วารสาร Holy News ฉบับที่ 1336

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  31  ตุลาคม  2021

 เรื่อง “หนังสือเอเฟซัส” ตอน 4

โดย วราพร  คงล้วน

 

วันนี้เรามาต่อในหนังสือเอเฟซัส ยังอยู่บทที่ 1 ข้อที่ 15

เอเฟซัส 1:15 “ด้วยเหตุนี้  ตั้งแต่ข้าพเจ้าได้ยินถึงความเชื่อของท่าน  ในพระเยซูเจ้า และความรักของท่านที่มีต่อประชากรทุกคนของพระเจ้า”

 

คราวที่แล้ว เราเรียนรู้ถึงสิ่งที่เราได้รับเชื่อ วางใจในพระเจ้า  พระวิญญาณบริสุทธิ์ประทับตรา เป็นมัดจำว่าเราเป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์  ฉะนั้น เมื่อเราเป็นผู้เชื่อแล้ว

ข้อที่ 15 อาจารย์เปาโลบอกว่า “ด้วยเหตุนี้ ตั้งแต่ข้าพเจ้าได้ยินถึงความเชื่อของท่าน”

ก็คือความเชื่อของชาวเอเฟซัส ถูกเลื่องลือไป กว้างมาก ไปจนถึงหูของอาจารย์เปาโล โดยปกติ พอพูดถึงความเชื่อ  เรามักจะคิดถึงอะไร?

พอพูดถึงความเชื่อ เรามักจะคิดว่าเชื่อในเรื่องของฤทธานุภาพของพระเจ้า เชื่อในเรื่องของการวางมืออธิษฐานให้คนป่วยได้รับการหายโรค เชื่อเรื่องเจริญรุ่งเรือง มั่งคั่งทางฝ่ายวัตถุที่พระเจ้าจะประทานให้กับเรา  เชื่อว่าเราสามารถที่จะสั่งเลื่อนภูเขาให้ลงทะเลได้  ปกติเราเชื่อกันแบบนี้  แต่ความเชื่อจริงๆ ในถ้อยคำของพระเจ้า  ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพวกนี้เลย  เรื่องทั้งหมดที่ได้พูดมาเมื่อตะกี้ มันไม่เกี่ยวอะไรกับความเชื่อในโลกวิญญาณ มันเป็นเรื่องโลกวัตถุ หรือแม้แต่เมื่อเราเป็นผู้เชื่อ  เราไปวางมือรักษาโรค มันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเรา เพราะว่าฤทธิ์เดชอำนาจ ไม่ได้อยู่ที่เรา แต่อยู่ที่พระเจ้า

ถามว่าเรื่องของการรักษาโรค ยังมีอยู่ไหม? มีอยู่ พระเยซูสามารถรักษาโรคได้  พระเยซูสามารถทำงานผ่านทางชีวิตของเราได้ แต่ว่าไม่ได้ขึ้นอยู่กับเราว่าอยากจะทำ แล้วพระเจ้าต้องทำตามเรา  แต่ขึ้นอยู่กับจังหวะเวลา หรือชั่วโมงนั้นๆ ที่พระเจ้าอยากจะใช้เราทำอะไรบางอย่าง  เกี่ยวกับเรื่องของโลกวัตถุนี้ เพื่อให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์

สิ่งต่างๆ ที่พูดมาทั้งหมด มันไม่ได้อยู่ในพระสัญญาของพระเจ้า ที่พระเยซูคริสต์ได้ทำสำเร็จแล้ว บนไม้กางเขน  ฉะนั้น พระสัญญาของพระเจ้าที่พระเยซูคริสต์ทำสำเร็จแล้ว บนไม้กางเขน เป็นเรื่องของโลกวิญญาณ ซึ่งเราไม่สามารถสัมผัสจับต้องได้ แต่เรารับเอาด้วยความเชื่อ ตามถ้อยคำที่พระเจ้าบอก  พอเราเชื่อปุ๊บ สิ่งที่สำแดงออกของความเชื่อนี้ ในพระคัมภีร์ข้อนี้ สิ่งที่สำแดงออก คือความรักของผู้เชื่อ ที่มีต่อประชากรของพระองค์ทุกคน

ความรักตรงนี้ เกิดขึ้นทันทีเมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เพราะพระเจ้าทรงเป็นความรัก  ทันทีที่เราเชื่อ  วิญญาณของเราได้ถูกผ่าตัดใหม่ เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์  พระเยซูคริสต์เป็นความรัก เราก็เป็นความรักด้วย  ดังนั้น ความเชื่อที่สำแดงออก เมื่อเราเชื่อวางใจในพระเจ้าปุ๊บ มันจะเกิดการสำแดงความเชื่อตรงนี้ คือธรรมชาติใหม่ของผู้เชื่อ คือความรัก  ที่จะถูกสำแดงออกมา

ฉะนั้น ความเชื่อที่เพิ่มพูนมากขึ้น  คือความเชื่อในเรื่องราวความรู้ของพระเจ้า เกี่ยวกับโลกวิญญาณว่าเมื่อเราเข้ามาอยู่ในพระเจ้าแล้ว เราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ และเราได้รับอะไรจากพระเจ้าบ้าง ความรู้ตรงนี้ ทำให้เราสำแดง ธรรมชาติใหม่ออกมา  โดยอัตโนมัติ เพราะว่าเราเป็นความรัก ความรักของพระเจ้าอยู่ในเราเลย รอเวลา เมื่อเราเจริญเติบโตมากขึ้น ความรักนี้จะถูกสำแดงออกไปมากขึ้น

ตรงนี้แหละ คือสิ่งที่เราจำเป็นจะต้องรับรู้ ไม่อย่างนั้น คริสเตียนก็จะโดนหลอก หลอกว่าถ้าเรามีความเชื่อเยอะ เราก็ต้องทำหมายสำคัญการอัศจรรย์  เพื่อสำแดงว่าเรามีความเชื่อในพระเยซูคริสต์ ซึ่งหมายสำคัญและการอัศจรรย์ ไม่เกี่ยวอะไรกับเราเลย  เป็นเรื่องของพระเจ้า พระเจ้าจะใช้เราเมื่อไรก็ได้ เวลาไหนก็ได้  ใช้ใครก็ได้  แม้แต่คนเล็กน้อยคนหนึ่ง ผู้เชื่อคนหนึ่ง  ที่เพิ่งรับเชื่อ แล้วพระเจ้าอยากจะใช้เขา  ให้เดินไปวางมือให้กับคนเจ็บคนป่วย แล้วคนเหล่านั้นหายโรค พระเจ้าก็ใช้เขาได้ มันไม่ได้ขึ้นอยู่ที่เราจะพยายามทำความเชื่อตรงนี้ให้เกิดขึ้น  ดังนั้น ความเชื่อที่แท้จริง คือเชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำเพื่อเราเรียบร้อยไปแล้ว บนไม้กางเขน  และโดยความเชื่อนี้ ทำให้บุคลิกลักษณะของเรา  ที่เป็นธรรมชาติใหม่  ที่เป็นเหมือนพระเจ้า ถูกสำแดงออกไป เมื่อความเชื่อนั้น เจริญเติบโตขึ้น

เอเฟซัส 1:16 “ข้าพเจ้าจึงขอบพระคุณพระเจ้าอย่างไม่หยุดยั้ง   เพราะท่าน  และเฝ้าอธิษฐานเผื่อท่าน”

 

เมื่อได้ยินถึงความเชื่อที่เจริญขึ้น โดยการสำแดงออกเป็นความรักปุ๊บ อาจารย์เปาโลก็เลยบอกว่าพอได้ยินอย่างนี้ มีความสุข เลยไม่หยุดที่จะอธิษฐานให้กับผู้เชื่อเหล่านี้ เรามาดูว่าอาจารย์เปาโลอธิษฐานเรื่องอะไร?

ปกติถ้าเราอธิษฐานให้คนอื่น เราก็มักจะอธิษฐานว่าอะไร? อธิษฐานขอพระเจ้าอวยพรให้เขามีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง ขอพระเจ้าอวยพรให้เขามีความเจริญรุ่งเรืองมั่งคั่งในเรื่องของการเงิน การงาน อวยพรให้เขามีครอบครัวที่ดี นี่เป็นพื้นฐาน ไม่ได้หมายความว่าเราอธิษฐานไม่ได้ เราอธิษฐานได้ แล้วก็แล้วแต่ว่าพระเจ้าจะทรงเมตตา ตอบคำอธิษฐานของเราอย่างไร? ขึ้นตามน้ำพระทัยของพระองค์ แต่หลักของการอธิษฐานให้ผู้เชื่อจริงๆ  ต้องตามนี้เลย  ก็คืออธิษฐานเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ  ไม่เกี่ยวกับโลกวัตถุเลย  โลกวัตถุไม่ได้อยู่ในพันธสัญญา แต่ว่าพระเจ้ายังคงทำการงานของพระองค์อยู่ พระองค์พอพระทัยที่จะอวยพรใคร พระองค์ก็จะอวยพรผู้นั้น  นี่คือหลักการที่ชัดเจน ที่พวกเราจำเป็นจะต้องรับรู้ มาดูว่าอาจารย์เปาโลอธิษฐานอย่างไร? …

เอเฟซัส 1:17 “ข้าพเจ้าเพียรทูลขอให้พระเจ้าขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา   คือพระบิดาผู้ทรงพระเกียรติสิริ ทรงให้ท่านมีวิญญาณแห่งสติปัญญา  และการสำแดง  เพื่อท่านจะรู้จักพระองค์ดียิ่งขึ้น

 

อธิษฐาน  ขอให้พระเจ้าได้สำแดงความรู้เรื่องของพระเจ้า  เพื่อว่าเราจะได้รู้เรื่องราวของพระเจ้าดียิ่งขึ้น รู้ถึงสิ่งที่พระเจ้าได้ประทานให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว บนไม้กางเขน ทำสำเร็จแล้ว  เรื่องเหล่านี้ คือเราจำเป็นจะต้องรู้ รับรู้ว่าเราได้รับอะไรแล้ว  ผ่านทางความรอด  ที่พระเจ้าได้ประทานให้กับพวกเรา  เมื่อเราเรียนรู้มากขึ้น เราก็จะสามารถเข้าใจถึงหลักการของพระเจ้ามากขึ้น เข้าใจถึงน้ำพระทัยของพระเจ้ามากขึ้น  รับรู้ถึงความจริงในโลกวิญญาณมากขึ้น ฉะนั้น การมีวิญญาณแห่งสติปัญญา และการสำแดง เป็นส่วนหนึ่งของพระวิญญาณ ที่พระเจ้าประทานให้กับพวกเรา ก็คือพระเจ้าให้กับเรา แล้วเราก็ขอพระเจ้า ให้เพิ่มพูนมากขึ้นๆ  เพื่อเราจะได้สามารถเข้าใจถ้อยคำ หรือน้ำพระทัยที่พระองค์ทรงมีไว้ สำหรับผู้เชื่อทุกๆ คนมากขึ้น

เอเฟซัส 1:18 “ข้าพเจ้ายังอธิษฐานขอพระเจ้าให้ตาของวิญญาณ (ซึ่งเป็นตัวจริงๆ ของท่าน) สว่าง เพื่อจะได้รับการสำแดงความรู้ จากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เพื่อท่านจะได้รับรู้ถึงความหวัง และมีความมั่นใจในเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ของพระเจ้า ที่พระองค์ได้เรียกท่านเข้ามานั้น และรับรู้เรื่อง มรดกที่เต็มไปด้วยสง่าราศีอันยิ่งใหญ่รุ่งเรือง  และมีค่าที่สุดของพระองค์ ที่ได้ทรงจัดเตรียมไว้ให้กับท่าน  ผู้ซึ่งได้เป็นประชากรที่บริสุทธิ์ชอบธรรมของพระเจ้าแล้ว (โดยผ่านทางการเชื่อ  และรับสิทธิ์ของท่านที่พระเยซูได้ไถ่บาปให้)”

 

“ข้าพเจ้ายังอธิษฐานขอพระเจ้าให้ตาวิญญาณ ซึ่งเป็นตัวจริงๆ ของท่าน” ตาฝ่ายวิญญาณที่เป็นตัวตนจริงๆ ของเรา ร่างกายนี้ ไม่ได้เป็นตัวตนจริงๆ ของเรา ร่างกายนี้ยังเป็นร่างกายที่อยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตาย ฉะนั้น วันหนึ่งข้างหน้า เราก็จะต้องทิ้งร่างกายนี้ แต่ตัวตนจริงๆ ของมนุษย์ ก็คือวิญญาณข้างใน เราเคยได้ยินบ่อยๆ ที่พระเยซูคริสต์จะบอกว่า …

“จงมองให้เห็นเถิด”

คนนี้ตาบอด ก็คือมีตา แต่มองไม่เห็น  มีหู แต่ไม่ได้ยิน  ที่พระเยซูพูด ก็คือตาฝ่ายเนื้อหนังเขามีอยู่นะ แต่ตาฝ่ายวิญญาณ เขาไม่เปิด เขาเลย มองไม่เห็น

หูที่เรามองเห็นอยู่  ก็คือหูฝ่ายเนื้อหนัง  ที่อยู่บนโลกใบนี้ แต่หูฝ่ายวิญญาณของมนุษย์ ไม่ได้ยินเสียงของพระเจ้า เพราะฉะนั้น ขอพระเจ้าทรงเมตตาเปิดหูตาฝ่ายวิญญาณของพวกเรา ผู้เชื่อแล้ว ให้สามารถได้เห็นถึงสิ่งที่พระเจ้าจัดเตรียม สำหรับผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ และให้เราได้ยินสิ่งที่พระเจ้าต้องการตรัสกับเราในพระเยซูคริสต์ อาจารย์เปาโลจึงอธิษฐานขอให้พระเจ้าทรงสำแดง ให้เราสามารถรับรู้และได้ยินถึงเรื่องจริงๆ ของพระเจ้า ดังนั้น ตาของเรา ซึ่งเป็นตาจริงๆ  คือฝ่ายวิญญาณ  ให้เปิดออก และสว่าง

คำว่า “สว่าง” คือพออะไรสว่าง เราจะเห็นได้ชัด พี่น้องนึกภาพออกไหมค่ะ ถ้าเราเข้าไปในห้องมืด แล้วเราก็ไม่ยอมเปิดไฟ เราก็ต้องคลำเอา  บางทีมีเก้าอี้ มีโต๊ะขวางอยู่ เราก็จะไปเตะเก้าอี้ เตะโต๊ะ บางทีชนปุ๊บ เขียวเลย  ก็คือเรามองไม่เห็น เราก็เดินสะเปะสะปะ แต่ถ้าเราอยู่ในความสว่าง เราก็จะมองเห็น  เปิดไฟในห้องปุ๊บ เราจะเห็นตำแหน่งนี้ เก้าอี้วางอยู่ ตำแหน่งนี้โต๊ะวางอยู่  ตำแหน่งนี้มีต้นไม้วางอยู่ อย่าเดินไปเตะ แล้วเราจะเจ็บตัวเปล่าๆ มันเป็นภาพเดียวกัน  เมื่อตาใจฝ่ายวิญญาณเราสว่างขึ้น เราก็จะเห็นสิ่งที่พระเจ้าสำแดงให้กับเราได้รับรู้

“เพื่อจะได้รับการสำแดงความรู้ จากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เพื่อท่านจะได้รับรู้ถึงความหวัง” … ความหวังของคริสเตียนอยู่ตรงไหน?  ความหวังของคริสเตียน ไม่ได้อยู่ตรงที่หวังว่าพระเจ้าจะทรงอำนวยพระพรธุรกิจของเรา หวังว่าพระเจ้าจะอวยพรให้เรามีสุขภาพแข็งแรงจนวันตาย  ไม่ได้หวังว่าพระเจ้าจะทรงดูแลครอบครัวของเราให้อยู่ดี มีสุข ความหวังนี้ คือทุกคนหวังได้นะ แต่ว่าเป็นความหวัง ที่ไม่ได้อยู่ในวิญญาณ ซึ่งความหวังเหล่านี้ พระเจ้าสามารถให้เราได้แหละ แล้วแต่น้ำพระทัย แต่ว่ามันไม่ได้เป็นประเด็นหลักในเรื่องของวิญญาณที่อาจารย์เปาโลพูดถึง

ความหวังของคริสเตียน คือเป็นความหวังที่เราสามารถสัมผัสจับต้องได้ ด้วยความเชื่อ  เมื่อเราเชื่อวางใจในพระเจ้าปุ๊บ พระเจ้าบอกว่าพระพรนานัปการฝ่ายวิญญาณ  เราได้รับเรียบร้อยไปแล้ว  เราได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าแล้ว พระเจ้าทรงสถิตอยู่ในเราเรียบร้อยไปแล้ว สิ่งต่างๆ เหล่านี้เราได้รับแล้ว เราได้ไปนั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ร่วมกับพระเยซูคริสต์บนสวรรคสถาน เราก็ได้รับแล้ว  เมื่อได้รับแล้ว แล้วเราหวังอะไรอีก

หวังอีกเรื่องเดียวเลย คือเรื่องร่างกายใหม่ที่พระเจ้าสัญญากับเรา ตอนนี้เรายังไม่ได้รับนะ ผู้เชื่อยังอยู่ในร่างกายเก่า ซึ่งอยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตาย ฉะนั้น เรามีความหวังใจ เรารับรู้ เป็นความหวังที่มันเป็นจริง  คือรู้เลยว่าพระเจ้าเตรียมให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว ผู้เชื่อทุกคน ร่างกายใหม่ที่เต็มไปด้วยสง่าราศี  ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลย เมื่อวิญญาณเราออกจากร่างปุ๊บ เราก็จะไปสวมร่างกายใหม่นี้ทันทีเลย นี่คือความหวังใจที่ผู้เชื่อทุกคน เฝ้ารอคอย

“และมีความมั่นใจในเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ของพระเจ้า” มีความมั่นใจตรงไหน? ตรงที่ตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้  เมื่อเราบังเกิดใหม่  เราก็ได้ไปอยู่ที่สวรรค์เรียบร้อยไปแล้ว  พระคัมภีร์บอกเราอย่างนั้น  เมื่อเราบังเกิดใหม่ พระเจ้าได้ผ่าตัดวิญญาณเราใหม่ วิญญาณเข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ปุ๊บ พระเยซูอยู่ที่ไหน? เราอยู่ที่นั่นด้วย พระเยซูนั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า เราก็อยู่ที่นั่นด้วย  แปลว่า ณ เวลานี้ ร่างกายเราอยู่บนโลกใบนี้  แต่วิญญาณของเรา ได้อยู่ที่สวรรคสถานร่วมกับพระเยซูคริสต์ ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว ก็คือผู้เชื่อได้ไปอยู่ที่สวรรค์ เรียบร้อยแล้ว เมื่อเราอยู่ที่สวรรค์แล้ว เราก็ไม่ต้องมานั่งกังวลว่าตกลง เกิดเราตายไป เราจะได้ไปสวรรค์ไหม?  เราได้อยู่ในบ้านของพระเจ้า เรียบร้อยไปแล้ว

“ที่พระองค์ได้ทรงเรียกท่านเข้ามานั้น และรับรู้เรื่องมรดกที่เต็มไปด้วยสง่าราศีอันยิ่งใหญ่รุ่งเรือง” มรดกเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ผู้คนบนโลกใบนี้ มักจะเข้าใจผิด พอพูดถึงมรดก หลับตานึกภาพถึงวัตถุสิ่งของ อะไรเยอะแยะมากมาย แต่ว่ามรดกที่พระเจ้าพูดถึงในโลกวิญญาณ คือความรอดในพระเยซูคริสต์ การรอดพ้นจากบาป ที่เราไม่ต้องถูกพิพากษาลงโทษอีกต่อไป เราได้เป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า  เป็นลูกของพระเจ้า ร่วมกับพระเยซูคริสต์ เป็นผู้บริสุทธิ์ สะอาดหมดจดจำเพาะพระพักตร์ของพระเจ้า  นี่เป็นมรดกที่พระเจ้าได้ให้กับพวกเราทั้งหมด เราเป็นทายาทของพระเยซูคริสต์ มรดกเหล่านี้  มันเป็นมรดกที่ยิ่งใหญ่ ที่เราได้รับเรียบร้อยไปแล้ว  ฉะนั้น  เราจำเป็นต้องเข้ามารับรู้ว่ามรดกของเรา คืออะไร? มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรื่องของโลกวัตถุอีกเหมือนเดิม

ถ้าผู้เชื่อหรือคริสเตียน  พยายามไปจ้องที่โลกวัตถุ เราก็จะไม่สามารถมองเห็นความสำคัญ หรือความยิ่งใหญ่ หรือสิ่งที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับเรา ในโลกวิญญาณจริงๆ  เพราะว่าเรามัวแต่ไปจับจ้อง มองที่สิ่งที่ตาเรามองเห็น  แต่เรื่องของพระเจ้า ต้องใช้ความเชื่อ หลับตาเอา สิ่งที่มองเห็น มันไม่จริง  สิ่งที่มองไม่เห็น ที่พระเจ้าบอกว่าพระองค์ทรงให้กับพวกเราแล้ว คือเรื่องจริงๆ

“และมีค่าที่สุดของพระองค์ ที่ได้ทรงจัดเตรียมไว้ให้กับท่าน” คือเตรียมไว้เรียบร้อยไปแล้ว อย่างที่บอกพระเจ้าบอกว่าวันที่พระเยซูคริสต์ได้มาเกิดบนโลกใบนี้ ได้มาสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ได้ถูกฝังในอุโมงค์ ได้เป็นขึ้นมาจากความตาย ในวันที่สาม  พอพระเยซูคริสต์ได้เป็นขึ้นมาจากความตายปุ๊บ มรดกได้สำเร็จแล้ว สำหรับมนุษยชาติทั้งหมด บนโลกใบนี้ มรดกนี้มีแล้วนะ เป็นของขวัญที่พระเจ้าได้เตรียมไว้ให้กับทุกคนบนโลกใบนี้  แค่ว่าใครก็ตามที่เชื่อว่าของขวัญชิ้นนี้มีจริง  แล้วก็เดินเข้ามารับเอาไป เขาก็ได้ไปเลย  แต่ถ้าคนที่ได้ยิน ได้ฟัง แต่ยังไม่เชื่อ จะมีของขวัญอะไรดีขนาดนั้น ไม่เชื่อหรอก ไม่เอา ก็แล้วไป ไม่เอา ก็ไม่ได้ ก็ยังคงอยู่ที่เดิม แต่ว่าของขวัญ พระเจ้าจัดเตรียมให้เรียบร้อยไปแล้ว ผูกโบว์ไว้เรียบร้อยไปแล้วด้วย รอแค่เจ้าของมารับไปเท่านั้นเอง

“ผู้ซึ่งได้เป็นประชากรที่บริสุทธิ์ชอบธรรมของพระเจ้าแล้ว (โดยผ่านทางเชื่อ  และรับสิทธิ์ของท่านที่พระเยซูได้ไถ่บาปให้)”  ของขวัญนี้ พระเจ้าเตรียมไว้เรียบร้อยไปแล้ว  ใครที่เข้ามารับเอาด้วยความเชื่อ ก็ได้รับไปเลย

เอเฟซัส 1:19 “เพื่อท่านจะได้เริ่มต้นเรียนรู้ถึงฤทธิ์เดชอำนาจยิ่งใหญ่มหาศาล  ที่ไม่มีขีดจำกัดและหาที่เปรียบไม่ได้ของพระเจ้า ซึ่งเป็นฤทธิ์เดชอำนาจพลังที่ยิ่งใหญ่มหาศาลทางฝ่ายวิญญาณ  ที่กระทำการงานอยู่ภายในเรา  และเพื่อเราผู้ซึ่งได้เชื่อ (รับสิทธิ์ของเราที่พระเยซูได้ไถ่บาปให้)”

 

ฤทธิ์เดชอำนาจตรงนี้ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับโลกวัตถุอีกเหมือนเดิม แต่ฤทธิ์เดชอำนาจในข้อที่ 19 นี้ พูดถึงฤทธิ์เดชอำนาจในวันที่พระเจ้าได้ให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ชุบพระเยซูคริสต์ให้เป็นขึ้นมาจากความตาย แล้วพวกเราผู้เชื่อที่ได้ถูกนำเข้าไปบัพติศมาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ เมื่อเราตายพร้อมกับพระเยซู ถูกฝังพร้อมกับพระเยซู เราก็จะเป็นขึ้นมาใหม่พร้อมกับพระเยซู นี่คือฤทธิ์เดชอำนาจที่ยิ่งใหญ่สูงสุด  เขาเรียกว่าการบังเกิดใหม่

การบังเกิดใหม่ของผู้เชื่อ เราทำเองไม่ได้ มนุษย์เกิดเองไม่ได้  มนุษย์จะเกิดก็ต้องมีคนนำ  มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ เกิดเองไม่ได้  ก็ต้องเกิดจากท้องแม่ จริงหรือไม่จริง? อยู่ดีๆ บอกว่า …

“ฉันขอเกิดเอง”

มันเป็นไปไม่ได้ ก็คือคนที่เกิดใหม่  ไม่สามารถทำด้วยตัวเองได้ ในโลกวัตถุเป็นอย่างนี้  โลกวิญญาณก็เหมือนกัน การบังเกิดใหม่ ไม่มีมนุษย์คนไหนทำเองได้ โดยผ่านทางการประพฤติของตัวเอง แต่การบังเกิดใหม่นี้ พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นผู้กระทำ ขบวนการนี้ พระเจ้าเป็นผู้ทำ ไม่เกี่ยวอะไรกับเราเลย  เราทำไม่ได้ เราทำอย่างเดียว คือเดินเข้ามารับสิทธิ์นั้น ก็คือเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ต้อนรับสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ เพื่อเราบนไม้กางเขน  เปิดใจปุ๊บ  พระเจ้าก็จะทำการงาน ขบวนการที่พระเจ้าจะเปลี่ยนวิญญาณบาปอันเก่าของเรา  มาเป็นวิญญาณใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเจ้า คือเป็นผู้ชอบธรรม ฉะนั้น พวกเราที่เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ เราก็จะเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะนำวิญญาณของเราใส่เข้าไปในพระเยซูคริสต์ แล้วก็เอาไปตรึงพร้อมกับพระเยซูคริสต์ ฉะนั้น เรากับพระเยซูคริสต์จะเป็นหนึ่งเดียวกัน เมื่อเราบังเกิดใหม่ มีชีวิตใหม่ เป็นผู้ชอบธรรมในพระคริสต์แล้ว  เรากับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน โดยที่เราไม่สามารถทำด้วยตัวเองได้

พระคำของพระเจ้า จึงบอกว่าความรอดนี้ ไม่ได้เกิดขึ้น จากผลของการกระทำใดๆ ของมนุษย์ แต่เกิดขึ้นจากความเชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ เพื่อเราบนไม้กางเขน เพื่อไม่ให้ใครอวดได้เลยว่า …

“ฉันทำเยอะกว่าเธอ ฉันทำได้ตั้งเยอะ ฉันถึงได้รับความรอด”

ไม่มีใครทำเยอะ ขนาดที่ทำให้ตัวเองรอดได้  ฉะนั้น ความรอดนี้ ต้องพึ่งพระเจ้าเพียงผู้เดียวเท่านั้น  ผ่านทางความเชื่อ พอผ่านทางความเชื่อปุ๊บ ฤทธิ์เดชอำนาจตรงนี้  ที่พระเจ้าให้กับพวกเรา  พลังอำนาจที่พระเจ้าให้กับเรา  ที่เราได้บังเกิดใหม่ เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ เป๊ะเลย วิญญาณของเรากับวิญญาณของพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกัน  ร่างกายเราเป็นวิหารของพระเจ้า  พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคเข้ามาสถิตอยู่ในเราปุ๊บ  พลังนี้มันอยู่ในเราเรียบร้อยไปแล้ว  คือเราไม่ต้องไปหาเพิ่มจากที่ไหน?หรือไปพยายามไขว่คว้า พยายามหาวิธีว่าเราจะทำอย่างไร?  เพื่อให้เรามีพลังอำนาจ ฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่สูงสุด เข้ามาเพิ่มพูนมากขึ้น ในชีวิตของเรา  มันไม่มี มันเป็นไปไม่ได้  และทำไม่ได้ด้วย  เพราะว่าพลังอำนาจนี้ เกิดขึ้นตอนที่เราบังเกิดใหม่ ตอนที่เราเป็นขึ้นมาจากความตาย  พร้อมกับพระเยซูคริสต์ พลังอำนาจนี้มันเกิดขึ้นเลยในชีวิตของเรา  ฉะนั้น พลังอำนาจนี้มีอยู่แล้ว  แค่เราเข้าไปรับรู้  เพื่อเราจะได้สามารถทำให้พลังอำนาจนี้ ที่พระเจ้าใส่เข้าไปในชีวิตของเรา ที่เป็นธรรมชาติใหม่เหมือนพระเยซูคริสต์ ได้สำแดงออกมา และส่วนหนึ่งที่สำแดงออกมา ที่ชัดเจนที่สุด คือความรักที่ถูกสำแดงออก เพราะพระเจ้าเป็นความรัก จากนั้น ก็จะมีอีกเยอะแยะมากมาย ที่เป็นธรรมชาติของพระเจ้า ที่จะถูกสำแดง ค่อยๆ พัฒนาจากการรับรู้ ความจริงของพระเจ้ามากขึ้นเท่าไร? การสำแดงคุณลักษณะ หรือพระลักษณะของพระเจ้า ก็จะมากขึ้นเท่านั้น

มาคุยเรื่องเกร็ดความรู้นิดหนึ่ง แล้วเราจะจบ … เรามาพูดถึงพลังอำนาจนี้ ที่พระเจ้าทรงให้เราบังเกิดใหม่ บังเกิดใหม่ปุ๊บ เราเป็นลูกพระเจ้าทันทีเลย โดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติมอีก  เป็นผู้ชอบธรรมทันที  พระเจ้าสถิตอยู่ในเราทันที  โดยที่เราไม่ต้องไปทำอะไรเพิ่ม เพื่อให้พระเจ้าสถิตกับเรามากขึ้น พระเจ้าสนิทสนมกับเราทันที ก็คือพระเจ้าทั้ง 3 พระภาค พระเจ้าพระบิดา พระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาหลอมกับวิญญาณของเรา เป็นหนึ่งเดียวกัน  เรียบร้อยไปแล้ว  สนิทยิ่งกว่าสนิทอีก คือแกะกันไม่ออกเลย เป็นหนึ่งเดียวกัน  ฉะนั้น เราไม่จำเป็นต้องพยายามทำอะไรก็ตาม เพื่อทำให้เราติดสนิทกับพระเจ้ามากขึ้น

ดังนั้น คำว่า “ติดสนิทกับพระเจ้า” เราทำได้อย่างเดียว คือเมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดปุ๊บ เราเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าปุ๊บ เราสนิทเลย คือเป็นขึ้นมาเลย โดยที่เป็นแล้วเป็นเลย มันจะไม่หายไปไหน มันจะทำให้มากขึ้น หรือน้อยลงไม่ได้ เราเป็นลูกพระเจ้าก็เป็นเลย  คือไม่ได้ว่าเราต้องพยายามทำอะไรบางอย่าง เพื่อทำให้เราเป็นลูกของพระเจ้าเพิ่มขึ้น ไม่ต้องนะ คือเป็นแล้ว

เรามาดู คำๆ หนึ่ง ในภาษากรีก ที่ใช้กันเยอะมากในพระคัมภีร์เดิม  ก็ใช้คำนี้บ่อยมาก คำนี้อ่านว่า “koinonia” (koy-nohn-ee’-ah อ่านว่า “คอยโนเนีย”)  ถ้าเป็นภาษาอังกฤษเขาใช้คำว่า “Fellowship” คือการรวมตัวกัน

ความหมายของภาษาไทย คำว่า Fellowship มาจากรากศัพท์คำนี้แหละ koinonia” (koy-nohn-ee’-ah) หมายความว่าการเข้าส่วนร่วม เข้ามาร่วมเป็นหนึ่งเดียวกัน มีความสัมพันธ์ลึกซึ้ง เป็นเนื้อเดียวกัน  เป็นครอบครัวเดียวกันทางวิญญาณ  ไม่เกี่ยวกับร่างกายอีกเหมือนเดิม

ทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา วิญญาณเราถูกนำไปบัพติศมาในพระเยซูคริสต์ และได้บังเกิดใหม่ ทันทีที่เราบัพติศมาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ปุ๊บ เท่ากับเราได้มีส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันในพระเยซูคริสต์ โดยที่เราไม่ต้องทำอะไรอีกแล้ว มันเป็นโดยอัตโนมัติ ในโลกวิญญาณ เฉพาะผู้เชื่อเท่านั้นนะ ถ้าเราไม่เชื่อ เราไม่สามารถมาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าได้เลย ไม่ว่าเราจะเข้ามาที่โบสถ์ เรามาร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า เรามาอ่านพระคัมภีร์ เรามาฟังเทศน์ แล้วเราก็บอกว่าเราเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า พระเจ้าบอกว่าไม่ใช่  จำพระคัมภีร์ที่พระเยซูบอกว่าเราไม่รู้จักเจ้าได้ไหม? เพราะว่าเจ้าไม่ได้อยู่ในครอบครัวของเรา คนที่เข้ามาอยู่ในครอบครัวของพระเจ้าได้ คือคนที่เปิดใจต้อนรับเอาสิ่งที่พระเยซูคริสต์ กระทำเพื่อเขาบนไม้กางเขน  แล้วก็รับเอา  เป็นผู้เชื่อ  เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าในวิญญาณ พอเป็นหนึ่งเดียวกันปุ๊บ ก็เป็นการสามัคคีธรรมกับพระเจ้า

คำว่า “สามัคคีธรรมกับพระเจ้า” ส่วนใหญ่เราก็จะเข้าใจอันเดิม พอพูดถึงการสามัคคีธรรมกัน เราก็จะนึกว่าเรามาโบสถ์ร่วมกัน เรามาทำกิจกรรมร่วมกัน เรามาฟังเทศน์ด้วยกัน  เรามาอธิษฐานด้วยกัน ร้องเพลงด้วยกัน อันนั้น เป็นการเข้ามาชุมนุมกัน ซึ่งไม่เกี่ยวกับคำนี้ที่พระเจ้าพูดถึง

คำนี้ที่พระเจ้าพูดถึง ก็คือในโลกวิญญาณ ทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ปุ๊บ เราได้สามัคคีธรรมกับพระเจ้าทันทีเลย ก็คือเราเข้ามาในโลกวิญญาณ  เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นประชากรของพระเจ้าร่วมกัน ผูกพันกัน สนิทสนมกัน  ตรงนี้เกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งหมด คือเราไม่ต้องพยายามทำอะไรก็ตาม เพื่อให้เราสนิทสนมกับพระเจ้ามากขึ้น ย้ำอีกครั้ง เราไม่ต้องทำอะไร เพื่อทำให้เราสนิทสนมกับพระเจ้ามากขึ้น ทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราได้เข้าขบวนการการบังเกิดใหม่ปุ๊บ เข้าไปในแผ่นดินของพระเจ้า เข้าไปในอาณาจักรของพระเจ้า  เข้าไปในครอบครัวของพระเจ้าปุ๊บ เราเป็นหนึ่งเดียวกันทันที เราได้สามัคคีธรรมกับพระเจ้าทันทีเลย

เรามาประชุมกันในคริสตจักรเพื่ออะไร? การมาประชุมกัน หมายถึงเมื่อวิญญาณเราได้เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว เราก็จะฝึกฝนในการอยู่ร่วมกัน เป็นหนึ่งเดียวกันกับพี่น้องในคริสตจักร ก็คือเราเป็นหนึ่งเดียวกันในโลกวิญญาณแล้ว จากนั้น เราก็มาฝึกฝนการอยู่ร่วมกันกับพี่น้องในคริสตจักร นึกภาพออกไหมค่ะ วิญญาณมาก่อน การประพฤติจะตามมา

ฉะนั้น การเข้ามาประชุม ซึ่งเป็นผลจากการเป็นหนึ่งเดียวกันทางวิญญาณ แล้วเราก็มาอยู่ร่วมกัน

นี่คือคำจำกัดความทั้งหมด ที่เมื่อก่อนเราถูกบล็อค หรือเราเข้าใจผิด  ให้เราเข้าใจใหม่  พอพูดถึงคำเหล่านี้ ให้เรารับรู้เลยว่ามันเป็นเรื่องของโลกวิญญาณ ฉะนั้น การที่เราได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า เราได้รับมาฟรีๆ โดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเพิ่มขึ้น  ทันทีที่เราเชื่อพระเจ้า ของประทานนานับประการของพระเจ้า ที่ได้ประทานให้กับพวกเราผู้เชื่อ คือให้เราเรียบร้อยไปแล้ว หนึ่งในนั้นที่พระเจ้าให้ คือการบังเกิดใหม่ เข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้า มาเป็นลูกของพระเจ้า  มาเป็นทายาทของพระเจ้า มาสามัคคีธรรมกับพระเจ้าเลย มาเป็นส่วนหนึ่งกับพระเจ้าเลย ตรงนี้ เราต้องรับรู้ และอย่าให้ใครหลอกว่าเราจำเป็นจะต้องพยายาม คือ …

“ให้เรามาติดสนิทกับพระเจ้ามากขึ้นพี่น้องเอ๋ย”

“ให้เรามาอธิษฐานเพิ่มขึ้น เพื่อเราจะได้ติดสนิทกับพระเจ้ามากขึ้น”

มันไม่ใช่นะ การติดสนิทกับพระเจ้าไม่มีการเพิ่มขึ้นอีกแล้ว เพราะว่าสนิทแล้ว สนิทเลย สนิทมาก เหมือนในพระธรรมยอห์นที่พระเยซูคริสต์ยกตัวอย่างเถาองุ่น ว่าท่านต้องเข้ามาอาศัยอยู่ในเรา และเราอยู่ในท่าน  เราจะได้เป็นหนึ่งเดียวกัน  เพื่อว่าเราจะได้เกิดผลตามที่พระเจ้าได้เตรียมไว้ สำหรับพวกเรา ไม่ใช่ผลผลิตที่เราเคยรับรู้มา …

“เกิดผลในงานรับใช้”

มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกันเลย แล้วแต่ว่าพระเจ้าจะใช้ใครอย่างไร?

พอเราเข้าใจเนื้อหาจริงๆ ของถ้อยคำตรงนี้  เราก็จะเข้าใจเรื่องของพิธีมหาสนิท ซึ่งพิธีมหาสนิทจริงๆ ในพระคัมภีร์ก็บอกว่าเราทำ เพื่อระลึกถึงสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ เพื่อเราบนไม้กางเขนเรียบร้อยไปแล้ว ก็คือที่พระเยซูคริสต์ได้หลั่งพระโลหิตเพื่อเรา ได้ชำระล้างความบาปของเรา เรากินขนมปัง เหมือนเราได้กินเนื้อของพระองค์ คือเรากับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน  เหมือนกับที่พระเยซูคริสต์บอกว่า …

“ถ้าเจ้าไม่กินเลือดและเนื้อของเรา เจ้าจะเป็นหนึ่งเดียวกันกับเราไม่ได้ ความหมายตรงนี้ ในโลกวิญญาณ คือถ้าเราไม่เข้ามาอาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ หรือเปลี่ยนจากความเชื่อเดิม คือพึ่งในการกระทำของตัวเอง เข้ามาในความเชื่อใหม่ คือพึ่งในการกระทำของพระเยซูคริสต์ท่านจะเป็นหนึ่งเดียวกันกับเราไม่ได้ ท่านจะมาสามัคคีธรรมกับเราไม่ได้ ท่านจะเป็นครอบครัวเดียวกันกับเราไม่ได้เลย

พอเราพูดถึงพิธีมหาสนิท เรานึกเลย เราสนิทกับพระเจ้าแล้ว เราเป็นหนึ่งเดียวกัน เราสามารถที่จะระลึกถึง ขอบคุณพระเจ้า แต่ไม่ได้หมายความว่าเราต้องทำพิธีนี้ มันศักดิ์สิทธิ์มากเลย ไม่ใช่ ความหมายก็คือเราระลึกถึงสิ่งที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว และ ณ บัดนี้  เราเป็นหนึ่งเดียวกัน สนิทยิ่งกว่าสนิทกับพระเจ้าซะอีก คือแยกจากกันไม่ได้ เรากับพระเจ้า 3 พระภาคอยู่กลมกลืนกัน เป็นหนึ่งเดียวกัน

แล้วพอพูดถึงคำว่า “บัพติศมา” ให้เรานึกถึงเรื่องของโลกวิญญาณ ฉะนั้น การบัพติศมาในน้ำ มันเป็นเพียงเงาที่พระคัมภีร์เขียนไว้ เพื่อให้เราเห็นภาพว่าในวันที่พระเยซูคริสต์เสด็จมา แล้วพระองค์ถูกตรึงบนไม้กางเขน  และเป็นขึ้นมาจากความตาย พระองค์ไม่ได้บัพติศมาเราด้วยน้ำอีกแล้ว เหมือนที่ยอห์นบอก เราให้บัพติศมาท่านด้วยน้ำ แต่ไม่ช้าไม่นานจะมีพระอีกผู้หนึ่ง บัพติศมาท่านด้วยไฟ เล็งถึงพระวิญญาณ ก็คือผู้เชื่อได้บัพติศมา เข้าไปในพระวิญญาณเรียบร้อยไปแล้ว

พอบอกว่าการบัพติศมาปุ๊บ คิดเลยว่าหมายถึงการรวมเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า เป็นครอบครัวเดียวกัน ผูกพันกัน สนิทสนมกัน มีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งต่อกัน

ความหมายเหล่านี้ ให้พี่น้องรับรู้ มันเป็นเรื่องของโลกวิญญาณ  ฉะนั้น ถ้าพี่น้องนำเอาสิ่งต่างๆ เหล่านี้เข้ามาเป็นการกระทำ เป็นการประพฤติ เพื่อทำให้เราสนิทกับพระเจ้ามากขึ้น มันก็ผิดไปแล้ว เราถูกหลอกในสิ่งที่พระเจ้าบอกว่าพระองค์ทำให้เราสำเร็จแล้ว  คือ …

(1) พระเจ้าให้เราเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว

(2) พระเจ้าสถิตอยู่ในเราเรียบร้อยไปแล้ว

(3) พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคเข้ามาอยู่ในเราเรียบร้อยไปแล้ว

(4) ร่างกายของเรา เป็นวิหารของพระเจ้า เป็นที่สถิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์เรียบร้อยไปแล้ว

สิ่งต่างๆ เหล่านี้ คือพระเจ้าทำเสร็จเรียบร้อยไปแล้ว ไม่ต้องให้เรามาทำอะไรเพิ่มเติมอีกเลย เพื่อให้เราเป็นลูกของพระเจ้า ไม่ต้องให้เราประพฤติ ปฏิบัติทำให้พระเจ้าพอพระทัย พระเจ้าพอพระทัยเราอยู่แล้ว  ถ้าไม่พอพระทัย พระเจ้าคงไม่ส่งพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระองค์มาตายที่ไม้กางเขน เพื่อเรา

ภาพพวกนี้ พี่น้องจำ แล้วก็ขมวดปม เป็นภาพที่เรารับรู้ว่านี่คือความจริง ที่พระเจ้าบอกเรา อย่าให้ใครหลอกเราว่าเราจำเป็นต้องทำโน่นทำนี่ เพื่อให้พระเจ้าพอพระทัย  ไม่ต้อง พระเจ้าพอพระทัยอยู่แล้ว  แต่หลังจากที่เราเชื่อและวางใจในพระเจ้าแล้ว หลังจากที่เรารับรู้ความจริงของถ้อยคำของพระเจ้า เราเชื่อแล้ว หลังจากนั้น ผลของการประพฤติมันจะออกมาเองตามธรรมชาติ ก็คือรับรู้ว่าตอนนี้ เราเป็นลูกกษัตริย์แล้วนะ ตอนนี้ พระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในเรา  ธรรมชาติใหม่ของเราเป็นอย่างไร? ธรรมชาติใหม่ของเรา เป็นความรักใช่ไหม? เราก็จะสำแดงความรักออกมา  ธรรมชาติใหม่ของเราไม่ใช่ความอิจฉาริษยา ไม่ใช่ อันนี้หลอกเรา

“ฉันไม่ยอมแก อย่ามาหลอกฉัน ฉันไม่ทำตามแกหรอก”

เรามีสิทธิ์ไง  พอเราเชื่อพระเจ้าปุ๊บ เรามีสิทธิ์ที่จะเลือกว่าเราจะทำตามพระวิญญาณหรือทำตามเนื้อหนัง ในทุกวันเลย ทุกเวลา ทุกวินาที  เราเลือกได้หมดเลย ถ้าเราทำอะไรก็ตาม ที่เป็นไปตามที่ถ้อยคำพระเจ้าบอก เราก็เดินตามวิญญาณ แต่ถ้าเมื่อไรที่เราทำอะไรที่โลกนี้ส่งมา ก็คือไปอิจฉาเขาเอย พูดจาไม่ดีเอย เราก็ทำตามเนื้อหนัง  มันมีแค่นี้เอง

แต่ไม่ว่าเราจะเผลอไปทำตามการล่อลวงของเนื้อหนัง  ให้พี่น้องรับรู้ตรงนี้ว่าเมื่อเราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เป็นแล้วเป็นเลย  ไม่มีการตกกระป๋องไปเป็นลูกมารอีก แค่ว่าถ้าเราอนุญาตให้เนื้อหนัง หรือสิ่งล่อลวงบนโลกใบนี้ ดึงเราไปแถทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่พระเจ้าบอก เราก็เจ็บตัว ตรงที่เราต้องรับผลไง หว่านอะไร เกี่ยวอันนั้น  แต่เฉพาะบนโลกนี้เท่านั้น พี่น้องรับรู้ความจริงตรงนี้  พยายามรับรู้ให้ได้ว่าพระเจ้าได้ให้อะไรกับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว  อย่าให้ใครมาหลอกเราว่า …

“ฉันยังไม่ได้เลย ฉันต้องขอ ฉันยังไม่ได้เลย ฉันต้องทำ เพื่อฉันจะได้”

โดนหลอก เท่ากับเรากำลังบอกว่าพระเจ้าโกหก

พระเจ้าบอก “ฉันทำให้เธอเสร็จแล้ว”

“ยังไม่เสร็จหรอก พระองค์เจ้าข้า ลูกต้องทำเพิ่ม”

เท่ากับเรากำลังทำให้ข่าวประเสริฐของพระเจ้า ลดน้อยถอยลง ชีวิตของเราจะไม่เป็นพร ก็คือไม่ได้สามารถที่จะประกาศข่าวประเสริฐที่ทำให้คนอื่นสามารถรับรู้ว่า …

“นี่คือข่าวดีจริงๆ นะ”

คนอื่นเขาดู … “ข่าวดีตรงไหน? พวกเธอเชื่อพระเจ้าแล้ว พวกเธอยังต้องงกๆ ทำอย่างนี้เลย  ทำโน่นทำนี่ๆ เพื่อให้พระเจ้าพอใจ”

อะไรอย่างนี้ มันก็เหมือนกับดิสเครดิตของพระเจ้าไป โดยที่เราไม่ได้ตั้งใจ หรือไม่รับรู้ความจริง ก็มีโอกาสที่จะทำให้เราแถไปได้   พระเจ้าอวยพรค่ะ

 

******************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

พระเจ้าตอบ … “อย่ากลัวเลย เพราะเราอยู่กับเจ้า อย่าท้อแท้ เพราะเราเป็นพระเจ้าของเจ้า เราจะทำให้เจ้าเข้มแข็งขึ้นและจะช่วยเจ้า เราจะชูเจ้าไว้ด้วยมือขวาอันชอบธรรมของเรา”

 

อิสยาห์ 41:10  … “จงพอใจในสิ่งที่ ลูกมีลูกเป็นอยู่ในขณะนี้ พ่อสัญญากับลูกว่า “พ่อจะไม่มีวันทอดทิ้งลูกเหมือนเด็กกำพร้าพ่อจะไม่มีวันละทิ้ง ลูกให้อยู่ตามลำพัง”

 

เมื่อได้ยินพ่อพูดดังนั้นแล้ว ลูกตอบอย่างมั่นใจว่า … “องค์พระผู้เป็นเจ้า พ่อของลูกทรงเป็นผู้ช่วยเหลือลูก ลูกจะไม่กลัว ความทุกข์ทรมานที่เกิดขึ้นจะทำอะไรฉันได้เล่า?”

 

ฮีบรู 13:5-6  … “สรรเสริญและขอบพระคุณพระบิดาผู้ทรงสถิตยในสวรรคสถาน พระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก พระเจ้าผู้ทรงยิ่งใหญ่สูงสุด พระเจ้าเที่ยงแท้ แต่เพียงพระองค์เดียวผู้ทรงประกอบกิจการงานใดใด ไม่มีใครขวางพระองค์ได้”

 

หนังสือโรม 5:1-5 …  “1 เหตุฉะนั้น เมื่อเราได้เป็นคนชอบธรรม (ได้บังเกิดใหม่ในพระคริสต์) โดยความเชื่อแล้ว ก็ให้เราชื่นชมยินดี มีสันติสุข (ที่ได้กลับคืนดีกัน) กับพระเจ้าผ่านทางพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา  2 โดยทางพระองค์ เราจึงได้เข้าในร่มพระคุณที่เรายืนอยู่โดยความเชื่อ ให้เราชื่นชมยินดีในความหวังใจ (ที่มีหลักฐานประกันที่มั่นคงแน่ใจ) ว่าเราได้มีส่วนในสง่าราศี (มีส่วนในพระสิริของพระเยซูคริสต์ มีส่วนในชีวิตนิรันดร์ของพระองค์) 3 และไม่ใช่เพียงเท่านี้ แต่ให้เราชื่นชมยินดีในความทุกข์ยากลำบากด้วย เพราะเรารู้ว่าความทุกข์ยาก (ความกดดัน ท้อแท้ ลำบาก เครียด)นั้นทำให้เกิดความอดทน และความอดทนทำให้เกิด ความทรหด  4 ความทรหดผ่านประสบการณ์ ความทุกข์ยากต่างๆ ทำให้เกิดอุปนิสัยที่เจริญเติบโต เป็นผู้ใหญ่ในฝ่ายวิญญาณ ที่ผ่านการทดสอบแล้ว ทำให้ความหวังใจในความรอดนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์ที่ได้รับแล้วนั้น มีหลักฐานที่มั่นคงชัดเจนแน่ใจ 5 และความหวังใจนี้ ไม่เคยทำให้เราผิดหวังเลย เพราะว่าเราได้รับความรักของพระเจ้าอย่างเหลือล้นท่วมท้นอยู่ในวิญญาณและจิตใจของเราแล้ว โดยผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งพระองค์ได้ประทานให้แก่เราแล้ว (ตั้งแต่เริ่มเชื่อและได้บังเกิดใหม่)”

 

พระเจ้าอวยพรครับ