วารสาร Holy News ฉบับที่ 1337

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  7  พฤศจิกายน  2021

 เรื่อง “ความเชื่อที่ปราศจากการกระทำ ก็ไร้ประโยชน์”

ตอน 2 “เชื่อในพันธสัญญา แต่ไม่กระทำตามเงื่อนไข ก็ไม่เกิดผล”

โดย นคร   เวชสุภาพร

 

วันนี้ก็จะเป็นการบรรยายต่อจากครั้งที่แล้ว หัวข้อเรื่อง คือ “ความเชื่อที่ปราศจากการกระทำ ก็ไร้ประโยชน์” ตอน 2 ยังจำได้นะ หัวข้อเรื่องเดียวกัน ครั้งที่แล้ว ที่ผมบอกไว้ว่าเป็นอีกหนึ่งข้อพระคัมภีร์ ที่ผู้เชื่อหลายท่านยังเข้าใจผิด หรือยังกังวล ถูกสอนต่อๆ กันมา แบบไม่ตรงตามแก่นแท้ของความจริง คือข่าวประเสริฐของพระเจ้า ในพระคัมภีร์บอกไว้ อ่านทบทวนดู ข้อพระคัมภีร์หลักของหัวข้อเรื่องนี้กันอีกสักครั้งหนึ่ง ยากอบ 2:14, 17 …

ยากอบ 2:14, 17 “14 พี่น้องทั้งหลาย  ถ้าคนหนึ่งอ้างว่ามีความเชื่อ แต่ไม่สำแดงเป็นการกระทำ จะมีประโยชน์อะไร ความเชื่อแบบนี้ จะช่วยเขาให้รอดได้หรือ 17 ความเชื่อเพียงอย่างเดียว โดยไม่มีการกระทำ  ก็เป็นความเชื่อที่ไร้ประโยชน์”

 

ยากอบ 2:14 กับ 17 บันทึกไว้อย่างนั้น  ครั้งที่แล้ว เราเรียนรู้กันไปแล้วว่าความหมายของคำว่า “ความเชื่อเพียงอย่างเดียว โดยไม่มีการกระทำ” หมายถึงอะไร?

ความเชื่อเพียงอย่างเดียว  แต่ไม่มีการกระทำ หมายถึงการเชื่อเฉยๆ โดยไม่มีการตัดสินใจ ที่จะกระทำการตอบสนองต่อความเชื่อนั้น และความเชื่อเฉยๆ แบบนี้ ก็คือสิ่งที่พระคัมภีร์เรียกว่าเป็นความเชื่อที่ไร้ประโยชน์ ไม่เกิดผล เราเรียนรู้กันไปแล้วบ้าง ครั้งที่แล้ว

ซึ่งวันนี้เราจะมาดูกันต่อว่าแล้วการกระทำของความเชื่อคืออะไร? หมายความว่าอย่างไร? ที่ตอนต้นผมบอกว่ายังมีคริสเตียนหลายคน ผู้เชื่อหลายท่าน ยังเข้าใจความหมายของพระคัมภีร์ตรงนี้ผิดไป ยังไม่ถูกต้อง คือบอกว่าความเชื่อต้องมีการกระทำตามมาด้วย จึงจะเกิดผล หลายคนก็เลยไปตีความเอาเองว่าหมายถึงต้องมีการกระทำของเรื่องความประพฤติ หรือการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  ต้องรักษาบัญญัติ ต้องทำความดี ห้ามทำบาป คิดอย่างนั้นหรือไม่? ติดตามกันต่อนะครับ

ถ้อยคำในข้อ 14 เมื่อตะกี้นี้ บอกว่าถ้าคนหนึ่งอ้างว่ามีความเชื่อ แต่ไม่สำแดงเป็นการกระทำ จะมีประโยชน์อะไร? ความเชื่อแบบนี้จะช่วยให้เรารอดได้หรือ? ถ้าไปตีความอย่างนั้น มันเกิดอะไรขึ้น

พอไปตีความว่าการกระทำตรงนี้ หมายถึงความประพฤติ การดำเนินชีวิตคริสเตียน ก็แปลว่าถึงแม้ว่าเราจะเชื่อพระเจ้าแล้ว แต่ถ้าเรายังประพฤติแบบเดิมๆ อยู่ ยังทำบาปอยู่ หรือยังทำความผิด ทำไม่ถูกต้องอยู่ ก็แปลว่าเราสูญเสียความรอดแล้ว อย่างนั้นหรือ? ใช่ไหม? ถ้าตีความอย่างนั้น มันก็ต้องแปลว่าอย่างนี้แหละ ว่าถ้าเราเชื่อพระเจ้าแล้ว หลังจากนั้น เราโกรธ เรายังเมาเหล้าอยู่เลย  พยายามเลิกแล้ว เลิกได้ครึ่งเดียว ยังสูบบุหรี่อยู่เลย  พระเจ้าให้เลิก ยังเลิกได้แค่ครึ่งเดียว ยังหงุดหงิด ยังโลภอยู่ ยังเห็นแก่ตัวอยู่เลย ยังริษยาเขาอยู่เลย ถ้ายังเป็นอย่างนี้ ไม่ได้รับความรอดใช่ไหม?  ความเชื่อว่าพระเจ้าช่วยได้ ไร้ประโยชน์อย่างนั้นหรือ? นึกออกใช่ไหมว่ามันคืออะไร? ถ้าเราตีความผิด มันจะหมายถึงอย่างนี้

ถ้าตีความกันลักษณะแบบผิดๆ อย่างนี้ แล้วหัวใจของข่าวประเสริฐที่อยู่ในพระคัมภีร์ทั้งเล่มอยู่ตรงไหนแล้ว ข่าวประเสริฐในพระเยซูคริสต์ ในพระคัมภีร์ใหม่ทั้งเล่มเลย พูดเหมือนกันเลยว่าความรอดที่เราได้รับมานั้น เป็นพระคุณจากพระเจ้าที่ได้รับมาฟรีๆ ไม่เกี่ยวอะไรกับการกระทำทั้งสิ้น เพื่อไม่ให้มีใครสามารถอวดอ้างได้ เอเฟซัส บทที่ 2 บันทึกอย่างนั้น

พระโลหิตพระเยซูคริสต์ที่หลั่งบนไม้กางเขน ชำระล้างบาปให้กับเรา ขาวสะอาด บริสุทธิ์ เป็นผู้ชอบธรรมเหมือนพระองค์ตลอดไป ครั้งเดียวเป็นพอ ที่จะลบล้างทั้งบาปที่ทำในอดีต ปัจจุบัน ซึ่งทำอยู่แน่นอน และบาปในอนาคต ซึ่งกระทำอยู่แน่นอนด้วย ถูกลบล้างออกไปด้วย ในข่าวประเสริฐนี้  ถูกไหม? ไม่มีผู้ใด หรือสิ่งใดที่จะทำให้เราขาดจากความรักของพระเจ้าได้ บันทึกอย่างนี้ใช่ไหม? นี่คือหนึ่งในข่าวประเสริฐใช่ไหม? ส่วนหนึ่งใช่ไหม? และเมื่อมาเชื่อพระเจ้าแล้ว เราได้ชื่อว่าเป็นแกะของพระเจ้า พระเจ้าได้บอกว่าเราจะให้ชีวิตนิรันดร์กับแกะนั้น และแกะนั้นจะไม่มีทางพินาศอีกเลย ตลอดนิรันดร์กาล ไม่มีใครจะมาทำร้ายแกะของเรา ไม่มีใครจะมาขโมยแกะของเรา  ไม่มีใครจะมาเอาแกะของเราออกจากคอกของเราได้เลย พระเยซูตรัสอย่างนั้นใช่ไหม? ไม่มีใครจะแย่งชิงแกะเหล่านี้ออกไปจากมือของเราได้ มือของใคร? มือของพระเยซูคริสต์ นี่คือแก่นของข่าวประเสริฐของพระเจ้า มันแย้งกันใช่ไหม?

ที่ผมยกมา เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่ง เล็กๆ เองนะ ที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ เกี่ยวถึงเรื่องข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ที่ย้ำยืนยันความจริงของข่าวประเสริฐ ว่าความรอดที่เราได้รับมานั้น ไม่เกี่ยวอะไรกับการประพฤติทั้งสิ้น ไม่เกี่ยวอะไรกับการกระทำทั้งสิ้น

ถ้าอย่างนั้น ถ้อยคำในข้อ 14 ที่บอกว่าความเชื่อเฉยๆ โดยปราศจากการกระทำ เป็นความเชื่อที่ไร้ประโยชน์ ไม่ได้นำมาสู่ความรอด หมายความว่าอะไร? ท่านก็ถามในใจใช่ไหม? เหมือนกับพี่น้องที่มาถาม หรือผู้เชื่อใหม่ที่มาถามผมนั่นแหละ ผมจึงเอาข้อนี้มาแจงรายละเอียดให้ทราบ เพราะว่ามันเป็นหัวใจ ถ้าเราตีความนี้ผิด มันจะทำให้เละตุ้มเป๊ะในข่าวประเสริฐ ในความเชื่อของเรา เราจะงงเต๊ก

เพราะฉะนั้น ความหมายว่าถ้าเป็นอย่างนั้น การกระทำที่จะตอบสนองต่อความเชื่อ ในข้อพระคัมภีร์ข้อนี้ หมายถึงการกระทำอะไร ถ้าไม่ได้หมายถึงความประพฤติอย่างที่บอกมา มันหมายถึงอะไร?

คำตอบของคำถามนี้ ก็คือชื่อเรื่องของการบรรยายวันนี้นั่นเอง ตอบคำถามท่านนั่นเอง ความเชื่อที่ปราศจากการกระทำ ก็ไร้ประโยชน์ ตอนที่ 2 ชื่อตอนว่า “เชื่อในพันธสัญญา แต่ไม่กระทำตามเงื่อนไข ก็ไม่เกิดผล” ก็คือไร้ประโยชน์นั่นเอง ตอบคำถามท่านในใจแล้วนะ มาติดตามต่อไป

จากยากอบ บทที่ 2 ที่เราได้อ่านไปเมื่อตะกี้นี้ ถ้าผมขยายความ แปลอย่างลึกซึ้ง ให้เห็นชัดขึ้น  อย่างนี้ ตามบริบทว่ายากอบ 2:14, 17 ที่เราอ่านเมื่อสักครู่นี้ …

ยากอบ 2:14,17  “14 พี่น้องทั้งหลาย ถ้าคนหนึ่งอ้างว่ามีความเชื่อ (ในพันธสัญญา) แต่ไม่สำแดงเป็นการกระทำ (ตามเงื่อนไขในสัญญา)  จะมีประโยชน์อะไร  17 ความเชื่อแบบนี้  จะช่วยเขาให้รอด (ทางวิญญาณ พ้นจากหนี้บาป) ได้หรือ”

 

พี่น้องทั้งหลาย ถ้าคนหนึ่งอ้างว่ามีความเชื่อในพันธสัญญา ไม่ได้เชื่อในคำสั่งสอนนะ แต่ไม่สำแดงเป็นการกระทำตามเงื่อนไขในสัญญา เชื่อในพันธสัญญา แต่ไม่ทำตามเงื่อนไขในพันธสัญญา จะมีประโยชน์อะไรล่ะ ความเชื่อแบบนี้จะช่วยให้เขารอดได้หรือ?  รอดทางไหน? รอดทางวิญญาณ พ้นจากความบาป มาเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า เขาจะเป็นไปได้หรือ? ในเมื่อพระเจ้าสัญญาว่าจะให้ความชอบธรรมกับเขา จะให้เขาเป็นลูกของพระเจ้า แต่มีเงื่อนไขว่าเขาต้องทำอะไรบางอย่าง และเขาก็ได้ทำตรงนั้น เห็นภาพแล้วนะ ชัดขึ้นนะ

ความเชื่อในที่นี้ ก็คือความเชื่อ ในข่าวประเสริฐของพระเยซู ความเชื่อตรงนี้ คือเชื่อในพันธสัญญา ในข่าวประเสริฐของพระเยซู หรือเชื่อในพันธสัญญา ที่พระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้ ผ่านทางพระเยซูว่าจะไถ่มวลมนุษยชาติ ให้รอดพ้นจากโทษของความบาปและความตาย  และกระทำสำเร็จแล้ว ที่ไม้กางเขน พระองค์จะไถ่มวลมนุษย์ แสดงว่าพระองค์รอคอยให้มนุษย์ตอบสนองต่อพันธสัญญานี้  เพราะว่าฝ่ายพระองค์ทำสำเร็จแล้ว คือพระเยซูคริสต์มาตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 สำเร็จแล้ว พระเยซูประกาศว่าสำเร็จแล้ว คำว่า “จะ” จึงกลายเป็นปัจจุบันทันที  คือทำสำเร็จแล้ว  แต่ก็ยังคงเป็นจะอยู่ สำหรับบรรดาผู้คนที่ได้ยินข่าวประเสริฐนี้  แล้วยังไม่ทำตามเงื่อนไขสัญญานี้  พอเข้าใจไหมครับ?

เพราะฉะนั้น ฝ่ายพระองค์ได้ทำแล้ว ถ้าใครอยากได้รับการไถ่ ต้องกระทำตามเงื่อนไขสัญญา คือเขาต้องกระทำขั้นตอน สนองตอบต่อความเชื่อในพันธสัญญานี้  ก็คือการทำตามเงื่อนไขในสัญญา เงื่อนไขในสัญญาให้ทำอะไร? ถึงจะได้รับสิทธิในการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ ที่ได้ทำสำเร็จแล้ว ที่พระเจ้าตั้งเป็นพันธสัญญาให้เรียบร้อยแล้ว

ตะกี้ผมเน้นคำว่า “พันธสัญญา” … พันธสัญญา คืออะไร? คือสัญญาที่มีพันธ … “พันธ” แปลว่าอะไร?  แปลว่ามีเงื่อนไข …

“ถ้าผมทำอย่างนี้ คุณต้องทำอย่างนี้ คุณจะได้อย่างนี้ ถ้าคุณอยากได้รถคันนี้ มีสัญญาว่าคุณเอาตังค์มาสองแสน แล้วผมให้รถคุณ โอนให้คุณ”

อย่างนี้ เขาเรียกว่าพันธสัญญา ไม่ใช่สัญญาลอยๆ ไม่มีพันธ นี่มีพันธสัญญา  คือพระเจ้าทำส่วนหนึ่ง เราต้องทำอะไรบางอย่างในพันธสัญญาที่เขียนไว้ พันธสัญญาได้เขียนไว้ว่าพระเจ้าทำสำเร็จแล้ว  ที่พระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน  เราต้องทำอย่างไร? เราต้องเชื่อ และต้องเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ซึ่งเงื่อนไขในสัญญาที่ต้องกระทำตาม ก็จะเป็นไปตามแต่ละยุค แต่ละสมัย  เพราะในพระคัมภีร์นี้ ได้อ้างไปถึงในยุคพระคัมภีร์เดิม ก่อนที่พระเยซูคริสต์มา ก็เป็นพันธสัญญาเหมือนกัน แต่เป็นพันธสัญญาแบบเก่า พระเยซูคริสต์เป็นพันธสัญญาแบบใหม่  แต่ลักษณะการใช้พันธสัญญาเหมือนกัน คือต้องมีสองฝ่ายกระทำ

สำหรับชาวยิวที่ได้ฟังการประกาศข่าวประเสริฐ อันนี้  ที่ยากอบ บทที่ 2 ได้ประกาศให้ชาวยิวได้ฟัง  ทั้งยิวที่เชื่อและยิวที่ยังไม่เชื่อ เงื่อนไขในการที่จะได้รับการไถ่บาป จากพระเยซูคริสต์ ที่ได้กระทำสำเร็จแล้ว ที่ไม้กางเขน เฉพาะชาวยิวนะ เงื่อนไข ก็คือเขาต้องยกเลิกการถวายเครื่องบูชาด้วยเลือดสัตว์ เพื่อลบบาปให้ตัวเอง ตามที่พระเจ้าเคยบอกเขาในอดีต เพราะตอนนี้ พระเจ้าได้เริ่มต้นพันธสัญญาใหม่ อันเก่าขอยกเลิก ตอนนี้ทำพันธสัญญาใหม่ ถ้าเขาอยากได้ เขาต้องทำสิ่งหนึ่ง ตามที่พันธสัญญาใหม่ได้ระบุไว้เป็นเงื่อนไข ก็คือเขาต้องใช้สิทธิของเขา รับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระผู้ไถ่บาป แทนเลือดของสัตว์  เลือดของแพะหรือแกะ ที่เขาเอามาถวาย เป็นประจำ หรือแทนบัญญัติต่างๆ ตั้งแต่สมัยโมเสสมา ที่เขานับถือกันมาว่ากระทำอย่างนี้แล้ว จะได้รับความรอด  จะเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า  เขาต้องยกเลิกสิ่งต่างๆ เหล่านั้นทั้งหมด แล้วหันมาเชื่อและวางใจในการกระทำของพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน ที่ได้ไถ่บาปให้เขา ครั้งเดียวเป็นพอ นี่คือเงื่อนไข

ในยากอบ บทที่ 2 ได้พูดถึงเงื่อนไขของสัญญาที่พระเจ้าได้ทำไว้กับอับราฮัมด้วย อย่างที่ผมบอก ยากอบได้ยกตัวอย่างตรงนี้ ครั้งที่แล้วเราได้อ่านไปแล้ว ได้อ้างถึงพันธสัญญา ที่พระเจ้าเคยทำกับบรรพบุรุษของชาวยิว ก็คืออับราฮัม เพื่อให้เขาได้เห็นว่าพันธสัญญานี้ จะต้องมี 2 ฝ่าย ฝ่ายพระเจ้ากับฝ่ายมนุษย์ ที่ได้รับพันธสัญญานั้น ต้องทำอะไรบางอย่าง

พระเจ้าสัญญาว่าจะให้อับราฮัมและลูกหลานของอับราฮัม เป็นผู้ชอบธรรม สามารถอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้ เป็นผู้ชอบธรรม สัญญาว่าอับราฮัมจะเป็นบิดาของคนจำนวนมากมาย เป็นต้นกำเนิดของผู้ชอบธรรม ที่มาโดยความเชื่อ ซึ่งรวมทั้งเราในปัจจุบันนี้ ก็มาจากพันธสัญญาอันนี้แหละ พระเจ้าสัญญาว่าจะให้อับราฮัม เป็นต้นตระกูลของผู้ชอบธรรม โดยเงื่อนไขของพันธสัญญานี้ ก็คือให้อับราฮัมถวายบุตรชายแก่พระเจ้า ซึ่งถ้าอับราฮัมเชื่อในพระเจ้า เชื่อในพันธสัญญานี้จริงๆ อับราฮัมก็ต้องมีการกระทำตามเงื่อนไข มันหมายถึงอย่างนั้น คือยอมถวายบุตรชายให้พระเจ้า ซึ่งอับราฮัมก็ได้ทำ  สนองตอบต่อความเชื่อนั้น จริงๆ ซึ่งเราก็รู้อยู่แล้วว่าพระเจ้าทดสอบ ดูความเชื่อของอับราฮัมว่าเชื่อจริงไหม? อับราฮัมตัดสินใจแล้ว ยกมีดขึ้นไปแล้ว คือตัดสินใจไปแล้ว พระเจ้าทราบดี พระเจ้าบอกหยุดๆ ไม่ต้องทำแล้ว  เท่ากับว่าอับราฮัมได้ทำตามเงื่อนไข คือถวายบุตรชายแล้ว ด้วยความเชื่อ

ประเด็นอยู่ตรงนี้ คือถ้าเชื่อจริงๆ ก็ต้องมีการกระทำตามเงื่อนไขนั้นๆ เพื่อตอบสนองความเชื่อนั้น ไม่เกี่ยวอะไรกันกับการกระทำอื่นๆ ของอับราฮัมเลย ซึ่งอันที่จริง ตามที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ทั้งก่อนหน้า และภายหลังที่อับราฮัมได้ทำตามเงื่อนไข ยอมถวายบุตรชาย คืออิสอัคแล้ว อับราฮัมก็มีความประพฤติที่ไม่ดี ไม่เชื่อฟังพระเจ้าหลายอย่าง แต่อับราฮัมก็ยังคงได้ชื่อว่าเป็นผู้ชอบธรรมนิรันดร์ เพราะได้ทำตามเงื่อนไขแล้วใช่หรือไม่? นี่ยากอบยกตัวอย่างนี้ขึ้นมา ผมอธิบายให้ละเอียดขึ้น หนึ่งในจำนวนที่ทำไม่ดี ตอนนั้นเห็นชัดเลย ก็คือพระเจ้าบอกว่าจะให้บุตร อับราฮัมไม่เชื่อหรอก วางแผน 2 คือไม่เชื่อฟังพระเจ้า ไปมีภรรยาน้อย นางฮาการ์ เพื่อจะมีบุตรด้วยตัวเอง  แทนที่จะเชื่อตามที่พระเจ้าบอกว่าจะมีบุตร  ตามที่พระองค์สัญญาไว้

ความประพฤติหรือการกระทำในชีวิต ทั้งในอดีตของอับราฮัม หรือปัจจุบันของอับราฮัม และอนาคตของอับราฮัม ไม่เกี่ยวอะไรกันกับการที่พระเจ้าบอกว่าเขาเป็นผู้ชอบธรรมเลย เพราะเขาเป็นผู้ชอบธรรม โดยความเชื่อฟังในพันธสัญญา คือพระเจ้าบอกว่าเป็นผู้ชอบธรรมได้ ถ้าเชื่อจนกระทั่งถวายบุตร เขาถวายแล้ว จบ  นี่เรียกว่ากระทำตามเงื่อนไขในพันธสัญญา

อีกตัวอย่างหนึ่งในหนังสือยากอบได้บอกไว้ ยกตัวอย่างครั้งที่แล้ว  ในแง่มุมหนึ่ง วันนี้เราจะมาดูอีกแง่มุมหนึ่ง ก็คือนางราหับ เป็นหญิงโสเภณี อยู่ในเมืองเยรีโค พระเจ้าบอกว่าเขาจะสามารถเป็นประชากรของพระเจ้าได้  จากหญิงโสเภณีต่างชาติ มาเป็นลูกของพระเจ้า  ถือว่าเขาเป็นประชาชนของพระเจ้า ในชุมชนของอิสราเอล  มาเป็นชาวอิสราเอล ถือว่าเป็นอะไรบางอย่างที่เลิศประเสริฐศรีมากในสมัยอดีต ไม่มีใครสามารถทำได้ พระเจ้าทำได้ พระเจ้าสัญญาว่าจะทำให้  ให้โสเภณี คือราหับ กลับกลายเป็นชาวยิว ประชากรของพระเจ้า ที่มีสง่าราศี มีความชอบธรรม ในสายพระเนตรของพระองค์ ถ้าเผื่อทำตามสัญญา

สัญญาของเขา คืออะไร? พันธสัญญาต้องมีเงื่อนไข พระเจ้าจะช่วยให้เธอได้รับความรอด จากการถูกฆ่าตาย ในเยรีโค เพราะพระเจ้าจะยึดเยรีโค ด้วยชาวยิวแล้ว  แต่เธอจะไม่ถูกฆ่า เธอจะได้รับความรอด และเราจะรับเธอเข้ามาเป็นประชากรของเรา เป็นหนึ่งในจำนวนประชากรของอิสราเอล  แต่เธอต้องทำสิ่งหนึ่ง  พันธสัญญานี้คืออะไร?

เงื่อนไขที่พระเจ้าให้กับราหับ คือต้องยอมเสี่ยงเปิดประตูให้กับสายลับ แค่นั้นเอง ถ้าเสี่ยงเชื่อในตัวเราว่าเป็นพระเจ้าจริง ตามที่ได้ยินมา และเชื่อในข่าวสารที่สายลับ พูดที่หน้าประตูว่าให้เชื่อ ให้เปิดประตู ถ้าเปิดประตูเมื่อไร ก็เป็นพวกพระเจ้า แค่นั้นพอ ที่เหลือพระองค์ทรงกระทำทั้งหมด และสัญญาว่าเขาจะได้รับอะไรบ้าง? แล้วเกิดอะไรขึ้น นางราหับก็กระทำตามคำสัญญา ก็คือเปิดประตูให้กับสายลับ และหลังจากการกระทำตามเงื่อนไข คือเสี่ยงเปิดประตูให้กับสายลับชาวยิวนั้น  ทันทีที่เปิดประตู เงื่อนไข ก็ได้ถูกกระทำให้สำเร็จ ตามพันธสัญญา ก็คือพระเจ้าทรงนับราหับ เป็นเหมือนอับราฮัม  นับราหับเป็นผู้ชอบธรรม เป็นประชากรของพระองค์ เป็นชาวยิวแล้ว พ้นจากการถูกฆ่าตายแล้วใช่หรือไม่?

หลังจากเปิดประตูแล้ว ราหับอาจจะเป็นหญิงโสเภณีต่อ จนกว่าเยรีโคจะแตก เยรีโคแตกแล้ว ราหับรอด ได้มาเป็นประชากรของชาวยิว อาจจะประพฤติสิ่งที่ไม่ดีอีกหลายอย่าง ซึ่งมันไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ในพันธสัญญาที่พระเจ้าให้อันนี้เลยว่าเปิดประตูให้สายลับเราเข้าไป เป็นพวกเรา พอแล้ว ใช่หรือไม่? เป๊ะเลย เหมือนกันใช่ไหม? ยากอบจึงยกตัวอย่างนี้ขึ้นมา

พอมาถึงยุคปัจจุบัน ยุคพันธสัญญาใหม่ในพระเยซูคริสต์ นี่เรามาเทียบให้เห็นเลย ที่พระเจ้าได้ทรงทำพันธสัญญา ทำส่วนของพระองค์แล้ว คือส่งบุตรของพระองค์ เพียงผู้เดียว ลงมารับความทุกข์ทรมาน รับเอาความบาป ยอมตาย เพื่อมนุษย์ทั้งปวง บนไม้กางเขน เพื่อชำระล้างบาปให้มวลมนุษยชาติทุกคน เพื่อให้มนุษย์ทุกคน ได้รับการบังเกิดใหม่  มาเป็นลูกของพระองค์ ที่เรียกว่าผู้ชอบธรรม

ผู้ชอบธรรม ก็คือเป็นลูกของพระองค์ที่ยืนอยู่ต่อหน้าพระองค์ได้ เข้ากับพระองค์ได้ มาเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวของพระองค์ได้ อยู่ในสวรรค์กับพระองค์ ตามเงื่อนไขในพันธสัญญา เห็นไหม? เป็นพันธสัญญาใหม่ในพระเยซูคริสต์

เงื่อนไขของพันธสัญญานี้ ก็คือพระเยซูคริสต์ได้ทรงกระทำสำเร็จแล้ว พระเจ้าทำสำเร็จแล้ว โดยพระบุตรของพระองค์ ที่ตายที่ไม้กางเขน  เพื่อมนุษย์ทั้งปวง

มนุษย์ทั้งปวงอยากได้สิทธิต่างๆ ที่พระเยซูคริสต์ทำให้  ไถ่บาปให้ ก็ต้องทำตามเงื่อนไขในสัญญาที่พระเจ้าให้ไว้ว่าจะได้รับ ต้องทำอย่างไรบ้าง?  เหมือนกับที่บอกกับอับราฮัม  เหมือนกับที่บอกราหับ  ต้องทำอะไรบางอย่าง  แล้วในข่าวประเสริฐนี้ ให้ทำอะไรล่ะ ก็ต้องทำอย่างนั้นแหละ โดยเงื่อนไขของพันธสัญญาใหม่นี้ ก็คือความเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ที่ไม่ใช่เชื่อพระเยซูคริสต์ แบบเฉยๆ  แต่เป็นการเชื่อจริงๆ ที่มีการกระทำตอบสนองด้วย เพราะพระเจ้าเป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด เป็นพระเจ้าแห่งความรัก พระองค์ไม่เคยบีบบังคับใคร ไม่เคยบีบคอใคร ไม่เคยทำสิ่งที่ชั่วร้าย ไม่เคยเป็นเจ้านาย คอยฝืนใจคน ไม่ใช่ พระองค์ทรงให้บรรดาสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างทุกอย่างมีอิสระเสรีภาพในการตัดสินใจเป็นตัวของตัวเอง ไม่บังคับ แม้ว่ามันจะดีก็ตาม แต่ไม่บังคับ ก็แล้วแต่เธอ

เพราะฉะนั้น มนุษย์อยากจะได้ตรงนี้ ก็ต้องทำเงื่อนไข ตามพันธสัญญาที่ระบุไว้ การเชื่อจริงๆ มีการกระทำด้วย คืออับราฮัมเชื่อจริงๆ รักลูกชายมาก แต่เสี่ยง ยอมถวายบุตรชาย  ราหับทำอะไร? ทำตามเงื่อนไข ต้องเปิดประตู ก่อนเปิดนั้น ต้องเสี่ยงชีวิต คือเปิดประตู ช่วยศัตรู ช่วยสายลับเข้ามา ถูกจับ แย่เลย ต้องเสี่ยง เพราะฉะนั้น พันธสัญญาใหม่ในพระเยซู ผู้ที่ต้องการได้รับสิ่งที่พระเยซูกระทำให้ ก็ต้องเสี่ยง เสี่ยงทำอะไร? เสี่ยงที่จะเริ่มต้นใช้สิทธิเปิดใจ ต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดจากบาป เงื่อนไขทั้งหมด มีแค่นี้เอง

ถามว่าทำไมต้องเสี่ยง  ก็พอเชื่อพระเยซูคริสต์ เคยได้เห็น  เคยได้ยิน คนอื่นเขาจะเกลียดเรา หาว่าเราเปลี่ยนศาสนา เขาไม่อยากจะเจอหน้าเรา ไม่อยากจะคุยกับเรา ถูกข่มเหงรังแก อะไรประมาณนั้น มันก็คือเสี่ยงประมาณหนึ่งใช่ไหม? แต่เงื่อนไขมีอยู่แค่นี้เอง ต้องทำไม? ต้องทำ ถ้าไม่ทำ ไม่ทำ ไม่เชื่อตามพันธสัญญาในพระเยซูคริสต์ที่พระเจ้าให้ไว้ ก็ไม่มีประโยชน์ เชื่อในพันธสัญญาว่าพระเจ้าทรงประทานพระเยซูคริสต์มา รู้จักแล้วพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระผู้ไถ่บาป เรียนมาจนเป็นซุปเปอร์ด็อกเลย ละเอียดยิ๊บเลยว่าประวัติศาสตร์นี้เรื่องจริงๆ แต่ไม่เคยที่จะใช้สิทธิส่วนตัวว่าขอต้อนรับพระเยซูคริสต์ มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดส่วนตัวจริงๆ เริ่มต้นอธิษฐานกับพระเจ้า เริ่มต้นคุยกับพระเจ้า ทั้งๆ ที่มองไม่เห็นพระเจ้า ทั้งๆ ที่จับพระเจ้าไม่ได้ แตะต้องไม่เจอ และยังแถมถูกคนอื่นข่มเหง บอกว่า …

“แกจะบ้าหรือไง พระเจ้าอะไร รูปปั้นพระเจ้าก็ไม่มี รูปพระเจ้าก็ไม่เห็น  อะไรก็ไม่เห็น  แล้วไปเชื่ออะไรบ้าๆ บอๆ อีก”

อย่างนี้ ไม่เรียกว่าเสี่ยงหรือ? เสี่ยง ถูกหาว่าเราเป็นบ้าไปแล้วหรืออย่างไร? เพี้ยนไปแล้วหรือ? และเมื่อเชื่อจริงๆ แล้ว มีการกระทำตามเงื่อนไข ก็คือใช้สิทธิ์ต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว ฟังให้ดีนะ เมื่อใช้สิทธิ์แล้ว ทำตาม ก็คือเชื่อ แล้วก็วางใจในพระเยซูคริสต์ ใช้สิทธิ์ต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เข้ามาอยู่ในใจ เข้ามาอยู่ในร่างกาย เข้ามาอยู่ในชีวิต ตั้งแต่วันนั้นเลย มอบชีวิตให้กับพระองค์นำพาไปเลย นี่เขาเรียกว่าทำตามเงื่อนไขแล้ว หลังจากนั้น ไม่ว่าการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้จะเป็นอย่างไร? ความประพฤติจะเป็นอย่างไร? จะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับความรอด ที่ได้รับมาแล้วนี้ ทั้งสิ้น ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับการเป็นลูกของพระเจ้า เป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้าไปเรียบร้อยแล้ว เนื่องจากเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ไปเรียบร้อยแล้ว การกระทำต่างๆ นั้น ไม่เกี่ยวข้องแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการกระทำ ความประพฤติในอดีต หรือในปัจจุบัน  หรือในอนาคตตลอดไปเลย ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง หรือมาทำลายความรอด การเป็นลูกของพระเจ้า การเป็นผู้ชอบธรรม ตามที่ได้รับจากพันธสัญญา ที่เราได้กระทำตามเงื่อนไขไปแล้ว คือรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด จบแล้วทันที ถูกหรือไม่?

ถ้ายกตัวอย่างง่ายๆ ก็คือใช้สิทธิ์ในการต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว  เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ตามพันธสัญญา รุ่งขึ้นขับรถไป มีคนเฉี่ยว หงุดหงิด ไปด่าว่าเขา ได้ไหม? ความรอดเสียหายไหม?

หรือเชื่อแล้วว่าพระเจ้าจะช่วยชีวิตของเราให้รอด จากความบาป  เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว 3 เดือนผ่านไป ยังสูบบุหรี่อยู่เลย เขาบอกให้เลิกแล้ว พยายามแล้ว มันได้แค่นี้ แล้วสูญเสียความรอดไหม? นึกภาพออกใช่ไหม? แล้วยังมีความโกรธ ความเกลียด ความอิจฉาริษยา อะไรอีกหลายอย่างมากมาย ทำไหม? ทำ แล้วมันจะเกี่ยวข้องไหม? มันไม่เกี่ยวข้องอะไรกันกับพันธสัญญาที่เราทำกับพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว ผ่านทางพระเยซูคริสต์ คือเราทำ เราเชื่อในพระเยซู วางใจในพระเยซู ต้อนรับพระเยซู เป็นพระผู้ช่วยให้รอด จบแล้ว

เชื่อในคำสัญญา ในพันธสัญญาของพระเจ้า  แล้วกระทำตามเงื่อนไขนั้น กี่ครั้ง ทำตามเงื่อนไข? อับราฮัมทำกี่ครั้ง? อับราฮัมทำตามเงื่อนไข คือฆ่าบุตรชายของตนเอง ถวายบุตรชายของตนเอง ทำกี่ครั้ง? ครั้งเดียว

ราหับทำกี่ครั้ง? จากการเป็นโสเภณี ได้กลายเป็นลูกของพระเจ้า เป็นประชากรของพระเจ้า คือเป็นอิสราเอล รับเข้ามาเป็นประชากรของพระเจ้า เปิดประตูกี่ครั้ง?  หรือเปิดอยู่ทุกวัน เปิดครั้งเดียว

แล้วเราผู้เชื่อ คริสเตียน บัญญัติใหม่ได้บันทึกไว้ว่าอย่างไร? เชื่อพระเยซู แล้วเปิดใจต้อนรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด กี่ครั้ง เปิดมันทุกวันเลย จำเป็นไหม? ไม่จำเป็น เปิดครั้งเดียว เชื่อ แล้วเกิดทันทีเลย  เกิดเป็นลูกพระเจ้า เป็นลูกพระเจ้าแล้ว ไม่มีเปลี่ยนแปลงแล้ว เป็นลูกแล้ว อย่างที่ตะกี้นี้บอก ข่าวประเสริฐ คืออย่างนี้ เป็นลูก ก็คือเป็นแกะของพระเจ้าแล้ว ไม่มีใครมาทำร้ายอะไรเราได้อีกแล้ว ไม่มีเลย

เพราะฉะนั้น ทำตามเงื่อนไข ตามพันธสัญญาเพียงครั้งเดียวเป็นพอ  ถามว่าให้เน้นเพื่ออะไร? เพื่อจะได้จำได้ว่าครั้งเดียวเป็นพอ จะได้จำได้ตรงนี้ จะได้ไม่ตีความหมายตรงนี้ผิด  พอมันผิดปุ๊บ ทำให้ความเชื่อต่างๆ ผิดไปด้วย  เกิดความวิตกกังวลว่า …

“ความรอดฉันยังอยู่ไหม? ตกลงฉันมาเชื่อพระเจ้า 10 ปีแล้ว ตายไป แล้วจะได้ไปสวรรค์ อยู่ในสวรรค์หรือไม่? เพราะว่า 10 ปีมานี้ ทำอะไรที่ไม่ดีอีกเยอะแยะเลย ไม่เชื่อฟังพระเจ้าอีกตั้งเยอะแยะเลย เหตุเกิดขึ้นจากการตีความผิดแค่นี้เอง ในยอห์น 1:12-13 บอกไว้อย่างนี้ว่า …

ยอห์น 1:12-13  “12 ส่วนคนทั้งปวงที่ยอมรับพระองค์ ผู้ที่เชื่อ (ในพันธสัญญา และได้ทำการใช้สิทธิ์) ในพระนามของพระองค์  พระองค์ก็ประทานสิทธิ (ฤทธิ์เดช) ให้เป็นบุตรของพระเจ้า  13 คือเป็นบุตรที่ไม่ได้เกิดจากการสืบเชื้อสายตามธรรมชาติ หรือจากการตัดสินใจของมนุษย์ หรือจากเจตจำนงของสามี  แต่เกิดจากพระเจ้า”

 

นี่คือพระคัมภีร์ข้อหนึ่งที่พูดถึงเงื่อนไขของการที่จะได้รับตามพันธสัญญา ที่พระเจ้าสัญญาไว้นี้ ในพระเยซูคริสต์

“ส่วนคนทั้งปวง มนุษย์ทั้งหลาย ที่ยอมรับพระองค์ ผู้ที่เชื่อ” เรารู้แล้วว่าเชื่อในพันธสัญญาในพระเยซูคริสต์นี้ และได้ทำการใช้สิทธิ์ตามเงื่อนไข ในนามของพระองค์ คือในนามพระเยซู พระองค์ก็ประทานสิทธิ หรือฤทธิ์เดช ให้เป็นบุตรของพระเจ้าทันที นี่ไงเงื่อนไข คือเป็นบุตรที่ไม่ได้เกิดจากการสืบเชื้อสายทางธรรมชาติ หรือการตัดสินใจของมนุษย์ หรือเจตจำนงของสามี แต่เกิดจากพระวิญญาณของพระเจ้า เกิดใหม่ เปรี้ยงทันทีเลย เมื่อทำตามเงื่อนไข พันธสัญญาในพระเยซูคริสต์ คือเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ไม่ใช่เชื่อเฉยๆ แล้วไม่เปิดใจ ไม่ทำอะไรเลย เชื่อในพันธสัญญา แล้วก็เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด แล้วอธิษฐาน การต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ก็คือการอธิษฐาน

การอธิษฐาน ก็คือการเปิดใจ  เพราะการอธิษฐาน คือการกระทำ ที่บ่งบอกถึงความเชื่อว่า …

“พระเจ้ามีอยู่จริง ไม่มีอยู่จริง ฉันจะไปพูด อธิษฐานกับพระเจ้า เป็นคนบ้าหรือเปล่า? ถ้าไม่ใช่เป็นคนบ้า เป็นคนเมา ยังมีสติสัมปชัญญะ ในขณะที่ฉันอธิษฐาน พูดคุยกับพระเจ้า หมายถึงฉันเชื่อว่ามีพระเจ้าจริงๆ แล้วพระเจ้าสัญญาไว้อย่างนี้ว่าในพระเยซูคริสต์ ฉันจะได้รับความรอดจากบาป พระเจ้าจะเข้ามาช่วยเหลือชีวิตของฉัน จะมารับฉัน เป็นผู้ชอบธรรมของพระองค์”

ก็เลยเริ่มต้นอธิษฐาน คำแรก คือ … “พระเจ้าลูกเชื่อ  หรือลูกเริ่มเชื่อ ก็ได้ ลูกเชื่อแล้วว่ามีพระเจ้า และพระเจ้าประทานพระเยซูคริสต์มา ลูกขอต้อนรับสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำที่ไม้กางเขน  ทั้งหมดเข้ามาในชีวิตของลูก จะรู้มาก รู้น้อย แต่รู้แล้วล่ะ ต้อนรับแล้วล่ะ”

แล้วอธิษฐาน หมายถึงต้องพูดหรือ? พูดไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร ฉันคิดเอาก็ได้  พระเจ้ามองดูที่ใจ  มองดูที่วิญญาณข้างใน ตั้งใจจริง  แค่คิด บางคนอยู่บนเตียงคนป่วยหนัก พูดไม่ได้แล้ว  แต่จำได้ถึงข่าวประเสริฐ มีคนมาพูดถึงข่าวประเสริฐ ลูกมาพูดอยู่ข้างๆ เตียงถึงข่าวประเสริฐ ตัวเองพูดไม่ได้แล้ว ก็คิดไง นึก คิดถึงพันธสัญญาในพระเยซูคริสต์ และเปิดใจต้อนรับ

คำว่า “อธิษฐาน” อย่านึกถึงแต่ว่าพูด แล้วคนพูดไม่ได้ ทำอย่างไร? แล้วคนพิการ เป็นใบ้ ทำอย่างไร?  แม้กระทั่งคนเป็นอัลไซเมอร์ยังได้เลย  อัลไซเมอร์ ความคิดแบบมนุษย์ ที่คิดไม่ออก ลืมไปว่าตรงนั้นตรงนี้ แต่จิตใต้สำนึก นึกขึ้นได้ถึงเรื่องพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  มีเงื่อนไข และเขาเปิดใจต้อนรับ ก็ยังได้  แถมให้ฟังว่าเงื่อนไขนี้มันทำได้อย่างไร?  เชื่อในคำพูด ในคำมั่นสัญญาของพระเจ้า ก็คือเชื่อในพันธสัญญาที่พระเจ้าได้บอก ประกาศออกมา แล้วพอเชื่อปุ๊บ ทำอะไร? ใช้สิทธิ์ เปิดใจต้อนรับ

ถามว่าเปิดใจต้อนรับกี่ครั้ง?  ครั้งเดียวพอ ที่เหลือจากนั้น คุยกับพระเจ้า จะคิดกับพระเจ้า จะพูดกับพระเจ้า ไม่รู้ล่ะ ที่เหลือเป็นหน้าที่ของพระเจ้าแล้ว ไม่ใช่หน้าที่ของท่าน เพราะท่านได้บังเกิดใหม่ แล้วพระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ในท่าน ดำเนินชีวิตไปกับท่าน ในร่างกายของท่าน ที่พระคัมภีร์ว่าพระเจ้าผู้ทรงเริ่มต้นการงานดีในท่าน และพระองค์จะทรงกระทำต่อไปจนกระทั่งสำเร็จ จนกว่าจะถึงวันแห่งพระเยซูคริสต์ ข้าพเจ้ามั่นใจเช่นนั้น ฟีลิปปี 1:6 บันทึกไว้อย่างนั้น

ครั้งเดียวเป็นพอ เราทำหน้าที่ของเรา เงื่อนไข มันง่ายไหม?  ง่ายมาก เอเฟซัส 2:6-9 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

เอเฟซัส 2:6-9  “6 และพระองค์ได้ทรงให้วิญญาณของเราเป็นขึ้นมา (บังเกิดใหม่) กับพระคริสต์ และในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ทรงให้เรานั่งในสวรรคสถานกับพระคริสต์ 7 เพื่อในยุคต่อๆ ไป พระองค์จะได้ทรงสำแดงความอุดมแห่งพระคุณอันหาใดเปรียบ ซึ่งได้ทรงแสดงด้วยพระกรุณาที่มีต่อเราในพระเยซูคริสต์ 8 เพราะโดยพระคุณ ความเมตตา และความโปรดปรานของพระเจ้าที่ได้นำท่านเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ ท่านทั้งหลายจึงได้รับความรอด พ้นจากการถูกตัดสินลงโทษ เนื่องจากบาป และได้รับชีวิตนิรันดร์ผ่านทางความเชื่อ (ในพระสัญญาของพระเจ้า และเปิดใจต้อนรับพระเยซูครั้งเดียวเป็นพอ) 9 ความรอดนี้ ไม่ได้เป็นผลจากการพยายามทำด้วยตัวท่านเอง แต่เป็นพระคุณของพระเจ้าที่ได้ประทานให้ ไม่ใช่ความรอดโดยการประพฤติ หรือความพยายามที่จะรักษาบทบัญญัติของพระเจ้า เพื่อจะไม่มีใครโอ้อวด และแอบอ้างความดีของตัวเอง  ในความรอดของตนได้”

 

และพระองค์ได้ทรงให้วิญญาณของเราเป็นขึ้นมาใหม่ บังเกิดใหม่ พูดถึงว่าเราทำตามเงื่อนไข ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด แล้วเกิดอะไรขึ้นในโลกวิญญาณ  พระองค์ได้กระทำให้วิญญาณของเรา  เป็นขึ้นมาใหม่ ก็คือบังเกิดใหม่กับพระคริสต์ และในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ทรงให้เรานั่งในสวรรคสถานกับพระคริสต์ คือได้นั่งเลย เดี๋ยวนั้นทันที ที่ในโลกวิญญาณ ในวิญญาณของคนๆ นั้น ได้บังเกิดใหม่  และไปอยู่กับพระเจ้าทันทีในสวรรคสถาน เรียกว่านั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์ที่เบื้องขวาของพระเจ้า

ข้อ 7 บอกว่าเพื่อในยุคต่อๆ ไป พระองค์จะได้ทรงสำแดงความอุดม แห่งพระคุณ อันหาที่เปรียบไม่ได้ ซึ่งได้ทรงแสดงด้วยพระกรุณา ที่มีต่อเราในพระเยซูคริสต์

ข้อ 8 เพราะโดยพระคุณ ความเมตตา และความโปรดปรานของพระเจ้า ที่ได้นำท่านเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ ท่านทั้งหลายจึงได้รับความรอดพ้นจากการถูกตัดสินลงโทษ เนื่องจากบาป และได้รับชีวิตนิรันดร์ผ่านทางความเชื่อ

ขยายความว่าผ่านทางความเชื่อ ในพันธสัญญาของพระเจ้า ในคำพูดของพระเจ้า และทำตามเงื่อนไข ที่พระเจ้าบอก ก็คือเชื่อและเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ครั้งเดียวเป็นพอ มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ในชีวิตของท่าน

ข้อ 9 บอกว่าความรอดนี้ คือความรอดจากบาป ความรอดจากความตาย  การได้รับชีวิตนิรันดร์ การได้มาเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้าตรงนี้ ไม่ได้เป็นผลจากการพยายามทำด้วยตัวท่านเอง  ก็คือไม่ได้เป็นผลจากความประพฤติดี อย่างที่ตะกี้นี้บอก ไม่ว่าจะดีในอดีต หรือดีในปัจจุบัน หรือดีในอนาคต ไม่เกี่ยวกันเลย

อีกครั้งหนึ่ง ความรอดตรงนี้  การเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้าตรงนี้  การเป็นลูกของพระเจ้าตรงนี้ ที่บังเกิดขึ้นในวิญญาณของท่านตรงนี้ ไม่ได้เป็นผลจากการพยายามทำด้วยตัวเอง ไม่ได้เป็นผลจากความประพฤติดีของตนเอง ตั้งแต่ในอดีต หรือในปัจจุบัน หรือในอนาคตเลย แต่เป็นพระคุณของพระเจ้า ที่ได้ประทานให้ ไม่ใช่ความรอด  โดยความประพฤติ หรือโดยความพยายาม ที่จะรักษาบทบัญญัติ หมายถึงรักษาความดีงาม ตามที่พระเจ้าได้บันทึก สอนไว้  เห็นไหม? พระเจ้าสอน แต่ไม่ได้เกี่ยวกัน คนละเรื่องกันกับพันธสัญญา เพื่อจะไม่มีใครโอ้อวด และแอบอ้างความดีของตัวเองในความรอดของตนนี้ได้เลย  เพื่อจะได้ไม่มีใครบอกว่า …

“ฉันรอด ฉันเป็นลูกพระเจ้า ฉันเป็นผู้ชอบธรรม เพราะฉันทำดี  เพราะฉันรักษาความดี ตั้งแต่เชื่อพระเจ้ามา ฉันสละนิสัยไม่ดีออกไปเยอะมากเลย

“เยอะเท่าไร?”

“เยอะก็แล้วกัน”

“และยังมีบางอันที่ยังไม่สละไหม?”

“มี”

ถ้ามี ก็คือบาป  บาปก็ต้องตกนรกอยู่ดี แล้วจะเอาอย่างไร? จะพึ่งตนเองหรือจะพึ่งพระเจ้าดี นี่แหละคือความหมายที่ผมบอกว่ามันสำคัญมาก ถ้าท่านผิดนิดเดียว มันจะทำให้ขบวนการ ความเชื่อในเรื่องข่าวประเสริฐของพระเจ้าเสียหาย แล้วท่านจะสับสน ท่านสับสนไม่พอ ท่านไปบอกคนอื่น ท่านไปสอนคนอื่น ก็จะสับสนไปกันใหญ่  ข่าวประเสริฐของพระเจ้า ก็จะถูกทำให้เสียหาย มีฤทธิ์อำนาจน้อยลง

อันนี้ชัดเจนเลย ตัวอย่างเช่นรัฐบาลประกาศให้เงินช่วยเหลือผู้สูงอายุ ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป  โดยจะช่วยเหลือเงินเลี้ยงชีพ เดือนละ 600, 700, 800 ถึง 1,000 บาท เป็นการให้ เพราะความห่วงใย ความรัก ต้องการช่วยเหลือผู้สูงอายุ ที่บางคนอาจจะไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ หาเงินไม่ได้ รัฐบาลไม่ได้ให้เบี้ยเลี้ยงชีพนี้ เพราะผู้สูงอายุคนนั้นๆ ทำความดี หรือเคยทำดี หรือมีข้อกำหนดไว้ว่าต้องประพฤติตัวให้ดีๆ นะ มิฉะนั้น ไม่ให้ ใช่ไหม? รัฐบาลประกาศเพียงแค่ผู้สูงอายุรับรู้ในข่าวดีนี้ แล้วเชื่อในคำสัญญาของรัฐบาล เชื่อ แล้วไม่ใช่เชื่อเฉยๆ แต่เป็นการเชื่อที่ต้องกระทำอะไรบางอย่าง ตอบสนองตามเงื่อนไข

เงื่อนไข คืออายุ 60 ปีขึ้นไป   รู้ว่าเราได้รับสิทธิ์นั้นแล้ว เชื่อใช่ไหม?  เราต้องเดินทางไปที่เขต เสียเวลาไหม? เสียเวลา ให้ลูกพาไป หรือเราไปเอง  ไปยืนยันตัวตน และแสดงหลักฐาน  เพื่อใช้สิทธิ์นั้น และแค่ใช้สิทธิ์  ครั้งเดียวเป็นพอเลย ปุ๊บ เงินมาทุกเดือน ผมยังได้อยู่เลย ไปครั้งเดียวเอง ฉันใดฉันนั้น  ครั้งเดียวเป็นพอ เงินก็ไหลมาตามพร ที่รัฐบาลบอกไว้ว่าได้รับพร เดือนละตั้งแต่ 600 บาทเป็นต้นไป ซึ่งเราก็รู้แล้ว  ไม่ใช่ว่าเราจะพูดว่า …

“ฉันได้รับการช่วยเหลือจากรัฐบาล”

“ทำไมเธอถึงได้รับล่ะ”

“ฉันอายุ 60 ฉันยังไปช่วยเขาเก็บขยะอยู่เลย ฉันเป็นพ่อแม่ที่ดี ฉันไม่เคยตบตีลูกหลาน ไม่เคยละทิ้งลูกหลาน ในการสอนเขาเลย ฉันเป็นคนขยันขันแข็ง ยังมีงานทำ ทำอะไรได้ ฉันก็ทำ” ถูกไหม? “เพราะว่ารัฐบาลไม่ได้ให้ฉัน เพราะฉันเป็นคนดีเหล่านั้น”

ยังมีผู้สูงอายุอีกจำนวนไม่น้อย ที่ยังคงประพฤติตัวไม่เหมาะสม ขี้เหล้าเมายา นิสัยไม่ดี ทำอะไรที่ไม่ดี อายุ 60 แล้ว ได้ 600 บาทนี้ไหม? ได้หรือเปล่า? เป็นคนขี้เหล้านะ  เมายาด้วยนะ แต่มาใช้สิทธิ์ ได้หรือเปล่า? ได้ แล้วพอได้ไป เขาต้องเลิกยาไหม?  ถ้าไม่เลิกยา ก็ไม่ได้ ไม่เกี่ยวเลย ใช่หรือเปล่า? คนละเรื่องกัน  ใช้สิทธิ์ก็ได้เลย

รัฐบาลไม่เคยบอกว่าพอรับเงินค่าเลี้ยงชีพแล้ว จากนี้ต่อไป ต้องทำตัวเป็นพลเมืองที่ดีนะ ไม่อย่างนั้นจะตัดสิทธิ์ มีไหม? ตอนที่ไปเซ็นต์สัญญาเงื่อนไขรับค่าเลี้ยงชีพ ไม่เห็นมีบอกผมเลยว่า …

“คุณนครต่อไปต้องทำตัวดีๆ นะ ต่อไป ถ้าทำตัวไม่ดี เขาตัดออกไปเลยนะ”

ไม่เห็นมีบอกอะไร ก็ยังจ่ายอยู่ทุกวัน  ถูกไหม? เช่นกัน พระเจ้าประทานความรอด อภัยในความผิดบาปของมนุษย์ รับมนุษย์ทั้งปวงมาเป็นลูกของพระองค์ ไม่ใช่เป็นเพราะมนุษย์ประพฤติดี กระทำดี  หรือต้องทำดีต่อไปในอนาคต แต่เป็นความรักที่ไม่มีเงื่อนไข เรียกว่ารักดังแก้วตาดวงใจ ต้องการเข้ามาช่วย  ด้วยพระคุณ ความรักอย่างไม่มีเงื่อนไข เพียวๆ เท่านั้น  ไม่มีอย่างอื่นแอบแฝงอยู่เลย

เช่นเดียวกัน ซึ่งมนุษย์ได้ยินข่าวดีนี้ และเชื่อในคำพูด ในคำสัญญาของพระเจ้า ในพระเยซูคริสต์นี้จริงๆ ไม่ใช่เชื่อเฉยๆ  ก็ต้องยอมรับว่าตัวเองเป็นคนบาป ต้องการความช่วยเหลือ ถูกไหม? เริ่มต้นคิดว่าตัวเองเป็นคนบาป ต้องการความช่วยเหลือ นี่พระเจ้าจะมาช่วยเราแล้ว มีเงื่อนไข คือไปรับสิทธิ์สิ ผ่านทางพระเยซูคริสต์ คือเมื่อเชื่อว่า …

“พระเยซูคริสต์ เป็นพระบุตรของพระเจ้า ผู้ที่พระเจ้าพระบิดาส่งมา เกิดเป็นมนุษย์ เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ทุกคน รวมทั้งฉันด้วย ให้รอดพ้นจากความบาป ฉันขอต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ฉันเชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากความตาย  ฉันเชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นผู้นั้น ที่จะช่วยฉันได้ ฉันต้องการความช่วยเหลือ”

นี่แหละ คือเงื่อนไข และก็ตัดสินใจ เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามาสถิตในใจ ทำแค่นี้ ครั้งเดียวเป็นพอ  ก็จะได้รับทุกสิ่งทุกอย่าง ที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ในพระเยซูคริสต์ตลอดเลย พระพรนานัปการ ก็จะหลั่งไหลเข้ามา เหมือนเบี้ยเลี้ยงชีพที่รัฐบาล ที่ผมบอก เมื่อท่านใช้สิทธิ์ปุ๊บ  ก็ไหลเข้ามา ทุกเดือนก็จะมีเงินเข้าบัญชี ท่านเชื่อในพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่ทุกเดือนแล้วทีนี้ ทุกวินาที ทุกเสี้ยวลมหายใจเข้าออก พระเยซูและพระเจ้าทั้ง 3 พระภาค เข้ามาสถิตอยู่ในท่าน ทุกลมหายใจ ก็มีแต่พร  พระคัมภีร์บันทึกว่าเป็นพระพรนานับประการฝ่ายวิญญาณ ก็ปิ๊งๆๆๆ เข้ามา ท่านจะรู้หรือไม่รู้ ก็ปิ้งๆ รับพระพรตลอดเวลา ไม่ว่าจะรู้หรือไม่รู้ก็ได้รับ เหมือนกับที่หลายครั้ง ผมไม่ได้สังเกตดู สิ้นเดือนไม่ได้ดูบัญชี ปรากฏว่าเลยไป 20 วัน มาดูอีกที เงิน 600-700 นั้น ก็เข้ามาตั้งแต่เมื่อต้นเดือนแล้ว อะไรอย่างนั้นนะ ไม่ว่าจะรู้หรือไม่รู้ มันก็มา เพราะมันเป็นคำสัญญา จากรัฐบาล

คำสัญญาของรัฐบาลยังเชื่อถือได้ ยังเป็นจริงเลย  มากกว่านั้นสักเท่าใด พันธสัญญาในพระเยซูคริสต์ มาจากพระเจ้า ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ผู้ทรงฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่สูงสุด ผู้ทรงครอบครองและควบคุมอยู่เหนือสรรพสิ่ง ผู้ทรงกระทำอะไรก็ได้  ไม่มีใครขวางพระองค์เลย ผู้ทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้แต่พระองค์เดียว นอกจากพระองค์ ไม่มีพระเจ้าอื่นใด ผู้ทรงรักมนุษย์ทั้งหลาย ดังแก้วตาดวงใจ พระองค์จะรักษาพันธสัญญาที่ให้ไว้ เป็นจริงมากกว่านั้นขนาดไหน?

ทั้งหมดนี้ คือความหมายของคำว่า “ความเชื่อต้องมีการกระทำด้วย จึงจะเกิดผล” ซึ่งเราเรียนรู้ตอนนี้แล้ว ต้องบอกว่า “ความเชื่อต้องมีการกระทำตามเงื่อนไขด้วย จึงจะเกิดผล” ถูกไหม?  นี่แหละ คือความหมายของความเชื่อ ต้องมีการกระทำ (ตามเงื่อนไขด้วย) จึงจะเกิดผล และหลังจากที่เชื่อแล้ว ได้รับการบังเกิดใหม่แล้ว พระเจ้าจะค่อยๆ สอนเราผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่สถิตอยู่กับเราให้เชื่อฟังและประพฤติดี สมกับการที่ได้เป็นลูกของพระเจ้า เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว  ด้วยพระคุณความรักของพระองค์ โดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ มาบังคับเลย คือสอนเราด้วยความรัก ที่ไม่มีเงื่อนไขแล้วตอนนี้ ไม่มีเงื่อนไข รักลูกเดียวเลย จะทำบาปหรือไม่เชื่อฟังอะไร ก็ไม่มีผลอะไรทั้งสิ้น เพราะรักแล้ว เป็นลูกเราแล้ว  อภัยให้เรียบร้อยแล้ว ไม่มีเงื่อนไข แปลว่าจะทำก็ได้ ไม่ทำก็ได้ เพราะไม่มีบังคับ จะทำบาป จากนั้น เกิดอะไรขึ้น  พระเจ้าก็อภัย จะไม่เชื่อฟัง พระเจ้าก็อภัย เพราะเป็นลูกของเราแล้ว แต่เราก็จะเจ็บตัว หว่านสิ่งที่ไม่ดี ก็เก็บเกี่ยวสิ่งที่ไม่ดีในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้แต่ทางฝ่ายวิญญาณ ที่เราเป็นลูกพระเจ้า ได้รับความรอดทางฝ่ายวิญญาณแล้ว อยู่กับที่ เป็นที่เดิม คือเป็นลูกของพระเจ้า เป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้าเหมือนเดิม

ซึ่งประเด็นหลัก ที่หลายๆ คนเข้าใจผิดตรงนี้ ในบริบทนี้ เรื่องความเชื่อ และการกระทำ ก็คือเข้าใจกันว่าคือจะมีผู้เชื่อมาถามหลายครั้งตรงนี้ จะสับสนอยู่แค่หัวข้อ 2 อันนี้  ก็คือผู้เชื่อบางคนยังสับสน ไม่เข้าใจ คำว่า “การเชื่อ” กับ “การเชื่อฟัง” การเชื่อในพันธสัญญากับการเชื่อฟังคำสอน มันคนละอันกัน ซึ่งอยากจะเก็บไว้ เพราะต้องเจาะให้ละเอียด จะได้รู้ทะลุไปเลย  เพราะมันเป็นพื้นฐานของข่าวประเสริฐ อยากจะค่อยๆ อธิบายให้ฟังว่าเชื่อในพันธสัญญา และทำตามเงื่อนไขในพันธสัญญา ครั้งเดียวเป็นพอ กับเชื่อฟังพระเจ้าสอน มันคนละเรื่องกัน  พระเจ้าสอนผ่านอะไร? ผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ เริ่มจากความเชื่อ  เชื่อในพันธสัญญา ทำตามเงื่อนไข เราก็ได้กลายเป็นลูกของพระเจ้าใช่ไหม?  พอเป็นลูกของพระเจ้า คราวนี้พระเจ้ามาสถิตอยู่กับเราแล้ว เราบังเกิดใหม่เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว มีธรรมชาติใหม่ เป็นเหมือนพระเจ้าแล้ว  นึกภาพออกนะ พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่กับเรา โดยให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ คอยเป็นพี่เลี้ยง สอนเราด้วยความรัก ที่ไม่มีเงื่อนไขแล้วตอนนี้ อย่างที่ตะกี้นี้ผมบอก ไม่มีเงื่อนไข คือทำผิด ก็อภัยให้เรียบร้อยแล้ว ไม่เป็นไร เพราะรู้ว่าเราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ตรงนี้แหละ เขาเรียกว่าเชื่อฟัง ผมจะอ่านข้อพระคัมภีร์นี้ให้นิดหนึ่งก่อน แล้ววันหลังค่อยมาเจาะเรื่องนี้อย่างละเอียด เรื่องเกี่ยวกับความเชื่อ แตกต่างกับการเชื่อฟังอย่างไร? มาจบตรงนี้ก่อนดีกว่า เพราะไม่อย่างนั้น เดี๋ยวคนจะเข้าใจผิดว่า …

“อย่างนี้มาเชื่อพระเจ้า ความประพฤติไม่สำคัญเลยหรืออย่างไร?”

คนก็จะชอบคิดตามภาษามนุษย์ อธิบายลำบากยากเหลือเกิน ที่มนุษย์จะคิดตามภาษามนุษย์ว่าถ้าเราทำตามเงื่อนไขแล้ว เป็นลูกพระเจ้าแล้ว ความประพฤติต่อไปนี้ไม่สำคัญหรืออย่างไร?  ในเมื่อไม่เกี่ยวกับความรอดนิรันดร์ในการเป็นลูกพระเจ้า ในการเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว ถ้าเป็นอย่างนั้น ถ้าเป็นจริง คนมาเชื่อพระเจ้าจะทำบาป ก็สบายสิ ก็ทำกันใหญ่เลย  สอนอย่างนี้ คนก็ไปทำความเลว ความชั่ว ส่งเสริมให้คนทำชั่วหรือ? มันไม่ใช่อย่างนั้น

มันแปลว่าเมื่อเกิดเป็นลูกพระเจ้าแล้ว ธรรมชาติของการเกิดใหม่นั้น เป็นธรรมชาติของความดีงามแล้ว ไม่อยากทำชั่วแล้ว ที่ทำชั่ว เพราะถูกล่อลวง ถูกหลอกลวง ด้วยโปรแกรมเก่าๆ อิทธิพลของความบาป ที่กระทำการงานอยู่บนโลกใบนี้ เล่าไปหลายครั้งแล้ว สอนไปหลายทีแล้วนะ

วันนี้จะสรุปจบ ข้อความนี้ในหนังสือทิตัส 2:12 บอกอย่างนี้ …

ทิตัส 2:12 “พระคุณนี้ สอนเราที่จะฝึกฝนปฏิเสธการทำบาป และไม่ทำตามโลกียตัณหา และดำเนินชีวิตในโลกปัจจุบันนี้ อย่างมีสติสัมปชัญญะ ตามทางพระเจ้า สมกับเป็นผู้ชอบธรรม (บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า)”

 

พระคุณนี้ คือพันธสัญญาใหม่ของพระเยซูคริสต์ ที่เราทำตามเงื่อนไข คือเราไม่ต้องทำอะไรเลย เปิดใจต้อนรับสิทธิเท่านั้น เชื่อและต้อนรับพระเยซูคริสต์ เราก็เป็นลูกของพระเจ้า เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว เรียกว่าพระคุณ พระคุณนี้ การกระทำของพระเจ้าแบบนี้ ทำให้เราเป็นลูกของพระองค์ โดยที่เราไม่ต้องทำอะไรอย่างนี้  โดยไม่เกี่ยวข้องอะไรกับความประพฤติของเราในอดีต ปัจจุบัน และในอนาคตเลยเหล่านี้ ที่เรียกว่าพระคุณ สิ่งเหล่านี้ สอนเรา ก็คือพระเจ้าก็จะสอนเรา  ถ้าแปลตรงๆ ก็คือสอนเราด้วยความรัก อย่างมากมาย เหมือนเป็นลูกของพระองค์เลย อย่างไม่มีเงื่อนไข รักเราอย่างไม่มีเงื่อนไข พระเจ้ารักลูกของพระองค์อย่างไม่มีเงื่อนไข สอนเราด้วยความรักอย่างไม่มีเงื่อนไข ก็คือไม่มีการบีบบังคับ ฝึกสอนเรา ให้ทำตามธรรมชาติที่เป็นลูกของพระเจ้า ที่เกิดใหม่แล้ว  คือไม่ทำบาป  ไม่ชอบบาป  ปฏิเสธความบาป   สอนเราที่จะดำเนินชีวิตสมกับที่เป็นลูกพระเจ้า  คือไม่ทำบาป  ไม่ชอบบาป เหมือนกับพ่อที่เป็นมนุษย์ สอนลูกให้เดิน ลูกไม่ใช่มาคลานตลอดไปนะลูก ลูกไม่ใช่มานอนแบเบาะตลอดไป ลูกต้องโตขึ้น ต้องคลาน เสร็จจากคลาน ต้องสอนให้ตั้งไข่ก่อน ตั้งไข่แล้วสอนให้เดิน เดินแล้วต้องสอนให้วิ่ง อะไรต่างๆ เหล่านั้น

เหมือนกัน ไม่มีเงื่อนไข สอนเราให้ปฏิเสธการกระทำบาป ในนี้บอก … “และไม่ทำตามโลกียตัณหา” แปลว่าไม่ทำตามอิทธิพลของความบาป ที่อยู่บนโลกใบนี้  ซึ่งไม่ใช่ตัวของเราแล้ว ไม่ใช่ตัวของลูกแล้วนะ แต่มันมีอิทธิพลอยู่ สอนให้ลูกปฏิเสธ ไม่ต้องไปทำตามมัน “มัน” ไม่ได้หมายถึงตัวเรานะ  มันคือบุคคลอื่นแล้ว  ไม่ใช่คน มันคืออันอื่น อะไรอื่นๆ ที่ไม่ใช่ตัวเรา ก็คืออิทธิพลของความบาป  ที่มารจะส่งเข้ามากระตุ้น หลอกล่อให้เราทำ พระเจ้าก็จะสอนเรา อย่างไม่มีเงื่อนไข ก็คือลูกจะทำตาม ลูกก็ดี ก็มีความสุข ถ้าไม่ทำตาม ลูกก็มีความทุกข์ ลูกค่อยๆ เรียนรู้ไปนะ เดี๋ยวพ่อค่อยๆ สอน แต่จะทำผิดหรือทำถูก ไม่ได้มีส่วนในการ ที่จะมาเป็นลูกหรือไม่เป็นลูกเลย สอนเพื่อให้ดำเนินชีวิตในโลกปัจจุบัน คือในโลกวัตถุที่กำลังเดินอยู่นี้

พอเชื่อพระเจ้าปุ๊บ วันรุ่งขึ้น ก็ดำเนินชีวิตอยู่ที่เดิมนั่นแหละ อยู่บนโลกใบนี้ พระเจ้าก็จะสอนเรา นำพาเรา จากการทรงสถิตของพระองค์ที่อยู่ภายใน ให้เราดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้อย่างมีสติสัมปชัญญะ ก็คือเรียนรู้จักการเป็นลูกของพระเจ้าในวิญญาณแล้ว บังเกิดใหม่แล้ว มีสติสัมปชัญญะตามทางของพระเจ้า ก็คือตามทางของความดีงาม ที่ได้เกิดมาเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ให้สมกับเป็นผู้ชอบธรรม ก็คือบริสุทธิ์สมกับเป็นลูกของพระเจ้า เหมือนพระเจ้า เหมือนเราเลี้ยงลูกของเรา เราก็จะบอกลูกของเรา ทำตัว ประพฤติให้มันดีหน่อยนะ ถึงไม่ดี ก็เป็นลูกอยู่แล้ว ประพฤติตัวให้มันดีหน่อย ให้สมกับเป็นมนุษย์หน่อย ทำตัวให้เหมือนมนุษย์มนาหน่อย ไม่ใช่ลูกเราเป็นลิงนะ ซนอย่างกะลิง “อย่างกะ” ไม่ใช่ซนเหมือนลิง ซนยังกะลิง แต่เขาเป็นลิงไหม? ไม่ใช่ลิง แต่เราเปรียบเทียบเขาซนอย่างกะลิง แต่จริงๆ แล้วเรากำลังบอกเขาว่าประพฤติตัวให้มันสงบเสงี่ยม ให้สมกับเป็นลูกของเรา คือสมกับเป็นมนุษย์หน่อย  แต่งตัวให้เป็นมนุษย์มนาหน่อย แต่งตัวกระเซิงอย่างกับอะไรก็แล้วแต่ อย่างนี้เป็นต้น

เพราะฉะนั้น ครั้งหน้า เราค่อยมาเรียนรู้กันว่าความเชื่อ ในพันธสัญญากับความเชื่อฟังพระเจ้า ที่พระเจ้าสอนเรา โดยผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์นั้น ให้เราประพฤติสมกับเป็นลูกของพระเจ้า สมกับที่เราได้เป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า ที่บริสุทธิ์ สะอาดแล้วนั้น แตกต่างกันอย่างไร? พระเจ้าอวยพรครับ

 

******************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

บนโต๊ะอาหารแม่คุยกับลูกสาวคนเล็กวัย 7 ขวบ หลังจากคุยกันเรื่องอาหารอร่อยไหม …

แล้วแม่ก็ถามว่า … “ลูกชอบผลไม้อะไร?”

ลูกคนเล็กตอบ … “หนูชอบชมพู่ค่ะ”

แม่ถามต่อ … ““แล้วพี่เต๋ ล่ะ พี่เต๋ชอบอะไร?”

พี่เต๋ตอบ … “ลูกชอบกล้วยครับ”

แม่ถามต่อ … “แม่ล่ะ … ชอบอะไร?”

ลูกๆ ตอบ … “ชอบแตงโม”

แม่ถามต่อ … “แล้วคุณพ่อล่ะ ชอบอะไร?”

ลูกทั้งสองคนตอบพร้อมกันด้วยเสียงอันดังว่า … “คุณพ่อชอบทุกสิ่งทุกอย่างที่บ้านเราไม่มี!”

 

พระเยซูสอนเราว่าควรจะดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้อย่างไร จึงจะหายเหนื่อยและเป็นสุข …

ฮีบรู 13:5 “จงดูแลควบคุม ลักษณะนิสัยของท่าน ให้หลุดพ้นจาก การรักเงินทอง รวมทั้งความโลภ กิเลส ตัณหา และการรักสิ่งของบนโลก และจงพอใจในทุกสิ่ง ทุกสถานการณ์ ที่มีอยู่ และเป็นอยู่ ในขณะนี้ (ทั้งในโลกวิญญาณและโลกวัตถุนี้) (เชื่อและวางใจในพระเจ้า) เพราะพระเจ้าได้ตรัสว่า “เราจะไม่มีวันทอดทิ้งเจ้า (เหมือนเป็นลูกกำพร้า) เราจะไม่มีวันละทิ้งเจ้า (ให้อยู่ลำพัง) เราจะไม่ทำให้เจ้าต้องผิดหวัง อย่างแน่นอน”

 

เอเฟซัส 1:3 “สรรเสริญ​พระ​เจ้า​ผู้​เป็น​พระ​บิดา​ของ​พระ​เยซู​คริสต์ องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​ของ​เรา ผู้ได้ให้​พระ​พร​ฝ่าย​วิญญาณ​นานัปการใน​อาณาจักรฝ่ายวิญญาณ (สวรรค์) ทั้งหลายแก่​เราแล้วในพระคริสต์”

เอเฟซัส 2:4-6 “4 แต่เนื่องด้วยความรักใหญ่หลวงที่ทรงมีต่อเรา พระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยพระเมตตาอันอุดม 5 จึงได้ทรงกระทำให้วิญญาณของเรากลับมีชีวิต (บังเกิดใหม่) อยู่กับพระคริสต์ แม้ในขณะที่ วิญญาณเราได้ตายแล้วในบาป คือท่านทั้งหลายได้รับความรอด(จากการลงโทษจากคำสาปแช่ง)โดยพระคุณ 6 และพระองค์ได้ทรงให้ วิญญาณของเราเป็นขึ้นมา (บังเกิดใหม่) กับพระคริสต์ และในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ทรงให้เรานั่งในสวรรคสถานกับพระคริสต์แล้ว”

 

ฟังแล้วพอหรือยังครับที่จะหายเหนื่อยและเป็นสุข

 

พระเจ้าอวยพรครับ