วารสาร Holy News ฉบับที่ 1378

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  14  สิงหาคม  2022

เรื่อง “คำประกาศของพระเยซู ที่มักมีการเข้าใจผิด” ตอน 2

“คำเทศนาบนภูเขา EP.1

“คนป่วยต้องการหมอ คนบาปต้องการพระเยซู”

โดย พาสเตอร์ นคร  เวชสุภาพร

 

วันนี้ เราจะมาต่อเรื่องสัปดาห์ที่แล้วกัน “คำประกาศของพระเยซูคริสต์ ที่มักมีการเข้าใจผิด” วันนี้เป็นตอนที่ 2 ผมให้ชื่อตอนว่า “คำเทศนาบนภูเขา” อย่างที่เกริ่นในสัปดาห์ที่แล้วว่าเราต้องมาเน้นย้ำ ในเรื่องนี้ เพราะว่ายังมีคริสเตียน  ผู้เชื่อจำนวนมากที่อ่านพระคัมภีร์เล่มเดียวกัน  แต่ยังตีความไม่ตรงกัน  เราจึงจำเป็นต้องมาปรับจูน พื้นฐานความเข้าใจ เนื้อหาสาระของข่าวประเสริฐ ให้ถูกต้องตรงกัน ย้ำอีกทีว่าเรามาเน้นเรื่องกระดุมเม็ดแรก ที่สำคัญที่สุด  ถ้ากระดุมเม็ดแรกผิด แย่เลยนะ

กระดุมเม็ดแรกที่สำคัญที่สุด ในการอธิบายความหมายของถ้อยคำพระเจ้าในพระคัมภีร์ ก็คือเราต้องทราบก่อนว่าถ้อยคำของพระเจ้านั้น กำลังพูดกับใคร? เบื้องหลังเป็นอย่างไร? ใครเป็นคนพูด  หมายความว่าอะไร?  ต้องรู้ว่าใครเป็นคนพูด? พูดกับใครสำคัญมาก? ไม่ใช่แค่หยิบเอาไปวลีเดียว แล้วก็พยายามตีความหมาย ใส่ความคิดตัวเองเข้าไป  ความเข้าใจของตัวเอง เข้าไปในวลีนั้น ประโยคนั้น ประโยคเดียว หรือแม้แต่บางเหตุการณ์ คำเดียว ก็เอามาใช้ อะไรแบบนี้ อันตรายมากๆ

ครั้งที่แล้ว เราทำความเข้าใจเกี่ยวกับคำประกาศ ในหนังสือมัทธิวของพระเยซูเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ ในมัทธิว 6:33 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ ทวนกันสักนิดหนึ่ง …

มัทธิว 6:33 “แต่  จงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน  และพระองค์ จะประทานสิ่งทั้งปวงเหล่านี้แก่ท่านด้วย”

 

เราได้มาวิเคราะห์กันแล้ว  และก็ได้สรุปกันไปแล้วว่าถ้อยคำตรงนี้ เป็นคำพูดของพระเยซู พระเยซูกำลังพูดกับชาวยิว ส่วนใหญ่ที่ยังยึดติดอยู่กับพันธสัญญาและรักษาบัญญัติเดิม ตามธรรมเนียมปฏิบัติเดิมๆ พูดง่ายๆ คือพระองค์กำลังประกาศให้กับคนที่ยังไม่ได้บังเกิดใหม่ ยังไม่ได้พบกับอาณาจักรสวรรค์นั่นเอง คือคนที่ยังไม่เชื่อนั่นเอง เพราะฉะนั้น คำว่า …

“จงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน” จึงไม่สามารถใช้กับผู้เชื่อหรือคริสเตียนได้ เพราะเมื่อได้เชื่อในพระเยซู บังเกิดใหม่แล้ว ได้พบอาณาจักรสวรรค์ และพบกับความชอบธรรมของพระองค์เรียบร้อยไปแล้ว  ได้อยู่ในสวรรค์เลย  ไม่ใช่ได้พบธรรมดา อยู่ในสวรรค์เลย  และพบกับความชอบธรรม คือได้เป็นผู้ชอบธรรม ผ่านทางพระเยซูคริสต์เลย เอเมน

และวันนี้ เราจะมาดูกันต่อ ถึงความหมายที่แท้จริงของคำเทศนาบนภูเขาของพระเยซู ซึ่งก็เป็นถ้อยคำที่ดังมาก คริสเตียนทุกคนต้องเคยได้ยินแน่นอน  แต่ก็มีการเข้าใจผิดอยู่อีกเยอะ เช่นเดียวกัน วันนี้เราจะเริ่มวิเคราะห์กันถึงคำประกาศของพระเยซูคริสต์ ที่เรียกว่าคำเทศนาบนภูเขา คำประกาศบนภูเขา  ก็อย่าลืมนะ กระดุมเม็ดแรกของการอ่านพระคัมภีร์ ต้องยึดหลักให้แม่นก่อนว่าที่พระเยซูประกาศเรื่องอาณาจักรสวรรค์บนภูเขานั้น  เป็นเรื่องของโลกวิญญาณทั้งสิ้น นี่กระดุมเม็ดแรก เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร เรารู้แล้ว คนฟังตอนนั้น เขาไม่รู้ แต่เราทั้งหลาย เราเป็นคริสเตียน เราเรียนรู้แล้ว เรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ คือเรื่องเกี่ยวกับความบาปในใจของมนุษย์ ในวิญญาณของมนุษย์ นึกภาพออกใช่ไหม?

พระเยซูพูดเรื่องต้นไม้ดี ต้นไม้ไม่ดี  ก็คือวิญญาณดี วิญญาณไม่ดี  วิญญาณดี ก็จะให้ผลดี วิญญาณไม่ดี ก็จะให้ผลไม่ดี วิญญาณดี ก็ได้ไปสวรรค์ วิญญาณไม่ดี ก็ตกนรก นึกออกใช่ไหม? หรือพระองค์ทรงพูดสิ่งสกปรกในใจออกมาทำลายผู้นั้น สิ่งสกปรกที่เข้าไปทางปาก ไม่ทำอันตรายหรอก สิ่งที่ออกมาจากใจ คือความบาป

คำพูดพระเยซูที่เราคุ้นๆ หลุมศพฉาบปูนขาว ก็คือข้างใน มันเป็นศพ มันตายอยู่ แต่ข้างนอกดูสะอาดใสแจ๋ว เพราะรักษาบทบัญญัติ  มีศีลธรรมอันดีงาม  ดูแล้วเป็นคนดี แต่วิญญาณข้างในตาย รวมๆ แล้ว คือพระเยซูกำลังมาประกาศแผ่นดินสวรรค์ ให้รู้จักว่าของเก่า ประพฤติตามกฎ ตามบัญญัติ  แต่วิญญาณข้างในตาย  ของใหม่ วิญญาณได้เกิดใหม่  ไม่ได้ดำเนินตามกฎ อยู่ในยุคพระคุณ ให้เปล่าๆ ให้ฟรีๆ คือได้บังเกิดใหม่ฟรีๆ นี่คือภาพรวม คือกฎกับพระคุณนั่นเอง

กำลังมาพูดถึงกฎกับพระคุณ กฎ คืออันเดิม พระคุณ คืออันใหม่  ที่พระองค์นำมา ก็คือสวรรค์ ผ่านทางพระคุณ อะไรประมาณนี้

เรื่องของการบังเกิดใหม่ผ่านทางพระองค์ สิ่งซึ่งผู้ฟังในขณะนั้น  ไม่สามารถเข้าใจเลย เรื่องบังเกิดใหม่  ไม่สามารถเข้าใจเลยว่าต้องบังเกิดใหม่เท่านั้น ถึงเข้าสวรรค์ได้ นี่คือสิ่งที่พระเยซูประกาศ ทั้งหมด ทุกเรื่องราวที่พระองค์ทรงพูด ทรงประกาศอุปมา  ไม่ว่าจะเป็นคำเทศนาบนภูเขา  หรือคำเทศนาอื่นๆ ก็ตาม นี่พูดรวมๆ ให้เลย

เพราะฉะนั้น เรื่องบังเกิดใหม่ ผ่านทางพระองค์ เรื่องวิญญาณที่เต็มไปด้วยความบาป  จะต้องแก้ไขด้วยการตาย แล้วเกิดใหม่นั้น  ผู้ฟังตอนนั้น แม้กระทั่งสาวกที่อยู่ใกล้ชิดเอง ก็ยังไม่เข้าใจ สาวกไม่เข้าใจชัดเจนตรงไหน? ก็ตรงที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์เลย มีอยู่ครั้งหนึ่งสาวกบอกว่า …

“โอ้! แล้วใครจะสามารถเข้าไปในสวรรค์ได้ล่ะอาจารย์”

จำได้ใช่ไหม? สาวกสนิทเลยนะ สาวก 12 คนพูดกับอาจารย์ พระเยซู …

“พระเยซู ฟังมาตลอดเลยเนี้ย แล้วอย่างนี้ใครจะเข้าสวรรค์ได้เล่า คนเขาทำขนาดนี้ ยังไม่ได้เช้าสวรรค์ แล้วใครจะมาเข้าได้ แล้วพระเยซูตอบว่าอย่างไร? พระเยซูบอกว่า …

“สำหรับมนุษย์แล้ว มันเป็นไปไม่ได้หรอก มันเหลือกำลัง”

ใครจะไปทำดีครบถ้วนบริบูรณ์ได้ ตามกฎ ใครล่ะจะบังเกิดใหม่ด้วยตัวเองได้ เป็นไปไม่ได้  แต่สำหรับพระเจ้า ทุกสิ่งเป็นไปได้ ก็คือบังเกิดใหม่ เป็นไปได้จริงๆ

เราจะมาลองดูคำเทศนาบนภูเขาว่าสิ่งที่พูดไปนั้น มันจริงไหม? คำเทศนาบนภูเขา เริ่มต้นตั้งแต่มัทธิว บทที่ 5 ข้อ 1 ไปจนถึงจบมัทธิว บทที่ 7 ข้อสุดท้าย คือประมาณข้อ 28, 29 ลองดูก่อน ไปดูตอนจบสิว่าพระองค์พูดบนภูเขาทั้งหมด ประกาศทั้งหมด เขาเข้าใจไหม? “เขา” คือใคร? เดี๋ยวเราติดตามต่อไปว่าพูดจบแล้ว เขารู้เรื่องไหม? มัทธิว 7:28-29 ได้ตรัสไว้อย่างนี้ …

มัทธิว 7:28-29 “28 เมื่อพระเยซูตรัสคำเหล่านี้เสร็จแล้ว ฝูงชนก็อัศจรรย์ใจ (งง) ด้วยคำสั่งสอนของพระองค์ 29 เพราะพระองค์ทรงสั่งสอนพวกเขาอย่างผู้มีสิทธิอำนาจ (ในโลกวิญญาณ) ไม่เหมือนบรรดาธรรมาจารย์ของเขา”

 

“ฝูงชนก็อัศจรรย์ใจ” ท่านรู้ไหม? ตรงนี้ไม่ได้แปลว่าอัศจรรย์ใจหรอก ฝูงชนก็อึ้งกิ้มกี๋ ไม่รู้ว่าจะพูดว่าอย่างไรเลย ภาษาเดิมตรงนี้ ฝูงชนก็งงเต้กเลย มันเกินกว่าจะเข้าใจ ไม่รู้เรื่องเลย พูดง่ายๆ เป็นศูนย์ ต้องใช้คำว่างงเต้ก ชัดเจน  ฝูงชนก็งงเต้กกับคำประกาศ คำสอนของพระองค์ เพราะพระองค์ทรงสั่งสอนพวกเขาอย่างผู้มีสิทธิอำนาจในโลกวิญญาณ พระองค์เป็นความจริง พระองค์พูดแรงมาก และมีฤทธิ์อำนาจมาก  เพราะมันเป็นความจริงทั้งหมด พูดออกมาเป็นพลัง เต็มไปหมดเลย พวกเขารู้ว่าเป็นความจริง แน่นอนเชื่อว่าเป็นจริง แต่เข้าใจไหม? ไม่เข้าใจ  งงเต้กในความคิดของมนุษย์  แต่รู้ว่านี่แน่นอน ตาค้างเลย ประหลาดใจ งงเต้ก อึ้งกิมกี่ เพราะแบบนี้ พระองค์ไม่ได้มาสอนเรื่องเกี่ยวกับการกิน การอยู่ สิ่งที่จับต้องมองเห็นได้บนโลกใบนี้ กฎระเบียบอะไรต่างๆ ไม่ได้มาสอน พูดง่ายๆ คือไม่ได้มาสอนศีลธรรม การทำดี ละชั่วนะ อย่างโน้นอย่างนี้  เพราะพระองค์กำลังมาประกาศ เรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ เรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ พระองค์กำลังมองไปที่ใจหรือวิญญาณของมนุษย์ แล้วก็ชี้ให้เขาเห็นว่าวิญญาณของมนุษย์ ของพวกท่านทั้งหลายมันเป็นอย่างไรอยู่ วิญญาณมันตายอยู่  มันชั่ว เพราะข้างในมันตาย  พวกเขาไม่สามารถที่จะรับรู้เรื่องที่พระเจ้าพูดได้หรอก ไม่สามารถรับรู้เรื่องพระเยซูคริสต์กำลังอธิบายให้ฟังเรื่องสวรรค์ เพราะตายอยู่ ตาบอดอยู่  หูหนวกอยู่  เขาต้องการฤทธิ์อำนาจอัศจรรย์  ทำให้เขาบังเกิดใหม่  ตาวิญญาณเปิดออก เขาจึงสามารถเข้าใจได้ใช่หรือไม่? เอเมน

ยกตัวอย่างคนเป็นโรคหัวใจ หัวใจวายปั๊บ  สิ่งที่เขาต้องการ คือหมอ หมอรีบไปเลย แล้วหมอไปถึงก็เอาหนังสือว่าด้วยสุขลักษณะของการกิน เพื่อป้องกันโรคหัวใจ  อย่ากินมันนะ อย่ากินเค็มเกินไป ออกกำลังกายบ้างนะ อย่ากินหวานมาก อย่ากินแป้งเยอะเกินไป  อย่าให้อ้วนมากนัก เขารู้เรื่องไหม? ไม่รู้ เพราะว่าเขาหมดสติ ตายอยู่ สิ่งที่เขาต้องการ คืออัศจรรย์ สิ่งที่เขาต้องการอันดับแรก คือปั๊มหัวใจให้เขาขึ้นมาก่อน แล้วค่อยสอนเขาทีหลัง

พระเยซูรู้ คนก่อนหน้าๆ ที่ไม่ใช่พระเยซู สอนอย่างกลับกัน คือเป็นหมอที่เอาหนังสือมาพูดให้คนตายฟังว่าต้องทำอย่างนั้น ต้องทำอย่างนี้ เขาตายอยู่ เขาจะไปรู้เรื่องได้อย่างไร? เขาจะรับรู้ไหม? ไม่มีทาง สิ่งที่เขาต้องการ คือฤทธิ์เดชอำนาจ อัศจรรย์ คือมาชาร์จให้เขาเป็นขึ้นมาจากความตายก่อน แล้วค่อยบอกเขาว่า …

“เกิดใหม่แล้ว ต้องทำอย่างนี้นะ เพราะเราเกิดใหม่แล้ว ควรจะทำอย่างนี้นะ ไม่ควรกินอันนั้น ไม่ควรกินอันนี้”

ถูกไหม? ชัด ปั๊มหัวใจขึ้นมาปุ๊บ หัวใจเดิน ชีวิตเริ่มต้นใหม่ หมอก็จะมาบอก อยู่โรงพยาบาลแล้ว หัวใจหายแล้วนะ ต่อไปนี้ กินอาหารให้เป็นประโยชน์นะ ถูกหรือไม่ถูก? มันต้องเป็นอย่างนั้น

ไม่เหมือนก่อนหน้านี้ คือพวกฟาริสี พวกธรรมาจารย์ที่สอนให้ประพฤติ ปฏิบัติตามสิ่งที่ตามองเห็น คือตามกฎบัญญัติ ให้รักษาศีล รักษาบทบัญญัติตรงนั้น ตรงนี้ ตรงนี้อย่าทำ ตรงนั้นทำ แต่พระเยซูกำลังมาบอกความจริงนิรันดร์ ในโลกวิญญาณ ไม่ได้มาบอกว่าตรงโน้นให้ทำ ตรงนี้ให้ทำ ตรงนี้ไม่ทำ ตรงนี้อย่าทำ แต่มาบอกว่าอย่าทำทั้งหมดเลย ไม่ต้องทำอะไรเลย ให้มาเกิดใหม่ก่อน  ให้พวกเขาได้รู้ว่าเขาต้องเกิดใหม่ก่อน แล้วเขาถึงจะได้รู้ ได้เห็นทางโลกฝ่ายวิญญาณว่ามันเป็นเช่นไร? พระองค์มาชี้ให้เขาได้รู้ได้เห็น แล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็จะเสด็จมาทีหลัง เมื่อเขาบังเกิดใหม่แล้ว มายืนยันถ้อยคำทั้งหมดนี้ ที่เขาไม่เข้าใจ ที่เขางงเต้กอย่างนี้ทีหลัง ต้องให้เขาเกิดใหม่เสียก่อน เอเมนไหม?

คำเทศนาบนภูเขา เริ่มต้นตั้งแต่บทที่ 5 ข้อ 1 เป็นต้นไป สรุปรวมก่อนนะว่าพระเยซูกำลังประกาศ เรื่องเกี่ยวกับแผ่นดินสวรรค์ใช่ไหมครับ? ให้ทำอะไร? เราเรียนรู้ครั้งที่แล้ว  ตั้งแต่ก่อนบทที่ 5 คือบทที่ 4 ที่พระองค์เริ่มต้นประกาศ พระองค์บอกคำแรกเลย “จงกลับใจเสียใหม่” จากทางเดิมของเขา จากการรักษากฎบัญญัติ  เพื่อจะได้เป็นผู้ชอบธรรม  จงกลับใจเสียใหม่ ให้มาบังเกิดใหม่ในพระองค์ ผ่านทางพระองค์ คือพระองค์กำลังบอกถึงโลกฝ่ายวิญญาณ ให้เขาได้รู้ว่าโลกฝ่ายวิญญาณ มันจะเป็นเช่นไร? ในมัทธิว บทที่ 5 นี้ ก็จะมาชี้ให้เห็นแล้ว พระเยซูกำลังพูดถึงโลกฝ่ายวิญญาณ กำลังมาบอกพวกเขาทั้งหลาย ซึ่งมองตามแค่ตามองเห็น เห็นแค่ข้างบนเอง  แต่ใต้น้ำเขามองไม่เห็น เหมือนกับภูเขาน้ำแข็ง

นึกภูเขาน้ำแข็งออกไหม? ที่เรือชน แล้วล่มเลย ก็เพราะว่ามันมองไม่เห็นข้างล่าง  มันลึกขนาดไหน? มันใหญ่ขนาดไหน? มองเห็นแต่ข้างบน ลอยตุ๊บป่องๆ เป็นยอดเล็กๆ นิดเดียว เป็นหิมะเกาะอยู่ เป็นน้ำแข็งลอยอยู่บนน้ำ เหนือมหาสมุทร แต่ข้างล่าง มันเต็มไปด้วยโขดหิน โสโครก อะไรต่างๆ เหล่านั้น ลึกมาก ใหญ่มาก เรือไปก็ชน เรือใหญ่เท่าไรไป ก็ชน  ถ้าเลี่ยงไม่ได้ มองไม่เห็น ไปชนเอา ก็เรือแตก

พระเยซูกำลังมาชี้ให้เขาเห็นว่าที่เขาเห็นกัน ภายนอก ดูกันภายนอกเหล่านั้น มันเป็นแค่ภูเขาน้ำแข็ง บนน้ำ แต่เรากำลังจะมาชี้ให้เห็น ถึงใต้น้ำ มันใหญ่กว่าอีกตั้งเท่าไร?  นี่คือภาพรวมของคำเทศนาบนภูเขา ที่ท่านต้องจำ เป็นพื้นฐานไว้  เพื่อว่าเดี๋ยวเราเรียนกันต่อไป แล้วท่านจะได้รู้ว่าในโลกวิญญาณข้างล่าง มันเป็นอย่างไร? ความลึกของถ้อยคำของพระองค์ในเรื่องโลกวิญญาณ  มันลึกลงไป ที่มนุษย์มองไม่เห็น มันเป็นอยู่จริง ยังไม่เข้าใจตอนนี้หรอก แต่วันหนึ่งเมื่อท่านบังเกิดใหม่ ท่านจะเข้าใจว่ามันลึกขนาดไหน? นั่นคือความจริงในโลกวิญญาณที่พระองค์มาเปิดเผยให้ทราบ ในคำเทศนาบนภูเขานั่นเอง แล้วก็เอามาชี้ให้เห็นว่าท่านจะเข้าสวรรค์ได้อย่างไร? ที่เรากำลังมาประกาศว่าสวรรค์มาตั้งอยู่ จงกลับใจเสียใหม่ๆ จงมาเข้าสวรรค์โดยทางใหม่ เข้าอย่างไร? วิธีใด เริ่มต้นวันนี้เลย มัทธิว 5:1-2 คำเทศนาบนภูเขาของพระเยซูคริสต์ …

มัทธิว 5:1-2 “1 เมื่อพระเยซูทอดพระเนตรเห็นฝูงชนมากมาย ก็เสด็จขึ้นเนินเขา และประทับนั่ง 2 เหล่าสาวกของพระองค์พากันมาหาพระองค์ และพระองค์ทรงเริ่มต้นสั่งสอนพวกเขาว่า …”

 

“พระองค์ทรงเริ่มต้นสั่งสอนพวกเขา” เราก็จะมาดูว่าพวกเขาคือใคร? เรารู้ตั้งแต่ครั้งที่แล้ว พวกเขา ก็คือชาวยิว พุ่งตรงไปที่ชาวยิว แล้วนึกถึงภาพว่าพระองค์นั่งลง มีฝูงชน เข้ามา แล้วกลุ่มแรกที่สนิทกับพระองค์ที่สุด คือสาวกใกล้ชิด ที่พระองค์ทรงเลือกไว้ ชาวยิวเท่านั้น ก็อาจจะมีต่างชาตินิดหนึ่ง ต้องการมาดูอัศจรรย์ ต้องการมาดูเขาล่ำลือถึงเรื่องคนๆ นี้ ก็มาแจมๆ แซมๆ ไปบ้าง แต่ทั้งหมดนั้น เป็นยิว และพระองค์ตั้งใจพูด พุ่งไปที่ยิวโดยเฉพาะ และเฉพาะชาวยิวนั้น ยังมีแบ่งแยกออกเป็นชาวยิวที่เป็นดิน 4 ประเภท จำได้ใช่ไหม? พระเยซูประกาศข่าวประเสริฐเรื่องสวรรค์มาตั้งอยู่  คือข่าวดี เป็นเมล็ดพันธุ์  ประกาศข่าวดีไป จะมีดิน 4 ประเภท ที่ตอบสนองต่อข่าวประเสริฐ

ประเภทแรก ก็คือประเภทที่เป็นดินดี หว่านลงไปปุ๊บ มันเกิดผลเลย แล้วสุดท้าย ประเภทที่ 4 คือเป็นดินที่เป็นหิน กระด้าง หว่านไปแล้วแห้งแกน แล้วก็ยังมีชนิดที่ 2 ชนิดที่ 3 ที่อาจจะเป็นไปได้ ที่จะรับบ้าง ถอยบ้าง จะเกิดผลบ้าง ไม่เกิดผลบ้าง นึกถึงภาพ เวลาฟังพระเยซูพูด แล้วลองจินตนาการตัวเองไปนั่งอยู่ตรงนั้น แล้วลองจินตนาการว่าตรงนี้กำลังพูดถึงกลุ่มไหน? กลุ่มที่เป็นดินดี หรือกลุ่มที่เป็นดินดื้อ ดินแข็งกระด้าง เมล็ดพันธุ์ลงไปทำอะไรไม่ได้เลย หรือเป็นดินที่ไม่กระด้างเท่าไร? พอได้ อะไรประมาณนั้น จะได้เห็นชัด เอาล่ะ  เรารู้แล้วเป็นดิน 4 ประเภท  เดี๋ยวท่านจะรู้เองว่านี่ประเภทไหน? มัทธิว 5:3-5 ต่อมา …

มัทธิว 5:3-5 “3 ความสุขมีแก่ผู้ที่สำนึกว่าตนขัดสนฝ่ายจิตวิญญาณ เพราะอาณาจักรสวรรค์เป็นของเขาแล้ว 4 ความสุขมีแก่ผู้ที่โศกเศร้า เพราะเขาจะได้รับการปลอบประโลม 5 ความสุขมีแก่ผู้ที่ถ่อมสุภาพ เพราะเขาจะได้รับแผ่นดินโลกเป็นมรดก”

 

“ความสุข” แปลจริงๆ แล้ว แปลว่า “พรทางฝ่ายวิญญาณ”

พระพรทางฝ่ายวิญญาณ ก็คือการได้เข้าสวรรค์ สวรรค์กำลังมาตั้งอยู่ ตั้งเมื่อไร? คนที่มีลักษณะท่าทีในใจอย่างนี้แหละ จะเป็นผู้ที่ได้พระพรฝ่ายวิญญาณนี้  ก็คือได้เข้าไปอยู่ในสวรรค์นั่นเอง

เขาจะได้พรฝ่ายวิญญาณ  คือใคร? ลักษณะเขาเป็นอย่างไร? ลักษณะดินดี คนๆ นี้ ประเภทนี้เป็นอย่างไร? ผู้ที่สำนึกว่าตนขัดสนฝ่ายวิญญาณ ก็คือตนเองป่วยทางวิญญาณ พระเยซูบอกว่าคนป่วยต้องการหมอ เรามาหาคนป่วย คนป่วยทางวิญญาณ คนที่คิดว่าแข็งแรงดีนั้น ไม่ต้องการหมอ ชัดเจนเลย คนที่ขัดสนทางวิญญาณ รู้ว่าตัวเองป่วยทางวิญญาณ อาณาจักรสวรรค์ เป็นของเขาแล้ว

ข้อ 4 บอก “พระพรเป็นของผู้ที่โศกเศร้า เพราะเขาจะได้รับการปลอบประโลมใจ” โศกเศร้าเพราะอะไร? เขาได้รับการปลอบประโลมเพราะอะไร?  โศกเศร้า นึกถึงภาพเปโตรกับสาวก 12 คนจะเห็นชัด  พวกเขาโศกเศร้ามากเลย  เพราะเขาไม่สามารถจะรักษากฎบัญญัติ ศีลธรรมอันดีงามได้เท่าเทียมกับพวกฟาริสี พวกธรรมาจารย์ที่พร่ำพูดตลอดเวลาว่า …

“พวกท่านเป็นคนบาป รักษาสะบาโตก็ไม่รักษา บัญญัติก็ไม่ทำตาม พวกท่านเป็นคนบาป”

แล้วชีวิตเขาก่อนที่พระเยซูจะมาประกาศ เขาเศร้าสร้อยไหม? เศร้าสร้อย สวรรค์ก็จะเป็นของเขาแล้ว คนเหล่านี้ เขาต้องการความช่วยเหลือนั่นเอง

ข้อ 5 บอกว่า “ความสุข คือพระพรทางฝ่ายวิญญาณ  สวรรค์ เป็นของผู้ที่ถ่อมใจ”

ผู้ที่ถ่อมใจ คือยอมรับว่าตัวเอง ทำตามกฎบัญญัติ ศีลธรรมให้ครบถ้วนบริบูรณ์ ตามมาตรฐานที่พระเจ้าให้ไว้ไม่ได้ ยอมรับความจริงว่าทำไม่ได้ ถ่อมใจ  ต้องการความช่วยเหลือจากพระเจ้า ต้องการความช่วยเหลือจากใครก็ได้ช่วยทีๆ พระเยซูก็บอกว่าสวรรค์เป็นของคนเช่นนี้ ตรงกันข้ามกับคนที่ไม่ถ่อมใจ ก็เรียกว่าคนที่เย่อหยิ่งนั่นเอง  …

“ฉันทำได้ ฉันทำได้มากกว่าคนอื่น ฉันทำได้มากกว่าเธอ เพราะฉะนั้น ฉันสมควรไปสวรรค์”

นี่แหละ คือความเย่อหยิ่งที่ตรงกันข้ามกับความถ่อมใจ  ต่อไป มัทธิว 5:6-12 …

มัทธิว 5:6-12  “6 ความสุขมีแก่ผู้ที่หิวกระหายความชอบธรรม เพราะเขาจะได้อิ่มบริบูรณ์ 7 ความสุขมีแก่ผู้ที่เมตตากรุณา เพราะเขาจะได้รับความเมตตากรุณาตอบแทน 8 ความสุขมีแก่ผู้ที่มีจิตใจบริสุทธิ์ เพราะเขาจะได้เห็นพระเจ้า 9 ความสุขมีแก่ผู้ที่สร้างสันติ เพราะเขาจะได้ชื่อว่าบุตรของพระเจ้า 10 ความสุขมีแก่ผู้ที่ถูกข่มเหง เพราะความชอบธรรม เพราะอาณาจักรสวรรค์เป็นของเขาแล้ว 11 “ความสุขมีแก่ท่าน  เมื่อคนทั้งหลายสบประมาท ข่มเหง และใส่ร้ายป้ายสีท่าน เพราะเรา 12 จงชื่นชมยินดีเถิด เพราะบำเหน็จของท่านในสวรรค์ยิ่งใหญ่นัก เพราะพวกเขาได้ข่มเหง บรรดาผู้เผยพระวจนะ ที่อยู่ก่อนท่านเหมือนกัน”

 

จริงๆ ตรงนี้ “ความสุขมีแก่” มันน่าจะเติมนิดหนึ่งว่า “ความสุขในวิญญาณ” ไม่อย่างนั้น คนจะเข้าใจผิด เอาไปใช้ในเรื่องโลกวัตถุว่าพอมาเชื่อในพระเจ้าแล้ว ได้บังเกิดใหม่ สวรรค์เป็นของเราแล้ว  จะต้องมีความสุขบนโลกใบนี้ จะต้องมีกิน มีใช้พอเพียง  ไม่ขัดสน จะต้องแข็งแรงดี สุขสบายบนโลกใบนี้ มันไม่ใช่ มันหมายถึงโลกวิญญาณ ที่ผมบอกแล้ว พระองค์พูดถึงโลกวิญญาณทั้งสิ้น พระพรทางฝ่ายวิญาณ เป็นของผู้ที่สร้างสันติ

โอเค เรามาวิเคราะห์ข้อ 6 กัน “พระพรฝ่ายวิญญาณ ความสุขในวิญญาณ การได้เข้าสวรรค์ เป็นของผู้ที่หิวกระหายความชอบธรรม เพราะเขาจะได้อิ่มบริบูรณ์” ผู้ที่แสวงหาความชอบธรรมของพระเจ้า เพราะรู้ว่าตนเองทำไม่ได้ จึงหาผู้ช่วย ไม่สร้างความชอบธรรมของตนเองขึ้นมา โดยการทำตามกฎบัญญัติ แต่รู้ว่าตัวเองทำไม่ได้  ไม่มีทางทำได้เลย จึงแสวงหาความชอบธรรมของพระเจ้า ตรงไหม? แสวงหาความชอบธรรมของพระเจ้าเสียก่อน ก็จะเจอแหละ นี่คือท่าที ลักษณะของผู้ที่จะมาเชื่อวางใจในพระองค์  และได้บังเกิดใหม่ในไม่ช้า เมื่อสวรรค์มาตั้งอยู่

ข้อ 7 “พระพรทางฝ่ายวิญญาณ ความสุขในวิญญาณมีแก่ผู้ที่มีเมตตากรุณา เพราะเขาจะได้รับความเมตตากรุณาตอบแทน” ก็คือคนๆ นั้นเขาเป็นคนเห็นอก เห็นใจมนุษย์ที่เป็นคนบาปด้วยกัน ต่างคนต่างเป็นคนบาป เขาไม่ไปชี้คนอื่นว่า …

“คุณแย่มาก แย่กว่าผม”

“คุณกับผมต่างคนต่างแย่เท่ากัน  คุณก็บาป ผมก็บาปพอกัน”

แต่คนที่เย่อหยิ่งจะชี้คนอื่น … “คุณทำบาป ผมทำดีกว่าตั้งเยอะ  ผมสมควรไปสวรรค์”

แต่ทั้งคนชี้และคนทำ ต่างคนต่างอยู่ในต้นไม้เดียวกัน ก็คือต้นอาดัม ต้นของความบาป คือเน่าเฟะเท่ากัน ต้องการความช่วยเหลือเท่ากันนั่นแหละ  แต่กลับเย่อหยิ่ง บอกว่า …

“ฉันเป็นกิ่งของต้นไม้เน่านี้ แต่กิ่งของฉันดีกว่าเธอ เธอก็แย่มาก ทำบาป”

“เธอและฉันก็เป็นกิ่งที่อยู่ในต้นไม้เดียวกัน ก็คือบาปทั้งคู่”

ดังนั้น คนที่มีจิตใจอย่างนี้ จึงมีโอกาสได้เข้าสวรรค์ก่อนเพื่อนเลย

ข้อ 8 “ความสุขในวิญญาณ มีแก่ผู้ที่มีจิตใจบริสุทธิ์ เพราะเขาจะได้เห็นพระเจ้า  เขาจะได้รับการบังเกิดใหม่”

ถ้ามีลักษณะอาการอย่างนั้นมา เมื่อสวรรค์มาตั้งอยู่ เขาจะได้รับการบังเกิดใหม่  มีวิญญาณที่บริสุทธิ์สะอาด ตาฝ่ายวิญญาณจะถูกเปิดออก ก็จะรู้จัก เห็นพระเจ้าในวิญญาณ มันหมายถึงอย่างนั้น

ข้อ 9 “ความสุขในวิญญาณมีแก่ผู้สร้างสันติ เพราะเขาได้ชื่อว่าเป็นบุตรของพระเจ้า”

และเมื่อเขาได้บังเกิดใหม่เป็นลูกของพระเจ้า ก็จะเต็มล้นไปด้วยพระคุณและสันติสุขในใจ และจะดำเนินชีวิตเป็นคนที่สร้างสันติ ไปที่ไหน ก็ทำให้เขาสงบ  ไม่ใช่ไป แล้วก็ทะเลาะกับชาวบ้านเขา สร้างความสงบ ก็คือแม้จะถูกข่มเหงรังแก  ก็นิ่งอยู่ ไม่ใช้ดาบ ไม่ใช้ปืน ไม่ใช้มีดไปสู้กับเขา สร้างสันติ ไปที่ไหนก็มีแต่ความสงบเกิดขึ้น มีแต่สันติภาพเกิดขึ้น

ข้อ 10 ความสุขในวิญญาณมีแก่ผู้ที่ถูกข่มเหง เพราะความชอบธรรม เพราะอาณาจักรสวรรค์เป็นของเขาแล้ว”

เมื่อเขาเข้าสู่สวรรค์  ได้เป็นผู้ชอบธรรม ได้อยู่ในอาณาจักรสวรรค์ของพระเจ้าแล้ว  เขาก็จะเป็นศัตรูกับโลกนี้ทันทีในโลกวิญญาณ  เพราะโลกนี้ พินาศ อยู่ในนรก  ไม่มีพระเจ้าอยู่ในนั้น เป็นศัตรูกับพระเจ้า อยู่ในวงจรอุบาทว์ของความบาปและความตาย แต่เขาได้ถูกย้ายออกมา เป็นผู้ชอบธรรมในสวรรค์แล้ว  เขากับโลกเข้ากันไม่ได้อีกต่อไป โลกจะเกลียดชังท่าน พระเยซูบอก

ข้อ 11 “ความสุขในวิญญาณมีแก่ท่าน เมื่อคนทั้งหลายสบประมาท ใส่ร้ายป้ายสีท่าน เพราะเรา”

เพราะผู้ที่บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์แล้วนั้น  ได้เข้าร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันทางวิญญาณกับพระเยซูคริสต์แล้ว  พอเข้าสวรรค์ก็ได้เข้าเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์ เป็นวิญญาณเดียวกัน พระเยซูบอก เขาข่มเหงเราอย่างไร เขาก็จะข่มเหงท่านอย่างนั้นเหมือนกัน  เพราะท่านกับเราเป็นหนึ่งเดียวกัน ในโลกวิญญาณแล้ว เมื่อท่านเข้าสู่สวรรค์ มันหมายถึงอย่างนี้

ข้อ 12 “จงชื่นชมยินดีเถิด เพราะบำเหน็จของท่านในสวรรค์ยิ่งใหญ่นัก เพราะพวกเขาได้ข่มเหง บรรดาผู้เผยพระวจนะ ที่อยู่ก่อนท่านเหมือนกัน”

จงดีใจเถิด เฮ! เลยในสวรรค์ เพราะนี่แหละ มันเป็นความจริงมาตั้งนานแล้ว  แบ่งออกเป็น 2 โลก โลกหนึ่ง คือโลกฝ่ายวิญญาณ ที่เป็นของพระเจ้า อีกโลกหนึ่ง คือฝ่ายโลก ที่ไม่มีพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้านั่นเอง

คราวนี้มาถึงข้อ 13-16 นึกถึงภาพนะ  ตอนนี้พูดถึงคนที่มีโอกาสเข้าสวรรค์ และจะได้เข้าสวรรค์ และเข้าสวรรค์จะเป็นเช่นไร? มาถึงความหมายของข้อความที่ดังมาก ก็คือเรื่องเกลือและแสงสว่าง ในมัทธิว 5:13-16 …

มัทธิว 5:13-16 “13 ท่านทั้งหลายเป็นเกลือของโลก แต่ถ้าเกลือนั้นหมดความเค็มแล้วจะทำให้กลับเค็มอีกได้อย่างไร? มันก็ไม่มีประโยชน์อันใดอีกต่อไป มีแต่จะถูกสาดทิ้งให้คนเหยียบย่ำ 14 “ท่านทั้งหลายเป็นแสงสว่างของโลก เมืองที่ตั้งอยู่บนภูเขาจะซ่อนไว้ไม่ได้ 15 เช่นเดียวกัน เมื่อคนจุดตะเกียงแล้วย่อมไม่เอาฝาครอบ แต่จะตั้งไว้บนเชิงตะเกียงให้ส่องสว่างแก่ทุกคนในบ้าน 16 ในทำนองเดียวกัน (ความเค็มของเกลือ) จงให้ความสว่างของท่านกระจ่างแจ้งต่อหน้าคนทั้งหลาย เพื่อเขาจะเห็นการดีของท่าน และสรรเสริญพระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์”

 

สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นในวิญญาณของผู้ที่มีใจถ่อม ของผู้ที่รู้ตัวเองว่าขัดสนทางวิญญาณ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ต้องการการช่วยเหลือ ก็มาหาพระเยซู รู้ว่าตัวเองป่วยทางวิญญาณ ต้องการรับการรักษาให้หาย จากอาการป่วย อาการป่วย ก็คือความบาปนั่นเอง รู้ตัวว่าตัวเองเป็นคนบาป ก็จะได้เข้าสู่สวรรค์ โดยการได้รับการบังเกิดใหม่  ในขณะที่พูดนั้น พวกเขาไม่รู้เรื่องหรอก  อย่างที่ตะกี้นี้บอก พวกเขาไม่รู้เรื่อง พวกเขายังไม่ได้เกิดใหม่ เขาตายอยู่ แต่พระองค์จะพูดให้เขาฟังไว้ล่วงหน้า เมื่อวันหนึ่ง พระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จมาสถิตอยู่กับพวกเขา  พระวิญญาณก็จะนำถ้อยคำเหล่านี้ สอนเขา บอกเขาว่ามันหมายความว่าอย่างไร? เหมือนกับพระวิญญาณกำลังสอนเราตอนนี้ ที่เป็นผู้เชื่อในยุคนี้ เรารู้ เราถึงเข้าใจไง  พวกเขายังไม่รู้เรื่อง พวกเขายังไม่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์ลงมาสอนให้กับมนุษย์เรื่องความจริงในโลกฝ่ายวิญญาณ

พระเยซูพูดกับใคร? ชาวยิว มีหลายระดับของจิตใจและท่าทีข้างใน นึกในใจอย่างนี้ พระเยซูพูดกับชาวยิว พูดเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ ประกาศเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ ที่กำลังมาตั้งอยู่ จะเข้าไปได้อย่างไร? ต้องมีท่าทีอย่างไร? และเมื่อเข้าสวรรค์แล้ว จะเป็นลักษณะอย่างไร? โดนอะไรบ้าง? ใช่ไหม?

ดังนั้น พระองค์พูดอุปมา หรือยกตัวอย่าง หรืออธิบายอะไรบางอย่าง ก็จะเปรียบเทียบให้กับชาวยิวได้รู้ โดยผ่านทางขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรมทางศาสนา  ทางการเป็นอยู่ในสังคมของชาวยิวในสมัยนั้น เวลายกตัวอย่างจะได้รู้ว่าในสมัยนั้น เขาเป็นอย่างนี้แหละ เขาจะเข้าใจ บางทีเราไม่เข้าใจหรอก เพราะเราไม่รู้ เราไม่ได้อยู่ในประเพณี อยู่ในขนบธรรมเนียมชีวิตเหมือนกับชาวยิว เราไม่เข้าใจ

ข้อ 13 บอกว่า “ท่านทั้งหลายเป็นเกลือของโลก” หมายถึงคนที่เข้าสวรรค์แล้ว บังเกิดใหม่แล้ว เมื่อเชื่อและตามนั้น ไล่มาตะกี้ถึงข้อ 12 พอมาถึงข้อ 13 ท่านก็จะเป็นเกลือของแผ่นดินโลก เกลือของแผ่นดินโลกคืออะไร?

เกลือ คือรักษาความเน่าเฟะของโลกใบนี้ ความบาปนั่นเอง โดยยกคำว่าเกลือขึ้นมา พอพูดคำว่าเกลือขึ้นมา เราอาจจะไม่เข้าใจลึกซึ้ง  แต่คนฟังตอนนั้นที่เป็นชาวยิวจะรู้ลึกซึ้ง หมายถึงพระเยซูกำลังยกตัวอย่างอะไร? เกลือที่ปุโรหิตในวิหารของพระเจ้า ตามที่พระเจ้าสั่ง คือเอาไปทาเนื้อที่จะถวายแด่พระเจ้าเป็นเครื่องบูชา  พระเจ้าบอกให้เอาเกลือทา เพื่อให้มันบริสุทธิ์ อยู่ในหนังสือเลวีนิติ ทาให้มันบริสุทธิ์ซะ  เพื่อถวายแด่พระเจ้า

เกลือ ก็คือมีหน้าที่ที่จะชำระสิ่งต่างๆ ที่จะเน่า ไม่ให้มันเน่า พอบอกเกลือปุ๊บ เขาจะรู้ทันที

และถ้าเกลือนั้น หมดความเค็ม ความเค็มนี้ หมายถึงไม่ใช่หมดไป สูญเสียความเค็มไป เขาเรียกว่าหมดคุณภาพไป มันยังคงเป็นเกลืออยู่ แต่มันไม่ใช่เกลือที่มีความเค็ม 100% แล้ว มันเสียหายไปแล้ว ความเค็มมันลดลง เพราะว่าตอนนั้น ในชาวยิว นอกจากเกลือ ที่จะเอาไปใช้ในวิหารแล้ว เกลือตามบ้าน ก็เอามาใช้ ทำเป็นลักษณะเดียวกันอย่างนี้ แล้วก็เอามารับประทาน เป็นของที่มีค่ามากด้วย แต่เนื่องจากเกลือในสมัยนั้น เป็นเกลือชนิดพิเศษ ไม่เหมือนเกลือในยุคปัจจุบัน  เกลือสมัยนั้น มันมีโอกาสที่จะเสียได้ ผมก็ไม่รู้ว่าปัจจุบันมันเสียได้หรือเปล่านะ หรือว่าเขาใส่สารจนกระทั่งมันไม่เสีย คือคำว่า “เสีย” หมายถึงมันหมดอายุ เก็บไว้ในที่ไม่ดี หรือเยอะเกินไป  ทับถมกันเกินไป เกิดความชื้นขึ้นมา เกลือมันหมดคุณลักษณะของมัน เขาจะใช้ความเค็มของเกลือเป็นประโยชน์ แต่ปรากฏว่าความเค็มของมันสูญเสียไปแล้ว เขาก็เลยจำเป็นต้องเอาไปทิ้ง

คราวนี้เวลาเอาไปทิ้ง จะเอาไปทิ้งที่ไหน? มันเหมือนสารเคมี ไปทิ้งในไร่ที่นาของคนอื่นเขาได้หรือเปล่า? ไม่ได้ ดินก็เสีย เขาก็ปลูกต้นไม้ไม่ขึ้น เขาก็ไม่ให้ทิ้งสิ แล้วถามว่าเอาไปทิ้งที่ไหน? ก็เอามาถมถนน ทิ้งลงบนพื้นถนน ให้คนเขาเหยียบย่ำ ไม่เฉอะแฉะ เอาเกลือเทลงไป นี่คือลักษณะของประโยชน์ของเกลือในสมัยนั้น

ถ้าท่านเป็นเกลือแล้ว  เป็นคริสเตียนแล้ว มาบังเกิดใหม่แล้ว ท่านทำตัวให้สมกับเป็นลูกของพระเจ้าหน่อยสิ เมื่อท่านทำตัวให้สมกับเป็นลูกของพระเจ้า  ผู้คนก็จะเห็นพระเจ้าชัดเจน  ท่านก็จะมีประโยชน์ต่อโลกใบนี้ แต่ท่านเป็นคริสเตียน แล้วท่านทำตัวไม่สมกับการเป็นคริสเตียนเลย ไม่สำแดงคริสเตียนออกมาในชีวิตเลย การสำแดงนี้ ไม่ใช่หมายถึงต้องทำ ท่านไม่สำแดงชีวิต คริสเตียนออกมาเลย ตรงนั้นแหละ คือหมดรสเค็ม สูญเสียรสเค็มไป เจ้าของเกลือเขาก็จะเอาไปถม ยังใช้เกลืออยู่ไหม? ใช้ แต่ใช้ไปถมถนน กับอีกอันหนึ่ง ใช้เอาไปกิน เอาไปทำเนื้อที่จะถวายบูชาแด่พระเจ้า ความสูงส่งมันต่างกันเยอะเลย ท่านเป็นเกลืออย่างนั้นแหละ เดี๋ยวจะพาท่านไปดูข้อ 14

ข้อ 14 บอกว่าท่านทั้งหลายเป็นแสงสว่างของโลก เมืองที่ตั้งอยู่บนภูเขาจะซ่อนไว้ไม่ได้

ข้อ 15 เช่นเดียวกัน เมื่อคนจุดตะเกียงแล้ว ย่อมไม่เอาฝาครอบ แต่จะตั้งไว้บนเชิงตะเกียง ให้ส่องสว่างแก่ทุกคนในบ้าน

ท่านเป็นแสงสว่างแล้ว ท่านมาเข้าสวรรค์แล้ว มาบังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์แล้ว ท่านจะเป็นแสงสว่างและแสงสว่างนั้น ที่พระเจ้าจุดท่าน โดยผ่านทางความเชื่อในเรา พระเจ้าจะไม่ครอบไว้ คือพระเจ้าจะให้แสงสว่างนั้น ฉายแสงในชีวิตของท่าน มันฉายแสงเอง ท่านไม่ต้องจุดความสว่างด้วยตัวเอง พระเจ้าจุดให้ แล้วท่านมีหน้าที่เดินไปสิ  แสงสว่างมีอยู่แล้ว ให้มันผ่านออกมาจากในตัวของท่าน

วิธีให้ ก็คือยอมให้แสงสว่างนี้ มันออกมา ท่านเป็นแสงสว่างอยู่หรือเปล่า? เป็น แต่ท่านไม่ยอมได้ไหม? ได้ โรม 12:1-2 จึงบอกว่าจงถวาย หมายถึงคนที่มาเชื่อพระเจ้าแล้ว บังเกิดใหม่แล้ว จงถวายอวัยวะของท่านทุกส่วน ตา หู จมูก ลิ้น กาย สมองของท่าน  ให้เป็นเครื่องบูชาที่บริสุทธิ์ สะอาด จำเพาะพระพักตร์ของพระเจ้า  เพื่อพระเจ้าจะใช้ได้ ด้วยวิธีการเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจเสียใหม่ เพื่อที่ท่านจะได้รู้ว่าอะไรเป็นที่ชอบพอพระทัยพระเจ้า ท่านควรจะยอมถวายตัวให้กับพระเจ้า ยอมให้แสงสว่างนี้ มันออกมา  ไม่ใช่ท่านทำแสงสว่าง แต่ท่านแค่ยอม มันอยู่ในตัวท่านแล้ว

ข้อ 16 ยิ่งชัดใหญ่เลย ในทำนองเดียวกัน  ถามว่าในทำนองเดียวกันกับอะไรกับเกลือ ความเค็มของเกลือกับแสงสว่างนี้ มาลักษณะเดียวกัน จงให้ความเค็มของเกลือ  ลักษณะของเกลือนั้น มันออกมาจากชีวิตของท่าน ถ้ามันไม่ออกมา พระเจ้าจะใช้ท่านได้แค่เอาไปถมที่ ให้คนเหยียบย่ำ  แต่ก็ยังคงเป็นเกลืออยู่เหมือนเดิม ลักษณะเดียวกัน

“จงให้ความสว่างของท่าน กระจ่างแจ้งต่อหน้าคนทั้งหลาย เพื่อเขาจะเห็นการดีของท่าน และสรรเสริญพระบิดาของท่านผู้สถิตอยู่ในสวรรค์”

เพื่อเขาจะได้เห็นการดีในการยอมให้ความเค็มของเกลือมันทำงาน ยอมให้แสงสว่างที่พระเจ้าจุดอยู่ในใจของท่านในวิญญาณของท่านทำงาน เพื่อเขาจะได้เห็นการดี พระเจ้ากำลังพูดถึงเรื่องอะไร? การดีที่มันอยู่ในวิญญาณของท่าน การดีที่ท่านได้บังเกิดใหม่ เป็นต้นไม้ดีแล้ว เพื่อว่าคนทั้งหลายรอบข้างจะได้เห็นการดีนั้น  การดีนั้น มาจากการบังเกิดใหม่ มาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่ทรงสถิตอยู่ข้างในท่าน  การดีนั้น ก็คือผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ทั้ง 9 อย่างออกมาจากชีวิตของท่าน

สรุปรวม ก็คือให้ความรักชนิดที่เป็นของพระเจ้า ความรักแบบอากาเป้ ที่เหมือนพระเจ้าแล้ว ที่บังเกิดใหม่ในวิญญาณของท่าน มันออกมา โดยวิธีพยายามทำหรือ? ไม่ใช่  พยายามสร้างหรือ? ไม่ใช่ โดยวิธียอม  ภาษาอังกฤษใช้คำว่า “Let” ที่แปลว่า “จงยอม”  ไม่ใช่ “จงทำ” จงยอม ไม่ยอมได้ไหม? แล้วยังเป็นแสงสว่างไหม? เป็นเหมือนเดิม ไม่ยอมได้ไหม? ได้ แล้วยังเป็นเกลือไหม? เป็น ท่านก็จะเป็นเกลือ เป็นแสงสว่าง รักษาความเน่าเฟะของโลกใบนี้ โดยการสำแดงความจริงของพระเจ้า คือความรักของพระองค์ออกมาจากชีวิตของท่านที่ได้บังเกิดใหม่แล้วนั้น รักษาและนำทางแก่ผู้คนรอบข้างในโลกใบนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยความบาป และเราก็เป็นอย่างนั้นหรือไม่? เป็นจริงๆ ใช่ไหม? รู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ

เมื่อเป็นคริสเตียน เมื่อบังเกิดใหม่ในพระเจ้าแล้ว พระเจ้าจะนำไปฉายแสงสว่าง เราไม่รู้ตัวเลย บางทีเราเข้าไปในที่ไม่นึกไม่ฝัน เข้าไปในตลาด ปรากฏว่าไปพบกับคนลำบากลำบน แล้วเราก็ฉายแสงแห่งความรัก ความห่วงใยให้เขา เขาก็มาเชื่อในพระเจ้า เขาก็กลับใจใหม่

มันเป็นอย่างนี้  พระวิญญาณจะนำเราไปเอง ความสว่างจะอยู่ในใจของเรา อยู่ในวิญญาณของเรา ความเค็ม ไม่ใช่ขี้เหนียวนะ  ความเค็ม คือคุณลักษณะของการที่จะเป็นผู้ที่เยียวยารักษาโลกใบนี้ ยังอยู่ในวิญญาณของเรา ไปที่ไหน ก็รักษาเขาไปทั่ว แต่มีข้อแม้ว่าเราต้องยอม เพราะพระเจ้าไม่มีทางบังคับใครเลยแม้แต่คนเดียว บังคับไม่ได้เลย ทุกสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง สรรพสิ่งทั้งหลายบนโลกใบนี้ รวมทั้งมนุษย์ทั้งหลาย  ไม่มีสักสิ่งเดียวที่พระองค์ทรงสร้างและบังคับให้มันหรือเขาทำตามพระองค์ ไม่มีเลย เขามีสิทธิ์ที่จะตัดสินใจด้วยตัวเองว่าเขาจะเชื่อฟัง นมัสการพระเจ้าหรือไม่ หรือจะดื้อดึงต่อพระองค์ เหมือนอย่างลูซีเฟอร์ที่ตัดสินใจ ที่จะดื้อต่อพระองค์ ที่จะไม่เชื่อฟังต่อพระองค์ เหมือนกับอาดัมและเอวาที่ตัดสินใจเองว่าจะไม่เชื่อในพระองค์ จะต่อต้านพระองค์เหมือนกัน

เพราะฉะนั้น เราทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน แม้ว่าจะได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ เป็นลูกของพระเจ้าที่บังเกิดใหม่แล้ว  สะอาดบริสุทธิ์แล้ว  พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่กับเราภายในแล้วก็ตาม  แต่เราก็ยังมีสิทธิ์ ที่พระเจ้าให้ไว้ ที่จะทำตามพระองค์หรือไม่ก็ตาม วิญญาณทำตามอยู่แล้วแน่นอน แต่ร่างกายยังอยู่บนโลกใบนี้ ยังอยู่ในการล่อลวงของกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง อาจจะถูกล่อลวงให้ตัดสินใจผิดไปก็ได้  มันเป็นไปได้เสมอ อย่างนี้เป็นต้น

คราวหน้าเราจะมาดูกันต่อว่าพระเยซูพูดกับคนที่มีใจแตกต่างกับ 16 ข้อที่ผ่านมานี้อย่างไร?

16 ข้อที่ผ่านมาวันนี้ พูดถึงชาวยิวที่พร้อมแล้ว เล็งมาถึงมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ได้นะ พูดกับชาวยิว แต่ก็สามารถเอามาใช้กับคนที่ยังไม่เชื่อพระเจ้าในทุกวันนี้ได้ เป็นคนต่างชาติก็ได้ว่าผู้ที่จะมาแสวงหาพระเจ้า ที่จะมาพบกับความรอดในพระเยซูคริสต์ พบกับการได้บังเกิดใหม่ เข้าสู่สวรรค์เลย ณ การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  เข้าสวรรค์เลย ต้องมีท่าทีที่ต้องรู้ว่าตัวเองป่วยทางวิญญาณ ต้องการการช่วยเหลือ และไม่เย่อหยิ่งที่จะทำด้วยตนเอง แต่หาตัวช่วย หาคนช่วย เรารู้แล้วว่าเป็นเช่นนั้น

เพราะฉะนั้น หลังจากบทที่ 5 ข้อ 16 ไปแล้ว เริ่มตั้งแต่ข้อ 17 พระองค์ก็จะพูดเน้นไปที่ดินประเภทที่ 4 คือดินที่แข็งกระด้าง ดินที่รับเมล็ดพันธุ์ไม่ได้  เมล็ดข่าวประเสริฐไม่ได้  ดินที่มีใจแข็งกระด้าง มนุษย์ที่มีใจแข็งกระด้าง เย่อหยิ่ง ดูสิว่าพระเยซูพูดกับคนที่เย่อหยิ่งอย่างไรในครั้งต่อไป  พระเจ้าอวยพรครับ

 

**********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

1 โครินธ์ 3:12 -13 TH1971 …

ข้อ 12 “บนรากนั้นถ้าผู้ใดจะก่อขึ้นด้วยทองคำ เงิน เพชรพลอย ไม้ หญ้าแห้งหรือฟาง”

 

การงานแบบไหนกัน ที่จะตีค่าเป็นทองคำ เงิน เพชรพลอย? และการงานไหนที่ตีค่าเป็น ไม้ หญ้าแห้ง ฟาง? ในตอนที่แล้ว ได้ถามว่าผู้รับใช้สานงานต่อจากอัครทูตเปาโลอย่างไร?

ก. ก่อขึ้นบนสติปัญญาอันชาญฉลาดของมนุษย์

หรือ …

ข. ก่อขึ้น บนข่าวประเสริฐในพระคริสต์

 

เรามองแล้วก็ พอจะเดาออกใช่ไหมว่าการงานที่ก่อขึ้น บนข่าวประเสริฐในพระคริสต์ คือทองคำ เงิน เพชรพลอย  และการงานที่ก่อขึ้น บนสติปัญญาอันชาญฉลาดของมนุษย์  คือ ไม้ หญ้าแห้ง ฟาง

 

ต่อมาในข้อ 13 ได้กล่าวว่า … “การงานของแต่ละคนก็จะได้ปรากฏให้เห็น   เพราะวันเวลาจะพิสูจน์ตัดสินให้เห็นได้ชัดเจนเหมือนไฟ”

 

ไฟนั้นจะพิสูจน์ให้เห็นการงานของแต่ละคนว่าเป็นอย่างไร?  สิ่งที่ทำนั้น ดูผลลัพธ์ตอนแรกๆ ไม่แตกต่างกันสักเท่าไร แรกๆ การงานทุกอย่างทั้ง แบบ ก.และแบบ ข. อาจดูเกิดผลคล้ายๆ กัน แต่เวลาและไฟ จะเป็นตัวพิสูจน์ความคงทนอยู่ของการงาน ที่ผู้รับใช้หว่านลงไปในชีวิตของผู้เชื่อ

“เวลา”   คือระยะเวลาเห็นผลแตกต่างกันออกไป  แล้วแต่บุคคล  เพราะแต่ละบุคคลก็จะผ่านสถานการณ์ที่แตกต่างกันออกไป กำหนดเวลาที่จะเห็นผลก็จะต่างระยะกันไป

“ไฟ”   คือการถูกข่มเหง ต่อต้าน ข่าวประเสริฐ สถานการณ์ ความทุกข์ยาก ความลำบาก ความเจ็บไข้ได้ป่วย ว่าความเชื่อที่มีต่อข่าวประเสริฐในพระคริสต์ นั้นแท้จริง หรือไม่จริง

 

ในบริบทนี้ คนส่วนใหญ่มักจะคิดว่าเป็นบึงไฟในวันพิพากษา  หากพิจารณาดีๆ เราจะพบสิ่งที่เปาโลพยายามจะสื่อสารได้อย่างชัดเจนว่าไฟนั้น คือเหตุการณ์และสถานการณ์  ในชีวิตของผู้เข้ามาเชื่อในพระเจ้านั่นเอง  หากผู้เชื่อได้ถูกปลูกฝังวางรากความเชื่อในข่าวประเสริฐแท้ของพระคริสต์ลงไปในชีวิต  พวกเขาจะบังเกิดใหม่  ทนอยู่ได้และยังเชื่อไป  จนลมหายใจออกจากร่าง  เพราะพวกเขาได้พบชีวิตที่แท้จริงแล้ว บนรากฐานของพระคริสต์

หากผู้เชื่อได้ถูกปลูกฝังวางรากความเชื่อในสติปัญญาอันชาญฉลาดของมนุษย์   พวกเขาจะทนอยู่ไม่ได้   จะสับสน  จะสงสัย  พวกเขาจะกังวลและหวั่นไหว แทนที่จะมีสันติสุขและความหวังเต็มเปี่ยมในพระเยซูคริสต์ ผู้สอน ผู้เลี้ยงดูที่ได้ลงแรงลงกาย เสียเวลาไปเลี้ยงดู ก็จะขาดทุนเสียประโยชน์ไปเปล่าๆ แต่เขาจะได้รับความรอด ถ้าเขาได้บังเกิดใหม่จริงๆ