วารสาร Holy News ฉบับที่ 1341

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  5  ธันวาคม  2021

เรื่อง “หนังสือเอเฟซัส” ตอน  5

โดย  วราพร  คงล้วน

 

วันนี้เรามาต่อในหนังสือเอเฟซัส บทที่ 1  เดือนที่แล้ว เราจบลงข้อที่ 19  วันนี้เราต่อข้อที่ 20 ครั้งที่แล้ว ข้อที่ 19 บอกว่า …

เอเฟซัส 1:19 “เพื่อท่านจะได้เริ่มต้นเรียนรู้ถึงฤทธิ์เดชอำนาจยิ่งใหญ่มหาศาล  ที่ไม่มีขีดจำกัดและหาที่เปรียบไม่ได้ของพระเจ้า ซึ่งเป็นฤทธิ์เดชอำนาจพลังที่ยิ่งใหญ่มหาศาลทางฝ่ายวิญญาณ  ที่กระทำการงานอยู่ภายในเรา  และเพื่อเราผู้ซึ่งได้เชื่อ (รับสิทธิ์ของเราที่พระเยซูได้ไถ่บาปให้)”

 

อาจารย์เปาโลได้พูดถึงฤทธิ์อำนาจที่ยิ่งใหญ่มหาศาล ที่ไม่มีอะไรสามารถเปรียบได้เลย ที่ได้กระทำการงานอยู่ในพวกเราทุกคนผู้เชื่อ ฤทธิ์เดชอำนาจนี้พวกเราได้รับมาเรียบร้อยไปแล้ว วันที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ฤทธิ์เดชนี้ก็เข้ามาทำการงานในชีวิตของเรา ในวิญญาณของเรา เมื่อเราเปิดใจปุ๊บ พระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็เข้ามาบัพติศมาเรา ที่เราคุยกันหลายรอบแล้วบัพติศมา เป็นเรื่องที่สำคัญสำหรับชีวิตของเรา ที่เราจำเป็นต้องรู้ บัพติศมาวิญญาณของเรา ก็คือเอาวิญญาณของเราไปฆ่าให้ตาย ไปตรึงพร้อมกับพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน วิญญาณของเรา ก็ตายไปแล้ว ถูกฝังไว้พร้อมกับพระเยซูคริสต์ ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจที่ยิ่งใหญ่สูงสุด เป็นฤทธิ์เดชอำนาจอันเดียวกัน ที่พระเจ้าได้ทรงชุบพระเยซูคริสต์ให้เป็นขึ้นมาจากความตาย และฤทธิ์อำนาจอันนี้ ก็ได้ชุบวิญญาณของเรา ให้บังเกิดใหม่

ฉะนั้น การบังเกิดใหม่เข้ามาอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้า เป็นฤทธานุภาพที่ยิ่งใหญ่สูงสุด เมื่อเราบังเกิดใหม่ในด้านวิญญาณปุ๊บ พระพรนานัปการ ที่พระเจ้า พระเยซูคริสต์ ได้ทรงกระทำบนไม้กางเขน สำเร็จเรียบร้อย ก็เป็นของเรา พระพรนานัปการเหล่านี้ มีเยอะแยะมากมาย ที่ในโลกวิญญาณ พวกเราผู้เชื่อได้รับเรียบร้อยไปแล้ว แล้ว ณ เวลานี้ พวกเราผู้เชื่อก็ทำอย่างเดียว คือเรียนรู้ รับรู้ความจริงที่พระเจ้าได้ทำให้เราสำเร็จแล้วว่ามีอะไรบ้าง? แล้วเราจะขอบคุณพระเจ้าสำหรับพระพรนานัปการเหล่านี้ ในการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ให้เราสามารถที่จะมีกำลังที่เข้มแข็งขึ้น แล้วมองไปที่พระพรฝ่ายวิญญาณที่พระเจ้าทำให้เราเรียบร้อยไปแล้ว ซึ่งเราได้คุยกันบ่อยมากในเรื่องของพระพรฝ่ายวิญญาณ ที่พี่น้องจำเป็นจะต้องรับรู้ จำเป็นจะต้องจดจำเอาไว้ว่าเราได้รับอะไรบ้าง ในการที่เราได้เข้ามาตัดสินใจ เปิดใจของเราต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดตามเงื่อนไขที่พระเจ้าได้กำหนดไว้เงื่อนไข คือเราเชื่ออย่างเดียวเฉยๆ ไม่ได้ เราต้องแสดงเจตจำนงว่าเราเชื่อ แล้วเราอยากได้รับสิ่งนี้ด้วย โดยการเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ก็คือเข้ามาเชื่อนั่นเอง

ทันทีที่เราเชื่อ ขบวนการการผ่าตัดวิญญาณเกิดขึ้นปุ๊บ เราก็ได้บังเกิดใหม่ เข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้า พอบังเกิดใหม่ปุ๊บ วิญญาณเก่าที่เป็นบาป ที่อยู่ภายใต้คำสาปแช่งของโลกใบนี้ ตั้งแต่เดิม เมื่อเราเกิดมา เราก็อยู่ภายใต้คำสาปแช่งแล้ว วิญญาณนี้ ก็ได้ตายจากเรา ตายไปแล้วนะ แล้วเราทุกคนผู้เชื่อ ก็มีวิญญาณที่บังเกิดใหม่ เป็นวิญญาณใหม่ ที่สะอาดบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า พระเยซูคริสต์ไม่มีผิดเลย เป็นวิญญาณที่ชอบธรรมจำเพาะพระพักตร์ของพระเจ้า ที่เราคุยกันบ่อยๆ ว่ามนุษย์ไม่สามารถพึ่งพากำลังของตัวเอง ที่จะพยายามตะเกียกตะกายทำความดี เพื่อให้ได้ตามมาตรฐานที่พระเจ้ากำหนดไว้ คือ 100% เต็ม ไม่มีผิดพลาดแม้แต่จุดเดียว ขีดเดียว ไม่ได้ และตลอดทุกเวลาด้วย 24 ชั่วโมงในหนึ่งวัน แล้วก็ 365 วันในหนึ่งปี ทุกวัน ทุกเวลา ทุกวินาที คือไม่พลาดเลยแม้แต่นิดเดียว  เราถึงสามารถมาถึงมาตรฐานของพระเจ้าได้ เป็นผู้ชอบธรรม ฉะนั้น พระเยซูกำลังชี้ให้มนุษย์ซึ่งเป็นคนบาปได้เห็นว่ามนุษย์ไม่สามารถทำได้หรอก มีวิธีเดียวเท่านั้น ก็คือมาพึ่งในพระเยซูคริสต์เท่านั้น พึ่งในการกระทำของพระเยซูคริสต์ที่ได้สิ้นพระชนม์ เพื่อเรา บนไม้กางเขน และได้ทำให้เราหลุดพ้น จากการเป็นทาสของความบาปและความตาย และผู้เชื่อทุกคน เมื่อได้ตัดสินใจเปิดใจต้อนรับแล้ว ขบวนการทั้งหมด ก็ถูกกระทำการในโลกวิญญาณ

“โลกวิญญาณ” ตรงนี้หมายความว่ามือเราไม่สามารถสัมผัสได้ ตาเราไม่สามารถมองเห็นได้ ความรู้สึกเราก็จะไปรู้สึกไม่ได้ด้วย ถ้าเราเชื่อพระเจ้าด้วยความรู้สึก มันก็ทำให้เราพลาดได้ เพราะว่าความรู้สึกของมนุษย์ จะขึ้นลงตามสถานการณ์รอบด้านของเรา แต่พระเจ้าบอกเราว่าให้เราเชื่อตามที่ถ้อยคำของพระเจ้าได้บันทึกไว้ หรือระบุไว้ว่าเมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว อะไรบ้างที่เกิดขึ้นกับชีวิตใหม่ของเรา

อันดับแรกเลย ทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด วิญญาณเราเปลี่ยนจากวิญญาณบาป มาเป็นวิญญาณชอบธรรม เราเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้าทันทีเลย เราสะอาดบริสุทธิ์ทันทีเหมือนพระเจ้าเลย เราเข้ามาอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้าทันที เราได้มาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าพระเยซูคริสต์ พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทันทีเลย พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคเข้ามาสถิตอยู่ในเราทันทีด้วย เพราะว่าเราได้รับการชำระให้บริสุทธิ์แล้ว แล้วทันทีอีกเช่นกัน เราได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า ร่วมกับพระเยซูคริสต์ที่สวรรคสถาน ณ เวลานี้ ในโลกวิญญาณ มันเกิดขึ้นแล้ว และเป็นอย่างนั้นด้วย ฉะนั้น เมื่อเราใคร่ครวญถึงสิ่งต่างๆ เหล่านี้ เราจะมีกำลังใจในการดำเนินชีวิต ซึ่งต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก บนโลกใบนี้ ซึ่งโลกใบนี้ ในพระคัมภีร์บอกว่ามันถูกสาปแช่งไปแล้ว แล้วในขณะเดียวกัน พระเยซูคริสต์ก็บอกกับเราว่าในโลกนี้ ท่านจะประสบกับความทุกข์ยาก แต่ให้ชื่นใจ เพราะเราชนะโลกแล้ว เราผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ เราได้ชนะโลกใบนี้แล้ว โลกใบนี้ ความยากลำบากไม่สามารถมีชัยเหนือเราได้เลย เพราะว่าเรารู้ความจริงเหล่านี้ ทำให้เรามีความสามารถที่จะอดทน

ฉะนั้น ความทุกข์ยากอีกอย่างหนึ่ง ที่มันเกิดขึ้นกับคริสเตียน คือทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด วิญญาณเราอยู่ฝ่ายพระเจ้าเลย พออยู่ฝ่ายพระเจ้าปุ๊บ เราก็เป็นศัตรูกับฝ่ายของมาร นึกออกไหม? เมื่อก่อนเราอยู่ฝ่ายมาร  เราเป็นพวกเดียวกัน แต่พอเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ปุ๊บ เราอยู่กันคนละพวกเลย ดำกับขาวทันทีเลย เมื่อเป็นดำกับขาวปุ๊บ การข่มเหง หรือความทุกข์ยากลำบาก ที่เกิดขึ้นอีกอย่างหนึ่ง สำหรับผู้เชื่อหรือคริสเตียน ก็คือเราจะถูกข่มเหง เพราะเราเชื่อและรักพระเยซู

นี่เป็นอีกอันหนึ่งที่เราขอบคุณพระเจ้าได้ ในหนังสือยากอบที่บอกว่าเมื่อท่านประสบกับความทุกข์ยากลำบาก ให้ท่านชื่นชมยินดี … ชื่นชมยินดีตรงไหน? ตรงที่ว่าถ้าเขาข่มเหงเรา เพราะเราเชื่อพระเยซู แปลว่าเราของจริง เราเชื่อพระเจ้าจริงๆ เขาถึงข่มเหงเรา ถ้าเราเชื่อพระเจ้าไม่จริง  เราก็ยังเป็นพวกเดียวกันกับเขาเหมือนเดิม  เขาก็ไม่ข่มเหงเรา ฉะนั้น ชัดเจนมากเลย เราก็ขอบคุณพระเจ้า สำหรับสิ่งดีเหล่านี้ เรามาต่อข้อที่ 20 …

เอเฟซัส 1:20 “ซึ่งเป็นฤทธิ์เดชอำนาจพลังที่ยิ่งใหญ่มหาศาลเดียวกันกับที่พระเจ้าได้กระทำในพระเยซู  เมื่อตอนที่พระองค์ได้ชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย และได้แต่งตั้งให้พระเยซูนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระองค์  ในย่านฟ้าอากาศ (สวรรค์) ต่างๆ ในโลกฝ่ายวิญญาณ”

 

เป็นฤทธานุภาพอันเดียวกัน เมื่อเราเชื่อและวางใจในพระเจ้าปุ๊บ วิญญาณเราได้เปลี่ยนใหม่ปุ๊บ ได้เกิดพลังอำนาจที่มหาศาลมากในโลกวิญญาณ  ที่พระเจ้าทรงกระทำการงานในวิญญาณของเรา ซึ่งตัวเรา เราไม่รู้หรอก และเราไม่เข้าใจ และเราสัมผัสไม่ได้ แต่ถ้อยคำของพระเจ้าบอกว่าทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ มันมีขบวนการที่ยิ่งใหญ่มหาศาล อลังการเกิดขึ้นในวิญญาณของผู้เชื่อทุกคน  ก็คือพระเจ้าได้ทำการบัพติศมาเราเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร และพระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ คือเข้ามาดองกัน เป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นครอบครัวเดียวกัน เข้ามาเป็นวิญญาณเดียวกัน

พอพูดถึงคำว่า “บัพติศมา” เรามาทำความเข้าใจกับคำว่า “บัพติศมา” นิดหนึ่ง คืออยากจะให้เข้าใจ สมัยก่อน คือตัวดิฉันเองก็ไม่เข้าใจเรื่องนี้หรอก เมื่อก่อนตอนที่เราเชื่อพระเจ้าใหม่ๆ เราถูกสอนมาเรื่องของการบัพติศมาในน้ำ เราไม่เคยเข้าใจเรื่องของการบัพติศมาในพระวิญญาณเลย ที่พระเจ้าพูดกับเรา จริงๆ ในพระคัมภีร์เขาก็พูดชัดเจน แต่เราไม่เข้าใจ คือความสามารถในการเข้าใจในโลกวิญญาณเรายังไปไม่ถึง พอไปไม่ถึง เราก็จะคิดแค่ตื้นๆ ว่าคำว่า “บัพติศมา” อย่างเวลาเราเชื่อพระเจ้าปุ๊บ วิญญาณเราได้บังเกิดใหม่แล้ว ตรงนั้น เราก็ยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร? เราแค่รู้ว่าเราเชื่อพระเจ้านะ พอเชื่อพระเจ้ามาประมาณหนึ่ง  เราก็จะไปเรียนถ้อยคำของพระเจ้า เพื่อเราจะได้ทำพิธีบัพติศมาในน้ำ พี่น้องจำได้ใช่ไหมค่ะ ทำพิธีบัพติศในน้ำ แล้วเราก็มีความเข้าใจผิด คิดว่าถ้าผู้เชื่อคนไหนที่เชื่อพระเจ้าแล้ว เกิดจากไปอยู่กับพระเจ้า  แล้วยังไม่ได้ทำพิธีบัพติศมาในน้ำ เขาอาจจะไม่รอดก็ได้  คือเราให้ความสำคัญของพิธีบัพติศมาในน้ำผิดไป พอผิดไปปุ๊บ ความเชื่อเราก็เลยไม่หนักแน่น มั่นคงพอ

ตอนที่มารับใช้พระเจ้าใหม่ๆ เมื่อเชื่อพระเจ้า เมื่อก่อนเรายังเข้าใจว่าเราต้องไปติดตามผล ภายใน 24 ชั่วโมง เพื่อว่าผู้เชื่อคนนั้นจะได้ไม่ตาย วิญญาณเขาไม่ตาย  เขาจะได้เจริญเติบโต แต่ความเป็นจริง คือมันไม่จริง ไม่ใช่ มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับเราไปติดตาม ไม่ติดตาม แต่ขึ้นอยู่กับว่าคนนั้น เขาเชื่อจริงหรือไม่จริง เมื่อเขาเปิดใจต้อนรับพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเป็นผู้ดูแลเขาเอง  การเจริญเติบโตของผู้เชื่อคนหนึ่ง คนใดไม่ได้ขึ้นอยู่กับผู้รับใช้เลย  ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเราไปสอนพระคัมภีร์เขา ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเราไปเยี่ยมเยือนเขา ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเราอธิษฐานเผื่อเขาทุกวินาที ไม่เกี่ยวกันเลย  แต่ขึ้นอยู่กับพระเจ้า  พระเจ้าเป็นผู้กระทำการงานให้เขาเจริญเติบโต

แต่ว่าการไปเยี่ยมเยือนดีไหม? ดี การอธิษฐานเผื่อดีไหม? ดี การได้ไปสอนถ้อยคำของพระเจ้าดีไหม? ก็ดีอีก แต่ว่ามันเป็นแค่ส่วนหนึ่งของการหนุนจิตชูใจ เพื่อให้ผู้เชื่อคนนั้น ได้เข้าใจเรื่องราวของพระเจ้ามากขึ้น แต่ไม่มีผลอะไรเกี่ยวกับด้านวิญญาณของผู้เชื่อคนนั้นเลยว่าเขาจะเป็นหรือจะตาย ไม่ได้ขึ้นอยู่กับผู้รับใช้ อันนี้พี่น้องต้องชัดเจนนะ ก่อนหน้านั้นไม่ชัดเจน ก็เข้าใจว่าถ้าเกิดผู้เชื่อคนไหนตาย ไม่ใช่ตายในด้านของร่างกาย แต่ตายในด้าน คือทิ้งพระเจ้าไป เราก็ทุกข์มากเลย ทุกข์ตรงที่ว่าเราดูแลเขาไม่ดีพอ เราไปเยี่ยมเยือนเขาไม่มากพอ เราอธิษฐานเผื่อเขาน้อยไป  เขาถึงได้ทิ้งพระเจ้าไป เป็นความรู้สึกฟ้องผิดมาประมาณหนึ่ง ระยะหนึ่งที่เรายังไม่เข้าใจความจริงของพระเจ้า พอได้เข้าใจความจริงของพระเจ้าปุ๊บ เป็นอิสระเลย อย่างที่พระเยซูบอก ถ้าท่านรู้ความจริง ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท คือเป็นอิสระ เรารู้ความจริงตรงที่ว่าใครก็ตามที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ พระเจ้าสถาปนาเขาไว้แล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นผู้ประทับตราเขาว่าเขาเป็นลูกของพระเจ้า  พอประทับตราเรียบร้อยแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งเป็นพี่เลี้ยงของคนๆ นั้น คือเรารับรู้ความจริงตรงที่ว่าทันทีที่เราเปิดใจรับเชื่อ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะสถิตในเรา  พระเจ้าพระเยซูคริสต์สถิตอยู่ในเรา  พระบิดาอยู่ในเรา เป็นหนึ่งเดียวกัน

ฉะนั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงของคนๆ นั้น ที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ แล้วก็จะค่อยๆ เลี้ยงดู ส่วนคนอื่นที่เป็นผู้รับใช้ หรือเพื่อนคริสเตียนด้วยกัน ที่เป็นผู้เชื่อนานกว่า ก็จะเป็นแค่หน่วยเสริม เป็นกำลังเสริมเท่านั้น  แต่ไม่ได้เป็นกำลังหลัก ดังนั้น กำลังหลักของผู้เชื่อ คืออยู่ที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ เมื่อเขาเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเข้าไปทำการงาน จะเข้าไปสอนเขา ผ่านทางสิ่งที่เขาได้ยิน คือถ้อยคำของพระเจ้า ผ่านทางเวลาเขาอ่านถ้อยคำของพระองค์ ผ่านทางการอธิษฐาน พระวิญญาณบริสุทธิ์จะค่อยๆ เปิดให้เขาเข้าใจในเรื่องราวของพระเจ้า

เหตุการณ์ตรงนี้เกิดขึ้น นี่พูดถึงตอนที่ดิฉันรับใช้ใหม่ๆ มีผู้เชื่อคนหนึ่งมาเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ในวันอาทิตย์ ปรากฎว่าเขายังไม่ได้บัพติศมาในน้ำเลย เขาตายจริงๆ คือเขาตายจากโลกนี้ไปเลย ตอนนั้นทุกข์สาหัสตรงที่ว่าเขายังไม่บัพติศมาในน้ำเลย แล้วเขาจะรอดไหม? นั่นคือสิ่งที่ให้เรารับรู้และเห็นว่าเราไม่รู้ความจริงชัดเจน เลยทำให้เราทุกข์  เราไม่เป็นไท เราถูกพันธนาการ เราไม่เป็นอิสระ

ณ เวลานี้ สิ่งที่พระเจ้าได้เปิดให้เราเห็น ให้เรารู้ถึงเรื่องบัพติศมา มันเกี่ยวกับเรื่องของวิญญาณ พระเจ้าเพิ่งมาเปิดให้รู้นะ เชื่อพระเจ้ามา 35 ปีแล้ว เพิ่งจะได้พบความจริงตรงนี้ว่าที่พระเยซูบอกการบัพติศมา มันเกี่ยวกับเรื่องของวิญญาณ  แล้วถ้อยคำของพระเจ้าที่เราเรียนรู้ ที่เราอ่าน ที่เราอะไรทั้งหมด พระเยซูพุ่งเป้าไปที่วิญญาณอย่างเดียว เรื่องของวัตถุมีน้อยมาก  พระพรทางฝ่ายวัตถุ พระเจ้าจะประทานให้กับพวกเราตามที่พระองค์เห็นชอบว่าใครควรจะได้รับอะไร? อย่างไร? เมื่อไรตามน้ำพระทัยของพระเจ้า พระองค์ก็จะดูแล ส่วนเรื่องของโลกวิญญาณพวกเราได้รับเท่ากัน เราจำเป็นต้องรับรู้

วันนี้เรามาคุยเรื่องบัพติศมาในน้ำนิดหนึ่ง เมื่อก่อนดิฉันก็สอน  พระธรรมยอห์น คำสอนก็คือเราเข้าใจตามแบบมนุษย์ เราก็สอนตามที่เราเข้าใจ แต่ตอนนี้ เรามาเริ่มเข้าใจตามแบบที่พระเจ้าเปิดให้เห็น ในโลกวิญญาณ เรามาทำความเข้าใจใหม่ พี่น้องที่เคยได้ยินคำสอนเดิม ที่ดิฉันสอนไป ลบคำสอนนั้นออกไป เอาคำสอนใหม่ คือความเข้าใจใหม่ที่พระวิญญาณเปิดให้เราเห็น อันใหม่เลย

เพื่อพี่น้องจะได้รับรู้ความจริง คืออะไร? ตอนที่เราพูดเรื่องบัพติศมาในน้ำ  ในช่วงที่พระเยซูมาทำภารกิจของพระองค์ตอนเริ่มแรก ที่เราเรียนมาในพระธรรมยอห์น จำได้ใช่ไหม? ที่ยอห์นบัพติศโต เป็นคนที่พระเจ้าส่งมา เป็นผู้เผยพระวจนะที่จะมาประกาศให้คนยิว ในยุคของพระกิตติคุณทั้งหมด จะพูดถึงคนยิวเลย คนต่างชาติยังไม่เกี่ยวนะ อาจจะมีประปรายมานิดหน่อย แต่ส่วนใหญ่จะพูดถึงคนยิวโดยเฉพาะ และเป็นพื้นฐานที่คนยิวเขาเข้าใจอยู่แล้ว เป็นประเพณีดั้งเดิมที่คนยิวเขาเข้าใจอยู่แล้ว

ยอห์นบัพติศโตเป็นผู้เผยพระวจนะคนสุดท้าย ที่พระเจ้าส่งมา ก็คือส่งมาเพื่อกรุยทาง เหมือนกับบอกทาง เพื่อที่จะเตรียมทางให้กับเรื่องของฝ่ายวิญญาณ ที่ในอนาคตข้างหน้าเมื่อพระเยซูคริสต์ทรงกระทำภารกิจของพระองค์สำเร็จ บนไม้กางเขนปุ๊บ มนุษย์ทุกคนจะวิ่งเข้ามาสู่โลกฝ่ายวิญญาณทันทีเลย ก่อนหน้านั้น  ตอนที่พระเยซูยังเดินอยู่บนโลกใบนี้ ทุกคนเขายังไม่เชื่อ แค่รู้ว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า  แล้วมาติดตาม เป็นแค่ผู้ติดตามเท่านั้น แล้วผู้ติดตามเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นสาวก 12 คน หรือว่าเป็นใครก็ตาม ก็ยังอยู่ในบาป ฟังชัดๆ นะ คนเหล่านั้น ตอนที่ติดตามพระเยซูคริสต์ วิญญาณเขายังอยู่ในบาป เพราะว่าพระเยซูคริสต์ยังไม่ได้กระทำภารกิจของพระองค์สำเร็จ ยังไม่ได้มาชดใช้ความผิดบาปให้กับมนุษยชาติ ยังไม่มีหนทางใหม่ ที่จะให้มนุษย์ได้เดิน ได้เลือก ฉะนั้น มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ยังเป็นคนบาปอยู่ อยู่ในธรรมชาติบาปอยู่ เพียงแต่มนุษย์กลุ่มนี้ ก็คือชาวยิวเหล่านี้ ได้ยินได้ฟังเรื่องราวของพระเจ้า ที่พระเจ้าบอกว่าวันหนึ่งข้างหน้า พระองค์จะประทานพระมาซีฮาห์มาให้กับพวกเขา  ซึ่งเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเขา และเขาคอยติดตามว่าพระผู้ช่วยให้รอดคนนี้มาถึงเมื่อไร? ดังนั้นใจเขาเปิดประมาณหนึ่งแล้วว่า …

“ฉันเชื่อในสิ่งที่พระยะโฮวาห์ได้บอกไว้ในอดีต แล้วคนกลุ่มนี้ เขาก็จะพยายามจ้องว่าเมื่อไร? อย่างไร? พอยอห์นบัพติศโตมาประกาศว่าให้ทุกคนกลับใจใหม่ แล้วก็มาบัพติศมาในน้ำ คนยิวที่มีความตั้งใจอยู่แล้ว คือเฝ้ารอคอยว่าพระมาซีฮาห์จะมาเมื่อไร พอได้ยินปุ๊บ ทุกคนก็แห่แหนกันมาเลย  มาทำพิธีบัพติศมาในน้ำกับยอห์น เพราะเขาเชื่อว่ายอห์น คือผู้เผยพระวจนะที่พระเจ้าส่งมาจริงๆ พอคนในยุคนั้นเชื่อปุ๊บ เขาก็มาบัพติศมาในน้ำ แต่สิ่งที่พระเจ้าอนุญาตให้ยอห์นทำพิธีบัพติศมาในน้ำ คือมันเป็นประเพณีเดิมของพวกชาวยิวอยู่แล้ว ที่คนยิว มักจะใช้น้ำ เกี่ยวกับทุกอย่าง เราจะเห็นว่าชาวยิวก่อนขึ้นเรือน ก็ใช้น้ำล้างเท้า ก่อนเข้าวิหาร พวกมหาปุโรหิตจะเข้าไปถวายเครื่องบูชา ก็ต้องใช้น้ำในการล้างมือ แล้วปุโรหิตที่ต้องเตรียมตัวจะเข้าไปถวายเครื่องบูชา ซึ่งในยุคนั้น ที่พระเยซูยังอยู่บนโลกใบนี้ ณ ที่เราเรียนอยู่ตรงนี้ ในพระธรรมยอห์น ก็คือคนยิว ก็ยังปฏิบัติภารกิจ ตามที่พระเจ้าได้กำหนดไว้ให้กับโมเสสว่าเขาต้องทำอย่างไร? ในแต่ละปี ต้องถวายเครื่องบูชา เพื่อไถ่บาปเขา ก็คือแค่ลบล้างบาปปีต่อปีเท่านั้น คนอิสราเอลทุกคน เมื่อถึงวันเวลาที่กำหนดว่าต้องเอาสัตว์มาถวาย เป็นเครื่องบูชา สำหรับที่จะลบบาปของเขาในปีนั้น  เขาก็จะเดินทางมาที่กรุงเยรูซาเล็ม  แล้วก็เอาแกะที่พระเจ้ากำหนดไว้ มาให้กับมหาปุโรหิต เพื่อทำการนำเลือดของแกะเข้าไปถวายในอภิสุทธิสถาน ซึ่งพระเจ้ากำหนดไว้ในพระคัมภีร์เดิม

ฉะนั้น ก่อนประมาณอาทิตย์หนึ่ง ปุโรหิตที่ต้องทำหน้าที่เขาจะอาบน้ำ วันละ 3 รอบ 4 รอบ เพื่อชำระร่างกายภายนอกให้สะอาด เพื่อเตรียมพร้อมที่จะเข้าไปข้างในห้องอภิสุทธิสถาน  เพื่อถวายเลือดให้กับประชาชน คนยิว ปุโรหิตถ้าไม่ทำอะไรให้เรียบร้อย เข้าไปในอภิสุทธิสถานปุ๊บ เขาตายเลย ก็คือถ้าไม่บริสุทธิ์  ไม่ได้ชำระร่างกายข้างนอกให้บริสุทธิ์ ไม่ได้ชำระใจของตัวเอง  ก็คือปุโรหิตต้องถวายเลือดแกะ สำหรับตัวเองด้วย ไถ่บาปให้กับตัวเองก่อน แล้วถึงสามารถที่จะนำเลือดของแกะที่ประชากรชาวยิวเอามาถวาย แล้วก็นำเข้าไปในอภิสุทธิสถาน นี่คือกฎในสมัยโบราณ สมัยที่พระเจ้าให้กับโมเสส

ฉะนั้น การชำระล้างด้วยน้ำ ไม่ว่าจะเป็นล้างเท้า ล้างมือ อาบน้ำ อะไรทั้งหมด เป็นเรื่องของภายนอกเท่านั้น มันไปไม่ถึงข้างใน ไม่ถึงพระเจ้า ก็คือคนยิวในยุคนั้น ไปไม่ถึงพระเจ้า เขาแค่สามารถทำระดับหนึ่งเท่านั้น  แล้วตอนที่ยอห์นมาให้บัพติศมาในน้ำ จะเล็งถึงการชำระล้าง เตรียมใจของคนอิสราเอล เตรียมใจสำหรับคนที่เขาเปิดใจอยู่แล้ว รอคอยพระมาซีฮาห์ เพื่อคนที่แสวงหาพระเจ้าอยู่แล้ว พอเตรียมใจปุ๊บ พิธีกรรมตรงนี้ ก็คือล้างด้วยน้ำซะก่อน คือเข้าไปบัพติศมาในน้ำ แล้วค่อยเหมือนปุโรหิตล้างชำระตัวเอง แล้วค่อยนำเอาเลือดเข้าไปถวายให้กับพระเจ้า มันเป็นพิธีกรรมเดียวกัน ก่อนเข้าพระวิหารลานชั้นนอก ถ้าพี่น้องไปอ่านกฎสมัยโบราณ พระเจ้าให้โมเสสทำเยอะแยะมากมาย ลานชั้นนอกมีอ่าง มีอะไรเยอะแยะมากมาย ก็คือทุกอย่างต้องชำระข้างนอกก่อนที่จะไปถึงลานชั้นใน จนเข้าถึงพระเจ้า

พระเจ้าให้ยอห์นทำตรงนี้ เพื่อเตรียมตัวคนอิสราเอลให้พร้อม เพื่อที่จะสามารถรับพระมาซีฮาห์ คือพระผู้ช่วยให้รอด ที่กำลังจะมา ซึ่งจริงๆ มาแล้วแหละ ตอนที่ยอห์นมาให้บัพติศมา มาแล้ว แต่ยังไม่ได้กระทำภารกิจของพระองค์สำเร็จ แต่สิ่งที่ยอห์นทำ ก็คือพอยอห์นเห็นพระเยซูคริสต์ปุ๊บ พี่น้องจำได้ใช่ไหม? ยอห์นเห็นพระเยซูคริสต์ปุ๊บ ยอห์นจะบอกสาวกของตัวเองเลย …

“นั่นไง พระเมษโปดก ผู้ซึ่งพระเจ้าได้เตรียมไว้ ผู้ซึ่งจะมาไถ่บาปของมนุษยชาติ คนนี้แหละที่พระเจ้าได้ส่งมา”

ยอห์นบอกว่า … “พอคนนี้มา พวกเธอไม่ต้องมายุ่งกับฉันแล้ว ไปตามพระเยซูเลย”

แล้วเราจะสังเกตว่าสาวกเยอะแยะมากมายตามพระเยซูไป แล้วยังมีสาวกส่วนหนึ่งที่ยังติดตามยอห์นอยู่ เขาก็รู้สึกเดือดร้อนแทนยอห์น

ถามยอห์น … “ไม่เห็นหรือไง คนไปตามพระเยซูหมดเลย”

ยอห์นบอก … “ไปเดือดร้อนทำไมล่ะ นั่นคือเรื่องจริง”

นั่นคือสิ่งที่ยอห์นต้องการมาทำ เพื่อให้มนุษยชาติรับรู้ว่าตัวเอง ยอห์นไม่ได้เป็นพระมาซีฮาห์เลย ไม่ได้เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นแค่คนที่พระเจ้าส่งมา เพื่อบอกว่าเตรียมตัวให้ดีพร้อมนะ เมื่อพระเยซูทำภารกิจสำเร็จแล้ว พวกเธอจะได้เข้าไปผ่าตัดวิญญาณ เข้าไปบัพติศมาในพระวิญญาณ ไม่ใช่เฉพาะล้างร่างกายภายนอกอย่างเดียว คือชำระด้วยน้ำ นี่คือความเป็นจริงที่พระเจ้าเขียนไว้ในถ้อยคำของพระเจ้า

จำได้ไหมค่ะ วันที่พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นมาจากความตาย แล้วอยู่กับสาวก 40 วัน แล้วพระองค์ก็ถูกรับขึ้นไปบนฟ้าสวรรค์ แล้วพระเยซูคริสต์ก็บอกให้สาวกไปรอ เพื่อที่จะรับตามพระสัญญา แล้วสาวกก็ไปรอที่ห้องชั้นบน ที่พระเยซูบอกให้กลับไปที่กรุงเยรูซาเล็ม กรุงเยรูซาเล็ม คือที่ๆ พระเยซูถูกตรึงบนไม้กางเขน เป็นที่ๆ คนข่มเหงคริสเตียน เป็นที่ๆ อันตรายที่สุด ที่คริสเตียนพยายามวิ่งหนี ผู้ที่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า พยายามวิ่งหนี แต่พระเยซูบอกว่าให้กลับไปที่นั่นแหละ ที่กรุงเยรูซาเล็ม ไปรอรับตามพระสัญญา แล้วพอหลังจากนั้น 10 วัน พระวิญญาณบริสุทธิ์ถูกส่งมาในวันเพ็นเตคอส นั่นแหละเป็นวันที่ผู้เชื่อ ที่อยู่บนห้องชั้นบนทั้งหมด 120 ชีวิตได้รับการเจิม ได้รับการผ่าตัดวิญญาณในข้อที่ 20 ที่เราพูดถึงฤทธิ์เดชอำนาจที่ยิ่งใหญ่สูงสุด ที่พระเจ้าได้ทรงกระทำการในพระเยซูคริสต์ ที่ทรงชุบพระเยซูคริสต์ให้เป็นขึ้นมาจากความตาย  เป็นฤทธิ์เดชเดียวกัน  ที่พระเจ้าได้เทลงมา ในวันเพ็นเตคอส แล้วผู้เชื่อบนนั้น 120 คนได้กลับใจใหม่ ได้บังเกิดใหม่ ได้เข้ามาอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้า นั่นคือที่เริ่มแรก วันแรกของการมีผู้เชื่อจริงๆ ตอนนี้ คือคนที่ติดตามพระเยซูคริสต์ เป็นผู้เชื่อที่ติดตามจริงๆ เป็นผู้เชื่อที่เข้ามาอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้าจริงๆ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า หลอมเป็นหนึ่งเดียวกัน พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้เข้ามาอยู่ในคนกลุ่มนั้น ก่อนที่พระเยซูจะเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ พระเยซูก็สั่งสาวกว่า …

“ท่านจงรออยู่ที่กรุงเยรูซาเล็ม แล้วหลังจากนั้น ให้ไปประกาศสั่งสอนชนทุกชาติให้เป็นสาวกของเรา ให้เขาบัพติศมาในพระนามพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ แล้วเราจะอยู่กับท่านทั้งหลาย จนกว่าจะสิ้นยุค”

นี่คือคำสั่งสุดท้ายที่พระเยซูบอก แล้วเราก็เข้าใจว่าพระเยซูคริสต์สั่งให้เราไปประกาศ แล้วก็นำคนมาทำพิธีบัพติศมาในน้ำ ซึ่งไม่ใช่

การสั่งตรงนี้ พระเยซูบอกว่าไปสั่งสอน ประกาศเรื่องความจริง ในการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ให้กับชนทุกชาติ ที่เขาได้ยินได้ฟัง เมื่อใครก็ตามเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ พระวิญญาณจะนำผู้คนเหล่านั้นเข้ามาบัพติศมาในพระเยซูคริสต์ ก็คือเข้ามาผ่าตัดวิญญาณคนนั้น ให้เป็นวิญญาณใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเจ้า เข้ามาอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้า นี่คือความหมายจริงๆ ที่พระเยซูสั่งไว้

ถ้าพูดอย่างนี้ พิธีบัพติศมาในน้ำของเรา ก็ไม่มีประโยชน์เลยใช่ไหม?  เราทำไปเพื่ออะไร?  ฟังชัดๆ นะ พิธีบัพติศมาในน้ำที่พวกเราทำอยู่ทุกวันนี้ มีประโยชน์ตรงที่ว่าพี่น้องนึกให้ดีๆ นะ พอเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ปุ๊บ เราบังเกิดใหม่ใช่ไหม?  เราเกิดเป็นลูกพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้วใช่ไหม? แปลว่าเราเกิดแล้ว  เราเป็นพลเมืองในแผ่นดินสวรรค์เรียบร้อยไปแล้ว พอเราเป็นพลเมืองในแผ่นดินสวรรค์เรียบร้อยไปแล้วปุ๊บ พิธีบัพติศมาในน้ำ เป็นเหมือนเรามาฉลองการบังเกิดใหม่ของเรา

พี่น้องนึกภาพนะ ประเพณีนี้ยังอยู่ ที่พอวันเกิดของใคร เราก็จะมีแฮปปี้เบิร์ดเดย์ มีร้องเพลงสุขสันต์วันเกิด เขาก็จะซื้อเค้กให้กัน คำอวยพรต่างๆ ที่อวยพร คือคนๆ นั้นเกิดแล้วใช่ไหม? เกิดอยู่ในครอบครัวนั้น ที่เขารู้ว่าคนที่สำคัญที่สุด คือคนในครอบครัวจะอวยพรเขาก่อน  ให้เขารับรู้ว่าเธออยู่ในครอบครัวเดียวกันกับฉันนะ อะไรอย่างนี้ มันเป็นการหนุนจิตชูใจ ทำให้เกิดกำลังใจ ถามว่าถ้าคนไม่จัดฉลองวันเกิด คนนั้นยังเป็นคนอยู่ไหม? เป็นคนอยู่นะ คนนั้นยังเป็นลูกในบ้านของพ่อแม่อยู่ไหม? ยังเป็นอยู่นะ แต่ว่าทุกวันนี้ ที่เราจัดฉลองวันเกิด มันเป็นการหนุนจิตชูใจ มันปลื้ม คือมันเป็นอะไรที่เล็กๆ น้อยๆ  บางทีไม่ได้ทำอะไรเลย แค่เขียนข้อความว่า …

“Happy Birthday ขอพระเจ้าอวยพร ขอให้มีความสุข”

แค่นั้น เราก็มีความสุขเลย เรารู้สึกขอบคุณพระเจ้า มันเป็นการหนุนจิตชูใจ แค่ในด้านของโลกนี้เท่านั้น ไม่เกี่ยวอะไรกับวิญญาณ มีประโยชน์ตรงที่เราชื่นใจ เรามีความมั่นใจ คนที่มองเห็นเรา ก็มีความมั่นใจ คนนี้เชื่อจริงๆ นะ ถ้าไม่เชื่อจริงๆ เขาคงไม่ตัดสินใจที่จะทำพิธีนี้  แต่ว่าพิธีนี้ไม่ใช่ประเด็นสำคัญที่จะชี้ชะตาว่าคนนี้เชื่อหรือไม่เชื่อพระเจ้า ไม่ได้ชี้ชะตาว่าคนนี้เป็นลูกของพระเจ้าหรือไม่? ไม่เกี่ยวกัน เพราะว่าคนนี้ได้เกิดเข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว จากนั้น เขายืนยันการบังเกิดใหม่ของเขาด้วยพิธีบัพติศมาในน้ำ ตามที่คริสตจักรต่างๆ จัดขึ้น เพื่อว่ามีพี่น้องเยอะแยะมากมายมาแสดงความยินดี มีการเอาดอกไม้ให้ มีการกล่าวอวยพรซึ่งกันและกัน คือหนุนจิตชูใจทั้งผู้ที่บัพติศมาในน้ำและผู้ที่ได้อยู่ท่ามกลางพวกเราด้วย ชัดเจนนะ

พอชัดเจนปุ๊บ พี่น้องก็จะเป็นอิสระเลย ขอบคุณพระเจ้า ไม่ต้องไปบีบใครว่า …

“เธอเชื่อพระเจ้าตั้งนาน ทำไมเธอไม่มาลงชื่อบัพติศมาในน้ำสักที”

อะไรอย่างนี้ ไม่ได้เป็นประเด็นหลัก แต่ว่าถ้าทำดีไหม? ดีประมาณหนึ่ง แต่ไม่เกี่ยวอะไรกับโลกวิญญาณเลย โลกวิญญาณ ไม่ทำพิธีนี้เราก็ยังคงเป็นลูกของพระเจ้าอยู่ดี เพราะว่าวันที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ในโลกวิญญาณ เราเข้ามาอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว เราเป็นลูกของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว พระพรนานัปการที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับเรา เป็นมรดก เป็นชีวิตนิรันดร์ เป็นชีวิตที่ครบถ้วนบริบูรณ์ในอนาคตข้างหน้า  ที่ปัจจุบันเราผู้เชื่อรออยู่ ในขณะที่เราเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก ไม่ว่าจะลำบากขนาดไหน? เราก็ยังมีความหวังใจตรงที่ว่าไม่เป็นไร? แป๊บเดียว เดี๋ยวเราก็กลับบ้านแล้ว เมื่อเรากลับบ้าน ทิ้งร่างกายนี้ปุ๊บ วิญญาณเราออกจากร่าง เราได้ไปสวมร่างกายใหม่ ที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงสัญญากับเราว่าเตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว เป็นร่างกายที่เต็มไปด้วยสง่าราศี เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เป๊ะเลย และในขณะเดียวกัน  ก็ไปอยู่ในโลกใหม่ ที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับผู้เชื่อทุกคน เป็นโลกที่สวยงาม และในพระคัมภีร์วิวรณ์บอกว่าเป็นโลกที่ไม่มีการขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ไม่มีน้ำตา ไม่มีเจ็บป่วย ไม่มีทุกข์ร้อนอะไรเลย เราจะได้ไปอยู่กับพระเจ้า เห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า นี่ชัดเจนเลย เพราะทุกวันนี้พวกเราไม่เห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า ทุกวันเราต้องใช้ความเชื่อตามถ้อยคำพระเจ้า ที่บอกว่าเราเป็นใคร? หน้าตาเราเป็นอย่างไร? แต่ถ้าถึงวันที่เราทิ้งร่างกายนี้ วิญญาณเราออกจากร่างปุ๊บ เราจะได้ไปเห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า พระเจ้าหน้าเป็นอย่างนี้นี่เอง นึกออกไหมค่ะ คือตอนนี้ เราไม่สามารถนึกภาพพระเจ้าออกเลย อย่างที่ทุกวันนี้  พี่น้องเห็นเขาวาดภาพพระเยซู เราก็ไม่รู้ว่าพระเยซูจริงๆ พระองค์หน้าตาแบบนี้หรือเปล่า?  เพียงแต่ว่าเขาวาดภาพให้เราได้เห็น แต่ว่าความเป็นจริง เป็นอย่างไร เราไม่สามารถรับรู้ได้ แต่เราสามารถรับรู้ว่าที่ร่างกายเราทิ้งไป วิญญาณเราออกจากร่าง เราไปเจอพระเจ้าหน้าต่อหน้า พระเจ้าเป็นอย่างนี้นี่เอง แล้วแถมยังเจอหน้าตาของเราเองด้วยว่าหน้าตาในลักษณะของผู้บังเกิดใหม่ หน้าตาเราเป็นอย่างนี้  ขอโทษนะ โคตรสวยงาม ต้องเป็นอย่างนั้น แล้วเราก็ไปเห็นสิ่งที่พระเจ้าได้ให้กับเรา คือร่างกายใหม่ สวมเข้าไปเลย สวมแบบสง่าราศีเหมือนพระเยซูคริสต์ นั่นคือความหวังใจของคริสเตียนทุกคน ที่ทุกวันนี้ เราต้องเผชิญกับโลกใบนี้  แล้วเราก็ไม่รู้ว่าเราจะเจออะไรอีก โควิดจะหมดเมื่อไร? ปัญหาเรื่องของเศรษฐกิจจะดีขึ้นไหม? หรือเราจะไปทำงานแต่ละวันเราต้องผวา เราต้องเจอโน่นเจอนี่ แต่ว่าการเผชิญกับสิ่งต่างๆ เหล่านี้ กลายเป็นเรื่องที่เล็กน้อยมาก เมื่อเรารู้ความจริงว่า ณ เวลานี้ เราเป็นใครเรียบร้อยไปแล้ว ในโลกวิญญาณ พระเจ้าอวยพรค่ะ

 

*******************************

 

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

สถานการณ์ต่างๆ อาจเปลี่ยนหรืออาจไม่เปลี่ยน แต่สิ่งที่ควรเปลี่ยน คือ …

  1. ความคิดของเราเอง
  2. ความคิดของคนข้างๆ
  3. ความคิดของผู้อื่น

 

สถานการณ์ต่างๆ อาจเปลี่ยนหรืออาจไม่เปลี่ยน แต่สิ่งที่ควรเปลี่ยน คือเราควรเปลี่ยนความคิด เปลี่ยนความต้องการของเรา

จากความคิดเดิมๆ ที่เรามักต้องการให้พระเจ้าช่วยเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ ให้เป็นไปตามที่เราอยากได้  เปลี่ยนมาเป็นเชื่อ วางใจที่จะมอบสถานการณ์เหล่านั้น ให้พระเจ้า เป็นผู้นำพาเรา

 

โรม 12:1-2  “1 พี่น้องเพื่อเห็นแก่พระคุณความเมตตาของพระเจ้าที่มีต่อเราทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอร้องท่านให้ยอมมอบอวัยวะทุกส่วนในร่างกาย พร้อม (สมอง) ความคิด และสติปัญญาของท่าน เป็นเหมือนเครื่องบูชาที่มีชีวิตอยู่ บริสุทธิ์สะอาดศักดิ์สิทธิ์ (เป็นสมบัติส่วนตัวของพระเจ้า) และเป็นที่พอใจพระเจ้า เป็นการกตัญญูต่อพระเจ้าที่สมควร ในวิญญาณของเราที่ได้บังเกิดใหม่ โดยพระคุณพระเจ้า ซึ่งเป็นการนมัสการพระเจ้าด้วยวิญญาณและความจริง 2 อย่าประพฤติตามระบบของโลกนี้   แต่มายอมรับการเปลี่ยนแปลงความประพฤติ  โดยการเปลี่ยนแปลง (โปรแกรมในสมอง) ความคิดสติปัญญาเสียใหม่ เพื่อท่านจะสามารถรับรู้ว่าอะไรที่เป็นความต้องการของพระเจ้า  อะไรที่ดี  อะไรที่ดียอดเยี่ยมสมบูรณ์แบบในสายตาของพระองค์ ตามแผนการของพระเจ้า (ในพระคริสต์) ที่วางไว้ให้กับท่าน”

 

พระเจ้าอวยพรครับ

 

 

 

วารสาร Holy News ฉบับที่ 1340

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  28  พฤศจิกายน  2021

 เรื่อง “ขอบคุณพระเจ้าในทุกกรณีได้  โดยจับตามองดู สิ่งที่มองไม่เห็น”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

หัวข้อบรรยายในวันนี้ คือ “ขอบคุณพระเจ้าในทุกกรณีได้ โดยจับตามองดูสิ่งที่มองไม่เห็น” ซึ่งเราค้างไว้เมื่อการบรรยายสัปดาห์ที่แล้ว  หัวข้อการบรรยายในสัปดาห์ที่แล้ว วันขอบคุณพระเจ้า Thanksgiving เราได้ตั้งคำถามกันไว้ว่า …

“เราจะขอบคุณพระเจ้าในทุกกรณี ในทุกสถานการณ์ได้อย่างไร?”

ยังจำได้ใช่ไหมครับ? เราจะขอบคุณพระเจ้าในทุกกรณี ในทุกสถานการณ์ ตามที่พระเจ้าสอนเรา บอกเราในพระคัมภีร์ (ชื่อเรื่อง) ได้อย่างไรล่ะ? รู้สึกมันลำบากใช่ไหม? ในยามสงบสุข มั่งมี สุขสบาย เราก็ทำได้ง่ายๆ ไม่ยากหรอก แต่ในยามทุกข์ยากลำบาก เดือดร้อน เจอวิกฤตปัญหารอบด้าน เราจะขอบคุณพระเจ้าในทุกกรณีได้อย่างไร?

ความหวังของเราควรจะอยู่ที่ไหน? ที่จะสามารถขอบคุณพระเจ้าได้ ตามที่พระองค์บอกว่าให้เราขอบคุณพระองค์ในทุกกรณี ในทุกสถานการณ์ โลกใบนี้เราก็เห็นอยู่แล้ว มันเกิดความทุกข์ขึ้นมา เกิดความไม่พอใจ เกิดความเจ็บปวดขึ้นมา แล้วเราจะขอบคุณพระเจ้าได้อย่างไร? ควรจะมีความหวังตรงไหน? ถึงจะทำได้ ตามที่พระองค์บอก ถ้าพระองค์บอก แสดงว่ามันทำได้จริง เราย้ำกันในสัปดาห์ที่แล้วว่าเราทั้งหลายที่มองกันอยู่ทุกวันนี้ ในร่างกายนี้ เหมือนตุ่มน้ำเก่าๆ มีรอยร้าวแตกๆ ต่ำต้อย อ่อนแอ แต่ในขณะเดียวกัน สิ่งที่เป็นตัวตนของเราจริงๆ ที่แท้ๆ ถาวรนิรันดร์ที่จะไปอยู่ตลอดนิรันดร์ อยู่ในตุ่มนี้ ถ้าเราเชื่อในพระเยซูคริสต์ได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์แล้ว ภายในตัวตนใหม่ของเรา ในตุ่มเก่าๆ นี้ คือวิญญาณของเรา เป็นเหมือนพระเยซู เป็นเหมือนมีค่ามากมายมหาศาล เป็นเหมือนเพชร พลอย ทองคำ ล้ำค่าอยู่ภายในตุ่มเก่าๆ นี้ พระคัมภีร์ใช้คำว่า “เรามีสมบัติอันล้ำค่าอยู่ในภาชนะเรือนดิน อันต่ำต้อย อันอ่อนแอ” ความหวังของเราไม่ได้อยู่ที่การไปจ้องมองตุ่มเก่าๆ ที่เราเห็นในกระจก แต่ให้เราหลับตา มองไป ความหวังเราอยู่ที่สมบัติอันล้ำค่า เหมือนเพชร พลอยที่อยู่ในตุ่มนี้  ก็คือวิญญาณภายในของเรา ซึ่งตาเรามองไม่เห็น แต่ต้องใช้ตาทางฝ่ายวิญญาณ และความเชื่อในถ้อยคำพระเจ้าในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล เราจึงเห็นในกระจกเลยว่าภายในของเรา วิญญาณของเราเป็นเช่นไร? มีคุณค่าขนาดไหน? ซึ่งเราได้เรียนรู้กันไปแล้วว่าทรัพย์สมบัติอันมีค่ามหาศาลที่อยู่ภายในเรา ก็คือวิญญาณที่ได้รับความรอดแล้ว ในพระเยซูคริสต์ ก็คือมีชีวิตที่เป็นนิรันดร์ ซึ่งชีวิตนิรันดร์นี้ รวมไปถึงร่างกายใหม่ที่เราจะได้รับหลังจากจากโลกนี้ไปแล้วด้วย ซึ่งพระคัมภีร์ใช้คำว่า “ร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตาย”

เราจึงสรุปคำตอบทิ้งท้ายกันในสัปดาห์ที่แล้วว่าเราไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้ ด้วยความหวังในสิ่งที่จับต้องมองเห็นได้ แต่เรามีความหวังในสิ่งที่มองด้วยตามนุษย์ไม่เห็น เราไม่ได้มีความหวังในเรื่องทรัพย์สมบัติ ทรัพย์สินเงินทองบนโลกใบนี้ที่ตามองเห็น จับต้องได้ หรือความสุขสบายบนโลกใบนี้ ที่มองเห็นอยู่ เราไม่ได้มีความหวังในสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง ไม่เจ็บป่วยเลย ย้ำอีกที เราจึงไม่ตั้งความหวัง ไปจดจ่อความหวังไว้ที่ว่าเราจะมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง ไม่เจ็บป่วยเลย พระเจ้าจะอวยพรเรา จะไม่มีการเจ็บป่วยเลย เราไม่ได้ตั้งความหวังที่นี่ แต่เราจดจ่อความหวังไปที่ทรัพย์สมบัติอันมีค่าภายในร่างกายที่อ่อนแอ ร่างกายที่อาจจะเจ็บป่วยมากหรือน้อยก็ตามที่ทนทุกข์อยู่นั่นแหละ เรามองไปที่สิ่งที่มองไม่เห็น คือทรัพย์สมบัติอันมีค่าภายใน ซึ่งวิญญาณของเรา ซึ่งอยู่ภายในนั้น อยู่ในสวรรค์แล้ว ขณะนี้ ที่เราเดินอยู่นี้ เราอยู่ในสวรรค์เบื้องบนแล้ว เราจับตามองไปที่สวรรค์ คือสวรรค์ในโลกวิญญาณว่าเราเป็นเหมือนพระเยซู ภายในเรามีค่ามากมายมหาศาล ชีวิตนิรันดร์อยู่ภายในนั้น

เพราะฉะนั้น เราจึงไม่จดจ่อในสิ่งที่เป็นของโลกนี้ ความหวังของเราอยู่ที่โลกฝ่ายวิญญาณเท่านั้น คือสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทำให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว บนไม้กางเขนนั้นเท่านั้นเอง อะไรล่ะที่พระองค์บอกว่ากระทำให้เราเรียบร้อยแล้ว ที่ไม้กางเขนนั้น ไปค้นดู ไปหาดู ไปตั้งความหวัง ไปจดจ่อมัน นั่นแหละเป็นของเรา และเป็นของเราจริงๆ และเป็นของเราแล้ว และเราได้รับแล้ว มีอยู่แล้ว และจะไปมองหาอะไรที่ไม่มี มันมีอยู่แล้ว ทำไมไม่มอง อะไรอย่างนี้ นี่คือความหมายของคำว่า “ตั้งความหวังไว้ในสิ่งที่มองไม่เห็น” ซึ่งพระคัมภีร์บอกเรา สอนเรา

และวันนี้ เราจะมาขยายความของคำตอบตรงนี้ว่าขอบคุณพระเจ้าในทุกกรณี โดยจับตามองดู สิ่งที่มองไม่เห็น ครั้งที่แล้วเราบอกว่าได้อย่างไรล่ะ ครั้งนี้เราก็ตอบว่าขอบคุณพระเจ้าในทุกกรณีได้ โดยจับตามองดูสิ่งที่มองไม่เห็น นี่แหละคือคำตอบของสัปดาห์ที่แล้ว สัปดาห์ที่แล้วบอกทำอย่างไรล่ะ? วันนี้พระเจ้าตอบแล้วว่าก็ให้มองดูในสิ่งที่มองไม่เห็นสิ คือในโลกฝ่ายวิญญาณ  ก็คือหัวข้อในการบรรยายในวันนี้นั่นเอง ซึ่งบางท่านอาจสงสัยว่าแค่ทำตามพระคัมภีร์บอกว่าจงขอบคุณพระเจ้าในทุกกรณี มันยากตรงไหน? มันง่ายนิดเดียว ให้ขอบคุณพระเจ้า ทำไมต้องมีเคล็ดลับในการที่จะให้เราสามารถที่จะขอบคุณพระเจ้าในทุกกรณีได้ มันยากตรงไหน? ทำไมต้องมานั่งจับตามอง ทำไมต้องมาขยายความ เรียนรู้กันลึกซึ้ง เรียนแล้วเรียนเล่าทุกๆ ปี ปีหนึ่งหลายๆ ครั้งที่ได้พูดถึงเรื่องเหล่านี้ บางท่านอาจจะคิดอย่างนี้ โดยเฉพาะคนที่ไม่เชื่อ คิดตามประสามนุษย์แบบนี้แหละ โอ้! ง่ายนิดเดียว ขอบคุณพระเจ้าได้ในทุกกรณี ก็ขอบคุณสิ เกิดอะไรขึ้น ก็ขอบคุณ โควิดมา ก็ขอบคุณ ป่วยเป็นโควิดก็ขอบคุณสิ มันไม่เห็นยากเลย พูดถูกนะ อย่างที่ผมเกริ่นตอนต้นๆ ว่าในยามสุขสบาย ในยามที่มีทรัพย์สมบัติเงินทองใช้ พอใช้ ไม่ลำบาก ไม่ลำบนนะ ในยามที่ไม่เจ็บป่วย ในยามที่ไม่สูญเสียสิ่งที่รัก หรือคนที่รัก ก็ขอบคุณพระเจ้าได้สิ มันไม่อยากหรอก  แต่ในยามที่มันไม่ใช่เป็นไปตามนั้น ทำอย่างไรล่ะ ในยามที่มันขัดสน (จริงๆ นะ)

คำว่า “ขัดสน” พูดคำพูดเดียวกันนะ แต่มันมีขัดสนตั้งแต่บ้าง ขัดสนนิดหน่อย จนถึงขัดสนจะตาย ขัดสนทรัพย์สินอะไรบางอย่าง หรือขัดสนอะไรบางอย่างที่วัตถุอะไรก็ช่วยไม่ได้ ก็คือขัดสนเหมือนกัน

เพราะฉะนั้น คนที่ประสบอย่างนั้น มันไม่ง่ายเลย ที่จะบอกเขาว่าให้ขอบคุณพระเจ้า นี่แหละต้องมาเรียนรู้กัน และเตรียมตัวไว้ว่าเมื่อเกิดขึ้น สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ซึ่งมันเกิดแน่นอน จะได้สามารถที่จะขอบคุณพระเจ้าได้ อันนี้ก็ตอบคนสงสัยนะ สงสัยว่ามันยากอย่างไร ถึงต้องมาเรียนรู้การขอบคุณพระเจ้าในทุกกรณี ก็ขอบคุณสิ เวลามันเกิดจริงๆ ท่านจะขอบคุณไม่ไหว ถ้าไม่เตรียมไว้ก่อน หาจุดหมาย เป้าหมายในการตั้งความหวังไว้ หาที่ไม่เจอ มันก็เป็นไปไม่ได้หรอกที่จะขอบคุณพระเจ้าได้ เพราะความหวังไปปักอยู่ที่ลมๆ แล้งๆ

อาจารย์เปาโลก็ได้มีการย้ำไว้ในหลายๆ แห่งว่าหัวใจของข่าวประเสริฐ หัวใจของการมาเชื่อพระเยซู คือการได้รับรู้ ได้เชื่อ และมีความหวัง ในสิ่งที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว ในโลกฝ่ายวิญญาณ ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับการกระทำ หรือความประพฤติของเรา ในการใช้ชีวิต ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้เลย แม้แต่นิดเดียว ได้บอก ย้ำอยู่เรื่อยๆ ตลอดเวลา ซึ่งรวมเรียกตรงนี้ว่าความรอด ความรอดที่เราได้รับจากความเชื่อในพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นหัวใจของข่าวประเสริฐนั้น ความรอดตรงนี้ ไม่ได้เกี่ยวอะไรเลยกับความประพฤติ การกระทำบนโลกใบนี้เลยแม้แต่นิดเดียว ไม่เกี่ยวกับทั้งในอดีตก่อนที่มาเชื่อ ก่อนจะได้รับความรอด หรือเชื่อแล้วในปัจจุบันดำเนินชีวิตอยู่ หรือแม้แต่ตายไป การกระทำในอดีต ที่อยู่บนโลกก็ไม่เกี่ยวอะไรกันกับการไปอยู่ในสวรรค์เลย  แม้แต่นิดเดียว เอเมน ไม่ยากนะ แต่ว่าถ้าไม่รู้มันยาก

เราเรียนตรงนี้ซ้ำมาหลายๆ ครั้งแล้ว มันถึงพอจะเข้าใจแล้ว เราถึงจะบอกว่าเอเมนได้ ถ้าเผื่อคนไม่เข้าใจ เชื่อพระเจ้ามา 3-4 สิบปีก็ไม่เอเมนนะ รู้สึกเอ๊ะ! ใช่หรือ? เป็นไปได้หรือ? เป็นไปได้สิ เพราะว่าถ้อยคำพระเจ้าว่าไว้อย่างนั้นจริงๆ ปัญหามันอยู่ที่ไหน? ปัญหา คือมันมีการเข้าใจผิด แล้วก็ถ่ายทอด สอนกันมาผิดๆ ยาวนาน พวกเราเองหลายคน ก็เคยมีประสบการณ์ตรงนี้แหละ คือมาเชื่อพระเจ้าแล้ว ต้องมีการเปลี่ยนแปลง เราเองเคยถูกสอนมาอย่างนั้น แล้วเราก็สอนไปอย่างนั้นด้วย นี่คือความเข้าใจผิด … ฟังให้ดีๆ ว่าใช่ไหม?

“มาเชื่อพระเจ้าแล้ว ต้องมีการเปลี่ยนแปลง?”

“มาเชื่อพระเจ้าแล้ว ต้องประพฤติตัวใหม่?”

“ต้องเชื่อฟังพระเจ้า”

“ต้องรักษาบทบัญญัติที่พระเจ้าสั่งห้าม”

“ห้ามทำผิดศีลธรรม”

“ต้องทำตัวให้สะอาด   ต้องทำตัวให้บริสุทธิ์”

นี่ “ต้อง” ทั้งนั้นนะ

“ห้ามทำบาป ต้องมีเมตตา ต้องช่วยเหลือ ต้องออกไปประกาศข่าวดี ต้องรับผิดชอบในความพินาศของพี่น้องร่วมโลกนี้ เมื่อเขายังไม่เชื่อ ถ้าเขาผ่านมาในชีวิตท่านแล้ว ท่านยังไม่ได้ประกาศให้เขา ท่านต้องรับผิดชอบ”

อะไรอย่างนี้ คุ้นๆ ไหม? คือมาเชื่อพระเจ้า มีแต่คำว่า “ต้องทำ” กับ “ห้ามทำ”

“ต้องทำอย่างนี้ พระเจ้าจึงจะพอพระทัย และจะได้อวยพร อยู่บนโลกใบนี้จะได้พร”

“ห้ามทำสิ่งเหล่านี้ เพราะพระเจ้าจะกริ้ว และจะตีสอน แล้วลงโทษ อยู่บนโลกใบนี้ จะไม่ได้รับพร”

ฟังดูดีๆ เหมือนมีปัญญาและน่าเชื่อถือนะ ฟังเพลินๆ หรือฟังแบบแต่ก่อน มันก็มีปัญญาดี มีเหตุมีผล แต่เหตุผลแบบมนุษย์ ที่ผมให้พูดบ่อยๆ ไม่ใช่อะไรนะ เพราะบางคำเป็นคีย์ เป็นกุญแจ แห่งถ้อยคำที่มันจะเข้าไปในจิตใจของเรา มันเข้ายาก เมื่อเราพูด มีโอกาสที่เราจะจำสิ่งเหล่านี้ได้มากขึ้น เพราะเราไม่เคย ไม่กล้าที่จะพูดตรงนี้เลย ในอดีตที่ผ่านมา เพราะว่าความคิดเก่าๆ แบบมนุษย์มันฝังอยู่ในนั้นว่าฟังดูดี มันใช่เลย แต่มันใช่แบบตรรกะ เหตุผลแบบมนุษย์ แต่เรื่องพระเจ้ามันไม่ใช่เหตุผลแบบมนุษย์ มันเป็นฤทธิ์เดช เป็นพลังอำนาจ ความเปลี่ยนแปลง เป็นความรักของพระเจ้า เป็นอะไรที่มนุษย์ไม่สามารถเข้าใจได้ แต่เป็นจริง และพระคัมภีร์ก็บันทึกไว้ ที่สอนเรา สิ่งที่เราไม่รู้ ไม่เข้าใจ แล้วให้เราทำอะไร ถ้อยคำพระเจ้าเขียน ให้เราเชื่อ ไม่ได้ให้เราเข้าใจ มันไม่มีเข้าใจอยู่แล้ว เป็นลูกพระเจ้า เดินอยู่บนโลกใบนี้ มันไม่เข้าใจอยู่แล้ว ข้างนอกเป็นตุ่ม ข้างในเป็นสง่างามมาก เหมือนพระเยซู เข้าใจไหม? ไม่เข้าใจ แต่ให้เชื่อ เพราะมันมองไม่เห็น

พอสอนกันผิดๆ แบบนี้ เข้าใจกันผิดๆ แบบนี้ ปัญหาที่ตามมา คืออะไร? ท่านลองสังเกต ฟังดูดีมีเหตุผล แต่ทำไมพระคัมภีร์แย้ง แล้วทำไมผมต้องมาแย้ง เพราะมันจะเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นมา ปัญหา คือคริสเตียนหรือผู้เชื่อ ก็ไปฝากความหวังไว้ที่ผลของการกระทำของตัวเอง และผู้เชื่อรอบข้างเรา  ก็ไปตัดสินตามที่มองเห็น เขาทำอะไร? อย่างไร?  ประพฤติอย่างไร? แล้วก็ตัดสินตามนั้น ทั้งๆ ที่ตัวเอง ก็ตัดสินตัวเองแบบนั้นเหมือนกัน ก็คือตัดสินตามความประพฤติ ตามการกระทำของตัวเอง บนโลกใบนี้ กลับมาที่เดิม ก็คือการกระทำตาม เขาเรียกว่ากฎบัญญัติ ถ้าเป็นชาวยิว เขาเรียกว่ากฎบัญญัติสมัยโมเสส ถ้าเป็นคนที่ไม่มีศาสนา เขาก็จะบอกว่าตามกฎที่เขียนไว้ในใจ ที่พระเจ้าบันทึกไว้ในใจ จิตใต้สำนึกจะเป็นคนฟ้องว่ามันผิด มันถูก และถ้าเป็นกฎที่ไม่ใช่ชาวยิว แต่มีศาสนา เขาเรียกบัญญัตินี้ว่ากฎของการกระทำ ถ้าเป็นคนไทย เรียกว่ากฎแห่งกรรม ถ้าเป็นชาวเอเชียเรียกว่ากฎแห่งกรรม ถ้าเป็นทั่วๆ ไป เรียกว่ากฎแห่งศีลธรรม คือมีทำกับอย่าทำ ต้องทำกับห้ามทำ ทั้งสองอย่าง พระคัมภีร์บอกเป็นบาปทั้งสิ้น  อย่าทำ ถ้าทำก็เป็นบาป  ให้ทำ ถ้าไม่ได้ทำ ก็เป็นบาป เพราะฉะนั้น พระคัมภีร์จึงบอกว่าถ้ารู้ว่าอะไรดี แล้วไม่ได้ทำ ก็เป็นบาป ก็กลับมาอยู่ที่นี่หมด ทั้งๆ ที่เราเชื่อพระเยซูแล้ว ได้หลุดพ้นจากคำสาปแช่ง กฎแห่งการกระทำเหล่านี้ เรียบร้อยไปแล้ว ก็กลับมาที่เดิม มาอยู่ที่การกระทำ ยกตัวอย่างเช่น ให้เราทำดีเยอะๆ หมายถึงผู้เชื่อแล้วนะ …

“ถ้าเกิดเราทำดีเยอะๆ พระเจ้าจะพอใจ จะอวยพรมาก เพราะฉะนั้น ให้เราออกไปประกาศเยอะๆ เจอใครไม่รู้ รู้จักพระเจ้าหรือไม่รู้จักพระเจ้าประกาศไปก่อน เพื่อเราจะได้รับพระพร เพื่อว่าเราจะไปประกาศให้คนอื่นเขาเชื่อ แล้วครอบครัวเราที่ยังไม่เชื่อ เขาจะได้เชื่อไง  เราจะได้รับพระพร หรือไม่ก็ได้รับพระพรอย่างอื่นด้วย ไม่ต้องกลัว เราจะได้รับการโปรโมทให้ตำแหน่งการงานที่กระทำอยู่นี้ ดีขึ้น ไม่ต้องกลัว เอาเวลาที่เขาจะประชุมเรื่อง การที่เราเป็นลูกจ้างเขาอยู่ เอาไปประกาศ  ไม่เป็นไรหรอก  พระเจ้าพอใจมาก ประกาศ มีคนเชื่อ ประกาศมากเท่าไร เผื่อจะได้รับการโปรโมทให้เป็นผู้จัดการ” … คุ้นๆ ไหม?

“ให้เราไปช่วยเหลือคนอื่นเยอะๆ ไปเยี่ยมลูกแกะ ไปดูแลคนอื่น เขาไม่สบายอะไรต่างๆ เราจะได้รับกลับมาเหมือนกัน” … คุ้นๆ ไหม?  “และพระเจ้าจะอวยพรเราเยอะๆ กลับมา”

ตั้งความหวังไว้ที่นั่น ชีวิตของเรา ก็จะมีแต่ความสุขสบาย ถ้าทำตามที่เขาบอก แล้วมันได้ตามนั้นจริงไหม? ถามสิ คนที่มาเชื่อพระเจ้าใหม่ๆ อาจจะยังตอบไม่ได้หรอก เพราะว่ายังไม่มีประสบการณ์ ยังตามเขาอยู่ ทำตามนั้นแหละ แล้วหวังไง หวังว่าสิ่งที่เขาบอกให้ทำ ต้องทำๆ พระเจ้าพอพระทัย จะได้พระพรทางโลกฝ่ายวิญญาณ และโลกฝ่ายวัตถุบนโลกใบนี้ ได้อยู่สุขสบายดี สบายกาย สบายใจ ไม่เจ็บป่วย ไม่ขัดสน

ฟังดูดี มีเหตุผลไหม? ต้องตอบว่าฟังดูดี มีเหตุผล ตามกฎแห่งกรรมเลยทีเดียวเชียวล่ะ  แต่มันไม่ใช่สติปัญญาของพระเจ้า มันเป็นสติปัญญาของใคร? ของมนุษย์ ที่ได้เข้าใจแค่นั้นแหละ คือทำดี ต้องได้ดีสิ ซึ่งในความเป็นจริง เกิดอะไรขึ้น ถ้าเผื่อเราเชื่อตามกฎแห่งกรรมนั้น เราก็รู้อยู่ ก่อนที่จะมาเชื่อพระเจ้า เราก็รู้อยู่ว่าเราเผชิญกับชีวิตที่เป็นอย่างไร? ทุกสิ่งทุกอย่างมันไม่แน่นอนเลย แล้วมาดูเรื่องของเมื่อตะกี้ที่คริสเตียนเชื่อพระเจ้า แล้วเข้าใจผิด เกิดอะไรขึ้นครับ? คริสเตียนคนไหนที่ตั้งใจจะทำความดีตามนี้ ตั้งใจจะทำให้เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า ตั้งใจทำตามกฎระเบียบทุกอย่าง กฎศีลธรรมทุกอย่าง ตามภาษามนุษย์ มันดีอยู่แล้ว ถูกไหมครับ? ไม่ใช่ว่าไปต่อต้านว่าไม่ดี ดี มันมาตรฐาน ไม่เชื่อพระเจ้า ยังบอกว่าดีเลย นับภาษาอะไรกับเราที่เชื่อพระเจ้าแล้ว เป็นคริสเตียนแล้ว ยิ่ง 100% ว่ามันดีแน่นอน แต่ไม่ใช่ เพื่อความหวังว่าจะมีสุข สบาย เพราะคริสเตียนคนไหน ที่ตั้งใจทำความดีอย่างนี้ พยายามที่สุด  ไม่ทำบาปเลย ทำทุกอย่าง ประกาศเต็มที่ ทุกคนที่ประพฤติแบบนี้ ก็จะได้รับสิ่งที่ดีๆ หลุดพ้นจากความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ มีความสุขสบายกันทุกคน ไม่เจ็บป่วยเลย ไม่ยากจนด้วย อย่างนั้นหรือเปล่า? … มันไม่ใช่นะ  มันไม่จริง ก็แสดงว่าไม่ใช่ คือไม่จริง ตั้งความหวังไว้ที่ลมๆ แล้งๆ มากกว่า แม้ว่าความหวังที่ตั้งไว้นั้น จะฟังดู แล้วดูดี มีเหตุผลแบบมนุษย์ก็ตาม มันไม่จริง มันไม่ใช่ตามนั้นเลย

เราเห็นตัวอย่างกันมาเยอะว่าคนที่ทำดี  แต่ต้องเจอกับสิ่งที่ไม่ดีมีให้เห็นเยอะไหม? เยอะมาก เต็มไปหมด และคนที่ประพฤติไม่ดี แต่ดูเหมือนได้รับสิ่งที่ดีๆ ตามที่ตาเรามองเห็น ก็มีจำนวนไม่น้อย จริงหรือไม่จริง เรามีประสบการณ์ตัวเราเอง หรือพี่น้องคริสเตียนที่อยู่รอบข้างเรา ที่เราได้รู้จัก ได้ยิน ได้ฟังคำพยานของเขา เป็นคนที่เชื่อพระเจ้ามากๆ เป็นคนที่อธิษฐานมั่นคง เชื่อพระเจ้ามั่นคง เป็นคนที่ทำตามพระวิญญาณที่สถิตภายใน ดำเนินชีวิตด้วยความรัก สงบเสงี่ยม เป็นคนที่รักบรรดามนุษยชาติยิ่งนัก ก็คือไม่โกรธ ไม่เกลียด ไม่แค้นใครเลย แต่ประสบอุบัติเหตุปางตาย  ถึงขนาดพิการ มีไหม? แล้วเขาก็ยังขอบคุณพระเจ้าได้ นี่แหละ คือสิ่งที่เป็นจริง

เพราะฉะนั้น ถ้าเราไปฝากผลของการกระทำของเราบนโลกใบนี้ว่าเราทำอย่างนี้ ต้องได้ดีแน่นอน ยังคาดหวังว่าถ้าเราทำดี เชื่อฟังพระเจ้า ทำกฎศีลธรรมอย่างถูกต้อง พระเจ้าต้องอวยพรเราอย่างแน่นอน ให้ทรัพย์สินเงินทองเพิ่มขึ้น ให้ความสุขสบายมากขึ้น พระเจ้าอวยพรให้กิจการงานรุ่งเรืองขึ้น พระเจ้าจะให้เรามีสุขภาพแข็งแรงอย่างไม่เจ็บป่วยเลย รวมทั้งครอบครัวของเราด้วย พระเจ้าจะอวยพรให้ชีวิตครอบครัวราบรื่น ไม่มีกระทบกระทั่ง ไม่มีการแตกแยกเลยในครอบครัว  แล้วมันเกิดอะไรขึ้น มันเป็นไปไม่ได้ ก็เกิดผิดหวังแน่นอน แล้วถ้าเกิดการผิดหวัง ผลที่ได้รับ คือมันไม่ได้เป็นไปตามที่คาดหวัง แล้วคิดว่านี่คือสิ่งที่พระเจ้าสัญญาไว้ เอาล่ะสิ เกิดความเข้าใจผิดกับพระเจ้า คือเราเป็นลูก พระเจ้าเป็นพ่อ เกิดความบาดหมางระหว่างพ่อกับลูกแล้ว ใครเป็นตัวการหนอ ซึ่งเราก็ทราบกันไปเมื่อสักครู่แล้ว การไม่เป็นไปตามที่หวัง มันมีแน่นอน 100% เลย เพราะมันไม่จริง ตามที่หวังไว้ มันถูกโกหก หรือเข้าใจผิดมา แล้วชีวิตคริสเตียนของคนนั้น หรือของเรา ชีวิตของผู้เชื่อคนนั้น จะเป็นเช่นไรต่อไป? เมื่อเกิดเหตุขึ้น  เขาหรือเราที่เข้าใจผิด ตั้งความหวังไว้ผิด ก็จะตั้งคำถามกับพระเจ้าว่าพระองค์ทำไม? พ่อทำไม? ทำไมล่ะ? แทนที่จะเป็นขอบคุณ อะไรขอบคุณได้ ตอนที่มันเกิดเหตุ มีสิ เดี๋ยวจะพาท่านไปฟัง พระเจ้าชี้ให้เราเห็นผ่านอาจารย์เปาโล ตรงไหนที่เราตั้งความหวังไว้ ที่เราจะขอบคุณ ไม่ใช่ “ทำไมๆ” ก็เพราะเราตั้งความหวังไว้ผิดที่ เราคิดว่าทำไมไม่ทำตาม สิ่งที่สัญญา พระเจ้าบอกไม่ได้สัญญาตรงนี้อย่างนี้สักหน่อย ใครบอกเจ้าล่ะ หันไปหาคนข้างๆ เธอบอกหรือ? ศิษยาภิบาลสอนอย่างนี้หรือ? ตัวเองคิดหรือ? มันถูกหมดแหละ แต่หัวเรือใหญ่ ก็คือระบบของโลกนี้ ซึ่งดำเนินการโดยมาร ซึ่งต่อสู้ ต่อต้านกับพระเจ้า จะเสี่ยมให้เราทะเลาะกับพ่อของเรา แตกแยกกับพ่อของเรา ไม่เข้าใจพ่อของเรานั่นเอง ซึ่งจริงๆ แล้ว พระเจ้าไม่เคยสัญญากับเรา ผู้เชื่อในเรื่องของวัตถุสิ่งของบนโลกใบนี้ หรือเรียกว่าความสุขสบาย หรือสิ่งที่จับต้องมองเห็นได้ในโลกใบนี้ ซึ่งเรียกว่าพระพรบนโลกใบนี้ มีแต่คนไปตีความหมายผิด และสอนผิดกันเอง ตามถ้อยคำของพระองค์ในพระคัมภีร์ แทนที่จะเป็นเรื่องโลกวิญญาณอย่างเดียว ไปใส่ว่ามันหมายถึงโลกวัตถุด้วย

อย่างเช่น “ด้วยรอยแผลเฆี่ยนของพระเยซู ท่านได้รับการรักษาให้หายแล้ว”

ให้หายจากบาป หายจากการเป็นทาสของมารซาตาน หายจากนรกมาสู่สวรรค์ โลกวิญญาณทั้งสิ้น ไม่ใช่หายจากมะเร็ง แล้วกลายเป็นคนแข็งแรง ไม่ได้สัญญาไว้อย่างนั้น นี่ไปใช้กันเอง นี่ยกตัวอย่าง ยังมีอีกเยอะไปหมดเลย

ความจริงที่เรียกว่าสัจจะธรรม หรือความจริงที่พระเยซูพูดอยู่บ่อยๆ เราจะบอกความจริงแก่ท่าน  ความจริง คือโลกนี้และการกระทำของเราบนโลกใบนี้ ไม่มีอะไรที่แน่นอนเลย ที่มันจะส่งผลให้เป็นไปตามที่เราคาดหวัง มันไม่แน่นอนเลย  มันเชื่อถือไม่ได้ มันวางใจไม่ได้  แต่สิ่งที่พระเจ้าสัญญาไว้ในโลกฝ่ายวิญญาณต่างหาก ที่พระองค์ทรงกระทำสำเร็จแล้วที่ไม้กางเขน ที่บอกไว้ในโลกฝ่ายวิญญาณว่าเป็นอย่างไร? ในพระคัมภีร์นั้น เป็นสิ่งที่ถาวรนิรันดร์ เป็นอย่างนี้จริงๆ ที่พระเยซูบอก “เราบอกความจริงแก่ท่านจริงๆ” พระเจ้าลงมาเป็นมนุษย์ แล้วพูดกับเราว่ามันเป็นจริงตามนี้ จงเชื่อเถิด จงมั่นใจว่ามันเป็นจริง และมันเป็นจริงคืออะไร? คือมันเป็นอย่างนี้ ถาวรนิรันดร์ ถ้าทำ ก็ได้แน่นอน อย่างเช่นเชื่อในพระเยซูแล้วได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า นี่เป็นลูกพระเจ้าแน่นอน ได้รับความรอด จากความพินาศ เมื่อจากโลกนี้ไปแล้ว วิญญาณท่านได้รับร่างกายใหม่ อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้านิรันดร์กาล อย่างนี้เป็นจริงแน่นอน นี่คือสัจจะธรรม

แต่โลกนี้มันเสื่อมอยู่ มันเสียอยู่ มันปกครองระบบของโลกใบนี้ โดยมาร ซึ่งต่อต้านความจริงของพระเจ้า มันก็คือการโกหกหลอกลวงทั้งสิ้น และมันอยู่อีกไม่นาน มันจะสูญสิ้นไปแล้ว อย่าไปเชื่อมัน นี่คือความจริง อาจารย์เปาโลก็เลยย้ำแล้วย้ำอีกว่าสิ่งที่เราได้รับบนโลกนี้ ไม่ว่าจะเป็นความสุขสบาย หรือความทุกข์ยากลำบาก ก็ล้วนเป็นเพียงสิ่งชั่วคราว มันไม่แน่นอน มันไม่ใช่ระบบของพระเจ้า มันเป็นระบบของมาร ศัตรูกับพระเจ้า และมันถูกตัดสินให้สูญสิ้นไป มันไม่แน่นอน มันจึงเป็นเพียงแค่เงา แป๊บเดียว เป็นสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ดังนั้น จึงไม่ควรไปจับตามองดูในสิ่งที่มองเห็นอยู่บนโลกใบนี้ มันจะหลอกให้เราไปจับตาดูเงา ซึ่งไม่แน่นอน วิ่งไล่จับลม แล้วมันอยู่ไหม? เอาความหวังไปที่วิ่งจับลม ก็คือความหวังแบบลมๆ แล้งๆ แต่ควรหันมาจับตามองดูในสิ่งที่มองไม่เห็น ในโลกฝ่ายวิญญาณ  ที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำให้เราสำเร็จเรียบร้อยแล้ว บนไม้กางเขนต่างหาก นี่คือหัวใจของข่าวประเสริฐ เอเมน นี่คือความจริง

2 โครินธ์ 4:16-18 ที่เราทิ้งท้ายไว้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว วันนี้เอามาทวนอีกนิดหนึ่ง เพื่อให้เห็นชัดเจนว่าเราควรจดจ่อ จับตามองดูไปที่สิ่งที่มองไม่เห็น เพราะอะไร? อย่างไง? สรุปอยู่ใน 3 ข้อนี้ …

2 โครินธ์ 4:16-18  “16 ฉะนั้น เราไม่ท้อถอย (ผิดหวัง เสียใจ กลัว) แม้ว่ากายภายนอกของเรากำลังทรุดโทรมไป แต่ตัวตนภายใน (วิญญาณและจิตใจที่ได้บังเกิดใหม่แล้วในพระคริสต์) ของเรากำลังได้รับการเลี้ยงดู เสริมสร้างขึ้นใหม่ ให้เจริญเติบโตขึ้นทุกวัน 17 เพราะความทุกข์ยากลำบากที่เราได้รับอยู่ในขณะนี้นั้น เป็นเพียงสิ่งชั่วคราว และเป็นเพียงสิ่งเล็กน้อย ที่กำลังเสริมสร้าง หล่อหลอม และจัดเตรียมเรา เข้าไปสู่สง่าราศี พระสิริอันยิ่งใหญ่ สมบูรณ์นิรันดร์  ที่ไม่มีสิ่งใด สามารถเปรียบได้เลย  18 ดังนั้น  เราจึงไม่จับตามองดูสิ่งที่มองเห็นอยู่ แต่จับตามองดูสิ่งที่มองไม่เห็น เพราะสิ่งที่มองเห็นอยู่นั้น เป็นเพียงชั่วคราว เดี๋ยวมันก็ผ่านไป ไม่ยั่งยืน (เหมือนเงา) แต่สิ่งที่มองไม่เห็นนั้น เป็นถาวรนิรันดร์”

 

“เหมือนเงา” อะไรเหมือนเงา? ความทุกข์ลำบาก ความสูญเสีย ความเจ็บป่วย ความขัดสน

ในข้อ 16 ที่บอกว่า “ฉะนั้น” ก็คือก่อนหน้านั้น พูดเรื่องเกี่ยวกับอะไร? เรื่องเกี่ยวกับความเชื่อในตุ่มเก่าๆ กับของมีค่าในตุ่มเก่าๆ คือวิญญาณของเราที่ได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ “ฉะนั้น เมื่อรู้ความจริงเหล่านี้แล้วว่ามันเป็นอย่างนี้” จากที่ได้รับรู้และได้เชื่อในความจริงนี้ว่าร่างกายภายนอกของเรา เป็นเพียงแค่ตุ่มเก่าๆ ตุ่มอ่อนแอ แต่มีสมบัติอันล้ำค่าอยู่ภายใน ฉะนั้น เมื่อเรารู้อย่างนี้แล้ว เราจงอย่าไปสนใจกับตุ่มนี้มากนัก ถูกไหม? ฉะนั้น เราจึงไม่ท้อถอย ผิดหวัง เสียใจ รวมทั้งกลัว เครียดกับตุ่มนี้ ก็คือร่างกายที่เราเห็นในกระจก ร่างกายเรา ที่เราดูแลอยู่ทุกวันนี้ ที่มันเกิดความทุกข์ลำบาก ทุกข์ทั้งกายและทั้งใจ  ก็คือมาจากร่างกายนี้อย่างเดียว วิญญาณออกจากร่างเมื่อไรมันจบทันที

ฉะนั้น เมื่อเรารู้อย่างนี้แล้ว เราจึงไม่ท้อถอย คือไม่สนใจมันมากนัก  ก็ไม่ท้อถอย ก็ไม่ผิดหวัง เมื่อมันอ่อนแอ เมื่อมันเจ็บป่วย  กำลังวิ่งไปสู่ความตาย ก็ไม่รู้สึกท้อแท้ แล้วรู้สึกว่ามันเป็นจริงตามนั้น ภาษาไทยเดิมเราก็บอกว่าเป็นอนิจัง ก็คือสังขารมันไม่เที่ยง มันก็กำลังเปลี่ยนแปลงทุกวัน เป็นไปตามกฎของโลกใบนี้อยู่แล้ว คือกฎที่พระเจ้าวางอยู่ คือโลกใบนี้ถูกสาปแช่ง ไปสู่ความสูญสิ้น ไม่ใช่ร่างกายเราอย่างเดียว ที่ไปสู่ความสูญสิ้น ไปสู่ความตาย เริ่มอ่อนแอ เริ่มเสียหายอะไรต่างๆ จนที่สุด หมดลมหายใจ ไม่ใช่ร่างกายอย่างเดียว ร่างกายของมนุษย์ทุกคนเป็นอย่างนี้ ร่างกายของสัตว์ด้วย ร่างกายของต้นไม้ ร่างกายของหิน ของอากาศ ของทุกอย่างบนโลกใบนี้ โลกธาตุบนโลกใบนี้ กำลังวิ่งไปสู่ความตาย ความสูญสิ้น เพราะมันถูกสาปแช่ง ถูกตัดสินไปเรียบร้อยแล้ว มันเป็นเช่นนั้นแหละ นี่คือสัจจะธรรม นี่คือความเป็นจริง ถ้าเราไปฝืน มันจะได้ไหมล่ะ มันก็ไม่ได้สิ มันกำลังวิ่งไปสู่ความตาย เราบอกว่าฉันจะแข็งแรง ฉันจะสู้กับมัน ก็เครียดต่อไป ก็ผิดหวังต่อไป

ทำไมถึงไม่ท้อแท้ ไม่ท้อถอย และไม่กลัว ก็เพราะรู้แล้วว่าถึงแม้กายภายนอกของเราและโลกนี้ กำลังทรุดโทรมไปตามที่บอกไปเมื่อตะกี้นี้ แต่มีสิ่งใหม่ ที่เราตั้งความหวังไว้ ซึ่งก่อเกิดขึ้น เมื่อเราเชื่อในพระเยซูคริสต์ และมันกำลังเจริญเติบโต ภายในตุ่มเก่าๆ นี้ ก็คือภายในตัวเรานี้  คือวิญญาณและจิตใจ ที่ได้บังเกิดใหม่แล้วในพระคริสต์นั่นเอง วิญญาณและใจใหม่ ที่เกิดขึ้นใหม่แล้ว เป็นตัวตนจริงๆ เกิดขึ้นใหม่ในพระเยซูคริสต์ มันกำลังเจริญเติบโตขึ้นเรื่อยๆ โดยมีพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นพี่เลี้ยงภายใน และมันก็เติบโตขึ้นทุกวันๆ จงมองให้เห็นเถิด ภาษาอังกฤษเขาใช้คำว่า Be hold จงมองให้เห็นเถิดว่าเมื่อท่านเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว ท่านได้ถูกสร้างใหม่ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นใหม่ทั้งสิ้น แล้วกำลังเจริญเติบโตไปสู่ความใหม่เอี่ยม เหมือนพระเจ้าเข้าทุกวัน เตรียมตัวเข้าไปอยู่ในสวรรค์ทุกวัน

ในข้อ 17 บอกว่าความทุกข์ยากลำบากที่เราเผชิญอยู่ในขณะนี้ เดี๋ยวนี้ ตอนนี้ บนโลกใบนี้ มันเป็นเพียงสิ่งชั่วคราว และเป็นสิ่งเล็กน้อย  ที่ตะกี้นี้เราพูดพร้อมกันว่าเหมือนเงาๆ มันเหมือนเงา ท่านดูว่าเปรียบเทียบกันได้ไหมว่าความทุกข์ยากเหล่านี้ มันเป็นเงา แล้วตัวจริงๆ ของเราที่อยู่ในสวรรค์ เป็นลูกของพระเจ้าที่จะอยู่กับพระองค์อย่างนี้ สวรรคสถานเรียบร้อยไปแล้วตลอดนิรันดร์ กับเงา เดี๋ยวมันก็ไป เงานี้จบเมื่อไร? เราก็เข้าไปสู่สวรรค์นิรันดร์กาลแล้ว ไม่ต้องทนทุกข์ลำบาก ไม่ต้องมีความเจ็บป่วย มีความสุขนิรันดร์ มันเทียบกันได้ไหม? จะบอกว่าเงากับของจริง มันเทียบกันไม่ได้ เงาเดี๋ยวแป๊บหนึ่ง ก็ผ่านไปแล้ว แต่ของจริงมันอยู่ตลอด

พออ่านถึงตรงนี้ คนที่ไม่เคย เรียนรู้ถึงประวัติของอาจารย์เปาโล ที่เป็นผู้เขียนคำนี้ออกมา เมื่อตะกี้นี้ อาจารย์เปาโลเขียนตามพระวิญญาณสอน  สอนจากอะไร? อาจารย์เปาโลเรียนรู้ด้วยชีวิตของตนเอง  เพราะฉะนั้น ถ้าทราบประวัติอาจารย์เปาโลผู้เขียนนี้ มันหมายถึงอะไร? ไม่ใช่ไม่เคยผ่าน แล้วเขียน แต่นี่คือคำพูดของคนที่เคยผ่านการทุกข์ทรมาน ความทุกข์ยากลำบาก  ทุกรูปแบบ ทั้งเรือแตก อดอยาก ขาดแคลนเสื้อผ้า ขาดแคลนอาหาร ถูกข่มเหง หนีหัวซุกหัวซุน ถูกเฆี่ยน ถูกตี ถูกจับเข้าคุก แต่ยังบอกว่าทั้งหมดนี้ เป็นเพียงแค่สิ่งเล็กน้อย

ถ้าอาจารย์เปาโลผ่านอย่างนั้นมา แล้วบอกว่าสิ่งเล็กน้อย แล้วพวกเราที่ผ่านความทุกข์ยากลำบากในปัจจุบันอยู่ คงไม่รู้จะเทียบกันอย่างไร? แต่เทียบไม่ได้นะ แล้วแต่ของประทาน ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้แต่ละคนไม่เท่ากัน ไม่เหมือนกันสักคนหนึ่ง บางคนก็ทนได้มากหน่อย บางคนก็ทนได้น้อยหน่อย บางคนทนเรื่องโน้น ได้มากหน่อย แล้วแต่คน

คือถ้ามองความทุกข์ยากลำบาก ความทรมานอย่างนี้เพียงอย่างเดียว  มันก็จะเป็นเรื่องใหญ่โตมาก ถ้าอาจารย์เปาโลมองเพ่งแต่ความทุกข์ยากลำบากที่เกิดขึ้นกับท่าน มันไม่ใช่เป็นเงาแล้ว มันก็กลายเป็นภูเขาใหญ่ สำหรับมนุษย์คนๆ หนึ่งที่รับได้ แต่อาจารย์เปาโลไม่ได้เพ่งตามนั้น อาจารย์เปาโลบอกว่าเพียงเล็กน้อยได้ เพราะท่านกำลังเปรียบเทียบสิ่งที่ท่านได้รับในโลกวิญญาณ แม้จะเป็นสิ่งที่ท่านมองไม่เห็น แต่ก็เป็นสิ่งที่มั่นใจ เชื่อและรับรู้ตามสิ่งที่พระคัมภีร์ได้บอก พระวิญญาณได้ยืนยันในจิตใจว่ามันเป็นจริง มีอยู่จริง และเป็นสิ่งถาวรนิรันดร์ นั่นคือความรอดในพระเยซูคริสต์ นั่นคือสวรรค์ในพระเยซูคริสต์ วิญญาณของท่านอยู่ในสวรรค์แล้ว ในขณะที่ความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ ที่ท่านเผชิญอยู่ขณะนั้น วิญญาณท่านก็อยู่ในสวรรค์ อยู่ที่เบื้องบน อยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรคสถานเรียบร้อยแล้วนั่นเอง ท่านถึงบอกว่าอยากให้พวกเราทั้งหลาย ผู้ที่เชื่อใหม่ๆ ผู้ที่เชื่อพระเจ้าได้รู้ ได้เห็นเหมือนที่ท่านได้รู้ ท่านได้อธิษฐานขอพระเจ้าเปิดตาฝ่ายวิญญาณ เขาจะได้เห็นว่าเขาบังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์แล้ว เขานั่งอยู่ที่ไหนในพระเยซูคริสต์ในขณะนี้ เขาอยู่ที่ไหน? เดี๋ยวนี้เลย อยู่บนโลกใบนี้ ขณะที่ทุกข์ยากลำบาก เขานั่งอยู่ที่ไหน?  ในเอเฟซัส 1:18 เป็นต้นไป อาจารย์เปาโลได้อธิษฐานอย่างนั้น

เปาโลจึงใช้คำว่า “ความทุกข์ยากลำบากเพียงประเดี๋ยวเดียว ประเดี๋ยวประด๋าว แป๊บเดียว เหมือนเงา ที่เราเผชิญบนโลกใบนี้นั้น เทียบอะไรไม่ได้เลยกับสง่าราศี พระสิริอันยิ่งใหญ่สมบูรณ์นิรันดร์ ที่เราได้รับแล้วในโลกวิญญาณ ที่พระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้

ถ้าเรามองดูด้วยสายตาของมนุษย์ เราจะเห็นความทุกข์ยากลำบาก บนโลกใบนี้ เป็นเรื่องใหญ่โตมาก แค่หมอบอกว่าเราเป็นเนื้องอกในสมอง เราเป็นมะเร็ง ตื่นเต้น ถ้าเราจดจ้องมันมาก ไม่ต้องจดจ้อง แค่ได้ยินแค่นี้ ก็เป็นเรื่องใหญ่โตมาก นี่เป็นเรื่องจริง เป็นเรื่องหนักหนา สาหัสสากันมากเลย ยิ่งไปจ้องมันมากเท่าไร? ยิ่งให้ความหวังกับมันมากเท่าไร? พอผิดหวังขึ้นมา เขาเรียกว่าข่าวร้ายเข้ามา เราจะตกใจมากขึ้นเท่านั้น แล้วก็เกิดความวิตกกังวล เกิดความกลัว และท้อแท้ ท้อถอย ซึ่งไม่ตรงกับความเป็นจริงในถ้อยคำพระเจ้าที่ตะกี้เราอ่านร่วมกัน

อาจารย์เปาโลเลยอยากจะให้เราหันความสนใจ ไปที่โลกฝ่ายวิญญาณว่าถ้าเรามองด้วยสายตาฝ่ายวิญญาณ ในสถานการณ์ความทุกข์ยากลำบากนั้น แทนที่จะมองความทุกข์ยากลำบากในสายตาแบบมนุษย์ ตามสติปัญญาแบบมนุษย์ ที่จะเข้าใจได้ เรามองทะลุไปที่โลกฝ่ายวิญญาณเลยว่าตัวตนภายในของเรา เป็นวิญญาณที่เหมือนพระเยซูแล้วในขณะนี้ เป็นทรัพย์สมบัติอันมีค่า และวันหนึ่งในอนาคตอันใกล้ ข้างหน้านี้  เราจะได้รับร่างกายใหม่ ที่สมบูรณ์แบบครบถ้วน ถ้าเราจดจ้องมองไปที่ตรงนั้น มั่นใจว่าเราได้รับมาเรียบร้อยแล้ว ผ่านทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์ เราก็จะมีความคิดเหมือนที่เปาโลบอก ที่บันทึกไว้เมื่อสักครู่นี้ ที่เราอ่านร่วมกัน คือสิ่งที่เรากำลังเผชิญอยู่บนโลกใบนี้นั้น มันเป็นเพียงแค่ชั่วคราว มันเป็นสิ่งเล็กน้อยเท่านั้น ที่บอกว่าเป็นมะเร็ง ที่บอกว่าเบาหวาน รักษาไม่ได้ เป็นเนื้องอก รักษาไม่ได้ ที่บอกว่าจนรักษาไม่ได้ ไม่มีทางรวยแล้ว หนี้ใช้ไม่หมดแล้ว ล้มละลาย อดอยากลำบากต่างๆ เหล่านั้น เราจะมองเห็นสิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งแค่เพียงชั่วคราวเท่านั้น

เพราะฉะนั้น ตรงนี้ คือคำตอบที่บอกว่าเราจะสามารถขอบคุณพระเจ้าได้ในทุกกรณี ในทุกสถานการณ์ได้อย่างไร? คำตอบ ก็คือโดยการจับตาดู ในสิ่งที่มองไม่เห็น … “จับตามองดู สิ่งที่มองไม่เห็น” เกิดความทุกข์ยากลำบากมาเมื่อไร? มันมาแน่นอน  มากหรือน้อยแล้วแต่ บนโลกใบนี้ เตือนตัวเองไว้ สิ่งที่มองเห็นอยู่ คือความเจ็บป่วย ความยากจน ความสูญเสีย ความเครียดอะไรต่างๆ เหล่านั้น ถ้าจับตามองดูสิ่งที่มองไม่เห็น ก็คือพระพรนานัปการในโลกวิญญาณ  ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้เรียบร้อยแล้ว ได้รับเรียบร้อยแล้ว ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ที่พระองค์บอกสำเร็จแล้วนั่นเอง เอเฟซัส 1:3  บันทึกไว้อย่างนี้ …

เอเฟซัส 1:3 “สรรเสริญพระเจ้าพระบิดาของพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา  ผู้ประทานพระพรฝ่ายจิตวิญญาณนานัปการในพระคริสต์แก่เราทั้งหลายในสวรรคสถาน”

 

นี่ให้จับตามองดูสิ่งที่มองไม่เห็น ผมยกตัวอย่างตรงนี้มาให้ข้อนี้ข้อเดียว ท่านจับตามองดูข้อนี้ข้อเดียว ก็พอแล้ว คือพระพรนานัปการ ในพระคริสต์ ผู้ได้ประทานพระพรผ่านวิญญาณ นานัปการในพระคริสต์

“นานัปการ” แปลว่าบางสิ่ง ไม่ใช่ แปลว่าหลายๆ สิ่ง ไม่ใช่ แปลว่าทุกๆ สิ่ง “ทุกๆ” แปลว่าไม่มีอะไรขาด แม้แต่นิดเดียว ก็ไม่ขาด พระพรนานัปการในพระเยซูคริสต์ ได้ประทานให้เราเรียบร้อยแล้ว มองไปที่ตรงนี้สิ  จดจ้อง จดจำ ไปที่ตรงนี้ แล้วพระพรตรงนี้ รวมๆ แล้ว คือเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว อธิบายให้ฟังแล้ว ก็คือชีวิตนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์ ที่ครบถ้วนบริบูรณ์ จดจ้องไปที่นี่เลย

ถามว่าชีวิตนิรันดร์ที่ครบถ้วนบริบูรณ์ในพระเยซูคริสต์ คือ …

“ฉันเชื่อพระเจ้า ด้วยความเชื่อ ในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ฉันได้บังเกิดใหม่”  นี่สรุปสั้นๆ นะ “พ้นจากบาปผิด  ได้รับการอภัยบาปทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต และตลอดไป ฉันได้เกิดใหม่พร้อมพระเยซูคริสต์ มีวิญญาณที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์แล้วเดี๋ยวนี้      เป็นลูกของพระเจ้า     ที่นั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรคสถานแล้ว  เดี๋ยวนี้  อยู่ในสวรรค์แล้วเดี๋ยวนี้  พระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่กับฉัน พระเจ้าสถิตอยู่กับฉัน และฉันจะอยู่กับพระเจ้าตลอดวันเวลา ตลอดวันคืน ตลอดชีวิตของฉัน  และวันหนึ่งข้างหน้า  เมื่อฉันหมดลมหายใจ  วิญญาณของฉัน  จิตวิญญาณใหม่ของฉันนี้ ก็จะออกจากร่าง ไปพบพระเยซูคริสต์หน้าต่อหน้า และรับร่างกายใหม่ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ที่เต็มไปด้วยสง่าราศี และอยู่ในสวรรค์ และอาศัยอยู่บนโลกใหม่ ที่พระเจ้าสร้างขึ้นมาแทนที่โลกใบเดิมนี้แหละ ซึ่งดีกว่ามากนัก ซึ่งในโลกนั้น ไม่มีความเจ็บไข้ได้ป่วย  ไม่มีคำสาปแช่ง  ไม่มีความเสียหาย ไม่มีความบาปมาล่อลวง ไม่มีมาร มีแต่ความสุข  สบาย อยู่กับพระเจ้านิรันดร์”

นี่สรุปสั้นๆ ชีวิตนิรันดร์คืออย่างนี้ จดจ่อ จดจ้อง จดจำไปแถวนี้ อยู่แค่นี้  ถ้าให้สั้นๆ ก็คือ … “อดทน และรอคอยวันเวลา ที่จะไปรับร่างกายใหม่ เมื่อวิญญาณออกจากร่างนี้ วิญญาณออกจากตุ่มเมื่อไร? ฉันไปรับร่างกายใหม่ทันที ฉันจะไปพบพระเยซูหน้าต่อหน้า ฉันตื่นเต้นเหลือเกินที่จะได้พบพระเยซูหน้าต่อหน้า ฉันตื่นเต้น กำลังจะไปพบพระเจ้าหน้าต่อหน้าฉันวาดภาพว่าพระเจ้าคงจะหน้าตาเป็นอย่างนี้ เป็นอย่างนั้น เป็นอย่างไร? ฉันก็ไม่เข้าใจ แต่ฉันจะได้เห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้าแล้ว ทันทีเลย เมื่อลมหายใจสุดท้ายออกจากร่าง วิญญาณออกจากร่างเมื่อไร ฉันจะเห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า แค่นั้นไม่พอ ฉันจะเห็นตัวเอง ด้วยตัวตนฉันจริงๆ ก็คือวิญญาณภายในที่ไม่ใช่ตุ่มนี้ ตุ่มนี้   ไม่ใช่ตัวจริงๆ ของฉัน แก่ลงไปทุกวัน แต่ตัวตนของฉันจริงๆ ที่เป็นวิญญาณของฉัน ที่บังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้า หน้าตาเป็นอย่างไร? ในพระคัมภีร์บอกสดใส ซาบซ่าส์ น่ารักขนาดไหน? ฉันก็อยากจะเห็นชัดเจนมากขึ้น นอกจากจะเห็นพระพักตร์ของพระเจ้า หน้าของพระเจ้าแล้ว”

มันตื่นเต้นไหมล่ะ  ถ้าเราจดจ้อง จดจำสิ่งที่เป็นความจริงเหล่านี้ ไปเรื่อยๆ มันก็เพลินกับสิ่งเหล่านี้  เหมือนเราจดจ้องอะไรต่างๆ เพลิน สิ่งที่เราไม่จดจ้อง จดจำ มันเกิดขึ้น แต่เราไม่สนใจมัน มันก็กลายเป็น ไม่ค่อยมีผลกับเรา  เคยจอดรถไหม?  สมมติว่าวันนี้เปลี่ยนรถ เอารถไปซ่อม เขาให้เอารถมาใช้ชั่วคราว เราก็ไม่เคยใช้รถของเขา ปรากฏว่ารถของเขาสีน้ำเงิน รถคันเดิมเราสีขาว เอาไปซ่อม ยังไม่เสร็จ  เขาก็ให้เอารถสีน้ำเงินมาใช้ชั่วคราว  เราขับรถสีน้ำเงินออกมาปุ๊บ ไปซื้อของ เข้าซุปเปอร์ ไปจอดที่จอดรถ ที่ศูนย์การค้า จอดชั้นนี้ จำได้ ชั้น A1 ไปซื้อของเสร็จเรียบร้อย เดินออกมา เข้ามา A1 ถูกแล้ว จำได้ ถ่ายรูปไว้ด้วย A1 มองหารถสีขาว  ไม่มี ไปแจ้งความ หรือเขาขโมยไปแล้ว หรือว่าอยู่ชั้น 2  หาชั้น 2 ก็ไม่มี แต่มั่นใจ อยู่ชั้น 1 ปรากฏว่าตำรวจมาถามเรียบร้อย …

“คุณแน่ใจหรือ?”

“ฉันแน่ใจ จอดตรงนี้”

ไม่เห็นมีใครจอด จนเย็น เขากลับกันไปหมดแล้ว เหลือรถสีน้ำเงินอยู่คันเดียว

“คันนี้ของคุณใช่ไหม?”

“ไม่ใช่ ของฉันสีขาว”

แต่จริงๆ สีอะไร? สีน้ำเงิน เพราะลืมไป เพราะมันเคยชิน มันจดจ่อแต่รถของเรามันสีขาวๆ ขับมาตั้งนาน ตอนนี้ไปเอารถชั่วคราวมาใช้ สีน้ำเงิน จดจ่ออยู่แต่ที่สีขาว ซึ่งจริงๆ ตอนที่เอารถเขามาใช้ มันสีน้ำเงิน มันไม่เห็น นี่แหละคือความหมายของคำว่าจดจ่อ ถ้าเราจดจ่อไปที่สวรรค์เบื้องบน  การต่อต้าน ความทุกข์ทรมาน ความทุกข์ลำบาก  ความไม่แน่นอน ความสูญเสีย คำสาปแช่งบนโลกใบนี้ โดนกันทุกคนไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อ ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ หรือเป็นสัตว์ ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้หรือใบหญ้า โดนกันหมดทุกคน  เราก็เห็นคำสาปแช่ง ความทุกข์ยากลำบากนี้ ไม่ชัด รู้สึกไม่ใช่ของเรา ไปจดจ้อง จดจ่อแต่ร่างกายใหม่ วิญญาณใหม่ที่สะอาดหมดจด บริสุทธิ์สะอาด เหมือนพระเจ้าเลย เต็มด้วยความน่ารัก ตื่นเต้น ที่จะได้เจอรถสีน้ำเงิน รับรองได้ ออกมาเจอแน่ ตื่นเต้น คิดแต่เรื่องรถสีขาว ก็ไม่เห็นสีน้ำเงิน  ท่านลองไปคิดดูแล้วกัน

ถ้าเป็นอย่างนั้น เราก็สามารถขอบคุณพระเจ้าได้ ในทุกกรณี อะไรเกิดขึ้น เราก็ไม่ค่อยได้สนใจมันมากนัก เพราะเราจดจ่อไปที่ของที่มันนิ่งๆ อยู่ แน่นอน 100% คือร่างกายใหม่ วิญญาณที่เราจะเห็นตัวเองชัดเจนว่าเราหน้าตาเป็นอย่างไร? แล้วเห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า เพราะฉะนั้น เราก็สามารถขอบคุณพระเจ้าได้  นี่แหละ ขอบคุณพระเจ้าในพระพรนานัปการ ทางฝ่ายวิญญาณ และนอกจากนี้ เรายังขอบคุณพระเจ้าในพระพรนานัปการ แล้วโลกฝ่ายวิญญาณนี้ ที่ตะกี้นี้บอก แล้วยังขอบคุณพระเจ้า สำหรับพระพรต่างๆ ฝ่ายโลกนี้ด้วย

อ้าว! ไหนบอกว่าพระเจ้าไม่ได้สัญญา แจงละเอียด แต่บนโลกใบนี้ พระเจ้าทรงสัญญาด้วย มีพระพรบนโลกใบนี้ด้วย อ้าว! ไหนบอกไม่มี … มี อยากฟังไหม? พระพรบนโลกใบนี้ที่พระองค์ทรงสัญญาไว้ มีจริงๆ ด้วย แต่ไม่ใช่พระพรตามที่มนุษย์คิดกันเองว่าตามตรรกะมันน่าจะเป็นอย่างนี้

ถ้ามีพระเจ้าจริง พระเจ้ารักเรา เราต้องแข็งแรงตลอดสิ

ถ้ามีพระเจ้าจริง ปล่อยให้เรายากจนได้อย่างไร?

ถ้าพระเจ้ารักเราจริง ทำไมปล่อยให้เราติดเชื้อโควิดอย่างนี้

ถ้าพระเจ้ารักเราจริง ทำไมปล่อยให้เหตุการณ์เหล่านี้ เกิดขึ้นกับเรา ทั้งๆ ที่เราตั้งใจจะทำสิ่งที่ดี พระองค์ทรงรู้อยู่แล้ว ทำไมๆๆๆๆๆ ก็เพราะเราเข้าใจพระเจ้าผิดไป พระองค์สัญญาอะไรไว้  พระพรบนโลกใบนี้ เมื่อขณะที่เราดำเนินชีวิตบนโลกบนใบนี้ พระพรฝ่ายวิญญาณที่ตะกี้เราจดจ้อง จดจำอยู่ เรารู้แล้วนะว่าคืออะไร? ตอนนี้พระพรที่เราสามารถขอบคุณพระเจ้าได้ ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ที่พระองค์ทรงสัญญาไว้ คือถ้าท่านดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ท่านเชื่อในพระเยซูคริสต์ เป็นลูกของเราแล้ว เราจะสถิตอยู่กับท่านตลอดเวลา ทำหรือเปล่า? พระเจ้าทำไหม? ทำ นี่คือพระพร

ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  เราจะไม่ทอดทิ้ง ให้ท่านเป็นเด็กกำพร้า จะไม่ละทิ้งให้ท่าน อยู่ตามลำพัง ตอนติดโควิด ก็ไม่ได้อยู่ลำพัง ตอนขาดทุนมโหฬาร ตอนตกงาน ไม่มีเงินใช้ ตอนเจ็บป่วย  เป็นมะเร็ง พระองค์สถิตอยู่ด้วยหรือเปล่า? ทิ้งเราให้ไปอยู่ตามลำพังไหม? อยู่กับหมอ 2 คนหรือเปล่า?  อยู่บนเตียงผ่าตัด พระองค์อยู่ด้วยหรือเปล่า? อยู่ นี่คือพระพร

และยังสัญญาว่าจะฟังคำอธิษฐานวิงวอนของเราตลอดเวลา ฟังไหม?  และจะตอบคำอธิษฐานของเราอย่างแน่นอน ถูกต้องไหม? ถูก แต่คำว่าแน่นอนนี้ ตอบคำอธิษฐานเรา แต่เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ ไม่ใช่เป็นไปตามใจของเรานะ ไม่ได้เป็นไปตามความต้องการของเรา เพราะพระองค์ทรงรู้ดีว่าอะไรเหมาะสมและดีสำหรับเรา หรือว่าเราอยากจะดูแลชีวิตของเราเองมากกว่า ก็ไม่ใช่ พระองค์ทรงสัญญาทั้งหมดเองนั่นแหละ แต่เราเข้าใจพระองค์ผิด อยากให้พระองค์ทรงกระทำตามที่เราต้องการ ทั้งๆ ที่เรารู้ความจริงน้อยกว่าพระองค์

ถ้าลูกเราขอเรา พ่อถ้ารักลูกจริง  ทำไมทิ้งลูกขนาดนี้ สมมติว่าผมส่งลูกไปเรียนหนังสือตอนอนุบาลหนึ่ง แล้วลูกร้องไห้ร้องห่ม จะกลับบ้าน ผมบอกว่าดีแล้วลูก กลับบ้าน ไปส่งอีกวันหนึ่ง ก็ร้องไห้กลับบ้าน แล้วเขาจะไปเรียนไหม  เขาก็ไม่เรียน  แล้วเด็กรู้ไหม ตอนที่ผมส่งเขาไปเรียน แล้วเขาร้องจะกลับบ้านๆ  ผมบอกว่าอยู่ที่นี่ แล้วหันหลังกลับ แล้วขึ้นรถไปเลย แล้วเด็กเขาจะเข้าใจไหมว่าพ่อรักเราไง พ่อต้องการให้เราเรียน จะได้เจริญเติบโต มีวิชาความรู้ ไม่ใช่อยู่บ้านเฉยๆ เล่นอึ เล่นฉี่อะไรแบบนี้ เขาเข้าใจแบบนี้หรือเปล่า? เขาไม่เข้าใจหรอก แต่เมื่อเขาเจริญเติบโตขึ้น เขาจึงรู้ว่าใช่แล้ว ขอบคุณพ่อนะ ถ้าพ่อไม่ส่งลูกไปเรียน แย่เลย ทุกคนก็ขอบคุณในการเล่าเรียน ศึกษาของตนเอง ที่พ่อแม่ส่งให้เรียน แต่ว่าตอนเรียนชอบใจไหม?  เคี่ยวเข็ญให้เราทำการบ้าน ชอบใจไหม? คิดแค่นี้ ก็ชัดเจนเลย

เพราะฉะนั้น เราเป็นลูกของพระองค์ พระองค์ทรงตอบคำอธิษฐาน ให้เป็นไปตามที่ดีที่สุด สำหรับเรา ซึ่งพระองค์ทรงทราบดี เพราะว่าเราเป็นลูกของพระองค์ ที่พระองค์ทรงรักดังแก้วตาดวงใจ นี่คือสิ่งที่พระองค์ทรงสัญญาไว้ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ คือแม้ว่าเจ้าจะเดินผ่านหุบเขาเงามัจจุราช เราจะไม่ทอดทิ้งเจ้า เราจะจูงมือเจ้าไป ก็จูงมืออยู่แล้ว เราจึงสามารถขอบคุณพระเจ้าตลอดเวลาได้ ก็คือขอบคุณพระเจ้าอยู่เสมอ  ไม่ว่าพระเจ้าจะตอบคำอธิษฐาน  แน่นอน ให้เป็นไปตามที่เราต้องการหรือไม่? ก็ตาม เราก็ขอบคุณ

ยกตัวอย่างเช่น พระเยซูอธิษฐาน 3 ครั้ง พระองค์บอกไม่ ไม่ทำตามพระเยซู พระเยซูต้องขึ้นตะแลงแกง ถูกตัดสินว่าเป็นคนบาป  ถูกตรึงที่ไม้กางเขน  ด้วยความทุกข์ทรมาน  พระเยซูไม่อยากจะเข้าไป เพราะมันหนักมาก  แต่พระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐานหรือเปล่า? ตอบ เพราะพระเยซูบอกว่าถ้าไม่ได้ เป็นไปตามที่พระองค์อธิษฐาน ก็ให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระบิดา น้ำพระทัยของพระองค์ ก็คือวางแผนแล้วว่าพระเยซูต้องตายเพื่อเราทั้งหลาย มนุษย์บนโลกใบนี้

เหมือนเปาโลที่ตะกี้ เรากำลังเรียนรู้จากประสบการณ์ของท่าน ว่าท่านประสบกับความทุกข์ยากลำบากขนาดไหน? มีประสบการณ์ แล้วพูดอย่างนี้ได้อย่างไรว่าเป็นเพียงเล็กน้อย ทั้งๆ ที่ทนทุกข์ลำบากมากขนาดนั้น จนสอนเราได้ขนาดนี้ยังอธิษฐานกับพระเจ้าอะไรบางอย่างที่ไม่พอใจ  ที่มันเป็นความทุกข์ยากลำบาก ต้องหนักมาก ถ้าไม่หนัก คงไม่เขียนบันทึกเอาไว้ในนั้นว่า  …

“ข้าพเจ้าอธิษฐานถึง 3 ครั้ง แต่พระเจ้าบอกว่าไม่ ไม่ทำตาม ไม่เอาออกไป  ไม่เอาความทุกข์ยากลำบาก ที่เรียกว่าหนามในเนื้อออกไป แต่พระองค์บอกว่าพระคุณของเรา ฤทธิ์เดชอำนาจของเราเพียงพอ จะทวีคูณขึ้น เต็มขนาดในความอ่อนแอของเจ้านั่นแหละ คือไม่รู้เรื่องหรอก ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร? เราจะได้ปรากฏชัดเจนในชีวิตของเจ้า ให้กับบรรดามนุษย์บนโลกใบนี้ เขาได้เห็น รอบข้างเจ้าเขาได้เห็น เห็นอะไร? เห็นพระเจ้าที่สถิตอยู่ในเปาโล ถ้าเรามองอย่างนี้ มันก็ชัดเจนใช่ไหม? เราก็สามารถขอบคุณพระเจ้าได้ในทุกกรณี  ทุกเวลา ทุกสถานการณ์ และขอบคุณได้เสมอ  ความหวังอย่างนี้มันชัดเจน แล้วมันทำได้ด้วย แล้วมันจริง

ให้เราขอบคุณพระเจ้าในพระพรนานัปการทั้งฝ่ายวิญญาณ ซึ่งได้ไปเรียบร้อยแล้ว และขอบคุณพระเจ้าในพระพรฝ่ายโลก ซึ่งตะกี้นี้อธิบายให้ฟังแล้ว เมื่อเผชิญกับความทุกข์ หรือสถานการณ์ที่ไม่พึงพอใจ หรือต้องอดทนต่อความทุกข์ยากลำบาก ความสูญเสีย ความเจ็บปวด ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาของการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้อยู่แล้ว

ขอบคุณพระเจ้าได้ทั้งสองอย่างเลย ทางฝ่ายวิญญาณก็ขอบคุณได้ การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ก็ขอบคุณได้  เกิดความทุกข์ยากลำบากมา ก็ขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ทรงสถิตอยู่ด้วย ที่พระองค์ทรงประทาน พระองค์ไม่เคยทอดทิ้งลูกเลย ในสถานการณ์ที่ลูกเจ็บป่วยอยู่นี้ พระองค์อยู่กับลูกเสมอ ลูกขอบคุณพระเจ้า พระองค์พาลูกผ่านไปได้  พระองค์ให้ลูกมีกำลังที่จะอดทนได้

ขอบคุณได้อีกแล้ว เป็นไปได้ไหม? เป็นไปได้ และเป็นแน่นอน มันหนีไม่พ้น มนุษย์บนโลกใบนี้ เกิดมาอยู่ในความทุกข์ยากลำบากแน่นอนอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม โดนระบบของโลกใบนี้ ทำให้เกิดความทุกข์ยากลำบากแน่นอน แล้วไม่ใช่ว่ามนุษย์อย่างเดียว ทั้งสัตว์ ทั้งต้นไม้ โลกธาตุบนโลกใบนี้ทุกอย่าง ทนทุกข์ลำบากบนโลกใบนี้  พระคัมภีร์บันทึกเอาไว้อย่างนั้น  เขาคร่ำครวญ เหมือนเราคร่ำครวญ  เพื่อจะได้รับ จบสักที ชดใช้ให้มันเรียบร้อยไปสักที พระเจ้าจะได้สร้างโลกใหม่ สัตว์ใหม่ ให้มันเกิดใหม่เหมือนกับเราทั้งหลาย เพื่อเป็นโลกใหม่ที่เราจะได้อยู่กับพระองค์ในสวรรคสถานนิรันดร์นั่นเอง ซึ่งความทุกข์ยากลำบาก เหล่านี้มันเกิดขึ้น ไม่ว่าเราจะเชื่อหรือไม่เชื่อ มันก็เป็นอย่างนี้ มนุษย์ทุกคน เกิดมา ต่างก็จะมีเหตุอะไรบางอย่าง หรือหลายอย่างแน่นอนที่จะทำให้เกิดความสูญเสีย ไม่พึงพอใจ มีความทุกข์ลำบาก มีความเครียด พูดง่ายๆ โลกนี้มีแต่ทุกข์นั่นเอง พระเยซูก็บอกแล้ว ท่านอยู่บนโลกใบนี้นั้น มีแต่ความทุกข์ยากลำบากต่างๆ นานา พระคัมภีร์จึงใช้บอกว่าโลกใบนี้มีแต่ความมืด เราถูกช่วยให้ออกมาจากความมืดเข้ามาสู่ความสว่างแล้วก็จริง ในโลกวิญญาณ  แต่เรายังอยู่ท่ามกลางความมืด ท่านเคยเห็นดวงไฟ ตอนกลางคืน ที่รัฐบาลเขาใส่ไฟข้างถนนให้แสงสว่าง ในที่มืด โดยเฉพาะต่างจังหวัด ขับรถไปจะเห็น ดวงสว่าง มันไม่พอที่จะทำให้สว่างไปทั้งหมดทั้งซอย มืดมาก สมมติว่ามันมีดวงเดียว มันก็จะสว่างแค่จุดนั้นจุดเดียว พอเลยไปไกลๆ จากรัศมีของดวงสว่างนั้นปุ๊บ มันก็จะเริ่มสลัวลงๆ  และในที่สุด ก็คือมืด  ในระหว่างมืดกับสว่าง มันจะมีขอบเขตกันอยู่ เห็นไหม?  มันก็สู้กันอยู่นั่นแหละ  พูดง่ายๆ ความสว่างนั้นถูกความมืดต่อต้านอยู่ตลอดเวลา

เช่นเดียวกัน เราเป็นลูกพระเจ้า ลูกแห่งความสว่างแล้วก็จริง แต่เป็นลูกแห่งความสว่างที่อยู่ท่ามกลางความมืดบนโลกใบนี้  ความมืดเหล่านั้นมันต่อต้าน มันต่อสู้ มันขัดขวาง มันสาปแช่งเรา ผู้เป็นความสว่างอยู่ แต่ไม่ใช่ความสว่าง แล้วมันมาต่อต้านความสว่าง มันหนักกว่านั้น คือถ้าเราไม่ได้อยู่ในความสว่าง เป็นชีวิตเหมือนเดิมที่ยังไม่เชื่อพระเยซู เราอยู่ในความมืดด้วย  มันกลืนกินเราอยู่ เราอยู่ในกระเพาะของมันเลย  ไม่ได้ผุดได้เกิดเลย ยิ่งหนักใหญ่เลย แต่ตอนนี้เราหลุดพ้นออกมาอยู่ในความสว่างแล้ว  แต่เรายังอยู่ท่ามกลางความมืด เป็นแสงสว่างท่ามกลางความมืด  มันเป็นอย่างนี้

เพราะฉะนั้น โลกใบนี้ มันเต็มไปด้วยความมืด เต็มไปด้วยความทุกข์ยากลำบากอยู่แล้ว หนีไม่พ้น แต่ขอบคุณพระเจ้าที่เราพ้นแล้วในโลกวิญญาณ และพระเจ้าสถิตอยู่กับเราบนโลกใบนี้ และขอบคุณพระเจ้าได้ทั้งสองอย่าง เพราะฉะนั้น สิ่งที่เราควรจดจำและขอบคุณเสมอว่าพระเยซูคริสต์สถิตอยู่ในเรา อยู่ข้างเรา อยู่ฝ่ายเรา  เป็นแสงสว่างอยู่ในเรา  ไม่เคยเป็นศัตรูกับเราเลย  คอยเชียร์เรา คอยอยู่ข้างเราตลอด …

“เอาเลยลูก เอาเลยน้อง เอาเลย ผิดพลาดอะไรมา ก็ไม่เป็นไร เอาใหม่ ไม่มีผิดพลาดหรอก เราอยู่ด้วย เราเป็นเทรนเนอร์มวยอย่างดีแล้ว”

ฝ่ายดำก็จะมาหลอกเรา … “เพราะเธอทำผิดเอง เธอจึงได้มารับเคราะห์อย่างนี้  เพราะเธอทำไม่ดี เธอถึงได้มารับกรรมอย่างนี้”

มันพูดไปเรื่อยเปื่อย พระเยซูบอก “เปล่า ไม่ใช่ เราอยู่กับเจ้า ไม่ต้องห่วง  มันพยายามทำให้เจ้าเป็นอย่างนี้ เป็นเรื่องธรรมดาอยู่บนโลกใบนี้  ก็ต้องอย่างนี้แหละ”

พระเจ้าอยู่ข้างเดียวกับเรา แปลว่าอย่างนี้  พระเจ้าอยู่ในเรา พระคริสต์สถิตอยู่ในเรา  และพระองค์อยู่ข้างเดียวกับฉัน  แปลว่าอยู่ฝ่ายเรา สมมติว่าเราอยู่มุมน้ำเงิน พระเยซูคริสต์ก็อยู่มุมน้ำเงิน ไม่ใช่วันดีคืนดี ไปชกปุ๊บ พระเยซูคริสต์ไปอยู่มุมแดง ไม่ใช่ อยู่กับเราเสมอ อยู่ฝ่ายเรา อยู่พวกเรา เห็นพ้องไปกับเราด้วยตลอดเวลา  ต่อให้เราทำบาป ทำไม่ดี พระองค์ก็บอกดี เพราะเราอยู่ด้วย ไม่เป็นไร เดี๋ยวล้ม แล้วลุกขึ้นมาใหม่  มันเป็นอย่างนั้น

ต้องจดจำสิ่งเหล่านี้ไว้ นี่คือความเป็นจริง คือขอบคุณพระองค์เสมอ  พระคริสต์สถิตอยู่ในฉันตลอดเวลา  จดจำเอาไว้ ฟีลิปปี 4:12-13 บอกไว้อย่างนี้ว่า …

ฟีลิปปี 4:12-13  “12 ข้าพเจ้าได้เรียนรู้ที่จะพอใจได้อย่างไร ทั้งตอนที่ขัดสน และตอนที่มีอย่างเหลือเฟือ ไม่ว่าจะอยู่ในสภาพไหนก็ตาม ข้าพเจ้าได้เรียนรู้เคล็ดลับว่าจะอยู่อย่างไร ในเวลาที่อิ่มท้องหรือหิวโหย ในเวลาที่มีเหลือเฟือหรือขาดแคลน 13 พระคริสต์ให้ข้าพเจ้ามีกำลังที่จะอดทน และสามารถเผชิญได้ กับทุกกรณี ทุกสถานการณ์”

 

ถ้าเราจดจำได้ว่าพระคริสต์สถิตอยู่ในเรา เป็นพวกเรา เป็นฝ่ายเราเสมอ เราก็จะสามารถขอบคุณพระเจ้าได้ในทุกกรณี อย่างนี้แหละ เราก็จะสามารถอดทนได้กับสถานการณ์ต่างๆ  เพราะว่าเราไม่ได้เผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก หรือศัตรู หรือความมืด  ที่ต่อต้านเราบนโลกใบนี้ ด้วยตัวเราเองเลย แม้แต่นิดเดียว

ฟังอีกทีหนึ่ง เราขอบคุณพระเจ้า ที่พระองค์ทรงสถิตอยู่กับเรา  และพระองค์เป็นผู้ประกอบกิจการงานในเรา เป็นผู้ประทานกำลังฤทธิ์เดชอำนาจของพระองค์ในเรา ให้เราสามารถที่จะเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากที่เกิดขึ้นธรรมดาบนโลกใบนี้ กับทุกคน ทุกอย่าง ทุกสิ่งและเราด้วย เราเผชิญได้ เพราะพระเยซูคริสต์สถิตในเรา  พระองค์ทรงเป็นกำลัง เป็นฤทธิ์เดช เป็นผู้นำพาเรา  และสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร?  เกิดขึ้นได้ เมื่อท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระเยซูเข้ามาสถิตอยู่ในท่านแล้ว  พระองค์ก็จะทำอย่างนี้แหละ  ได้พระพรนานัปการแล้ว พระองค์ก็เข้ามาสถิตอยู่ นำพาชีวิตท่านให้เริ่มต้นฝึกฝน เรียนรู้ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ไปกับพระองค์พร้อมๆ กัน เรียกว่าเจริญเติบโต ท่านจึงเริ่มต้น เรียนรู้จักที่จะพึงพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ มันจึงมีเคล็ดลับในการเรียนรู้สิ่งเหล่านี้  เคล็ดลับนี้ใครเป็นคนสอน  ก็คือพระวิญญาณของพระคริสต์สอนเรา เพราะพระองค์ทรงสถิตอยู่ในเรา  นี่แหละที่อาจารย์เปาโลกำลังพูดถึงตรงนี้ เคล็ดลับก็คือตรงนี้

เคล็ดลับในการทำได้? ไม่ใช่ ในการทำได้ เพราะเริ่มต้นเรียนรู้ ก็คือมีประสบการณ์ แล้วมีประสบการณ์ได้อย่างไร? ไม่ต้องไปหาเลย อยู่บนโลกนี้ มีประสบการณ์ทุกคน ก็คือประสบการณ์ของความทุกข์ยากลำบาก ความขัดสน ความขาดแคลน ความเจ็บป่วย ความอะไรต่างๆ ที่ไม่ชอบ ไม่พึงพอใจ เจอแน่บนโลกใบนี้  แต่พระองค์จะทรงนำพาเราให้เรารู้จักเรียนรู้ ที่จะเผชิญกับสิ่งเหล่านี้ ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจของพระองค์ ที่ทรงสถิตอยู่ในเรานั่นเอง และให้เราจดจ่อกับความเป็นจริงที่พระองค์สถิตอยู่ในเรานี้ และสอนเราในความเป็นจริง ในเรื่องโลกวิญญาณว่าเราได้รับอะไรเรียบร้อยไปแล้วบ้าง ให้เราจดจ่อกับสิ่งเหล่านี้  เราจึงสามารถขอบคุณพระเจ้าในทุกสถานการณ์ ที่เราได้เรียนรู้แล้วว่าเราจะเผชิญได้อย่างไร? และสามารถขอบคุณพระเจ้าได้อย่างแน่นอน 100%  พระพรนานัปการในฝ่ายวิญญาณ ก็คือความรอดนิรันดร์ที่เราได้รับเรียบร้อยไปแล้ว ในสวรรคสถาน ซึ่งจะได้รับร่างกายใหม่ ในไม่ช้านี้ จะไปอยู่ในสวรรค์ ในโลกใหม่ ที่พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้ให้ อย่างถาวรนิรันดร์ ในเวลาอันใกล้นี้ นี่คือทั้งสองฝ่ายที่เราสามารถขอบคุณพระเจ้าได้ในทุกกรณี เอเมน  พระเจ้าอวยพรครับ

 

***********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

เปาโล ถาม 3 ครั้ง ที่จะให้เอาหนามในเนื้อออกไป  แต่พระเจ้าบอกว่า … “ให้หนามอยู่อย่างนั้นแหละ  แต่พระคุณและฤทธิ์อำนาจของเรา  จะเพียงพอ ที่จะนำพาเจ้าผ่านไปได้”

 

2 โครินธ์ 12:8-9  “8 ข้าพเจ้า ทูลวิงวอนองค์พระผู้เป็นเจ้าสามครั้ง ให้ทรงเอาหนามนี้ออกไปจากข้าพเจ้า 9 แต่พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “พระคุณของเราเพียงพอสำหรับเจ้า เพื่อว่าฤทธิ์อำนาจของเราจะได้ปรากฏเต็มที่ในความอ่อนแอ” ฉะนั้นข้าพเจ้าจึงอวดความอ่อนแอของตน ด้วยความยินดี เพื่อฤทธิ์อำนาจของพระคริสต์ จะได้อยู่ในข้าพเจ้าอย่างเต็มบริบูรณ์ 10 ด้วยเหตุนี้แหละ เพื่อพระคริสต์ ข้าพเจ้าจึงชื่นชมในความอ่อนแอ ในการสบประมาท ในความยากลำบาก ในการกดขี่ข่มเหง ในความยุ่งยาก เพราะเมื่อใดที่ข้าพเจ้าอ่อนแอเมื่อนั้นข้าพเจ้าก็เข้มแข็ง”

 

มีคำสอน มีทฤษฎีมากมาย บอกว่าถ้ามีความเชื่อมากพอ จะสามารถเปลี่ยนสถานการณ์ทุกอย่างได้ แต่ความจริง คือพระเจ้าไม่เคยสัญญาว่าจะเปลี่ยนสถานการณ์ แต่พระองค์สัญญาประทานความคิดใหม่ที่เหมือนพระคริสต์ตามพันธสัญญาใหม่ ท่ามกลางสถานการณ์เดิมๆ ที่ทุกข์ยากลำบากอยู่บนโลกนี้

สถานการณ์ต่างๆ อาจเปลี่ยนหรืออาจไม่เปลี่ยน แต่สิ่งที่ควรเปลี่ยน คือเราควรเปลี่ยนความคิด เปลี่ยนความต้องการของเราที่จะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ ให้เป็นไปตามที่เราต้องการ แล้วมอบสถานการณ์เหล่านั้น ให้พระเจ้า เป็นผู้นำพาเรา .. แล้วเราจะรับรู้และเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ถึงพระคุณและฤทธิ์อำนาจที่แท้จริงของพระเจ้า ผู้ซึ่งอยู่ในเราตลอดเวลา ไม่ว่า สถานการณ์รอบด้าน จะเป็นเช่นใดก็ตาม

ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไรก็ตาม พระเจ้าต้องการเป็นที่พึ่ง เป็นที่ปรึกษา เป็นผู้นำทางของเรา พระเจ้าต้องการให้เราซึมซับเอา พระประสงค์ของพระเจ้าตรงนี้ เข้ามาเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจเดิมของเรา ให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ ถึงพระคุณความรักของพระเจ้า ไม่ว่าสถานการณ์รอบด้านที่เผชิญอยู่จะเป็นอย่างไร วันนี้หรือวันข้างหน้า จะเกิดอะไรขึ้น ให้ความคิดเหล่านี้ ฝังรากลึกลงไปในความคิดจิตใจของเราว่าพระเจ้าคือที่พึ่ง ที่ปรึกษา และเป็นผู้ที่สามารถนำพาเราผ่านไปได้ ท่ามกลางทุกสถานการณ์

พระเจ้าอวยพรครับ

 

 

 

 

วารสาร Holy News ฉบับที่ 1339

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  21  พฤศจิกายน  2021

 เรื่อง “ขอบคุณพระเจ้าในทุกกรณี  ทุกสถานการณ์ได้อย่างไร?”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

ชื่อเรื่องวันนี้ “ขอบคุณพระเจ้าในทุกกรณี ทุกสถานการณ์ได้อย่างไร?” ปกติเราก็ถามเหมือนกันนะ ได้ยินบ่อยๆ ใช่ไหม? พระเจ้าบอกขอบคุณพระเจ้าในทุกสถานการณ์ แล้วทำได้อย่างไร? วันนี้แหละ เราจะมาเรียนรู้เรื่องนี้กัน

ในยามที่บ้านเมืองมีความสุข มีความสบาย เศรษฐกิจรุ่งเรือง ผู้คนไปมาหาสู่กันได้ อย่างสบายๆ อย่างมีความสุข เลี้ยงรื่นเริงกัน ประสบความสำเร็จอะไรต่างๆ เหล่านี้ ก็สามารถที่จะขอบคุณพระเจ้าได้ในทุกกรณี ไม่ยากใช่ไหม? เราคงมีเรื่องขอบคุณพระเจ้ากันมากมาย ในวันที่เรามีความสุข ตรงนั้น ก็ขอบคุณ ตรงนี้ ก็ขอบคุณได้ ขอบคุณได้ทุกวัน ให้มี Thanksgiving ทุกวัน ยังทำได้เลย  แต่ความเป็นจริงในชีวิต สิ่งที่เกิดขึ้นในทุกวันนี้ โดยเฉพาะในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เราก็รู้กันอยู่แล้ว โลกเรากำลังเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากกันอย่างหนัก เรียกว่าอย่างแสนสาหัสเลยก็ว่าได้ เนื่องจากวายร้ายที่ชื่อว่าโควิด  ซึ่งก่อนหน้านี้มันก็มีมาเยอะแยะมากมาย  แต่ในสมัยเราอาจจะไม่คุ้นเคย หรือไม่ได้ประสบการณ์ด้วยชีวิตของเราจริงๆ อย่างนั้น  แต่ตอนนี้เราประสบด้วยชีวิตของเราจริงๆ เราอยู่ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบากอย่างหนัก อย่างนี้จริงๆ ผลกระทบจากโรคระบาดโควิด ที่คุกคาม ไม่ใช่เฉพาะบ้านอย่างเดียว บ้านข้างเคียง รวมไปถึงทั่วโลก  เป็นกันหมดทั้งนั้น

ผลกระทบที่เกิดขึ้น มีทั้งเรื่องเศรษฐกิจ ซึ่งกระทบหนักมากถึงมากที่สุด บางครั้งเราคิดว่ากระทบเราคนเดียวมั้ง เราคงลำบากคนเดียว คงตกงานคนเดียว แต่เปล่าครับ เป็นทั้งประเทศ ทั้งคนรวยและคนยากจน โดนกันหมด คือเป็นช่วงที่เศรษฐกิจถดถอย สำหรับโลกนะ ถดถอยอย่างสุดๆ  ในประวัติศาสตร์  แล้วยังมีผลกระทบในเรื่องของสุขภาพของชีวิต ความเป็นอยู่ของมนุษย์ ทั้งสุขภาพกาย และสุขภาพจิตใจ ความสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักของเรา ในหลายๆ ครอบครัว อย่างกะทันหัน อย่างไม่คิดไม่ฝันมาก่อน ปัญหาสังคมที่เกิดขึ้น ทางด้านสุขภาพจิตใจ ที่เกิดขึ้นเต็มไปหมด  คนที่หมดกำลังใจ หมดอาลัยตายอยาก เราก็เคยเห็นอยู่หน้าหนังสือพิมพ์บ่อยๆ ไม่ใช่ประเทศเราอย่างเดียว ทั่วโลกเป็นอย่างนี้หมด กำลังเครียดมาก ถึงมากที่สุด ก็คือโรคทางด้านจิตใจ ถูกกระทบอย่างแรง

พูดง่ายๆ ถึงแม้ว่าบางท่านอาจจะไม่กระทบอะไรมาก แต่ท่านลองคิดดูสิ แค่ท่านออกไปไหน? มาไหน? ไม่ได้  เข้าสังคมไม่ได้ ไปเจอหน้าเพื่อนฝูงไม่ได้ จะไปไหนทีต้องใส่หน้ากาก ตรงนั้น ก็ไม่ได้ ตรงนี้ก็ไม่ได้ คล้ายๆ กับติดคุกติดตารางอยู่ แล้วท่านจะไม่เครียดหรือ? นี่ยังไม่ได้คิดถึงเรื่องอื่นเลยนะ

เพราะฉะนั้น ก็เลยใช้ชื่อเรื่องนี้แหละ เราจะสามารถขอบคุณพระเจ้าได้ไหมในสภาวะเช่นนี้ เราลองถามใจตัวเองว่าเรายังขอบคุณพระเจ้าได้ไหม? ขอบคุณพระเจ้าจริงๆ นะ ไม่ใช่ฟังคำเทศนาอยู่ตอนนี้ แล้วก็มีกำลังใจ แล้วก็พูดตามว่าขอบคุณพระเจ้า แต่หมายถึงวันจันทร์นะ วันอังคารนะ วันพุธนะ  หรือวันศุกร์นะ ที่ไม่ได้เจอใครเลย  เดินไปเดินมาอยู่ในบ้าน คิดใคร่ครวญแต่เรื่องปัญหาตรงโน้นก็ติดขัด ตรงนี้ก็ติดขัด ตรงนี้ก็น่ากลัว ตรงนี้ก็เป็นแย่ๆ เรายังสามารถมีความหวังในการขอบคุณพระเจ้าได้หรือไม่? นั่นคือหัวข้อเรื่องในวันนี้นั่นเอง  “ขอบคุณพระเจ้าในทุกกรณี ในทุกสถานการณ์ได้อย่างไร?”

หลายปีก่อน บรรยายวันขอบคุณพระเจ้า ก็ใช้หัวข้อเรื่องนี้ “ขอบคุณพระเจ้าในทุกกรณี ในทุกสถานการณ์” บางครั้งก็ใส่หัวข้อว่า “ขอบคุณพระเจ้าในทุกกรณี” พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น แต่มาปีนี้ ก็ตั้งชื่อเหมือนเดิมนั่นแหละ แต่ขอใส่ 3 คำนี้ลงไป คือคำว่า “ได้อย่างไร?” บางทีพูดแบบนี้อาจจะไม่ค่อยได้อารมณ์ หลายคนอาจจะพูดแบบนี้ …

“ได้ยังไงล่ะ”

“สถานการณ์อย่างนี้จะให้ขอบคุณพระเจ้าได้ยังไง มันทนมาเยอะแล้วนะ”

อะไรอย่างนี้ นี่คือสภาวะความเป็นจริงของชีวิต มันเป็นอย่างนั้น ไม่ใช่เรื่องแปลก มันเป็นเรื่องธรรมดา อย่าไปนึกว่าเราเป็นคริสเตียน เราเป็นผู้เชื่อแล้ว พูดจาอย่างนี้ไม่ได้  เราก็ยังเป็นคนอยู่ เราไม่ได้เป็นเทวดา  ที่เดินอยู่บนโลกใบนี้ พระเจ้าสถิตอยู่ภายในเราก็จริง แต่เราก็ยังมีความรู้สึก สามารถสัมผัสถึงสิ่งแวดล้อมต่างๆ ทุกข์ก็คือทุกข์จริงๆ ถ้าลำบาก ก็คือลำบากจริงๆ ปัญหา ก็คือปัญหาจริงๆ เรายังต้องการออกซิเจนในการหายใจอยู่นะ ไม่ใช่พระเจ้าเป็นชีวิตของเรา แล้วเราไม่ต้องมีออกซิเจน อยู่บนโลกใบนี้ไม่ได้นะ เช่นเดียวกัน อยู่บนโลกใบนี้ ก็ต้องมีความรู้สึกอะไรต่างๆ เป็นไปด้วยกันกับสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นรอบข้าง แต่ในพระเจ้า เราสามารถขอบพระคุณได้ เพราะพระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น

นี่แหละ คือสิ่งที่เราจะมาเรียนรู้กันว่าเราสามารถขอบคุณพระเจ้าได้อย่างไร? ในสถานการณ์เช่นนี้ ก็เช่น 2 ปีที่ผ่านมา แล้วก็ไม่รู้ว่าจะไปอีกกี่ปี? จะเป็นอย่างนี้ หรือจะดีขึ้น หรือจะเลวลง

ความหวังของเราผู้เชื่อ จะอยู่ที่ไหน? ที่เราจะสามารถขอบคุณพระเจ้าได้ ตามที่พระองค์บอกว่าให้เราขอบคุณพระเจ้าในทุกกรณี ในทุกสถานการณ์ เราต้องมีความหวังอยู่ที่ไหน?  เราถึงสามารถทำตรงนี้ได้  นี่คือสิ่งที่เราจะเรียนรู้กันในวันนี้ ถามว่าเรียนรู้จากไหน? ก็แน่นอน จากพระคัมภีร์ ที่มีบันทึกเอาไว้ ถึงคำสอน คำบอกเล่า และประสบการณ์ของความทุกข์ยากลำบาก อาจจะมากกว่าที่เรากำลังประสบอยู่ทุกวันนี้ ก็ได้ ก็คือผู้เชื่อ คริสเตียนเหมือนเรา  ที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เมื่อสมัยยุคคริสตจักรเริ่มต้น คริสเตียนเริ่มต้นใหม่ๆ เมื่อประมาณ 2,000 ปีที่แล้ว เราจะมาเรียนรู้ประสบการณ์ของเขาว่าเขาสอนอย่างนี้ เขาเชื่ออย่างนี้  แล้วเขาก็ทำตามอย่างนี้  เขาประสบอะไร? ถึงทำอย่างนั้นได้ และเขาคิดอย่างไร? ความหวังเขาอยู่ที่ไหน?

คริสตจักรในยุคเริ่มต้น ตอนยุคบุกเบิก ในสมัยนั้น เขาอยู่กันอย่างไร?  เขาอยู่แบบเราอย่างนี้หรือ?  หรือว่าเขามีความเชื่อ เขาก็สบายแล้ว เราควรมีความหวังอย่างไร? อะไรที่เหมือนกับเขา ทำให้สามารถผ่านความทุกข์ยากลำบาก ในช่วงนี้ และขอบคุณพระเจ้าได้ ลองคิดดูนะว่าในสมัยนั้น เขาต้องทุกข์ยากลำบาก ต่อการข่มเหงรังแก ในฐานะเป็นคริสเตียนมากขนาดไหน?

นี่คือความทุกข์ที่ตะกี้นี้บอกว่าไม่ด้อยกว่า หรืออาจจะมากกว่าที่เรากำลังทนทุกข์เรื่องโควิดก็ได้นะ นึกถึงภาพว่าคริสเตียนสมัยนั้น เขาทนทุกข์เรื่องนี้  ไม่ใช่เรื่องนี้เรื่องเดียวนะ ไม่ใช่เขาทนทุกข์เรื่องถูกข่มเหงรังแกอย่างเดียว แต่เศรษฐกิจเขาก็ไม่ใช่ดีนะ เขาก็เจอภัยแล้ง  เศรษฐกิจล่ม สงครามใหญ่โต เขาก็เจอเหมือนกัน แต่เขาเจอหนักกว่าเราตรงที่การข่มเหงรังแกเนื่องจากความเชื่อ  มีมากมายมหาศาล มีทั้งเชื่อพระเจ้าแล้ว ต้องถูกจับไปติดคุก ถูกกลั่นแกล้ง ถูกยัดใส่ข้อหา ถูกจับไปเฆี่ยน ไปตีแบบทรมาน ถูกจับให้ไปต่อสู้กับสิงโต คือไปตายให้คนดู หรือถูกจับไปให้ฆ่ากันเอง ใครฆ่าเขา แล้วมีชีวิตอยู่ ก็อยู่ต่อ หรือบางคนถูกจับไปเสียบไม้ เผาทั้งเป็นแบบนี้ ไปขึงไว้บนไม้ ต้นไม้ แล้วก็เผาทั้งเป็น ประจานอย่างนี้ ลองคิดดูสิว่าหนักกว่าเราไหม?

แล้วผู้เชื่อในยุคนั้น ท่านคิดว่าเขาคิดอะไรในใจ ในขณะนั้น  หรือเขาก็มีความหวังอะไรที่ทำให้เขาสามารถเผชิญกับเหตุการณ์เหล่านั้นได้ โดยที่ยังสามารถที่จะขอบคุณพระเจ้าได้ ตามที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ อาจารย์เปาโลเป็นตัวอย่างเห็นชัดเจน และได้สอนเราถึงเรื่องนี้ว่าความหวังของเราควรอยู่ที่ไหน? ที่สามารถทำให้เราผู้เชื่อนั้นสามารถเจอกับความทุกข์ยากลำบากหนักขนาดไหน?  ความหวังของเรา ต้องอยู่ในสถานการณ์ที่เรามองเห็นอยู่ ไม่ใช่ เปาโลบอกว่าความหวังของเราอยู่ในพระคริสต์ เราอยู่ในพระเยซูคริสต์ เราจึงสามารถขอบคุณพระเจ้าได้ในทุกกรณี เพราะว่าพระเจ้าสถิตอยู่ในเรา เรียบร้อยไปแล้ว อาจารย์เปาโลพูดสั้นๆ แบบนี้ เพราะพระเจ้าสถิตอยู่ในท่าน เป็นความหวัง แห่งพระสิริ

วันนี้เราจะมาเรียนรู้ตรงนี้แหละ คือเคล็ดลับ พระเจ้าสถิตอยู่ในท่าน เป็นความหวังแห่งพระสิริ ลองนึกในใจตอนนี้ว่านี่แหละคือคำสั้นๆ แต่มีความหมายลึกซึ้ง ซึ่งวันนี้เราจะมาแจงความลึกซึ้งนี้ คืออะไร?

ก่อนอื่น เราต้องทำความเข้าใจก่อนว่าความทุกข์ยากลำบากต่างๆ วิกฤต ที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ ไม่ว่าในอดีต หรือปัจจุบันก็ตาม ไม่ได้เป็นเพราะว่าผู้เชื่อคนนั้น หรือท่านอธิษฐานน้อย หรือติดสนิทกับพระเจ้าน้อยไป ห่างเหินจากพระเจ้า หรือเพราะมีใครไปทำบาป พระเจ้าเลยลงโทษ  เราเลยซวยไปด้วย ไม่ใช่อย่างนั้นเด็ดขาด แต่เป็นเพราะระบบของโลกใบนี้ มันเป็นอย่างนี้ มันล่มสลาย ตกลงไปในความบาปคำสาปแช่ง ตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษอาดัมและเอวาแล้ว โลกนี้มันวิปริตไปแล้ว เต็มไปด้วยคำสาปแช่ง เต็มไปด้วยความทุกข์ยากลำบากต่างๆ ตั้งแต่สมัยอาดัม มาถึงทุกวันนี้ และจะเป็นอย่างนี้อยู่ถึงที่สุด เมื่อจบโลกใบนี้ พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น

อาจารย์เปาโลได้สอนเราเกี่ยวกับเรื่องนี้ ว่าความหวังเราควรจะอยู่ในพระเยซูคริสต์ เราอยู่ในพระคริสต์แล้ว เราสามารถที่จะขอบคุณพระเจ้าได้ในทุกกรณี เพราะว่าความหวังเราอยู่ในพระสิริของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์ มันคืออะไร? เรามาเริ่มต้นที่ 2 โครินธ์ 4:7 …

2 โครินธ์ 4:7 “แต่เรามีของล้ำค่านี้ ในภาชนะดิน เพื่อแสดงว่าฤทธานุภาพอันล้ำเลิศนี้ มาจากพระเจ้า ไม่ใช่มาจากตัวเราเอง”

 

“เรามีของล้ำค่านี้ ในภาชนะดิน” ถ้อยคำพระเจ้าตรงนี้ บอกว่าเรามีสมบัติอันล้ำค่า อยู่ในภาชนะเรือนดินอันต่ำต้อย ผมก็เลย ยกเอาสิ่งนี้มาเปรียบเทียบให้ท่านเห็นว่าสมบัติอันมีค่ากับสิ่งที่เทียบกันไม่ได้ อันต่ำต้อยนั้น ลักษณะเป็นอย่างไร? เอาแบบชาวบ้านๆ เป็นไทยๆ

“เรามีเพชร พลอย ทองคำอันมีค่า อยู่ในตุ่มดินเก่าๆ อันต่ำต้อย” ตุ่ม นึกถึงภาพคนไทย ตุ่มใส่น้ำเก่าๆ แถมยังขึ้นรา ขึ้นขี้ตะไคร่ สกปรกต่างๆ เหล่านั้น แต่ข้างใน เป็นเพชร พลอย เป็นทองคำ นี่เห็นภาพ ตรงนี้เป็นหัวใจอันแรกเลย ที่ทำให้เราต้องเรียนรู้ว่าพระคริสต์สถิตอยู่ในเรา ความหวังแห่งพระสิริ คืออะไร? พระคริสต์ก็คือเพชร พลอย ทองคำ  พระสิริ ก็คือเพชร พลอย ทองคำ อยู่ในเรา

“เรา” ในที่นี้ ก็คือร่างกายที่เป็นเหมือนตุ่มเก่าๆ เราต้องเรียนรู้และซึมซับตรงนี้ให้ได้ว่าความจริงเป็นอย่างนี้ ไม่ว่ากายภายนอกของเราจะเป็นอย่างไร? ก็ตาม ที่ตาเรามองเห็นและจับต้องได้ เช่น กายภายนอกนี้จะมั่งมีหรือยากจน จะแข็งแรงหรือเจ็บป่วย จะมีชื่อเสียงหรือไม่มี ก็เป็นเพียงแค่ตุ่มเก่าๆ ถูกไหม?

“ฉันเป็นคนแข็งแรงมากเลย เธอไม่ค่อยแข็งแรง”

เราก็เป็นแค่ตุ่มเก่าๆ ตุ่มใหม่ๆ เพิ่งจะคลอด อายุ 1 ขวบ  นี่ปาไปเท่าไรแล้ว เป็นตุ่มเก่าๆ ใบหนึ่งเท่านั้นเอง ที่ไม่มีค่าอะไรเลย ที่เปรียบไม่ได้กับสิ่งที่อยู่ในตุ่มนี้ อยู่ในร่างกายนี้ ซึ่งเป็นเหมือนเพชร พลอย และทองคำ  สิ่งที่อยู่ในร่างกายหรือภาชนะดินอันต่ำต้อยนี้ คืออะไร? เพชร พลอย และทองคำ ที่อยู่ในตุ่มอันสกปรก อันต่ำต้อยนี้ ก็คือทรัพย์สมบัติอันล้ำค่า ที่ในพระคัมภีร์พูดถึงบ่อยๆ จำได้ไหม? พระเยซูบอกจงสะสมทรัพย์ของท่านไว้ที่ในสวรรค์เบื้องบน ทรัพย์ท่านอยู่ที่ไหน? ใจก็อยู่ที่นั่น ทรัพย์เราอยู่ที่ไหน? อยู่ที่ความมั่งมี การงานเจริญเติบโต เศรษฐกิจที่ดีๆ หรืออยู่ในพระคริสต์ นั่นแหละ ใจเราก็อยู่ที่นั่น

เพราะฉะนั้น ทรัพย์สมบัติอันมีค่า อันล้ำค่า ที่อยู่ในใจของเรา หมายถึงชีวิตนิรันดร์ที่เราได้รับ หลังจากเรารับเชื่อในพระเยซูคริสต์เรียบร้อยแล้ว ก็คือพระเยซูคริสต์เข้ามาสถิตอยู่ในเรา เป็นความหวังของเรา เป็นพระสิริของเรา ในการดำเนินชีวิต จากนี้ไป ตั้งแต่หลังรับเชื่อ จนไปถึงตลอดชีวิตนิรันดร์เลยทีเดียว ตรงนี้มันหมายถึงอย่างนี้

เพราะฉะนั้น ที่บอกว่าผู้เชื่อทั้งแต่ยุคเริ่มต้น จนมาถึงยุคปัจจุบันที่สามารถเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากต่างๆ นานาได้ และสามารถขอบคุณพระเจ้าได้ในทุกกรณี ก็เพราะพวกเขาทั้งหลายมีความหวังไว้ที่ทรัพย์สมบัติอันล้ำค่าตรงนี้แหละ เขามีความหวังอันสูงสุด อยู่ตรงนี้แหละ ตรงทรัพย์สมบัติอันล้ำค่า เพชร พลอยและทองคำ ที่อยู่ในตุ่ม คือในร่างกายเขา ก็คือเขาเห็นพระคริสต์สถิตอยู่ในเขา เต็มไปด้วยพระสิริ นี่คือความหวังใจของเรา ที่เป็นกำลังให้กับเขา สามารถเผชิญกับสิ่งต่างๆ เหล่านี้ได้  ทรัพย์สมบัติอันล้ำค่าที่อยู่ภายในเรา ก็คือความรอดในพระเยซูคริสต์ ชีวิตนิรันดร์ ไม่ใช่เฉพาะของมีค่า คือวิญญาณเรา ที่พระเยซูคริสต์ให้เราบังเกิดใหม่ และเข้ามาสถิตอยู่กับเราเท่านั้น แต่หมายถึงร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตาย เมื่อวันหนึ่งที่เราทิ้งตุ่มนี้ไปแล้ว เราได้รับร่างกายใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ร่างกายใหม่ที่เป็นขึ้นจากความตาย ร่วมกับพระเยซูคริสต์ ตรงนี้ด้วย รวมอยู่ในชีวิตนิรันดร์

ถามว่าชีวิตนิรันดร์คืออะไร? เราได้เรียนรู้กันบ่อยๆ แต่บางทีเรานึกไม่ถึง เพราะฉะนั้น วันนี้ผมพยายามที่จะคัดเอามาจากในพระคัมภีร์ เพื่อให้ท่านสรุปรวมๆ เพื่อจะได้เห็นชีวิตนิรันดร์ หลายครั้งเราบอกว่าเราได้รับชีวิตนิรันดร์

ชีวิตนิรันดร์ คืออะไร? บางทีเราตอบไม่ถูก ถ้าเราตอบถูกบ้าง ก็ทำให้เรามีความหวังที่เห็นชัดขึ้น มีความหวังในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ได้มากขึ้น ขอบคุณพระเจ้าได้มากขึ้น

ชีวิตนิรันดร์ ก็คือชีวิตของพระเยซู พระเยซูสถิตในเรา ชีวิตนิรันดร์ คือชีวิตของพระเยซู ที่เต็มไปด้วยพระสง่าราศี เต็มด้วยพระเกียรติ พระสิริ เต็มไปด้วยฤทธานุภาพยิ่งใหญ่ เราได้รับชีวิตนิรันดร์ ก็คือเราได้รับชีวิตที่เป็น DNA เหมือนพระเยซูอยู่ในเราแล้ว ชีวิตนิรันดร์ที่เราได้รับ เป็นความรักนิรันดร์ เป็นความสว่างนิรันดร์ เป็นความชอบธรรมนิรันดร์ เป็นความดีงามนิรันดร์  เป็นความบริสุทธิ์นิรันดร์ เป็นความดีนิรันดร์ เป็นความสุขนิรันดร์ เป็นประชากรของพระเจ้า ในฐานะเป็นลูกของพระเจ้า อยู่ในสวรรค์กับพระองค์นิรันดร์ เป็นแล้วด้วย  เป็นเมื่อเราเริ่มต้น เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เป็นแล้ว เป็นตั้งแต่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ อยู่ในตุ่มนี้ เราก็เป็นอย่างนี้แล้ว นี่แหละคือความหวัง นี่แหละเขาเรียกว่าทรัพย์สมบัติอันยิ่งใหญ่ มหาศาล ในตุ่มเก่าๆ นี้

พระเยซูบอกใช่ ในตุ่มนี้หรือ? ถูก เปาโลจึงเขียน ในภาชนะดิน ก็คือในตุ่มดินเก่าๆ นี้ ท่านมีของอันล้ำค่ามากมายเลย ถ้าท่านเชื่อ ท่านก็จะได้เห็นกับตา เห็นหรือยัง? เริ่มเห็ฯชัดขึ้นแล้วนะว่าในตุ่มเก่าๆ มีอะไรอยู่ในนั้น และเมื่อเรามีความหวังตรงนี้ชัดเจน เราก็จะสามารถทนกับความทุกข์  ความลำบากในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ได้ทุกสถานการณ์ ในทุกสภาวะการ ไม่ว่าความทุกข์ยากลำบากนั้นจะมากขนาดไหนก็ตาม? จะสาหัสขนาดไหนก็ตาม มันก็อยู่เพียงแค่ชั่วคราวเท่านั้น เพราะมันเป็นเหมือนชีวิต  หรือเวลาของตุ่มเก่าๆ เดี๋ยวมันก็ต้องสูญสลายไป แต่เพชร พลอย ทองคำ มันจะอยู่ตลอดไป มันจะมีค่าตลอดไป เปรียบเทียบให้ท่านเห็น ท่านคงไม่ไปสนใจกับตุ่มแล้วนะ ผุๆ พังๆ กำลังแตก กำลังสลายไป ท่านคงไม่ไปประคบประหงมตุ่มนั้น แต่ของในนั้นมากกว่าที่ท่านจะดูแลอย่างดีเลย

สมมติว่าท่านเป็นมหาเศรษฐี เอาเพชร พลอย ทองคำ กลัวโจรมาก เอาฝังใส่ตุ่มไว้ ใจท่านคงไม่ได้คิดถึงตุ่มหรอก เพราะท่านก็รู้แล้ว เดี๋ยวมันก็สลายกลายเป็นดินไป แต่ท่านสนใจเรื่องทองคำที่ฝังอยู่ใต้ดินนั้นมากกว่าใช่ไหม? มันอยู่เพียงชั่วคราว  เรารู้ว่าความทุกข์ยากลำบาก ที่เราเผชิญอยู่ มันทุกข์จริงไหม? จริง มันเจ็บปวดจริงๆ ไหม? จริง มันเสียใจจริงๆ ไหม? จริง มันจริงทั้งนั้นนะ ไม่ใช่ไม่จริง ไม่ใช่มาเชื่อพระเจ้าแล้ว ความเชื่อบอกไม่จริงๆ ไม่ใช่ๆ มันเป็นจริง แต่เราสามารถทนได้ เพราะเรามีความหวังอย่างอื่น ที่เห็นชัดว่าถ้าเรารู้ความจริง แล้วเราจดจ่อไปที่ความหวังนั้น

ความหวังนั้นจะทำให้เราเห็นว่าความทุกข์ยากลำบากมันอยู่เพียงแค่ชั่ว แป๊บเดียว เดี๋ยวมันก็ไปแล้ว มันมีวันสุดท้ายของมัน และเมื่อเรามีความหวังตรงนี้ เรารู้ว่าเราแค่ทน จนถึงวันสุดท้าย  เกิดอะไรขึ้น เราก็ได้รับชัยชนะนิรันดร์ ได้รับชีวิตนิรันดร์ อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ซึ่งเราได้รับมัดจำมาแล้ว  อยู่ในตุ่มนี้แล้ว แต่ในวันข้างหน้า ตุ่มนี้หมดไป เราก็จะได้รับอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ เต็มที่เลย นี่คือความหวังใจ กำลังใจของผู้เชื่อในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ตามพระคัมภีร์ ซึ่งทรัพย์สมบัติอันล้ำค่าที่อยู่ในตัวเรา คือชีวิตนิรันดร์นั้น ทางด้านวิญญาณเรารู้ เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ในเรา  พระวิญญาณบริสุทธิ์ คือพระวิญญาณของพระเยซูคริสต์ เป็นผู้สอนเรา เป็นพยานยืนยันในจิตวิญญาณของเราว่านี่เป็นจริง เรามีของที่มีค่า

แต่ความหวังจริงๆ ของเรา ก็คือการพ้นจากร่างกายนี้ ก็คือขณะที่เราดำเนินชีวิต บนโลกใบนี้อยู่  แม้ว่าเราจะมีของมีค่าอยู่ในตุ่มเก่าๆ นี้ รู้ได้โดยพระวิญญาณ เป็นพยานให้กับเราแล้ว แต่แน่นอน เรา ก็ต้องดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ แล้วก็รำคาญตุ่มเก่าๆ นี้ ความหวังเราจึงอยู่ที่เมื่อไร ตุ่มมันจะหมดอายุ สักทีหนึ่ง แล้วฉันจะได้รับร่างกายใหม่ และย้ายที่อยู่ใหม่ในสวรรคสถาน หมดสิ้นจากความทุกข์ยากลำบากเสียที

ยอห์น 17:22-23 ผมจะนำท่านไปให้เห็นของมีค่า ที่พระคัมภีร์พูดถึงตรงนี้ ที่เปาโลพยายามจะชี้ให้เราเห็น ที่เป็นความหวัง กำลังใจให้กับคริสเตียนตั้งแต่ยุคโน้น มาทุกยุคทุกสมัย จนถึงยุคเรา คือมีค่าขนาดไหน? นี่เป็นคำอธิษฐาน เป็นคำพูดของพระเยซูคริสต์ …

ยอห์น 17:22-23  “22 เกียรติสิริ (ชีวิตนิรันดร์) ซึ่งพระองค์ประทานแก่ข้าพระองค์นั้น ข้าพระองค์ได้มอบให้พวกเขา (ทุกคนที่เชื่อในพระเยซู) แล้ว เพื่อพวกเขา (ผู้ที่เชื่อในพระเยซู) จะได้เป็นหนึ่งเดียวกัน เหมือนที่พระองค์กับข้าพระองค์เป็นหนึ่งเดียวกัน 23 คือข้าพระองค์อยู่ในพวกเขา (ผู้ที่เชื่อ) และพระองค์อยู่ในข้าพระองค์ ขอให้พวกเขา (ผู้ที่เชื่อ) ได้รวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน อย่างสมบูรณ์ เพื่อให้โลกรู้ว่าพระองค์ทรงส่งข้าพระองค์มา และทรงรักพวกเขา (ผู้ที่เชื่อ) เหมือนที่พระองค์ทรงรักข้าพระองค์”

 

พระเยซูอธิษฐานกับพระเจ้าพระบิดาว่า  “เกียรติสิริ” หมายถึงอะไร? ก็คือชีวิตนิรันดร์  ซึ่งพระองค์ประทานให้แก่ข้าพระองค์นั้น ซึ่งพระองค์ ตรงนี้หมายถึงพระเจ้าพระบิดา ประทานให้กับพระเยซู ประทานเมื่อไร? ประทานเมื่อตอนชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย พระเยซูสละสภาพสภาวะพระเจ้ามาตายที่ไม้กางเขน เพื่อที่จะไถ่บาปเรา ลบล้างบาปเรา ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ แล้ววันที่สามพระเจ้าพระบิดา ได้ชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย ตรงนี้แหละ ฤทธิ์อำนาจที่ชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นมาใหม่นั้น ทำให้พระเยซูกลายเป็นวิญญาณ ที่เป็นวิญญาณชีวิตนิรันดร์ที่มาจากพระเจ้า เต็มไปด้วยเกียรติ เต็มไปด้วยพระสิริ เต็มไปด้วยฤทธิ์อำนาจ

พระเยซูบอกว่า … “เกียรติสิริอันนี้ ชีวิตนิรันดร์อันนี้ ที่พระบิดาประทานให้กับลูก ข้าพระองค์ได้มอบให้พวกเขา”

มอบให้ใคร? มอบให้กับทุกคนที่เชื่อในพระเยซู “เขา” คือเชื่อในพระเยซู พระเยซูบอกว่า …

“ผู้ที่เชื่อในเรา ผ่านทางคำพูดของอัครสาวก ผ่านทางการประกาศข่าวประเสริฐ และเชื่อในเรา ในสิ่งที่เขาพูดเกี่ยวกับเรา  ถ้าเชื่อ ก็จะได้รับชีวิตนิรันดร์ตรงนี้ ได้ไป เพื่อพวกเขา ผู้ที่เชื่อในพระเยซูนั้น จะได้เป็นหนึ่งเดียวกัน เหมือนที่ข้าพระองค์กับพระองค์เป็นหนึ่งเดียวกัน”

“เป็นหนึ่งเดียวกัน” หมายถึงรวมกันเป็นวิญญาณเดียวกัน อยู่ในครอบครัวเดียวกัน เป็นวิญญาณก้อนเดียวกันเลย  คือ “ข้าพระองค์อยู่ในพวกเขา และพระองค์อยู่ในข้าพระองค์” คือพระเยซูกำลังบอก พระเยซูอยู่ในผู้ที่เชื่อ พอเชื่อปุ๊บ พระเยซูเข้าไปอยู่ในนั้น นี่แหละ คือชีวิตนิรันดร์ ที่เริ่มต้น เมื่อเราเชื่อและเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด นี่หมายถึงตรงนี้

“ชีวิตนิรันดร์ที่ให้เราบังเกิดใหม่นั้น” เป็นชีวิตของพระเยซู และเป็นชีวิตของพระเยซูที่ได้รับจากพระเจ้าพระบิดา เพราะฉะนั้น ชีวิตของเราที่บังเกิดใหม่ เป็นชีวิตนิรันดร์นั้น เป็นชีวิตที่ได้รับมาจากพระบิดา เป็นเหมือนชีวิตของพระเยซู เป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่มีผิดเลย

“ขอให้พวกเขาผู้เชื่อได้ร่วมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน”  อย่างสมบูรณ์ คืออย่างครบถ้วนบริบูรณ์ พระเจ้าเป็นอย่างไร? เราก็จะเป็นอย่างนั้น เราไม่ใช่พระเจ้านะ เราเป็นผู้ที่พระเจ้าเลือกสรร ให้เป็นประชากรของพระองค์ ในฐานะลูกของพระองค์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ มี DNA เหมือนพระองค์ในโลกฝ่ายวิญญาณ เป็นเหมือนพระองค์เลยทีเดียว เรียกว่าเป็นชีวิตนิรันดร์เหมือนพระองค์

“เพื่อให้โลกรู้ว่าพระองค์ทรงส่งข้าพระองค์มา และทรงรักพวกเขา เหมือนที่พระองค์ทรงรักข้าพระองค์”  พระเจ้าพระบิดาทรงรักพวกเรา ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์  ที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว เป็นลูกพระองค์นั้น รักเราเท่าๆ กับพระเยซู นี่ชัดเจนเลย

“ทรงรักพวกเขา” ทรงรักผู้ที่เชื่อเหมือนรักข้าพระองค์ คือเหมือนรักพระเยซู พอมองเห็นไหมว่าพระองค์ทรงรักเรามากเท่าไร? รักเราเท่ากับพระเยซูคริสต์ และความหวังในชีวิตนิรันดร์อย่างนี้ พระเยซูเข้ามาสถิตอยู่อย่างนี้  เป็นความหวังเดียวที่ทำให้คนมีพลัง ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ มีความหวังในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้อย่างชัดเจน  และความหวังนี้ มีง่ายนิดเดียว หวังแค่นิดเดียวเอง ไม่ต้องทำอะไรด้วยตัวเองเลย แม้แต่นิดหนึ่ง ที่จะได้ความหวังตรงนี้ ชีวิตนิรันดร์ได้มา โดยพระคุณ ไม่ต้องทำอะไรเลย เพียงแค่เชื่อเท่านั้นเอง เราก็ได้รับชีวิตนิรันดร์ตรงนี้ ยอห์น 3:15-16 พระเยซูตรัสประกาศถึงข่าวประเสริฐนี้ว่าความหวังตรงนี้ ชีวิตนิรันดร์ได้ง่ายๆ อย่างนี้เลยแหละ จริงๆ …

ยอห์น 3:15-16 “15 เพื่อทุกคนที่เชื่อในพระองค์จะมีชีวิตนิรันดร์ 16 เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลกและมนุษย์ จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ (พระเยซู) เพื่อทุกคนที่เชื่อในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ (วิญญาณตายอยู่ในบาป) แต่มีชีวิตนิรันดร์ (เป็นลูกของพระเจ้า)”

 

“แต่มีชีวิตนิรันดร์” ก็คือมาบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระองค์ แค่เชื่อเอง พระเยซูตรัสว่านี่เป็นเหมือนประตูแคบ คนไม่ค่อยเข้าใจ เพราะว่ามันเป็นไปไม่ค่อยได้ไง ความคิดของมนุษย์ไม่ต้องทำอะไรเลย ทำไมได้อย่างนี้ มันเป็นไปไม่ได้หรอกมั้ง เลยไม่มา นี่ประตูแคบ ก็เลยพยายามไปหาวิธีทำให้ตัวเองได้รับชีวิตนิรันดร์ ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว พูดง่ายๆ ก็คือถ้าเปรียบเทียบกับตุ่มเก่าๆ เมื่อสักครู่นี้ พระเยซูบอกว่าเพียงแค่เชื่อในพระองค์ว่าพระองค์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต และเป็นขึ้นจากความตาย แค่นั่นเอง ตุ่มเก่าๆ นี้ก็จะได้รับชีวิตนิรันดร์ ได้รับทรัพย์สมบัติอันมีค่ามหาศาล ได้รับชีวิตที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ได้รับชีวิตที่มี DNA แบบของพระเจ้าเลยทีเดียว  เข้ามาในตุ่มเก่าๆ ทันที เพียงแค่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดเท่านั้น เท่านั้นเลยจริงๆ

ถ้าไม่เชื่อในพระคัมภีร์เมื่อตะกี้ที่เราอ่านนั้น ยอห์น 3:16  ถ้าไม่เชื่อ เกิดอะไรขึ้น? “เพื่อทุกคนที่เชื่อในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ” ก็คือถ้าไม่เชื่อ มันก็พินาศ ถ้าไม่เชื่อ ก็ไม่มีพระเยซูคริสต์อยู่ในตุ่มนั้น ตุ่มนั้น ก็จะเป็นตุ่มเก่าๆ ที่กำลังสูญสิ้นไป แต่ภายใน ไม่มีชีวิตนิรันดร์ ไม่มีความหวัง ไม่มีชีวิตที่เป็น DNA แบบพระเจ้าเข้ามาอยู่ด้วย แต่เป็น DNA มาจากอาดัม ซึ่งเป็น DNA ที่เป็นทาสของมาร  อยู่ในความมืด  อยู่ในความพินาศนั่นเอง

ชีวิตนิรันดร์จึงเป็นสมบัติ อันมีค่ามากมายมหาศาล ชีวิตนิรันดร์ จึงเป็นเพชร เป็นพลอย เป็นทองคำในตุ่มเก่าๆ ของผู้เชื่อ และเป็นชีวิตที่เต็มไปด้วยความหวัง สำหรับผู้ที่เชื่อนั้นเขาได้รับชีวิตนิรันดร์เป็นมัดจำไปแล้ว ตอนดำเนินชีวิต บนโลกใบนี้ และเขามีความหวัง ที่จะไปรับร่างกายใหม่ เปลี่ยนตุ่มใหม่ ไปอยู่ในโลกใหม่ได้รับชีวิตนิรันดร์ที่ครบถ้วนบริบูรณ์อีกครั้งหนึ่ง หลังจากความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ผ่านไปเรียบร้อยแล้ว หลังจากที่ตุ่มใบนี้จบการงานของมันแล้ว  โดยการตายจากร่างกายนี้ หรือเรียกว่าตายจากโลกนี้ นั่นเอง แล้วรับร่างกายใหม่ เป็นขึ้นจากความตาย เหมือนพระเยซูคริสต์ทันที เมื่อวิญญาณออกจากร่าง

พูดง่ายๆ ว่าความหวังใจของคนที่เชื่อในพระเจ้า ในสมัยอดีต และปัจจุบัน และอนาคต พระคัมภีร์สอนให้ความหวังใจเรามองไปที่ทรัพย์สมบัติอันมีค่า ที่อยู่ในตุ่ม และมองไปที่การเปลี่ยนตุ่มในอนาคตอันใกล้ แค่นี้เอง อันนี้จำได้ง่ายดี ความหวังเราอยู่ที่การเปลี่ยนตุ่มเก่าๆ

ผมอยากจะเทียบตรงนี้ให้เห็น ตุ่มเก่าๆ นี้ วันหนึ่งมันจะต้องสูญสิ้นไปใช่ไหม? แตกสลายไปใช่ไหม? จะแตกสลายด้วยอะไรไม่รู้ จะแตกสลายด้วย เอาไปให้สิงโตกิน จะแตกสลายด้วยการถูกข่มเหง แตกสลายด้วยโรคภัยไข้เจ็บ แตกสลายด้วยป่วย แก่ อุบัติเหตุ หรืออะไรก็ตาม เป็นชัยชนะของเราทั้งสิ้น เพราะเป็นความหวังของเราที่จะเปลี่ยนตุ่ม เปลี่ยนตุ่มก็ต่อเมื่อวิญญาณออกจากร่าง ก็คือตาย

เพราะฉะนั้น เวลาเปลี่ยนตุ่ม จากตุ่มเก่าๆ ที่สกปรก ที่เต็มไปด้วยความสาปแช่ง อ่อนแอ บังเกิดใหม่ เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ รัศมี สง่าราศี เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ร่างกายใหม่ ที่เรียกว่าร่างกายสวรรค์นั้น ผมจึงใช้เปรียบเทียบเป็นว่าเปลี่ยนจากตุ่มเก่าๆ เป็นไหทองคำ นี่เห็นภาพแล้วนะ นึกภาพสิว่าเราเป็นตุ่มเก่าๆ ที่ในนั้นมีทรัพย์สมบัติ มีเพชร พลอย ทองคำ วันหนึ่งข้างหน้า อีกไม่นาน ตุ่มนี้จะหมดอายุลง พอตุ่มหมดอายุลงปุ๊บ มันจะเปลี่ยน กลายเป็นไหทองคำฝังเพชร ฝังพลอย สง่างามมากมายมหาศาลเลย แล้วท่านไม่ดีใจหรือ? ถ้าความหวังเราอยู่ที่นี่ตลอดเวลาได้ เราก็สามารถที่จะขอบคุณพระเจ้า  ในทุกสถานการณ์ ในทุกสภาวการณ์ได้ เพราะว่าทั้ง 2 อันนี้ ทั้งทรัพย์สินอันมีค่า เพชร พลอย ทองคำที่อยู่ในตุ่ม และไหทองคำฝังเพชรที่สัญญาไว้นั้น มันเป็นสัญญาจริงๆ สาบานโดยพระนามของพระองค์จริงๆ แล้วมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ แล้วเรารู้ เพราะว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ยืนยันอยู่ในจิตใจของเราว่ามันเป็นเช่นนั้นแหละ  เราจึงมีความหวังว่าเมื่อไรจะได้เปลี่ยนตุ่มสักทีหนึ่ง การทนทุกข์ทรมานถึงที่สุด และจนถึงความตาย ก็คือการเปลี่ยนตุ่มนั่นเอง

อย่างที่ตะกี้นี้บอกว่านี่แหละ พระคัมภีร์จึงเรียกว่าให้สะสมทรัพย์ของท่านไว้ในสวรรค์เบื้องบน  “สะสม” แปลว่ามีอยู่แล้วหรือยัง? “สะสม” แปลว่ามีอยู่แล้วสิ ถูกไหม? ให้สะสม เหมือนบางคนบอกว่าสะสมทอง ตอนนี้มีอยู่ 2 บาท  สะสมไปเรื่อยๆ จนสิบปี ยี่สิบปี ได้เท่าไรก็ว่าไป นี่สะสมทรัพย์ไว้ในสวรรค์ ทรัพย์อันมีค่า ตรงนี้สะสมชีวิตนิรันดร์ของเรา เราได้รับชีวิตนิรันดร์มาแล้ว แต่อยู่ในตุ่มเก่าอยู่ เราอยากได้เพิ่ม แต่ทำเองไม่ได้ แต่ทั้งหมดนี้อยู่ในพันธสัญญาของพระเจ้าทั้งสิ้น จะได้รับก็ต่อเมื่อตุ่มเก่ามันสูญสิ้นไป เราจึงจะได้รับอันใหม่ การสะสมทรัพย์ ก็คือเก็บรักษาทรัพย์สินที่มีค่า คือชีวิตนิรันดร์ที่เราดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้อย่างดี การสะสมไว้อย่างนี้ ก็คือการจดจ่อ ระวัง อย่าให้ใครมาขโมยไป มันขโมยไม่ได้อยู่แล้วล่ะ เพียงแต่จดจ่อให้ความสำคัญเท่านั้นเอง แล้วก็รอคอยว่าวันหนึ่งได้มาเพิ่ม ไหทองคำฝังเพชร ร่างกายใหม่ ที่เหมือนพระเยซูคริสต์ ที่เต็มไปด้วยสง่าราศีมาเพิ่ม ครบถ้วนบริบูรณ์และอยู่อาศัยในโลกใหม่ ที่ไม่มีความบาป ไม่มีความทุกข์ทรมาน ไม่มีคำสาปแช่งอีกต่อไป นี่คือการสะสมทรัพย์ไว้ในสวรรค์ ในเชิงของพระคัมภีร์ที่บอกไว้ใน 2 โครินธ์ 4:14 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

2 โครินธ์ 4:14 “เพราะเรารู้ว่าพระองค์ผู้ทรงให้องค์พระเยซูเจ้า คืนพระชนม์จากความตายนั้น จะทรงให้เราเป็นขึ้นกับพระเยซูด้วย และจะทรงให้เราเข้าเฝ้าพระองค์ร่วมกับท่านทั้งหลาย”

 

เพราะเรารู้ว่าพระองค์ ผู้ทรงให้องค์พระเยซูเจ้าคืนพระชนม์ ก็คือพระบิดาผู้ให้พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากความตายนั้น จะทรงให้เราเป็นกับพระเยซูด้วย หมายถึงเปาโลบอกว่าจะทรงชุบเปาโลผู้ประกาศข่าวประเสริฐ ซึ่งเป็นอัครสาวกในกลุ่มเริ่มต้นตอนนั้น ให้เป็นขึ้นกับพระเยซูคริสต์ด้วย  และจะทรงให้เราเข้าเฝ้าพระองค์ร่วมกับท่าน

“ท่าน” ในที่นี้หมายถึงผู้เชื่อ ชาวโครินธ์  ที่เปาโลเขียนไปถึง ซึ่งรวมทั้งเราด้วย  ผู้เชื่อทั้งหลาย  พูดง่ายๆ ก็คืออย่างที่ตะกี้นี้ ที่ผมบอกว่าพระเจ้าพระบิดาชุบให้พระเยซูเป็นขึ้นจากความตายอย่างไร?  เหมือนกันไม่มีผิดเลย พระเจ้าก็จะชุบ ให้เราเป็นขึ้นจากความตาย อย่างนั้นด้วยเมื่อวันที่เราเปลี่ยนตุ่ม เมื่อวันที่หมดอายุตุ่ม และทรัพย์สมบัติที่มีค่าภายใน เป็นอิสระ เข้าไปรับตุ่มใหม่ ไหทองคำ ไปรับร่างกายใหม่ ร่างกายที่เหมือนพระเยซูคริสต์ เต็มไปด้วยสง่าราศี ครบถ้วนบริบูรณ์ ในสวรรคสถาน  และอยู่กับพระองค์ในโลกใบใหม่ ในสวรรค์สถานนิรันดร์นั่นเอง

เพราะฉะนั้น เป้าหมายของเราจึงจดจ่อไปที่มรดก ตรงนี้เป็นมรดก ชีวิตนิรันดร์ที่ครบถ้วนบริบูรณ์ ที่ตะกี้นี้พูดถึง ทั้งทรัพย์สินที่มีค่าในตุ่ม และรวมทั้งตุ่มใหม่ที่เราจะได้รับนั้น รวมทั้งการไปอยู่ในสวรรค์ เบื้องบน บนโลกใบใหม่ ที่พระเจ้าสร้างสรรพสิ่งใหม่ทั้งสิ้น สิ่งเหล่านี้เรียกว่ามรดก เพราะฉะนั้น ให้เราจดจ่อไปที่มรดกที่เราได้รับเรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่เริ่มเชื่อพระเยซูคริสต์ส่วนหนึ่ง เป็นมัดจำไปเรียบร้อยแล้ว และมองไปถึงด้านหน้า เราจะได้รับครบถ้วนบริบูรณ์ ก็คือจดจ่อไปที่มรดก คือทรัพย์สมบัติอันมีค่า เหมือนเพชร พลอย ทองคำ ก็คือ …

“พระเยซูคริสต์สถิตอยู่ในฉันแล้ว ชีวิตของพระเยซูคริสต์สถิตอยู่ในฉัน ชีวิตนิรันดร์ของพระเยซูคริสต์อยู่ในฉัน ตัวฉันเองก็เป็นชีวิตนิรันดร์นั้น และพระองค์ก็สถิตอยู่ในฉัน เป็นความหวังแห่งพระสิริ”

แล้วก็จดจ่อไปที่นี่ แล้วก็รอคอยการเสร็จภารกิจ ในตุ่มที่กำลังดำเนินอยู่ในโลกใบนี้ ตุ่มเก่านี้ รอเสร็จภารกิจในร่างกายนี้ รอคอยวันเวลา ด้วยใจจดจ่อที่จะทิ้งตุ่มสักทีหนึ่ง เราทิ้งเองไม่ได้ เพราะพระเจ้าจัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว จะทิ้งเมื่อไร? ก็คือวันที่จิตวิญญาณเราออกจากร่างกายเรา ชีวิตนิรันดร์ของเรานั้น ออกจากร่างกายนี้ เมื่อไร? รอคอยวันนั้น

ตะกี้เรากำลังพูดถึงประสบการณ์ของพี่น้องคริสเตียนในอดีต ตั้งแต่ตอนยุคคริสตจักรเริ่มต้น  ที่บอกว่าถูกข่มเหงรังแกอย่างหนัก เอาไปสู้กับสิงโต  พูดง่ายๆ เอาไปให้สิงโตกิน  เพื่อเป็นการแสดงให้กับคนดู ตอนที่อยู่ในที่คุก ที่รอ กำลังจะเอาไปโชว์ในวันพรุ่งนี้ ลองคิดดูสิว่าเขาคิดถึงอะไร? เขาก็ต้องคิดถึงตรงนี้แหละ เขาคิดถึงวันพรุ่งนี้ เป็นวันแห่งชัยชนะของเขา เขาคิดถึงวันพรุ่งนี้ เป็นวันที่ใช่ เขาเจ็บปวดจริง  แต่พระเจ้าทรงสถิตอยู่ด้วย พระองค์ทรงทราบดีว่าเขารับได้แค่ไหน? เท่าไร? และเขาทราบดีว่าหลังจากโชว์นี้เสร็จปุ๊บ หลังจากที่สิงโตฆ่าเขาตายแล้ว หรืออย่างไรก็แล้วแต่ เขาหมดลมหายใจจากร่างนี้แล้ว เขาก็เท่ากับเปลี่ยนตุ่ม เขาทำงานสำเร็จแล้วนั่นเอง เห็นชัดเลย เขาจะได้รับการเป็นขึ้นจากความตาย ได้รับร่างกายใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ เต็มไปด้วยสง่าราศี เต็มไปด้วยความงดงาม เป็นเหมือนร่างกายของพระเยซู ที่เป็นขึ้นจากความตาย เขาไม่ต้องเจ็บปวด ไม่ต้องทุกข์ทรมาน ไม่ต้องอยู่ในความบาป ความตายและความทรมานอีกต่อไปเลยนิรันดร์กาล อยู่กับพระเจ้านิรันดร์กาลเลย อย่างนี้แหละ คือความหวังของเขา เขาจะได้รับสง่าราศี เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ซึ่งในพระคัมภีร์ได้บอกแล้วไง ที่บอกว่าพระคริสต์สถิตอยู่ในท่านแล้ว  และขณะนี้ เป็นความหวังแห่งพระสิริ ก็คือเป็นความหวังที่ท่านจะได้รับพระสิริเหมือนพระองค์เลย ในวันหนึ่งข้างหน้า วันที่ท่านจากโลกนี้ไปนั่นเอง

เพราะฉะนั้น วันที่จากโลกนี้ไป จะเป็นวันที่น่ายินดีมากมายมหาศาล สำหรับคริสเตียน และกำลังความเชื่อก่อนหน้านั้น มาจากไหน?  ก็มาจากการทรงสถิตของพระเจ้า พระเยซูคริสต์ที่สถิตอยู่กับเขาตอนนั้น ตอนที่เขาต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก พระเยซูคริสต์ก็สถิตอยู่กับเขา เป็นผู้ให้กำลังกับเขา เหมือนที่เปาโลบอกว่า …

“โดยกำลังที่มาจากพระเยซูคริสต์ ข้าพเจ้าสามารถเผชิญกับทุกสถานการณ์ได้ ผ่านทางพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังให้กับข้าพเจ้า ไม่ใช่ข้าพเจ้าแข็งแรง เข้มแข็ง แต่เป็นเพราะพระองค์ทรงเข้มแข็งต่างหาก ยามข้าพเจ้าอ่อนแอ”

เห็นไหม? มีแต่ได้กับได้ บางทีเราคิดว่าถ้าเผื่อเป็นโควิดขึ้นมา เราจะเผชิญได้อย่างไร? ถ้าเผื่อไม่มีรายได้อีก 6 เดือนเราจะอยู่ได้อย่างไร? เราคงตายทั้งหมดมั้ง หรือว่าโรคระบาด  ระบาดไปทั้งโลกแล้ว เราจะอยู่อย่างไร? เราจะทนได้หรือ? เพราะเรานึก เราคิดการเผชิญนั้นด้วยตัวเราเอง ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา มนุษย์บนโลกใบนี้ ก็ต้องมีความรู้สึกอย่างนั้นว่าเราจะเผชิญกับสิ่งเหล่านี้ ได้อย่างไร? พี่น้องคริสเตียนที่อยู่เมื่อ 2,000 กว่าปีที่แล้ว เขาก็คิดอย่างนี้แหละ  เอาเขาไปตรึงที่ไม้กางเขน แล้วเผาเขาทั้งเป็น แล้วเขาจะทนรับได้อย่างไร? เอาเขาไปสู้กับสัตว์ร้าย เขาจะทนได้อย่างไร? เขาก็คิดอย่างนั้น  แต่พอถึงเวลาที่เกิดขึ้นจริงๆ พระเยซูคริสต์เป็นพลัง เป็นกำลังให้เขา เปาโลบอกว่าผ่านมาแล้ว รู้แล้วว่ามันเป็นอย่างนั้น ตอนก่อนจะถูกเฆี่ยน เปาโลก็กลัวเหมือนกัน กลัวเจ็บ แต่พอผ่านไปจริงๆ มีอะไรบางอย่าง ไม่รู้ จับต้องมองเห็นไม่ได้ แต่มีอะไรบางอย่าง จากพลังภายในที่เปาโลใช้คำนี้ว่ากำลังเสริมจากพระเยซูคริสต์ ผู้สถิตอยู่ในข้าพเจ้า สถิตอยู่ในผู้คนที่เชื่อ พระองค์อยู่แล้วนั้น พระองค์เป็นผู้ประทานกำลังให้กับเรา เผชิญกับสิ่งนั้นได้ ก็แสดงว่าทนได้นั่นเอง พระเยซูคริสต์จึงบอกว่าใครที่ข่มเหงรังแก หรือทำร้ายเราทั้งหลาย ผู้ที่เชื่อในพระเยซูที่เป็นคริสเตียนนั้น เท่ากับกำลังถีบปฏัก กำลังทำร้ายพระองค์ กำลังต่อต้านพระองค์ กำลังต่อสู้กับพระองค์

ก็แสดงว่าตอนที่เราทนทุกข์ลำบาก พระเยซูก็สถิตอยู่กับเราด้วยใช่ไหม? แล้วพระเยซูจะปล่อยให้เราเจ็บปวดจนไม่ไหวหรือ? ไม่มีทางอยู่แล้ว เพราะพระคัมภีร์บอกว่าพระเยซูเคยเกิดมาเป็นมนุษย์เหมือนเรา เคยเจ็บปวดมากกว่าเราตั้งเยอะ พระองค์ทรงทราบดีว่าถ้าเจออย่างนั้น มันจะเจ็บปวดอย่างไร? พระองค์รู้ว่าขนาดไหน ถึงเรียกว่าทนได้ เห็นไหม?

นี่คือความคิด ที่คิดแบบพระเจ้า แบบพระคัมภีร์ แต่แน่นอนอยู่บนโลกใบนี้ ก็ต้องคิดแบบมนุษย์อย่างที่บอก ไม่ว่าท่านจะคิดแบบไหนก็ตาม ถึงวันเวลาที่มันเกิดขึ้นจริงๆ อยากจะบอกว่าเหมือนเขาประกวดเพลง ประกวดอะไรต่างๆ ทั่วโลก …

“ขอบอกว่าท่านผ่านครับ”

ไม่ใช่ 4 ผ่านอย่างเดียว 10 ผ่าน 100 ผ่าน พระเจ้าพระบิดาบอกผ่าน พระเจ้าพระบุตรบอกผ่าน พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์บอกผ่าน ทูตสวรรค์อีก 2 ใน 3 ทั้งโลกนี้ ทั้งมหาจักรวาลบอกว่าผ่าน มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับท่าน  มันเกี่ยวกับการงานของพระเยซูคริสต์ผู้สถิตอยู่ในท่านมากกว่า มันไม่ใช่ตัวท่าน เพราะแม้กระทั่งความเชื่อ เริ่มต้นที่ท่านเชื่อในพระเจ้า ได้รับการบังเกิดใหม่ ได้รับชีวิตนิรันดร์ ได้รับเพชร พลอย ทองคำที่มีค่า เต็มไปด้วยพระสิรินั้น ท่านก็ไม่ได้ทำอะไรเลยนะ ท่านแค่เชื่อ ทั้งหมดเป็นการงานของพระเยซูคริสต์ ผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ใช่หรือไม่? เพราะถ้าใช่ ก็ควรจะเป็นอย่างนั้น และมันต้องเป็นอย่างนั้น จนกระทั่งถึงครบถ้วนบริบูรณ์ ในชีวิตนิรันดร์ หลังความตาย ถูกหรือไม่ถูก? ถูกต้องเลยทีเดียว เพราะฉะนั้น สิ่งที่พระคัมภีร์พูดน่าจะเป็นความจริง นี่เป็นความหวังใจอันยิ่งใหญ่ สำหรับคริสเตียนทั้งหลายที่รู้ความจริงตรงนี้ ดังนั้น โลกนี้ จึงไม่ใช่บ้านเรา เราเพียงอาศัยชั่วคราว

“โลกนี้ไม่ใช่บ้านเรา  ฉันเพียงอาศัยชั่วคราว

สมบัติฉันสะสมไว้ ที่ในสวรรค์เบื้องบน

ทูตสวรรค์ร้องเรียกอยู่ ณ ประตูบนวิมาน

และฉันรู้ว่าโลกนี้ ไม่ได้เป็นบ้านฉันเลย”

ร้องให้ขึ้นใจเลย  เสร็จก็หลับ ภาษาคริสเตียนเราเรียกว่าหลับ  ทิ้งตุ่มนี้ไปเลย ไม่ต้องไปแยแสมัน  1 เปโตร 2:11 บันทึกไว้อย่างนี้ …

1 เปโตร 2:11  “ดูก่อนท่านที่รัก ข้าพเจ้าขอวิงวอนท่านทั้งหลาย ผู้อาศัยในโลกอย่างโลกไม่เป็นบ้านเกิดเมืองนอน ให้เว้นจากตัณหาของเนื้อหนัง ซึ่งเป็นข้าศึกต่อวิญญาณจิตของท่าน”

 

ข้าพเจ้าขอวิงวอนให้ท่านทำอะไร? ก็คือให้ท่านจดจ่อความหวังท่านที่ทรัพย์สมบัติ อันมีค่าในสวรรค์เบื้องบน บนนั้น ก็คือพระเยซูคริสต์สถิตอยู่ในท่าน เบื้องบนหมายถึงบนที่ดีกว่า เบื้องบนในตัวท่าน ไม่ใช่มาจดจ่อเอาสิ่งที่อยู่บนโลกใบนี้ อยากได้โน่น อยากได้นี่ อยากเป็นอันนั้น อยากเป็นอันนี้ ไม่ใช่อย่างนั้น ให้จดจ่อไปที่ทรัพย์สินเบื้องบน ในสวรรค์ ทั้งกายและโลกนี้ กำลังสูญสิ้นไป ทั้งตุ่มและวัสดุที่ทำตุ่ม ก็คือร่างกายเราถูกปั้น มาจากดิน หรือเรียกว่าโลกธาตุ ทั้งตุ่มและโลกธาตุ ก็กำลังสูญสิ้นไป  กำลังสลายไป กำลังตายไป กำลังหมดสิ้นไป สูญจริงๆ นะ สูญหายไปเลย  พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น  แต่สิ่งใหม่ได้ก่อกำเนิดเกิดขึ้น  กำลังเติบโตขึ้น อยู่ภายในเรา เกิดขึ้นเรื่อยๆ สิ่งนั้น คือชีวิตนิรันดร์ ที่เปรียบเหมือนเพชร พลอย ทองคำ เกิดขึ้นแล้ว และกำลังเกิดขึ้นไปเรื่อยๆ ใหม่ขึ้นไปเรื่อยๆ เยอะขึ้นไปเรื่อยๆ เราไม่รู้ตัวหรอก เจริญเติบโตขึ้นทุกวัน เขาเรียกว่าสะสมทรัพย์ไว้ในสวรรค์ แปลว่าอย่างนี้ ตั้งแต่วันแรกที่ท่านรับเชื่อ เพชร พลอยและทองคำอยู่ในตุ่มนี้แล้ว และนับวันก็จะมากขึ้นไปเรื่อยๆ ผู้เพิ่ม คือพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นผู้เพิ่มให้ มันเจริญเติบโตเป็นไปตามธรรมชาติ ก็เยอะขึ้นๆ จนกระทั่งไปถึงรับตุ่มใหม่

เพราะฉะนั้น ควรจดจ่อไปที่ตรงนี้ ตรงชีวิตนิรันดร์ ที่กำลังเจริญเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ภายในเรา  เพราะฉะนั้น เราจึงไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้ด้วยความหวังในสิ่งที่จับต้องมองเห็นได้ หรือที่ตามองเห็นได้ เราคริสเตียนทั้งหลาย ผู้ที่เชื่อในพระเจ้า ที่มีของอันมีค่า ล้ำค่าอยู่ในภาชนะเรือนดินนี้แล้ว เราไม่ได้มีความหวัง ในเรื่องของทรัพย์สินเงินทอง ความมั่งคั่ง มั่งมี ความสุขสบายบนโลกนี้  หรือเรียกว่าความสุขสบายในตุ่มนี้ เราไม่ได้มีความหวังในสุขภาพร่างกาย ที่แข็งแรงในตุ่มนี้  ไม่ได้เป็นของมีค่าสำหรับเราเลยในตุ่มนี้  หมายถึงไม่ใช่ข้างในตุ่มมีอะไร? หมายถึงว่าเราไม่ได้ให้ความสนใจ ให้ความสำคัญกับการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ซึ่งตุ่มสัมผัสอยู่ ก็คือทรัพย์สินเงินทอง ความร่ำรวย ความเข็งแรงอะไรต่างๆ เหล่านั้น เราไม่ได้ให้ความสำคัญกับมัน ไม่ใช่เป็นความหวังของเรา เพราะพระคัมภีร์สอนเราชัดเจน  จริงๆ พระคัมภีร์สอนเราด้วย และชีวิตจริง ก็สอนเรา ทุกศาสนาก็สอนอย่างนี้ เพราะมันเป็นไปไม่ได้  ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอนทั้งสิ้น จริงหรือไม่ ที่เขาบอกว่าสิ่งที่แน่นอนที่สุด คือสิ่งที่ไม่แน่นอน  … ไม่แน่นอน  คือแน่นอนที่สุดเลย คือมันเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ คือจับให้เป็นจริงๆ ไม่ได้ มันไม่อยู่กับที่

เพราะฉะนั้น ตุ่มเก่าๆ  ที่เรากำลังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ มันกำลังสลายไป มันกำลังเปลี่ยนแปลงไปทุกวันๆ จะไปหวังว่าให้มันอยู่คงที่ คงกระพัน อย่าถูกหลอก มันไม่มี จะให้มีความสุขอย่างนี้ตลอดไป นิ่งๆ เลย มันไม่เปลี่ยนแปลง มันไม่มี จะไม่ให้มีความทุกข์เลย ให้พระเจ้าอวยพร มีแต่สุขตลอด มันไม่มี อย่าถูกหลอก

เหตุการณ์ทุกเหตุการณ์ สามารถเกิดขึ้นได้บนโลกใบนี้  ยกตัวอย่างเช่น คนทำดี แล้วได้ไม่ดี มีไหม? ไม่ได้พูดถึงคริสเตียนนะ พูดถึงทั่วๆ ไป บนโลกใบนี้ เราเห็นกันบ่อยๆ คนทำดี ไม่ได้ดี แต่คนไม่ได้ทำดี แต่ได้ดี มีไหม? มีถมไป นึกสิ นี่มันเรื่องจริง เหล่านี้ คือสิ่งที่ตาเรามองเห็น มือจับต้องได้  ก็คือเป็นของโลก ซึ่งถ้าเราไปฝากความหวังที่มัน เราก็เสร็จสิ  ถูกหลอกไปเรื่อย หลอกไปโน่นหลอกไปนี่

พระคัมภีร์จึงอธิบายให้เราชัดเจนว่าโลกใบนี้ เปรียบเป็นเหมือนของปลอม … ของปลอม คือของที่หลอกลวง ไม่จริง จะล่อลวงเราไปติดกับ เพราะฉะนั้น เราไม่สามารถไว้ใจโลกใบนี้ได้เลย แม้แต่นิดเดียว ไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อก็เป็นอย่างนี้แหละ จริงหรือไม่จริง?

ไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อ ก็ฝากความหวังไว้ที่มันไม่ได้ วางใจไม่ได้สักอย่าง เขาเรียกว่าอย่าดำเนินชีวิตอย่างประมาท ถ้าเราวางใจ หรือหวังในสิ่งที่ให้พระเจ้าทำให้เราบนโลกใบนี้ ฟังให้ดีๆ ถ้าเรามีความหวังว่าพระเจ้าจะทำให้เรา ในสิ่งที่เราอยากได้ บนโลกใบนี้นะ ที่สามารถเป็นพระพร ที่จับต้องมองเห็นได้ จากพระเจ้า  เราหวัง เราอยากได้ แล้วเราหวังไว้อย่างนั้นว่าพระเจ้าจะทำให้  เราก็จะเป็นทุกข์ อันนี้แน่นอน 100% เพราะมันเป็นไปไม่ได้ไง และเมื่อเป็นทุกข์ ท่านก็ไม่สามารถที่จะขอบคุณพระเจ้าได้ในทุกกรณีแล้ว

นี่ไง ทำอย่างไรถึงจะได้ ก็ไปหวังในสิ่งที่ได้แล้ว หวังในสิ่งที่พระประสงค์ของพระเจ้า ที่สำแดงแล้วในพระเยซูคริสต์ ที่พระเยซูประกาศที่ไม้กางเขนว่าสำเร็จแล้ว นั่นแหละ หวังตรงนั้นให้หมดเลย ก็คือชีวิตนิรันดร์เริ่มต้น จนกระทั่งถึงชีวิตนิรันดร์หลังความตาย นั่นแหละ ไปหวังตรงนั้นสิ ไม่ใช่มาหวัง ในสิ่งที่เป็นของโลกใบนี้ ที่พระเจ้าไม่ได้บอก แค่พระเจ้าสถิตอยู่กับเรา จูงมือเราผ่านหุบเขาเงามัจจุราช ไม่ได้บอกว่าจะให้เรา ตามที่เราอยากได้ทุกอย่าง  ความหวังของเรา ต้องอยู่ที่โลกวิญญาณ เท่านั้น ต้องใช้ความเชื่อในโลกวิญญาณ ที่พระเจ้าบอกเราในถ้อยคำพระองค์ว่าพระองค์ทรงทำอะไรสำเร็จเรียบร้อยแล้วบ้าง สัญญาว่าจะให้อะไรเราบ้าง ก็คือสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทำให้กับเราเรียบร้อยแล้ว บนไม้กางเขนนั่นเอง

ทำอะไรบนไม้กางเขน ก็คือพระพรของพระองค์ในโลกฝ่ายวิญญาณ ทำให้เราบังเกิดใหม่ ให้ผู้ที่เชื่อ ในการกระทำของพระองค์สามารถมีชีวิตนิรันดร์ ซึ่งเป็นของที่มีค่าที่สุด เปรียบดังเพชร พลอย ทองคำที่อยู่ในตุ่มเก่าๆ นี้ แค่เชื่อเท่านั้นเอง

สำหรับบนโลกใบนี้เราควรดำเนินชีวิตด้วยความหวังอะไร? ไม่ยากเลย ไม่ใช่ว่ามาเชื่อพระเจ้าแล้ว ผมกำลังพูดว่าอย่าหวังว่าจะร่ำรวย  เพราะฉะนั้น พยายามจนไว้ อย่าหวังว่าจะแข็งแรง พยายามทำตัวป่วยไว้ ช่างมัน ไม่ต้องไปดูแลมัน ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น อยู่บนโลกใบนี้ มนุษย์ทุกคน โดยธรรมชาติ ก็ว่ากันไปตามความเป็นจริงนั่นแหละ มนุษย์ถูกสร้างมาให้มีความสุขอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น เขาก็ต้องแสวงหาความสุข แต่ความสุขเราฝากความหวังไว้ที่พระเจ้า คำว่าหวังไว้ที่พระเจ้า คือเราอธิษฐานกับพระเจ้า สมมติว่าพูดถึงเรื่องความมั่งมี ทรัพย์สินเงินทอง คงไม่มีใครอธิษฐานหรอกนะ …

“พระเจ้าเดือนนี้ให้ลูกขัดสนนิดหนึ่ง เพื่อลูกจะได้ฝึกฝนในการมีความหวังในชีวิตนิรันดร์”

คงไม่มีใครอธิษฐานอย่างนี้ แล้วก็ไม่ต้องทำอย่างนั้นด้วย แล้วทุกคนอธิษฐานว่าอย่างไร?

“พระเจ้าขอทรงอวยพรการงานที่ลูกกระทำ ให้มันเจริญรุ่งเรือง มั่งคั่ง ขออวยพรรายได้ ให้มีมากขึ้น”

อันนี้มันธรรมดา   แล้วพระเจ้าโกรธหรือ?   พอใจมากเลย   ลูกเรามีสติสตังค์ดีอยู่    ดีใจมากเลย ที่ลูกเราอธิษฐานอย่างนี้ แต่พระองค์ทรงทราบดีว่ามันดีสำหรับเราหรือไม่? อย่างนี้อย่างนั้น เพราะฉะนั้นผู้ที่จะตอบคำอธิษฐานของเรา คือพระเจ้า … พระเจ้าตอบคำอธิษฐานเรา  ก็แล้วแต่น้ำพระทัยพระองค์ พระองค์จะตอบอย่างไรก็ตาม ก็อธิษฐานได้  แต่สุดแล้วแต่พระองค์ แล้วแต่น้ำพระทัย พระองค์จะให้ลูกรวย ก็รวย ก็ขอบคุณพระเจ้า ถ้าตอบคำอธิษฐานเป็นอย่างอื่น  ก็ขอบคุณพระเจ้า ก็โอเค ไม่ใช่เราไม่อยากได้ อยากได้อยู่ อยากได้สุขภาพแข็งแรงไหม? แน่นอน ทุกคนก็อยากได้สุขภาพแข็งแรงไปจนถึงวันสุดท้าย ทิ้งตุ่มนี้ ยังสุขภาพแข็งแรงอยู่ แน่นอน แต่ก็ดูแลให้ดีที่สุด ในร่างกายนี้ แล้วแต่พระเจ้าแล้ว เพราะว่ามันเหลือกำลังแล้ว ได้แค่ไหน ก็โอเค นี่เขาเรียกว่าพอใจในทุกสภาวการณ์ ทุกสถานการณ์ที่เผชิญได้ทุกอย่าง มันเป็นอย่างนี้

ความหวังของเราอยู่ที่โลกฝ่ายวิญญาณ อันนี้ 100% เอาไปเต็มๆ เลย ก็คือความหวังในชีวิตนิรันดร์ ที่มีอยู่แล้ว และชีวิตนิรันดร์หลังความตาย นี่คือความหวังนิรันดร์ ที่เข้มแข็ง บนรากฐานของพระเยซูคริสต์อันแท้จริง จะจบลงที่ 2 โครินธ์ 4:16-18 ว่าความหวังนิรันดร์ ที่เข้มแข็งนั้น อยู่บนรากฐานของอะไร? อยู่ในข้อพระคัมภีร์นี้แหละ …

2 โครินธ์ 4:16-18 “16 ฉะนั้น เราไม่ท้อถอย (ผิดหวัง เสียใจ กลัว) แม้ว่ากายภายนอกของเรา กำลังทรุดโทรมไป แต่ตัวตนภายใน (วิญญาณ และจิตใจที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว ในพระคริสต์) ของเรากำลังได้รับการเลี้ยงดูเสริมสร้างขึ้นใหม่ ให้เจริญเติบโตขึ้นทุกวัน 17 เพราะความทุกข์ยากลำบาก ที่เราได้รับอยู่ในขณะนี้นั้น เป็นเพียงสิ่งชั่วคราว และเป็นเพียงสิ่งเล็กน้อย ที่กำลังเสริมสร้าง หล่อหลอม และจัดเตรียมเราเข้าไปสู่สง่าราศี พระสิริอันยิ่งใหญ่สมบูรณ์นิรันดร์ ที่ไม่มีสิ่งใดสามารถเปรียบได้เลย 18 ดังนั้น เราจึงไม่จับตามองดู สิ่งที่มองเห็นอยู่ แต่จับตามองดู สิ่งที่มองไม่เห็น เพราะสิ่งที่มองเห็นอยู่นั้น เป็นเพียงชั่วคราว เดี๋ยวมันก็ผ่านไป ไม่ยั่งยืน (เหมือนเงา) แต่สิ่งที่มองไม่เห็นนั้นเป็นถาวรนิรันดร์”

 

อวยพรตัวเองว่า “เอเมน” ถ้าใครทำได้ตามนี้ พรมหาศาลอยู่กับชีวิตของเขาอยู่บนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเผชิญความทุกข์เท่าไร? พระคริสต์สถิตอยู่กับเรา พระองค์ทรงรับรู้ด้วยความรัก ความห่วงใย ในการเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากของเรานั่นแหละ เพราะฉะนั้น จงมีกำลังขึ้นในองค์พระผู้เป็นเจ้า มีกำลังขึ้นในองค์พระเยซูคริสต์ ผู้สถิตอยู่กับเรา  แล้วก็เดินต่อไปกับพระองค์ด้วยความเชื่อ ความหวัง ความรักในพระเยซูคริสต์ เรียกว่าความหวังแห่งพระสิริของพระองค์นั่นเอง  มีสติในการดำเนินชีวิตในแต่ละวัน ให้สมกับเป็็็ปนลูกของพระเจ้า ที่มี DNA ทางฝ่ายวิญญาณ อยู่ในตุ่มเก่าๆ นี้ เหมือนพระเจ้าไม่มีผิด เป็นประชากรของพระเจ้า  และเป็นพลเมืองของสวรรค์ กำลังเดินทางกลับบ้าน เดี๋ยวก็ถึงบ้านแล้ว เราจึงสามารถขอบคุณพระเจ้าได้ในทุกกรณี ถ้าเป็นอย่างนั้น และทุกสถานการณ์ที่เผชิญอยู่ และสามารถมีกำลังจากภายใน คือพระเยซูคริสต์ ที่สถิตอยู่ข้างในเรา ในการที่จะทำให้เราสามารถพึงพอใจในทุกสภาวการณ์ ทุกสถานการณ์ที่เราเผชิญอยู่ได้ ด้วยความหวังที่เต็มไปด้วยความปิติยินดีในความรอดนิรันดร์ที่ได้รับเรียบร้อยแล้ว และจะได้รับอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ในไม่ช้านี้ เมื่อวันหนึ่งที่ตุ่มนี้ หมดภารกิจของมัน เราก็ได้รับชัยชนะ อย่างครบถ้วนบริบูรณ์  พระเจ้าอวยพรครับ

 

***********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

ฟิลิปปี 4:11-13 “11 ข้าพเจ้า​ไม่ได้พูด​จากความขัดสน​สิ่งใด เพราะ​ข้าพเจ้า​ได้​เรียนรู้​ที่​จะ​พึงพอ​ใจ​ใน​สิ่ง​ที่​มี​อยู่​ที่เป็นอยู่ใน​ทุก​สถานการณ์  12 ข้าพเจ้า​เรียนรู้จัก​ทั้งการเป็นอยู่อย่างถ่อมตน ในยามทุกข์ยากลำบากขาดแคลน และ​ความ​เป็น​อยู่​อย่าง​มั่งคั่งอุดมสมบูรณ์ ข้าพเจ้า​ได้​เรียนรู้​ถึง​เคล็ดลับ​ที่​จะ​พึงพอ​ใจ​ใน​ทุก​สภาพ ไม่​ว่า​จะ​อิ่ม​หรือ​อด ไม่​ว่า​จะ​มี​เหลือ​ล้น​หรือ​ขาด​แคลน 13 ข้าพเจ้า​เผชิญทุก​สิ่ง​ทุกสถานการณ์ได้​ผ่านทางพระคริสต์ผู้​เสริม​กำลังอยู่ภายใน​​ข้าพเจ้า”

เรามาร้องเพลงด้วยกันนะครับ  เพลง “ในโบสถ์เล็กๆ ที่ฉันเข้าไปอธิษฐาน” …

  1. ในโบสถ์เล็กๆ ที่ฉันเข้าไปอธิษฐาน  น้ำตาไหลพราก ด้วยความยินดี

ฉันได้เรียนรู้ความพึงพอใจดี                แค่มีพระเจ้า ฉันสุขจริงๆ

  1. ในโบสถ์เล็กๆ ที่เพียงแค่ธรรมดา ผู้คนเข้ามา ใจถ่อมวิงวอน

ฉันขอพระพรให้ความเชื่อเพิ่มพูน       ดำเนินชีวิต ในแต่ละวัน

** เสาะหา ฉันหาทาง แต่ฉันไม่เคยพบ     ไม่มีทางใดในโลกที่หมดทุกข์ **

  1. เดี๋ยวนี้ ฉันมีความสุขแท้จริง            ทุกคนพักพิงในองค์พระคริสต์

เป็นพี่น้อง เพื่อนในการทรงส-ถิต         ร่วมสรรเสริญพระนามพระองค์

** เสาะหา ฉันหาทาง แต่ฉันไม่เคยพบ    ไม่มีทางใดในโลกที่หมดทุกข์ **

  1. ในโบสถ์เล็กๆ ให้คุณเข้าไปอธิษฐาน        ด้วยจิตวิญญาณ ละด้วยความจริง

และภาระของคุณจะเบาลง                       คุณจะพบทางสว่างแน่นอน

 

พระเจ้าอวยพรครับ

 

 

 

 

วารสาร Holy News ฉบับที่ 1338

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  14  พฤศจิกายน  2021

 เรื่อง “ความเชื่อที่ปราศจากการกระทำ ก็ไร้ประโยชน์” ตอน 3

“ความเชื่อและการเชื่อฟังแตกต่างกันอย่างไร?”

โดย นคร   เวชสุภาพร

 

นี่คือหัวข้อหลักที่เราจะมาเรียนเพิ่มเติมในวันนี้ คือความเชื่อกับการเชื่อฟังต่างกันอย่างไร? ปัญหาที่ผ่านมา ก็มีคริสเตียนหลายคนที่เข้าใจผิดในความหมายของยากอบ บทที่ 2 ที่ผมยกขึ้นมาในการบรรยายในซีรี่ย์นี้ ที่บอกว่าความเชื่อเพียงอย่างเดียว โดยไม่มีการกระทำ ก็เป็นความเชื่อที่ไร้ประโยชน์ ไม่เกิดผล ก็เพราะว่าส่วนใหญ่ยังเข้าใจสับสน ระหว่างคำว่าความเชื่อกับการเชื่อฟัง มันต่างกัน วันนี้จะคุยเรื่องนี้ ให้ละเอียดเลย

พี่น้องสมาชิกของเรา ก็เคยถามบ่อยๆ แล้วก็ถามว่าความหมายของข้อพระคัมภีร์ข้อนี้  หมายความว่าอย่างไร? มาถามว่าถ้าเขาเชื่อพระเจ้าแล้ว เชื่อจริงๆ ตามเงื่อนไข ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดจริงๆ เขามั่นใจว่าเขาบังเกิดใหม่แล้ว ได้รับความรอดตามพันธสัญญาของพระเจ้าแล้ว แต่ยังไม่สามารถสำแดงออกมาเป็นการกระทำได้ คือเขายังไม่สามารถให้อภัยคนที่เคยทำร้ายเขาอย่างเจ็บช้ำน้ำใจได้ ยังไม่สามารถที่จะรักคนๆ นั้น ได้ ทั้งๆ ที่รู้ว่าพระเจ้าบอกให้ดำเนินชีวิตด้วยความรัก พระเจ้าสอน ให้เขาดำเนินชีวิตด้วยความรัก

ถามว่า … “จะทำให้ความเชื่อของเขาไร้ประโยชน์หรือไม่?”

พูดง่ายๆ ก็คือถามว่า … “ถ้าเป็นอย่างนี้แล้ว เขาจะสูญเสียความรอดในวันสุดท้าย ขณะที่จากโลกนี้ไปหรือไม่?” หรือ “เขาจะได้ไปอยู่ในสวรรค์หรือเปล่านั่นเอง”

ท่านลองตอบในใจดู ตอบให้คนข้างๆ ฟังก็ได้ คำถามนี้ เกิดจากสิ่งที่ผมเกริ่นไว้แล้วว่าผู้เชื่อหลายคนยังสับสนกับประเด็นของคำว่าความเชื่อกับการเชื่อฟัง ซึ่งเราได้เรียนรู้ความหมายของคำว่าความเชื่อที่ต้องมีการกระทำ ในยากอบ บท 2 ไปแล้ว คราวนี้ลองมาดูพระคัมภีร์ที่กล่าวถึงการเชื่อฟังว่าต่างกันอย่างไร?  เราได้เรียนรู้กันไป 2 ครั้งแล้ว เน้นถึงเรื่องความเชื่อ เชื่อในพันธสัญญาของพระเจ้า แล้วก็ทำตามเงื่อนไข นั่นคือความเชื่อ

วันนี้ เราจะมาดูสิว่าความเชื่อหรือการเชื่อฟังมันแตกต่างกันอย่างไ? เราจะเริ่มต้นที่ทิตัส 2:11-12 ที่เราทิ้งไว้เมื่อครั้งที่แล้ว …

ทิตัส  2:11-12 “11 เพราะว่าพระคุณของพระเจ้า ที่นำไปถึงการปลดปล่อยให้เป็นอิสระจากการเป็นทาสของบาป และความรอดนิรันดร์  ได้ปรากฏแก่คนทั้งปวงแล้ว 12 พระคุณนี้สอนเราที่จะฝึกฝน ปฏิเสธการทำบาป และไม่ทำตามโลกียตัณหา และดำเนินชีวิตในโลกปัจจุบันนี้ อย่างมีสติสัมปชัญญะ ตามทางพระเจ้า สมกับเป็นผู้ชอบธรรม (บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า)”

 

ข้อ 11 บอกว่า “พระคุณของพระเจ้า ที่นำไปถึงการปลดปล่อยให้เป็นอิสระจากการเป็นทาสของบาป และความรอดนิรันดร์ ได้ปรากฏแก่คนทั้งปวงแล้ว”

หมายถึงพระคุณความรอดผ่านทางพระเยซูคริสต์ ที่ปลดปล่อยให้คนเป็นอิสระ จากการรับโทษของบาปนั้น ได้ถูกประกาศแล้ว ได้สำเร็จแล้ว ที่ไม้กางเขน ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา คือที่เราทั้งหลายได้รับความรอด ก็โดยพระคุณ คือไม่ต้องทำอะไรเลย ผ่านทางความเชื่อ ที่เป็นการกระทำ ก็คือเชื่อในพันธสัญญา ในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ แล้วก็เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ตามที่เราได้เรียนรู้เรียบร้อยแล้ว  นี่คือข้อ 11

ข้อ 11 เน้นไปที่อะไร? ความเชื่อตามพันธสัญญา  เชื่อในพระคุณของพระเจ้า  และทำตามพันธสัญญาที่มีเงื่อนไข เรียกว่าความเชื่อ

มาข้อ 12 บอกว่า “พระคุณนี้” คือความรอดนี้ ความรอดตามพันธสัญญาของพระเจ้า ที่ให้ไว้ในพระเยซูคริสต์ ที่มีเงื่อนไข และเราทำตามเงื่อนไข เรียบร้อยไปแล้ว ตรงนี้ เมื่อเกิดขึ้นแล้ว พระคุณนี้ ทำอะไร? สอนเราที่จะฝึกฝน ปฏิเสธการทำบาป  และไม่ทำตามโลกียตัณหา และดำเนินชีวิตในโลกปัจจุบัน  อย่างมีสติสัมปชัญญะ ตามทางของพระเจ้า สมกับเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ สะอาด เหมือนพระเจ้าของเรา คือหลังจากที่เราได้รับการบังเกิดใหม่แล้ว ตามที่ตะกี้นี้ผมอธิบายให้ฟัง เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว สะอาดหมดจด บริสุทธิ์แล้ว เป็นความรักเหมือนพระเจ้าแล้ว พระเจ้าก็จะค่อยๆ สอนเรา เพราะเราเกิดใหม่ เป็นลูกเล็กๆ ของพระองค์ ที่พระองค์ทรงรักดังแก้วตาดวงใจ สอนเราด้วยความรัก ให้เชื่อฟัง อันนี้ไม่ใช่เชื่ออันแรก อันนี้ คือเชื่อฟัง ให้เชื่อฟังและประพฤติตาม เพราะพระองค์ทรงรู้ว่าอะไรดีสำหรับเรา เรายังเล็กๆ อยู่ เราไม่รู้เรื่องโลกวิญญาณมากมายนัก แต่เรารู้ว่าเราเป็นลูกของพระเจ้า

ให้เราเชื่อฟัง ประพฤติดี สอนโดยไม่มีพันธะ ไม่มีเงื่อนไข สอนโดยพระคุณ เรียกว่าสอนโดยความรักอย่างไม่มีเงื่อนไข ด้วยตัวของพระองค์เอง  สอนเรา ด้วยพ่อที่สอนเราด้วยความรัก ไม่มีเงื่อนไขแล้ว  คำว่าไม่มีเงื่อนไข ก็คือจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ก็ไม่ได้ลงโทษ จะทำหรือไม่ทำตาม ก็ไม่เป็นไร ก็ยังรักเหมือนเดิมใช่หรือไม่? นี่ถ้อยคำพระเจ้านะ ไม่ใช่ผมพูดเอง เพราะไม่มีเงื่อนไขแล้ว

ง่ายนิดเดียว ทำไมไม่มีเงื่อนไข? เพราะว่าเป็นลูกไง มีใครที่เลี้ยงลูก แล้วมีเงื่อนไข เรากำลังจะมีลูกนะ มีลูกขึ้นมา  เราจะต้องสอนให้เขาเป็นคนดี ถ้าเขาทำไม่ดีขึ้นมา ดื้อมากๆ เราคิดว่าเราจะปัดเขา เอาเขาออกไปจากครอบครัวเลย ไม่มีพ่อแม่คนไหนตั้งเงื่อนไขแบบนั้น นี่หมายถึงคนปกติดีนะ ถ้าคนไม่ปกติ ก็อีกเรื่องหนึ่ง ปกติทั่วไป มนุษย์ก็เป็นอย่างนี้ ถูกไหม? เรารักลูกเรา ไม่มีเงื่อนไข  เพราะเป็นลูก พระเจ้าก็อย่างนั้นกับเรานั่นแหละ

ท่านพอเห็นภาพชัดไหมว่าระหว่างความเชื่อกับการเชื่อฟัง มันต่างกันมากมายมหาศาลเลย เขาเรียกว่าต่างกรรม ต่างวาระกัน เงื่อนไขก็ต่างกัน วัตถุประสงค์ก็ต่างกัน  ได้รับผลก็ต่างกัน  มีเพียงสิ่งเดียวที่เหมือนกัน ก็คือทั้งความเชื่อและการเชื่อฟัง มีต้นกำเนิด มีรากฐานมาจากความรัก พระคุณของพระเจ้า  ที่ให้กับเรา แต่ความเชื่อ ให้โดยพระคุณก็จริง แต่จำเป็นต้องมีเงื่อนไข คือถ้าให้แล้ว เราไม่รับไว้ มันก็ไม่มีประโยชน์ ให้โอกาสในการมาเป็นลูกของพระองค์ แล้วเราไม่เอา มันก็ไม่รู้จะบังคับเราได้อย่างไร? แต่เมื่อมาเป็นลูกแล้ว เป็นลูกเลย อย่างนี้โอเค ไม่มีเงื่อนไขแล้ว เกิดแล้ว

ขบวนการ คือเริ่มต้น เชื่อว่ามีพระเจ้าและเชื่อฟัง มันมาจากบุคคลหนึ่งได้ยินข่าวดี ข่าวประเสริฐของพระเจ้า พันธสัญญาใหม่ในพระเยซูคริสต์ และอันดับแรกเชื่อว่ามีพระเจ้า ไม่อย่างนั้นไม่ได้ทำอะไรทางโลกวิญญาณแน่นอน เชื่อในคำพูด ในคำสัญญาของพระเจ้าที่ให้ไว้ ที่พระองค์ได้ประกาศให้เชื่อแล้ว ก็ทำตามเงื่อนไข ที่พระเจ้าบอกไว้ ก็คือเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เกิดใหม่แล้ว หลังจากนั้น เรียนรู้ในสิ่งที่ได้รับจากพระเจ้า เรียนรู้ว่าเกิดใหม่แล้ว มันเป็นอย่างไร?

หลังจากนั้น พระเจ้าจะเป็นผู้สอน ให้เรียนรู้ในสิ่งที่ได้รับจากพระเจ้า ตามพันธสัญญาในพระคริสต์นั้นว่ามีอะไรบ้าง? เป็นอะไรบ้าง? ด้วยความหวังอันสมบูรณ์ และดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อฟัง ในการทรงนำ ในการทรงสอนของพระเจ้า  ในการทรงสถิตของพระเจ้า ที่สถิตกับเรา ตอนที่เราเชื่อและเปิดใจนั้น แล้วพระเจ้าก็ค่อยๆ ให้เราฝึกฝน ที่จะทำตามพระวิญญาณบริสุทธิ์ ไม่ตอบสนองต่อเนื้อหนัง ซึ่งเป็นอิทธิพลของความบาป ที่คอยจะล่อลวง เหมือนลูกออกจากบ้าน แล้วเราบอกลูกว่าระวังพาลเกเร มิจฉาชีพทั้งหลายที่จะมาหลอกล่อลูกให้ไปทำอะไรที่ไม่ดีทั้งหลาย อะไรที่คล้ายๆ อย่างนี้

พระเจ้าก็จะคอยสอนเราให้รู้จักฉลาดว่าให้ระวัง อันนั้นไม่ดี อันนี้ ไม่ดี อันนี้เป็นเนื้อหนัง … เนื้อหนัง คือปฏิปักษ์ต่อพระเจ้า ปฏิปักษ์ต่อความดีทางพระเจ้า จะพาเราไปเสียหาย แต่ก่อนนี้เราเคยเป็นทาสมันอยู่ เป็นทาสของความบาป แต่ตอนนี้ ไม่ใช่แล้ว ตอนนี้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เพราะฉะนั้น เรามีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธมัน อย่าไปทำตามมัน มันจะหลอกลวง ล่อลวงเรา ไปฆ่า หรือคอยทำลายเรา เป็นผลเสียในชีวิตของเราอย่าไป แล้วถ้าไปล่ะ เจ้าก็ยังเป็นลูกเราเหมือนเดิม แต่เจ้าจะเจ็บตัวเปล่าๆ นี่ไง มันมีแค่นี้เอง 2 อย่าง

สรุปความแตกต่างระหว่างความเชื่อกับการเชื่อฟัง ความเชื่อ หมายถึงเชื่อในพันธสัญญาของพระเจ้า “พันธะ” แปลว่ามีเงื่อนไข … เงื่อนไข คือต้องเชื่อจริงๆ พิสูจน์โดยการกระทำตอบสนอง คือเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เสี่ยงชีวิต ถวายชีวิตของเรา ให้พระเจ้าเลย เหมือนตัวอย่างที่ยากอบได้ยกในหนังสือยากอบ บทที่ 2 ที่เราได้เรียนไป 2 ครั้งที่แล้ว

เหมือนอับราฮัมถวายบุตร อิสอัครู้ว่ากำลังจะตายแล้ว อิสอัคก็ยอมเหมือนกัน ถวาย คือถวายชีวิตของตนเอง เพราะรู้ว่ามีพระเจ้า เดี๋ยวพระเจ้าก็ชุบให้เป็นขึ้นมาจากความตาย แล้วเป็นไงตายไหม? ไม่ตาย เหมือนกับได้ชีวิตใหม่

ราหับเปิดประตู เสี่ยงชีวิต ยอมถวายเลย ถ้าเผื่อไม่มีพระเจ้าจริง พันธสัญญานี้ไม่จริงนะ ถูกเขาจับไปฆ่าตายแน่ ถูกนำไปประหารชีวิตแน่ เปิดไป แล้วตายไหม? ไม่ตาย ได้ชีวิต

เช่นเดียวกัน คนที่เชื่อในข่าวประเสริฐของพระเจ้า เชื่อในพระเยซูคริสต์ พระเยซูตายที่ไม้กางเขน ไถ่บาปเรา เราต้อนรับพระเยซูคริสต์ทำอย่างไร? ถวายตัวเอง ให้พระเจ้า การบอกว่าเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ก็คือถวายตัวเอง ให้พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ ถวายตัวเอง แล้วทำอย่างไร? ในพระคัมภีร์บอกถวายตัวเอง ให้พระเจ้าเอาวิญญาณเราไปฆ่าก่อนเลย เพื่อเราจะได้เกิดใหม่ เอาวิญญาณเราไปฆ่าให้ตาย พร้อมกับพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน คือให้เราบัพติศมาเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ที่ไม้กางเขน ตาย และเมื่อตายกับพระเยซูคริสต์ ก็ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ เมื่อถูกฝังไว้ในอุโมงค์ ก็เป็นขึ้นมาจากความตายพร้อมกับพระเยซูคริสต์ ได้ชีวิตใหม่ขึ้นมา พ้นจากบาป นี่แหละเรียกว่าความเชื่อในพันธสัญญา ต้องมีการกระทำตามเงื่อนไข ตอบสนองจึงจะได้รับตามที่พระเจ้าสัญญาไว้

ผลที่ได้รับ ก็คือความรอดนิรันดร์ คือการบังเกิดใหม่ รอดจากโทษของความบาป ได้เกิดใหม่เป็นลูกของพระเจ้า ที่ชอบธรรม สะอาด บริสุทธิ์ รอดจากความพินาศในการถูกพิพากษาลงโทษหลังความตาย  และได้อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้านิรันดร์ และความเชื่อเช่นนี้ ทำกี่ครั้ง? อับราฮัมถวายบุตรกี่ครั้ง? อิสอัคยอมถวายตัวเองกี่ครั้ง? ราหับเปิดประตูกี่ครั้ง? ผู้เชื่อทั้งหลายได้ยินข่าวดีของพระเจ้าแล้ว เชื่อในพันธสัญญาของพระองค์ เชื่อในพระเยซูคริสต์ เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ถวายชีวิตตัวเองให้กับพระเจ้ากี่ครั้ง? ครั้งเดียวเป็นพอ

ส่วนการเชื่อฟัง หมายถึงการให้พระเจ้าฝึกฝนเราหลังจากนั้น ฝึกฝนด้วยความรัก ที่จะทำตามพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ที่เข้ามาสถิตอยู่กับเรา ไม่ตอบสนองต่อเนื้อหนัง หรือไม่ให้ศัตรู คือมาร  และอิทธิพลของความบาป ที่เรายังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ มันล่อลวง หลอกลวงให้เรากระทำตาม ซึ่งการสอนให้เชื่อฟังนี้  ไม่มีเงื่อนไข หรือไม่มีพันธะใดๆ

ความเชื่อฟังตรงนี้ ไม่มีเงื่อนไข สิ่งที่ผูกมัดอยู่ ไม่ใช่เงื่อนไข สิ่งที่ผูกมัดอยู่ ก็คือความรักของพระเจ้า รักเราดังแก้วตาดวงใจของพระองค์ นี่แหละคือพันธะ ยิ่งกว่าพันธะอีก ผูกมัดเลย พระองค์ทรงรักเรามาก ผลที่ได้รับ ก็คือเมื่อเชื่อฟัง ตอนแรกๆ เชื่อได้รับความรอด  ตอนนี้เชื่อฟัง ได้รับความสุข มีสันติสุขในการดำเนินชีวิต บนโลกใบนี้ ที่เรียกว่ารับพระพรบนโลกนี้นั่นเอง มันมีความสุข ไม่ได้ทำผิดกฎหมาย มันก็มีความสุขแล้ว และแถมทำไป รู้สึกจิตใจสบาย มันตรงกับใจพอดีเลย ถ้าตรงกับใจ ก็สบาย แล้วก็ทำให้พระเจ้าพอใจด้วย พระเจ้าก็มีความสุขไปกับเราด้วย เพราะพระองค์ทรงรักเรา ที่เราได้ประพฤติตนตามที่พระองค์ทรงสอน  ทรงบอก  เพราะพระองค์ทรงหวังดีกับเรา  และต้องการให้เราทำให้สมกับเป็นลูกของพระองค์ ที่สะอาดหมดจด  บริสุทธิ์ ถวายเกียรติแด่พระองค์ สำแดงความดีงามของพระองค์ออกมาในชีวิตของเรา ก็คือสำแดงความรักของพระเยซูคริสต์ ผ่านทางการดำเนินชีวิตของเรา พระเจ้าก็มีความสุข  เราก็มีความสุข และเราก็ได้ดี ได้พร ทางโลกวิญญาณไปเรียบร้อยแล้ว ผ่านทางความเชื่อ ตอนนี้ได้พรบนโลกใบนี้ด้วย ผ่านทางการเชื่อฟัง อย่างนี้แหละ และการเชื่อฟังนี้ เป็นสิ่งที่ทำครั้งเดียวพอ ไม่ใช่ ทุกคนรู้แล้ว อธิบายมาถึงตรงนี้แล้ว ชักเอะใจแล้ว ความเชื่อฟังตรงนี้ ทำกี่ครั้ง? … “ครั้งเดียว ไม่พอ”

พระคัมภีร์มีกล่าวถึง ความเชื่อฟังในถ้อยคำพระเจ้า พระคัมภีร์ใหม่ทั้งเล่มเลย พอพูดถึงความรอดในพระเยซูคริสต์บอกถึงว่าเราไม่ต้องทำอะไรแล้ว ได้รับความรอด ด้วยความเชื่อแล้ว หลังจากนั้น จะเตือนเรา จะสอนเรา จะบอกเรา ให้ระลึกถึงความเชื่อฟัง ครั้งเดียวไม่พอ ความเชื่อฟังในถ้อยคำพระเจ้าว่าเราควรดำเนินชีวิตอย่างไร? เอาแค่ความเชื่อฟัง ถามว่าความเชื่อฟังนี้ เชื่อฟังอะไร? เชื่อฟังว่าพระเจ้าพูดกับเรา  พูดอะไรกับเรา พูดบอกว่าลูกเป็นใครแล้วตอนนี้ ลูกเป็นคนใหม่ ลูกเป็นลูกของพ่อแล้ว ถูกไหม?  เราสอนลูกของเรา ก็อย่างนี้แหละ  สอนเขาตั้งแต่แรกเลย เรียกพ่อเรียกแม่ นี่ครอบครัวเรานะ นี่พี่ นี่น้องนะ ลักษณะเดียวกัน  เราเกิดใหม่ในพระเจ้า พระองค์ก็จะสอนเรา ด้วยถ้อยคำของพระองค์ เพื่อให้เราเชื่อฟัง และให้เรารู้ และควรรู้อยู่เสมอว่าบัดนี้ เราได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์แล้ว วิญญาณและจิตใจเราได้เปลี่ยนไปแล้ว เป็นของพระองค์ เป็นลูกของพระองค์ ที่สะอาด หมดจดแล้ว เราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ พูดง่ายๆ

เชื่อฟังในถ้อยคำพระเจ้า เราเพิ่งเกิด ในโลกวิญญาณเรามองไม่เห็น แต่พระเจ้าจะสอนเราว่าเราเป็นใคร? เพื่อลูกจะได้ทำตัวให้สมกับที่ลูกได้เกิดมาเป็นลูกของพ่อ ในวิญญาณสะอาดบริสุทธิ์ สมกับเป็นลูกของพระเจ้านั่นเอง

ในยากอบได้พูดถึงเรื่องนี้ บอกว่าถ้อยคำพระเจ้าเปรียบเหมือนเรากำลังส่องกระจก ดูตัวตนภายในของเรา การฟังถ้อยคำพระเจ้าที่บอกว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ เหมือนเราดูในกระจก สะท้อนให้ดูว่าตัวเราเป็นใคร? ตัวตนของเราที่ได้รับการบังเกิดใหม่จากความเชื่อในพันธสัญญาและได้กระทำตามเงื่อนไข ตามพันธสัญญาอย่างครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว  ได้เกิดใหม่แล้ว มันเป็นอย่างไร? หน้าตาเป็นอย่างไร? เป็นใคร? เหมือนเราดูในกระจก ดูครั้งเดียวในชีวิต ไม่ใช่  ยิ่งดูมากเท่าไรยิ่งดี จะได้ไม่ลืม ความเชื่อฟังหรือการเชื่อฟังนี้ จึงควรที่จะกระทำทุกๆ วัน ทุกๆ ชั่วโมง ทุกๆ นาที ทุกๆ เสี้ยววินาที ทุกๆ ลมหายใจเข้าออกนั่นเอง ควรจะคิดถึงตรงนี้ ควรจะส่องกระจก ควรจะฟังถ้อยคำพระเจ้าตรงนี้ ซึ่งมันเป็นธรรมชาติของเรา ที่เราได้บังเกิดใหม่แล้วว่าเราเป็นใคร? และธรรมชาตินี้ ก็อยากจะแสดงตัวเองออกมาภายนอก คือการดำเนินชีวิตนั่นเอง

เราลองมาดูในยากอบ บทที่ 2 ที่พูดถึงเรื่องนี้ ที่เราได้เรียนรู้กันไปแล้ว จะเน้นในเรื่องของความเชื่อในพันธสัญญา ที่มีเงื่อนไข ซึ่งในยากอบ บทที่ 2 เป็นการประกาศ

ประกาศ เน้นไปหาคนที่จะฟัง คือคนที่ไม่ได้เชื่อจริงๆ ในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ยังไม่ได้ทำตามเงื่อนไขของพันธสัญญานั้น  ก็คือคนที่อาจจะได้ฟังแล้ว เริ่มได้ยินแล้ว หรือเริ่มเชื่อแล้ว  แต่เชื่อเฉยๆ ยังไม่ได้กระทำตามพันธสัญญา ยังไม่ได้เกิดผลตามพันธสัญญานั้น ก็คือยังไม่ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นผู้ช่วยให้รอด ก็คือยังไม่เชื่อนั่นเอง  ในยากอบ บทที่ 2 พูดถึงเรื่องนี้  เน้นถึงเรื่องนี้  สำหรับผู้คนเหล่านี้ โดยเน้นย้ำว่าถ้าเกิดท่านได้ยินได้ฟังข่าวประเสริฐ แล้วท่านเริ่มต้นเชื่อ ไม่ว่าท่านจะบอกว่าจะเชื่อมากหรือจะเชื่อน้อย ก็ตาม ตราบใดที่ยังไม่มีการกระทำตามเงื่อนไข ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น  สิ่งที่ท่านได้ยินมา ถึงแม้จะเชื่อ มันก็ไร้ประโยชน์ ไม่เกิดผล ไร้ผล เพราะว่าท่านไม่ได้ทำตามพันธสัญญา คือไม่ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซู ไม่ได้ถวายชีวิตตัวเองให้พระเยซู เพื่อพระองค์จะได้เข้ามาสถิตอยู่ ท่านไม่ได้ทำตรงนี้ก็ไม่ได้เกิดผล ตรงนี้กำลังพูดไปถึงบรรดาคนที่ยังไม่ได้เชื่อนั่นเอง ซึ่งถ้อยคำเหล่านี้ เป็นถ้อยคำที่เราเรียกกันว่าประกาศข่าวประเสริฐ คือกำลังจะบอกคนที่ไม่เชื่อ ให้เขาตัดสินใจเชื่อเถิด เพราะว่าเชื่อเฉยๆ แล้วไม่ทำอะไร มันจะไม่มีประโยชน์

ย้อนไปที่ยากอบ บทที่ 1 จะเป็นถ้อยคำที่อยู่ตรงกันข้ามแล้ว จะเป็นถ้อยคำที่พูด สอน บอกความจริง ให้กับผู้ที่เชื่อแล้ว เชื่อในพันธสัญญาแล้ว  และต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว เป็นคริสเตียนแล้วนั่นเอง โดยเน้นถึงเรื่องการเชื่อฟัง เพราะว่าจะไปเน้นเรื่องการเชื่อฟังให้กับคนที่ไม่เชื่อ ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่แล้ว เพราะว่าภายในวิญญาณยังเป็นศัตรูกับพระเจ้าอยู่ ยังไม่ได้เกิดใหม่

เพราะฉะนั้น การเน้นหรือสอนเรื่องเชื่อฟัง ในถ้อยคำพระเจ้านี้ เฉพาะคนที่บังเกิดใหม่ วิญญาณเปลี่ยนไปแล้ว  จิตใจเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์แล้วเท่านั้น  เพราะฉะนั้นในหนังสือยากอบ บทที่ 1 จึงได้เน้นเรื่องการเชื่อฟังและปฏิบัติตามคำสอนของพระเจ้า สำหรับผู้ที่เชื่อพระเจ้าไปแล้ว พูดง่ายๆ ว่าเน้นเรื่องเชื่อฟังพ่อ พระเจ้าจะเป็นพ่อได้ ต่อเมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว เปิดใจปุ๊บ เราเป็นลูก พระองค์เป็นพ่อ ยากอบก็เลยมาหนุนใจ มาสอนเราตามถ้อยคำพระเจ้า บอกว่าให้เชื่อฟังพ่อนะ ยากอบ 1:22-27 จึงได้บันทึกไว้อย่างนี้ สำหรับผู้ที่เชื่อแล้วนะ …

ยากอบ 1:22-27  “22 อย่าเพียงแต่ฟังพระวจนะ  ซึ่งเป็นการหลอกตัวเอง  แต่จงปฏิบัติตามพระวจนะนั้น 23 ผู้ใดที่ฟังพระวจนะ  แต่ไม่ได้ทำตาม  ผู้นั้น เป็นเหมือน คนที่ส่องกระจกมองหน้าตัวเอง 24 หลังจากส่องดูแล้วก็ไป และทันใดนั้น ก็ลืมว่าหน้าตาตนเองเป็นอย่างไร  25 ส่วนผู้ที่พินิจดูบทบัญญัติอันสมบูรณ์  ซึ่งให้เสรีภาพ  และทำสิ่งนี้ต่อไป  โดยไม่ลืมสิ่งที่เขาได้ยิน แต่ปฏิบัติตาม เขาก็จะได้รับพรในสิ่งที่ตนทำ 26 ถ้าผู้ใดคิดว่าตนเองเคร่งศาสนา  แต่ไม่ควบคุมลิ้นของตนให้ดี ก็หลอกตัวเอง 27 ศาสนาของเขาก็ไร้ค่า ศาสนาที่พระเจ้า พระบิดาของเรายอมรับว่าบริสุทธิ์ และไร้ตำหนิ คือการดูแลลูกกำพร้า และหญิงม่ายที่ทุกข์ร้อน และการรักษาตนเอง ให้พ้นจากมลทินฝ่ายโลก”

 

ผมจะใช้เวลามากหน่อยนะ  ในการอธิบาย ในข้อความนี้ เพราะลึกซึ้งมาก และดีมากๆ เลย สำหรับผู้เชื่อทั้งหลาย จะได้เห็นภาพชัดเจน ยากอบกำลังเขียนไปถึงผู้ฟัง ซึ่งเป็นชาวยิว ส่วนใหญ่ของส่วนใหญ่ เป็นผู้ที่ไม่เชื่อในข่าวประเสริฐของพระเจ้า ชาวยิวส่วนน้อย ที่จะเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเจ้า  นี่กำลังพูดถึงชาวยิวผู้ที่กลับใจมาเชื่อในพระเจ้าแล้ว เชื่อในพันธสัญญาของพระเจ้า  และกระทำตามเงื่อนไข เรียบร้อยแล้ว นึกภาพนะว่าเขาควรจะดำเนินชีวิตในความเชื่อนั้น ในการเป็นคริสเตียนนั้นอย่างไร?

“อย่าเพียงแต่ฟังพระวจนะ ซึ่งเป็นการหลอกลวงตัวเอง จงปฏิบัติตามพระวจนะนั้นด้วย ผู้ใดที่ฟังพระวจนะ แต่ไม่ได้ทำตาม ผู้นั้นก็เป็นเหมือนคนส่องกระจกมองหน้าตัวเอง หลังจากส่องดูแล้ว ก็ไป ทันใดนั้น ก็ลืมว่าหน้าตาของตนเองเป็นอย่างไร?” … หมายถึงอะไร? พระวจนะ คือถ้อยคำของพระเจ้า ถ้อยคำพระเจ้า คืออะไร? ในนี้บอกว่าถ้อยคำพระเจ้าเหมือนกับกระจกเงา ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าอย่างไร? กระจกเงาบอกเราว่าตัวตนของเราเป็นอะไร? ถ้อยคำพระเจ้า สำหรับผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว เป็นคริสเตียนแล้ว ถ้อยคำพระเจ้ามาเพื่อบอกเราว่าท่านเป็นใครในพระเยซูคริสต์ หน้าตาท่านเป็นอย่างไร? สะอาดหมดจดแค่ไหน? บาปได้รับการยกออกแล้ว วิญญาณของท่าน และจิตใจใหม่ของท่าน เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลย อะไรประมาณนั้น และทำอย่างไร? ก็ให้ท่านจำความจริง แห่งถ้อยคำพระเจ้านี้ไว้ว่าท่านเป็นใคร? เพื่อว่าท่านจะได้ไม่ถูกหลอก หลอกให้ทำอะไร? หลอกให้ลืมไป ไปปฏิบัติตัวตามคำยุแหย่ของศัตรู ก็คือมาร ส่งกระแสเข้ามา ผ่านทางอิทธิพลของความบาป ล่อลวงให้เราทำในสิ่งที่เป็นตรงกันข้ามกับถ้อยคำพระเจ้า เมื่อตะกี้นี้ที่เราได้ยิน เราส่องกระจกดู ถ้าเราไม่ลืม เราก็จะประพฤติตามที่ตัวเราเป็นนั่นเอง  ถ้าเราเป็นความรัก เราก็ไม่โกรธ ไม่เกลียด ไม่อิจฉาริษยา อะไรประมาณนั้น

คนที่ส่องกระจกมองหน้าตัวเอง หลังจากส่องดูแล้ว ก็ไป ทันใดนั้น ก็ลืมว่าหน้าตาของตนเอง เป็นอย่างไร? คนที่ฟังถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ เราได้บังเกิดใหม่แล้ว เราดำเนินชีวิตด้วยความรัก พอออกไปปุ๊บ ลืมไป   วิธีลืม คือทำความน่าเกลียด เป็นความรักอะไร ชี้หน้าด่าเขา เป็นความรักอย่างไร? เที่ยวไปริษยาเขา เป็นความรักอย่างไร? เที่ยวไปโกงเขา ไปโลภของผู้อื่น เห็นภาพอะไรไหมครับ

ในนี้บอกต่อว่า … “ส่วนผู้ที่พินิจดูบทบัญญัติอันสมบูรณ์”  ก็คือถ้อยคำพระเจ้าที่พูดถึงบทบัญญัติอันสมบูรณ์ … บัญญัติอันสมบูรณ์ คิดถึงอะไร? คิดถึงบทบัญญัติของโมเสส 613 ข้อ ไม่ใช่ นี่คือผู้ที่เชื่อแล้ว ไม่มีกฎของโมเสสอีกต่อไป แต่เขามีกฎใหม่ บัญญัติใหม่ที่เราได้ให้กับเจ้า บัญญัตินั้น คืออยู่ในพระเยซูคริสต์ บัญญัตินั้น คือท่านทั้งหลาย จงรักซึ่งกันและกัน ท่านทั้งหลายจงดำเนินชีวิตด้วยความรัก ใช่ไหม?

ถ้าเกิดใหม่แล้ว ส่องกระจกดู ก็จะเห็นว่าตัวเองเป็นความรัก แล้วก็ดำเนินชีวิตอยู่ในความรัก ยกตัวอย่างเป็นปลา ดูในกระจกก็เห็นเป็นปลา ต้องอยู่ในน้ำ  มองกระจกดู เราเป็นความรัก ก็ดำเนินชีวิตในความรัก ธรรมชาติของเราเป็นอย่างนี้

ส่วนผู้ที่พินิจดูบทบัญญัติสมบูรณ์ ก็คือพินิจดูว่าตัวเราเองเป็นความรัก ซึ่งให้เสรีภาพ เห็นไหมครับ? ความรักให้เสรีภาพ ไม่มีการลงโทษใดๆ กับผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ ตรงนี้ หมายถึงไม่มีการลงโทษแล้ว จะทำผิด ทำถูกอะไร ก็ไม่มีการลงโทษ เพราะอยู่ในความรัก  อยู่ในกฎใหม่แล้ว เพราะตัวจริงๆ ตัวเป็นๆ ตามธรรมชาตินั้น เป็นความดีงาม เป็นความรัก ให้ทำสิ่งนี้ต่อไป โดยไม่ลืม ก็คือให้เสรีภาพในการดำเนินชีวิต บนโลกใบนี้ สำแดงความรักภายในออกมา  ในชีวิตของเรา  โดยไม่ลืมว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ ไม่ลืมว่าเราเป็นความรัก ในพระคริสต์  เราดำเนินชีวิตด้วยความรัก  เราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา เป็นความรักร่วมกัน เราดำเนินชีวิตด้วยความรัก ในพระคริสต์ พระเจ้าได้ทำให้เราได้บังเกิดใหม่ เป็นความบริสุทธิ์ เป็นความรัก ไม่ลืม ไม่ลืมก็จะสำแดงความรักออกมา ด้วยอิสระเสรีภาพ ไม่มีใครมาบีบบังคับให้เรา ต้องดำเนินชีวิตด้วยความรัก ไม่ใช่ เป็นไปโดยธรรมชาติ ไม่ลืม

ในนี้บอกว่า “โดยไม่ลืมสิ่งที่เขาได้ยิน” ก็คือเราได้ยินถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าเราเป็นความรักในพระเยซูคริสต์ ก็คือไม่ลืมในสิ่งที่เราได้ส่องกระจกมา กระจกบอกว่าตัวใหม่เราเป็นความรักนะ เช้าขึ้นมามองกระจก เราเป็นความรักในพระคริสต์ แล้วก็ไม่ลืม พอออกไปจากบ้าน ก็ปฏิบัติตัวเป็นความรักนั่นแหละ

ในนี้จึงบอกต่อไปว่า “โดยไม่ลืมสิ่งที่เขาได้ยิน แต่ปฏิบัติตาม” เห็นหรือยัง? ไม่ใช่ต้องปฏิบัติ แต่ปฏิบัติตามความเป็นจริง ตามธรรมชาติ ไม่ถูกหลอกนั่นเอง เขาก็จะได้รับพรในสิ่งที่ตนทำ อย่างที่บอกตะกี้นี้ เกิดผลไหม? เกิดผล มีผลต่อชีวิตคริสเตียน แม้ว่าจะได้รับความรอด ทางโลกวิญญาณ ไม่มีการลงโทษใดๆ แล้วก็ตาม ความประพฤติไม่สำคัญ ก็ตาม แต่ถ้าประพฤติอย่างถูกต้องตามการเป็นอยู่ของวิญญาณที่เราได้บังเกิดใหม่แล้วจริงๆ นั้น มันได้รับพรด้วย ได้รับสิ่งที่ดีๆ ในชีวิต  ในสิ่งที่ตัวเองกระทำตรงนี้ เป็นไปตามความรักที่อยู่ในวิญญาณ อยู่ในความคิดจิตใจตัวใหม่ของเรา มาถึงตรงนี้แล้ว นี่คือข้อแตกต่าง

“ถ้าผู้ใดคิดว่าตนเองเคร่งศาสนา แต่ไม่ควบคุมลิ้นของตนให้ดี ก็หลอกตัวเอง ศาสนาของเขาก็ไร้ค่า ศาสนาที่พระเจ้าพระบิดาของเรายอมรับว่าบริสุทธิ์ และไร้ตำหนิ คือการดูลูกกำพร้าและหญิงม่ายที่ทุกข์ร้อน และการดูแลรักษาตัวเองให้พ้นจากมลทินฝ่ายโลก”

มันใช้เวลาแปลยาก แต่พยายามที่สุด เท่าที่จะทำได้  … ผู้ใดที่คิดว่าตนเองเคร่งศาสนา คือชาวยิว โดยเฉพาะชาวยิวในอดีต ในบริบทที่เขียนอยู่นี้  เขาถือว่าเขาเป็นคนเคร่งศาสนามาก ตั้งแต่ก่อนมีพระเยซู เขาเคร่งศาสนา รักษากฎที่พระเจ้าให้ไว้ 613 ข้อ พยายามทุกวิถีทาง ทุกข์ทรมานเท่าไร? ทุบตีเนื้อหนังเท่าไร? เขาก็พยายามทำ เขาเรียกว่าเคร่งศาสนามาก เขาจึงมีความภูมิใจ เย่อหยิ่งในสิ่งที่เขากระทำได้มาก

ยกตัวอย่างเช่น คนที่กระทำได้ 600 ข้อ เขาก็จะดูถูกคนที่ทำได้ 400 ข้อว่าต้องทำให้เหมือนเขา อย่างนี้เรียกว่าเคร่งศาสนา เขาจะดูถูกคนยิวที่ถือได้แค่ 7 ข้อ 8 ข้อ 10 ข้อ 100 ข้อ ถือไม่ได้เยอะ เขาเรียกคนพวกนี้ว่าคนบาป ส่วนเขาไม่เรียกตัวเองว่าคนบาป ทั้งๆ ที่พระคัมภีร์บอกว่าเขาก็เป็นคนบาปเหมือนกัน  อะไรประมาณนี้  พยายามอธิบายให้ฟัง

นี่คือวัฒนธรรม ประเพณีที่เขาทำกันมา ส่งต่อกันมาเรื่อยๆ พอพระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน พันธสัญญาใหม่ ตะกี้ที่ให้ไว้ บอกว่าไม่ต้องทำแล้ว มาเชื่อพระเจ้าอย่างเดียว เชื่อแล้ว กระทำตามเงื่อนไข คือเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เท่านั้น แต่คนยิวก็ยังมีเป็นจำนวนมาก ที่มาเชื่อพระเจ้าแล้ว ยังอดที่จะคิดเหมือนเดิมไม่ได้ว่า …

“ฉันเย่อหยิ่งเหลือเกิน ฉันเป็นยิวนะ ฉันรักษากฎบัญญัติมา ในอดีตเท่าไร? มากเลย ฉันทำได้เยอะเลย แล้วปัจจุบัน เชื่อพระเจ้าแล้ว ก็ยังทำอยู่เลยนะ ฉันยังรักษากฎ ยังรักษาระเบียบ แล้วก็เริ่มต้นมองคนอื่น ทำไมไม่ทำ”

นี่คือชีวิตเดิมของเขา เริ่มมองพี่น้องคนอื่นๆ ที่เป็นยิว ที่เขาเรียกว่าเป็นคนบาป แล้วก็มาเชื่อในพระเยซูคริสต์เหมือนกัน พอมาเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว พระคัมภีร์บอก เมื่อมองดูกระจก มองดูถ้อยคำพระเจ้า พระเจ้าบอกเหมือนกัน มีค่าเท่ากันแล้ว คือเชื่อในพระเจ้า บริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ เป็นลูกของพระเจ้า เป็นความรักของพระเจ้าเท่ากันหมด ไม่ว่าจะเป็นยิวหรือกรีก เป็นคนยิวหรือไม่ยิวก็ตาม เขายังรับไม่ได้ เขาเชื่อพระเจ้าแล้วก็จริง แต่เขายังมีความคิดเดิมๆ อยู่ อดไม่ได้ที่จะเย่อหยิ่ง จองหอง อดไม่ได้ที่จะโอ้อวดว่าตัวเองได้ทำอะไรต่างๆ ที่ดีด้วย เปาโลจึงบอกว่าความรอดนี้ รอดโดยพระคุณ ทุกคนได้เท่ากันหมด  อย่าให้ใครโอ้อวดตัวเองเลยว่าฉันทำอะไรมาบ้าง? หรือกำลังทำอะไรอยู่ หรือจะทำต่อไปในอนาคต ให้กับพระเจ้า เพื่อฉันจะได้โอ้อวดตัวเองได้ว่า

“ฉันรอดโดยพระเยซูคริสต์ และการกระทำของฉันด้วย”

พอใครคิดอย่างนี้ปุ๊บ มันอัตโนมัติ จะเกิดขึ้น คิดอย่างนี้เมื่อไรปุ๊บ ก็จะเริ่มชี้นิ้วว่า …

“ฉันดีกว่าเธอ มันมาตรงนี้”

ยากอบกำลังจะชี้ให้ผู้เชื่อได้เห็น  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชาวยิวในสมัยนั้นได้เห็น  แต่ผมกำลังจะยกตรงนี้มาชี้ให้พวกเราผู้เชื่อในปัจจุบันได้เห็น เราก็จะเริ่มชี้นิ้ว ชี้นิ้วว่าอะไร? ชาวยิวเขานึกถึงอดีตของเขา เคยมีชีวิต ที่รักษากฎบัญญัติต่างๆ ของโมเสสใช่ไหม? ได้เยอะกว่าคนที่ไม่ได้รักษา คริสเตียนปัจจุบัน ก็ยังมีอย่างนี้อยู่ในใจเหมือนกัน  คือคิดว่าก่อนที่เรามาเชื่อ  เรารักษาศีล เรารักษาอะไรต่างๆ รักษาชีวิตสะอาดบริสุทธิ์กว่าคนๆ นี้ตั้งเยอะ พอเรามาเชื่อพระเจ้า เราก็เริ่มชี้นิ้วว่าคนนี้ไม่บริสุทธิ์เหมือนเราเลย คนนี้ต้องยกย่องหน่อย เพราะเขาบริสุทธิ์มากกว่า เขาทำได้เยอะกว่า คนนี้ทำได้เยอะเลย สิ่งต่างๆ เหล่านี้ มันอันตราย เราก็เริ่มชี้นิ้ว ก็คือกลับไปที่หลักการของศาสนาเดิมของเรา คือเชื่อ ให้เกียรติ ยกย่องในการกระทำของมนุษย์ การกระทำของเรา แล้วพอไปเยอะๆ บ่อยๆ ก็เรียกว่าเย่อหยิ่ง จองหอง ซึ่งมันไม่ใช่ความรักแล้ว ตรงนี้มันแปลว่าอย่างนั้น  แล้วค่อยๆ เรียนรู้กันต่อไปแล้วกัน  ผมพยายามจะอธิบาย

ในนี้จึงบอกว่า “คนที่เคร่งศาสนาเหล่านี้ แต่ไม่ควบคุมลิ้นตนเองให้ดี ก็หลอกตัวเอง” ลิ้นตัวนี้ ก็คือเริ่มนินทาชาวบ้านเขา เริ่มว่าเขา อธิษฐานก็ไม่อธิษฐานเยอะๆ ต้องเฝ้าเดียววันละกี่ชั่วโมง ไม่เห็นมาโบสถ์เลย ไม่มาโบสถ์ระวังหลงหาย อะไรต่างๆ เหล่านี้ นี่ยกตัวอย่างให้ฟัง มันมาจากการบ่นว่า พวกนั้นเป็นคนบาป พวกนี้ยังเป็นคนไม่ดี ฉันเป็นคนดีกว่า ชอบธรรมมากกว่า

“ศาสนาของเขาไร้ค่า” ศาสนาตัวนี้ ก็คือทำตามกฎบัญญัติ โดยเคร่งครัด บทบัญญัติของโมเสสในสมัยนั้น ถ้าในปัจจุบันนี้ ก็คือทำตามศาสนาเดิม ก็คือรักษาศีล ทำความดีตามจริยธรรมอะไรต่างๆ แล้วก็โอ้อวดว่า …

“ฉันทำได้เยอะ ดูคนนี้เป็นคริสเตียนแล้ว ยังไม่ยอมเลิกเหล้าเลย ฉันเคยสูบบุหรี่มาก่อน ตอนนี้ฉันเลิกแล้ว ก็ไปเป็นพยาน แล้วบอกเขา พวกท่านต้องเลิกนะ ผมยังเลิกได้เลย ท่านก็ต้องเลิกได้”

มันเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้น ต่อไป ก็บอกว่า … “ฉันติดยา ตอนนี้ฉันก็หายแล้ว  เธอติดยา เธอก็ต้องหายให้ได้”

มันไม่ใช่ความรัก ไม่ใช่ไม่ดีนะว่าการไปแนะนำให้เขาเลิกยา เลิกอะไรต่างๆ ที่ติดอยู่ มันดี แต่มันต้องเข้าไปด้วยความรัก  โดยพระเยซูคริสต์ โดยพระคุณของพระเจ้าของพระองค์ตอนต้นแล้ว ถูกไหม? ใช่ไหม? มิฉะนั้น มันจะกลายเป็นศาสนา

ต่อไปบอกว่าศาสนาของเขาก็ไร้ค่า ก็คือการประพฤติ ตามบัญญัติต่างๆ ที่เขาคิดและโอ้อวด ไม่มีประโยชน์เลย ศาสนาที่พระเจ้าพระบิดาของเรายอมรับว่าบริสุทธิ์ และไร้ตำหนิ ก็คือความรัก อันเดียว

ที่ไร้ตำหนิ ที่บริสุทธิ์ และเป็นตัวของเราที่อยู่ภายใน ที่ได้บังเกิดใหม่ คือความรัก  โดยยากอบยกตัวอย่าง คนยิวจะรู้เลย คนยิวตั้งแต่อดีตมา พระเจ้าสำแดงให้เขาเห็นว่าความรัก คืออะไร? ไม่ใช่การประพฤติตามบทบัญญัติต่างๆ แต่ความรัก คือความช่วยเหลือ ขนบธรรมเนียมประเพณีที่พระเจ้าให้ไว้ ก็คือเน้นให้เห็นถึงหญิงม่าย และเด็กกำพร้า ที่ต้องการความช่วยเหลือชัดๆ เจนๆ ในระบบสังคมของชาวยิว

ถ้าพูดถึงตรงนี้ ผู้คนจะรู้ว่าให้เมตตา ดูแลหญิงม่ายและเด็กกำพร้า เป็นอันดับหนึ่ง ดังนั้น พอพูดถึงตรงนี้ ก็หมายถึงความมีเมตตา ไม่ใช่การกระทำตามบทบัญญัติต่างๆ แต่เป็นความรัก ความมีเมตตา ท่านลืมไปแล้วหรือที่พระเยซูประกาศให้กับพวกฟาริสีฟัง ท่านเอาแต่กฎๆ ท่านลืมไปแล้วหรือว่าพระเจ้าต้องการความเมตตา ความรัก … ความรักสำคัญ และความรักตรงนี้มันเกิดขึ้นแล้ว อยู่ในตัวท่านแล้ว ท่านส่องกระจกดู ถ้อยคำพระเจ้าบอกท่านเป็นความรัก

หญิงม่ายที่ทุกข์ร้อน เด็กกำพร้า และการรักษาตนเอง ให้พ้นจากมลทินฝ่ายโลก ก็คือรักษาตนเองให้พ้นจากอะไรก็ตามที่มันตรงกันข้ามกับความรัก คือความเกลียดชัง ความโลภ ความอิจฉาริษยา ความเย่อหยิ่งจองหอง

สรุป รวมเรื่องนี้คืออะไร? นี่คือถ้อยคำของพระเจ้า ที่มาถึงผู้เชื่อ เหมือนกระจกส่องว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ ให้เรากระทำตาม

เพราะฉะนั้น ถามว่าอะไรคือแรงจูงใจของผู้เชื่อหรือคริสเตียน  ที่เชื่อในพระเจ้า ส่องกระจกดูแล้ว มองดูในกระจกปุ๊บ พูดในใจว่าอะไร คือแรงจูงใจ ที่จะทำความดี

นี่คือสิ่งที่คริสเตียนควรถามตัวเองทุกๆ วัน ทุกๆ วินาที  ส่องกระจกดูทุกครั้ง เพราะแรงจูงใจของเรา ไม่ใช่ความรู้สึกผิด หรือรู้สึกกดดัน กลัวถูกลงโทษ  หรือสูญเสียความรอดไป เพราะการกระทำ แรงจูงใจอย่างนี้ ทำให้เกิดหลักข้อปฏิบัติตามศาสนา อย่างที่บอกเมื่อสักครู่นี้ เกิดการพึ่งพาตนเอง แต่แรงจูงใจของเราผู้เชื่อทั้งหลาย คือฉันมีใจใหม่ เกิดใหม่แล้ว แรงจูงใจของฉัน  คือฉันเป็นลูกแห่งแสงสว่าง ลูกแห่งความรัก ลูกพระเจ้า ฉันจึงเดินได้เหมือนลูกแห่งแสงสว่าง ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ แบบเด็กเล็กๆ ของพระเจ้า พระเจ้าสถิตอยู่กับฉัน ถูกไหม นี่คือแรงจูงใจ

ปกติแล้ว  พระคัมภีร์จะบอกไว้อย่างชัดเจนว่าความคิดจะเปลี่ยนก่อน  แล้วความประพฤติจึงจะเปลี่ยนตาม  ส่องกระจกดู ความจริงของพระเจ้ามาเปลี่ยนความคิด … เปลี่ยนความคิด คือเปลี่ยนทัศนคติในการดำเนินชีวิต ทัศนคติเปลี่ยนไป ก็สามารถเปลี่ยนพฤติกรรมของตนเองได้ ถ้าทัศนคติความคิดไม่เปลี่ยน  พฤติกรรมไม่เปลี่ยน พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น จงเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจเสียใหม่  เพื่อท่านจะได้ประพฤติ ตามโรม 12:2

และนี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด ในการดำเนินชีวิตคริสเตียน และต้องใช้สิ่งที่สำคัญที่สุด ก็คือถ้อยคำแห่งความจริงของพระเจ้า ซึ่งเป็นเหมือนกระจกเงา ให้กับเรา สำรวจดูตนเองว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์นั่นเอง พระคัมภีร์จึงพูดอยู่เสมอๆ ใช่ไหมว่าท่านไม่รู้หรือว่าท่านเป็นวิหารของพระวิญญาณของพระเจ้า  ท่านไม่รู้หรือ! ตัวเก่าท่านตายไปแล้ว ตัวเก่าที่บาป  ท่านไม่รู้หรือท่านเป็นลูกของพระเจ้า  ท่านไม่รู้หรือท่านมีมรดกนิรันดร์ ท่านไม่รู้หรือ!ๆๆๆๆๆ  ก็แสดงว่ามันมีอยู่แล้ว แต่เราไม่รู้ หรือไม่เรารู้อยู่ บางทีลืมๆ บ้าง ก็เลยเตือนให้รู้ ซ้ำเข้าไปอีก ท่านไม่รู้หรือ! ใช่ไหม?

คริสเตียนตั้งใจประพฤติดี จากแรงบันดาลใจของความรัก พระคุณของพระเจ้า ที่ทำให้เขาได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าที่สะอาด บริสุทธิ์ ให้ความสำคัญอย่างมากกับธรรมชาติในวิญญาณที่เกิดใหม่แล้ว จึงตั้งใจจะประพฤติดีงาม ตามธรรมชาติใหม่ ตามน้ำพระทัยพระเจ้า

นี่คือแรงบันดาลใจที่ถูกต้องของคริสเตียนทั้งหลาย ไม่ใช่แรงบันดาลใจ จากความกลัวว่าจะสูญเสียความรอด  พระเจ้าจะไม่พอใจ จะลงโทษ  จะไล่ออกจากสวรรค์ หรือกลัวว่าจะไม่สมบูรณ์ในความบริสุทธิ์  ที่เป็นลูกของพระเจ้าแล้วในพระเยซูคริสต์ ก็เลยพยายามทำให้มันสมบูรณ์ ซึ่งก็ทำไม่ได้อยู่แล้ว ถ้าทำได้ พระเยซูก็ไม่ต้องมาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว ทำไม่ได้อยู่แล้ว ก็เลยวนเวียนอยู่กับความวิตกกังวล ความเครียด วนเวียนอยู่กับความตั้งใจกระทำความดี ให้มันสมบูรณ์แบบ ในสายพระเนตรพระเจ้า ซึ่งสมบูรณ์ไปแล้ว และตั้งใจทำความดี ให้มันสมบูรณ์แบบ ทำได้ไหม?  ก็ทำไม่ได้ ตามที่ต้องการ พอทำไม่ได้ เกิดอะไร  ก็เกิดความเครียด พอเครียดก็เริ่มต้นชี้นิ้ว อธิษฐานไปมากๆ มันไม่ได้ตามที่ต้องการ รู้สึกไม่ครบสักที จะครบได้อย่างไร ก็พระเจ้าบอกไม่มีทางครบ แต่อยากให้ครบ ก็เครียด ออกจากห้องอธิษฐาน ก็ …

“ทำไมเธอไม่อธิษฐาน ทำไมเธออธิษฐานน้อย ทำไมเธอไม่ไปโบสถ์ ทำไมเธอไม่รับใช้พระเจ้าที่โบสถ์”

เพราะว่าตัวเองให้ความสำคัญกับตรงนั้นมากจริงหรือไม่? นี่แหละ เขาเรียกว่าศาสนา นี่แหละ อันตรายไหม? อันตราย มันจะเป็นอย่างนี้ ทำๆ แล้วตัวเองก็เครียด พอเครียด ก็เริ่มมองหา ลิ้นมันอยู่ไม่ได้ ลิ้นมันอยู่ไม่สุข ลิ้นมันออกมาก่อน ใจคิดอย่างไร ล้นมามันก็เป็นลิ้น ความคิดอย่างไร? ลิ้นก็เริ่มพูด เริ่มวิจารณ์ เริ่มเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง แล้วก็อยากให้คนอื่นทำตามตัวเอง เพราะตัวเองก็ทำไม่ได้เหมือนกัน มันเครียด

เพราะฉะนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุด คือพระเยซูบอกผู้ใดแบกภาระหนัก และเหน็ดเหนื่อยจงมาหาเรา เราจะให้ผู้นั้นเครียดมากขึ้น ไม่ใช่  เราจะให้ผู้นั้นหายเหนื่อยและเป็นสุข ไม่เครียด วางใจในพระองค์ เชื่อฟัง ไม่มีเงื่อนไข … เชื่อต้องมีเงื่อนไข เพื่อจะได้รับความรอด  แต่ได้รับความรอดเรียบร้อยแล้ว  ให้เชื่อฟังอย่างไม่มีเงื่อนไขแล้ว เพราะเป็นความรักของพระเจ้าที่บังเกิดขึ้นในใจของเราเรียบร้อยแล้ว โดยการบังเกิดใหม่  พระเจ้าอวยพรครับ

 

*********************

 

จากใจคณะศิษยาภิบาล

มองไปที่กระจกเงา ท่านเห็นใคร? …

  1. ร่างกายเสื่อมโทรม วิ่งไปสู่ความตาย หลับตาเห็นวิญญาณข้างในบาป ต้องชดใช้เวรกรรม
  2. ร่างกายเสื่อมโทรม วิ่งไปสู่ความตาย หลับตาเห็นวิญญาณข้างในบริสุทธิ์ เต็มด้วยสิริเหมือนพระเยซู

เอเฟซัส 2:1-6  “1 ส่วนท่านทั้งหลายได้ตายแล้วในวิญญาณ  จากการล่วงละเมิดและในบาป ถูกตัดขาดจากความสัมพันธ์กับพระเจ้า จากความบริสุทธิ์ของพระเจ้า 2 ซึ่งท่านเคยดำเนินชีวิตตามวิถีของบาปของโลกนี้ และตามการครอบงำของเจ้าแห่งย่านฟ้าอากาศ (มาร) ซึ่งเป็นวิญญาณที่บัดนี้ ทำการอยู่ในบรรดาผู้ที่ไม่เชื่อ (ไม่ได้ใช้สิทธิ์ในการไถ่บาปของพระเยซู) 3 ครั้งหนึ่ง เราเคยมีชีวิต เหมือนกับผู้คนเหล่านั้นที่ (ไม่เชื่อ ไม่ได้ใช้สิทธิ์ในการไถ่บาปของพระเยซู) ทำตามตัณหาของวิสัยบาปของเรา  สนองความอยากกับความคิดของมัน  ตามธรรมชาติบาปของวิญญาณที่ตายของเรา  (ซึ่งไม่บริสุทธิ์ ไม่มีพระลักษณะของพระเจ้า) เราจึงควรแก่การถูกลงโทษ สาปแช่งเหมือนคนอื่นๆ (ที่ไม่เชื่อไม่ได้ใช้สิทธิ์ ในการไถ่บาปที่พระเยซูได้กระทำให้) 4 แต่เนื่องด้วยความรักใหญ่หลวง  ที่ทรงมีต่อเรา พระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยพระเมตตาอันอุดม 5 จึงได้ทรงกระทำให้วิญญาณของเรากลับมีชีวิตอยู่กับพระคริสต์  แม้ในขณะที่วิญญาณเราได้ตายแล้วในบาป คือท่านทั้งหลายได้รับความรอด  (จากการลงโทษจากคำสาปแช่ง) โดยพระคุณ 6 และพระองค์ได้ทรงให้วิญญาณของเราเป็นขึ้นมา (บังเกิดใหม่) กับพระคริสต์  และในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ทรงให้เรานั่งในสวรรคสถานกับพระคริสต์”

1 ยอห์น 4:17 “แบบนี้สิ ความรัก​ของ​พระเจ้า​ถึง​สำเร็จ  ​ตาม​เป้าหมาย​ของ​พระองค์​ ใน​พวก​เรา เรา​จึง​มี​ความ​มั่นใจ​ใน​วัน​พิพากษา ที่​เรา​มี​ความ​มั่นใจ​อย่าง​เต็มเปี่ยม​  ก็​เพราะชีวิตจิตวิญญาณที่​เรา​มี​ขณะที่อยู่ในโลก​นี้นั้น  เป็นชีวิตจิตวิญญาณที่​เหมือน​กับ​ชีวิตจิตวิญญาณของ​พระคริสต์”

พระเจ้าอวยพรครับ

 

 

 

 

วารสาร Holy News ฉบับที่ 1337

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  7  พฤศจิกายน  2021

 เรื่อง “ความเชื่อที่ปราศจากการกระทำ ก็ไร้ประโยชน์”

ตอน 2 “เชื่อในพันธสัญญา แต่ไม่กระทำตามเงื่อนไข ก็ไม่เกิดผล”

โดย นคร   เวชสุภาพร

 

วันนี้ก็จะเป็นการบรรยายต่อจากครั้งที่แล้ว หัวข้อเรื่อง คือ “ความเชื่อที่ปราศจากการกระทำ ก็ไร้ประโยชน์” ตอน 2 ยังจำได้นะ หัวข้อเรื่องเดียวกัน ครั้งที่แล้ว ที่ผมบอกไว้ว่าเป็นอีกหนึ่งข้อพระคัมภีร์ ที่ผู้เชื่อหลายท่านยังเข้าใจผิด หรือยังกังวล ถูกสอนต่อๆ กันมา แบบไม่ตรงตามแก่นแท้ของความจริง คือข่าวประเสริฐของพระเจ้า ในพระคัมภีร์บอกไว้ อ่านทบทวนดู ข้อพระคัมภีร์หลักของหัวข้อเรื่องนี้กันอีกสักครั้งหนึ่ง ยากอบ 2:14, 17 …

ยากอบ 2:14, 17 “14 พี่น้องทั้งหลาย  ถ้าคนหนึ่งอ้างว่ามีความเชื่อ แต่ไม่สำแดงเป็นการกระทำ จะมีประโยชน์อะไร ความเชื่อแบบนี้ จะช่วยเขาให้รอดได้หรือ 17 ความเชื่อเพียงอย่างเดียว โดยไม่มีการกระทำ  ก็เป็นความเชื่อที่ไร้ประโยชน์”

 

ยากอบ 2:14 กับ 17 บันทึกไว้อย่างนั้น  ครั้งที่แล้ว เราเรียนรู้กันไปแล้วว่าความหมายของคำว่า “ความเชื่อเพียงอย่างเดียว โดยไม่มีการกระทำ” หมายถึงอะไร?

ความเชื่อเพียงอย่างเดียว  แต่ไม่มีการกระทำ หมายถึงการเชื่อเฉยๆ โดยไม่มีการตัดสินใจ ที่จะกระทำการตอบสนองต่อความเชื่อนั้น และความเชื่อเฉยๆ แบบนี้ ก็คือสิ่งที่พระคัมภีร์เรียกว่าเป็นความเชื่อที่ไร้ประโยชน์ ไม่เกิดผล เราเรียนรู้กันไปแล้วบ้าง ครั้งที่แล้ว

ซึ่งวันนี้เราจะมาดูกันต่อว่าแล้วการกระทำของความเชื่อคืออะไร? หมายความว่าอย่างไร? ที่ตอนต้นผมบอกว่ายังมีคริสเตียนหลายคน ผู้เชื่อหลายท่าน ยังเข้าใจความหมายของพระคัมภีร์ตรงนี้ผิดไป ยังไม่ถูกต้อง คือบอกว่าความเชื่อต้องมีการกระทำตามมาด้วย จึงจะเกิดผล หลายคนก็เลยไปตีความเอาเองว่าหมายถึงต้องมีการกระทำของเรื่องความประพฤติ หรือการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  ต้องรักษาบัญญัติ ต้องทำความดี ห้ามทำบาป คิดอย่างนั้นหรือไม่? ติดตามกันต่อนะครับ

ถ้อยคำในข้อ 14 เมื่อตะกี้นี้ บอกว่าถ้าคนหนึ่งอ้างว่ามีความเชื่อ แต่ไม่สำแดงเป็นการกระทำ จะมีประโยชน์อะไร? ความเชื่อแบบนี้จะช่วยให้เรารอดได้หรือ? ถ้าไปตีความอย่างนั้น มันเกิดอะไรขึ้น

พอไปตีความว่าการกระทำตรงนี้ หมายถึงความประพฤติ การดำเนินชีวิตคริสเตียน ก็แปลว่าถึงแม้ว่าเราจะเชื่อพระเจ้าแล้ว แต่ถ้าเรายังประพฤติแบบเดิมๆ อยู่ ยังทำบาปอยู่ หรือยังทำความผิด ทำไม่ถูกต้องอยู่ ก็แปลว่าเราสูญเสียความรอดแล้ว อย่างนั้นหรือ? ใช่ไหม? ถ้าตีความอย่างนั้น มันก็ต้องแปลว่าอย่างนี้แหละ ว่าถ้าเราเชื่อพระเจ้าแล้ว หลังจากนั้น เราโกรธ เรายังเมาเหล้าอยู่เลย  พยายามเลิกแล้ว เลิกได้ครึ่งเดียว ยังสูบบุหรี่อยู่เลย  พระเจ้าให้เลิก ยังเลิกได้แค่ครึ่งเดียว ยังหงุดหงิด ยังโลภอยู่ ยังเห็นแก่ตัวอยู่เลย ยังริษยาเขาอยู่เลย ถ้ายังเป็นอย่างนี้ ไม่ได้รับความรอดใช่ไหม?  ความเชื่อว่าพระเจ้าช่วยได้ ไร้ประโยชน์อย่างนั้นหรือ? นึกออกใช่ไหมว่ามันคืออะไร? ถ้าเราตีความผิด มันจะหมายถึงอย่างนี้

ถ้าตีความกันลักษณะแบบผิดๆ อย่างนี้ แล้วหัวใจของข่าวประเสริฐที่อยู่ในพระคัมภีร์ทั้งเล่มอยู่ตรงไหนแล้ว ข่าวประเสริฐในพระเยซูคริสต์ ในพระคัมภีร์ใหม่ทั้งเล่มเลย พูดเหมือนกันเลยว่าความรอดที่เราได้รับมานั้น เป็นพระคุณจากพระเจ้าที่ได้รับมาฟรีๆ ไม่เกี่ยวอะไรกับการกระทำทั้งสิ้น เพื่อไม่ให้มีใครสามารถอวดอ้างได้ เอเฟซัส บทที่ 2 บันทึกอย่างนั้น

พระโลหิตพระเยซูคริสต์ที่หลั่งบนไม้กางเขน ชำระล้างบาปให้กับเรา ขาวสะอาด บริสุทธิ์ เป็นผู้ชอบธรรมเหมือนพระองค์ตลอดไป ครั้งเดียวเป็นพอ ที่จะลบล้างทั้งบาปที่ทำในอดีต ปัจจุบัน ซึ่งทำอยู่แน่นอน และบาปในอนาคต ซึ่งกระทำอยู่แน่นอนด้วย ถูกลบล้างออกไปด้วย ในข่าวประเสริฐนี้  ถูกไหม? ไม่มีผู้ใด หรือสิ่งใดที่จะทำให้เราขาดจากความรักของพระเจ้าได้ บันทึกอย่างนี้ใช่ไหม? นี่คือหนึ่งในข่าวประเสริฐใช่ไหม? ส่วนหนึ่งใช่ไหม? และเมื่อมาเชื่อพระเจ้าแล้ว เราได้ชื่อว่าเป็นแกะของพระเจ้า พระเจ้าได้บอกว่าเราจะให้ชีวิตนิรันดร์กับแกะนั้น และแกะนั้นจะไม่มีทางพินาศอีกเลย ตลอดนิรันดร์กาล ไม่มีใครจะมาทำร้ายแกะของเรา ไม่มีใครจะมาขโมยแกะของเรา  ไม่มีใครจะมาเอาแกะของเราออกจากคอกของเราได้เลย พระเยซูตรัสอย่างนั้นใช่ไหม? ไม่มีใครจะแย่งชิงแกะเหล่านี้ออกไปจากมือของเราได้ มือของใคร? มือของพระเยซูคริสต์ นี่คือแก่นของข่าวประเสริฐของพระเจ้า มันแย้งกันใช่ไหม?

ที่ผมยกมา เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่ง เล็กๆ เองนะ ที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ เกี่ยวถึงเรื่องข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ที่ย้ำยืนยันความจริงของข่าวประเสริฐ ว่าความรอดที่เราได้รับมานั้น ไม่เกี่ยวอะไรกับการประพฤติทั้งสิ้น ไม่เกี่ยวอะไรกับการกระทำทั้งสิ้น

ถ้าอย่างนั้น ถ้อยคำในข้อ 14 ที่บอกว่าความเชื่อเฉยๆ โดยปราศจากการกระทำ เป็นความเชื่อที่ไร้ประโยชน์ ไม่ได้นำมาสู่ความรอด หมายความว่าอะไร? ท่านก็ถามในใจใช่ไหม? เหมือนกับพี่น้องที่มาถาม หรือผู้เชื่อใหม่ที่มาถามผมนั่นแหละ ผมจึงเอาข้อนี้มาแจงรายละเอียดให้ทราบ เพราะว่ามันเป็นหัวใจ ถ้าเราตีความนี้ผิด มันจะทำให้เละตุ้มเป๊ะในข่าวประเสริฐ ในความเชื่อของเรา เราจะงงเต๊ก

เพราะฉะนั้น ความหมายว่าถ้าเป็นอย่างนั้น การกระทำที่จะตอบสนองต่อความเชื่อ ในข้อพระคัมภีร์ข้อนี้ หมายถึงการกระทำอะไร ถ้าไม่ได้หมายถึงความประพฤติอย่างที่บอกมา มันหมายถึงอะไร?

คำตอบของคำถามนี้ ก็คือชื่อเรื่องของการบรรยายวันนี้นั่นเอง ตอบคำถามท่านนั่นเอง ความเชื่อที่ปราศจากการกระทำ ก็ไร้ประโยชน์ ตอนที่ 2 ชื่อตอนว่า “เชื่อในพันธสัญญา แต่ไม่กระทำตามเงื่อนไข ก็ไม่เกิดผล” ก็คือไร้ประโยชน์นั่นเอง ตอบคำถามท่านในใจแล้วนะ มาติดตามต่อไป

จากยากอบ บทที่ 2 ที่เราได้อ่านไปเมื่อตะกี้นี้ ถ้าผมขยายความ แปลอย่างลึกซึ้ง ให้เห็นชัดขึ้น  อย่างนี้ ตามบริบทว่ายากอบ 2:14, 17 ที่เราอ่านเมื่อสักครู่นี้ …

ยากอบ 2:14,17  “14 พี่น้องทั้งหลาย ถ้าคนหนึ่งอ้างว่ามีความเชื่อ (ในพันธสัญญา) แต่ไม่สำแดงเป็นการกระทำ (ตามเงื่อนไขในสัญญา)  จะมีประโยชน์อะไร  17 ความเชื่อแบบนี้  จะช่วยเขาให้รอด (ทางวิญญาณ พ้นจากหนี้บาป) ได้หรือ”

 

พี่น้องทั้งหลาย ถ้าคนหนึ่งอ้างว่ามีความเชื่อในพันธสัญญา ไม่ได้เชื่อในคำสั่งสอนนะ แต่ไม่สำแดงเป็นการกระทำตามเงื่อนไขในสัญญา เชื่อในพันธสัญญา แต่ไม่ทำตามเงื่อนไขในพันธสัญญา จะมีประโยชน์อะไรล่ะ ความเชื่อแบบนี้จะช่วยให้เขารอดได้หรือ?  รอดทางไหน? รอดทางวิญญาณ พ้นจากความบาป มาเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า เขาจะเป็นไปได้หรือ? ในเมื่อพระเจ้าสัญญาว่าจะให้ความชอบธรรมกับเขา จะให้เขาเป็นลูกของพระเจ้า แต่มีเงื่อนไขว่าเขาต้องทำอะไรบางอย่าง และเขาก็ได้ทำตรงนั้น เห็นภาพแล้วนะ ชัดขึ้นนะ

ความเชื่อในที่นี้ ก็คือความเชื่อ ในข่าวประเสริฐของพระเยซู ความเชื่อตรงนี้ คือเชื่อในพันธสัญญา ในข่าวประเสริฐของพระเยซู หรือเชื่อในพันธสัญญา ที่พระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้ ผ่านทางพระเยซูว่าจะไถ่มวลมนุษยชาติ ให้รอดพ้นจากโทษของความบาปและความตาย  และกระทำสำเร็จแล้ว ที่ไม้กางเขน พระองค์จะไถ่มวลมนุษย์ แสดงว่าพระองค์รอคอยให้มนุษย์ตอบสนองต่อพันธสัญญานี้  เพราะว่าฝ่ายพระองค์ทำสำเร็จแล้ว คือพระเยซูคริสต์มาตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 สำเร็จแล้ว พระเยซูประกาศว่าสำเร็จแล้ว คำว่า “จะ” จึงกลายเป็นปัจจุบันทันที  คือทำสำเร็จแล้ว  แต่ก็ยังคงเป็นจะอยู่ สำหรับบรรดาผู้คนที่ได้ยินข่าวประเสริฐนี้  แล้วยังไม่ทำตามเงื่อนไขสัญญานี้  พอเข้าใจไหมครับ?

เพราะฉะนั้น ฝ่ายพระองค์ได้ทำแล้ว ถ้าใครอยากได้รับการไถ่ ต้องกระทำตามเงื่อนไขสัญญา คือเขาต้องกระทำขั้นตอน สนองตอบต่อความเชื่อในพันธสัญญานี้  ก็คือการทำตามเงื่อนไขในสัญญา เงื่อนไขในสัญญาให้ทำอะไร? ถึงจะได้รับสิทธิในการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ ที่ได้ทำสำเร็จแล้ว ที่พระเจ้าตั้งเป็นพันธสัญญาให้เรียบร้อยแล้ว

ตะกี้ผมเน้นคำว่า “พันธสัญญา” … พันธสัญญา คืออะไร? คือสัญญาที่มีพันธ … “พันธ” แปลว่าอะไร?  แปลว่ามีเงื่อนไข …

“ถ้าผมทำอย่างนี้ คุณต้องทำอย่างนี้ คุณจะได้อย่างนี้ ถ้าคุณอยากได้รถคันนี้ มีสัญญาว่าคุณเอาตังค์มาสองแสน แล้วผมให้รถคุณ โอนให้คุณ”

อย่างนี้ เขาเรียกว่าพันธสัญญา ไม่ใช่สัญญาลอยๆ ไม่มีพันธ นี่มีพันธสัญญา  คือพระเจ้าทำส่วนหนึ่ง เราต้องทำอะไรบางอย่างในพันธสัญญาที่เขียนไว้ พันธสัญญาได้เขียนไว้ว่าพระเจ้าทำสำเร็จแล้ว  ที่พระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน  เราต้องทำอย่างไร? เราต้องเชื่อ และต้องเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ซึ่งเงื่อนไขในสัญญาที่ต้องกระทำตาม ก็จะเป็นไปตามแต่ละยุค แต่ละสมัย  เพราะในพระคัมภีร์นี้ ได้อ้างไปถึงในยุคพระคัมภีร์เดิม ก่อนที่พระเยซูคริสต์มา ก็เป็นพันธสัญญาเหมือนกัน แต่เป็นพันธสัญญาแบบเก่า พระเยซูคริสต์เป็นพันธสัญญาแบบใหม่  แต่ลักษณะการใช้พันธสัญญาเหมือนกัน คือต้องมีสองฝ่ายกระทำ

สำหรับชาวยิวที่ได้ฟังการประกาศข่าวประเสริฐ อันนี้  ที่ยากอบ บทที่ 2 ได้ประกาศให้ชาวยิวได้ฟัง  ทั้งยิวที่เชื่อและยิวที่ยังไม่เชื่อ เงื่อนไขในการที่จะได้รับการไถ่บาป จากพระเยซูคริสต์ ที่ได้กระทำสำเร็จแล้ว ที่ไม้กางเขน เฉพาะชาวยิวนะ เงื่อนไข ก็คือเขาต้องยกเลิกการถวายเครื่องบูชาด้วยเลือดสัตว์ เพื่อลบบาปให้ตัวเอง ตามที่พระเจ้าเคยบอกเขาในอดีต เพราะตอนนี้ พระเจ้าได้เริ่มต้นพันธสัญญาใหม่ อันเก่าขอยกเลิก ตอนนี้ทำพันธสัญญาใหม่ ถ้าเขาอยากได้ เขาต้องทำสิ่งหนึ่ง ตามที่พันธสัญญาใหม่ได้ระบุไว้เป็นเงื่อนไข ก็คือเขาต้องใช้สิทธิของเขา รับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระผู้ไถ่บาป แทนเลือดของสัตว์  เลือดของแพะหรือแกะ ที่เขาเอามาถวาย เป็นประจำ หรือแทนบัญญัติต่างๆ ตั้งแต่สมัยโมเสสมา ที่เขานับถือกันมาว่ากระทำอย่างนี้แล้ว จะได้รับความรอด  จะเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า  เขาต้องยกเลิกสิ่งต่างๆ เหล่านั้นทั้งหมด แล้วหันมาเชื่อและวางใจในการกระทำของพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน ที่ได้ไถ่บาปให้เขา ครั้งเดียวเป็นพอ นี่คือเงื่อนไข

ในยากอบ บทที่ 2 ได้พูดถึงเงื่อนไขของสัญญาที่พระเจ้าได้ทำไว้กับอับราฮัมด้วย อย่างที่ผมบอก ยากอบได้ยกตัวอย่างตรงนี้ ครั้งที่แล้วเราได้อ่านไปแล้ว ได้อ้างถึงพันธสัญญา ที่พระเจ้าเคยทำกับบรรพบุรุษของชาวยิว ก็คืออับราฮัม เพื่อให้เขาได้เห็นว่าพันธสัญญานี้ จะต้องมี 2 ฝ่าย ฝ่ายพระเจ้ากับฝ่ายมนุษย์ ที่ได้รับพันธสัญญานั้น ต้องทำอะไรบางอย่าง

พระเจ้าสัญญาว่าจะให้อับราฮัมและลูกหลานของอับราฮัม เป็นผู้ชอบธรรม สามารถอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้ เป็นผู้ชอบธรรม สัญญาว่าอับราฮัมจะเป็นบิดาของคนจำนวนมากมาย เป็นต้นกำเนิดของผู้ชอบธรรม ที่มาโดยความเชื่อ ซึ่งรวมทั้งเราในปัจจุบันนี้ ก็มาจากพันธสัญญาอันนี้แหละ พระเจ้าสัญญาว่าจะให้อับราฮัม เป็นต้นตระกูลของผู้ชอบธรรม โดยเงื่อนไขของพันธสัญญานี้ ก็คือให้อับราฮัมถวายบุตรชายแก่พระเจ้า ซึ่งถ้าอับราฮัมเชื่อในพระเจ้า เชื่อในพันธสัญญานี้จริงๆ อับราฮัมก็ต้องมีการกระทำตามเงื่อนไข มันหมายถึงอย่างนั้น คือยอมถวายบุตรชายให้พระเจ้า ซึ่งอับราฮัมก็ได้ทำ  สนองตอบต่อความเชื่อนั้น จริงๆ ซึ่งเราก็รู้อยู่แล้วว่าพระเจ้าทดสอบ ดูความเชื่อของอับราฮัมว่าเชื่อจริงไหม? อับราฮัมตัดสินใจแล้ว ยกมีดขึ้นไปแล้ว คือตัดสินใจไปแล้ว พระเจ้าทราบดี พระเจ้าบอกหยุดๆ ไม่ต้องทำแล้ว  เท่ากับว่าอับราฮัมได้ทำตามเงื่อนไข คือถวายบุตรชายแล้ว ด้วยความเชื่อ

ประเด็นอยู่ตรงนี้ คือถ้าเชื่อจริงๆ ก็ต้องมีการกระทำตามเงื่อนไขนั้นๆ เพื่อตอบสนองความเชื่อนั้น ไม่เกี่ยวอะไรกันกับการกระทำอื่นๆ ของอับราฮัมเลย ซึ่งอันที่จริง ตามที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ทั้งก่อนหน้า และภายหลังที่อับราฮัมได้ทำตามเงื่อนไข ยอมถวายบุตรชาย คืออิสอัคแล้ว อับราฮัมก็มีความประพฤติที่ไม่ดี ไม่เชื่อฟังพระเจ้าหลายอย่าง แต่อับราฮัมก็ยังคงได้ชื่อว่าเป็นผู้ชอบธรรมนิรันดร์ เพราะได้ทำตามเงื่อนไขแล้วใช่หรือไม่? นี่ยากอบยกตัวอย่างนี้ขึ้นมา ผมอธิบายให้ละเอียดขึ้น หนึ่งในจำนวนที่ทำไม่ดี ตอนนั้นเห็นชัดเลย ก็คือพระเจ้าบอกว่าจะให้บุตร อับราฮัมไม่เชื่อหรอก วางแผน 2 คือไม่เชื่อฟังพระเจ้า ไปมีภรรยาน้อย นางฮาการ์ เพื่อจะมีบุตรด้วยตัวเอง  แทนที่จะเชื่อตามที่พระเจ้าบอกว่าจะมีบุตร  ตามที่พระองค์สัญญาไว้

ความประพฤติหรือการกระทำในชีวิต ทั้งในอดีตของอับราฮัม หรือปัจจุบันของอับราฮัม และอนาคตของอับราฮัม ไม่เกี่ยวอะไรกันกับการที่พระเจ้าบอกว่าเขาเป็นผู้ชอบธรรมเลย เพราะเขาเป็นผู้ชอบธรรม โดยความเชื่อฟังในพันธสัญญา คือพระเจ้าบอกว่าเป็นผู้ชอบธรรมได้ ถ้าเชื่อจนกระทั่งถวายบุตร เขาถวายแล้ว จบ  นี่เรียกว่ากระทำตามเงื่อนไขในพันธสัญญา

อีกตัวอย่างหนึ่งในหนังสือยากอบได้บอกไว้ ยกตัวอย่างครั้งที่แล้ว  ในแง่มุมหนึ่ง วันนี้เราจะมาดูอีกแง่มุมหนึ่ง ก็คือนางราหับ เป็นหญิงโสเภณี อยู่ในเมืองเยรีโค พระเจ้าบอกว่าเขาจะสามารถเป็นประชากรของพระเจ้าได้  จากหญิงโสเภณีต่างชาติ มาเป็นลูกของพระเจ้า  ถือว่าเขาเป็นประชาชนของพระเจ้า ในชุมชนของอิสราเอล  มาเป็นชาวอิสราเอล ถือว่าเป็นอะไรบางอย่างที่เลิศประเสริฐศรีมากในสมัยอดีต ไม่มีใครสามารถทำได้ พระเจ้าทำได้ พระเจ้าสัญญาว่าจะทำให้  ให้โสเภณี คือราหับ กลับกลายเป็นชาวยิว ประชากรของพระเจ้า ที่มีสง่าราศี มีความชอบธรรม ในสายพระเนตรของพระองค์ ถ้าเผื่อทำตามสัญญา

สัญญาของเขา คืออะไร? พันธสัญญาต้องมีเงื่อนไข พระเจ้าจะช่วยให้เธอได้รับความรอด จากการถูกฆ่าตาย ในเยรีโค เพราะพระเจ้าจะยึดเยรีโค ด้วยชาวยิวแล้ว  แต่เธอจะไม่ถูกฆ่า เธอจะได้รับความรอด และเราจะรับเธอเข้ามาเป็นประชากรของเรา เป็นหนึ่งในจำนวนประชากรของอิสราเอล  แต่เธอต้องทำสิ่งหนึ่ง  พันธสัญญานี้คืออะไร?

เงื่อนไขที่พระเจ้าให้กับราหับ คือต้องยอมเสี่ยงเปิดประตูให้กับสายลับ แค่นั้นเอง ถ้าเสี่ยงเชื่อในตัวเราว่าเป็นพระเจ้าจริง ตามที่ได้ยินมา และเชื่อในข่าวสารที่สายลับ พูดที่หน้าประตูว่าให้เชื่อ ให้เปิดประตู ถ้าเปิดประตูเมื่อไร ก็เป็นพวกพระเจ้า แค่นั้นพอ ที่เหลือพระองค์ทรงกระทำทั้งหมด และสัญญาว่าเขาจะได้รับอะไรบ้าง? แล้วเกิดอะไรขึ้น นางราหับก็กระทำตามคำสัญญา ก็คือเปิดประตูให้กับสายลับ และหลังจากการกระทำตามเงื่อนไข คือเสี่ยงเปิดประตูให้กับสายลับชาวยิวนั้น  ทันทีที่เปิดประตู เงื่อนไข ก็ได้ถูกกระทำให้สำเร็จ ตามพันธสัญญา ก็คือพระเจ้าทรงนับราหับ เป็นเหมือนอับราฮัม  นับราหับเป็นผู้ชอบธรรม เป็นประชากรของพระองค์ เป็นชาวยิวแล้ว พ้นจากการถูกฆ่าตายแล้วใช่หรือไม่?

หลังจากเปิดประตูแล้ว ราหับอาจจะเป็นหญิงโสเภณีต่อ จนกว่าเยรีโคจะแตก เยรีโคแตกแล้ว ราหับรอด ได้มาเป็นประชากรของชาวยิว อาจจะประพฤติสิ่งที่ไม่ดีอีกหลายอย่าง ซึ่งมันไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ในพันธสัญญาที่พระเจ้าให้อันนี้เลยว่าเปิดประตูให้สายลับเราเข้าไป เป็นพวกเรา พอแล้ว ใช่หรือไม่? เป๊ะเลย เหมือนกันใช่ไหม? ยากอบจึงยกตัวอย่างนี้ขึ้นมา

พอมาถึงยุคปัจจุบัน ยุคพันธสัญญาใหม่ในพระเยซูคริสต์ นี่เรามาเทียบให้เห็นเลย ที่พระเจ้าได้ทรงทำพันธสัญญา ทำส่วนของพระองค์แล้ว คือส่งบุตรของพระองค์ เพียงผู้เดียว ลงมารับความทุกข์ทรมาน รับเอาความบาป ยอมตาย เพื่อมนุษย์ทั้งปวง บนไม้กางเขน เพื่อชำระล้างบาปให้มวลมนุษยชาติทุกคน เพื่อให้มนุษย์ทุกคน ได้รับการบังเกิดใหม่  มาเป็นลูกของพระองค์ ที่เรียกว่าผู้ชอบธรรม

ผู้ชอบธรรม ก็คือเป็นลูกของพระองค์ที่ยืนอยู่ต่อหน้าพระองค์ได้ เข้ากับพระองค์ได้ มาเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวของพระองค์ได้ อยู่ในสวรรค์กับพระองค์ ตามเงื่อนไขในพันธสัญญา เห็นไหม? เป็นพันธสัญญาใหม่ในพระเยซูคริสต์

เงื่อนไขของพันธสัญญานี้ ก็คือพระเยซูคริสต์ได้ทรงกระทำสำเร็จแล้ว พระเจ้าทำสำเร็จแล้ว โดยพระบุตรของพระองค์ ที่ตายที่ไม้กางเขน  เพื่อมนุษย์ทั้งปวง

มนุษย์ทั้งปวงอยากได้สิทธิต่างๆ ที่พระเยซูคริสต์ทำให้  ไถ่บาปให้ ก็ต้องทำตามเงื่อนไขในสัญญาที่พระเจ้าให้ไว้ว่าจะได้รับ ต้องทำอย่างไรบ้าง?  เหมือนกับที่บอกกับอับราฮัม  เหมือนกับที่บอกราหับ  ต้องทำอะไรบางอย่าง  แล้วในข่าวประเสริฐนี้ ให้ทำอะไรล่ะ ก็ต้องทำอย่างนั้นแหละ โดยเงื่อนไขของพันธสัญญาใหม่นี้ ก็คือความเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ที่ไม่ใช่เชื่อพระเยซูคริสต์ แบบเฉยๆ  แต่เป็นการเชื่อจริงๆ ที่มีการกระทำตอบสนองด้วย เพราะพระเจ้าเป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด เป็นพระเจ้าแห่งความรัก พระองค์ไม่เคยบีบบังคับใคร ไม่เคยบีบคอใคร ไม่เคยทำสิ่งที่ชั่วร้าย ไม่เคยเป็นเจ้านาย คอยฝืนใจคน ไม่ใช่ พระองค์ทรงให้บรรดาสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างทุกอย่างมีอิสระเสรีภาพในการตัดสินใจเป็นตัวของตัวเอง ไม่บังคับ แม้ว่ามันจะดีก็ตาม แต่ไม่บังคับ ก็แล้วแต่เธอ

เพราะฉะนั้น มนุษย์อยากจะได้ตรงนี้ ก็ต้องทำเงื่อนไข ตามพันธสัญญาที่ระบุไว้ การเชื่อจริงๆ มีการกระทำด้วย คืออับราฮัมเชื่อจริงๆ รักลูกชายมาก แต่เสี่ยง ยอมถวายบุตรชาย  ราหับทำอะไร? ทำตามเงื่อนไข ต้องเปิดประตู ก่อนเปิดนั้น ต้องเสี่ยงชีวิต คือเปิดประตู ช่วยศัตรู ช่วยสายลับเข้ามา ถูกจับ แย่เลย ต้องเสี่ยง เพราะฉะนั้น พันธสัญญาใหม่ในพระเยซู ผู้ที่ต้องการได้รับสิ่งที่พระเยซูกระทำให้ ก็ต้องเสี่ยง เสี่ยงทำอะไร? เสี่ยงที่จะเริ่มต้นใช้สิทธิเปิดใจ ต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดจากบาป เงื่อนไขทั้งหมด มีแค่นี้เอง

ถามว่าทำไมต้องเสี่ยง  ก็พอเชื่อพระเยซูคริสต์ เคยได้เห็น  เคยได้ยิน คนอื่นเขาจะเกลียดเรา หาว่าเราเปลี่ยนศาสนา เขาไม่อยากจะเจอหน้าเรา ไม่อยากจะคุยกับเรา ถูกข่มเหงรังแก อะไรประมาณนั้น มันก็คือเสี่ยงประมาณหนึ่งใช่ไหม? แต่เงื่อนไขมีอยู่แค่นี้เอง ต้องทำไม? ต้องทำ ถ้าไม่ทำ ไม่ทำ ไม่เชื่อตามพันธสัญญาในพระเยซูคริสต์ที่พระเจ้าให้ไว้ ก็ไม่มีประโยชน์ เชื่อในพันธสัญญาว่าพระเจ้าทรงประทานพระเยซูคริสต์มา รู้จักแล้วพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระผู้ไถ่บาป เรียนมาจนเป็นซุปเปอร์ด็อกเลย ละเอียดยิ๊บเลยว่าประวัติศาสตร์นี้เรื่องจริงๆ แต่ไม่เคยที่จะใช้สิทธิส่วนตัวว่าขอต้อนรับพระเยซูคริสต์ มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดส่วนตัวจริงๆ เริ่มต้นอธิษฐานกับพระเจ้า เริ่มต้นคุยกับพระเจ้า ทั้งๆ ที่มองไม่เห็นพระเจ้า ทั้งๆ ที่จับพระเจ้าไม่ได้ แตะต้องไม่เจอ และยังแถมถูกคนอื่นข่มเหง บอกว่า …

“แกจะบ้าหรือไง พระเจ้าอะไร รูปปั้นพระเจ้าก็ไม่มี รูปพระเจ้าก็ไม่เห็น  อะไรก็ไม่เห็น  แล้วไปเชื่ออะไรบ้าๆ บอๆ อีก”

อย่างนี้ ไม่เรียกว่าเสี่ยงหรือ? เสี่ยง ถูกหาว่าเราเป็นบ้าไปแล้วหรืออย่างไร? เพี้ยนไปแล้วหรือ? และเมื่อเชื่อจริงๆ แล้ว มีการกระทำตามเงื่อนไข ก็คือใช้สิทธิ์ต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว ฟังให้ดีนะ เมื่อใช้สิทธิ์แล้ว ทำตาม ก็คือเชื่อ แล้วก็วางใจในพระเยซูคริสต์ ใช้สิทธิ์ต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เข้ามาอยู่ในใจ เข้ามาอยู่ในร่างกาย เข้ามาอยู่ในชีวิต ตั้งแต่วันนั้นเลย มอบชีวิตให้กับพระองค์นำพาไปเลย นี่เขาเรียกว่าทำตามเงื่อนไขแล้ว หลังจากนั้น ไม่ว่าการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้จะเป็นอย่างไร? ความประพฤติจะเป็นอย่างไร? จะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับความรอด ที่ได้รับมาแล้วนี้ ทั้งสิ้น ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับการเป็นลูกของพระเจ้า เป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้าไปเรียบร้อยแล้ว เนื่องจากเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ไปเรียบร้อยแล้ว การกระทำต่างๆ นั้น ไม่เกี่ยวข้องแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการกระทำ ความประพฤติในอดีต หรือในปัจจุบัน  หรือในอนาคตตลอดไปเลย ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง หรือมาทำลายความรอด การเป็นลูกของพระเจ้า การเป็นผู้ชอบธรรม ตามที่ได้รับจากพันธสัญญา ที่เราได้กระทำตามเงื่อนไขไปแล้ว คือรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด จบแล้วทันที ถูกหรือไม่?

ถ้ายกตัวอย่างง่ายๆ ก็คือใช้สิทธิ์ในการต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว  เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ตามพันธสัญญา รุ่งขึ้นขับรถไป มีคนเฉี่ยว หงุดหงิด ไปด่าว่าเขา ได้ไหม? ความรอดเสียหายไหม?

หรือเชื่อแล้วว่าพระเจ้าจะช่วยชีวิตของเราให้รอด จากความบาป  เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว 3 เดือนผ่านไป ยังสูบบุหรี่อยู่เลย เขาบอกให้เลิกแล้ว พยายามแล้ว มันได้แค่นี้ แล้วสูญเสียความรอดไหม? นึกภาพออกใช่ไหม? แล้วยังมีความโกรธ ความเกลียด ความอิจฉาริษยา อะไรอีกหลายอย่างมากมาย ทำไหม? ทำ แล้วมันจะเกี่ยวข้องไหม? มันไม่เกี่ยวข้องอะไรกันกับพันธสัญญาที่เราทำกับพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว ผ่านทางพระเยซูคริสต์ คือเราทำ เราเชื่อในพระเยซู วางใจในพระเยซู ต้อนรับพระเยซู เป็นพระผู้ช่วยให้รอด จบแล้ว

เชื่อในคำสัญญา ในพันธสัญญาของพระเจ้า  แล้วกระทำตามเงื่อนไขนั้น กี่ครั้ง ทำตามเงื่อนไข? อับราฮัมทำกี่ครั้ง? อับราฮัมทำตามเงื่อนไข คือฆ่าบุตรชายของตนเอง ถวายบุตรชายของตนเอง ทำกี่ครั้ง? ครั้งเดียว

ราหับทำกี่ครั้ง? จากการเป็นโสเภณี ได้กลายเป็นลูกของพระเจ้า เป็นประชากรของพระเจ้า คือเป็นอิสราเอล รับเข้ามาเป็นประชากรของพระเจ้า เปิดประตูกี่ครั้ง?  หรือเปิดอยู่ทุกวัน เปิดครั้งเดียว

แล้วเราผู้เชื่อ คริสเตียน บัญญัติใหม่ได้บันทึกไว้ว่าอย่างไร? เชื่อพระเยซู แล้วเปิดใจต้อนรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด กี่ครั้ง เปิดมันทุกวันเลย จำเป็นไหม? ไม่จำเป็น เปิดครั้งเดียว เชื่อ แล้วเกิดทันทีเลย  เกิดเป็นลูกพระเจ้า เป็นลูกพระเจ้าแล้ว ไม่มีเปลี่ยนแปลงแล้ว เป็นลูกแล้ว อย่างที่ตะกี้นี้บอก ข่าวประเสริฐ คืออย่างนี้ เป็นลูก ก็คือเป็นแกะของพระเจ้าแล้ว ไม่มีใครมาทำร้ายอะไรเราได้อีกแล้ว ไม่มีเลย

เพราะฉะนั้น ทำตามเงื่อนไข ตามพันธสัญญาเพียงครั้งเดียวเป็นพอ  ถามว่าให้เน้นเพื่ออะไร? เพื่อจะได้จำได้ว่าครั้งเดียวเป็นพอ จะได้จำได้ตรงนี้ จะได้ไม่ตีความหมายตรงนี้ผิด  พอมันผิดปุ๊บ ทำให้ความเชื่อต่างๆ ผิดไปด้วย  เกิดความวิตกกังวลว่า …

“ความรอดฉันยังอยู่ไหม? ตกลงฉันมาเชื่อพระเจ้า 10 ปีแล้ว ตายไป แล้วจะได้ไปสวรรค์ อยู่ในสวรรค์หรือไม่? เพราะว่า 10 ปีมานี้ ทำอะไรที่ไม่ดีอีกเยอะแยะเลย ไม่เชื่อฟังพระเจ้าอีกตั้งเยอะแยะเลย เหตุเกิดขึ้นจากการตีความผิดแค่นี้เอง ในยอห์น 1:12-13 บอกไว้อย่างนี้ว่า …

ยอห์น 1:12-13  “12 ส่วนคนทั้งปวงที่ยอมรับพระองค์ ผู้ที่เชื่อ (ในพันธสัญญา และได้ทำการใช้สิทธิ์) ในพระนามของพระองค์  พระองค์ก็ประทานสิทธิ (ฤทธิ์เดช) ให้เป็นบุตรของพระเจ้า  13 คือเป็นบุตรที่ไม่ได้เกิดจากการสืบเชื้อสายตามธรรมชาติ หรือจากการตัดสินใจของมนุษย์ หรือจากเจตจำนงของสามี  แต่เกิดจากพระเจ้า”

 

นี่คือพระคัมภีร์ข้อหนึ่งที่พูดถึงเงื่อนไขของการที่จะได้รับตามพันธสัญญา ที่พระเจ้าสัญญาไว้นี้ ในพระเยซูคริสต์

“ส่วนคนทั้งปวง มนุษย์ทั้งหลาย ที่ยอมรับพระองค์ ผู้ที่เชื่อ” เรารู้แล้วว่าเชื่อในพันธสัญญาในพระเยซูคริสต์นี้ และได้ทำการใช้สิทธิ์ตามเงื่อนไข ในนามของพระองค์ คือในนามพระเยซู พระองค์ก็ประทานสิทธิ หรือฤทธิ์เดช ให้เป็นบุตรของพระเจ้าทันที นี่ไงเงื่อนไข คือเป็นบุตรที่ไม่ได้เกิดจากการสืบเชื้อสายทางธรรมชาติ หรือการตัดสินใจของมนุษย์ หรือเจตจำนงของสามี แต่เกิดจากพระวิญญาณของพระเจ้า เกิดใหม่ เปรี้ยงทันทีเลย เมื่อทำตามเงื่อนไข พันธสัญญาในพระเยซูคริสต์ คือเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ไม่ใช่เชื่อเฉยๆ แล้วไม่เปิดใจ ไม่ทำอะไรเลย เชื่อในพันธสัญญา แล้วก็เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด แล้วอธิษฐาน การต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ก็คือการอธิษฐาน

การอธิษฐาน ก็คือการเปิดใจ  เพราะการอธิษฐาน คือการกระทำ ที่บ่งบอกถึงความเชื่อว่า …

“พระเจ้ามีอยู่จริง ไม่มีอยู่จริง ฉันจะไปพูด อธิษฐานกับพระเจ้า เป็นคนบ้าหรือเปล่า? ถ้าไม่ใช่เป็นคนบ้า เป็นคนเมา ยังมีสติสัมปชัญญะ ในขณะที่ฉันอธิษฐาน พูดคุยกับพระเจ้า หมายถึงฉันเชื่อว่ามีพระเจ้าจริงๆ แล้วพระเจ้าสัญญาไว้อย่างนี้ว่าในพระเยซูคริสต์ ฉันจะได้รับความรอดจากบาป พระเจ้าจะเข้ามาช่วยเหลือชีวิตของฉัน จะมารับฉัน เป็นผู้ชอบธรรมของพระองค์”

ก็เลยเริ่มต้นอธิษฐาน คำแรก คือ … “พระเจ้าลูกเชื่อ  หรือลูกเริ่มเชื่อ ก็ได้ ลูกเชื่อแล้วว่ามีพระเจ้า และพระเจ้าประทานพระเยซูคริสต์มา ลูกขอต้อนรับสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำที่ไม้กางเขน  ทั้งหมดเข้ามาในชีวิตของลูก จะรู้มาก รู้น้อย แต่รู้แล้วล่ะ ต้อนรับแล้วล่ะ”

แล้วอธิษฐาน หมายถึงต้องพูดหรือ? พูดไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร ฉันคิดเอาก็ได้  พระเจ้ามองดูที่ใจ  มองดูที่วิญญาณข้างใน ตั้งใจจริง  แค่คิด บางคนอยู่บนเตียงคนป่วยหนัก พูดไม่ได้แล้ว  แต่จำได้ถึงข่าวประเสริฐ มีคนมาพูดถึงข่าวประเสริฐ ลูกมาพูดอยู่ข้างๆ เตียงถึงข่าวประเสริฐ ตัวเองพูดไม่ได้แล้ว ก็คิดไง นึก คิดถึงพันธสัญญาในพระเยซูคริสต์ และเปิดใจต้อนรับ

คำว่า “อธิษฐาน” อย่านึกถึงแต่ว่าพูด แล้วคนพูดไม่ได้ ทำอย่างไร? แล้วคนพิการ เป็นใบ้ ทำอย่างไร?  แม้กระทั่งคนเป็นอัลไซเมอร์ยังได้เลย  อัลไซเมอร์ ความคิดแบบมนุษย์ ที่คิดไม่ออก ลืมไปว่าตรงนั้นตรงนี้ แต่จิตใต้สำนึก นึกขึ้นได้ถึงเรื่องพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  มีเงื่อนไข และเขาเปิดใจต้อนรับ ก็ยังได้  แถมให้ฟังว่าเงื่อนไขนี้มันทำได้อย่างไร?  เชื่อในคำพูด ในคำมั่นสัญญาของพระเจ้า ก็คือเชื่อในพันธสัญญาที่พระเจ้าได้บอก ประกาศออกมา แล้วพอเชื่อปุ๊บ ทำอะไร? ใช้สิทธิ์ เปิดใจต้อนรับ

ถามว่าเปิดใจต้อนรับกี่ครั้ง?  ครั้งเดียวพอ ที่เหลือจากนั้น คุยกับพระเจ้า จะคิดกับพระเจ้า จะพูดกับพระเจ้า ไม่รู้ล่ะ ที่เหลือเป็นหน้าที่ของพระเจ้าแล้ว ไม่ใช่หน้าที่ของท่าน เพราะท่านได้บังเกิดใหม่ แล้วพระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ในท่าน ดำเนินชีวิตไปกับท่าน ในร่างกายของท่าน ที่พระคัมภีร์ว่าพระเจ้าผู้ทรงเริ่มต้นการงานดีในท่าน และพระองค์จะทรงกระทำต่อไปจนกระทั่งสำเร็จ จนกว่าจะถึงวันแห่งพระเยซูคริสต์ ข้าพเจ้ามั่นใจเช่นนั้น ฟีลิปปี 1:6 บันทึกไว้อย่างนั้น

ครั้งเดียวเป็นพอ เราทำหน้าที่ของเรา เงื่อนไข มันง่ายไหม?  ง่ายมาก เอเฟซัส 2:6-9 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

เอเฟซัส 2:6-9  “6 และพระองค์ได้ทรงให้วิญญาณของเราเป็นขึ้นมา (บังเกิดใหม่) กับพระคริสต์ และในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ทรงให้เรานั่งในสวรรคสถานกับพระคริสต์ 7 เพื่อในยุคต่อๆ ไป พระองค์จะได้ทรงสำแดงความอุดมแห่งพระคุณอันหาใดเปรียบ ซึ่งได้ทรงแสดงด้วยพระกรุณาที่มีต่อเราในพระเยซูคริสต์ 8 เพราะโดยพระคุณ ความเมตตา และความโปรดปรานของพระเจ้าที่ได้นำท่านเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ ท่านทั้งหลายจึงได้รับความรอด พ้นจากการถูกตัดสินลงโทษ เนื่องจากบาป และได้รับชีวิตนิรันดร์ผ่านทางความเชื่อ (ในพระสัญญาของพระเจ้า และเปิดใจต้อนรับพระเยซูครั้งเดียวเป็นพอ) 9 ความรอดนี้ ไม่ได้เป็นผลจากการพยายามทำด้วยตัวท่านเอง แต่เป็นพระคุณของพระเจ้าที่ได้ประทานให้ ไม่ใช่ความรอดโดยการประพฤติ หรือความพยายามที่จะรักษาบทบัญญัติของพระเจ้า เพื่อจะไม่มีใครโอ้อวด และแอบอ้างความดีของตัวเอง  ในความรอดของตนได้”

 

และพระองค์ได้ทรงให้วิญญาณของเราเป็นขึ้นมาใหม่ บังเกิดใหม่ พูดถึงว่าเราทำตามเงื่อนไข ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด แล้วเกิดอะไรขึ้นในโลกวิญญาณ  พระองค์ได้กระทำให้วิญญาณของเรา  เป็นขึ้นมาใหม่ ก็คือบังเกิดใหม่กับพระคริสต์ และในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ทรงให้เรานั่งในสวรรคสถานกับพระคริสต์ คือได้นั่งเลย เดี๋ยวนั้นทันที ที่ในโลกวิญญาณ ในวิญญาณของคนๆ นั้น ได้บังเกิดใหม่  และไปอยู่กับพระเจ้าทันทีในสวรรคสถาน เรียกว่านั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์ที่เบื้องขวาของพระเจ้า

ข้อ 7 บอกว่าเพื่อในยุคต่อๆ ไป พระองค์จะได้ทรงสำแดงความอุดม แห่งพระคุณ อันหาที่เปรียบไม่ได้ ซึ่งได้ทรงแสดงด้วยพระกรุณา ที่มีต่อเราในพระเยซูคริสต์

ข้อ 8 เพราะโดยพระคุณ ความเมตตา และความโปรดปรานของพระเจ้า ที่ได้นำท่านเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ ท่านทั้งหลายจึงได้รับความรอดพ้นจากการถูกตัดสินลงโทษ เนื่องจากบาป และได้รับชีวิตนิรันดร์ผ่านทางความเชื่อ

ขยายความว่าผ่านทางความเชื่อ ในพันธสัญญาของพระเจ้า ในคำพูดของพระเจ้า และทำตามเงื่อนไข ที่พระเจ้าบอก ก็คือเชื่อและเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ครั้งเดียวเป็นพอ มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ในชีวิตของท่าน

ข้อ 9 บอกว่าความรอดนี้ คือความรอดจากบาป ความรอดจากความตาย  การได้รับชีวิตนิรันดร์ การได้มาเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้าตรงนี้ ไม่ได้เป็นผลจากการพยายามทำด้วยตัวท่านเอง  ก็คือไม่ได้เป็นผลจากความประพฤติดี อย่างที่ตะกี้นี้บอก ไม่ว่าจะดีในอดีต หรือดีในปัจจุบัน หรือดีในอนาคต ไม่เกี่ยวกันเลย

อีกครั้งหนึ่ง ความรอดตรงนี้  การเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้าตรงนี้  การเป็นลูกของพระเจ้าตรงนี้ ที่บังเกิดขึ้นในวิญญาณของท่านตรงนี้ ไม่ได้เป็นผลจากการพยายามทำด้วยตัวเอง ไม่ได้เป็นผลจากความประพฤติดีของตนเอง ตั้งแต่ในอดีต หรือในปัจจุบัน หรือในอนาคตเลย แต่เป็นพระคุณของพระเจ้า ที่ได้ประทานให้ ไม่ใช่ความรอด  โดยความประพฤติ หรือโดยความพยายาม ที่จะรักษาบทบัญญัติ หมายถึงรักษาความดีงาม ตามที่พระเจ้าได้บันทึก สอนไว้  เห็นไหม? พระเจ้าสอน แต่ไม่ได้เกี่ยวกัน คนละเรื่องกันกับพันธสัญญา เพื่อจะไม่มีใครโอ้อวด และแอบอ้างความดีของตัวเองในความรอดของตนนี้ได้เลย  เพื่อจะได้ไม่มีใครบอกว่า …

“ฉันรอด ฉันเป็นลูกพระเจ้า ฉันเป็นผู้ชอบธรรม เพราะฉันทำดี  เพราะฉันรักษาความดี ตั้งแต่เชื่อพระเจ้ามา ฉันสละนิสัยไม่ดีออกไปเยอะมากเลย

“เยอะเท่าไร?”

“เยอะก็แล้วกัน”

“และยังมีบางอันที่ยังไม่สละไหม?”

“มี”

ถ้ามี ก็คือบาป  บาปก็ต้องตกนรกอยู่ดี แล้วจะเอาอย่างไร? จะพึ่งตนเองหรือจะพึ่งพระเจ้าดี นี่แหละคือความหมายที่ผมบอกว่ามันสำคัญมาก ถ้าท่านผิดนิดเดียว มันจะทำให้ขบวนการ ความเชื่อในเรื่องข่าวประเสริฐของพระเจ้าเสียหาย แล้วท่านจะสับสน ท่านสับสนไม่พอ ท่านไปบอกคนอื่น ท่านไปสอนคนอื่น ก็จะสับสนไปกันใหญ่  ข่าวประเสริฐของพระเจ้า ก็จะถูกทำให้เสียหาย มีฤทธิ์อำนาจน้อยลง

อันนี้ชัดเจนเลย ตัวอย่างเช่นรัฐบาลประกาศให้เงินช่วยเหลือผู้สูงอายุ ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป  โดยจะช่วยเหลือเงินเลี้ยงชีพ เดือนละ 600, 700, 800 ถึง 1,000 บาท เป็นการให้ เพราะความห่วงใย ความรัก ต้องการช่วยเหลือผู้สูงอายุ ที่บางคนอาจจะไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ หาเงินไม่ได้ รัฐบาลไม่ได้ให้เบี้ยเลี้ยงชีพนี้ เพราะผู้สูงอายุคนนั้นๆ ทำความดี หรือเคยทำดี หรือมีข้อกำหนดไว้ว่าต้องประพฤติตัวให้ดีๆ นะ มิฉะนั้น ไม่ให้ ใช่ไหม? รัฐบาลประกาศเพียงแค่ผู้สูงอายุรับรู้ในข่าวดีนี้ แล้วเชื่อในคำสัญญาของรัฐบาล เชื่อ แล้วไม่ใช่เชื่อเฉยๆ แต่เป็นการเชื่อที่ต้องกระทำอะไรบางอย่าง ตอบสนองตามเงื่อนไข

เงื่อนไข คืออายุ 60 ปีขึ้นไป   รู้ว่าเราได้รับสิทธิ์นั้นแล้ว เชื่อใช่ไหม?  เราต้องเดินทางไปที่เขต เสียเวลาไหม? เสียเวลา ให้ลูกพาไป หรือเราไปเอง  ไปยืนยันตัวตน และแสดงหลักฐาน  เพื่อใช้สิทธิ์นั้น และแค่ใช้สิทธิ์  ครั้งเดียวเป็นพอเลย ปุ๊บ เงินมาทุกเดือน ผมยังได้อยู่เลย ไปครั้งเดียวเอง ฉันใดฉันนั้น  ครั้งเดียวเป็นพอ เงินก็ไหลมาตามพร ที่รัฐบาลบอกไว้ว่าได้รับพร เดือนละตั้งแต่ 600 บาทเป็นต้นไป ซึ่งเราก็รู้แล้ว  ไม่ใช่ว่าเราจะพูดว่า …

“ฉันได้รับการช่วยเหลือจากรัฐบาล”

“ทำไมเธอถึงได้รับล่ะ”

“ฉันอายุ 60 ฉันยังไปช่วยเขาเก็บขยะอยู่เลย ฉันเป็นพ่อแม่ที่ดี ฉันไม่เคยตบตีลูกหลาน ไม่เคยละทิ้งลูกหลาน ในการสอนเขาเลย ฉันเป็นคนขยันขันแข็ง ยังมีงานทำ ทำอะไรได้ ฉันก็ทำ” ถูกไหม? “เพราะว่ารัฐบาลไม่ได้ให้ฉัน เพราะฉันเป็นคนดีเหล่านั้น”

ยังมีผู้สูงอายุอีกจำนวนไม่น้อย ที่ยังคงประพฤติตัวไม่เหมาะสม ขี้เหล้าเมายา นิสัยไม่ดี ทำอะไรที่ไม่ดี อายุ 60 แล้ว ได้ 600 บาทนี้ไหม? ได้หรือเปล่า? เป็นคนขี้เหล้านะ  เมายาด้วยนะ แต่มาใช้สิทธิ์ ได้หรือเปล่า? ได้ แล้วพอได้ไป เขาต้องเลิกยาไหม?  ถ้าไม่เลิกยา ก็ไม่ได้ ไม่เกี่ยวเลย ใช่หรือเปล่า? คนละเรื่องกัน  ใช้สิทธิ์ก็ได้เลย

รัฐบาลไม่เคยบอกว่าพอรับเงินค่าเลี้ยงชีพแล้ว จากนี้ต่อไป ต้องทำตัวเป็นพลเมืองที่ดีนะ ไม่อย่างนั้นจะตัดสิทธิ์ มีไหม? ตอนที่ไปเซ็นต์สัญญาเงื่อนไขรับค่าเลี้ยงชีพ ไม่เห็นมีบอกผมเลยว่า …

“คุณนครต่อไปต้องทำตัวดีๆ นะ ต่อไป ถ้าทำตัวไม่ดี เขาตัดออกไปเลยนะ”

ไม่เห็นมีบอกอะไร ก็ยังจ่ายอยู่ทุกวัน  ถูกไหม? เช่นกัน พระเจ้าประทานความรอด อภัยในความผิดบาปของมนุษย์ รับมนุษย์ทั้งปวงมาเป็นลูกของพระองค์ ไม่ใช่เป็นเพราะมนุษย์ประพฤติดี กระทำดี  หรือต้องทำดีต่อไปในอนาคต แต่เป็นความรักที่ไม่มีเงื่อนไข เรียกว่ารักดังแก้วตาดวงใจ ต้องการเข้ามาช่วย  ด้วยพระคุณ ความรักอย่างไม่มีเงื่อนไข เพียวๆ เท่านั้น  ไม่มีอย่างอื่นแอบแฝงอยู่เลย

เช่นเดียวกัน ซึ่งมนุษย์ได้ยินข่าวดีนี้ และเชื่อในคำพูด ในคำสัญญาของพระเจ้า ในพระเยซูคริสต์นี้จริงๆ ไม่ใช่เชื่อเฉยๆ  ก็ต้องยอมรับว่าตัวเองเป็นคนบาป ต้องการความช่วยเหลือ ถูกไหม? เริ่มต้นคิดว่าตัวเองเป็นคนบาป ต้องการความช่วยเหลือ นี่พระเจ้าจะมาช่วยเราแล้ว มีเงื่อนไข คือไปรับสิทธิ์สิ ผ่านทางพระเยซูคริสต์ คือเมื่อเชื่อว่า …

“พระเยซูคริสต์ เป็นพระบุตรของพระเจ้า ผู้ที่พระเจ้าพระบิดาส่งมา เกิดเป็นมนุษย์ เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ทุกคน รวมทั้งฉันด้วย ให้รอดพ้นจากความบาป ฉันขอต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ฉันเชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากความตาย  ฉันเชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นผู้นั้น ที่จะช่วยฉันได้ ฉันต้องการความช่วยเหลือ”

นี่แหละ คือเงื่อนไข และก็ตัดสินใจ เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามาสถิตในใจ ทำแค่นี้ ครั้งเดียวเป็นพอ  ก็จะได้รับทุกสิ่งทุกอย่าง ที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ในพระเยซูคริสต์ตลอดเลย พระพรนานัปการ ก็จะหลั่งไหลเข้ามา เหมือนเบี้ยเลี้ยงชีพที่รัฐบาล ที่ผมบอก เมื่อท่านใช้สิทธิ์ปุ๊บ  ก็ไหลเข้ามา ทุกเดือนก็จะมีเงินเข้าบัญชี ท่านเชื่อในพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่ทุกเดือนแล้วทีนี้ ทุกวินาที ทุกเสี้ยวลมหายใจเข้าออก พระเยซูและพระเจ้าทั้ง 3 พระภาค เข้ามาสถิตอยู่ในท่าน ทุกลมหายใจ ก็มีแต่พร  พระคัมภีร์บันทึกว่าเป็นพระพรนานับประการฝ่ายวิญญาณ ก็ปิ๊งๆๆๆ เข้ามา ท่านจะรู้หรือไม่รู้ ก็ปิ้งๆ รับพระพรตลอดเวลา ไม่ว่าจะรู้หรือไม่รู้ก็ได้รับ เหมือนกับที่หลายครั้ง ผมไม่ได้สังเกตดู สิ้นเดือนไม่ได้ดูบัญชี ปรากฏว่าเลยไป 20 วัน มาดูอีกที เงิน 600-700 นั้น ก็เข้ามาตั้งแต่เมื่อต้นเดือนแล้ว อะไรอย่างนั้นนะ ไม่ว่าจะรู้หรือไม่รู้ มันก็มา เพราะมันเป็นคำสัญญา จากรัฐบาล

คำสัญญาของรัฐบาลยังเชื่อถือได้ ยังเป็นจริงเลย  มากกว่านั้นสักเท่าใด พันธสัญญาในพระเยซูคริสต์ มาจากพระเจ้า ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ผู้ทรงฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่สูงสุด ผู้ทรงครอบครองและควบคุมอยู่เหนือสรรพสิ่ง ผู้ทรงกระทำอะไรก็ได้  ไม่มีใครขวางพระองค์เลย ผู้ทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้แต่พระองค์เดียว นอกจากพระองค์ ไม่มีพระเจ้าอื่นใด ผู้ทรงรักมนุษย์ทั้งหลาย ดังแก้วตาดวงใจ พระองค์จะรักษาพันธสัญญาที่ให้ไว้ เป็นจริงมากกว่านั้นขนาดไหน?

ทั้งหมดนี้ คือความหมายของคำว่า “ความเชื่อต้องมีการกระทำด้วย จึงจะเกิดผล” ซึ่งเราเรียนรู้ตอนนี้แล้ว ต้องบอกว่า “ความเชื่อต้องมีการกระทำตามเงื่อนไขด้วย จึงจะเกิดผล” ถูกไหม?  นี่แหละ คือความหมายของความเชื่อ ต้องมีการกระทำ (ตามเงื่อนไขด้วย) จึงจะเกิดผล และหลังจากที่เชื่อแล้ว ได้รับการบังเกิดใหม่แล้ว พระเจ้าจะค่อยๆ สอนเราผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่สถิตอยู่กับเราให้เชื่อฟังและประพฤติดี สมกับการที่ได้เป็นลูกของพระเจ้า เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว  ด้วยพระคุณความรักของพระองค์ โดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ มาบังคับเลย คือสอนเราด้วยความรัก ที่ไม่มีเงื่อนไขแล้วตอนนี้ ไม่มีเงื่อนไข รักลูกเดียวเลย จะทำบาปหรือไม่เชื่อฟังอะไร ก็ไม่มีผลอะไรทั้งสิ้น เพราะรักแล้ว เป็นลูกเราแล้ว  อภัยให้เรียบร้อยแล้ว ไม่มีเงื่อนไข แปลว่าจะทำก็ได้ ไม่ทำก็ได้ เพราะไม่มีบังคับ จะทำบาป จากนั้น เกิดอะไรขึ้น  พระเจ้าก็อภัย จะไม่เชื่อฟัง พระเจ้าก็อภัย เพราะเป็นลูกของเราแล้ว แต่เราก็จะเจ็บตัว หว่านสิ่งที่ไม่ดี ก็เก็บเกี่ยวสิ่งที่ไม่ดีในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้แต่ทางฝ่ายวิญญาณ ที่เราเป็นลูกพระเจ้า ได้รับความรอดทางฝ่ายวิญญาณแล้ว อยู่กับที่ เป็นที่เดิม คือเป็นลูกของพระเจ้า เป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้าเหมือนเดิม

ซึ่งประเด็นหลัก ที่หลายๆ คนเข้าใจผิดตรงนี้ ในบริบทนี้ เรื่องความเชื่อ และการกระทำ ก็คือเข้าใจกันว่าคือจะมีผู้เชื่อมาถามหลายครั้งตรงนี้ จะสับสนอยู่แค่หัวข้อ 2 อันนี้  ก็คือผู้เชื่อบางคนยังสับสน ไม่เข้าใจ คำว่า “การเชื่อ” กับ “การเชื่อฟัง” การเชื่อในพันธสัญญากับการเชื่อฟังคำสอน มันคนละอันกัน ซึ่งอยากจะเก็บไว้ เพราะต้องเจาะให้ละเอียด จะได้รู้ทะลุไปเลย  เพราะมันเป็นพื้นฐานของข่าวประเสริฐ อยากจะค่อยๆ อธิบายให้ฟังว่าเชื่อในพันธสัญญา และทำตามเงื่อนไขในพันธสัญญา ครั้งเดียวเป็นพอ กับเชื่อฟังพระเจ้าสอน มันคนละเรื่องกัน  พระเจ้าสอนผ่านอะไร? ผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ เริ่มจากความเชื่อ  เชื่อในพันธสัญญา ทำตามเงื่อนไข เราก็ได้กลายเป็นลูกของพระเจ้าใช่ไหม?  พอเป็นลูกของพระเจ้า คราวนี้พระเจ้ามาสถิตอยู่กับเราแล้ว เราบังเกิดใหม่เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว มีธรรมชาติใหม่ เป็นเหมือนพระเจ้าแล้ว  นึกภาพออกนะ พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่กับเรา โดยให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ คอยเป็นพี่เลี้ยง สอนเราด้วยความรัก ที่ไม่มีเงื่อนไขแล้วตอนนี้ อย่างที่ตะกี้นี้ผมบอก ไม่มีเงื่อนไข คือทำผิด ก็อภัยให้เรียบร้อยแล้ว ไม่เป็นไร เพราะรู้ว่าเราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ตรงนี้แหละ เขาเรียกว่าเชื่อฟัง ผมจะอ่านข้อพระคัมภีร์นี้ให้นิดหนึ่งก่อน แล้ววันหลังค่อยมาเจาะเรื่องนี้อย่างละเอียด เรื่องเกี่ยวกับความเชื่อ แตกต่างกับการเชื่อฟังอย่างไร? มาจบตรงนี้ก่อนดีกว่า เพราะไม่อย่างนั้น เดี๋ยวคนจะเข้าใจผิดว่า …

“อย่างนี้มาเชื่อพระเจ้า ความประพฤติไม่สำคัญเลยหรืออย่างไร?”

คนก็จะชอบคิดตามภาษามนุษย์ อธิบายลำบากยากเหลือเกิน ที่มนุษย์จะคิดตามภาษามนุษย์ว่าถ้าเราทำตามเงื่อนไขแล้ว เป็นลูกพระเจ้าแล้ว ความประพฤติต่อไปนี้ไม่สำคัญหรืออย่างไร?  ในเมื่อไม่เกี่ยวกับความรอดนิรันดร์ในการเป็นลูกพระเจ้า ในการเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว ถ้าเป็นอย่างนั้น ถ้าเป็นจริง คนมาเชื่อพระเจ้าจะทำบาป ก็สบายสิ ก็ทำกันใหญ่เลย  สอนอย่างนี้ คนก็ไปทำความเลว ความชั่ว ส่งเสริมให้คนทำชั่วหรือ? มันไม่ใช่อย่างนั้น

มันแปลว่าเมื่อเกิดเป็นลูกพระเจ้าแล้ว ธรรมชาติของการเกิดใหม่นั้น เป็นธรรมชาติของความดีงามแล้ว ไม่อยากทำชั่วแล้ว ที่ทำชั่ว เพราะถูกล่อลวง ถูกหลอกลวง ด้วยโปรแกรมเก่าๆ อิทธิพลของความบาป ที่กระทำการงานอยู่บนโลกใบนี้ เล่าไปหลายครั้งแล้ว สอนไปหลายทีแล้วนะ

วันนี้จะสรุปจบ ข้อความนี้ในหนังสือทิตัส 2:12 บอกอย่างนี้ …

ทิตัส 2:12 “พระคุณนี้ สอนเราที่จะฝึกฝนปฏิเสธการทำบาป และไม่ทำตามโลกียตัณหา และดำเนินชีวิตในโลกปัจจุบันนี้ อย่างมีสติสัมปชัญญะ ตามทางพระเจ้า สมกับเป็นผู้ชอบธรรม (บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า)”

 

พระคุณนี้ คือพันธสัญญาใหม่ของพระเยซูคริสต์ ที่เราทำตามเงื่อนไข คือเราไม่ต้องทำอะไรเลย เปิดใจต้อนรับสิทธิเท่านั้น เชื่อและต้อนรับพระเยซูคริสต์ เราก็เป็นลูกของพระเจ้า เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว เรียกว่าพระคุณ พระคุณนี้ การกระทำของพระเจ้าแบบนี้ ทำให้เราเป็นลูกของพระองค์ โดยที่เราไม่ต้องทำอะไรอย่างนี้  โดยไม่เกี่ยวข้องอะไรกับความประพฤติของเราในอดีต ปัจจุบัน และในอนาคตเลยเหล่านี้ ที่เรียกว่าพระคุณ สิ่งเหล่านี้ สอนเรา ก็คือพระเจ้าก็จะสอนเรา  ถ้าแปลตรงๆ ก็คือสอนเราด้วยความรัก อย่างมากมาย เหมือนเป็นลูกของพระองค์เลย อย่างไม่มีเงื่อนไข รักเราอย่างไม่มีเงื่อนไข พระเจ้ารักลูกของพระองค์อย่างไม่มีเงื่อนไข สอนเราด้วยความรักอย่างไม่มีเงื่อนไข ก็คือไม่มีการบีบบังคับ ฝึกสอนเรา ให้ทำตามธรรมชาติที่เป็นลูกของพระเจ้า ที่เกิดใหม่แล้ว  คือไม่ทำบาป  ไม่ชอบบาป  ปฏิเสธความบาป   สอนเราที่จะดำเนินชีวิตสมกับที่เป็นลูกพระเจ้า  คือไม่ทำบาป  ไม่ชอบบาป เหมือนกับพ่อที่เป็นมนุษย์ สอนลูกให้เดิน ลูกไม่ใช่มาคลานตลอดไปนะลูก ลูกไม่ใช่มานอนแบเบาะตลอดไป ลูกต้องโตขึ้น ต้องคลาน เสร็จจากคลาน ต้องสอนให้ตั้งไข่ก่อน ตั้งไข่แล้วสอนให้เดิน เดินแล้วต้องสอนให้วิ่ง อะไรต่างๆ เหล่านั้น

เหมือนกัน ไม่มีเงื่อนไข สอนเราให้ปฏิเสธการกระทำบาป ในนี้บอก … “และไม่ทำตามโลกียตัณหา” แปลว่าไม่ทำตามอิทธิพลของความบาป ที่อยู่บนโลกใบนี้  ซึ่งไม่ใช่ตัวของเราแล้ว ไม่ใช่ตัวของลูกแล้วนะ แต่มันมีอิทธิพลอยู่ สอนให้ลูกปฏิเสธ ไม่ต้องไปทำตามมัน “มัน” ไม่ได้หมายถึงตัวเรานะ  มันคือบุคคลอื่นแล้ว  ไม่ใช่คน มันคืออันอื่น อะไรอื่นๆ ที่ไม่ใช่ตัวเรา ก็คืออิทธิพลของความบาป  ที่มารจะส่งเข้ามากระตุ้น หลอกล่อให้เราทำ พระเจ้าก็จะสอนเรา อย่างไม่มีเงื่อนไข ก็คือลูกจะทำตาม ลูกก็ดี ก็มีความสุข ถ้าไม่ทำตาม ลูกก็มีความทุกข์ ลูกค่อยๆ เรียนรู้ไปนะ เดี๋ยวพ่อค่อยๆ สอน แต่จะทำผิดหรือทำถูก ไม่ได้มีส่วนในการ ที่จะมาเป็นลูกหรือไม่เป็นลูกเลย สอนเพื่อให้ดำเนินชีวิตในโลกปัจจุบัน คือในโลกวัตถุที่กำลังเดินอยู่นี้

พอเชื่อพระเจ้าปุ๊บ วันรุ่งขึ้น ก็ดำเนินชีวิตอยู่ที่เดิมนั่นแหละ อยู่บนโลกใบนี้ พระเจ้าก็จะสอนเรา นำพาเรา จากการทรงสถิตของพระองค์ที่อยู่ภายใน ให้เราดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้อย่างมีสติสัมปชัญญะ ก็คือเรียนรู้จักการเป็นลูกของพระเจ้าในวิญญาณแล้ว บังเกิดใหม่แล้ว มีสติสัมปชัญญะตามทางของพระเจ้า ก็คือตามทางของความดีงาม ที่ได้เกิดมาเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ให้สมกับเป็นผู้ชอบธรรม ก็คือบริสุทธิ์สมกับเป็นลูกของพระเจ้า เหมือนพระเจ้า เหมือนเราเลี้ยงลูกของเรา เราก็จะบอกลูกของเรา ทำตัว ประพฤติให้มันดีหน่อยนะ ถึงไม่ดี ก็เป็นลูกอยู่แล้ว ประพฤติตัวให้มันดีหน่อย ให้สมกับเป็นมนุษย์หน่อย ทำตัวให้เหมือนมนุษย์มนาหน่อย ไม่ใช่ลูกเราเป็นลิงนะ ซนอย่างกะลิง “อย่างกะ” ไม่ใช่ซนเหมือนลิง ซนยังกะลิง แต่เขาเป็นลิงไหม? ไม่ใช่ลิง แต่เราเปรียบเทียบเขาซนอย่างกะลิง แต่จริงๆ แล้วเรากำลังบอกเขาว่าประพฤติตัวให้มันสงบเสงี่ยม ให้สมกับเป็นลูกของเรา คือสมกับเป็นมนุษย์หน่อย  แต่งตัวให้เป็นมนุษย์มนาหน่อย แต่งตัวกระเซิงอย่างกับอะไรก็แล้วแต่ อย่างนี้เป็นต้น

เพราะฉะนั้น ครั้งหน้า เราค่อยมาเรียนรู้กันว่าความเชื่อ ในพันธสัญญากับความเชื่อฟังพระเจ้า ที่พระเจ้าสอนเรา โดยผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์นั้น ให้เราประพฤติสมกับเป็นลูกของพระเจ้า สมกับที่เราได้เป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า ที่บริสุทธิ์ สะอาดแล้วนั้น แตกต่างกันอย่างไร? พระเจ้าอวยพรครับ

 

******************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

บนโต๊ะอาหารแม่คุยกับลูกสาวคนเล็กวัย 7 ขวบ หลังจากคุยกันเรื่องอาหารอร่อยไหม …

แล้วแม่ก็ถามว่า … “ลูกชอบผลไม้อะไร?”

ลูกคนเล็กตอบ … “หนูชอบชมพู่ค่ะ”

แม่ถามต่อ … ““แล้วพี่เต๋ ล่ะ พี่เต๋ชอบอะไร?”

พี่เต๋ตอบ … “ลูกชอบกล้วยครับ”

แม่ถามต่อ … “แม่ล่ะ … ชอบอะไร?”

ลูกๆ ตอบ … “ชอบแตงโม”

แม่ถามต่อ … “แล้วคุณพ่อล่ะ ชอบอะไร?”

ลูกทั้งสองคนตอบพร้อมกันด้วยเสียงอันดังว่า … “คุณพ่อชอบทุกสิ่งทุกอย่างที่บ้านเราไม่มี!”

 

พระเยซูสอนเราว่าควรจะดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้อย่างไร จึงจะหายเหนื่อยและเป็นสุข …

ฮีบรู 13:5 “จงดูแลควบคุม ลักษณะนิสัยของท่าน ให้หลุดพ้นจาก การรักเงินทอง รวมทั้งความโลภ กิเลส ตัณหา และการรักสิ่งของบนโลก และจงพอใจในทุกสิ่ง ทุกสถานการณ์ ที่มีอยู่ และเป็นอยู่ ในขณะนี้ (ทั้งในโลกวิญญาณและโลกวัตถุนี้) (เชื่อและวางใจในพระเจ้า) เพราะพระเจ้าได้ตรัสว่า “เราจะไม่มีวันทอดทิ้งเจ้า (เหมือนเป็นลูกกำพร้า) เราจะไม่มีวันละทิ้งเจ้า (ให้อยู่ลำพัง) เราจะไม่ทำให้เจ้าต้องผิดหวัง อย่างแน่นอน”

 

เอเฟซัส 1:3 “สรรเสริญ​พระ​เจ้า​ผู้​เป็น​พระ​บิดา​ของ​พระ​เยซู​คริสต์ องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​ของ​เรา ผู้ได้ให้​พระ​พร​ฝ่าย​วิญญาณ​นานัปการใน​อาณาจักรฝ่ายวิญญาณ (สวรรค์) ทั้งหลายแก่​เราแล้วในพระคริสต์”

เอเฟซัส 2:4-6 “4 แต่เนื่องด้วยความรักใหญ่หลวงที่ทรงมีต่อเรา พระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยพระเมตตาอันอุดม 5 จึงได้ทรงกระทำให้วิญญาณของเรากลับมีชีวิต (บังเกิดใหม่) อยู่กับพระคริสต์ แม้ในขณะที่ วิญญาณเราได้ตายแล้วในบาป คือท่านทั้งหลายได้รับความรอด(จากการลงโทษจากคำสาปแช่ง)โดยพระคุณ 6 และพระองค์ได้ทรงให้ วิญญาณของเราเป็นขึ้นมา (บังเกิดใหม่) กับพระคริสต์ และในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ทรงให้เรานั่งในสวรรคสถานกับพระคริสต์แล้ว”

 

ฟังแล้วพอหรือยังครับที่จะหายเหนื่อยและเป็นสุข

 

พระเจ้าอวยพรครับ

 

 

 

 

วารสาร Holy News ฉบับที่ 1336

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  31  ตุลาคม  2021

 เรื่อง “หนังสือเอเฟซัส” ตอน 4

โดย วราพร  คงล้วน

 

วันนี้เรามาต่อในหนังสือเอเฟซัส ยังอยู่บทที่ 1 ข้อที่ 15

เอเฟซัส 1:15 “ด้วยเหตุนี้  ตั้งแต่ข้าพเจ้าได้ยินถึงความเชื่อของท่าน  ในพระเยซูเจ้า และความรักของท่านที่มีต่อประชากรทุกคนของพระเจ้า”

 

คราวที่แล้ว เราเรียนรู้ถึงสิ่งที่เราได้รับเชื่อ วางใจในพระเจ้า  พระวิญญาณบริสุทธิ์ประทับตรา เป็นมัดจำว่าเราเป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์  ฉะนั้น เมื่อเราเป็นผู้เชื่อแล้ว

ข้อที่ 15 อาจารย์เปาโลบอกว่า “ด้วยเหตุนี้ ตั้งแต่ข้าพเจ้าได้ยินถึงความเชื่อของท่าน”

ก็คือความเชื่อของชาวเอเฟซัส ถูกเลื่องลือไป กว้างมาก ไปจนถึงหูของอาจารย์เปาโล โดยปกติ พอพูดถึงความเชื่อ  เรามักจะคิดถึงอะไร?

พอพูดถึงความเชื่อ เรามักจะคิดว่าเชื่อในเรื่องของฤทธานุภาพของพระเจ้า เชื่อในเรื่องของการวางมืออธิษฐานให้คนป่วยได้รับการหายโรค เชื่อเรื่องเจริญรุ่งเรือง มั่งคั่งทางฝ่ายวัตถุที่พระเจ้าจะประทานให้กับเรา  เชื่อว่าเราสามารถที่จะสั่งเลื่อนภูเขาให้ลงทะเลได้  ปกติเราเชื่อกันแบบนี้  แต่ความเชื่อจริงๆ ในถ้อยคำของพระเจ้า  ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพวกนี้เลย  เรื่องทั้งหมดที่ได้พูดมาเมื่อตะกี้ มันไม่เกี่ยวอะไรกับความเชื่อในโลกวิญญาณ มันเป็นเรื่องโลกวัตถุ หรือแม้แต่เมื่อเราเป็นผู้เชื่อ  เราไปวางมือรักษาโรค มันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเรา เพราะว่าฤทธิ์เดชอำนาจ ไม่ได้อยู่ที่เรา แต่อยู่ที่พระเจ้า

ถามว่าเรื่องของการรักษาโรค ยังมีอยู่ไหม? มีอยู่ พระเยซูสามารถรักษาโรคได้  พระเยซูสามารถทำงานผ่านทางชีวิตของเราได้ แต่ว่าไม่ได้ขึ้นอยู่กับเราว่าอยากจะทำ แล้วพระเจ้าต้องทำตามเรา  แต่ขึ้นอยู่กับจังหวะเวลา หรือชั่วโมงนั้นๆ ที่พระเจ้าอยากจะใช้เราทำอะไรบางอย่าง  เกี่ยวกับเรื่องของโลกวัตถุนี้ เพื่อให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์

สิ่งต่างๆ ที่พูดมาทั้งหมด มันไม่ได้อยู่ในพระสัญญาของพระเจ้า ที่พระเยซูคริสต์ได้ทำสำเร็จแล้ว บนไม้กางเขน  ฉะนั้น พระสัญญาของพระเจ้าที่พระเยซูคริสต์ทำสำเร็จแล้ว บนไม้กางเขน เป็นเรื่องของโลกวิญญาณ ซึ่งเราไม่สามารถสัมผัสจับต้องได้ แต่เรารับเอาด้วยความเชื่อ ตามถ้อยคำที่พระเจ้าบอก  พอเราเชื่อปุ๊บ สิ่งที่สำแดงออกของความเชื่อนี้ ในพระคัมภีร์ข้อนี้ สิ่งที่สำแดงออก คือความรักของผู้เชื่อ ที่มีต่อประชากรของพระองค์ทุกคน

ความรักตรงนี้ เกิดขึ้นทันทีเมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เพราะพระเจ้าทรงเป็นความรัก  ทันทีที่เราเชื่อ  วิญญาณของเราได้ถูกผ่าตัดใหม่ เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์  พระเยซูคริสต์เป็นความรัก เราก็เป็นความรักด้วย  ดังนั้น ความเชื่อที่สำแดงออก เมื่อเราเชื่อวางใจในพระเจ้าปุ๊บ มันจะเกิดการสำแดงความเชื่อตรงนี้ คือธรรมชาติใหม่ของผู้เชื่อ คือความรัก  ที่จะถูกสำแดงออกมา

ฉะนั้น ความเชื่อที่เพิ่มพูนมากขึ้น  คือความเชื่อในเรื่องราวความรู้ของพระเจ้า เกี่ยวกับโลกวิญญาณว่าเมื่อเราเข้ามาอยู่ในพระเจ้าแล้ว เราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ และเราได้รับอะไรจากพระเจ้าบ้าง ความรู้ตรงนี้ ทำให้เราสำแดง ธรรมชาติใหม่ออกมา  โดยอัตโนมัติ เพราะว่าเราเป็นความรัก ความรักของพระเจ้าอยู่ในเราเลย รอเวลา เมื่อเราเจริญเติบโตมากขึ้น ความรักนี้จะถูกสำแดงออกไปมากขึ้น

ตรงนี้แหละ คือสิ่งที่เราจำเป็นจะต้องรับรู้ ไม่อย่างนั้น คริสเตียนก็จะโดนหลอก หลอกว่าถ้าเรามีความเชื่อเยอะ เราก็ต้องทำหมายสำคัญการอัศจรรย์  เพื่อสำแดงว่าเรามีความเชื่อในพระเยซูคริสต์ ซึ่งหมายสำคัญและการอัศจรรย์ ไม่เกี่ยวอะไรกับเราเลย  เป็นเรื่องของพระเจ้า พระเจ้าจะใช้เราเมื่อไรก็ได้ เวลาไหนก็ได้  ใช้ใครก็ได้  แม้แต่คนเล็กน้อยคนหนึ่ง ผู้เชื่อคนหนึ่ง  ที่เพิ่งรับเชื่อ แล้วพระเจ้าอยากจะใช้เขา  ให้เดินไปวางมือให้กับคนเจ็บคนป่วย แล้วคนเหล่านั้นหายโรค พระเจ้าก็ใช้เขาได้ มันไม่ได้ขึ้นอยู่ที่เราจะพยายามทำความเชื่อตรงนี้ให้เกิดขึ้น  ดังนั้น ความเชื่อที่แท้จริง คือเชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำเพื่อเราเรียบร้อยไปแล้ว บนไม้กางเขน  และโดยความเชื่อนี้ ทำให้บุคลิกลักษณะของเรา  ที่เป็นธรรมชาติใหม่  ที่เป็นเหมือนพระเจ้า ถูกสำแดงออกไป เมื่อความเชื่อนั้น เจริญเติบโตขึ้น

เอเฟซัส 1:16 “ข้าพเจ้าจึงขอบพระคุณพระเจ้าอย่างไม่หยุดยั้ง   เพราะท่าน  และเฝ้าอธิษฐานเผื่อท่าน”

 

เมื่อได้ยินถึงความเชื่อที่เจริญขึ้น โดยการสำแดงออกเป็นความรักปุ๊บ อาจารย์เปาโลก็เลยบอกว่าพอได้ยินอย่างนี้ มีความสุข เลยไม่หยุดที่จะอธิษฐานให้กับผู้เชื่อเหล่านี้ เรามาดูว่าอาจารย์เปาโลอธิษฐานเรื่องอะไร?

ปกติถ้าเราอธิษฐานให้คนอื่น เราก็มักจะอธิษฐานว่าอะไร? อธิษฐานขอพระเจ้าอวยพรให้เขามีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง ขอพระเจ้าอวยพรให้เขามีความเจริญรุ่งเรืองมั่งคั่งในเรื่องของการเงิน การงาน อวยพรให้เขามีครอบครัวที่ดี นี่เป็นพื้นฐาน ไม่ได้หมายความว่าเราอธิษฐานไม่ได้ เราอธิษฐานได้ แล้วก็แล้วแต่ว่าพระเจ้าจะทรงเมตตา ตอบคำอธิษฐานของเราอย่างไร? ขึ้นตามน้ำพระทัยของพระองค์ แต่หลักของการอธิษฐานให้ผู้เชื่อจริงๆ  ต้องตามนี้เลย  ก็คืออธิษฐานเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ  ไม่เกี่ยวกับโลกวัตถุเลย  โลกวัตถุไม่ได้อยู่ในพันธสัญญา แต่ว่าพระเจ้ายังคงทำการงานของพระองค์อยู่ พระองค์พอพระทัยที่จะอวยพรใคร พระองค์ก็จะอวยพรผู้นั้น  นี่คือหลักการที่ชัดเจน ที่พวกเราจำเป็นจะต้องรับรู้ มาดูว่าอาจารย์เปาโลอธิษฐานอย่างไร? …

เอเฟซัส 1:17 “ข้าพเจ้าเพียรทูลขอให้พระเจ้าขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา   คือพระบิดาผู้ทรงพระเกียรติสิริ ทรงให้ท่านมีวิญญาณแห่งสติปัญญา  และการสำแดง  เพื่อท่านจะรู้จักพระองค์ดียิ่งขึ้น

 

อธิษฐาน  ขอให้พระเจ้าได้สำแดงความรู้เรื่องของพระเจ้า  เพื่อว่าเราจะได้รู้เรื่องราวของพระเจ้าดียิ่งขึ้น รู้ถึงสิ่งที่พระเจ้าได้ประทานให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว บนไม้กางเขน ทำสำเร็จแล้ว  เรื่องเหล่านี้ คือเราจำเป็นจะต้องรู้ รับรู้ว่าเราได้รับอะไรแล้ว  ผ่านทางความรอด  ที่พระเจ้าได้ประทานให้กับพวกเรา  เมื่อเราเรียนรู้มากขึ้น เราก็จะสามารถเข้าใจถึงหลักการของพระเจ้ามากขึ้น เข้าใจถึงน้ำพระทัยของพระเจ้ามากขึ้น  รับรู้ถึงความจริงในโลกวิญญาณมากขึ้น ฉะนั้น การมีวิญญาณแห่งสติปัญญา และการสำแดง เป็นส่วนหนึ่งของพระวิญญาณ ที่พระเจ้าประทานให้กับพวกเรา ก็คือพระเจ้าให้กับเรา แล้วเราก็ขอพระเจ้า ให้เพิ่มพูนมากขึ้นๆ  เพื่อเราจะได้สามารถเข้าใจถ้อยคำ หรือน้ำพระทัยที่พระองค์ทรงมีไว้ สำหรับผู้เชื่อทุกๆ คนมากขึ้น

เอเฟซัส 1:18 “ข้าพเจ้ายังอธิษฐานขอพระเจ้าให้ตาของวิญญาณ (ซึ่งเป็นตัวจริงๆ ของท่าน) สว่าง เพื่อจะได้รับการสำแดงความรู้ จากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เพื่อท่านจะได้รับรู้ถึงความหวัง และมีความมั่นใจในเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ของพระเจ้า ที่พระองค์ได้เรียกท่านเข้ามานั้น และรับรู้เรื่อง มรดกที่เต็มไปด้วยสง่าราศีอันยิ่งใหญ่รุ่งเรือง  และมีค่าที่สุดของพระองค์ ที่ได้ทรงจัดเตรียมไว้ให้กับท่าน  ผู้ซึ่งได้เป็นประชากรที่บริสุทธิ์ชอบธรรมของพระเจ้าแล้ว (โดยผ่านทางการเชื่อ  และรับสิทธิ์ของท่านที่พระเยซูได้ไถ่บาปให้)”

 

“ข้าพเจ้ายังอธิษฐานขอพระเจ้าให้ตาวิญญาณ ซึ่งเป็นตัวจริงๆ ของท่าน” ตาฝ่ายวิญญาณที่เป็นตัวตนจริงๆ ของเรา ร่างกายนี้ ไม่ได้เป็นตัวตนจริงๆ ของเรา ร่างกายนี้ยังเป็นร่างกายที่อยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตาย ฉะนั้น วันหนึ่งข้างหน้า เราก็จะต้องทิ้งร่างกายนี้ แต่ตัวตนจริงๆ ของมนุษย์ ก็คือวิญญาณข้างใน เราเคยได้ยินบ่อยๆ ที่พระเยซูคริสต์จะบอกว่า …

“จงมองให้เห็นเถิด”

คนนี้ตาบอด ก็คือมีตา แต่มองไม่เห็น  มีหู แต่ไม่ได้ยิน  ที่พระเยซูพูด ก็คือตาฝ่ายเนื้อหนังเขามีอยู่นะ แต่ตาฝ่ายวิญญาณ เขาไม่เปิด เขาเลย มองไม่เห็น

หูที่เรามองเห็นอยู่  ก็คือหูฝ่ายเนื้อหนัง  ที่อยู่บนโลกใบนี้ แต่หูฝ่ายวิญญาณของมนุษย์ ไม่ได้ยินเสียงของพระเจ้า เพราะฉะนั้น ขอพระเจ้าทรงเมตตาเปิดหูตาฝ่ายวิญญาณของพวกเรา ผู้เชื่อแล้ว ให้สามารถได้เห็นถึงสิ่งที่พระเจ้าจัดเตรียม สำหรับผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ และให้เราได้ยินสิ่งที่พระเจ้าต้องการตรัสกับเราในพระเยซูคริสต์ อาจารย์เปาโลจึงอธิษฐานขอให้พระเจ้าทรงสำแดง ให้เราสามารถรับรู้และได้ยินถึงเรื่องจริงๆ ของพระเจ้า ดังนั้น ตาของเรา ซึ่งเป็นตาจริงๆ  คือฝ่ายวิญญาณ  ให้เปิดออก และสว่าง

คำว่า “สว่าง” คือพออะไรสว่าง เราจะเห็นได้ชัด พี่น้องนึกภาพออกไหมค่ะ ถ้าเราเข้าไปในห้องมืด แล้วเราก็ไม่ยอมเปิดไฟ เราก็ต้องคลำเอา  บางทีมีเก้าอี้ มีโต๊ะขวางอยู่ เราก็จะไปเตะเก้าอี้ เตะโต๊ะ บางทีชนปุ๊บ เขียวเลย  ก็คือเรามองไม่เห็น เราก็เดินสะเปะสะปะ แต่ถ้าเราอยู่ในความสว่าง เราก็จะมองเห็น  เปิดไฟในห้องปุ๊บ เราจะเห็นตำแหน่งนี้ เก้าอี้วางอยู่ ตำแหน่งนี้โต๊ะวางอยู่  ตำแหน่งนี้มีต้นไม้วางอยู่ อย่าเดินไปเตะ แล้วเราจะเจ็บตัวเปล่าๆ มันเป็นภาพเดียวกัน  เมื่อตาใจฝ่ายวิญญาณเราสว่างขึ้น เราก็จะเห็นสิ่งที่พระเจ้าสำแดงให้กับเราได้รับรู้

“เพื่อจะได้รับการสำแดงความรู้ จากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เพื่อท่านจะได้รับรู้ถึงความหวัง” … ความหวังของคริสเตียนอยู่ตรงไหน?  ความหวังของคริสเตียน ไม่ได้อยู่ตรงที่หวังว่าพระเจ้าจะทรงอำนวยพระพรธุรกิจของเรา หวังว่าพระเจ้าจะอวยพรให้เรามีสุขภาพแข็งแรงจนวันตาย  ไม่ได้หวังว่าพระเจ้าจะทรงดูแลครอบครัวของเราให้อยู่ดี มีสุข ความหวังนี้ คือทุกคนหวังได้นะ แต่ว่าเป็นความหวัง ที่ไม่ได้อยู่ในวิญญาณ ซึ่งความหวังเหล่านี้ พระเจ้าสามารถให้เราได้แหละ แล้วแต่น้ำพระทัย แต่ว่ามันไม่ได้เป็นประเด็นหลักในเรื่องของวิญญาณที่อาจารย์เปาโลพูดถึง

ความหวังของคริสเตียน คือเป็นความหวังที่เราสามารถสัมผัสจับต้องได้ ด้วยความเชื่อ  เมื่อเราเชื่อวางใจในพระเจ้าปุ๊บ พระเจ้าบอกว่าพระพรนานัปการฝ่ายวิญญาณ  เราได้รับเรียบร้อยไปแล้ว  เราได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าแล้ว พระเจ้าทรงสถิตอยู่ในเราเรียบร้อยไปแล้ว สิ่งต่างๆ เหล่านี้เราได้รับแล้ว เราได้ไปนั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ร่วมกับพระเยซูคริสต์บนสวรรคสถาน เราก็ได้รับแล้ว  เมื่อได้รับแล้ว แล้วเราหวังอะไรอีก

หวังอีกเรื่องเดียวเลย คือเรื่องร่างกายใหม่ที่พระเจ้าสัญญากับเรา ตอนนี้เรายังไม่ได้รับนะ ผู้เชื่อยังอยู่ในร่างกายเก่า ซึ่งอยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตาย ฉะนั้น เรามีความหวังใจ เรารับรู้ เป็นความหวังที่มันเป็นจริง  คือรู้เลยว่าพระเจ้าเตรียมให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว ผู้เชื่อทุกคน ร่างกายใหม่ที่เต็มไปด้วยสง่าราศี  ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลย เมื่อวิญญาณเราออกจากร่างปุ๊บ เราก็จะไปสวมร่างกายใหม่นี้ทันทีเลย นี่คือความหวังใจที่ผู้เชื่อทุกคน เฝ้ารอคอย

“และมีความมั่นใจในเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ของพระเจ้า” มีความมั่นใจตรงไหน? ตรงที่ตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้  เมื่อเราบังเกิดใหม่  เราก็ได้ไปอยู่ที่สวรรค์เรียบร้อยไปแล้ว  พระคัมภีร์บอกเราอย่างนั้น  เมื่อเราบังเกิดใหม่ พระเจ้าได้ผ่าตัดวิญญาณเราใหม่ วิญญาณเข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ปุ๊บ พระเยซูอยู่ที่ไหน? เราอยู่ที่นั่นด้วย พระเยซูนั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า เราก็อยู่ที่นั่นด้วย  แปลว่า ณ เวลานี้ ร่างกายเราอยู่บนโลกใบนี้  แต่วิญญาณของเรา ได้อยู่ที่สวรรคสถานร่วมกับพระเยซูคริสต์ ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว ก็คือผู้เชื่อได้ไปอยู่ที่สวรรค์ เรียบร้อยแล้ว เมื่อเราอยู่ที่สวรรค์แล้ว เราก็ไม่ต้องมานั่งกังวลว่าตกลง เกิดเราตายไป เราจะได้ไปสวรรค์ไหม?  เราได้อยู่ในบ้านของพระเจ้า เรียบร้อยไปแล้ว

“ที่พระองค์ได้ทรงเรียกท่านเข้ามานั้น และรับรู้เรื่องมรดกที่เต็มไปด้วยสง่าราศีอันยิ่งใหญ่รุ่งเรือง” มรดกเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ผู้คนบนโลกใบนี้ มักจะเข้าใจผิด พอพูดถึงมรดก หลับตานึกภาพถึงวัตถุสิ่งของ อะไรเยอะแยะมากมาย แต่ว่ามรดกที่พระเจ้าพูดถึงในโลกวิญญาณ คือความรอดในพระเยซูคริสต์ การรอดพ้นจากบาป ที่เราไม่ต้องถูกพิพากษาลงโทษอีกต่อไป เราได้เป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า  เป็นลูกของพระเจ้า ร่วมกับพระเยซูคริสต์ เป็นผู้บริสุทธิ์ สะอาดหมดจดจำเพาะพระพักตร์ของพระเจ้า  นี่เป็นมรดกที่พระเจ้าได้ให้กับพวกเราทั้งหมด เราเป็นทายาทของพระเยซูคริสต์ มรดกเหล่านี้  มันเป็นมรดกที่ยิ่งใหญ่ ที่เราได้รับเรียบร้อยไปแล้ว  ฉะนั้น  เราจำเป็นต้องเข้ามารับรู้ว่ามรดกของเรา คืออะไร? มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรื่องของโลกวัตถุอีกเหมือนเดิม

ถ้าผู้เชื่อหรือคริสเตียน  พยายามไปจ้องที่โลกวัตถุ เราก็จะไม่สามารถมองเห็นความสำคัญ หรือความยิ่งใหญ่ หรือสิ่งที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับเรา ในโลกวิญญาณจริงๆ  เพราะว่าเรามัวแต่ไปจับจ้อง มองที่สิ่งที่ตาเรามองเห็น  แต่เรื่องของพระเจ้า ต้องใช้ความเชื่อ หลับตาเอา สิ่งที่มองเห็น มันไม่จริง  สิ่งที่มองไม่เห็น ที่พระเจ้าบอกว่าพระองค์ทรงให้กับพวกเราแล้ว คือเรื่องจริงๆ

“และมีค่าที่สุดของพระองค์ ที่ได้ทรงจัดเตรียมไว้ให้กับท่าน” คือเตรียมไว้เรียบร้อยไปแล้ว อย่างที่บอกพระเจ้าบอกว่าวันที่พระเยซูคริสต์ได้มาเกิดบนโลกใบนี้ ได้มาสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ได้ถูกฝังในอุโมงค์ ได้เป็นขึ้นมาจากความตาย ในวันที่สาม  พอพระเยซูคริสต์ได้เป็นขึ้นมาจากความตายปุ๊บ มรดกได้สำเร็จแล้ว สำหรับมนุษยชาติทั้งหมด บนโลกใบนี้ มรดกนี้มีแล้วนะ เป็นของขวัญที่พระเจ้าได้เตรียมไว้ให้กับทุกคนบนโลกใบนี้  แค่ว่าใครก็ตามที่เชื่อว่าของขวัญชิ้นนี้มีจริง  แล้วก็เดินเข้ามารับเอาไป เขาก็ได้ไปเลย  แต่ถ้าคนที่ได้ยิน ได้ฟัง แต่ยังไม่เชื่อ จะมีของขวัญอะไรดีขนาดนั้น ไม่เชื่อหรอก ไม่เอา ก็แล้วไป ไม่เอา ก็ไม่ได้ ก็ยังคงอยู่ที่เดิม แต่ว่าของขวัญ พระเจ้าจัดเตรียมให้เรียบร้อยไปแล้ว ผูกโบว์ไว้เรียบร้อยไปแล้วด้วย รอแค่เจ้าของมารับไปเท่านั้นเอง

“ผู้ซึ่งได้เป็นประชากรที่บริสุทธิ์ชอบธรรมของพระเจ้าแล้ว (โดยผ่านทางเชื่อ  และรับสิทธิ์ของท่านที่พระเยซูได้ไถ่บาปให้)”  ของขวัญนี้ พระเจ้าเตรียมไว้เรียบร้อยไปแล้ว  ใครที่เข้ามารับเอาด้วยความเชื่อ ก็ได้รับไปเลย

เอเฟซัส 1:19 “เพื่อท่านจะได้เริ่มต้นเรียนรู้ถึงฤทธิ์เดชอำนาจยิ่งใหญ่มหาศาล  ที่ไม่มีขีดจำกัดและหาที่เปรียบไม่ได้ของพระเจ้า ซึ่งเป็นฤทธิ์เดชอำนาจพลังที่ยิ่งใหญ่มหาศาลทางฝ่ายวิญญาณ  ที่กระทำการงานอยู่ภายในเรา  และเพื่อเราผู้ซึ่งได้เชื่อ (รับสิทธิ์ของเราที่พระเยซูได้ไถ่บาปให้)”

 

ฤทธิ์เดชอำนาจตรงนี้ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับโลกวัตถุอีกเหมือนเดิม แต่ฤทธิ์เดชอำนาจในข้อที่ 19 นี้ พูดถึงฤทธิ์เดชอำนาจในวันที่พระเจ้าได้ให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ชุบพระเยซูคริสต์ให้เป็นขึ้นมาจากความตาย แล้วพวกเราผู้เชื่อที่ได้ถูกนำเข้าไปบัพติศมาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ เมื่อเราตายพร้อมกับพระเยซู ถูกฝังพร้อมกับพระเยซู เราก็จะเป็นขึ้นมาใหม่พร้อมกับพระเยซู นี่คือฤทธิ์เดชอำนาจที่ยิ่งใหญ่สูงสุด  เขาเรียกว่าการบังเกิดใหม่

การบังเกิดใหม่ของผู้เชื่อ เราทำเองไม่ได้ มนุษย์เกิดเองไม่ได้  มนุษย์จะเกิดก็ต้องมีคนนำ  มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ เกิดเองไม่ได้  ก็ต้องเกิดจากท้องแม่ จริงหรือไม่จริง? อยู่ดีๆ บอกว่า …

“ฉันขอเกิดเอง”

มันเป็นไปไม่ได้ ก็คือคนที่เกิดใหม่  ไม่สามารถทำด้วยตัวเองได้ ในโลกวัตถุเป็นอย่างนี้  โลกวิญญาณก็เหมือนกัน การบังเกิดใหม่ ไม่มีมนุษย์คนไหนทำเองได้ โดยผ่านทางการประพฤติของตัวเอง แต่การบังเกิดใหม่นี้ พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นผู้กระทำ ขบวนการนี้ พระเจ้าเป็นผู้ทำ ไม่เกี่ยวอะไรกับเราเลย  เราทำไม่ได้ เราทำอย่างเดียว คือเดินเข้ามารับสิทธิ์นั้น ก็คือเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ต้อนรับสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ เพื่อเราบนไม้กางเขน  เปิดใจปุ๊บ  พระเจ้าก็จะทำการงาน ขบวนการที่พระเจ้าจะเปลี่ยนวิญญาณบาปอันเก่าของเรา  มาเป็นวิญญาณใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเจ้า คือเป็นผู้ชอบธรรม ฉะนั้น พวกเราที่เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ เราก็จะเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะนำวิญญาณของเราใส่เข้าไปในพระเยซูคริสต์ แล้วก็เอาไปตรึงพร้อมกับพระเยซูคริสต์ ฉะนั้น เรากับพระเยซูคริสต์จะเป็นหนึ่งเดียวกัน เมื่อเราบังเกิดใหม่ มีชีวิตใหม่ เป็นผู้ชอบธรรมในพระคริสต์แล้ว  เรากับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน โดยที่เราไม่สามารถทำด้วยตัวเองได้

พระคำของพระเจ้า จึงบอกว่าความรอดนี้ ไม่ได้เกิดขึ้น จากผลของการกระทำใดๆ ของมนุษย์ แต่เกิดขึ้นจากความเชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ เพื่อเราบนไม้กางเขน เพื่อไม่ให้ใครอวดได้เลยว่า …

“ฉันทำเยอะกว่าเธอ ฉันทำได้ตั้งเยอะ ฉันถึงได้รับความรอด”

ไม่มีใครทำเยอะ ขนาดที่ทำให้ตัวเองรอดได้  ฉะนั้น ความรอดนี้ ต้องพึ่งพระเจ้าเพียงผู้เดียวเท่านั้น  ผ่านทางความเชื่อ พอผ่านทางความเชื่อปุ๊บ ฤทธิ์เดชอำนาจตรงนี้  ที่พระเจ้าให้กับพวกเรา  พลังอำนาจที่พระเจ้าให้กับเรา  ที่เราได้บังเกิดใหม่ เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ เป๊ะเลย วิญญาณของเรากับวิญญาณของพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกัน  ร่างกายเราเป็นวิหารของพระเจ้า  พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคเข้ามาสถิตอยู่ในเราปุ๊บ  พลังนี้มันอยู่ในเราเรียบร้อยไปแล้ว  คือเราไม่ต้องไปหาเพิ่มจากที่ไหน?หรือไปพยายามไขว่คว้า พยายามหาวิธีว่าเราจะทำอย่างไร?  เพื่อให้เรามีพลังอำนาจ ฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่สูงสุด เข้ามาเพิ่มพูนมากขึ้น ในชีวิตของเรา  มันไม่มี มันเป็นไปไม่ได้  และทำไม่ได้ด้วย  เพราะว่าพลังอำนาจนี้ เกิดขึ้นตอนที่เราบังเกิดใหม่ ตอนที่เราเป็นขึ้นมาจากความตาย  พร้อมกับพระเยซูคริสต์ พลังอำนาจนี้มันเกิดขึ้นเลยในชีวิตของเรา  ฉะนั้น พลังอำนาจนี้มีอยู่แล้ว  แค่เราเข้าไปรับรู้  เพื่อเราจะได้สามารถทำให้พลังอำนาจนี้ ที่พระเจ้าใส่เข้าไปในชีวิตของเรา ที่เป็นธรรมชาติใหม่เหมือนพระเยซูคริสต์ ได้สำแดงออกมา และส่วนหนึ่งที่สำแดงออกมา ที่ชัดเจนที่สุด คือความรักที่ถูกสำแดงออก เพราะพระเจ้าเป็นความรัก จากนั้น ก็จะมีอีกเยอะแยะมากมาย ที่เป็นธรรมชาติของพระเจ้า ที่จะถูกสำแดง ค่อยๆ พัฒนาจากการรับรู้ ความจริงของพระเจ้ามากขึ้นเท่าไร? การสำแดงคุณลักษณะ หรือพระลักษณะของพระเจ้า ก็จะมากขึ้นเท่านั้น

มาคุยเรื่องเกร็ดความรู้นิดหนึ่ง แล้วเราจะจบ … เรามาพูดถึงพลังอำนาจนี้ ที่พระเจ้าทรงให้เราบังเกิดใหม่ บังเกิดใหม่ปุ๊บ เราเป็นลูกพระเจ้าทันทีเลย โดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติมอีก  เป็นผู้ชอบธรรมทันที  พระเจ้าสถิตอยู่ในเราทันที  โดยที่เราไม่ต้องไปทำอะไรเพิ่ม เพื่อให้พระเจ้าสถิตกับเรามากขึ้น พระเจ้าสนิทสนมกับเราทันที ก็คือพระเจ้าทั้ง 3 พระภาค พระเจ้าพระบิดา พระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาหลอมกับวิญญาณของเรา เป็นหนึ่งเดียวกัน  เรียบร้อยไปแล้ว  สนิทยิ่งกว่าสนิทอีก คือแกะกันไม่ออกเลย เป็นหนึ่งเดียวกัน  ฉะนั้น เราไม่จำเป็นต้องพยายามทำอะไรก็ตาม เพื่อทำให้เราติดสนิทกับพระเจ้ามากขึ้น

ดังนั้น คำว่า “ติดสนิทกับพระเจ้า” เราทำได้อย่างเดียว คือเมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดปุ๊บ เราเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าปุ๊บ เราสนิทเลย คือเป็นขึ้นมาเลย โดยที่เป็นแล้วเป็นเลย มันจะไม่หายไปไหน มันจะทำให้มากขึ้น หรือน้อยลงไม่ได้ เราเป็นลูกพระเจ้าก็เป็นเลย  คือไม่ได้ว่าเราต้องพยายามทำอะไรบางอย่าง เพื่อทำให้เราเป็นลูกของพระเจ้าเพิ่มขึ้น ไม่ต้องนะ คือเป็นแล้ว

เรามาดู คำๆ หนึ่ง ในภาษากรีก ที่ใช้กันเยอะมากในพระคัมภีร์เดิม  ก็ใช้คำนี้บ่อยมาก คำนี้อ่านว่า “koinonia” (koy-nohn-ee’-ah อ่านว่า “คอยโนเนีย”)  ถ้าเป็นภาษาอังกฤษเขาใช้คำว่า “Fellowship” คือการรวมตัวกัน

ความหมายของภาษาไทย คำว่า Fellowship มาจากรากศัพท์คำนี้แหละ koinonia” (koy-nohn-ee’-ah) หมายความว่าการเข้าส่วนร่วม เข้ามาร่วมเป็นหนึ่งเดียวกัน มีความสัมพันธ์ลึกซึ้ง เป็นเนื้อเดียวกัน  เป็นครอบครัวเดียวกันทางวิญญาณ  ไม่เกี่ยวกับร่างกายอีกเหมือนเดิม

ทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา วิญญาณเราถูกนำไปบัพติศมาในพระเยซูคริสต์ และได้บังเกิดใหม่ ทันทีที่เราบัพติศมาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ปุ๊บ เท่ากับเราได้มีส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันในพระเยซูคริสต์ โดยที่เราไม่ต้องทำอะไรอีกแล้ว มันเป็นโดยอัตโนมัติ ในโลกวิญญาณ เฉพาะผู้เชื่อเท่านั้นนะ ถ้าเราไม่เชื่อ เราไม่สามารถมาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าได้เลย ไม่ว่าเราจะเข้ามาที่โบสถ์ เรามาร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า เรามาอ่านพระคัมภีร์ เรามาฟังเทศน์ แล้วเราก็บอกว่าเราเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า พระเจ้าบอกว่าไม่ใช่  จำพระคัมภีร์ที่พระเยซูบอกว่าเราไม่รู้จักเจ้าได้ไหม? เพราะว่าเจ้าไม่ได้อยู่ในครอบครัวของเรา คนที่เข้ามาอยู่ในครอบครัวของพระเจ้าได้ คือคนที่เปิดใจต้อนรับเอาสิ่งที่พระเยซูคริสต์ กระทำเพื่อเขาบนไม้กางเขน  แล้วก็รับเอา  เป็นผู้เชื่อ  เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าในวิญญาณ พอเป็นหนึ่งเดียวกันปุ๊บ ก็เป็นการสามัคคีธรรมกับพระเจ้า

คำว่า “สามัคคีธรรมกับพระเจ้า” ส่วนใหญ่เราก็จะเข้าใจอันเดิม พอพูดถึงการสามัคคีธรรมกัน เราก็จะนึกว่าเรามาโบสถ์ร่วมกัน เรามาทำกิจกรรมร่วมกัน เรามาฟังเทศน์ด้วยกัน  เรามาอธิษฐานด้วยกัน ร้องเพลงด้วยกัน อันนั้น เป็นการเข้ามาชุมนุมกัน ซึ่งไม่เกี่ยวกับคำนี้ที่พระเจ้าพูดถึง

คำนี้ที่พระเจ้าพูดถึง ก็คือในโลกวิญญาณ ทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ปุ๊บ เราได้สามัคคีธรรมกับพระเจ้าทันทีเลย ก็คือเราเข้ามาในโลกวิญญาณ  เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นประชากรของพระเจ้าร่วมกัน ผูกพันกัน สนิทสนมกัน  ตรงนี้เกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งหมด คือเราไม่ต้องพยายามทำอะไรก็ตาม เพื่อให้เราสนิทสนมกับพระเจ้ามากขึ้น ย้ำอีกครั้ง เราไม่ต้องทำอะไร เพื่อทำให้เราสนิทสนมกับพระเจ้ามากขึ้น ทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราได้เข้าขบวนการการบังเกิดใหม่ปุ๊บ เข้าไปในแผ่นดินของพระเจ้า เข้าไปในอาณาจักรของพระเจ้า  เข้าไปในครอบครัวของพระเจ้าปุ๊บ เราเป็นหนึ่งเดียวกันทันที เราได้สามัคคีธรรมกับพระเจ้าทันทีเลย

เรามาประชุมกันในคริสตจักรเพื่ออะไร? การมาประชุมกัน หมายถึงเมื่อวิญญาณเราได้เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว เราก็จะฝึกฝนในการอยู่ร่วมกัน เป็นหนึ่งเดียวกันกับพี่น้องในคริสตจักร ก็คือเราเป็นหนึ่งเดียวกันในโลกวิญญาณแล้ว จากนั้น เราก็มาฝึกฝนการอยู่ร่วมกันกับพี่น้องในคริสตจักร นึกภาพออกไหมค่ะ วิญญาณมาก่อน การประพฤติจะตามมา

ฉะนั้น การเข้ามาประชุม ซึ่งเป็นผลจากการเป็นหนึ่งเดียวกันทางวิญญาณ แล้วเราก็มาอยู่ร่วมกัน

นี่คือคำจำกัดความทั้งหมด ที่เมื่อก่อนเราถูกบล็อค หรือเราเข้าใจผิด  ให้เราเข้าใจใหม่  พอพูดถึงคำเหล่านี้ ให้เรารับรู้เลยว่ามันเป็นเรื่องของโลกวิญญาณ ฉะนั้น การที่เราได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า เราได้รับมาฟรีๆ โดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเพิ่มขึ้น  ทันทีที่เราเชื่อพระเจ้า ของประทานนานับประการของพระเจ้า ที่ได้ประทานให้กับพวกเราผู้เชื่อ คือให้เราเรียบร้อยไปแล้ว หนึ่งในนั้นที่พระเจ้าให้ คือการบังเกิดใหม่ เข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้า มาเป็นลูกของพระเจ้า  มาเป็นทายาทของพระเจ้า มาสามัคคีธรรมกับพระเจ้าเลย มาเป็นส่วนหนึ่งกับพระเจ้าเลย ตรงนี้ เราต้องรับรู้ และอย่าให้ใครหลอกว่าเราจำเป็นจะต้องพยายาม คือ …

“ให้เรามาติดสนิทกับพระเจ้ามากขึ้นพี่น้องเอ๋ย”

“ให้เรามาอธิษฐานเพิ่มขึ้น เพื่อเราจะได้ติดสนิทกับพระเจ้ามากขึ้น”

มันไม่ใช่นะ การติดสนิทกับพระเจ้าไม่มีการเพิ่มขึ้นอีกแล้ว เพราะว่าสนิทแล้ว สนิทเลย สนิทมาก เหมือนในพระธรรมยอห์นที่พระเยซูคริสต์ยกตัวอย่างเถาองุ่น ว่าท่านต้องเข้ามาอาศัยอยู่ในเรา และเราอยู่ในท่าน  เราจะได้เป็นหนึ่งเดียวกัน  เพื่อว่าเราจะได้เกิดผลตามที่พระเจ้าได้เตรียมไว้ สำหรับพวกเรา ไม่ใช่ผลผลิตที่เราเคยรับรู้มา …

“เกิดผลในงานรับใช้”

มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกันเลย แล้วแต่ว่าพระเจ้าจะใช้ใครอย่างไร?

พอเราเข้าใจเนื้อหาจริงๆ ของถ้อยคำตรงนี้  เราก็จะเข้าใจเรื่องของพิธีมหาสนิท ซึ่งพิธีมหาสนิทจริงๆ ในพระคัมภีร์ก็บอกว่าเราทำ เพื่อระลึกถึงสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ เพื่อเราบนไม้กางเขนเรียบร้อยไปแล้ว ก็คือที่พระเยซูคริสต์ได้หลั่งพระโลหิตเพื่อเรา ได้ชำระล้างความบาปของเรา เรากินขนมปัง เหมือนเราได้กินเนื้อของพระองค์ คือเรากับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน  เหมือนกับที่พระเยซูคริสต์บอกว่า …

“ถ้าเจ้าไม่กินเลือดและเนื้อของเรา เจ้าจะเป็นหนึ่งเดียวกันกับเราไม่ได้ ความหมายตรงนี้ ในโลกวิญญาณ คือถ้าเราไม่เข้ามาอาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ หรือเปลี่ยนจากความเชื่อเดิม คือพึ่งในการกระทำของตัวเอง เข้ามาในความเชื่อใหม่ คือพึ่งในการกระทำของพระเยซูคริสต์ท่านจะเป็นหนึ่งเดียวกันกับเราไม่ได้ ท่านจะมาสามัคคีธรรมกับเราไม่ได้ ท่านจะเป็นครอบครัวเดียวกันกับเราไม่ได้เลย

พอเราพูดถึงพิธีมหาสนิท เรานึกเลย เราสนิทกับพระเจ้าแล้ว เราเป็นหนึ่งเดียวกัน เราสามารถที่จะระลึกถึง ขอบคุณพระเจ้า แต่ไม่ได้หมายความว่าเราต้องทำพิธีนี้ มันศักดิ์สิทธิ์มากเลย ไม่ใช่ ความหมายก็คือเราระลึกถึงสิ่งที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว และ ณ บัดนี้  เราเป็นหนึ่งเดียวกัน สนิทยิ่งกว่าสนิทกับพระเจ้าซะอีก คือแยกจากกันไม่ได้ เรากับพระเจ้า 3 พระภาคอยู่กลมกลืนกัน เป็นหนึ่งเดียวกัน

แล้วพอพูดถึงคำว่า “บัพติศมา” ให้เรานึกถึงเรื่องของโลกวิญญาณ ฉะนั้น การบัพติศมาในน้ำ มันเป็นเพียงเงาที่พระคัมภีร์เขียนไว้ เพื่อให้เราเห็นภาพว่าในวันที่พระเยซูคริสต์เสด็จมา แล้วพระองค์ถูกตรึงบนไม้กางเขน  และเป็นขึ้นมาจากความตาย พระองค์ไม่ได้บัพติศมาเราด้วยน้ำอีกแล้ว เหมือนที่ยอห์นบอก เราให้บัพติศมาท่านด้วยน้ำ แต่ไม่ช้าไม่นานจะมีพระอีกผู้หนึ่ง บัพติศมาท่านด้วยไฟ เล็งถึงพระวิญญาณ ก็คือผู้เชื่อได้บัพติศมา เข้าไปในพระวิญญาณเรียบร้อยไปแล้ว

พอบอกว่าการบัพติศมาปุ๊บ คิดเลยว่าหมายถึงการรวมเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า เป็นครอบครัวเดียวกัน ผูกพันกัน สนิทสนมกัน มีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งต่อกัน

ความหมายเหล่านี้ ให้พี่น้องรับรู้ มันเป็นเรื่องของโลกวิญญาณ  ฉะนั้น ถ้าพี่น้องนำเอาสิ่งต่างๆ เหล่านี้เข้ามาเป็นการกระทำ เป็นการประพฤติ เพื่อทำให้เราสนิทกับพระเจ้ามากขึ้น มันก็ผิดไปแล้ว เราถูกหลอกในสิ่งที่พระเจ้าบอกว่าพระองค์ทำให้เราสำเร็จแล้ว  คือ …

(1) พระเจ้าให้เราเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว

(2) พระเจ้าสถิตอยู่ในเราเรียบร้อยไปแล้ว

(3) พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคเข้ามาอยู่ในเราเรียบร้อยไปแล้ว

(4) ร่างกายของเรา เป็นวิหารของพระเจ้า เป็นที่สถิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์เรียบร้อยไปแล้ว

สิ่งต่างๆ เหล่านี้ คือพระเจ้าทำเสร็จเรียบร้อยไปแล้ว ไม่ต้องให้เรามาทำอะไรเพิ่มเติมอีกเลย เพื่อให้เราเป็นลูกของพระเจ้า ไม่ต้องให้เราประพฤติ ปฏิบัติทำให้พระเจ้าพอพระทัย พระเจ้าพอพระทัยเราอยู่แล้ว  ถ้าไม่พอพระทัย พระเจ้าคงไม่ส่งพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระองค์มาตายที่ไม้กางเขน เพื่อเรา

ภาพพวกนี้ พี่น้องจำ แล้วก็ขมวดปม เป็นภาพที่เรารับรู้ว่านี่คือความจริง ที่พระเจ้าบอกเรา อย่าให้ใครหลอกเราว่าเราจำเป็นต้องทำโน่นทำนี่ เพื่อให้พระเจ้าพอพระทัย  ไม่ต้อง พระเจ้าพอพระทัยอยู่แล้ว  แต่หลังจากที่เราเชื่อและวางใจในพระเจ้าแล้ว หลังจากที่เรารับรู้ความจริงของถ้อยคำของพระเจ้า เราเชื่อแล้ว หลังจากนั้น ผลของการประพฤติมันจะออกมาเองตามธรรมชาติ ก็คือรับรู้ว่าตอนนี้ เราเป็นลูกกษัตริย์แล้วนะ ตอนนี้ พระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในเรา  ธรรมชาติใหม่ของเราเป็นอย่างไร? ธรรมชาติใหม่ของเรา เป็นความรักใช่ไหม? เราก็จะสำแดงความรักออกมา  ธรรมชาติใหม่ของเราไม่ใช่ความอิจฉาริษยา ไม่ใช่ อันนี้หลอกเรา

“ฉันไม่ยอมแก อย่ามาหลอกฉัน ฉันไม่ทำตามแกหรอก”

เรามีสิทธิ์ไง  พอเราเชื่อพระเจ้าปุ๊บ เรามีสิทธิ์ที่จะเลือกว่าเราจะทำตามพระวิญญาณหรือทำตามเนื้อหนัง ในทุกวันเลย ทุกเวลา ทุกวินาที  เราเลือกได้หมดเลย ถ้าเราทำอะไรก็ตาม ที่เป็นไปตามที่ถ้อยคำพระเจ้าบอก เราก็เดินตามวิญญาณ แต่ถ้าเมื่อไรที่เราทำอะไรที่โลกนี้ส่งมา ก็คือไปอิจฉาเขาเอย พูดจาไม่ดีเอย เราก็ทำตามเนื้อหนัง  มันมีแค่นี้เอง

แต่ไม่ว่าเราจะเผลอไปทำตามการล่อลวงของเนื้อหนัง  ให้พี่น้องรับรู้ตรงนี้ว่าเมื่อเราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เป็นแล้วเป็นเลย  ไม่มีการตกกระป๋องไปเป็นลูกมารอีก แค่ว่าถ้าเราอนุญาตให้เนื้อหนัง หรือสิ่งล่อลวงบนโลกใบนี้ ดึงเราไปแถทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่พระเจ้าบอก เราก็เจ็บตัว ตรงที่เราต้องรับผลไง หว่านอะไร เกี่ยวอันนั้น  แต่เฉพาะบนโลกนี้เท่านั้น พี่น้องรับรู้ความจริงตรงนี้  พยายามรับรู้ให้ได้ว่าพระเจ้าได้ให้อะไรกับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว  อย่าให้ใครมาหลอกเราว่า …

“ฉันยังไม่ได้เลย ฉันต้องขอ ฉันยังไม่ได้เลย ฉันต้องทำ เพื่อฉันจะได้”

โดนหลอก เท่ากับเรากำลังบอกว่าพระเจ้าโกหก

พระเจ้าบอก “ฉันทำให้เธอเสร็จแล้ว”

“ยังไม่เสร็จหรอก พระองค์เจ้าข้า ลูกต้องทำเพิ่ม”

เท่ากับเรากำลังทำให้ข่าวประเสริฐของพระเจ้า ลดน้อยถอยลง ชีวิตของเราจะไม่เป็นพร ก็คือไม่ได้สามารถที่จะประกาศข่าวประเสริฐที่ทำให้คนอื่นสามารถรับรู้ว่า …

“นี่คือข่าวดีจริงๆ นะ”

คนอื่นเขาดู … “ข่าวดีตรงไหน? พวกเธอเชื่อพระเจ้าแล้ว พวกเธอยังต้องงกๆ ทำอย่างนี้เลย  ทำโน่นทำนี่ๆ เพื่อให้พระเจ้าพอใจ”

อะไรอย่างนี้ มันก็เหมือนกับดิสเครดิตของพระเจ้าไป โดยที่เราไม่ได้ตั้งใจ หรือไม่รับรู้ความจริง ก็มีโอกาสที่จะทำให้เราแถไปได้   พระเจ้าอวยพรค่ะ

 

******************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

พระเจ้าตอบ … “อย่ากลัวเลย เพราะเราอยู่กับเจ้า อย่าท้อแท้ เพราะเราเป็นพระเจ้าของเจ้า เราจะทำให้เจ้าเข้มแข็งขึ้นและจะช่วยเจ้า เราจะชูเจ้าไว้ด้วยมือขวาอันชอบธรรมของเรา”

 

อิสยาห์ 41:10  … “จงพอใจในสิ่งที่ ลูกมีลูกเป็นอยู่ในขณะนี้ พ่อสัญญากับลูกว่า “พ่อจะไม่มีวันทอดทิ้งลูกเหมือนเด็กกำพร้าพ่อจะไม่มีวันละทิ้ง ลูกให้อยู่ตามลำพัง”

 

เมื่อได้ยินพ่อพูดดังนั้นแล้ว ลูกตอบอย่างมั่นใจว่า … “องค์พระผู้เป็นเจ้า พ่อของลูกทรงเป็นผู้ช่วยเหลือลูก ลูกจะไม่กลัว ความทุกข์ทรมานที่เกิดขึ้นจะทำอะไรฉันได้เล่า?”

 

ฮีบรู 13:5-6  … “สรรเสริญและขอบพระคุณพระบิดาผู้ทรงสถิตยในสวรรคสถาน พระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก พระเจ้าผู้ทรงยิ่งใหญ่สูงสุด พระเจ้าเที่ยงแท้ แต่เพียงพระองค์เดียวผู้ทรงประกอบกิจการงานใดใด ไม่มีใครขวางพระองค์ได้”

 

หนังสือโรม 5:1-5 …  “1 เหตุฉะนั้น เมื่อเราได้เป็นคนชอบธรรม (ได้บังเกิดใหม่ในพระคริสต์) โดยความเชื่อแล้ว ก็ให้เราชื่นชมยินดี มีสันติสุข (ที่ได้กลับคืนดีกัน) กับพระเจ้าผ่านทางพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา  2 โดยทางพระองค์ เราจึงได้เข้าในร่มพระคุณที่เรายืนอยู่โดยความเชื่อ ให้เราชื่นชมยินดีในความหวังใจ (ที่มีหลักฐานประกันที่มั่นคงแน่ใจ) ว่าเราได้มีส่วนในสง่าราศี (มีส่วนในพระสิริของพระเยซูคริสต์ มีส่วนในชีวิตนิรันดร์ของพระองค์) 3 และไม่ใช่เพียงเท่านี้ แต่ให้เราชื่นชมยินดีในความทุกข์ยากลำบากด้วย เพราะเรารู้ว่าความทุกข์ยาก (ความกดดัน ท้อแท้ ลำบาก เครียด)นั้นทำให้เกิดความอดทน และความอดทนทำให้เกิด ความทรหด  4 ความทรหดผ่านประสบการณ์ ความทุกข์ยากต่างๆ ทำให้เกิดอุปนิสัยที่เจริญเติบโต เป็นผู้ใหญ่ในฝ่ายวิญญาณ ที่ผ่านการทดสอบแล้ว ทำให้ความหวังใจในความรอดนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์ที่ได้รับแล้วนั้น มีหลักฐานที่มั่นคงชัดเจนแน่ใจ 5 และความหวังใจนี้ ไม่เคยทำให้เราผิดหวังเลย เพราะว่าเราได้รับความรักของพระเจ้าอย่างเหลือล้นท่วมท้นอยู่ในวิญญาณและจิตใจของเราแล้ว โดยผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งพระองค์ได้ประทานให้แก่เราแล้ว (ตั้งแต่เริ่มเชื่อและได้บังเกิดใหม่)”

 

พระเจ้าอวยพรครับ

 

 

วารสาร Holy News ฉบับที่ 1335

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  24  ตุลาคม  2021

 เรื่อง “ความเชื่อที่ปราศจากการกระทำ ก็ไร้ประโยชน์”

ตอน 1  “ความเชื่อเฉยๆ โดยปราศจากการกระทำ  ก็ไร้ประโยชน์

โดย นคร เวชสุภาพร

 

วันนี้เราจะมาเรียนรู้ความจริงจากถ้อยคำพระเจ้าในหนังสือยากอบ บทที่ 2 ซึ่งเป็นถ้อยคำที่ถ้าอ่านแบบเพลินๆ และใช้ความคิด ความเข้าใจแบบธรรมดาๆ คือความเข้าใจ ความคิดแบบทั่วๆ ไป ตามมาตรฐาน ระบบของโลกใบนี้ ซึ่งจะเชื่อกันอย่างนี้แหละ  เป็นระบบพื้นฐานของความรู้ในเรื่องของความประพฤติ การกระทำบนโลกใบนี้  ฟังดูแล้วเพลิน แต่เพลินไปได้ไม่เยอะหรอก เพราะผู้ที่รู้ความจริงในเรื่องข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์แล้ว ซึ่งหมายถึงเป็นผู้ที่เชื่อในข่าวประเสริฐ องค์พระเยซูคริสต์แล้ว พอฟัง ไม่เพลิน ก็เกิดความขัดแย้งกัน  ไม่ใช่ขัดแย้งธรรมดา ฟังดูแล้วขัดกันอย่างมากเลยกับแก่นแท้ของความจริงของข่าวประเสริฐ ที่ทำให้เราได้รับความรอดจากบาปในองค์พระเยซูคริสต์ มันไม่เพลินแล้วล่ะ ถ้าคิดตามหลักการของความจริงของข่าวประเสริฐของพระเจ้า ซึ่งมาถึงเรา เพื่อให้เราได้รับความรอดจากบาป ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ถ้าเราสนใจตรงนี้ วางรากฐานความเชื่อเราไว้ตรงนี้ เราจะอ่านไม่เพลินแล้วล่ะ

ยากอบ บทที่ 2 ที่เราจะเรียนกันในวันนี้  ก็เป็นอีกหนึ่งในหลายๆ แห่งในข้อพระคัมภีร์ ที่มีการตีความสอนต่อๆ กันมา แบบขัดแย้งกับความเป็นจริง ในข่าวประเสริฐของพระเจ้า คริสเตียนหลายคนก็สับสนกับถ้อยคำในบทนี้  ไม่ใช่สับสนธรรมดา ถ้าใครมีความคิดที่ผมบอกเมื่อสักครู่นี้  ไม่เพลินกับข้อนี้ ก็จะสับสนมาก ว่าอะไรมันถูกกันแน่ ทำไมมันแย้งกันอย่างนี้

มาติน ลูเธอร์ บิดาแห่งคริสเตียน  ที่เป็นต้นกำเนิดของความรอด  ด้วยความเชื่อ ไม่ใช่ด้วยการกระทำ บิดาแห่งโปรเตสแตนต์ ยังเคยกล่าวด้วยความสงสัย ในยากอบ บทที่ 2 นี้ว่าจริงๆ แล้ว  ไม่ควรจะเป็นส่วนหนึ่งของพระคัมภีร์ นี่ประมาณ 500 กว่าปีก่อน มาติน ลูเธอร์ ผู้ซึ่งศึกษาถ้อยคำพระเจ้า และเรียนรู้ถ้อยคำพระเจ้าจนรู้แก่นแท้ของถ้อยคำพระเจ้าว่าความรอด มาจากความเชื่อ  ไม่ใช่การกระทำ ได้พูดอย่างนี้  ได้มีความคิดอย่างนี้ว่าไม่น่าจะเอายากอบ บทที่ 2 เข้ามาอยู่ในหนังสือพระคัมภีร์ของคริสเตียนที่ถือกันอยู่เลย ไม่น่าจะเอามาสอนเลย  เพราะว่าถ้อยคำตรงนี้  ถ้าอ่านด้วยความไม่เข้าใจ และไม่หนักแน่นมั่นคง ในพื้นฐานความจริงของข่าวประเสริฐเพียงพอ ก็ทำให้เกิดความสับสน เกิดความสงสัย เกิดความไม่เพลินกับถ้อยคำนี้  มันขัดแย้งอยู่ตลอดเวลา นี่ขนาดมาติน ลูเธอร์ยังตัดสินใจอย่างนี้  ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ถูกนะ  เพราะว่ามาติน ลูเธอร์ไม่เข้าใจว่ายากอบบทนี้มันหมายถึงอะไร? แต่มันขัดแย้งกับถ้อยคำพระเจ้า  โดยส่วนรวมทั้งเล่มของข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ในพระคัมภีร์ใหม่  ก็มีความรู้สึกว่ามันขัดแย้งกัน  ไม่น่าจะใช่แล้วล่ะ

เพราะฉะนั้น ถึงแม้จะอธิบายไม่ได้ ไม่รู้ว่าทำไมมันถึงขัดแย้ง  แต่ตีความไว้ในใจว่ามันผิดแล้ว มันไม่ใช่ เพราะฉะนั้น ไม่พูดถึงมันเลยดีกว่า อะไรประมาณนี้ ผมว่าการตัดสินใจอย่างนั้นยังเป็นประโยชน์ เป็นโทษน้อยกว่าไม่รู้แล้วไปตีความผิด แล้วสอนต่อมาผิดๆ มันก็แย้งกันตลอด เข้าใจใช่ไหมว่าที่ผมอธิบายหมายถึงอะไร?

เนื้อหา หลักของยากอบ บทที่ 2 ที่ผมบอกว่าทำให้คริสเตียนหลายคนสับสน ก็คือถ้อยคำที่เป็นเนื้อหาสำคัญของยากอบ บทที่ 2 นี่แหละ ถ้อยคำที่บอกว่า … “ความเชื่อที่ปราศจากการกระทำ ก็ไร้ประโยชน์”  ซึ่งผมใช้เป็นชื่อเรื่องของการบรรยายในวันนี้แหละ คือ “ความเชื่อที่ปราศจากการกระทำ ก็ไร้ประโยชน์” และคงใช้หัวข้อนี้ไปอีกหลายตอน เพราะอยากให้ท่านมาศึกษาร่วมกัน ให้ลึกซึ้งจริงๆ จังๆ ว่ามันขัดแย้งกัน หรือว่ามันหมายความว่าอะไร?  ความเชื่อที่ปราศจากการกระทำ ก็ไร้ประโยชน์ มาลองเริ่มอ่านถ้อยคำตรงนี้ดู จากยากอบ 2:14 ดูสิว่าจะทำให้ท่านเพลินอีกไหม?  หรือทำให้ท่านสะดุ้งขึ้นมาว่ามันมีอะไรบางอย่างแล้วล่ะ ที่ไม่ตรงกับพื้นฐานของความเชื่อ ที่เราวางอยู่ในความรอด ในพระเยซูคริสต์ ยากอบ 2:14 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

ยากอบ 2:14 “พี่น้องทั้งหลาย  ถ้าคนหนึ่งอ้างว่ามีความเชื่อ  แต่ไม่สำแดงเป็นการกระทำ จะมีประโยชน์อะไร  ความเชื่อแบบนี้จะช่วยเขาให้รอดได้หรือ?”

 

“ความเชื่อแบบนี้จะช่วยให้เขารอดได้หรือ?” ก็คือความเชื่อแบบนี้ ไม่ได้รับความรอด  ความเชื่อแบบไม่สำแดง การกระทำ ไม่มีการกระทำ  ตั้งแต่วันแรกที่มาเชื่อพระเจ้า จนเจริญเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในฝ่ายวิญญาณ เราได้เรียนรู้กัน ไปตั้งแต่ตอนต้น และตลอดเวลาแล้วว่าความรอดที่ได้รับ เริ่มต้นด้วยความเชื่อและดำเนินด้วยความเชื่อต่อไป ความรอดที่ได้รับมานั้น มาโดยความเชื่อในพระคุณ เป็นพระคุณจากพระเจ้า  เป็นของขวัญจากพระเจ้า  ของขวัญ คือฟรีๆ เราไม่ต้องทำอะไรเลย เป็นสิ่งที่เราได้รับมาจากพระเจ้าโดยตรง ไม่ต้องเสียอะไรเลยสักนิดหนึ่ง ผ่านทางความเชื่อ ในความดีของพระเยซูคริสต์ที่ได้กระทำให้กับเราทั้งหลาย  โดยที่ไม่ต้องมีการกระทำอะไรใดๆ เลยแม้แต่นิดหนึ่ง  ในการทดแทนสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำให้เรา ที่พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น เรียกว่าความรอด ในพระเยซูคริสต์ ซึ่งมีมาถึงมนุษย์ทั้งปวงบนโลกใบนี้เลย มนุษย์ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะใช้สิทธินี้  ในการรับของขวัญนี้จากพระเจ้า โดยไม่ต้องจ่ายค่าอะไรตอบแทนเลย คือไม่ต้องทำอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว

นี่คือหัวใจของข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ที่ได้ให้กับมนุษย์ทั้งปวง เราลองมาอ่านดู เพื่อจะยืนยันในพื้นฐานที่เราเชื่อในพระเยซูคริสต์ว่าเราเชื่อว่าอะไร? เชื่อข่าวดีของพระเยซูคริสต์อย่างนี้ใช่หรือไม่? โรม 3:24-28 ซึ่งเป็นบทรวมที่เห็นชัดมาก ว่ากันตามจริงแล้วหนังสือพระคัมภีร์ใหม่ ในหนังสือจดหมายฝาก ที่พูดถึงเรื่องความรอดในพระเยซูคริสต์นี้ ข่าวประเสริฐนี้ เหมือนกันหมดทั้งเล่ม ทุกเล่ม ทุกหนังสือจดหมายฝาก แบบนี้แหละ แต่ว่าวันนี้ยกขึ้นมาเพียงเล่มเดียว  ช่วงเดียวเท่านั้นเอง คือโรม 3:24-28 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

โรม 3:24-28 “24 และโดยพระคุณของพระเจ้า พระองค์ทรงนับว่าพวกเขาเป็นผู้ชอบธรรมโดยไม่คิดมูลค่า ด้วยการที่พระเยซูคริสต์ทรงไถ่พวกเขา 25 พระเจ้าทรงให้พระเยซูเป็นเครื่องบูชาลบบาปแก่ผู้ที่มีความเชื่อ ในพระโลหิตของพระเยซู พระเจ้าทรงกระทำเช่นนี้ เพื่อสำแดงความยุติธรรมของพระองค์ เพราะโดยความอดกลั้นพระทัย พระองค์จึงไม่ได้ทรงลงโทษบาป ที่ทำไปก่อนหน้านั้น 26 พระองค์ทรงกระทำเช่นนี้ เพื่อสำแดงความยุติธรรมของพระองค์ในกาลปัจจุบัน  เพื่อว่าพระองค์จะทรงเป็นผู้เที่ยงธรรม และเป็นผู้ที่ให้บรรดาคนที่มีความเชื่อในพระเยซู ถูกนับเป็นผู้ชอบธรรมด้วย 27 เช่นนี้แล้ว เรามีอะไรที่จะอวดได้? ไม่มีเลย จะอ้างอะไรเป็นหลัก? อ้างว่าโดยการรักษาบทบัญญัติหรือ? ไม่เลย แต่โดยการอ้างความเชื่อเป็นหลักต่างหาก 28 เพราะเรายืนยันว่ามนุษย์นับว่าเป็นคนชอบธรรมได้ ก็โดยความเชื่อ ไม่ใช่โดยการรักษาบทบัญญัติ”

 

เพราะเรายืนยันว่ามนุษย์ได้รับความรอดจากบาป ได้รับความรอดจากความพินาศ ในบึงไฟนรก ได้รับความรอดจากการลงโทษ เนื่องจากเป็นคนบาป  โดยผ่านทางความเชื่อ ในสิ่งที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงกระทำให้เท่านั้น คือเชื่อในพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ที่หลั่งที่ไม้กางเขน  เชื่อในการถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และเชื่อการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์ในวันที่ 3 ความเชื่อตรงนี้ ทำให้คนนั้นได้รับความรอดจากบาป ไม่ใช่การกระทำ ไม่ใช่การประพฤติดีต่างๆ ไม่ใช่ นี่คือพื้นฐานของข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ใช่หรือไม่? ต้องถาม ใช่ ใช่ไหม?

เราเรียนรู้กันมาตลอด จนหยั่งรากลึกฝังในเรียบร้อยแล้ว ในความจริงในข้อนี้ว่ามาตรฐานของพระเจ้าในการได้ชื่อว่าเป็นผู้ชอบธรรม หมายถึงเป็นลูกของพระเจ้า อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า เป็นผู้สะอาด บริสุทธิ์ขนาดไหน? 100% เท่าพระเยซูคริสต์เลย สมบูรณ์พร้อม 100% เลย ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ที่มนุษย์จะทำให้ตัวเองสมบูรณ์แบบ สะอาด บริสุทธิ์อย่างนั้น โดยความประพฤติ รักษาความดีอย่างนั้น เป็นไปได้ไหม? มันไม่ได้ ข่าวดี ก็คือต้องพึ่งในพระเยซูคริสต์ เป็นผู้กระทำให้เรา  ความหมายมันมีอยู่แค่นี้เอง เราฝังรากลึกตรงนี้มาเยอะแล้ว มากแล้ว พูดซ้ำไปซ้ำมา ในข่าวประเสริฐตรงนี้  เหมือนกับเปาโลพูด เหมือนกับเปโตรพูด เหมือนกับยอห์นพูด ซ้ำไปซ้ำมา ซ้ำแต่เรื่องข่าวประเสริฐของพระเจ้า ข่าวดีของพระเยซูคริสต์คืออะไร? คือพระคุณของพระองค์ที่ทำให้กับเรามนุษยชาติฟรีๆ โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์ ที่ตายที่ไม้กางเขน  หลั่งพระโลหิตของพระองค์ และเป็นขึ้นมาใหม่ ในวันที่สามนั่นเอง

แต่พอมาเมื่อสักครู่นี้ เรามาอ่านพระคัมภีร์ในยากอบ 2:14 สะดุ้งเลยนะ ไม่เพลินแล้ว อ่านเพลินๆ ก็โอเค พออ่านอย่างนี้ สะดุ้งเลย …

“ถ้าคนหนึ่งอ้างว่ามีความเชื่อ แต่ไม่สำแดงเป็นการกระทำ จะมีประโยชน์อะไร? ความเชื่อแบบนี้จะช่วยให้เขารอดได้หรือ?”

อ้าว! แย้งกันนี่ ขวางกันชัดๆ เลย  ถามตัวเองดูสิว่าเริ่มรู้สึกไขว้เขวไหม? ถ้าเราอ่านจริงๆ ไม่อ่านเพลินๆ แล้วนะ  อ่านแบบเอาเรื่องเอาราว ชักไขว้เขวใช่ไหม?  ชัก เอ๊ะ! แล้วอะไรมันถูกกันแน่

ท่านคิดว่ามันหมายความว่าอย่างไร?  ท่านลองนึกด้วยตัวเองตอนนี้ก่อน ผมยังไม่ให้คำตอบท่าน ท่านลองคิดว่าท่านเข้าใจยากอบ บทที่ 2 นี้อย่างไร? ว่ามันขัดแย้งกันหรือไม่ขัดแย้งกันอย่างไร? สาระสำคัญของข่าวประเสริฐที่ได้เรียนรู้มากับตรงนี้ มันแย้งกันหรือเปล่า? แย้งกันอย่างไร?  คิดในใจก่อน เดี๋ยวค่อยบอกว่ามันแย้งกับโรมที่ตะกี้เราอ่านไหม? แล้วใครผิด ใครถูก โรมพูดอย่างหนึ่ง ยา กอบ 2 :14 พูดอีกอย่าง  ทำไมแย้งกันเอง

จริงๆ  แล้วถ้าเรามีพื้นฐานความจริงที่มั่นคง แข็งแกร่งในเรื่องข่าวประเสริฐ ในความคิดของเราอย่างหนักแน่นว่าเราได้รับความรอด ผ่านทางความเชื่อเท่านั้น ทำด้วยตัวเองไม่ได้แน่นอน ไม่เกี่ยวอะไรกับความประพฤติของเราเลยแม้แต่นิดเดียว  เพราะเราทำเองไม่ได้อยู่แล้ว เราต้องพึ่งพระเยซูแน่นอน เพราะฉะนั้น เมื่อไรก็ตามที่เราได้ฟังคำสอนอะไรก็ตามที่มาถึงเรา แล้วตีความขัดแย้งกับสิ่งที่เราวางรากฐานของความเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว  เราก็ต้องตัดสินใจไว้ก่อนเลยว่ามันผิดแน่นอน

อะไรผิด? ถ้อยคำพระเจ้าผิดหรือ? ถ้อยคำพระเจ้าไม่ผิดหรอก  ต้องมีใครผิดสักคน ท่านคิดว่าควรจะยกความผิดนี้ไปให้ใคร? ให้ถ้อยคำพระเจ้า หรือเราเข้าใจผิดเอง?  หรือเราถูกสอนมาผิด หรือเราผิดเองที่ไปตีความหมายผิด  ท่านคิดในใจแล้วกัน

เราต้องคิดแล้วว่ามันมีอะไรบางอย่างที่ผิด แล้วเราควรจะตัดสินใจว่าเราผิดแน่นอน ถ้อยคำพระเจ้าไม่ผิดหรอก เรายังไม่เข้าใจ มันต้องมีอะไรบางอย่าง แอบแฝงไว้แน่นอน  ที่ถูกเป็นอย่างไร? เราอาจยังไม่รู้ แต่เราละไว้ก่อนว่า อันนี้เก็บไว้ก่อน อย่าไปตีความเลยดีกว่า ถ้าตีความ มันแย้งเมื่อไร ก็คือเราผิด  เพราะฉะนั้น ถ้าเราไม่อยากผิด  เราก็เว้นไว้ก่อน ไม่ต้องไปตีความ ไม่ต้องไปเข้าใจมัน ใส่เกียร์ว่างไว้  แล้วค่อยๆ อธิษฐานกับพระเจ้า  ค่อยๆ สืบเสาะหา ความหมายที่แท้จริง  เพื่อจะได้รับความจริง และความจริงจะได้ทำให้เราเป็นอิสระ เหมือนกับถ้อยคำพระเจ้าอื่นๆ ที่เราได้เรียนรู้ถูกต้อง ทั้งเล่มของพระคัมภีร์ใหม่  และพระคัมภีร์เดิม มันจะได้สอดคล้องกัน ตามถ้อยคำของพระเจ้า  นี่คือสิ่งที่เราควรทำ ถูกไหมครับ?

พระคัมภีร์ทั้งเล่ม คือถ้อยคำที่ได้รับการดลใจจากพระเจ้า ให้เขียนขึ้นมา เป็นสติปัญญาที่ได้มาจากพระเจ้าผู้เดียว พระเจ้าเที่ยงแท้แต่เพียงผู้เดียว  องค์เดียวกันทั้งเล่ม  พระคัมภีร์ใหม่ พระคัมภีร์เก่า  ตั้งแต่ปฐมกาลถึงวิวรณ์สุดท้าย  เพราะฉะนั้น ต้องไม่มีการขัดแย้งกันในพระคัมภีร์ทั้งเล่มเด็ดขาด เพราะว่าเป็นพระเจ้าองค์เดียวกัน  ขัดแย้งกันเมื่อไร?  แปลว่าใครผิด? มนุษย์ผิด คือมนุษย์ไปตีความผิด  จะด้วยเหตุผลอะไรไม่รู้ล่ะ

ต้องสรุปอย่างนี้ก่อน จึงจะได้เห็นชัดเจนว่าทิศทางที่เราควรจะไป มันคือทิศทางไหน? เพราะฉะนั้น มีพี่น้องของเราบางคน ก็มีความสงสัยในข้อนี้ แล้วมาถามว่าถ้อยคำตรงนี้ หมายความว่าอย่างไร? ในยากอบนี้ ซึ่งผมก็ดีใจมากเลยนะ ที่ได้ยินเขามาถามอย่างนี้  เพราะอยากรู้ อยากสนใจ เขาไม่อ่านเพลินๆ อย่างแต่ก่อนนี้แล้ว เขาอ่านอย่างเจาะลึก และพยายามที่จะเข้าใจ ให้ถูกต้อง  เพราะอะไรถึงดีใจที่เขาถามอย่างนี้ ก็เพราะแปลว่าพวกเราเริ่มมีพื้นฐานของความเชื่อ ที่แข็งแกร่ง แข็งแรงขึ้นแล้ว  พออ่านเจออะไรที่ขัดแย้งกับความเชื่อที่ถูกต้อง ในหลักข้อพระคัมภีร์  ที่เราทิ้งสมอ วางรากไว้แล้ว คือความรอด โดยพระคุณของพระเจ้า  ชัดเจนเลย  พอมีอะไรขัดแย้งกับตรงนี้ ก็เกิดความสงสัย เกิดคำถามขึ้นมา  ไม่ยอมรับอะไรง่ายๆ ที่มันตรงกันข้ามกับแก่นแท้ของข่าวประเสริฐ ที่ได้รับมาเรียบร้อยแล้ว  อย่างนี้ต้องบอกว่าเอเมน ขอบคุณพระเจ้า  แสดงว่าเจริญเติบโตแล้ว เพราะฉะนั้น ใครที่อยากจะเจริญเติบโต ก็คือเมื่อใดก็ตาม ที่ท่านได้ยิน ได้ฟังข่าวสาร  เกี่ยวกับเรื่องพระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอด  พูดง่ายๆ ว่าได้ยินถ้อยคำ ที่อ้างบอกว่ามาจากพระคัมภีร์ แล้วข้อมูลเหล่านั้น ข่าวสารเหล่านั้น แย้งกับถ้อยคำของพระเจ้า ในเรื่องเกี่ยวกับความรอดที่มาโดยพระคุณ เมื่อไรก็ตาม ให้ท่านตั้งข้อสังเกตไว้เลยว่านั่นคือสิ่งที่ไม่ใช่ ไม่ถูกต้อง  ต้องมีอะไรบางอย่างผิดแน่นอน  ไม่รับ ตรงนี้สำคัญมาก

เพราะฉะนั้น สรุปถ้อยคำพระเจ้าในหนังสือยากอบ บทที่ 2 ที่บอกว่า … “ถ้าคนหนึ่งอ้างว่ามีความเชื่อ แต่ไม่สำแดงเป็นการกระทำ จะมีประโยชน์อะไร ความเชื่อแบบนี้ จะช่วยให้เขารอดได้หรือ?” อ่านแล้ว ขัดแย้งกับข่าวประเสริฐไหม? ลองมาอ่านต่อนะว่ายากอบพูดอะไรต่อ  เพื่อจะเจาะหาความลึกซึ้งของถ้อยคำตรงนี้ว่าจริงๆ แล้วมันหมายถึงอะไร?  เราต้องเรียนรู้ในบริบทของถ้อยคำ ไม่ใช่เอาข้อเดียวมา แล้วมาตีความตามที่เราคิด  อย่าลืมว่าเราศึกษาพระคัมภีร์ เราอ่าน คือจดหมายฉบับหนึ่ง เรื่องๆ หนึ่งที่มีบุคคลผู้หนึ่ง ชื่อยากอบ เขียนไปถึงชาวยิว แล้วพี่น้องที่ไม่เชื่อก็ได้อ่านด้วย เรากำลังเข้าไปอ่านหนังสือของเขา

เพราะฉะนั้น เราเอาข้อความข้อเดียวมาตีความตามที่ความคิดของเราปัจจุบัน เราอาจจะตีความผิดเยอะแยะมากมายก็ได้ เราควรจะไปดูต้นตอเลย ผู้เขียน เขาเขียนถึงใคร?  และเขาหมายถึงอะไร?  และกำลังจะคุยถึงเรื่องอะไร? ตรงนี้จะทำให้เราไม่หลุดจากความจริง  และความจริงตรงนี้ จะทำให้เราเห็นว่ามันตรงกันหมดเลยกับอัครสาวกทุกคน  ที่ได้เขียนข่าวประเสริฐของพระเจ้า ในหนังสือจดหมายฝาก พระคัมภีร์ใหม่ทั้งเล่ม  ตรงกันหมด แล้วโยงไปจนถึงในพระคัมภีร์เดิม ก็ตรงกันหมดอีกต่างหาก ยากอบ 2:14-19  จะได้มองเห็นภาพรวมๆ ได้ …

ยากอบ 2:14-19  “14 พี่น้องทั้งหลาย ถ้าคนหนึ่งอ้างว่ามีความเชื่อ แต่ไม่สำแดงเป็นการกระทำ จะมีประโยชน์อะไร ความเชื่อแบบนี้ จะช่วยเขาให้รอดได้หรือ 15 สมมุติว่าพี่น้องชายหญิงคนใดขาดแคลนเสื้อผ้าและอาหารประจำวัน 16 ถ้าผู้ใดในพวกท่านพูดกับเขาว่า “ไปเถิด ขอให้ท่านเป็นสุข รักษาตัวให้อบอุ่นและอิ่มหนำเถิด”  แต่ไม่เอื้อเฟื้อปัจจัยเลี้ยงชีพแก่เขา จะมีประโยชน์อันใด? 17 เช่นกัน ความเชื่อเพียงอย่างเดียว โดยไม่มีการกระทำ ก็เป็นความเชื่อที่ไร้ประโยชน์  18 แต่บางคนจะกล่าวว่าท่านมีความเชื่อ ส่วนข้าพเจ้ามีการกระทำ จงแสดงความเชื่อของท่าน ที่ไม่มีการกระทำมา แล้วข้าพเจ้า จะแสดงความเชื่อของข้าพเจ้า ด้วยสิ่งที่ข้าพเจ้ากระทำ 19 ท่านเชื่อว่ามีพระเจ้าองค์เดียวก็ดีแล้ว แม้พวกผีมารก็ยังเชื่อเช่นนั้น และกลัวจนตัวสั่น”

 

ในข้อ 14 ที่ตะกี้นี้เราอ่านกันบอกว่าความเชื่อต้องมีการสำแดงออกมา เป็นการกระทำด้วย  จึงจะมีประโยชน์

ข้อ 15-16 อธิบายเป็นตัวอย่างว่า … “ถ้ามีพี่น้องคนใดคนหนึ่ง ขาดแคลนเสื้อผ้าและอาหาร แล้วมาขอความช่วยเหลือจากท่าน แล้วท่านก็พูดกับเขาว่า ‘ดูแลตัวเองให้ดีๆ นะ รักษาตัวเองให้อบอุ่น ทานข้าวให้อิ่มๆ นะ’ โดยไม่ได้ให้ความช่วยเหลืออะไร? คือโดยที่ไม่ได้ทำอะไรที่เป็นการช่วยเหลือเขาเลยตามที่พูด ลักษณะอย่างนี้เรียกว่าความเชื่อ ที่ไม่มีการกระทำ คือเชื่อว่าพี่น้องขาดแคลน ตามที่เขาบอก เขาบอกว่าเขาขาดแคลน แล้วเราเชื่อไหม? เราเชื่อ เชื่อว่าเขาขาดแคลน  เชื่อว่าพี่น้องต้องการความช่วยเหลือ เชื่อไหม? เชื่อ  แต่เชื่อด้วยปาก  แค่พูดด้วยวาจา ไม่มีการกระทำ ช่วยเหลืออะไรเลย ตามที่พูด แบบนี้ไม่เกิดประโยชน์อันใดเลย  มันไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องของความรอดเลย  มันเกี่ยวกับเรื่องของความเชื่อด้วยปาก แต่ไม่มีการกระทำ

ตรงนี้ยากอบไม่ได้กำลังมาสอนศีลธรรม ให้คนมีเมตตา กรุณาช่วยเหลือคนจน เราอย่าเข้าใจผิดตรงนี้ ตรงนี้ยากอบกำลังยกตัวอย่าง เพื่อให้เราเห็นถึงความเชื่อด้วยปากเฉยๆ แต่ไม่ได้ทำตามที่พูดนั้น   พูดง่ายๆ ว่าดีแต่ปาก   กำลังอธิบายตรงนี้มากกว่าใช่หรือไม่?  เพราะเราอ่านเพลินๆ เราก็นึกว่ายากอบกำลังสอนเราให้เมตตา กรุณา เจอคนจนมา เราต้องช่วยคนจน ในฐานะเป็นคริสเตียน แหม ฟังอย่างนี้มันเพลิน มันง่ายดี แต่มันไม่ใช่บริบท ถ้าเราไปทำอย่างนั้น  เดี๋ยวเราก็จะถูกล่อลวงให้หลงไป เข้าใจบริบทและถ้อยคำเหล่านี้ผิด  พอผิด มันก็จะขัดแย้งกับข่าวประเสริฐของพระเจ้าจริงๆ นั่นเอง

ถ้ามีคนจนอยู่ในความทุกข์ยากลำบาก มาเล่าเรื่องความทุกข์ยากลำบากของเขา ให้ท่านฟัง เพื่อขอความช่วยเหลือ  และท่านก็เชื่อในสิ่งที่เขาเล่าว่าเขาลำบากจริงๆ และบอกเขาว่าจะช่วยนะ แต่ไม่ได้ทำอะไรสักอย่างหนึ่ง อย่างนี้เขาเรียกว่าเชื่อเฉยๆ (อันนี้ผมตั้งขึ้นมาเองนะ) ไม่มีการตัดสินใจ ไม่มีการกระทำอะไรตามที่เชื่อนั้น  ไม่อยากจะบอกว่าดีแต่ปาก มันแรงไปนะ เอาเป็นว่าเชื่อเฉยๆ  แต่ไม่ทำ

ความเชื่ออย่างนี้  คือสิ่งที่ข้อ 17 บอกไว้ชัดเจน บอกว่า … “เช่นกัน ความเชื่อเพียงอย่างเดียว โดยไม่มีการกระทำ ก็เป็นความเชื่อที่ไร้ประโยชน์ ไม่เกิดผลอะไรเลยสักนิดเดียว ดีแต่ปาก” อันนี้แถมให้ ใช่หรือไม่?  ปัจจุบันเราก็ยังทำอย่างนี้กันอยู่ ปัจจุบันเราก็ยังพูดอย่างนี้กันอยู่เลย

“โอ๊ย! เธอดีแต่ปาก”

“น่าสงสาร”

ทำอะไรไหม? ไม่ทำอะไรสักอย่าง ดีแต่ปาก

ถ้าท่านเชื่อจริงๆ ว่าเขาทุกข์ยากลำบาก  และขอความช่วยเหลือท่าน  ท่านรู้ว่าเขากำลังเดือดร้อน  กำลังจำเป็นต้องมีอะไรบางอย่าง ท่านก็ต้องรีบขวนขวายแล้ว  ถ้าท่านเชื่อเขาจริง  นั่นแหละ ของจริง คือเชื่อและมีการกระทำอะไรบางอย่าง เพื่อลดความทุกข์ยากลำบากของเขา ตามที่เขาขอร้อง และท่านเชื่อด้วย  ถูกไหม? อย่างนี้เขาเรียกว่าเชื่อจริงๆ  คือมีการกระทำ  ตามที่เชื่อ  ไม่ใช่เชื่อเฉยๆ

ข้อ 19 บอกว่า … “ท่านเชื่อว่ามีพระเจ้าองค์เดียวก็ดีแล้ว” ฟังให้ดีๆ นะ อันนี้ก็มันมากเหมือนกัน  “แม้พวกผีมาร ก็ยังเชื่อเช่นนั้น และกลัวจนตัวสั่น”

พวกมารซาตาน พวกผี วิญญาณชั่ว รู้จักพระเจ้าดี ดีกว่าเราอีก  เห็นพระเจ้าเลย  เพราะอยู่ในโลกวิญญาณเช่นเดียวกัน  เรายังมองไม่เห็น เรายังเห็นพระเจ้าแบบลางๆ  เห็นวิญญาณชั่วก็ลางๆ ได้แต่ใช้ความเชื่อ ตามที่พระเจ้าบอกเรา  จริงหรือไม่?  บอกว่าในโลกวิญญาณ มีวิญญาณชั่วอยู่ มีมารซาตานอยู่  เราเห็นหรือ? เราไม่เห็น แต่เราใช้ความเชื่อจากถ้อยคำพระเจ้า ที่บอกเรา พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่  พระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า อะไรต่างๆ เหล่านี้ มีทูตสวรรค์เป็นพวกเราอยู่ 2 ใน 3 เราเห็นไหม? เราไม่เห็น  เราก็ใช้ความเชื่อจากถ้อยคำของพระเจ้าเหล่านี้เช่นเดียวกัน ส่วนมารนั้น อยู่ในโลกวิญญาณ เห็นพระเจ้าอยู่ รู้จักพระเจ้ามากกว่าเราตั้งเยอะ รู้เรื่องราวข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์เป็นอย่างดี  รู้ว่าพระเยซูคริสต์เป็นใคร?  รู้ว่าพระองค์ทรงยิ่งใหญ่ขนาดไหน?  รู้ว่าพระองค์เป็นอัลฟาและโอเมก้ารู้ไหม? รู้มากกว่าเราไหม? เรารู้ว่าพระองค์เป็นเริ่มต้นและเบื้องปลาย ตามที่พระคัมภีร์บอกเรา  เราได้รู้ตามถ้อยคำพระเจ้า  แล้วเราเชื่อเอา แต่วิญญาณชั่ว พวกมารซาตานมันรู้จริงๆ มันเห็นจริงๆ เลย พระเยซูคือใคร? มันรู้ รู้แล้วทำไม? มารมันก็เชื่อ  มันเห็น แต่มันเชื่อเฉยๆ  แต่พวกมันไม่มีการตอบสนองต่อความเชื่อนั้นเลยว่าพระองค์ยิ่งใหญ่ขนาดไหน?  และควรจะสยบต่อความยิ่งใหญ่ของพระองค์ขนาดไหน? สิ่งที่มันกระทำออกมา ตรงกันข้ามกับความเชื่อนั้นใช่หรือไม่? ชัดไหม? ชัด มันรู้ว่าพระองค์เป็นพระเจ้าองค์เดียว ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย  สร้างมันเองด้วย มันเชื่อ แต่มันไม่ทำ  ถ้าเชื่อจริง มันต้องยอมสยบแล้ว  เป็นผู้สร้างเรา นี่คือสิ่งที่ยากอบพยายามจะอธิบายให้พี่น้องเข้าใจว่าความเชื่อเฉยๆ เป็นอย่างไร?

ผมจะยกตัวอย่างเอาปัจจุบันง่ายๆ เลย ท่านไปซุปเปอร์มาเก็ต เดินเข้าไปถึง มีพนักงานขายแยม แยมสูตรใหม่ รุ่นใหม่  กินแล้วมีสุขภาพดีอย่างนั้น เป็นออร์แกนนิค เป็นอินทรีย์ ไม่มีผสมสารเคมีใดๆ  กินแล้วมีประโยชน์ ราคาไม่แพงด้วย ท่านเดินไปถึง เขาอธิบาย ก็ไปยืนฟังเขา  ท่านเริ่มเชื่อ เขาก็ให้ท่านชิม ท่านชิมปุ๊บ อร่อยจริง ดีจริงๆ ท่านเชื่อ เขาก็บอกท่านว่าดีไหม? ท่านก็บอกว่าดี ปากท่านบอกว่าดี ก็คือเชื่อ ตามสรรพคุณเขาแล้ว  ดี เสร็จปุ๊บ เรียบร้อย ท่านชิม แล้วก็เดินไป ไม่ซื้อหรอก เดินไปที่อีกชั้นวางของหนึ่ง  ไปซื้อแยมยี่ห้อเก่าที่ท่านกินเป็นประจำนั่นแหละ ที่ใส่สารกันบูด สารอะไรเยอะแยะ เป็นพิษ ตามที่เขาพูดเมื่อตะกี้นี้ เขาบอกของเก่าที่เรากินนั้น มันเป็นภัยต่อสุขภาพของเรา  ไม่ควรกินต่อไป มากินของใหม่ดีกว่า เราบอกดี ใช่ ถูก เห็นด้วย แต่เราไม่ซื้อ เราไม่เอา  เราก็กลับไปกินของเดิม  แสดงว่าที่เราบอกดี เชื่อเขา มันเป็นการเชื่อแบบเฉยๆ ไม่ทำ

ขอยกตัวอย่างอีกอันหนึ่ง เคยเห็นนักแสดงยิมนาสติก ที่เขามาแสดงโลดโผนไหม? เขาสามารถที่จะเดินบนสลิงเส้นเดียว ข้ามหุบผาสูงชัน ตกลงไปตายเลยนะ ระหว่างยอดเขา 2 ลูก เขาสามารถเดินไป โดยใช้ไม้อันเดียว  เป็นตัวทำสมดุล พยุงตัวและเดินไป เขาเดินไป เดินมา ประกาศให้คนมาดู คนมาดูเยอะแยะ ตะโกนกัน เก่งมาก ยอดมาก เดินไปเดินมา เดินมาเดินไป  หลายเที่ยวเลย จนคนปรบมือ ชัดเจนมากเลยว่าเขาทำได้ เสร็จปุ๊บ หลังจากเดินมาหลายเที่ยวแล้ว เที่ยวสุดท้าย เขาบอกว่าพี่น้องคนที่บอกว่าเชื่อว่าเขาเดินได้ ให้ออกมา เขาจะเดินไป โดยที่มีพี่น้องคนนั้น ที่บอกว่าเชื่อ ขี่คอเขาไป เขาถามว่าถ้ามีคนขี่คอเขา เขาสามารถเดินไปได้ไหม? คนนั้นบอกได้ แต่ปรากฎว่าเขาบอกว่าคนไหนที่บอกว่าได้ ให้ออกมา เป็นอาสาสมัคร มาขี่คอเขา แล้วก็เดินไปด้วยกัน  ปรากฏว่าไม่มีใครออกมาสักคนหนึ่งเลย คนที่ยกมือเมื่อตะกี้ว่าเชื่อๆ เชื่อว่าคุณทำได้ๆ ไม่มีใครออกมาสักคนหนึ่งเลย ทุกคนพูดคำว่าเชื่อนั้น  คือเชื่อเฉยๆ  พอถึงเวลาทำจริงๆ ไม่เอา ก็คือไม่เชื่อจริงๆ นั่นเอง ถูกไหม?

นี่คือความแตกต่างระหว่างการเชื่อเฉยๆ กับเชื่อจริงๆ  … เชื่อจริงๆ ต้องมีการตอบสนอง มีการตัดสินใจ กระทำอะไรบางอย่าง ตามข้อมูลข่าวสารที่ได้รับ  และเชื่อจริงๆ (เชื่อด้วยความศรัทธาว่านั่นใช่จริงๆ และก็ทำตามนั้น ตามที่ได้ยินได้ฟังมา แล้วตัวเองบอกว่าเชื่อนั่นแหละ) อย่างนี้เขาเรียกว่าเชื่อจริงๆ  หรือเชื่อจริงๆ แบบเชื่อศรัทธานั่นเอง ชัดเจนเลย

ในหนังสือยากอบ ยังได้ยกตัวอย่างของอับราฮัม ที่ได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งความเชื่อ  ซึ่งความเชื่อของอับราฮัมมีการกระทำของเขาอยู่ในความเชื่อนั้นด้วย ทำอะไรบางอย่าง ควบคู่ไปกับที่เขาบอกว่าเขาเชื่อในพระเจ้า  จึงเป็นความเชื่อที่ครบถ้วนบริบูรณ์ และเกิดผล  ตามที่ยากอบได้อธิบายถึงว่าความเชื่อต้องมีการกระทำ ถึงไม่ไร้ประโยชน์

พูดง่ายๆ ว่าความเชื่อที่มีการกระทำ ถึงจะเกิดผล อับราฮัมเป็นตัวอย่างที่เขายกขึ้นมา ดูสิว่ายากอบยกตัวอย่างของอับราฮัม หมายถึงอะไร? เกี่ยวข้องอะไรกับบริบทที่เรากำลังเรียนรู้อยู่นี้ เกี่ยวกับความเชื่อเฉยๆ กับความเชื่อจริงๆ ความเชื่อที่ไม่มีการกระทำกับความเชื่อที่มีการกระทำด้วย มันคืออะไรกันแน่ มันแย้งกับข่าวประเสริฐของพระเจ้าหรือไม่? ยากอบ 2:20-24 …

ยากอบ 2:20-24 “20 คนเขลาเอ๋ย ท่านต้องการหลักฐานว่าความเชื่อโดยปราศจากการกระทำนั้น  เปล่าประโยชน์ ใช่ไหม? 21 พระเจ้าทรงถือว่าอับราฮัม บรรพบุรุษของเรา เป็นผู้ชอบธรรม ก็เพราะการกระทำของเขา ที่ถวายอิสอัคบุตรชาย บนแท่นบูชาไม่ใช่หรือ? 22 ท่านก็เห็นแล้วว่าความเชื่อและการกระทำของเขา ทำงานควบคู่กัน  ความเชื่อของเขาครบถ้วนสมบูรณ์  โดยสิ่งที่เขาได้ทำ 23 และเป็นจริงตามพระคัมภีร์ที่ว่า “อับราฮัมเชื่อพระเจ้า และความเชื่อนี้ พระองค์ทรงถือว่าเป็นความชอบธรรมของเขา และเขาได้ชื่อว่าเป็นสหายของพระเจ้า 24 จะเห็นได้ว่าผู้ใดจะถูกนับว่าชอบธรรม ก็ด้วยการกระทำของเขา  ไม่ใช่ด้วยความเชื่ออย่างเดียว”

 

ข้อ 24 เป็นหัวใจ … “จะเห็นได้ว่าผู้ใดจะถูกนับว่าชอบธรรม ก็ด้วยการกระทำของเขา ไม่ใช่ด้วยความเชื่ออย่างเดียว” ใครนับ? พระเจ้านับ  พระเจ้านับว่าเป็นผู้ชอบธรรม ก็คือนับว่าเป็นลูกของพระเจ้า  ตามพันธสัญญา  บริสุทธิ์ สะอาด พ้นจากบาป จะนับว่าคนนั้นเป็นผู้ชอบธรรม  ก็ด้วยการกระทำของเขา  ไม่ใช่ด้วยความเชื่ออย่างเดียว  คือความเชื่อต้องบวกการกระทำด้วย หมายถึงอับราฮัมเชื่อว่ามีพระเจ้า ซึ่งแม้จะเป็นพระเจ้าที่ตาอับราฮัมมองไม่เห็น  แต่อับราฮัมเชื่อว่ามีอยู่จริงๆ ตรงนี้มากกว่าความเชื่อของอับราฮัมหมายถึงอะไร?

เขาเชื่อว่ามีพระเจ้าจริงๆ  พระเจ้าที่ได้ทรงตรัสกับเขาว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้แต่เพียงองค์เดียว  นอกจากพระองค์ ไม่มีพระเจ้าอื่นใดอีกแล้ว  ไม่มีพระเจ้าอื่นใด ไม่ใช่พระเจ้าเป็นพระเจ้าหนึ่งองค์ในจำนวนหลายๆ องค์ ที่ยิ่งใหญ่กว่าองค์อื่นๆ ไม่ใช่  ความหมายตรงนี้ หมายถึงพระเจ้า ผู้ยิ่งใหญ่เที่ยงแท้แต่เพียงพระองค์เดียว คือมีพระเจ้าจริงๆ อยู่เพียงผู้เดียว คือพระเจ้าองค์นี้  ที่ไม่มีชื่อ ที่เรียกว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่สูงสุด นอกจากนั้น ไม่มีพระเจ้าอื่นใด ที่อ้างตัวเป็นพระเจ้า เป็นพระเจ้าปลอมทั้งสิ้น  และอับราฮัมก็เชื่อว่าพระเจ้าองค์นี้มีอยู่จริงๆ ทั้งที่ตามองไม่เห็น หูได้ยิน ได้ยินแต่เสียง  จับต้องไม่ได้  แต่เชื่อว่ามีพระเจ้า  เชื่อถึงขนาดพระเจ้าองค์นี้ ที่มองไม่เห็นนี้ แต่รู้ว่ามีจริงๆ  ได้บอกอับราฮัมเป็นพันธสัญญาว่าจะอวยพรเจ้านะ  ถ้าเจ้ากระทำสิ่งนี้  ก็คือถวาย มอบลูกชายของตัวเอง ให้เป็นเครื่องบูชากับพระเจ้า  คือให้ประหารบุตรของตนเองนั่นเอง

เชื่อว่ามีพระเจ้า พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด  พระองค์ทรงสามารถที่จะทำอะไรก็ได้ทุกสิ่ง  เป็นผู้ให้กำเนิดทุกอย่าง  เพราะฉะนั้น เป็นผู้มอบลูกชายคนนี้ให้กับอับราฮัม อับราฮัมก็เลยบอกว่าเชื่อ ถึงขนาดว่าถ้าพระเจ้าจะเอาบุตรชายคนนี้ที่ให้มากับเขา เอากลับไป  พระองค์ก็สามารถให้ใหม่ได้  สามารถชุบให้คนตายเป็นขึ้นมาใหม่ได้ ชุบให้ลูกชายของเขาอิสอัคเป็นขึ้นจากความตายได้เช่นเดียวกัน เชื่อถึงขนาดนี้  นี่เขาเรียกว่าความเชื่อ  จึงสามารถที่จะทำความเชื่อนั้น  โดยการเชื่อและก็ทำตามที่พระเจ้าบอก คือจะถวายบุตรของตัวเอง  ซึ่งท่านก็ทราบเรื่องนี้อยู่แล้วว่าพระเจ้าทดลองใจเขา พอเขาจะทำ ตัดสินใจฆ่าจริงๆ ปุ๊บ พระเจ้าบอกพอแล้วๆ  เข้าใจ  รู้แล้วว่าเชื่อจริงๆ ไม่ได้ตั้งใจให้ฆ่าหรอก ทดลองใจว่าเชื่อจริงๆ หรือไม่? อย่างนี้แหละ เขาไม่ได้เรียกว่าเชื่อเฉยๆ  เขาเรียกว่าเชื่อจริงๆ เชื่อในสิ่งที่พระเจ้าพูด เชื่อว่าพระองค์เป็นพระเจ้าจริงๆ ทั้งๆ ที่มองไม่เห็น แต่เชื่อ

อีกตัวอย่างหนึ่ง ที่ยากอบยกขึ้นมา ก็คือเรื่องของราหับ หญิงโสเภณี ที่ยอมเสี่ยงชีวิต ช่วยชีวิตสายลับชาวยิวหรือชาวอิสราเอลนั่นเอง ยากอบ 2:25-26 ต่อมาของบริบทนี้ …

ยากอบ 2:25-26  “25 เช่นกัน แม้แต่ราหับ หญิงโสเภณี ยังถูกนับว่าชอบธรรม เพราะการกระทำของนางไม่ใช่หรือ? เมื่อนางให้ที่พักแก่คนสอดแนม และช่วยส่งพวกเขาไปอีกทางหนึ่ง  26 ร่างกายที่ปราศจากวิญญาณ ตายแล้วฉันใด  ความเชื่อที่ปราศจากการกระทำ ก็ตายแล้วฉันนั้น”

 

ต่อจากอับราฮัม ยากอบก็ยกตัวอย่างราหับ ในพระคัมภีร์เดิม ราหับเคยได้ยินกิตติศัพท์ของพระเจ้า ของอิสราเอลมา ซึ่งก่อนหน้านี้ พระเจ้าทำการอัศจรรย์ใหญ่มาก ตอนก่อนที่จะถึงเรื่องของราหับ ในหนังสือยากอบที่เขียนถึงนี้ ราหับได้ยินได้ฟัง คือคนในยุคนั้น ต้องได้ยินได้ฟังตรงนี้หมด ก็คือช่วงที่พระเจ้าได้แยกน้ำทะเลออกเป็น 2 ข้าง และให้ชาวยิวเป็นล้าน เดินผ่านดินแห้ง พอเดินผ่านไปกันหมดแล้ว ก็ให้น้ำกลบทับกองทัพของอียิปต์  ซึ่งเป็นมหาอำนาจในตอนนั้น เกลี้ยงเลย เรื่องนี้กระฉ่อนไปทั้งโลกในขณะนั้น  เพราะฉะนั้น ราหับก็ต้องได้ยินตรงนี้ด้วย รู้ว่าพระเจ้าของอิสราเอล เป็นพระเจ้าเที่ยงแท้แต่เพียงพระองค์เดียว นอกจากพระองค์ ไม่มีพระเจ้าอื่นใด  พระองค์ทรงยิ่งใหญ่สูงสุด สามารถกระทำทุกสิ่งทุกอย่างได้ เชื่อเหมือนอับราฮัมเชื่อเลย เชื่อว่าพระเจ้าองค์นี้มีจริงๆ ทั้งที่มองไม่เห็น  จับต้องได้ไหม? จับต้องไม่ได้ แต่รู้ว่ามีพระเจ้า รู้ เชื่อว่าพระองค์เป็นพระเจ้า ยิ่งใหญ่ แต่เพียงผู้เดียว และทำอะไร?

ราหับพอได้ยินสายลับของชาวยิว ชาวอิสราเอล ประชากรของพระเจ้ามาเคาะประตู ขอความช่วยเหลือ เพราะถ้าเจ้าเมืองจับได้  ก็ถูกประหาร ต้องหลบหนี เคาะประตูขอให้ช่วยเหลือ แล้วก็บอกว่าเขาเป็นชาวยิว เป็นประชากรของพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดที่ราหับเคยได้ยิน  และบอกในใจว่าเชื่อว่าเป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด สามารถทำทุกสิ่งทุกอย่างได้ ช่วยคนให้รอดจากทุกสิ่งทุกอย่างได้  เขาสามารถที่จะเชื่อเฉยๆ  เคาะก็เคาะสิ ไม่เปิด  สายลับ 2 คนนั้นอาจจะพูดว่า …

“พระเจ้าของเรายิ่งใหญ่สูงสุด”

“เหรอ! ดีนะ” … เดินทำกับข้าวต่อ ไม่เปิดประตู อย่างนี้เขาเรียกเชื่อเฉยๆ

แต่ราหับไม่ใช่อย่างนั้น ในหนังสือยากอบตะกี้บอกว่าแต่ราหับ ไม่ได้เชื่ออย่างเดียว  แต่เชื่อจริงๆ  พอเชื่อว่ามีพระเจ้าจริงๆ จึงกล้าเปิดประตู ตามที่พระเจ้าบอกให้ทำ  พระเจ้าบอกให้ทำตอนไหน? ก็บอกให้ทำโดยผ่านทางคนของพระเจ้า ก็คือสายลับ 2 คนที่เคาะที่ประตูนั้น แล้วบอกว่า …

“เปิดประตู ช่วยที”

เสียงของพระเจ้ามาบอกเขา บอกว่า … “เปิดประตูให้เราเข้าไป”

เหมือนกับอับราฮัมที่ได้ยินพระเจ้าทดลองใจว่า … “ถวายบุตรของเจ้า ถ้าเจ้าเชื่อจริงๆ” แล้วอับราฮัมก็ทำ

ราหับก็ทำ  … “ถ้าเจ้าเชื่อเราจริงๆ เปิดประตู” เพราะว่าการเปิดประตูของราหับ มันหมายถึงเสี่ยงชีวิตของเขา ถ้าเขาถูกจับได้ ถูกทหารของเจ้าเมืองเยรีโคฆ่าตายแน่นอน เขาเสี่ยงชีวิต เปิด เพราะเขาเชื่อจริงๆ เขาจึงกระทำอะไรบางอย่าง ทำสิ่งนี้ คือเปิดประตูรับสายลับเข้ามา แล้วก็ส่งสายลับทั้งสองคนนี้ ออกไปทางหน้าต่าง หนีออกไปได้

นี่คือสิ่งที่เรียกว่าไม่ใช่เชื่อเฉยๆ แต่เชื่อจริงๆ และมีการกระทำตามที่พระเจ้าได้บอกให้เขาทำ พระเจ้าบอกให้เขาทำอะไร ให้เขาเปิดประตูต้อนรับคนของพระองค์

เหมือนที่ผมเคยเล่าประสบการณ์ในการบรรยายเรื่องความเชื่อบ่อยๆ ว่าเชื่อเฉยๆ เป็นลักษณะอย่างไร? ง่ายๆ เลย ผมเล่าให้ท่านฟังเรื่องร้านก๋วยเตี๋ยวเรืออร่อยมาก เล่าทีไร ท่านน้ำลายหกทุกที  อยากจะกินจัง ท่านก็ถามอยู่นั่นแหละว่าร้านอยู่ตรงไหน? ผมก็บอกให้ จนกระทั่งเขามี Google map ผมก็ปักหมุดให้เลย เชื่อๆ พาสเตอร์ส่งปักหมุดมาให้เลย  ส่งให้เสร็จเรียบร้อย ง่ายนิดเดียว ถ้าจะไป เปิดมือถือ กดเป้าหมาย ไปตามนั้น ก็ได้แล้ว แต่ปรากฏว่าเจอกันทีไร ถามว่า …

“ไปมาหรือยัง?”

“ยังไม่ไป” ไม่ไปไม่พอ ถามต่อ … “แล้วมันอร่อยอย่างไร?”

ผมก็ต้องเล่าต่ออีก … “อร่อยอย่างนั้น พูดไม่ถูกเลย  อร่อยมากเลยจริงๆ”

“โอเค จะไปๆ”

พอเจออีกครั้งหนึ่ง ไปมาหรือยัง? ยังไม่ไป  จนแล้วจนรอด จนถึงวันนี้ ก็ยังไม่ไปอยู่ดี แล้วถามว่าเขาเชื่อในผมไหม? ที่ผมเล่าให้เขาฟัง เรื่องร้านก๋วยเตี๋ยวเรือนี้ มันอร่อยมาก ถ้ายังไม่เชื่อ เขาคงไม่ใส่ปักหมุดลงไปในมือถือเขาใช่ไหม? ใช่ แต่ต่อให้เชื่อผมอย่างไร ก็ไม่มีประโยชน์ ถ้าปราศจากการกระทำตามที่เชื่อ ตามที่ได้ข่าวสารมาว่าร้านนี้อร่อยๆ ปักหมุด แล้วก็ไป แค่นั้นเอง ถ้าปราศจากการกระทำตามข้อมูลข่าวสาร  ที่เป็นจริง ที่บอกให้แล้ว ตัวเองบอกว่าเชื่อแล้ว ไม่ทำตามนั้น ไม่มีประโยชน์เลย

คุ้นๆ ไหมว่านอกจากเรื่องร้านก๋วยเตี๋ยวแล้ว ผมชอบพูดเรื่องอะไรอีก? มากกว่าเรื่องร้านก๋วยเตี๋ยว มากกว่าเรื่องร้านอร่อย ชอบพูดเรื่องอะไร? เรื่องข่าวดีของพระเยซูคริสต์ไง  เพราะพาสเตอร์พูดอยู่นั่นแหละ ซ้ำๆ กันอยู่ตลอดเวลาเลยว่า …

“มนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป ต้องรับการช่วยเหลือจากพระเจ้า ช่วยเหลือตัวเองให้พ้นจากบาป เป็นไปไม่ได้หรอก ไม่มีใครเลยที่จะไม่ทำบาปเลยแม้แต่ครั้งเดียว เกิดมาก็เป็นคนบาปแล้ว แล้วก็ทำบาป เป็นเรื่องธรรมชาติ ธรรมดา เพราะฉะนั้น ต้องพึ่งในพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ที่พระเจ้าส่งมา เป็นพระมาซีฮาห์ มาตายที่ไม้กางเขน  หลั่งพระโลหิต ชำระบาปให้กับท่าน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม เพื่อให้ท่านเป็นขึ้นมาใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าได้ด้วย  ท่านจะได้เข้าสู่สวรรค์เดี๋ยวนี้ทันทีเลย”

ตาค้างเลย … “พาสเตอร์พูดใช่เลย มีเหตุมีผล ยอดเยี่ยมเลย ฉันก็ต้องการ”

แล้วใช้สิทธิของท่านในการที่พระเจ้าทรงไถ่ท่านเรียบร้อยแล้ว โดยการเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดหรือยัง?

เจออีกทีหนึ่ง เปิดใจหรือยัง? ยังเลย เพราะอันโน้น เพราะอันนี้  งานเยอะ เลยไม่ได้ไปร้านก๋วยเตี๋ยวสักที เพราะอันโน้น อันนี้  ทั้งๆ ที่รู้ว่ามันอร่อย แต่ไม่ไปกินสักที ฉันใดฉันนั้นแหละ รู้ว่ามันจำเป็น แต่มันยังติดอันโน้น อันนี้อยู่  คนนั้นทักท้วงไว้ เพราะฉะนั้น ไม่ตัดสินใจสักทีหนึ่ง ความเชื่อเฉยๆ อย่างนี้ ไม่มีประโยชน์ ตามบริบทของยากอบกำลังอธิบายให้เราฟังอย่างนี้

วันนี้เราจะสรุปทิ้งท้ายกันแค่นี้ก่อนว่าความเชื่อเฉยๆ ไม่มีการกระทำนั้น เป็นความเชื่อที่ไร้ประโยชน์ ไม่เกิดผล ส่วนคำตอบที่ว่าแล้วการกระทำของความเชื่อคืออะไร? หมายความว่าอย่างไร? เราจะมาฟังคำตอบในคราวหน้า  อธิบายกันอย่างละเอียดๆ อย่างนี้อีก และมีคำถามอะไร? ก็ถามกันเข้ามานะ บอกกันเข้ามา เพื่อเราจะได้ช่วยกันวิเคราะห์ และเจาะลึกความจริงของถ้อยคำพระเจ้าเหล่านี้ว่ามันไม่ได้ขัดแย้งกันเลย มันเป็นสิ่งที่เราไม่เข้าใจต่างหาก

ขอบคุณพระเยซูคริสต์ สำหรับความจริงของพระองค์ ขอบคุณในพระเมตตาของพระองค์ ที่ทรงช่วยเหลือเราทั้งหลาย ให้เข้ามาสู่ความจริงของพระองค์ และสามารถที่จะให้ความจริงเหล่านี้ ผลักดันให้เราสามารถกระทำตามที่เราบอกว่าเราเชื่อจริงๆ  ในข่าวสาร ในถ้อยคำข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ที่มาถึงเรา โดยการประกาศของผู้รับใช้ของพระองค์ จะด้วยวิธีใดก็ตามที่เราได้ยินได้ฟังข่าวประเสริฐเหล่านั้นแล้ว และเราก็เริ่มต้นเชื่อ และเมื่อเชื่อแล้วจริงๆ  เรายังไม่สามารถที่จะกระทำตามความเชื่อนั้นได้ อาจจะมีเหตุติดโน่นติดนี่อะไรต่างๆ เหล่านั้น  แต่ขอบคุณพระเจ้าที่ความจริงของพระองค์มีฤทธิ์เดชอำนาจ เมื่อเรารักษาความจริงนี้ไปเรื่อยๆ วันหนึ่งมันจะเกิดผลแน่นอน และผลนั้นจะเกิดขึ้นตามมา จากการตัดสินใจกระทำตามข้อมูล ที่เราได้ยินได้ฟังมา แล้วเราบอกเราเชื่อจริงๆ นั่นแหละ เชื่อจริงๆ มันจึงเกิดการกระทำ ตามที่เชื่อนั้น และพอกระทำ ก็เกิดผลตามความเป็นจริงของถ้อยคำข่าวสารที่เราได้รับมานั้นเลยทีเดียว ขอบคุณพระองค์ ในนามพระเยซู เอเมน

 

*******************

 

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

มัทธิว 7:24-27 พระเยซูบอกว่า … “เหตุฉะนั้น ผู้ใดที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเราและกระทำตาม เขาก็เปรียบเสมือนผู้ที่มีสติปัญญาสร้างเรือนของตนไว้บนศิลา ฝนก็ตกและน้ำก็ไหลท่วม ลมก็พัดปะทะเรือนนั้น แต่เรือนมิได้พังลง เพราะว่ารากตั้งอยู่บนศิลา แต่ผู้ที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเราและไม่กระทำตาม เขาก็เปรียบเสมือนผู้ที่โง่เขลาสร้างเรือนของตนไว้บนทราย ฝนก็ตกและน้ำก็ไหลท่วม ลมก็พัดปะทะเรือนนั้น เรือนนั้นก็พังทลายลง และการซึ่งพังทลายนั้นก็ใหญ่ยิ่งนัก”

 

“เหตุฉะนั้น  ผู้ใดที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเราและประพฤติตาม”  แล้ว … คำเหล่านี้คืออะไร? พระเยซูกำลังประกาศกับชาวยิวที่อยู่ในพันธสัญญาเดิม ก่อนมีพันธะสัญญาใหม่ คำเหล่านี้ คือคำประกาศเรื่องอาณาจักรสวรรค์ ที่พระองค์กำลังนำเข้ามาในโลกในไม่ช้านี้ และวิธีที่จะเข้าสวรรค์ได้ คือพึ่งพาในการกระทำของพระองค์ และความชอบธรรมของพระเจ้า โดยความเชื่อในพระองค์เท่านั้น เป็นทางไปสู่สวรรค์ของพระบิดา อย่าพึ่งพาในการกระทำดีตามกฎบัญญัติ ของโมเสสและบรรพบุรุษ เพื่อสร้างความชอบธรรมของตนเอง  ท่านไม่มีทางที่จะรักษากฎบัญญัติได้ครบถ้วนบริบูรณ์ทุกจุดทุกขีดหรอก จะบอกให้! ท่านผู้โง่เขลา! ท่านผู้เคร่งศาสนา! ท่านรู้แก่ใจดี! อย่าหลอกตัวเองเลย! เชื่อและกระทำตามคำแนะนำของเราเถิด เรารักเจ้าและห่วงใยเจ้ามากนะ

 

โรม 12:1 “พี่น้อง เพื่อเห็นแก่พระคุณความเมตตาของพระเจ้า ที่มีต่อเราทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอร้องท่าน ให้ยอมมอบอวัยวะทุกส่วนในร่างกาย พร้อมทั้ง (สมอง) ความคิด และสติปัญญา ของท่าน ให้เป็นเหมือนเครื่องบูชาที่มีชีวิตอยู่ ที่บริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ (เป็นสมบัติส่วนตัวของพระเจ้า) และเป็นที่พอใจพระเจ้าแล้ว ซึ่งเป็นการกตัญญูต่อพระเจ้า ที่สมควรในวิญญาณของเรา ที่ได้บังเกิดใหม่ โดยพระคุณพระเจ้า ซึ่งเป็นการนมัสการพระเจ้า ด้วยวิญญาณ และความจริง”

 

สังเกต “ขอร้องท่าน ให้ยอมมอบ” แสดงถึงความเป็นอิสระในการตัดสินใจว่าจะยอมเชื่อฟังหรือไม่เชื่อฟังก็ได้ จะดื้อต่อพระเจ้าหรือไม่ดื้อก็ได้  แต่ถ้าดื้อก็จะได้รับความทุกข์ลำบาก เจ็บตัวซึ่งพระเจ้าผู้เป็นพ่อไม่ประสงค์เช่นนั้นเลย  พ่ออยากให้เรามีความสุขมากที่สุด  พระองค์จึงกระทำทุกอย่างที่เราตัดสินใจผิดหรือถูกดื้อหรือไม่ดื้อรวมกันนั้นให้เกิดเป็นผลที่ดี สำหรับเราได้ตามพระประสงค์ของพระองค์ในพระเยซูคริสต์

 

โรม 8:28 “เรารู้ว่าพระเจ้าผู้ทรงรักเรามากนั้น พระองค์จะกระทำทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา ไม่ว่าดีหรือร้าย  ทำงานร่วมกันเพื่อให้เกิดเป็นผลดี  สำหรับเราผู้ที่รักพระองค์  ผู้ซึ่งพระองค์ทรงเรียกมาเป็นลูกของพระองค์  ตามพระประสงค์ของพระองค์”

 

เพราะฉะนั้น ในทุกสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับเรา  ไม่ต้องพะวงหน้าพะวงหลัง  มั่นใจ  เชื่อในพระเจ้าพระเยซูคริสต์  พระองค์ทรงสถิตอยู่  และกำลังทำงานของพระองค์ในเรา  กำลังจูงมือเราเดินอยู่ด้วย  ฤทธิ์เดชความรักอันยิ่งใหญ่ของพระองค์  พระเจ้ามั่นใจในท่าน  แล้วท่านล่ะมั่นใจในพระองค์ไหม?

 

พระเจ้าอวยพรครับ

 

 

 

วารสาร Holy News ฉบับที่ 1334

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  17  ตุลาคม  2021

 เรื่อง “พี่น้อง … อย่าเข็นครกขึ้นสวรรค์เลย” ตอน 2

“ด้วยรอยแผลเฆี่ยนของพระเยซู หรือของเรากันแน่”

โดย นคร เวชสุภาพร

 

วันนี้ต่อจากครั้งที่แล้ว ในเรื่อง “พี่น้อง … อย่าเข็นครกขึ้นสวรรค์เลย” ตอนที่ 2 ผมใช้ชื่อตอนว่า “ด้วยรอยแผลเฆี่ยนของพระเยซู หรือของเรากันแน่” ครั้งที่แล้วเราเริ่มต้นไว้ว่ารู้กันว่าแก่นแท้ของข่าวประเสริฐมีเพียงแค่นี้เอง  คือเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์แล้วท่านจะได้รับชีวิตนิรันดร์ ได้รับความรอด จากความพินาศต่างๆ  มีแค่นี้จริงๆ คือเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ นี่คือเนื้อหาแท้ๆ  เนื้อหาสั้นๆ แต่เต็มด้วยฤทธิ์อำนาจที่พระเยซูประกาศ  คำแรก ก็คือ …

“เราคือผู้นั้นที่พระเจ้าส่งมาช่วยเหลือมนุษย์ทั้งหลาย  จงเชื่อและวางใจในเรา แล้วท่านจะได้รับความรอด  จงเชื่อและวางใจในเรา ท่านจะได้ไม่ตาย และรับชีวิตนิรันดร์”

เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ พึ่งในพระเยซูคริสต์เท่านั้น  และได้รับชีวิตนิรันดร์ เราก็ได้เรียนรู้ไปจากครั้งที่แล้ว แต่ว่าความจริงนี้ ในชีวิตจริงๆ ของคนหลายๆ คนที่มาเชื่อพระเจ้าแล้ว วางใจในพระเยซูแล้ว พึ่งพาในพระเยซูแล้ว ได้รับความรอดแล้ว แต่ก็ยังไม่หยุดที่จะหาอะไรเพิ่มเติม คือพยายามที่จะพึ่งการกระทำของตัวเองเพิ่มเติมเข้าไป  กลัวว่าพึ่งพระเยซูผู้เดียวจะไม่รอด  เลยพึ่งการกระทำของตนเองบวกเข้าไปด้วย บวกเข้าไปมากๆ พึ่งตัวเองเข้าไปเยอะๆ มากๆ ก็เลยเหนื่อย  และเป็นทุกข์ในการดำเนินชีวิตโดยไม่จำเป็น ก็คือการเข็นครกขึ้นสวรรค์นั่นแหละ ซึ่งมันไม่จำเป็น เราเรียนรู้แล้ว ซึ่งแทนที่จะได้หายเหนื่อยและเป็นสุข ตามถ้อยคำของพระเยซูคริสต์ ตามความเป็นจริง ซึ่งพระองค์บอกไว้เรียบร้อยไปแล้ว  มาพบพระองค์ มาเจอพระองค์ มาวางใจในพระองค์ แล้วจะหายเหนื่อยและเป็นสุข เลยกลายเป็นว่าพึ่งในพระองค์แล้ว วางใจในพระองค์แล้ว เป็นคริสเตียนแล้ว แต่ยังเหน็ดเหนื่อย  และเป็นทุกข์กับการไปสวรรค์อยู่ เปรียบเหมือนการเข็นครกขึ้นสวรรค์ ซึ่งมันเปล่าประโยชน์ แต่ยังทำอยู่  ไม่ต้องทำก็ได้ อะไรอย่างนี้

ด้วยรอยแผลเฆี่ยนของพระเยซูหรือของเรากันแน่ ตอนที่ 2 วันนี้มาจากข้อพระคัมภีร์ ใน 1 เปโตร 2:24 ซึ่งบันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

1 เปโตร 2:24 “พระองค์เองได้ทรงรับแบกบาปของเราไว้ในพระกายของพระองค์  ที่ต้นไม้นั้น เพื่อว่าเราทั้งหลาย ซึ่งตายจากบาปแล้ว จะได้ดำเนินชีวิตตามความชอบธรรม ด้วยรอยเฆี่ยนของพระองค์ ท่านทั้งหลายจึงได้รับการรักษาให้หาย”

 

พระองค์เอง คือพระเยซูคริสต์เอง ได้ทรงแบกรับความบาปของเราไว้ในพระกายของพระองค์ ที่ต้นไม้ ก็คือที่ไม้กางเขนนั้น แบกรับเอาโทษของความบาป แบกรับเอาโทษของความไม่ดี  ความชั่ว เลวทราม  การกระทำชั่วของเรานั้น ไว้ที่ร่างกายของพระองค์ บนไม้กางเขนนั้น เพื่อว่าเราทั้งหลาย ซึ่งตายจากบาปแล้ว จะได้ดำเนินชีวิตตามความชอบธรรม ด้วยรอยแผลเฆี่ยนของพระเยซู ท่านทั้งหลายจึงได้รับการรักษาให้หายแล้ว

“ด้วยรอยแผลเฆี่ยนของพระเยซู เราทั้งหลายจึงได้รับการรักษาให้หาย หายจากความชั่ว หายจากการเป็นคนบาป หายจากการถูกลงโทษ เนื่องจากเป็นคนบาปไปเรียบร้อยแล้ว”

เพราะฉะนั้น ย้อนกลับมาที่หัวข้อเรื่องในวันนี้ อย่าเข็นครกขึ้นสวรรค์เลย  ตอน 2 ด้วยรอยแผลเฆี่ยนของพระเยซูหรือของเรากันแน่? ตอบว่า … “ของพระเยซู”  เหมือนกับถามว่านั่นต้นไม้หรือเสาไฟฟ้า อยู่ดีๆ ก็ถามว่าต้นไม้หรือเสาไฟฟ้า ใครจะไปตอบได้ ก็ยังไม่บอกเลยว่าถามเรื่องอะไร?

อันนี้ด้วยรอยแผลเฆี่ยนของใคร?  ของพระเยซู พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนี้ ชัดเจนเลย ด้วยรอยแผลเฆี่ยนของพระเยซู

“แผลเฆี่ยน” คือการถูกลงโทษ เนื่องจากบาป พระองค์ไม่ได้เป็นคนบาป แต่พระองค์ยอมรับโทษของความบาปแทนมนุษย์ทั้งปวงนั่นเอง

ความจริง ก็คือเรา คริสเตียนที่ต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว  เราเคยเป็นคนบาป  “เคยเป็น” ก่อนที่เราจะมารับสิทธิของเรานั้น  เราเคยเป็นคนบาป  แต่เดี๋ยวนี้ เมื่อเรารับเชื่อแล้ว  เราใช้สิทธิของเราแล้ว  เราได้กลายเป็นคนชอบธรรม  ได้รับการอภัยโทษจากบาป ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ไม่ว่าจะเป็นบาปเล็ก บาปใหญ่  บาปปัจจุบัน บาปอนาคต และบาปตลอดไป  พระเจ้าก็จะไม่จดจำบาปของเราอีกเลย บันทึกไว้อย่างนั้นชัดเจนเลย เอาออกไปแล้ว เพราะว่าการลงโทษ เนื่องจากเป็นคนบาป เนื่องจากเราทำบาป  เนื่องจากเราทำชั่ว  ทั้งปัจจุบันและอนาคตก็ตาม การถูกลงโทษนั้น ได้ลงไปที่พระเยซูคริสต์ ที่ไม้กางเขนเรียบร้อยแล้วนั่นเอง  และเราก็ไม่ควรจะจดจำบาปนั้นอีกเลย พระเยซูก็ไม่จดจำ พระเจ้ายิ่งไม่จดจำใหญ่เลย  แล้วเราไปจดจำทำไม?  ให้มันเหนื่อยเปล่าๆ  อย่าเข็นครกขึ้นสวรรค์เลย  เราสะอาดหมดจดแล้ว

เพราะฉะนั้น เราก็ไม่ควรจะจดจำความบาปผิดอะไรต่างๆ เหล่านั้นเช่นเดียวกัน  แต่วางใจในการไถ่บาปและพระคุณของพระเจ้า ซึ่งสถิตอยู่ในเรา เมื่อไถ่บาปเราแล้ว  ให้เราเป็นลูกของพระองค์  จงวางใจในความรอดจากบาป  โดยพระคุณของพระเจ้า  ซึ่งหมายถึงเราไม่ต้องทำอะไรเลย แม้แต่นิดเดียว คือพึ่งในการกระทำของพระเยซูคริสต์เท่านั้น เรียกกันว่าพระคุณ ไม่ต้องทำอะไร ผ่านทางการกระทำของพระเยซูคริสต์เพียงเท่านั้น  เราก็ไม่ต้องไปจดจำ จดจำอย่างเดียวว่าพระเยซูคริสต์ได้ไถ่บาปเราแล้ว รอยแผลเฆี่ยนของพระเยซูคริสต์ถูกเฆี่ยน เพื่อให้เราหายดี เราไม่ต้องถูกเฆี่ยน  ไม่ต้องถูกลงโทษ เนื่องจากบาปอีกต่อไป มองไปที่พระเยซูคริสต์ ผู้เป็นความชอบธรรมของเรานั่นเอง เป้าหมายของเราจดจ่อไปที่พระเยซูคริสต์ ผู้เป็นความชอบธรรมของเรา  เป็นสง่าราศีของเรา เป็นสิริของเรา เป็นชีวิตของเรา เป็นเป้าหมายของเรา เป็นนิมิตของเรา เป็นทุกสิ่งทุกอย่างของเรา  เป็นผู้เริ่มต้นความเชื่อว่าเราได้รับความรอดแล้วในพระองค์ วางใจในพระองค์ คือเริ่มต้นความเชื่อแล้ว ก็จงเชื่อพระองค์ต่อไป เชื่อในพระองค์ว่าพระองค์ทรงกระทำสำเร็จแล้ว  และพระองค์กำลังดำเนินชีวิตของพระองค์ไปพร้อมๆ กับเรา คือสถิตอยู่กับเรา ในร่างกายเรานี่แหละ  และก็วิ่งไปสู่หลักชัย  เพื่อรับรางวัล คือมรดก ชีวิตนิรันดร์ในวันสุดท้าย บนโลกใบนี้นั่นเอง  คือการได้ไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์นิรันดร์กาล และได้รับร่างกายใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์

การวิ่งไปสู่หลักชัยตรงนี้ อยากจะแถมให้นิดหนึ่ง  ไม่เหนื่อยเลย เพราะเมื่อเปิดใจต้อนรับสิทธิของเราในพระเยซูคริสต์ ที่พระองค์ทรงกระทำให้เรียบร้อยแล้วนั้น พระเจ้าจะย้ายเราเข้ามาในลู่วิ่งนี้ทันที ลู่วิ่งนี้ชื่อลู่วิ่งทางพระเยซูคริสต์ เกิดอะไรขึ้น วิ่งไป เดินไป  อย่างไรมันก็ไป เพราะว่าเป็นลู่วิ่งแบบออโตเมติก … ออโต้ฯ เคยเดินทางไปต่างประเทศ ทางเดินไกลๆ ที่เขาไม่อยากให้เดิน เป็นทางเดินแบบเลื่อน  ยืนเฉยๆ มันก็เลื่อนไปเรื่อยๆ นี่เราได้ถูกวางไว้บนลู่ทางเดินของพระเยซูคริสต์ ลู่นี้ออโต้ฯ วิ่งไปสู่สวรรค์ พอวางไว้ตรงนั้น ต่อให้ท่านไม่วิ่ง ต่อให้ท่านยืนอยู่เฉยๆ สายพานนี้ก็กำลังเคลื่อนไปสู่สวรรค์ นั่นแหละ มันถึงหายเหนื่อยและเป็นสุข  ในพระเยซูจึงบอกว่า …

“จงมาวางใจในเรา เข้ามาอยู่ในทางของเรา เข้ามาอยู่ในสายพานนี้ สายพานสู่สวรรค์นี้  ท่านจะได้หายเหนื่อยและเป็นสุข”

เพราะว่าอย่างไรก็ไปสวรรค์อยู่ดี และผู้ที่ควบคุมออโต้ฯ สายพานอยู่นี้ คือพระเจ้าผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก เป็นไปไม่ได้ ที่จะมีการเสื่อมเสีย  เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่เคลื่อนที่ เป็นไม่ได้ที่จะไม่เกิดผลตามนั้น นี่คือความจริง  ที่เราได้เรียนรู้กัน

เพราะฉะนั้น  อย่าให้มารมาหลอกเรา มารตัวสำคัญ  มันจะมาหลอกเราว่าสิ่งเหล่านี้ ที่เรากำลังพูดถึงความจริงในโลกวิญญาณ  ที่พระเจ้าบอกเรา ทำให้เราสงสัย ไม่เชื่อว่ามันจริง อย่าให้มารมาใช้ความทุกข์ยากลำบาก ซึ่งเกิดจากความเสียหาย คำสาปแช่งที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ ซึ่งความวิปริต ความเสียหายบนโลกใบนี้ที่เกิดขึ้น มันก็มาจากตัวมารเองนั่นแหละ เป็นต้นเหตุ ล่อลวงให้บรรพบุรุษของเรา ก็คืออาดัมและเอวาหลงไปทำผิดบาป และนำเอาสิ่งเสียหายเหล่านี้ ความชั่วร้าย  ความวิปริต ความทุกข์ทรมาน ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้เข้ามาสู่โลกใบนี้  เข้ามาสู่ในร่างกายของเรา  ซึ่งเราเรียกว่าคำสาปแช่ง ที่มีมาถึงมวลมนุษยชาติ  และโลกใบนี้  อย่าให้มารมันใช้ความทุกข์ยากลำบากที่เกิดขึ้นนี้ การกิน การอยู่ การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยความลำบาก เพราะว่าถูกสาปแช่งไปแล้ว แม้กระทั่งสุขภาพ ร่างกายของเรา ก็ทรุดโทรม เป็นโรคภัยไข้เจ็บ  ความวิปริตรของธรรมชาติต่างๆ เชื้อโรคต่างๆ

อย่าให้มันเอาสิ่งเหล่านี้มาบอกเราว่าสิ่งที่เสียหายเหล่านี้ สิ่งที่ทำให้เราเกิดความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้ ความตายเหล่านี้ พระเจ้าใช้สิ่งเหล่านี้มาตีสอนเรา  อย่าให้มันมาหลอกเราอย่างนี้  หรืออย่าให้มันมาบอกว่าพระเจ้าเป็นผู้กระทำสิ่งเหล่านี้ให้เกิดขึ้น ความวิปริต ความชั่วร้ายต่างๆ บนโลกใบนี้ทุกอย่าง แผ่นดินไหว เชื้อโรค ไวรัส โควิด อย่าให้มารมาบอกว่าพระเจ้าเป็นผู้กระทำสิ่งเหล่านี้ให้เกิดขึ้นกับมวลมนุษยชาติ  เพื่อจะตีสอน เพื่อจะนำมนุษยชาติกลับมาหาพระองค์ เปล่าเลย พระองค์ทรงนำมนุษยชาติกลับมาหาพระองค์ โดยให้พระบุตรของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์มารับโทษแทนเรา ทรงรับการเฆี่ยนตี ทุบตีเรียบร้อยไปแล้ว จบไปแล้ว เสร็จไปแล้ว ที่ไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว พระเยซูบอกสำเร็จแล้วด้วย

เพราะฉะนั้น สรุป ก็คืออย่าให้มารมันมาเสี้ยมเรา  ให้เข้าใจพระเจ้าของเรา ผู้เป็นพ่อของเรา ผู้เป็นผู้สร้างเรา ผู้เป็นพระเจ้าที่ดี  อย่าให้มาเสี้ยมเราให้เข้าใจพระเจ้าผิดว่าพระเจ้าของเราโหดร้าย เกลียดเรา บังคับ ทรมานเรา อย่าให้มารมันโกหกเราว่าที่พระเยซูกระทำสำเร็จแล้ว ที่ไม้กางเขนนั้น  มันไม่จริงหรอก อย่าให้มันโกหกเราอย่างนั้น  จงมั่นใจ  เชื่อและวางใจในถ้อยคำของพระเยซูคริสต์ที่บอกว่าพระองค์ได้ทรงแบกรับบาปของเราไปเรียบร้อยแล้ว จบแล้ว เชื่อและวางใจในพระองค์ แล้วได้รับชีวิตนิรันดร์ตลอดไป วางใจในพระองค์อย่างเดียว

ในหนังสือทิตัส 2:11-12 ได้บอกถึงบุคลิกลักษณะของพระเจ้าอย่างชัดเจนว่าเป็นลักษณะเช่นใด? ลองมาอ่าน และลองใคร่ครวญกันดู …

ทิตัส 2:11-12 “11 เพราะว่าพระคุณของพระเจ้าที่นำไปถึงการปลดปล่อยให้เป็นอิสระ  จากการเป็นทาสของบาป และความรอดนิรันดร์ ได้ปรากฏแก่คนทั้งปวงแล้ว 12 พระคุณนี้สอนเรา (ด้วยความรัก ทะนุถนอม ดังแก้วตาดวงใจ) ที่จะฝึกฝน ปฏิเสธการทำบาป และไม่ทำตามโลกียตัณหา และดำเนินชีวิตในโลกปัจจุบันนี้ อย่างมีสติสัมปชัญญะ ตามทางพระเจ้า สมกับเป็นผู้ชอบธรรม (บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า)”

 

“เพราะว่าพระคุณของพระเจ้า” พระคุณของพระเจ้า คือเราเป็นคนบาป ทำชั่ว ทำบาป สมควรได้รับการลงโทษ  สมควรได้รับความไม่ดีในชีวิตของเรา สมควรอยู่ในบึงไฟนรก แต่พระเจ้ากลับให้โทษทั้งปวงนั้น ไปอยู่ที่พระบุตรของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ที่พระองค์ทรงประทานให้  มาแบกรับเอาโทษของความบาป ความผิดของเรา ความชั่วร้ายของเรานั้น ไว้ที่ตัวพระองค์บนไม้กางเขน  และแค่นั้นไม่พอ พระคุณ คือไม่ใช่อภัยในความบาปผิดของเราเท่านั้น  ให้เราพ้นจากโทษของความบาป พ้นจากการเป็นนักโทษ แล้วยังรับเรามาเป็นบุตรของพระองค์  โดยให้เราบังเกิดใหม่  พร้อมกับพระเยซูคริสต์

พระเยซูคริสต์บังเกิดใหม่ เป็นขึ้นมาจากความตายในวันที่ 3 เราที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ เราก็ได้เป็นขึ้นจากความตายพร้อมกับพระเยซูคริสต์เช่นเดียวกัน  เราได้มาบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า เพราะฉะนั้น พระคุณนี้ ก็คือนอกจากอภัยบาปเราเรียบร้อยแล้ว  ยังประทานสิทธิพิเศษให้เรา รับเรามาเป็นของพระองค์ รักเรามากเท่าๆ กันกับพระบุตร คือพระเยซูคริสต์เลยทีเดียว  นี่แหละคือพระคุณ

เมื่อไรก็ตามที่พระคัมภีร์พูดถึงพระคุณ  ให้นึกถึงตรงนี้แหละ พระคุณ คือความรักของพระเจ้าที่สำแดงออก ที่พระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน รับโทษบาปแทนเรา  และเป็นขึ้นจากความตาย เพื่อเราจะได้เป็นขึ้นจากความตาย  บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า ได้ด้วย นี่คือพระคุณ นึกถึงตรงนี้เลย

ดังนั้น พระคุณตรงนี้ ขบวนการตรงนี้ คือความรักของพระเจ้าทั้งหมด ที่พระเยซูทำสำเร็จ เรียบร้อยแล้วที่ไม้กางเขนนั้น ได้นำเราไปถึงการปลดปล่อยให้เป็นอิสระ จากการเป็นทาสบาป  การเป็นทาสบาป ก็คือการเป็นคนบาป  และนำเรามาถึงความรอดนิรันดร์ ได้ปรากฎแก่คนทั้งปวงแล้ว ปรากฏเมื่อพระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์ ตายที่ไม้กางเขน พระองค์บอกว่าสำเร็จแล้ว  และวันที่ 3 พระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตาย

ในข้อ 12 จึงบอกว่าพระคุณนี้  นึกออกแล้วนะพระคุณนี้ คือพระคุณ ความรักของพระเจ้า ที่สำแดงออก ที่พระเยซูคริสต์ ที่ไม้กางเขน พระคุณนี้ สอนเรา ด้วยความรัก ความทะนุถนอม ดังแก้วตาดวงใจของพระองค์เลย  ก็คือความรู้สึกที่พระองค์ทรงรักเรา  และกระทำความรักนี้ให้เราได้เห็นแล้ว  โดยการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน ขณะที่เราเป็นคนบาป เป็นศัตรูกับพระเจ้า  ไม่ชอบพระเจ้า เกลียดพระเจ้า  ต่อต้านพระเจ้า แต่พระองค์ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์มาตายที่ไม้กางเขน สำแดงความรักของพระองค์ต่อเราทั้งหลาย ตรงนี้แหละ คือความรักที่ทะนุถนอมดังแก้วตาดวงใจ

พระคุณนี้จะสอนเราด้วยความรัก ทะนุถนอมดังแก้วตาดวงใจ  ที่จะฝึกฝน ฝึกฝนใคร? ฝึกฝนเราที่เกิดใหม่ เป็นลูกของพระองค์แล้ว ให้ปฏิเสธการทำบาป  ก็คือฝึกฝนให้ดำเนินชีวิตในทางชอบธรรม ด้วยความรัก ด้วยความทะนุถนอม และสอนเราที่จะไม่ทำตามโลกียตัณหา ก็คือไม่ทำตามการหลอกลวง การล่อลวงของมารซาตาน และระบบของโลกนี้ ที่เป็นศัตรูกับพระเจ้า ที่จะมาล่อลวงเรา ไปทำในสิ่งที่ไม่ดี

และสอนเรา ฝึกฝนเรา ให้ดำเนินชีวิตในโลกปัจจุบันอย่างมีสติสัมปชัญญะ คือมีความรู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่าเราบริสุทธิ์สะอาดแล้ว เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ให้มีสติสัมปชัญญะ ตามทางพระเจ้า สมกับเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้า คือกำลังสอนเรา ที่เกิดมาเป็นลูกของพระองค์ อุแว้ๆ ออกมาแล้ว ให้ดำเนินชีวิตเหมือนพระองค์ คือบริสุทธิ์ สะอาด ชอบธรรมเหมือนพระองค์ ค่อยๆ เป็นไปตามธรรมชาติของเราที่เกิดใหม่นั่นเอง  เหมือนพ่อแม่ดูแลลูก ที่เป็นทารก จนกระทั่งเป็นเด็ก เป็นวัยรุ่น  และกระทั่งเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ลักษณะอย่างนั้น ด้วยความรัก ความเมตตา ความทะนุถนอม ดังแก้วตาดวงใจ  นี่คือถ้อยคำพระเจ้าที่ยืนยัน

อย่าให้มารทำลายความเป็นครอบครัวเดียวกัน เป็นหนึ่งเดียวกัน ความสามัคคีกัน ความรักกันและกันของเรากับพระเจ้า ไม่ใช่พระเจ้าเพียงผู้เดียว  พระเจ้าทั้ง 3 พระภาค พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตรพระเยซูคริสต์ พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้ทรงสถิตอยู่กับเรา ในเรา เมื่อเรารับเชื่อ เป็นหนึ่งเดียวกันกับเราแล้ว  เป็นครอบครัวเดียวกัน  เป็นฝ่ายเรา เป็นพวกเรา  เราเป็นฝ่ายเดียวกัน  ไม่ใช่เป็นหนึ่งเดียวกันเฉพาะพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตรพระเยซู พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้น  แต่เป็นหนึ่งเดียวกันในพี่น้องคริสเตียนด้วย เช่นเดียวกัน  ก็อย่าให้มารมันมาเสี้ยมพวกเราให้ทะเลาะกัน ขัดแย้งกันเอง กัดกินกันเอง ไม่เข้าใจซึ่งกันและกันเอง โดยเฉพาะที่วันนี้กำลังจะพูดถึง ก็คือผู้เชื่อที่กำลังอยู่ในสายพานสู่สวรรค์ ไม่เข้าใจพระเจ้า เข้าใจพระเจ้าผิด  นึกว่าอยู่คนละพวกกับเรา  แต่จริงๆ แล้ว พระเจ้าอยู่พวกเดียวกันกับเรา อยู่ข้างเรา เกินกว่าที่เราจะคิดและเข้าใจ  เกินกว่าที่เราจะคาดถึงด้วยซ้ำไปว่าอยู่ข้างเรา ถึงขนาดนี้หรือ? จริงๆ ตามถ้อยคำของพระองค์ที่บันทึกเอาไว้

ฮีบรู 12:5-6  ครั้งที่แล้ว เราได้เรียนรู้ว่าอะไรที่มาถ่วงเรา  ทำให้เราขึ้นสวรรค์แล้ว ไปไม่ได้คล่อง อะไรที่ทำให้เราเป็นเหมือนคนเข็นครกขึ้นสวรรค์ เรียกรู้ไปตั้งแต่บทที่ 12 ข้อ 1-4 ตอนนี้ มาดูดูว่าอะไรที่มันมีโอกาสที่จะมาถ่วงเราได้อีก …

ฮีบรู 12:5-6  “5 ท่านได้ลืมถ้อยคำให้กำลังใจ  ซึ่งมีมาถึงท่านในฐานะบุตรว่า “ลูกเอ๋ย อย่าละเลยการตีสอนขององค์พระผู้เป็นเจ้า อย่าท้อใจ เมื่อพระองค์ทรงตำหนิท่าน  6  เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงตีสอนผู้ที่พระองค์ทรงรัก  และทรงลงโทษทุกคนที่ทรงรับเป็นบุตร”

 

คำว่า “ตีสอน” ตรงนี้ ตกใจใช่ไหม? คำว่าตีสอน  พระคัมภีร์ภาษาอังกฤษส่วนใหญ่จะใช้คำนี้ว่า “Scourges” ที่มีความหมายว่า “เฆี่ยนตีให้ตาย”  และมักจะใช้กับการลงโทษในสมัยโรมัน  คือใช้แส้ที่ทำด้วยหนัง เป็นเส้นๆ คล้ายหางม้า  และก็มีกระดูกสัตว์ หรือของมีคมผูกติดอยู่กับเส้นเหล่านั้น  เพื่อเพิ่มบาดแผล และความเจ็บปวดให้มากยิ่งขึ้นกับนักโทษ นักโทษบางคน ตียังไม่ครบ 40 ทีตามกฎเกณฑ์ เสียชีวิตก่อนก็มี จากการถูกเฆี่ยน ด้วยแส้แบบนี้  คำนี้มันแปลว่าอย่างนั้น

“ท่านได้ลืมถ้อยคำให้กำลังใจ  ซึ่งมีมาถึงท่านในฐานะบุตรว่า “ลูกเอ๋ย อย่าละเลยการตีสอน ขององค์พระผู้เป็นเจ้า อย่าท้อใจ เมื่อพระองค์ทรงตำหนิท่าน เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงตีสอนท่านให้ตาย ให้เลือดออกชิบๆ เลย เพื่อว่าท่านผู้เป็นลูก ผู้ที่พระองค์ทรงรัก จะได้ดี” อย่างนั้นหรือ?

“และทรงลงโทษทุกคนที่ทรงรับเป็นบุตร” อย่างนั้นหรือ?

“ไหนบอกว่าเป็นบุตรพระเจ้าแล้ว ไม่มีการลงโทษใดๆ แล้ว”

วันนี้ เราจะมาเข้าใจถ้อยคำตรงนี้ ให้ถูกต้องตามบริบท ตามความเป็นจริงของถ้อยคำ ซึ่งแปลมาผิดนั้น  ทำให้เราเข้าใจผิด  เป็นการเสี้ยมเราโดยมาร ให้เราเข้าใจพระเจ้าผิด  กลัวพระเจ้า หรือตำหนิพระเจ้าด้วยซ้ำ และคำนี้  ที่บอกว่า “Scourges” นี้ เป็นศัพท์คำเดียวกันกับที่ทหารโรมันเฆี่ยนตีพระเยซูคริสต์ ก่อนที่จะจับไปตรึงที่ไม้กางเขน อย่างที่เราได้อ่านพระคัมภีร์ตอนต้น 1 เปโตร 2:24  “ด้วยรอยแผลเฆี่ยนของพระเยซู” รอยแผลเฆี่ยน คือคำๆ นี้แหละ คือ Scourges คือเฆี่ยนให้ได้รับโทษอย่างหนัก ถ้าเป็นไปได้ ให้ทรมานที่สุด เท่าที่ทำได้ ถึงตาย ก็ดี อะไรประมาณนั้น

เพราะฉะนั้น  เมื่อตะกี้ที่เราอ่านในข้อพระคัมภีร์ว่า “พระผู้เป็นเจ้าทรงตีสอน ผู้ที่พระองค์ทรงรัก และทรงลงโทษทุกคนที่รับเป็นบุตร” ถ้าคำว่า “ตีสอน” หมายถึงภาพการเฆี่ยนตี แบบที่ผมกำลังเล่าให้ฟัง  ที่พระเยซูได้รับไปเรียบร้อยแล้วนั้น  ที่ทหารโรมันทำกับพระเยซูนั้น ท่านลองนึกภาพดูว่าจะมีพ่อคนไหนที่รักลูกมากขนาดนั้น  ในนี้บอกอย่างนั้น ผู้ที่พระองค์ทรงรัก พระองค์ทรงตีสอนอย่างนี้ จะเฆี่ยนอย่างนี้ เป็นพ่อมนุษย์ยังไม่ทำอย่างนี้เลย เฆี่ยนตีลูก เพราะรักอย่างนี้หรือ? ให้ความทุกข์ทรมาน ให้ตายไปเลยได้ก็ดี พ่อที่เป็นมนุษย์ พ่อดีๆ แม่ดีๆ ที่ยังมีสติสัมปชัญญะ ซึ่งโดยทั่วไป ก็เป็นธรรมชาติอย่างนี้อยู่แล้ว  คือไม่มีใครเขาทำอย่างนี้หรอก

ในพระคัมภีร์เดิม หนังสือสุภาษิต ก็มีคำนี้อยู่เหมือนกัน  คำว่า “ตีสอน” เรามาหาดูว่ามันหมายถึงอะไร? ยกมาสักข้อหนึ่ง สุภาษิต 3:11-12 …

สุภาษิต 3:11-12 “11 ลูกเอ๋ย อย่าดูหมิ่นการตีสั่งสอนขององค์พระผู้เป็นเจ้า อย่าขุ่นข้องหมองใจ เมื่อพระองค์ทรงว่ากล่าวตักเตือน 12 เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงตีสั่งสอนผู้ที่พระองค์ทรงรัก ดั่งพ่อตีสั่งสอนลูกที่ตนชื่นชม”

 

เห็นไหมครับ มีคำว่าตีสั่งสอนเหมือนกัน  แต่คำว่าตีสั่งสอนในข้อพระคัมภีร์นี้ ในสุภาษิตข้อนี้  ภาษาอังกฤษใช้คำว่า “Correct” คือปรับปรุง แก้ไข ซึ่งก็มีรากศัพท์จากภาษาเดิมคำเดียวกันกับ “Scourges” ตะกี้ที่แปลผิด ซึ่งก็ควรที่จะเป็นปรับปรุงแก้ไข  ถึงจะถูกต้อง  ถ้าย้อนไปดูพระคัมภีร์ต้นฉบับ ภาษาเดิม คือภาษาฮีบรู คำว่าตีสอนตรงนี้ จะใช้คำที่มีความหมายว่า “Inquire Deeply”  หรือ  “Search Deeply” ซึ่งแปลได้ว่าการค้นหา หรือการชันสูตรอย่างลึกซึ้ง  เข้าไปในจิตใจของลูก ด้วยความเป็นห่วงเป็นใย  ด้วยมีความสัมพันธ์ รักมาก เข้าไปตรวจดูเลยว่าเขาเป็นอย่างไร?  เขานิสัยเป็นอย่างไร?  เขามีลักษณะเป็นอย่างไร? อะไรที่ช่วยเขาได้  ให้เขาได้ดีที่สุด  ค่อยๆ เข้าไป ด้วยความรัก ความทะนุถนอม ความระมัดระวัง

นี่คือคำว่า “ตีสอน” ที่แปลผิดความหมาย ไม่เข้าใจ … ด้วยความรัก ความทะนุถนอม เข้าไปชันสูตรว่าลูกคนนี้ถนัดอะไร จะบอกให้ บางคนเขาไม่เข้าใจว่าชันสูตร หรือเข้าไปค้นหาลึกๆ ด้วยความรักว่าลูกของเรา เป็นลักษณะอย่างไร? เพื่อจะไปสอนเขาให้ถูกต้อง คือความรักอันยิ่งใหญ่

ยกตัวอย่าง มีลูก 2 คน คนหนึ่งเป็นคนไม่ชอบพูด อีกคนหนึ่งเป็นคนชอบพูด อีกคนหนึ่ง ถ้าเราพูดเยอะๆ เขาฟังได้  อีกคนหนึ่งไม่ต้องพูดเยอะหรอก เขารู้จักคิดได้ เขาเป็นสไตล์เงียบๆ  เราต้องเข้าไปคุยกับเขาในลักษณะนี้ ด้วยความรัก ความอดทนของเรา ผู้เป็นพ่อ  พระเจ้าก็ทำอย่างนี้แหละ

คำว่า “ชันสูตร” คือเข้าไปล้วงลึกๆว่าในใจเขามีจุดอ่อน จุดแข็งอยู่ตรงไหน? อะไรที่เขารับได้  นิสัยใจคอเขาเป็นอย่างไร? DNA เขาเป็นอย่างไร? เข้าไป เพื่อปรับปรุงเขาให้ดีขึ้น  ให้เขารับได้ ไม่ใช่เข้าไปตวาดเอา ใช้อารมณ์ฉุนเฉียว มันหมายถึงอย่างนั้น

เพราะฉะนั้น ความหมายคือพระเจ้าทรงชันสูตรชีวิตและจิตใจของเรา มันควรจะเป็นอย่างนั้น เมื่อไรที่มีคำว่า “ตีสอน” พระเจ้าตีสอน ในพระคัมภีร์นั้นนะ จงนึกถึงคำนี้ว่า “Correct” คือปรับปรุง แก้ไข แบบชนิดที่ “Inquire Deeply”  ชันสูตร ลึกๆ เข้าไปในชีวิต เข้าไปในจิตใจของเรา ของลูกแต่ละคน ที่ไม่เหมือนกัน อย่างลึกซึ้งและฝึกฝนเราตามความถนัดของเรา ปรับปรุงแก้ไขเรา ลูกของพระองค์ เพื่อให้ลูกๆ หรือเราทั้งหลายที่เป็นลูกๆ ของพระองค์นั้น  ที่พระองค์ทรงรักดังแก้วตาดวงใจนั้น ได้เกิดผลตามธรรมชาติ วิสัยของเรา  ซึ่งเป็นลูกของพระองค์ ธรรมชาติ เป็นผู้ชอบธรรม เป็นตามธรรมชาติ เป็นลูกของพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ตามธรรมชาติที่ได้บังเกิดใหม่ ที่ได้เป็นลูกของพระองค์แล้ว ให้สมกับเป็นลูกของพระองค์ มีสง่าราศีของพระองค์ อยู่ในตัวเรานั่นเอง

เหมือนเราเป็นพ่อแม่ มีลูก คลอดออกมา  เราก็พยายามสอนทุกอย่าง พยายามคิดค้น ชันสูตรจิตใจเขา ส่วนลึกในจิตใจเขา เพื่อให้เขารับได้  เพื่อจะสอนเขา ให้เขาสมกับเป็นลูกของเรา เป็นลูกของมนุษย์ เป็นลูกคนที่ต้องเดิน ต้องคลาน ต้องมีชีวิตอยู่อย่างนี้ๆ  และให้สมเป็นลูกของเรา ที่เป็นคนดี อะไรประมาณนั้น

เพราะฉะนั้น ฮีบรูที่เราได้อ่านไปเมื่อกี้ ย้อนกลับมาที่ข้อ 5-6 ที่บอกว่า … “ท่านได้ลืมถ้อยคำที่ให้กำลังใจ ซึ่งมีมาถึงท่าน ในฐานะบุตร”

เห็นไหม? ท่านอย่าลืมนะ คืออย่าลืมถ้อยคำที่เป็นกำลังใจให้กับเรา  ในฐานะที่เราเป็นลูกของพระเจ้า

พระเจ้าบอกว่า … “ลูกเอ๋ย อย่าละเลยการตีสอนขององค์พระผู้เป็นเจ้า อย่าท้อใจ เมื่อพระองค์ทรงตำหนิท่าน”

ซึ่งก็ควรจะแปลเป็นอย่างนี้ว่า … “ในฐานะเป็นลูกแล้ว จำไม่ได้หรือ! ถ้อยคำแห่งกำลังใจ ที่พ่อบอกเรา คือพระเจ้าพูดกับเรา พระเจ้าตรัสกับเรา ลูกๆ ของพระองค์ว่าในฐานะบุตรนะ  ในฐานะที่เป็นลูกของเราแล้วนะ ลูกเอ๋ย จงอย่าละเลยต่อความรักของพ่อที่คอยฝึกฝน ปรับปรุง แก้ไข ชันสูตรเข้าไปในจิตใจลึกๆ ของลูกด้วยความรักนั้น เพื่อให้ลูกได้ดี สมกับที่เป็นลูกของพระเจ้า ให้ดีที่สุด มีความสุขที่สุด เท่าที่เป็นไปได้ บนโลกใบนี้  และตลอดไป  อย่าท้อใจนะ เวลาพ่อสอน พ่อบอก อย่าเข้าใจพ่อผิดนะ

อะไรประมาณนี้  อย่าเข้าใจพ่อผิด มันแปลว่าอย่างนั้น ฮีบรู 12:7-8 …

ฮีบรู 12:7-8  “7 จงทนความทุกข์ยาก โดยถือเสมือนว่าเป็นการตีสอน พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อท่านในฐานะบุตร เพราะบุตรคนไหนบ้างที่บิดาไม่เคยตีสอน 8 หากท่านไม่ถูกตีสอน (และทุกคนได้รับการตีสอน)  ท่านก็เป็นบุตรนอกกฎหมายและไม่ใช่บุตรแท้”

 

“จงทนความทุกข์ยาก โดยถือเสมือนว่าเป็นการตีสอน” เข้าใจแล้วใช่ไหมว่าตีสอน หมายถึงอะไร?  ตอนนี้เรารู้แล้วว่าคำว่า “ตีสอน” ตรงนี้ จริงๆ แล้วต้องใช้คำว่า “ฝึกฝน หรือปรับปรุง แก้ไข” ฝึกฝน ฝึกเรา

ความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้ ใครทำให้เกิดขึ้น?  ไม่ใช่พระเจ้าทำให้เกิดขึ้น  มันเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้อยู่แล้ว พระเจ้าใช้สิ่งเหล่านี้ที่มันเกิดขึ้น เพื่อมาฝึกสอนให้เรารู้จักวิธีการที่จะอยู่กับมันแบบเป็นลูกของพระเจ้า บนโลกใบนี้

เพราะฉะนั้น ข้อนี้ก็ต้องบอกว่า “จงทนความทุกข์ยาก โดยถือเสมือนว่าเป็นการฝึกฝน พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อท่าน ในฐานะท่านเป็นบุตร เพราะบุตรคนไหนบ้างที่พระบิดาไม่เคยสอน และฝึกฝน

นึกออกไหม?  มีลูกคนไหนที่พ่อรัก แล้วบอกว่าไม่สอนหรอก ปล่อยมันอย่างนั้นแหละ ไม่มี ถ้าเป็นลูก แล้วพ่อรัก พ่อก็ต้องสอนทุกคน ฝึกสอนเขาด้วยความรัก จงให้ความทุกข์ยากลำบากนั้น เป็นเสมือนว่าพระเจ้ากำลังฝึกเรา

ในหนังสือฮีบรู ในบริบทที่เรากำลังอ่านกันอยู่นี้  กำลังพูดถึงความทุกข์ยากลำบากที่ผู้เชื่อ ไม่ได้ทำให้เกิดขึ้น แต่ผู้เชื่อ คือคริสเตียนนั้น ถูกข่มเหงรังแกในสมัยนั้น ซึ่งทำให้ผู้เชื่อบางราย เกิดความกลัว และไม่กล้าจะเปิดเผยตัว เพราะกลัวถูกจับ กลัวถูกรังแก  กลัวถูกข่มเหง  นี่คือความทุกข์ยากลำบาก ที่เกิดขึ้น  บางรายก็ถูกอัปเปหิออกจากสังคม หรือสมาคมชาวยิว บางคนไม่ได้รับความช่วยเหลือจากสังคมคนยิวอีกต่อไป อะไรประมาณนั้น บางคนต้องถูกกลั่นแกล้งให้เสียตำแหน่ง หน้าที่การงานในสังคมเดิม  บางคนถูกจับ  ถูกตามล่า เพราะถูกใส่ร้าย

นี่คือบริบทที่เขียนให้คนที่ถูกข่มเหงรังแก แล้วเกิดความทุกข์ลำบาก  แล้วก็กลัวความทุกข์ลำบากด้วย  ขณะเดียวกัน มารก็จะใช้ความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้  มาบอกว่าพระเจ้าเป็นผู้กำหนดให้เกิดขึ้น เพราะอย่างนั้น เพราะอย่างนี้  ให้เขาเข้าใจพระเจ้าผิด  พระคัมภีร์ตรงนี้พูดชัดเจนเลยว่าจงถือว่าความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้น ที่เกิดขึ้น พระเจ้าจะใช้ให้เป็นประโยชน์ ในการสอนเรา ในการที่จะมีความอดทนและดำเนินชีวิตแบบใหม่ ให้มีความมั่นใจในพระองค์ว่าพระองค์เป็นพวกเดียวกับเรา พระองค์ทรงรักเรา และห่วงใยเรา และพระองค์ทรงสถิตอยู่กับเราด้วยตลอดเวลา

ซึ่งถ้อยคำตรงนี้ กำลังบอกว่าให้อดทนต่อความทุกข์นั้น และให้มั่นใจว่า … “ลูกเอ๋ย เดินถูกทางแล้ว มาทางนี้ ถูกแล้ว” ไม่ต้องหันรีหันขวางว่าเราทำผิดอะไร ถึงถูกข่มเหงรังแกแบบนี้  ไม่ใช่เลย พระเจ้ากำลังบอกว่ามันเป็นไปตามนั้นแหละ มันถูกต้องแล้ว  ความทุกข์ยากลำบากที่เกิดขึ้นกับเรา ให้ถือเสมือนว่าเป็นการฝึกฝนจากพระเจ้า เหมือนกับพ่อฝึกลูก เหมือนกับเราฝึกลูกเรา  สอนลูกเรา  ฝึกฝนลูกเราในการเจริญเติบโตเป็นมนุษย์ เป็นคนที่ดีต่อไปในอนาคต มีความอดทน เวลาเดินไปไหน เราก็บอกว่า …

“ออกนอกบ้าน ต้องใส่รองเท้านะ เพราะนอกบ้าน จะมีตะปู มีหินกลมๆ เดี๋ยวมันบาดเท้าเอา”

นี่คือความรัก ความห่วงใย ถูกไหม? และเมื่อเราเดินออกไปข้างนอก  เผลอไม่ใส่รองเท้า  ไปเหยียบตะปู เหยียบแก้ว เหยียบขวดอะไรต่างๆ บาดเจ็บมา ใครเป็นคนทำ  ข้างนอกบ้าน มีผู้ทิ้งสิ่งเหล่านี้ไว้ ให้เกิดความเสียหายกับร่างกายของเรา  เพราะโลกใบนี้มันเสียหายแล้วและเราไปเหยียบมาปุ๊บ กลับเข้าบ้านมา พระเจ้าจะมาโกรธเราไหม?  พระเจ้าก็พันแผลให้ ดูแลให้ แล้วก็สอนเราว่าออกไปข้างนอก จากนี้ต่อไป ต้องระมัดระวังตัว ใส่รองเท้าให้เรียบร้อย  เดินไป ก็ดูให้ดีๆ  ถูกไหม? พ่อที่ดี ก็ต้องเป็นอย่างนี้

มารมันจะมาใส่ข้อมูลผิดๆ มาว่าพ่อเป็นคนทำ ท่านลองนึกถึงภาพ ถ้าพระเจ้าเป็นคนทำสิ่งเหล่านี้ให้เกิดขึ้น แล้วมาสอนเรา ก็เท่ากับเราเป็นพ่อ แล้วสอนลูกบอกว่าอย่าออกไปข้างนอก ต้องใส่รองเท้า เสร็จแล้ว เราก็เป็นคนเอาตะปู เอากระจก เอาแก้วไปวางล่อไว้ ลูกเราเดินมา โดนแน่ พอลูกเราโดน กลับมา เราก็รีบมาสอนลูกเราว่า … “วันหลังอย่าทำอย่างนั้น  บอกแล้วไงว่าให้ใส่รองเท้าก่อนออกไป” อย่างนั้นหรือ?  ท่านยังหัวเราะเลย เป็นไปไม่ได้ ไม่ใช่อย่างนั้นแน่นอน

นั่นแหละ ในทางโลกวิญญาณ ในทางเรื่องราวเกี่ยวกับเรากับพระเจ้า ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับลูก ก็เป็นเช่นนั้นแหละ มากกว่านั้นสักเท่าใดที่พระเจ้าทรงเป็นต้นแบบของความรักของผู้เป็นพ่อ มากกว่านั้นอีกสักเท่าใด ที่พระองค์จะทรงรักและห่วงใย  ทะนุถนอมเรา ดังแก้วตาดวงใจ จะไม่ทำอะไรอย่างนั้นแน่นอน  ถูกไหมครับ? เห็นชัดเจน

ในบริบท หนังสือฮีบรูที่กำลังพูดถึงนี้  ความทุกข์ยากลำบาก อย่างที่บอกว่าเป็นความทุกข์ยากลำบากที่มันเกิดขึ้นจากความวิปริต ความเสียหายของโลกใบนี้ ก็คือผู้ที่มาเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ โลกใบนี้ไม่ได้เป็นสถานที่อยู่อาศัยของเราอีกต่อไป โลกใบนี้เป็นศัตรูทางฝ่ายวิญญาณกับเราเรียบร้อยไปแล้วนั่นเอง ฮีบรู 12:9-10 …

ฮีบรู 12:9-10  “9 ยิ่งไปกว่านั้น เราทั้งปวงล้วนมีบิดาซึ่งเป็นมนุษย์ผู้ตีสอนเรา  และเราเคารพนับถือท่าน ที่ทำเช่นนั้น ยิ่งกว่านั้นสักเพียงใด ที่เราควรอยู่ในโอวาทของพระบิดา แห่งจิตวิญญาณของเราและมีชีวิตอยู่  10  บิดาของเราตีสอนเราชั่วระยะหนึ่ง  ตามที่คิดเห็นว่าดีที่สุด  แต่พระเจ้าทรงตีสอนเรา เพื่อประโยชน์ของเรา  เพื่อเราจะได้มีส่วนในความบริสุทธิ์ของพระองค์”

 

ทราบแล้วนะว่าตีสอนหมายถึงอะไร?  เราทุกคนมีพ่อซึ่งเป็นมนุษย์ ที่คอยสั่งสอน อบรม ฝึกฝนเราด้วยความรัก  ห่วงใยเรา ดังแก้วตาดวงใจ  ซึ่งพ่อที่เป็นมนุษย์จะสั่งสอนเรา เพียงแค่ชั่วเวลาสั้นๆ ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  ไม่กี่ปีเท่านั้นเอง  ขนาดแค่นั้น เรายังให้ความเคารพ รักพ่อของเรามากขนาดไหน?  ยังเชื่อฟังท่าน แม้กระทั่งบางครั้ง ท่านไม่อยู่แล้ว ยังจำคำสอนท่านได้เลย ให้เป็นคนดีนะ อย่าโลภนะ แล้วมากกว่านั้นสักเท่าใด ที่พระเจ้า พระบิดาผู้ทรงสถิตในสวรรค์ เป็นพ่อแห่งจิตวิญญาณ  ที่คอยดูแล เอาใจใส่  สั่งสอน เข้ามาพิสูจน์ในจิตใจ ชันสูตรในจิตใจส่วนลึกของเราอย่างลึกซึ้งว่าเรานิสัยเป็นอย่างไร? อะไรรับได้ อะไรรับไม่ได้ เพื่อจะสั่งสอน ดูแลเรา ทะนุถนอมเรา ดังแก้วตาดวงใจ ไม่ใช่เฉพาะชีวิตที่อยู่บนโลกใบนี้เท่านั้น แต่ไปจนกระทั่งถึงชีวิตนิรันดร์ ในสวรรค์นิรันดร์กาลกับพระองค์เลย  มากกว่านี้อีกสักเท่าใดที่เราควรจะเชื่อฟัง เคารพ รักพระองค์มากกว่าพ่อที่เป็นมนุษย์มากกว่านั้นอีกสักเท่าใด  เรายิ่งควรจะอยู่ในโอวาทของพระเจ้าขนาดไหน? อยู่ในความเชื่อฟังและรักพระองค์ และกตัญญูต่อความรัก เข้าใจถึงความรัก ความห่วงใยของพระองค์มากกว่านั้นสักเท่าใด

การเชื่อฟังและการอยู่ในโอวาทของพระเจ้า คืออะไร? ท่านก็ยังถามว่าสำหรับพระเจ้าแล้ว การเชื่อฟังและการอยู่ในโอวาทของพระเจ้า ก็คือการยอมให้พระเจ้าเข้ามาฝึกฝน ปรับปรุง แก้ไขเรา  เพื่อประโยชน์ เพื่อสิ่งดีๆ จะได้เกิดขึ้นในชีวิตของเรานั่นเอง เพื่อให้ชีวิตของเราเป็นผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ซึ่งอยู่ในเรา ที่เราได้บังเกิดใหม่ในพระเยซู ผลของการเป็นผู้ชอบธรรม เป็นลูกของพระเจ้า ที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ให้ผลของความบริสุทธิ์ ความดีงาม และฤทธิ์เดชอำนาจในพระเยซูคริสต์ได้หลั่งไหลออกมาจากในชีวิตของเรา จะหลั่งไหลออกมาด้วยการสอน ฝึกฝน  อบรม ชันสูตรจิตใจของเรา ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงชีวิตของเรา ทีละเล็กทีละน้อย ด้วยความรัก ความห่วงใย  ดุจดังแก้วตาดวงใจของพระเจ้าผู้เป็นพ่อฝ่ายวิญญาณของเรา ผู้ให้กำเนิดเราในวิญญาณนั่นเอง …

ฮีบรู 12:11 “ไม่มีการตีสอนใดดูน่าชื่นใจในเวลานั้น มีแต่จะเจ็บปวด แต่ภายหลังจะเกิดผลเป็นความชอบธรรมและสันติสุขแก่บรรดาผู้รับการฝึกฝน โดยการตีสอนนั้น”

 

“ไม่มีการสอนใด ดูน่าชื่นใจ” แน่นอนถ้าพระเจ้าเข้ามาโอบกอดเรา ให้ความรักกับเรา แล้วค่อยๆ สอนเรา ฝึกฝนเราให้มีความอดทน แน่นอน ความอดทน แสดงว่าเรากำลังเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก  ความเจ็บปวด ซึ่งความเจ็บปวด ทุกข์ทรมานเหล่านั้น  มันจำเป็นต้องเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ ไม่ว่าเราจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อ มันเกิดขึ้นอยู่แล้ว เพราะว่ามันเป็นความจริงที่โลกได้ถูกสาปแช่ง โลกวิปริต ที่เราได้พูดกันตอนต้นเรียบร้อยว่าโลกมีแต่ความชั่วร้าย  โลกมีแต่ความทุกข์อยู่แล้ว  ไม่ได้เป็นบุตรพระเจ้า ไม่ได้มาเชื่อพระเจ้า  ก็อยู่ในความทุกข์นั้นอยู่แล้ว  พอมาเชื่อพระเจ้าก็อยู่ในความทุกข์เหล่านั้นเหมือนกัน   ไม่ต่างอะไรกันเลย  แต่ในขณะที่ตกอยู่ในความทุกข์ยากลำบาก พระเจ้าจะเข้ามาในลักษณะของการเป็นพ่อของเรา ดูแลจิตวิญญาณของเรา อยู่ในร่างกายของเรา จะเข้ามาโอบกอดเรา โอบอุ้มเรา ดูแลเอาใจใส่เราเป็นพิเศษ แล้วก็บอกเราว่า …

“อดทนนะลูก เดี๋ยวพ่อจะให้กำลังใจตรงนี้ เดี๋ยวพ่อจะช่วยตรงนี้  พ่อจะช่วยอย่างนั้น อย่างนี้”

ค่อยๆ ประคับประคองให้เราดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ผ่านอุปสรรค ปัญหาต่างๆ เหล่านั้นได้ เปาโลบอกว่าสามารถเผชิญกับทุกสถานการณ์ คือความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้นได้ โดยฤทธิ์อำนาจของพระเยซูคริสต์ผู้ทรงเสริมกำลังให้กับเราตลอดเวลา

เราจะได้เริ่มต้นเรียนรู้ พระเจ้าจะสอนให้เราได้เรียนรู้ เรียนรู้จักที่จะพึงพอใจในทุกสถานการณ์ ที่เผชิญอยู่บนโลกใบนี้ ซึ่งคือความทุกข์ยากลำบากนั่นเอง ถ้าใช้คำว่าเผชิญ คือความทุกข์ยากลำบาก  ถ้าใช้คำว่าทุกข์ยากลำบาก ก็คือสิ่งที่เจ็บปวด แต่สิ่งที่เจ็บปวดเหล่านี้ พระเจ้าจะใช้ให้เป็นประโยชน์ในการสอนลูก ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก ผ่านไปได้ด้วยดี เพราะอย่างไรก็ต้องผ่านอยู่แล้ว เหมือนพระคัมภีร์บอกว่าพระองค์จะทรงจูงมือเราผ่านหุบเขาเงามัจจุราช มันทำเราได้แค่ไหน? ก็แค่ความทุกข์ยากลำบาก ความเจ็บปวด ซึ่งพระเจ้าจะให้กำลังกับเราทนได้นั่นเอง

เพราะฉะนั้น ความอดทนตรงนี้แหละ คือสิ่งที่พระเจ้ากำลังจะค่อยๆ สอนเรา ให้เราได้เรียนรู้จากการผ่านความทุกข์ยากลำบาก เพื่อผลแห่งพระวิญญาณของพระเจ้า  คือความชื่นชมยินดี ความรัก ความชอบธรรม  ความดีงาม จะได้ออกมาจากชีวิตของเราบนโลกใบนี้ได้ ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาเหล่านั้น

พระคัมภีร์มีเปรียบการฝึกฝน การปรับปรุง การเทรน  ในการฝึกฝนให้เราดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  เป็นผู้ใหญ่ในฝ่ายวิญญาณ  อยู่ได้ในทุกสถานการณ์ไปพร้อมๆ กับพระองค์ ฝึกฝนเรา  มีเปรียบเทียบในข้อพระคัมภีร์ในนี้บอกว่าฝึกฝนเราด้วยความรัก ความทะนุถนอม โดยใช้คำว่า “Scourges” ที่แปลว่า “Inquire Deeply” ที่แปลว่าชันสูตรเข้าไปลึกซึ้งในชีวิตจิตใจของเราว่าเราเป็นคนเช่นไร?  สามารถแปลได้อีกความหมายหนึ่งว่า “การไถหว่าน”

พระเจ้าจะไถหว่านเรา คือชาวนาไถหว่าน เพื่อหวังผลเช่นเดียวกัน  พระเจ้าฝึกฝนเราเทรนเรา เพื่อให้เป็นผลของความชอบธรรมและสันติสุข ให้เกิดขึ้นกับชีวิตของเราทั้งหลาย  ที่เป็นลูกของพระองค์แล้ว

ท่านลองนึกถึงภาพการไถนาของชาวนา ไถลงไปในดิน ยิ่งลึกยิ่งดี  ดินจะได้สวย จะได้เก็บกินผลได้เต็มที่ ถ้าดินมันพูดได้ มันคงบอกว่า …

“โอ้โห! เจ็บ เจ็บ เจ็บ”

เพราะการไถลงลึกๆ เป็นทางยาว เพื่อให้มันเกิดผล เช่นเดียวกัน พระเจ้าใช้ความทุกข์ยากลำบากที่เกิดขึ้นกับเรา บนโลกใบนี้  ซึ่งเต็มไปด้วยความชั่วร้ายอยู่แล้ว  ซ้ำอีกทีหนึ่งก็ได้ว่าไม่ว่าจะเป็นคริสเตียนหรือไม่เป็นคริสเตียน ไม่ว่าจะเป็นลูกพระองค์หรือไม่เป็นลูกพระองค์ก็ตาม อยู่บนโลกใบนี้  อยู่ในความทุกข์ยากลำบาก  อยู่ในความชั่วร้าย  อยู่ในภัยพิบัติต่างๆ  ที่คาดไม่ถึง เกิดขึ้นเมื่อไรไม่รู้ตัวเลย ที่เรียกว่าตายเมื่อไร ก็ไม่รู้ตัว ความเจ็บปวด ความทุกข์ยากลำบาก ความชั่วร้ายเหล่านี้ มันมีอยู่แล้ว  แต่ถ้าท่านมาเชื่อในพระเจ้า วางใจในพระองค์ เชื่อในพระเยซูคริสต์ที่ได้ไถ่บาปให้กับท่าน ต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามาอยู่ในชีวิต ท่านก็จะได้รับสิทธิ์กลายเป็นลูกของพระเจ้า พอเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว พระเจ้ามาสถิตอยู่กับท่านข้างใน พระเจ้าจึงสามารถเข้ามาช่วยท่านได้  ในการดำเนินชีวิตท่ามกลางปัญหา ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้นได้  ถ้าท่านไม่ใช้สิทธิ์ของท่าน ไม่เชื่อ ไม่วางใจในพระเยซูคริสต์จะพึ่งตนเอง ท่านก็ต้องดำเนินชีวิตท่ามกลางความทุกข์ยากลำบากนี้ ด้วยตนเองเพียงผู้เดียว ไม่มีใครสามารถช่วยท่านได้ พระเจ้าผู้เป็นพ่อ ก็ไม่มาบังคับช่วยท่านได้เลย เพราะท่านไม่รับพระองค์ให้มาเป็นพ่อนั่นเอง

นี่คือความหมายของถ้อยคำเมื่อสักครู่ ถ้าท่านเป็นบุตร พระเจ้าก็จะเข้าไปช่วยเหลือทุกอย่าง แต่ถ้าท่านไม่เป็นบุตร พระองค์ก็อยากจะช่วย แต่ช่วยไม่ได้ เพราะการจะเป็นบุตรหรือไม่ ท่านต้องเป็นผู้ตัดสินใจเองว่าต้องการใช้สิทธิ์ที่พระเยซูคริสต์ทำให้กับท่าน พระเยซูมาตายที่ไม้กางเขน เป็นขึ้นมาจากความตายในวันที่ 3  เพื่อทำให้มนุษย์ทุกคนสามารถเข้ามาหาพระเจ้า เข้ามาเป็นบุตรของพระเจ้าได้ ทำไปเรียบร้อยแล้ว  ก็คือทำให้มนุษย์ทุกคนเป็นบุตรของพระเจ้าแล้ว พูดง่ายๆ คือพระเยซูได้กระทำให้มนุษย์ทุกคนเป็นบุตรของพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว  ที่ไม้กางเขน สำเร็จเรียบร้อยแล้ว

แต่ต้องได้รับอนุญาต หรือมนุษย์คนนั้นต้องเป็นผู้ใช้สิทธิ์ด้วยตนเอง เมื่อใช้สิทธิ์ เขาก็ได้สิทธิ์ของเขาไป เพราะพระเยซูคริสต์ทำให้สิทธิ์เขาเกิดขึ้นเรียบร้อยไปแล้ว เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว  ถ้าเขาไม่รับ ก็ไม่มีประโยชน์ สิทธิ์ในการเป็นบุตรของพระเจ้า ก็วางอยู่ตรงนั้น ไม่ได้ใช้  แต่สิทธิ์ในการเป็นบุตรของพระเจ้าที่พระเยซูคริสต์ทำให้นั้น ถ้าเขารู้ เขาเชื่อ และรับ จะใช้สิทธิ์นี้ เขาก็ได้สิทธิ์นั้นทันที เพราะเขาเป็นเจ้าของมรดก เจ้าของสิทธิ์นี้ในการเป็นลูกของพระเจ้าอยู่แล้ว  ไม่มีใครสามารถเอาไปได้เลย  แล้วไม่เกี่ยวข้องว่าเขาจะทำดีหรือไม่ดีขนาดไหน?  ทำชั่วขนาดไหน มันไม่เกี่ยวเลย พระเยซูคริสต์ได้ตายแล้ว  ได้เป็นขึ้นจากความตายแล้ว ได้กระทำการงานทั้งหมดนี้สำเร็จเรียบร้อยแล้ว ที่ไม้กางเขนนั้น  2,000 ปีเรียบร้อยแล้ว  ได้ถูกประกาศมาถึงทุกวันนี้  เพียงท่านเชื่อและวางใจเท่านั้น

กลับมาถึงคำว่า “ตีสอน” อีก หลายคนยังมีความเข้าใจผิด คิดว่าการสั่งสอน หรือการฝึกฝนของพระเจ้าเป็นเรื่องของการกระทำที่ผ่านมา เช่นเราทำอะไรผิดไป พระเจ้าจะได้สอนเรา  ตีเรา อะไรต่างๆ เหล่านั้น  เพราะเราไปทำผิด ไปทำบาปมา พระเจ้าก็เลยตีสอนเรา ซึ่งจริงๆ แล้ว เข้าใจผิด จริงๆ แล้วการตีสอน หรือการฝึกฝนของพระเจ้า  การปรับปรุงชีวิตของเรา  เป็นเรื่องของอนาคต ไม่ใช่เรื่องของอดีต ไม่ใช่ว่าเราไปทำอะไรไม่ดีมา พระเจ้าก็เลยสั่งสอนเรา แต่พระเจ้าสั่งสอน ฝึกฝนเรา เพื่อให้เราไปสู่อนาคตที่ดีขึ้นต่างหากล่ะ  อดีตไปทำอะไรผิดมา พระเจ้าบอกล้มแล้วลุก ไม่พูดถึงเลย  ป้องกันเราจากอนาคตต่างหาก จากการถูกล่อลวง หลอกลวงของโลกใบนี้  ซึ่งเป็นระบบที่มารใช้อยู่  ในการเป็นศัตรูกับพระเจ้า ให้เราดื้อต่อพระเจ้า แล้วเราก็จะได้รับสิ่งที่ไม่ดี แต่พระเจ้าต้องการให้เราเชื่อฟัง เพื่อเราจะได้รับสิ่งที่ดีต่างหากล่ะ

พระคัมภีร์ย้ำแล้วย้ำอีกว่าพระเจ้าไม่เคยจดจำความผิดบาปของเรา พระเจ้าไม่มีวันลงโทษ ในความบาปผิดของเรา เพราะบาปทั้งหมดของเราได้ถูกรับแทนไปเรียบร้อยแล้ว  โดยพระเยซูคริสต์ ที่ถูกตรึงอยู่ที่ไม้กางเขน  แบกรับเอาบาปของเราไปเรียบร้อยแล้ว ด้วยรอยแผลเฆี่ยนของพระเยซู เราได้รับการรักษาให้หายจากบาปทั้งปวง  เป็นอิสระจากโทษของความบาปและความตายเรียบร้อยไปแล้วนั่นเอง ไม่มีอีกต่อไป ไม่มีการลงโทษ และพระเจ้าก็ไม่จำด้วย

เพราะฉะนั้น อย่าให้สิ่งเหล่านี้มาถ่วงเราอยู่ อย่าพยายามให้มารมาเสี้ยมเรา เข้าใจพระเจ้าผิด แล้วก็กลัวพระเจ้า กลัวจนกระทั่งถึงขนาด เดินทางสู่สวรรค์ก็ไม่มั่นใจแล้วว่าวันนั้น วันที่จากโลกนี้ไป  พระเจ้าจะรับเราเป็นลูกหรือไม่? พระเจ้าจะให้เราเข้าสวรรค์ไหม?  เราทำอันนั้นผิด อันนี้ผิด เยอะแยะ เพราะเราเข้าใจพระเจ้าผิด  ในที่สุด เราก็ไปสวรรค์อยู่ดี แต่ไปสวรรค์ในขณะที่เราดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เหมือนไม่ได้อยู่ในสวรรค์ เหมือนเป็นคนไม่ได้เชื่อหนึ่งคน แล้วยังคงทำลายความจริงที่พระเยซูคริสต์บอกว่าพระองค์ทำสำเร็จแล้ว  เรายังคงเดินทางไปสู่สวรรค์ด้วยการชดใช้บาปของตนเองอยู่ โดยการพยายามพึ่งพาตนเอง พยายามทำความดี เพื่อชดใช้ความบาปอยู่ ซึ่งไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้นเลย เชื่อและวางใจในพระเยซู และให้พระเยซู พระวิญญาณบริสุทธิ์นำ สอนเราในการดำเนินชีวิตที่ถูกต้องต่อไป

เป็นเรื่องที่น่าเสียใจ น่าเศร้าใจอย่างยิ่งที่บางทีเราได้ยินคริสเตียนบางคนบอกว่าโอ้โห! กิจการงานเสียหายหมด ล้มละลายหมด  เศรษฐกิจล่ม ถูกฟ้องล้มละลาย เข้ามาอธิษฐานกับพระเจ้า แล้วก็บอกว่า …

“พระเจ้าลูกขออภัยด้วย เพราะว่าลูกไม่ได้ถวายสิบลด ลูกจึงเป็นอย่างนี้”

ท่านลองคิดดูสิ มารสามารถใช้ขนาดนี้ได้  บางคนยิ่งหนักกว่านั้นอีก …

“เพราะลูกถวายไม่ครบสิบลด พระองค์จึงทำให้กิจการงานลูกที่เจริญรุ่งเรืองแล้วล่มสลาย”

พี่น้อง ฟังทางนี้เลย พูดมาถึงตรงนี้แล้ว อยากจะให้ท่านเข้าใจพระเจ้าได้ถูกต้องจริงๆ ว่าบนโลกใบนี้นั้น ไม่มีอะไรแน่นอน  ระบบของโลกใบนี้นั้นวิปริต เสียหายไปแล้ว  เพราะฉะนั้น ต้มยำกุ้งมา เราก็อาจจะเป็นเหยื่อของต้มยำกุ้ง บางคนยังไม่เข้าใจ ต้มยำกุ้ง หมายถึงวิกฤตทางเศรษฐกิจสมัยต้มยำกุ้ง เกิดการล่มสลายของระบบการเงินของโลกใบนี้ทั้งโลกเลย มันก็กระทบเป็นโดมิโนไปหมดเลย ซึ่งรวมทั้งประเทศไทยก็ถูกกระทบไปด้วย  พอประเทศไทยถูกระทบ คนที่ทำธุรกิจต่างๆ  ก็โดนไปค่อนประเทศ อะไรประมาณนี้ แล้วเราก็เป็นหนึ่งในนั้น  แล้วมารก็จะมาหลอกเราว่า …

“นี่ เพราะแกทำ” เพื่อให้เรากับพระเจ้าเข้าใจกันผิด นี่ยังดี เข้าใจผิดยังมาอธิษฐานกับพระเจ้า บางคนเข้าใจผิด โกรธพระเจ้าไปอีก …

“อวยพรมาดีๆ ทำไมอยู่ดีๆ ลูกไม่ได้ถวายสิบลดแค่นี้ ทำให้ลูกเป็นอย่างนี้เลย”

งอนพระเจ้าไปก็มี อะไรประมาณนี้ แล้วมีลักษณะอย่างนี้อีกเยอะ

พยายามชี้ให้ท่านเห็นว่ามารพยายามเสี้ยมให้เราเป็นคนละพวกกับพระเจ้า ให้พระเจ้าแทนที่จะอยู่ฝ่ายเรา กลายเป็นอยู่ฝ่ายต่อต้านเรา แล้วเราจะดำเนินชีวิตไปสู่ชีวิตนิรันดร์ได้ผาสุกได้อย่างไร ในเมื่อพระเจ้าที่อยู่ในเราตั้งแต่วันแรกที่เราได้บังเกิดใหม่ ได้รับเชื่อในพระเยซูคริสต์ พระเจ้ามาสถิตอยู่กับเราแล้ว แล้วเรายังเดินไปด้วยกันกับพระองค์ ไม่เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ยังตะขิดตะขวางใจ รู้สึกว่าพระเจ้าเป็นคนละฝ่ายกับเรา พระเจ้าเป็นคนเอาไม้มาเคาะเราตลอด แทนที่จะมาคอยอวยพร โอบอุ้ม โอบกอดเราด้วยความรัก ด้วยความห่วงใย  เป็นคนคอยมาจับผิดเรา  ทำผิดนิดหนึ่ง โดนตี อย่างนี้ไม่เรียกเข็นครกขึ้นสวรรค์ แล้วจะเรียกว่าอะไร? ไม่รู้จะเข็นครกแบบทรมานตัวเองไปทำไม อย่างนี้เป็นต้น

เราต้องเข้าใจตรงนี้ พระคัมภีร์บอกว่า … “ถ้าพระเจ้าอยู่ฝ่ายเรา ใครจะขวางเราได้” พูดย้ำยืนยันอยู่นั่นแหละ พระเจ้าอยู่ฝ่ายเราๆ

พระเจ้าตรัสว่า … “เราจะไม่ละทิ้งเจ้าให้อยู่ตามลำพัง เราจะอยู่กับเจ้า เราจะไม่ละทิ้งเจ้า เหมือนเด็กกำพร้า เหมือนลูกกำพร้า เราจะไม่ให้เจ้าอยู่ตามลำพังเลย”

ก็คือไม่ทิ้งให้เราเป็นลูกที่ไม่มีพ่อ พ่อจะคอยดูแลอยู่ ไม่ละเราอยู่ตามลำพัง ไม่มีวันไหน คืนไหนที่จะปล่อยให้เรานอนคนเดียวเลย ไม่ให้เราอยู่เพียงคนเดียวชั่วโมงหนึ่ง ไม่มีเลย ทุกเสี้ยววินาที ตลอดเวลา ทุกลมหายใจเข้าออกของเรา เมื่อเราเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว พระเจ้าอยู่ด้วยตลอดเวลา อยู่ด้วย และเป็นพวกเรา อยู่ข้างเรา เข้าใจหมดเลย อภัยให้หมดเรียบร้อยแล้ว …

“มา ไปด้วยกันลูก ไปด้วยกัน”

ศัตรูมีผู้เดียว คือมารเท่านั้นเอง แล้วมารใช้ระบบของโลกใบนี้ เพราะฉะนั้น ศัตรูของเรา ก็คือมารและระบบของโลกใบนี้เท่านั้นเอง ที่เป็นศัตรูกับพระเจ้า ที่คอยยุแหย่ ดึงเราออกจากทางของพระเจ้า ดึงเราให้เข้าใจพระเจ้าผิด  ซึ่งถ้ามันทำได้  ก็คือไม่อยากให้เราเชื่อในพระเยซูคริสต์เลย  ไม่อยากให้เรามาเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ ไม่อยากให้เรามาใช้สิทธิ์ของเรา  ที่พระเยซูคริสต์ทำให้กับเรา ได้มีโอกาสเป็นลูกของพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว  ให้เราเพิกเฉยต่อสิทธิ์นี้ ถ้าเป็นไปได้ แต่ถ้าเป็นไปไม่ได้ เรามาใช้สิทธิ์แล้ว เป็นลูกของพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว เกิดใหม่แล้ว เกิดเลย อยู่กับพระเจ้า และพระเจ้ามาสถิตอยู่กับเราแล้ว มันก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว  มันก็ทำวิธีนี้แหละ ไหนๆ มาเชื่อพระเจ้าแล้ว รอดแล้ว เป็นลูกพระเจ้าแล้ว ก็ทำให้ลูกพระเจ้าดูเหมือนไม่ใช่ลูกพระเจ้าบนโลกใบนี้ ทุกข์ๆ ลำบากไปหมด  แล้วก็ตำหนิพระเจ้า

พอโควิดเกิดขึ้น แทนที่จะคิดว่าระบบของโลกมันเป็นเช่นนี้เอง ระบบของโลกใบนี้มันเสียหาย ความเจ็บป่วยมันเกิดขึ้น เป็นเรื่องธรรมดา พอโควิดเกิดขึ้น ก็บอกว่าพระเจ้าเอาโควิดมาตีสอนให้กับมนุษยชาติ เพื่อมนุษยชาติจะได้กลับคืนมาหาพระเจ้า โควิดเกิดขึ้นกับโลกใบนี้ไม่พอ โควิดเกิดขึ้นกับเรา  เพราะว่าวันก่อนนี้เราไปโกรธเขา  เราไปโมโหเขา เราไปโลภอะไรบางอย่าง เพราะฉะนั้น เลยเอาโควิดมาตีเรา สอนเรา เพื่อเราจะได้เป็นคนดีในสายพระเนตรของพระองค์ อะไรอย่างนี้ ควรจะหมด ควรจะไม่มีอยู่ในสมองของคริสเตียนอีกต่อไป เป็นศัตรูของเรา เป็นผู้ทำสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดให้เกิดขึ้น

เพราะฉะนั้น ในวันนี้ จงอยู่กับพระเจ้า เป็นพวกเดียวกันกับพระเจ้า  จงอยู่ด้วยความเชื่อและวางใจในความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า และอยู่ในฐานะที่เป็นบุตรของพระเจ้า  มีสิทธิที่เราใช้เรียบร้อยแล้ว สำหรับคนที่ยังไม่ใช้สิทธิ์นี้เป็นของท่าน ตัดสินใจวันนี้ เปิดใจในวันนี้  ต้อนรับสิทธิของท่าน ในฐานะเป็นลูกของพระเจ้า ที่พระเยซูคริสต์ทำให้กับท่านเรียบร้อยแล้ว ท่านเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เพียงแต่ใช้สิทธิของท่านเท่านั้นเอง แล้วท่านจะรู้ว่าความรักของพระองค์ที่มีต่อท่านมากสักเท่าใด ถึงขนาดเรียกท่านทั้งหลายว่าลูกของพระเจ้า เหมือนบทเพลงที่เขาร้องกันว่า …

“ดูเถิด ความรักของพระเจ้า มากยิ่งสักเท่าใดประทานให้แก่เรา

ดูเถิด ความรักของพระเจ้า มากยิ่งสักเท่าใดประทานให้แก่เรา

ที่เราได้ชื่อว่าเป็นบุตรของพระเจ้า    ที่เราได้ชื่อว่าเป็นบุตรของพระเจ้า”

พระเจ้าอวยพรครับ

 

********************

 

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

มัทธิว 7:13-14  พระเยซูบอกว่า … “จงเข้าไปทางประตูแคบ  เพราะว่าประตูใหญ่และทางกว้างนั้นนำไปถึงความพินาศ และคนที่เข้าไปทางนั้นมีมาก เพราะว่าประตูซึ่งนำไปถึงชีวิตนั้นก็คับและทางก็แคบ ผู้ที่หาพบก็มีน้อย”

คนที่เข้าประตูคับทางแคบ คือคนที่พึ่งการกระทำของพระเยซูคริสต์ ไม่พึ่งในการกระทำดีตามกฎด้วยตนเอง

ประตูคับทางแคบ คือคนโง่เขลา ถูกกดดัน ถูกดูหมิ่น ถูกหัวเราะเยาะถูกข่มเหงจากสังคมภายนอก แต่ภายในใจเต็มไปด้วยสันติสุขความสงบ พักผ่อน หายเหนื่อย หมดภาระ หมดเวรหมดกรรมแล้ว

 

คนที่เข้าประตูใหญ่ทางกว้าง คือคนที่พึ่งการกระทำดีตามกฎระเบียบด้วยตนเอง ไม่พึ่งในการกระทำของพระเยซูคริสต์

ประตูใหญ่ทางกว้าง คือคนมีปัญญา ได้รับเกียรติ ได้รับการยกย่องสรรเสริญสนับสนุนจากสังคมภายนอก แต่ภายในใจเต็มไปด้วย ความเหน็ดเหนื่อยแบกภาระหนัก ไม่รู้เมื่อไหร่จะหมดเวรหมดกรรมสักที

 

สร้างบ้านบนศิลา คือพึ่งพาวางใจในพระเยซูผู้ช่วยให้รอดจาก โทษของความบาป จากความพินาศ เป็นผู้บริสุทธิ์ครบถ้วนไร้ ตำหนิ และได้อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้านิรันดร์หลังความตาย

 

สร้างบ้านบนทราย คือพึ่งพาวางใจในตนเองในการกระทำของตนเอง ที่จะรักษาความดีตามกฎระเบียบที่ สติปัญญามนุษย์ คิดว่าดีเพื่อจะรอดจาก โทษของความบาป จากความพินาศ เพื่อจะเป็นผู้บริสุทธิ์ครบถ้วนไร้ตำหนิ เพื่อจะได้อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้านิรันดร์หลังความตาย

 

มัทธิว 7:24-27 พระเยซูบอกว่า … “เหตุฉะนั้น ผู้ใดที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเรา และประพฤติตาม  เขาก็เปรียบเสมือนผู้ที่มีสติปัญญา สร้างเรือนของตนไว้บนศิลา ฝนก็ตกและน้ำก็ไหลท่วม ลมก็พัดปะทะเรือนนั้น แต่เรือนมิได้พังลง เพราะว่ารากตั้งอยู่บนศิลา แต่ผู้ที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเรา และไม่ประพฤติตาม เขาก็เปรียบเสมือนผู้ที่โง่เขลา สร้างเรือนของตนไว้บนทราย ฝนก็ตกและน้ำก็ไหลท่วม ลมก็พัดปะทะเรือนนั้น เรือนนั้นก็พังทลายลง และการซึ่งพังทลายนั้นก็ใหญ่ยิ่งนัก”

 

พระเจ้าอวยพรครับ