วารสาร Holy News ฉบับที่ 1380

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  28  สิงหาคม  2022

เรื่อง “คำประกาศของพระเยซู ที่มักมีการเข้าใจผิด” ตอน 3

“คำเทศนาบนภูเขา” EP.2

“พระเยซูถูกกล่าวหาว่ามาล้มล้างกฎบัญญัติ”

โดย พาสเตอร์ นคร  เวชสุภาพร

 

เรายังอยู่ในซีรี่ย์การบรรยายชุด “คำประกาศของพระเยซู ที่มักมีการเข้าใจผิด” วันนี้เป็นตอนที่ 3 ซึ่งเป็นเรื่องราวต่อจากครั้งที่แล้วที่พูดถึง “คำเทศนาบนภูเขาของพระเยซูคริสต์” นั่นเอง ครั้งที่แล้ว EP.1 ชื่อตอนว่า “คนป่วยต้องการหมอ คนบาปต้องการพระเยซู”

วันนี้เป็นคำเทศนาบนภูเขา EP.2 ผมให้ชื่อตอนว่า “พระเยซูถูกกล่าวหาว่ามาล้มล้างกฎบัญญัติ” ต้องค่อนข้างที่จะละเอียดมาก สำหรับเรื่องนี้  เพราะเรื่องนี้มีคนเข้าใจผิดมาก  และอย่างที่ผมบอกตั้งแต่แรก บอกอยู่บ่อยๆ ว่าเรื่องข่าวประเสริฐของพระเจ้า เป็นเรื่องของโลกวิญญาณทั้งสิ้นเลย ทั้งหมดเลย  มันก็ยากนะ ที่จะเข้าใจ  และมันจะต้องใช้เวลาละเอียดอ่อน ค่อยๆ ซึมซับความจริงนี้ ค่อยๆ ทีละนิด ทีละหน่อย  แล้วให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่ในเราช่วยย่อยความรู้อะไรต่างๆ เหล่านี้ค่อยๆ เข้าไป มันต้องใช้เวลา ใช้ความละเอียด  ผมก็จะพยายามทำให้ละเอียดที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

บางทีกลับไปนั่งฟังคำบรรยายของตนเอง ตรงนี้ก็ยังไม่ได้พูด ตรงนั้น ก็ยังไม่ได้อธิบาย เขาจะเข้าใจไหม?  ก็คิดอย่างนี้อยู่เรื่อยๆ  ก็อธิษฐานต่อพระเจ้าอยู่เรื่อยๆ ว่า …

“ขอพระองค์ทรงเมตตาช่วยลูกด้วยเถิด ให้ลูกสามารถพูดในสิ่งที่พระองค์ต้องการพูดได้หมดครบถ้วนบริบูรณ์ในคำบรรยายทุกๆ ครั้ง”

มันยากมาก ที่ภายในหนึ่งชั่วโมง จะพูดทุกอย่างให้มันเป็น ให้ทุกคนเข้าใจ

ก่อนอื่นขอถือโอกาสมาปูพื้น ปูอยู่เรื่อยๆ เพราะมันเรื่องวิญญาณ ปูพื้นเบื้องหลังของหนังสือที่บันทึกคำเทศนาบนภูเขา  หรือการประกาศข่าวดีของพระเจ้า ของพระเยซูคริสต์ เรื่องสวรรค์มาตั้งอยู่ ซึ่งเป็นหน้าที่ของพระเยซูคริสต์ ที่ดำเนินอยู่ในโลกใบนี้  ประกาศเรื่องนี้ 3 ปีเท่านั้น ซึ่งบันทึกอยู่ในหนังสือพระคัมภีร์ ใช้ชื่อว่าพระกิตติคุณ 4 เล่ม มีมัทธิว มาระโก ยอห์น ลูกา เป็นบันทึกประวัติศาสตร์ว่าพระเยซูกล่าวอะไรบ้าง? ไม่ได้เป็นหนังสือมาสอนว่ามันหมายความว่าอย่างไร? พระเยซูประกาศ พูด หรือสอน คำเทศนาบนภูเขา เป็นการประกาศทางโลกฝ่ายวิญญาณว่าสวรรค์กำลังมาตั้งอยู่ และจะเข้าสวรรค์ได้อย่างไร?

เป็นบันทึกประวัติศาสตร์ ก่อนที่จะไปศึกษาเรื่องอะไรต่างๆ ต้องรู้ว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณที่พระเยซูกำลังพูดถึง จะตีความอะไรก็ต้องดูว่าสิ่งที่พูด มันเกี่ยวอะไรกับด้านวิญญาณบ้าง?

พระองค์พูดกับใคร? ครั้งที่แล้วได้ยืนยันแล้ว พูดกับชาวยิวเท่านั้น ชาวยิว ซึ่งพระเจ้าได้เลือกสรรไว้ก่อนคนต่างชาติ … คนต่างชาติ คือใครก็ตามที่ไม่ใช่ชนชาติยิว แล้วจากนั้น ก็จะไปหาคนต่างชาติ ที่ไม่ใช่ยิว ทุกชาติ ทุกภาษา ซึ่งเป็นแผนการของพระเจ้าอันล้ำลึก ก่อนสร้างโลก ก่อนมนุษย์ตกลงไปในความบาป พระคัมภีร์บันทึกอย่างนั้นว่าพระเจ้าวางแผนการนี้ อย่างล้ำลึกเอาไว้เรียบร้อยแล้ว แผนการนี้ถูกซ่อนอยู่ในพระองค์ ไม่มีใครรู้เลย คือแผนการที่พระองค์ได้เลือกคนยิวก่อน หรือคนอิสราเอลก่อน และเลือกคนต่างชาติทีหลัง ให้มาได้รับความรอด เป็นหนึ่งเดียวกันในพระเยซูคริสต์ ตรงนี้ต้องสำคัญมากๆ เลย เกี่ยวกับโลกวิญญาณอีกแล้ว พระเจ้ามองภาพรวม พระเจ้ามองมาจากฟ้าสวรรค์ มองมาในโลกใบนี้ ไม่ได้มองปัจเจกบุคคลว่าคนนี้ บุคคลนั้น มองเป็นภาพรวมว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์ เป็นกลุ่มเป็นก้อน และพระองค์ก็ทรงแบ่งเลยว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์มี 1 เผ่าพันธุ์เท่านั้นเอง

กลุ่มแรกที่จะได้รับข่าวประเสริฐก่อน ก็คืออิสราเอล หรือว่ายิว

กลุ่มที่สองที่จะตามมา ที่จะรับรู้ข่าวประเสริฐว่าสวรรค์มาตั้งอยู่แล้ว ก็คือคนที่ไม่ใช่ยิว

พระองค์มองจากสวรรค์มนุษย์มีอยู่พันธุ์เดียว แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่มที่เรียกว่าชาวยิวกับกลุ่มที่ไม่ใช่ยิว จบแล้ว แค่นี้ มันจะเห็นภาพชัด ในโลกวิญญาณ เป็นอย่างนั้น

สิ่งที่เรากำลังเรียนรู้กัน ในคำเทศนาบนภูเขา คือพระเยซูคริสต์กำลังประกาศให้กับชาวยิว ที่พระเจ้าบอกว่าเลือกทั้งสองกลุ่มเลย แต่เลือกสรรชาวยิวก่อนว่าจะเข้าสวรรค์ได้อย่างไร?

สรุปพื้นๆ ก็คือบอกชาวยิวว่าต้องบังเกิดใหม่เท่านั้น ถึงจะได้เป็นลูกพระเจ้าที่เข้ามาอยู่ในสวรรค์ได้ นี่คือหลักพื้นฐาน ที่เราต้องรู้ว่าเบื้องหลังเป็นอย่างนี้ และเป็นชาวยิว  ที่ยังไม่ได้เป็นคริสเตียน ยังไม่ได้เกิดใหม่ คือชาวยิวที่ยังอยู่บนพื้นฐาน ประเพณี วัฒนธรรม ความเชื่อในกฎบัญญัติทางศาสนาของยิวอยู่เลย ท่านจะได้เห็นภาพว่าเวลาพระองค์พูดจะอยู่บนพื้นฐาน ประเพณี ศาสนา ความเชื่อของชาวยิวทั้งหมด ท่านจะได้เห็นภาพ

เพราะฉะนั้น เราเป็นคริสเตียน เราไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เลย เราฟังดู อาจจะไม่รู้เรื่องด้วย เพราะเป็นประเพณี เป็นศาสนายิว ฉะนั้น เมื่อเราจะศึกษาพระคัมภีร์ตอนนี้ เราต้องรู้เบื้องหลังนี้ให้ได้ ถ้าเราไม่รู้เบื้องหลังนี้ เราก็จะสับสน ถ้าเราเปิดใจต้อนรับข่าวดี ต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว เราเป็น คริสเตียนแล้วตอนนี้ เราบังเกิดใหม่แล้ว อยู่ในสวรรค์แล้ว ข้อความที่พระเยซูประกาศสอนในหนังสือนี้ก็เป็นเพียงแค่ยืนยันว่าเราได้เข้าไปอยู่ในสวรรค์แล้วจริงๆ นั่นเอง

เพราะฉะนั้น สิ่งที่พระเยซูกำลังประกาศสอน เรื่องเกี่ยวกับสวรรค์นั้น อย่าเข้าใจผิดว่าพระองค์กำลังพูดกับเรา ซึ่งเป็นคริสเตียนแล้ว อยู่ในสวรรค์แล้ว ก่อนที่จะศึกษาเรื่องพระกิตติคุณทั้ง 4 เล่มนี้ อย่าเข้าใจผิดว่าพระเยซูกำลังสอนให้เราทำตามถ้อยคำของพระองค์นี้ นึกภาพออกนะว่ามีผู้เข้าใจผิด ว่าพระเยซูสอนให้คริสเตียนทำตามนี้ ไม่ใช่ เพราะถ้าเราเชื่ออย่างนั้น เราจะสับสน หลงทางจากข่าวประเสริฐ ที่เราได้รับผลเรียบร้อยไปแล้วจากการรับเชื่อ ในพระเยซูคริสต์ เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด บังเกิดใหม่แล้วอยู่ในสวรรค์แล้ว  ตามพระคัมภีร์ใหม่ที่ได้อธิบายให้เสร็จเรียบร้อยแล้ว  เราจะสับสน (งงเต้กเลย)

ส่วนเรื่องที่ว่าเมื่อมาเป็นคริสเตียนแล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ได้อยู่ในสวรรค์แล้ว เราสมควรที่จะปฏิบัติตัวเองอย่างไรให้เหมาะสมนั้น พระเยซูจะมาสอนในหนังสือพันธสัญญาใหม่ ก็คือหลังจากที่พระเยซูตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นจากความตาย นั่นแหละ คือพันธสัญญาใหม่ ตอนที่พระเยซูได้เข้ามาสถิตอยู่กับผู้เชื่อแล้ว คือตอนเริ่มต้นพันธสัญญาใหม่

พันธสัญญาใหม่ สำหรับคริสเตียน  ไม่ได้เป็นพันธสัญญาที่เริ่มต้นตั้งแต่พระเยซูเกิด แต่ต้องเป็นพันธสัญญาใหม่หลังจากที่พระเยซูตาย  ที่ไม้กางเขน ถูกฝังไว้ในอุโมงค์และเป็นขึ้นจากความตาย ในวันที่ 3 ซึ่งบันทึกไว้ในหนังสือ ตั้งแต่ต่อจากพระกิตติคุณ 4 เล่ม มัทธิว  มาระโก  ยอห์น  ลูกา   ตะกี้นี้อธิบายไปแล้ว เป็นประวัติ พระเยซูมาทำอะไร? แต่พระคัมภีร์ใหม่จริงๆ ต้องเริ่มต้นตรงกิจการว่าเมื่อพระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย แล้วเกิดอะไรขึ้น คริสเตียนเริ่มต้น ดำเนินชีวิตตามพระคัมภีร์ใหม่ นี่เผ่าพันธุ์มนุษย์ ได้บังเกิดใหม่ เห็นไหม? มองภาพรวม มาเป็นกลุ่มก้อน ชัดเจน

พระคัมภีร์ใหม่ คือตอนที่พระเยซูสอน โดยเข้ามาสถิตอยู่กับผู้เชื่อ พระกิตติคุณสมบูรณ์ พระองค์ทรงสอน ประกาศตอนที่พระองค์ทรงเดินอยู่บนโลกใบนี้ใช่ไหม? แต่พระคัมภีร์ใหม่ พระเยซูได้เข้ามาสถิตอยู่กับผู้เชื่อแล้ว พระองค์ก็จะสอนผ่านทางพระวิญญาณ ที่สถิตอยู่ในมนุษย์ ก็คือผู้เชื่อ ผู้ที่พระองค์ทรงแต่งตั้งไว้ ไม่ว่าจะเป็นอัครทูต เป็นศิษยาภิบาล เป็นอาจารย์ เป็นผู้สอน พระองค์ก็จะสอนเขาผ่านทางผู้คนเหล่านี้

ยกตัวอย่างเช่น พระเยซูใช้ผ่านทางเปาโลไปประกาศให้คนที่เป็นคนต่างชาติ  ก็คือกลุ่มที่ 2 ที่บอกไว้ ตามน้ำพระทัยพระเจ้า จะได้เห็นภาพรวม เห็นเป็นก้อนๆ มันจะชัด

และโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่ในเราทั้งหลาย ก็จะทำงานร่วมกันกับคำสอนของอัครทูต หรือบรรดาผู้เชื่อที่พระองค์ทรงแต่งตั้งไว้ อาจารย์ ศิษยาภิบาลเหล่านั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่ในผู้เชื่อทั้งหลาย ก็จะยืนยันว่าใช่ จะสอนเราว่าเราผู้เชื่อ เป็นใครในพระคริสต์? เราได้บังเกิดใหม่ในพระคริสต์ เราสมควรประพฤติตนอย่างไร? ให้สมกับที่เป็นลูกของพระเจ้า เป็นความสว่าง เขาประพฤติตัวกันอย่างไร? ไปอ่านดูได้ในพระคัมภีร์ใหม่ เขาประพฤติตัวเหมือนกันหมด

ในพระคัมภีร์ใหม่บอกว่าให้วางใจในพระเจ้า วางใจในพระเยซู เราจะได้บังเกิดใหม่  พอบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า เป็นลูกแล้วเป็นเลย แล้วก็สมควรประพฤติตัวอย่างไร?

นี่คือบทสรุป จากสิ่งที่ได้เรียนรู้ จากตอนที่แล้ว ผมใช้ชื่อว่า “คนป่วยต้องการหมอ คนบาปต้องการพระเยซู” ซึ่งเป็นคำพูดของพระเยซู ในหนังสือมัทธิว 5:1-16

เห็นไหม? ท่านจะเห็นภาพชัดเจนในเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ แล้วจะทำให้ท่านสามารถที่จะติดตาม ศึกษาเรื่องนี้ต่อไป อย่างเข้าใจ ง่ายขึ้น

ในครั้งที่แล้ว บทที่ 5 ข้อ 1-16 พระเยซูกำลังพูดกับคนที่มีท่าทีในใจที่ถ่อมใจ ยอมรับว่าตนเองไม่สามารถทำตามกฎระเบียบ บัญญัติ ศีลธรรมของชาวยิวได้ครบถ้วนบริบูรณ์ ต้องมีผู้มาช่วยเขา รอพระมาซีฮาห์มาช่วย คนเหล่านี้มีท่าทีที่พร้อม ที่เข้าสู่สวรรค์ในอีก 3 ปีข้างหน้า  ที่พระองค์จะทรงตายที่ไม้กางเขน แล้วก็เป็นขึ้นจากความตาย เริ่มต้นพันธสัญญาใหม่ คนเหล่านี้จะได้เข้าสวรรค์ หมายถึงอย่างนี้

วันนี้เราจะมาดูกันต่อว่าแล้วสำหรับคนที่มีจิตใจแข็งกระด้าง เย่อหยิ่ง คิดว่าตัวเองไม่ป่วย สามารถรักษาบัญญัติได้ครบถ้วนบริบูรณ์ แล้วยังภูมิใจในตัวเองว่าตัวเองทำได้มากกว่าคนอื่น จึงสมควรได้ไปสวรรค์ เป็นใคร เป็นคนที่ยังไม่เชื่อ และเป็นกลุ่มแรก ที่เรียกว่าพวกชาวยิว ไม่ได้เกี่ยวกับคนต่างชาติ ให้รู้ในบริบทที่เรากำลังเรียนนี้ แล้วค่อยปรับเอามาใช้กับเรา ถ้าเผื่อมันสามารถตรงกันได้ ก็ว่ากันไป พระเยซูกำลังพูดกับคนยิวที่มีพื้นฐาน ศาสนายิว ที่ได้รักษาบัญญัติมาตั้งแต่บรรพบุรุษ คนเหล่านี้ ก็คือพวกฟาริสี พวกธรรมาจารย์ พวกที่มีการศึกษาสูง ในเรื่องเกี่ยวกับศาสนายิว ซึ่งเย่อหยิ่งจองหองว่า …

“ฉันรักษาบทบัญญัติของโมเสส”

เห็นไหม? ถ้าคนต่างชาติมาฟัง เขาไม่รู้เรื่อง …

โมเสส คือใครก็ไม่รู้ อะไรอีกหลายคำพูดที่ในพระคัมภีร์บันทึกไว้ในหนังสือมัทธิวนี้  หรือหนังสือพระกิตติคุณนี้ จะเห็นชัดเลยว่าในนั้นเกือบทั้งหมด เราจะไม่รู้เรื่องเลย เพราะเขาพูดถึงกฎระเบียบของศาสนายิวทั้งสิ้น …

“บัญญัติฉันก็ไม่รู้ บัญญัติคืออะไร?”

แต่ชาวยิวเขารู้ทันที บัญญัติ ก็คือบัญญัติตั้งแต่สมัยโมเสส อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งตรงนี้พระเยซูถูกกล่าวหาว่ามาล้มล้างกฎบัญญัติ

หัวข้อที่ผมใช้ชื่อเรื่องวันนี้ ก็คือ “พระเยซูถูกกล่าวหาว่ามาล้มล้างกฎบัญญัติ” ท่านเห็นภาพไหมว่าถ้าท่านเป็นชาวต่างชาติ ที่ยังไม่เชื่อ ท่านรู้เรื่องไหม? ไม่รู้เรื่องพระเยซูถูกกล่าวหาว่ามาล้มล้าง บัญญัติคืออะไรก็ไม่รู้ ผมไม่ได้กล่าวหาพระเยซู ใครกล่าวหา พระเยซูเกิดเป็นคนยิว แล้วคนยิวด้วยกัน ที่เขามั่นใจ เขากล่าวหาคนก่อนหน้าพระเยซูแล้ว กล่าวหาคนที่มีใจถ่อม ที่เป็นยิว ที่ไม่แน่ใจตัวเอง ไม่ได้รักษาบทบัญญัติได้ดีเท่าเขา เขาก็ดูถูกคนเหล่านั้นว่าเป็นคนบาป สมควรตกนรก ไม่ให้ความสำคัญกับกฎระเบียบของโมเสสเลย ไม่เหมือนเขา เขารักษาบทบัญญัติ เขาไปเข้าวิหารเป็นประจำวันละ 3 ครั้ง อธิษฐาน เขาอดอาหารเป็นประจำ เขาถวายสิบลดเป็นประจำ เขาทำโน่นทำนี่ รักษาบทบัญญัติเยอะแยะไปหมด พวกยิวอีกประเภทหนึ่ง เช่นคนเก็บภาษีเอย โสเภณีเอย พวกนี้ตกนรก เพราะรักษาบัญญัติไม่ได้ เขาเอาตัวเขาเป็นตัวเปรียบเทียบ เขาทำได้ เขาชอบธรรม เขาสมควรไปสวรรค์ เขาจึงกล่าวหาคนอื่นก่อน พอพระเยซูมา ถูกกล่าวหาแน่นอน พระเยซูกำลังมาชี้ให้เขาเห็นสิ่งที่ตรงกันข้าม ซึ่งเรากำลังจะเรียนรู้กัน

พระเยซูมาแย้ง มาตอบว่าไม่ใช่อย่างนั้นหรอก อย่าเข้าใจผิด เขา คือชาวยิว ที่ยังไม่เชื่อ ต้องจำไว้เลย ไม่ใช่คริสเตียน ชาวยิวที่เย่อหยิ่ง กล่าวหาพระเยซูว่าเป็นผู้มาล้มล้างบัญญัติโมเสส ซึ่งเขายึดถือกันมาตั้งแต่โบราณ บัญญัตินี้ คือหนังสือพระคัมภีร์ ไม่มีเดิม สมัยก่อนยังไม่มีพระคัมภีร์ใหม่ คือพระคัมภีร์ของชาวยิวที่ถือไว้ 5 เล่มแรก ที่มีชื่อตามภาษาฮีบรูว่า “โทราห์” ก็คือหนังสือ 5 เล่ม ซึ่งรวมทั้งบทบัญญัติ 10 ประการบวกกับอีก 603 ข้อ อยู่ในนั้นเสร็จ เราลองอ่านดูในมัทธิว 5:17 ว่าพระองค์ถูกกล่าวหาว่าอย่างไร? …

มัทธิว 5:17 “อย่าคิดว่าเรามา เพื่อล้มล้างหนังสือบทบัญญัติ (พระคัมภีร์เดิม ห้าเล่มแรก) หรือคำเผยวจนะของผู้เผยพระวจนะ เรามิได้มาเพื่อล้มล้างสิ่งเหล่านั้น แต่มา เพื่อทำให้สำเร็จครบถ้วน  เป็นไปตามที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ (เกี่ยวกับเรา)”

 

“เป็นไปตามที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์เกี่ยวกับเรา” นั่นเอง พระคัมภีร์นี้ ก็คือ 5 เล่มแรก ที่พระเจ้าให้โมเสสเขียนว่ากำเนิดของโลกเป็นอย่างไร? ปฐมกาลลงมาจนกระทั่งถึงเลวีนิติ ก็คือบทบัญญัติต่างๆ สมัยโมเสส

“อย่าคิดว่าเรามา เพื่อล้มล้างหนังสือบทบัญญัติ” ก็คือพระคัมภีร์เดิม ก็คือของเขาไม่เดิม แต่เราเรียกว่าพระคัมภีร์เดิม เพราะว่าเราเรียนรู้ประวัติศาสตร์ เราอยู่ในพระคัมภีร์ใหม่แล้ว มีพันธสัญญา บทบัญญัติใหม่แล้ว เพราะฉะนั้น เลยมีเดิม มีใหม่ แต่ของเขาไม่มีใหม่ เขาก็คือเดิมอย่างเดียว ก็คือพระคัมภีร์นั่นแหละ 5 เล่มแรก พระองค์แย้งเขา บอกเขาว่าเราไม่ได้มาล้มล้างหรอก

ก่อนที่จะเรียนรู้ต่อไป ต้องเข้าใจอีกอย่างหนึ่ง พระเจ้าเป็นความรักใช่หรือไม่? พระเยซูเป็นความรักใช่ไหม? พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าขณะที่เราเป็นคนบาป เป็นศัตรูกับพระองค์ สกปรก พระเยซูคริสต์ทรงสำแดงความรัก พระเจ้าทรงสำแดงความรัก คือให้พระเยซูคริสต์ได้สิ้นพระชนม์เพื่อเรา เป็นการพิสูจน์ว่าพระองค์ทรงเป็นความรักไหม? เป็น เพราะฉะนั้น สิ่งที่พระองค์ทรงประกาศ สิ่งที่พระองค์ทรงสอนเหล่านี้ อยู่เบื้องหลังของท่าทีของความรัก ความห่วงใย  ดุจแก้วตาดวงใจ นึกถึงภาพ เพราะฉะนั้น อย่าไปคิดว่าพระองค์กำลังด่าพวกนี้ พระองค์กำลังโกรธแค้นพวกนี้ว่ามาหาว่าพระองค์เป็นคนล้มล้างบทบัญญัติ เปล่าเลย

ภาพจะเปลี่ยนไปแล้ว เราจะมองภาพออก เวลาเราอ่านพระคัมภีร์ เราจะเห็นว่าพระองค์รักนะ ห่วงใยมาก

แทนที่จะบอกว่า … “อย่าคิดว่าเรามาล้มล้างหนังสือบทบัญญัตินะ” (ทำเสียงเข้มๆ หน่อย)

แต่ให้นึกในใจว่าพระองค์กำลังมาบอกว่า … “อย่าคิดเลย อย่าเข้าใจผิดนะว่าฉันมาล้มล้างบทบัญญัติตามที่เธอคิด เธอเข้าใจผิดแล้ว” (พูดเสียงนุ่มๆ) … น้ำเสียงมันคนละอย่างกัน

จริงๆ แล้วพระเยซูกำลังนำเอาพระคุณพระเจ้ามา กฎแห่งพระคุณของพระเจ้า แล้วถูกกล่าวหาว่ามาล้มล้างบทบัญญัติ  เห็นภาพไหม?

พระเยซูตรัสว่าพระองค์มาทำให้บทบัญญัตินั้นสำเร็จ ฟังให้ดีๆ นะ พระองค์มาทำให้บทบัญญัตินั้นสำเร็จ คือเป็นผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถรักษาบทบัญญัติให้ครบถ้วนบริบูรณ์ให้สำเร็จได้ 100% มันหมายถึงอย่างนั้น

บัญญัติที่พระเจ้าให้ไว้กับมวลมนุษย์ คือบัญญัติที่ท่านต้องทำตามทั้งหมด ที่โมเสสเขียนเอาไว้เป็นตัวอย่าง 600 กว่าข้อ นั่นคือบทบัญญัติที่ท่านถือไว้ เป็นพันธสัญญากับพระเจ้า ไม่มีคนไหนทำได้เลยสักคนหนึ่ง ตั้งแต่วันที่เริ่มพันธสัญญาจนกระทั่งถึงวันที่พระเยซูกำลังพูดนี้ พระเยซูกำลังหมายถึงอย่างนั้น พระองค์ทรงเป็นมนุษย์ผู้เดียวที่สามารถปฏิบัติ 600 กว่าข้อและเลยกว่า 600 กว่าข้ออีก พระองค์จึงบริสุทธิ์  เป็นผู้ชอบธรรม เป็นมนุษย์คนเดียวที่บริสุทธิ์ชอบธรรม เพราะปฏิบัติได้หมดเลย เรียบร้อย ในพระคัมภีร์จึงเขียนไว้ว่าพระองค์มาเพื่อทำให้มันสำเร็จ ครบถ้วน ทำ 100% เลย

พระเยซูจึงเป็นมนุษย์ชาวยิว ที่เกิดในยิว ที่สามารถรักษาบทบัญญัติของบรรพบุรุษ สมัยโมเสสได้ครบถ้วนบริบูรณ์  พระองค์จึงสะอาด บริสุทธิ์ เพียงพอ ตามบทบัญญัติสมัยโมเสสว่าใครก็ตาม ที่รักษาบทบัญญัติเหล่านี้ได้ ครบถ้วนบริบูรณ์ ทุกจุด ทุกขีด เขาจะเป็นผู้บริสุทธิ์ สะอาด พร้อมที่จะเป็นเครื่องถวายบูชาแด่พระเจ้า เพื่อไถ่บาปให้กับมวลมนุษย์ทั้งปวง ไม่มีใครทำได้เลย พระองค์มาเพื่อทำให้สำเร็จในสิ่งที่บทบัญญัติวางไว้ บทบัญญัติวางไว้ เพื่อว่าใครก็ตามในหมู่มนุษย์ สามารถรักษาบทบัญญัติเหล่านี้ได้ครบถ้วนบริบูรณ์กับพระเจ้า แล้วเขาสามารถเป็นตัวแทนของมนุษย์ทั้งปวงไถ่บาปให้เพื่อนมนุษย์ในเผ่าพันธุ์มนุษย์เดียวกันได้ นึกภาพออกใช่ไหมครับ? ผมจึงต้องใช้เวลาช้าหน่อย ค่อยๆ อธิบาย

มีพระเยซูผู้เดียวสามารถที่จะไถ่มนุษย์ได้ พระองค์จึงจำเป็นต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ ในหนังสือกาลาเทีย 4:4 บอกว่าเมื่อถึงกำหนดเวลา พระเยซูมากำเนิดที่ในครรภ์ เกิดจากหญิงพรหมจารี เกิดเป็นเนื้อหนัง คือพระองค์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ วิญญาณเป็นพระเจ้า แต่ร่างกายเป็นมนุษย์ เกิดจากครรภ์ของหญิง

ในพระคัมภีร์กาลาเทีย บทที่ 4 ตอนนี้บอกว่าพระองค์เกิดเหมือนกับพี่น้อง ก็คือเหมือนกับมนุษย์คนอื่นๆ เขา เกิดใต้กฎบัญญัติ ก็คือเกิดในเนื้อหนังอย่างเรา ก็คือเกิดจากเนื้อหนัง ที่มาจากแมรี่ มารดา ในครรภ์ เห็นไหมครับ? พระองค์จึงเป็นมนุษย์จริงๆ  เหมือนกับพี่น้องที่เป็นมนุษย์ จำได้ไหม? เหมือนเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ พระองค์ก็เลยเป็นเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ ในเชื้อสายยิว แต่ขณะเดียวกันพระองค์เป็นวิญญาณ ที่มาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์  ไม่ได้มาจากเผ่าพันธุ์ของอาดัม พระองค์จึงเป็นพระเจ้าในร่างของมนุษย์

ร่างของมนุษย์ เพื่อจะสามารถมาไถ่บาป ให้กับมวลมนุษย์ เป็นตัวแทนให้กับมวลมนุษย์ได้ เพราะพระองค์บริสุทธิ์ สะอาดจากข้างใน จึงสามารถรักษาบทบัญญัตินี้ได้ทั้งหมด พระองค์กำลังมาอธิบายให้ฟังอย่างนั้น

พระองค์จึงเตือนพี่น้องเผ่าพันธุ์ของตน  ก็คือเผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งหลาย พระองค์ชอบพูดคำนี้เสมอเลย “บุตรมนุษย์ๆ” เขาเรียกพระองค์ว่า “อาจารย์ๆ” “บุตรมนุษย์ๆ” พระองค์ต้องการยืนยันให้เขารู้ว่าพระองค์เป็นมนุษย์เหมือนกับท่านทั้งหลายนั่นแหละ  และพระองค์จึงเตือนเผ่าพันธุ์มนุษย์ว่าท่านไม่สามารถที่จะรักษาบทบัญญัติได้ครบถ้วน 100% หรอก มีเราเท่านั้นที่ทำได้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ พระเจ้าทราบก่อนล่วงหน้าแล้วว่า …

“ท่านทำไม่ได้ เราทำได้ พระเจ้าจึงเตรียมทางออกให้กับท่าน คือส่งเรามา เมื่อถึงกำหนดเวลา มาเพื่อช่วยท่าน ส่งเรามา เพื่อเป็นตัวแทนของมนุษย์พันธุ์ใหม่”

ฟังให้ดีๆ นะ เพื่อจะได้เป็นตัวแทน เริ่มต้นมนุษย์พันธุ์ใหม่ เป็นสัญญาใหม่ที่จะเริ่มต้น ที่เรียกว่าพันธสัญญาใหม่ ในโลหิตของพระองค์ พระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขนนั้น ซึ่งพระเจ้าจะทำพันธสัญญาใหม่นี้กับมวลมนุษย์ นึกออกหรือยัง? ที่พูดนี้พูดกับชาวอิสราเอล แต่เล็งไปถึงหลังจากอิสราเอล ก็คือชาวต่างชาติด้วย พระองค์จะทำพันธสัญญาใหม่กับมวลมนุษยชาติต่อจากนี้ ก็คือต่อจากพระเยซูคริสต์ตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นจากความตาย ในวันที่ 3 ซึ่งพระองค์ก็จะทรงกระทำให้สำเร็จ เรียบร้อยแล้ว หลังจากที่พูดนี้ อีก 3 ปี ประมาณนั้น ก็คือเมื่อทำสำเร็จ มนุษย์ทุกคน ทั้งสองกลุ่มใหญ่ๆ ทั้งยิวและไม่ใช่ยิว สามารถเป็นผู้ชอบธรรม ก็คือเข้าสวรรค์ได้ โดยผ่านทางความเชื่อ  ต้อนรับสิทธิของเขาในพระเยซูคริสต์ ที่พระองค์ได้ทรงกระทำให้สำเร็จเรียบร้อยแล้ว บนไม้กางเขนนั้น พันธสัญญาใหม่ จึงเริ่มต้นตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ที่ไม้กางเขน คือการสิ้นพระชนม์  การฝังไว้ในอุโมงค์ และการเป็นขึ้นจากความตาย เริ่มเผ่าพันธุ์ใหม่

ผลของพันธสัญญาใหม่ คือมนุษย์คนใด ก็ตาม ไม่ว่าชาติใด ภาษาใด อยู่ในกลุ่มไหนก็ตาม จะกลุ่มยิวหรือไม่ใช่ยิวก็ตาม เมื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ต้อนรับสิทธิของเขา เชื่อแล้ว เขาก็จะได้รับบัพติศมาเข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์ ตัวเก่าของเขา วิญญาณเก่าของเขาที่เป็นบาปอยู่ ก็จะได้ตายพร้อมกับพระเยซูที่ไม้กางเขน ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ แล้วก็จะได้เป็นขึ้นจากความตายในวันที่สาม ร่วมกับพระเยซูคริสต์ในฝ่ายวิญญาณด้วย กลับกลายมาเป็นผู้ชอบธรรม สะอาดหมดจด ดีพร้อมจากวิญญาณข้างในของเขา เข้าสวรรค์ทันที ได้บังเกิดใหม่ทันที นี่พระเยซูกำลังอธิบายให้เขาฟังอย่างนั้น

นี่คือเบื้องหลังว่าพวกท่านทำไม่ได้หรอก มีเราที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้ คือสิ่งเหล่านี้ ที่ผมบอกว่าพระเยซูพูดกับชาวยิว ชาวยิวจะเข้าใจดี เพราะมันพื้นฐานศาสนาของยิว ความเชื่อของยิว มาตั้งแต่บรรพบุรุษ เขารอคอยพระมาซีฮาห์ พระเจ้าได้บอกเขาล่วงหน้า ถึงสิ่งเหล่านี้ ที่ตะกี้นี้ผมอธิบายให้ท่านฟังทั้งหมด ถ้าคนต่างชาติฟัง ก็ไม่รู้เรื่องหรอก แต่ชาวยิวจะเข้าใจดีว่าที่พระองค์พูดหมายถึงอะไร? อาจจะไม่เข้าใจละเอียด แต่รู้ว่าพระองค์กำลังเล็งถึงอะไร?

ชาวยิวก็รู้ ในอดีต พันธสัญญาเดิม มนุษย์ตายจากพระเจ้า อาดัมทำบาป เกิดผล คือความตายมาสู่มวลมนุษย์ มวลมนุษย์ ตอนนั้นยังเป็นกลุ่มก้อนเดียว ยังไม่ได้ถูกแยกออกเป็นอิสราเอล ยิว หรือคนต่างชาติ

ในพันธสัญญาเดิม เนื่องจากอาดัมทำบาป ไม่เชื่อฟังพระเจ้า เรียกว่าตายจากพระเจ้า หลุดจากพระสิริของพระเจ้า ตายจากความชอบธรรม คือการสามารถอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้ นี่ไม่สามารถอยู่ในสวรรค์ได้ กลายเป็นคนชั่ว คนบาป ตายจากความชอบธรรม มาอยู่ในบาป ท่านจะเห็นภาพ นี่ก็เกี่ยวกับโลกวิญญาณเหมือนกัน มนุษย์ โดยอาดัมเป็นศัตรูกับพระเจ้า กบฏกับพระเจ้า เกิดผล เป็นความตายจากพระเจ้า หลุดออกจากพระเจ้า ออกจากสวรรค์ มาอยู่ในความบาป อยู่ในที่ที่ไม่มีพระเจ้า อยู่ใต้กฎๆ หนึ่ง ที่เรียกว่ากฎของความบาปและความตาย หรือตามภาษาของคนต่างชาติ ภายหลัง เรียกว่ากฎแห่งกรรม คือทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ต้องรับในสิ่งที่ตัวเองทำ ซึ่งท่านก็รู้อยู่แล้วว่าไม่มีใครทำได้สักคน ไม่มีใครไม่ทำชั่วเลย ทำชั่วนิดหนึ่ง ก็เท่ากับทำแล้ว ซึ่งเดี๋ยวเราจะเรียนรู้ต่อไป พระเยซูอธิบายเรื่องนั้นอีก  ในโรม 10:4 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ …

โรม 10:4  “เพราะว่าสิ่งที่บทบัญญัติได้กำหนดไว้นั้น  พระคริสต์ได้ทรงกระทำให้สำเร็จแล้ว  เป็นเหตุให้มนุษย์ทั้งหลายที่เชื่อในพระองค์ ได้ถูกทำให้เป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า”

 

อย่าลืมนะครับถ้าเผื่อไม่เข้าใจตรงไหน? ฟังมากๆ ค่อยๆ ตามไปทีละนิดทีละหน่อย แล้วก็อธิษฐานกับพระเจ้า ขอพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้เปิดเผยความจริงเหล่านี้ ได้เปิดตาฝ่ายวิญญาณให้เราเข้าใจ  ท่านจะเข้าใจมากขึ้น ผมก็จะพยายามอธิบายให้ได้ละเอียดที่สุด เท่าที่ทำได้

“เพราะว่าสิ่งที่บทบัญญัติ ได้กำหนดไว้นั้น พระคริสต์ได้ทรงกระทำให้สำเร็จแล้ว” เห็นไหมครับ?

บทบัญญัติได้กำหนดเอาไว้นั้น พระคริสต์ได้กระทำให้สำเร็จแล้ว พันธสัญญาเดิม ก็คือบทบัญญัติเดิม ได้ถูกกำหนดไว้แล้ว มีผู้ใดทำตามนี้ได้ไหม? ถ้าทำตามได้ ถือว่าสะอาดบริสุทธิ์ เป็นผู้ชอบธรรม เข้าไปหาพระเจ้าได้ เมื่อเข้าไปหาพระเจ้าในสวรรค์ได้ แล้วเป็นมนุษย์ ก็สามารถถวายตัวเองไถ่มนุษย์ทุกคนออกมาได้ นี่คือบทบัญญัติเดิม ชาวยิวสมัยนั้น เขารู้ดี เขาเข้าใจดี เขาอ่านในโรม 10:4 ที่เปาโลมาสอนทีหลัง เปาโลกำลังอธิบายให้เขาฟังว่าสิ่งที่บทบัญญัติได้กำหนดเอาไว้นั้น พระคริสต์ได้ทรงกระทำให้สำเร็จแล้ว ก็คือ …

“มีใครสักคนหนึ่งไหม? ที่เป็นตัวแทนของเธอ ที่จะเข้ามาหาฉัน (พระเจ้า)”

ไม่มีเลย เข้ามาไม่ได้สักคนหนึ่งเลย

แต่พระเยซูบอก … “ข้าพระองค์อยู่ที่นี่ ข้าพระองค์มาแล้ว”

มาเพื่อสิ่งที่พระองค์ต้องการ คือเลือด คือโลหิตของผู้บริสุทธิ์  ก่อนหน้านี้ บัญญัตินี้ ก็บอกว่าขอเลือดบริสุทธิ์ แต่ไม่มีใครทำได้ เพราะฉะนั้น ใช้สัตว์แทนไปก่อน แต่ไถ่ไม่ได้ครบถ้วนบริบูรณ์นะ ต้องทำทุกปี เอาสัตว์หัวปีที่สะอาดที่สุด ที่ดีที่สุด ที่ยอดเยี่ยมที่สุดมาฆ่า แล้วเอาโลหิตมาให้พระเจ้า ถือว่าเป็นการชำระบาปชั่วคราว

นี่คือบทบัญญัติ รอให้วันหนึ่ง เมื่อถึงกำหนด ก็คือจะมีมนุษย์คนหนึ่งที่สามารถทำได้ ที่เข้ามาหาเราได้ รักษาบทบัญญัติเหล่านี้ ครบถ้วนบริบูรณ์ อย่าว่าแต่ 613 ข้อเลย มากกว่านั้นอีก เพราะวิญญาณของเขาบริสุทธิ์ สะอาด เป็นพระเจ้า แต่ร่างกายเป็นมนุษย์ เป็นตัวแทนของมนุษย์ เข้ามาหาพระเจ้า และก็มอบถวายตัวเอง เอาเลือดบริสุทธิ์ของพระองค์ไถ่บาป ในฮีบรูบอกว่าทำเพียงครั้งเดียวเป็นพอ ไถ่บาปมนุษย์ทั้งปวง ไม่ใช่ไถ่บาปอิสราเอลอย่างเดียว แต่ไถ่บาปให้มนุษย์ทั้งหมด

เมื่อพระเยซูมาทำให้สำเร็จแล้ว ก็หมายถึงพันธสัญญาเดิม กฎของความบาปและความตาย กฎแห่งการกระทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ตาต่อตา ฟันต่อฟัน ก็หมดสมัยไป พระคัมภีร์ใช้คำนี้ว่าล้าสมัยไป หมดไป เพราะมันมีอันใหม่มาดีกว่า มันหมดไปแล้ว เหมือนเรามีโทรศัพท์มือถือตอนนี้ แต่ก่อนนี้เราส่งข้อความกัน เราใช้โทรเลข นั่นเราก็กำลังสื่อสารกันนะ ทุกวันนี้เราเอามือถือมาส่งไลน์ กดเสร็จไปแล้ว ถามว่าโทรเลขยังอยู่ไหม? อยู่ แล้วมีคนใช้ไหม? ไม่มีคนใช้ เพราะมันหมดยุคไปแล้ว  เหมือนกัน มันหมดสมัยไปแล้ว มันเปลี่ยนจากยุคทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ต้องปฏิบัติตามกฎบัญญัติ อยู่ใต้กฎของความบาปและความตายนั้น เปลี่ยนมาเป็นยุคพระคัมภีร์ใหม่ เรียกว่ายุคพระคุณ ไปอ่านพระคัมภีร์ใหม่ หนังสือจดหมายฝากทั้งหมด อาจารย์เปาโล เปโตร ทั้งหมด เรียกตลอด พูดอยู่ซ้ำๆ ซากๆ อยู่ตลอดเวลา …

“พระคุณ”

“ขอพระคุณและสันติสุขดำรงอยู่กับท่าน”

อย่าลืมว่าพระคุณของพระเจ้าสอนท่าน ให้ท่านกระทำดี เห็นไหม? อะไรขึ้นมาก่อน พระคุณ ไม่ใช่ตาต่อตา ฟันต่อฟันแล้ว “พระคุณ” ก็คือได้มาฟรีๆ ไม่ต้องทำอะไรเลย พระองค์ประทานให้ โดยพระเจ้าเท่านั้น ตั้งแต่นี้ต่อไป แปลว่าตั้งแต่ที่พันธสัญญาใหม่ พันธสัญญาแห่งพระคุณที่พระเยซูคริสต์นำมา ทำสำเร็จแล้ว ที่ไม้กางเขน นั่นแหละ คือการตอกย้ำ พระคัมภีร์ใช้คำนี้ว่าพระองค์ทรงฉีกกรมธรรม์ … กรมธรรม์ คือพันธสัญญา

พันธสัญญาเดิมล้าสมัยแล้ว หมดแล้ว ไม่ใช้แล้ว มาใช้พันธสัญญาใหม่ แต่อนิจจา มนุษย์ถูกหลอก ถูกปิดบังตา ยังคงก้มหน้าก้มตาต๊อกๆ อยู่ในพันธสัญญาเดิม ยังคงก้มหน้าก้มตา ใช้โทรเลข ต๊อกๆ ไม่ได้ไปถึงสวรรค์เลย สวรรค์เขาใช้ไลน์แล้ว กดปุ๊บ ไปเลย นึกภาพออกไหม?

พระเยซูกำลังมาบอกให้พวกเขารู้ว่าถ้าเขาขืนอยู่ในกฎเดิมต่อไป เขาไปไม่รอดแน่ เพราะว่ากฎเดิมมันยกเลิกแล้ว การเอาเลือดสัตว์ไม่ได้ผลแล้ว เพราะพระเจ้าทรงเปลี่ยนแล้ว เปลี่ยนพันธสัญญาเป็นพันธสัญญาใหม่ พันธสัญญาเก่าจบแล้ว ใช้ไม่ได้ ใช้ไม่ดี เปลี่ยนใหม่แล้ว พระองค์ไม่ใช้แล้ว แล้วยังไปพยายามใช้อยู่ พระเจ้าจะรับได้อย่างไร? รับไม่ได้ เอาเลือดสัตว์ไปใช้ตอนนี้ไม่ได้แล้ว เพราะว่าพระเยซูคริสต์ได้สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เป็นขึ้นจากความตายเรียบร้อยแล้ว ต้องใช้บทบัญญัติใหม่นี้เท่านั้น พระองค์ไม่ได้มาล้มเลิก เห็นไหม?

เพราะฉะนั้น ถ้าเราสามารถเอาสิ่งนี้มาวิเคราะห์ตอนนี้ได้ ก็คือเพราะฉะนั้น มวลมนุษยชาติ หลังจากที่พระเยซูเป็นขึ้นจากความตายแล้ว ทั้งชาวยิวและไม่ใช่ยิว ก็มี 2 ทางให้เลือกแล้ว  มี 2 พันธสัญญาให้เลือก พันธสัญญาที่ล้าสมัยไปแล้วกับพันธสัญญาใหม่ที่ … ภาษากฎหมายเขาเรียกว่า Active กรมธรรม์ที่ Active กับกรมธรรม์ที่เขาเลิกไปแล้ว กรมธรรม์ที่หมดอายุไปแล้ว กับกรมธรรม์ที่เพิ่งทำใหม่ ยังทำงานอยู่ Active เรามีกรมธรรม์ใหม่แล้ว  และทางบริษัท เขาก็ใช้กรมธรรม์ใหม่นี้ เกิดอุบัติเหตุ เจ็บป่วยอะไรก็ไปเคลมตามที่บันทึกเอาไว้ในกรมธรรม์ อันนี้ที่ใช้อยู่ และเราเกิดเจ็บป่วย เราไปเอากรมธรรม์เดิมไปหาที่บริษัท เขาบอกนี่มันหมดอายุแล้ว อย่างนี้เป็นต้น เราจะใช้อันไหน?

มนุษย์มี 2 ทางให้เลือก คือจะอยู่ในกรมธรรม์เก่า ซึ่งหมดอายุไปแล้ว หรือจะย้ายมาใช้กรมธรรม์ใหม่ จะอยู่ในกฎบัญญัติเดิม กฎแห่งการกระทำตาต่อตา ฟันต่อฟัน ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว หรือจะย้ายมาอยู่ในกฎใหม่ กฎวิญญาณแห่งชีวิต เรียกว่ากฎแห่งพระคุณในพระเยซูคริสต์ จะเอาอะไรดี ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น

โรม 8:1-2 บอกว่า … “1 ดังนั้น ไม่มีการลงโทษใดๆ กับผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ 2 เพราะกฎวิญญาณแห่งชีวิตในองค์พระเยซูคริสต์ได้ปลดปล่อยให้เขาเป็นอิสรภาพ จากกฎของความบาปและความตาย”

 

ใครที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ ก็คือใครที่เปิดใจต้อนรับสิทธิอำนาจ ที่พระเยซูคริสต์ได้ทำให้ ไถ่บาปให้ที่ไม้กางเขนนั้น เขาก็จะย้ายจากกรมธรรม์เดิม จากทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ทำชั่วครั้งหนึ่ง ก็ได้ชั่วแน่นอน ลงนรกแน่นอน ไปอยู่ที่พินาศ ที่ไม่มีพระเจ้าแน่นอน หรือจะย้ายมาอยู่ในกฎใหม่  กรมธรรม์ใหม่ในพระเยซูคริสต์ เป็นกฎแห่งพระคุณ เป็นอิสระจากกฎของความบาปและความตาย ถามว่ากฎของความบาปและความตายยังอยู่หรือไม่? อยู่ แต่ใส่ลิ้นชักเอาไว้ อย่าไปยุ่งกับมัน แต่มันอยู่ และมันก็ Active ด้วย สำหรับคนที่ไม่ยอมย้ายไง คนที่ไม่ยอมย้ายก็ยังอยู่ที่เดิม ในโลกวิญญาณ มีอยู่ 2 กรมธรรม์ จะเอาอยู่ที่ไหน? ถ้าอยู่ที่เดิม ก็ต้องทำตามที่เดิม ก็คือต้องทำให้ได้ครบบริบูรณ์ 100% ในการรักษาบทบัญญัติ ที่พระเยซูรักษาได้ ต้องทำให้เหมือนพระเยซูเลย ทำผิดแค่นิดหนึ่งก็ไม่ได้ แล้วทำได้ไหม? ไม่ได้ อย่าฝืน พระเยซูกำลังพูดกับชาวยิวอย่างนี้แหละ

พระเยซูมาทำให้คำเผยพระวจนะสำเร็จด้วย ตะกี้นี้พระองค์ทำให้บทบัญญัติที่กำหนดไว้ สำหรับชาวอิสราเอล ถ้าใครทำได้หมดมาเลย มาเป็นตัวแทนมนุษยชาติ ไม่มีใครทำได้เลย ในโทราห์หรือบทบัญญัติ ในพระคัมภีร์ทั้ง 5 เล่ม ซึ่งชาวยิวต้องถือไว้และปฏิบัติตาม ไม่มีใครทำได้เลย รอกำหนดเวลาที่พระเยซูจะมา

พระเจ้าก็ทรงทราบ หลังจาก 5 เล่มนั้นแล้ว หลังจากโมเสสเขียนเรียบร้อยแล้ว พระองค์ก็มักพูดเสมอใช่ไหม? พระองค์ดูแลอิสราเอล แล้วบอกว่า …

“พวกเจ้ามักกบฏ เดี๋ยวก็ทำไม่ดีๆ”

ก็ทำดีได้อย่างไร? ในวิญญาณมันอยู่ในความตาย อยู่ในอาดัม จะทำดีได้อย่างไร? ต้องรอพระเยซูมา มนุษย์คนเดียว แต่พระเยซูยังไม่มา เห็นภาพหรือยัง? พระเจ้าจึงนำอิสราเอลด้วยอย่างนี้แหละ ด้วยรู้ว่าทำไม่ได้ เดี๋ยวก็ตก เดี๋ยวก็หล่น เดี๋ยวก็ล้ม ล้มสัญญาอยู่เรื่อย ละเมิดสัญญาอยู่เรื่อย  กบฏอยู่เรื่อย พระองค์ก็ปลอบใจ อยากจะบอกว่าปลอบใจ โดยผ่านทางผู้เผยพระวจนะว่าไม่เป็นไร? บางคนก็ไปคิดอีกแบบหนึ่ง แต่ผมคิดแบบนี้ อย่างที่บอก ผมคิดว่าพระเจ้าเป็นความรัก เพราะฉะนั้น พระเจ้าทำทุกสิ่งทุกอย่าง ด้วยผ่านทางความรักมนุษย์ดังแก้วตาดวงใจทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น ผมคิดว่าคำเผยพระวจนะเหล่านี้ พระองค์เผยด้วยความรัก ไม่ใช่เผยด้วยความโกรธ เกลียดชัง ดุด่ามนุษย์ โธ่! สงสารเขาจะตาย นี่กำลังเตรียมจะช่วยเขาให้รอด พระองค์รู้ว่าเขากบฏบ่อยๆ ก็เลยบอกว่า …

“ไม่เป็นไรหรอก รอให้วันนั้นมาถึง”

“วันไหน?”

“วันที่ครบกำหนดเวลา เราจะส่งผู้หนึ่งมาช่วยเจ้า เราจะส่งมา”

นี่คือคำเผยพระวจนะทั้งหมด ทั้งเล่ม พระคัมภีร์เดิม ซึ่งชาวยิวถืออยู่ ผู้เผยพระวจนะก็จะพูดสิ่งเหล่านี้  แค่นี้ ไม่ว่าจะเป็นเยเรมีย์ ไม่ว่าจะเป็นดาเนียล เป็นอิสยาห์ พูดถึงสิ่งเหล่านี้ทั้งสิ้น ทั้งในแง่ของอุปมาบ้าง ในมุมของโลกวิญญาณบ้าง เปรียบเทียบบ้าง ด้วยความห่วงใย และด้วยความรัก ผมยกตัวอย่างมาให้อันหนึ่ง จะเห็นชัด หนึ่งในคำเผยพระวจนะของผู้เผยพระวจนะเยเรมีย์

จำได้ไหม พระเยซูบอกว่า … “เรามาทำให้บทบัญญัตินั้นสำเร็จ และเรามาทำให้คำเผยพระวจนะเหล่านั้นได้สำเร็จเหมือนกัน”

ทำให้คำเผยพระวจนะ ก็คือคำเผยพระวจนะว่าพระองค์จะมา พระองค์มาแล้ว ก็คือทำให้คำเผยพระวจนะนั้นเป็นจริงนั่นเอง นี่คือหนึ่งในจำนวนคำเผยพระวจนะ จากผู้เผยพระวจนะเยเรมีย์ หนังสือเยเรมีย์ 31:31-34 …

เยเรมีย์ 31:31-34 “31 องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า “เวลานั้นจะมาถึง เมื่อเราจะทำพันธสัญญาใหม่กับพงศ์พันธุ์อิสราเอล และกับพงศ์พันธุ์ยูดาห์ 32 เป็นพันธสัญญา ซึ่งไม่เหมือนพันธสัญญาที่เราได้ทำไว้กับบรรพบุรุษของพวกเขา เมื่อเราจูงมือพวกเขา นำออกมาจากดินแดนอียิปต์ เพราะพวกเขาละเมิดพันธสัญญาที่ทำไว้กับเรา ทั้งๆ ที่เราเป็นเจ้านายของพวกเขา” องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น 33 องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า “นี่คือพันธสัญญาที่เราจะทำกับพงศ์พันธุ์อิสราเอล หลังจากสมัยนั้น คือเราจะใส่บทบัญญัติของเราในจิตใจของพวกเขา จารึกบนหัวใจของพวกเขา เราจะเป็นพระเจ้าของพวกเขา และพวกเขาจะเป็นประชากรของเรา 34 ผู้คนจะไม่สอนเพื่อนบ้าน หรือสอนพี่น้องของตนอีกต่อไปว่า ‘จงรู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้า’ เพราะพวกเขาทุกคนจะรู้จักเรา ตั้งแต่ผู้น้อยที่สุดไปจนถึงผู้ใหญ่ที่สุด” องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น “เพราะเราจะอภัยความชั่วร้ายของเขา และจะไม่จดจำบาปทั้งหลายของเขาอีกต่อไป”

 

“เฮ้ๆๆๆๆๆ”

พอเรารู้เบื้องหลังที่อธิบายให้ฟังเมื่อตะกี้ เราจะเห็นไหม?  ถ้าเผื่อชาวยิวถ่อมใจ แล้วฟังพระเยซูคริสต์พูด ทุกคนถ้าถ่อมใจนะ ขอบคุณพระเจ้าๆ จะเหมือนสิเมโอนเลย สิเมโอนที่อยู่ที่พระวิหาร ที่เมื่อเห็นพระเยซู ขอบคุณพระเจ้า รอมาตั้งนานแล้ว

องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า “เวลานั้นจะมาถึง” ที่เราจะทำพันธสัญญาใหม่ ท่านรู้แล้วตอนนี้ ท่านตอบได้แล้ว เวลาไหน? เวลาที่เราจะส่งพระบุตรของเราลงมาเกิดเป็นมนุษย์ ในหญิงพรหมจารี เขาจะเป็นมนุษย์บริสุทธิ์ เขาจะมาเริ่มต้นพันธสัญญาใหม่ เป็นพันธสัญญา ซึ่งไม่เหมือนพันธสัญญาที่เราได้ทำไว้ คือพันธสัญญาเดิมนั้นกับบรรพบุรุษของเขา เมื่อเราจูงมือเขา นำออกมาจากดินแดนอียิปต์ พวกเขาละเมิดพันธสัญญา ที่ทำกับเราเป็นประจำ มักกบฏ ทั้งๆ ที่เราเป็นเจ้านาย ตรงนี้ไม่ใช่เจ้านาย ความหมายของภาษาเดิมตรงนี้ ทั้งๆ ที่เราเป็นพระเจ้าของเขา ไม่ใช่เขาไม่รับพระองค์เป็นพระเจ้า แต่เขาทำไม่ได้ เพราะข้างในมันสกปรก วิญญาณเขาสกปรก เขาจึงพยายามรักษาบทบัญญัติ แต่ทำไม่ได้ นี่พระเจ้าเมตตารักมนุษย์ขนาดไหน? องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้

องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้ว่า “นี่คือพันธสัญญาที่เราจะทำกับพงศ์พันธุ์อิสราเอล สมัยนั้น ก็คือพันธสัญญาใหม่ คือเราจะใส่บทบัญญัติของเราในจิตใจของเขา จารึกบนหัวใจของเขา คือเราจะให้วิญญาณใหม่กับเขา วิญญาณแห่งความรัก ที่เป็นเหมือนเรา ก็คือวิญญาณที่บังเกิดใหม่ เหมือนพระเยซู เป็นวิญญาณแห่งความรัก และบทบัญญัติที่เราใส่ลงไปในความรักนั้น ที่จะเขียนในใจของเขา ไม่ใช่เขียน 10 ประการกับ 613 ข้อ แต่เป็นเพียงแค่ท่านทั้งหลายจงรักซึ่งกันและกัน เหมือนกับที่พระเจ้าทรงได้รักท่านแล้ว ทำได้ไหม? ทำได้ทุกคน ท่านทั้งหลายจงรักซึ่งกันและกัน เหมือนกับที่พระเจ้าได้ใส่ความรักลงไปในวิญญาณของท่านแล้ว ท่านเป็นความรักแล้ว จงรักกันและกัน สบายสิ

ท่านเป็นปลาแล้วไปว่ายน้ำ สบาย  เห็นภาพไหม? ในอดีตบอกว่าท่านเป็นปลาแล้ว แต่จงบินให้ได้ ตายเลย จงอยู่บนบกให้นานๆ ไม่ไหว แล้วประโยคสุดท้ายบอกว่า …

“เพราะเราจะอภัยในความบาปชั่วของเขา เราจะไม่จดจำบาปทั้งหลายของเขาอีกต่อไป เราลบทิ้งเลย”

ไม่จดจำ ก็แสดงว่าไม่จดจำ เราจะไม่จดจำบาปทั้งหลายของเขา บาปทั้งหลาย คือบาปทั้งหมด ไม่จดจำ ก็คือทำเมื่อไร เราก็ไม่จำ แล้วอย่างนี้เราต้องสารภาพบาปไหม? ก็พระองค์ไม่จำแล้ว อยากจะสารภาพ ก็สารภาพไป แต่ไม่ได้จำ ทำบาปปุ๊บ ลบ … ลบ เพราะพระโลหิตพระเยซูคริสต์ยังอยู่ที่หน้าบัลลังก์ของพระเจ้าในทุกวันนี้เลย เป็นพยานยืนยันว่านั่นแหละ เราจะไม่จำบาปของเจ้าอีกเลย นี่คือคำมั่นสัญญาที่พระเจ้าให้ไว้กับชาวยิว ซึ่งเล็งถึงมนุษยชาติทั้งปวง ก็คือชนต่างชาติจะมาทีหลังด้วย ด้วยความรักและห่วงใย  ต้องเสริมตรงนี้

ในพระคัมภีร์เดิม พระเจ้าได้ทรงให้ผู้เผยพระวจนะ เผยถึงสิ่งต่างๆ ที่พระองค์สัญญาไว้ว่าจะทำในอนาคต เพื่อมวลมนุษยชาติ ทั้ง 2 กลุ่ม ซึ่งในพระคัมภีร์เดิม ยังทำไม่สำเร็จ  เพราะพระเยซูยังไม่มา ก็คือสิ่งที่พระองค์จะทำ ก็คือการแก้ไขความชั่วช้า ความบาปของมวลมนุษย์ ที่วิญญาณของเขา ที่มันสกปรก ที่มันตายอยู่ มันไม่มีทางทำอะไรได้เลย พระเยซูบอกว่าต้นไม้มันเลวอย่างไร? ก็ยังเลวอยู่ดี พระองค์ทรงตรัสว่าทำต้นไม้ให้ดีสิ แล้วทุกอย่างมันจะดีเอง แล้วเราทำต้นไม้ให้ดีได้ไหม? ต้นไม้ ก็คือวิญญาณ วิญญาณไม่ดี ก็ไม่มีอะไรดีเลย แต่ถ้าวิญญาณดี ทุกอย่าง ผลออกมา ก็ดี แล้วเราจะมาทำให้วิญญาณเราดีได้ไหม? ไม่ได้ มันต้องตายแล้วเกิดใหม่ มันหมายความว่าอย่างนั้น

แล้วสิ่งที่พระองค์ทรงสัญญากับมวลมนุษย์ ที่ยังกระทำไม่สำเร็จในสมัยพระคัมภีร์เดิม ก็คือการแก้ไข การรักษาความบาปที่อยู่ในวิญญาณของมนุษย์ ให้หาย ซึ่งเป็นตัวตนที่แท้จริงของมนุษยชาติทั้งปวง มนุษย์เราเกิดมา ก็บาปแล้ว เพราะวิญญาณมันบาป วิญญาณตายอยู่ในความบาป รักษาด้วยวิธีอะไร? ตายแล้วเกิดใหม่ พระเยซูกำลังมาพูดอย่างนั้น ตอนที่พระองค์พูด พระองค์กำลังทำให้สำเร็จ ตอนเดิน พูดอยู่นั้น 3 ปีแล้ว ยังไม่สำเร็จ ตามพันธสัญญา แต่พระองค์กำลังทำอยู่ตอนนี้  ก็คือประกาศให้ พอพร้อมแล้ว 3 ปีแล้ว พระองค์ก็จะทำให้สำเร็จ ตามพันธสัญญานี้ ก็คือสำเร็จแล้ว ที่ไม้กางเขน ที่พระองค์บอก ที่พระองค์ประกาศ ตอนสิ้นพระชนม์ พระองค์บอกว่า “สำเร็จแล้ว” มันหมายถึงอย่างนี้ รอคอยมาตั้งนาน สำเร็จแล้ว พระเจ้าก็ยิ้ม แล้วพระเจ้าก็ออกจากวิหาร ม่านขาดออก 2 ท่อน

นี่คือคำแย้งคำอธิบาย ความจริงของข้อกล่าวหา ที่พระเยซูถูกกล่าวหา พระเยซูคริสต์แย้งว่าพระองค์ไม่ได้มาลบล้างบทบัญญัติ แต่มาเสริมให้มันครบถ้วนบริบูรณ์  ตามที่อธิบายมา เมื่อตะกี้นี้ คือมาทำให้เป้าหมายของบัญญัติที่ให้ไว้นั้น มันครบถ้วนบริบูรณ์ ตามที่ได้ระบุไว้  เป็นความต้องการของพระเจ้านั่นแหละ คือช่วยพวกท่านทั้งหลาย ให้รอด ก็คือมนุษย์ทุกคน ต้องทำให้ตามบทบัญญัติทั้งหมด ถึงจะรอด ซึ่งไม่มีใครทำได้ นี่คือหัวใจของบทบัญญัติ นี่คือหัวใจ จิตวิญญาณของบัญญัติโมเสส ที่อยู่ในพระคัมภีร์เดิม ที่ชาวยิวถืออยู่ แล้วมันเกี่ยวอะไรกันกับชาวต่างชาติ พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ว่าชาวต่างชาติ ไม่ได้ถือบทบัญญัติเหล่านี้ แต่บทบัญญัติเหล่านี้ ได้ถูกเขียนเอาไว้ไม่ใช่หิน แล้วก็ไม่ใช่หนังสัตว์ แต่ถูกบันทึกเอาไว้ ตามหนังสือโรม บอกว่าสำหรับท่านทั้งหลาย คือคนที่ยังไม่เชื่อพระเจ้านั้น นึกว่าไม่มีบทบัญญัติ หรือตอนที่อิสราเอลถือบทบัญญัติโมเสส เปล่าเลย ท่านทั้งหลายมีบทบัญญัติอยู่ในจิตใต้สำนึกของท่านแล้ว พระเจ้าเขียนไว้ในจิตใต้สำนึกท่านแล้ว อะไรดีอะไรชั่ว จิตใต้สำนึกท่านจะฟ้องท่าน สำหรับชาวอิสราเอลที่ถือบทบัญญัติโมเสส แล้วทำอะไรผิดกฎนั้น บทบัญญัติจะฟ้องท่าน บทบัญญัติบอกว่า “อย่าฆ่าคน” ถ้าฆ่าคน ก็จะถือว่าผิดบทบัญญัติ แต่ท่าน แค่โกรธคนในใจ ท่านก็รู้แล้วไม่ดี นั่นแหละ คือความชั่ว คือการทำผิดกฎบัญญัติ ไม่มีใครหนีออกจากนี้ไปได้พ้นหรอก ทุกคนจึงจำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือ จากพระเจ้าผ่านทางพระเยซูคริสต์

นี่คือหัวใจของจิตวิญญาณ ของเป้าหมาย ของบทบัญญัติของพระเจ้า ซึ่งกลุ่มแรกของอิสราเอล เขียนไว้ที่หิน และบันทึกไว้ที่หนังสัตว์ สำหรับคนไม่เชื่อพระเจ้า คนต่างชาติ เขาเขียนไว้ที่จิตใต้สำนึกของเขา นี่คือความลึกเข้าไปในวิญญาณ ที่พระเยซูกำลังจะชี้ให้เขาเห็น  และจะชี้ให้เขาเห็นไปตลอดในการประกาศ ในการสอนของพระองค์ ในหนังสือพระกิตติคุณที่บันทึกเอาไว้ในมัทธิว  มาระโก  ยอห์น  ลูกา โดยเฉพาะคำเทศนาบนภูเขา ที่เรากำลังมาเจาะลึกตอนนี้

เพราะฉะนั้น พระเยซูถูกกล่าวหา ถูกใส่ร้ายป้ายสีว่ามาล้มเลิกบทบัญญัติ กฎแห่งกรรม กฎศาสนา กฎแห่งบัญญัติ คือกฎแห่งการทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว แล้วเราลองคิดดู

คราวนี้ย้อนกลับมาปัจจุบัน เราซึ่งเป็นคริสเตียน เชื่อแล้ว ได้บังเกิดใหม่แล้ว พระเยซูสถิตอยู่ในเรา ถามคริสเตียนทั้งหลายว่าท่านเคยถูกกล่าวหาว่าล้มเลิก ไม่ให้ความสำคัญกับความประพฤติอันดี ตามกฎหมายศีลธรรม ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้แล้วหรือยัง? โดนหรือยัง? ถามคริสเตียนดู พระเยซูอยู่ในเราแล้วนะตอนนี้ ถ้าท่านบังเกิดใหม่ มีพระเยซูคริสต์สถิตอยู่ในท่าน อยู่ใต้บทบัญญัติของพระคุณ ใต้กฎแห่งพระคุณ เป็นอิสระจากกฎของความบาปและความตาย ถูกไหม? ท่านเคยถูกกล่าวหา  เหมือนที่พระเยซูถูกกล่าวหาว่ามาล้มเลิกบทบัญญัติ ล้มเลิกศีลธรรมอันดี ล้มเลิกกฎแห่งกรรมหรือไม่? เคยไหม?

เดี๋ยวยกตัวอย่างให้ดูก็ได้ เช่น เคยมีใครกล่าวหาท่านไหมว่า …

“เป็นคริสเตียนก็ดีนะ ทำบาปอะไรก็ได้ ตามสบาย ไม่ตกนรก พระเจ้าอภัยให้หมดเลย อภัยเสมอ ได้ไปสวรรค์แน่นอน”

เคยมีใครพูดอะไรกับท่านแบบนี้ไหม? ต้องเคยอยู่แล้วล่ะ หรือเขาอาจจะพูดไม่ครบ ใช่ไหม? แล้วผมถามว่าแล้วมันเป็นจริงตามนี้ไหม? ตามที่เขากล่าวหา …

“เป็นคริสเตียนดีนะ ทำบาปอะไรก็ได้ ตามสบาย ไม่ตกนรก พระเจ้าอภัยให้หมดเลย เรียบร้อยไปแล้ว บาปในอนาคต ก็อภัยให้เรียบร้อยแล้ว ได้ไปสวรรค์แน่นอน ตอนนี้ก็อยู่ในสวรรค์แล้ว”

ถูกหรือไม่ถูก? มันถูกนะ น่าติดตามนะ แล้วก็ถูกกล่าวหาว่า …

“พวกเธอคริสเตียนดี เอะอะอะไรก็อ้างพระคุณ รอดแล้วรอดเลย ความประพฤติบนโลกใบนี้ ไม่เกี่ยวกันกับผลของความรอดทางด้านวิญญาณเลย ไม่สำคัญอะไรเท่าไร?”

มีคนเข้าใจผิดกับเราอย่างนี้เหมือนกัน ทั้งๆ ที่มันมีส่วนถูกต้องตามพระคัมภีร์ ตามพันธสัญญาใหม่  เพราะว่าความคิด ความเข้าใจของมนุษย์ไม่สามารถเข้าใจความจริงของโลกฝ่ายวิญญาณได้ ทั้งๆ ที่เอเฟซัส 2:8-9 บอกว่า … “เพราะว่าท่านทั้งหลายได้รับความรอด โดยพระคุณ ผ่านความเชื่อ ความรอดนี้  ไม่ได้มาจากตัวท่านเอง  แต่เป็นของประทานจากพระเจ้า ไม่ใช่ความรอด โดยการประพฤติ เพื่อจะไม่มีใครอวดได้”

มันจริงตามนั้น  และคำกล่าวหาอันนี้ ไม่ใช่กล่าวหาพวกเราที่อยู่ในยุคปัจจุบันเท่านั้น ตอนที่พันธสัญญาเริ่มต้นใหม่ๆ เมื่อ 2,000 ปี เขาก็กล่าวหาคริสเตียนอย่างนี้เหมือนกัน เปาโลจึงแก้ต่างให้ เปาโลจึงพูดในหนังสือโรม บทที่ 6  พวกเขาก็จะพูดเหมือนเมื่อตะกี้นี้ …

“อย่างนี้ก็สบายสิ ทำบาปอย่างไรก็ได้ ทำบาปตามสบายใจเลยสิ”

เปาโลบอก “เห้ย! นายไม่เข้าใจ โลกวิญญาณ มันเป็นไปไม่ได้หรอก ที่คุณเกิดใหม่ แล้วคุณจะไปทำบาป สนุกสนาน เป็นไปไม่ได้หรอก เพราะว่าธรรมชาติที่คุณเกิดใหม่นั้น มันเปลี่ยนไปแล้ว คุณเป็นผู้ชอบธรรม เป็นผู้บริสุทธิ์แล้ว คุณทำบาปไม่เป็นแล้ว มันเป็นไปไม่ได้ คุณได้เกิดใหม่ คุณได้บัพติศมา ตายพร้อมพระเยซู และเป็นขึ้นจากความตายพร้อมพระเยซูด้วย วิญญาณใหม่แล้ว วิญญาณใหม่ของท่านสะอาดหมดจด เต็มไปด้วยความรัก ความบริสุทธิ์ ท่านไม่ชอบทำบาปแล้ว ท่านแพ้บาปด้วย ทำไม่ได้หรอก เหมือนปลาอยู่ในน้ำ ไม่มีปลาตัวไหนอยากจะอยู่บนบก เด้งดึ๊งๆ มันเป็นไปไม่ได้  ธรรมชาติท่านเปลี่ยนไปแล้ว” เห็นไหม? มันอันเดียวกันกับตอนที่พระเยซูประกาศบนภูเขานั้น เหมือนกันไม่มีผิด

สรุปวันนี้ ก็คือท่านจะเลือกอะไร? ท่านมีสิทธิ์เลือกแล้ว สิ่งที่พระเยซูพูดกับชาวยิว ก็เท่ากับเล็งถึงชาวต่างชาติทั้งหมด ในภายหลังด้วยเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้น นี่พูดถึงมนุษย์ทั้งหมดบนโลกใบนี้ เพราะพันธสัญญาใหม่ได้สถาปนามาแล้ว 2,000 ปี เพราะฉะนั้น ท่านเลือกเอา จะอยู่ในพันธสัญญาเดิม แล้วก็พึ่งพาการกระทำของตนเอง ต้องทำดีให้ครบถ้วนบริบูรณ์เหมือนที่พระเยซูคริสต์ได้ทำแล้ว  วิญญาณท่านต้องสะอาดหมดจด บริสุทธิ์ คิดสกปรกนิดหนึ่ง ก็ถือว่ามาจากวิญญาณของท่านแน่นอน ท่านทำได้ไหม? ถ้าทำไม่ได้ พระเยซูแนะนำด้วยความรัก ด้วยความห่วงใย ด้วยน้ำตาไหล ด้วยเลือดของพระองค์ ชีวิตของพระองค์ที่เทให้ บอกว่า …

“น้องๆ เอ๋ย ตามเรามาเถิด น้องๆ ทำไม่ได้หรอก เราทำให้แล้ว แค่เดินตามเรามา แค่นั้นเอง แล้วท่านจะได้รับชีวิตใหม่ อยู่ในพันธสัญญาใหม่ อยู่ในสวรรค์กับเราเลย”

พระเจ้าอวยพรครับ

 

************************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

เพียงแค่เราเชื่อพระเยซู  เราก็ได้รับสิ่งนี้แล้ว  คือตัวจริงๆ ตัวเป็นๆ ของเรา วิญญาณของเรา ได้พักสงบ อยู่กับพระเจ้าในสวรรค์แล้วทันที ขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลก เพียงแต่รอวันที่พระเยซูคริสต์จะกลับมารับจะปรากฏอีกครั้งหนึ่ง

 

หลังจากนั้น สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับเรา แบบชั่วนิรันดร์ ก็คือเราก็จะได้รับร่างกายใหม่ ร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตาย ร่างกายที่เป็นอมตะ ไม่ต้องเจ็บป่วย ไม่ต้องเจ็บปวด ไม่ต้องมีความตายอีกแล้ว เป็นร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตาย เหมือนพระเยซูที่เป็นขึ้นจากความตาย ในวันอีสเตอร์นั่นแหละ เหมือนเลย เราจะมีร่างกายใหม่ เป็นอย่างนั้นแหละ

 

ทางฝ่ายวิญญาณได้รับเรียบร้อยแล้วทันที  หมดแล้ว  แต่ในขณะที่เรายังอยู่ในร่างกายนี้อยู่ เรายังอยู่ในร่างกายที่จับต้องมองเห็นได้อยู่นี้ ถ้าเราทำตาม 3 ขั้นตอนที่ควรทำ คือรับรู้ วางใจ และอธิษฐาน   ตามที่พระเจ้าแนะนำ   สิ่งที่เราจะได้รับในขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ผล ประโยชน์ที่จะได้รับ พระเจ้าสัญญาไว้ ก็คือสันติสุขที่เกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ จะปกคลุมอยู่เหนือความคิดจิตใจของท่านครบถ้วนบริบูรณ์เลย

 

แล้วเริ่มต้นฝึกฝนวางใจในพระเจ้า พระเจ้าบอกอย่างไร ก็เชื่อตามนั้น พระเจ้าบอกไม่กลัว ก็ไม่กลัว พระเจ้าบอกให้อธิษฐาน ก็อธิษฐาน วางใจ แล้วก็เริ่มต้นอธิษฐานพูดคุยกับพระเจ้าไปเรื่อยๆ อย่างนี้ ประโยชน์ที่จะได้รับ คือความสุขมากขึ้นในชีวิต ปัญหาต่างๆ ระหว่างดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ พระเจ้าจะนำพาเรา ถ้าตามภาษาไทยเรา เขาเรียกกันว่าพระเจ้าสามารถดลบันดาลช่วยเราได้ แทนที่เราจะทำคนเดียว แทนที่เราจะทำมาหากินตัวคนเดียว แก้ปัญหาด้วยตัวคนเดียว แต่ตอนนี้มีพระวิญญาณบริสุทธิ์ มีพระเจ้าสถิตอยู่กับเรา ถึง 3 องค์ คือพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าผู้เป็นพ่อ พระเจ้าพระบุตรผู้ช่วยให้รอด คือพระเยซูคริสต์ และพระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ พี่เลี้ยงเรา 3 พระภาค สถิตอยู่กับเรา ในตัวเรา ในวิญญาณของเรา นำพาเราเดิน แล้วท่านจะกลัวอะไรตอนนี้ ท่านก็จะมีความสุขมากกว่าเดิม

 

พระเยซูบอกเกิดเป็นลูกพระเจ้าแล้ว ไม่ต้องกังวลเลยว่าจะเอาอะไรกิน เอาอะไรดื่ม เอาอะไรนุ่งห่ม ไม่ต้องกังวลเรื่องปัญหาต่างๆ เลย เพราะว่าพระเจ้ารู้แล้วว่าท่านต้องการอะไร? สิ่งใดจำเป็นในชีวิตของท่าน ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ พระองค์ทรงรู้ก่อนล่วงหน้าแล้ว แล้วพระองค์จะให้กับท่านแน่นอน ท่านเคยเห็นนกกระจอกมันอดตายไหม? พระเยซูยกตัวอย่าง เมื่อ 2,000 ปีที่แล้วบอกว่าดูตัวอย่างนกกระจอกสิ นกตัวเล็กๆ มันยังไม่อดตายเลย พระเจ้ายังเลี้ยงดูมันเลย แล้วท่านเป็นลูกพระเจ้า มีค่ากับพระเจ้ามากขนาดไหน? พระเจ้ารักท่านมากขนาดไหน? พระเจ้าจะไม่เลี้ยงดูท่านมากกว่านั้นอีกหรือ?

 

แต่ถ้าท่านดำเนินชีวิตด้วยตัวเอง คนเดียว มีทั้งกิเลสตัณหา มีทั้งความอยาก มีทั้งการล่อลวงต่างๆ ให้ทำชั่ว ซึ่งทำให้เกิดความทุกข์ ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ปกติโลกใบนี้มันทุกข์อยู่แล้ว ท่านก็ไปทำให้มันทุกข์มากขึ้นนั่นเอง ยกตัวอย่าง เรื่องโลภ ปกติไม่โลภ มันก็ทุกข์อยู่แล้ว นี่ท่านไปโลภ มันยิ่งทุกข์มากขึ้น อย่างนี้เป็นต้น นี่คือประโยชน์ที่จะได้รับจากการทำสิ่งต่างๆ ที่ควรทำที่พระเจ้าแนะนำให้ทำ คือเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด รับรู้ วางใจ และ อธิษฐาน

 

พระเจ้าอวยพรครับ