คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 7 มีนาคม 2021 เรื่อง “อย่ากลัวเลย” ตอน 47 โดย วราพร คงล้วน

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  7  มีนาคม  2021

 เรื่อง “อย่ากลัวเลย”  ตอน 47

โดย วราพร  คงล้วน

 

วันนี้เรามาต่อในหนังสือลูกา   ที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้ สำหรับผู้คนของพระองค์ ตั้งแต่เริ่มต้น มนุษย์ล้มลงในความบาป พระเจ้าก็เตรียมแผนการ การช่วยกู้ การช่วยให้รอด ให้กับมนุษยชาติ แผนการนี้ถูกเตรียมไว้เป็นเวลายาวนานมาก หลายพันปี แล้วพระเจ้าทรงเป็นผู้เดินเรื่องทั้งหมด ที่ เริ่มต้นจากทูตสวรรค์ไปพบกับเศคาริยาห์ ซึ่งเป็นปุโรหิต ในสมัยนั้น ก่อนที่พระเยซูจะสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ไถ่บาปของพวกเราทั้งหลาย มนุษยชาติยังต้องพึ่งพาตัวเอง ในการดำเนินชีวิตในแต่ละวัน พระเจ้าทรงเลือกชนชาติอิสราเอลมาเป็นแบบอย่าง ในเรื่องของพระคุณความรัก ที่พระเจ้าทรงโปรดประทานให้

ฉะนั้น พระเจ้าก็ทำงานผ่านผู้เผยพระวจนะ บอกคนอิสราเอลว่าในแต่ละปีคนอิสราเอลจำเป็นต้องนำเอาแพะ เอาแกะมาถวาย เป็นเครื่องบูชา เพื่อลบบาปปีต่อปี หมายความว่าบาปของมนุษยชาติ เราไม่สามารถลบล้างด้วยความดีของเรา แล้วพระเจ้าก็ทรงเลือกเผ่าหนึ่งของอิสราเอล มาเป็นผู้รับใช้ของพระองค์ ก็คือเผ่าเลวี เป็นปุโรหิต มหาปุโรหิตที่จะเข้าไปถวายเครื่องบูชาแด่พระเจ้า

ฉะนั้น มหาปุโรหิต คือคนที่พระเจ้าเลือกไว้ใหญ่ที่สุด ปีหนึ่งสามารถเข้าไปเฝ้าพระเจ้าในอภิสุทธิสถาน แค่ครั้งเดียว แล้วปุโรหิตคนแรกที่พระเจ้าทรงแต่งตั้ง ชื่อว่าอาโรน อยู่ในตระกูลเลวี แล้วหลังจากนั้น ลูกหลานของอาโรนก็จะเป็นสายพันธุ์ ที่พระเจ้าเลือก แยกออกมา โดยเฉพาะเจาะจงที่จะปรนิบัติรับใช้ในพระวิหารของพระเจ้า

และการที่จะได้เข้าไปในอภิสุทธิสถาน เป็นขบวนการที่ยุ่งยากมาก ปีหนึ่งเข้าได้ครั้งเดียว  แล้วเข้าไป ต้องรีบๆ ถวายเครื่องบูชาให้เสร็จ แล้วมหาปุโรหิตที่ได้เข้าไป  เริ่มต้นจากการต้องชำระตัวเองให้บริสุทธิ์ ต้องสารภาพบาป ก่อนที่จะเข้าไปถวายเครื่องบูชา ดังนั้น คนที่ลืมสารภาพบาปเข้าไป มีความบาปติดตัวนิดหนึ่ง เข้าไปปุ๊บ ตายทันที  ความบาปไม่สามารถอยู่ร่วมกับความบริสุทธิ์ของพระเจ้าได้  ก็คือโดยปริยาย พระเจ้าไม่ต้องทำอะไรเลย  ดังนั้น ปุโรหิตที่ไม่เตรียมพร้อม ไม่ชำระตัวเองให้บริสุทธิ์เข้าไป ก็ตายลูกเดียว

อิสราเอลมีความเกรงกลัวพระเจ้ามาก อย่างที่บอกในยุคพระคัมภีร์เดิม  เราเรียกว่ายุคพระเดช คือใครทำอะไรผิดปุ๊บ ตายอย่างเดียว พอมาถึงยุคของพระเยซูคริสต์ เขาเรียกว่ายุคพระคุณ  คือพระเยซูคริสต์ได้มาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว ได้มาสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เพื่อมนุษยชาติแล้ว และได้เป็นขึ้นมาจากความตาย เพื่อมนุษยชาติเช่นเดียวกัน

อันนี้แหละ คือข่าวประเสริฐที่พวกเราผู้เชื่อ ในฐานะที่เราเป็นคริสเตียน  เราก็ประกาศอยู่อย่างนี้แหละ เรื่องนี้ถูกประกาศมาตั้งแต่ 2,000 ปีที่แล้ว ตั้งแต่วันที่พระเยซูคริสต์ทำภารกิจของพระองค์สำเร็จ จนถึงยุคปัจจุบัน ก็ยังคงเป็นเรื่องเดิม เรื่องเดียวกัน ที่เราจะประกาศไป  ดังนั้น ข่าวประเสริฐของพระเจ้า มีแค่ 5 ประโยค คือพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ มาตายแทนเราที่ไม้กางเขน เป็นขึ้นมาจากความตาย และนั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า ณ เวลานี้

ดังนั้น ใครก็ตามที่เชื่อในสิ่งที่พระเยซูกระทำ เพื่อเขาบนไม้กางเขน ก็ได้รับการเปลี่ยนวิญญาณ จากวิญญาณที่เคยบาป เป็นวิญญาณบาป  เป็นวิญญาณที่รอวันตาย ที่นรกนิรันดร์กาล เปลี่ยนมาเป็นวิญญาณที่สะอาด บริสุทธิ์ ผ่านทางความเชื่อ ในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำเพื่อเราบนไม้กางเขน วิญญาณของพวกเรา ผู้เชื่อ ณ เวลานี้ สะอาดบริสุทธิ์หมดจด เป็นผู้ชอบธรรม แล้วพระคัมภีร์ก็ได้บอกเราว่าเราได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า ที่เดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ในโลกวิญญาณ ณ เวลานี้

ขณะที่เรายังต้องดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ที่พระเจ้าบอกว่างานเรายังไม่เสร็จ คือทุกคนมีงานที่พระเจ้าจะให้ทำ งานอะไรก็แล้วแต่ที่พระเจ้าเตรียมเอาไว้  งานเรายังไม่เสร็จ ลมหายใจเราก็ยังมีอยู่ เราก็ไม่จากไปไหน พระเจ้าก็บอกทำงานก่อน แต่เมื่อไรก็ตามที่งานเราเสร็จ  พระเจ้าก็เอาลมหายใจออกจากร่าง ก็คือวิญญาณเราได้ไปอยู่กับพระเจ้า ครบถ้วนสมบูรณ์  นี่คือสิ่งที่คริสเตียนทุกคนในโลกใบนี้ ตั้งเป้ารอคอย

พวกเราเช่นเดียวกัน เราก็รอคอยวันนั้นแหละ วันที่เราเสร็จงาน พี่น้องนึกภาพนะ เวลาเราทำงาน เหนื่อยไหม? เหนื่อย กิจวัตรประจำวันทุกวัน ตื่นมา ก็ต้องอาบน้ำ แปรงฟัน แต่งตัว เดินทางออกจากบ้าน  บางวันรถติด กว่าจะไปถึงที่ทำงาน  3 ชั่วโมง 4 ชั่วโมง เหนื่อยมาก ทำงานเสร็จ กลับบ้านตอนเย็น เจอช่วงเวลารถติดอีก กว่าจะไปถึงบ้าน มืด ค่ำ ดึกดื่น เราต้องทำอย่างนี้ทุกวัน บางคนขอบคุณพระเจ้า ทำอาทิตย์ละแค่ 5 วัน  ได้หยุดพัก 2 วัน บางคนอาทิตย์ 6 วัน บางคนอาทิตย์ 7 วัน อันนั้นเยอะไป ถ้าใครทำงานอาทิตย์ละ 7 วัน ก็ช่วยๆ หยุดสักวันหนึ่ง ให้ร่างกายเราได้พักผ่อน

ฉะนั้น เป็นการยากลำบากบนโลกใบนี้มากๆ ที่เราจะต้องดำเนินชีวิต  แต่พระเยซูคริสต์ยังคงตรัสกับเราว่าในโลกนี้ เราจะประสบกับความทุกข์ยาก แต่ให้เราชื่นใจเถิด เราชนะโลกนี้แล้ว ไม่ว่าความทุกข์ยาก ปัญหาอุปสรรค ไม่มีสิทธิ์ที่จะอยู่เหนือพวกเราทุกคน เราสามารถลอยตัว เพราะเรารู้ว่าต่อให้ทุกข์ยากขนาดไหน?  มีเวลาจบ เหมือนเราทำงาน เหนื่อยขนาดไหน? เรารู้แล้ว  เดี๋ยว 5 โมงเย็น จบงาน เราได้กลับบ้านแล้ว  เราได้พักผ่อนแล้ว พรุ่งนี้ก็ว่ากันใหม่  เป็นลักษณะแบบนั้นจริงๆ

แต่ในโลกวิญญาณที่เราดำเนินกับพระเจ้า  เรารู้ว่าวันจบสุดท้ายของเรา คืองานการที่พระเจ้ามอบหมายบนโลกใบนี้จบ  แล้วเราก็ได้พักจริงๆ พักผ่อนถาวรนิรันดร์กาล ที่สวรรค์กับพระเจ้า เรายังอดอิจฉาพี่น้องที่ไปก่อนไม่ได้ คือเขาจากไป  ในด้านของมนุษย์ ดูเหมือนเราโศกเศร้า  เราเสียใจ บางคนจากไป ตั้งแต่อายุยังน้อย เรารู้สึกยังเด็กอยู่เลย ทำไมพระเจ้าถึงพาเขากลับบ้าน เราก็รู้สึกเสียใจ  แต่ว่าความเสียใจของมนุษย์ เราก็แค่เสียใจว่าจากนี้ เราไม่สามารถเจอหน้าเขาบนโลกใบนี้ แต่เรามีความหวังใจในฐานะที่เป็นคริสเตียนว่าหลังจากโลกนี้ไป เราได้ไปเจอคนที่เรารัก ที่สวรรค์สถานนิรันดร์กาล แต่ว่าต้องตามเงื่อนไขที่พระเจ้าบอกไว้ คือสำหรับผู้เชื่อเท่านั้น ผู้ที่เชื่อวางใจในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ เพื่อเรา บนไม้กางเขนเท่านั้น  ถึงมีสิทธิ์ไปอยู่ในที่ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้

สำหรับคนที่พยายามพึ่งพาตนเอง ไม่เป็นไรหรอก ไม่ต้องพึ่งพระเจ้า  เรามีความสามารถพอ เราเก่งกาจพอ เราสามารถที่จะสั่งสมบารมีของเราเอง อันตราย เพราะว่าถึงจุดจบของชีวิต ก็ไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถที่จะไปถึงมาตรฐานของพระเจ้าได้ จุดจบ ก็คือไปอยู่นรกนิรันดร์กาล

นี่คือเหตุผลหนึ่งที่พระเจ้าบอกให้เราไปประกาศข่าวประเสริฐ ให้เราประกาศข่าวดี  เป็นข่าวดีจริงๆ ตรงที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย  พระเจ้าทำให้เราเสร็จหมดทุกอย่าง แค่เราเดินมารับของขวัญเท่านั้นเอง เหมือนเรามางานฉลองวันคริสตมาส  เราก็เตรียมตัวเตรียมใจเลย เพื่อที่จะรับของขวัญ ก็มีการให้ของขวัญแก่กันและกัน  ฉะนั้น การได้รับของขวัญ ก็เป็นสิ่งที่ทำให้เราชื่นชมยินดี   แต่ว่าของขวัญบนโลกใบนี้ ไม่มีของขวัญชิ้นไหนที่มีค่ามาก เท่ากับของขวัญชิ้นพิเศษที่พระเจ้าประทานให้ คือพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า  ที่ได้ประทานให้กับพวกเรา

วันนี้เรามาต่อในลูกา 1:39-45 “39 คราวนั้นมารีย์ จึงรีบออกไปถึงเมืองหนึ่ง ในแถบภูเขาแห่งยูเดีย 40 แล้วเข้าไปในเรือนของเศคาริยาห์ ทักทายปราศรัยนางเอลีซาเบธ 41 เมื่อนางเอลีซาเบธได้ยินคำปราศรัยของมารีย์ ทารกในครรภ์ของเขาก็ดิ้น และนางเอลีซาเบธก็เต็มไปด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ 42 จึงร้องเสียงดังว่า “ในบรรดาสตรีท่านได้รับพระพรมาก  และทารกในครรภ์ของท่านก็ได้รับพระพรด้วย 43 เป็นไฉน ข้าพเจ้าจึงได้ความโปรดปรานเช่นนี้ คือมารดาขององค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า ได้มาหาข้าพเจ้า 44 เพราะดูเถิดพอเสียงปราศรัยของท่านเข้าหูข้าพเจ้า ทารกในครรภ์ของข้าพเจ้า ก็ดิ้นด้วยความยินดี 45 สตรีที่ได้เชื่อก็เป็นสุข เพราะว่าจะสำเร็จตามพระดำรัสจากพระเป็นเจ้า ที่มาถึงเขา”

 

เหตุการณ์ตรงนี้ เกิดขึ้นหลังจากที่เศคาริยาห์เข้าไปถวายเครื่องบูชาแด่พระเจ้า แล้วทูตสวรรค์ของพระเจ้า มาบอกว่านางเอลีซาเบธ ซึ่งอายุเยอะมากแล้ว จะตั้งครรภ์ และคลอดบุตรคนหนึ่ง แล้วทูตสวรรค์ก็บอกว่าบุตรชายคนนี้ ให้ตั้งชื่อว่ายอห์น เขาจะเป็นคนที่นำทางพระเยซู ก็คือก่อนที่พระเยซูจะประกาศภารกิจของพระองค์ในโลกใบนี้ ยอห์นจะเป็นผู้มากรุยทางก่อน

แล้วเศคาริยาห์ก็สงสัยว่าจะเป็นไปได้อย่างไร? ภรรยาก็แก่มากแล้ว ทูตสวรรค์ก็เลยบอกว่าเพราะเธอไม่เชื่อ ก็เป็นใบ้ไปเลย พูดไม่ได้ พอออกจากห้องถวายสัตวบูชา คือห้องอภิสุทธิสถาน  เศคาริยาห์ก็พูดไม่ได้  หลังจากนั้น นางเอลีซาเบธก็ตั้งครรภ์ คือนางเอลีซาเบธตั้งครรภ์ก่อนที่นางมารีย์จะได้พบกับทูตสวรรค์ 6 เดือน แต่ว่าเหตุการณ์เดียวกันได้เกิดขึ้น ตอนที่นางมารีย์อยู่คนเดียว แล้วทูตสวรรค์ก็มาหา  พูดในทำนองเดียวกันเลย

“เธอเป็นคนที่พระเจ้าโปรดปราน พระเจ้าจะให้เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์มาจุติในครรภ์ของเธอ แล้วเธอจะคลอดบุตรคนหนึ่ง แล้วตั้งชื่อบุตรคนนั้นว่าเยซู เพราะว่าบุตรคนนี้จะเป็นผู้มาปลดปล่อยชนชาติของพระองค์ให้เป็นอิสระ”

นี่คือสิ่งที่ทูตสวรรค์ได้พูดกับมารีย์

นางมารีย์ก็ … “เอ๊ะ! เป็นได้อย่างไรล่ะ ฉันยังไม่เคยไปนอนกับใครเลย จะตั้งครรภ์ได้อย่างไร?”

ทูตสวรรค์ก็บอกว่า … “ฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเข้ามาจุติในครรภ์ของเธอ แล้วเด็กคนนี้จะเรียกว่าวิสุทธิ์ ก็คือไม่มีเชื้อบาปของมนุษย์คนใดเลย”

นางมารีย์พอฟังอย่างนั้น ก็บอกว่า … “เป็นอย่างนั้นเหรอ ก็ให้เป็นไปตามที่พระเจ้าได้ตรัสไว้  พระเจ้าว่าอย่างไร? ว่าตาม”

คราวที่แล้วเราก็จบตรงนี้ว่านางมารีย์ต้องใช้ความกล้าอย่างมากมาย เพราะว่าหญิงสมัยก่อน ถ้าตั้งครรภ์ โดยไม่มีสามี ก็จะถูกหินขว้างให้ตาย แต่นางมารีย์ก็ตัดสินใจที่จะเชื่อฟังพระเจ้า ทำตามน้ำพระทัยของพระองค์

ให้พี่น้องมั่นใจเลย ถ้าพระเจ้าทรงใช้ท่าน หรือใช้ใครก็ตาม พระเจ้าจะหนุนหลังพวกเรา แม้ว่าเรื่องนั้นจะมีภัยอันตรายมากขนาดไหน? พระเจ้าก็จะปกป้องคุ้มครองเราไว้ ให้เราทำสิ่งที่พระเจ้าได้มอบหมายให้กับเราไปจนสำเร็จ แล้วนางมารีย์ก็เป็นอย่างนั้น ในหนังสือมัทธิวไม่ได้แจงรายละเอียด แต่ในหนังสือเล่มอื่นๆ ก็บอกว่าโยเซฟเป็นคู่หมั้นของมารีย์ พอได้ข่าวว่านางมารีย์ตั้งครรภ์ โยเซฟก็ได้แต่คิดว่าจะไปแอบถอนหมั้นลับๆ โดยที่ไม่ให้นางมารีย์อับอาย  ก่อนที่โยเซฟจะตัดสินใจ ทูตสวรรค์ของพระเจ้า ก็มาคุยกับโยเซฟบอกว่าให้รับนางมารีย์เป็นภรรยา เพราะว่านางมารีย์มิได้เป็นหญิงสำส่อน แต่ว่าทารกในครรภ์ของเธอ มาจากฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ แล้วเราก็ขอบคุณพระเจ้า ที่โยเซฟฟังปุ๊บ เชื่อเลย ก็ไปรับนางมารีย์มาเป็นภรรยา ในพระคัมภีร์เขียนว่าก็ไม่ได้แตะต้องตัวนางมารีย์เลย จนนางมารีย์คลอดพระเยซูคริสต์ออกมา

เหตุการณ์นี้พระเจ้าได้เขียนไว้ตั้งแต่สมัยพระคัมภีร์เดิม  แล้วก็เดินเรื่องมาตลอด แล้วโยเซฟอยู่ในตระกูลยูดาห์  เพราะว่าพระเจ้าบอกว่าพระเยซูคริสต์จะมาจากตระกูลยูดาห์ เป็นสายพันธุ์ของกษัตริย์ดาวิด แล้วก็เดินเรื่องมาเป็นเรื่องเดียวกัน

หลังจากนั้น นางมารีย์ก็ไปหานางเอลีซาเบธ เพราะเขาเป็นญาติกัน พอไปถึงนางมารีย์พูดปุ๊บ เด็กในครรภ์ ก็คือยอห์น ที่ถูกพยากรณ์เอาไว้ เต้นใหญ่เลย คือลิงโลด มารดาขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาเยี่ยมเขา คือได้สัมผัสในวิญญาณถึงเด็กในครรภ์ของนางมารีย์ ก็คือพระเยซูคริสต์ เด็กในครรภ์ตื่นเต้น นางเอลีซาเบธก็ตื้นเต้นด้วย

“เห็นไหม? พอเธอพูดปุ๊บ เด็กในครรภ์เต้นใหญ่เลย” … ก็คือมีความชื่นชมยินดี

ทำไมนางเอลีซาเบธถึงชื่นชมยินดี?  เพราะจริงๆ แล้วคนอิสราเอลรู้เรื่องนี้ดีมาก เพราะเป็นคำพยากรณ์ เป็นคำเผยพระวจนะของพระเจ้าตั้งแต่อดีต สมัยปฐมกาล เริ่มต้นที่มนุษย์ล้มลงในความบาป พระเจ้าก็บอกเรื่องนี้ไว้เรียบร้อยแล้ว ฉะนั้น คนอิสราเอลก็ตั้งตารอคอยพระผู้ช่วยให้รอด ที่จะมาปลดปล่อยเขาให้เป็นอิสรภาพ แต่ ณ เวลานั้น คนอิสราเอลยังไม่เข้าใจคำว่าอิสรภาพอย่างแท้จริง

ดังนั้น แผนการของพระเจ้าที่จะมาปลดปล่อยชนชาติอิสราเอล และปลดปล่อยมนุษยชาติทั้งหมดบนโลกใบนี้ คืออิสรภาพในทางวิญญาณ อิสรภาพจริงๆ ที่เราจะไม่ต้องกลัว ที่ต้องชดใช้บาปอีกต่อไป  เมื่อมนุษย์ล้มลงในความบาป ถูกตัดขาดจากพระเจ้า ก็คือแยกทางเลย ไม่สามารถเดินกับพระเจ้า ก่อนหน้านั้น เดินคุยกัน จับมือกัน แต่เริ่มจากมนุษย์ล้มลงในความบาป เดินเป็นเส้นขนานกับพระเจ้า  ไม่มีโอกาสที่จะบรรจบกันเลย  แล้วไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถทำได้ด้วย เพราะว่ามนุษย์มีเชื้อบาป  ไม่บริสุทธิ์พอตามกำหนดของพระเจ้า กำหนดของพระเจ้า คือดีครบถ้วน 100% เต็ม ไม่มีใครทำได้  แล้วมนุษย์ก็พยายามแสวงหา เพราะว่าวิญญาณของมนุษย์มาจากพระเจ้า

พระเจ้าได้ระบายลมปราณเข้าไปในดินก้อนที่พระเจ้าปั้น แล้วเกิดมาเป็นมนุษย์ มีวิญญาณเดียวกันกับพระเจ้า ฉะนั้น วิญญาณของมนุษย์หลังจากล้มลงในความบาป ถูกตัดขาดจากพระเจ้า แต่ความหิวกระหาย ในการอยากจะแสวงหาพระเจ้า มันมีอยู่ แต่ว่าหาเท่าไร ก็หาพระเจ้าไม่เจอ เพราะว่าความบาปกับความบริสุทธิ์อยู่ด้วยกันไม่ได้ พอหาไม่เจอ มนุษย์ก็พยายามหาอะไรมาทดแทน หรือชดเชย  มนุษย์ก็เริ่มสร้างพระ สร้างศาสนา สร้างอะไร เพื่อคิดว่าจะเป็นพระผู้นั้นแหละ ที่เขาเคยอยู่ด้วยกัน แต่ก็หาพระเจ้าไม่เจอ เพราะว่ามนุษย์ไม่สามารถหาพระเจ้าเจอด้วยกำลังของตัวเอง  ต้องพึ่งพระเจ้าเท่านั้น

ดังนั้น พระเยซูคริสต์มารับภารกิจนี้ เพื่อมนุษยชาติทั้งหมด เป็นพระสัญญาที่พระเจ้าได้สัญญากับมนุษย์คู่แรก  แล้วพระเจ้าก็รักษาพันธสัญญาของพระองค์มาตลอด แล้วทำให้เกิดเป็นจริงตามที่พระเจ้าสัญญาไว้ แล้วสิ่งที่พระเจ้าสัญญา ก็สำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว เมื่อ 2,000 กว่าปีที่แล้ว เมื่อพระเยซูคริสต์เสด็จมาบังเกิด

ดังนั้น ณ เวลานี้ นางมารีย์ก็ตั้งครรภ์แล้ว  แล้วนางเอลีซาเบธก็ชื่นชมยินดีมาก คือรอคอยมานานมากเลย พระมาซีฮา บัดนี้ได้มาแล้ว กำลังจะมาเกิดบนโลกใบนี้แล้ว

เรามาดูต่อในลูกา 1:57-61 “57 ครั้นเวลาซึ่งนางเอลีซาเบธจะคลอดบุตรครบถ้วนแล้ว นางก็คลอดบุตรเป็นชาย 58 เพื่อนบ้านและญาติพี่น้องของนางได้ยินว่าพระเจ้าได้ทรงสำแดงพระมหากรุณาแก่นาง เขาทั้งหลายก็พากันเปรมปรีดิ์ด้วย 59 ครั้นถึงวันที่แปดแล้ว เขาก็พากันมาให้ทารกนั้นเข้าสุหนัต และเขาจะให้ชื่อทารกว่าเศคาริยาห์ตามชื่อบิดา 60 ฝ่ายมารดาจึงตอบว่า “ไม่ใช่ แต่ต้องให้ชื่อว่ายอห์น” 61 เขาพากันตอบว่า “ไม่มีผู้ใดในพวกญาติของท่านที่มีชื่ออย่างนั้น”

 

ณ เวลานี้ พระเยซูยังไม่ได้ทำให้ภารกิจของพระองค์สำเร็จ คนยิวในยุคนั้น ก็ยังต้องใช้กฎเดิมอยู่

กฎเดิมที่พระเจ้าตั้งไว้ครั้งแรก ที่พระเจ้าให้ทำพิธีเข้าสุหนัต ก็คือเป็นพันธสัญญาระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์เป็นครั้งแรกด้วยเลือด พระเจ้าสั่งให้อับราฮัมทำพิธีเข้าสุหนัต คือขลิบหนังปลายองคชาติของผู้ชาย ฉะนั้น พระเจ้าให้อับราฮัมทำเป็นคนแรก และตอนที่อับราฮัมทำพิธีนี้ อับราฮัมอายุ 99 ปี ที่พระเจ้ามาบอกอับราฮัมว่าในวันนี้ ปีหน้า นางซารายจะคลอดบุตรชายคนหนึ่ง และให้ตั้งชื่อว่าอิสอัค นี่คือสิ่งที่พระเจ้าบอกไว้

แล้วพระเจ้าก็บอกกับอับราฮัมว่าให้ตั้งเป็นกฎเกณฑ์ เป็นพันธสัญญาเลือด คือต้องมีโลหิตหลั่งออก เพื่อที่จะเป็นพันธสัญญาของมนุษย์กับพระเจ้า ให้เด็กชายทุกคนของชนชาติอิสราเอล พออายุถึง 8 วัน ก็ต้องพาเข้าไปในพระวิหาร แล้วก็ทำพิธีนี้ เหมือนถวายให้พระเจ้า เหมือนปัจจุบันเราเรียกพิธีถวายบุตร ก็ไม่ใช่ 8 วันหรอก เด็กที่เอามาถวายบุตร เราก็รอให้เขาแข็งแรงหน่อย อาจจะ 2 เดือน 3 เดือน 4 เดือน คุณพ่อคุณแม่ก็พามามอบถวายให้กับพระเจ้า แต่สมัยนั้น 8 วัน ต้องพาไปที่พระวิหาร  แล้วก็ไปทำพิธีเข้าสุหนัต

พอทำพิธีนี้เสร็จ ก็เข้าสู่ขบวนการที่ต้องตั้งชื่อของเด็กคนนี้ ญาติๆ ก็บอกว่าให้ตั้งชื่อว่าเศคาริยาห์แล้วกัน จะได้เป็นเหมือนพ่อ สมัยก่อนเขาก็ตั้งชื่อตามพ่อ อะไรประมาณนั้น  เชื่อมั่นว่าตอนที่เศคาริยาห์ออกมาจากอภิสุทธิสถาน ที่พูดไม่ได้ กลับไป เขาคงคุยกับนางเอลีซาเบธด้วยการเขียนว่า …

“เขาได้เห็นหมายสำคัญ ได้เห็นทูตสวรรค์มาบอกฉันอย่างนี้ แล้วเด็กคนนี้ ถ้าคลอดออกมา ต้องตั้งชื่อเขาว่ายอห์นนะ”

ฉะนั้น พอญาติๆ มาถามว่า … “เอาอย่างนี้ดีไหม? ตั้งชื่อว่าเศคาริยาห์”

นางเอลีซาเบธบอกว่า … “ไม่ได้ๆ ต้องตั้งชื่อว่ายอห์น”

ซึ่งญาติๆ ก็งงเหมือนกันว่าในตระกูลเรา ไม่เห็นใครตั้งชื่อแบบนี้ อาจจะฉีกแนวไปจากตระกูลของเขา ที่จะตั้งชื่อ ฉะนั้น ทุกคนก็บอกไม่น่าจะเป็นไปได้ แล้วในข้อที่ 62-64 จึงว่า …

ลูกา 1:62-64 “62 แล้วเขาจึงใช้ใบ้กับบิดาถามว่าท่านอยากจะให้บุตรนั้นชื่ออะไร 63 บิดาจึงขอกระดานชนวนมา เขียนว่า “ชื่อของบุตรคือ ยอห์น” คนทั้งหลายก็ประหลาดใจนัก 64 ในทันใดนั้น ปากและลิ้นของท่านก็คืนดีอีก แล้วท่านกล่าวสรรเสริญพระเจ้า”

 

ก็คือเหตุการณ์ที่พระเจ้าได้พูดกับเศคาริยาห์ว่านางเอลีซาเบธจะตั้งครรภ์ และเมื่อคลอดบุตร บุตรคนนี้ชื่อว่ายอห์น  และบุตรคนนี้จะเป็นผู้นำทาง คือเดินนำหน้า ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาประกอบภารกิจ แล้วเศคาริยาห์ หลังจากที่พูดไม่ได้ เชื่อมั่นว่าข้างในใจรู้แล้วว่าสิ่งที่เขาพบเจอเป็นเรื่องจริง ทูตสวรรค์พูดจริงแน่นอน หลังจากที่นางเอลีซาเบธตั้งครรภ์ เขาก็ตั้งเป้าว่าลูกคนนี้ต้องชื่อยอห์น เป็นอื่นไม่ได้

พอเขาแสดงเจตจำนงว่าลูกคนนี้ต้องชื่อยอห์น ปุ๊บ ปากเขาพูดได้เลย เมื่อเศคาริยาห์พูดได้ปุ๊บ ก็สรรเสริญพระเจ้า ขอบคุณสำหรับแผนการล้ำเลิศที่พระเจ้าได้ทรงโปรดประทานให้กับครอบครัวของเขา

ลูกา 1:65-66 “65 เพื่อนบ้านของท่าน ก็บังเกิดความกลัว และเหตุการณ์ทั้งปวงนั้น ก็เลื่องลือไปทั่วแถบภูเขาแคว้นยูเดีย 66 บรรดาคนที่ได้ยินก็จดจำไว้ในใจ และว่า “แล้วทารกนั้นจะเป็นอะไรข้างหน้า ด้วยว่าพระหัตถ์ของพระเจ้าอยู่กับเขา”

 

เพราะว่าพระเจ้าเตรียมยอห์นไว้เรียบร้อยแล้ว ที่จะทำดภารกิจที่ยิ่งใหญ่ให้กับพระเจ้า แล้วยอห์นคนนี้อายุไม่ยาวนะ อายุสั้น  ก็คือมากรุยทางก่อนพระเยซูคริสต์ออกมาสำแดงตัวเอง ปกติคนยิวทุกปี ก็จะพาตัวเอง และลูกหลานไปที่พระวิหาร เพื่อถวายเครื่องบูชา  แล้วพระเยซูก็ถูกพาไปทุกปีๆ  จนพระเยซูอายุ 12 ก็พาไปเหมือนเดิม พอเสร็จภารกิจทุกคนก็เดินทางกลับบ้าน เดินไปประมาณหนึ่ง พระเยซูหายไปไหน? ทุกคนก็เลยชักแถวเดินกลับไปที่เดิม ปรากฏว่าเห็นพระเยซูนั่งถกถ้อยคำกับพวกปุโรหิต พวกธรรมาจารย์  แล้วจากนั้นพระเยซูก็ติดตามนางมารีย์และโยเซฟกลับไปบ้าน

โยเซฟเป็นช่างไม้ ในพระคัมภีร์ไม่ได้บันทึกอะไรมากมาย เชื่อมั่นว่าพระเยซูคงใช้ชีวิตปกติ ช่วยพ่อทำงาน ไสไม้ ต่อโต๊ะ อะไรก็แล้วแต่ จนอายุ 30 พระเยซูก็เริ่มต้นภารกิจของพระองค์ พระเยซูก็ออกมา ประกาศ …

“แผ่นดินสวรรค์มาใกล้แล้ว  จงกลับใจเสียใหม่”

แผ่นดินสวรรค์มาใกล้แล้ว ก็คือใกล้ถึงเวลาที่พระเจ้าจะสำเร็จภารกิจของพระองค์ คือสิ่งที่พระเยซูประกาศตอนอายุ 30 ก็คืออีก 3 ปีกว่าๆ เท่านั้น มนุษยชาติจะได้รับความรอด ผ่านทางสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำเพื่อเขาบนไม้กางเขน มนุษยชาติจะไม่ต้องใช้บาปของตัวเองอีกต่อไป มนุษยชาติจะไม่ต้องไปถวายเครื่องบูชาของตัวเองปีต่อปีอีกต่อไป และมนุษยชาติก็สามารถที่จะคืนดีกับพระเจ้าด้วย นี่คือภารกิจที่พระเจ้า พระเยซูคริสต์มาทำ เพื่อพวกเราทุกๆ คน

ใครก็ตามที่เชื่อในสิ่งนี้ ก็ได้รับทั้งหมดที่พระเยซูคริสต์ได้บอกไว้ เราสามารถคืนดีกับพระเจ้าได้ เราไม่เหมือนคนสมัยเดิม ที่คนยิวต้องพึ่งปุโรหิต สารภาพบาป ก็ต้องไปคิดๆ บาปของตัวเอง ทำไว้เท่าไร? เยอะแค่ไหน? แล้วก็ไปสารภาพกับปุโรหิต แล้วปุโรหิตก็ต้องจำๆ ด้วยนะ  แล้วก็เอาไปสารภาพกับพระเจ้า  งงเหมือนกันว่าเขาทำกันได้อย่างไร?  คนยุคนั้น เขาทำอย่างนั้นจริงๆ  แต่ว่าพอถึงยุคนี้ การสารภาพบาปของพวกเราทุกคน มีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ที่เราต้องกลับใจใหม่ สารภาพบาปกับพระเจ้าว่าเราเป็นคนบาป เราช่วยเหลือตัวเองไม่ได้  เราต้องการการช่วยเหลือจากพระเจ้า เราขอรับเอาสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ เพื่อเราที่ไม้กางเขนเข้ามาเป็นของเรา  ยอมรับการช่วยเหลือจากพระเจ้า นั่นคือการสารภาพบาปครั้งแรก ครั้งเดียว จบ คริสเตียนทำแค่นั้น

มาคุยเรื่องนี้ มีพี่น้องหลายๆ คนก็สงสัยตรงนี้ …

“อ้าว! ในพระคัมภีร์บอกว่าถ้าเราทำบาป ให้เรามาสารภาพกับพระเจ้า พระเจ้าจะได้ยกโทษบาปให้กับเรา”

แล้วในตอนนี้ในถ้อยคำ เรารับรู้ว่าสารภาพแค่ครั้งเดียวพอ ก็คือกลับใจใหม่แค่ครั้งเดียว สารภาพบาปทั้งหมด พระเยซูบอกว่า …

“บาปของเจ้าถูกยกแล้ว เราไม่เอาผิดเจ้า”

หมายความว่าพระเยซูชดใช้บาปให้กับพวกเราเรียบร้อยแล้ว แปลว่าพวกเราที่เป็น คริสเตียน เป็นผู้เชื่อ ณ เวลานี้  เราไม่มีบาปเลย เราเป็นผู้ชอบธรรมจริงหรือไม่?  จริงตามถ้อยคำพระเจ้า ตอนนี้เราเป็นผู้ชอบธรรม พระเจ้าบอกเราอย่างนั้น ถ้อยคำบอกเราอย่างนั้น เราไม่มีบาปเลยในโลกวิญญาณ เราไม่มีความจำเป็นที่ต้องสารภาพบาปซ้ำแล้วซ้ำเล่าอีกต่อไป นี่คือความจริง

ในพระธรรมฮีบรูบอกว่าพระเยซูคริสต์ทำให้เราครั้งเดียวพอ ก็คือสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนครั้งเดียว เป็นขึ้นมาจากความตาย จบ  ก็คืองานทุกอย่างที่พระเจ้าทำให้กับเรา มันจบเรียบร้อย สมบูรณ์ ครบถ้วน เรารับมา ก็คือสมบูรณ์ครบถ้วน เราไม่ใช่คนบาปอีกต่อไป ณ เวลานี้ ธรรมชาติของเรา คือผู้ชอบธรรม ในวิญญาณนะ

แต่ว่าในขณะที่เรายังอยู่บนโลกใบนี้ เรายังมีร่างกายนี้ ที่เป็นเนื้อหนังอยู่ เราอาจจะถูกล่อลวงด้วยตัวเราเอง หรือด้วยผีมารซาตาน หรือด้วยอะไรก็ตามที่ทำให้เราหลงไปทำบาปบ้าง ไม่ทำบ้าง ทำดีบ้าง อะไรก็แล้วแต่ แล้วในพระคัมภีร์บอกว่ามันจะมีผล ถ้าเราทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง หลังจากที่เรารับเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว วิญญาณเราสะอาดหมดจด ชอบธรรม ไม่มีบาปอีกต่อไป ต่อให้เราตายตอนไหน? เราก็เป็นผู้ชอบธรรม ได้ไปนั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า คือที่เดิม  ที่ปัจจุบันเราเป็นอยู่

ไม่ต้องกลัวว่าวันนี้เราทำบาป ตกลงเราจะตกนรกไหม? ไม่มีนะ เพราะพระคัมภีร์เขียนไว้อย่างนั้นว่าทันทีที่เราเชื่อ พระเจ้าได้เอาวิญญาณของเราบัพติสมาเข้าไป เป็นเนื้อเดียวกันกับพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระเยซูคริสต์ พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ รวมทั้งวิญญาณของเรา 4 วิญญาณหลอมกันเป็นหนึ่งเดียวกัน ฉะนั้น จะไม่มีบาปอีกต่อไปในวิญญาณของเรา

แต่ถ้าเราทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องบนโลกใบนี้ เราก็จะรับผล ไม่ได้หมายความว่าพอเราไม่มีบาปในวิญญาณแล้ว เราทำอะไรก็ได้  เราทำบาป ก็ได้ เราไปโกงเขาก็ได้ พระเจ้าจะไม่ทำอะไรเลย ก็ไม่จริงนะ ก็คือเรายังต้องรับผลในโลกใบนี้อยู่ แต่แค่ผลในโลกใบนี้เท่านั้น ถ้าเราฆ่าคนตาย ก็ถูกจับติดคุก ถ้าเป็นโทษหนักๆ ก็ถูกนั่งเก้าอี้ไฟฟ้า ประหารชีวิต ร่างกายตายเท่านั้น แต่วิญญาณท่านยังรอด แยกให้ชัดเจนนะ

ถ้าพี่น้องแยกได้ชัดเจน เชื่อว่าพอเรามาเชื่อพระเจ้าปุ๊บ ไม่มีใครหรอกไปทำแบบนั้น ต่อให้หลุดไป แบบไม่ไหว ไปเชื่อสิ่งที่อยู่รอบข้าง ชักจูงเราไป ให้ทำผิด เราคงไม่ทำผิดหนักถึงขนาดที่ว่าไปฆ่าใครตาย

ตอนที่เชื่อพระเจ้าใหม่ๆ ก็ถูกสอนมาว่าเราต้องสารภาพบาปทุกวัน แล้วเราก็ทุกข์ คือจำไม่ได้ พี่น้องเคยจำสิ่งที่เราทำเองไม่หมดไหม? จำไม่ได้ พอตกเย็น เราไปทำอะไรมา แล้วเราจะรอดไหมเนี้ย  ถ้าเราสารภาพไม่หมด  นั่นคือความทุกข์ใจ ที่เรารู้ความจริงไม่หมด  พอเรารู้ความจริงครึ่งๆ กลางๆ ไม่หมดตามที่ถ้อยคำพระเจ้าบอกไว้  เราก็ไม่สามารถดำเนินชีวิตแบบมั่นคงเดินกับพระเจ้าได้  เราก็กลัว ในพระคัมภีร์บอก ในความรักไม่มีความกลัว ความกลัวเข้ากับการลงโทษ ดังนั้น เราควรจะต้องไม่มีความกลัวอีกต่อไป  เพราะว่าเราเชื่อในสิ่งที่พระเยซูกระทำ วิญญาณเราอย่างไรก็รอด  แต่ไม่ได้หมายความว่าพอเราไม่กลัว เราจะไปทำตัวเหลวไหล ไปทำบาป มันก็คงไม่ใช่  เราก็คงพยายามสุดกำลังแหละ ล้มลง ก็ลุกขึ้น รู้ว่าตรงนี้พลาดแล้ว …

“พระเจ้าลูกขอโทษนะ  ลูกเสียใจ”

ไม่ต้องไปสารภาพบาปแล้ว … “คือเสียใจที่ทำไป ให้กำลังลูกด้วย ที่ลูกจะไม่ทำอีก”

แต่ต่อให้เราอธิษฐานแบบนี้ เราก็ยังทำอีกแหละ ในเรื่องเดิม เหมือนเรามีแผล เวลาไปเดินชนอะไร ไม่ได้ชนที่อื่นหรอก ชนแผลตัวเองประจำ แล้วก็เจ็บซ้ำเจ็บซาก

เหมือนกัน หลายครั้งเราทำผิดในเรื่องเดิมๆ แต่ว่าพระเจ้าจะให้กำลังเรา ที่เราจะทำน้อยลง  ถ้าเรายิ่งเข้าใจในถ้อยคำของพระเจ้ามากเท่าไร?  เห็นถึงความรักที่พระเยซูคริสต์มีกับเรามากเท่าไร? เราก็จะระวังชีวิตของเรา เราก็จะไม่ทำสิ่งที่พระเจ้าไม่ชอบ และทำให้พระเจ้าเสียใจ  เหมือนเรารักพ่อแม่ ถ้าเรารักพ่อแม่ได้มากเท่าไร เราก็จะไม่ทำสิ่งที่พ่อแม่ไม่ชอบ แล้วก็เสียใจ ไม่ใช่ว่าพอเราทำบาปปุ๊บ พ่อแม่ตัดเราออกจากการเป็นลูก ตัดเราออกจากกองมรดก มันเป็นไปไม่ได้ เพราะว่าเป็นพ่อแม่แล้ว ก็เป็นไปตลอดชีวิต เหมือนเราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราก็เป็นลูกของพระองค์ไปตลอดชีวิต ไม่มีรายการว่าวันนี้เราทำบาป พระเจ้าบอกว่าตัดหางปล่อยวัด ไม่มี

พอเราซาบซึ้ง ซึมซับ เห็นความรักของพระเจ้ามากเท่าไร? จะเป็นกำลังใจให้กับพวกเรา ที่พวกเราจะสามารถเอาชนะการล่อลวง ทุกรูปแบบได้ อาจจะนานๆ แพ้บ้าง? อะไรบ้าง? ก็ไม่เป็นไร  แต่ไม่ว่าเราจะล้ม แพ้ หรือหลงทำบาป  อย่าให้มารหลอกเราว่า …

“นี่ไง ทำบาปแล้ว เธอไม่รอดแน่ๆ  เธอตายแน่ๆ”

ไม่จริงนะ เชื่อแล้วเชื่อเลย เป็นลูกแล้วเป็นลูกเลย วิญญาณเราถูกเปลี่ยนเรียบร้อยไปแล้ว ก็เป็นอย่างนั้นเลย ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงกลับไปที่เดิมได้อีก

นี่คือสิ่งที่ถ้อยคำของพระเจ้าบอกไว้ เราขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์เปิดตาใจให้เราเห็นชัดๆ เมื่อก่อนเห็นไม่ชัด กลัว วันนี้ทำอีกแล้ว จะรอดไหม  ต่อให้เป็นผู้รับใช้ ก็รู้สึกนะ  ตกลงเราจะรอดไหม อะไรแบบนี้

แต่ว่าตอนนี้ พอรู้ความจริง  ความจริงก็ปลดปล่อยเราให้เป็นอิสระ เป็นไท เราก็ไม่ต้องไปกลัวแล้วว่าตกลงเราจะรอดหรือไม่รอด แค่ว่าถ้าเธอทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เธอก็เจ็บ  เจ็บบนโลกใบนี้ อย่างไรเธอก็ต้องรับผล อะไรอย่างนี้

เราก็ขอบคุณพระเจ้า สำหรับอาจารย์นครที่สอนเราในเรื่องของตัวตนจริงๆ ของเรา สมัยก่อน มีพระคัมภีร์เล่มแรกที่หายไป นั่งแท็กซี่แล้วก็ลืมไว้ในรถ เสียดายมาก จดอะไรเยอะแยะมากมาย แต่ดีแล้วล่ะ  เพราะที่จดๆ มันไม่ใช่  เคยวาดรูปการ์ตูนด้วย เคยสอนด้วย คือสอนว่าตื่นเช้าขึ้นมา เราก็จะสู้กับตัวเอง คือตัวเก่าของเรา กับตัวใหม่ด้วย แล้วสู้กัน แล้วดูสิว่าตัวไหนจะชนะ ถ้าตัวเก่าชนะ เราก็ไปทำบาป ถ้าตัวใหม่ชนะ เราก็ไม่ทำบาป ซึ่งมันไม่ใช่นะ ความจริงที่พระเจ้าเปิดให้เห็น ก็คือเราไม่ต้องสู้กับตัวเอง  เราไม่ได้เป็นศัตรูกับตัวเอง  เราเป็นมิตรกับตัวเอง เราเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว เราไม่ต้องต่อสู้อะไร สิ่งที่เราต้องสู้ คือผีมารซาตานที่มันมาล่อเรา นั่นแหละ ศัตรูตัวจริงๆ ของเราที่แอบแฝงอยู่ เราสู้กับศัตรูตัวนี้แหละ ตัวเอง เราไม่ต้องสู้แล้ว  เพราะตัวเก่า ตัวบาปของเรา ได้ตายไปแล้ว ถูกฝังไปกับพระเยซูคริสต์ ในวันที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเราเรียบร้อยไปแล้ว ตายแล้ว วิญญาณบาปตายแล้ว ณ เวลานี้ วิญญาณเราเป็นวิญญาณใหม่ ชอบธรรม สะอาดหมดจด บริสุทธิ์ เหมือนพระเจ้า เหมือนพระเยซูคริสต์ไม่มีผิดเลย

นี่คือความจริง ความจริงที่เราต้องรับรู้ พระเยซูถึงบอกว่า …

“ถ้าท่านรู้ความจริง ความจริงจะปลดปล่อยท่านให้เป็นไท ให้เป็นอิสรภาพ”

โดยที่เราไม่ต้องหวาดกลัวอะไร แล้วเรารู้ว่าพระเจ้าที่อยู่ในเรา พระองค์จะคอยช่วยเหลือเรา คอยเป็นกำลังใจให้กับเรา คอยหนุนจิตชูใจเรา คอยพยุงเรา แล้วพระเจ้าทรงสัญญาว่าพระองค์จะไม่ทอดทิ้งเรา พระองค์จะจับมือเราเดิน ไม่ว่าจะยากขนาดไหน? พระเจ้าจะพาเราเดินผ่านไป ด้วยพระคุณ ด้วยความรัก ซึ่งมาจากพระเจ้า พระเจ้าอวยพรค่ะ

 

***************************