป็นการทำดีตามกฎ ซึ่งบัดนี้เราได้ตาย เป็นอิสระจากกฎต่างๆ แล้ว  ตามที่พระคัมภีร์บันทึกเอาไว้ เป็นการกระทำจากพลังงานของตนเอง จากความคิดจิตใจของตนเอง พึ่งพาตนเอง ตัวเองเป็นใหญ่อีกแล้ว  แต่ดูเหมือนดี ก็ออกมา เป็นการทำดี แต่เรียกว่าแรงแบ็ค แรงผลักดันนั้น คือความกลัว  มันจึงเป็นความดีที่ไม่สมบูรณ์

มาดูความดีอีกแบบหนึ่ง  แต่ถ้าเราไม่กระทำบาป เพราะมีแรงผลักดันจากใจที่บังเกิดใหม่ วิญญาณที่ได้เกิดใหม่ ที่ได้รับรู้ความจริง และสัมผัสรับเอา  ซึมซับรับเอาพลัง ฤทธิ์เดช แรงบันดาลใจ จากความรักที่ไม่มีขีดจำกัด ไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้า ซึ่งเป็นพระคุณของพระเจ้า ไม่อยากทำให้พระเจ้าเสียใจที่เราดับพระวิญญาณ ไม่ทำตามน้ำพระทัย

เมื่อเราเห็นพระคุณของพระเจ้า ความรักของพระองค์ที่มีต่อเราชัดเจนอย่างนี้ การทำดีในรูปแบบอย่างนี้ เรียกว่าธรรมชาติจากข้างใน เรียกว่าทำ ที่มาจากพลังอำนาจแห่งความรัก ภายในจิตใจที่รับรู้ว่าเราบังเกิดใหม่แล้ว เราเกิดมาเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราซึมซับรับเอากำลังอำนาจจากพระเจ้าเข้ามาอยู่ในจิตใจของเรา  และความปรารถนาในจิตใจของเราได้ถูกเปลี่ยนไปแล้ว เหมือนพระเจ้าแล้ว  ตัวนี้ เป็นตัวผลักดันเราออกไปทำในสิ่งที่ถูกต้อง ดีด้วย และตามน้ำพระทัยของพระเจ้า อันบริบูรณ์ด้วย  อย่างนี้เราเรียกว่าดี ครบถ้วนบริบูรณ์

เคล็ดลับอยู่ที่ ไม่ใช่ว่าเรารักพระเจ้ามากเท่าไร? หลายๆ คนบอกว่า …

“ฉันจะทำอย่างนี้ๆ เพื่อพระเจ้า เพราะฉันรักพระเจ้ามาก”

เคล็ดลับ คือไม่ใช่ว่าเรารักพระเจ้ามากเท่าไร? แต่อยู่ที่เราสัมผัส รับรู้ ซึมซับ รับเอาพลังงาน ฤทธิ์เดชอำนาจของความรักของพระเจ้าที่อยู่ในจิตใจของเราได้มากเท่าไร?  เราก็รับใช้พระเจ้าได้ถูกต้องมากเท่านั้น

เหมือนกับว่าการซึมซับ เห็นความรักของพระเจ้า ซึมซับและรับเอาฤทธิ์เดชอำนาจแห่งความรักนี้เข้ามา เหมือนการชาร์จแบตเตอร์รี่ ความรักของพระเจ้าที่เทเข้ามาในวิญญาณของเรา ตามพระคัมภีร์ที่บอก ตอนที่เราเกิดใหม่ พระองค์เทพลังงานความรัก เข้ามาในวิญญาณ ในจิตใจของเรา  ถ้าเราเห็น สัมผัส ซึมซับและรับเอาได้มากเท่าไร? ก็เหมือนเราชาร์จแบตเตอร์รี่เข้ามาได้มากเท่านั้น เราก็จะมีพลัง มีกำลัง สามารถทำตามความรักของพระเจ้านั้นได้ มากขึ้นเท่านั้น

ไม่ใช่ตามกฎหมาย ตามกฎระเบียบที่พระเจ้าวางไว้ ตามกฎหมายของพระเจ้า ต้องทำอย่างนี้ ตามระเบียบของพระเจ้า ต้องทำอย่างนี้ นั่นคือพระคัมภีร์เดิม ซึ่งเราก็รู้ดีอยู่แล้วว่าพระเจ้าต้องการให้เราทำดี และเราก็รักพระองค์ พยายามรักษากฎระเบียบ  ไม่ทำบาป ถูก แต่พลังอำนาจแห่งความรักของเราที่มีต่อพระเจ้านั้น มันมีขีดจำกัด  นี่คือเคล็ดลับ ต้องรู้ว่าความรักที่เรามีต่อพระเจ้านั้น มีขีดจำกัด มันมีเงื่อนไข มันจึงไม่มีพลังอำนาจเพียงพอที่จะทำให้เรารักษากฎระเบียบได้ ไปตลอดรอดฝั่งหรอก อย่าถูกหลอก แรกๆ ดูเหมือนได้ มันต้องเป็นพลังความรักมหาศาลที่มาจากพระเจ้า ที่ไม่มีเงื่อนไข ไม่มีคำว่าแต่ ไม่มีคำว่าถ้า หรือแม้ ไม่มีข้อแม้ ที่พระองค์ได้ทรงใส่ ทรงเทเข้ามาในจิตใจของเรา และเมื่อเรารับรู้ เห็น ซึมซับ และรับเอา ซึ่งผมใช้คำนี้ว่าชาร์จแบตเตอร์รี่ เห็น ซึมซับ รับเอา ชาร์จแบตเตอร์รี่เข้ามา ตรงนี้ต่างหาก ที่จะทำให้เกิดพลัง การขับเคลื่อนให้เรา กระทำตามเจตจำนงค์ของพระเจ้า คือทำดีตามความต้องการของพระเจ้า ที่ต้องการให้เราทำสิ่งที่ดี ตามน้ำพระทัย ตามความเห็นของพระองค์อีกแล้ว ไม่ใช่ตามความเห็นของผู้คนรอบข้าง หรือตามความต้องการของเรา

พระคัมภีร์จึงให้เรามองให้เห็นเถิด  ซึมซับ และรับเอาความรักอันยิ่งใหญ่ตรงนี้ เพราะพระคัมภีร์รู้ว่าตรงนี้ เหมือนการชาร์จพลังงาน เห็น ซึมซับ และรับเอา ก็คือชาร์จพลังงาน อำนาจของความรักที่ไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้า ที่เรียกว่าพระคุณ ซึ่งพระองค์ทรงเทท่วมล้นเข้ามาสู่ในวิญญาณของเราตลอดเวลาเลย เพื่อเป็นพลัง ฤทธิ์เดช แรงบันดาลใจในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ด้วยความรักชนิดเดียวกันกับของพระองค์ ที่เราได้รับเข้ามาจากพระเจ้า ผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ ถ้าเราไม่ได้รับตรงนี้ เราจะมีอะไรให้ออกไปล่ะ ไ ม่มีทางเลย

เพราะฉะนั้น อย่าปล่อยให้แบตเตอร์รี่ที่พระเจ้าสร้างขึ้นมาใหม่ในวิญญาณของเรามันเหือดแห้ง ไม่มีพลังหลงเหลืออยู่ สมมติ 100% มันอาจหลงเหลืออยู่ 5% ทำอย่างไรให้มันครบ 100 ชาร์จสิครับ ชาร์จพลังแห่งความรักของพระเจ้าที่ไม่มีเงื่อนไขนี้อย่างต่อเนื่อง โดยการเห็นอย่างต่อเนื่อง ซึมซับอย่างต่อเนื่อง รับเอาอย่างต่อเนื่องในความรักที่ไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้าตรงนี้เข้ามา ไม่ว่าเราจะเข้าใจ หรือไม่เข้าใจตามความคิดของมนุษย์ ไม่รู้แล้ว พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนี้ พระเจ้าทรงรักเรามากขนาดนี้แหละ อภัยให้เราหมดแล้ว ทั้งวานนี้ วันนี้ และสืบๆ ไปเป็นนิตย์ รับเราเป็นลูกของพระองค์ ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นก็ตาม เราก็ยังคงเป็นลูก ไม่มีการเปลี่ยนแปลงแล้วตรงนี้ รับเข้ามาทุกวันๆ เป็นพลังให้เราทำความดี ตามใจปรารถนา ที่พระเจ้าใส่เข้ามาในใจของเรา ปรารถนาเหมือนพระเยซูคริสต์เลย ในใจเรา  ธรรมชาติในใจที่เกิดใหม่นั้น เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลย  ต้องการทำเหมือนพระเยซูคริสต์เลย พลังนี้จะเป็นตัวผลักดันให้ข้างนอก ทำตามได้

เพราะฉะนั้น ขอให้ถ้อยคำวันนี้ ได้สัมผัสเข้าไปในจิตใจของเรา เพื่อเราจะได้ดำเนินชีวิตจากพลังแห่งความรักของพระเจ้าอย่างนี้ได้ ไปตลอดรอดฝั่ง และเป็นที่ถวายเกียรติแด่พระองค์ เป็นที่พอพระทัย  พระเจ้าอวยพรครับ

 

**********************

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2021 เรื่อง “พลังอำนาจแห่งความรัก ที่ไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้า” ตอนที่ 1 “จงมองให้เห็น ซึมซับและรับเอา” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  14  กุมภาพันธ์  2021

 เรื่อง “พลังอำนาจแห่งความรัก ที่ไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้า”

ตอนที่ 1 “จงมองเห็นให้ ซึมซับและรับเอา”

โดย   นคร  เวชสุภาพร

 

สวัสดีครับพี่น้อง  วันนี้วันวาเลนไทน์ สุขสันต์วันวาเลนไทน์ วันแห่งความรักของโลก ก็ต้องมาพูดกันถึงเรื่องเกี่ยวกับความรัก หัวข้อการบรรยายในวันนี้ จึงต้องมีชื่อเรื่องเกี่ยวกับความรักอย่างแน่นอน ชื่อเรื่องวันนี้ คือ  “พลังอำนาจแห่งความรัก ที่ไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้า”

ความรักเป็นพลังอำนาจ ความรักเป็นนาม เป็นสิ่งๆ หนึ่งก็ได้ เป็นบุคคลก็ได้ ที่เราเรียกว่าพระเจ้าเป็นความรัก ความรักเป็นพลังอำนาจ เป็นฤทธิ์เดช เป็นกำลังที่สามารถควบคุมความคิดจิตใจ เป็นแรงบันดาลใจ เป็นสิ่งที่สัมผัสได้ ถึงแม้จะไม่สามารถเห็นด้วยตาภายนอกนี้ได้ แต่สามารถพิสูจน์ได้  ก็เหมือนกับลม กับคลื่นวิทยุ ไวไฟอะไรประมาณนั้น มีอยู่จริงๆ แต่ตาเรามองไม่เห็น ความรักก็เป็นเช่นนั้นแหละ

ตัวอย่างที่จะพิสูจน์ว่าความรักมีอยู่จริง เป็นพลังอำนาจอย่างนี้จริงๆ คือเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยๆ บนโลกใบนี้ เพียงแต่ว่าเราจะสังเกตเห็นหรือไม่เท่านั้นเอง

ตัวอย่าง ชายคนหนึ่งมีนิสัยพาลเกเร ไม่เชื่อฟังแม่ แม่ก็คอยติดตาม คอยเตือนสติ สั่งสอนตลอดเวลา  แต่เขาก็ไม่เชื่อฟัง ดื้อ เป็นพาลเกเร ติดเหล้า ติดยา ติดการพนัน เรียกง่ายๆ ว่าเสเพล ถึงขนาดทำอาชญากรรมอะไรต่างๆ ก็ว่ากันไปเยอะแยะ แม่เตือนเท่าไรก็ไม่เชื่อฟัง  จนวันหนึ่งไปเล่นการพนันติดหนี้ติดสินเยอะแยะมากมาย ไปขโมยของมาใช้หนี้ ก็ไม่หมด เจ้าหนี้ก็ตามจับ ล่าตัวมา ทำร้าย จะฆ่าให้ตาย ถ้าเผื่อไม่เอาเงินมาใช้หนี้

คราวนี้แม่รู้เข้า แม่ก็เดินทางมาหาเจ้าหนี้ มาวิงวอน ขอความเมตตา คุกเข่า กราบ ร้องห่มร้องไห้ด้วยความทุกข์ทรมาน บอกว่า …

“ช่วยปล่อยลูกเขาไปด้วยเถิด มีอะไรที่เขาสามารถทำได้ เขาจะชดใช้ให้หมดทุกอย่างเลย แม้กระทั่งเอาชีวิตเขาไป ก็ได้ แลกกับลูก”

ในขณะที่ร้องห่มร้องไห้ คุกเข่าขอความเมตตากับเจ้าหนี้นั้น ลูกที่ถูกจับอยู่ มองผ่านหน้าต่างมาเห็น แม่กำลังคุกเข่าขอชีวิต ขอให้ปล่อยลูก โดยที่ยอมทำอะไรก็ได้  ยอมตายก็ได้ ก็เกิดซึมซับเอาความรักที่ไม่มีเงื่อนไขตรงนี้ของแม่  เพราะเขาเห็น  เขาจึงซึมซับ รับเอาความรัก พลังนี้เข้ามา ผลักดันให้จิตใจเขา กลับใจใหม่ จะเลิกทำตัวเหลวไหล เลิกเป็นพาลเกเร จะกลับตัวใหม่  ก็เลยมาขอร้องเจ้าหนี้บอกว่า …

“ปล่อยแม่เขาไปเถอะ แล้วเขาขอโอกาสอีกครั้งหนึ่ง  เขาจะกลับไปทำมาหากิน แล้วจะนำเงินมาชดใช้ให้”

เจ้าหนี้ก็โอเค ให้โอกาสเป็นครั้งสุดท้าย ก็ปล่อยเขาไป แล้วก็ตามทวงหนี้ต่อไป ชายคนนี้ก็กลับออกไป แล้วก็กลับนิสัยใหม่เลยนะ สิ่งที่คิดว่าตัวเองทำไม่ได้  ก็กลับทำได้ เลิกติดยา เลิกเหล้า เลิกเป็นพาลเกเร ทำงานด้วยความสัตย์ซื่อ สุจริต อดทน ค่อยๆ เอาเงินที่ได้มาผ่อน ใช้หนี้ไปจนหมดสิ้น  ตั้งตัวได้ เป็นคนดีในที่สุด

ถามว่า … “เพราะอะไร?”

เพราะพลังแห่งความรัก ที่เขาได้เห็นกับตาเขา ในวันนั้น ได้ซึมซับเอาสิ่งที่เขาเห็นนั้น มันมีพลังบางอย่างที่เกิดขึ้นในขณะนั้น คือแม่สำแดงความรัก ที่มีต่อเขาอย่างชัดๆ จนกระทั่งเขาสามารถเห็นและสัมผัสได้ และซึมซับเอาพลังความรักนั้นเข้ามาในจิตใจของเขา ทำให้เกิดมีพลัง แรงผลักดัน ช่วยเขาทำสิ่งที่ไม่คิดว่าจะทำได้ กลับทำได้ กลับเป็นคนดีได้

นี่พิสูจน์ให้เราเห็นว่าความรักนั้น จับต้องมองเห็นได้ ด้วยวิธีนี้แหละ เหมือนคลื่นวิทยุ ด้วยพลังของความรักของแม่ที่ได้ซึมซับผ่านทางตาที่มองเห็น และจิตใจที่เปิดออก รับเอาพลังอำนาจนั้นเข้ามาลึกๆ ในจิตใจของเขา ได้กลายเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ เป็นแรงบันดาลใจ ทำให้เขาสามารถหยุดการกระทำที่ไม่ดีต่างๆ ที่เรียกว่าการกระทำชั่วนั้นได้ ซึ่งเขาพยายามมาตลอดเวลาในชีวิต ด้วยกำลังของตนเอง ไม่เคยทำได้

ถามว่าเขารักแม่ไหม? เขารักแม่นะ  ถามว่าตอนที่เขาทำชั่วอยู่ เขารักแม่ไหม? เขารักแม่ แต่กำลังความรักที่เขามีต่อแม่ และกำลังของเขาเองไม่พอ ที่จะทำให้เขาทำดีได้  ต้องด้วยพลังเสริมจากความรักที่ไม่มีเงื่อนไขจากแม่ของเขา มาสู่เขา แล้วเขาสัมผัสรับรู้ได้ ซึมซับเอาเข้ามาได้  นี่จึงเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ ที่ช่วยให้เขาสามารถทำสิ่งที่ไม่ดี กลับกลายเป็นสิ่งที่ดีได้ ด้วยการเห็น ซึมซับ และเปิดใจรับเอาความรักที่ไม่มีเงื่อนไขนี้

“ด้วยการเห็น ซึมซับ และเปิดใจรับเอา” ตรงนี้จะเป็นหัวใจหลักในการบรรยายในวันนี้

เปิดใจรับเอาความรักที่ไม่มีเงื่อนไข ก็คือฤทธิ์อำนาจ เป็นพลังงาน มหาศาล เป็นฤทธิ์เดช รับเอาความรักที่ไม่เงื่อนไขของแม่นั้น เข้ามาในใจของเขา  และพลังอำนาจนี้ ก็ทำให้เขาชนะความบาปชั่ว ซึ่งเขารู้ว่ามันไม่ดี อยากเลิก แต่มันเลิกไม่ได้ แต่พลังอันนี้มาช่วยได้

นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น ในเรื่องที่เล่าเมื่อสักครู่นี้ แล้วมันก็เกิดขึ้นบ่อยๆ บนโลกใบนี้ สังคมนี้ เพียงแต่เราจะสังเกตหรือไม่สังเกต จะเกิดขึ้นบ่อยๆ เลย ความรักชนิดที่ไม่มีเงื่อนไขของพ่อและแม่ ทำให้เกิดอัศจรรย์อย่างนี้ขึ้นบ่อยๆ หลายๆ ครอบครัว

เช่นเดียวกัน มากกว่านั้นอีกสักเท่าไร? ที่ความรักของพระเจ้าสามารถมีพลังอย่างนี้ได้ ด้วยการเห็น การเปิดใจ การซึมซับ  รับเอาความรักที่ไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้า ซึ่งเป็นพลังอำนาจ เป็นฤทธิ์เดชมหาศาลเข้ามาในใจของเรามนุษย์ทั้งหลายเอ๋ย

พระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าเป็นความรัก  และทรงรักเรายิ่งนัก มากกว่าเรื่องมนุษย์สักเท่าไร อัศจรรย์อีกมากขึ้นเท่าไร? ลักษณะเดียวกันนี้ ถ้าเผื่อเราได้เห็น ซึมซับ เปิดใจรับเอาความรักที่ไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้า เข้ามาในใจของเรา อะไรจะเกิดขึ้น? พลังอำนาจแห่งความรัก ที่ไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้าก็จะผลักดันเรา ควบคุมเรา จูงใจเรา บันดาลใจเรา ครอบครองเรา ทำให้เราสามารถดำเนินชีวิตที่ดีงามในทางของพระองค์ได้  ที่เราอยากจะทำ แต่มันทำไม่ได้ คราวนี้มีบางอย่างมาช่วยเราแล้ว คือความรัก

          … พลังอำนาจของความรักที่ไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้า …

– ทำให้เรามีความสามัคคีเป็นหนึ่ง ทั่วโลกเลย ไม่เคยเห็นหน้ากัน ก็เป็นหนึ่งเดียวกันได้

– ทำให้เรามั่นใจในการยืนต่อหน้าพระเจ้า ผู้บริสุทธิ์ ผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ซึ่งเราไม่กล้าที่จะยืนอยู่ต่อหน้าพระองค์เลย  เพราะเรารู้ว่าเราเป็นคนบาป และไม่บริสุทธิ์พอ แต่ด้วยความรัก ที่เราซึมซับรับเอา จากพระเจ้าทำให้เราสามารถที่จะยืนอยู่ต่อหน้าพระเจ้าได้ว่าพระเจ้าทรงรักเรา เป็นพ่อของเรา

– และพลังอำนาจนี้ ทำให้เราสามารถรักผู้อื่น เหมือนรักตนเองได้

นี่แหละคือเคล็ดลับ  เราจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเรียนรู้ รับรู้ ให้เห็น และซึมซับ รับเอาความรักของพระเจ้าตรงนี้แหละ ซึ่งเป็นอัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้าตรงนี้ เข้ามาในชีวิตของเรา เพื่อเอามาใช้ประโยชน์ในชีวิตของเรา เพื่อให้มันเกิดผล เหมือนเรื่องที่เราฟังเมื่อสักครู่นี้  แต่มันยิ่งใหญ่กว่ามากเลย

ท่านคงถามว่า … “แล้วความรักที่ไม่มีเงื่อนไขนี้ เป็นอย่างไร?”

เมื่อตะกี้เราดูเล็กๆ น้อยๆ จากมนุษย์ ความรักของแม่ที่ไม่มีเงื่อนไข แล้วความรักที่ไม่มีเงื่อนไข ลักษณะมันเป็นอย่างไรตามสายตาของมนุษย์

ยกตัวอย่างง่ายๆ … “พ่อจะรักลูกมากนะ ถ้าลูกเป็นคนดี”

คิดให้ดีๆ … “พ่อจะรักลูกมากนะ ถ้าลูกเป็นคนดี” … อย่างนี้มีเงื่อนไขไหม?  … มี … แล้วถ้าลูกไม่ได้เป็นคนดีล่ะ ยังรักหรือเปล่า? มีเงื่อนไข ก็คือไม่รักนั่นเอง ถ้าลูกเป็นคนดีพ่อจะรัก

“แม่จะรักลูกมากที่สุดเลย ถ้าลูกเชื่อฟัง”

แล้วถ้าเกิดลูกไม่เชื่อฟังจะมีอะไรเกิดขึ้น?

มันน่าจะเป็นอย่างนี้มากกว่านะ ความรักที่ไม่มีเงื่อนไข มันจะเป็นอย่างนี้ …

“พ่อรักลูกมากที่สุด ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม ไม่ว่าลูกจะเป็นคนดีหรือไม่ดี จะทำชั่ว จะทำเลวขนาดไหนก็ตาม พ่อก็รักเจ้าที่สุด”

อย่างนี้แหละไม่มีเงื่อนไข

“แต่พ่อจะมีความสุขมาก ถ้าลูกเชื่อฟังและลูกเป็นคนดี”

อย่างนี้แหละ เขาเรียกว่าความรักที่ไม่มีเงื่อนไข

“ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม แม่จะรักลูก ไม่ว่าลูกจะเป็นคนอย่างไร? แม่ก็รักลูกไม่เปลี่ยนแปลง แต่แม่จะสบายใจมากที่สุดเลย ถ้าลูกเชื่อฟังแม่นะ”

อย่างนี้เขาเรียกว่าความรัก ที่ไม่มีเงื่อนไข ลองสังเกตดูว่าท่านอยู่ ณ ตำแหน่งไหน? พูดกับลูกของท่านอย่างไร? หรือคิดกับคนข้างเคียงของท่านอย่างไร? ในเรื่องเกี่ยวกับความรัก

“ผมรักคุณ … ฉันรักคุณมากเลย ถ้า ….” หรือ “ฉันรักคุณ” ไม่มีคำว่า “ถ้า”

เรามารับรู้ เรียนรู้ เพื่อจะได้เห็นถึงความรักที่ไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้า  ที่พระคัมภีร์บันทึกเอาไว้  เห็นเพื่อจะซึมซับ เพื่อจะรับเอาพลังอำนาจของความรักที่ไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้าเข้ามา

อันดับแรกต้องเรียนรู้ให้เห็นก่อน เหมือนกับเรื่องที่เล่าตอนแรก ชายคนนั้น รับพลังอำนาจความรักที่ไม่มีเงื่อนไขของแม่ เพราะเขาได้เห็น เห็นจากข้างในของเขาเลยว่านี่คือความรักที่ไม่มีเงื่อนไข  แล้วเขาก็ซึมซับรับเอา มันจึงเกิดผล

เรามาเรียนรู้รักที่ไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้า ที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ เริ่มต้นที่โรม 5:8 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

โรม 5:8 “แต่​พระเจ้าได้​แสดง​ความรัก​ต่อ​เรา โดย​ยอม​ส่ง​พระคริสต์​ มา​ตาย​เพื่อ​เรา ทั้งๆ​ ที่​เรา​ยัง​เป็น​คน​บาป​อยู่”

 

“ทั้งๆ ที่เรายังเป็นคนบาปอยู่” … “คนบาป” หมายถึงอะไร?

บางคนบอก … “ฉันไม่ได้เป็นคนบาป”

อาจจะไม่เข้าใจว่าคนบาป หมายถึงอะไร?  ก็หมายถึงทั้งๆ ที่ยังทำบาปอยู่ สิ่งที่ไม่ดี สิ่งที่เป็นชั่วอยู่ เป็นคนบาป แต่ในพระคัมภีร์ตรงนี้หมายถึงเป็นคนที่เกิดมา เป็นบาปเลย ถึงแม้ว่าตอนนี้ท่านไม่ได้ทำบาปเลย นั่งอยู่เฉยๆ ท่านก็บาป เพราะว่าท่านเกิดมาเป็นคนบาป และในชีวิตท่านก็เคยได้ทำบาป  และมันก็เป็นคนบาปนั่นแหละ

ในนี้บอกว่า … “พระเจ้าสำแดงความรักต่อเรา โดยยอมส่งพระคริสต์มาตายเพื่อเรา ทั้งๆ ที่เรายังเป็นคนบาปอยู่ ยังกระทำชั่ว”

บางคนบอกชั่วอย่างไร? ยังไม่เห็นชัด ผมจะแปลตรงนี้ให้ เป็นอย่างนี้ ข้อความเมื่อตะกี้นี้บอกไว้อย่างนี้ว่า …

“พ่อแห่งฟ้าสวรรค์ (พ่อก็คือพระเจ้า) รักเรา (เราคือมนุษย์ทั้งหลายบนโลกใบนี้) แม้ว่าเรายังทำชั่ว ทำบาป”

ทำไหม? คิดกันใหญ่ โกหกไหม? เกลียดคนไหม? ทำผิดศีลธรรมหรือเปล่า? แค่นั้นไม่พอ แม้ว่าเรายังทำชั่ว ทำบาป เกลียดพ่อ (พ่อหมายถึงพระเจ้า) นึกในใจท่านว่าท่านเกลียดพ่อไหม? พระเจ้าผู้สร้างท่าน

นี่ข้อความเมื่อสักครู่ มันหมายถึงอย่างนี้  ความบาป คนบาป หมายถึงคนที่ต่อต้านพระเจ้า เป็นกบฏต่อพระเจ้า ว่าพระเจ้า เพราะฉะนั้น ตรงนี้จึงหมายความว่าพ่อแห่งฟ้าสวรรค์ของเรา รักเรา มนุษย์ทั้งหลายยิ่งนัก แม้มนุษย์ยังทำชั่ว ทำบาป  เกลียดพระเจ้า กบฏต่อพระเจ้า กล่าวหาพระเจ้า ใส่ร้ายพระเจ้า สาปแช่งพระเจ้า ล้อเลียนพระเจ้า ทำอะไรก็ตามที่เป็นศัตรูกับพระเจ้า ทั้งหมดเลย โดยที่รู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม พระเจ้าเป็นผู้สร้างมนุษย์ทั้งหลายบนโลกใบนี้ ก็คือเป็นบิดา คือเป็นพ่อนั่นเอง

เพราะฉะนั้น ตรงนี้จะเห็นชัดเจนเลยว่าพ่อแห่งฟ้าสวรรค์รักเรามาก ถึงขนาดเราจะเกลียดพ่อ กบฏต่อพ่อ กล่าวหาพ่อ ใส่ร้ายพ่อ สาปแช่งพ่อ ล้อเลียนพ่อ ทำอะไรก็ได้ ที่ทำให้พ่อเสียใจ ทำหมดทุกอย่าง แม้ว่าจะทำอย่างนั้นก็ตาม พ่อแห่งฟ้าสวรรค์ผู้นี้ ก็ยังรักเรามาก

ถ้าใครที่อยากเห็นและสัมผัสความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้านี้ ซึ่งเป็นพลังอำนาจแห่งความรักยิ่งใหญ่ เรากำลังพูดถึงพ่อแห่งฟ้าสวรรค์ที่รักมนุษย์บนโลกใบนี้ พระคัมภีร์บันทึกเอาไว้ รักคน รักมนุษย์ ถ้าอยากสัมผัส รับรู้ และเห็นถึงความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ที่มีต่อมนุษย์ว่ามากขนาดไหน? ยิ่งใหญ่ขนาดไหน? ให้มองไปที่กางเขน  ความทุกข์ทรมานของพระบุตร  และการสิ้นพระชนม์อย่างทุกข์ทรมานของพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพ่อ ของพระเจ้า ซึ่งพระองค์ทรงรักมาก มีลูกชายอยู่คนเดียว ท่านคิดดู ยอมให้ลูกมาทนทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส และทนทุกข์ทรมานจนสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เพื่อไถ่บาปให้กับมนุษย์ทั้งหลายบนโลกใบนี้

ท่านคิดว่าความรักยิ่งใหญ่ขนาดไหน? ที่สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ด้วยความทุกข์ทรมาน เพื่อชำระบาป  และการเป็นขึ้นจากความตาย เพื่อจะได้เข้ามาอยู่ด้วยกันกับมนุษย์ทั้งหลาย ทั้งมวล แบบสนิทชิดเชื้อ เป็นวิญญาณเดียวกันตลอดไป

สิ่งเหล่านี้ที่ทำที่ไม้กางเขน การตายด้วยความทุกข์ทรมานของพระเยซู การถูกฝังไว้ที่อุโมงค์ และการเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 เป็นเครื่องหมายยืนยันถึงความรักของพระเจ้า ที่มีต่อมนุษย์บนโลกใบนี้ ที่ยิ่งใหญ่สูงสุด และเป็นพลังงานอำนาจที่เป็นฤทธิ์เดช สำหรับมนุษย์ทั้งหลายที่ได้เห็น ได้ซึมซับ ได้รับเอาความจริงตรงนี้เข้าไป

ความรักสำแดงออกที่ไม้กางเขน ชำระเราให้บริสุทธิ์ แล้วมาอยู่ สนิทชิดเชื้อกับเรา มาโอบกอดเรา ในวิญญาณของเราตลอดไป โดยการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์

ความรักของมนุษย์ สำแดงออกที่เวลา  เวลาเป็นสิ่งที่สำแดงให้เห็นชัดมาก ถึงความรักที่เรามีต่อใครก็ตาม ถ้าพ่อและแม่รักลูก ไม่ใช่เฉพาะหาเลี้ยง ให้เสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม อาหาร ซึ่งก็ให้ด้วยความรัก ถูกต้อง แต่ลึกซึ้งกว่านั้น  ที่ทำให้ลูกสัมผัสถึงความรักของพ่อและแม่ได้มากขึ้น และชัดเจน และไม่มีวันลืมเลย ก็คือเวลาที่พ่อแม่ให้กับลูก นั่นแหละสำคัญ

ผมเคยบอกบ่อยๆ เลี้ยงลูก 10 ปีแรก ตั้งแต่เขาเกิดจนกระทั่งถึงอายุ 10 ขวบ เป็นช่วงเวลาที่สำคัญมากเลย เขาก็ไม่ได้อยากจะได้สิ่งของมากมายเท่าไร? ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัยต่างๆ เหล่านั้น ซึ่งก็ดีอยู่ แต่สิ่งที่เขาอยากได้มากที่สุด คือเวลาจากพ่อและแม่ ที่จะอยู่ใกล้ๆ เขา โอบกอดเขา พูดคุยกับเขา ใช้เวลากับเขา ถ้าผมเลี้ยงลูก แล้วบอกว่ารักเขา ก็ดีอยู่ ตื่นขึ้นมา ก็บอกว่า …

“พ่อรักนะ”

แล้วพ่อก็ไปทำงาน  กลับมาดึกดื่น จะเจอเขาหรือไม่เจอเขาก็แล้วแต่  เจอเมื่อไร? ก็ … “พ่อรักนะ” … แล้วพ่อก็ไปทำงาน … “แม่รักนะ” … แล้วแม่ก็ไปทำงาน ฟังดูดีหมดแหละ ไปทำงานเพื่อเจ้า เขาเรียกว่าเด็กขาดความอบอุ่น ถูกไหม?

แต่ถ้าเราบอกว่า … “พ่อแม่รักเจ้านะ” … แล้วใช้เวลากับเขาด้วย  มีเวลาเมื่อไร อยู่เล่นกับเขา ไม่ใช่บอกรักเขา แล้วก็ไป  เมื่อเช้าบอกรัก แต่ตอนเย็น กลับมาเร็ว มาเล่นกับเขา พาเขาไปขี่จักรยาน  พาเขาไปว่ายน้ำ เล่นสนุกสนานกับเขา เป็นเวลาครึ่งชั่วโมง สองชั่วโมงแล้วแต่ นี่แหละคือความรักที่สำแดงออก ปากพูดว่ารักมันง่ายนะ  แต่การสำแดงออก คือการใช้เวลากับเขามันยาก  เราอยากไปทำอะไรส่วนตัวของเราบ้าง? เราคงคิดอย่างนั้น แต่เขาอยากได้เวลาจากเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กๆ ที่ยังเล็กๆ อยู่ ไปไหน? พาเขาไปด้วย แทนที่จะบอกรักอย่างเดียว กอดแค่นั้น นอกจากกอดแล้ว ยังพาไปเล่นอีกต่างหาก ไปสวนสนุกอีกต่างหาก สนุกสนานด้วยกัน เล่นน้ำด้วยกัน หัวเราะ เล่นตลกให้เขาดู เล่านิทานให้เขาฟัง อย่างนี้แหละ เขาเรียกว่าความรักที่สำแดงออก คือเวลาที่ให้

พระเจ้าตรัสไว้ในหนังสือฮีบรู 13:15 และอีกหลายๆ ข้อในพระคัมภีร์เลย …

พระเจ้าบอกว่า … “เราจะไม่มีวันละทิ้งเจ้า และทอดทิ้งเจ้าเลย”

นี่คือพันธสัญญาของพระเจ้าว่า … “เราจะไม่ละเจ้า ไม่ทอดทิ้งเจ้าเลย เราจะอยู่กับเจ้าเสมอ ตลอดไป เราจะอยู่กับเจ้า และจะอยู่กับเจ้าตลอดไป”

วิวรณ์ 1:4-5 บันทึกไว้อย่างนี้ … “4 ขอพระคุณ และสันติสุข มีแก่ท่านทั้งหลายจากพระองค์  ผู้ทรงดำรงอยู่ในปัจจุบัน และดำรงอยู่ในอดีตและจะเสด็จมา และจากวิญญาณทั้งเจ็ด หน้าพระที่นั่งของพระองค์ 5 และ​จาก​พระเยซู ​ผู้​เป็น​พยาน​ที่​ซื่อสัตย์ เป็น​คนแรก​ที่​ฟื้น​ขึ้น​จาก​ความตาย​ และ​เป็น​ผู้​มี​อำนาจ​เหนือ​กษัตริย์​ทั้งหลาย​ ใน​โลกนี้ พระเยซู​คริสต์​รัก​เรา (เสมอ) และ​ได้​ปลดปล่อย ​ให้​เรา​เป็น​อิสระ ​จาก​บาป​ของเรา ​(ครั้งเดียวเป็นพอ) ด้วย​เลือด​ของ​พระองค์(คือ การสิ้นพระชนม์ของพระองค์)”

 

พระเยซูคริสต์ผู้ทรงรักเสมอ “เสมอ” คือตลอดไป หมายความว่าไม่ว่าเราทำอะไรก็ตาม พระองค์ทรงรักเราอยู่ และได้ปลดปล่อยเราให้เป็นอิสรภาพจากบาป  คือไถ่บาปเรา ชำระบาปเรา ครั้งเดียวเป็นพอ การตายของพระองค์ที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต ด้วยความทุกข์ทรมานนั้น ครั้งเดียวเป็นพอ ยกบาปเราออก แบกบาปเราออกไปเรียบร้อยแล้ว

ในนี้บอกว่าทั้งหมดที่ทำนั้น คือการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ ด้วยเลือดของพระองค์เอง เป็นการย้ำยืนยันว่าพระองค์รักเรามากขนาดไหน? ยอมตายเพื่อเรา พระคัมภีร์บอกว่าคนตาย เพื่อคนดี ยังพอจะมีอยู่ ยังหาได้ แต่จะหาคนที่ตาย เพื่อคนชั่วนั้นไม่มีหรอก บนโลกใบนี้ แต่พระเยซูคริสต์ พระเจ้าให้มาเกิดเป็นมนุษย์ ตาย เพื่อคนบาป คนชั่วอย่างเรา

นี่คือความรักที่สำแดงออก ให้อภัยเราด้วยเลือดของพระองค์เอง ยกหนี้บาป เวรกรรมให้กับมนุษยชาติ ก็คือมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ให้ได้รับอิสรภาพ จากการเป็นหนี้ จากการเป็นทาสบาป เป็นทาสสกปรกเป็นทาสมาร ที่ไม้กางเขน พระเจ้าได้สำแดงความรักอันอัศจรรย์ยิ่งใหญ่ เป็นความรักที่ไม่มีเงื่อนไข ให้แก่มนุษยชาติทั้งปวง โดยการยกเลิกหนี้บาปทั้งสิ้น  ที่ชดใช้อย่างไร ก็ไม่มีวันหมด  มนุษย์ทุกคนก็รู้อยู่แล้วในใจว่าบาปเวรกรรม มันใช้กันไม่หมดเลย  ไม่ว่าจะเป็นชาติไหนๆ ก็ใช้ไม่หมด แต่พระเยซูคริสต์ได้มาไถ่บาปเรา ด้วยชีวิตของพระองค์เอง ยกหนี้ เวรกรรมทั้งหมดของเรา ให้เราเกลี้ยงเลย  จากคนบาป กลายเป็นคนบริสุทธิ์

ท่านลองคิดดู ถ้าท่านเห็นภาพอย่างนี้ ท่านจะนึกอย่างไร?  นี่คือพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่  อย่ามัวมาคอยแต่จ้องมองพระพรต่างๆ บนโลกใบนี้ที่พระเจ้าช่วยเรา  เวลาเรารู้จักพระองค์ และอธิษฐานต่อพระองค์ พระองค์ทรงช่วยเรา หายจากโรคบ้าง?  ตอบคำอธิษฐานตรงโน้นบ้าง? ตรงนี้บ้าง? ให้เราอยู่สุขสบายบนโลกใบนี้บ้าง? อะไรต่างๆ เหล่านั้น อย่ามัวแต่นับตรงนั้น เป็นความรักของพระเจ้า อันยิ่งใหญ่ ซึ่งถ้าเราไปฝากความหวังและมัวแต่มองตรงนั้น ซึ่งมันคือสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้  ซึ่งมารควบคุมอยู่ และสามารถทำให้มันเปลี่ยนแปลง ไม่แน่นอน วิปริตไปตามระบบของโลกใบนี้  ที่มันกระทำให้เสียหายไป  เราก็จะไม่มั่นคงในความรักต่อพระเจ้า

พอพระเจ้าตอบคำอธิษฐาน หายป่วย เราก็ขอบคุณพระเจ้า ความรักพระเจ้ายิ่งใหญ่  แล้วตอนเราป่วยล่ะ เราทำอย่างไร? นึกภาพออกไหม? ตอนที่เราสุขสบายดี โอ้! ความรักของพระเจ้า เราสัมผัสได้ แล้วตอนที่บางครั้งไม่มีความสุข ตอนบางครั้งที่พบกับความทุกข์ยากลำบากตามระบบของโลกใบนี้  แล้วตอนนั้น เราจะอยู่อย่างไร? เราควรจะมองที่ความรักของพระเจ้าที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอีกแล้ว และมันทำแล้ว  และเกิดขึ้นสำเร็จแล้ว ที่ไม้กางเขนมากกว่า เป็นพลังยิ่งใหญ่  ซึ่งไม่มีการเปลี่ยนแปลง

นอกจากที่พระองค์ได้สำแดงความรักต่อมนุษย์ทั้งหลาย ด้วยการยกหนี้บาปทั้งสิ้น เวรกรรมทั้งสิ้น อย่างไม่มีเงื่อนไขให้กับมนุษย์ทุกคนเรียบร้อยแล้ว แบบฟรีๆ เปล่าๆ  โดยพระคุณนะ โดยเราไม่ต้องทำอะไรเลย มนุษย์ไม่ต้องทำอะไรเลย  ยกหนี้บาปให้เสร็จเรียบร้อยแล้ว  ภารกิจของพระองค์ในการช่วยเหลือมนุษย์บนโลกใบนี้นั้น การตายของพระเยซู การเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สามนั้น ไม่ใช่ทำเพื่อว่าแค่ให้มนุษย์ได้รับความรอด จากหนี้บาปทั้งหลาย ซึ่งใช้ไม่หมด ซึ่งสำคัญมากแล้ว แค่นั้นไม่พอ พระองค์ยังทรงรับเราทั้งหลายที่เป็นคนบาปนั้น มาเป็นลูกของพระองค์ด้วย

รับมาเป็นลูกของพระองค์ ในหนังสือ 1 ยอห์น 3:1 จึงบันทึกเอาไว้ อย่างชัดเจนเลย จากยอห์น ซึ่งเป็นอัครสาวก ซึ่งเคยเดินกับพระเยซู เป็นผู้เดียวที่มีความ Sensitive เรียกว่ามีความสัมผัสอ่อนไหว ตอนที่เดินกับพระเยซู มีความรู้สึกสัมผัสความรักของพระเยซูที่มีต่อเขาอย่างมากเลย แล้วมากกว่านั้นอีกหลายเท่า เมื่อตอนที่พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย แล้วมาเจอกับเขา เขายิ่งสัมผัสความรักของพระเจ้ามากขึ้นอีกสักเท่าไร? เยอะแยะมากมายไปหมด เขาจึงบันทึกไว้อย่างนี้ …

1 ยอห์น 3:1 “ดูสิ จงมองให้เห็นเถิด! ความรัก​ที่​พระบิดา​มี​ต่อ​พวกเรา​นั้น มัน​มากมาย​มหาศาล​แค่ไหน ถึง​ขนาด​ได้​เรียก​เรา​ว่า​เป็น​ลูก​ของ​พระองค์ และ​เรา​ก็​เป็น​อย่างนั้น​จริงๆ โลก​นี้​ไม่รู้จัก​พระองค์ ซึ่ง​เป็น​เหตุ​ที่​โลก​ไม่รู้จัก​เรา​เหมือนกัน

 

นี่ยอห์น อย่างที่ตะกี้บอก ประวัติเขาเป็นอย่างไร?  เดินกับพระเยซู แล้วสัมผัสถึงความรัก  เห็นถึงความรักของพระเยซูอย่างไร? เขาพูดอย่างนี้

ถ้าเป็นผมหรือเป็นท่านอ่านข้อความนี้ แม้ว่าจะรู้จักความรักของพระเยซู เห็นความรักของพระเจ้าบ้าง เราคงได้อ่านแค่ …

“ดูสิ จงมองให้เห็นเถิด ความรักของพระบิดาที่มีต่อพวกเราทั้งหลายนั้น มนุษย์ทุกคนนั้น  มันยิ่งใหญ่มหาศาลมากเลย  รับเราเป็นลูกของพระองค์”

เราคงพูดแค่นี้นะ  ก็คือเราสัมผัสลึกเท่าไร? เราก็จะเน้นคำพูดของเรา สรรหาคำพูดที่จะมาอธิบายให้คนเขาได้ยินว่า …

“โอ๊ย! ความรักขนาดไหน?”

นี่ยอห์นบอก ยอห์นสัมผัสมาก จึงได้เขียนในพระคัมภีร์ว่า … สมมติ พยายามทำเหมือนยอห์น

“จงมองให้เห็นเถิดว่าความรักของพระเจ้า ที่มีต่อเรา มนุษย์ทั้งหลาย บนโลกใบนี้ มันยิ่งใหญ่ขนาดไหน?  มหาศาลขนาดไหน?  รับเราเป็นลูกของพระองค์ ลูกจริงๆ นะ” พูดคำนี้เลยนะ

คำว่า “และเราก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ”  หมายถึงเป็นลูกจริงๆ  เน้นย้ำตรงนี้ว่าเราเป็นอย่างนั้นจริงๆ  เราไม่ใช่ทาส ไม่ใช่คนรับใช้  แต่เป็นลูก ลูกของพระเจ้าจริงๆ เพราะสมัยยอห์น  เขาเป็นคนยิว … คนยิวในสมัยพระคัมภีร์เดิม เขาติดต่อกับพระเจ้ามาตลอด เขาเชื่อพระเจ้ามาเป็นพันๆ ปี สนิทที่สุด คือเขาเป็นทาสของพระเจ้า  ทาสผู้รับใช้ เป็นผู้รับใช้ ก็คือเป็นคนใช้ของพระเจ้า คนธรรมดาที่ไม่ได้เป็นผู้รับใช้ เขาเรียกว่าเป็นทาสของพระเจ้า แค่นี้เขาก็ดีใจแล้ว แต่ตอนนี้  พระเจ้าได้ยกฐานะ มนุษย์ขึ้นมา รวมทั้งยอห์น ก็ได้รับยกฐานะขึ้นมาว่าเขาเชื่อพระเจ้าแล้ว เชื่อพระเยซูว่าไถ่บาปเขา เขาได้รับการไถ่แล้ว  พระเจ้ารับเขาไม่ได้มาเป็นทาสเหมือนสมัยก่อน ไม่ได้รับเขามาเป็นผู้รับใช้พระเจ้า เหมือนสมัยก่อน แต่รับเขาเป็นลูกของพระองค์ เขาจึงเขียนคำนี้ไงว่าเราเป็นอย่างนั้นจริงๆ นะพี่น้องชาวยิวทั้งหลาย เราไม่ใช่ทาส เราไม่ใช่ผู้รับใช้ เราไม่ใช่คนใช้ อีกต่อไปแล้ว เดี๋ยวนี้เราเป็นลูกจริงๆ

ที่ผมพยายามพูดตรงนี้ เพื่อให้ท่านได้เห็น  ได้ซึมซับความรักที่ไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้าว่ามันยิ่งใหญ่ ขนาดไหน? ยิ่งท่านเห็นมากเท่าไร? สัมผัสมากเท่าไร? ซึมซับมากเท่าไร? ฤทธิ์อำนาจแห่งความรักนี้ก็จะเข้าไปทำการงานในชีวิตของท่านมากขึ้นเท่านั้น

นอกจากอภัยความบาปผิดของเราแล้ว  โดยพระคุณของพระองค์ พระองค์ยังได้กระทำให้เราได้บังเกิดใหม่ เข้าเป็นส่วนหนึ่ง ในครอบครัวของพระเจ้า  มีทรัพย์สมบัติ เป็นมรดกให้อีกต่างหาก

สิ่งเหล่านี้ เป็นพระคุณ เราไม่ต้องทำอะไรเลยสักนิดหนึ่ง  พระองค์ให้เราฟรีๆ เปล่าๆ เลย โดยผู้ที่กระทำ ก็คือพระเยซูคริสต์ แลกด้วยพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระองค์เอง พระคัมภีร์บอกว่าซื้อชีวิตของเราขึ้นมาใหม่ จากโคลนตม จากความสกปรก จากความบาป ซื้อเราขึ้นมาใหม่ด้วยโลหิตของพระเยซู ถ้าเราได้เห็นอย่างนี้ ยิ่งทำให้เราได้เห็นอัศจรรย์ ความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าที่มีต่อเรา และมนุษยชาติบนโลกใบนี้ ที่ได้ทรงสำแดงผ่านทางพระเยซูคริสต์ ที่กระทำสำเร็จแล้ว  ที่ไม้กางเขน  และการเป็นขึ้นจากความตายของพระองค์ โรม 5:5 …

โรม 5:5 “และความหวัง (ในพระสัญญา ที่สำเร็จครบถ้วนแล้ว) ไม่ทำให้เราผิดหวัง เพราะพระเจ้าทรงเทความรัก (อันมากมายเหลือล้น) ของพระองค์ เข้ามาในจิตใจของเรา โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้ซึ่งพระเจ้าได้ประทานแก่เรา”

 

“และความหวัง” ถามว่าความหวัง หวังในอะไร? และความหวังในพระสัญญา ที่สำเร็จครบถ้วนแล้วนั่นเอง ก็คือความหวังในถ้อยคำของพระเจ้า  ที่บอกว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  และมาทำการงาน ช่วยให้เรารอดเรียบร้อยแล้ว สำเร็จแล้ว  ที่ไม้กางเขน และการเป็นขึ้นมาใหม่จากความตายของพระองค์ ที่กระทำเรียบร้อยแล้วนั่นเอง

และความหวังนี้ ไม่ใช่ความหวังชนิดที่เป็นแบบของมนุษย์บนโลกใบนี้ เรียกว่าเป็นความหวัง เพราะตามภาษาของมนุษย์บนโลกใบนี้  ตามภาษาโลก ความหวัง มันแปลว่าอนาคต มันยังไม่ได้นะ  แต่ความหวังที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ เป็นความหวังที่เขาเรียกว่า “Now”  คือเดี๋ยวนี้ บัดนี้  ความหวังที่มันเกิดขึ้นแล้ว  ความหวังที่มันเป็นจริงแล้ว  และความหวังที่เกิดขึ้นแล้ว  ในพระสัญญา คือการงานที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำให้สำเร็จครบถ้วนแล้ว ที่ไม้กางเขน  มันแปลว่าอย่างนั้น ไม่ทำให้เราผิดหวัง คือไม่มีวันผิดหวัง เพราะมันเป็นจริง มันเกิดขึ้นแล้วจริงๆ ในโลกวิญญาณ แต่สัมผัสได้ด้วยอย่างที่ผมบอก ด้วยพลังของความรัก

เพราะเบื้องหลังของความสำเร็จนั้น คือพลังของความรักที่พระเจ้ามีต่อมนุษยชาติ ส่งพลังลงมา  พลังนั้น เป็นความรักผ่านมาทางพระเยซูคริสต์ที่บังเกิดเป็นมนุษย์  นี่คือพลังมหาศาล และสำแดงพลังมหาศาล ความรักนี้ออกมา ที่การทนทุกข์ทรมาน และการสิ้นพระชนม์ และการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์ ถ้าใครเห็น ซึมซับสิ่งเหล่านี้ ฤทธิ์เดชอำนาจ และความยิ่งใหญ่ ก็เกิดขึ้นในชีวิตของเขาคนนั้นทันที และพระองค์ไม่ใช่ให้เรามีความหวังแบบลมๆ แล้งๆ แบบที่ตะกี้นี้บอก ความหวังแบบมนุษย์  คือไม่รู้มันจะเกิดขึ้นหรือเปล่า?  แต่เป็นความหวังแบบเดี๋ยวนี้ แบบ Now เป็นความหวังในสิ่งที่มันเกิดขึ้นแล้วจริงๆ

และพระองค์ได้ให้พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาเป็นมัดจำ เป็นตัวยืนยันกับเราว่าความหวังนี้เป็นจริง พระวิญญาณได้เข้ามา เพื่อว่าพระองค์จะได้สามารถเข้ามาสนิทชิดเชื้อ แนบสนิทกับเรา ให้เวลากับเราตลอดไป ตั้งแต่วันนี้  จนถึงนิรันดร์ มาติดสนิท เป็นหนึ่งเดียวกันในวิญญาณของเรา เข้ามาอยู่ในตัวเรา อยู่ร่วมกับเรา  ในวิญญาณของเรา  เพื่อให้เวลากับเราตลอดไปนั่นเอง

ไม่ใช่ให้เราติดต่อกับพระองค์ นั่งอยู่บนสวรรค์ แล้วให้เราอยู่บนโลก ไถ่บาปเราแล้ว จากนี้ต่อไป เรารักกันนะ เราติดต่อกัน เราอยู่บนโลก แล้วพระเจ้าอยู่ในสวรรค์ อธิษฐานกับพระเจ้าในสวรรค์ ไม่ใช่อย่างนั้น แต่ให้เวลากับเรา อย่างที่ตะกี้นี้ผมบอก การให้เวลา คือการสำแดงความรักอันยิ่งใหญ่  ผู้ที่เป็นลูกสามารถสัมผัส แตะต้องได้ชัดเจน นี่คือคำว่ารัก ถ้าพระองค์อยู่ข้างบน แล้วบอกรักเราเฉยๆ ก็ได้อยู่ แต่พระองค์ไม่ทำอย่างนั้น พระองค์ย้ำยืนยันในความรักของพระองค์ สำแดงความรักของพระองค์ให้เห็นชัดเจน ให้เราสัมผัสได้ โดยการมาอยู่กับเราเลย มานั่งอยู่กับเรา มากอดเรา อยู่ในร่างกายเรา อยู่ในวิญญาณของเรา  พระองค์ทรงเตรียมแผนการนี้ไว้แล้ว  เพื่อให้เรามีความมั่นใจในความรักของพระองค์ว่าพระองค์ทรงรักเรา เพราะว่าพระองค์ทรงให้เวลากับเราตลอด 24 ชั่วโมงของบนโลกใบนี้ และตลอดไปในชั่วนิรันดร์ว่าจะอยู่กับเรา และไม่ทอดทิ้งเรา  อยู่กับเราตลอดไป

พระองค์ทรงกระทำสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดแล้ว เป็นแผนการของพระองค์ในการไถ่บาป เราแล้ว ไม่ใช่ตั้งใจจะไถ่บาปเราเฉยๆ แต่ตั้งใจจะไถ่บาปเรา ชำระเราให้สะอาดหมดจด แล้วก็เข้ามาสถิตอยู่กับเรา ให้เราเป็นลูกของพระองค์ ได้บังเกิดใหม่ แล้วพระองค์ก็มาอยู่กับเรา เป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา เป็นครอบครัวเดียวกัน เพื่อจะใช้เวลากับเรา โอบกอดเรา นำพาชีวิตเราตลอดไป  เพื่อให้เราสัมผัสได้ถึงความรักอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ที่มีต่อเราทั้งหลาย อยู่ในร่างกายนี้แหละ จะพูดคุย ก็พูดอยู่ในร่างกายนี้ เป็นหนึ่งเดียวกัน พ่อกอดลูกอยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่พ่อๆ พ่ออยู่ไหนก็ไม่รู้ อยู่ไกลๆ จะอธิษฐานกับพ่อสักที ไม่รู้พ่ออยู่ไหน? ลูกอยู่ไหน? มันไกลเกิน พอนึกออกไหม?

นี่คือความจริงในพระคัมภีร์ที่บันทึกเอาไว้  และพระองค์ทรงกระทำสำเร็จแล้ว ผู้ใดที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ เปิดใจต้อนรับพระเยซู เป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระองค์จะเข้ามาชำระเราให้สะอาดหมดจด และพระบิดาจะเข้ามาทำที่อยู่อาศัยในร่างกายของเรา เป็นหนึ่งเดียวกับวิญญาณของเรา เป็นหนึ่งเดียวกันในร่างกายนี้  ไปไหนไปด้วยกันเลย 4 วิญญาณไปด้วยกัน  วิญญาณของเราบวกกับวิญญาณพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตรพระเยซู พระเจ้าพระวิญญาณ เป็นหนึ่งเดียวกัน  พูดคุยกันตลอดเวลา ก็ได้ เพราะอยู่กับเราตลอดเวลา  พระองค์ทรงชำระร่างกายของเรา จนสะอาดหมดจด แล้วก็ถ่ายเท แบ่งปัน ให้เราได้เข้าส่วนในความรัก ในวิญญาณ เข้าส่วนในความชอบธรรม หรือความดีงามของพระองค์ เข้าส่วนในชีวิตนิรันดร์ สภาพชีวิตนิรันดร์ ก็คือวิญญาณเดียวกันกับของพระองค์ ชนิดที่เป็นของพระองค์ ให้เป็นหนึ่งเดียวกัน ในวิญญาณ  เหมือนเป็น DNA. เดียวกันกับพระองค์ เป็นลูกของพระองค์ ทำให้กับเรา โดยความรัก  เปลี่ยนแปลงวิญญาณของเรา ให้เป็นวิญญาณเหมือนพระองค์ ที่เรียกว่าวิญญาณนิรันดร์ พระองค์เปลี่ยนแปลงให้เรา เป็นวิญญาณความรัก ไม่ใช่เป็นความเกลียด  ไม่ใช่เป็นความอาฆาตอีกต่อไป ตัวตนจริงๆ เราได้บังเกิดใหม่ เป็นเหมือนพ่อของเรา พระเจ้าของเราเป็นความรัก เราเป็นลูกของพระองค์ ก็เป็นความรักเช่นเดียวกัน เป็นการถ่ายทอดทางพันธุกรรม ทางวิญญาณ เป็น DNA ทางวิญญาณก็ว่าได้

สมัยก่อนนี้เขามีคนมาซื้อขวด เขาเรียก “จิ๋วก๊วก” ตอนสมัยที่ผมเด็กๆ จะมีคนหาบตะกร้า แล้วตะโกนว่า …

“จิ๋วก๊วกมาขายๆ”

จิ๋วก๊วก แปลว่าขวดเหล้า ใครมีขวดเหล้าเก่ามาขาย  สมัยก่อน ส่วนใหญ่จะเป็นขวดแก้ว ผมก็จะเก็บพวกขวดเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นขวดน้ำอัดลม, ขวดแก้ว, ขวดยา, ขวดเหล้า ก็จะเก็บสะสมไว้ พอเห็นจิ๋วก๊วกมาขาย เราก็เรียกเขามา เขาก็จะมาคัดดู ขวดนี้ 50 สตางค์ ขวดนี้สลึงหนึ่ง อันนี้ขวดใหญ่หน่อย บาทหนึ่ง รวมทั้งหมดนี้ ได้ 2 บาท เราก็เอาขวดไปขาย

ท่านรู้ไหมทำไมขวด เขาถึงซื้อไป คือโรงงานที่ทำขวด เพื่อเอาไปใส่ สมมติว่าใส่น้ำอัดลม ใส่น้ำยาอะไรต่างๆ เขาจะซื้อขวดเก่าไปรีไซด์เคิล ชำระความสะอาดจนหมดจด ด้วยยาฆ่าเชื้ออย่างดี พอสะอาดหมดจดแล้ว เขาก็จะใส่น้ำที่เขาต้องการลงไป ยกตัวอย่างเช่น น้ำกลั่น น้ำดื่มบริสุทธิ์ ใส่ลงไป หรือน้ำอัดลมที่เขาผสมเรียบร้อยแล้ว ใส่ลงไป พอเขาใส่ลงไป เขาก็จะเข้าเครื่องปิดจุก อย่างแน่นหนา อะไรก็เข้าไม่ได้อีกแล้ว

นั่นแหละ คือสิ่งที่พระเจ้าทำกับเรา ตอนที่เรารับเชื่อในพระเยซูคริสต์ เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามา มันเป็นอย่างนั้นแหละ พระองค์ซื้อเรา เหมือนซื้อขวดเก่า ขวดก็คือร่างกาย ชีวิตของเรา แล้วพระองค์เอาไปชำระ ด้วยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ ล้างจนสะอาดหมดจด แล้วพระองค์ก็ทรงเทความรักของพระองค์ วิญญาณของพระองค์ วิญญาณของพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตรพระเยซู และพระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์กับวิญญาณของเรา เทเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกัน รวมกันเข้ามา เสร็จปุ๊บ ปิดจุก โดยใช้พระวิญญาณบริสุทธิ์ปิดจุก แล้วผนึกตรา อยู่ในนั้นเสร็จเรียบร้อย  นี่คือตามหลักพระคัมภีร์แป๊ะเลยนะ นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่มีใครสามารถที่จะเอาน้ำนั้นออกไปได้แล้ว เพราะว่าจุกปิดแน่นหนามาก

พระคัมภีร์บอกพระเจ้าได้เทวิญญาณของพระองค์ ได้เทความรักอย่างล้นเหลือ ผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ เข้าไปในใจของเรา  ที่ได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า หลังจากที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ให้เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  พอเทเข้ามา แล้วพระองค์ทรงปิดฝาอย่างแน่นเลย เรามาอ่านข้อพระคัมภีร์นี้ด้วยกัน โรม 8:35-37 …

โรม 8:35-37 “35 ใคร​จะ​แยก​เราออก​จาก​ความรัก​ที่​พระคริสต์​มี​ต่อ​เรา​ได้ ไม่​มี​เลย แม้แต่​ความ​ทุกข์ยาก​ หรือ​ความ​ลำบาก หรือ​การ​ถูก​กดขี่​ข่มเหง หรือ​ความ​อดอยาก​หิวโหย หรือ​การ​เปลือยกาย หรือ​อันตราย​ต่างๆ 36 หรือ​แม้แต่​การ​ถูก​ฆ่า​ฟัน ก็​ไม่​มี​ทาง​แยก​เรา​ออก​จาก​ความรัก​ที่​พระคริสต์มี​ต่อ​เรา​ได้ 37 แต่​ใน​ทุก​สิ่ง​ทุก​อย่างนี้ เรา​ก็​ได้รับ​ชัยชนะ​อัน​ยิ่งใหญ่ ​ผ่าน​ทาง​พระองค์ ​ผู้​ได้​แสดง​ความรัก​กับ​เรา”

 

พระคัมภีร์จึงบันทึกไว้อย่างนี้ พระองค์ทรงเทความรักอันล้นเหลือของพระองค์ ผ่านทางพระวิญญาณเข้ามาในใจ ในวิญญาณของเรา แล้วก็ปิดฝาสนิท โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ มีใครที่ไหน? หน้าไหน? จะแยกเรา เอาเราออกไปจากความรัก ที่พระเยซูคริสต์ได้เทลงมาให้กับเรา

ความหมายตรงข้อพระคัมภีร์ตรงนี้ คำว่า “ใครจะแยกเราออกจากความรัก” ความรักตรงนี้เป็นคำนาม หมายถึงสิ่งหรือของ ใครจะแยกเราออกจากความรักที่พระเยซูเทให้กับเราลงมาในวิญญาณของเรา  มันแปลว่าอย่างนั้น ไม่มีเลย จะเป็นความทุกข์ยาก ความลำบาก หรือไม่มีเลย

ในตอนจบบอกว่าและในทุกสิ่งทุกอย่าง ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้ เราก็ได้รับชัยชนะอันยิ่งใหญ่ ผ่านทางพระองค์ … ไม่ได้แสดงความรักแล้ว ความรักตรงนี้เป็นกริยาแล้ว ตรงกันข้ามกับบรรทัดแรก ตรงนี้ผ่านทางพระเยซูหรือพระองค์ผู้ได้รักเรา แค่นี้เอง ถ้าท่านเห็นชัดเจนในเรื่องเกี่ยวกับคำนามกับคำกริยาอย่างนี้ ท่านจะได้เข้าใจว่าความรักเป็นคำนาม เป็นสิ่งๆ หนึ่ง เป็นของชิ้นหนึ่ง เห็นภาพ เป็นน้ำที่อยู่ในขวด ที่ชำระแล้ว  แล้วปิดผนึก โดยพระวิญญาณ ท่านจะได้เห็นภาพ แล้วพระเยซูหรือพระเจ้าใส่ความรักนั้นลงมาในขวด หรือร่างกายของเรานี้  คราวนี้มากริยาแล้ว เพราะพระองค์ทรงรักเรา เผอิญใช้คำว่ารักเหมือนกัน มันจะได้เห็นชัดขึ้น

พูดง่ายๆ ว่าใครจะมาเอาความรักที่พระเยซูคริสต์เทใส่ลงไปในขวดนี้ ในร่างกายของเรานี้ ใครจะเอาความรักนี้ออกไปได้ ไม่มีทางแล้ว เป็นหนึ่งเดียวกับวิญญาณเรา วิญญาณแห่งความรักแล้ว ใครเอาความรักออกไปจากวิญญาณเราได้ ไม่มีทาง ด้วยความรักของพระองค์ จึงใส่ให้เรา ซึ่งเป็นการใส่ โดยผ่านทางความรักของพระองค์ที่มีต่อเราทั้งหลาย และด้วยความรักนี้ จึงไม่มีสิ่งใดที่จะมาเอาความรักนี้ออกไปได้อีกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นความทุกข์ยากลำบากอะไรก็ตาม ถ้าเป็นปัจจุบัน ก็คือไม่ว่าจะเป็นไวรัสโควิด ก็ไม่สามารถเอาความรักนี้ออกไปจากวิญญาณ ในร่างกายของฉันได้ ไม่ว่าจะเป็นผลของไวรัสโควิด-19 ที่ทำให้ตกงาน ร้านขายของ ขายไม่ได้ หรือติดเชื้อ หรือความทุกข์ยากลำบากต่างๆ หรือแม้กระทั่งสงคราม หรือการถูกข่มเหงรังแก หรือแม้ความตาย ก็ไม่สามารถเอาความรักที่พระเยซูเทลงมา ปิดผนึกตลอดไป ชั่วนิรันดร์แล้ว

ถ้าท่านเห็นภาพสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ท่านจะได้เห็นความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า จะได้ซึมซับเอาพลังความรักนี้เข้ามาในชีวิตของเรา อ่านต่อไปในโรม 8:38-39 …

โรม 8:38-39 “38 เพราะเรา​มั่นใจ​ว่าไม่ว่า​จะ​เป็น​ความตาย​หรือ​ชีวิต ทูตสวรรค์​หรือ​เทพเจ้า สิ่ง​ที่​เป็น​อยู่​ใน​ปัจจุบัน​ หรือ​สิ่ง​ที่​จะ​เกิด​ขึ้น​ใน​อนาคต 39 พวก​วิญญาณ​ที่​มี​ฤทธิ์​อำนาจ สิ่ง​ที่​อยู่​เหนือ​เรา หรือ​สิ่ง​ที่​อยู่​ต่ำ​กว่า​เรา หรือ​อะไรก็​ตาม​ที่​ถูก​สร้าง​ขึ้น​มา พวก​มัน​ก็​ไม่​มี​ทาง​แยก​เรา​ออก​จาก​ความรัก​ของ​พระเจ้า ​ที่​เรา​เห็น​ใน​พระเยซู​คริสต์เจ้า​ของ​เรา”

 

พระเจ้ากำลังบอกเราว่า … “ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นกับเจ้าก็ตาม ความรักของเราช่วยเจ้าได้แน่นอน อยู่กับเจ้าแน่นอน เราจะพาเจ้าผ่านความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้น ไปจนกระทั่งนิรันดร์ เราจะไม่ปล่อยปละละเลยเจ้า ให้เจ้าเหมือนกับลูกกำพร้า ไม่มีใครดูแล เพราะเราไม่เคยทอดทิ้งเจ้าอยู่กับเจ้าเสมอตลอดเวลา นิ่งเสียเถิดเราอยู่กับเจ้าด้วยความรัก”

เปาโลจึงเขียนคำนี้ ขึ้นต้นชัดเจน พอเปาโลได้เห็น ได้ซึมซับพลังอำนาจของความรักของพระเจ้าอย่างนี้ เปาโลจึงเขียนคำนี้ว่า …

“เพราะเรามั่นใจว่า …”

เปาโลมั่นใจ เพราะเขาได้เห็น ได้ซึมซับเอาความรักของพระเจ้าเหล่านี้เข้ามาแล้ว ผ่านทางการงานของพระองค์ ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ที่ทนทุกข์ทรมาน ตายที่ไม้กางเขน  จนกระทั่งถึงถูกฝังไว้ และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 เขาเห็นและซึมซับ รับรู้ ความจริงเหล่านี้ เข้ามาในชีวิตของเขาแล้ว  เขาจึงบอกว่าเขามั่นใจ ถามตัวเราเองว่าเราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราเชื่อในพระเจ้าแล้ว เราพูดคำนี้ไหมว่าเรามั่นใจมากเลยว่าไม่ว่าจะเป็นความตายหรือชีวิต ทูตสวรรค์หรือเทพเจ้า สิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน หรือสิ่งที่เกิดขึ้นในอนาคต ไม่ว่าอะไรก็ตาม ที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ หรือนอกโลกใบนี้ เมื่อไรก็ตาม ตอนไหนก็ตาม ไม่มีอะไรที่จะมาแยกเรา  เอาความรักนี้ ออกไปจากชีวิตของเราได้เลย เพราะเราเป็นความรักนี้ไปแล้ว ความรักของพระเจ้ามาอยู่ในเรา และเราอยู่ในความรักของพระเจ้าไปแล้ว

บรรทัดสุดท้ายจึงได้เขียนไว้อย่างนี้ว่า … “พวกมันก็ไม่มีทางแยกเราออกจากความรักของพระเจ้าที่เราเห็น ในพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา

ท่านเห็นหรือยัง? ท่านอาจจะรับรู้เรื่องพระเยซูคริสต์ตายเพื่อท่าน ที่ไม้กางเขน แต่ท่านเห็นความรักของพระเจ้า ผ่านทางการตายของพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขนแล้วหรือยัง? ท่านอาจจะเห็น มีรูปเขียนอยู่ มีรูปวาดให้ดู มีรูปถ่ายให้ดู ท่านอาจจะเห็น แต่ตาฝ่ายวิญญาณท่านเห็นหรือไม่? ถ้าท่านรับรู้ด้วยตาเนื้อ รับรู้ด้วยภาพ รับรู้ถ้อยคำในพระคัมภีร์ แล้วรับรู้เสร็จแล้ว ตาฝ่ายวิญญาณท่านเห็นเข้าไป ในความจริงเรื่องนี้  แล้วก็ซึมซับเอาความรักของพระเจ้านี้เข้ามาในชีวิตของท่าน  เปิดใจต้อนรับเข้ามา นี่แหละ มันจึงจะเกิดผลได้ มันจึงจะสปาร์คติด เป็นการปฏิบัติการกระทำบนโลกใบนี้ ชีวิตก็จะเปลี่ยนไป เหมือนกับเรื่องแรกที่ได้เล่าให้ฟัง ชายหนุ่มคนนั้นที่เปลี่ยนแปลงชีวิตใหม่หมดเลย  โดยการสัมผัส ซึมซับเอาความรักของแม่ที่ไม่มีเงื่อนไข ที่มีต่อเขา ซึมซับ สัมผัส รับเอา เข้ามาได้ ในสิ่งที่เขาเห็น

นี่คือคำสัญญาจากพระเจ้า ผู้เป็นพ่อ  ที่หนักแน่นและมั่นคง ในความรักที่มีต่อเรา ลูกๆ ของพระองค์ ไม่ใช่เฉพาะในขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้เท่านั้น แต่ไปถึงชั่วนิรันดร์ว่ามันจะเป็นอย่างนี้แหละ ไม่มีฤทธิ์อำนาจที่อยู่เหนือเรา หรือสิ่งที่อยู่ใต้เรา ไม่มีอะไรก็ตามที่จะถูกสร้างขึ้นมา ที่มันจะสามารถแยกเราออกจากพระเจ้าได้ ไม่มีทางแล้ว เราอยู่ในอ้อมกอดของพระเจ้า พระองค์ทรงกอดเราอยู่ตลอดเวลา แทนที่จะมัวแต่กลัวว่าทำอย่างโน้นได้ไหม? ทำอย่างนี้ได้ไหม? ทำอย่างนี้แล้วจะไม่ได้ไปสวรรค์ ทำอย่างโน้นอย่างนี้ เดี๋ยวพระเจ้าจะลงโทษ ทำอย่างโน้นอย่างนี้พระเจ้าจะทิ้งเรา คิดใหม่ซะให้ดีๆ มันถูกหรือไม่ถูก? มีข้อแม้ไหม? ความรักของพระเจ้าไม่มีข้อแม้ ทำอย่างโน้นอย่างนี้พระเจ้าจะลงโทษ

ต้องบอกว่าทำอย่างโน้นอย่างนี้ปุ๊บ พระเจ้าจะเสียใจ อย่างนี้สิถูก คงรักเราเหมือนเดิมแหละ แต่พระองค์เสียใจ พระองค์อยากให้เราได้สิ่งที่ดีๆ ได้รับผลตอบแทน ได้มีความสุข บนโลกใบนี้ ถ้าเราโกรธ ไปเกลียดคนอื่นเขา มันก็ทุกข์ มันก็เครียด พระองค์ก็เสียใจ พระเจ้าบอกว่า …

“เราจะไม่มีวันละทิ้งหรือทอดทิ้งเจ้าเลย เราจะอยู่กับเจ้า  เรารักเจ้าถึงนิรันดร์”

ความรักของพระองค์เป็นนิรันดร์

“ไม่ว่าเจ้าจะชั่วหรือจะดีขนาดไหนก็ตาม เรารักเจ้าชั่วนิรันดร์”

พระเจ้ากำลังตรัสกับเราทั้งหลาย มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ทั้งคนที่เชื่อ เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เจ้าเป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว หรือยังไม่เชื่อเรื่องนี้ก็ตาม พระเจ้าตรัสกับเราทั้งหลายว่า …

“เรายังคงรักเจ้าดั่งแก้วตาดวงใจของเรา ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม ไม่ว่าเจ้าจะเป็นเช่นไรก็ตาม ไม่ว่าเจ้าจะทำดีมากขนาดไหน? หรือไม่ทำดีเลยก็ตาม ไม่ว่าเจ้าจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจเราก็ตาม ไม่ว่าเจ้าจะมีความรู้สึกอย่างไรก็ตาม เราก็ยังคงรักเจ้าเหมือนเดิม วานนี้ วันนี้ และสืบๆ ไปเป็นนิตย์ ตลอดไป เอเมน”

นี่คือคำพูดของพระเจ้าที่พูดต่อมนุษย์ตลอดเวลา ไม่ว่าเราจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจ พระองค์ก็เป็นอย่างนี้ไม่เปลี่ยนแปลง รักของเราที่มีต่อเจ้า ไม่มีเงื่อนไข ไม่มีคำว่าถ้า ไม่มีคำว่าแม้ ไม่มีคำว่าแต่ ความรักของพระเจ้าอย่างนี้แหละ จึงเป็นพลังอำนาจยิ่งใหญ่มหาศาล เป็นกุญแจสำคัญในการดำเนินชีวิตของคริสเตียนทุกคนบนโลกใบนี้ และของมนุษย์ทั้งหลายบนโลกใบนี้  ถ้าเขารู้และเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด

เราจึงจำเป็นมาก ที่ต้องเรียนรู้ รับรู้ และให้เห็น ซึมซับรับเอาพลังอำนาจ ซึ่งเป็นความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้านี้ เข้ามาในชีวิตของเรา ในการดำเนินชีวิตของเราบนโลกใบนี้ เพื่อจะได้เหมือนที่พระเยซูคริสต์บอก จะได้หายเหนื่อยและเป็นสุข พักสงบ ในความรักของพระองค์ ในพระคริสต์ตลอดเวลา และตลอดไป

เรามาอ่าน 1 ยอห์น 3:1 อีกครั้ง …

1 ยอห์น 3:1 “ดูสิ จงมองให้เห็นเถิด! ความรัก​ที่​พระบิดา​มี​ต่อ​พวกเรา​นั้น มัน​มากมาย​มหาศาล​แค่ไหน ถึง​ขนาด​ได้​เรียก​เรา​ว่า​เป็น​ลูก​ของ​พระองค์ และ​เรา​ก็​เป็น​อย่างนั้น​จริงๆ โลก​นี้​ไม่รู้จัก​พระองค์ ซึ่ง​เป็น​เหตุ​ที่​โลก​ไม่รู้จัก​เรา​เหมือนกัน

 

“ดูสิ จงมองให้เห็นเถิด ความรักของพระบิดาที่มีต่อเรานั้น  มากมายมหาศาลขนาดไหน? ถึงขนาดเรียกเราว่าลูกของพระองค์ และมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ จงมองให้เห็นเถิด”

อยากให้พี่น้องทั้งหลายในวันนี้ ไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้า เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้วหรือยังก็ตาม จงมองให้เห็นเถิด วันนี้วันวาเลนไทน์ จงมองให้เห็นถึงความรักอันยิ่งใหญ่ เป็นพลังอันมหาศาล ที่จะช่วยชีวิตของท่าน ไม่ใช่ช่วย ณ ปัจจุบันในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้เท่านั้น แต่ถึงชีวิตหน้า ไปชั่วนิรันดร์ ท่านต้องพึ่งมหัศจรรย์ ฤทธิ์เดชอำนาจของความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ที่ไม่มีเงื่อนไข สำหรับท่านนี้ โดยการ … จงมองให้เห็นความรักของพระองค์เถิด ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ที่ไม้กางเขน ที่ทำให้ท่านได้ สามารถเป็นลูกของพระเจ้า และเป็นลูกของพระองค์จริงๆ … พระเจ้าอวยพรครับ

 

****************************

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 7 กุมภาพันธ์ 2021 เรื่อง “การทำมหาสนิท ที่ถูกต้องตามวัตถุประสงค์ของพระเยซู” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  7  กุมภาพันธ์  2021

 เรื่อง “การทำมหาสนิท ที่ถูกต้องตามวัตถุประสงค์ของพระเยซู”

โดย   นคร  เวชสุภาพร

 

สวัสดีครับพี่น้อง วันนี้เป็นครั้งแรกที่เราร่วมกันทำมหาสนิทแบบ New Normal คืออยู่คนละสถานที่ แต่ยังสามารถรวมวิญญาณเป็นหนึ่งเดียวกัน ในพระเยซูคริสต์ได้ ร่วมกันทำมหาสนิท คือสนิทกันมากเลย

วันนี้ก็เลยอยากมาพูดถึงเรื่องการทำมหาสนิท จึงใช้หัวข้อเรื่องในการบรรยายในวันนี้ว่า “การทำมหาสนิท ที่ถูกต้องตามวัตถุประสงค์ของพระเยซู”  พอมาเชื่อพระเจ้า คริสเตียนทุกคนจะคุ้นเคยกับการทำมหาสนิท ที่เรียกกันว่า “พิธีมหาสนิท” หรือบางครั้งเขาก็เรียกกันว่า “โต๊ะขององค์พระผู้เป็นเจ้า” หรือเรียกว่า “การมาหักขนมปัง กินน้ำองุ่น”

คริสตจักรบางแห่งก็มีการทำมหาสนิท ทุกสัปดาห์เลย บางแห่งก็ทำเดือนละครั้ง  เป็นพิธีที่ทำกันมายาวนาน จนถึงทุกวันนี้ มีหลายคริสตจักร ก็ทำมหาสนิทด้วยหลักการแตกต่างกันออกไป บางครั้งก็ทำพิธีมหาสนิททางศาสนาหนึ่ง บางแห่งก็พยายามสร้างบรรยากาศให้เกิดปฏิบัติพิธีนี้ ให้บรรยากาศมันดูเหมือนศักดิ์สิทธิ์อะไรอย่างนี้

วันนี้เรามาทำความเข้าใจกันว่าการทำมหาสนิท คืออะไร? อยากจะคุยให้ฟังว่าพื้นฐานของการทำมหาสนิทมาจากไหน? จริงๆ แล้วการทำมหาสนิทมีความหมายว่าอย่างไร? ทำเพื่ออะไร?  เป็นพิธีกรรมทางศาสนาที่ศักดิ์สิทธิ์จริงหรือไม่? เราจะมาคุยกันเรื่องนี้ ตามหลักการของพระคัมภีร์ที่บันทึกเอาไว้ สำคัญตรงนี้

คำว่า “มหาสนิท” ภาษาอังกฤษใช้คำว่า “Communion” มาจากคำภาษาลาติน คือ “Communio” ที่แปลว่า “มีส่วนร่วมในสิ่งเดียวกัน  (sharing in common)”  ก็คือมีส่วนเข้าไป เป็นเหมือนกัน เป็นพิธีรำลึกถึงการเข้าไปมีส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูนั่นเอง

ที่มาของการทำมหาสนิท เกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อไร? ในพระคัมภีร์บันทึกเอาไว้ ซึ่งพระเยซูคริสต์เป็นผู้ตั้งขึ้น เป็นผู้เริ่มทำขึ้น เป็นผู้แรก เมื่อครั้งที่พระองค์ทรงร่วมรับประทานอาหาร มื้อสุดท้ายกับสาวก 12 คนในคืนวันก่อนที่พระเยซูจะถูกจับไปตรึงที่ไม้กางเขน ก็คือหัวค่ำวันพฤหัสฯ พูดง่ายๆ วันนั้นได้ถูกบันทึกเอาไว้ว่าเป็นเทศกาลปัสกา ได้กินปัสกากัน

ปัสกา คือ Pass over เล็งถึงตอนที่พระเจ้านำอิสราเอล ให้พ้นจากการเป็นทาสในอียิปต์ 430 ปี โดยการนำของโมเสส ในวันที่จะออกจากการเป็นทาสที่อียิปต์ พระเจ้าได้บอกกับโมเสสว่าให้ทำ พิธีปัสกา Pass over นี้ ด้วยวิธีให้กินขนมปังไร้เชื้อ และให้กินเนื้อย่างของลูกแกะ หรือแพะ ที่นำมาถวายเป็นเครื่องบูชา  หัวค่ำนั้นแหละ เขาเรียกกันว่า “อาหารมื้อปัสกา”   คือ Pass over พระเยซูอยู่ในปัสกา   ในคืนก่อนที่พระเยซูจะถูกตรึงที่ไม้กางเขน   เขากินปัสกากัน ตามประเพณีชาวยิว  พระคัมภีร์มีบันทึกไว้ว่าพระเยซูได้ทำมหาสนิทนี้ เพื่อเข้าไปแทนที่พิธีปัสกาของชาวยิว ในอดีตนั่นเอง ที่มีการรับประทานอาหาร ก็คือขนมปังไร้เชื้อและแกะย่างทั้งตัว โดยไม่ต้องหักกระดูก เพื่อเป็นการระลึกถึงที่พระเจ้านำอิสราเอลผ่านทางโมเสส พ้นจากการเป็นทาส 430 ปี เป็นทาสอียิปต์ ต้องทำงานเหน็ดเหนื่อย  เป็นทาสเขาตลอด  เป็นเทศกาลที่มีบันทึกไว้ในหนังสืออพยพ บทที่ 12 – 13 ท่านลองไปอ่านดูก็ได้นะ แล้วพระเจ้าพาออกมาเสร็จปุ๊บ ก็บอกให้ชาวอิสราเอลทำอย่างนี้เป็นประจำ เพื่อจะได้ระลึกถึงวันที่พระเจ้าพาพวกท่าน หลุดพ้นออกจากการเป็นทาสในอียิปต์ 430 ปีอย่างอัศจรรย์ ให้ทำสิ่งนี้ เพื่อระลึกถึง เรียกกันว่า “เทศกาลปัสกา” ให้ทำเป็นประจำปี

โดยได้บันทึกไว้ในนั้นว่าพระเจ้าให้เทศกาลนี้เป็น “เทศกาลเฉลิมฉลองปัสกา” เฉลิมฉลอง แปลว่าอย่าลืมนะ พระเจ้ายิ่งใหญ่สูงสุด ได้ทำให้พวกเราหลุดพ้น จากการเป็นทาส ให้ระลึกถึง แล้วชื่นชมยินดี  ในสิ่งที่พระเจ้าได้ทำ

มีบางคนเข้าใจว่าการทำมหาสนิทนี้ มาจากสาวกคนใดคนหนึ่ง บางคนก็นึกว่ามาจากเปาโลมั้ง เปาโลเป็นคนตั้งขึ้น หรือเปโตรเป็นคนตั้งขึ้น จริงๆ ไม่ใช่เลย ผู้ที่เริ่มทำผู้แรก แล้วให้ทำ ก็คือพระเยซูเอง แล้วพระเยซูก็บอกสาวกว่าให้ไปบอกต่อๆ กันว่าให้ทำพิธีนี้บ่อยๆ

เพราะฉะนั้น พระคัมภีร์บอกพระเยซูเป็นผู้เริ่มต้นทำมหาสนิท แล้วถามว่าทำครั้งแรกเมื่อไร? อย่างที่ตะกี้นี้บอก ทำเมื่อวันปัสกาสุดท้าย

ทำไมต้องบอกว่าสุดท้าย  ก็เป็นปัสกาสุดท้ายก่อนที่พระเยซูจะถูกจับไปตรึงที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต เป็นปัสกาเองเลย พระเจ้าลงมาเป็นปัสกา เป็นแพะ เป็นแกะปัสกา ให้เขาฆ่า พระโลหิตของพระองค์หลั่งลงมา เพื่อชำระบาป  ได้บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ ในหนังสือลูกา 22:14-20 ค่ำวันนั้น วันที่จะรับประทานปัสกากันในชาวยิว พระเยซูกลับทำสิ่งนี้แทน …

ลูกา 22:14-20  “14 เมื่อถึงเวลา  พระเยซูกับเหล่าอัครทูตก็นั่งลงรับประทานที่โต๊ะ 15 พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “เราปรารถนาเป็นอย่างยิ่ง  ที่จะรับประทานปัสกานี้  ร่วมกับพวกท่าน  ก่อนที่เราจะทนทุกข์ 16 เพราะเราบอกท่านว่าเราจะไม่รับประทานปัสกานี้อีก จนกว่าปัสกานี้ สำเร็จครบถ้วน ในอาณาจักรของพระเจ้า” 17 พระองค์ทรงหยิบถ้วย ขอบพระคุณพระเจ้า  แล้วตรัสว่า “จงรับถ้วยนี้แบ่งกันดื่ม 18 เพราะเราบอกท่านว่าเราจะไม่ดื่มน้ำจากผลองุ่นอีก จนกว่าอาณาจักรของพระเจ้ามาถึง”  19 และพระองค์ทรงหยิบขนมปัง ขอบพระคุณพระเจ้า แล้วหักส่งให้พวกเขา  และตรัสว่า “นี่คือกายของเรา ซึ่งให้แก่ท่าน จงทำเช่นนี้ เป็นการระลึกถึงเรา” 20 หลังจากรับประทานแล้ว พระองค์ทรงหยิบถ้วย และกระทำอย่างเดียวกัน  แล้วตรัสว่า  “ถ้วยนี้คือพันธสัญญาใหม่ ด้วยโลหิตของเรา ซึ่งหลั่งรินออก เพื่อท่าน”

 

ให้พวกเราพูดตรงนี้พร้อมกันว่า …

“พระเยซูตรัสว่านี่คือกายของเรา เพื่อให้แก่ท่าน จงทำเช่นนี้ เป็นการระลึกถึงเรา”

“เป็นการระลึกถึงเรา” หมายถึงระลึกถึงพระเยซู พระเยซูพูดเป็นข้อสุดท้ายบอกว่า …

“ถ้วยนี้คือพันธสัญญาใหม่ โดยโลหิตของเรา ซึ่งหลั่งรินออก เพื่อท่าน”

“หลั่งรินออก เพื่อท่าน” ก็คือมนุษย์ทั้งปวงบนโลกใบนี้ พระเยซูทำสิ่งนี้ แทนการกินปัสกา

พวกสาวกนึกว่าพระเยซูจะทำปัสกา พระเยซูบอกเปล่าหรอก มาทำสิ่งนี้แทน เพราะปัสกาในอดีต ในสมัยโมเสสนั้น เล็งถึงพระเยซูคริสต์นั่นเอง ปัสกาที่เริ่มต้นทำมา เป็นเวลา 1,400 ปีก่อนที่พระเยซูจะมาเปลี่ยนตอนนี้  ได้ถูกทำกันมา  ฉลองกันมา ระลึกกันมา 1,400 กว่าปี จนพระเยซูมาเปลี่ยน พูดง่ายๆ พระเยซูจะมาบอกว่า …

“ปัสกาที่ท่านทำมาตลอด เล็งถึงเรา  และเรามาอยู่ที่นี่แล้ว  เราจะเปลี่ยนแล้วนะ จากนี้ต่อไป ไม่ต้องมีปัสกาแบบเดิมอีกแล้ว ยกเลิกปัสกาเดิม ยกเลิกการกระทำ เฉลิมฉลองแบบเดิม เพราะตัวจริงมาแล้ว”

เขาถึงรับไม่ได้ไง ชาวยิวตอนนั้นรับไม่ได้ งง ทำมาตั้งพันกว่าปี แล้วอยู่ดีๆ มาบอกเลิกเลย พระเยซู ประกาศมา 3 ปีแล้ว นี่เป็นการประกาศข่าวดีครั้งสุดท้ายของพระเยซู ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ก่อนที่พระองค์จะทรงกระทำให้สำเร็จที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ ในวันที่สาม นี่เป็นการประกาศว่าพันธสัญญาเดิม กฎเดิม ยกเลิกแล้ว ตัวจริงมาแล้ว สวรรค์ลงมาตั้งอยู่ที่นี่แล้ว เป็นการประกาศข่าวดี ย้ำยืนยันอีกครั้งหนึ่ง ก่อนที่จะถูกตรึงที่ไม้กางเขน

โดยขนมปังไร้เชื้อ เล็งถึงพระกายของพระเยซูคริสต์ที่สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน และน้ำองุ่น ก็เล็งถึงพระโลหิตของพระองค์ที่หลั่งออกมา ที่ไม้กางเขนเช่นเดียวกัน เพื่อชำระความผิดบาปของมนุษย์ทั้งปวง

การรับประทานขนมปังและน้ำองุ่น เล็งให้เห็นถึงความเป็นหนึ่งเดียวกัน และสนิทกัน เป็นวิญญาณเดียวกัน เพราะว่าได้รับการชำระจนสะอาดหมดจด เหมือนพระองค์แล้ว วิญญาณของเรากับวิญญาณของพระเจ้า สามารถเป็นหนึ่งเดียวกันได้

ในหนังสือ 1 โครินธ์ 10:16-17 อาจารย์เปาโลได้อธิบายนิดหนึ่งตรงนี้ว่า … “16 ถ้วยน้ำองุ่น ซึ่งเราอธิษฐานขอบพระคุณ คือการเข้าร่วมในพระโลหิตของพระคริสต์ไม่ใช่หรือ และขนมปังซึ่งเราหักนั้น คือการเข้าร่วมในพระกายของพระคริสต์ไม่ใช่หรือ 17 เนื่องจากมีขนมปังก้อนเดียว  เราหลายคนจึงเป็นกายเดียวกัน  เพราะทุกคนร่วมรับประทานขนมปังก้อนเดียวกัน”

 

การทำมหาสนิท เพื่อระลึกถึงผลของการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ไถ่บาป เป็นแพะผู้รับบาปให้กับเรา ผลมันออกมาเป็นอย่างไร? ซึ่งทำให้ระบบการถวายเครื่องบูชาต่างๆ ของปุโรหิตในสมัยโมเสส สิ้นสุดลง มันไม่ต้องทำแล้ว ไม่ต้องมีการถวายเครื่องบูชาใดๆ อีกต่อไปแล้ว เพราะพระเยซูทรงถวายพระองค์เอง เป็นเครื่องบูชาครั้งเดียวก็เป็นพอเรียบร้อยเลย ชำระหมดสิ้นเลย ตลอดไป ในพระคัมภีร์ได้บันทึกเอาไว้อย่างนั้น เรามาอ่านดูอีกนิดหนึ่ง ในหนังสือฮีบรู 7:27 …

ฮีบรู 7:27 “พระเยซูไม่จำเป็นต้องถวายเครื่องบูชาทุกๆ วัน  เหมือนมหาปุโรหิตอื่นๆ  ซึ่งตอนแรกต้องถวายเครื่องบูชาสำหรับบาปของตนเอง  จากนั้น  จึงถวายเครื่องบูชาสำหรับบาปของประชาชน พระเยซูทรงถวายพระองค์เอง เป็นเครื่องบูชา สำหรับบาปของเขาทั้งหลาย  เพียงครั้งเดียวเป็นพอ”

 

แทนที่จะเป็นสัตว์ เป็นแพะ หรือเป็นแกะ ถวายทุกๆ ปี ไม่สามารถชำระได้ ปกคลุม ปกปิดความบาปได้ชั่วคราว แต่พระเยซูเองมาเป็นแพะผู้ประเสริฐ เป็นแกะผู้ประเสริฐ มารับบาป เป็นพระบุตรของพระเจ้า รับบาป ครั้งเดียว เอาไปหมดเกลี้ยงเลย นั่นเอง โดยการถวายบูชาเพียงครั้งเดียว พระองค์ก็ให้มนุษย์ทั้งหลาย ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์แล้ว ถึงความสมบูรณ์ บริสุทธิ์ ตลอดไป ตรงนี้มันหมายถึงอย่างนี้ ฮีบรู 10:14 ก็บันทึกอย่างนี้  …

ฮีบรู 10:14 “เพราะพระองค์ได้ทรงกระทำให้บรรดาผู้ที่กำลังรับการทรงชำระให้บริสุทธิ์นั้น บรรลุความสมบูรณ์พร้อมเป็นนิตย์  โดยการถวายบูชาครั้งเดียว”

 

“โดยการถวายบูชาครั้งเดียว” ถวายตนเอง ถวายตัวของพระองค์เอง

หลังจากที่พระเยซูได้ทำมหาสนิทครั้งแรก ร่วมกับสาวก เป็นแบบอย่างแล้ว ก็มีบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ว่าต่อมา เหล่าสาวกก็ยึดถือและปฏิบัติตามต่อๆ กันมา ครั้งแรกที่สาวกทำกันเอง หลังจากที่พระเยซูทำกิจสำเร็จเรียบร้อยแล้ว คือสำเร็จการไถ่บาป ที่ไม้กางเขนและเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 แล้ว สาวกทั้งหลาย ที่เชื่อวางใจในพระเยซูเรียบร้อยแล้วนั้น ก็ได้กระทำสิ่งนี้แหละ กิจการ 2:42 …

กิจการ 2:42  “เขาทั้งหลายอุทิศตนในคำสอนของเหล่าอัครทูต  และในการร่วมสามัคคีธรรม  ในการหักขนมปังและในการอธิษฐาน”

 

“ในการร่วมสามัคคีธรรม” สามัคคีกัน ก็คือเป็นหนึ่งเดียวกัน เขาร่วมกันเป็นหนึ่งเดียวกัน ในวิญญาณของเขาว่าเขาทั้งหลายเป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณของพระเจ้า พระเยซูคริสต์ และเขาทั้งหลาย ก็เป็นหนึ่งเดียวกันในพระวิญญาณด้วยเช่นเดียวกัน โดยทำการระลึกถึง คือการหักขนมปังและการทำมหาสนิทนั่นเอง

อาจารย์เปาโลก็ได้พูดถึงหลักการทำมหาสนิทตรงนี้ ไว้อย่างละเอียด ค่อยข้างเป็นระเบียบอย่างดีเลย เรามาเรียนรู้กันว่าอาจารย์เปาโลพูดถึงเรื่องการทำมหาสนิทนี้อย่างไร?  ถึงจะถูกต้องตามวัตถุประสงค์จริงๆ ของพระเยซูคริสต์ ในหนังสือ 1 โครินธ์ 11:23-26 …

1 โครินธ์ 11:23-26  “23 เพราะสิ่งที่ข้าพเจ้าถ่ายทอดแก่พวกท่านนั้น  ข้าพเจ้าได้รับมาจากองค์พระผู้เป็นเจ้า  คือในคืนที่เขาทรยศพระเยซูเจ้านั้น  พระองค์ทรงหยิบขนมปัง 24 เมื่อขอบพระคุณพระเจ้า แล้วทรงหัก และตรัสว่า “นี่คือสิ่งที่เล็งถึงกายของเรา ซึ่งได้สละให้แก่ท่านทั้งหลาย จงทำเช่นนี้ เพื่อเป็นการรำลึกถึงเรา”  25 เมื่อรับประทานแล้ว ทรงหยิบถ้วยขึ้น  กระทำอย่างเดียวกัน และตรัสว่า “ถ้วยนี้คือพันธสัญญาใหม่  ด้วยโลหิตของเรา เมื่อใดที่พวกท่านดื่ม จงทำเช่นนี้ เป็นที่รำลึกถึงเรา26 เพราะเมื่อใดก็ตาม ที่พวกท่านรับประทานขนมปังนี้ และดื่มจากถ้วยนี้  ก็เป็นสัญลักษณ์ว่าพวกท่านได้ประกาศการวายพระชนม์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า จนกว่าจะถึงวันที่พระองค์เสด็จมา”

 

“นี่คือสิ่งที่เล็งถึงกายของเรา ซึ่งได้สละแก่ท่านทั้งหลาย” พระเยซูบอกไว้อย่างนั้น “จงทำเช่นนี้ เพื่อเป็นการรำลึกถึงเรา” … “เรา” หมายถึงพระเยซู

พระเยซูตรัสอีกว่า … “ถ้วยนี้คือพันธสัญญาใหม่ ด้วยโลหิตของเรา เมื่อใดพวกท่านดื่ม จงทำเช่นนี้ เป็นที่รำลึกถึงเรา”

และยังพูดประโยคสุดท้ายบอกว่าถ้าท่านกินขนมปังและดื่มน้ำองุ่นอย่างนี้ เป็นสัญลักษณ์ว่าพวกท่านได้ประกาศการวายพระชนม์ ก็คือข่าวดีขององค์พระผู้เป็นเจ้า จนกว่าจะถึงวันที่พระองค์เสด็จมา

ก็คือกำลังประกาศเรื่องข่าวดี เหมือนพระเยซูคริสต์เลย ประกาศว่าพระองค์ทรงตายที่ไม้กางเขน ถูกฝังไว้ และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 นั่นเอง  ท่านกำลังประกาศความเชื่อตรงนี้ และประกาศความจริงในเรื่องข่าวประเสริฐของพระเยซู ซึ่งคือวัตถุประสงค์ของพระเยซูต้องการให้เรากระทำอย่างนั้น เพื่อรำลึกถึงสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำ และประกาศออกไป

วัตถุประสงค์ของพระเยซู คือต้องการให้เรารำลึกถึง สิ่งที่พระองค์ได้ทรงกระทำที่ไม้กางเขน สำเร็จแล้ว  ก็คือข่าวดีได้ถูกกระทำให้สำเร็จครบถ้วนแล้ว เริ่มตั้งแต่การไถ่บาปให้เราจนหมดสิ้น ให้เราได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้า มาสถิตอยู่กับเรา ในวิญญาณของเราเลย พระเจ้าทั้ง 3 พระองค์ ให้เรามีส่วนร่วมในพระสิริของพระเจ้า มีชีวิตเหมือนพระเจ้า เรียกว่าชีวิตนิรันดร์เหมือนพระองค์ แบ่งชีวิตของพระองค์มา เป็นชีวิตของเรา ให้เราเกิดใหม่ ให้เราเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์สะอาดเหมือนพระองค์ ซึ่งทั้งหมดนี้ได้มาเป็นของขวัญ พระเจ้าทรงประทานให้เราฟรีๆ ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ไม่ต้องทำอะไรเลย เราเรียกกันว่า “พระคุณ”

ไม่ต้องทำอะไรเลย ไม่เหมือนพันธสัญญาเดิม สมัยโมเสส ที่เขาเรียกว่าใช้ระบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน ท่านทำ ท่านได้ ท่านไม่ทำ ท่านโดนลงโทษ ต้องพึ่งการกระทำของตนเอง  เพื่อจะได้ดี ซึ่งไม่มีใครสามารถพึ่งตนเอง และกระทำความดีได้ด้วยตนเอง แบบสมบูรณ์ครบถ้วน ไม่มีผิดพลาดเลย  เพราะตัวเองมีเชื้อของบาป  เป็นคนบาปอยู่ ทำอย่างไรก็เป็นคนบาปอยู่ดี มากหรือน้อยก็บาปอยู่ดีนั่นแหละ

ข่าวดีของพระเยซู คือเมื่อเปิดใจแล้ว พระเยซูเข้ามาอยู่ในชีวิตของเรา  เราได้ความรอด จากอาณาจักรหนึ่งที่เรียกว่านรก ย้ายจากนรก มาสู่สวรรค์ ย้ายออกจากอาณาจักรความมืด มาสู่อาณาจักรความสว่าง ได้รับการบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า แทนที่จะเป็นทาสของมาร  ได้รับชีวิตที่เป็นของพระเจ้า  ที่เรียกว่าชีวิตนิรันดร์ บริสุทธิ์สะอาด ปราศจากบาปที่เรียกว่าผู้ชอบธรรม … ชอบธรรม ก็คือการเป็นคนดี โดยไม่ต้องกระทำ เป็นคนดีโดยกำเนิด  เกิดมาเป็น  โดยกำเนิดเกิดมาเป็นคนดีเลย เขาเรียกว่าผู้ชอบธรรม และได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน  ร่วมกับพระเยซูคริสต์เลยทันที นี่คือข่าวดี

และทั้งหมดนี้เป็นชีวิตที่เกิดใหม่ทันที ได้รับความรอด เมื่อนาทีเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ชีวิตที่เกิดใหม่นี้ พระคัมภีร์บอกว่า “ถูกซ่อนไว้ในพระคริสต์” แอบไว้อยู่ในพระคริสต์ในโลกวิญญาณนั่นเอง  คือเมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ข่าวดี ก็คือพระเจ้าส่งพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามา ทำการผ่าตัดวิญญาณของเรา ย้ายเราออกจากอาณาจักรของความมืด มาสู่อาณาจักรของความสว่าง โดยให้วิญญาณเราได้บังเกิดใหม่ แล้วก็มาติดสนิท เรียกว่ามหาสนิท สนิทกับมาก เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ คือพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตรพระเยซู พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ โดยผ่านทางบัพติศมา … บัพติศมา ก็เหมือนกับการผ่าตัดวิญญาณ เข้ามา แล้วก็เปลี่ยนวิญญาณเราใหม่เลย เขาเรียกว่าบัพติศมาเราเข้าส่วนในวิญญาณของพระเยซูคริสต์ ทำให้มันสนิทกันมากๆ ซึ่งบันทึกเอาไว้ในหนังสือโรม บทที่ 6 ชัดเจนมากว่านี้คือข่าวดี

สนิทกันอย่างไร? ในหนังสือโรม บทที่ 6 บอกว่า … “ท่านไม่รู้หรือว่าท่านบัพติศมาเข้าไปสู่ คือเข้าไปอยู่ในความตายของพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน และถูกฝังอยู่กับพระเยซูคริสต์ ในอุโมงค์ และได้เป็นขึ้นมาจากความตายพร้อมกับพระเยซูคริสต์ และได้ถูกนั่งอยู่ที่สวรรค์สถาน ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ร่วมกับพระเยซูคริสต์ ในพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกัน อย่างนี้ สนิทกันมาก”

นี่คือเป้าหมาย วัตถุประสงค์ของการรำลึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ที่พระเยซูทำให้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ที่ไม้กางเขน ใครก็ตาม ใช้สิทธิของเขา ที่เชื่อในพระองค์ และยอมรับว่า …

“ฉันเชื่อแล้ว ฉันอยากให้สิ่งนี้เกิดขึ้นกับฉัน มันเป็นสิทธิของฉัน ต้อนรับสิ่งนี้เข้ามา”

โดยเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ มันก็จะเกิดขึ้นอย่างนี้ มหาสนิท แปลว่าอย่างนี้ ขอโทษทีนะ เขาเรียกว่าโค-รต สนิทเลย ไม่หยาบนะ มันชัดดี

มหาสนิทหมายถึงอภิมหาสนิท สนิทขนาดไหน? สนิทกันเป็นวิญญาณเดียวกัน

เมื่อเปิดใจ ก็ได้รับสิ่งเหล่านี้ เกิดขึ้นในวิญญาณเราทันที ได้นั่งอยู่ในสวรรค์แล้ว ทันที สวรรค์จึงเป็นสถานที่ที่เราผู้เชื่อทั้งหลาย นั่งอยู่แล้วเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่สถานที่ที่เราหวังว่าจะไปอยู่ในอนาคต ไม่ใช่ อยู่แล้วเดี๋ยวนี้เลย จึงต้องรำลึกถึง ระลึกถึงบ่อยๆ เดี๋ยวมันลืม เดี๋ยวมันนึกไม่ถึง

คือมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเชื่อพระเยซู หรือไม่เชื่อ พระคัมภีร์บอกว่าเขาได้อยู่ในที่ใดที่หนึ่งในโลกวิญญาณ … ในโลกวิญญาณมีอยู่ 2 ที่เท่านั้นเอง …

ที่หนึ่งเรียกว่าที่มืด, ไม่มีพระเจ้า, นรก, ในอาดัม

อีกที่หนึ่งเรียกว่าสว่าง, มีพระเจ้า, สวรรค์, ในพระคริสต์

มนุษย์ทุกคนต้องอยู่ในที่ใดที่หนึ่งตรงนี้ ในอาดัมหรือไม่ก็ในพระคริสต์

พระเยซูจึงตรัสกับเราว่า … “จงดำรงอยู่ในเรา” หมายถึงต้องเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ จึงจะเกิดผล จึงจะเป็นคนดีได้ … “จงดำรงอยู่ในเรา เปิดใจต้อนรับเราสิ เราจะได้เข้าไปทำให้ท่านกับเรา ดำรงอยู่ด้วยกันได้  คือเราอยู่ในท่าน ท่านอยู่ในเราได้” มันหมายถึงอย่างนั้น

“เพื่อว่าเราจะได้เป็นหนึ่งเดียวกันในวิญญาณ” ทั้งวิญญาณของพระเยซูคริสต์เอง และวิญญาณของพระบิดา และพระวิญญาณบริสุทธิ์ รวมกับเรา เป็นหนึ่งเดียวกัน จากการผ่าตัดย้ายวิญญาณเราเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ผลออกมาเป็นอย่างนี้ ตรงนี้พระคัมภีร์เรียกว่าเป็นหนึ่งเดียวกัน  มหาสนิท  Communion หรือ Communio หรือเรียกว่าสามัคคีธรรม เวลาคริสเตียนพูดกันในพระคัมภีร์บอกสามัคคีธรรม มันหมายถึงเป็นหนึ่งเดียวกัน เชื่อมกันในวิญญาณ

ท่านลองคิดดู ชีวิตเราจะเปลี่ยนแปลงไปมากขนาดไหน? เมื่อเรารู้ว่าความจริง คือเราได้นั่งอยู่ในสวรรค์สถานกับพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณเรียบร้อยแล้วตอนนี้ เราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์แล้ว เราสนิทกับพระองค์มากตอนนี้ ไม่ใช่รอคอยตอนที่วันหนึ่ง เราจะไปรู้จักพระเจ้า ในสวรรค์ ไม่ใช่วันหนึ่งที่เราทำดี และรักษาความเชื่อไว้ เราจะไปอยู่ในสวรรค์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าในอนาคต  แต่มันเป็นเดี๋ยวนี้เลย  ขณะนี้เลย พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น ลองอ่านข้อพระคัมภีร์นี้ดูนะ เอเฟซัส 2:2-6 เป็นตัวยืนยันว่าสิ่งที่พูดนั้น เป็นจริงในโลกวิญญาณอย่างไร? …

เอเฟซัส 2:2-6  “2 ซึ่งท่านเคยทำ เมื่อดำเนินชีวิตตามวิถีของโลกนี้  และวิถีของเจ้าแห่งย่านฟ้าอากาศ ซึ่งเป็นวิญญาณที่บัดนี้ ทำการอยู่ในบรรดาผู้ที่ไม่เชื่อฟัง 3 ครั้งหนึ่ง เราเคยใช้ชีวิตร่วมกับพวกนั้น บำเรอตัณหาแห่งวิสัยบาปของเรา สนองความอยากกับความคิดของมันตามวิสัย เราจึงควรแก่พระพิโรธเหมือนคนอื่น 4 แต่เนื่องด้วยความรักใหญ่หลวงที่ทรงมีต่อเรา  พระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยพระเมตตาอันอุดม  5 จึงทรงให้เรามีชีวิตอยู่กับพระคริสต์ แม้เมื่อเราได้ตายแล้วในบาป  คือท่านทั้งหลายได้รับความรอดโดยพระคุณ 6 และพระองค์ทรงให้เราเป็นขึ้นมากับพระคริสต์ และในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าทรงให้เรานั่งในสวรรค์สถานกับพระคริสต์

 

“ท่านทั้งหลาย” ก็คือผู้ที่เชื่อในข่าวดีของพระเยซู ต้อนรับข่าวดี ต้อนรับพระเยซู เปิดใจให้พระเยซูเข้ามาในชีวิตแล้ว

“ท่านทั้งหลายได้รับความรอด โดยพระคุณ และพระองค์ทรงให้เราเป็นขึ้นมากับพระคริสต์” ก็คือการเกิดใหม่

“และในพระเยซูคริสต์” ก็คือย้ายเราเข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ “พระเจ้าทรงให้เรานั่งในสวรรค์สถานกับพระคริสต์”

ถามว่า … “ตอนนี้พระเยซูคริสต์อยู่ที่ไหน?” … อยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน

และถามว่า … “เราผู้เชื่อในพระเจ้าขณะนี้  เดี๋ยวนี้ ไม่ใช่รอตาย  เดี๋ยวนี้อยู่ที่ไหน?” … อยู่ในพระเยซูคริสต์

เพราะฉะนั้น เรานั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน เรียบร้อยไปแล้ว เดี๋ยวนี้ ใช่หรือไม่? ใช่

เราจะไม่ได้ตุ๊มๆ ต่ามๆ ว่าตายแล้ว เราจะได้ไปสวรรค์หรือเปล่าก็ไม่รู้? แต่ที่รู้แน่ๆ ตอนนี้ เราอยู่ในสวรรค์แล้ว เพราะฉะนั้น เราจะไปไหนล่ะ ก็อยู่ในสวรรค์แล้ว ตายแล้วไปสวรรค์ มันจึงเป็นเรื่องธรรมดา สำหรับเราที่จะเชื่อ ถูกไหม? ไม่ต้องตุ๊มๆ ต่ามๆ นี่แหละคือสาเหตุที่พระเยซูคริสต์อยากให้เรารำลึกถึงสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำที่ไม้กางเขน พระเยซูจึงย้ำยืนยัน ให้เราทำมหาสนิทบ่อยๆ เมื่อไรทำก็ตาม ก็ให้ระลึกถึงสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำให้สำเร็จแล้ว เพื่อจะไม่ลืม เพื่อจะได้เล่าต่อกันไป รุ่นสู่รุ่น สู่รุ่นหลานเหลนโหลนเลย  ในท่าทีของการเฉลิมฉลอง ดีใจ ไม่ดีใจเหรอ อยู่ในสวรรค์แล้ว ง่ายๆ อย่างนี้ พระเยซูทำให้สำเร็จ ไม่ใช่เป็นคนบาปอีกต่อไปแล้ว ไม่ต้องเป็นทาสบาปอีกต่อไปแล้ว ฉลองเหมือนวันปัสกาเดิม ที่เล็งให้เห็นถึงพระเยซูคริสต์ เมื่อสมัยพระคัมภีร์เดิม สมัยโมเสส กินปัสกา เพื่อเฉลิมฉลองว่าพระเจ้าได้ช่วยให้อิสราเอลหลุดพ้นจากการเป็นทาสอียิปต์ 430 ปี เล็งถึงพระเยซูคริสต์

พระเยซูคริสต์ทำให้มนุษย์ได้เป็นอิสรภาพ จากการเป็นทาส ตลอดชั่วนิรันดร์เลย เป็นทาสมารต่อไปอีกเมื่อไรก็ไม่รู้เป็นนิรันดร์ ถ้าไม่มีพระเยซูมา แต่นี่เป็นอิสระจากการเป็นทาสได้ชั่วนิรันดนร์เหมือนกันในพระเยซูคริสต์ เพราะฉะนั้น เราควรระลึกถึงและฉลอง เหมือนเราฉลองคริสตมาส เหมือนฉลองวันอีสเตอร์

พระเยซูไม่ได้บอกให้เราฉลองวันอีสเตอร์เลยนะ พระเยซูไม่ได้บอกให้เราฉลองวันคริสตมาสเลย แต่เราทำกันเอง แต่พระเยซูบอกให้เราฉลองอันนี้ ให้ทำบ่อยๆ ฉลองอะไร? การทำมหาสนิท ระลึกถึงสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำที่ไม้กางเขน  มันจะได้ทำได้ทุกวัน  ทำได้บ่อยๆ  เพราะฉะนั้น การฉลองคริสตมาสก็ดี การฉลองวันอีสเตอร์ ศุกร์ประเสริฐก็ดี ก็ทำดีอยู่แล้ว แต่ไม่ควรจะปีละครั้ง ทำบ่อยๆ เลย ก็ไม่ต้องฉลองคริสตมาส ก็ฉลองมหาสนิท สนิทมาก เมื่อรู้ความจริง

มหาสนิท หรือการทำมหาสนิท หรือการร่วมโต๊ะองค์พระผู้เป็นเจ้า หรือการหักขนมปัง จึงสมควรเป็นพิธีแห่งความชื่นชมยินดี เป็นพิธีแห่งการเฉลิมฉลองของผู้เชื่อทุกคน เหมือนที่พระเจ้าสั่งให้อิสราเอลในอดีตเฉลิมฉลองวันเทศกาลปัสกา ขนมปังไร้เชื้อนั่นเอง ตามข้อมูลนี้ ถูกเป๊ะเลยนะ

แล้วข้อมูลมาถึงเรา ผิดเพราะอะไร?  ก็เพราะเรามีศัตรู ที่คอยปิดตาเราไม่ให้ความจริงมาถึงเรา ก็คือมารนั่นเอง  มารพยายามปกปิดความจริงเหล่านี้ เพื่อไม่ให้ข่าวดีของพระเยซูสมบูรณ์ครบถ้วน เต็มไปด้วยฤทธิ์อำนาจ อย่างครบบริบูรณ์ เมื่อคนมาเชื่อ ไหนๆ ก็ปิดตาไม่ได้แล้ว เชื่อไปแล้ว เขาเรียกว่าไม่ได้ผลสมบูรณ์ เอาไปสัก 20% ก็พอ  เอาไป 50% พอ ไม่ให้สมบูรณ์ เพราะว่าถ้าสมบูรณ์เมื่อไร? ข่าวดีได้ถูกประกาศออกไป  ทั่วโลก มนุษย์ทุกคนได้ยินได้ฟัง ก็จะมารับเชื่อง่ายๆ เพราะว่ามันง่ายนิดเดียวอย่างนี้ แต่มารปกปิด แล้วทำให้มันเป็นเรื่องยาก แล้วก็ลำบาก แล้วมนุษย์ทำไม่ได้อีกแล้ว ก็เลยไม่มีใครเข้ามาหาพระเยซูอย่างง่ายๆ อย่างนี้ ไม่มีใครเข้ามารับสิทธิที่พระเยซูได้กระทำให้กับเขาแล้วที่ไม้กางเขน เสร็จไปแล้ว ไม่มีใครอยากเข้าสวรรค์ที่ง่ายๆ อย่างนี้อีก ก็เพราะว่ามนุษย์ทำให้มันยาก … ยากโดยการถูกหลอก ถูกขโมยความจริงออกไป มารมา เพื่อขโมย ฆ่า และทำลาย ขโมยอันดับแรก คือขโมยความจริงออกไปก่อน

เรามาดูกันว่าผู้เชื่อมักจะเข้าใจผิด เรื่องมหาสนิทกันว่าอย่างไร? เราลองมาดูกันว่ามารขโมยอะไรไปบ้าง?  พระเยซูให้เราทำมหาสนิทนี้ เพื่อระลึกถึงพระองค์ ไม่ใช่เพื่อให้เราระลึกถึงตัวเอง ค่อยๆ คิดตามนะ ไม่ใช่ให้เรามาระลึกถึงตัวเอง  แต่ให้ระลึกถึงสิ่งที่พระองค์ทรงทำ  ไม่ใช่มาระลึกถึงสิ่งที่เราทำ  ซึ่งเป็นผลมาจากการตีความที่ผิด  จากบริบทของพระคัมภีร์

อย่างเช่นใน 1 โครินธ์ 11:28 ที่บอกว่า … “แต่ละคนควรจะตรวจสอบตนเอง ก่อนรับประทานขนมปัง และดื่มจากถ้วยนี้”

ถ้ายกมาข้อเดียวอย่างนี้ โดดๆ แล้วพยายามตีความปราศจากการดูบริบท ก็กลายเป็นว่าก่อนจะรับประทานขนมปังและดื่มน้ำองุ่น คือทำมหาสนิทนี้ เราต้องมาพิจารณาตัวเราเองก่อน ถูกไหม? ตีความข้อนี้ออกมา แล้วก็ตีอย่างนี้เลย เสร็จแล้วก็เพิ่มกันใหญ่เลยว่าต้องสำรวจตัวเองก่อนว่าไปทำผิดบาปที่ไหนมาหรือเปล่า ก่อนจะทำมหาสนิท ยังโกรธใครอยู่ไหม? ยังไม่อภัยให้ใครอยู่บ้างหรือเปล่า? ยังโกรธเคืองใครอยู่ในใจหรือเปล่า? บริสุทธิ์พอไหมที่จะรับมหาสนิท ความประพฤติดีพอไหม?  ที่เข้ามาสู่ความเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า ถูกไหม? ซึ่งมันตรงกันข้ามกับถ้อยคำพระเจ้าที่บอกไว้ว่าพระเยซูไถ่เราแล้ว สะอาดบริสุทธิ์แค่ไหน?

เพลงที่จะร้อง แทนที่จะเป็นเพลงที่เฉลิมฉลองของพระเยซูคริสต์ ก็กลายเป็นร้อง …

“ขอพระองค์เมตตา  ข้ามาเฝ้าเดี๋ยวนี้

ขอพระโลหิตจากกางเขน ล้างบาปให้สิ้นกรรมเวร”

“ฉันแย่เหลือเกิน ฉันมันเลว”

ถูกไหม?  ท่านลองคิดต่อเรื่อยๆ  ทั้งๆ ที่พระเยซูก็บอกแล้วว่า … “ให้กระทำสิ่งนี้ เพื่อระลึกถึงเรา”

ระลึกถึงสิ่งที่พระเยซูทำให้สำเร็จแล้ว  ที่ไม้กางเขน ทำให้ท่านบริสุทธิ์ สะอาดแล้ว ครั้งเดียวเป็นพอ โลหิตหลั่งแล้ว ชำระแล้ว จะมาขออะไร? เมตตาอะไรอีกล่ะ  พอมองชัดไหม?  เราลองมาอ่านดูว่าจริงๆ แล้ว ในข้อนี้ ถ้าตามบริบทแล้ว  มันหมายถึงอะไร? แต่ละคนควรตรวจสอบตนเอง ก่อนรับประทานขนมปัง ถ้าตีความตามบริบททั้งหมด เขาตีความว่าอย่างไร? หมายความว่าอย่างไร? ลองมาดูกันนะ 1 โครินธ์ บทที่ 11 ตั้งแต่ข้อ 17  ย้อนกลับไป เพื่อจะได้รู้ว่าที่ตะกี้ข้อที่ 28 เราตีความ มันถูกไหม? มันใช่ตามที่เขาตั้งใจจะสื่อความหมายให้เราไหม? หมายถึงอะไร? 1 โครินธ์ 11:17-22 อ่านช้าๆ ให้ชัดๆ ดูว่าเกิดอะไรขึ้น? …

1 โครินธ์ 11:17-22  “17 ในข้อปฏิบัติต่อไปนี้  ข้าพเจ้าไม่อาจชมเชยพวกท่าน  เพราะการประชุมของพวกท่าน  มีผลเสียมากกว่าผลดี 18 ประการแรก ข้าพเจ้าได้ยินว่าเมื่อพวกท่านประชุมกัน ในฐานะที่เป็นคริสตจักร  มีการแบ่งพรรคแบ่งพวกในหมู่พวกท่าน  และข้าพเจ้าเชื่อว่ามีมูลความจริงอยู่บ้าง 19 ไม่ต้องสงสัยเลยว่าในพวกท่านย่อมมีข้อแตกต่างกัน  เพื่อจะแสดงให้เห็นว่าฝ่ายไหนที่พระเจ้าทรงเห็นชอบด้วย 20 เมื่อพวกท่านมาประชุมกัน  ที่ท่านรับประทาน  ไม่ใช่งานเลี้ยงขององค์พระผู้เป็นเจ้า 21 เพราะต่างรับประทานโดยไม่รอคนอื่นเลย  คนหนึ่งยังหิว  ส่วนอีกคนเมามาย 22 พวกท่านไม่มีบ้านที่จะนั่งกินดื่มหรืออย่างไร  หรือว่าพวกท่านลบหลู่คริสตจักรของพระเจ้า  ด้วยการทำให้คนที่ขัดสนอับอาย  ข้าพเจ้าจะพูดอะไรกับพวกท่านดี  จะให้ข้าพเจ้าชมเชยพวกท่าน  เพราะสิ่งนี้หรือ   ไม่ใช่อย่างนั้นแน่นอน”

 

เปาโลเขียนจดหมายนี้ ถึงชาวโครินธ์ในสมัยนั้น ผู้ที่เชื่อในพระเจ้าแล้วทั้งหลาย แต่ยังมีความประพฤติอย่างที่ท่านได้อ่านสักครู่นี้

ชาวโครินธ์ ผู้เชื่อในพระเจ้า ที่เปาโลเรียกว่าพี่น้องผู้เชื่อทั้งหลาย  มีความประพฤติอย่างนี้ ยังแบ่งก๊ก แบ่งพรรค แบ่งพวก ยังเห็นแก่ตัว ยังเย่อหยิ่งจองหอง ร้ายกว่านั้น ไม่ได้อยู่ในข้อนี้ เริ่มต้นมา ในหนังสือ 1 โครินธ์บอกว่าบางคนทำบาป ถึงขนาดเอาภรรยาน้อยของพ่อมาเป็นภรรยาของตนเอง ซึ่งรับไม่ได้ อะไรอย่างนี้ นี่ผู้เชื่อทั้งนั้น คริสเตียนทั้งนั้น เปาโลกำลังจะพูดถึงผู้เชื่อในโครินธ์ ซึ่งมาจากพื้นฐาน ก่อนเชื่อนั้น สัพเพเหระเยอะแยะไปหมดเลย  ทั้งดีและเลว ความประพฤติแบบนี้ แล้วอาจารย์เปาโลบอกว่าให้ผู้เชื่อชาวโครินธ์ ที่พูดถึงในข้อ 17 – 22 ให้ตรวจสอบตนเองว่าได้ประพฤติสิ่งเหล่านี้หรือเปล่า? ทำอย่างนี้ไหม? สมควรหรือไม่สมควร ที่ทำไป

เป็นการกล่าวเตือนสำหรับเหตุการณ์ที่เฉพาะเจาะจงตอนนั้น โดยพุ่งไปที่กลุ่มผู้เชื่อที่เมืองโครินธ์เท่านั้น  ไม่ได้พูดถึงผู้เชื่อที่อื่นๆ เวลาอื่นๆ รวมถึงผ่านมา 2,000 ปีที่คริสตจักรอื่นๆ ถ้าคริสตจักรของท่าน หรือของเรา มีการกระทำอย่างนี้ ก็เอาอันนี้มาใช้ได้เหมือนกัน แต่ไม่ได้หมายถึงการสำรวจทางด้านวิญญาณ แต่กำลังสำรวจว่าตอนที่มากินโต๊ะองค์พระผู้เป็นเจ้านั้น ท่านทำแบบนี้หรือเปล่า? เขากินข้าวกันเหมือนที่ตอนเที่ยงเราเลี้ยงกันแบบนี้ บางคนเข้าแถวกัน บางคนมาแย่งเขา แย่งคิว บอกว่า … “ฉันมาก่อน” … “ฉันมาหลัง” คนมาหลัง เพราะเส้น รู้จักกับคนตักข้าว ปัจจุบันเป็นไปได้ไหม? เป็นไปได้ ที่คริสตจักรเรายังเป็นไปได้เลย ตอนที่เรารับประทานอาหารเที่ยงพร้อมกัน เรายังบอกให้มีระเบียบ แต่ไม่ถึงขนาดนี้นะ  ไม่ถึงขนาดพระคัมภีร์ที่เขียน คนมากินข้าวก่อน แล้วก็กินมูมมาม

นี่กำลังพูดถึงว่าเขากำลังจัดระเบียบ นึกออกใช่ไหม? จะเห็นชัด

ถ้อยคำตรงนี้ไม่ได้หมายถึงผู้เชื่อทุกคน รวมทั้งผู้เชื่อพระเจ้าในยุคปัจจุบันว่าต้องมาสำรวจตัวเองว่าทำบาปมามากเท่าไร? สมควรเป็นลูกพระเจ้าหรือไม่? บริสุทธิ์พอไหมที่จะเป็นลูกพระเจ้า? ซึ่งบอกแล้วไงว่าพระเยซูย้ำยืนยันแล้วว่ามหาสนิทนี้ ให้รำลึกถึงพระองค์ ว่าพระองค์ทรงกระทำให้เราสำเร็จเรียบร้อยไปแล้วที่ไม้กางเขน ให้เราบริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์  โดยการกระทำของพระองค์ ไม่ใช่ให้ระลึกถึงตัวเราเอง อย่างนี้เป็นต้น

พระเยซูให้กระทำมหาสนิทนี้ เพื่อรำลึกถึงสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำ เพื่อเรา ที่ไม้กางเขน ซึ่งมันสำเร็จแล้ว ไม่ใช่ให้เรากระทำสิ่งนี้ เพื่อจะมีสิ่งใหม่เกิดขึ้น

ยกตัวอย่างเช่น ไม่ใช่ให้เราทำสิ่งนี้ กินและดื่ม เพื่อจะเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่ ถึงท่านไม่ทำ ก็เป็นหนึ่งเดียวกัน เพราะพระเยซูทำให้ท่านเสร็จที่ไม้กางเขนแล้ว ไม่ใช่ท่านทำดีงาม ศักดิ์สิทธิ์ แล้วทำให้ท่านเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซู ไม่ใช่

หรือพิธีมหาสนิทนี้ เพื่อจะทำให้ท่านทำแล้ว พระเยซูจะได้ยกโทษบาปของท่านให้มากขึ้นกว่าเก่า ยกโทษให้เท่าเดิม ยกให้หมดไปแล้วด้วย ก่อนทำ ก็ยกไปแล้ว ไม่ทำก็ได้

หรือทำพิธีมหาสนิท จะทำให้พระเจ้าโปรดปราน รักเรามากเลย รักเราเท่าเดิม  ไม่ได้มากกว่าเดิม

หรือไม่ได้ตั้งใจที่ทำมหาสนิท เพื่อให้เราบริสุทธิ์ขึ้นกว่าเก่า บริสุทธิ์เท่าเดิม

พระเยซูบอกให้ทำ เพื่อระลึกถึงสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำให้เราเรียบร้อยแล้ว ไม่ใช่ให้เราระลึกถึงสิ่งที่เราทำ

วัตถุประสงค์ของการทำมหาสนิท ตามที่พระคัมภีร์บันทึกไว้ จึงมีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น คือเป็นการระลึกถึงสิ่งที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำให้แล้วที่ไม้กางเขน และการกระทำเช่นนี้ เป็นสัญลักษณ์ในการประกาศความเชื่อนั่นเอง ในข่าวดีของพระเยซู ประกาศความดี ด้วยความเชื่อ ไม่ดีใจหรือ? ก็ชื่นชมยินดี ฉลอง ขอบคุณ ด้วยความเชื่อ  ฉลองเหมือนคนฉลองปัสกานี้ ในอดีต เหมือนกัน แต่มากกว่า ชาวอิสราเอล ในอดีตที่ฉลองเทศกาลปัสกา นี่ฉลองพระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงตายที่ไม้กางเขน  หลั่งพระโลหิต ชำระบาปให้กับเรา ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม  เพื่อให้เราสามารถเป็นขึ้นมาใหม่ร่วมกับพระองค์ด้วย ขอบคุณพระเจ้า เฉลิมฉลอง การทำมหาสนิท คือวัตถุประสงค์ที่พระเจ้าให้เรา เพื่อตรงนี้แหละ

เมื่อเรายกถ้วยน้ำองุ่นขึ้นดื่ม เรากำลังประกาศว่าเราอยู่ในพันธสัญญาใหม่ โดยโลหิตของพระเยซูคริสต์ นี่พระเยซูต้องการให้เราทำตรงนี้  ให้เราดื่มน้ำองุ่น ที่เล็งถึงพระโลหิตของพระเยซู และประกาศว่านี่คือพันธสัญญาใหม่  คือเรารอดโดยพระคุณ เราเป็นผู้ชอบธรรม เป็นคนดี โดยพระคุณ ไม่ต้องพึ่งพาการกระทำของตนเอง เราไปสวรรค์ได้โดยพระคุณ พระเจ้าประทานให้ฟรีๆ ผ่านทางพระเยซู ไม่ใช่โดยการกระทำของเราเอง ซึ่งทำไม่ได้อยู่แล้ว  นี่คือตรงนี้แหละ คือพันธสัญญาใหม่  1 โครินธ์ 11:29 จึงได้บันทึกตรงนี้ ไว้อย่างนี้ว่า …

1 โครินธ์ 11:29  “เพราะผู้ที่รับประทานและดื่ม โดยไม่ตระหนักถึงพระกายขององค์พระผู้เป็นเจ้า (ที่ประชุมของคริสตจักร) ก็รับประทานและดื่ม สิ่งที่เป็นเหตุให้ตนเองถูก (กล่าวหาตำหนิติเตียน) พิพากษาลงโทษ”

 

เห็นอะไรชัดเจนหรือยัง? นี่หมายถึงเฉพาะเจาะจง ในเรื่องของความประพฤติที่ไม่เหมาะสมของชาวโครินธ์ในการทำมหาสนิท

คือการทำมหาสนิทในสมัยก่อน ก็คือการรับประทานอาหารร่วมกัน มื้อหนึ่ง รับประทานอาหารจริงๆ แต่มีการพัฒนามาเป็นถ้วยเล็กๆ ขนมปังชิ้นเล็กๆ  ก็เพราะว่าที่ประชุมใหญ่ขึ้น และสะดวกสบาย เลยมาทำพิธีอย่างนี้ แต่จริงๆ คือการรับประทานอาหารร่วมกัน เป็นหนึ่งเดียวกันของคนสมัยนั้น

ใน 1 โครินธ์ 11:29 ที่อ่านมาเมื่อสักครู่นี้ บอกว่าถ้าท่านมาที่โต๊ะขององค์พระผู้เป็นเจ้า ก็คือมาทำมหาสนิท ด้วยความเห็นแก่ตัว นึกภาพนะ แทนที่จะมาประกาศถึงพันธสัญญาใหม่ที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำให้เราสำเร็จเรียบร้อยไปแล้วที่ไม้กางเขน กลับมาที่โต๊ะขององค์พระผู้เป็นเจ้า มาดื่มเหล้าองุ่นด้วยความเห็นแก่ตัว ด้วยความตะกละ เมาเหล้า  แบ่งพรรค แบ่งพวก ที่ประชุมของกลุ่มพวกผู้เชื่อ หรือร่างกายของคริสตจักร คือร่างกายของพระคริสต์ พระคริสต์เป็นศีรษะ ผู้เชื่อเป็นร่างกาย ที่ประชุมของผู้เชื่อที่เรียกว่าร่างกายของคริสตจักร ก็จะตัดสินพิพากษา  กล่าวหาท่านว่าทำไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะสม ตัดสินท่านว่าไม่ดี แล้วก็มาฟ้องข้าพเจ้า มาฟ้องเปาโล

ว่า … “พวกนี้ทำไม่ถูกต้องเลย ช่วยเตือนที”

มันหมายถึงอย่างนี้ ไม่ใช่พระเจ้ามาตัดสินเรา ตามบริบท ชัดไหม? เป็นการตัดสินพิพากษา ก็คือเป็นการตัดสินกล่าวหาว่าทำไม่ถูกต้อง จากชุมชนของผู้เชื่อทั้งหลายนั่นเอง ที่เรียกว่าร่างกายของคริสตจักร ที่ตัดสิน กล่าวหา ต่อการกระทำที่ไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะสม ไม่สมควร ในการเข้าร่วมโต๊ะฉลองขององค์พระผู้เป็นเจ้า คือในการทำพิธีมหาสนิทด้วยกัน ซึ่งเป็นที่ไม่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า เราก็รู้แล้ว เราเห็นอย่างนี้ ก็ชัดแล้ว  นี่มันหมายถึงอย่างนั้น คริสตจักรแห่งหนึ่งทำไม่ถูกต้อง แล้วเปาโลก็เขียนไป เพื่อแก้ไขเขาเหล่านั้น

คำว่า “ตัดสิน พิพากษา” ตรงนี้หมายถึงการวินิจฉัยในความประพฤติต่างๆ  เช่น ตัดสินวินิจฉัยตนเองว่ามีท่าทีถูกต้องไหม? เราเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า? เราควรจะให้คนอื่นก่อน? เราดำเนินชีวิตด้วยความรัก เราเข้ามา ในโต๊ะขององค์พระผู้เป็นเจ้า เข้ามารับประทานอาหารด้วยกัน เราควรจะเสียสละ? กินทีหลัง? มันใกล้จะหมดแล้ว เราให้คนอื่นมีโอกาสได้กินก่อนเรา? อะไรอย่างนี้ มันหมายถึงตัดสินวินิจฉัยตนเองว่ามีท่าทีที่ถูกต้องหรือเปล่า? ในการทำพิธีมหาสนิท มารับประทานอาหารด้วยกัน อย่างที่ทำอยู่นี้ มันไม่ถูก ใช่ไหม? มันไม่ดีใช่ไหม? นี่พูดถึงชาวโครินธ์  ถ้าวินิจฉัยตนเองแล้ว จะได้ปรับปรุงแก้ไข เมื่อปรับปรุงแก้ไขแล้ว ท่านจะได้ไม่ต้องถูกพิพากษา ตัดสิน กล่าวหา โดยชุมชนหรือสมาชิกคนอื่นๆ กลุ่มอื่นๆ เขาจะได้ไม่ว่าเรา มันหมายถึงตรงนี้  บางคนอ้างข้อพระคัมภีร์ในหนังสือ 1 โครินธ์ 11:30 ยิ่งหนักใหญ่เลย

1 โครินธ์ 11:30 “นี่คือสาเหตุที่พวกท่านหลายคนอ่อนแอและเจ็บป่วย บางคนก็ล่วงลับไป”

 

อันนี้ต้องอธิบายเยอะหน่อย บางคนไม่ได้ดูบริบท อย่างที่ว่ามาเมื่อสักครู่นี้ แล้วก็บอกว่า …

“นี่เธอทำไม่ถูกต้องนะ พระเจ้าจะทำให้สิ่งนี้เกิดขึ้น คือพระเจ้าจะทำให้คนบางคนเจ็บป่วย อ่อนแอ และตายก็มี ดังนั้น ต้องระมัดระวังในการทำมหาสนิท เด็กก็ทำไม่ได้ คนไม่เชื่อ ก็ทำไม่ได้ คนเชื่อน้อยก็ทำไม่ได้ คนไม่ระวัง ก็ทำไม่ได้”

ตกลงใครทำได้บ้าง? งง ท่านลองคิดตามเรื่อยๆ นะว่าพระเยซูประสงค์อย่างไร? และเราถูกหลอกอะไรบ้าง? ทั้งๆ ที่ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าพระเยซูเอาความบาปผิดของเราออกไปหมดแล้ว เรียบร้อยแล้ว ครั้งเดียวเป็นพอ ก็แสดงว่าไม่ได้มาจากพระเจ้า ที่ทำให้เราอ่อนแอ เจ็บป่วย หรือบางคนล่วงหลับไป  แต่ถ้าเราอ่านในบริบท เราจะเห็นจริงๆ ว่ามันเป็นพิษของแอลกอฮอลล์ ในเหล้าองุ่นต่างหากเล่า ที่ทำให้เกิดขึ้น  ทำให้เกิดความเจ็บป่วย อ่อนแอ บางคนก็ล่วงหลับไป

ชัดๆ เลยนะ พิษของแอลกอฮอล์ล บางคนกินถึงขนาดเมา ก็คือติดเหล้า บางคนก็ตับแข็ง  บางคนก็เป็นโรคแอลกอฮอล์ลลิซึ่ม บางคนเป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง คุ้นๆ ไหม? เริ่มต้นเป็นตับแข็ง บางคนพิษสุราเรื้อรัง เดินเซไปเซมา ก่อนที่จะหนักขึ้น จนกระทั่งเป็นไหลตาย คือหลับแล้วตายไปเลย หัวใจหยุดเต้นไป เพราะเมามากๆ แล้วก็หลับไป มันหมายถึงอย่างนั้น

ไม่ได้หมายถึงพระเจ้าทำให้เราเป็นอย่างนั้น คิดดู หนักกว่านั้น ไม่น่า เป็นไปได้ ผมเคยคิดมาตั้งแต่เริ่มต้นเชื่อใหม่ๆ ตอน 30 กว่าปีก่อน คิดแล้วงง ผู้เชื่อ ผู้รับใช้บางคนมาทำมหาสนิท แล้วบอกตรงนี้ ผมก็งง ซึ่งผู้รับใช้คนคนเดียวกัน  ท่านนี้ เป็นคนประกาศว่า …

“พระเจ้าทรงรักเธอมาก ถึงขนาดประทานพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระองค์มาตายแทนเธอที่ไม้กางเขน เพื่อให้เธอได้รับความรอด จากบาป รอดจากนรก จงรับเชื่อเถิด”

แล้วผู้รับใช้คนเดียวกันนี้ ก็มาบอกว่า … “แต่ถ้าเผื่อเธอทำอะไร ผิดพลาดไป มารับพิธีมหาสนิท อย่างไม่ถูกต้อง เหมาะสมคู่ควร ไปทำบาปมาไหม? โกรธใครอยู่หรือเปล่า? ทำไม่สมควร พระเจ้าจะให้เขาตายเลย ทำให้เขาเจ็บป่วยเลย”

เป็นไปได้ไง พระเจ้าองค์เดียวกัน ที่บอกว่ารักมนุษย์ยิ่งนัก ส่งพระเยซูลงมา เพื่อเขา แล้วแค่นี้ ทำมหาสนิทผิดนิดหนึ่ง ทำให้เขาตายเลย แต่ก็เชื่ออย่างนั้นนะ

ท่านลองไปคิดเอาเองแล้วกัน มันสมควรเป็นเช่นไร? วันนี้ก็มีโอกาสมาเล่าความจริงให้ท่านฟัง  1 โครินธ์ 11:31 บอกว่า …

1 โครินธ์ 11:31 “แต่ถ้าเราได้วินิจฉัยตนเอง เราก็ไม่ต้องตกอยู่ในการพิพากษา”

 

ตอนนี้ ท่านรู้แล้ว ท่านอธิบายตามบริบท ก็หมายถึงตรวจสอบตนเองก่อน คนอื่นในที่ประชุม คนอื่นในคริสตจักร เขาจะได้ไม่มาตัดสินว่าทำอย่างนี้มันไม่ถูกต้อง ก็ตัดสินตนเองเสียก่อน  วินิจฉัยตนเองเสียก่อนว่าเราทำอะไรไม่ถูกต้องไหม? ตามหลักการของความรัก

1 โครินธ์ 11:32 บอกไว้อย่างนี้ “เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพิพากษาลงโทษเรานั้น พระองค์ทรงตีสอนเรา เพื่อไม่ให้เราต้องรับโทษ ร่วมกับโลก”

 

อันนี้ยากขึ้นแล้ว ต้องอธิบายให้ชัดๆ เพราะมีการแปลอย่างผิดพลาดเกิดขึ้น ท่านสามารถไปดูคำแปลในภาษาเดิมได้ แล้วดูความหมายในบริบท ท่านจะเห็นว่ามันสอดคล้องกันด้วย

ตรงนี้หมายถึงพระเจ้าใช้ผู้เชื่อคนอื่นๆ ที่กล่าวหา ตัดสิน แล้วก็แจ้งโทษว่าคนเหล่านี้ทำไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะสม พระเจ้าใช้ผู้เชื่อเหล่านั้น เพื่อจะแก้ไข ปรับปรุง เปลี่ยนแปลง ฝึกนิสัยให้กับผู้เชื่อที่ยังทำไม่ถูกต้อง ได้ทำให้ถูกต้องเสีย มันแปลว่าอย่างนี้ พอเข้าใจไหม

พูดง่ายๆ ว่าเมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพิพากษาลงโทษเรานั้น เมื่อที่ประชุมของผู้เชื่อในคริสตจักรได้ตัดสินกล่าวหาโทษ ว่าเราทำไม่ถูกต้องนั้น พระเจ้าทรงใช้สิ่งที่พวกเขาตัดสิน กล่าวหาโทษเรานั้น เป็นการฝึกฝนให้เราเปลี่ยนแปลง แก้ไขว่าสิ่งที่ทำไม่ถูกต้องนั้น ให้เลิกทำซะ มันหมายถึงอย่างนั้น เพื่อท่านจะได้ไม่ต้องเสื่อมโทรมไปเหมือนกับโลกใบนี้ ก็คือเหมือนกับผู้ที่ไม่ได้เชื่อพระเจ้า และทำตัวเหลวไหล มันหมายถึงอย่างนั้น

อันนี้ก็เข้าใจนะว่ามันเข้าใจยากหน่อย แต่ถ้าเผื่อติดตาม ตามบริบทมา จะเห็นชัดเจนว่าอะไรมันควรจะเป็นความจริง

เพราะฉะนั้น เปาโลจึงสรุปสาระสำคัญของการรับมหาสนิทในความคิดเห็นของท่าน เฉพาะข้อความนี้ ที่เขียนไปถึงผู้เชื่อชาวโครินธ์ ที่ปฏิบัติตัวอย่างนี้ 1 โครินธ์ 11:33-34 ว่า …

1 โครินธ์ 11:33-34 “33 ฉะนั้น พี่น้องทั้งหลาย  เมื่อท่านเข้ามาพร้อมกัน เพื่อรับประทานในพิธีมหาสนิท จงรอซึ่งกันและกัน 34 ถ้าใครหิว ก็ควรรับประทานที่บ้าน เพื่อว่าเวลาพวกท่านมาประชุมกัน จะได้ไม่จบลง ด้วยการพิพากษาลงโทษ”

 

ท่านสามารถแปลเองได้แล้วตอนนี้ ที่บอก “ฉะนั้นพี่น้องทั้งหลาย เมื่อท่านเข้ามาพร้อมกัน เพื่อรับประทานในโต๊ะขององค์พระผู้เป็นเจ้า คือในพิธีมหาสนิทนั้น จงรอซึ่งกันและกัน ถ้าใครหิว ก็รับประทานอาหารที่บ้านมา กินมาให้เสร็จเสียก่อน ถ้ารู้ว่าตัวเองเป็นโรคกระเพาะ หิวไม่ได้ ก็กินรองท้องมาเสียหน่อย เพื่อว่าเวลาพวกท่านมาประชุมกัน จะได้ไม่จบลง  ด้วยการถูกกล่าวหา ตัดสินจากคนอื่นๆ ว่าท่านประพฤติไม่เหมาะสม ไม่สมควร แย่งกันกินเหล้าองุ่น  กินมากกว่าชาวบ้านเขา ตักข้าวก็เยอะกว่าคนอื่นเขา เอาอาหารไปมากกว่าคนอื่นเขา”

บางคนมาร่วมกันรับประทานอาหาร ในสมัยนั้นนะ สมัยนี้ก็มี บางคนอาหารมื้อเที่ยงของวันอาทิตย์ เป็นอาหารหลักที่สำคัญมากเลยสำหรับเขา แต่ละวันเขาอาจจะเป็นคนยากจน มีอาหารทานน้อย  ไม่ได้มีอาหารเต็มท้องอย่างนี้ วันนี้เป็นวันหนึ่งที่เขาจะได้รับการเลี้ยง จากพระเจ้าอย่างมาก แต่บางคนมีบ้านอยู่ อะไรต่างๆ เรียบร้อย มีอาหารการกินเต็มไปหมด กินได้ทั้งวัน ยังมาแย่งเขาในวันอาทิตย์อีก คิดดู มันเป็นอย่างนี้จริงๆ         เปาโลจึงบอกว่าลองคิดดูให้ดีๆ นะ เรามาเพื่ออะไร? เรากำลังทำอะไรกันอยู่?  มันหมายถึงอย่างนั้น

ไม่ได้หมายถึงถ้าท่านไม่รอกันและกัน พระเจ้าจะฆ่าท่านให้ตาย ถ้าใครหิว แล้วไปกินก่อนชาวบ้านเขา พระเจ้าจะทำให้ท่านป่วย  อย่างนั้นหรือ? ท่านคิดเอาเองก็ได้  มันไม่ใช่ ใช่ไหม?

เพราะฉะนั้น เรากลับมาที่ว่าเพราะฉะนั้น การทำมหาสนิท วัตถุประสงค์ของพระเยซูคริสต์ ผู้เริ่มต้นก่อตั้งพิธีมหาสนิทนี้ ก็เพื่อให้เราระลึกถึงพระองค์ ที่พระองค์ทรงกระทำที่ไม้กางเขน  หลั่งพระโลหิตของพระองค์ชำระบาปให้กับเรา มนุษยชาติ และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 เพื่อเราทั้งหลาย  จะได้เข้ามา ร่วมกับพระองค์ เป็นหนึ่งเดียวกัน พระองค์บอกว่าเมื่อท่านเปิดใจต้อนรับข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ต้อนรับข่าวประเสริฐนี้ พอเปิดใจปุ๊บ พระเยซูจะเข้ามาอยู่ในใจ เข้ามาอยู่ในวิญญาณของท่าน ไม่ได้เข้ามาอยู่อย่างเดียว พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตรพระเยซูคริสต์ พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็จะมาเป็นหนึ่งเดียวกับท่าน พระเยซูบอก เราจะเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับท่าน เรากับท่านเป็นหนึ่งเดียวกัน พระเยซูกับพระเจ้าก็เป็นหนึ่งเดียวกันด้วย และท่านทั้งหลายทุกคนที่มาเชื่อเรา อยู่ในพระคริสต์ ก็เป็นหนึ่งเดียวกันหมดทุกคน ผู้เชื่อทั้งหลายก็เป็นหนึ่งเดียวกันในพระคริสต์ เป็นก้อนเดียวกัน เหมือนขนมปังก้อนเดียว โดยผ่านทางพันธสัญญาใหม่ คือพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ เป็นตัวรับประกัน เป็นตัวค้ำประกันว่านี่เป็นจริง มันหมายถึงตรงนี้ ให้เราระลึกถึงตรงนี้

ระลึกถึงตรงนี้ แล้วทำอย่างไร? ฉลอง เพื่อขอบคุณพระเจ้า เพื่อจำ จะได้ไม่ลืมอีก และเพื่อทำให้ลูกหลานเหลนโหลน รุ่นต่อๆ ไป จะได้ทำตาม เป็นตัวอย่าง จะได้ไม่ลืมสิ่งเหล่านี้ ไม่ลืมหายไป เพราะสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำนั้น สำคัญมาก  และเป็นอยู่ตลอดไป สำหรับมนุษยชาติทุกคน

มันเป็นอย่างนั้น เราควรจะเปลี่ยนท่าทีใหม่ในการเข้ามาทำพิธีมหาสนิทนี้ ให้มันสนิท สมกับที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงทำให้กับเรา ที่ไม้กางเขน พระเยซูมีนามว่า “อิมมานูเอล” ภาษาฮีบรู แปลว่า “พระเจ้าสถิตอยู่ด้วย” แต่เมื่อผนวกกับพระคัมภีร์ใหม่ โดยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ โดยการทำมหาสนิทแล้ว อิมมานูเอล แปลว่าพระเจ้าอยู่กับเรา  สถิตกับเรา  พระเจ้าอยู่ในเรา  และพระเจ้าอยู่เพื่อเรา  พระเจ้าล้อมรอบตัวเรา  พระเจ้าโอบกอดเรา  พระเจ้า  รักเราอย่างแก้วตาดวงใจ

เพราะฉะนั้น การทำมหาสนิทควรจะระลึกถึงสิ่งเหล่านี้ ถ้าระลึกได้ทุกวัน ทุกมื้อเลย ยิ่งดีใหญ่เลย หลับตาไปก็เห็น ลืมตาเห็น เห็นอะไร? พระเยซูเป็นพระเจ้า พระเยซูอยู่กับเรา พระเยซูอยู่ล้อมรอบเรา  พระเยซูอยู่ในเรา  พระเยซูโอบกอดเรา  พระเยซูทรงรักเรา  พระเยซูอยู่เพื่อเรา

แค่นั่นไม่พอ  มหาสนิท แปลว่าพระเยซูอยู่กับเรา  เราอยู่กับพระเยซู  พระเยซูล้อมรอบเรา  เราล้อมรอบพระเยซู  พระเยซูอยู่ในเรา  เราอยู่ในพระเยซู  พระเยซูโอบกอดเรา  เราโอบกอดพระเยซู  พระเยซูอยู่เพื่อเรา  เราอยู่เพื่อพระเยซู  พระเยซูทรงรักเรา  เราก็รักพระเยซู  มันเป็นเช่นนี้ตลอดนิรันดร์  เราจึงมาเฉลิมฉลองสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงกระทำให้เราในวันนี้  ซึ่งเพลงที่เขาใช้กัน เป็นเพลงที่เขาเฉลิมฉลอง ตอนที่พระเจ้าให้เฉลิมฉลองวันปัสกา พอเขาเฉลิมฉลองปัสกาเสร็จ เขาก็ร้องเพลงถวายพระเจ้าตรงนี้แหละ  ในสดุดี 118  เป็นเพลงที่เขาร้องเฉลิมฉลองปัสกา ที่พระเจ้าได้ไถ่เขาให้พ้นจากการเป็นทาสอียิปต์ 430 ปี เราก็ควรทำเช่นนั้น บทเพลงนี้ บอกถึงวันที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ว่าพระองค์จะช่วยให้รอด แล้วพระองค์ทรงทำจริงๆ ตามสัญญานั้น ก็คือเพลงนี้ ….  ทำมหาสนิทควรจะร้องเพลงนี้นะ

“วันนี้เป็นวัน ที่พระเจ้าจัดไว้                     เราจะยินดีและเบิกบานในใจ x2

ยินดี ในพระองค์  ยินดี  ในพระองค์

แสนยินดี การประทับของพระเจ้า             พระองค์สมควรจะสรรเสริญ x2

ยินดี ในพระองค์  ยินดี  ในพระองค์”

เมื่อพระเยซูได้ไถ่เราแล้ว ….

“แสนยินดี  เยซูเรายินดี x4                          กลับคืนพระชนม์  กลับคืนพระชนม์

และเป็นอยู่  ชั่วนิจนิรันดร์                          กลับคืนพระชนม์  กลับคืนพระชนม์

พวกเราแสนยินดี  การฟื้นพระชนม์  ของพระเยซู”

“แสนยินดี  เยซูเรายินดี x4                          กลับคืนพระชนม์  กลับคืนพระชนม์

และเป็นอยู่  ชั่วนิจนิรันดร์                          กลับคืนพระชนม์  กลับคืนพระชนม์

พวกเราแสนยินดี x3  การฟื้นพระชนม์  ของพระเยซู”

พระเจ้าอวยพรครับ

 

******************************

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 31 มกราคม 2021 เรื่อง “ต้องเชื่อเท่าไร จึงรอด” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  31  มกราคม  2021

 เรื่อง “ต้องเชื่อเท่าไร  จึงรอด”

โดย   นคร  เวชสุภาพร

 

หัวข้อการบรรยายในวันนี้ คือ “ต้องเชื่อเท่าไร จึงรอด” จึงบังเกิดใหม่ เข้าสวรรค์ได้ ซึ่งเป็นหนึ่งในคำถามที่คริสเตียนผู้เชื่อหลายคน พยายามที่จะหาคำตอบกันอยู่ ผมเองก็มีสมาชิกมาถามอยู่บ่อยๆ ไม่ใช่ผู้เชื่อใหม่นะ ผู้เชื่อใหม่มีอยู่แล้ว แต่ผู้เชื่อเก่าๆ ยังคงมีมาถามบ้าง บางคนเชื่อเก่าแก่นานมาแล้ว ก็ยังสงสัยในเรื่องนี้อยู่ อยากหาคำตอบ คนถาม เขาเรียกว่าเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ค่อยสำคัญมากนัก แต่คนตอบสำคัญมาก ตอบอย่างไร? และตอบไปแล้ว มันถูกต้องตามหลักพระคัมภีร์หรือไม่? จึงมาคุยกันในเรื่องนี้ เพราะถ้าตอบไม่ถูกตามหลักพระคัมภีร์ มันอันตราย

คืออย่างนี้ คำตอบใส่ความเข้าใจ ความนึกคิด เหตุผลของตัวเองเข้าไป มันทำให้เกิดอันตรายขึ้น ต้องเชื่อเท่าไร ถึงรอด? บางคนเขาก็ใส่ความคิดของตนเองเข้าไป ท่านตอบว่าอย่างไร? ถ้าท่านเชื่อพระเจ้ามาแล้ว

มีคนถามท่านว่า  … “ต้องเชื่อเท่าไร ฉันถึงจะรอด?”

บางคนก็ตอบว่า … “ต้องเชื่อแบบไม่มีความสงสัยเลย ถึงจะรอด”

ได้ยินบ่อย คุ้นๆ นะ ต้องเชื่อแบบไม่สงสัยเลย ถึงจะได้รับความรอด ก็อยากจะถามจริงๆ ว่าหลังจากที่ท่านรับเชื่อแล้ว เคยมีสักครั้งไหมที่อยู่ๆ ก็แว๊บเข้ามาในความคิดว่า …

“เอ๊ะ! ฉันรอด บังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้า อยู่ในสวรรค์ได้หรือไม่?”

สงสัยไหม? หรือไม่สงสัย  หรือบางทีก็รู้สึกคิด รับเชื่อมาหยกๆ

“เอ๊ะ! ตอนนี้พระเจ้าอยู่กับฉันจริงๆ หรือ?”

เคยมีบ้างไหม? ท่านต้องตอบว่ามีแน่นอน บางคนตอนมาเชื่อพระเจ้า ขนลุก น้ำตาไหล ซาบซึ้ง พระเจ้าสัมผัส ผ่านไปแค่ 1 อาทิตย์ บางคนหนึ่งวันด้วยซ้ำไป กำลังอาบน้ำอยู่ดีๆ ก็คิดขึ้นมาว่า …

“ตกลง ฉันบังเกิดใหม่หรือเปล่า? ฉันเป็นผู้เชื่อพระเจ้าจริงแล้วหรือ? ฉันเป็นลูกพระเจ้าจริงหรือ?  พระเจ้าอยู่กับฉันจริงหรือ?  ฉันนั่งอยู่ในสวรรค์แล้วจริงหรือ?”

“เมื่อวานพึ่งจะร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า  น้ำหู น้ำตาไหล ขอบคุณพระเจ้า พระเจ้าสถิตอยู่ด้วย”

แต่ผ่านไปไม่กี่ชั่วโมง พระเจ้าหายไปไหน ไม่รู้ สงสัยอย่างนี้จะรอดไหม?

บางคนเชื่อพระเจ้ามาหลายปี หลายสิบปีก็มี ก็มีคำถามเรื่องนี้แว๊บเข้ามา เป็นครั้งคราว เหมือนกัน  เพราะฉะนั้น ถ้าคำตอบที่บอกว่าต้องเชื่อแบบไม่มีความสงสัยถึงจะรอด  ถ้าเกิดมันเป็นจริงตามนั้น  แล้วเวลาที่เรามีคำถามในใจ เกิดขึ้นมาตอนอาบน้ำ ก็ดี ตอนไหนก็ดี เกิดมีความสงสัยในความรอดขึ้นมา ก็แปลว่าเราสูญเสียความรอดไปแล้วสิ ช่วงนั้น ถูกไหม?  ก็มันสงสัย

เพราะฉะนั้น คำพูด คำเตือนที่มักได้ยินกันบ่อยๆ ในชุมชนของคริสเตียน ของผู้เชื่อ ก็คือ …

“รักษาความเชื่อให้ดีนะ ต้องรักษาความเชื่อให้ตลอดรอดฝั่ง ต้องระวังให้ดี  อย่าให้สูญเสียความรอดก่อนถึงวันสุดท้าย คือวันตายนะ”

อันนี้คุ้นหูมากเลยนะ … “ต้องรักษาความรอดให้ดี รักษาความเชื่อให้ถึงวันสุดท้าย”

รักษาอย่างไร?  ท่านลองคิดตามดูว่าคำสอน  หรือคำแนะนำแบบนี้ มันเป็นไปได้ไหม?  ถูกต้องตามหลักของพระคัมภีร์ในไบเบิลที่บันทึกเอาไว้ใช่หรือไม่?  มันเป็นจริงอย่างนั้นไหม?  ก็เพราะว่ามีคำพูด คำเตือน ความหวังดีที่โลกไม่ต้องการแบบนี้เยอะมาก สอนต่อกันมาบ่อยๆ จนกระทั่งชินหู จึงทำให้เกิดคำถามว่าถ้าอย่างนั้น ต้องมีความเชื่อเท่าไรจึงจะผ่าน จึงจะรอด  ได้รับการบังเกิดใหม่ ไปอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้

แล้วที่บอกว่าต้องรักษาความเชื่อจนถึงวันสุดท้ายนั้น ต้องทำอย่างไร? รักษาอย่างไร? ทุกคนก็ พยายามหาคำตอบกันใหญ่ บางคนก็ตอบเป็นเรื่องว่าความประพฤติ การทำดี เพื่อรักษาความรอด

“อย่าทำอย่างนั้นนะ มันบาป เดี๋ยวจะสูญเสียความรอด  ต้องทำอย่างนี้นะ เพื่อจะรักษาความรอด”

คุ้นๆ หูไหม? ตั้งแต่มารับเชื่อวันแรก ได้ยิน อย่างนี้มาบ้างไหม?

“อภัยให้กับคนอื่นหรือยัง? ต้องอภัยให้หมด ไม่อย่างนั้น พระเจ้าก็ไม่อภัยให้เธอเหมือนกัน”

คุ้นๆ ไหม?

“เพราะพระเจ้าบริสุทธิ์ เธอต้องรักษาความบริสุทธิ์ไว้ ต้องกลับใจใหม่จากการกระทำบาป  ต้องไม่โลภนะ  อย่าผิดศีลธรรมทางเพศเด็ดขาดเลยนะ  อย่าเมาเหล้า เพราะจะไม่ได้เข้าแผ่นดินสวรรค์ จะไม่มีแผ่นดินสวรรค์เป็นมรดก พระคัมภีร์พูดไว้อย่างนั้นนะ”

“ถามจริงๆ เถอะ ต้องรักษาไว้เท่าไร? ที่พูดมามันดีหมด แต่ต้องไม่เมาเหล้าเท่าไร ถึงจะได้ไปสวรรค์ แล้วอย่างไรถึงเรียกว่าเมาเหล้า  แค่ไหนถึงเรียกว่าเมา แล้วเมาแค่ไหน ถึงไม่ได้ไปสวรรค์”

ท่านลองคิดดู โลภเท่าไรถึงเรียกว่าโลภ ประพฤติผิดศีลธรรมทางเพศเท่าไร ถึงจะไม่ได้ไปสวรรค์ พระเยซูบอก แค่มอง แค่คิด  ก็ผิดแล้ว  แล้วอย่างนี้ดูหนังสือโป๊ ก็ตกนรกแล้วสิ แล้วเมื่อวานเห็นแว๊บหนึ่ง แล้วทำอย่างไรล่ะ มันตอบลำบากใช่ไหม? อันนี้เราคิดกันไปเรื่อยๆ นะ

บางคนก็ตอบเป็นเรื่องการปฏิบัติตัวของผู้เชื่อ ซึ่งมีเยอะแยะเลย เช่น เมื่อเชื่อพระเจ้าแล้ว ให้รักษาความรอดไว้นะ โดยการ …

“เธอต้องถวายสิบลด จากนี้ไป ต้องบัพติศมาในน้ำ”

อันนี้มีคนถามเยอะ

“ต้องไปโบสถ์วันอาทิตย์,  ต้องออกไปประกาศนะ, ต้องอธิษฐานเยอะๆ, ต้องติดสนิทกับพระเจ้าให้มากๆ ต้องๆๆๆๆๆ”

เต็มไปหมดมากมาย  แล้วถามว่าต้องสนิทกับพระเจ้ามากเท่าไร? ถึงจะรอดได้ ต้องอธิษฐานขนาดไหนถึงเรียกว่าเพียงพอ ท่านพอเข้าใจใช่ไหมว่าผมกำลังพูดถึงเรื่องอะไร? ซึ่งคำตอบของปัญหาต่างๆ เหล่านี้  ไม่มีใครสามารถตอบได้  คือแล้วต้องทำเท่าไร จึงจะพอ เข้าเกณฑ์ รักษาความรอด ไปอยู่ในสวรรค์ได้ ถูกไหม? มีแต่แนะนำ บอกวิธีต้องอย่างนั้นอย่างนี้ ต้องอย่าทำอย่างนั้น อย่าทำอย่างนี้  แล้วตกลงเท่าไร? ถึงเรียกว่าพอ กี่เปอร์เซ็นต์ของชีวิต ที่ต้องประพฤติดี ทำดีมากเท่าไร จึงจะรักษาความรอดได้? ต้องอธิษฐานมากเท่าไร? ต้องพยายามติดสนิทกับพระเจ้ามากแค่ไหน ถึงจะผ่านเกณฑ์ว่าเชื่อมากพอที่จะเข้าสู่สวรรค์ รักษาความรอดได้เท่าไร?  ท่านลองคิดดู ถามในใจ

แต่ก่อนที่เราจะไปถึงเรื่องอื่น ผมต้องพูดจากใจจริงตอนนี้ก่อนเลยว่าไม่ใช่ว่าผมไม่เห็นประโยชน์ ไม่เห็นความสำคัญ ไม่สนับสนุนการกระทำเหล่านี้ ผมยังทำอยู่ และทำอยู่ตลอดเวลา  ไม่ใช่ไม่เห็นความสำคัญ  ความประพฤติตัวดี  การกระทำดี  การมีนิสัยดี การติดสนิทกับพระเจ้า  การดำเนินชีวิตตามคำสั่งสอนของพระเจ้าในพระคัมภีร์ เป็นสิ่งดีงามและสมควรกระทำอย่างยิ่ง  เป็นการแสดงว่าพระเยซูคริสต์สถิตอยู่ในเรา เพราะเป็นการกระทำที่ทำให้เกิดพระพรขึ้นด้วย ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  มันเป็นสิ่งที่ดี สมควรทำอย่างยิ่ง

แต่ประเด็นที่กำลังคุยกัน คือความประพฤติและการกระทำเหล่านี้ทั้งหมด ทั้งปวง ไม่ได้มีผลอะไรต่อความรอด และการบังเกิดใหม่ ในโลกวิญญาณเลย ไม่มีผลใดๆ เลย แม้แต่นิดเดียว ไม่ว่าจะทำให้เกิดประโยชน์หรือเกิดโทษ ในโลกวิญญาณ ไม่เกี่ยวกันเลย  นี่คือประเด็นที่กำลังจะมาพูดถึงวันนี้  ความประพฤติ การปฏิบัติตัว และการกระทำต่างๆ ของผู้เชื่อ บนโลกใบนี้ จะมีผลเฉพาะต่อการดำเนินชีวิต บนโลกใบนี้เท่านั้น และผลของความรอด คือการบังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้า ก็เป็นผลทางด้านโลกวิญญาณเท่านั้น

ยกตัวอย่าง เช่น ถ้าเราขับรถฝ่าฝืนกฎจราจร เราทำผิด เราดื้อ พระเจ้าบอกอย่าฝืนกฎ เราไปฝืนกฎหมาย ก็ถูกตำรวจจับลงโทษ แต่ในทางโลกวิญญาณ บอกว่าเราเชื่อพระเยซูคริสต์แล้ว โรม บทที่ 8 บอกว่า …

“ไม่มีการลงโทษใดๆ สำหรับผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ เขาเป็นอิสระจากการลงโทษต่างๆ แล้ว ด้วยกฎแห่งวิญญาณแห่งชีวิต”

เอามาใช้ได้ไหม? ขับรถผิดกฎหมาย แล้วตำรวจมาจับ บอก …

“ผมเป็นคริสเตียนครับ ผมอยู่ในกฎแห่งวิญญาณแห่งชีวิต  ไม่มีการลงโทษใดๆ สำหรับผู้เชื่อครับ”

ตำรวจบอกเอาไป 2 ใบเลย   ใบหนึ่ง คือขับรถเกินกำหนด     ใบที่สอง  คือฝ่าฝืนเจ้าพนักงาน  ดูถูกเจ้าพนักงาน อะไรแบบนี้ หรือไม่ก็พาส่งโรงพยาบาล อย่างนี้เป็นต้น

ฉะนั้น เราต้องรู้ว่ากฎนี้ เป็นกฎอะไร? กฎวิญญาณ เกี่ยวกับโลกวิญญาณ  หรือกฎแห่งการหว่านและการเก็บเกี่ยว คือกฎแห่งการกระทำบนโลกใบนี้

อย่างที่บอกว่าความคิดและคำถามต่างๆ เหล่านี้ ไม่ได้เกิดขึ้นกับผู้เชื่อใหม่เท่านั้น แม้แต่คริสเตียนที่เชื่อมานานแล้ว หลายคนก็ยังติดกับคำสอนแบบเดิมๆ อย่างนี้ สอนบ้าง เชื่อกันมาบ้าง? พูดกันมาด้วยความหวังดีบ้าง? อย่างที่บอก เขาหวังดีจริงๆ แต่เป็นความหวังดีที่โลกนี้ไม่ต้องการ เพราะเป็นความหวังดีที่ผิดพลาด ที่ไม่ถูกต้อง ทุกวันนี้ยังมีคนเชื่อเก่าแก่บางคนมาขอให้ผมอธิษฐานให้เขารักษาความเชื่อจนกระทั่งถึงวันสุดท้าย

“อาจารย์ช่วยอธิษฐานให้หน่อยนะ หนู ดิฉัน ผม รู้สึกไม่มั่นใจในความรอดเลย”

เพราะตัวเองรู้สึกไม่มั่นใจ  ไม่มีความคิดที่เหมือนพระคัมภีร์บอกไว้ คือความคิดแบบพระเยซูคริสต์ว่าเรารอดแล้ว  ไม่มีความคิดอย่างนั้น เป็นความคิดอื่นเข้ามาแทนที่ ความคิดที่ปฏิเสธความจริงนั้น เราเรียกว่าความสงสัย  … สงสัยอะไร? สงสัยในคำพูดของพระเยซู สงสัยในข่าวดีของพระเยซู ก็เกิดความสงสัยในความรอด แล้วก็ไม่มั่นใจในความประพฤติของตนเอง กลัวจะไม่ผ่านเกณฑ์ของพระเจ้า ไม่ได้ไปสวรรค์ ก็เลยมาขอให้อธิษฐาน  ความคิดเหล่านี้ ทำให้คำพูดของพระเยซู ที่บอกไว้ว่าผู้ที่เหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก จงมาหาพระองค์ พระองค์จะให้หายเหนื่อยและเป็นสุข เหมือนกับพระเยซูพูดโกหก พูดไม่จริง  ไม่เห็นหายเหนื่อยเลย ยังกังวลอยู่เหมือนเดิม ยังเหนื่อยอยู่เหมือนเดิม ที่จะแสวงหาสวรรค์ แสวงหาความรอด เพราะไม่มั่นใจในความรอดที่ตัวเองได้รับไปแล้ว

ท่านลองตั้งใจฟังนะ นี่คือสัจจะธรรม คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ บนโลกใบนี้แหละ ทั้งโลกวิญญาณ และโลกวัตถุ … โลกวัตถุที่จับต้องมองเห็นได้ มันก็มีความจริงอยู่ในนั้น โลกวิญญาณ ก็มีความจริงอยู่ในนั้น ความจริงในโลกวัตถุ เรียกว่าสัจจะธรรม คือเรายังคงมีความคิด หาเหตุผลแบบมนุษย์ สงสัย ไม่เชื่อในพระเจ้าตลอดเวลา นี่คือสัจจะธรรม เรื่องจริง พูดง่ายๆ ว่าระบบของโลกใบนี้ วัตถุสิ่งของบนโลกใบนี้  รวมทั้งร่างกายที่จับต้องมองเห็นได้บนโลกใบนี้นั้น มันต่อต้านกับเรื่องของพระเจ้า ซึ่งเกี่ยวกับเรื่องโลกวิญญาณทั้งสิ้น มันอยู่คนละฟาก เราต้องรู้สัจจะธรรมนี้

ตราบใดที่เรายังมีลมหายใจอยู่ ตราบนั้น เรามีความสงสัย ไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้ามานานเท่าไรก็ตาม เป็นวัน เป็นเดือน เป็นปี หรือหลายๆ ปีก็ตาม ความคิดสงสัยแบบนี้  ก็คอยโจมตีเราอยู่ตลอดเวลา  นี่คือสัจจะธรรม มันเป็นจริงตามนั้น  มันโจมตีเราผ่านทางร่างกาย ตา หู จมูก ลิ้น กาย  และความคิดของเราตลอดเวลาที่เรามีลมหายใจอยู่ มันโจมตีเราว่าไม่มีพระเจ้า  ไม่มีโลกวิญญาณหรอก นี่ต้องรู้ตรงนี้

เพราะร่างกายเนื้อหนังนี้ มันมักจะยึดติดอยู่กับเหตุผล และความเข้าใจแบบมนุษย์ จึงยากที่จะรับความจริง เรื่องเกี่ยวกับพระเจ้า ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกฝ่ายวิญญาณอย่างเดียวเท่านั้น พระเจ้าทรงเป็นวิญญาณ  ผู้ที่จะไปหาพระองค์  ต้องไปหาพระองค์ด้วยความจริงและด้วยวิญญาณ ซึ่งต้องใช้ความเชื่อเท่านั้น ในเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ หลายครั้งความรู้สึกจากร่างกาย เนื้อหนัง คือตา หู จมูก ลิ้น กาย และความคิดของเรา บ่อยครั้งเลยที่มันต่อต้านกับความจริงในเรื่องโลกวิญญาณ เรื่องเกี่ยวกับพระเจ้า และเรื่องเกี่ยวกับความรอดในพระเยซูคริสต์ ที่เรากำลังพูดถึงอยู่นี้

เพราะฉะนั้น จงรู้ นี่คือสัจจะธรรม มันจะต่อต้านเราตลอดเวลา  ตราบใดที่เรายังอยู่ในร่างกายนี้ มันมีความสงสัย  มีความไม่เชื่อ เป็นศัตรูกับพระเจ้าตลอดเวลา จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เราจะตอบรับความคิดต่อต้านเหล่านี้ ด้วยอาการกลัว … กลัวที่จะสูญเสียความรอด กังวลว่าพระเจ้าไม่พอใจในชีวิตเรามั้ง พระเจ้าเกลียดเรา  พระเจ้าไม่รักเรา รู้สึกผิด มันเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาเลย

บางคนหนักถึงขนาด พยายามที่จะตอบโจทย์ตรงนี้เลย โดยการพยายามค้นหาคำตอบจากพระคัมภีร์ เพื่อให้เกิดความมั่นใจในความรอดมากขึ้น  บนพื้นฐานของความไม่รู้ความจริง ในสัจจะธรรมนี้ ก็คือพยายามค้นหาคำตอบจากพระคัมภีร์ ให้เกิดความมั่นใจในความรอด  บนพื้นฐานของความกลัว และความวิตกกังวล  พอนึกภาพออกไหม?

“โอ๊ย! มันเป็นอย่างนั้น”

ยิ่งอ่านพระคัมภีร์ไปเท่าไร? ก็ยิ่งกลัว ยิ่งวิตกกังวล เพราะว่าไปตีความตามหู ตา จมูก ลิ้น กาย และความคิดของตนเอง ไม่ได้ตีความตามโลกวิญญาณที่เป็นจริงในเรื่องเกี่ยวกับวิญญาณ ที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ ยิ่งไปอ่านเท่าไร ยิ่งกลัว  อ่านไปมีแต่ติดลบทั้งนั้น  เพราะที่อ่านไป ตา หู จมูก ลิ้น กาย  ความคิดมันคิดในทางลบทั้งสิ้น  อ่านไป ก็พระเจ้าโหดร้าย  อ่านไป พระเจ้าไม่ดี  อ่านไป เราก็แย่ อ่านไป เราทำไม่พอ เราไปไม่ถึงสวรรค์ได้หรอก ในที่สุด  มันอยู่บนพื้นฐานตรงนี้มากกว่า ก็เลยอธิษฐานขอความมั่นใจมากขึ้น  บนพื้นฐานของความกลัว  อธิษฐานหลายๆ ครั้ง อยากให้ความรอดนั้นอยู่กับเรา ยิ่งอธิษฐาน ความรอดได้มากขึ้นไหม?  ไม่มากขึ้นหรอก  เพราะมันมาผิดทาง มันยืนอยู่บนพื้นฐานของความไม่จริง  โกหก ยิ่งอธิษฐานขอความรอดมากเท่าไร?  ยิ่งกลัวเท่านั้น  เพราะมันเป็นไปไม่ได้  พอเข้าใจนะ  ก็ยิ่งอธิษฐานขอความรอดซ้ำแล้วซ้ำเล่า  บางคนขอทุกวัน  ขอความรอด  เพื่อความมั่นใจในความรอด จากบาป ในการเป็นผู้ชอบธรรม เป็นผู้บริสุทธิ์ สามารถอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้ ก็เลยยิ่งอธิษฐานไป ยิ่งห่างไกลมากขึ้นทุกวันๆ  เพราะว่าอธิษฐานบนพื้นฐานของความเข้าใจที่ผิดพลาด

นี่แหละ คือสิ่งที่จะมาคุยกันในวันนี้ ยิ่งอธิษฐานมากขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งเกิดความสงสัยมากขึ้นเท่านั้น เกิดความสงสัยในขนาดของความเชื่อของตนเอง เชื่อขนาดนี้ พอหรือยัง? คงไม่พอมั้ง อธิษฐานเพิ่มเติม เพื่อเพิ่มความเชื่อ  พอไหมในการที่จะเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า ได้รับความรอด บังเกิดใหม่ สะอาดบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า พอไหม? ไม่พอ ทำอีก แสวงหา อธิษฐาน หาอีก ขออีก พอนึกออกนะ โดยการวัดขนาด  การเปรียบเทียบความเชื่อกับการกระทำและการประพฤติของตนเอง  เอามาเปรียบเทียบกันว่าเมื่อเราเชื่อในพระเจ้าแล้ว เราเปลี่ยนแปลงเป็นคนดีมากขึ้น เมื่อเชื่อพระเจ้าแล้ว เราทำได้ดีมากขึ้นเพียงใด ถ้าทำไม่ค่อยได้ดี ก็แสดงว่าเราเชื่อน้อย ไปกันใหญ่แล้ว  ท่านพอมองเห็นไหม? ผมจะพยายามค่อยๆ อธิบายให้ท่านฟัง  นี่คือสายตา ความคิดของมนุษย์คิดอย่างนี้ … เราทำอย่างนี้ แสดงว่าความเชื่อเราตกลง เราทำอย่างนี้ แสดงว่าความเชื่อเราไม่พอ เราต้องทำอย่างนี้ พอเราทำอย่างนี้ ถูกต้อง ความเชื่อดีขึ้น เราต้องทำมากขึ้นกว่านั้นสิ  ความเชื่อจะได้เยอะขึ้น  เพราะเราเอาขนาดของความเชื่อ มาเทียบกับการกระทำ ความประพฤติของเราเองบนโลกใบนี้  ซึ่งมันทำไม่ได้  มันก็จบลงด้วยความกลัว และความวิตกกังวลว่า …

“ฉันได้รับความรอดหรือเปล่า? คงไม่พอมั้ง ไม่ได้มั้ง”

มันจะพอได้อย่างไร? เพราะท่านกลับมาอยู่ที่การกระทำแล้ว ทั้งๆ ที่ท่านเริ่มต้นจากความเชื่อ แต่กลับมาพึ่งพาการกระทำอีกแล้ว

วิธีการของมารมันแยบยลมากในการหลอกเราเข้าไปติดกับตรงนั้นอีกที เพื่อจะดิสเครดิตข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ซึ่งมันง่าย พึ่งพระองค์เพียงอย่างเดียว  จึงเป็นที่มาของหัวข้อเรื่องในวันนี้  “ต้องเชื่อเท่าไร ถึงรอด บังเกิดใหม่ เข้าสวรรค์ได้”

เราต้องรู้ความจริงเรื่องนี้ก่อนว่าไม่มีใครสามารถมีความเชื่อมั่นคง ไม่หวั่นไหวเลย ทุกเสี้ยววินาที ตรงนี้ต้องรับทราบก่อนว่าเป็นสัจจะธรรม ความรอด คือการเปลี่ยนแปลงทางวิญญาณ  การเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า ได้อยู่ในสวรรค์แล้ว การย้ายจากสถานที่หนึ่งในโลกวิญญาณ มาอยู่ในสถานที่หนึ่งในโลกวิญญาณ  การย้ายจากอาณาจักรของความมืด  มาสู่อาณาจักรของความสว่าง  การย้ายจากการอยู่ในอาดัม บรรพบุรุษ ซึ่งเป็นบาป มาอยู่ในพระคริสต์   นี่คือความรอด  ไม่ใช่เป็นเรื่องของอารมณ์ ความรู้สึกที่จับต้องมองเห็นได้ ด้วยตา หู จมูก ลิ้น และความคิด และสมองของมนุษย์ มันเกี่ยวกับเรื่องโลกวิญญาณ มันเป็นปรากฏการณ์ฤทธิ์เดชอำนาจฝ่ายวิญญาณ ซึ่งไม่สามารถเข้าใจได้ ตามความคิด และความสามารถของมนุษย์ ที่จะใช้ความรู้สึกสัมผัสให้รู้ ให้เข้าใจถึงเรื่องเกี่ยวกับความรอดนี้ได้  ต้องใช้ถ้อยคำความจริงจากพระเจ้า  บวกกับความมั่นใจในวิญญาณ ซึ่งมีพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่กับเรา  เป็นมัดจำ ยืนยันให้กับเราเท่านั้น ถึงจะรับรู้ได้ ไม่ใช่สัมผัสได้นะ  รับรู้ได้ เรียกว่าสัมผัสในวิญญาณก็ได้ โรม 8:16 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

โรม 8:16  “พระวิญญาณเอง  ทรงยืนยันร่วมกับวิญญาณจิตของเราว่าเราเป็นบุตรของพระเจ้า”

 

พระวิญญาณยืนยันกับเรา เข้ามาสถิตอยู่กับเรา  ตอนที่เรารอด  บังเกิดใหม่  ความคิด ความรู้สึกของเรา อาจบอกว่านี่คือความรู้สึก ความคิดของเนื้อหนังของเรา  ของร่างกายของเรา  ที่ต่อต้านกับเรื่องของพระเจ้า อาจจะบอกเราว่าเราไม่สะอาดพอหรอก เพราะเรามีความประพฤติไม่ดีพอ  ที่จะอยู่ในสวรรค์ เป็นลูกของพระเจ้า  อย่างเธอเป็นลูกพระเจ้าได้ หรือยังโกหกอย่างนี้ ยังโลภอย่างนี้เลย  ยังเมาเหล้าอย่างนี้  จะไปอยู่ในสวรรค์ได้ไง  พระคัมภีร์บอกแล้วไง ไม่มีส่วนในมรดกของสวรรค์ อย่างนี้จำแม่น  แต่จริงๆ แล้วในพระคัมภีร์ตรงนี้  พูดถึงก่อนจะเชื่อ มันเป็นอย่างนั้น

แต่พระวิญญาณที่อยู่ในเรา ยืนยันถ้อยคำพระเจ้าว่าท่านได้รับความรอด ผ่านทางความเชื่อ ไม่ได้ผ่านทางความประพฤติของท่าน พระวิญญาณจะบอกความจริงกับเราอย่างนี้ ความคิดที่มาจากเนื้อหนัง ระบบของโลกที่บอกว่า …

“เธอไม่ดีพอหรอก เธอกระทำตัวอย่างนี้ไม่ดีพอ”

แต่พระวิญญาณบอกกับเรา ยืนยันกับเราข้างใน ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่า …

“เธอได้รับความรอด เพราะพระคุณพระเจ้าให้ฟรีๆ ให้เปล่าๆ ไม่ใช่เพราะเธอทำดีนะ”

เห็นไหม? นี่ยกตัวอย่าง มันเป็นอย่างนี้ตลอดเวลา ในการดำเนินชีวิต บนโลกใบนี้

ถ้อยคำของพระเจ้าเปิดเผยความจริง เกี่ยวกับโลกวิญญาณให้กับเราได้รู้ และถ้อยคำพระเจ้าก็ได้เปิดเผยความจริง เกี่ยวกับโลกวิญญาณว่าเราต้องเชื่อเท่าไร? ตอบให้เราเสร็จ พระวิญญาณยืนยันในจิตใจเรา เราต้องเชื่อเท่าไร ถึงจะรอด บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า เข้าสู่สวรรค์ได้  เรามาดูในความจริง ในถ้อยคำพระเจ้าด้วยกัน โรม 10:9-14 …

โรม 10:9-14 “9 นั่นคือ ถ้าท่านยอมรับด้วยปากของท่านว่า “พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า” และเชื่อในใจของท่านว่าพระเจ้าทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตาย ท่านก็จะได้รับความรอด 10 เพราะท่านเชื่อด้วยใจ จึงทรงให้ท่านเป็นผู้ชอบธรรม และเพราะท่านยอมรับด้วยปาก จึงทรงให้ท่านรอด 11 ตามที่พระคัมภีร์กล่าวไว้ว่าผู้ใดที่วางใจในพระองค์ จะไม่ได้รับความอับอายเลย 12 เพราะไม่ว่าจะเป็นคนยิวหรือคนต่างชาติ ก็ไม่ต่างกันเลย พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวกัน ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของคนทั้งปวง และทรงอวยพรอย่างอุดมแก่คนทั้งปวง ที่ร้องเรียกพระองค์ 13 เพราะว่า “ทุกคนที่ร้องออกพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า จะได้รับการช่วยให้รอด” 14 แล้วผู้ที่ยังไม่เชื่อจะร้องเรียกพระองค์ได้อย่างไร และผู้ที่ยังไม่เคยได้ยินเรื่องของพระองค์ จะเชื่อได้อย่างไร และหากไม่มีใครประกาศเรื่องของพระองค์ พวกเขาจะได้ยินได้อย่างไร”

 

นี่คือคำตอบของคำถามว่าเราต้องเชื่อเท่าไร ถึงจะรอด ได้รับการบังเกิดใหม่ เข้าสู่สวรรค์ได้ นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ ที่พระเจ้าบอกเรา สอนเรา สรุปก็คือตอบว่า …

          “ทุกคนที่ร้องออกพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า  จะได้รับการช่วยให้รอด  ก็คือบังเกิดใหม่ เข้าสู่สวรรค์ได้”

พอมองเห็นอะไรบางอย่าง ขอบคุณพระเจ้า สำหรับถ้อยคำพระเจ้า แค่นิดเดียว แค่นี้ก็ตาสว่างแล้ว ความเชื่อเท่านี้เอง คือทุกคนที่ร้องออกพระนามของพระผู้เป็นเจ้า คือพระเยซูคริสต์ ผู้คน ใครก็ตามที่บอกว่า …

“พระเยซูคริสต์ช่วยด้วย”

พอแล้ว คนที่เชื่อว่า …

“พระเยซูคริสต์ช่วยเขาได้  พระเยซูคริสต์ช่วยลูกด้วย”

แล้วเขาจะรู้ได้อย่างไรว่าพระเยซูคริสต์ช่วยเขาได้ ก็ตะกี้บอกว่าเขาต้องได้ยิน มีคนไปบอกเขา ไปประกาศข่าวประเสริฐให้เขาว่าพระเยซูคริสต์ เป็นพระบุตรพระเจ้า ที่พระเจ้าประทานให้กับมนุษย์ ช่วยเหลือมนุษย์ให้พ้นจากบาป มาช่วยเหลือเธอได้ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เขาได้ยินมาปุ๊บ เขาบอก …

“พระเยซู ลูกเชื่อ ช่วยด้วย”

ได้รับความรอด ตอบโจทย์ไหม? คิดดูสิ จะเป็นเท่าไร? วัดขนาดดูสิ เชื่อว่า …

“พระเยซูคริสต์ช่วยฉันได้ ฉันรับพระเยซู”  แค่นั้น รอดแล้ว

ความเชื่อเท่านี้ ก็คือการเปิดประตูใจ ให้พระเยซูเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกัน ในวิญญาณของเรา  ตามที่พระคัมภีร์บันทึกไว้นั่นเอง วิวรณ์ 3:20 พระเยซูตรัสอย่างนี้นะ …

วิวรณ์ 3:20  “นี่แน่ะ เรายืนเคาะอยู่ที่ประตู ถ้าใครได้ยินเสียงของเรา และเปิดประตู เราจะเข้าไปหาเขา และจะรับประทานอาหารร่วมกับเขา และเขาจะรับประทานอาหารร่วมกับเรา”

 

2 ข้อนี้รวมกัน ก็คือการเปิดใจ คือ …

“พระเยซูช่วยลูกด้วย ลูกเชื่อ”

ได้ยินมา พระเยซูช่วยได้

“พระเยซูลูกเชื่อแล้ว ลูกขอพระองค์ทรงช่วย ลูกช่วยตัวเองไม่ได้แล้ว ขอทรงช่วยลูกด้วย”

เท่ากับเป็นการเปิดประตูใจ ให้พระเยซูเข้ามาในวิญญาณของเรา ไม่มีเงื่อนไขใดๆ ไม่มีข้อแม้ใดๆ ไม่มีคำว่า “แต่”

ตะกี้นี้เราอ่านในพระคัมภีร์ใช่ไหม? ในโรม บทที่ 10 ทุกคนที่ร้องออกพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า จะได้รับการช่วยให้รอด “ยกเว้น” มีไหม? ไม่มี

“นี่แน่ะ เราเคาะประตู ถ้าใครได้ยินเสียงของเรา แล้วเปิดประตู เราจะเข้าไปหาเขา ถ้าเผื่อว่าเขามีความเชื่อเพียงพอ ถ้าเขาไม่สงสัย”

ถ้าเขา …. ถ้าๆๆๆ เยอะแยะ มีไหม?  ไม่มี  ไม่มีข้อแม้ใดๆ ไม่มีอะไรเลย ไม่มีคำว่าแต่ แล้วเราลองคิดดูตามประสามนุษย์  ก็ได้ มีใครที่เชื่อข่าวดีอย่างนี้ แล้วเปิดใจต้อนรับพระเยซู โดยไม่สงสัยเลย โอ้โห! รู้จักข่าวดีหมดเลย รู้หมด รู้เรื่องราวทุกอย่างว่าความรอดเป็นอย่างไร? บังเกิดใหม่เป็นอย่างไร? เกิดใหม่ในวิญญาณเป็นอย่างไร? มีใครมาเชื่อพระเจ้า แล้วตอนเริ่มต้นเชื่อพระเยซู ออกนามพระเยซู รู้เรื่องเหล่านี้หมดแล้ว ไม่มีใครรู้เรื่องอะไรหรอก ผมก็ไม่รู้เรื่อง แล้วท่านรู้เรื่องไหมตอนเปิดใจรับเชื่อพระเยซู เปิดปากต้อนรับพระเยซู

“พระเยซูช่วยลูกด้วย”

จะอธิษฐาน หรือใครอธิษฐานให้ อะไรก็แล้วแต่ ท่านเองก็ไม่รู้ ไม่เคยอ่านพระคัมภีร์ทั้งเล่มเลย ยังไม่รู้อะไรเลย ไม่เคยเรียนเลย  ถูกไหม? เพราะฉะนั้น พระเยซูขอแค่เราเชื่อพระองค์ว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เป็นผู้ช่วยท่านได้ แค่นี้เอง พระเยซูขอนิดเดียวเอง เชื่อไหมล่ะว่าพระเยซูช่วยได้ เชื่อไหมว่าเราช่วยได้

“เชื่อครับ”

พอแล้ว เริ่มต้นเชื่อ พระเยซูยกตัวอย่าง ยอดเยี่ยมเลย 2,000 ปีแล้วนะ ยังใช้ได้ทุกวันนี้ เล็กนิดเดียว แค่เมล็ดมัสตาร์ด ก็คือมันเล็กมาก หรือเรียกว่าเมล็ดผักกาด เล็กกว่าเมล็ดผักกาดอีก ไม่ต้องการความเข้าใจ เพราะอย่างไรก็ไม่เข้าใจ แต่ต้องการความจริงใจมากกว่า จริงใจคืออะไร?

“โอ๊ย! ไม่ไหวแล้ว ช่วยด้วย”

นี่แหละ คือจริงใจ ไม่ใช่ยังช่วยตัวเองได้บ้าง? แล้วบอก …

“ขอพระองค์ทรงช่วยเสริม”

ไม่ใช่ คือคนมาเชื่อพระเยซู ส่วนใหญ่จะหมดกำลังแล้ว  ไม่ไหวแล้ว ช่วยด้วย อันนี้ ของจริง พระเยซูขอแค่นั้นเอง มาระโก 4:31-32  พระเยซูตรัสอย่างนี้นะครับ … อุปมา

มาระโก 4:31-32 “31 อาณาจักรของพระเจ้านั้น ก็เหมือนเมล็ดมัสตาร์ด ซึ่งเป็นเมล็ดที่เล็กที่สุด เมื่อเพาะลงในดิน  32 แต่เมื่องอกขึ้น  ก็เป็นต้นใหญ่ที่สุดในสวน  แผ่กิ่งก้านสาขา จนนกในอากาศ มาพักอาศัยในร่มเงาได้”

 

ไม่ได้ขึ้นอยู่กับขนาดของความเชื่อ  แต่ขึ้นอยู่กับแหล่งหรือสถานที่ที่เราจะหว่านเมล็ด ความเชื่อนี้ลงไป

เหมือนเรามีเมล็ดมัสตาร์ดในความเชื่ออยู่ในมือ เราจะตัดสินใจหว่านลงไปที่คำเชื้อเชิญของพระเยซูที่บอกว่าให้เราพึ่งพระองค์ ก็คือข่าวดีของพระเยซู มาหาพระองค์ พระองค์ทรงช่วยได้ ให้เราหายเหนื่อยและเป็นสุข หรือเราจะปฏิเสธ ไม่หว่านลงในพระเยซู ข่าวดีของพระองค์ แล้วไปหว่านในที่อื่น ตอบรับคำเชิญจากที่อื่นๆ เยอะแยะมากมาย ซึ่งที่อื่นๆ ล้วนแต่บอกเราว่าให้เราพึ่งการกระทำของตนเอง พึ่งความดีของตนเอง ใช่ไหม? มี 2 ทางให้เลือก จะพึ่งตนเองต่อไป หรือจะพึ่งพระเยซู จะหว่านเมล็ดลงที่พึ่งตนเอง หรือจะหว่านเมล็ดลง ที่พึ่งพระเยซู มีแค่นี้เอง นิดเดียวเอง พระเยซูขอให้เราทำเพียงแค่นี้เท่านั้น คือกลับใจใหม่

กลับใจใหม่ คือไม่พึ่งตนเองอีกต่อไป ยอมรับว่าตนเองเป็นคนบาป และด้อย ไม่สามารถช่วยตัวเองได้ ขอพระเยซูช่วยด้วยเถิด  … นี่เขาเรียกว่ากลับใจใหม่ …

แล้วกลับใจใหม่กี่ครั้ง? บางคนบอก เชื่อแล้วมีความสงสัย ก็กลับใจใหม่ทุกวันๆ ไม่ใช่ กลับใจใหม่เพียงครั้งเดียว เมล็ดมัสตาร์ดหย่อนลงไปครั้งเดียวเอง ถ้าดินดีจริง ถ้าพระเยซูมีจริง มันโตแน่นอน  ไม่ต้องทำอะไรแล้ว

พระเยซูขอเพียงแค่นั้น ให้เรากลับใจใหม่มาพึ่งพระองค์ หันมารับคำเชิญของพระองค์ แล้วเปิดประตูวิญญาณ เปิดประตูใจ ให้พระองค์เข้ามาช่วยเหลือเท่านั้น และที่เหลือนอกจากนั้น  พระองค์ทำอัศจรรย์เองหมด ไม่ต้องทำอะไรแล้ว นี่แหละเรียกว่าความเชื่อเท่าเมล็ดมัสตาร์ด ยอห์น 1:12-13 บันทึกอย่างนี้ว่า …

ยอห์น 1:12-13  “12 ส่วนคนทั้งปวงที่ยอมรับพระองค์ ผู้ที่เชื่อในพระนามของพระองค์ พระองค์ก็ประทานสิทธิ  ให้เป็นบุตรของพระเจ้า 13 คือเป็นบุตรที่ไม่ได้เกิดจากการสืบเชื้อสายตามธรรมชาติ หรือจากการตัดสินใจของมนุษย์ หรือจากเจตจำนงของสามี แต่เกิดจากพระเจ้า

 

เอเมน … “ส่วนคนทั้งปวงที่ยอมรับพระองค์ ยอมรับพระเยซู ก็คือกลับใจใหม่ ผู้ที่เชื่อในนามของพระองค์ ก็คือผู้ที่หว่านเมล็ดมัสตาร์ดแห่งความเชื่อลงไปที่พระนามของพระองค์ พระองค์ทำให้คนนั้นได้บังเกิดใหม่มาสู่ความรอด เห็นไหม? บันทึกไว้ชัดเจน

อัศจรรย์ที่เหลือทั้งหมด พระองค์ทรงกระทำ คืออะไร? เมื่อเราหว่านเมล็ดลงไปในพระองค์ ในข่าวดีของพระองค์ อัศจรรย์ ก็คือพระองค์เข้ามาให้ได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า เป็นทารก อุแว้ๆ ทำให้เราสะอาดหมดจด  บริสุทธิ์ ปราศจากบาป ปราศจากตำหนิใดๆ เหมือนพระองค์เลย แล้วยังเข้ามาอาศัยอยู่ในเรา ร่วมกับพระบิดา และให้พระวิญญาณบริสุทธิ์มาเป็นพี่เลี้ยง คอยดูแลนำพาด้วยความรัก ให้เราเจริญเติบโตในวิญญาณนั่นแหละ เต็มไปด้วยสง่าราศี พระสิริของพระเจ้า ที่สมบูรณ์ครบ สิ่งเหล่านี้ยิ่งกว่าอัศจรรย์อีกนะ  เกิดขึ้นจากอะไร?  เราทำอะไรบ้าง ครั้งเดียว นิดเดียวกลับใจใหม่ แล้วหว่านเมล็ดมัสตาร์ด เชื่อ พระองค์ช่วยได้ ออกพระนามของพระองค์ พระเยซูช่วยลูกด้วย อัศจรรย์เกิดขึ้น แล้วพระองค์สัญญาว่าพระองค์จะไม่ทอดทิ้งเรา อยู่กับเราตลอดเวลา ตั้งแต่วินาทีแรก ที่เรา เปิดใจต้อนรับ พระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  จนถึงนิรันดร์ พระองค์ไม่ไปไหนแล้ว อยู่กับเรา ตลอดไป เอเมน ทิตัส 3:5 บันทึกไว้อย่างนี้ …

ทิตัส 3:5  “พระองค์ทรงช่วยเราให้รอด  ไม่ใช่เพราะความชอบธรรม จากการกระทำของเรา แต่เป็นเพราะพระเมตตาของพระองค์  พระองค์ทรงช่วยเราให้รอด ผ่านทางการชำระ แห่งการบังเกิดใหม่  และการทรงสร้างขึ้นใหม่  โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์”

 

ความรอดในพระเยซูคริสต์ การบังเกิดใหม่ อัศจรรย์นี้ เท่ากับเป็นการผ่าตัด ในโลกวิญญาณ เกิดการเปลี่ยนแปลง ย้ายจากอาณาจักรของความมืด มาสู่อาณาจักรของความสว่างของพระเจ้า ในพระคริสต์ มีการบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า ที่สะอาดหมดจด บริสุทธิ์  เป็นเชื้อสาย ชีวิตนิรันดร์ เหมือนพระเจ้า DNA ใหม่  เป็น DNA นิรันดร์ของพระเจ้า เข้าไปมีส่วนอยู่ในชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้า ความรอด ไม่ใช่อารมณ์ ความรู้สึก ความนึกคิด เหตุผลแบบมนุษย์  ที่จะมีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งขึ้นๆ ลงๆ เปลี่ยนแปลงไปตามระบบของโลกใบนี้ ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ซึ่งมันทำให้เกิดความสงสัยบ้าง? ไม่เชื่อบ้าง? กลัวบ้าง? ซึ่งอารมณ์ ความรู้สึก นึกคิด ความสงสัยเหล่านี้ มันไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความจริงในโลกวิญญาณ ที่เราได้บังเกิดใหม่ในวิญญาณ อยู่ในสวรรค์ เป็นลูกของพระเจ้า อย่างที่พระเจ้าได้กระทำให้ ตอนที่เราหว่านเมล็ดมัสตาร์ดลงไป แล้วพระเยซูกระทำอัศจรรย์นั้น

ความสงสัย ความไม่เชื่อ ตามสัจจะธรรมของร่างกายนี้ มันไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความจริงที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณได้ เปลี่ยนไม่ได้แล้ว ในโลกวิญญาณ เพราะมันถูกย้ายออกมาแล้ว  1 เปโตร 1:3-5 บันทึกไว้อย่างนี้นะ …

1 เปโตร 1:3-5 “3 สรรเสริญพระเจ้า พระบิดาขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา  ด้วยพระเมตตายิ่งใหญ่  พระองค์ทรงให้เราทั้งหลาย บังเกิดใหม่  เข้าในความหวังอันยืนยง  โดยการเป็นขึ้นจากตายของพระเยซูคริสต์ 4 และเข้าในมรดกอันไม่มีวันเสื่อมสลาย  เน่าเสีย หรือเลือนหายไป ซึ่งทรงเตรียมไว้ในสวรรค์เพื่อพวกท่าน 5 โดยความเชื่อ พระเจ้าได้ทรงปกป้องพวกท่านไว้  ด้วยฤทธานุภาพของพระองค์  จนถึงความรอด  ซึ่งพร้อมแล้ว ที่จะทรงสำแดงในยุคสุดท้าย”

 

นี่คือความจริงทั้งหมด  ที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ ซึ่งเป็นจริงมากกว่าโลกวัตถุ ซึ่งอยู่เพียงชั่วคราว

คำว่า “พระองค์ทรงให้เราทั้งหลายบังเกิดใหม่” ตรงนี้ ขยายความ คือการเกิดใหม่จากเบื้องบน  ก็คือจากสวรรค์ จากโลกวิญญาณ  เกิดการเปลี่ยนแปลง หรือการผ่าตัดทางวิญญาณ และถูกจัด คัดแยก เป็นสมบัติส่วนพระองค์ ตามพระประสงค์ของพระเจ้า ซึ่งเรียกว่า  Sacrifice เรียก Set a past  เรียกว่าการแยกส่วน เรียกว่า Holy of holies ทำให้เราเป็นสถานที่บริสุทธิ์ ที่พระเจ้ามาสถิตด้วย เป็นสถานส่วนพระองค์ บริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ พระองค์ทำให้เสร็จแล้ว ไม่ต้องทำตัวเองให้บริสุทธิ์  สะอาด เพราะว่าพระองค์ทำให้เราสะอาด หมดจดแล้ว ไม่ต้องพยายามถวายตัวเอง เป็นเครื่องบูชาพิเศษของพระองค์ เพราะพระองค์ทำให้เราเป็นเครื่องบูชาไปแล้ว ผ่านทางพระเยซูคริสต์

พระเจ้าบอกความจริงกับเราว่า … “เราได้ให้วิญญาณใหม่ ให้ความคิดจิตใจใหม่กับเจ้า เป็นจิตใจที่เต็มไปด้วยความเชื่อในพระเจ้า ในวิญญาณ แล้วเราเชื่อพระองค์ตลอด ไม่มีการเป็นอื่น  เพราะว่ามันเป็นคุณสมบัติของการบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า ในวิญญาณของเรา  เป็นวิญญาณที่เขาเรียกว่าเชื่อในพระเจ้า เป็นลูกที่เชื่อฟัง  แต่ก่อนนี้ ที่เรายังไม่หว่านเมล็ดแห่งความเชื่อลงไปในพระเยซูคริสต์ เราเป็นวิญญาณแห่งการไม่เชื่อฟัง ไม่ใช่เราไม่ได้ตั้งใจจะไม่เชื่อ  แต่วิญญาณมันเกิดมา มันไม่เชื่อ มันเป็นปฏิปักษ์ แต่ตอนนี้เราเกิดใหม่แล้ว จากการเกิดใหม่ มาเป็นลูกพระเจ้าแล้ว วิญญาณเราเป็นชนิดที่เชื่อฟังพระเจ้า ไม่ได้อยู่ที่การตัดสินใจของความคิดเรา จะเชื่อพระเจ้าหรือไม่? ไม่ใช่ มันอยู่ที่คุณสมบัติวิญญาณของเรา ตอนนั้นเราเป็นวิญญาณที่เชื่อพระเจ้า  พระเจ้าได้ให้วิญญาณแห่งการเชื่อฟังกับเรา เป็นการเชื่อฟัง เป็นความรัก

พระเจ้าเป็นความรัก วิญญาณใหม่ของเรา  ที่พระเจ้าให้บังเกิดใหม่เอี่ยมนั้น มาจาก DNA ของพระเจ้า ก็เป็นวิญญาณแห่งความรักเหมือนพระองค์ไม่มีผิดเลย เป็นวิญญาณแห่งอมตะ เอเฟซัส 6:4 จึงได้บันทึกอย่างนี้ว่า …

เอเฟซัส 6:4 “ขอพระคุณ ดำรงอยู่กับคนทั้งปวง ที่รักองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา ด้วยความรัก อันไม่เสื่อมสลาย”

 

“ขอพระคุณ ดำรงอยู่กับคนทั้งปวง” ก็คือผู้เชื่อทั้งหลาย รู้ได้อย่างไร? “ที่รักองค์พระเยซูคริสต์” ก็คือผู้เชื่อทั้งหลายถูกไหม? “ที่รักองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา ด้วยความรัก อันไม่เสื่อมสลาย”

“ใครเชื่อพระเยซูยกมือขึ้น?”

ท่านเป็นผู้ที่มีวิญญาณที่เป็นความรักต่อพระเยซูคริสต์ เป็นอมตะ ไม่มีการเสื่อมสลาย  หมายถึงความรักของท่านที่มีต่อพระเยซู เป็นอมตะ ไม่ใช่ท่านพยายามที่จะรักพระองค์ ให้เป็นอมตะ แต่ชนิดของวิญญาณท่าน เป็นอมตะในการรักพระองค์ ไม่มีการเสื่อมสลาย พูดง่ายๆ ถ้าเติมให้อีกหน่อย ก็คือไม่ว่าท่านอาบน้ำไป คิดว่าไม่รักพระเยซู ไม่ว่าท่านอาบน้ำไป บ่นว่าพระเยซูว่า …

“อธิษฐานแล้วยังไม่เห็นได้สักทีหนึ่ง ฉันเบื่อพระเยซูแล้ว”

แต่ในวิญญาณท่าน  ถ้าท่านบังเกิดใหม่จริงๆ ท่าน ก็เป็นวิญญาณที่กำลังรักพระเยซู เป็นอมตะ  เพียงแต่ความคิดท่านมันต่อต้าน จากอารมณ์ ความรู้สึก จากสิ่งที่สัมผัส เหตุการณ์ภายนอก บนโลกใบนี้นั่นเอง พอมองเห็นไหมครับ?

ในวิญญาณที่ท่านรักพระเยซู เป็นอมตะนั้น ตามพระคัมภีร์เมื่อตะกี้นี้ ในเอเฟซัส บทที่ 6 นั่นคือตัวตนแท้ๆ ของท่าน  วิญญาณ คือตัวตนจริงๆ ของเราที่จะอยู่ไปตลอดนิรันดร์ ตัวตนข้างนอก ร่างกายที่เราเห็น มันอยู่เพียงชั่วคราวเท่านั้น 80 ปี 100 ปี ก็ว่าไป  เดี๋ยวก็ตายแล้ว แต่วิญญาณของเรา คือตัวตนแท้ๆ ของเรา ตัวตนจริงๆ ของเรา ตามเอเฟซัส บทที่ 6 ที่เราอ่านร่วมกัน ตัวตนจริงๆ ของเราไม่สามารถที่จะเกลียด เป็นปฏิปักษ์ หรือดื้อต่อพระเจ้าได้เลย ถูกไหม? เพราะเป็นคุณสมบัติตัวตนของเรา และสำคัญที่สุด ก็คือพระเจ้าได้ให้เราบังเกิดใหม่ ชำระเรา จนบริสุทธิ์ สะอาดหมดจด พระองค์ได้ย้ายเราออกมาจากความมืด มาสู่ความสว่าง และพระองค์ได้ย้ายตัวพระองค์เองเข้ามาอยู่ในเรา เป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณของเรา ล้อมรอบตัวเรา โอบกอดเรา รักเราตลอดเวลา ไม่มีวันที่จะจากเราไปไหนเลย แม้แต่นิดเดียว และเราก็มีลักษณะเช่นเดียวกับพระองค์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์  พระองค์รักเราอย่างไร? เราก็รักพระองค์อย่างนั้น พระองค์อยู่กับเราอย่างไร? เราก็อยู่กับพระองค์อย่างนั้น

มันจึงมีคำว่า “พระเยซูอยู่ในเรา  เราอยู่ในพระเยซู  พระเยซูโอบกอดเรา   เราโอบกอดพระเยซู พระเยซูรักเรา  เราก็รักพระเยซู”

มันจึงมีคำพูดเหล่านี้  เพราะว่าเราเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ เป็นเหมือนพระองค์เลย

นี่คือคำสัญญา  คำพูดของพระเจ้า ที่บอกเราว่าอะไรเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ ซึ่งเราเรียกกันว่าคำสัญญา  ที่เป็นคำสัญญาที่พระองค์ทรงกระทำให้สำเร็จเรียบร้อยแล้ว เกิดขึ้นจริงแล้ว  คำสัญญา เหตุการณ์เหล่านี้  มันเกิดขึ้นจริงๆ  เพียงแค่ท่านเชื่อ และหว่านความเชื่อท่านเท่าเมล็ดมัสตาร์ดลงไปในข่าวดีของพระเยซูเท่านั้น  2 ทิโมธี 2:11-13 บันทึกอย่างนี้ว่า …

2 ทิโมธี 2:11-13 “11 นี่เป็นคำกล่าวที่เชื่อถือได้ คือถ้าเราตายกับพระองค์ เราก็จะมีชีวิตกับพระองค์ด้วย 12 ถ้าเราอดทน เราก็จะได้ครองร่วมกับพระองค์ด้วย ถ้าเราปฏิเสธพระองค์ พระองค์ก็จะทรงปฏิเสธเราด้วย 13 ถ้าเราไม่สัตย์ซื่อ พระองค์ก็ยังคงสัตย์ซื่อ เพราะพระองค์ปฏิเสธพระองค์เองไม่ได้”

 

ที่เอาข้อนี้มาให้ท่านได้อ่าน ถ้าเราปฏิเสธ ก็คือเราไม่เอา เราไม่หว่านในพระองค์ เราไปหว่านในที่อื่น  อันนี้พระเยซูก็ปฏิเสธเรา ก็คือไม่รู้จะช่วยเราอย่างไร? พระองค์มาขอเราเปิดประตูเราจะเข้าไปช่วย แล้วเราบอก เราปิดประตู เราไม่ให้ช่วย พระองค์ก็ต้องปฏิเสธเรา แต่ในนี้บอกว่าเมื่อเราเปิดประตูใจแล้ว พระเยซูเข้ามาแล้ว  ต่อให้เราไม่สัตย์ซื่อ  ตรงนี้ภาษาเดิมบอกว่าความเชื่อหมด ต่อให้หลังจากนั้น เมื่อเปิดประตูใจให้พระเยซูเข้ามา บังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้าแล้ว บางครั้งความเชื่อ มันหมดจริงๆ อธิษฐานแล้วไม่ได้ เจอความบีบเค้นของระบบของโลกใบนี้ เหนื่อย  เพลีย ป่วย ถูกบีบเค้นเรื่องเศรษฐกิจ การงาน การเงิน ปัญหาต่างๆ มันไม่อยากจะเชื่อเลย ต่อให้เป็นอย่างนั้น ซึ่งในพระคัมภีร์บอกเป็นหลายครั้ง ชีวิตในการดำเนินบนโลกใบนี้ มันหล่นลงในความไม่เชื่ออย่างนี้ หลายครั้ง ต่อให้ไม่เชื่ออย่างนั้น พระองค์ก็ยังคง “สัตย์ซื่อ” ตัวนี้ หมายถึงยังคงรักษาความเชื่อของพระองค์อยู่ ก็คือรักษาถ้อยคำ สัตย์ซื่อ ก็คือคำสัญญาและถ้อยคำของพระองค์ที่เป็นจริงในโลกวิญญาณ  ก็ยังเป็นอย่างนั้นอยู่ พระองค์ก็ยังอยู่กับเรา รักเรา และเราก็ยังเป็นลูกของพระองค์เหมือนเดิมนั่นแหละ เอเมน

ดังนั้น ตอนนี้ท่านเชื่อหรือไม่ว่าท่านบังเกิดใหม่แล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว อยู่ในสวรรค์แล้ว ตอนนี้ท่านเชื่อหรือยัง? เชื่อแล้ว (ในวิญญาณ) 100% ส่วนข้างนอก แล้วแต่อารมณ์ ไม่รู้สิ ถูกไหม? ต้องแยกกันให้ชัดเจน บางครั้งมันก็เป็นไปตามความจริงในวิญญาณ ก็คือเชื่อและอาการก็ออก อย่างเช่น มาโบสถ์ตอนเช้า ร้องเพลงนมัสการ สรรเสริญพระเจ้า เต้นโลด ตอนนั้นความรู้สึก  ความคิด เป็นไปด้วยกันกับความจริงในวิญญาณของเรา คือเราเชื่อว่าเราเป็นลูกพระเจ้า สรรเสริญพระเจ้า ได้รับความรอดแน่ๆ แต่ตอนออกไป แล้วถูกรถเฉี่ยว ขาหัก  หรือเกิดอุบัติเหตุ มันอาจจะคิดอีกแบบหนึ่ง  ตอนนั้นนะ แต่ไม่ว่าท่านจะคิดอย่างไร? แบบไหนก็ตาม พระองค์ก็ทรงอยู่เหมือนเดิม  ท่านก็เป็นลูกพระเจ้าเหมือนเดิม ไม่ว่าท่านจะรู้สึกเชื่อหรือไม่? มากน้อยเพียงใดก็ตาม หลังจากเปิดใจต้อนรับพระเยซู หลังจากเปิดใจเท่าเมล็ดมัสตาร์ดเท่านั้น หว่านลงในข่าวดีของพระเยซูคริสต์แล้ว ท่านก็ได้บังเกิดใหม่แล้วจริงๆ เป็นลูกของพระเจ้า อยู่ในสวรรค์กับพระองค์แล้วเดี๋ยวนี้ จริงๆ จงรับรู้ความจริงเรื่องนี้เถิด จงรับรู้เถิดๆ จงมองไปที่วิญญาณ และรับรู้ตรงนี้เถิด  พระคัมภีร์จึงได้เตือนเราตรงนี้ โคโลสี 3:1-3 ให้เรารับรู้ตรงนี้ จดจ่ออยู่ตรงนี้ …

โคโลสี 3:1-3 “1 ในเมื่อ ทรงให้ท่านทั้งหลาย เป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว ก็จงให้ใจของท่าน จดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่ เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า 2 จงให้ความคิดของท่าน จดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก 3 เพราะท่านตายแล้ว และบัดนี้ ชีวิตของท่าน ถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า”

 

เพราะฉะนั้น จงรับรู้ความจริงเรื่องนี้ไว้ว่ามันเป็นอย่างนี้  แล้วจดจ่ออยู่เรื่องนี้ เพื่อจะได้ไม่ถูกหลอกด้วยความรู้สึก ตา หู จมูก ลิ้น กาย  ความคิด และสมอง ที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ มันจะได้ไม่หลอกเรา หลอกเราก็หลอกไม่ได้  เพราะเราจดจ่ออยู่ที่ความจริงในโลกวิญญาณอย่างนี้แหละ ความจริงในโลกวิญญาณ ที่เราอยู่ ณ เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน ร่วมกับพระเยซูคริสต์ไปแล้ว เราเป็นลูกของพระองค์แล้ว อยู่ในสวรรค์แล้ว ต้องบอกอย่างนี้ เพื่อจะได้เน้นความมั่นใจว่าอยู่จริงๆ

เพราะฉะนั้น เมื่อท่านเปิดใจ ต้อนรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด  หว่านเมล็ดแห่งความเชื่อ  อันน้อยนิด เท่าเมล็ดมัสตาร์ด เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ย้ำอีกที  เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ไม่ต้องหว่านบ่อยๆ  เพียงครั้งเดียว พิสูจน์พระเจ้าทันทีเลย พระเยซูหรือพระเจ้าก็ทำให้ท่านได้รับการบังเกิดใหม่ ในวิญญาณ เข้าสู่สวรรค์ของพระเจ้าเลยทันที หว่านเมื่อไร มันเกิดขึ้นทันที และที่เกิดเป็นลูกพระเจ้า บังเกิดใหม่ เข้าสู่สวรรค์ทันทีนั้น และจะไม่มีวันที่จะเปลี่ยนแปลงเป็นอื่น ไปได้เลย มันจะเป็นอย่างนั้นเลย ก็แค่เพียงเฝ้ารอคอยวันเวลา ที่จะจากโลกนี้ไป ได้รับร่างกายใหม่  คือร่างกายสวรรค์ ที่เหมือนพระเยซู มาแทนร่างกายเดิมนี้ สมบูรณ์แบบกว่าเดิม และอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์เหมือนเดิมนิรันดร์กาล

มันง่ายไหม? ง่ายนิดเดียว ง่ายเกินไป จนกระทั่งมนุษย์มักคิดว่ามันเป็นไปได้หรือ? แต่มันเป็นไปแล้ว มันง่ายแค่นี้เอง จึงเรียกว่าข่าวดี ถ้ามันยากๆ ก็ไม่เรียกว่าข่าวดี … ข่าวดีของพระเยซู ทางสู่สวรรค์ ของขวัญจากพระเจ้า ให้เปล่าๆ ฟรีๆ มันง่ายอย่างนี้แหละ

สมมติว่าท่านกำลังอยู่ในตึกสูงๆ แล้วกำลังมีไฟไหม้ แล้วก็ติดอยู่ชั้นบน ออกมาไม่ได้ ทั้งร้อน ทั้งทุกข์ทรมาน แล้วก็มีคนมากมายมาแนะนำสอนวิธีต่างๆ ให้เราทำตาม เพื่อที่จะหาทางออกจากตึกให้ได้ จะได้รอดพ้นจากไฟนรกนั้น แต่วิธีที่เขากำลังพยายามทำกันอยู่นั้น ก็ยังไม่มีใครสามารถทำให้ใคร คนใดคนหนึ่ง หรือตัวเองรอดออกไปจากตึกนรกนี้ได้ แม้แต่คนเดียวเลย แต่ว่ามีอยู่ผู้หนึ่ง ชื่อว่าพระเยซูเสนอตัวว่าเราสามารถอุ้มทุกคนเลย ไปจากตึกและรอดจากไฟนรกนี้ได้เดี๋ยวนี้เลย โดยที่ทุกคนไม่ต้องทำอะไรเลย เอาไหม? คนอื่นมาบอกวิธีใช่ไหม?

“ทำอย่างนี้สิ ปีนลงไปต้องอย่างนี้นะ  คลานอย่างนั้น เอาผ้าชุบน้ำ ราดหัวไว้อะไรอย่างนี้”

พูดตั้งเยอะแยะ ให้เราทำๆ แต่มีบุคคลนี้ ชื่อพระเยซูบอก ไม่ต้องทำอะไรเลย เดี๋ยวอุ้มไป มันคล้ายๆ อย่างนั้น

ถามว่าในขณะที่ไฟยังลุกโชนอยู่ แล้วท่านติดอยู่บนตึกนั้น ท่านจะมีเวลาเลือกที่จะเชื่อใครไหม? มานั่งคิดไหมว่า …

“เอ๊ะ! เขาจะอุ้มเราไปอย่างไรนะ คนอื่นเขายังบอกวิธี เอาน้ำราดหัวอย่างไร? คลานอย่างไร? คนนี้มาบอกว่าอุ้มเราลงไปเลย”

ท่านจะมีเวลาคิด จะอุ้มอย่างไรหรือ? พระเยซูต้องมาอธิบายให้ท่านฟังไหมว่าอุ้มวิธีนี้ อย่างนั้นนะ แล้วท่านจะเข้าใจทันเวลาไหม ก่อนที่ไฟจะลามมาถึงข้างบน ลวกท่านตายก่อน และท่านจะเลือกเชื่อและทำตามวิธีการของคนที่กำลังติดบนไฟนรกนั้นด้วยกันกับท่าน หรือท่านเลือกที่จะเชื่อพระเยซูที่บอกว่าไม่ต้องทำอะไรเลย เราช่วยได้ แค่นั้นเอง พระเยซูจึงไม่มีข้อแม้ไง เพราะรู้ว่าเราไม่มีทางเข้าใจหรอก จะอุ้มเราไปอย่างไร? แล้วมันไม่มีเวลาพอที่จะค่อยๆ อธิบายจนเข้าใจ จึงจะบอก โอเค มาอุ้มเลย มันไม่มีเวลาพออย่างนั้น ไฟมันกำลังขึ้นมาอยู่ ชีวิตเราอยู่สั้นๆ เดี๋ยวก็ตายแล้ว เพราะฉะนั้น หน้าที่เรา คือตัดสินใจเชื่อทันทีเลย พิสูจน์พระองค์เลย ไม่ต้องรอเข้าใจว่าอุ้มอย่างไร? แต่บอกเลยว่ามันร้อนแล้ว มันทนไม่ไหวแล้ว คลานก็ทำมาแล้ว เอาน้ำราดก็ทำมาแล้ว ก็ยังอยู่ในตึกนี้อยู่ มันร้อน จนไฟจะขึ้นมาถึงอยู่แล้ว สุดท้าย ไม่ไหวแล้ว ช่วยตัวเองไม่ได้แล้ว อุ้มเลยก็เอา นั่นแหละมาถึงซึ่งความรอด ในพระเยซูคริสต์ เอเมน พระเจ้าอวยพรครับ

 

**********************

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 24 มกราคม 2021 เรื่อง “พระพรและความสุข จงมีแด่ผู้ที่ไม่เห็นแต่เชื่อ” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  24  มกราคม  2021

 เรื่อง “พระพรและความสุข จงมีแด่ผู้ที่ไม่เห็นแต่เชื่อ”

โดย นคร   เวชสุภาพร

 

สวัสดีครับพี่น้อง วันนี้เรายังคงฟังกันอยู่ที่บ้านนะ เชื่อฟังรัฐบาล แล้วดูสถานการณ์กันต่อไป ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่า …

“พระพรและความสุข จงมีแด่ผู้ที่ไม่เห็นเรา  แต่ก็ยังเชื่อและวางใจ และพึ่งในเรา”

นี่เป็นคำพูดของพระเยซูคริสต์ และเป็นหัวข้อในการบรรยายในวันนี้ “พระพรและความสุข จงมีแด่ผู้ที่ไม่เห็นเรา  แต่ก็ยังคงเชื่อและวางใจ และพึ่งในเรา” หมายถึงพระเยซูคริสต์

พระเจ้าสร้างให้มนุษย์มีความรู้สึก มีอารมณ์ รู้จักคิด ซึ่งหลายครั้ง เราก็มีความรู้สึกทางอารมณ์ในทางที่ดี ที่ชื่นชมยินดี จนน้ำตาไหล ด้วยความซาบซึ้งใจ เกี่ยวกับข่าวดีของพระเจ้า เกี่ยวกับเรื่องพระเจ้า แต่หลายครั้ง ที่เรารู้สึกหดหู่ กลัว ท้อแท้ มนุษย์ทุกคน มีประสบการณ์ ความรู้สึกอารมณ์แบบนี้ อยู่เสมอๆ คือขึ้นๆ ลงๆ เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย เขาเรียกว่าคุ้มดี คุ้มร้าย

พระเยซูมาบังเกิดเป็นมนุษย์  เข้าร่วมลักษณะชีวิต ร่างกายแบบมนุษย์ เกิดเป็นมนุษย์เหมือนกัน  เพราะฉะนั้น มีอารมณ์ ความรู้สึก เช่นเดียวกันกับเราที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ และมีอารมณ์แบบนั้นเหมือนกัน พระองค์จึงทราบดีว่าอารมณ์นั้น เป็นอย่างไร? พระเยซูจึงไม่ต้องการให้เราดำเนินชีวิต ด้วยอารมณ์ และความรู้สึกนั้น ซึ่งอารมณ์และความรู้สึกนั้น จากสัมผัสทั้ง 5 ของร่างกาย มีตา หู จมูก ลิ้น กาย  และความคิด ไม่ใช่ใจนะ ใจในพระคัมภีร์ หมายถึงวิญญาณของเรา วันนี้ไม่ใช่วิญญาณ  แต่หมายถึงสัมผัสทางร่างกาย คือตา หู จมูก ลิ้น กาย และความคิด ที่เราเรียกกันว่าความคิด แบบมนุษย์นั่นแหละ พระองค์ไม่อยากให้เราดำเนินชีวิต โดยพึ่งพาอารมณ์ ความรู้สึก และสัมผัสทั้ง 6 ของร่างกายนี้ แต่ให้เราดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อในวิญญาณของเรา ซึ่งเป็นตัวจริงๆ ของเรา บนพื้นฐานของถ้อยคำของพระองค์ ที่บอกไว้เท่านั้น

ตอนที่พระเยซูทรงเป็นขึ้นจากความตาย และปรากฏพระองค์เองให้กับบรรดาเหล่าสาวกในกลุ่ม 12 คน มีคนหนึ่งที่ไม่ได้อยู่ในนั้น ก็คือโทมัส ปรากฏว่าเพื่อนๆ ที่เหลืออยู่ พอเจอโทมัสเข้ามา เพื่อนๆ ที่เหลืออยู่บอก …

“พระเยซูเป็นขึ้นจากความตายแล้ว เราเห็นพระเยซู”

โทมัสบอกว่าไม่เชื่อหรอก นอกจากจะได้เอามือสัมผัสรอยตะปูที่ตอกตรึงพระเยซูตายที่ไม้กางเขน และได้เอามือแยงเข้าไปในรูนั้น  และเอามือแยงเข้าไปในที่สีข้าง ที่ถูกหอกแทงนั้น จึงจะเชื่อว่าพระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย

พูดจบไปไม่นาน พระเยซูก็ปรากฏมาให้เห็นเลย แล้วก็พูดคำเมื่อสักครู่นี้ ที่เราได้อ่านไปตอนแรกว่าผู้ที่ไม่เห็น แต่เชื่อเรา วางใจในเรา พึ่งพาในเรา ก็มีความสุข หลังจากนั้นไม่นาน พระเยซูก็ปรากฏพระองค์เองให้เหล่าสาวก อีกหลายคนได้เห็น ใน 40 วันเท่านั้น เห็นบ้าง ไม่เห็นบ้าง เพื่อหยั่งรากลึกให้เขาได้รู้ว่าพระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตาย เพียง 40 วันเท่านั้นที่ปรากฏ แล้วพระองค์ก็ถูกรับเข้าไปอยู่ในสวรรค์ จากวันนั้นมาถึงวันนี้ เกือบ 2,000 ปี พระองค์อยู่ในนั้น ไม่เห็นอีกต่อไป

ในยอห์น 20:29 พระองค์พูดกับโทมัสและสาวกตอนนั้น ซึ่งเล็งมาถึงพวกเรา สาวกผู้เชื่อตอนนี้ด้วยว่าอย่างนี้ครับ …

ยอห์น 20:29 “เพราะท่านได้เห็นเรา ท่านจึงเชื่อ พระพรและความสุข จงมีแด่ผู้ที่ไม่เคยเห็นเรา แต่ก็ยังคงเชื่อและวางใจ และพึ่งพิงในเรา

 

ถามตัวเองหรือฉัน เป็นผู้ที่เชื่อชนิดไหน? คือธรรมชาติทางวิสัยเนื้อหนังร่างกายมนุษย์ ทั่วไป เรามักจะเชื่อในสิ่งที่จับต้องมองเห็นได้ หรือรู้สึกได้ และมันทำให้รู้สึกว่าที่เชื่อนั้น มันมีอยู่จริงๆ เพราะมันเห็น มันจับได้ มันรู้สึกได้ เป็นการเพิ่มพูนความเชื่อนั้น นี่คือปกติมนุษย์ทั่วๆ ไป แม้กระทั่งในเรื่องโลกวิญญาณ เราก็ยังอยากที่จะมั่นใจมากขึ้น โดยการได้สัมผัสสักนิดหนึ่ง ได้เห็นสักนิดหนึ่ง เราจึงคุ้นเคยกับการอธิษฐานขอพระเจ้าใช่ไหม? เราก็ยังคงขอพระเจ้า ให้พระองค์ทรงช่วยเรา ให้เราได้เห็นมากขึ้น สัมผัสพระองค์มากขึ้น มีความรู้สึกในพระองค์มากขึ้น รับรู้ทางอารมณ์มากขึ้น ในเรื่องเกี่ยวกับทางวิญญาณมากขึ้น อยากได้มากขึ้น เราจึงอธิษฐานขออย่างนี้ แต่พอเราได้รับบ้างบางครั้ง เราเริ่มรู้สึกได้ สัมผัสบ้าง ได้เห็นบ้าง แล้วเกิดอะไรขึ้น เกิดว่าเมื่อไรก็ตาม ที่ความรู้สึก การเห็น การสัมผัสแบบนั้น มันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป มันลดน้อยลง หรือหายไป เราก็จะรู้สึกทุกข์ใจ

เราอาจจะนึกว่าเราสูญเสียความรอดไปแล้วมั้ง ก็พยายามไปหาใหญ่ว่ามันเป็นเพราะอะไรถึงหายไปแล้ว ไม่รู้สึกอีกต่อไปแล้ว หรือว่าเพราะเราไปทำบาปอะไรมา คิดหาเหตุผลใหญ่เลยว่าเป็นเพราะอะไรถึงหายไป ความรู้สึกอย่างนั้น เราอาจรู้สึกผิด รู้สึกเหมือนพระเจ้าทอดทิ้งไปแล้ว แต่ก่อนนี้ ยังรู้สึกพระองค์กอดเราอยู่ ตอนนี้พระองค์หายไปไหน? เราทำอะไรผิดไปมั้ง พระองค์จึงจากเราไป แล้วมันเกิดอะไรขึ้น? มันก็เกิดความสงสัย และเกิดความทุกข์ใจ เพราะเชื่อ โดยพึ่งการกระทำของตัวเราเอง ความรู้สึกของตัวเราเอง ไม่ได้พึ่งในถ้อยคำของพระเจ้า ถ้อยคำของพระเยซูที่บอก ซึ่งพระเจ้าไม่ต้องการให้เราตกอยู่ในสภาพอย่างนั้น แต่อยากให้ลูกๆ ของพระองค์ ผู้ที่เชื่อในพระองค์นั้น หยั่งรากลึกลงไปในถ้อยคำของพระองค์ ไม่ใช่บนความรู้สึกหรืออารมณ์เพียงชั่วครู่ ชั่วยามเท่านั้น  ไม่ใช่พึ่งพาในการกระทำความรู้สึกของตนเอง แต่พึ่งพาในถ้อยคำของพระเยซูคริสต์ที่บอกเราเท่านั้น ต้องบอกว่าเท่านั้นเลย ยอห์น 8:32 พระเยซูบอกว่าอย่างไร? …

ยอห์น 8:32 “แล้วท่านจะรู้จักความจริง และความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท”

 

ท่านจะรู้ความจริง แล้วความจริงในถ้อยคำพระเจ้า จะทำให้ท่านเป็นไท ก็คือเป็นอิสระ จากการหลอกลวง ไม่ใช่ตามองเห็น ไม่ใช่สัมผัสได้ ไม่ใช่ความรู้สึกหรืออารมณ์ ไม่ใช่ความคิด ที่มีเหตุผลแบบมนุษย์ ที่ทำให้เราเป็นอิสระ ไม่ใช่การกระทำของเรา ที่ทำให้เราเป็นอิสระ แต่เป็นความจริง ก็คือถ้อยคำพระเจ้า จากที่พระเยซูบอกเรา เรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ เกี่ยวกับความรอด นั่นแหละ ทำให้เราเป็นอิสระ เพราะพระองค์บอกแล้ว พระองค์เป็นความจริง พระองค์พูด ก็พูดจากความจริง เพราะตัวพระองค์เป็นความจริง

ถ้อยคำของพระเจ้าในยอห์น 4:24 ได้บอกว่าพระเจ้าเป็นความจริง เป็นวิญญาณ  ผู้ที่จะเข้าไปหาพระเจ้าได้ ต้องเข้าไปหาพระองค์ “นมัสการ” แปลว่าการเข้าไปหาพระเจ้า แสวงหาพระองค์ ด้วยจิตวิญญาณและความจริง ไม่ใช่ด้วยการกระทำ จะหาพระองค์ไม่ใช่ด้วยสัมผัสทั้ง 5 ตา หู จมูก ลิ้น กาย หรือความคิดของตนเอง  แต่ด้วยความจริง คือถ้อยคำพระเจ้า และเข้าไปหา โดยสัมผัสทางวิญญาณเท่านั้น ต้องบอกว่าเท่านั้น

ยกตัวอย่างเช่น ความจริงที่บอกว่าเมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว พระองค์จะเข้ามาสถิตอยู่ในเรา ล้อมรอบเรา และอยู่เพื่อเราด้วย  พระเยซูคริสต์  มีพระนามว่า “อิมนานูเอล” แปลว่าพระเจ้าอยู่กับเรา ก็คืออยู่ล้อมรอบเรา และอยู่ในเรา คืออยู่ภายในตัวเราเลย เป็นหนึ่งเดียวกับวิญญาณของเรา และแปลว่าอยู่เพื่อเราด้วย God is for you คือพระเจ้าเป็นอยู่ เพื่อเรา นี่พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น พอเราเปิดใจ สิ่งเหล่านี้ เกิดขึ้นทันที

นี่คือความจริงจากถ้อยคำพระเจ้า ซึ่งในบางครั้ง เราก็อาจสัมผัสได้ ผ่านทางความรู้สึก ผ่านทางความคิด  ผ่านทางอารมณ์ ร่วมไปด้วยกับถ้อยคำพระเจ้า เช่นรู้สึกได้ว่าพระเจ้ากำลังโอบกอดเราอยู่ รู้สึกตื้นตันใจเหลือเกิน ถึงความรักของพระเจ้า ที่อยู่ในเรา รู้สึกน้ำตาไหล เมื่อฟังเพลงนมัสการ พระเจ้าอยู่กับเรา เป็นจริงๆ

แต่นั่นเป็นเพียงน้อยครั้งมาก เทียบกับตลอดชีวิตของเรา เพราะว่ามีหลายครั้ง มากครั้ง เป็นส่วนมากในการดำเนินชีวิตของเรา ที่เรามีความรู้สึกสัมผัสไม่ได้อย่างนี้ คิดก็ไม่ออกว่าพระเจ้าสถิตอยู่ในเรา ล้อมรอบตัวเรา อยู่เพื่อเรา กอดเราอยู่ ใช่หรือไม่?

หรือว่าท่านคิดอย่างนี้ ตลอดเวลาเลย ทั้ง 24 ชั่วโมง อย่างที่บอก พระเจ้าไม่ต้องการให้ติดยึดความรู้สึกหรืออารมณ์ที่ดีๆ เหล่านั้น ที่ซาบซึ้งเหล่านั้น ซึ่งในที่สุด ถ้าเราไปติดยึด มันจะเหมือนคนติดยาเสพติด ถ้าเราไปติดยึด เราก็อยากจะเพิ่มขนาดให้มันมากขึ้น อยากจะสัมผัสให้มันมากขึ้นอีก ให้มันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพื่อที่จะยืนยันในความรู้สึกว่าถ้อยคำพระเจ้า เป็นจริง ตามที่ความคิด ในร่างกายของเรา อยากให้มันเป็นอย่างนั้น เหมือนคนติดยาก็จะเพิ่มโดสไปเรื่อยๆ เพิ่มขนาดไปเรื่อยๆ เพื่อต้องการความรู้สึกเหมือนตอนแรกๆ เพราะไปๆ มันหายไป ก็ต้องเพิ่มยาเข้าไปอีก เพิ่มจนกระทั่งเสียสติไป

ในทางพระเจ้า ตรงนี้คล้ายๆ อย่างนั้น พระเจ้าไม่ต้องการให้เราไปติดยึดอยู่ตรงนั้น เพราะว่าจะเพิ่มขนาดไปเรื่อยๆ อยากให้มันมากขึ้นเรื่อยๆ มันเป็นไปไม่ได้ มันก็เกิดความทุกข์ใจ ถ้าเราเดินตามความรู้สึก เนื้อหนัง ทางร่างกาย สัมผัสอย่างที่ตะกี้นี้บอก ตา หู จมูก ลิ้น กาย และความคิด แบบมนุษย์ถ้าเรายึดติด และเดินตามความรู้สึกอย่างนั้น พระเจ้าไม่อยากให้เราเข้าไป เพราะเรามีโอกาส ถูกหลอกมากเลย ซึ่งมันอันตราย ถึงขนาดฆ่าคนตายได้ ถูกครอบงำด้วยการโกหกของมารซาตานได้อย่างง่ายดายในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้

ยกตัวอย่าง คนติดยาเสพติด เป็นโรคทางประสาท เห็นภาพหลอน อันนี้เป็นเรื่องจริง ที่เกิดขึ้น ในธรรมชาติของมนุษย์บนโลกใบนี้ เห็นภาพหลอน แล้วก็เคยได้ยินเรื่องราวของพระเยซูคริสต์ เคยเรียนรู้เรื่องของพระเยซูคริสต์ ก็เกิดการอ้างชื่อพระเยซูว่าเขาเห็นคนอื่นเป็นศัตรู คิดว่าคนอื่นกำลังมาทำร้าย ทำลายเขา นึกว่าศัตรูนั้น คือผีร้าย ต้องฆ่ามันให้ตาย เป็นต้น

มันเกิดขึ้นจริงๆ ซึ่งภาพหลอนพวกนี้ มันดูเหมือนจริงมาก อย่างที่พูดกันติดปากอยู่เสมอๆ ทั่วๆ ไป ที่เราบอกว่าคนที่ถูกภาพหลอนเหล่านั้น คนนั้นเขาเห็นภาพนั้น เห็นจริงๆ แต่ภาพที่เห็นในสมอง มันไม่จริง  มันถูกสร้างขึ้นมา โดยร่างกาย ตา หู จมูก ลิ้น กาย  และความคิด มันถูกสร้างขึ้นมา  ถูกหลอก ที่เขาเห็น มันไม่จริง

ผู้เชื่อบางคนถูกหลอกให้เห็นภาพหลอนว่าตัวเองยังสกปรก มีผีอยู่ เป็นทาสมารอยู่ จึงพยายามดิ้นรน หาทางเป็นอิสระ เที่ยวไปหาคนโน้นให้อธิษฐานให้ ไล่ผีออก เที่ยวไปหาคนนี้ให้ชำระให้บริสุทธิ์ ใช่หรือไม่? ท่านเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า?

แต่ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าอย่างไร? ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าเมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว พระเจ้าสถิตอยู่ในเราเลย ไม่มีผี หรืออะไรอีกแล้ว ทำอันตรายเราได้ หรือจะมาอาศัยในร่างกายเราก็ไม่ได้เลย แม้แต่นิดเดียว เพราะร่างกายเราเป็นวิหารของพระเจ้า พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ในเราแล้ว นี่คือถ้อยคำพระเจ้า

บางคนก็มีความคิด มีความรู้สึก มีอารมณ์ด้วยว่าบาปที่ทำมา ในอดีต ก่อนที่จะรับเชื่อพระเจ้า ก่อนที่จะเปิดใจต้อนรับพระเยซู เยอะกว่าคนอื่นเยอะเลย ซึ่งบาปเหล่านั้น พอมาเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว ก็ยังสลัดออกไปไม่หมดเลย ยังเหลืออยู่ ยังทำอยู่ทุกวันนี้เลย ก็ยังมีความรู้สึกว่าเป็นคนบาป สกปรกอยู่ แต่ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าพระเยซูได้แบกรับเอาความบาปทั้งสิ้นของเขาไปหมดแล้ว ไม่ว่ามันมากเท่าไร ก็เอาไปหมดแล้ว มากเท่าเปาโลไหมล่ะ

เปาโลทั้งข่มเหงคนที่เป็นคริสเตียน ทั้งฆ่าคนที่เป็นคริสเตียนมากมาย แต่เปาโลบอกว่าพระเยซูเอาความบาปผิดของเขาออกไปหมดแล้ว อย่างนี้เป็นต้น

นี่เรื่องจริงเหมือนกัน บางคนได้กลิ่นหอมของพระเยซู เพราะในพระคัมภีร์บอกว่าพระเยซูเป็นเหมือนกลิ่นหอมของข่าวประเสริฐของพระเจ้า ได้กลิ่นพระเยซู หอมจริงๆ แล้วบางครั้ง หลายครั้ง ความหอมนั้น มันก็หายไป มันหายไปแค่นั้นไม่พอ มันกลับกลายเป็นความเหม็น เข้ามาแทนที่ นี่เรื่องจริงอีก มันกลับกลายเป็นรู้สึกว่าได้กลิ่นความเหม็นคาว สกปรกของผีมาร ซึ่งมารบกวนชีวิต ความคิด และวิญญาณของเขาอยู่ เขาจึงต้องขับมันออกไป ไล่ผีตัวนี้ออกไป ไล่วันนี้ เดี๋ยวพรุ่งนี้มันก็เข้ามา ไล่ไปมะรืนนี้ มะเรื่องนี้เข้ามา ไปหาคนนั้นให้ไล่ คนนี้ให้ไล่  ท่านเป็นเช่นนั้นหรือไม่?

อย่างที่บอก ถ้อยคำพระเจ้าบอกเราเป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า พระเจ้าสถิตอยู่ในเรา ทั้ง 3 พระภาคเลย แล้วผีจะเข้ามาอยู่ได้อย่างไร? เราอาจจะไม่รู้สึกว่าพระองค์ทรงสถิตอยู่ แต่ถ้อยคำแห่งความจริงบอกว่าพระองค์สถิตอยู่ และพระเจ้าต้องการให้เราวางใจในถ้อยคำของพระองค์ ไม่ใช่ความรู้สึกนึกคิด หรือความรู้สึกอารมณ์ ที่สัมผัสได้ด้วยร่างกาย  อันนี้ก็เหมือนกัน  บางคนบอกว่ามีความรู้สึกเหมือนลมเย็นๆ ที่พัดเข้ามาสู่ร่างกาย ขนลุกไปหมดเลย เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จมาเยี่ยมเยือน เคยได้ยินคุ้นๆ นะ ไม่ได้ยินอย่างเดียว เคยได้รับประสบการณ์นี้ด้วยซ้ำ คุ้นๆ แต่ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าพระวิญญาณสถิตอยู่กับเรา ตั้งแต่เราเกิดใหม่ เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด วินาทีนั้นแล้ว และจะอยู่กับเรา ในร่างกายของเรานี้ เป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา ตลอดชั่วนิรันดร์ ไม่ว่าจะขนลุกหรือไม่ลุก ลมจะพัดเย็นหรือไม่เย็น พระองค์ก็อยู่ที่นั่นแหละ อยู่กับเรา  อยู่ในร่างกายของเรานี้ ไม่ได้มาเยี่ยมเยือน มาตั้งบ้านอยู่ในร่างกายเราเลย  ถูกหรือไม่? นี่คือความจริงที่ทำให้เราเป็นไท เป็นอิสระ

บางคนบอกว่า … “ฉันสามารถสัมผัส รู้สึกได้ว่าพระเจ้าสถิตอยู่ที่นี่”

แต่พระคัมภีร์บอกว่า … “ท่านไม่รู้หรือว่าร่างกายของท่านเป็นวิหารของพระเจ้า พระเจ้าสถิตอยู่กับท่าน เป็นหนึ่งเดียวกันกับท่าน”

ท่านไม่รู้หรือ? ต้องรอให้สัมผัสได้ ถึงจะรู้ว่าอยู่หรือ? ต่อให้คนที่นั่งข้างล่าง ไม่ได้สัมผัสอะไรเลย พระเจ้าก็อยู่กับเขา  เขาเป็นผู้เชื่อคนหนึ่ง ไม่ใช่พระเจ้าอยู่กับท่านเท่านั้น ถึงสัมผัสได้ เขาไม่ได้สัมผัสอะไรเลย พระเจ้าก็อยู่กับเขาเท่าๆ กับอยู่กับท่านเหมือนกัน

ที่พูดมาทั้งหมดนี้ ไม่ได้หมายถึงผมต่อต้าน หรือไม่เชื่อปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ หรือเราเรียกกันว่าอัศจรรย์ ไม่ธรรมดาเหล่านี้ ไม่ใช่ สิ่งเหล่านี้ ถ้ามันเกิดขึ้น แล้วตรงตามถ้อยคำพระเจ้า ก็ขอบคุณพระเจ้า เช่นบางคนมาเชื่อในพระเยซู เพราะได้เห็นพระเยซูเดินเข้ามาในห้องเลย เพื่อนเล่าให้ฟัง เคยได้ยินเขาประกาศพระเยซูตั้งนาน ไม่เคยเปิดใจต้อนรับพระเยซู ไม่เคยเชื่อเลย มีอยู่วันหนึ่ง อยู่ในห้องนอน พระเยซูเดินเข้ามาเลย  แล้วก็บอกว่าให้เปิดใจต้อนรับพระเยซูซะ ก็เลยเปิดใจต้อนรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด  วางใจในพระองค์ ดีใจมากเลย ที่ได้รับความรอด ซึ่งไม่ว่าจะเป็นพระเยซูเข้ามาจริงๆ หรือเป็นการเห็นภาพไปเอง ในความคิดที่สร้างขึ้นมาเอง ก็ตาม ไม่มีใครตอบได้ แต่ที่รู้ๆ คือมารมันคงไม่มาหลอกแบบนี้ จริงไหม? เพราะมันตรงตามถ้อยคำพระเจ้า พระเยซูมาเคาะที่ประตูใจ แล้วเราก็เปิดใจต้อนรับพระเยซูเข้ามา แล้วพระองค์ก็ให้เราบังเกิดใหม่ นี่คือตรงตามถ้อยคำพระเจ้า

เพราะฉะนั้น สมควรสรรเสริญ ขอบคุณพระเจ้า และปิติยินดี  และก็กลับมาเชื่อและวางใจในพระสัญญา หรือถ้อยคำของพระเจ้าที่ได้บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ต่อไป  ไม่ต้องไปติดยึด ถ้าสิ่งที่เกิดขึ้นเหนือธรรมชาติ มันตรงตามพระคัมภีร์ พระเยซูตรัสว่าพระองค์กำลังเคาะประตูใจของมนุษย์ทุกคน และรักมนุษย์ทุกคนเท่ากันหมด เคาะประตูใจตลอดเวลา ไม่ว่าจะเคาะด้วยวิธีใด ด้วยการมาปรากฏตัวหรือไม่? หรือไม่ปรากฏตัว หรือไม่รู้สึกอะไรเลย เพราะพระองค์ก็กำลังเคาะอยู่ แม้กระทั่งคนที่กำลังปฏิเสธพระเยซู กำลังข่มเหงคริสเตียน กำลังเป็นปฏิปักษ์ต่อคริสเตียน ซึ่งเท่ากับเป็นปฏิปักษ์ต่อพระเยซูคริสต์ พระองค์ก็กำลังเคาะที่ประตูใจเขาอยู่ แต่เขาไม่ได้ยิน ถูกหรือไม่ถูก? ถูก พระองค์รักทุกคนเท่ากัน และทุกคนก็มีสิทธิที่จะเปิดประตูใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดได้เท่ากัน ไม่มีใครดีกว่ากันเลย

นี่คือถ้อยคำพระเจ้า ที่เราควรจะยืนหยัดไว้ ซึ่งถ้าเรายังคงติดยึดอยู่กับประสบการณ์เหนือธรรมชาติ ไม่ธรรมดาในความรู้สึกและการสัมผัส แบบเหมือนเหนือธรรมดา ซึ่งเราเรียกว่าอัศจรรย์เหล่านี้ ติดยึดอยู่ และเชื่อว่าจะเกิดขึ้นอย่างนี้อยู่เรื่อยๆ ตลอด และไม่ได้เกิดกับเราได้อย่างเดียว สามารถเกิดกับคนอื่นได้อีกด้วย ไปหนุนใจคนอื่น บอกแสวงหาให้มันเกิดขึ้นอย่างนี้สิ มันก็จะเป็นอันตราย และถูกหลอกได้อย่างที่บอก โดยเราไม่รู้ว่าเราไปฆ่าเขาตายโดยทางอ้อมก็ได้

อันตรายอย่างไร? ยกตัวอย่าง นี่ก็เคยเกิดขึ้นเหมือนกัน สมมติ มีคนกำลังป่วย กำลังเครียด แล้วเห็นภาพว่าพระเยซูมาหา แล้วบอกเขาว่า …

“มาอยู่กับเราสิ (เรา หมายถึงพระเยซู) มาอยู่กับเราในโลกวิญญาณดีกว่า เปาโลยังบอกเลยว่าตายดีกว่าอยู่ สบายกว่ามาก”

ซึ่งถ้าเชื่อในความรู้สึกแบบนั้น ว่ามันเป็นจริง ตามที่เราได้เห็นภาพ ได้ยินเสียงเหล่านั้น แล้วมันจะเกิดอะไรขึ้น ท่านลองคิดดู คนที่กำลังเครียด ท้อแท้ กำลังซึมเศร้า  ในตอนนั้น ข่าวที่มีคนทำร้ายตัวเอง จากเรื่องแบบนี้ เราก็เคยได้ยิน ได้เห็นมาแล้ว เยอะมาก อย่างเช่นคนที่บอกว่า …

“ตอนที่ผมอธิษฐานอยู่ พระเยซูมาบอกตอนนี้เป็นยุคสุดท้ายแล้ว พรุ่งนี้  สิ้นเดือนนี้ มะรืนนี้ วันนี้ พระเยซูจะมารับแล้ว ตามที่สัญญาไว้ เตรียมให้พร้อม ใส่ชุดขาวให้หมด แล้วไปรวมกันที่ที่หนึ่ง”

แล้วก็ทำลายชีวิตตัวเอง เพราะพระเยซูมารับเรา  เราจะได้ไปอยู่ในสวรรค์ เพราะตอนนี้ยุคสุดท้ายแล้ว มองไปเห็นทุกแห่ง มีแต่ความลำบากลำบนหมด เคยเกิดขึ้นหลายครั้งแล้ว ก็เป็นอย่างนี้แหละ  พระเยซูจึงไม่ต้องการให้เราไปพึ่งพาสิ่งเหล่านี้ ซึ่งอาจถูกหลอก เกิดอันตรายต่อชีวิตเราได้ ผมลองคิดไปเรื่อยๆ ขนาดยารักษาโรคบางชนิด มีผลต่อความรู้สึกต่ออารมณ์และความคิด  และการสร้างภาพในสมอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกยาเสพติด เห็นชัดที่สุด แม้กระทั่งสารเคมีในร่างกาย ในสมอง ฮอร์โมน และอาหารการกิน ก็ยังมีผลต่อความรู้สึก ความคิด อารมณ์ สัมผัสในร่างกายนี้ได้เลย ท่านลองคิดดู แล้วท่านจะไปพึ่งพามันได้อย่างไร? เกิดอารมณ์ปรวนแปร เพราะฮอร์โมนเปลี่ยน ความรู้สึกต่างๆ มันก็เปลี่ยนไป เกิดป่วย ไปกินยาอะไร? ยาบางชนิดมีผลข้างเคียง ทำให้เห็นภาพหลอน มันก็เปลี่ยนไปแล้ว ท่านก็จะเขวไปเขวมา หวั่นไหวตลอดเวลา

ยกตัวอย่างอีกอันหนึ่งง่ายๆ อาหารการกิน อาหารบางอย่าง กินเข้าไปปวดท้อง พระเจ้าหนีไปแล้ว ตะกี้ยังรู้สึก พระเจ้าสถิตอยู่กับเรา กินอาหารเผ็ดๆ มากเกินไป สมมติท้องเสียขึ้นมา ความรู้สึกนั้นมันหายไปแล้ว

“พระเจ้าอยู่ไหน? ช่วยลูกด้วย ลูกท้องเสียไม่หยุดเลย”  เพราะอาหาร

ท่านจะไปยึดอยู่บนความรู้สึกท่านได้อย่างไร? หรือท่านอยากจะมีความรู้สึก วันนี้อธิษฐานไม่อินกับพระเจ้าเลย พระเจ้าคงไม่ฟัง ไม่พอ ต้องอธิษฐานมากกว่านี้ พออธิษฐานไป ง่วงนอน พระเจ้าไม่พอใจเลย เราอธิษฐานแล้วหลับ แสดงว่าไม่รัก พระเจ้าไม่อยู่ด้วย

เพราะฉะนั้น วิธีรักพระเจ้า ผมจะบอกให้นะ ถ้าใครเชื่อแบบนี้ ไม่ยากเลย ดื่มกาแฟเข้าไปเยอะๆ พระเจ้าจะรักท่านมากเลย เพราะท่านจะรู้สึกอินมากเลย ยิ้มแย้ม เพราะฤทธิ์ของกาแฟ มันทำให้ท่านตื่น ท่านอดนอนมาทั้งคืน ท่านอธิษฐาน แล้วง่วงนอน พระเจ้าไม่อยู่กับเราแล้ว ไม่ได้ฟังคำอธิษฐานของเรา พระคัมภีร์บอกพระองค์ทรงสถิตอยู่กับท่านตลอดเวลา ฟังคำอธิษฐานของท่านตลอดเวลา  ไม่อธิษฐานก็ฟังอยู่ เอเมนไหม? แล้วจะไปวางความไว้วางใจที่ไหน? ที่พระเจ้า หรือความรู้สึกของเราดี แค่กาแฟแก้วหนึ่ง ก็รู้สึกเปลี่ยนเลย คิดดูสิ

มันก็มีโอกาสถูกมารหลอกเต็มไปหมดเลย พระเจ้าจึงไม่ต้องการให้เรา เชื่อและวางใจในความรู้สึก ความนึกคิดแบบนี้ ไม่เชื่อและวางใจในสิ่งที่จับต้องมองเห็นได้อย่างนี้ ในสถานการณ์ต่างๆ บนโลกใบนี้  ไม่ว่ามันจะดีหรือจะร้ายก็ตาม พระเจ้าไม่ต้องการให้เราไปพึ่งพา หรือวางใจในสถานการณ์เหล่านี้เลยแม้แต่นิดเดียว โลกนี้มันเสียหายไปแล้ว มันวิปริตไปแล้ว มันเปลี่ยนแปลงไป  มันไม่แน่ไม่นอนเลย ท่านไปวางใจในนั้นเสร็จ แล้วมารทำงานอยู่บนโลกใบนี้อยู่ สามารถครอบงำ ทำให้เกิดการหลอกลวงได้เยอะแยะ อย่างที่ยกตัวอย่างไปเมื่อสักครู่นี้  แล้วท่านจะอยู่อย่างไร?

พระเยซูคริสต์จึงตรัสตรงนี้ไว้ว่าให้เราเชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็น ให้เราเชื่อด้วยวิญญาณของเรา ในถ้อยคำของพระองค์  คือความจริงของพระองค์ที่ทรงพูดให้เราฟังบนนั้น ไม่มีการเปลี่ยนแปลง  ไม่มีใครมาทำอะไรเราได้เลยแม้แต่นิดเดียว ไม่หวั่นไหวเลย ถ้าเชื่อในวิญญาณ ในถ้อยคำของพระองค์เท่านั้น  เชื่อในถ้อยคำของพระเยซูที่พูดถึงเรื่องโลกวิญญาณ เกี่ยวกับเรา ที่ได้บังเกิดใหม่แล้วเท่านั้น ไม่ว่าจะมีความรู้สึกดีอย่างไร? หรือชื่นชมยินดีอย่างไร? หรือไม่ชื่นชมยินดีเลย ก็ตาม ไม่ว่ามันจะดีหรือร้าย  เราก็วางใจในถ้อยคำ ความเชื่อและวางใจในพระเจ้า จะไม่มีวันถดถอยลงเลย ถ้าเราวางใจและเชื่อแบบนี้ สถานการณ์รอบข้างจะเป็นเช่นไร? จะดีหรือร้าย เราจะกระทำดีได้มากหรือน้อยเพียงใดก็ตาม ไม่วางใจในมัน นี่แหละ เรียกว่าวางใจในพระเจ้า ไม่วางใจในการกระทำของตนเอง ไม่ว่าจะดีหรือร้ายก็ตาม ถ้าวางใจในการทำดี …

“วันนี้ทำดีมากเลย พระเจ้าคงจะพอใจในฉันมาก”

แล้วก็เตรียมตัวไว้เถอะ เพราะพรุ่งนี้ต้องทำดีมากขึ้นกว่านี้อีก และต้องทำดีมากขึ้นไปอีกทุกวันๆ เพราะจะให้พระเจ้าพอใจ แต่เมื่อวันหนึ่ง ทำไม่ได้ถึงตรงนั้น ก็จะมีความรู้สึก พระเจ้าไม่พอใจ และไม่พอใจไปเรื่อยๆ เพราะว่าทำดีไม่ได้ถึงขั้นโน้น  ที่เราคิดเอง เออเอง ในที่สุดกลับมาพึ่งพาตนเองอีกเหมือนเดิม  ทั้งๆ ที่มาพึ่งพระเยซู ได้บังเกิดใหม่แล้วก็ตาม

เพราะฉะนั้น ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไร? เราจะทำได้ดีมากหรือน้อยเพียงไร การกระทำของเราจะเป็นเช่นไร? ความรู้สึกจะเป็นเช่นไร?

“ไม่รู้ล่ะ ฉันคงยึดมั่น เชื่อในคำพูดของพระเยซูคริสต์ ไม่หวั่นไหว”

ข่าวดีของพระเยซู ก็คือพระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้า  ที่ทรงประทานให้กับมนุษย์  มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด จากโทษของความบาป และเป็นทางที่มนุษย์จะเข้าไปอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้  พระองค์แบกรับเอาความบาปของมนุษย์ทั้งหมด ด้วยการตายที่ไม้กางเขน  ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ เพื่อยืนยันการตาย และเป็นขึ้นจากความตาย ในวันที่ 3  … นี่พูดอย่างสรุปชัดๆ ง่ายๆ สั้นๆ … และใครที่ต้อนรับพระองค์ จะได้รับความรอด ได้รับการบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า ผู้ใดที่เชื่อและเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ พระองค์จะให้เขาได้รับการบังเกิดใหม่ในวิญญาณ มาเป็นลูกของพระเจ้า ที่บริสุทธิ์สะอาด และเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ในวิญญาณ พระองค์จะเข้ามาสถิตอยู่ในร่างกายของเขา ทั้งพระเจ้าพระบิดา  พระเจ้าพระบุตรพระเยซู  พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์  3  พระภาค เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณของเขา จะไปที่ไหนก็ตามไปกัน 4 วิญญาณนี่เลยแหละ

นี่คือสิ่งที่พระเยซูพูดเอาไว้  เรื่องเกี่ยวกับข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ข่าวดีของพระเจ้า พระองค์คือของขวัญ  คือทางไปสู่สวรรค์ ที่พระเจ้าประทานให้กับมนุษย์ทั้งปวง

ข่าวดีเรื่องของความรอดของพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่เป็นความรู้สึกหรืออารมณ์  ไม่เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับสิ่งที่จับต้องมองเห็นได้เลย แม้แต่นิดเดียว  แต่เป็นเรื่องเกี่ยวกับความจริง รับรู้เรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ  เป็นฤทธิ์เดชอำนาจที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ  เป็นฤทธิ์เดชอำนาจที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น ในโลกวิญญาณ ที่ตามนุษย์มองไม่เห็น  ไม่สามารถสัมผัสได้  ไม่สามารถเข้าใจได้ ไม่สามารถจับต้องได้ ด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย และความคิดของมนุษย์ ไม่มีทาง นี่คือข่าวดีของพระเยซู

ข่าวดีเรื่องของพระเยซูคริสต์ ไม่ได้สัญญา รวมไปถึงเรื่องของความรู้สึก เรื่องอารมณ์และสิ่งที่จับต้องมองเห็นได้ แต่สัญญาเกี่ยวกับเรื่องของการเปลี่ยนแปลง ในโลกวิญญาณ  ความรู้เกี่ยวกับเรื่องโลกวิญญาณ ความรู้เรื่องเกี่ยวกับพระเจ้า ซึ่งพระองค์ทรงเป็นวิญญาณ เข้าไปหาพระองค์ ก็ต้องเข้าไปหาทางวิญญาณ  เชื่อด้วยวิญญาณ แล้วรู้ได้อย่างไร?  รู้ด้วยความจริงจากในวิญญาณ ก็เพราะว่าพระองค์ พระเยซูเล่าให้ฟัง ถึงเรื่องจริงเกี่ยวกับโลกวิญญาณ ให้เราฟัง ก็เชื่อตามนั้น แค่นั้น ไม่ใช่ความรู้สึก

อาจารย์เปาโลอธิษฐานให้กับผู้เชื่อใหม่ ก็อธิษฐานตามแนวที่พระเยซูคริสต์บอกเมื่อตะกี้นี้ว่าให้เชื่อในวิญญาณ ให้วางใจในพระองค์ แม้มองไม่เห็น ก็ตาม อาจารย์เปาโลอธิษฐานให้ผู้เชื่อใหม่ให้มีตาฝ่ายวิญญาณที่เปิดออกกว้างขึ้น เพื่อจะได้รับรู้ เรียนรู้ และเข้าใจ ถึงสิ่งที่เกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ ในเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ ว่าเกิดอะไรขึ้นในโลกวิญญาณ เมื่อมนุษย์คนหนึ่ง เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ข่าวดีของพระเยซู รับพระเยซูคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เกิดอะไรขึ้นในโลกวิญญาณ เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไร? เปาโลอยากให้เขาได้รู้สิ่งเหล่านี้ และให้เขาวางรากฐานของความเชื่อ  วางใจในพระเยซูคริสต์ด้วยความรู้เรื่อง ความจริงเหล่านี้ ในโลกวิญญาณ ลองมาฟังดูสิว่าอาจารย์เปาโลอธิษฐานว่าอย่างไร? เอเฟซัส 1:18 …

เอเฟซัส 1:18 “ข้าพเจ้ายังอธิษฐานขอพระเจ้า ให้ตาของวิญญาณ (ซึ่งเป็นตัวจริงๆ ของท่าน) สว่าง  เพื่อจะได้รับการสำแดงความรู้  จากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า  เพื่อท่านจะได้รับรู้ถึงความหวัง และมีความมั่นใจ ในเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ของพระเจ้า ที่พระองค์ได้เรียกท่านเข้ามานั้น และรับรู้เรื่องมรดกที่เต็มไปด้วยสง่าราศี อันยิ่งใหญ่ รุ่งเรือง และมีค่าที่สุดของพระองค์ ที่ได้ทรงจัดเตรียมไว้ให้กับท่าน ผู้ซึ่งได้เป็นประชากรที่บริสุทธิ์ชอบธรรมของพระเจ้าแล้ว (โดยผ่านทางการเชื่อและการรับสิทธิ์ของท่าน  ที่พระเยซูได้ไถ่บาปให้)”

 

เปาโลไม่ได้อธิษฐานว่า … “ข้าพเจ้ายังอธิษฐานขอพระเจ้า ให้ท่านได้สัมผัสพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทรงสถิตอยู่กับท่าน ให้ท่านได้เห็นพระเยซูคริสต์มาเยี่ยมเยือนท่าน ให้ท่านมีความรู้สึกว่าพระเจ้าทรงอยู่ด้วยกันกับท่าน” เปล่าเลย …

“เพื่อว่าจะได้ให้ท่านมีความเชื่อในพระองค์มากขึ้น จากประสบการณ์ ที่ข้าพเจ้าอธิษฐานเหล่านั้น” เปล่าเลย …

“ข้าพเจ้ายังอธิษฐานให้ท่านได้รับการรักษาโรคอย่างอัศจรรย์ เพื่อท่านจะได้เชื่อในพระองค์มากขึ้น” เปล่าเลย  …

“ข้าพเจ้าอธิษฐานให้พระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐานของท่านทุกครั้ง อย่างอัศจรรย์ เพื่อท่านจะได้มีความเชื่อมากขึ้น”

เปล่า ตลอดทุกครั้ง ที่เปาโลอธิษฐาน และพูดถึง

เปาโลจะพูดถึงเรื่องนี้ตลอด ซึ่งเหมือนกับที่พระเยซูคริสต์พูด เรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ ข่าวดีของพระเยซู เป็นเรื่องของโลกวิญญาณเท่านั้น

“ข้าพเจ้ายังอธิษฐานขอพระเจ้า  ให้ตาของวิญญาณ ซึ่งเป็นตัวจริงๆ ของท่านนั่นแหละ ซึ่งอยู่ภายในของท่าน มันสว่างออกมา ไม่ใช่ตาเนื้อ ตาร่างกายอย่างนี้ แต่ตาข้างใน ตาวิญญาณ เพื่อจะได้รับรู้ และการสำแดงความรู้จากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า  ซึ่งสถิตอยู่กับท่านแล้ว เพื่อท่านจะได้รับรู้ถึงความหวัง และมีความมั่นใจในเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ของพระเจ้า  พระเจ้าเข้ามาอยู่ในตัวท่าน สวรรค์อยู่ในตัวท่านแล้ว  สวรรค์ล้อมรอบตัวท่านแล้ว สวรรค์มีไว้ เพื่อท่านจะอยู่อาศัยตลอดไป”

นี่คือความจริง เปาโลอยากให้รู้ วิธีรู้ คือให้ตาวิญญาณเปิดออกกว้างขึ้น โดยรับสติปัญญาจากพระเจ้า ให้รู้ว่าสง่าราศีของการเป็นลูกของพระเจ้ายิ่งใหญ่ขนาดไหน? มันเกิดขึ้นในวิญญาณของท่าน ให้ท่านรู้ว่าท่านเป็นประชากรของพระเจ้าที่บริสุทธิ์  ชอบธรรม เป็นลูกของพระเจ้า  ที่สะอาดหมดจด ไม่มีบาป หลงเหลืออยู่เลยแม้แต่นิดเดียว เพราะพระเยซูทำให้เรียบร้อยแล้ว ทางวิญญาณ  มาอ่านข้อ 19 และ 20 อธิษฐานอีกว่า …

เอเฟซัส 1:19-20 “19 เพื่อท่านจะได้เริ่มต้นเรียนรู้ถึง ฤทธิ์เดชอำนาจยิ่งใหญ่มหาศาล ที่ไม่มีขีดจำกัด และหาที่เปรียบไม่ได้ของพระเจ้า 20 ซึ่งเป็นฤทธิ์เดชอำนาจ พลังที่ยิ่งใหญ่มหาศาลทางฝ่ายวิญญาณ  ที่กระทำการงานอยู่ในวิญญาณของเรา  ผู้ซึ่งได้เชื่อและรับสิทธิ์ของเรา ที่พระเยซูได้ไถ่บาปให้ ซึ่งเป็นฤทธิ์เดชอำนาจ พลังที่ยิ่งใหญ่มหาศาลเดียวกันกับที่พระเจ้าได้กระทำในพระเยซู เมื่อตอนที่พระองค์ได้ชุบพระเยซู ให้เป็นขึ้นจากความตาย และได้แต่งตั้งให้พระเยซู นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระองค์ ในย่านฟ้าอากาศ (สวรรค์) ต่างๆ ในโลกฝ่ายวิญญาณ”

 

อธิษฐานเพื่อท่านผู้เชื่อใหม่ทั้งหลาย จะได้เริ่มต้นเรียนรู้ถึงฤทธิ์เดชอำนาจอันยิ่งใหญ่มหาศาล ที่ไม่มีขีดจำกัดหาที่เปรียบไม่ได้ของพระเจ้า  ซึ่งไม่สามารถใช้แตะต้อง หรือรับรู้ได้ด้วยความคิดจิตใจของมนุษย์ แบบธรรมดา หรือจากตา หู จมูก ลิ้น กาย หรือความคิดที่จะสัมผัสได้ ไม่มีทางเข้าใจตรงนั้นได้  ซึ่งเป็นฤทธิ์เดชอำนาจ พลังอันยิ่งใหญ่มหาศาลทางฝ่ายวิญญาณ  ไม่ใช่เป็นฝ่ายความรู้สึกทางร่างกายนี้ ซึ่งฤทธิ์เดชอำนาจทางฝ่ายวิญญาณนี้ กำลังกระทำการงานอยู่ในวิญญาณของท่าน ผู้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว ฤทธิ์เดชอำนาจนั้น ตอนนี้กระทำการงานอยู่ในตัวท่าน กำลังทำอยู่  ท่านจะรู้หรือไม่รู้ สนใจหรือไม่สนใจ ตระหนักหรือไม่ตระหนัก ก็อยู่ในตัวผู้เชื่อทุกคนอยู่แล้ว

เปาโลบอกอยากให้ท่านเรียนรู้ จะได้รู้ว่าตรงนี้มันอยู่ในตัวท่านอยู่ “ท่าน” คือผู้เชื่อ  ผู้ที่ใช้สิทธิ์ของท่าน ที่พระเยซูทำให้ตายที่ไม้กางเขน  ผู้ที่ใช้สิทธิ เปิดใจต้อนรับพระเยซู เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เปิดใจให้พระเยซูเข้ามาสถิต  เปิดใจต้อนรับข่าวดีของพระเยซู คือต้อนรับว่าพระเยซูทำที่ไม้กางเขนนั้น สำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว  ไถ่บาป  และเป็นขึ้นมาจากความตาย  ในวันที่ 3  ทำให้เราพ้นจากความตาย ทำให้มนุษย์ ทุกคนพ้นจากความบาป และมีโอกาสเป็นขึ้นจากความตาย ได้บังเกิดใหม่ ร่วมกับพระองค์ เชื่อว่าเป็นจริง ได้รับสิทธิของเขาว่ามันเป็นฉันด้วย ให้เขารับรู้สิ่งเหล่านี้

รับรู้ และเชื่อ ในความจริงเหล่านี้ คือถ้อยคำของพระเจ้า รับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ อย่างนี้ ที่พระเจ้าอธิบายให้เราฟัง แล้วก็เชื่อฟัง ไม่ว่าจะสัมผัสอะไรได้หรือไม่ได้ ทางเนื้อหนังก็ตาม รับและเชื่อ ไม่ใช่ด้วยความรู้สึก  อารมณ์  หรือต้องมีหลักฐาน  คำพยานที่จับต้องมองเห็นได้  หรือเหตุผลแบบมนุษย์ว่าพระเยซูได้ทำให้เราแล้ว  บริสุทธิ์ สะอาด เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว อยู่กับพระเจ้าในสวรรค์แล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่กับเรา ฤทธิ์เดชอำนาจยิ่งใหญ่นี้กระทำการงานอยู่ในเรา ผู้เชื่อทั้งหลาย ตอนนี้พระเจ้าสถิตอยู่กับเราแล้ว ทั้ง 3 พระภาค ไม่ต้องคำพยาน ไม่ต้องมีการจับต้องมองเห็นได้ เป็นต้น

นี่คือสาระสำคัญในการเชื่ออย่างที่ตาไม่เห็น บางครั้ง หลายท่านที่เป็นผู้เชื่อทั้งหลาย ผมก็เคยคิดอย่างนั้น การเป็นพยานในฝ่ายพระเยซูคริสต์ มันดี เป็นพยาน เพื่อให้มีคนมาเชื่อ แต่คิดให้ลึกๆ อีกครั้งหนึ่ง การเป็นพยาน ก็คือกำลังจะบอกว่าการมาเชื่อพระเยซู ต้องอาศัยความคิด สติปัญญา แบบมนุษย์จับต้องมองเห็น

ยกตัวอย่างเช่น เรามาเป็นพยาน เพราะพระเจ้ารักษาเราหายโรค เราจึงเชื่อในพระเจ้า และเปิดใจต้อนรับพระเยซู แล้วคนที่พระเจ้าไม่ได้รักษาเขาหายโรค แล้วเขาจะเปิดใจต้อนรับอย่างไร? แล้วทำไมถ้อยคำพระเจ้าในพระคัมภีร์ ไม่เห็นประกาศ ไม่เห็นบอกเลยว่าเปาโลออกไปประกาศว่า …

“จงมาเชื่อในพระองค์เถิด เพราะพระองค์ทรงรักษาข้าพเจ้าให้หาย จากตาบอด”

ทำไมเปาโลไม่ประกาศว่า … “ข้าพเจ้ามาเชื่อพระเจ้า เพราะว่าพระเจ้าได้ทำการอัศจรรย์ในชีวิตข้าพเจ้า ทำให้ข้าพเจ้าออกจากคุกได้”

หรืออะไรประมาณนั้น  ท่านเข้าใจใช่ไหมว่าบางครั้งเราไปนึกถึงคำพยานมากจนเกินไป ไม่ใช่ต่อต้านคำพยาน ถ้าคำพยานตรงกับถ้อยคำพระเจ้า ในพระคัมภีร์ มันก็โอเค แต่ต้องระมัดระวังคำพยานที่ไปอ้างถึงตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ และความคิดของมนุษย์ที่สามารถรู้สึกและสัมผัสได้ ให้เราเอียงไปตรงโน้น

แล้วบางครั้งพระเจ้า ก็สามารถใช้ตรงนั้น ให้คนนั้นมาเชื่อพระเจ้าได้เหมือนกัน แต่มิได้หมายถึงมันถูกหลักตามข้อพระคัมภีร์ ประกาศข่าวดีของพระเจ้า  ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจ แห่งถ้อยคำพระเจ้าเพียวๆ เท่านั้น คือพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ตายที่ไม้กางเขน  ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และเป็นขึ้นมาจากความตาย ในวันที่ 3

นี่คือหัวใจของการประกาศข่าวประเสริฐ ที่เปาโลบอกไว้  พระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรของพระเจ้า ที่มาตายที่ไม้กางเขนจริงๆ ถูกฝังไว้จริงๆ และเป็นขึ้นจากความตายจริงๆ หัวใจของข่าวประเสริฐอยู่ตรงนี้ หัวใจของข่าวประเสริฐไม่ได้อยู่ตรงที่ท่านจะร่ำรวย ทรัพย์สินเงินทอง ท่านจะหายจากอาการเจ็บป่วย ปัญหาต่างๆ ที่ท่านเผชิญอยู่ จะอันตรธานหายไป พระเจ้าจะทำการอัศจรรย์ เมื่อท่านต้อนรับข่าวดี  ไม่ใช่ตรงนั้น

ตัวอย่างเช่น สถานการณ์รอบข้างที่เห็นอยู่จะเป็นเช่นไร? สถานการณ์โควิด-19  หนึ่งปีมาแล้ว และไม่รู้ว่าจะอีกกี่ปี กระทบถึงชีวิตของเราเยอะแยะมากมาย บางคนมาก บางคนน้อยก็ตาม   แต่ไม่ว่าสถานการณ์นี้ จะเป็นเช่นไร? จะดีขึ้น หรือไม่ดีขึ้น  จะเลวร้ายขนาดไหนก็ตาม  ความรู้สึกและอารมณ์ จากผลกระทบของโควิดนี้จะเป็นอย่างไรก็ตาม จะหงุดหงิด จะเครียด จะกลัว จะหดหู่ ท้อแท้ก็ตาม ฉันรับรู้ และเชื่อในถ้อยคำของพระเจ้าว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่กับฉัน อยู่ในฉัน ล้อมรอบฉัน อยู่เพื่อฉัน  โอบกอดฉัน ทรงรักฉันอยู่ตลอดเวลา

อยู่เพื่อฉัน แล้วทำไมเหตุการณ์ของฉัน มันไม่ดีขึ้นเลย งานการของฉัน ปีหนึ่งแล้ว ไม่เห็นดีขึ้น ไม่รู้ อันนั้นไม่เกี่ยวกัน คนละเรื่องกัน เดี๋ยวพระเจ้าพาเราผ่านเอง

พอเข้าใจใช่ไหมครับ … การทรงสถิตของพระเจ้า การบังเกิดใหม่  ได้รับความรอดในพระเยซูคริสต์ ไม่ได้มีพยานยืนยัน โดยสิ่งที่เกิดขึ้น ในสถานการณ์รอบข้างที่มันดีขึ้น ไม่ใช่ ถ้ามันดีขึ้น ตามถ้อยคำพระเจ้า เราก็ขอบคุณพระเจ้า ถ้าไม่ดีขึ้น  เราก็เศร้า ธรรมดา แล้วก็คร่ำครวญกับพระเจ้าต่อไป ลูกทุกข์ใจ แต่คร่ำครวญเหล่านั้น อยู่บนพื้นฐานของการรับรู้ และเชื่อว่าพระเจ้าทรงอยู่ด้วย  ไม่เคยทอดทิ้งเราเลย อยู่กับเราตลอดเวลา  ไม่ว่าจะทุกข์ขนาดไหน ก็อยู่กับเราตลอดเวลา กำลังนำพาเราเดินผ่านความทุกข์ยากลำบาก  ซึ่งแต่ละคนไม่เหมือนกัน  เอเมน มันต้องเป็นอย่างนี้

แล้วลองคิดดูนะครับ ถ้าเราเชื่อแบบนี้ บนพื้นฐานของความจริง ในข่าวประเสริฐของพระเยซู ตามถ้อยคำพระเจ้าเป๊ะอย่างนี้เลย  ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไร เราก็เชื่ออย่างนี้ว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่กับเรา  ต่อให้เราทำสิ่งที่ดูเหมือนไม่ดี ในขณะนี้ ต่อให้เราเกลียดคนนี้ ทนไม่ไหว ไปด่าว่าคนนี้ อย่างรุนแรง หรือทนไม่ไหว ไปโลภ เพราะว่าทนสถานการณ์ไม่ไหว  เราก็รับรู้ เราก็เชื่อว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่กับเราตอนนี้เหมือนเดิม ไม่ได้ไปไหนเลย

ถ้าเราเชื่ออย่างนี้  เราก็จะไม่อธิษฐาน ขอการทรงสถิตของพระเจ้าเข้ามาในชีวิต เข้ามาในการกระทำการงานต่างๆ ในการดำเนินชีวิตของเราแต่ละครั้ง  เราก็จะไม่หวั่นไหว ถามพระเจ้าว่า …

“พระองค์ยังรักข้าพระองค์อยู่หรือเปล่า? ข้าพระองค์ทำตัวอย่างนี้ พระองค์อยู่ที่นี่หรือเปล่า? ทอดทิ้งลูกหรือไม่? หรือว่าลูกทำอะไรไม่ดี สงสัยเลยทอดทิ้งลูกไป”

เราจะไม่อธิษฐานแบบนี้ ในขณะที่เราเผชิญกับอุปสรรคปัญหาต่างๆ ซึ่งเป็นเรื่องสัจจะธรรมของโลกใบนี้ ซึ่งมันทุกข์ยากลำบาก  เราก็ไม่มาระแวงพระเจ้าว่าพระเจ้าหายไปแล้ว เราทำอะไรผิดมั้ง เราก็ไม่ระแวงถึงสิ่งเหล่านี้ เราก็จะไม่หวั่นไหว เราก็จะไม่อธิษฐานขอการทรงสถิตของพระเจ้า  เพราะเรารู้ว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเรา แทนที่จะอธิษฐานขอการทรงสถิตอยู่ของพระเจ้า เราขอบคุณพระเจ้า  เพราะเรารู้ว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเราแล้ว อยู่กับเราตลอดเวลา สถานการณ์จะเป็นเช่นนี้ แต่พระเจ้าก็อยู่กับเรา ไม่ใช่สถานการณ์เช่นนี้ พระเจ้าอาจจะไม่อยู่กับเรา เราต้องขอพระเจ้าอย่าหนีเราไป กลับมาอยู่กับเรา มันไม่ตรงตามถ้อยคำพระเจ้า ซึ่งเป็นอันตรายต่อชีวิต ความเชื่อของเรา เราจะไม่มีสันติสุข  ไม่มีความสุข  ซึ่งพระเจ้าไม่อยากให้มันเป็นอย่างนั้นนั่นเอง

แต่ถ้าเราเชื่อตามถ้อยคำพระเจ้าจริงๆ เราก็จะมีความมั่นคงในความเชื่อ ในความรอดในพระเยซูคริสต์ ในการอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าแล้วเดี๋ยวนี้ ทันที เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ พระเจ้าเข้ามาอยู่กับเรา เราอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า และจะอยู่ที่นี่ อย่างนี้ไปจนถึงนิรันดร์ หลังความตายเลยทีเดียว  เราก็จะเชื่ออย่างนี้ มั่นคง ไม่หวั่นไหว ไม่ว่าจะรู้สึกหรือไม่รู้สึก ไม่ว่าจะเห็นหรือไม่เห็น  ไม่ว่าความคิดเป็นอย่างไรก็ตาม แต่ในใจเราเชื่อบนฐานของถ้อยคำพระเจ้าเหล่านี้ เราก็จะดำเนินชีวิตหลังการเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด คือหลังการเป็นคริสเตียน ด้วยสันติสุข หายเหนื่อยและเป็นสุข หยุดแสวงหาสิ่งอื่นใดทั้งปวงเลย ไม่ต้องหาอะไรมาเพิ่มเติม เพราะรู้แล้วว่ามีอยู่แล้ว ไม่ต้องแสวงหาความรู้สึก อารมณ์ การทรงสถิตของพระเจ้าอีกต่อไป เพราะพบแล้ว เจอแล้ว จะไปแสวงหาอยู่อีกทำไมเล่า

บางคนเขาก็เอาถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าพระเยซูยังบอกให้แสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า นั่นมันพูดตอนที่พระองค์ยังไม่ตายที่ไม้กางเขน ยังไม่เป็นขึ้นจากความตาย สวรรค์ยังไม่ลงมา พระองค์บอกว่ากำลังจะลงมา ให้เราเตรียมแสวงหาไว้ แล้วเราจะพบเมื่อพระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตาย นั่นแหละ ผู้เชื่อ คือเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เขาแสวงหา เขาได้พบพระเยซูแล้ว รับพระเยซู ก็จบการแสวงหา เพราะพบแล้ว จะไปแสวงหาอีกทำไมเล่า เจอแล้ว ขอบคุณพระเจ้า ดีใจจัง มันควรจะเป็นอย่างนั้น ถูกหรือไม่?

ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคอยู่กับเรา เป็นหนึ่งเดียวกัน พระองค์ไม่เคยทอดทิ้ง และอยู่กับเราตลอดไป นิรันดร์ นี่คือถ้อยคำพระเจ้า ควรจะยืนบนฐานนี้ และหน้าที่ของเรา มีนิดเดียวเอง คือรับรู้ความจริงจากถ้อยคำพระเจ้า  และเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจของเราเสียใหม่ ไม่พึ่งพาความรอบรู้ของตนเอง แต่พึ่งพาในถ้อยคำของพระองค์ ในทางของพระองค์ คือทางของพระเยซูเพียงอย่างเดียว นำข้อมูลใหม่นี้ บนพื้นฐานความจริงของถ้อยคำพระเจ้านี้ เข้าไปในวิญญาณ  ในความคิดของเรา  เปลี่ยนแปลงความคิดของเรา ด้วยการตาดู หูฟัง ปากพูดถึงเรื่องความจริงเหล่านี้ตลอดเวลา คือถ้อยคำพระเจ้าเหล่านี้ตลอดเวลา เท่าที่ทำได้

อะไรที่มันไม่ใช่ มันขัดแย้งกับถ้อยคำพระเจ้าเหล่านี้ อย่าไปฟัง อย่าไปดู อย่าไปพูด อย่าไปคิดคร่ำครวญ อย่าไปแสวงหาให้มันรกสมองเปล่าๆ อะไรที่เป็นถ้อยคำพระเจ้าเหล่านี้ ถึงแม้สถานการณ์ หรือความรู้สึกมันจะแย้ง แต่มันเป็นถ้อยคำพระเจ้า ตาดู หูฟัง ปากพูดไปเรื่อยๆ ให้มันล้างสมองตัวเอง จากความคิดเก่าๆ ซะ

นี่คือหน้าที่ของเรา รับรู้ความจริงนี้ แล้วก็ใส่ลงไปในความคิดของเรา ให้มันมีระบบใหม่เข้าไป แทนที่จะอธิษฐานแสวงหาสิ่งที่จับต้องมองเห็นได้ หรือแสวงหาสิ่งที่เป็นความรู้สึก อารมณ์ สัมผัสได้ แต่เปาโลอธิษฐานให้กับผู้เชื่อ มีความเข้าใจมากขึ้น เกี่ยวกับความรักของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์ เกี่ยวกับการทรงสถิตของพระเจ้า ให้รู้จักมากขึ้น และให้รู้ลึกซึ้งขึ้นว่าพระเยซูคริสต์ทรงสถิตภายในท่าน และท่านอยู่กับพระเยซู ท่านกับพระเยซูเป็นหนึ่งเดียวกัน  เราควรที่จะอยากรู้ตรงนี้มากๆ เกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น

หยุดการแสวงหาอะไรก็ตาม เพิ่มเติมในโลกวัตถุ สิ่งที่จับต้องมองเห็นได้ หยุดการแสวงหา แล้วเราเจอสวรรค์แล้ว เราไม่ต้องไปแสวงหาสวรรค์อีกต่อไปแล้ว แต่จงแสวงหาที่จะรับรู้ความจริง  ในเรื่องโลกวิญญาณ จากถ้อยคำพระเจ้า สิ่งที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงกระทำให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว ในชีวิต ในวิญญาณของเรา ไม่ได้แสวงหา เราควรจะรับรู้สิ่งเหล่านี้  มันเจอแล้ว เราควรจะรับรู้ว่าเรามีแล้ว เราควรจะมีความพึงพอใจ มีความปิติยินดีในสิ่งที่เรามีอยู่แล้วตอนนี้ จะไปหาอะไรกับสิ่งที่เราไม่มี พระองค์ไม่ได้สัญญาสิ่งเหล่านั้น  วัตถุ สิ่งที่จับต้องมองเห็นได้ การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ก็อย่าไปหามัน อย่าไปรับรู้มัน มารับรู้สิ่งที่พระองค์ทรงให้แล้วในโลกฝ่ายวิญญาณ  พระพรนานับประการในฝ่ายวิญญาณที่พระองค์ทรงประทานให้กับเราเรียบร้อยไปแล้วในสวรรค์สถาน พระคัมภีร์พูดไว้อย่างนั้น

พระองค์บอกว่าพระองค์ทำให้สำเร็จแล้ว เราก็ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติม เพราะมันจบแล้ว มันสำเร็จครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว จงเชื่อฟัง วางใจ และพักสงบเถิดพี่น้อง ผู้เชื่อทั้งหลาย ให้พระองค์ทรงนำเราไป

พระเยซูบอกว่า … “พระพร และความสุข จงมีแด่ผู้ที่ไม่เคยเห็นพระองค์ แต่ก็ยังเชื่อ และวางใจในพระองค์”

“พระพรและความสุข จงมีแด่ผู้ที่ไม่เคยสัมผัส ทั้งตา หู จมูก ลิ้น กายและความคิด เรื่องข่าวดีของพระเยซูเลย แต่ก็ยังคงเชื่อและวางใจในถ้อยคำของพระเยซูคริสต์ ในข่าวดีของพระองค์ ที่พระองค์บอกพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ที่พระเจ้าทรงประทานให้กับมนุษย์ทั้งหลาย รวมทั้งฉันด้วย  และฉันเชื่อว่าฉันเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว  ตอนนี้ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าเมื่อฉันเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามาอยู่ในฉัน  พระองค์ทรงเป็นอิมมานูเอลในชีวิตของฉัน ซึ่งหมายความว่าเมื่อฉันเปิดใจต้อนรับพระเยซูแล้ว พระเยซูมาอยู่กับฉัน พระเยซูล้อมรอบตัวฉัน พระเยซูอยู่ในฉัน เป็นวิญญาณเดียวกันกับฉัน พระเยซูอยู่เพื่อฉัน และฉันอยู่เพื่อพระเยซู และฉันอยู่ในพระเยซู และฉันรักพระเยซู และพระเยซูรักฉัน พระเยซูโอบกอดฉัน และฉันโอบกอดพระเยซู ไม่มีวันไปไหนเลย  เป็นอย่างนี้ตลอดชั่วนิรันดร์ ไม่ว่าสถานการณ์ที่จับต้องมองเห็นได้บนโลกใบนี้ หรือความคิดของฉันจะคิดอะไรก็ตามที่ตรงกันข้ามกับตรงนี้  ฉันไม่เชื่อทั้งสิ้น ฉันเชื่อในถ้อยคำพระเจ้าที่พูดไปเมื่อสักครู่นี้ทั้งหมด เอเมน”

พระเจ้าอวยพรครับ

 

*************************

 

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 17 มกราคม 2021 เรื่อง “อย่ากลัวเลย” ตอน 46 โดย วราพร คงล้วน

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  17  มกราคม  2021

 เรื่อง “อย่ากลัวเลย”  ตอน 46

โดย วราพร  คงล้วน

 

วันนี้เรามาต่อในหนังสือลูกา บทที่ 1 พูดถึงพระสัญญาที่พระเจ้ามีอยู่เหนือชีวิตของพวกเรา ที่จะประทานพระผู้ช่วยให้รอดให้กับพวกเรา เราก็เรียนถึงตอนที่ปุโรหิตเศคาริยาห์เข้าไปถวายเครื่องบูชา ในสถานที่อภิสุทธิสถาน แล้วทูตสวรรค์ของพระเจ้า มาพบเศคาริยาห์ แล้วบอกกับเขาว่านางเอลีซาเบธจะตั้งครรภ์  แต่เศคาริยาห์เกิดความสังสัย …

“มันจะเป็นไปได้อย่างไร? นางเอลีซาเบธอายุเยอะมากเลย จะตั้งครรภ์ได้อย่างไร?”

ทูตสวรรค์ก็บอกว่า … “เพราะว่าเจ้าไม่เชื่อ จึงเป็นใบ้”

พอออกจากที่ถวายเครื่องบูชา เศคาริยาห์ก็ไม่สามารถที่จะพูดได้ คนอื่นเขาก็สงสัยว่าต้องมีอะไรแน่ๆ แต่ก็ยังคงอยู่ในความสงสัยอยู่ แล้วทุกคนก็ต่างคนต่างแยกย้ายกันกลับบ้าน วันนี้เรามาต่อในลูกา 1:24

ลูกา 1:24-25 “24 ภายหลังนางเอลีซาเบธภรรยาของท่านก็ตั้งครรภ์ แล้วไปซ่อนตัวอยู่ห้าเดือนพูดว่า 25 “พระเจ้าได้ทรงกระทำเช่นนี้แก่ข้าพเจ้า ในวันที่พระองค์ได้ทอดพระเนตร เพื่อความอดสูของข้าพเจ้าที่มีอยู่ท่ามกลางคนทั้งปวงจะหมดสิ้นไปเสีย”

 

สมัยก่อนคนที่เป็นหมัน เขาถือว่าเป็นคนที่ถูกสาปแช่ง ตอนที่กษัตริย์ดาวิดเอาหีบพันธสัญญาเข้าไปที่เมืองดาวิด แล้วก็เต้นโลดสรรเสริญพระเจ้า มีคาห์ก็ดูหมิ่นดาวิดว่า …

“ทำอย่างนั้นได้อย่างไร? เป็นกษัตริย์ไปแก้ผ้ารำอยู่หน้าถนนได้อย่างไร?”

กษัตริย์ดาวิดบอกว่า … “ทำให้เยอะกว่านี้ ฉันก็จะทำ”

แล้วหลังจากนั้น มีคาห์ก็เป็นหมัน ฉะนั้น การเป็นหมันสมัยก่อน ถือว่าเป็นการถูกสาปแช่ง

หลังจากที่ทูตสวรรค์บอกกับเศคาริยาห์ นางเอลีซาเบธตั้งครรภ์จริงๆ นางก็ไปซ่อนตัว แล้วนางเอลีซาเบธบอกว่าพระเจ้าได้ทำการอัศจรรย์ คือทำอย่างนี้  ทำให้ความอับอายขายหน้าที่เขาเคยมี ได้หมดสิ้นไป เมื่อนางเอลีซาเบธตั้งครรภ์

ลูกา 1:26-27 “26 เมื่อถึงเดือนที่หก พระเจ้าทรงใช้ทูตสวรรค์กาเบรียลนั้น ให้มายังเมืองหนึ่ง ในแคว้นกาลิลี ชื่อนาซาเร็ธ 27 มาถึงหญิงพรหมจารีคนหนึ่ง ที่ได้หมั้นกันไว้กับชายคนหนึ่งที่ชื่อโยเซฟ เป็นคนในเชื้อวงศ์ดาวิด หญิงพรหมจารีนั้นชื่อมารีย์”

 

พระเจ้าได้กำหนด หรือเตรียมการไว้สำหรับมนุษยชาติ ตั้งแต่วันที่มนุษย์ล้มลงในความบาป  พระเจ้าบอกว่าจะประทานพระผู้ช่วยให้รอดให้กับมนุษยชาติ คนอิสราเอล ก็รอคอยพระผู้ช่วยให้รอด พระเจ้าก็เตรียมมาตลอด ตั้งแต่ยุคสมัยอาดัม เอวา มาเรื่อยๆ ที่บอกว่าพระผู้ช่วยให้รอดจะมาเกิด เพื่อชนชาติอิสราเอล ตอนนั้นมีแต่ชนชาติอิสราเอล ยังไม่มาถึงคนต่างชาติอย่างพวกเรา  แล้วคนอิสราเอลก็ตั้งตารอคอยว่า …

“เมื่อไรน๊า พระเจ้าจะส่งพระมาซีฮาห์มาให้”

คนแล้วคนเล่าๆ ก็ถูกส่งมา ผู้เผยพระวจนะต่างๆ ก็ถูกส่งมา คนอิสราเอลก็คาดการณ์ว่าคนนี้น่าจะใช่ คนนั้นน่าจะใช่  แต่ว่าแต่ละคนก็ตายจากไป ตายแล้วตายเลยนะ ก็ยังไม่ใช่ จนถึงวันหนึ่ง ในยุค 2,000 ปีที่แล้ว ตามกำหนดเวลาของพระเจ้า พระเจ้าเตรียมการยาวนานมาก  ให้เหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นตามกำหนดที่พระเจ้าได้ทรงตั้งไว้ แล้วพระเจ้าก็บอกว่าพระเยซูคริสต์จะมาเกิดในวงศ์วานของดาวิด จนถึงเวลานี้ พระเจ้าก็บอกว่าสมควรแก่เวลาแล้ว พระเจ้าก็มาหาหญิงพรหมจารี ซึ่งพระเจ้าบอกไว้แล้ว ตั้งแต่ปฐมกาล บทที่ 3 ว่า …

“พงศ์พันธุ์ของหญิงจะทำให้หัวของเจ้าแหลก”

นี่คือคำพยากรณ์ ที่พระเจ้าบอกกับงูว่า … “เพราะเหตุเจ้ามาล่อลวงให้อาดัม-เอวาหลงไป ฉะนั้น ในอนาคตข้างหน้า พระเจ้าจะประทานพงศ์พันธุ์ของหญิง มาเหยียบหัวของเจ้าให้แหลกไปเลย”

ฉะนั้น สิ่งที่พระเจ้าได้พยากรณ์ไว้ ก็ได้เกิดผลสำเร็จ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว พระเจ้าก็มาหาหญิงพรหมจารี ซึ่งโดยปกติ เด็กที่จะเกิดมา ก็ต้องเกิดจากคุณพ่อ-คุณแม่ เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ เชื้อสายพวกนี้ คือเชื้อบาปทั้งนั้นเลย ก็คือยังไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถคลอดออกมา บริสุทธิ์สะอาดหมดจด คือทุกคนเป็นคนบาปหมดเลย

พระเจ้าจึงเลือกหญิงพรหมจารีคนหนึ่ง เพื่อให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเข้ามาจุติในครรภ์ของเธอ ฉะนั้น ครรภ์ของหญิงพรหมจารีคนนี้ ก็คือบริสุทธิ์ สะอาด ไม่มีเจือปนเชื้อบาปใดๆ เลย ซึ่งพระเจ้าได้เลือกสรรแล้ว ผู้หญิงคนนี้ชื่อนางมารีย์  ซึ่งเราเชื่อมั่นว่าพระเจ้าเตรียมการไว้อย่างดี ในขณะที่พระเจ้าให้ทูตสวรรค์มาหานางมารีย์ เพราะรู้ว่านางมารีย์มีความเชื่อ ที่จะยอมทำตามสิ่งที่พระเจ้าบอก ต้องมีการทำงานร่วมกัน  เราจะเห็นภาพที่พระเจ้าทำมาตลอด พระเจ้าไม่เคยบีบบังคับว่า …

“นางมารีย์ต้องเชื่อนะ ต้องทำตามนี้นะ ฉันเลือกเธอแล้ว เธอปฏิเสธไม่ได้”

ไม่ … ไม่ได้เป็นแบบนั้น พระเจ้ารู้อยู่ตั้งแต่เริ่มต้นแล้วว่าถ้าพระองค์มาบอกกับนางมารีย์ … นางมารีย์จะเต็มอกเต็มใจ ที่จะเป็นเครื่องมือ เครื่องไม้ของพระองค์ เต็มใจที่จะทำให้น้ำพระทัยของพระเจ้าสำเร็จ

ลูกา 1:28 “ทูตสวรรค์เข้าบ้านมาถึงหญิงพรหมจารีนั้น แล้วว่า “เธอผู้ซึ่งพระเจ้าทรงโปรดปรานมาก จงจำเริญเถิด พระเป็นเจ้าทรงสถิตอยู่กับเธอ”

 

มาถึงทูตสวรรค์ก็คุยกับมารีย์เลย บอกว่า …

“เธอเป็นคนที่พระเจ้าโปรดปรานมากเลย พระเจ้าเลือกไว้ เฉพาะเจาะจงที่จะให้ทำงานนี้  มันเป็นงานใหญ่มากเลย ที่จะให้พระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอด  มากำเนิดในครรภ์ของเธอ”

บอกกับมารีย์อีกว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่กับเธอ สมัยก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิด เป็นมนุษย์ มาสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  และเป็นขึ้นมาจากความตาย พระเจ้าไม่ได้อยู่ในมนุษย์ตลอดเวลา ก็คือเป็นจังหวะ ที่พระเจ้าจะใช้งานใคร? พระองค์ก็จะสถิตอยู่กับคนนั้น เหมือนตอนพระคัมภีร์เดิม ไม่ว่าจะเป็นโยชูวา โมเสส อาโรน ดาวิด พระเจ้าจะสถิตอยู่กับคนๆ นั้น เมื่อพระองค์ต้องการใช้งานเขา  ฉะนั้น ณ เวลานี้ พระเจ้าก็มาสถิตอยู่กับนางมารีย์

ลูกา 1:29 “ฝ่ายมารีย์ก็ตกใจเพราะคำของทูตนั้น และรำพึงว่า คำทักทายนั้นจะหมายว่าอะไร”

 

อยู่ดีๆ มีทูตสวรรค์มาคุยกับเรา …

“เธอเป็นคนที่พระเจ้าโปรดปราน”

ต่อให้เชื่อพระเจ้าขนาดไหน ก็มีความตกใจ นางมารีย์ก็เหมือนกัน เป็นมนุษย์ทั่วไป พอเจอคำทักทายแบบนี้ ตกใจเหมือนกัน แล้วก็คิดในใจ …

“มันคืออะไร? ทูตสวรรค์หมายความว่าอะไร? อยู่ดีๆ มาพูดกับฉันแบบนี้ทำไม?” อะไรอย่างนี้

ลูกา 1:30-31 “30 แล้วทูตสวรรค์จึงกล่าวแก่เธอว่า “มารีย์เอ๋ย อย่ากลัวเลย เพราะเธอเป็นที่พระเจ้าทรงโปรดปรานแล้ว 31 ดูเถิด เธอจะตั้งครรภ์และคลอดบุตรชาย จงตั้งชื่อบุตรนั้นว่าเยซู”

 

ทูตสวรรค์บอกเสร็จสรรพเลย นางมารีย์ไม่ต้องมาคิดตั้งชื่อ ถ้าลูกออกมาจะชื่ออะไร? ทูตสวรรค์บอกกับมารีย์ว่า …

“ไม่ต้องกลัวนะ นี่เป็นน้ำพระทัยของพระเจ้า เป็นสิ่งที่พระเจ้าเลือกสรรแล้ว และเห็นว่าเธอเป็นคนที่เหมาะสม สมควรมาก ที่จะให้พระเยซูคริสต์มาเกิดในครรภ์ของเธอ เมื่อเธอตั้งครรภ์ และคลอดบุตร บุตรคนนี้ให้ตั้งชื่อเลยว่าเยซู”

คำว่า “เยซู” แปลว่า “พระผู้ช่วยให้รอด”  และทุกวันนี้ที่เราเรียกว่า “พระเยซูคริสต์”  คำว่า “คริสต์” คือ “ผู้ที่ถูกเจิมตั้งไว้”

ในสมัยอดีตมีคนชื่อเยซูเยอะแยะมากมาย ก็เหมือนกับเราตั้งชื่อธรรมดา อย่างโยชูวา ก็แปลว่าผู้ช่วยให้รอด  อย่างเราตั้งชื่อสมชาย, สมหญิง อะไรต่างๆ มีชื่อเหมือนกัน บางคนทั้งชื่อและนามสกุลเหมือนกันด้วย แต่เป็นคนละคน ฉะนั้น เราอ่านพระคัมภีร์ใหม่ เราจะเห็นว่ามีคนชื่อเยซูเหมือนกันเยอะ แต่ถ้าเป็นพระเยซู ผู้ที่พระเจ้าเจิมตั้งไว้ เขาจะเติมคำว่า “คริสต์” พระเยซูคริสต์

ลูกา 1:32 “บุตรนั้นจะเป็นใหญ่ และจะทรงเรียกว่าเป็นบุตรของพระเจ้าสูงสุด พระเจ้าจะทรงประทานพระที่นั่งของดาวิดบรรพบุรุษของท่านให้แก่ท่าน”

 

เป็นคำพยากรณ์ที่พระเจ้าได้บอกให้ทูตสวรรค์บอกกับมารีย์ว่าคนนี้จะเป็นใหญ่ ในอนาคตข้างหน้า ซึ่งเราก็รับรู้ในเรื่องราวเหล่านี้มามากพอสมควรว่าพระเยซูคริสต์ ถูกพระเจ้าส่งมา เพื่อที่จะทำการงานใหญ่ให้กับมนุษยชาติ  คือมาสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  และเป็นขึ้นมาจากความตาย  เพื่อชดใช้ความบาปของมนุษยชาติ เพื่อทำให้มนุษย์กับพระเจ้าสามารถคืนดีกันได้

นี่คืองานที่พระเยซูถูกมอบหมายมา พระคัมภีร์บอกว่า … “บุตรนั้นจะเป็นใหญ่” … “ใหญ่” ในที่นี้ที่พระเจ้าพูดถึง คือในโลกฝ่ายวิญญาณ พระเยซูถูกยกขึ้นสูงสุดเลย นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า และฤทธานุภาพทั้งสิ้น พระคัมภีร์บอก ทั้งบนสวรรค์ บนแผ่นดินโลก ใต้พื้นแผ่นดินโลก พระเจ้าได้ยกให้กับพระเยซูแล้ว หลังจากที่พระเยซูคริสต์ได้ประกอบภารกิจที่พระเจ้าได้มอบหมาย สำเร็จ

ตอนที่พระเยซูเป็นขึ้นมาจากความตาย อยู่กับสาวก 40 วัน พอวันที่พระเยซูถูกรับขึ้นไป พระเยซูก็บอกกับสาวกของพระองค์ว่าฤทธานุภาพทั้งหมด พระเจ้ามอบให้กับพระเยซูคริสต์แล้ว เหตุฉะนั้น ให้ออกไปประกาศข่าวประเสริฐ คือประกาศข่าวดี เรื่องของพระเยซูคริสต์ ที่เราประกาศจนถึงทุกวันนี้ 2,000 ปีผ่านไป เรายังประกาศเรื่องเดิม … เรื่องเดิมที่เป็นฤทธานุภาพ เป็นเรื่องเดิมที่เป็นฤทธิ์เดชของพระเจ้า ที่ใครได้ยินได้ฟัง เรื่องนี้ถูกดิ่งลงไปในวิญญาณของคนๆ นั้น  แล้วเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด คนนั้น ก็ได้รับความรอด ได้รับการเปลี่ยนแปลง มีวิญญาณใหม่ ได้รับการย้ายขั้ว จากความมืดมาเป็นความสว่าง จากมือของมาร เข้ามาอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า

นี่คือสิ่งที่พระเจ้าพระบิดาทรงกำหนดไว้ สำหรับมนุษยชาติ แล้วพระเยซูคริสต์ก็ถูกส่งมา เพื่อการงานนี้ โดยเฉพาะ ไม่ต้องมาทำอะไรอย่างอื่น นอกจากมาตายแทนเรา บนไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาจากความตายเท่านั้น

ฉะนั้น สิ่งที่ทูตสวรรค์พูดกับนางมารีย์ ก็คือในอนาคตข้างหน้า พระเยซูคริสต์จะเป็นใหญ่ ใหญ่มาก  ใหญ่ในลักษณะในโลกวิญญาณ  ไม่ได้ใหญ่ในโลกใบนี้  ถ้าพูดถึงความใหญ่ในโลกใบนี้ ก็คงไม่ใช่  เพราะว่าคนอิสราเอล ก็คาดหวังว่าพระเยซูคริสต์จะเป็นใหญ่ในโลกใบนี้  มาช่วยสู้รบปรบมือ ทำให้เขาหลุดพ้นจากการเป็นทาสของโรมมัน แต่มันไม่ใช่ พระเจ้ามีแผนการที่เหนือกว่านั้น คือการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนของพระเยซูคริสต์ ซึ่งไม่มีใครคาดได้เลยว่า …

“พระเยซูตาย แล้วจะช่วยเราได้อย่างไร? เมื่อพระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย แล้วจะช่วยเราได้อย่างไร?”

คือไม่มีใครสามารถรับรู้ในเรื่องราวนี้ ซึ่งพระเจ้าได้ทรงปิดซ่อนไว้ ในพระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าทรงปิดซ่อนแผนการนี้ไว้ สำหรับผีมารซาตาน แล้วพระคัมภีร์ยังเขียนอีกว่าถ้ามารรู้ มารก็คงไม่จับพระเยซูไปตรึงบนไม้กางเขน เพราะว่าการตายของพระเยซูบนไม้กางเขน  เท่ากับการเหยียบหัวมารให้แหลกเลย แล้วแหลกละเอียด แบบสมบูรณ์แบบเลย  คือตอนที่พระเยซูคริสต์ได้เป็นขึ้นมาจากความตาย ในวันที่ 3 ก่อนที่พระเยซูจะสิ้นพระชนม์ พระเยซูตรัสคำว่า …

“สำเร็จแล้ว”

ก็คือทุกอย่างที่พระเยซูคริสต์ถูกมอบหมายให้มาทำบนโลกใบนี้ สำเร็จครบถ้วน สมบูรณ์ แล้วก็ทำเที่ยวเดียว พระเยซูไม่ต้องมาเกิดอีก ตายอีก  เป็นอีก คือทำครั้งเดียวจบเลย สำเร็จเรียบร้อย เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว แล้วคนที่เชื่อวางใจในพระเจ้า ก็ฉลองเรื่องนี้แหละ เมื่อเดือนที่แล้วเราฉลองคริสตมาส  … คริสตมาส เรามาฉลองวันที่พระเยซูมาประสูติบนโลกใบนี้  ทำไมต้องเฉลิมฉลอง เพราะว่าเป็นพระสัญญา ที่พระเจ้าบอกว่าพระองค์จะประทานพระผู้ช่วยให้รอด  มาให้กับพวกเรา ถ้าพระเยซูไม่มาเกิด มนุษยชาติก็ไม่สามารถได้รับความรอดได้ ถ้าพระเยซูเกิดเฉยๆ  โดยที่ไม่มาสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เพื่อเรา ก็ไม่สามารถช่วยเราได้อีก หรือพระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน แล้วไม่เป็นขึ้นมาจากความตาย ก็ช่วยเราไม่ได้

ฉะนั้น ข่าวประเสริฐของพระเจ้า คือต้องครบถ้วนสมบูรณ์  และข่าวประเสริฐของพระเจ้าจริงๆ ที่เราประกาศมา 2,000 ปีแล้ว มีแค่ 5 ประโยคเท่านั้นเอง ต่อให้เราจะวนเวียนเรียนประวัติศาสตร์อะไร? พี่น้องจำแค่ 5 ประโยคเท่านั้น คือ …

–  พระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า

–  มาเกิดเป็นมนุษย์

–  มาตายแทนเราบนไม้กางเขน

–  เป็นขึ้นมาจากความตาย  ในวันที่ 3

–  ช่วยพวกเราทุกคนให้รอดพ้นจากมือมาร    เข้ามาสู่พระหัตถ์ของพระเจ้า    ช่วยเราจากนรก เข้าไปสู่สวรรค์

ข่าวประเสริฐมีแค่นี้เอง  ใครก็ตามที่เชื่อตามนี้ เขาก็ได้รับความรอด เหมือนกับทุกวันนี้ ที่พวกเราเชื่อตามที่ถ้อยคำของพระเจ้าบอก ยอมเปิดใจต้อนรับข่าวดีนี้ เข้ามาในใจของเรา แต่ละคนก็ต้อนรับ ในเวลาไม่เท่ากัน

บางคนต้อนรับพระเยซูคริสต์ ตั้งแต่เด็ก เขาก็เชื่อมายาวนาน  บางคนต้อนรับพระเยซูคริสต์ อายุเยอะแล้ว  แต่ว่าความรอดเท่ากัน  คือถ้าเราเชื่อพระเจ้าตั้งแต่อายุ 5 ขวบ  เราก็ได้รับความรอดเหมือนกัน  รอดพ้นจากความบาป รอดพ้นจากการต้องเข้าไปใช้หนี้ในนรกนิรันดร์กาล สามารถคืนดีกับพระเจ้า สามารถไปอยู่บนสวรรค์กับพระเจ้านิรันดร์กาล กับคนที่มาเชื่อพระเจ้าตอนอายุมากแล้ว 60, 70, 80 แล้ว ก็ได้เท่ากัน กับคนที่อายุ 5 ขวบมาเชื่อ แล้วคนที่อายุ 5 ขวบมาเชื่อ ก็อาจจะใช้ชีวิตบนโลกใบนี้ ปรนนิบัติรับใช้พระเจ้าดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ สัก 50 ปี 60 ปี 70 ปี แต่ผลที่เขาได้รับกับคนที่เขามาเชื่อตอน 70, 80 เชื่อปุ๊บ จากไปอยู่กับพระเจ้าเลย มีผลเท่ากัน คือได้รับความรอดเท่ากัน  ไม่มีใครได้เยอะกว่าใคร ไม่มีใครได้รางวัลมากกว่าใคร?

นี่คือสิ่งที่ถ้อยคำของพระเจ้าบอกไว้ ความรอด เป็นของขวัญมาจากพระเจ้า  ที่พระองค์ให้เราฟรีๆ  โดยที่ไม่ต้องเสียตังค์ หรือควักกระเป๋าตังค์มา ซื้อความรอดได้ ไม่มี แต่ว่ามีอย่างเดียวเท่านั้น คือเปิดใจต้อนรับความรอดนี้เข้ามา เปิดใจต้อนรับสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทำเพื่อเรา เรียบร้อยไปแล้ว เข้ามาในชีวิตของเรา แล้วพระเจ้าก็ทรงเปลี่ยนข้างในวิญญาณของเรา  ให้เรามีความสามารถเริ่มต้นเรียนรู้เรื่องราวของพระเจ้า

เหมือนสมัยก่อน ตอนที่เราเชื่อพระเจ้าใหม่ๆ เราก็ไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไร?  พี่น้องทุกคนต้องมีประสบการณ์ตรงนี้แน่ๆ แค่รู้ว่ามันถึงเวลาแล้วล่ะ มันอยู่ไม่ได้แล้ว เราต้องเชื่อพระเจ้าให้ได้เลย วันนี้ไม่เชื่อพระเจ้า มันไม่ได้แล้ว  เราก็เปิดใจบอกกับพระเจ้าว่า …

“ต้องการพระองค์นะ อยากให้พระองค์เป็นพระเจ้าส่วนตัวของลูก”

แล้วต้อนรับพระองค์เข้ามา แล้วจากนั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ค่อยๆ สอนเราผ่านทางถ้อยคำของพระเจ้า  ผ่านทางการมาโบสถ์  ผ่านทางการที่เราฟังเทศนา  ผ่านทางการนมัสการพระเจ้า เพราะการนมัสการพระเจ้า ทุกบทเพลง เขียนมาจากถ้อยคำของพระเจ้าทั้งนั้น  ผ่านการเป็นพยานของผู้คนรอบข้าง  ที่เขามีประสบการณ์ในการช่วยเหลือของพระเจ้า และผ่านทางตัวเราเองด้วย ที่เรามีประสบการณ์กับพระเจ้าในชีวิตประจำวัน  แล้วความเชื่อมันค่อยๆ ผุดขึ้น ค่อยๆ เพิ่มพูนขึ้น ทำให้เรามีความมั่นใจในพระเจ้ามากขึ้น

ก่อนที่เรามาเชื่อพระเจ้า หลายๆ ชีวิต อาจจะมาเพราะสาเหตุเยอะแยะมากมาย  ดิฉันเชื่อพระเจ้า เดือนหน้าครบ 35 ปีแล้ว  วันที่ 16 เดือนกุมภาพันธ์ ชีวิตของคนอื่นอาจจะโลดโผน แต่ชีวิตการเชื่อพระเจ้าของดิฉันไม่โลดโผน  ดิฉันไม่เคยเห็นหมายสำคัญ ไม่เคยมีการอัศจรรย์ในชีวิตของดิฉัน ไม่เคยหวือหวา วิลิศมาหราที่พระเจ้าจะสำแดงให้ดิฉันเห็นว่าพระเจ้าอยู่ในดิฉันจริงๆ ไม่มี แต่สิ่งที่ดิฉันมี พระเจ้าเมตตาให้จากข้างใน คือดิฉันเชื่อ คือเชื่อแบบไม่สงสัย อันนี้เชื่อว่าไม่ใช่ความดีงามของดิฉันหรือของใคร? แต่ว่าเป็นเพราะพระคุณของพระเจ้า  ที่ใส่เข้ามาในวิญญาณ ทำให้เรามีความสามารถเชื่อ  เชื่อแบบพระเจ้าว่าอย่างไร? ว่าอย่างนั้น  แล้วก็ไม่มีการสงสัยในพระองค์เลย อาจจะไม่ได้เป็นคนที่ชอบตั้งคำถามกับพระเจ้าว่า …

“ทำไมอย่างโน้น? ทำไมอย่างนี้?”

พระเจ้าว่าอย่างไร? ว่าตามนั้น เป็นอย่างนั้นจริงๆ  แล้วตลอดชีวิตที่เดินกับพระเจ้า ก็ทำส่วนที่เราทำได้  เท่าที่กำลังพระเจ้าให้เราสามารถทำได้ ผ่านมา 35 ปี แต่ประสบการณ์ที่ดิฉันเห็น คือชีวิตตัวเองเปลี่ยน  ชีวิตของครอบครัวเปลี่ยน  พระเจ้าทรงดูแลตามพระสัญญาของพระองค์ทรงดูแลลูกๆ หลานๆ ของดิฉันมาตลอด

พี่น้องอาจจะคิดว่าคนที่มายืนเทศนา หรือคนที่มาสอนพระคัมภีร์ เขาไม่ต้องการฟังใครแล้ว ไม่ต้องการการเสริมกำลังจากพระเจ้า ผิดเลยนะ การเสริมกำลังจากพระเจ้า เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด  สำหรับผู้รับใช้ของพระองค์ เราไม่สามารถพึ่งความสามารถ หรือความเคยชิน …

“เราเคยชินนะ พอถึงเวลา ฉันก็มาสอน ไม่เห็นมีอะไรเลย สอนเรื่องเดิม”

ไม่ใช่ความเคยชิน อย่างที่พระเจ้าบอก  … “ความรักมั่นคงของพระเจ้า ใหม่ทุกเวลาเช้า” …  ถ้อยคำเดิมที่ได้พูด มันก็มีประสบการณ์ใหม่ที่เกิดขึ้นกับชีวิตของตัวคนพูด แล้วก็ประสบการณ์ใหม่ๆ กับผู้ฟังด้วย ดิฉันเชื่อว่าถ้อยคำของพระเจ้า คือฤทธิ์เดช ที่ไม่ธรรมดา ที่เราพูดอาจจะเหมือนธรรมดา  แต่ยังคงเชื่อว่าพระเจ้าจะทำงานผ่านถ้อยคำนี้ ไปถึงแต่ละคนในจังหวะต่างกัน มีผู้ที่ฟังหลากหลายมาก ในประสบการณ์ที่หลากหลาย หรือในการเจอปัญหาที่หลากหลาย ที่ไม่เหมือนกัน แต่เชื่อว่าพระเจ้าสามารถคุยกับทุกคน  ตามความต้องการของเขา  นี่คือความเชื่อส่วนตัวของดิฉันนะ คุยกับทุกคน ตามความต้องการของเขา  เมื่อเขาได้ยินได้ฟังถ้อยคำของพระเจ้า  และฤทธิ์เดชนี้แหละ จะเข้าไปปรับปรุง เปลี่ยนแปลง แก้ไข  พัฒนา เพิ่มพูน ความเชื่อในการเดินกับพระเจ้ามากขึ้น ประสบการณ์ทุกวันๆ ที่เรามองย้อนกลับไป เราผ่านมาได้อย่างไร? พระเจ้าช่วยเราถึงขนาดนี้  โดยที่หลายๆ ครั้ง บางเรื่อง เราแทบจะไม่ได้ขอด้วยซ้ำไป บางเรื่องเราก็ขอนะ ขอแล้วขออีก ก็ไม่เห็นมันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของเรา

เชื่อว่าพี่น้องทุกคนจะมีประสบการณ์  แล้วประสบการณ์ตรงนี้แหละ ทำให้เราเห็นพระคุณของพระเจ้าเพิ่มขึ้นทุกวันๆ  พระคุณที่เกินความรู้ ความเข้าใจของเรา พระคุณที่พระองค์ทรงตรัสกับเราว่าพระองค์ทรงเป็นองค์อิมมานูเอล  ทรงสถิตอยู่ในใจ พระองค์บอกว่าพระองค์เป็นพ่อของเรา เป็นสามีของเรา  พระองค์จะดูแลทุกย่างก้าวในชีวิตของเรา  และทุกประสบการณ์ที่เราผ่านมา โลดโผนบ้าง ไม่โลดโผนบ้าง ของแต่ละคนที่ได้เดินกับพระเจ้า ดิฉันก็เชื่อว่าพระองค์มีคำตอบให้กับทุกๆ คน แล้วให้เราสามารถนิ่ง ในขณะที่เราเจอพายุโหมกระหน่ำ  ซึ่งในขณะนี้ จากประสบการณ์ที่เรามีกับพระเจ้า ทำให้เราสามารถนิ่ง ไม่ได้หมายความว่าคริสเตียนไม่มีความรู้สึก เฉยๆ ไปทุกเรื่อง แต่มันเป็นประสบการณ์ที่เรารู้สึกข้างในเรามีความมั่นใจในพระเจ้าที่เราเชื่อ  มั่นใจในการนำของพระองค์ ที่พระองค์บอกจะจูงมือเราเดิน  พระองค์ไม่เคยทอดทิ้งเรา แล้วพระองค์บอกไม่ว่าเราจะผ่านหุบเขาเงาแห่งความตาย พระองค์ไม่ปล่อยมือเรา พระองค์จะพาเราผ่านไปทุกวัน ตรงนี้แหละ เป็นสิ่งที่ทำให้เราสามารถมั่นใจในพระเจ้า  เพิ่มพูนมากขึ้นทุกวัน

จากข่าวสารทุกวันนี้ ถ้าพี่น้องเสพเยอะๆ วิตกจริตนะ บางทีคิดอะไรไม่รู้ มันไปไกล  ทำให้เรากลัวไปทุกๆ ด้านได้ ไม่ได้หมายความว่าเราจะทิ้ง ไม่เสพข่าวเลย  สามารถเสพได้ เพื่อให้เรารับรู้ว่า ควรจะระมัดระวังตัวเองอย่างไร? แค่ไหนที่เราจะสามารถทำได้ แต่ไม่ได้เสพ เพราะทำให้เรากลัวไปหมดเลย ซ้ายขวาหน้าหลัง ทำอะไรไม่ได้ มันไม่ใช่ เพราะว่าพระเจ้าที่ทรงสถิตอยู่ในเรา พระองค์ทรงดูแลย่างเท้า ชีวิตของเรา อย่างที่บอกพระองค์ทรงดูแล ในขณะเดียวกัน เราต้องทำส่วนของเราด้วย  ไม่ใช่ว่าเราเป็นคริสเตียน แล้วเรานึกอยากจะทำอะไร เราก็ทำ เขามีมาตรการ คุมความเข้ม …

“เราไม่คุม เพราะฉันมีความเชื่อในพระเจ้า พระเจ้าจะทรงดูแล ปกป้อง คุ้มครอง ให้ฉันปลอดภัย”

ในหนังสือมาระโกบอกว่า …

“มีคนเชื่อที่ไหน  หมายสำคัญจะเกิดขึ้นที่นั่น  เขาจะวางมือคนเจ็บคนป่วย  คนเหล่านั้นจะหายโรค เขาจะกินยาพิษอย่างใด ก็จะไม่เป็นอันตราย”

หลายคนก็เอาสิ  ถ้อยคำพระเจ้าบอกอย่างนี้ … “เราลองไปกินยาพิษ ไม่ตายหรอก เพราะพระเจ้าบอกแล้วว่าอย่างไรก็ไม่อันตราย ตายนะพี่น้อง ถ้าเราท้าทายพระเจ้า

ถ้อยคำเหล่านี้ พระเจ้าพูดไว้ เพื่อให้รับรู้ว่าพระองค์ยิ่งใหญ่มากๆ หลายครั้งเราอาจจะเจอพิษอะไรเยอะแยะมากมาย เราออกไปข้างนอก เราไม่สามารถรับรู้ได้ แต่พระเจ้าจะป้องกันเรา เพราะเราไม่ได้จงใจ แต่ถ้าเราจงใจที่จะทำ รับผลแน่ อย่าคิดว่าเราไม่รับผล จงใจที่จะเข้าไปสู่คนเยอะๆ โดยที่หน้ากากอนามัยฉันก็ไม่ใส่ เดินเข้าไปเลย โอกาสติดโควิดได้เหมือนกันนะ  อันนี้ พี่น้องก็ต้องรับรู้ตรงนี้

ลูกา 1:33 “และท่านจะครอบครองพงศ์พันธุ์ของยาโคบสืบไปเป็นนิตย์ และแผ่นดินของท่านจะไม่รู้จักสิ้นสุดเลย”

 

“แผ่นดินของท่านจะไม่รู้จักสิ้นสุดเลย” เล็งถึงในโลกวิญญาณ คือนิรันดร์กาล  แล้วที่เราเรียนรู้กันมาตลอด ก็คือ ณ เวลานี้ ผู้ที่เชื่อวางใจในพระเจ้า วิญญาณของเรา ได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่จากวิญญาณเดิม  คือวิญญาณบาป มาเป็นวิญญาณชอบธรรมของพระเจ้า

ดังนั้น วิญญาณของพวกเรา ณ เวลานี้ คืออยู่นิรันดร์ในสวรรค์สถาน  เมื่อก่อนอยู่นิรันดร์เหมือนกัน แต่นิรันดร์ในนรก เพราะว่าเราเป็นคนบาป แต่ ณ เวลานี้ เราย้ายขั้วมาแล้ว จากความมืดมาสู่ความสว่าง  จากความบาปมาสู่ความชอบธรรมของพระเจ้า เพราะเราต้อนรับสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำเพื่อเราบนไม้กางเขน  คือรับเอาของขวัญเข้ามา  ฉะนั้น วิญญาณเราก็จะอยู่นิรันดร์ไม่สิ้นสุด ตรงนี้ก็คือในฝั่งที่เป็นความสว่าง  ได้ไปอยู่ที่สวรรค์นิรันดร์กาล อันนี้แหละ เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด สำหรับมนุษยชาติ ที่จำเป็นจะต้องรู้ว่าพระเจ้าทำให้เรียบร้อยไปแล้ว  แค่เปิดใจต้อนรับเอาสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทำเรียบร้อยไปแล้ว เมื่อ 2,000 กว่าปีที่แล้ว  เข้ามาเป็นของส่วนตัวของเรา

เราขอบคุณพระเจ้าจริงๆ ที่หลายๆ คนในคริสตจักร หรือหลายๆ คนทั่วโลก ที่อยู่ที่คริสตจักรไหนก็ตาม ที่เขาเปิดใจ รับเอาของขวัญนี้ แล้วคนเหล่านี้จะมีหลักประกัน มีความมั่นใจ แน่นอนว่าขณะที่เราอยู่บนโลกนี้  เราสามารถพูดเหมือนอาจารย์เปาโลได้ว่าอยู่เพื่อรับใช้  ตายเมื่อไร ก็ได้กำไร … กำไรตรงที่ว่าเราไม่ต้องมาเผชิญกับสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้  ขณะที่ตอนนี้ เรามีชีวิตอยู่ เราก็ยังไม่รู้ว่าเราต้องเผชิญอะไรอีกเยอะแยะมากมาย  โควิดจะจบเมื่อไร? อีกกี่ปีข้างหน้า  หรือเศรษฐกิจจะกลับมาเหมือนเดิมไหม? เราก็ต้องเผชิญกับมัน ไปด้วยกัน แต่ว่าเมื่อไรก็ตามที่พระเจ้าเห็นว่าสมควรแล้ว เราทำงานเยอะแล้ว กลับบ้านได้แล้ว มีความสุขนะ  เราก็ทิ้งร่างกายนี้ ลมหายใจออกจากร่าง เราก็ยังคงอยู่ที่เดิม เราต้องย้ำตรงนี้บ่อยๆ เพราะว่า ณ เวลานี้ วิญญาณของเราผู้เชื่อ อยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า ร่วมกับพระเยซูคริสต์ในโลกวิญญาณ มิติมันอาจจะเปลี่ยนนิดหนึ่ง

พี่น้องอาจจะรู้สึกทำไมพูดเรื่องนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก ย้ำขนาดนี้เรายังจำไม่ได้ ต้องย้ำเข้าไปบ่อยๆ  เพื่อเราจะได้รับรู้ความจริงในเรื่องนี้ว่าเมื่อวิญญาณเราออกจากร่างปุ๊บ เราก็เปลี่ยนมิติ อยู่ที่เดิม แค่ไม่ต้องใช้ร่างกายนี้แล้ว ร่างกายนี้ก็ปล่อยให้เปื่อยเน่าไป จบแล้ว เราไปอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า สมบูรณ์ครบถ้วนเลย ถ้าถึงวันนั้น

นี่คือสิ่งที่คริสเตียนทุกคน ผู้เชื่อทุกคนคาดหวัง รอคอย เชื่อว่าทุกคนรอคอยตรงนี้อยู่นั่นแหละ ดังนั้น เราสามารถพูดเหมือนอาจารย์เปาโลว่า …

“อยู่เพื่อรับใช้ ตายก็ได้กำไร”

ลูกา 1:34 “ฝ่ายมารีย์ทูลทูตสวรรค์นั้นว่า “เหตุการณ์นั้นจะเป็นไปอย่างไรได้ เพราะข้าพเจ้ายังหาได้ร่วมกับชายไม่”

 

อันนี้เป็นความคิดของมนุษย์ทั่วไป จนทุกวันนี้มนุษย์คิดเหมือนกันว่าถ้าผู้หญิงไม่มีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายอย่างไรก็ไม่ตั้งท้อง

มารีย์ก็เหมือนกัน ณ เวลานั้น ก็ยังสงสัย เอ๊ะ! ทูตสวรรค์บอกอย่างนี้ มันจะเป็นไปได้อย่างไร ก็ยังเป็นสาวพรหมจารีอยู่เลย ยังไม่ได้ไปมีเพศสัมพันธ์กับใครเลย แล้วจะเกิดขึ้นได้อย่างไร?

ลูกา 1:35 “ทูตสวรรค์จึงตอบนางว่า “พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเสด็จลงมาบนเธอ และฤทธิ์เดชของผู้สูงสุดจะปกเธอ เหตุฉะนั้นบุตรที่จะเกิดมานั้นจะได้เรียกว่าวิสุทธิ์ และเรียกว่าพระบุตรของพระเจ้า”

 

“พระบุตรของพระเจ้า” พระเยซูถูกเรียกว่า “บุตรของมนุษย์” ในขณะเดียวกันเรียกว่า “บุตรของพระเจ้า” เพราะพระเยซูคริสต์ไม่มีเชื้อบาปใดๆ  เกิดจากเดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เข้ามาจุติในครรภ์ของหญิงพรหมจารี ที่ชื่อมารีย์

ลูกา 1:36-37 “36 ดูซิ ถึงนางเอลีซาเบธญาติของเธอชราแล้ว ก็ยังตั้งครรภ์มีบุตรเป็นชายด้วย บัดนี้นางนั้นที่คนเขาถือว่าเป็นหญิงหมัน ก็มีครรภ์ได้หกเดือนแล้ว 37 เพราะว่าไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดซึ่งพระเจ้าทรงกระทำไม่ได้”

 

บริบทตรงนี้ พระเจ้าเตรียมไว้แล้ว ยังไง พระองค์ก็ทำได้เสมอ

ลูกา 1:38 “ส่วนมารีย์จึงทูลว่า “ดูเถิด ข้าพเจ้าเป็นทาสีของพระเป็นเจ้า ข้าพเจ้าพร้อมที่จะเป็นไปตามคำของท่าน” แล้วทูตสวรรค์นั้นจึงจากเธอไป”

 

เป็นอะไรบางอย่างที่มารีย์ได้สำแดงความเชื่อของเขา คือแค่สงสัยว่าเป็นไปได้อย่างไร? ยังไม่มีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายเลย จะท้องได้อย่างไร?  แล้วทูตสวรรค์อธิบายแค่นั้น

ถ้าไม่ใช่เพราะพระคุณพระเจ้าที่ใส่ความเข้าใจ  เข้ามาในความคิดของมารีย์ แค่นี้เขาก็เอ๋อ! เลย  มันยากมาก สำหรับมนุษย์ทั่วไป อาจจะมีคำถามต่ออีกมากมาย มันเป็นไปได้อย่างไร? แต่มารีย์ไม่สงสัยนะ พอทูตสวรรค์อธิบายให้ฟังปุ๊บว่าฤทธิ์เดชอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเข้ามาจุติในครรภ์ของเธอ แล้วเธอจะตั้งครรภ์ แล้วคลอดบุตร แล้วบุตรคนนี้ เป็นบุตรที่บริสุทธิ์ ไม่มีเชื้อบาปใดๆ เลย แล้วบุตรคนนี้แหละ  จะเป็นผู้ที่จะมาช่วยมนุษยชาติให้รอดจากความบาปผิดทั้งปวง  ฟังแค่นี้ มารีย์ตอบสนองทันที

เหมือนทุกวันนี้ ตอนที่เราเชื่อพระเจ้า เราฟังแค่นี้ พระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ มาตายแทนเราบนไม้กางเขน เป็นขึ้นมาจากความตาย ช่วยลบล้างบาปของเรา ทำให้เราคืนดีกับพระเจ้าได้ ฟังแค่นี้ เราตอบสนอง  ด้วยการเชื่อ และต้อนรับสิ่งนี้เข้ามาในชีวิตของเรา  ได้รับการเปลี่ยนแปลง ลักษณะเดียวกันเลย และเชื่อว่าตอนที่พระเจ้า ให้เราเปิดใจ ต้อนรับ ยินยอม  เพราะว่าพระเจ้าไม่บังคับเรา บางคนได้ยินเรื่องของพระเจ้ามานานมาก  เป็น 10 ปี 20 ปี ยังไม่ยินยอม คือไม่เปิดใจ ไม่ต้อนรับ ไม่เอา แต่ตอนที่ยินยอม คือมันสุกงอมแล้ว  ไม่ไหวแล้ว พอเราเปิดใจต้อนรับพระเจ้าเข้ามาปุ๊บ การเปลี่ยนแปลงมันเกิดขึ้น อย่างที่พระเจ้าบอก มันเป็นขบวนการ ที่พระองค์เป็นผู้กระทำ ไม่ใช่เรา

เหมือนกัน นางมารีย์แค่ถามเฉยๆ พอทูตสวรรค์ตอบปุ๊บ  นางมารีย์ตอบสนองเลย  เป็นทาสีของพระเป็นเจ้า คือเป็นทาสของพระองค์ … พระองค์เจ้าข้า พระองค์ว่าอย่างไร? ว่าตามนั้น พร้อมที่จะให้เป็นไปตามคำของท่าน คือตามคำของทูตสวรรค์ หรืออีกนัยหนึ่ง คือตามคำที่พระเจ้าได้ตรัสไว้นั่นเอง ก็คือการตอบสนองถ้อยคำของพระเจ้า ยอมรับสิ่งที่พระเจ้าเตรียมไว้  สำหรับชีวิตของเธอ  สำหรับการตอบสนองตรงนี้ มันก็เสี่ยงกับชีวิตของนางมารีย์มากๆ

สมัยก่อน ถ้าผู้หญิงคนไหนตั้งท้อง โดยยังไม่แต่งงาน เขาถือว่าเป็นหญิงแพศยา เขาก็จะจับหญิงนั้นมา แล้วเอาหินขว้างให้ตายเลย ตอนที่พระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์มาประกอบพระราชกิจของพระองค์ มาประกาศแผ่นดินของพระเจ้า พวกฟาริสี พวกธรรมาจารย์ก็พยายามหาเรื่องให้พระเยซูมาแก้ต่างทุกสิ่งอย่าง เพื่อที่จะจับผิดพระเยซู มีอยู่ครั้งหนึ่ง ก็ไปจับผู้หญิงคนหนึ่งที่บอกว่าจับคนนี้ได้ ในระหว่างที่เขากำลังล่วงประเวณี แปลกตรงที่ว่าจับได้ระหว่างที่กำลังล่วงประเวณี ก็คือต้องมีผู้ชายกับผู้หญิงใช่ไหม? มาด้วยกัน แต่ว่าเอาผู้หญิงมาคนเดียว ถามพระเยซูว่ากฎของโมเสส คือถ้าใครล่วงประเวณี ต้องเอาหินขว้างให้ตาย  แล้วพระเยซูว่าอย่างไร

กำลังจะจับผิดพระเยซู อยากรู้ว่าพระเยซูจะตอบว่าอย่างไร? ถ้าตอบว่า … “ไม่ต้องทำอะไร?” พระเยซูก็ไม่ได้ทำตามกฎของโมเสส แต่ถ้าบอกว่า … “เอาหินขว้างให้ตาย” ก็คือพยายามที่จะหาเรื่องพระเยซู

ในพระคัมภีร์บอกว่าระหว่างที่พระเยซูฟังคำบอกเล่าของคนกลุ่มนี้  พระเยซูเอานิ้วพระหัตถ์เขียนบนพื้น  แล้วจากนั้น พระเยซูก็บอกว่า …

“เอาอย่างนี้แล้วกัน ถ้าใครคิดว่าตัวเองไม่เคยทำผิดเลย ให้คนนั้นหยิบหินขว้างก่อนเลย”

แล้วในพระคัมภีร์บอกว่าทุกคนก็ชะงัก ไม่คิดว่าพระเยซูจะมาไม้นี้  เพราะว่าทุกคนรู้อยู่แก่ใจว่าตัวเองเป็นคนบาป  ไม่เคยทำผิด มันเป็นไปไม่ได้  ยิ่งอายุเยอะ ยิ่งทำผิดเยอะ

จากพระคัมภีร์ตรงนี้ ที่พระเยซูบอก เริ่มต้นเลยคนแก่ที่สุด เริ่มถอย  จากนั้น ก็ไล่ๆ มา หายไปหมดเลย  จนเหลือผู้หญิงคนเดียว

แล้วพระเยซูถามว่า … “หายไปไหนหมดแล้วล่ะ”

ผู้หญิงก็บอก … “หายไปหมดเลย เหลือข้าพระองค์คนเดียว”

แล้วพระเยซูก็บอกว่า … “เราก็ไม่เอาผิดเจ้า แต่ต่อไป อย่าทำอีก”

นี่คือสิ่งที่พระเยซูบอก พระเยซูไม่ได้เอาผิดผู้หญิงคนนี้  แต่ ณ เวลานั้น ที่พระเยซูพูดกับผู้หญิงคนนี้ พระเยซูยังไม่ได้ทำสิ่งที่พระเจ้าส่งมา สำเร็จ ก็คือมนุษย์ยังต้องพึ่งตัวเอง  และเชื่อว่าพระเยซูพูดอย่างนี้ ผู้หญิงคนนี้ อนาคตข้างหน้า ก็ยังทำผิดอีกแหละ ตอนนี้ที่เรามาเชื่อพระเจ้า วิญญาณเราสะอาดแล้ว แต่ว่าธรรมชาติ คือเราเป็นมนุษย์ ก็อาจจะถูกล่อลวงให้ทำผิดได้ แต่ว่าพระเยซูบอกไม่เอาผิดเรา ก็คือวิญญาณเราสะอาดเรียบร้อยไปแล้ว ต่อให้เราไปทำบาปอะไรก็ตาม วิญญาณเรายังสะอาดอยู่ ชอบธรรมอยู่ รอดอยู่ แต่ผลมันจะมีในโลกใบนี้  ไม่ว่าเราหว่านอะไร เราจำเป็นจะต้องเก็บเกี่ยวผลของมัน เฉพาะโลกใบนี้เท่านั้น ต้องรับรู้ตรงนี้เลย ไม่อย่างนั้น เราก็จะถูกมารหลอก …

“เธอทำบาป เธอไม่รอดหรอก”

สวนกลับไปเลย … “อย่างไร ฉันก็รอด”

เพียงแต่ว่าเผลอไปนิดหนึ่ง  ดิฉันเชื่อนะว่าพอเรามาเชื่อพระเจ้า เราอาจจะทำผิดบ้าง แต่มันน้อยกว่าเดิมเยอะ พอเราจะทำอะไรที่ไม่ถูกต้องพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเตือนเรา และบางครั้งพระวิญญาณบริสุทธิ์เตือนเรา เราอาจจะดื้อ เราไม่สนใจ ทำหูทวนลม ขอทำนิดหนึ่ง  เราก็เก็บเกี่ยวผล พอเก็บผลปุ๊บ เราก็รู้แล้ว พระเจ้าเตือนแล้ว เราไม่เชื่อเอง แล้วเราก็เริ่มต้นเรียนรู้จากมัน  ถ้าทำอย่างนี้ เราจะเกี่ยวผลแบบนี้ เหมือนกับเด็ก ที่เราบอกว่า …

“อย่าไปจิ้มปลั๊กไฟนะ เดี๋ยวไฟดูด” หรือว่า … “ตรงนั้นมันร้อนนะ อย่าไปจับ จับแล้วมันจะเจ็บ มันร้อน”

เด็ก บางทีไม่เชื่อหรอก จิ้ม บางทีร้อนๆ ก็ไปจับ จับปุ๊บ มันร้อนไง พอร้อนปุ๊บ มีประสบการณ์ คราวหน้าก็จะเริ่มเล็งแล้ว  อันนี้ไม่ได้ ถ้าเข้าไปมันร้อน แล้วมันเจ็บ เขาก็จะเริ่มระวังตัวมากขึ้น  แต่ว่าพอนานๆ เข้า ลืมไง   ลืมว่าอันนี้มันร้อน  ลองใหม่ จับปุ๊บ ร้อน ก็มาเริ่มต้น ปรับตัวใหม่ๆ ชีวิตเราก็จะวนเวียนแบบนี้ แต่ให้เรามั่นใจว่าอย่างไร เราก็ได้รับความรอดแน่นอน พระเจ้าอวยพรค่ะ

 

**********************