วารสาร Holy News ฉบับที่ 1339

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  21  พฤศจิกายน  2021

 เรื่อง “ขอบคุณพระเจ้าในทุกกรณี  ทุกสถานการณ์ได้อย่างไร?”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

ชื่อเรื่องวันนี้ “ขอบคุณพระเจ้าในทุกกรณี ทุกสถานการณ์ได้อย่างไร?” ปกติเราก็ถามเหมือนกันนะ ได้ยินบ่อยๆ ใช่ไหม? พระเจ้าบอกขอบคุณพระเจ้าในทุกสถานการณ์ แล้วทำได้อย่างไร? วันนี้แหละ เราจะมาเรียนรู้เรื่องนี้กัน

ในยามที่บ้านเมืองมีความสุข มีความสบาย เศรษฐกิจรุ่งเรือง ผู้คนไปมาหาสู่กันได้ อย่างสบายๆ อย่างมีความสุข เลี้ยงรื่นเริงกัน ประสบความสำเร็จอะไรต่างๆ เหล่านี้ ก็สามารถที่จะขอบคุณพระเจ้าได้ในทุกกรณี ไม่ยากใช่ไหม? เราคงมีเรื่องขอบคุณพระเจ้ากันมากมาย ในวันที่เรามีความสุข ตรงนั้น ก็ขอบคุณ ตรงนี้ ก็ขอบคุณได้ ขอบคุณได้ทุกวัน ให้มี Thanksgiving ทุกวัน ยังทำได้เลย  แต่ความเป็นจริงในชีวิต สิ่งที่เกิดขึ้นในทุกวันนี้ โดยเฉพาะในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เราก็รู้กันอยู่แล้ว โลกเรากำลังเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากกันอย่างหนัก เรียกว่าอย่างแสนสาหัสเลยก็ว่าได้ เนื่องจากวายร้ายที่ชื่อว่าโควิด  ซึ่งก่อนหน้านี้มันก็มีมาเยอะแยะมากมาย  แต่ในสมัยเราอาจจะไม่คุ้นเคย หรือไม่ได้ประสบการณ์ด้วยชีวิตของเราจริงๆ อย่างนั้น  แต่ตอนนี้เราประสบด้วยชีวิตของเราจริงๆ เราอยู่ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบากอย่างหนัก อย่างนี้จริงๆ ผลกระทบจากโรคระบาดโควิด ที่คุกคาม ไม่ใช่เฉพาะบ้านอย่างเดียว บ้านข้างเคียง รวมไปถึงทั่วโลก  เป็นกันหมดทั้งนั้น

ผลกระทบที่เกิดขึ้น มีทั้งเรื่องเศรษฐกิจ ซึ่งกระทบหนักมากถึงมากที่สุด บางครั้งเราคิดว่ากระทบเราคนเดียวมั้ง เราคงลำบากคนเดียว คงตกงานคนเดียว แต่เปล่าครับ เป็นทั้งประเทศ ทั้งคนรวยและคนยากจน โดนกันหมด คือเป็นช่วงที่เศรษฐกิจถดถอย สำหรับโลกนะ ถดถอยอย่างสุดๆ  ในประวัติศาสตร์  แล้วยังมีผลกระทบในเรื่องของสุขภาพของชีวิต ความเป็นอยู่ของมนุษย์ ทั้งสุขภาพกาย และสุขภาพจิตใจ ความสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักของเรา ในหลายๆ ครอบครัว อย่างกะทันหัน อย่างไม่คิดไม่ฝันมาก่อน ปัญหาสังคมที่เกิดขึ้น ทางด้านสุขภาพจิตใจ ที่เกิดขึ้นเต็มไปหมด  คนที่หมดกำลังใจ หมดอาลัยตายอยาก เราก็เคยเห็นอยู่หน้าหนังสือพิมพ์บ่อยๆ ไม่ใช่ประเทศเราอย่างเดียว ทั่วโลกเป็นอย่างนี้หมด กำลังเครียดมาก ถึงมากที่สุด ก็คือโรคทางด้านจิตใจ ถูกกระทบอย่างแรง

พูดง่ายๆ ถึงแม้ว่าบางท่านอาจจะไม่กระทบอะไรมาก แต่ท่านลองคิดดูสิ แค่ท่านออกไปไหน? มาไหน? ไม่ได้  เข้าสังคมไม่ได้ ไปเจอหน้าเพื่อนฝูงไม่ได้ จะไปไหนทีต้องใส่หน้ากาก ตรงนั้น ก็ไม่ได้ ตรงนี้ก็ไม่ได้ คล้ายๆ กับติดคุกติดตารางอยู่ แล้วท่านจะไม่เครียดหรือ? นี่ยังไม่ได้คิดถึงเรื่องอื่นเลยนะ

เพราะฉะนั้น ก็เลยใช้ชื่อเรื่องนี้แหละ เราจะสามารถขอบคุณพระเจ้าได้ไหมในสภาวะเช่นนี้ เราลองถามใจตัวเองว่าเรายังขอบคุณพระเจ้าได้ไหม? ขอบคุณพระเจ้าจริงๆ นะ ไม่ใช่ฟังคำเทศนาอยู่ตอนนี้ แล้วก็มีกำลังใจ แล้วก็พูดตามว่าขอบคุณพระเจ้า แต่หมายถึงวันจันทร์นะ วันอังคารนะ วันพุธนะ  หรือวันศุกร์นะ ที่ไม่ได้เจอใครเลย  เดินไปเดินมาอยู่ในบ้าน คิดใคร่ครวญแต่เรื่องปัญหาตรงโน้นก็ติดขัด ตรงนี้ก็ติดขัด ตรงนี้ก็น่ากลัว ตรงนี้ก็เป็นแย่ๆ เรายังสามารถมีความหวังในการขอบคุณพระเจ้าได้หรือไม่? นั่นคือหัวข้อเรื่องในวันนี้นั่นเอง  “ขอบคุณพระเจ้าในทุกกรณี ในทุกสถานการณ์ได้อย่างไร?”

หลายปีก่อน บรรยายวันขอบคุณพระเจ้า ก็ใช้หัวข้อเรื่องนี้ “ขอบคุณพระเจ้าในทุกกรณี ในทุกสถานการณ์” บางครั้งก็ใส่หัวข้อว่า “ขอบคุณพระเจ้าในทุกกรณี” พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น แต่มาปีนี้ ก็ตั้งชื่อเหมือนเดิมนั่นแหละ แต่ขอใส่ 3 คำนี้ลงไป คือคำว่า “ได้อย่างไร?” บางทีพูดแบบนี้อาจจะไม่ค่อยได้อารมณ์ หลายคนอาจจะพูดแบบนี้ …

“ได้ยังไงล่ะ”

“สถานการณ์อย่างนี้จะให้ขอบคุณพระเจ้าได้ยังไง มันทนมาเยอะแล้วนะ”

อะไรอย่างนี้ นี่คือสภาวะความเป็นจริงของชีวิต มันเป็นอย่างนั้น ไม่ใช่เรื่องแปลก มันเป็นเรื่องธรรมดา อย่าไปนึกว่าเราเป็นคริสเตียน เราเป็นผู้เชื่อแล้ว พูดจาอย่างนี้ไม่ได้  เราก็ยังเป็นคนอยู่ เราไม่ได้เป็นเทวดา  ที่เดินอยู่บนโลกใบนี้ พระเจ้าสถิตอยู่ภายในเราก็จริง แต่เราก็ยังมีความรู้สึก สามารถสัมผัสถึงสิ่งแวดล้อมต่างๆ ทุกข์ก็คือทุกข์จริงๆ ถ้าลำบาก ก็คือลำบากจริงๆ ปัญหา ก็คือปัญหาจริงๆ เรายังต้องการออกซิเจนในการหายใจอยู่นะ ไม่ใช่พระเจ้าเป็นชีวิตของเรา แล้วเราไม่ต้องมีออกซิเจน อยู่บนโลกใบนี้ไม่ได้นะ เช่นเดียวกัน อยู่บนโลกใบนี้ ก็ต้องมีความรู้สึกอะไรต่างๆ เป็นไปด้วยกันกับสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นรอบข้าง แต่ในพระเจ้า เราสามารถขอบพระคุณได้ เพราะพระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น

นี่แหละ คือสิ่งที่เราจะมาเรียนรู้กันว่าเราสามารถขอบคุณพระเจ้าได้อย่างไร? ในสถานการณ์เช่นนี้ ก็เช่น 2 ปีที่ผ่านมา แล้วก็ไม่รู้ว่าจะไปอีกกี่ปี? จะเป็นอย่างนี้ หรือจะดีขึ้น หรือจะเลวลง

ความหวังของเราผู้เชื่อ จะอยู่ที่ไหน? ที่เราจะสามารถขอบคุณพระเจ้าได้ ตามที่พระองค์บอกว่าให้เราขอบคุณพระเจ้าในทุกกรณี ในทุกสถานการณ์ เราต้องมีความหวังอยู่ที่ไหน?  เราถึงสามารถทำตรงนี้ได้  นี่คือสิ่งที่เราจะเรียนรู้กันในวันนี้ ถามว่าเรียนรู้จากไหน? ก็แน่นอน จากพระคัมภีร์ ที่มีบันทึกเอาไว้ ถึงคำสอน คำบอกเล่า และประสบการณ์ของความทุกข์ยากลำบาก อาจจะมากกว่าที่เรากำลังประสบอยู่ทุกวันนี้ ก็ได้ ก็คือผู้เชื่อ คริสเตียนเหมือนเรา  ที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เมื่อสมัยยุคคริสตจักรเริ่มต้น คริสเตียนเริ่มต้นใหม่ๆ เมื่อประมาณ 2,000 ปีที่แล้ว เราจะมาเรียนรู้ประสบการณ์ของเขาว่าเขาสอนอย่างนี้ เขาเชื่ออย่างนี้  แล้วเขาก็ทำตามอย่างนี้  เขาประสบอะไร? ถึงทำอย่างนั้นได้ และเขาคิดอย่างไร? ความหวังเขาอยู่ที่ไหน?

คริสตจักรในยุคเริ่มต้น ตอนยุคบุกเบิก ในสมัยนั้น เขาอยู่กันอย่างไร?  เขาอยู่แบบเราอย่างนี้หรือ?  หรือว่าเขามีความเชื่อ เขาก็สบายแล้ว เราควรมีความหวังอย่างไร? อะไรที่เหมือนกับเขา ทำให้สามารถผ่านความทุกข์ยากลำบาก ในช่วงนี้ และขอบคุณพระเจ้าได้ ลองคิดดูนะว่าในสมัยนั้น เขาต้องทุกข์ยากลำบาก ต่อการข่มเหงรังแก ในฐานะเป็นคริสเตียนมากขนาดไหน?

นี่คือความทุกข์ที่ตะกี้นี้บอกว่าไม่ด้อยกว่า หรืออาจจะมากกว่าที่เรากำลังทนทุกข์เรื่องโควิดก็ได้นะ นึกถึงภาพว่าคริสเตียนสมัยนั้น เขาทนทุกข์เรื่องนี้  ไม่ใช่เรื่องนี้เรื่องเดียวนะ ไม่ใช่เขาทนทุกข์เรื่องถูกข่มเหงรังแกอย่างเดียว แต่เศรษฐกิจเขาก็ไม่ใช่ดีนะ เขาก็เจอภัยแล้ง  เศรษฐกิจล่ม สงครามใหญ่โต เขาก็เจอเหมือนกัน แต่เขาเจอหนักกว่าเราตรงที่การข่มเหงรังแกเนื่องจากความเชื่อ  มีมากมายมหาศาล มีทั้งเชื่อพระเจ้าแล้ว ต้องถูกจับไปติดคุก ถูกกลั่นแกล้ง ถูกยัดใส่ข้อหา ถูกจับไปเฆี่ยน ไปตีแบบทรมาน ถูกจับให้ไปต่อสู้กับสิงโต คือไปตายให้คนดู หรือถูกจับไปให้ฆ่ากันเอง ใครฆ่าเขา แล้วมีชีวิตอยู่ ก็อยู่ต่อ หรือบางคนถูกจับไปเสียบไม้ เผาทั้งเป็นแบบนี้ ไปขึงไว้บนไม้ ต้นไม้ แล้วก็เผาทั้งเป็น ประจานอย่างนี้ ลองคิดดูสิว่าหนักกว่าเราไหม?

แล้วผู้เชื่อในยุคนั้น ท่านคิดว่าเขาคิดอะไรในใจ ในขณะนั้น  หรือเขาก็มีความหวังอะไรที่ทำให้เขาสามารถเผชิญกับเหตุการณ์เหล่านั้นได้ โดยที่ยังสามารถที่จะขอบคุณพระเจ้าได้ ตามที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ อาจารย์เปาโลเป็นตัวอย่างเห็นชัดเจน และได้สอนเราถึงเรื่องนี้ว่าความหวังของเราควรอยู่ที่ไหน? ที่สามารถทำให้เราผู้เชื่อนั้นสามารถเจอกับความทุกข์ยากลำบากหนักขนาดไหน?  ความหวังของเรา ต้องอยู่ในสถานการณ์ที่เรามองเห็นอยู่ ไม่ใช่ เปาโลบอกว่าความหวังของเราอยู่ในพระคริสต์ เราอยู่ในพระเยซูคริสต์ เราจึงสามารถขอบคุณพระเจ้าได้ในทุกกรณี เพราะว่าพระเจ้าสถิตอยู่ในเรา เรียบร้อยไปแล้ว อาจารย์เปาโลพูดสั้นๆ แบบนี้ เพราะพระเจ้าสถิตอยู่ในท่าน เป็นความหวัง แห่งพระสิริ

วันนี้เราจะมาเรียนรู้ตรงนี้แหละ คือเคล็ดลับ พระเจ้าสถิตอยู่ในท่าน เป็นความหวังแห่งพระสิริ ลองนึกในใจตอนนี้ว่านี่แหละคือคำสั้นๆ แต่มีความหมายลึกซึ้ง ซึ่งวันนี้เราจะมาแจงความลึกซึ้งนี้ คืออะไร?

ก่อนอื่น เราต้องทำความเข้าใจก่อนว่าความทุกข์ยากลำบากต่างๆ วิกฤต ที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ ไม่ว่าในอดีต หรือปัจจุบันก็ตาม ไม่ได้เป็นเพราะว่าผู้เชื่อคนนั้น หรือท่านอธิษฐานน้อย หรือติดสนิทกับพระเจ้าน้อยไป ห่างเหินจากพระเจ้า หรือเพราะมีใครไปทำบาป พระเจ้าเลยลงโทษ  เราเลยซวยไปด้วย ไม่ใช่อย่างนั้นเด็ดขาด แต่เป็นเพราะระบบของโลกใบนี้ มันเป็นอย่างนี้ มันล่มสลาย ตกลงไปในความบาปคำสาปแช่ง ตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษอาดัมและเอวาแล้ว โลกนี้มันวิปริตไปแล้ว เต็มไปด้วยคำสาปแช่ง เต็มไปด้วยความทุกข์ยากลำบากต่างๆ ตั้งแต่สมัยอาดัม มาถึงทุกวันนี้ และจะเป็นอย่างนี้อยู่ถึงที่สุด เมื่อจบโลกใบนี้ พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น

อาจารย์เปาโลได้สอนเราเกี่ยวกับเรื่องนี้ ว่าความหวังเราควรจะอยู่ในพระเยซูคริสต์ เราอยู่ในพระคริสต์แล้ว เราสามารถที่จะขอบคุณพระเจ้าได้ในทุกกรณี เพราะว่าความหวังเราอยู่ในพระสิริของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์ มันคืออะไร? เรามาเริ่มต้นที่ 2 โครินธ์ 4:7 …

2 โครินธ์ 4:7 “แต่เรามีของล้ำค่านี้ ในภาชนะดิน เพื่อแสดงว่าฤทธานุภาพอันล้ำเลิศนี้ มาจากพระเจ้า ไม่ใช่มาจากตัวเราเอง”

 

“เรามีของล้ำค่านี้ ในภาชนะดิน” ถ้อยคำพระเจ้าตรงนี้ บอกว่าเรามีสมบัติอันล้ำค่า อยู่ในภาชนะเรือนดินอันต่ำต้อย ผมก็เลย ยกเอาสิ่งนี้มาเปรียบเทียบให้ท่านเห็นว่าสมบัติอันมีค่ากับสิ่งที่เทียบกันไม่ได้ อันต่ำต้อยนั้น ลักษณะเป็นอย่างไร? เอาแบบชาวบ้านๆ เป็นไทยๆ

“เรามีเพชร พลอย ทองคำอันมีค่า อยู่ในตุ่มดินเก่าๆ อันต่ำต้อย” ตุ่ม นึกถึงภาพคนไทย ตุ่มใส่น้ำเก่าๆ แถมยังขึ้นรา ขึ้นขี้ตะไคร่ สกปรกต่างๆ เหล่านั้น แต่ข้างใน เป็นเพชร พลอย เป็นทองคำ นี่เห็นภาพ ตรงนี้เป็นหัวใจอันแรกเลย ที่ทำให้เราต้องเรียนรู้ว่าพระคริสต์สถิตอยู่ในเรา ความหวังแห่งพระสิริ คืออะไร? พระคริสต์ก็คือเพชร พลอย ทองคำ  พระสิริ ก็คือเพชร พลอย ทองคำ อยู่ในเรา

“เรา” ในที่นี้ ก็คือร่างกายที่เป็นเหมือนตุ่มเก่าๆ เราต้องเรียนรู้และซึมซับตรงนี้ให้ได้ว่าความจริงเป็นอย่างนี้ ไม่ว่ากายภายนอกของเราจะเป็นอย่างไร? ก็ตาม ที่ตาเรามองเห็นและจับต้องได้ เช่น กายภายนอกนี้จะมั่งมีหรือยากจน จะแข็งแรงหรือเจ็บป่วย จะมีชื่อเสียงหรือไม่มี ก็เป็นเพียงแค่ตุ่มเก่าๆ ถูกไหม?

“ฉันเป็นคนแข็งแรงมากเลย เธอไม่ค่อยแข็งแรง”

เราก็เป็นแค่ตุ่มเก่าๆ ตุ่มใหม่ๆ เพิ่งจะคลอด อายุ 1 ขวบ  นี่ปาไปเท่าไรแล้ว เป็นตุ่มเก่าๆ ใบหนึ่งเท่านั้นเอง ที่ไม่มีค่าอะไรเลย ที่เปรียบไม่ได้กับสิ่งที่อยู่ในตุ่มนี้ อยู่ในร่างกายนี้ ซึ่งเป็นเหมือนเพชร พลอย และทองคำ  สิ่งที่อยู่ในร่างกายหรือภาชนะดินอันต่ำต้อยนี้ คืออะไร? เพชร พลอย และทองคำ ที่อยู่ในตุ่มอันสกปรก อันต่ำต้อยนี้ ก็คือทรัพย์สมบัติอันล้ำค่า ที่ในพระคัมภีร์พูดถึงบ่อยๆ จำได้ไหม? พระเยซูบอกจงสะสมทรัพย์ของท่านไว้ที่ในสวรรค์เบื้องบน ทรัพย์ท่านอยู่ที่ไหน? ใจก็อยู่ที่นั่น ทรัพย์เราอยู่ที่ไหน? อยู่ที่ความมั่งมี การงานเจริญเติบโต เศรษฐกิจที่ดีๆ หรืออยู่ในพระคริสต์ นั่นแหละ ใจเราก็อยู่ที่นั่น

เพราะฉะนั้น ทรัพย์สมบัติอันมีค่า อันล้ำค่า ที่อยู่ในใจของเรา หมายถึงชีวิตนิรันดร์ที่เราได้รับ หลังจากเรารับเชื่อในพระเยซูคริสต์เรียบร้อยแล้ว ก็คือพระเยซูคริสต์เข้ามาสถิตอยู่ในเรา เป็นความหวังของเรา เป็นพระสิริของเรา ในการดำเนินชีวิต จากนี้ไป ตั้งแต่หลังรับเชื่อ จนไปถึงตลอดชีวิตนิรันดร์เลยทีเดียว ตรงนี้มันหมายถึงอย่างนี้

เพราะฉะนั้น ที่บอกว่าผู้เชื่อทั้งแต่ยุคเริ่มต้น จนมาถึงยุคปัจจุบันที่สามารถเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากต่างๆ นานาได้ และสามารถขอบคุณพระเจ้าได้ในทุกกรณี ก็เพราะพวกเขาทั้งหลายมีความหวังไว้ที่ทรัพย์สมบัติอันล้ำค่าตรงนี้แหละ เขามีความหวังอันสูงสุด อยู่ตรงนี้แหละ ตรงทรัพย์สมบัติอันล้ำค่า เพชร พลอยและทองคำ ที่อยู่ในตุ่ม คือในร่างกายเขา ก็คือเขาเห็นพระคริสต์สถิตอยู่ในเขา เต็มไปด้วยพระสิริ นี่คือความหวังใจของเรา ที่เป็นกำลังให้กับเขา สามารถเผชิญกับสิ่งต่างๆ เหล่านี้ได้  ทรัพย์สมบัติอันล้ำค่าที่อยู่ภายในเรา ก็คือความรอดในพระเยซูคริสต์ ชีวิตนิรันดร์ ไม่ใช่เฉพาะของมีค่า คือวิญญาณเรา ที่พระเยซูคริสต์ให้เราบังเกิดใหม่ และเข้ามาสถิตอยู่กับเราเท่านั้น แต่หมายถึงร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตาย เมื่อวันหนึ่งที่เราทิ้งตุ่มนี้ไปแล้ว เราได้รับร่างกายใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ร่างกายใหม่ที่เป็นขึ้นจากความตาย ร่วมกับพระเยซูคริสต์ ตรงนี้ด้วย รวมอยู่ในชีวิตนิรันดร์

ถามว่าชีวิตนิรันดร์คืออะไร? เราได้เรียนรู้กันบ่อยๆ แต่บางทีเรานึกไม่ถึง เพราะฉะนั้น วันนี้ผมพยายามที่จะคัดเอามาจากในพระคัมภีร์ เพื่อให้ท่านสรุปรวมๆ เพื่อจะได้เห็นชีวิตนิรันดร์ หลายครั้งเราบอกว่าเราได้รับชีวิตนิรันดร์

ชีวิตนิรันดร์ คืออะไร? บางทีเราตอบไม่ถูก ถ้าเราตอบถูกบ้าง ก็ทำให้เรามีความหวังที่เห็นชัดขึ้น มีความหวังในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ได้มากขึ้น ขอบคุณพระเจ้าได้มากขึ้น

ชีวิตนิรันดร์ ก็คือชีวิตของพระเยซู พระเยซูสถิตในเรา ชีวิตนิรันดร์ คือชีวิตของพระเยซู ที่เต็มไปด้วยพระสง่าราศี เต็มด้วยพระเกียรติ พระสิริ เต็มไปด้วยฤทธานุภาพยิ่งใหญ่ เราได้รับชีวิตนิรันดร์ ก็คือเราได้รับชีวิตที่เป็น DNA เหมือนพระเยซูอยู่ในเราแล้ว ชีวิตนิรันดร์ที่เราได้รับ เป็นความรักนิรันดร์ เป็นความสว่างนิรันดร์ เป็นความชอบธรรมนิรันดร์ เป็นความดีงามนิรันดร์  เป็นความบริสุทธิ์นิรันดร์ เป็นความดีนิรันดร์ เป็นความสุขนิรันดร์ เป็นประชากรของพระเจ้า ในฐานะเป็นลูกของพระเจ้า อยู่ในสวรรค์กับพระองค์นิรันดร์ เป็นแล้วด้วย  เป็นเมื่อเราเริ่มต้น เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เป็นแล้ว เป็นตั้งแต่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ อยู่ในตุ่มนี้ เราก็เป็นอย่างนี้แล้ว นี่แหละคือความหวัง นี่แหละเขาเรียกว่าทรัพย์สมบัติอันยิ่งใหญ่ มหาศาล ในตุ่มเก่าๆ นี้

พระเยซูบอกใช่ ในตุ่มนี้หรือ? ถูก เปาโลจึงเขียน ในภาชนะดิน ก็คือในตุ่มดินเก่าๆ นี้ ท่านมีของอันล้ำค่ามากมายเลย ถ้าท่านเชื่อ ท่านก็จะได้เห็นกับตา เห็นหรือยัง? เริ่มเห็ฯชัดขึ้นแล้วนะว่าในตุ่มเก่าๆ มีอะไรอยู่ในนั้น และเมื่อเรามีความหวังตรงนี้ชัดเจน เราก็จะสามารถทนกับความทุกข์  ความลำบากในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ได้ทุกสถานการณ์ ในทุกสภาวะการ ไม่ว่าความทุกข์ยากลำบากนั้นจะมากขนาดไหนก็ตาม? จะสาหัสขนาดไหนก็ตาม มันก็อยู่เพียงแค่ชั่วคราวเท่านั้น เพราะมันเป็นเหมือนชีวิต  หรือเวลาของตุ่มเก่าๆ เดี๋ยวมันก็ต้องสูญสลายไป แต่เพชร พลอย ทองคำ มันจะอยู่ตลอดไป มันจะมีค่าตลอดไป เปรียบเทียบให้ท่านเห็น ท่านคงไม่ไปสนใจกับตุ่มแล้วนะ ผุๆ พังๆ กำลังแตก กำลังสลายไป ท่านคงไม่ไปประคบประหงมตุ่มนั้น แต่ของในนั้นมากกว่าที่ท่านจะดูแลอย่างดีเลย

สมมติว่าท่านเป็นมหาเศรษฐี เอาเพชร พลอย ทองคำ กลัวโจรมาก เอาฝังใส่ตุ่มไว้ ใจท่านคงไม่ได้คิดถึงตุ่มหรอก เพราะท่านก็รู้แล้ว เดี๋ยวมันก็สลายกลายเป็นดินไป แต่ท่านสนใจเรื่องทองคำที่ฝังอยู่ใต้ดินนั้นมากกว่าใช่ไหม? มันอยู่เพียงชั่วคราว  เรารู้ว่าความทุกข์ยากลำบาก ที่เราเผชิญอยู่ มันทุกข์จริงไหม? จริง มันเจ็บปวดจริงๆ ไหม? จริง มันเสียใจจริงๆ ไหม? จริง มันจริงทั้งนั้นนะ ไม่ใช่ไม่จริง ไม่ใช่มาเชื่อพระเจ้าแล้ว ความเชื่อบอกไม่จริงๆ ไม่ใช่ๆ มันเป็นจริง แต่เราสามารถทนได้ เพราะเรามีความหวังอย่างอื่น ที่เห็นชัดว่าถ้าเรารู้ความจริง แล้วเราจดจ่อไปที่ความหวังนั้น

ความหวังนั้นจะทำให้เราเห็นว่าความทุกข์ยากลำบากมันอยู่เพียงแค่ชั่ว แป๊บเดียว เดี๋ยวมันก็ไปแล้ว มันมีวันสุดท้ายของมัน และเมื่อเรามีความหวังตรงนี้ เรารู้ว่าเราแค่ทน จนถึงวันสุดท้าย  เกิดอะไรขึ้น เราก็ได้รับชัยชนะนิรันดร์ ได้รับชีวิตนิรันดร์ อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ซึ่งเราได้รับมัดจำมาแล้ว  อยู่ในตุ่มนี้แล้ว แต่ในวันข้างหน้า ตุ่มนี้หมดไป เราก็จะได้รับอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ เต็มที่เลย นี่คือความหวังใจ กำลังใจของผู้เชื่อในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ตามพระคัมภีร์ ซึ่งทรัพย์สมบัติอันล้ำค่าที่อยู่ในตัวเรา คือชีวิตนิรันดร์นั้น ทางด้านวิญญาณเรารู้ เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ในเรา  พระวิญญาณบริสุทธิ์ คือพระวิญญาณของพระเยซูคริสต์ เป็นผู้สอนเรา เป็นพยานยืนยันในจิตวิญญาณของเราว่านี่เป็นจริง เรามีของที่มีค่า

แต่ความหวังจริงๆ ของเรา ก็คือการพ้นจากร่างกายนี้ ก็คือขณะที่เราดำเนินชีวิต บนโลกใบนี้อยู่  แม้ว่าเราจะมีของมีค่าอยู่ในตุ่มเก่าๆ นี้ รู้ได้โดยพระวิญญาณ เป็นพยานให้กับเราแล้ว แต่แน่นอน เรา ก็ต้องดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ แล้วก็รำคาญตุ่มเก่าๆ นี้ ความหวังเราจึงอยู่ที่เมื่อไร ตุ่มมันจะหมดอายุ สักทีหนึ่ง แล้วฉันจะได้รับร่างกายใหม่ และย้ายที่อยู่ใหม่ในสวรรคสถาน หมดสิ้นจากความทุกข์ยากลำบากเสียที

ยอห์น 17:22-23 ผมจะนำท่านไปให้เห็นของมีค่า ที่พระคัมภีร์พูดถึงตรงนี้ ที่เปาโลพยายามจะชี้ให้เราเห็น ที่เป็นความหวัง กำลังใจให้กับคริสเตียนตั้งแต่ยุคโน้น มาทุกยุคทุกสมัย จนถึงยุคเรา คือมีค่าขนาดไหน? นี่เป็นคำอธิษฐาน เป็นคำพูดของพระเยซูคริสต์ …

ยอห์น 17:22-23  “22 เกียรติสิริ (ชีวิตนิรันดร์) ซึ่งพระองค์ประทานแก่ข้าพระองค์นั้น ข้าพระองค์ได้มอบให้พวกเขา (ทุกคนที่เชื่อในพระเยซู) แล้ว เพื่อพวกเขา (ผู้ที่เชื่อในพระเยซู) จะได้เป็นหนึ่งเดียวกัน เหมือนที่พระองค์กับข้าพระองค์เป็นหนึ่งเดียวกัน 23 คือข้าพระองค์อยู่ในพวกเขา (ผู้ที่เชื่อ) และพระองค์อยู่ในข้าพระองค์ ขอให้พวกเขา (ผู้ที่เชื่อ) ได้รวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน อย่างสมบูรณ์ เพื่อให้โลกรู้ว่าพระองค์ทรงส่งข้าพระองค์มา และทรงรักพวกเขา (ผู้ที่เชื่อ) เหมือนที่พระองค์ทรงรักข้าพระองค์”

 

พระเยซูอธิษฐานกับพระเจ้าพระบิดาว่า  “เกียรติสิริ” หมายถึงอะไร? ก็คือชีวิตนิรันดร์  ซึ่งพระองค์ประทานให้แก่ข้าพระองค์นั้น ซึ่งพระองค์ ตรงนี้หมายถึงพระเจ้าพระบิดา ประทานให้กับพระเยซู ประทานเมื่อไร? ประทานเมื่อตอนชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย พระเยซูสละสภาพสภาวะพระเจ้ามาตายที่ไม้กางเขน เพื่อที่จะไถ่บาปเรา ลบล้างบาปเรา ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ แล้ววันที่สามพระเจ้าพระบิดา ได้ชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย ตรงนี้แหละ ฤทธิ์อำนาจที่ชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นมาใหม่นั้น ทำให้พระเยซูกลายเป็นวิญญาณ ที่เป็นวิญญาณชีวิตนิรันดร์ที่มาจากพระเจ้า เต็มไปด้วยเกียรติ เต็มไปด้วยพระสิริ เต็มไปด้วยฤทธิ์อำนาจ

พระเยซูบอกว่า … “เกียรติสิริอันนี้ ชีวิตนิรันดร์อันนี้ ที่พระบิดาประทานให้กับลูก ข้าพระองค์ได้มอบให้พวกเขา”

มอบให้ใคร? มอบให้กับทุกคนที่เชื่อในพระเยซู “เขา” คือเชื่อในพระเยซู พระเยซูบอกว่า …

“ผู้ที่เชื่อในเรา ผ่านทางคำพูดของอัครสาวก ผ่านทางการประกาศข่าวประเสริฐ และเชื่อในเรา ในสิ่งที่เขาพูดเกี่ยวกับเรา  ถ้าเชื่อ ก็จะได้รับชีวิตนิรันดร์ตรงนี้ ได้ไป เพื่อพวกเขา ผู้ที่เชื่อในพระเยซูนั้น จะได้เป็นหนึ่งเดียวกัน เหมือนที่ข้าพระองค์กับพระองค์เป็นหนึ่งเดียวกัน”

“เป็นหนึ่งเดียวกัน” หมายถึงรวมกันเป็นวิญญาณเดียวกัน อยู่ในครอบครัวเดียวกัน เป็นวิญญาณก้อนเดียวกันเลย  คือ “ข้าพระองค์อยู่ในพวกเขา และพระองค์อยู่ในข้าพระองค์” คือพระเยซูกำลังบอก พระเยซูอยู่ในผู้ที่เชื่อ พอเชื่อปุ๊บ พระเยซูเข้าไปอยู่ในนั้น นี่แหละ คือชีวิตนิรันดร์ ที่เริ่มต้น เมื่อเราเชื่อและเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด นี่หมายถึงตรงนี้

“ชีวิตนิรันดร์ที่ให้เราบังเกิดใหม่นั้น” เป็นชีวิตของพระเยซู และเป็นชีวิตของพระเยซูที่ได้รับจากพระเจ้าพระบิดา เพราะฉะนั้น ชีวิตของเราที่บังเกิดใหม่ เป็นชีวิตนิรันดร์นั้น เป็นชีวิตที่ได้รับมาจากพระบิดา เป็นเหมือนชีวิตของพระเยซู เป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่มีผิดเลย

“ขอให้พวกเขาผู้เชื่อได้ร่วมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน”  อย่างสมบูรณ์ คืออย่างครบถ้วนบริบูรณ์ พระเจ้าเป็นอย่างไร? เราก็จะเป็นอย่างนั้น เราไม่ใช่พระเจ้านะ เราเป็นผู้ที่พระเจ้าเลือกสรร ให้เป็นประชากรของพระองค์ ในฐานะลูกของพระองค์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ มี DNA เหมือนพระองค์ในโลกฝ่ายวิญญาณ เป็นเหมือนพระองค์เลยทีเดียว เรียกว่าเป็นชีวิตนิรันดร์เหมือนพระองค์

“เพื่อให้โลกรู้ว่าพระองค์ทรงส่งข้าพระองค์มา และทรงรักพวกเขา เหมือนที่พระองค์ทรงรักข้าพระองค์”  พระเจ้าพระบิดาทรงรักพวกเรา ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์  ที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว เป็นลูกพระองค์นั้น รักเราเท่าๆ กับพระเยซู นี่ชัดเจนเลย

“ทรงรักพวกเขา” ทรงรักผู้ที่เชื่อเหมือนรักข้าพระองค์ คือเหมือนรักพระเยซู พอมองเห็นไหมว่าพระองค์ทรงรักเรามากเท่าไร? รักเราเท่ากับพระเยซูคริสต์ และความหวังในชีวิตนิรันดร์อย่างนี้ พระเยซูเข้ามาสถิตอยู่อย่างนี้  เป็นความหวังเดียวที่ทำให้คนมีพลัง ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ มีความหวังในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้อย่างชัดเจน  และความหวังนี้ มีง่ายนิดเดียว หวังแค่นิดเดียวเอง ไม่ต้องทำอะไรด้วยตัวเองเลย แม้แต่นิดหนึ่ง ที่จะได้ความหวังตรงนี้ ชีวิตนิรันดร์ได้มา โดยพระคุณ ไม่ต้องทำอะไรเลย เพียงแค่เชื่อเท่านั้นเอง เราก็ได้รับชีวิตนิรันดร์ตรงนี้ ยอห์น 3:15-16 พระเยซูตรัสประกาศถึงข่าวประเสริฐนี้ว่าความหวังตรงนี้ ชีวิตนิรันดร์ได้ง่ายๆ อย่างนี้เลยแหละ จริงๆ …

ยอห์น 3:15-16 “15 เพื่อทุกคนที่เชื่อในพระองค์จะมีชีวิตนิรันดร์ 16 เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลกและมนุษย์ จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ (พระเยซู) เพื่อทุกคนที่เชื่อในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ (วิญญาณตายอยู่ในบาป) แต่มีชีวิตนิรันดร์ (เป็นลูกของพระเจ้า)”

 

“แต่มีชีวิตนิรันดร์” ก็คือมาบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระองค์ แค่เชื่อเอง พระเยซูตรัสว่านี่เป็นเหมือนประตูแคบ คนไม่ค่อยเข้าใจ เพราะว่ามันเป็นไปไม่ค่อยได้ไง ความคิดของมนุษย์ไม่ต้องทำอะไรเลย ทำไมได้อย่างนี้ มันเป็นไปไม่ได้หรอกมั้ง เลยไม่มา นี่ประตูแคบ ก็เลยพยายามไปหาวิธีทำให้ตัวเองได้รับชีวิตนิรันดร์ ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว พูดง่ายๆ ก็คือถ้าเปรียบเทียบกับตุ่มเก่าๆ เมื่อสักครู่นี้ พระเยซูบอกว่าเพียงแค่เชื่อในพระองค์ว่าพระองค์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต และเป็นขึ้นจากความตาย แค่นั่นเอง ตุ่มเก่าๆ นี้ก็จะได้รับชีวิตนิรันดร์ ได้รับทรัพย์สมบัติอันมีค่ามหาศาล ได้รับชีวิตที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ได้รับชีวิตที่มี DNA แบบของพระเจ้าเลยทีเดียว  เข้ามาในตุ่มเก่าๆ ทันที เพียงแค่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดเท่านั้น เท่านั้นเลยจริงๆ

ถ้าไม่เชื่อในพระคัมภีร์เมื่อตะกี้ที่เราอ่านนั้น ยอห์น 3:16  ถ้าไม่เชื่อ เกิดอะไรขึ้น? “เพื่อทุกคนที่เชื่อในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ” ก็คือถ้าไม่เชื่อ มันก็พินาศ ถ้าไม่เชื่อ ก็ไม่มีพระเยซูคริสต์อยู่ในตุ่มนั้น ตุ่มนั้น ก็จะเป็นตุ่มเก่าๆ ที่กำลังสูญสิ้นไป แต่ภายใน ไม่มีชีวิตนิรันดร์ ไม่มีความหวัง ไม่มีชีวิตที่เป็น DNA แบบพระเจ้าเข้ามาอยู่ด้วย แต่เป็น DNA มาจากอาดัม ซึ่งเป็น DNA ที่เป็นทาสของมาร  อยู่ในความมืด  อยู่ในความพินาศนั่นเอง

ชีวิตนิรันดร์จึงเป็นสมบัติ อันมีค่ามากมายมหาศาล ชีวิตนิรันดร์ จึงเป็นเพชร เป็นพลอย เป็นทองคำในตุ่มเก่าๆ ของผู้เชื่อ และเป็นชีวิตที่เต็มไปด้วยความหวัง สำหรับผู้ที่เชื่อนั้นเขาได้รับชีวิตนิรันดร์เป็นมัดจำไปแล้ว ตอนดำเนินชีวิต บนโลกใบนี้ และเขามีความหวัง ที่จะไปรับร่างกายใหม่ เปลี่ยนตุ่มใหม่ ไปอยู่ในโลกใหม่ได้รับชีวิตนิรันดร์ที่ครบถ้วนบริบูรณ์อีกครั้งหนึ่ง หลังจากความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ผ่านไปเรียบร้อยแล้ว หลังจากที่ตุ่มใบนี้จบการงานของมันแล้ว  โดยการตายจากร่างกายนี้ หรือเรียกว่าตายจากโลกนี้ นั่นเอง แล้วรับร่างกายใหม่ เป็นขึ้นจากความตาย เหมือนพระเยซูคริสต์ทันที เมื่อวิญญาณออกจากร่าง

พูดง่ายๆ ว่าความหวังใจของคนที่เชื่อในพระเจ้า ในสมัยอดีต และปัจจุบัน และอนาคต พระคัมภีร์สอนให้ความหวังใจเรามองไปที่ทรัพย์สมบัติอันมีค่า ที่อยู่ในตุ่ม และมองไปที่การเปลี่ยนตุ่มในอนาคตอันใกล้ แค่นี้เอง อันนี้จำได้ง่ายดี ความหวังเราอยู่ที่การเปลี่ยนตุ่มเก่าๆ

ผมอยากจะเทียบตรงนี้ให้เห็น ตุ่มเก่าๆ นี้ วันหนึ่งมันจะต้องสูญสิ้นไปใช่ไหม? แตกสลายไปใช่ไหม? จะแตกสลายด้วยอะไรไม่รู้ จะแตกสลายด้วย เอาไปให้สิงโตกิน จะแตกสลายด้วยการถูกข่มเหง แตกสลายด้วยโรคภัยไข้เจ็บ แตกสลายด้วยป่วย แก่ อุบัติเหตุ หรืออะไรก็ตาม เป็นชัยชนะของเราทั้งสิ้น เพราะเป็นความหวังของเราที่จะเปลี่ยนตุ่ม เปลี่ยนตุ่มก็ต่อเมื่อวิญญาณออกจากร่าง ก็คือตาย

เพราะฉะนั้น เวลาเปลี่ยนตุ่ม จากตุ่มเก่าๆ ที่สกปรก ที่เต็มไปด้วยความสาปแช่ง อ่อนแอ บังเกิดใหม่ เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ รัศมี สง่าราศี เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ร่างกายใหม่ ที่เรียกว่าร่างกายสวรรค์นั้น ผมจึงใช้เปรียบเทียบเป็นว่าเปลี่ยนจากตุ่มเก่าๆ เป็นไหทองคำ นี่เห็นภาพแล้วนะ นึกภาพสิว่าเราเป็นตุ่มเก่าๆ ที่ในนั้นมีทรัพย์สมบัติ มีเพชร พลอย ทองคำ วันหนึ่งข้างหน้า อีกไม่นาน ตุ่มนี้จะหมดอายุลง พอตุ่มหมดอายุลงปุ๊บ มันจะเปลี่ยน กลายเป็นไหทองคำฝังเพชร ฝังพลอย สง่างามมากมายมหาศาลเลย แล้วท่านไม่ดีใจหรือ? ถ้าความหวังเราอยู่ที่นี่ตลอดเวลาได้ เราก็สามารถที่จะขอบคุณพระเจ้า  ในทุกสถานการณ์ ในทุกสภาวการณ์ได้ เพราะว่าทั้ง 2 อันนี้ ทั้งทรัพย์สินอันมีค่า เพชร พลอย ทองคำที่อยู่ในตุ่ม และไหทองคำฝังเพชรที่สัญญาไว้นั้น มันเป็นสัญญาจริงๆ สาบานโดยพระนามของพระองค์จริงๆ แล้วมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ แล้วเรารู้ เพราะว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ยืนยันอยู่ในจิตใจของเราว่ามันเป็นเช่นนั้นแหละ  เราจึงมีความหวังว่าเมื่อไรจะได้เปลี่ยนตุ่มสักทีหนึ่ง การทนทุกข์ทรมานถึงที่สุด และจนถึงความตาย ก็คือการเปลี่ยนตุ่มนั่นเอง

อย่างที่ตะกี้นี้บอกว่านี่แหละ พระคัมภีร์จึงเรียกว่าให้สะสมทรัพย์ของท่านไว้ในสวรรค์เบื้องบน  “สะสม” แปลว่ามีอยู่แล้วหรือยัง? “สะสม” แปลว่ามีอยู่แล้วสิ ถูกไหม? ให้สะสม เหมือนบางคนบอกว่าสะสมทอง ตอนนี้มีอยู่ 2 บาท  สะสมไปเรื่อยๆ จนสิบปี ยี่สิบปี ได้เท่าไรก็ว่าไป นี่สะสมทรัพย์ไว้ในสวรรค์ ทรัพย์อันมีค่า ตรงนี้สะสมชีวิตนิรันดร์ของเรา เราได้รับชีวิตนิรันดร์มาแล้ว แต่อยู่ในตุ่มเก่าอยู่ เราอยากได้เพิ่ม แต่ทำเองไม่ได้ แต่ทั้งหมดนี้อยู่ในพันธสัญญาของพระเจ้าทั้งสิ้น จะได้รับก็ต่อเมื่อตุ่มเก่ามันสูญสิ้นไป เราจึงจะได้รับอันใหม่ การสะสมทรัพย์ ก็คือเก็บรักษาทรัพย์สินที่มีค่า คือชีวิตนิรันดร์ที่เราดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้อย่างดี การสะสมไว้อย่างนี้ ก็คือการจดจ่อ ระวัง อย่าให้ใครมาขโมยไป มันขโมยไม่ได้อยู่แล้วล่ะ เพียงแต่จดจ่อให้ความสำคัญเท่านั้นเอง แล้วก็รอคอยว่าวันหนึ่งได้มาเพิ่ม ไหทองคำฝังเพชร ร่างกายใหม่ ที่เหมือนพระเยซูคริสต์ ที่เต็มไปด้วยสง่าราศีมาเพิ่ม ครบถ้วนบริบูรณ์และอยู่อาศัยในโลกใหม่ ที่ไม่มีความบาป ไม่มีความทุกข์ทรมาน ไม่มีคำสาปแช่งอีกต่อไป นี่คือการสะสมทรัพย์ไว้ในสวรรค์ ในเชิงของพระคัมภีร์ที่บอกไว้ใน 2 โครินธ์ 4:14 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

2 โครินธ์ 4:14 “เพราะเรารู้ว่าพระองค์ผู้ทรงให้องค์พระเยซูเจ้า คืนพระชนม์จากความตายนั้น จะทรงให้เราเป็นขึ้นกับพระเยซูด้วย และจะทรงให้เราเข้าเฝ้าพระองค์ร่วมกับท่านทั้งหลาย”

 

เพราะเรารู้ว่าพระองค์ ผู้ทรงให้องค์พระเยซูเจ้าคืนพระชนม์ ก็คือพระบิดาผู้ให้พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากความตายนั้น จะทรงให้เราเป็นกับพระเยซูด้วย หมายถึงเปาโลบอกว่าจะทรงชุบเปาโลผู้ประกาศข่าวประเสริฐ ซึ่งเป็นอัครสาวกในกลุ่มเริ่มต้นตอนนั้น ให้เป็นขึ้นกับพระเยซูคริสต์ด้วย  และจะทรงให้เราเข้าเฝ้าพระองค์ร่วมกับท่าน

“ท่าน” ในที่นี้หมายถึงผู้เชื่อ ชาวโครินธ์  ที่เปาโลเขียนไปถึง ซึ่งรวมทั้งเราด้วย  ผู้เชื่อทั้งหลาย  พูดง่ายๆ ก็คืออย่างที่ตะกี้นี้ ที่ผมบอกว่าพระเจ้าพระบิดาชุบให้พระเยซูเป็นขึ้นจากความตายอย่างไร?  เหมือนกันไม่มีผิดเลย พระเจ้าก็จะชุบ ให้เราเป็นขึ้นจากความตาย อย่างนั้นด้วยเมื่อวันที่เราเปลี่ยนตุ่ม เมื่อวันที่หมดอายุตุ่ม และทรัพย์สมบัติที่มีค่าภายใน เป็นอิสระ เข้าไปรับตุ่มใหม่ ไหทองคำ ไปรับร่างกายใหม่ ร่างกายที่เหมือนพระเยซูคริสต์ เต็มไปด้วยสง่าราศี ครบถ้วนบริบูรณ์ ในสวรรคสถาน  และอยู่กับพระองค์ในโลกใบใหม่ ในสวรรค์สถานนิรันดร์นั่นเอง

เพราะฉะนั้น เป้าหมายของเราจึงจดจ่อไปที่มรดก ตรงนี้เป็นมรดก ชีวิตนิรันดร์ที่ครบถ้วนบริบูรณ์ ที่ตะกี้นี้พูดถึง ทั้งทรัพย์สินที่มีค่าในตุ่ม และรวมทั้งตุ่มใหม่ที่เราจะได้รับนั้น รวมทั้งการไปอยู่ในสวรรค์ เบื้องบน บนโลกใบใหม่ ที่พระเจ้าสร้างสรรพสิ่งใหม่ทั้งสิ้น สิ่งเหล่านี้เรียกว่ามรดก เพราะฉะนั้น ให้เราจดจ่อไปที่มรดกที่เราได้รับเรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่เริ่มเชื่อพระเยซูคริสต์ส่วนหนึ่ง เป็นมัดจำไปเรียบร้อยแล้ว และมองไปถึงด้านหน้า เราจะได้รับครบถ้วนบริบูรณ์ ก็คือจดจ่อไปที่มรดก คือทรัพย์สมบัติอันมีค่า เหมือนเพชร พลอย ทองคำ ก็คือ …

“พระเยซูคริสต์สถิตอยู่ในฉันแล้ว ชีวิตของพระเยซูคริสต์สถิตอยู่ในฉัน ชีวิตนิรันดร์ของพระเยซูคริสต์อยู่ในฉัน ตัวฉันเองก็เป็นชีวิตนิรันดร์นั้น และพระองค์ก็สถิตอยู่ในฉัน เป็นความหวังแห่งพระสิริ”

แล้วก็จดจ่อไปที่นี่ แล้วก็รอคอยการเสร็จภารกิจ ในตุ่มที่กำลังดำเนินอยู่ในโลกใบนี้ ตุ่มเก่านี้ รอเสร็จภารกิจในร่างกายนี้ รอคอยวันเวลา ด้วยใจจดจ่อที่จะทิ้งตุ่มสักทีหนึ่ง เราทิ้งเองไม่ได้ เพราะพระเจ้าจัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว จะทิ้งเมื่อไร? ก็คือวันที่จิตวิญญาณเราออกจากร่างกายเรา ชีวิตนิรันดร์ของเรานั้น ออกจากร่างกายนี้ เมื่อไร? รอคอยวันนั้น

ตะกี้เรากำลังพูดถึงประสบการณ์ของพี่น้องคริสเตียนในอดีต ตั้งแต่ตอนยุคคริสตจักรเริ่มต้น  ที่บอกว่าถูกข่มเหงรังแกอย่างหนัก เอาไปสู้กับสิงโต  พูดง่ายๆ เอาไปให้สิงโตกิน  เพื่อเป็นการแสดงให้กับคนดู ตอนที่อยู่ในที่คุก ที่รอ กำลังจะเอาไปโชว์ในวันพรุ่งนี้ ลองคิดดูสิว่าเขาคิดถึงอะไร? เขาก็ต้องคิดถึงตรงนี้แหละ เขาคิดถึงวันพรุ่งนี้ เป็นวันแห่งชัยชนะของเขา เขาคิดถึงวันพรุ่งนี้ เป็นวันที่ใช่ เขาเจ็บปวดจริง  แต่พระเจ้าทรงสถิตอยู่ด้วย พระองค์ทรงทราบดีว่าเขารับได้แค่ไหน? เท่าไร? และเขาทราบดีว่าหลังจากโชว์นี้เสร็จปุ๊บ หลังจากที่สิงโตฆ่าเขาตายแล้ว หรืออย่างไรก็แล้วแต่ เขาหมดลมหายใจจากร่างนี้แล้ว เขาก็เท่ากับเปลี่ยนตุ่ม เขาทำงานสำเร็จแล้วนั่นเอง เห็นชัดเลย เขาจะได้รับการเป็นขึ้นจากความตาย ได้รับร่างกายใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ เต็มไปด้วยสง่าราศี เต็มไปด้วยความงดงาม เป็นเหมือนร่างกายของพระเยซู ที่เป็นขึ้นจากความตาย เขาไม่ต้องเจ็บปวด ไม่ต้องทุกข์ทรมาน ไม่ต้องอยู่ในความบาป ความตายและความทรมานอีกต่อไปเลยนิรันดร์กาล อยู่กับพระเจ้านิรันดร์กาลเลย อย่างนี้แหละ คือความหวังของเขา เขาจะได้รับสง่าราศี เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ซึ่งในพระคัมภีร์ได้บอกแล้วไง ที่บอกว่าพระคริสต์สถิตอยู่ในท่านแล้ว  และขณะนี้ เป็นความหวังแห่งพระสิริ ก็คือเป็นความหวังที่ท่านจะได้รับพระสิริเหมือนพระองค์เลย ในวันหนึ่งข้างหน้า วันที่ท่านจากโลกนี้ไปนั่นเอง

เพราะฉะนั้น วันที่จากโลกนี้ไป จะเป็นวันที่น่ายินดีมากมายมหาศาล สำหรับคริสเตียน และกำลังความเชื่อก่อนหน้านั้น มาจากไหน?  ก็มาจากการทรงสถิตของพระเจ้า พระเยซูคริสต์ที่สถิตอยู่กับเขาตอนนั้น ตอนที่เขาต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก พระเยซูคริสต์ก็สถิตอยู่กับเขา เป็นผู้ให้กำลังกับเขา เหมือนที่เปาโลบอกว่า …

“โดยกำลังที่มาจากพระเยซูคริสต์ ข้าพเจ้าสามารถเผชิญกับทุกสถานการณ์ได้ ผ่านทางพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังให้กับข้าพเจ้า ไม่ใช่ข้าพเจ้าแข็งแรง เข้มแข็ง แต่เป็นเพราะพระองค์ทรงเข้มแข็งต่างหาก ยามข้าพเจ้าอ่อนแอ”

เห็นไหม? มีแต่ได้กับได้ บางทีเราคิดว่าถ้าเผื่อเป็นโควิดขึ้นมา เราจะเผชิญได้อย่างไร? ถ้าเผื่อไม่มีรายได้อีก 6 เดือนเราจะอยู่ได้อย่างไร? เราคงตายทั้งหมดมั้ง หรือว่าโรคระบาด  ระบาดไปทั้งโลกแล้ว เราจะอยู่อย่างไร? เราจะทนได้หรือ? เพราะเรานึก เราคิดการเผชิญนั้นด้วยตัวเราเอง ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา มนุษย์บนโลกใบนี้ ก็ต้องมีความรู้สึกอย่างนั้นว่าเราจะเผชิญกับสิ่งเหล่านี้ ได้อย่างไร? พี่น้องคริสเตียนที่อยู่เมื่อ 2,000 กว่าปีที่แล้ว เขาก็คิดอย่างนี้แหละ  เอาเขาไปตรึงที่ไม้กางเขน แล้วเผาเขาทั้งเป็น แล้วเขาจะทนรับได้อย่างไร? เอาเขาไปสู้กับสัตว์ร้าย เขาจะทนได้อย่างไร? เขาก็คิดอย่างนั้น  แต่พอถึงเวลาที่เกิดขึ้นจริงๆ พระเยซูคริสต์เป็นพลัง เป็นกำลังให้เขา เปาโลบอกว่าผ่านมาแล้ว รู้แล้วว่ามันเป็นอย่างนั้น ตอนก่อนจะถูกเฆี่ยน เปาโลก็กลัวเหมือนกัน กลัวเจ็บ แต่พอผ่านไปจริงๆ มีอะไรบางอย่าง ไม่รู้ จับต้องมองเห็นไม่ได้ แต่มีอะไรบางอย่าง จากพลังภายในที่เปาโลใช้คำนี้ว่ากำลังเสริมจากพระเยซูคริสต์ ผู้สถิตอยู่ในข้าพเจ้า สถิตอยู่ในผู้คนที่เชื่อ พระองค์อยู่แล้วนั้น พระองค์เป็นผู้ประทานกำลังให้กับเรา เผชิญกับสิ่งนั้นได้ ก็แสดงว่าทนได้นั่นเอง พระเยซูคริสต์จึงบอกว่าใครที่ข่มเหงรังแก หรือทำร้ายเราทั้งหลาย ผู้ที่เชื่อในพระเยซูที่เป็นคริสเตียนนั้น เท่ากับกำลังถีบปฏัก กำลังทำร้ายพระองค์ กำลังต่อต้านพระองค์ กำลังต่อสู้กับพระองค์

ก็แสดงว่าตอนที่เราทนทุกข์ลำบาก พระเยซูก็สถิตอยู่กับเราด้วยใช่ไหม? แล้วพระเยซูจะปล่อยให้เราเจ็บปวดจนไม่ไหวหรือ? ไม่มีทางอยู่แล้ว เพราะพระคัมภีร์บอกว่าพระเยซูเคยเกิดมาเป็นมนุษย์เหมือนเรา เคยเจ็บปวดมากกว่าเราตั้งเยอะ พระองค์ทรงทราบดีว่าถ้าเจออย่างนั้น มันจะเจ็บปวดอย่างไร? พระองค์รู้ว่าขนาดไหน ถึงเรียกว่าทนได้ เห็นไหม?

นี่คือความคิด ที่คิดแบบพระเจ้า แบบพระคัมภีร์ แต่แน่นอนอยู่บนโลกใบนี้ ก็ต้องคิดแบบมนุษย์อย่างที่บอก ไม่ว่าท่านจะคิดแบบไหนก็ตาม ถึงวันเวลาที่มันเกิดขึ้นจริงๆ อยากจะบอกว่าเหมือนเขาประกวดเพลง ประกวดอะไรต่างๆ ทั่วโลก …

“ขอบอกว่าท่านผ่านครับ”

ไม่ใช่ 4 ผ่านอย่างเดียว 10 ผ่าน 100 ผ่าน พระเจ้าพระบิดาบอกผ่าน พระเจ้าพระบุตรบอกผ่าน พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์บอกผ่าน ทูตสวรรค์อีก 2 ใน 3 ทั้งโลกนี้ ทั้งมหาจักรวาลบอกว่าผ่าน มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับท่าน  มันเกี่ยวกับการงานของพระเยซูคริสต์ผู้สถิตอยู่ในท่านมากกว่า มันไม่ใช่ตัวท่าน เพราะแม้กระทั่งความเชื่อ เริ่มต้นที่ท่านเชื่อในพระเจ้า ได้รับการบังเกิดใหม่ ได้รับชีวิตนิรันดร์ ได้รับเพชร พลอย ทองคำที่มีค่า เต็มไปด้วยพระสิรินั้น ท่านก็ไม่ได้ทำอะไรเลยนะ ท่านแค่เชื่อ ทั้งหมดเป็นการงานของพระเยซูคริสต์ ผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ใช่หรือไม่? เพราะถ้าใช่ ก็ควรจะเป็นอย่างนั้น และมันต้องเป็นอย่างนั้น จนกระทั่งถึงครบถ้วนบริบูรณ์ ในชีวิตนิรันดร์ หลังความตาย ถูกหรือไม่ถูก? ถูกต้องเลยทีเดียว เพราะฉะนั้น สิ่งที่พระคัมภีร์พูดน่าจะเป็นความจริง นี่เป็นความหวังใจอันยิ่งใหญ่ สำหรับคริสเตียนทั้งหลายที่รู้ความจริงตรงนี้ ดังนั้น โลกนี้ จึงไม่ใช่บ้านเรา เราเพียงอาศัยชั่วคราว

“โลกนี้ไม่ใช่บ้านเรา  ฉันเพียงอาศัยชั่วคราว

สมบัติฉันสะสมไว้ ที่ในสวรรค์เบื้องบน

ทูตสวรรค์ร้องเรียกอยู่ ณ ประตูบนวิมาน

และฉันรู้ว่าโลกนี้ ไม่ได้เป็นบ้านฉันเลย”

ร้องให้ขึ้นใจเลย  เสร็จก็หลับ ภาษาคริสเตียนเราเรียกว่าหลับ  ทิ้งตุ่มนี้ไปเลย ไม่ต้องไปแยแสมัน  1 เปโตร 2:11 บันทึกไว้อย่างนี้ …

1 เปโตร 2:11  “ดูก่อนท่านที่รัก ข้าพเจ้าขอวิงวอนท่านทั้งหลาย ผู้อาศัยในโลกอย่างโลกไม่เป็นบ้านเกิดเมืองนอน ให้เว้นจากตัณหาของเนื้อหนัง ซึ่งเป็นข้าศึกต่อวิญญาณจิตของท่าน”

 

ข้าพเจ้าขอวิงวอนให้ท่านทำอะไร? ก็คือให้ท่านจดจ่อความหวังท่านที่ทรัพย์สมบัติ อันมีค่าในสวรรค์เบื้องบน บนนั้น ก็คือพระเยซูคริสต์สถิตอยู่ในท่าน เบื้องบนหมายถึงบนที่ดีกว่า เบื้องบนในตัวท่าน ไม่ใช่มาจดจ่อเอาสิ่งที่อยู่บนโลกใบนี้ อยากได้โน่น อยากได้นี่ อยากเป็นอันนั้น อยากเป็นอันนี้ ไม่ใช่อย่างนั้น ให้จดจ่อไปที่ทรัพย์สินเบื้องบน ในสวรรค์ ทั้งกายและโลกนี้ กำลังสูญสิ้นไป ทั้งตุ่มและวัสดุที่ทำตุ่ม ก็คือร่างกายเราถูกปั้น มาจากดิน หรือเรียกว่าโลกธาตุ ทั้งตุ่มและโลกธาตุ ก็กำลังสูญสิ้นไป  กำลังสลายไป กำลังตายไป กำลังหมดสิ้นไป สูญจริงๆ นะ สูญหายไปเลย  พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น  แต่สิ่งใหม่ได้ก่อกำเนิดเกิดขึ้น  กำลังเติบโตขึ้น อยู่ภายในเรา เกิดขึ้นเรื่อยๆ สิ่งนั้น คือชีวิตนิรันดร์ ที่เปรียบเหมือนเพชร พลอย ทองคำ เกิดขึ้นแล้ว และกำลังเกิดขึ้นไปเรื่อยๆ ใหม่ขึ้นไปเรื่อยๆ เยอะขึ้นไปเรื่อยๆ เราไม่รู้ตัวหรอก เจริญเติบโตขึ้นทุกวัน เขาเรียกว่าสะสมทรัพย์ไว้ในสวรรค์ แปลว่าอย่างนี้ ตั้งแต่วันแรกที่ท่านรับเชื่อ เพชร พลอยและทองคำอยู่ในตุ่มนี้แล้ว และนับวันก็จะมากขึ้นไปเรื่อยๆ ผู้เพิ่ม คือพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นผู้เพิ่มให้ มันเจริญเติบโตเป็นไปตามธรรมชาติ ก็เยอะขึ้นๆ จนกระทั่งไปถึงรับตุ่มใหม่

เพราะฉะนั้น ควรจดจ่อไปที่ตรงนี้ ตรงชีวิตนิรันดร์ ที่กำลังเจริญเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ภายในเรา  เพราะฉะนั้น เราจึงไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้ด้วยความหวังในสิ่งที่จับต้องมองเห็นได้ หรือที่ตามองเห็นได้ เราคริสเตียนทั้งหลาย ผู้ที่เชื่อในพระเจ้า ที่มีของอันมีค่า ล้ำค่าอยู่ในภาชนะเรือนดินนี้แล้ว เราไม่ได้มีความหวัง ในเรื่องของทรัพย์สินเงินทอง ความมั่งคั่ง มั่งมี ความสุขสบายบนโลกนี้  หรือเรียกว่าความสุขสบายในตุ่มนี้ เราไม่ได้มีความหวังในสุขภาพร่างกาย ที่แข็งแรงในตุ่มนี้  ไม่ได้เป็นของมีค่าสำหรับเราเลยในตุ่มนี้  หมายถึงไม่ใช่ข้างในตุ่มมีอะไร? หมายถึงว่าเราไม่ได้ให้ความสนใจ ให้ความสำคัญกับการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ซึ่งตุ่มสัมผัสอยู่ ก็คือทรัพย์สินเงินทอง ความร่ำรวย ความเข็งแรงอะไรต่างๆ เหล่านั้น เราไม่ได้ให้ความสำคัญกับมัน ไม่ใช่เป็นความหวังของเรา เพราะพระคัมภีร์สอนเราชัดเจน  จริงๆ พระคัมภีร์สอนเราด้วย และชีวิตจริง ก็สอนเรา ทุกศาสนาก็สอนอย่างนี้ เพราะมันเป็นไปไม่ได้  ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอนทั้งสิ้น จริงหรือไม่ ที่เขาบอกว่าสิ่งที่แน่นอนที่สุด คือสิ่งที่ไม่แน่นอน  … ไม่แน่นอน  คือแน่นอนที่สุดเลย คือมันเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ คือจับให้เป็นจริงๆ ไม่ได้ มันไม่อยู่กับที่

เพราะฉะนั้น ตุ่มเก่าๆ  ที่เรากำลังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ มันกำลังสลายไป มันกำลังเปลี่ยนแปลงไปทุกวันๆ จะไปหวังว่าให้มันอยู่คงที่ คงกระพัน อย่าถูกหลอก มันไม่มี จะให้มีความสุขอย่างนี้ตลอดไป นิ่งๆ เลย มันไม่เปลี่ยนแปลง มันไม่มี จะไม่ให้มีความทุกข์เลย ให้พระเจ้าอวยพร มีแต่สุขตลอด มันไม่มี อย่าถูกหลอก

เหตุการณ์ทุกเหตุการณ์ สามารถเกิดขึ้นได้บนโลกใบนี้  ยกตัวอย่างเช่น คนทำดี แล้วได้ไม่ดี มีไหม? ไม่ได้พูดถึงคริสเตียนนะ พูดถึงทั่วๆ ไป บนโลกใบนี้ เราเห็นกันบ่อยๆ คนทำดี ไม่ได้ดี แต่คนไม่ได้ทำดี แต่ได้ดี มีไหม? มีถมไป นึกสิ นี่มันเรื่องจริง เหล่านี้ คือสิ่งที่ตาเรามองเห็น มือจับต้องได้  ก็คือเป็นของโลก ซึ่งถ้าเราไปฝากความหวังที่มัน เราก็เสร็จสิ  ถูกหลอกไปเรื่อย หลอกไปโน่นหลอกไปนี่

พระคัมภีร์จึงอธิบายให้เราชัดเจนว่าโลกใบนี้ เปรียบเป็นเหมือนของปลอม … ของปลอม คือของที่หลอกลวง ไม่จริง จะล่อลวงเราไปติดกับ เพราะฉะนั้น เราไม่สามารถไว้ใจโลกใบนี้ได้เลย แม้แต่นิดเดียว ไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อก็เป็นอย่างนี้แหละ จริงหรือไม่จริง?

ไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อ ก็ฝากความหวังไว้ที่มันไม่ได้ วางใจไม่ได้สักอย่าง เขาเรียกว่าอย่าดำเนินชีวิตอย่างประมาท ถ้าเราวางใจ หรือหวังในสิ่งที่ให้พระเจ้าทำให้เราบนโลกใบนี้ ฟังให้ดีๆ ถ้าเรามีความหวังว่าพระเจ้าจะทำให้เรา ในสิ่งที่เราอยากได้ บนโลกใบนี้นะ ที่สามารถเป็นพระพร ที่จับต้องมองเห็นได้ จากพระเจ้า  เราหวัง เราอยากได้ แล้วเราหวังไว้อย่างนั้นว่าพระเจ้าจะทำให้  เราก็จะเป็นทุกข์ อันนี้แน่นอน 100% เพราะมันเป็นไปไม่ได้ไง และเมื่อเป็นทุกข์ ท่านก็ไม่สามารถที่จะขอบคุณพระเจ้าได้ในทุกกรณีแล้ว

นี่ไง ทำอย่างไรถึงจะได้ ก็ไปหวังในสิ่งที่ได้แล้ว หวังในสิ่งที่พระประสงค์ของพระเจ้า ที่สำแดงแล้วในพระเยซูคริสต์ ที่พระเยซูประกาศที่ไม้กางเขนว่าสำเร็จแล้ว นั่นแหละ หวังตรงนั้นให้หมดเลย ก็คือชีวิตนิรันดร์เริ่มต้น จนกระทั่งถึงชีวิตนิรันดร์หลังความตาย นั่นแหละ ไปหวังตรงนั้นสิ ไม่ใช่มาหวัง ในสิ่งที่เป็นของโลกใบนี้ ที่พระเจ้าไม่ได้บอก แค่พระเจ้าสถิตอยู่กับเรา จูงมือเราผ่านหุบเขาเงามัจจุราช ไม่ได้บอกว่าจะให้เรา ตามที่เราอยากได้ทุกอย่าง  ความหวังของเรา ต้องอยู่ที่โลกวิญญาณ เท่านั้น ต้องใช้ความเชื่อในโลกวิญญาณ ที่พระเจ้าบอกเราในถ้อยคำพระองค์ว่าพระองค์ทรงทำอะไรสำเร็จเรียบร้อยแล้วบ้าง สัญญาว่าจะให้อะไรเราบ้าง ก็คือสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทำให้กับเราเรียบร้อยแล้ว บนไม้กางเขนนั่นเอง

ทำอะไรบนไม้กางเขน ก็คือพระพรของพระองค์ในโลกฝ่ายวิญญาณ ทำให้เราบังเกิดใหม่ ให้ผู้ที่เชื่อ ในการกระทำของพระองค์สามารถมีชีวิตนิรันดร์ ซึ่งเป็นของที่มีค่าที่สุด เปรียบดังเพชร พลอย ทองคำที่อยู่ในตุ่มเก่าๆ นี้ แค่เชื่อเท่านั้นเอง

สำหรับบนโลกใบนี้เราควรดำเนินชีวิตด้วยความหวังอะไร? ไม่ยากเลย ไม่ใช่ว่ามาเชื่อพระเจ้าแล้ว ผมกำลังพูดว่าอย่าหวังว่าจะร่ำรวย  เพราะฉะนั้น พยายามจนไว้ อย่าหวังว่าจะแข็งแรง พยายามทำตัวป่วยไว้ ช่างมัน ไม่ต้องไปดูแลมัน ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น อยู่บนโลกใบนี้ มนุษย์ทุกคน โดยธรรมชาติ ก็ว่ากันไปตามความเป็นจริงนั่นแหละ มนุษย์ถูกสร้างมาให้มีความสุขอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น เขาก็ต้องแสวงหาความสุข แต่ความสุขเราฝากความหวังไว้ที่พระเจ้า คำว่าหวังไว้ที่พระเจ้า คือเราอธิษฐานกับพระเจ้า สมมติว่าพูดถึงเรื่องความมั่งมี ทรัพย์สินเงินทอง คงไม่มีใครอธิษฐานหรอกนะ …

“พระเจ้าเดือนนี้ให้ลูกขัดสนนิดหนึ่ง เพื่อลูกจะได้ฝึกฝนในการมีความหวังในชีวิตนิรันดร์”

คงไม่มีใครอธิษฐานอย่างนี้ แล้วก็ไม่ต้องทำอย่างนั้นด้วย แล้วทุกคนอธิษฐานว่าอย่างไร?

“พระเจ้าขอทรงอวยพรการงานที่ลูกกระทำ ให้มันเจริญรุ่งเรือง มั่งคั่ง ขออวยพรรายได้ ให้มีมากขึ้น”

อันนี้มันธรรมดา   แล้วพระเจ้าโกรธหรือ?   พอใจมากเลย   ลูกเรามีสติสตังค์ดีอยู่    ดีใจมากเลย ที่ลูกเราอธิษฐานอย่างนี้ แต่พระองค์ทรงทราบดีว่ามันดีสำหรับเราหรือไม่? อย่างนี้อย่างนั้น เพราะฉะนั้นผู้ที่จะตอบคำอธิษฐานของเรา คือพระเจ้า … พระเจ้าตอบคำอธิษฐานเรา  ก็แล้วแต่น้ำพระทัยพระองค์ พระองค์จะตอบอย่างไรก็ตาม ก็อธิษฐานได้  แต่สุดแล้วแต่พระองค์ แล้วแต่น้ำพระทัย พระองค์จะให้ลูกรวย ก็รวย ก็ขอบคุณพระเจ้า ถ้าตอบคำอธิษฐานเป็นอย่างอื่น  ก็ขอบคุณพระเจ้า ก็โอเค ไม่ใช่เราไม่อยากได้ อยากได้อยู่ อยากได้สุขภาพแข็งแรงไหม? แน่นอน ทุกคนก็อยากได้สุขภาพแข็งแรงไปจนถึงวันสุดท้าย ทิ้งตุ่มนี้ ยังสุขภาพแข็งแรงอยู่ แน่นอน แต่ก็ดูแลให้ดีที่สุด ในร่างกายนี้ แล้วแต่พระเจ้าแล้ว เพราะว่ามันเหลือกำลังแล้ว ได้แค่ไหน ก็โอเค นี่เขาเรียกว่าพอใจในทุกสภาวการณ์ ทุกสถานการณ์ที่เผชิญได้ทุกอย่าง มันเป็นอย่างนี้

ความหวังของเราอยู่ที่โลกฝ่ายวิญญาณ อันนี้ 100% เอาไปเต็มๆ เลย ก็คือความหวังในชีวิตนิรันดร์ ที่มีอยู่แล้ว และชีวิตนิรันดร์หลังความตาย นี่คือความหวังนิรันดร์ ที่เข้มแข็ง บนรากฐานของพระเยซูคริสต์อันแท้จริง จะจบลงที่ 2 โครินธ์ 4:16-18 ว่าความหวังนิรันดร์ ที่เข้มแข็งนั้น อยู่บนรากฐานของอะไร? อยู่ในข้อพระคัมภีร์นี้แหละ …

2 โครินธ์ 4:16-18 “16 ฉะนั้น เราไม่ท้อถอย (ผิดหวัง เสียใจ กลัว) แม้ว่ากายภายนอกของเรา กำลังทรุดโทรมไป แต่ตัวตนภายใน (วิญญาณ และจิตใจที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว ในพระคริสต์) ของเรากำลังได้รับการเลี้ยงดูเสริมสร้างขึ้นใหม่ ให้เจริญเติบโตขึ้นทุกวัน 17 เพราะความทุกข์ยากลำบาก ที่เราได้รับอยู่ในขณะนี้นั้น เป็นเพียงสิ่งชั่วคราว และเป็นเพียงสิ่งเล็กน้อย ที่กำลังเสริมสร้าง หล่อหลอม และจัดเตรียมเราเข้าไปสู่สง่าราศี พระสิริอันยิ่งใหญ่สมบูรณ์นิรันดร์ ที่ไม่มีสิ่งใดสามารถเปรียบได้เลย 18 ดังนั้น เราจึงไม่จับตามองดู สิ่งที่มองเห็นอยู่ แต่จับตามองดู สิ่งที่มองไม่เห็น เพราะสิ่งที่มองเห็นอยู่นั้น เป็นเพียงชั่วคราว เดี๋ยวมันก็ผ่านไป ไม่ยั่งยืน (เหมือนเงา) แต่สิ่งที่มองไม่เห็นนั้นเป็นถาวรนิรันดร์”

 

อวยพรตัวเองว่า “เอเมน” ถ้าใครทำได้ตามนี้ พรมหาศาลอยู่กับชีวิตของเขาอยู่บนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเผชิญความทุกข์เท่าไร? พระคริสต์สถิตอยู่กับเรา พระองค์ทรงรับรู้ด้วยความรัก ความห่วงใย ในการเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากของเรานั่นแหละ เพราะฉะนั้น จงมีกำลังขึ้นในองค์พระผู้เป็นเจ้า มีกำลังขึ้นในองค์พระเยซูคริสต์ ผู้สถิตอยู่กับเรา  แล้วก็เดินต่อไปกับพระองค์ด้วยความเชื่อ ความหวัง ความรักในพระเยซูคริสต์ เรียกว่าความหวังแห่งพระสิริของพระองค์นั่นเอง  มีสติในการดำเนินชีวิตในแต่ละวัน ให้สมกับเป็็็ปนลูกของพระเจ้า ที่มี DNA ทางฝ่ายวิญญาณ อยู่ในตุ่มเก่าๆ นี้ เหมือนพระเจ้าไม่มีผิด เป็นประชากรของพระเจ้า  และเป็นพลเมืองของสวรรค์ กำลังเดินทางกลับบ้าน เดี๋ยวก็ถึงบ้านแล้ว เราจึงสามารถขอบคุณพระเจ้าได้ในทุกกรณี ถ้าเป็นอย่างนั้น และทุกสถานการณ์ที่เผชิญอยู่ และสามารถมีกำลังจากภายใน คือพระเยซูคริสต์ ที่สถิตอยู่ข้างในเรา ในการที่จะทำให้เราสามารถพึงพอใจในทุกสภาวการณ์ ทุกสถานการณ์ที่เราเผชิญอยู่ได้ ด้วยความหวังที่เต็มไปด้วยความปิติยินดีในความรอดนิรันดร์ที่ได้รับเรียบร้อยแล้ว และจะได้รับอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ในไม่ช้านี้ เมื่อวันหนึ่งที่ตุ่มนี้ หมดภารกิจของมัน เราก็ได้รับชัยชนะ อย่างครบถ้วนบริบูรณ์  พระเจ้าอวยพรครับ

 

***********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

ฟิลิปปี 4:11-13 “11 ข้าพเจ้า​ไม่ได้พูด​จากความขัดสน​สิ่งใด เพราะ​ข้าพเจ้า​ได้​เรียนรู้​ที่​จะ​พึงพอ​ใจ​ใน​สิ่ง​ที่​มี​อยู่​ที่เป็นอยู่ใน​ทุก​สถานการณ์  12 ข้าพเจ้า​เรียนรู้จัก​ทั้งการเป็นอยู่อย่างถ่อมตน ในยามทุกข์ยากลำบากขาดแคลน และ​ความ​เป็น​อยู่​อย่าง​มั่งคั่งอุดมสมบูรณ์ ข้าพเจ้า​ได้​เรียนรู้​ถึง​เคล็ดลับ​ที่​จะ​พึงพอ​ใจ​ใน​ทุก​สภาพ ไม่​ว่า​จะ​อิ่ม​หรือ​อด ไม่​ว่า​จะ​มี​เหลือ​ล้น​หรือ​ขาด​แคลน 13 ข้าพเจ้า​เผชิญทุก​สิ่ง​ทุกสถานการณ์ได้​ผ่านทางพระคริสต์ผู้​เสริม​กำลังอยู่ภายใน​​ข้าพเจ้า”

เรามาร้องเพลงด้วยกันนะครับ  เพลง “ในโบสถ์เล็กๆ ที่ฉันเข้าไปอธิษฐาน” …

  1. ในโบสถ์เล็กๆ ที่ฉันเข้าไปอธิษฐาน  น้ำตาไหลพราก ด้วยความยินดี

ฉันได้เรียนรู้ความพึงพอใจดี                แค่มีพระเจ้า ฉันสุขจริงๆ

  1. ในโบสถ์เล็กๆ ที่เพียงแค่ธรรมดา ผู้คนเข้ามา ใจถ่อมวิงวอน

ฉันขอพระพรให้ความเชื่อเพิ่มพูน       ดำเนินชีวิต ในแต่ละวัน

** เสาะหา ฉันหาทาง แต่ฉันไม่เคยพบ     ไม่มีทางใดในโลกที่หมดทุกข์ **

  1. เดี๋ยวนี้ ฉันมีความสุขแท้จริง            ทุกคนพักพิงในองค์พระคริสต์

เป็นพี่น้อง เพื่อนในการทรงส-ถิต         ร่วมสรรเสริญพระนามพระองค์

** เสาะหา ฉันหาทาง แต่ฉันไม่เคยพบ    ไม่มีทางใดในโลกที่หมดทุกข์ **

  1. ในโบสถ์เล็กๆ ให้คุณเข้าไปอธิษฐาน        ด้วยจิตวิญญาณ ละด้วยความจริง

และภาระของคุณจะเบาลง                       คุณจะพบทางสว่างแน่นอน

 

พระเจ้าอวยพรครับ