วารสาร Holy News ฉบับที่ 1340

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  28  พฤศจิกายน  2021

 เรื่อง “ขอบคุณพระเจ้าในทุกกรณีได้  โดยจับตามองดู สิ่งที่มองไม่เห็น”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

หัวข้อบรรยายในวันนี้ คือ “ขอบคุณพระเจ้าในทุกกรณีได้ โดยจับตามองดูสิ่งที่มองไม่เห็น” ซึ่งเราค้างไว้เมื่อการบรรยายสัปดาห์ที่แล้ว  หัวข้อการบรรยายในสัปดาห์ที่แล้ว วันขอบคุณพระเจ้า Thanksgiving เราได้ตั้งคำถามกันไว้ว่า …

“เราจะขอบคุณพระเจ้าในทุกกรณี ในทุกสถานการณ์ได้อย่างไร?”

ยังจำได้ใช่ไหมครับ? เราจะขอบคุณพระเจ้าในทุกกรณี ในทุกสถานการณ์ ตามที่พระเจ้าสอนเรา บอกเราในพระคัมภีร์ (ชื่อเรื่อง) ได้อย่างไรล่ะ? รู้สึกมันลำบากใช่ไหม? ในยามสงบสุข มั่งมี สุขสบาย เราก็ทำได้ง่ายๆ ไม่ยากหรอก แต่ในยามทุกข์ยากลำบาก เดือดร้อน เจอวิกฤตปัญหารอบด้าน เราจะขอบคุณพระเจ้าในทุกกรณีได้อย่างไร?

ความหวังของเราควรจะอยู่ที่ไหน? ที่จะสามารถขอบคุณพระเจ้าได้ ตามที่พระองค์บอกว่าให้เราขอบคุณพระองค์ในทุกกรณี ในทุกสถานการณ์ โลกใบนี้เราก็เห็นอยู่แล้ว มันเกิดความทุกข์ขึ้นมา เกิดความไม่พอใจ เกิดความเจ็บปวดขึ้นมา แล้วเราจะขอบคุณพระเจ้าได้อย่างไร? ควรจะมีความหวังตรงไหน? ถึงจะทำได้ ตามที่พระองค์บอก ถ้าพระองค์บอก แสดงว่ามันทำได้จริง เราย้ำกันในสัปดาห์ที่แล้วว่าเราทั้งหลายที่มองกันอยู่ทุกวันนี้ ในร่างกายนี้ เหมือนตุ่มน้ำเก่าๆ มีรอยร้าวแตกๆ ต่ำต้อย อ่อนแอ แต่ในขณะเดียวกัน สิ่งที่เป็นตัวตนของเราจริงๆ ที่แท้ๆ ถาวรนิรันดร์ที่จะไปอยู่ตลอดนิรันดร์ อยู่ในตุ่มนี้ ถ้าเราเชื่อในพระเยซูคริสต์ได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์แล้ว ภายในตัวตนใหม่ของเรา ในตุ่มเก่าๆ นี้ คือวิญญาณของเรา เป็นเหมือนพระเยซู เป็นเหมือนมีค่ามากมายมหาศาล เป็นเหมือนเพชร พลอย ทองคำ ล้ำค่าอยู่ภายในตุ่มเก่าๆ นี้ พระคัมภีร์ใช้คำว่า “เรามีสมบัติอันล้ำค่าอยู่ในภาชนะเรือนดิน อันต่ำต้อย อันอ่อนแอ” ความหวังของเราไม่ได้อยู่ที่การไปจ้องมองตุ่มเก่าๆ ที่เราเห็นในกระจก แต่ให้เราหลับตา มองไป ความหวังเราอยู่ที่สมบัติอันล้ำค่า เหมือนเพชร พลอยที่อยู่ในตุ่มนี้  ก็คือวิญญาณภายในของเรา ซึ่งตาเรามองไม่เห็น แต่ต้องใช้ตาทางฝ่ายวิญญาณ และความเชื่อในถ้อยคำพระเจ้าในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล เราจึงเห็นในกระจกเลยว่าภายในของเรา วิญญาณของเราเป็นเช่นไร? มีคุณค่าขนาดไหน? ซึ่งเราได้เรียนรู้กันไปแล้วว่าทรัพย์สมบัติอันมีค่ามหาศาลที่อยู่ภายในเรา ก็คือวิญญาณที่ได้รับความรอดแล้ว ในพระเยซูคริสต์ ก็คือมีชีวิตที่เป็นนิรันดร์ ซึ่งชีวิตนิรันดร์นี้ รวมไปถึงร่างกายใหม่ที่เราจะได้รับหลังจากจากโลกนี้ไปแล้วด้วย ซึ่งพระคัมภีร์ใช้คำว่า “ร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตาย”

เราจึงสรุปคำตอบทิ้งท้ายกันในสัปดาห์ที่แล้วว่าเราไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้ ด้วยความหวังในสิ่งที่จับต้องมองเห็นได้ แต่เรามีความหวังในสิ่งที่มองด้วยตามนุษย์ไม่เห็น เราไม่ได้มีความหวังในเรื่องทรัพย์สมบัติ ทรัพย์สินเงินทองบนโลกใบนี้ที่ตามองเห็น จับต้องได้ หรือความสุขสบายบนโลกใบนี้ ที่มองเห็นอยู่ เราไม่ได้มีความหวังในสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง ไม่เจ็บป่วยเลย ย้ำอีกที เราจึงไม่ตั้งความหวัง ไปจดจ่อความหวังไว้ที่ว่าเราจะมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง ไม่เจ็บป่วยเลย พระเจ้าจะอวยพรเรา จะไม่มีการเจ็บป่วยเลย เราไม่ได้ตั้งความหวังที่นี่ แต่เราจดจ่อความหวังไปที่ทรัพย์สมบัติอันมีค่าภายในร่างกายที่อ่อนแอ ร่างกายที่อาจจะเจ็บป่วยมากหรือน้อยก็ตามที่ทนทุกข์อยู่นั่นแหละ เรามองไปที่สิ่งที่มองไม่เห็น คือทรัพย์สมบัติอันมีค่าภายใน ซึ่งวิญญาณของเรา ซึ่งอยู่ภายในนั้น อยู่ในสวรรค์แล้ว ขณะนี้ ที่เราเดินอยู่นี้ เราอยู่ในสวรรค์เบื้องบนแล้ว เราจับตามองไปที่สวรรค์ คือสวรรค์ในโลกวิญญาณว่าเราเป็นเหมือนพระเยซู ภายในเรามีค่ามากมายมหาศาล ชีวิตนิรันดร์อยู่ภายในนั้น

เพราะฉะนั้น เราจึงไม่จดจ่อในสิ่งที่เป็นของโลกนี้ ความหวังของเราอยู่ที่โลกฝ่ายวิญญาณเท่านั้น คือสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทำให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว บนไม้กางเขนนั้นเท่านั้นเอง อะไรล่ะที่พระองค์บอกว่ากระทำให้เราเรียบร้อยแล้ว ที่ไม้กางเขนนั้น ไปค้นดู ไปหาดู ไปตั้งความหวัง ไปจดจ่อมัน นั่นแหละเป็นของเรา และเป็นของเราจริงๆ และเป็นของเราแล้ว และเราได้รับแล้ว มีอยู่แล้ว และจะไปมองหาอะไรที่ไม่มี มันมีอยู่แล้ว ทำไมไม่มอง อะไรอย่างนี้ นี่คือความหมายของคำว่า “ตั้งความหวังไว้ในสิ่งที่มองไม่เห็น” ซึ่งพระคัมภีร์บอกเรา สอนเรา

และวันนี้ เราจะมาขยายความของคำตอบตรงนี้ว่าขอบคุณพระเจ้าในทุกกรณี โดยจับตามองดู สิ่งที่มองไม่เห็น ครั้งที่แล้วเราบอกว่าได้อย่างไรล่ะ ครั้งนี้เราก็ตอบว่าขอบคุณพระเจ้าในทุกกรณีได้ โดยจับตามองดูสิ่งที่มองไม่เห็น นี่แหละคือคำตอบของสัปดาห์ที่แล้ว สัปดาห์ที่แล้วบอกทำอย่างไรล่ะ? วันนี้พระเจ้าตอบแล้วว่าก็ให้มองดูในสิ่งที่มองไม่เห็นสิ คือในโลกฝ่ายวิญญาณ  ก็คือหัวข้อในการบรรยายในวันนี้นั่นเอง ซึ่งบางท่านอาจสงสัยว่าแค่ทำตามพระคัมภีร์บอกว่าจงขอบคุณพระเจ้าในทุกกรณี มันยากตรงไหน? มันง่ายนิดเดียว ให้ขอบคุณพระเจ้า ทำไมต้องมีเคล็ดลับในการที่จะให้เราสามารถที่จะขอบคุณพระเจ้าในทุกกรณีได้ มันยากตรงไหน? ทำไมต้องมานั่งจับตามอง ทำไมต้องมาขยายความ เรียนรู้กันลึกซึ้ง เรียนแล้วเรียนเล่าทุกๆ ปี ปีหนึ่งหลายๆ ครั้งที่ได้พูดถึงเรื่องเหล่านี้ บางท่านอาจจะคิดอย่างนี้ โดยเฉพาะคนที่ไม่เชื่อ คิดตามประสามนุษย์แบบนี้แหละ โอ้! ง่ายนิดเดียว ขอบคุณพระเจ้าได้ในทุกกรณี ก็ขอบคุณสิ เกิดอะไรขึ้น ก็ขอบคุณ โควิดมา ก็ขอบคุณ ป่วยเป็นโควิดก็ขอบคุณสิ มันไม่เห็นยากเลย พูดถูกนะ อย่างที่ผมเกริ่นตอนต้นๆ ว่าในยามสุขสบาย ในยามที่มีทรัพย์สมบัติเงินทองใช้ พอใช้ ไม่ลำบาก ไม่ลำบนนะ ในยามที่ไม่เจ็บป่วย ในยามที่ไม่สูญเสียสิ่งที่รัก หรือคนที่รัก ก็ขอบคุณพระเจ้าได้สิ มันไม่อยากหรอก  แต่ในยามที่มันไม่ใช่เป็นไปตามนั้น ทำอย่างไรล่ะ ในยามที่มันขัดสน (จริงๆ นะ)

คำว่า “ขัดสน” พูดคำพูดเดียวกันนะ แต่มันมีขัดสนตั้งแต่บ้าง ขัดสนนิดหน่อย จนถึงขัดสนจะตาย ขัดสนทรัพย์สินอะไรบางอย่าง หรือขัดสนอะไรบางอย่างที่วัตถุอะไรก็ช่วยไม่ได้ ก็คือขัดสนเหมือนกัน

เพราะฉะนั้น คนที่ประสบอย่างนั้น มันไม่ง่ายเลย ที่จะบอกเขาว่าให้ขอบคุณพระเจ้า นี่แหละต้องมาเรียนรู้กัน และเตรียมตัวไว้ว่าเมื่อเกิดขึ้น สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ซึ่งมันเกิดแน่นอน จะได้สามารถที่จะขอบคุณพระเจ้าได้ อันนี้ก็ตอบคนสงสัยนะ สงสัยว่ามันยากอย่างไร ถึงต้องมาเรียนรู้การขอบคุณพระเจ้าในทุกกรณี ก็ขอบคุณสิ เวลามันเกิดจริงๆ ท่านจะขอบคุณไม่ไหว ถ้าไม่เตรียมไว้ก่อน หาจุดหมาย เป้าหมายในการตั้งความหวังไว้ หาที่ไม่เจอ มันก็เป็นไปไม่ได้หรอกที่จะขอบคุณพระเจ้าได้ เพราะความหวังไปปักอยู่ที่ลมๆ แล้งๆ

อาจารย์เปาโลก็ได้มีการย้ำไว้ในหลายๆ แห่งว่าหัวใจของข่าวประเสริฐ หัวใจของการมาเชื่อพระเยซู คือการได้รับรู้ ได้เชื่อ และมีความหวัง ในสิ่งที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว ในโลกฝ่ายวิญญาณ ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับการกระทำ หรือความประพฤติของเรา ในการใช้ชีวิต ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้เลย แม้แต่นิดเดียว ได้บอก ย้ำอยู่เรื่อยๆ ตลอดเวลา ซึ่งรวมเรียกตรงนี้ว่าความรอด ความรอดที่เราได้รับจากความเชื่อในพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นหัวใจของข่าวประเสริฐนั้น ความรอดตรงนี้ ไม่ได้เกี่ยวอะไรเลยกับความประพฤติ การกระทำบนโลกใบนี้เลยแม้แต่นิดเดียว ไม่เกี่ยวกับทั้งในอดีตก่อนที่มาเชื่อ ก่อนจะได้รับความรอด หรือเชื่อแล้วในปัจจุบันดำเนินชีวิตอยู่ หรือแม้แต่ตายไป การกระทำในอดีต ที่อยู่บนโลกก็ไม่เกี่ยวอะไรกันกับการไปอยู่ในสวรรค์เลย  แม้แต่นิดเดียว เอเมน ไม่ยากนะ แต่ว่าถ้าไม่รู้มันยาก

เราเรียนตรงนี้ซ้ำมาหลายๆ ครั้งแล้ว มันถึงพอจะเข้าใจแล้ว เราถึงจะบอกว่าเอเมนได้ ถ้าเผื่อคนไม่เข้าใจ เชื่อพระเจ้ามา 3-4 สิบปีก็ไม่เอเมนนะ รู้สึกเอ๊ะ! ใช่หรือ? เป็นไปได้หรือ? เป็นไปได้สิ เพราะว่าถ้อยคำพระเจ้าว่าไว้อย่างนั้นจริงๆ ปัญหามันอยู่ที่ไหน? ปัญหา คือมันมีการเข้าใจผิด แล้วก็ถ่ายทอด สอนกันมาผิดๆ ยาวนาน พวกเราเองหลายคน ก็เคยมีประสบการณ์ตรงนี้แหละ คือมาเชื่อพระเจ้าแล้ว ต้องมีการเปลี่ยนแปลง เราเองเคยถูกสอนมาอย่างนั้น แล้วเราก็สอนไปอย่างนั้นด้วย นี่คือความเข้าใจผิด … ฟังให้ดีๆ ว่าใช่ไหม?

“มาเชื่อพระเจ้าแล้ว ต้องมีการเปลี่ยนแปลง?”

“มาเชื่อพระเจ้าแล้ว ต้องประพฤติตัวใหม่?”

“ต้องเชื่อฟังพระเจ้า”

“ต้องรักษาบทบัญญัติที่พระเจ้าสั่งห้าม”

“ห้ามทำผิดศีลธรรม”

“ต้องทำตัวให้สะอาด   ต้องทำตัวให้บริสุทธิ์”

นี่ “ต้อง” ทั้งนั้นนะ

“ห้ามทำบาป ต้องมีเมตตา ต้องช่วยเหลือ ต้องออกไปประกาศข่าวดี ต้องรับผิดชอบในความพินาศของพี่น้องร่วมโลกนี้ เมื่อเขายังไม่เชื่อ ถ้าเขาผ่านมาในชีวิตท่านแล้ว ท่านยังไม่ได้ประกาศให้เขา ท่านต้องรับผิดชอบ”

อะไรอย่างนี้ คุ้นๆ ไหม? คือมาเชื่อพระเจ้า มีแต่คำว่า “ต้องทำ” กับ “ห้ามทำ”

“ต้องทำอย่างนี้ พระเจ้าจึงจะพอพระทัย และจะได้อวยพร อยู่บนโลกใบนี้จะได้พร”

“ห้ามทำสิ่งเหล่านี้ เพราะพระเจ้าจะกริ้ว และจะตีสอน แล้วลงโทษ อยู่บนโลกใบนี้ จะไม่ได้รับพร”

ฟังดูดีๆ เหมือนมีปัญญาและน่าเชื่อถือนะ ฟังเพลินๆ หรือฟังแบบแต่ก่อน มันก็มีปัญญาดี มีเหตุมีผล แต่เหตุผลแบบมนุษย์ ที่ผมให้พูดบ่อยๆ ไม่ใช่อะไรนะ เพราะบางคำเป็นคีย์ เป็นกุญแจ แห่งถ้อยคำที่มันจะเข้าไปในจิตใจของเรา มันเข้ายาก เมื่อเราพูด มีโอกาสที่เราจะจำสิ่งเหล่านี้ได้มากขึ้น เพราะเราไม่เคย ไม่กล้าที่จะพูดตรงนี้เลย ในอดีตที่ผ่านมา เพราะว่าความคิดเก่าๆ แบบมนุษย์มันฝังอยู่ในนั้นว่าฟังดูดี มันใช่เลย แต่มันใช่แบบตรรกะ เหตุผลแบบมนุษย์ แต่เรื่องพระเจ้ามันไม่ใช่เหตุผลแบบมนุษย์ มันเป็นฤทธิ์เดช เป็นพลังอำนาจ ความเปลี่ยนแปลง เป็นความรักของพระเจ้า เป็นอะไรที่มนุษย์ไม่สามารถเข้าใจได้ แต่เป็นจริง และพระคัมภีร์ก็บันทึกไว้ ที่สอนเรา สิ่งที่เราไม่รู้ ไม่เข้าใจ แล้วให้เราทำอะไร ถ้อยคำพระเจ้าเขียน ให้เราเชื่อ ไม่ได้ให้เราเข้าใจ มันไม่มีเข้าใจอยู่แล้ว เป็นลูกพระเจ้า เดินอยู่บนโลกใบนี้ มันไม่เข้าใจอยู่แล้ว ข้างนอกเป็นตุ่ม ข้างในเป็นสง่างามมาก เหมือนพระเยซู เข้าใจไหม? ไม่เข้าใจ แต่ให้เชื่อ เพราะมันมองไม่เห็น

พอสอนกันผิดๆ แบบนี้ เข้าใจกันผิดๆ แบบนี้ ปัญหาที่ตามมา คืออะไร? ท่านลองสังเกต ฟังดูดีมีเหตุผล แต่ทำไมพระคัมภีร์แย้ง แล้วทำไมผมต้องมาแย้ง เพราะมันจะเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นมา ปัญหา คือคริสเตียนหรือผู้เชื่อ ก็ไปฝากความหวังไว้ที่ผลของการกระทำของตัวเอง และผู้เชื่อรอบข้างเรา  ก็ไปตัดสินตามที่มองเห็น เขาทำอะไร? อย่างไร?  ประพฤติอย่างไร? แล้วก็ตัดสินตามนั้น ทั้งๆ ที่ตัวเอง ก็ตัดสินตัวเองแบบนั้นเหมือนกัน ก็คือตัดสินตามความประพฤติ ตามการกระทำของตัวเอง บนโลกใบนี้ กลับมาที่เดิม ก็คือการกระทำตาม เขาเรียกว่ากฎบัญญัติ ถ้าเป็นชาวยิว เขาเรียกว่ากฎบัญญัติสมัยโมเสส ถ้าเป็นคนที่ไม่มีศาสนา เขาก็จะบอกว่าตามกฎที่เขียนไว้ในใจ ที่พระเจ้าบันทึกไว้ในใจ จิตใต้สำนึกจะเป็นคนฟ้องว่ามันผิด มันถูก และถ้าเป็นกฎที่ไม่ใช่ชาวยิว แต่มีศาสนา เขาเรียกบัญญัตินี้ว่ากฎของการกระทำ ถ้าเป็นคนไทย เรียกว่ากฎแห่งกรรม ถ้าเป็นชาวเอเชียเรียกว่ากฎแห่งกรรม ถ้าเป็นทั่วๆ ไป เรียกว่ากฎแห่งศีลธรรม คือมีทำกับอย่าทำ ต้องทำกับห้ามทำ ทั้งสองอย่าง พระคัมภีร์บอกเป็นบาปทั้งสิ้น  อย่าทำ ถ้าทำก็เป็นบาป  ให้ทำ ถ้าไม่ได้ทำ ก็เป็นบาป เพราะฉะนั้น พระคัมภีร์จึงบอกว่าถ้ารู้ว่าอะไรดี แล้วไม่ได้ทำ ก็เป็นบาป ก็กลับมาอยู่ที่นี่หมด ทั้งๆ ที่เราเชื่อพระเยซูแล้ว ได้หลุดพ้นจากคำสาปแช่ง กฎแห่งการกระทำเหล่านี้ เรียบร้อยไปแล้ว ก็กลับมาที่เดิม มาอยู่ที่การกระทำ ยกตัวอย่างเช่น ให้เราทำดีเยอะๆ หมายถึงผู้เชื่อแล้วนะ …

“ถ้าเกิดเราทำดีเยอะๆ พระเจ้าจะพอใจ จะอวยพรมาก เพราะฉะนั้น ให้เราออกไปประกาศเยอะๆ เจอใครไม่รู้ รู้จักพระเจ้าหรือไม่รู้จักพระเจ้าประกาศไปก่อน เพื่อเราจะได้รับพระพร เพื่อว่าเราจะไปประกาศให้คนอื่นเขาเชื่อ แล้วครอบครัวเราที่ยังไม่เชื่อ เขาจะได้เชื่อไง  เราจะได้รับพระพร หรือไม่ก็ได้รับพระพรอย่างอื่นด้วย ไม่ต้องกลัว เราจะได้รับการโปรโมทให้ตำแหน่งการงานที่กระทำอยู่นี้ ดีขึ้น ไม่ต้องกลัว เอาเวลาที่เขาจะประชุมเรื่อง การที่เราเป็นลูกจ้างเขาอยู่ เอาไปประกาศ  ไม่เป็นไรหรอก  พระเจ้าพอใจมาก ประกาศ มีคนเชื่อ ประกาศมากเท่าไร เผื่อจะได้รับการโปรโมทให้เป็นผู้จัดการ” … คุ้นๆ ไหม?

“ให้เราไปช่วยเหลือคนอื่นเยอะๆ ไปเยี่ยมลูกแกะ ไปดูแลคนอื่น เขาไม่สบายอะไรต่างๆ เราจะได้รับกลับมาเหมือนกัน” … คุ้นๆ ไหม?  “และพระเจ้าจะอวยพรเราเยอะๆ กลับมา”

ตั้งความหวังไว้ที่นั่น ชีวิตของเรา ก็จะมีแต่ความสุขสบาย ถ้าทำตามที่เขาบอก แล้วมันได้ตามนั้นจริงไหม? ถามสิ คนที่มาเชื่อพระเจ้าใหม่ๆ อาจจะยังตอบไม่ได้หรอก เพราะว่ายังไม่มีประสบการณ์ ยังตามเขาอยู่ ทำตามนั้นแหละ แล้วหวังไง หวังว่าสิ่งที่เขาบอกให้ทำ ต้องทำๆ พระเจ้าพอพระทัย จะได้พระพรทางโลกฝ่ายวิญญาณ และโลกฝ่ายวัตถุบนโลกใบนี้ ได้อยู่สุขสบายดี สบายกาย สบายใจ ไม่เจ็บป่วย ไม่ขัดสน

ฟังดูดี มีเหตุผลไหม? ต้องตอบว่าฟังดูดี มีเหตุผล ตามกฎแห่งกรรมเลยทีเดียวเชียวล่ะ  แต่มันไม่ใช่สติปัญญาของพระเจ้า มันเป็นสติปัญญาของใคร? ของมนุษย์ ที่ได้เข้าใจแค่นั้นแหละ คือทำดี ต้องได้ดีสิ ซึ่งในความเป็นจริง เกิดอะไรขึ้น ถ้าเผื่อเราเชื่อตามกฎแห่งกรรมนั้น เราก็รู้อยู่ ก่อนที่จะมาเชื่อพระเจ้า เราก็รู้อยู่ว่าเราเผชิญกับชีวิตที่เป็นอย่างไร? ทุกสิ่งทุกอย่างมันไม่แน่นอนเลย แล้วมาดูเรื่องของเมื่อตะกี้ที่คริสเตียนเชื่อพระเจ้า แล้วเข้าใจผิด เกิดอะไรขึ้นครับ? คริสเตียนคนไหนที่ตั้งใจจะทำความดีตามนี้ ตั้งใจจะทำให้เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า ตั้งใจทำตามกฎระเบียบทุกอย่าง กฎศีลธรรมทุกอย่าง ตามภาษามนุษย์ มันดีอยู่แล้ว ถูกไหมครับ? ไม่ใช่ว่าไปต่อต้านว่าไม่ดี ดี มันมาตรฐาน ไม่เชื่อพระเจ้า ยังบอกว่าดีเลย นับภาษาอะไรกับเราที่เชื่อพระเจ้าแล้ว เป็นคริสเตียนแล้ว ยิ่ง 100% ว่ามันดีแน่นอน แต่ไม่ใช่ เพื่อความหวังว่าจะมีสุข สบาย เพราะคริสเตียนคนไหน ที่ตั้งใจทำความดีอย่างนี้ พยายามที่สุด  ไม่ทำบาปเลย ทำทุกอย่าง ประกาศเต็มที่ ทุกคนที่ประพฤติแบบนี้ ก็จะได้รับสิ่งที่ดีๆ หลุดพ้นจากความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ มีความสุขสบายกันทุกคน ไม่เจ็บป่วยเลย ไม่ยากจนด้วย อย่างนั้นหรือเปล่า? … มันไม่ใช่นะ  มันไม่จริง ก็แสดงว่าไม่ใช่ คือไม่จริง ตั้งความหวังไว้ที่ลมๆ แล้งๆ มากกว่า แม้ว่าความหวังที่ตั้งไว้นั้น จะฟังดู แล้วดูดี มีเหตุผลแบบมนุษย์ก็ตาม มันไม่จริง มันไม่ใช่ตามนั้นเลย

เราเห็นตัวอย่างกันมาเยอะว่าคนที่ทำดี  แต่ต้องเจอกับสิ่งที่ไม่ดีมีให้เห็นเยอะไหม? เยอะมาก เต็มไปหมด และคนที่ประพฤติไม่ดี แต่ดูเหมือนได้รับสิ่งที่ดีๆ ตามที่ตาเรามองเห็น ก็มีจำนวนไม่น้อย จริงหรือไม่จริง เรามีประสบการณ์ตัวเราเอง หรือพี่น้องคริสเตียนที่อยู่รอบข้างเรา ที่เราได้รู้จัก ได้ยิน ได้ฟังคำพยานของเขา เป็นคนที่เชื่อพระเจ้ามากๆ เป็นคนที่อธิษฐานมั่นคง เชื่อพระเจ้ามั่นคง เป็นคนที่ทำตามพระวิญญาณที่สถิตภายใน ดำเนินชีวิตด้วยความรัก สงบเสงี่ยม เป็นคนที่รักบรรดามนุษยชาติยิ่งนัก ก็คือไม่โกรธ ไม่เกลียด ไม่แค้นใครเลย แต่ประสบอุบัติเหตุปางตาย  ถึงขนาดพิการ มีไหม? แล้วเขาก็ยังขอบคุณพระเจ้าได้ นี่แหละ คือสิ่งที่เป็นจริง

เพราะฉะนั้น ถ้าเราไปฝากผลของการกระทำของเราบนโลกใบนี้ว่าเราทำอย่างนี้ ต้องได้ดีแน่นอน ยังคาดหวังว่าถ้าเราทำดี เชื่อฟังพระเจ้า ทำกฎศีลธรรมอย่างถูกต้อง พระเจ้าต้องอวยพรเราอย่างแน่นอน ให้ทรัพย์สินเงินทองเพิ่มขึ้น ให้ความสุขสบายมากขึ้น พระเจ้าอวยพรให้กิจการงานรุ่งเรืองขึ้น พระเจ้าจะให้เรามีสุขภาพแข็งแรงอย่างไม่เจ็บป่วยเลย รวมทั้งครอบครัวของเราด้วย พระเจ้าจะอวยพรให้ชีวิตครอบครัวราบรื่น ไม่มีกระทบกระทั่ง ไม่มีการแตกแยกเลยในครอบครัว  แล้วมันเกิดอะไรขึ้น มันเป็นไปไม่ได้ ก็เกิดผิดหวังแน่นอน แล้วถ้าเกิดการผิดหวัง ผลที่ได้รับ คือมันไม่ได้เป็นไปตามที่คาดหวัง แล้วคิดว่านี่คือสิ่งที่พระเจ้าสัญญาไว้ เอาล่ะสิ เกิดความเข้าใจผิดกับพระเจ้า คือเราเป็นลูก พระเจ้าเป็นพ่อ เกิดความบาดหมางระหว่างพ่อกับลูกแล้ว ใครเป็นตัวการหนอ ซึ่งเราก็ทราบกันไปเมื่อสักครู่แล้ว การไม่เป็นไปตามที่หวัง มันมีแน่นอน 100% เลย เพราะมันไม่จริง ตามที่หวังไว้ มันถูกโกหก หรือเข้าใจผิดมา แล้วชีวิตคริสเตียนของคนนั้น หรือของเรา ชีวิตของผู้เชื่อคนนั้น จะเป็นเช่นไรต่อไป? เมื่อเกิดเหตุขึ้น  เขาหรือเราที่เข้าใจผิด ตั้งความหวังไว้ผิด ก็จะตั้งคำถามกับพระเจ้าว่าพระองค์ทำไม? พ่อทำไม? ทำไมล่ะ? แทนที่จะเป็นขอบคุณ อะไรขอบคุณได้ ตอนที่มันเกิดเหตุ มีสิ เดี๋ยวจะพาท่านไปฟัง พระเจ้าชี้ให้เราเห็นผ่านอาจารย์เปาโล ตรงไหนที่เราตั้งความหวังไว้ ที่เราจะขอบคุณ ไม่ใช่ “ทำไมๆ” ก็เพราะเราตั้งความหวังไว้ผิดที่ เราคิดว่าทำไมไม่ทำตาม สิ่งที่สัญญา พระเจ้าบอกไม่ได้สัญญาตรงนี้อย่างนี้สักหน่อย ใครบอกเจ้าล่ะ หันไปหาคนข้างๆ เธอบอกหรือ? ศิษยาภิบาลสอนอย่างนี้หรือ? ตัวเองคิดหรือ? มันถูกหมดแหละ แต่หัวเรือใหญ่ ก็คือระบบของโลกนี้ ซึ่งดำเนินการโดยมาร ซึ่งต่อสู้ ต่อต้านกับพระเจ้า จะเสี่ยมให้เราทะเลาะกับพ่อของเรา แตกแยกกับพ่อของเรา ไม่เข้าใจพ่อของเรานั่นเอง ซึ่งจริงๆ แล้ว พระเจ้าไม่เคยสัญญากับเรา ผู้เชื่อในเรื่องของวัตถุสิ่งของบนโลกใบนี้ หรือเรียกว่าความสุขสบาย หรือสิ่งที่จับต้องมองเห็นได้ในโลกใบนี้ ซึ่งเรียกว่าพระพรบนโลกใบนี้ มีแต่คนไปตีความหมายผิด และสอนผิดกันเอง ตามถ้อยคำของพระองค์ในพระคัมภีร์ แทนที่จะเป็นเรื่องโลกวิญญาณอย่างเดียว ไปใส่ว่ามันหมายถึงโลกวัตถุด้วย

อย่างเช่น “ด้วยรอยแผลเฆี่ยนของพระเยซู ท่านได้รับการรักษาให้หายแล้ว”

ให้หายจากบาป หายจากการเป็นทาสของมารซาตาน หายจากนรกมาสู่สวรรค์ โลกวิญญาณทั้งสิ้น ไม่ใช่หายจากมะเร็ง แล้วกลายเป็นคนแข็งแรง ไม่ได้สัญญาไว้อย่างนั้น นี่ไปใช้กันเอง นี่ยกตัวอย่าง ยังมีอีกเยอะไปหมดเลย

ความจริงที่เรียกว่าสัจจะธรรม หรือความจริงที่พระเยซูพูดอยู่บ่อยๆ เราจะบอกความจริงแก่ท่าน  ความจริง คือโลกนี้และการกระทำของเราบนโลกใบนี้ ไม่มีอะไรที่แน่นอนเลย ที่มันจะส่งผลให้เป็นไปตามที่เราคาดหวัง มันไม่แน่นอนเลย  มันเชื่อถือไม่ได้ มันวางใจไม่ได้  แต่สิ่งที่พระเจ้าสัญญาไว้ในโลกฝ่ายวิญญาณต่างหาก ที่พระองค์ทรงกระทำสำเร็จแล้วที่ไม้กางเขน ที่บอกไว้ในโลกฝ่ายวิญญาณว่าเป็นอย่างไร? ในพระคัมภีร์นั้น เป็นสิ่งที่ถาวรนิรันดร์ เป็นอย่างนี้จริงๆ ที่พระเยซูบอก “เราบอกความจริงแก่ท่านจริงๆ” พระเจ้าลงมาเป็นมนุษย์ แล้วพูดกับเราว่ามันเป็นจริงตามนี้ จงเชื่อเถิด จงมั่นใจว่ามันเป็นจริง และมันเป็นจริงคืออะไร? คือมันเป็นอย่างนี้ ถาวรนิรันดร์ ถ้าทำ ก็ได้แน่นอน อย่างเช่นเชื่อในพระเยซูแล้วได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า นี่เป็นลูกพระเจ้าแน่นอน ได้รับความรอด จากความพินาศ เมื่อจากโลกนี้ไปแล้ว วิญญาณท่านได้รับร่างกายใหม่ อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้านิรันดร์กาล อย่างนี้เป็นจริงแน่นอน นี่คือสัจจะธรรม

แต่โลกนี้มันเสื่อมอยู่ มันเสียอยู่ มันปกครองระบบของโลกใบนี้ โดยมาร ซึ่งต่อต้านความจริงของพระเจ้า มันก็คือการโกหกหลอกลวงทั้งสิ้น และมันอยู่อีกไม่นาน มันจะสูญสิ้นไปแล้ว อย่าไปเชื่อมัน นี่คือความจริง อาจารย์เปาโลก็เลยย้ำแล้วย้ำอีกว่าสิ่งที่เราได้รับบนโลกนี้ ไม่ว่าจะเป็นความสุขสบาย หรือความทุกข์ยากลำบาก ก็ล้วนเป็นเพียงสิ่งชั่วคราว มันไม่แน่นอน มันไม่ใช่ระบบของพระเจ้า มันเป็นระบบของมาร ศัตรูกับพระเจ้า และมันถูกตัดสินให้สูญสิ้นไป มันไม่แน่นอน มันจึงเป็นเพียงแค่เงา แป๊บเดียว เป็นสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ดังนั้น จึงไม่ควรไปจับตามองดูในสิ่งที่มองเห็นอยู่บนโลกใบนี้ มันจะหลอกให้เราไปจับตาดูเงา ซึ่งไม่แน่นอน วิ่งไล่จับลม แล้วมันอยู่ไหม? เอาความหวังไปที่วิ่งจับลม ก็คือความหวังแบบลมๆ แล้งๆ แต่ควรหันมาจับตามองดูในสิ่งที่มองไม่เห็น ในโลกฝ่ายวิญญาณ  ที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำให้เราสำเร็จเรียบร้อยแล้ว บนไม้กางเขนต่างหาก นี่คือหัวใจของข่าวประเสริฐ เอเมน นี่คือความจริง

2 โครินธ์ 4:16-18 ที่เราทิ้งท้ายไว้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว วันนี้เอามาทวนอีกนิดหนึ่ง เพื่อให้เห็นชัดเจนว่าเราควรจดจ่อ จับตามองดูไปที่สิ่งที่มองไม่เห็น เพราะอะไร? อย่างไง? สรุปอยู่ใน 3 ข้อนี้ …

2 โครินธ์ 4:16-18  “16 ฉะนั้น เราไม่ท้อถอย (ผิดหวัง เสียใจ กลัว) แม้ว่ากายภายนอกของเรากำลังทรุดโทรมไป แต่ตัวตนภายใน (วิญญาณและจิตใจที่ได้บังเกิดใหม่แล้วในพระคริสต์) ของเรากำลังได้รับการเลี้ยงดู เสริมสร้างขึ้นใหม่ ให้เจริญเติบโตขึ้นทุกวัน 17 เพราะความทุกข์ยากลำบากที่เราได้รับอยู่ในขณะนี้นั้น เป็นเพียงสิ่งชั่วคราว และเป็นเพียงสิ่งเล็กน้อย ที่กำลังเสริมสร้าง หล่อหลอม และจัดเตรียมเรา เข้าไปสู่สง่าราศี พระสิริอันยิ่งใหญ่ สมบูรณ์นิรันดร์  ที่ไม่มีสิ่งใด สามารถเปรียบได้เลย  18 ดังนั้น  เราจึงไม่จับตามองดูสิ่งที่มองเห็นอยู่ แต่จับตามองดูสิ่งที่มองไม่เห็น เพราะสิ่งที่มองเห็นอยู่นั้น เป็นเพียงชั่วคราว เดี๋ยวมันก็ผ่านไป ไม่ยั่งยืน (เหมือนเงา) แต่สิ่งที่มองไม่เห็นนั้น เป็นถาวรนิรันดร์”

 

“เหมือนเงา” อะไรเหมือนเงา? ความทุกข์ลำบาก ความสูญเสีย ความเจ็บป่วย ความขัดสน

ในข้อ 16 ที่บอกว่า “ฉะนั้น” ก็คือก่อนหน้านั้น พูดเรื่องเกี่ยวกับอะไร? เรื่องเกี่ยวกับความเชื่อในตุ่มเก่าๆ กับของมีค่าในตุ่มเก่าๆ คือวิญญาณของเราที่ได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ “ฉะนั้น เมื่อรู้ความจริงเหล่านี้แล้วว่ามันเป็นอย่างนี้” จากที่ได้รับรู้และได้เชื่อในความจริงนี้ว่าร่างกายภายนอกของเรา เป็นเพียงแค่ตุ่มเก่าๆ ตุ่มอ่อนแอ แต่มีสมบัติอันล้ำค่าอยู่ภายใน ฉะนั้น เมื่อเรารู้อย่างนี้แล้ว เราจงอย่าไปสนใจกับตุ่มนี้มากนัก ถูกไหม? ฉะนั้น เราจึงไม่ท้อถอย ผิดหวัง เสียใจ รวมทั้งกลัว เครียดกับตุ่มนี้ ก็คือร่างกายที่เราเห็นในกระจก ร่างกายเรา ที่เราดูแลอยู่ทุกวันนี้ ที่มันเกิดความทุกข์ลำบาก ทุกข์ทั้งกายและทั้งใจ  ก็คือมาจากร่างกายนี้อย่างเดียว วิญญาณออกจากร่างเมื่อไรมันจบทันที

ฉะนั้น เมื่อเรารู้อย่างนี้แล้ว เราจึงไม่ท้อถอย คือไม่สนใจมันมากนัก  ก็ไม่ท้อถอย ก็ไม่ผิดหวัง เมื่อมันอ่อนแอ เมื่อมันเจ็บป่วย  กำลังวิ่งไปสู่ความตาย ก็ไม่รู้สึกท้อแท้ แล้วรู้สึกว่ามันเป็นจริงตามนั้น ภาษาไทยเดิมเราก็บอกว่าเป็นอนิจัง ก็คือสังขารมันไม่เที่ยง มันก็กำลังเปลี่ยนแปลงทุกวัน เป็นไปตามกฎของโลกใบนี้อยู่แล้ว คือกฎที่พระเจ้าวางอยู่ คือโลกใบนี้ถูกสาปแช่ง ไปสู่ความสูญสิ้น ไม่ใช่ร่างกายเราอย่างเดียว ที่ไปสู่ความสูญสิ้น ไปสู่ความตาย เริ่มอ่อนแอ เริ่มเสียหายอะไรต่างๆ จนที่สุด หมดลมหายใจ ไม่ใช่ร่างกายอย่างเดียว ร่างกายของมนุษย์ทุกคนเป็นอย่างนี้ ร่างกายของสัตว์ด้วย ร่างกายของต้นไม้ ร่างกายของหิน ของอากาศ ของทุกอย่างบนโลกใบนี้ โลกธาตุบนโลกใบนี้ กำลังวิ่งไปสู่ความตาย ความสูญสิ้น เพราะมันถูกสาปแช่ง ถูกตัดสินไปเรียบร้อยแล้ว มันเป็นเช่นนั้นแหละ นี่คือสัจจะธรรม นี่คือความเป็นจริง ถ้าเราไปฝืน มันจะได้ไหมล่ะ มันก็ไม่ได้สิ มันกำลังวิ่งไปสู่ความตาย เราบอกว่าฉันจะแข็งแรง ฉันจะสู้กับมัน ก็เครียดต่อไป ก็ผิดหวังต่อไป

ทำไมถึงไม่ท้อแท้ ไม่ท้อถอย และไม่กลัว ก็เพราะรู้แล้วว่าถึงแม้กายภายนอกของเราและโลกนี้ กำลังทรุดโทรมไปตามที่บอกไปเมื่อตะกี้นี้ แต่มีสิ่งใหม่ ที่เราตั้งความหวังไว้ ซึ่งก่อเกิดขึ้น เมื่อเราเชื่อในพระเยซูคริสต์ และมันกำลังเจริญเติบโต ภายในตุ่มเก่าๆ นี้ ก็คือภายในตัวเรานี้  คือวิญญาณและจิตใจ ที่ได้บังเกิดใหม่แล้วในพระคริสต์นั่นเอง วิญญาณและใจใหม่ ที่เกิดขึ้นใหม่แล้ว เป็นตัวตนจริงๆ เกิดขึ้นใหม่ในพระเยซูคริสต์ มันกำลังเจริญเติบโตขึ้นเรื่อยๆ โดยมีพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นพี่เลี้ยงภายใน และมันก็เติบโตขึ้นทุกวันๆ จงมองให้เห็นเถิด ภาษาอังกฤษเขาใช้คำว่า Be hold จงมองให้เห็นเถิดว่าเมื่อท่านเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว ท่านได้ถูกสร้างใหม่ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นใหม่ทั้งสิ้น แล้วกำลังเจริญเติบโตไปสู่ความใหม่เอี่ยม เหมือนพระเจ้าเข้าทุกวัน เตรียมตัวเข้าไปอยู่ในสวรรค์ทุกวัน

ในข้อ 17 บอกว่าความทุกข์ยากลำบากที่เราเผชิญอยู่ในขณะนี้ เดี๋ยวนี้ ตอนนี้ บนโลกใบนี้ มันเป็นเพียงสิ่งชั่วคราว และเป็นสิ่งเล็กน้อย  ที่ตะกี้นี้เราพูดพร้อมกันว่าเหมือนเงาๆ มันเหมือนเงา ท่านดูว่าเปรียบเทียบกันได้ไหมว่าความทุกข์ยากเหล่านี้ มันเป็นเงา แล้วตัวจริงๆ ของเราที่อยู่ในสวรรค์ เป็นลูกของพระเจ้าที่จะอยู่กับพระองค์อย่างนี้ สวรรคสถานเรียบร้อยไปแล้วตลอดนิรันดร์ กับเงา เดี๋ยวมันก็ไป เงานี้จบเมื่อไร? เราก็เข้าไปสู่สวรรค์นิรันดร์กาลแล้ว ไม่ต้องทนทุกข์ลำบาก ไม่ต้องมีความเจ็บป่วย มีความสุขนิรันดร์ มันเทียบกันได้ไหม? จะบอกว่าเงากับของจริง มันเทียบกันไม่ได้ เงาเดี๋ยวแป๊บหนึ่ง ก็ผ่านไปแล้ว แต่ของจริงมันอยู่ตลอด

พออ่านถึงตรงนี้ คนที่ไม่เคย เรียนรู้ถึงประวัติของอาจารย์เปาโล ที่เป็นผู้เขียนคำนี้ออกมา เมื่อตะกี้นี้ อาจารย์เปาโลเขียนตามพระวิญญาณสอน  สอนจากอะไร? อาจารย์เปาโลเรียนรู้ด้วยชีวิตของตนเอง  เพราะฉะนั้น ถ้าทราบประวัติอาจารย์เปาโลผู้เขียนนี้ มันหมายถึงอะไร? ไม่ใช่ไม่เคยผ่าน แล้วเขียน แต่นี่คือคำพูดของคนที่เคยผ่านการทุกข์ทรมาน ความทุกข์ยากลำบาก  ทุกรูปแบบ ทั้งเรือแตก อดอยาก ขาดแคลนเสื้อผ้า ขาดแคลนอาหาร ถูกข่มเหง หนีหัวซุกหัวซุน ถูกเฆี่ยน ถูกตี ถูกจับเข้าคุก แต่ยังบอกว่าทั้งหมดนี้ เป็นเพียงแค่สิ่งเล็กน้อย

ถ้าอาจารย์เปาโลผ่านอย่างนั้นมา แล้วบอกว่าสิ่งเล็กน้อย แล้วพวกเราที่ผ่านความทุกข์ยากลำบากในปัจจุบันอยู่ คงไม่รู้จะเทียบกันอย่างไร? แต่เทียบไม่ได้นะ แล้วแต่ของประทาน ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้แต่ละคนไม่เท่ากัน ไม่เหมือนกันสักคนหนึ่ง บางคนก็ทนได้มากหน่อย บางคนก็ทนได้น้อยหน่อย บางคนทนเรื่องโน้น ได้มากหน่อย แล้วแต่คน

คือถ้ามองความทุกข์ยากลำบาก ความทรมานอย่างนี้เพียงอย่างเดียว  มันก็จะเป็นเรื่องใหญ่โตมาก ถ้าอาจารย์เปาโลมองเพ่งแต่ความทุกข์ยากลำบากที่เกิดขึ้นกับท่าน มันไม่ใช่เป็นเงาแล้ว มันก็กลายเป็นภูเขาใหญ่ สำหรับมนุษย์คนๆ หนึ่งที่รับได้ แต่อาจารย์เปาโลไม่ได้เพ่งตามนั้น อาจารย์เปาโลบอกว่าเพียงเล็กน้อยได้ เพราะท่านกำลังเปรียบเทียบสิ่งที่ท่านได้รับในโลกวิญญาณ แม้จะเป็นสิ่งที่ท่านมองไม่เห็น แต่ก็เป็นสิ่งที่มั่นใจ เชื่อและรับรู้ตามสิ่งที่พระคัมภีร์ได้บอก พระวิญญาณได้ยืนยันในจิตใจว่ามันเป็นจริง มีอยู่จริง และเป็นสิ่งถาวรนิรันดร์ นั่นคือความรอดในพระเยซูคริสต์ นั่นคือสวรรค์ในพระเยซูคริสต์ วิญญาณของท่านอยู่ในสวรรค์แล้ว ในขณะที่ความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ ที่ท่านเผชิญอยู่ขณะนั้น วิญญาณท่านก็อยู่ในสวรรค์ อยู่ที่เบื้องบน อยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรคสถานเรียบร้อยแล้วนั่นเอง ท่านถึงบอกว่าอยากให้พวกเราทั้งหลาย ผู้ที่เชื่อใหม่ๆ ผู้ที่เชื่อพระเจ้าได้รู้ ได้เห็นเหมือนที่ท่านได้รู้ ท่านได้อธิษฐานขอพระเจ้าเปิดตาฝ่ายวิญญาณ เขาจะได้เห็นว่าเขาบังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์แล้ว เขานั่งอยู่ที่ไหนในพระเยซูคริสต์ในขณะนี้ เขาอยู่ที่ไหน? เดี๋ยวนี้เลย อยู่บนโลกใบนี้ ขณะที่ทุกข์ยากลำบาก เขานั่งอยู่ที่ไหน?  ในเอเฟซัส 1:18 เป็นต้นไป อาจารย์เปาโลได้อธิษฐานอย่างนั้น

เปาโลจึงใช้คำว่า “ความทุกข์ยากลำบากเพียงประเดี๋ยวเดียว ประเดี๋ยวประด๋าว แป๊บเดียว เหมือนเงา ที่เราเผชิญบนโลกใบนี้นั้น เทียบอะไรไม่ได้เลยกับสง่าราศี พระสิริอันยิ่งใหญ่สมบูรณ์นิรันดร์ ที่เราได้รับแล้วในโลกวิญญาณ ที่พระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้

ถ้าเรามองดูด้วยสายตาของมนุษย์ เราจะเห็นความทุกข์ยากลำบาก บนโลกใบนี้ เป็นเรื่องใหญ่โตมาก แค่หมอบอกว่าเราเป็นเนื้องอกในสมอง เราเป็นมะเร็ง ตื่นเต้น ถ้าเราจดจ้องมันมาก ไม่ต้องจดจ้อง แค่ได้ยินแค่นี้ ก็เป็นเรื่องใหญ่โตมาก นี่เป็นเรื่องจริง เป็นเรื่องหนักหนา สาหัสสากันมากเลย ยิ่งไปจ้องมันมากเท่าไร? ยิ่งให้ความหวังกับมันมากเท่าไร? พอผิดหวังขึ้นมา เขาเรียกว่าข่าวร้ายเข้ามา เราจะตกใจมากขึ้นเท่านั้น แล้วก็เกิดความวิตกกังวล เกิดความกลัว และท้อแท้ ท้อถอย ซึ่งไม่ตรงกับความเป็นจริงในถ้อยคำพระเจ้าที่ตะกี้เราอ่านร่วมกัน

อาจารย์เปาโลเลยอยากจะให้เราหันความสนใจ ไปที่โลกฝ่ายวิญญาณว่าถ้าเรามองด้วยสายตาฝ่ายวิญญาณ ในสถานการณ์ความทุกข์ยากลำบากนั้น แทนที่จะมองความทุกข์ยากลำบากในสายตาแบบมนุษย์ ตามสติปัญญาแบบมนุษย์ ที่จะเข้าใจได้ เรามองทะลุไปที่โลกฝ่ายวิญญาณเลยว่าตัวตนภายในของเรา เป็นวิญญาณที่เหมือนพระเยซูแล้วในขณะนี้ เป็นทรัพย์สมบัติอันมีค่า และวันหนึ่งในอนาคตอันใกล้ ข้างหน้านี้  เราจะได้รับร่างกายใหม่ ที่สมบูรณ์แบบครบถ้วน ถ้าเราจดจ้องมองไปที่ตรงนั้น มั่นใจว่าเราได้รับมาเรียบร้อยแล้ว ผ่านทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์ เราก็จะมีความคิดเหมือนที่เปาโลบอก ที่บันทึกไว้เมื่อสักครู่นี้ ที่เราอ่านร่วมกัน คือสิ่งที่เรากำลังเผชิญอยู่บนโลกใบนี้นั้น มันเป็นเพียงแค่ชั่วคราว มันเป็นสิ่งเล็กน้อยเท่านั้น ที่บอกว่าเป็นมะเร็ง ที่บอกว่าเบาหวาน รักษาไม่ได้ เป็นเนื้องอก รักษาไม่ได้ ที่บอกว่าจนรักษาไม่ได้ ไม่มีทางรวยแล้ว หนี้ใช้ไม่หมดแล้ว ล้มละลาย อดอยากลำบากต่างๆ เหล่านั้น เราจะมองเห็นสิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งแค่เพียงชั่วคราวเท่านั้น

เพราะฉะนั้น ตรงนี้ คือคำตอบที่บอกว่าเราจะสามารถขอบคุณพระเจ้าได้ในทุกกรณี ในทุกสถานการณ์ได้อย่างไร? คำตอบ ก็คือโดยการจับตาดู ในสิ่งที่มองไม่เห็น … “จับตามองดู สิ่งที่มองไม่เห็น” เกิดความทุกข์ยากลำบากมาเมื่อไร? มันมาแน่นอน  มากหรือน้อยแล้วแต่ บนโลกใบนี้ เตือนตัวเองไว้ สิ่งที่มองเห็นอยู่ คือความเจ็บป่วย ความยากจน ความสูญเสีย ความเครียดอะไรต่างๆ เหล่านั้น ถ้าจับตามองดูสิ่งที่มองไม่เห็น ก็คือพระพรนานัปการในโลกวิญญาณ  ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้เรียบร้อยแล้ว ได้รับเรียบร้อยแล้ว ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ที่พระองค์บอกสำเร็จแล้วนั่นเอง เอเฟซัส 1:3  บันทึกไว้อย่างนี้ …

เอเฟซัส 1:3 “สรรเสริญพระเจ้าพระบิดาของพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา  ผู้ประทานพระพรฝ่ายจิตวิญญาณนานัปการในพระคริสต์แก่เราทั้งหลายในสวรรคสถาน”

 

นี่ให้จับตามองดูสิ่งที่มองไม่เห็น ผมยกตัวอย่างตรงนี้มาให้ข้อนี้ข้อเดียว ท่านจับตามองดูข้อนี้ข้อเดียว ก็พอแล้ว คือพระพรนานัปการ ในพระคริสต์ ผู้ได้ประทานพระพรผ่านวิญญาณ นานัปการในพระคริสต์

“นานัปการ” แปลว่าบางสิ่ง ไม่ใช่ แปลว่าหลายๆ สิ่ง ไม่ใช่ แปลว่าทุกๆ สิ่ง “ทุกๆ” แปลว่าไม่มีอะไรขาด แม้แต่นิดเดียว ก็ไม่ขาด พระพรนานัปการในพระเยซูคริสต์ ได้ประทานให้เราเรียบร้อยแล้ว มองไปที่ตรงนี้สิ  จดจ้อง จดจำ ไปที่ตรงนี้ แล้วพระพรตรงนี้ รวมๆ แล้ว คือเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว อธิบายให้ฟังแล้ว ก็คือชีวิตนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์ ที่ครบถ้วนบริบูรณ์ จดจ้องไปที่นี่เลย

ถามว่าชีวิตนิรันดร์ที่ครบถ้วนบริบูรณ์ในพระเยซูคริสต์ คือ …

“ฉันเชื่อพระเจ้า ด้วยความเชื่อ ในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ฉันได้บังเกิดใหม่”  นี่สรุปสั้นๆ นะ “พ้นจากบาปผิด  ได้รับการอภัยบาปทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต และตลอดไป ฉันได้เกิดใหม่พร้อมพระเยซูคริสต์ มีวิญญาณที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์แล้วเดี๋ยวนี้      เป็นลูกของพระเจ้า     ที่นั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรคสถานแล้ว  เดี๋ยวนี้  อยู่ในสวรรค์แล้วเดี๋ยวนี้  พระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่กับฉัน พระเจ้าสถิตอยู่กับฉัน และฉันจะอยู่กับพระเจ้าตลอดวันเวลา ตลอดวันคืน ตลอดชีวิตของฉัน  และวันหนึ่งข้างหน้า  เมื่อฉันหมดลมหายใจ  วิญญาณของฉัน  จิตวิญญาณใหม่ของฉันนี้ ก็จะออกจากร่าง ไปพบพระเยซูคริสต์หน้าต่อหน้า และรับร่างกายใหม่ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ที่เต็มไปด้วยสง่าราศี และอยู่ในสวรรค์ และอาศัยอยู่บนโลกใหม่ ที่พระเจ้าสร้างขึ้นมาแทนที่โลกใบเดิมนี้แหละ ซึ่งดีกว่ามากนัก ซึ่งในโลกนั้น ไม่มีความเจ็บไข้ได้ป่วย  ไม่มีคำสาปแช่ง  ไม่มีความเสียหาย ไม่มีความบาปมาล่อลวง ไม่มีมาร มีแต่ความสุข  สบาย อยู่กับพระเจ้านิรันดร์”

นี่สรุปสั้นๆ ชีวิตนิรันดร์คืออย่างนี้ จดจ่อ จดจ้อง จดจำไปแถวนี้ อยู่แค่นี้  ถ้าให้สั้นๆ ก็คือ … “อดทน และรอคอยวันเวลา ที่จะไปรับร่างกายใหม่ เมื่อวิญญาณออกจากร่างนี้ วิญญาณออกจากตุ่มเมื่อไร? ฉันไปรับร่างกายใหม่ทันที ฉันจะไปพบพระเยซูหน้าต่อหน้า ฉันตื่นเต้นเหลือเกินที่จะได้พบพระเยซูหน้าต่อหน้า ฉันตื่นเต้น กำลังจะไปพบพระเจ้าหน้าต่อหน้าฉันวาดภาพว่าพระเจ้าคงจะหน้าตาเป็นอย่างนี้ เป็นอย่างนั้น เป็นอย่างไร? ฉันก็ไม่เข้าใจ แต่ฉันจะได้เห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้าแล้ว ทันทีเลย เมื่อลมหายใจสุดท้ายออกจากร่าง วิญญาณออกจากร่างเมื่อไร ฉันจะเห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า แค่นั้นไม่พอ ฉันจะเห็นตัวเอง ด้วยตัวตนฉันจริงๆ ก็คือวิญญาณภายในที่ไม่ใช่ตุ่มนี้ ตุ่มนี้   ไม่ใช่ตัวจริงๆ ของฉัน แก่ลงไปทุกวัน แต่ตัวตนของฉันจริงๆ ที่เป็นวิญญาณของฉัน ที่บังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้า หน้าตาเป็นอย่างไร? ในพระคัมภีร์บอกสดใส ซาบซ่าส์ น่ารักขนาดไหน? ฉันก็อยากจะเห็นชัดเจนมากขึ้น นอกจากจะเห็นพระพักตร์ของพระเจ้า หน้าของพระเจ้าแล้ว”

มันตื่นเต้นไหมล่ะ  ถ้าเราจดจ้อง จดจำสิ่งที่เป็นความจริงเหล่านี้ ไปเรื่อยๆ มันก็เพลินกับสิ่งเหล่านี้  เหมือนเราจดจ้องอะไรต่างๆ เพลิน สิ่งที่เราไม่จดจ้อง จดจำ มันเกิดขึ้น แต่เราไม่สนใจมัน มันก็กลายเป็น ไม่ค่อยมีผลกับเรา  เคยจอดรถไหม?  สมมติว่าวันนี้เปลี่ยนรถ เอารถไปซ่อม เขาให้เอารถมาใช้ชั่วคราว เราก็ไม่เคยใช้รถของเขา ปรากฏว่ารถของเขาสีน้ำเงิน รถคันเดิมเราสีขาว เอาไปซ่อม ยังไม่เสร็จ  เขาก็ให้เอารถสีน้ำเงินมาใช้ชั่วคราว  เราขับรถสีน้ำเงินออกมาปุ๊บ ไปซื้อของ เข้าซุปเปอร์ ไปจอดที่จอดรถ ที่ศูนย์การค้า จอดชั้นนี้ จำได้ ชั้น A1 ไปซื้อของเสร็จเรียบร้อย เดินออกมา เข้ามา A1 ถูกแล้ว จำได้ ถ่ายรูปไว้ด้วย A1 มองหารถสีขาว  ไม่มี ไปแจ้งความ หรือเขาขโมยไปแล้ว หรือว่าอยู่ชั้น 2  หาชั้น 2 ก็ไม่มี แต่มั่นใจ อยู่ชั้น 1 ปรากฏว่าตำรวจมาถามเรียบร้อย …

“คุณแน่ใจหรือ?”

“ฉันแน่ใจ จอดตรงนี้”

ไม่เห็นมีใครจอด จนเย็น เขากลับกันไปหมดแล้ว เหลือรถสีน้ำเงินอยู่คันเดียว

“คันนี้ของคุณใช่ไหม?”

“ไม่ใช่ ของฉันสีขาว”

แต่จริงๆ สีอะไร? สีน้ำเงิน เพราะลืมไป เพราะมันเคยชิน มันจดจ่อแต่รถของเรามันสีขาวๆ ขับมาตั้งนาน ตอนนี้ไปเอารถชั่วคราวมาใช้ สีน้ำเงิน จดจ่ออยู่แต่ที่สีขาว ซึ่งจริงๆ ตอนที่เอารถเขามาใช้ มันสีน้ำเงิน มันไม่เห็น นี่แหละคือความหมายของคำว่าจดจ่อ ถ้าเราจดจ่อไปที่สวรรค์เบื้องบน  การต่อต้าน ความทุกข์ทรมาน ความทุกข์ลำบาก  ความไม่แน่นอน ความสูญเสีย คำสาปแช่งบนโลกใบนี้ โดนกันทุกคนไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อ ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ หรือเป็นสัตว์ ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้หรือใบหญ้า โดนกันหมดทุกคน  เราก็เห็นคำสาปแช่ง ความทุกข์ยากลำบากนี้ ไม่ชัด รู้สึกไม่ใช่ของเรา ไปจดจ้อง จดจ่อแต่ร่างกายใหม่ วิญญาณใหม่ที่สะอาดหมดจด บริสุทธิ์สะอาด เหมือนพระเจ้าเลย เต็มด้วยความน่ารัก ตื่นเต้น ที่จะได้เจอรถสีน้ำเงิน รับรองได้ ออกมาเจอแน่ ตื่นเต้น คิดแต่เรื่องรถสีขาว ก็ไม่เห็นสีน้ำเงิน  ท่านลองไปคิดดูแล้วกัน

ถ้าเป็นอย่างนั้น เราก็สามารถขอบคุณพระเจ้าได้ ในทุกกรณี อะไรเกิดขึ้น เราก็ไม่ค่อยได้สนใจมันมากนัก เพราะเราจดจ่อไปที่ของที่มันนิ่งๆ อยู่ แน่นอน 100% คือร่างกายใหม่ วิญญาณที่เราจะเห็นตัวเองชัดเจนว่าเราหน้าตาเป็นอย่างไร? แล้วเห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า เพราะฉะนั้น เราก็สามารถขอบคุณพระเจ้าได้  นี่แหละ ขอบคุณพระเจ้าในพระพรนานัปการ ทางฝ่ายวิญญาณ และนอกจากนี้ เรายังขอบคุณพระเจ้าในพระพรนานัปการ แล้วโลกฝ่ายวิญญาณนี้ ที่ตะกี้นี้บอก แล้วยังขอบคุณพระเจ้า สำหรับพระพรต่างๆ ฝ่ายโลกนี้ด้วย

อ้าว! ไหนบอกว่าพระเจ้าไม่ได้สัญญา แจงละเอียด แต่บนโลกใบนี้ พระเจ้าทรงสัญญาด้วย มีพระพรบนโลกใบนี้ด้วย อ้าว! ไหนบอกไม่มี … มี อยากฟังไหม? พระพรบนโลกใบนี้ที่พระองค์ทรงสัญญาไว้ มีจริงๆ ด้วย แต่ไม่ใช่พระพรตามที่มนุษย์คิดกันเองว่าตามตรรกะมันน่าจะเป็นอย่างนี้

ถ้ามีพระเจ้าจริง พระเจ้ารักเรา เราต้องแข็งแรงตลอดสิ

ถ้ามีพระเจ้าจริง ปล่อยให้เรายากจนได้อย่างไร?

ถ้าพระเจ้ารักเราจริง ทำไมปล่อยให้เราติดเชื้อโควิดอย่างนี้

ถ้าพระเจ้ารักเราจริง ทำไมปล่อยให้เหตุการณ์เหล่านี้ เกิดขึ้นกับเรา ทั้งๆ ที่เราตั้งใจจะทำสิ่งที่ดี พระองค์ทรงรู้อยู่แล้ว ทำไมๆๆๆๆๆ ก็เพราะเราเข้าใจพระเจ้าผิดไป พระองค์สัญญาอะไรไว้  พระพรบนโลกใบนี้ เมื่อขณะที่เราดำเนินชีวิตบนโลกบนใบนี้ พระพรฝ่ายวิญญาณที่ตะกี้เราจดจ้อง จดจำอยู่ เรารู้แล้วนะว่าคืออะไร? ตอนนี้พระพรที่เราสามารถขอบคุณพระเจ้าได้ ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ที่พระองค์ทรงสัญญาไว้ คือถ้าท่านดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ท่านเชื่อในพระเยซูคริสต์ เป็นลูกของเราแล้ว เราจะสถิตอยู่กับท่านตลอดเวลา ทำหรือเปล่า? พระเจ้าทำไหม? ทำ นี่คือพระพร

ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  เราจะไม่ทอดทิ้ง ให้ท่านเป็นเด็กกำพร้า จะไม่ละทิ้งให้ท่าน อยู่ตามลำพัง ตอนติดโควิด ก็ไม่ได้อยู่ลำพัง ตอนขาดทุนมโหฬาร ตอนตกงาน ไม่มีเงินใช้ ตอนเจ็บป่วย  เป็นมะเร็ง พระองค์สถิตอยู่ด้วยหรือเปล่า? ทิ้งเราให้ไปอยู่ตามลำพังไหม? อยู่กับหมอ 2 คนหรือเปล่า?  อยู่บนเตียงผ่าตัด พระองค์อยู่ด้วยหรือเปล่า? อยู่ นี่คือพระพร

และยังสัญญาว่าจะฟังคำอธิษฐานวิงวอนของเราตลอดเวลา ฟังไหม?  และจะตอบคำอธิษฐานของเราอย่างแน่นอน ถูกต้องไหม? ถูก แต่คำว่าแน่นอนนี้ ตอบคำอธิษฐานเรา แต่เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ ไม่ใช่เป็นไปตามใจของเรานะ ไม่ได้เป็นไปตามความต้องการของเรา เพราะพระองค์ทรงรู้ดีว่าอะไรเหมาะสมและดีสำหรับเรา หรือว่าเราอยากจะดูแลชีวิตของเราเองมากกว่า ก็ไม่ใช่ พระองค์ทรงสัญญาทั้งหมดเองนั่นแหละ แต่เราเข้าใจพระองค์ผิด อยากให้พระองค์ทรงกระทำตามที่เราต้องการ ทั้งๆ ที่เรารู้ความจริงน้อยกว่าพระองค์

ถ้าลูกเราขอเรา พ่อถ้ารักลูกจริง  ทำไมทิ้งลูกขนาดนี้ สมมติว่าผมส่งลูกไปเรียนหนังสือตอนอนุบาลหนึ่ง แล้วลูกร้องไห้ร้องห่ม จะกลับบ้าน ผมบอกว่าดีแล้วลูก กลับบ้าน ไปส่งอีกวันหนึ่ง ก็ร้องไห้กลับบ้าน แล้วเขาจะไปเรียนไหม  เขาก็ไม่เรียน  แล้วเด็กรู้ไหม ตอนที่ผมส่งเขาไปเรียน แล้วเขาร้องจะกลับบ้านๆ  ผมบอกว่าอยู่ที่นี่ แล้วหันหลังกลับ แล้วขึ้นรถไปเลย แล้วเด็กเขาจะเข้าใจไหมว่าพ่อรักเราไง พ่อต้องการให้เราเรียน จะได้เจริญเติบโต มีวิชาความรู้ ไม่ใช่อยู่บ้านเฉยๆ เล่นอึ เล่นฉี่อะไรแบบนี้ เขาเข้าใจแบบนี้หรือเปล่า? เขาไม่เข้าใจหรอก แต่เมื่อเขาเจริญเติบโตขึ้น เขาจึงรู้ว่าใช่แล้ว ขอบคุณพ่อนะ ถ้าพ่อไม่ส่งลูกไปเรียน แย่เลย ทุกคนก็ขอบคุณในการเล่าเรียน ศึกษาของตนเอง ที่พ่อแม่ส่งให้เรียน แต่ว่าตอนเรียนชอบใจไหม?  เคี่ยวเข็ญให้เราทำการบ้าน ชอบใจไหม? คิดแค่นี้ ก็ชัดเจนเลย

เพราะฉะนั้น เราเป็นลูกของพระองค์ พระองค์ทรงตอบคำอธิษฐาน ให้เป็นไปตามที่ดีที่สุด สำหรับเรา ซึ่งพระองค์ทรงทราบดี เพราะว่าเราเป็นลูกของพระองค์ ที่พระองค์ทรงรักดังแก้วตาดวงใจ นี่คือสิ่งที่พระองค์ทรงสัญญาไว้ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ คือแม้ว่าเจ้าจะเดินผ่านหุบเขาเงามัจจุราช เราจะไม่ทอดทิ้งเจ้า เราจะจูงมือเจ้าไป ก็จูงมืออยู่แล้ว เราจึงสามารถขอบคุณพระเจ้าตลอดเวลาได้ ก็คือขอบคุณพระเจ้าอยู่เสมอ  ไม่ว่าพระเจ้าจะตอบคำอธิษฐาน  แน่นอน ให้เป็นไปตามที่เราต้องการหรือไม่? ก็ตาม เราก็ขอบคุณ

ยกตัวอย่างเช่น พระเยซูอธิษฐาน 3 ครั้ง พระองค์บอกไม่ ไม่ทำตามพระเยซู พระเยซูต้องขึ้นตะแลงแกง ถูกตัดสินว่าเป็นคนบาป  ถูกตรึงที่ไม้กางเขน  ด้วยความทุกข์ทรมาน  พระเยซูไม่อยากจะเข้าไป เพราะมันหนักมาก  แต่พระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐานหรือเปล่า? ตอบ เพราะพระเยซูบอกว่าถ้าไม่ได้ เป็นไปตามที่พระองค์อธิษฐาน ก็ให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระบิดา น้ำพระทัยของพระองค์ ก็คือวางแผนแล้วว่าพระเยซูต้องตายเพื่อเราทั้งหลาย มนุษย์บนโลกใบนี้

เหมือนเปาโลที่ตะกี้ เรากำลังเรียนรู้จากประสบการณ์ของท่าน ว่าท่านประสบกับความทุกข์ยากลำบากขนาดไหน? มีประสบการณ์ แล้วพูดอย่างนี้ได้อย่างไรว่าเป็นเพียงเล็กน้อย ทั้งๆ ที่ทนทุกข์ลำบากมากขนาดนั้น จนสอนเราได้ขนาดนี้ยังอธิษฐานกับพระเจ้าอะไรบางอย่างที่ไม่พอใจ  ที่มันเป็นความทุกข์ยากลำบาก ต้องหนักมาก ถ้าไม่หนัก คงไม่เขียนบันทึกเอาไว้ในนั้นว่า  …

“ข้าพเจ้าอธิษฐานถึง 3 ครั้ง แต่พระเจ้าบอกว่าไม่ ไม่ทำตาม ไม่เอาออกไป  ไม่เอาความทุกข์ยากลำบาก ที่เรียกว่าหนามในเนื้อออกไป แต่พระองค์บอกว่าพระคุณของเรา ฤทธิ์เดชอำนาจของเราเพียงพอ จะทวีคูณขึ้น เต็มขนาดในความอ่อนแอของเจ้านั่นแหละ คือไม่รู้เรื่องหรอก ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร? เราจะได้ปรากฏชัดเจนในชีวิตของเจ้า ให้กับบรรดามนุษย์บนโลกใบนี้ เขาได้เห็น รอบข้างเจ้าเขาได้เห็น เห็นอะไร? เห็นพระเจ้าที่สถิตอยู่ในเปาโล ถ้าเรามองอย่างนี้ มันก็ชัดเจนใช่ไหม? เราก็สามารถขอบคุณพระเจ้าได้ในทุกกรณี  ทุกเวลา ทุกสถานการณ์ และขอบคุณได้เสมอ  ความหวังอย่างนี้มันชัดเจน แล้วมันทำได้ด้วย แล้วมันจริง

ให้เราขอบคุณพระเจ้าในพระพรนานัปการทั้งฝ่ายวิญญาณ ซึ่งได้ไปเรียบร้อยแล้ว และขอบคุณพระเจ้าในพระพรฝ่ายโลก ซึ่งตะกี้นี้อธิบายให้ฟังแล้ว เมื่อเผชิญกับความทุกข์ หรือสถานการณ์ที่ไม่พึงพอใจ หรือต้องอดทนต่อความทุกข์ยากลำบาก ความสูญเสีย ความเจ็บปวด ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาของการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้อยู่แล้ว

ขอบคุณพระเจ้าได้ทั้งสองอย่างเลย ทางฝ่ายวิญญาณก็ขอบคุณได้ การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ก็ขอบคุณได้  เกิดความทุกข์ยากลำบากมา ก็ขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ทรงสถิตอยู่ด้วย ที่พระองค์ทรงประทาน พระองค์ไม่เคยทอดทิ้งลูกเลย ในสถานการณ์ที่ลูกเจ็บป่วยอยู่นี้ พระองค์อยู่กับลูกเสมอ ลูกขอบคุณพระเจ้า พระองค์พาลูกผ่านไปได้  พระองค์ให้ลูกมีกำลังที่จะอดทนได้

ขอบคุณได้อีกแล้ว เป็นไปได้ไหม? เป็นไปได้ และเป็นแน่นอน มันหนีไม่พ้น มนุษย์บนโลกใบนี้ เกิดมาอยู่ในความทุกข์ยากลำบากแน่นอนอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม โดนระบบของโลกใบนี้ ทำให้เกิดความทุกข์ยากลำบากแน่นอน แล้วไม่ใช่ว่ามนุษย์อย่างเดียว ทั้งสัตว์ ทั้งต้นไม้ โลกธาตุบนโลกใบนี้ทุกอย่าง ทนทุกข์ลำบากบนโลกใบนี้  พระคัมภีร์บันทึกเอาไว้อย่างนั้น  เขาคร่ำครวญ เหมือนเราคร่ำครวญ  เพื่อจะได้รับ จบสักที ชดใช้ให้มันเรียบร้อยไปสักที พระเจ้าจะได้สร้างโลกใหม่ สัตว์ใหม่ ให้มันเกิดใหม่เหมือนกับเราทั้งหลาย เพื่อเป็นโลกใหม่ที่เราจะได้อยู่กับพระองค์ในสวรรคสถานนิรันดร์นั่นเอง ซึ่งความทุกข์ยากลำบาก เหล่านี้มันเกิดขึ้น ไม่ว่าเราจะเชื่อหรือไม่เชื่อ มันก็เป็นอย่างนี้ มนุษย์ทุกคน เกิดมา ต่างก็จะมีเหตุอะไรบางอย่าง หรือหลายอย่างแน่นอนที่จะทำให้เกิดความสูญเสีย ไม่พึงพอใจ มีความทุกข์ลำบาก มีความเครียด พูดง่ายๆ โลกนี้มีแต่ทุกข์นั่นเอง พระเยซูก็บอกแล้ว ท่านอยู่บนโลกใบนี้นั้น มีแต่ความทุกข์ยากลำบากต่างๆ นานา พระคัมภีร์จึงใช้บอกว่าโลกใบนี้มีแต่ความมืด เราถูกช่วยให้ออกมาจากความมืดเข้ามาสู่ความสว่างแล้วก็จริง ในโลกวิญญาณ  แต่เรายังอยู่ท่ามกลางความมืด ท่านเคยเห็นดวงไฟ ตอนกลางคืน ที่รัฐบาลเขาใส่ไฟข้างถนนให้แสงสว่าง ในที่มืด โดยเฉพาะต่างจังหวัด ขับรถไปจะเห็น ดวงสว่าง มันไม่พอที่จะทำให้สว่างไปทั้งหมดทั้งซอย มืดมาก สมมติว่ามันมีดวงเดียว มันก็จะสว่างแค่จุดนั้นจุดเดียว พอเลยไปไกลๆ จากรัศมีของดวงสว่างนั้นปุ๊บ มันก็จะเริ่มสลัวลงๆ  และในที่สุด ก็คือมืด  ในระหว่างมืดกับสว่าง มันจะมีขอบเขตกันอยู่ เห็นไหม?  มันก็สู้กันอยู่นั่นแหละ  พูดง่ายๆ ความสว่างนั้นถูกความมืดต่อต้านอยู่ตลอดเวลา

เช่นเดียวกัน เราเป็นลูกพระเจ้า ลูกแห่งความสว่างแล้วก็จริง แต่เป็นลูกแห่งความสว่างที่อยู่ท่ามกลางความมืดบนโลกใบนี้  ความมืดเหล่านั้นมันต่อต้าน มันต่อสู้ มันขัดขวาง มันสาปแช่งเรา ผู้เป็นความสว่างอยู่ แต่ไม่ใช่ความสว่าง แล้วมันมาต่อต้านความสว่าง มันหนักกว่านั้น คือถ้าเราไม่ได้อยู่ในความสว่าง เป็นชีวิตเหมือนเดิมที่ยังไม่เชื่อพระเยซู เราอยู่ในความมืดด้วย  มันกลืนกินเราอยู่ เราอยู่ในกระเพาะของมันเลย  ไม่ได้ผุดได้เกิดเลย ยิ่งหนักใหญ่เลย แต่ตอนนี้เราหลุดพ้นออกมาอยู่ในความสว่างแล้ว  แต่เรายังอยู่ท่ามกลางความมืด เป็นแสงสว่างท่ามกลางความมืด  มันเป็นอย่างนี้

เพราะฉะนั้น โลกใบนี้ มันเต็มไปด้วยความมืด เต็มไปด้วยความทุกข์ยากลำบากอยู่แล้ว หนีไม่พ้น แต่ขอบคุณพระเจ้าที่เราพ้นแล้วในโลกวิญญาณ และพระเจ้าสถิตอยู่กับเราบนโลกใบนี้ และขอบคุณพระเจ้าได้ทั้งสองอย่าง เพราะฉะนั้น สิ่งที่เราควรจดจำและขอบคุณเสมอว่าพระเยซูคริสต์สถิตอยู่ในเรา อยู่ข้างเรา อยู่ฝ่ายเรา  เป็นแสงสว่างอยู่ในเรา  ไม่เคยเป็นศัตรูกับเราเลย  คอยเชียร์เรา คอยอยู่ข้างเราตลอด …

“เอาเลยลูก เอาเลยน้อง เอาเลย ผิดพลาดอะไรมา ก็ไม่เป็นไร เอาใหม่ ไม่มีผิดพลาดหรอก เราอยู่ด้วย เราเป็นเทรนเนอร์มวยอย่างดีแล้ว”

ฝ่ายดำก็จะมาหลอกเรา … “เพราะเธอทำผิดเอง เธอจึงได้มารับเคราะห์อย่างนี้  เพราะเธอทำไม่ดี เธอถึงได้มารับกรรมอย่างนี้”

มันพูดไปเรื่อยเปื่อย พระเยซูบอก “เปล่า ไม่ใช่ เราอยู่กับเจ้า ไม่ต้องห่วง  มันพยายามทำให้เจ้าเป็นอย่างนี้ เป็นเรื่องธรรมดาอยู่บนโลกใบนี้  ก็ต้องอย่างนี้แหละ”

พระเจ้าอยู่ข้างเดียวกับเรา แปลว่าอย่างนี้  พระเจ้าอยู่ในเรา พระคริสต์สถิตอยู่ในเรา  และพระองค์อยู่ข้างเดียวกับฉัน  แปลว่าอยู่ฝ่ายเรา สมมติว่าเราอยู่มุมน้ำเงิน พระเยซูคริสต์ก็อยู่มุมน้ำเงิน ไม่ใช่วันดีคืนดี ไปชกปุ๊บ พระเยซูคริสต์ไปอยู่มุมแดง ไม่ใช่ อยู่กับเราเสมอ อยู่ฝ่ายเรา อยู่พวกเรา เห็นพ้องไปกับเราด้วยตลอดเวลา  ต่อให้เราทำบาป ทำไม่ดี พระองค์ก็บอกดี เพราะเราอยู่ด้วย ไม่เป็นไร เดี๋ยวล้ม แล้วลุกขึ้นมาใหม่  มันเป็นอย่างนั้น

ต้องจดจำสิ่งเหล่านี้ไว้ นี่คือความเป็นจริง คือขอบคุณพระองค์เสมอ  พระคริสต์สถิตอยู่ในฉันตลอดเวลา  จดจำเอาไว้ ฟีลิปปี 4:12-13 บอกไว้อย่างนี้ว่า …

ฟีลิปปี 4:12-13  “12 ข้าพเจ้าได้เรียนรู้ที่จะพอใจได้อย่างไร ทั้งตอนที่ขัดสน และตอนที่มีอย่างเหลือเฟือ ไม่ว่าจะอยู่ในสภาพไหนก็ตาม ข้าพเจ้าได้เรียนรู้เคล็ดลับว่าจะอยู่อย่างไร ในเวลาที่อิ่มท้องหรือหิวโหย ในเวลาที่มีเหลือเฟือหรือขาดแคลน 13 พระคริสต์ให้ข้าพเจ้ามีกำลังที่จะอดทน และสามารถเผชิญได้ กับทุกกรณี ทุกสถานการณ์”

 

ถ้าเราจดจำได้ว่าพระคริสต์สถิตอยู่ในเรา เป็นพวกเรา เป็นฝ่ายเราเสมอ เราก็จะสามารถขอบคุณพระเจ้าได้ในทุกกรณี อย่างนี้แหละ เราก็จะสามารถอดทนได้กับสถานการณ์ต่างๆ  เพราะว่าเราไม่ได้เผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก หรือศัตรู หรือความมืด  ที่ต่อต้านเราบนโลกใบนี้ ด้วยตัวเราเองเลย แม้แต่นิดเดียว

ฟังอีกทีหนึ่ง เราขอบคุณพระเจ้า ที่พระองค์ทรงสถิตอยู่กับเรา  และพระองค์เป็นผู้ประกอบกิจการงานในเรา เป็นผู้ประทานกำลังฤทธิ์เดชอำนาจของพระองค์ในเรา ให้เราสามารถที่จะเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากที่เกิดขึ้นธรรมดาบนโลกใบนี้ กับทุกคน ทุกอย่าง ทุกสิ่งและเราด้วย เราเผชิญได้ เพราะพระเยซูคริสต์สถิตในเรา  พระองค์ทรงเป็นกำลัง เป็นฤทธิ์เดช เป็นผู้นำพาเรา  และสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร?  เกิดขึ้นได้ เมื่อท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระเยซูเข้ามาสถิตอยู่ในท่านแล้ว  พระองค์ก็จะทำอย่างนี้แหละ  ได้พระพรนานัปการแล้ว พระองค์ก็เข้ามาสถิตอยู่ นำพาชีวิตท่านให้เริ่มต้นฝึกฝน เรียนรู้ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ไปกับพระองค์พร้อมๆ กัน เรียกว่าเจริญเติบโต ท่านจึงเริ่มต้น เรียนรู้จักที่จะพึงพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ มันจึงมีเคล็ดลับในการเรียนรู้สิ่งเหล่านี้  เคล็ดลับนี้ใครเป็นคนสอน  ก็คือพระวิญญาณของพระคริสต์สอนเรา เพราะพระองค์ทรงสถิตอยู่ในเรา  นี่แหละที่อาจารย์เปาโลกำลังพูดถึงตรงนี้ เคล็ดลับก็คือตรงนี้

เคล็ดลับในการทำได้? ไม่ใช่ ในการทำได้ เพราะเริ่มต้นเรียนรู้ ก็คือมีประสบการณ์ แล้วมีประสบการณ์ได้อย่างไร? ไม่ต้องไปหาเลย อยู่บนโลกนี้ มีประสบการณ์ทุกคน ก็คือประสบการณ์ของความทุกข์ยากลำบาก ความขัดสน ความขาดแคลน ความเจ็บป่วย ความอะไรต่างๆ ที่ไม่ชอบ ไม่พึงพอใจ เจอแน่บนโลกใบนี้  แต่พระองค์จะทรงนำพาเราให้เรารู้จักเรียนรู้ ที่จะเผชิญกับสิ่งเหล่านี้ ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจของพระองค์ ที่ทรงสถิตอยู่ในเรานั่นเอง และให้เราจดจ่อกับความเป็นจริงที่พระองค์สถิตอยู่ในเรานี้ และสอนเราในความเป็นจริง ในเรื่องโลกวิญญาณว่าเราได้รับอะไรเรียบร้อยไปแล้วบ้าง ให้เราจดจ่อกับสิ่งเหล่านี้  เราจึงสามารถขอบคุณพระเจ้าในทุกสถานการณ์ ที่เราได้เรียนรู้แล้วว่าเราจะเผชิญได้อย่างไร? และสามารถขอบคุณพระเจ้าได้อย่างแน่นอน 100%  พระพรนานัปการในฝ่ายวิญญาณ ก็คือความรอดนิรันดร์ที่เราได้รับเรียบร้อยไปแล้ว ในสวรรคสถาน ซึ่งจะได้รับร่างกายใหม่ ในไม่ช้านี้ จะไปอยู่ในสวรรค์ ในโลกใหม่ ที่พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้ให้ อย่างถาวรนิรันดร์ ในเวลาอันใกล้นี้ นี่คือทั้งสองฝ่ายที่เราสามารถขอบคุณพระเจ้าได้ในทุกกรณี เอเมน  พระเจ้าอวยพรครับ

 

***********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

เปาโล ถาม 3 ครั้ง ที่จะให้เอาหนามในเนื้อออกไป  แต่พระเจ้าบอกว่า … “ให้หนามอยู่อย่างนั้นแหละ  แต่พระคุณและฤทธิ์อำนาจของเรา  จะเพียงพอ ที่จะนำพาเจ้าผ่านไปได้”

 

2 โครินธ์ 12:8-9  “8 ข้าพเจ้า ทูลวิงวอนองค์พระผู้เป็นเจ้าสามครั้ง ให้ทรงเอาหนามนี้ออกไปจากข้าพเจ้า 9 แต่พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “พระคุณของเราเพียงพอสำหรับเจ้า เพื่อว่าฤทธิ์อำนาจของเราจะได้ปรากฏเต็มที่ในความอ่อนแอ” ฉะนั้นข้าพเจ้าจึงอวดความอ่อนแอของตน ด้วยความยินดี เพื่อฤทธิ์อำนาจของพระคริสต์ จะได้อยู่ในข้าพเจ้าอย่างเต็มบริบูรณ์ 10 ด้วยเหตุนี้แหละ เพื่อพระคริสต์ ข้าพเจ้าจึงชื่นชมในความอ่อนแอ ในการสบประมาท ในความยากลำบาก ในการกดขี่ข่มเหง ในความยุ่งยาก เพราะเมื่อใดที่ข้าพเจ้าอ่อนแอเมื่อนั้นข้าพเจ้าก็เข้มแข็ง”

 

มีคำสอน มีทฤษฎีมากมาย บอกว่าถ้ามีความเชื่อมากพอ จะสามารถเปลี่ยนสถานการณ์ทุกอย่างได้ แต่ความจริง คือพระเจ้าไม่เคยสัญญาว่าจะเปลี่ยนสถานการณ์ แต่พระองค์สัญญาประทานความคิดใหม่ที่เหมือนพระคริสต์ตามพันธสัญญาใหม่ ท่ามกลางสถานการณ์เดิมๆ ที่ทุกข์ยากลำบากอยู่บนโลกนี้

สถานการณ์ต่างๆ อาจเปลี่ยนหรืออาจไม่เปลี่ยน แต่สิ่งที่ควรเปลี่ยน คือเราควรเปลี่ยนความคิด เปลี่ยนความต้องการของเราที่จะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ ให้เป็นไปตามที่เราต้องการ แล้วมอบสถานการณ์เหล่านั้น ให้พระเจ้า เป็นผู้นำพาเรา .. แล้วเราจะรับรู้และเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ถึงพระคุณและฤทธิ์อำนาจที่แท้จริงของพระเจ้า ผู้ซึ่งอยู่ในเราตลอดเวลา ไม่ว่า สถานการณ์รอบด้าน จะเป็นเช่นใดก็ตาม

ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไรก็ตาม พระเจ้าต้องการเป็นที่พึ่ง เป็นที่ปรึกษา เป็นผู้นำทางของเรา พระเจ้าต้องการให้เราซึมซับเอา พระประสงค์ของพระเจ้าตรงนี้ เข้ามาเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจเดิมของเรา ให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ ถึงพระคุณความรักของพระเจ้า ไม่ว่าสถานการณ์รอบด้านที่เผชิญอยู่จะเป็นอย่างไร วันนี้หรือวันข้างหน้า จะเกิดอะไรขึ้น ให้ความคิดเหล่านี้ ฝังรากลึกลงไปในความคิดจิตใจของเราว่าพระเจ้าคือที่พึ่ง ที่ปรึกษา และเป็นผู้ที่สามารถนำพาเราผ่านไปได้ ท่ามกลางทุกสถานการณ์

พระเจ้าอวยพรครับ