วารสาร Holy News ฉบับที่ 1338

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  14  พฤศจิกายน  2021

 เรื่อง “ความเชื่อที่ปราศจากการกระทำ ก็ไร้ประโยชน์” ตอน 3

“ความเชื่อและการเชื่อฟังแตกต่างกันอย่างไร?”

โดย นคร   เวชสุภาพร

 

นี่คือหัวข้อหลักที่เราจะมาเรียนเพิ่มเติมในวันนี้ คือความเชื่อกับการเชื่อฟังต่างกันอย่างไร? ปัญหาที่ผ่านมา ก็มีคริสเตียนหลายคนที่เข้าใจผิดในความหมายของยากอบ บทที่ 2 ที่ผมยกขึ้นมาในการบรรยายในซีรี่ย์นี้ ที่บอกว่าความเชื่อเพียงอย่างเดียว โดยไม่มีการกระทำ ก็เป็นความเชื่อที่ไร้ประโยชน์ ไม่เกิดผล ก็เพราะว่าส่วนใหญ่ยังเข้าใจสับสน ระหว่างคำว่าความเชื่อกับการเชื่อฟัง มันต่างกัน วันนี้จะคุยเรื่องนี้ ให้ละเอียดเลย

พี่น้องสมาชิกของเรา ก็เคยถามบ่อยๆ แล้วก็ถามว่าความหมายของข้อพระคัมภีร์ข้อนี้  หมายความว่าอย่างไร? มาถามว่าถ้าเขาเชื่อพระเจ้าแล้ว เชื่อจริงๆ ตามเงื่อนไข ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดจริงๆ เขามั่นใจว่าเขาบังเกิดใหม่แล้ว ได้รับความรอดตามพันธสัญญาของพระเจ้าแล้ว แต่ยังไม่สามารถสำแดงออกมาเป็นการกระทำได้ คือเขายังไม่สามารถให้อภัยคนที่เคยทำร้ายเขาอย่างเจ็บช้ำน้ำใจได้ ยังไม่สามารถที่จะรักคนๆ นั้น ได้ ทั้งๆ ที่รู้ว่าพระเจ้าบอกให้ดำเนินชีวิตด้วยความรัก พระเจ้าสอน ให้เขาดำเนินชีวิตด้วยความรัก

ถามว่า … “จะทำให้ความเชื่อของเขาไร้ประโยชน์หรือไม่?”

พูดง่ายๆ ก็คือถามว่า … “ถ้าเป็นอย่างนี้แล้ว เขาจะสูญเสียความรอดในวันสุดท้าย ขณะที่จากโลกนี้ไปหรือไม่?” หรือ “เขาจะได้ไปอยู่ในสวรรค์หรือเปล่านั่นเอง”

ท่านลองตอบในใจดู ตอบให้คนข้างๆ ฟังก็ได้ คำถามนี้ เกิดจากสิ่งที่ผมเกริ่นไว้แล้วว่าผู้เชื่อหลายคนยังสับสนกับประเด็นของคำว่าความเชื่อกับการเชื่อฟัง ซึ่งเราได้เรียนรู้ความหมายของคำว่าความเชื่อที่ต้องมีการกระทำ ในยากอบ บท 2 ไปแล้ว คราวนี้ลองมาดูพระคัมภีร์ที่กล่าวถึงการเชื่อฟังว่าต่างกันอย่างไร?  เราได้เรียนรู้กันไป 2 ครั้งแล้ว เน้นถึงเรื่องความเชื่อ เชื่อในพันธสัญญาของพระเจ้า แล้วก็ทำตามเงื่อนไข นั่นคือความเชื่อ

วันนี้ เราจะมาดูสิว่าความเชื่อหรือการเชื่อฟังมันแตกต่างกันอย่างไ? เราจะเริ่มต้นที่ทิตัส 2:11-12 ที่เราทิ้งไว้เมื่อครั้งที่แล้ว …

ทิตัส  2:11-12 “11 เพราะว่าพระคุณของพระเจ้า ที่นำไปถึงการปลดปล่อยให้เป็นอิสระจากการเป็นทาสของบาป และความรอดนิรันดร์  ได้ปรากฏแก่คนทั้งปวงแล้ว 12 พระคุณนี้สอนเราที่จะฝึกฝน ปฏิเสธการทำบาป และไม่ทำตามโลกียตัณหา และดำเนินชีวิตในโลกปัจจุบันนี้ อย่างมีสติสัมปชัญญะ ตามทางพระเจ้า สมกับเป็นผู้ชอบธรรม (บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า)”

 

ข้อ 11 บอกว่า “พระคุณของพระเจ้า ที่นำไปถึงการปลดปล่อยให้เป็นอิสระจากการเป็นทาสของบาป และความรอดนิรันดร์ ได้ปรากฏแก่คนทั้งปวงแล้ว”

หมายถึงพระคุณความรอดผ่านทางพระเยซูคริสต์ ที่ปลดปล่อยให้คนเป็นอิสระ จากการรับโทษของบาปนั้น ได้ถูกประกาศแล้ว ได้สำเร็จแล้ว ที่ไม้กางเขน ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา คือที่เราทั้งหลายได้รับความรอด ก็โดยพระคุณ คือไม่ต้องทำอะไรเลย ผ่านทางความเชื่อ ที่เป็นการกระทำ ก็คือเชื่อในพันธสัญญา ในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ แล้วก็เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ตามที่เราได้เรียนรู้เรียบร้อยแล้ว  นี่คือข้อ 11

ข้อ 11 เน้นไปที่อะไร? ความเชื่อตามพันธสัญญา  เชื่อในพระคุณของพระเจ้า  และทำตามพันธสัญญาที่มีเงื่อนไข เรียกว่าความเชื่อ

มาข้อ 12 บอกว่า “พระคุณนี้” คือความรอดนี้ ความรอดตามพันธสัญญาของพระเจ้า ที่ให้ไว้ในพระเยซูคริสต์ ที่มีเงื่อนไข และเราทำตามเงื่อนไข เรียบร้อยไปแล้ว ตรงนี้ เมื่อเกิดขึ้นแล้ว พระคุณนี้ ทำอะไร? สอนเราที่จะฝึกฝน ปฏิเสธการทำบาป  และไม่ทำตามโลกียตัณหา และดำเนินชีวิตในโลกปัจจุบัน  อย่างมีสติสัมปชัญญะ ตามทางของพระเจ้า สมกับเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ สะอาด เหมือนพระเจ้าของเรา คือหลังจากที่เราได้รับการบังเกิดใหม่แล้ว ตามที่ตะกี้นี้ผมอธิบายให้ฟัง เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว สะอาดหมดจด บริสุทธิ์แล้ว เป็นความรักเหมือนพระเจ้าแล้ว พระเจ้าก็จะค่อยๆ สอนเรา เพราะเราเกิดใหม่ เป็นลูกเล็กๆ ของพระองค์ ที่พระองค์ทรงรักดังแก้วตาดวงใจ สอนเราด้วยความรัก ให้เชื่อฟัง อันนี้ไม่ใช่เชื่ออันแรก อันนี้ คือเชื่อฟัง ให้เชื่อฟังและประพฤติตาม เพราะพระองค์ทรงรู้ว่าอะไรดีสำหรับเรา เรายังเล็กๆ อยู่ เราไม่รู้เรื่องโลกวิญญาณมากมายนัก แต่เรารู้ว่าเราเป็นลูกของพระเจ้า

ให้เราเชื่อฟัง ประพฤติดี สอนโดยไม่มีพันธะ ไม่มีเงื่อนไข สอนโดยพระคุณ เรียกว่าสอนโดยความรักอย่างไม่มีเงื่อนไข ด้วยตัวของพระองค์เอง  สอนเรา ด้วยพ่อที่สอนเราด้วยความรัก ไม่มีเงื่อนไขแล้ว  คำว่าไม่มีเงื่อนไข ก็คือจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ก็ไม่ได้ลงโทษ จะทำหรือไม่ทำตาม ก็ไม่เป็นไร ก็ยังรักเหมือนเดิมใช่หรือไม่? นี่ถ้อยคำพระเจ้านะ ไม่ใช่ผมพูดเอง เพราะไม่มีเงื่อนไขแล้ว

ง่ายนิดเดียว ทำไมไม่มีเงื่อนไข? เพราะว่าเป็นลูกไง มีใครที่เลี้ยงลูก แล้วมีเงื่อนไข เรากำลังจะมีลูกนะ มีลูกขึ้นมา  เราจะต้องสอนให้เขาเป็นคนดี ถ้าเขาทำไม่ดีขึ้นมา ดื้อมากๆ เราคิดว่าเราจะปัดเขา เอาเขาออกไปจากครอบครัวเลย ไม่มีพ่อแม่คนไหนตั้งเงื่อนไขแบบนั้น นี่หมายถึงคนปกติดีนะ ถ้าคนไม่ปกติ ก็อีกเรื่องหนึ่ง ปกติทั่วไป มนุษย์ก็เป็นอย่างนี้ ถูกไหม? เรารักลูกเรา ไม่มีเงื่อนไข  เพราะเป็นลูก พระเจ้าก็อย่างนั้นกับเรานั่นแหละ

ท่านพอเห็นภาพชัดไหมว่าระหว่างความเชื่อกับการเชื่อฟัง มันต่างกันมากมายมหาศาลเลย เขาเรียกว่าต่างกรรม ต่างวาระกัน เงื่อนไขก็ต่างกัน วัตถุประสงค์ก็ต่างกัน  ได้รับผลก็ต่างกัน  มีเพียงสิ่งเดียวที่เหมือนกัน ก็คือทั้งความเชื่อและการเชื่อฟัง มีต้นกำเนิด มีรากฐานมาจากความรัก พระคุณของพระเจ้า  ที่ให้กับเรา แต่ความเชื่อ ให้โดยพระคุณก็จริง แต่จำเป็นต้องมีเงื่อนไข คือถ้าให้แล้ว เราไม่รับไว้ มันก็ไม่มีประโยชน์ ให้โอกาสในการมาเป็นลูกของพระองค์ แล้วเราไม่เอา มันก็ไม่รู้จะบังคับเราได้อย่างไร? แต่เมื่อมาเป็นลูกแล้ว เป็นลูกเลย อย่างนี้โอเค ไม่มีเงื่อนไขแล้ว เกิดแล้ว

ขบวนการ คือเริ่มต้น เชื่อว่ามีพระเจ้าและเชื่อฟัง มันมาจากบุคคลหนึ่งได้ยินข่าวดี ข่าวประเสริฐของพระเจ้า พันธสัญญาใหม่ในพระเยซูคริสต์ และอันดับแรกเชื่อว่ามีพระเจ้า ไม่อย่างนั้นไม่ได้ทำอะไรทางโลกวิญญาณแน่นอน เชื่อในคำพูด ในคำสัญญาของพระเจ้าที่ให้ไว้ ที่พระองค์ได้ประกาศให้เชื่อแล้ว ก็ทำตามเงื่อนไข ที่พระเจ้าบอกไว้ ก็คือเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เกิดใหม่แล้ว หลังจากนั้น เรียนรู้ในสิ่งที่ได้รับจากพระเจ้า เรียนรู้ว่าเกิดใหม่แล้ว มันเป็นอย่างไร?

หลังจากนั้น พระเจ้าจะเป็นผู้สอน ให้เรียนรู้ในสิ่งที่ได้รับจากพระเจ้า ตามพันธสัญญาในพระคริสต์นั้นว่ามีอะไรบ้าง? เป็นอะไรบ้าง? ด้วยความหวังอันสมบูรณ์ และดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อฟัง ในการทรงนำ ในการทรงสอนของพระเจ้า  ในการทรงสถิตของพระเจ้า ที่สถิตกับเรา ตอนที่เราเชื่อและเปิดใจนั้น แล้วพระเจ้าก็ค่อยๆ ให้เราฝึกฝน ที่จะทำตามพระวิญญาณบริสุทธิ์ ไม่ตอบสนองต่อเนื้อหนัง ซึ่งเป็นอิทธิพลของความบาป ที่คอยจะล่อลวง เหมือนลูกออกจากบ้าน แล้วเราบอกลูกว่าระวังพาลเกเร มิจฉาชีพทั้งหลายที่จะมาหลอกล่อลูกให้ไปทำอะไรที่ไม่ดีทั้งหลาย อะไรที่คล้ายๆ อย่างนี้

พระเจ้าก็จะคอยสอนเราให้รู้จักฉลาดว่าให้ระวัง อันนั้นไม่ดี อันนี้ ไม่ดี อันนี้เป็นเนื้อหนัง … เนื้อหนัง คือปฏิปักษ์ต่อพระเจ้า ปฏิปักษ์ต่อความดีทางพระเจ้า จะพาเราไปเสียหาย แต่ก่อนนี้เราเคยเป็นทาสมันอยู่ เป็นทาสของความบาป แต่ตอนนี้ ไม่ใช่แล้ว ตอนนี้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เพราะฉะนั้น เรามีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธมัน อย่าไปทำตามมัน มันจะหลอกลวง ล่อลวงเรา ไปฆ่า หรือคอยทำลายเรา เป็นผลเสียในชีวิตของเราอย่าไป แล้วถ้าไปล่ะ เจ้าก็ยังเป็นลูกเราเหมือนเดิม แต่เจ้าจะเจ็บตัวเปล่าๆ นี่ไง มันมีแค่นี้เอง 2 อย่าง

สรุปความแตกต่างระหว่างความเชื่อกับการเชื่อฟัง ความเชื่อ หมายถึงเชื่อในพันธสัญญาของพระเจ้า “พันธะ” แปลว่ามีเงื่อนไข … เงื่อนไข คือต้องเชื่อจริงๆ พิสูจน์โดยการกระทำตอบสนอง คือเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เสี่ยงชีวิต ถวายชีวิตของเรา ให้พระเจ้าเลย เหมือนตัวอย่างที่ยากอบได้ยกในหนังสือยากอบ บทที่ 2 ที่เราได้เรียนไป 2 ครั้งที่แล้ว

เหมือนอับราฮัมถวายบุตร อิสอัครู้ว่ากำลังจะตายแล้ว อิสอัคก็ยอมเหมือนกัน ถวาย คือถวายชีวิตของตนเอง เพราะรู้ว่ามีพระเจ้า เดี๋ยวพระเจ้าก็ชุบให้เป็นขึ้นมาจากความตาย แล้วเป็นไงตายไหม? ไม่ตาย เหมือนกับได้ชีวิตใหม่

ราหับเปิดประตู เสี่ยงชีวิต ยอมถวายเลย ถ้าเผื่อไม่มีพระเจ้าจริง พันธสัญญานี้ไม่จริงนะ ถูกเขาจับไปฆ่าตายแน่ ถูกนำไปประหารชีวิตแน่ เปิดไป แล้วตายไหม? ไม่ตาย ได้ชีวิต

เช่นเดียวกัน คนที่เชื่อในข่าวประเสริฐของพระเจ้า เชื่อในพระเยซูคริสต์ พระเยซูตายที่ไม้กางเขน ไถ่บาปเรา เราต้อนรับพระเยซูคริสต์ทำอย่างไร? ถวายตัวเอง ให้พระเจ้า การบอกว่าเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ก็คือถวายตัวเอง ให้พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ ถวายตัวเอง แล้วทำอย่างไร? ในพระคัมภีร์บอกถวายตัวเอง ให้พระเจ้าเอาวิญญาณเราไปฆ่าก่อนเลย เพื่อเราจะได้เกิดใหม่ เอาวิญญาณเราไปฆ่าให้ตาย พร้อมกับพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน คือให้เราบัพติศมาเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ที่ไม้กางเขน ตาย และเมื่อตายกับพระเยซูคริสต์ ก็ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ เมื่อถูกฝังไว้ในอุโมงค์ ก็เป็นขึ้นมาจากความตายพร้อมกับพระเยซูคริสต์ ได้ชีวิตใหม่ขึ้นมา พ้นจากบาป นี่แหละเรียกว่าความเชื่อในพันธสัญญา ต้องมีการกระทำตามเงื่อนไข ตอบสนองจึงจะได้รับตามที่พระเจ้าสัญญาไว้

ผลที่ได้รับ ก็คือความรอดนิรันดร์ คือการบังเกิดใหม่ รอดจากโทษของความบาป ได้เกิดใหม่เป็นลูกของพระเจ้า ที่ชอบธรรม สะอาด บริสุทธิ์ รอดจากความพินาศในการถูกพิพากษาลงโทษหลังความตาย  และได้อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้านิรันดร์ และความเชื่อเช่นนี้ ทำกี่ครั้ง? อับราฮัมถวายบุตรกี่ครั้ง? อิสอัคยอมถวายตัวเองกี่ครั้ง? ราหับเปิดประตูกี่ครั้ง? ผู้เชื่อทั้งหลายได้ยินข่าวดีของพระเจ้าแล้ว เชื่อในพันธสัญญาของพระองค์ เชื่อในพระเยซูคริสต์ เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ถวายชีวิตตัวเองให้กับพระเจ้ากี่ครั้ง? ครั้งเดียวเป็นพอ

ส่วนการเชื่อฟัง หมายถึงการให้พระเจ้าฝึกฝนเราหลังจากนั้น ฝึกฝนด้วยความรัก ที่จะทำตามพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ที่เข้ามาสถิตอยู่กับเรา ไม่ตอบสนองต่อเนื้อหนัง หรือไม่ให้ศัตรู คือมาร  และอิทธิพลของความบาป ที่เรายังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ มันล่อลวง หลอกลวงให้เรากระทำตาม ซึ่งการสอนให้เชื่อฟังนี้  ไม่มีเงื่อนไข หรือไม่มีพันธะใดๆ

ความเชื่อฟังตรงนี้ ไม่มีเงื่อนไข สิ่งที่ผูกมัดอยู่ ไม่ใช่เงื่อนไข สิ่งที่ผูกมัดอยู่ ก็คือความรักของพระเจ้า รักเราดังแก้วตาดวงใจของพระองค์ นี่แหละคือพันธะ ยิ่งกว่าพันธะอีก ผูกมัดเลย พระองค์ทรงรักเรามาก ผลที่ได้รับ ก็คือเมื่อเชื่อฟัง ตอนแรกๆ เชื่อได้รับความรอด  ตอนนี้เชื่อฟัง ได้รับความสุข มีสันติสุขในการดำเนินชีวิต บนโลกใบนี้ ที่เรียกว่ารับพระพรบนโลกนี้นั่นเอง มันมีความสุข ไม่ได้ทำผิดกฎหมาย มันก็มีความสุขแล้ว และแถมทำไป รู้สึกจิตใจสบาย มันตรงกับใจพอดีเลย ถ้าตรงกับใจ ก็สบาย แล้วก็ทำให้พระเจ้าพอใจด้วย พระเจ้าก็มีความสุขไปกับเราด้วย เพราะพระองค์ทรงรักเรา ที่เราได้ประพฤติตนตามที่พระองค์ทรงสอน  ทรงบอก  เพราะพระองค์ทรงหวังดีกับเรา  และต้องการให้เราทำให้สมกับเป็นลูกของพระองค์ ที่สะอาดหมดจด  บริสุทธิ์ ถวายเกียรติแด่พระองค์ สำแดงความดีงามของพระองค์ออกมาในชีวิตของเรา ก็คือสำแดงความรักของพระเยซูคริสต์ ผ่านทางการดำเนินชีวิตของเรา พระเจ้าก็มีความสุข  เราก็มีความสุข และเราก็ได้ดี ได้พร ทางโลกวิญญาณไปเรียบร้อยแล้ว ผ่านทางความเชื่อ ตอนนี้ได้พรบนโลกใบนี้ด้วย ผ่านทางการเชื่อฟัง อย่างนี้แหละ และการเชื่อฟังนี้ เป็นสิ่งที่ทำครั้งเดียวพอ ไม่ใช่ ทุกคนรู้แล้ว อธิบายมาถึงตรงนี้แล้ว ชักเอะใจแล้ว ความเชื่อฟังตรงนี้ ทำกี่ครั้ง? … “ครั้งเดียว ไม่พอ”

พระคัมภีร์มีกล่าวถึง ความเชื่อฟังในถ้อยคำพระเจ้า พระคัมภีร์ใหม่ทั้งเล่มเลย พอพูดถึงความรอดในพระเยซูคริสต์บอกถึงว่าเราไม่ต้องทำอะไรแล้ว ได้รับความรอด ด้วยความเชื่อแล้ว หลังจากนั้น จะเตือนเรา จะสอนเรา จะบอกเรา ให้ระลึกถึงความเชื่อฟัง ครั้งเดียวไม่พอ ความเชื่อฟังในถ้อยคำพระเจ้าว่าเราควรดำเนินชีวิตอย่างไร? เอาแค่ความเชื่อฟัง ถามว่าความเชื่อฟังนี้ เชื่อฟังอะไร? เชื่อฟังว่าพระเจ้าพูดกับเรา  พูดอะไรกับเรา พูดบอกว่าลูกเป็นใครแล้วตอนนี้ ลูกเป็นคนใหม่ ลูกเป็นลูกของพ่อแล้ว ถูกไหม?  เราสอนลูกของเรา ก็อย่างนี้แหละ  สอนเขาตั้งแต่แรกเลย เรียกพ่อเรียกแม่ นี่ครอบครัวเรานะ นี่พี่ นี่น้องนะ ลักษณะเดียวกัน  เราเกิดใหม่ในพระเจ้า พระองค์ก็จะสอนเรา ด้วยถ้อยคำของพระองค์ เพื่อให้เราเชื่อฟัง และให้เรารู้ และควรรู้อยู่เสมอว่าบัดนี้ เราได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์แล้ว วิญญาณและจิตใจเราได้เปลี่ยนไปแล้ว เป็นของพระองค์ เป็นลูกของพระองค์ ที่สะอาด หมดจดแล้ว เราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ พูดง่ายๆ

เชื่อฟังในถ้อยคำพระเจ้า เราเพิ่งเกิด ในโลกวิญญาณเรามองไม่เห็น แต่พระเจ้าจะสอนเราว่าเราเป็นใคร? เพื่อลูกจะได้ทำตัวให้สมกับที่ลูกได้เกิดมาเป็นลูกของพ่อ ในวิญญาณสะอาดบริสุทธิ์ สมกับเป็นลูกของพระเจ้านั่นเอง

ในยากอบได้พูดถึงเรื่องนี้ บอกว่าถ้อยคำพระเจ้าเปรียบเหมือนเรากำลังส่องกระจก ดูตัวตนภายในของเรา การฟังถ้อยคำพระเจ้าที่บอกว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ เหมือนเราดูในกระจก สะท้อนให้ดูว่าตัวเราเป็นใคร? ตัวตนของเราที่ได้รับการบังเกิดใหม่จากความเชื่อในพันธสัญญาและได้กระทำตามเงื่อนไข ตามพันธสัญญาอย่างครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว  ได้เกิดใหม่แล้ว มันเป็นอย่างไร? หน้าตาเป็นอย่างไร? เป็นใคร? เหมือนเราดูในกระจก ดูครั้งเดียวในชีวิต ไม่ใช่  ยิ่งดูมากเท่าไรยิ่งดี จะได้ไม่ลืม ความเชื่อฟังหรือการเชื่อฟังนี้ จึงควรที่จะกระทำทุกๆ วัน ทุกๆ ชั่วโมง ทุกๆ นาที ทุกๆ เสี้ยววินาที ทุกๆ ลมหายใจเข้าออกนั่นเอง ควรจะคิดถึงตรงนี้ ควรจะส่องกระจก ควรจะฟังถ้อยคำพระเจ้าตรงนี้ ซึ่งมันเป็นธรรมชาติของเรา ที่เราได้บังเกิดใหม่แล้วว่าเราเป็นใคร? และธรรมชาตินี้ ก็อยากจะแสดงตัวเองออกมาภายนอก คือการดำเนินชีวิตนั่นเอง

เราลองมาดูในยากอบ บทที่ 2 ที่พูดถึงเรื่องนี้ ที่เราได้เรียนรู้กันไปแล้ว จะเน้นในเรื่องของความเชื่อในพันธสัญญา ที่มีเงื่อนไข ซึ่งในยากอบ บทที่ 2 เป็นการประกาศ

ประกาศ เน้นไปหาคนที่จะฟัง คือคนที่ไม่ได้เชื่อจริงๆ ในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ยังไม่ได้ทำตามเงื่อนไขของพันธสัญญานั้น  ก็คือคนที่อาจจะได้ฟังแล้ว เริ่มได้ยินแล้ว หรือเริ่มเชื่อแล้ว  แต่เชื่อเฉยๆ ยังไม่ได้กระทำตามพันธสัญญา ยังไม่ได้เกิดผลตามพันธสัญญานั้น ก็คือยังไม่ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นผู้ช่วยให้รอด ก็คือยังไม่เชื่อนั่นเอง  ในยากอบ บทที่ 2 พูดถึงเรื่องนี้  เน้นถึงเรื่องนี้  สำหรับผู้คนเหล่านี้ โดยเน้นย้ำว่าถ้าเกิดท่านได้ยินได้ฟังข่าวประเสริฐ แล้วท่านเริ่มต้นเชื่อ ไม่ว่าท่านจะบอกว่าจะเชื่อมากหรือจะเชื่อน้อย ก็ตาม ตราบใดที่ยังไม่มีการกระทำตามเงื่อนไข ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น  สิ่งที่ท่านได้ยินมา ถึงแม้จะเชื่อ มันก็ไร้ประโยชน์ ไม่เกิดผล ไร้ผล เพราะว่าท่านไม่ได้ทำตามพันธสัญญา คือไม่ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซู ไม่ได้ถวายชีวิตตัวเองให้พระเยซู เพื่อพระองค์จะได้เข้ามาสถิตอยู่ ท่านไม่ได้ทำตรงนี้ก็ไม่ได้เกิดผล ตรงนี้กำลังพูดไปถึงบรรดาคนที่ยังไม่ได้เชื่อนั่นเอง ซึ่งถ้อยคำเหล่านี้ เป็นถ้อยคำที่เราเรียกกันว่าประกาศข่าวประเสริฐ คือกำลังจะบอกคนที่ไม่เชื่อ ให้เขาตัดสินใจเชื่อเถิด เพราะว่าเชื่อเฉยๆ แล้วไม่ทำอะไร มันจะไม่มีประโยชน์

ย้อนไปที่ยากอบ บทที่ 1 จะเป็นถ้อยคำที่อยู่ตรงกันข้ามแล้ว จะเป็นถ้อยคำที่พูด สอน บอกความจริง ให้กับผู้ที่เชื่อแล้ว เชื่อในพันธสัญญาแล้ว  และต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว เป็นคริสเตียนแล้วนั่นเอง โดยเน้นถึงเรื่องการเชื่อฟัง เพราะว่าจะไปเน้นเรื่องการเชื่อฟังให้กับคนที่ไม่เชื่อ ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่แล้ว เพราะว่าภายในวิญญาณยังเป็นศัตรูกับพระเจ้าอยู่ ยังไม่ได้เกิดใหม่

เพราะฉะนั้น การเน้นหรือสอนเรื่องเชื่อฟัง ในถ้อยคำพระเจ้านี้ เฉพาะคนที่บังเกิดใหม่ วิญญาณเปลี่ยนไปแล้ว  จิตใจเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์แล้วเท่านั้น  เพราะฉะนั้นในหนังสือยากอบ บทที่ 1 จึงได้เน้นเรื่องการเชื่อฟังและปฏิบัติตามคำสอนของพระเจ้า สำหรับผู้ที่เชื่อพระเจ้าไปแล้ว พูดง่ายๆ ว่าเน้นเรื่องเชื่อฟังพ่อ พระเจ้าจะเป็นพ่อได้ ต่อเมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว เปิดใจปุ๊บ เราเป็นลูก พระองค์เป็นพ่อ ยากอบก็เลยมาหนุนใจ มาสอนเราตามถ้อยคำพระเจ้า บอกว่าให้เชื่อฟังพ่อนะ ยากอบ 1:22-27 จึงได้บันทึกไว้อย่างนี้ สำหรับผู้ที่เชื่อแล้วนะ …

ยากอบ 1:22-27  “22 อย่าเพียงแต่ฟังพระวจนะ  ซึ่งเป็นการหลอกตัวเอง  แต่จงปฏิบัติตามพระวจนะนั้น 23 ผู้ใดที่ฟังพระวจนะ  แต่ไม่ได้ทำตาม  ผู้นั้น เป็นเหมือน คนที่ส่องกระจกมองหน้าตัวเอง 24 หลังจากส่องดูแล้วก็ไป และทันใดนั้น ก็ลืมว่าหน้าตาตนเองเป็นอย่างไร  25 ส่วนผู้ที่พินิจดูบทบัญญัติอันสมบูรณ์  ซึ่งให้เสรีภาพ  และทำสิ่งนี้ต่อไป  โดยไม่ลืมสิ่งที่เขาได้ยิน แต่ปฏิบัติตาม เขาก็จะได้รับพรในสิ่งที่ตนทำ 26 ถ้าผู้ใดคิดว่าตนเองเคร่งศาสนา  แต่ไม่ควบคุมลิ้นของตนให้ดี ก็หลอกตัวเอง 27 ศาสนาของเขาก็ไร้ค่า ศาสนาที่พระเจ้า พระบิดาของเรายอมรับว่าบริสุทธิ์ และไร้ตำหนิ คือการดูแลลูกกำพร้า และหญิงม่ายที่ทุกข์ร้อน และการรักษาตนเอง ให้พ้นจากมลทินฝ่ายโลก”

 

ผมจะใช้เวลามากหน่อยนะ  ในการอธิบาย ในข้อความนี้ เพราะลึกซึ้งมาก และดีมากๆ เลย สำหรับผู้เชื่อทั้งหลาย จะได้เห็นภาพชัดเจน ยากอบกำลังเขียนไปถึงผู้ฟัง ซึ่งเป็นชาวยิว ส่วนใหญ่ของส่วนใหญ่ เป็นผู้ที่ไม่เชื่อในข่าวประเสริฐของพระเจ้า ชาวยิวส่วนน้อย ที่จะเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเจ้า  นี่กำลังพูดถึงชาวยิวผู้ที่กลับใจมาเชื่อในพระเจ้าแล้ว เชื่อในพันธสัญญาของพระเจ้า  และกระทำตามเงื่อนไข เรียบร้อยแล้ว นึกภาพนะว่าเขาควรจะดำเนินชีวิตในความเชื่อนั้น ในการเป็นคริสเตียนนั้นอย่างไร?

“อย่าเพียงแต่ฟังพระวจนะ ซึ่งเป็นการหลอกลวงตัวเอง จงปฏิบัติตามพระวจนะนั้นด้วย ผู้ใดที่ฟังพระวจนะ แต่ไม่ได้ทำตาม ผู้นั้นก็เป็นเหมือนคนส่องกระจกมองหน้าตัวเอง หลังจากส่องดูแล้ว ก็ไป ทันใดนั้น ก็ลืมว่าหน้าตาของตนเองเป็นอย่างไร?” … หมายถึงอะไร? พระวจนะ คือถ้อยคำของพระเจ้า ถ้อยคำพระเจ้า คืออะไร? ในนี้บอกว่าถ้อยคำพระเจ้าเหมือนกับกระจกเงา ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าอย่างไร? กระจกเงาบอกเราว่าตัวตนของเราเป็นอะไร? ถ้อยคำพระเจ้า สำหรับผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว เป็นคริสเตียนแล้ว ถ้อยคำพระเจ้ามาเพื่อบอกเราว่าท่านเป็นใครในพระเยซูคริสต์ หน้าตาท่านเป็นอย่างไร? สะอาดหมดจดแค่ไหน? บาปได้รับการยกออกแล้ว วิญญาณของท่าน และจิตใจใหม่ของท่าน เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลย อะไรประมาณนั้น และทำอย่างไร? ก็ให้ท่านจำความจริง แห่งถ้อยคำพระเจ้านี้ไว้ว่าท่านเป็นใคร? เพื่อว่าท่านจะได้ไม่ถูกหลอก หลอกให้ทำอะไร? หลอกให้ลืมไป ไปปฏิบัติตัวตามคำยุแหย่ของศัตรู ก็คือมาร ส่งกระแสเข้ามา ผ่านทางอิทธิพลของความบาป ล่อลวงให้เราทำในสิ่งที่เป็นตรงกันข้ามกับถ้อยคำพระเจ้า เมื่อตะกี้นี้ที่เราได้ยิน เราส่องกระจกดู ถ้าเราไม่ลืม เราก็จะประพฤติตามที่ตัวเราเป็นนั่นเอง  ถ้าเราเป็นความรัก เราก็ไม่โกรธ ไม่เกลียด ไม่อิจฉาริษยา อะไรประมาณนั้น

คนที่ส่องกระจกมองหน้าตัวเอง หลังจากส่องดูแล้ว ก็ไป ทันใดนั้น ก็ลืมว่าหน้าตาของตนเอง เป็นอย่างไร? คนที่ฟังถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ เราได้บังเกิดใหม่แล้ว เราดำเนินชีวิตด้วยความรัก พอออกไปปุ๊บ ลืมไป   วิธีลืม คือทำความน่าเกลียด เป็นความรักอะไร ชี้หน้าด่าเขา เป็นความรักอย่างไร? เที่ยวไปริษยาเขา เป็นความรักอย่างไร? เที่ยวไปโกงเขา ไปโลภของผู้อื่น เห็นภาพอะไรไหมครับ

ในนี้บอกต่อว่า … “ส่วนผู้ที่พินิจดูบทบัญญัติอันสมบูรณ์”  ก็คือถ้อยคำพระเจ้าที่พูดถึงบทบัญญัติอันสมบูรณ์ … บัญญัติอันสมบูรณ์ คิดถึงอะไร? คิดถึงบทบัญญัติของโมเสส 613 ข้อ ไม่ใช่ นี่คือผู้ที่เชื่อแล้ว ไม่มีกฎของโมเสสอีกต่อไป แต่เขามีกฎใหม่ บัญญัติใหม่ที่เราได้ให้กับเจ้า บัญญัตินั้น คืออยู่ในพระเยซูคริสต์ บัญญัตินั้น คือท่านทั้งหลาย จงรักซึ่งกันและกัน ท่านทั้งหลายจงดำเนินชีวิตด้วยความรัก ใช่ไหม?

ถ้าเกิดใหม่แล้ว ส่องกระจกดู ก็จะเห็นว่าตัวเองเป็นความรัก แล้วก็ดำเนินชีวิตอยู่ในความรัก ยกตัวอย่างเป็นปลา ดูในกระจกก็เห็นเป็นปลา ต้องอยู่ในน้ำ  มองกระจกดู เราเป็นความรัก ก็ดำเนินชีวิตในความรัก ธรรมชาติของเราเป็นอย่างนี้

ส่วนผู้ที่พินิจดูบทบัญญัติสมบูรณ์ ก็คือพินิจดูว่าตัวเราเองเป็นความรัก ซึ่งให้เสรีภาพ เห็นไหมครับ? ความรักให้เสรีภาพ ไม่มีการลงโทษใดๆ กับผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ ตรงนี้ หมายถึงไม่มีการลงโทษแล้ว จะทำผิด ทำถูกอะไร ก็ไม่มีการลงโทษ เพราะอยู่ในความรัก  อยู่ในกฎใหม่แล้ว เพราะตัวจริงๆ ตัวเป็นๆ ตามธรรมชาตินั้น เป็นความดีงาม เป็นความรัก ให้ทำสิ่งนี้ต่อไป โดยไม่ลืม ก็คือให้เสรีภาพในการดำเนินชีวิต บนโลกใบนี้ สำแดงความรักภายในออกมา  ในชีวิตของเรา  โดยไม่ลืมว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ ไม่ลืมว่าเราเป็นความรัก ในพระคริสต์  เราดำเนินชีวิตด้วยความรัก  เราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา เป็นความรักร่วมกัน เราดำเนินชีวิตด้วยความรัก ในพระคริสต์ พระเจ้าได้ทำให้เราได้บังเกิดใหม่ เป็นความบริสุทธิ์ เป็นความรัก ไม่ลืม ไม่ลืมก็จะสำแดงความรักออกมา ด้วยอิสระเสรีภาพ ไม่มีใครมาบีบบังคับให้เรา ต้องดำเนินชีวิตด้วยความรัก ไม่ใช่ เป็นไปโดยธรรมชาติ ไม่ลืม

ในนี้บอกว่า “โดยไม่ลืมสิ่งที่เขาได้ยิน” ก็คือเราได้ยินถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าเราเป็นความรักในพระเยซูคริสต์ ก็คือไม่ลืมในสิ่งที่เราได้ส่องกระจกมา กระจกบอกว่าตัวใหม่เราเป็นความรักนะ เช้าขึ้นมามองกระจก เราเป็นความรักในพระคริสต์ แล้วก็ไม่ลืม พอออกไปจากบ้าน ก็ปฏิบัติตัวเป็นความรักนั่นแหละ

ในนี้จึงบอกต่อไปว่า “โดยไม่ลืมสิ่งที่เขาได้ยิน แต่ปฏิบัติตาม” เห็นหรือยัง? ไม่ใช่ต้องปฏิบัติ แต่ปฏิบัติตามความเป็นจริง ตามธรรมชาติ ไม่ถูกหลอกนั่นเอง เขาก็จะได้รับพรในสิ่งที่ตนทำ อย่างที่บอกตะกี้นี้ เกิดผลไหม? เกิดผล มีผลต่อชีวิตคริสเตียน แม้ว่าจะได้รับความรอด ทางโลกวิญญาณ ไม่มีการลงโทษใดๆ แล้วก็ตาม ความประพฤติไม่สำคัญ ก็ตาม แต่ถ้าประพฤติอย่างถูกต้องตามการเป็นอยู่ของวิญญาณที่เราได้บังเกิดใหม่แล้วจริงๆ นั้น มันได้รับพรด้วย ได้รับสิ่งที่ดีๆ ในชีวิต  ในสิ่งที่ตัวเองกระทำตรงนี้ เป็นไปตามความรักที่อยู่ในวิญญาณ อยู่ในความคิดจิตใจตัวใหม่ของเรา มาถึงตรงนี้แล้ว นี่คือข้อแตกต่าง

“ถ้าผู้ใดคิดว่าตนเองเคร่งศาสนา แต่ไม่ควบคุมลิ้นของตนให้ดี ก็หลอกตัวเอง ศาสนาของเขาก็ไร้ค่า ศาสนาที่พระเจ้าพระบิดาของเรายอมรับว่าบริสุทธิ์ และไร้ตำหนิ คือการดูลูกกำพร้าและหญิงม่ายที่ทุกข์ร้อน และการดูแลรักษาตัวเองให้พ้นจากมลทินฝ่ายโลก”

มันใช้เวลาแปลยาก แต่พยายามที่สุด เท่าที่จะทำได้  … ผู้ใดที่คิดว่าตนเองเคร่งศาสนา คือชาวยิว โดยเฉพาะชาวยิวในอดีต ในบริบทที่เขียนอยู่นี้  เขาถือว่าเขาเป็นคนเคร่งศาสนามาก ตั้งแต่ก่อนมีพระเยซู เขาเคร่งศาสนา รักษากฎที่พระเจ้าให้ไว้ 613 ข้อ พยายามทุกวิถีทาง ทุกข์ทรมานเท่าไร? ทุบตีเนื้อหนังเท่าไร? เขาก็พยายามทำ เขาเรียกว่าเคร่งศาสนามาก เขาจึงมีความภูมิใจ เย่อหยิ่งในสิ่งที่เขากระทำได้มาก

ยกตัวอย่างเช่น คนที่กระทำได้ 600 ข้อ เขาก็จะดูถูกคนที่ทำได้ 400 ข้อว่าต้องทำให้เหมือนเขา อย่างนี้เรียกว่าเคร่งศาสนา เขาจะดูถูกคนยิวที่ถือได้แค่ 7 ข้อ 8 ข้อ 10 ข้อ 100 ข้อ ถือไม่ได้เยอะ เขาเรียกคนพวกนี้ว่าคนบาป ส่วนเขาไม่เรียกตัวเองว่าคนบาป ทั้งๆ ที่พระคัมภีร์บอกว่าเขาก็เป็นคนบาปเหมือนกัน  อะไรประมาณนี้  พยายามอธิบายให้ฟัง

นี่คือวัฒนธรรม ประเพณีที่เขาทำกันมา ส่งต่อกันมาเรื่อยๆ พอพระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน พันธสัญญาใหม่ ตะกี้ที่ให้ไว้ บอกว่าไม่ต้องทำแล้ว มาเชื่อพระเจ้าอย่างเดียว เชื่อแล้ว กระทำตามเงื่อนไข คือเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เท่านั้น แต่คนยิวก็ยังมีเป็นจำนวนมาก ที่มาเชื่อพระเจ้าแล้ว ยังอดที่จะคิดเหมือนเดิมไม่ได้ว่า …

“ฉันเย่อหยิ่งเหลือเกิน ฉันเป็นยิวนะ ฉันรักษากฎบัญญัติมา ในอดีตเท่าไร? มากเลย ฉันทำได้เยอะเลย แล้วปัจจุบัน เชื่อพระเจ้าแล้ว ก็ยังทำอยู่เลยนะ ฉันยังรักษากฎ ยังรักษาระเบียบ แล้วก็เริ่มต้นมองคนอื่น ทำไมไม่ทำ”

นี่คือชีวิตเดิมของเขา เริ่มมองพี่น้องคนอื่นๆ ที่เป็นยิว ที่เขาเรียกว่าเป็นคนบาป แล้วก็มาเชื่อในพระเยซูคริสต์เหมือนกัน พอมาเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว พระคัมภีร์บอก เมื่อมองดูกระจก มองดูถ้อยคำพระเจ้า พระเจ้าบอกเหมือนกัน มีค่าเท่ากันแล้ว คือเชื่อในพระเจ้า บริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ เป็นลูกของพระเจ้า เป็นความรักของพระเจ้าเท่ากันหมด ไม่ว่าจะเป็นยิวหรือกรีก เป็นคนยิวหรือไม่ยิวก็ตาม เขายังรับไม่ได้ เขาเชื่อพระเจ้าแล้วก็จริง แต่เขายังมีความคิดเดิมๆ อยู่ อดไม่ได้ที่จะเย่อหยิ่ง จองหอง อดไม่ได้ที่จะโอ้อวดว่าตัวเองได้ทำอะไรต่างๆ ที่ดีด้วย เปาโลจึงบอกว่าความรอดนี้ รอดโดยพระคุณ ทุกคนได้เท่ากันหมด  อย่าให้ใครโอ้อวดตัวเองเลยว่าฉันทำอะไรมาบ้าง? หรือกำลังทำอะไรอยู่ หรือจะทำต่อไปในอนาคต ให้กับพระเจ้า เพื่อฉันจะได้โอ้อวดตัวเองได้ว่า

“ฉันรอดโดยพระเยซูคริสต์ และการกระทำของฉันด้วย”

พอใครคิดอย่างนี้ปุ๊บ มันอัตโนมัติ จะเกิดขึ้น คิดอย่างนี้เมื่อไรปุ๊บ ก็จะเริ่มชี้นิ้วว่า …

“ฉันดีกว่าเธอ มันมาตรงนี้”

ยากอบกำลังจะชี้ให้ผู้เชื่อได้เห็น  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชาวยิวในสมัยนั้นได้เห็น  แต่ผมกำลังจะยกตรงนี้มาชี้ให้พวกเราผู้เชื่อในปัจจุบันได้เห็น เราก็จะเริ่มชี้นิ้ว ชี้นิ้วว่าอะไร? ชาวยิวเขานึกถึงอดีตของเขา เคยมีชีวิต ที่รักษากฎบัญญัติต่างๆ ของโมเสสใช่ไหม? ได้เยอะกว่าคนที่ไม่ได้รักษา คริสเตียนปัจจุบัน ก็ยังมีอย่างนี้อยู่ในใจเหมือนกัน  คือคิดว่าก่อนที่เรามาเชื่อ  เรารักษาศีล เรารักษาอะไรต่างๆ รักษาชีวิตสะอาดบริสุทธิ์กว่าคนๆ นี้ตั้งเยอะ พอเรามาเชื่อพระเจ้า เราก็เริ่มชี้นิ้วว่าคนนี้ไม่บริสุทธิ์เหมือนเราเลย คนนี้ต้องยกย่องหน่อย เพราะเขาบริสุทธิ์มากกว่า เขาทำได้เยอะกว่า คนนี้ทำได้เยอะเลย สิ่งต่างๆ เหล่านี้ มันอันตราย เราก็เริ่มชี้นิ้ว ก็คือกลับไปที่หลักการของศาสนาเดิมของเรา คือเชื่อ ให้เกียรติ ยกย่องในการกระทำของมนุษย์ การกระทำของเรา แล้วพอไปเยอะๆ บ่อยๆ ก็เรียกว่าเย่อหยิ่ง จองหอง ซึ่งมันไม่ใช่ความรักแล้ว ตรงนี้มันแปลว่าอย่างนั้น  แล้วค่อยๆ เรียนรู้กันต่อไปแล้วกัน  ผมพยายามจะอธิบาย

ในนี้จึงบอกว่า “คนที่เคร่งศาสนาเหล่านี้ แต่ไม่ควบคุมลิ้นตนเองให้ดี ก็หลอกตัวเอง” ลิ้นตัวนี้ ก็คือเริ่มนินทาชาวบ้านเขา เริ่มว่าเขา อธิษฐานก็ไม่อธิษฐานเยอะๆ ต้องเฝ้าเดียววันละกี่ชั่วโมง ไม่เห็นมาโบสถ์เลย ไม่มาโบสถ์ระวังหลงหาย อะไรต่างๆ เหล่านี้ นี่ยกตัวอย่างให้ฟัง มันมาจากการบ่นว่า พวกนั้นเป็นคนบาป พวกนี้ยังเป็นคนไม่ดี ฉันเป็นคนดีกว่า ชอบธรรมมากกว่า

“ศาสนาของเขาไร้ค่า” ศาสนาตัวนี้ ก็คือทำตามกฎบัญญัติ โดยเคร่งครัด บทบัญญัติของโมเสสในสมัยนั้น ถ้าในปัจจุบันนี้ ก็คือทำตามศาสนาเดิม ก็คือรักษาศีล ทำความดีตามจริยธรรมอะไรต่างๆ แล้วก็โอ้อวดว่า …

“ฉันทำได้เยอะ ดูคนนี้เป็นคริสเตียนแล้ว ยังไม่ยอมเลิกเหล้าเลย ฉันเคยสูบบุหรี่มาก่อน ตอนนี้ฉันเลิกแล้ว ก็ไปเป็นพยาน แล้วบอกเขา พวกท่านต้องเลิกนะ ผมยังเลิกได้เลย ท่านก็ต้องเลิกได้”

มันเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้น ต่อไป ก็บอกว่า … “ฉันติดยา ตอนนี้ฉันก็หายแล้ว  เธอติดยา เธอก็ต้องหายให้ได้”

มันไม่ใช่ความรัก ไม่ใช่ไม่ดีนะว่าการไปแนะนำให้เขาเลิกยา เลิกอะไรต่างๆ ที่ติดอยู่ มันดี แต่มันต้องเข้าไปด้วยความรัก  โดยพระเยซูคริสต์ โดยพระคุณของพระเจ้าของพระองค์ตอนต้นแล้ว ถูกไหม? ใช่ไหม? มิฉะนั้น มันจะกลายเป็นศาสนา

ต่อไปบอกว่าศาสนาของเขาก็ไร้ค่า ก็คือการประพฤติ ตามบัญญัติต่างๆ ที่เขาคิดและโอ้อวด ไม่มีประโยชน์เลย ศาสนาที่พระเจ้าพระบิดาของเรายอมรับว่าบริสุทธิ์ และไร้ตำหนิ ก็คือความรัก อันเดียว

ที่ไร้ตำหนิ ที่บริสุทธิ์ และเป็นตัวของเราที่อยู่ภายใน ที่ได้บังเกิดใหม่ คือความรัก  โดยยากอบยกตัวอย่าง คนยิวจะรู้เลย คนยิวตั้งแต่อดีตมา พระเจ้าสำแดงให้เขาเห็นว่าความรัก คืออะไร? ไม่ใช่การประพฤติตามบทบัญญัติต่างๆ แต่ความรัก คือความช่วยเหลือ ขนบธรรมเนียมประเพณีที่พระเจ้าให้ไว้ ก็คือเน้นให้เห็นถึงหญิงม่าย และเด็กกำพร้า ที่ต้องการความช่วยเหลือชัดๆ เจนๆ ในระบบสังคมของชาวยิว

ถ้าพูดถึงตรงนี้ ผู้คนจะรู้ว่าให้เมตตา ดูแลหญิงม่ายและเด็กกำพร้า เป็นอันดับหนึ่ง ดังนั้น พอพูดถึงตรงนี้ ก็หมายถึงความมีเมตตา ไม่ใช่การกระทำตามบทบัญญัติต่างๆ แต่เป็นความรัก ความมีเมตตา ท่านลืมไปแล้วหรือที่พระเยซูประกาศให้กับพวกฟาริสีฟัง ท่านเอาแต่กฎๆ ท่านลืมไปแล้วหรือว่าพระเจ้าต้องการความเมตตา ความรัก … ความรักสำคัญ และความรักตรงนี้มันเกิดขึ้นแล้ว อยู่ในตัวท่านแล้ว ท่านส่องกระจกดู ถ้อยคำพระเจ้าบอกท่านเป็นความรัก

หญิงม่ายที่ทุกข์ร้อน เด็กกำพร้า และการรักษาตนเอง ให้พ้นจากมลทินฝ่ายโลก ก็คือรักษาตนเองให้พ้นจากอะไรก็ตามที่มันตรงกันข้ามกับความรัก คือความเกลียดชัง ความโลภ ความอิจฉาริษยา ความเย่อหยิ่งจองหอง

สรุป รวมเรื่องนี้คืออะไร? นี่คือถ้อยคำของพระเจ้า ที่มาถึงผู้เชื่อ เหมือนกระจกส่องว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ ให้เรากระทำตาม

เพราะฉะนั้น ถามว่าอะไรคือแรงจูงใจของผู้เชื่อหรือคริสเตียน  ที่เชื่อในพระเจ้า ส่องกระจกดูแล้ว มองดูในกระจกปุ๊บ พูดในใจว่าอะไร คือแรงจูงใจ ที่จะทำความดี

นี่คือสิ่งที่คริสเตียนควรถามตัวเองทุกๆ วัน ทุกๆ วินาที  ส่องกระจกดูทุกครั้ง เพราะแรงจูงใจของเรา ไม่ใช่ความรู้สึกผิด หรือรู้สึกกดดัน กลัวถูกลงโทษ  หรือสูญเสียความรอดไป เพราะการกระทำ แรงจูงใจอย่างนี้ ทำให้เกิดหลักข้อปฏิบัติตามศาสนา อย่างที่บอกเมื่อสักครู่นี้ เกิดการพึ่งพาตนเอง แต่แรงจูงใจของเราผู้เชื่อทั้งหลาย คือฉันมีใจใหม่ เกิดใหม่แล้ว แรงจูงใจของฉัน  คือฉันเป็นลูกแห่งแสงสว่าง ลูกแห่งความรัก ลูกพระเจ้า ฉันจึงเดินได้เหมือนลูกแห่งแสงสว่าง ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ แบบเด็กเล็กๆ ของพระเจ้า พระเจ้าสถิตอยู่กับฉัน ถูกไหม นี่คือแรงจูงใจ

ปกติแล้ว  พระคัมภีร์จะบอกไว้อย่างชัดเจนว่าความคิดจะเปลี่ยนก่อน  แล้วความประพฤติจึงจะเปลี่ยนตาม  ส่องกระจกดู ความจริงของพระเจ้ามาเปลี่ยนความคิด … เปลี่ยนความคิด คือเปลี่ยนทัศนคติในการดำเนินชีวิต ทัศนคติเปลี่ยนไป ก็สามารถเปลี่ยนพฤติกรรมของตนเองได้ ถ้าทัศนคติความคิดไม่เปลี่ยน  พฤติกรรมไม่เปลี่ยน พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น จงเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจเสียใหม่  เพื่อท่านจะได้ประพฤติ ตามโรม 12:2

และนี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด ในการดำเนินชีวิตคริสเตียน และต้องใช้สิ่งที่สำคัญที่สุด ก็คือถ้อยคำแห่งความจริงของพระเจ้า ซึ่งเป็นเหมือนกระจกเงา ให้กับเรา สำรวจดูตนเองว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์นั่นเอง พระคัมภีร์จึงพูดอยู่เสมอๆ ใช่ไหมว่าท่านไม่รู้หรือว่าท่านเป็นวิหารของพระวิญญาณของพระเจ้า  ท่านไม่รู้หรือ! ตัวเก่าท่านตายไปแล้ว ตัวเก่าที่บาป  ท่านไม่รู้หรือท่านเป็นลูกของพระเจ้า  ท่านไม่รู้หรือท่านมีมรดกนิรันดร์ ท่านไม่รู้หรือ!ๆๆๆๆๆ  ก็แสดงว่ามันมีอยู่แล้ว แต่เราไม่รู้ หรือไม่เรารู้อยู่ บางทีลืมๆ บ้าง ก็เลยเตือนให้รู้ ซ้ำเข้าไปอีก ท่านไม่รู้หรือ! ใช่ไหม?

คริสเตียนตั้งใจประพฤติดี จากแรงบันดาลใจของความรัก พระคุณของพระเจ้า ที่ทำให้เขาได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าที่สะอาด บริสุทธิ์ ให้ความสำคัญอย่างมากกับธรรมชาติในวิญญาณที่เกิดใหม่แล้ว จึงตั้งใจจะประพฤติดีงาม ตามธรรมชาติใหม่ ตามน้ำพระทัยพระเจ้า

นี่คือแรงบันดาลใจที่ถูกต้องของคริสเตียนทั้งหลาย ไม่ใช่แรงบันดาลใจ จากความกลัวว่าจะสูญเสียความรอด  พระเจ้าจะไม่พอใจ จะลงโทษ  จะไล่ออกจากสวรรค์ หรือกลัวว่าจะไม่สมบูรณ์ในความบริสุทธิ์  ที่เป็นลูกของพระเจ้าแล้วในพระเยซูคริสต์ ก็เลยพยายามทำให้มันสมบูรณ์ ซึ่งก็ทำไม่ได้อยู่แล้ว ถ้าทำได้ พระเยซูก็ไม่ต้องมาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว ทำไม่ได้อยู่แล้ว ก็เลยวนเวียนอยู่กับความวิตกกังวล ความเครียด วนเวียนอยู่กับความตั้งใจกระทำความดี ให้มันสมบูรณ์แบบ ในสายพระเนตรพระเจ้า ซึ่งสมบูรณ์ไปแล้ว และตั้งใจทำความดี ให้มันสมบูรณ์แบบ ทำได้ไหม?  ก็ทำไม่ได้ ตามที่ต้องการ พอทำไม่ได้ เกิดอะไร  ก็เกิดความเครียด พอเครียดก็เริ่มต้นชี้นิ้ว อธิษฐานไปมากๆ มันไม่ได้ตามที่ต้องการ รู้สึกไม่ครบสักที จะครบได้อย่างไร ก็พระเจ้าบอกไม่มีทางครบ แต่อยากให้ครบ ก็เครียด ออกจากห้องอธิษฐาน ก็ …

“ทำไมเธอไม่อธิษฐาน ทำไมเธออธิษฐานน้อย ทำไมเธอไม่ไปโบสถ์ ทำไมเธอไม่รับใช้พระเจ้าที่โบสถ์”

เพราะว่าตัวเองให้ความสำคัญกับตรงนั้นมากจริงหรือไม่? นี่แหละ เขาเรียกว่าศาสนา นี่แหละ อันตรายไหม? อันตราย มันจะเป็นอย่างนี้ ทำๆ แล้วตัวเองก็เครียด พอเครียด ก็เริ่มมองหา ลิ้นมันอยู่ไม่ได้ ลิ้นมันอยู่ไม่สุข ลิ้นมันออกมาก่อน ใจคิดอย่างไร ล้นมามันก็เป็นลิ้น ความคิดอย่างไร? ลิ้นก็เริ่มพูด เริ่มวิจารณ์ เริ่มเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง แล้วก็อยากให้คนอื่นทำตามตัวเอง เพราะตัวเองก็ทำไม่ได้เหมือนกัน มันเครียด

เพราะฉะนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุด คือพระเยซูบอกผู้ใดแบกภาระหนัก และเหน็ดเหนื่อยจงมาหาเรา เราจะให้ผู้นั้นเครียดมากขึ้น ไม่ใช่  เราจะให้ผู้นั้นหายเหนื่อยและเป็นสุข ไม่เครียด วางใจในพระองค์ เชื่อฟัง ไม่มีเงื่อนไข … เชื่อต้องมีเงื่อนไข เพื่อจะได้รับความรอด  แต่ได้รับความรอดเรียบร้อยแล้ว  ให้เชื่อฟังอย่างไม่มีเงื่อนไขแล้ว เพราะเป็นความรักของพระเจ้าที่บังเกิดขึ้นในใจของเราเรียบร้อยแล้ว โดยการบังเกิดใหม่  พระเจ้าอวยพรครับ

 

*********************

 

จากใจคณะศิษยาภิบาล

มองไปที่กระจกเงา ท่านเห็นใคร? …

  1. ร่างกายเสื่อมโทรม วิ่งไปสู่ความตาย หลับตาเห็นวิญญาณข้างในบาป ต้องชดใช้เวรกรรม
  2. ร่างกายเสื่อมโทรม วิ่งไปสู่ความตาย หลับตาเห็นวิญญาณข้างในบริสุทธิ์ เต็มด้วยสิริเหมือนพระเยซู

เอเฟซัส 2:1-6  “1 ส่วนท่านทั้งหลายได้ตายแล้วในวิญญาณ  จากการล่วงละเมิดและในบาป ถูกตัดขาดจากความสัมพันธ์กับพระเจ้า จากความบริสุทธิ์ของพระเจ้า 2 ซึ่งท่านเคยดำเนินชีวิตตามวิถีของบาปของโลกนี้ และตามการครอบงำของเจ้าแห่งย่านฟ้าอากาศ (มาร) ซึ่งเป็นวิญญาณที่บัดนี้ ทำการอยู่ในบรรดาผู้ที่ไม่เชื่อ (ไม่ได้ใช้สิทธิ์ในการไถ่บาปของพระเยซู) 3 ครั้งหนึ่ง เราเคยมีชีวิต เหมือนกับผู้คนเหล่านั้นที่ (ไม่เชื่อ ไม่ได้ใช้สิทธิ์ในการไถ่บาปของพระเยซู) ทำตามตัณหาของวิสัยบาปของเรา  สนองความอยากกับความคิดของมัน  ตามธรรมชาติบาปของวิญญาณที่ตายของเรา  (ซึ่งไม่บริสุทธิ์ ไม่มีพระลักษณะของพระเจ้า) เราจึงควรแก่การถูกลงโทษ สาปแช่งเหมือนคนอื่นๆ (ที่ไม่เชื่อไม่ได้ใช้สิทธิ์ ในการไถ่บาปที่พระเยซูได้กระทำให้) 4 แต่เนื่องด้วยความรักใหญ่หลวง  ที่ทรงมีต่อเรา พระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยพระเมตตาอันอุดม 5 จึงได้ทรงกระทำให้วิญญาณของเรากลับมีชีวิตอยู่กับพระคริสต์  แม้ในขณะที่วิญญาณเราได้ตายแล้วในบาป คือท่านทั้งหลายได้รับความรอด  (จากการลงโทษจากคำสาปแช่ง) โดยพระคุณ 6 และพระองค์ได้ทรงให้วิญญาณของเราเป็นขึ้นมา (บังเกิดใหม่) กับพระคริสต์  และในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ทรงให้เรานั่งในสวรรคสถานกับพระคริสต์”

1 ยอห์น 4:17 “แบบนี้สิ ความรัก​ของ​พระเจ้า​ถึง​สำเร็จ  ​ตาม​เป้าหมาย​ของ​พระองค์​ ใน​พวก​เรา เรา​จึง​มี​ความ​มั่นใจ​ใน​วัน​พิพากษา ที่​เรา​มี​ความ​มั่นใจ​อย่าง​เต็มเปี่ยม​  ก็​เพราะชีวิตจิตวิญญาณที่​เรา​มี​ขณะที่อยู่ในโลก​นี้นั้น  เป็นชีวิตจิตวิญญาณที่​เหมือน​กับ​ชีวิตจิตวิญญาณของ​พระคริสต์”

พระเจ้าอวยพรครับ