วารสาร Holy News ฉบับที่ 1304

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  28  มีนาคม  2021

 เรื่อง “อย่ากลัวเลย” ตอน 48

โดย วราพร  คงล้วน

 

วันนี้เรามาต่อในหนังสือลูกา 1:67 คราวที่แล้วเราจบลงที่ข้อ 66 พูดถึงเศคาริยาห์ที่พอลูกคลอดออกมา ญาติก็จะให้ตั้งชื่อว่าเศคาริยาห์  แต่นางเอลีซาเบธบอกว่า …

“ไม่ได้ ต้องตั้งชื่อว่ายอห์น”

ทุกคนก็แปลกใจว่าทำไมให้ตั้งชื่อว่ายอห์น ก็ให้ไปถามเศคาริยาห์ว่าจะให้ตั้งชื่อว่าอะไร? ซึ่งในตระกูลก็ไม่มีใครชื่อฉีกแนวขนาดนั้น พอถามเศคาริยาห์ว่า …

“ตกลงจะให้ลูกชื่ออะไร?”

เศคาริยาห์ก็เลยเขียนคำว่า “ยอห์น” พระเจ้าก็เปิดปากให้สามารถที่จะพูดได้เลย เพราะว่าน้ำพระทัยที่พระองค์ได้วางไว้สำหรับยอห์น ให้มาคลอดก่อนพระเยซู 6 เดือน เพราะฉะนั้น เป็นคนที่ถูกจัดเตรียมไว้ เพื่อที่จะกรุยทางให้พระเยซูเข้ามาสู่การปรนนิบัติรับใช้พระเจ้าในอนาคต ก็คืออีก 30 ปีข้างหน้า พอเศคาริยาห์พูดได้ปุ๊บ ในข้อที่ 67

ลูกา 1:67-75 “67 ฝ่ายเศคาริยาห์ผู้เป็นบิดาประกอบไปด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์  แล้วได้ทำนายว่า 68 “สาธุการแด่พระเจ้าของพวกอิสราเอล  ด้วยว่าพระองค์ทรงเยี่ยมเยียนและช่วยไถ่ชนชาติของพระองค์ 69 และได้ทรงให้ผู้ช่วยทรงฤทธิ์เกิดมา  ในวงศ์ของดาวิดผู้รับใช้ของพระองค์ 70 ตามที่พระองค์ได้ตรัสไว้ตั้งแต่โบราณ  โดยปากของผู้เผยพระวจนะบริสุทธิ์ของพระองค์ 71 คือทรงให้รอดพ้นจากพวกศัตรูของเราทั้งหลาย  และพ้นจากมือของคนทั้งปวงที่ชังเรา 72 ดังนั้นจึงทรงสำแดงพระกรุณาซึ่งทรงสัญญาแก่บรรพบุรุษของเรา  และทรงระลึกถึงพันธสัญญาบริสุทธิ์ของพระองค์ 73 คือคำปฏิญาณซึ่งพระองค์ได้ทรงกระทำไว้  กับอับราฮัมบรรพบุรุษของเราว่า 74 เมื่อเราทั้งหลายพ้นจากมือศัตรูของเราแล้ว  จะทรงโปรดให้เราปรนนิบัติพระองค์โดยปราศจากความกลัว 75 ด้วยความบริสุทธิ์และด้วยความชอบธรรม  จำเพาะพระพักตร์พระองค์ตลอดชีวิตของเรา”

 

นี่คือสิ่งที่เศคาริยาห์ได้เผยพระวจนะ เป็นการเผยพระวจนะที่ได้ถูกบันทึกไว้ ตั้งแต่สมัยพระคัมภีร์เดิม เป็นเรื่องราวที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ซึ่งพระเจ้าได้กำหนดไว้เรียบร้อยไปแล้ว ตั้งแต่อาดัมและเอวาล้มลงในความบาป และพระเจ้าทรงสัญญาว่าจะประทานพระผู้ช่วยให้รอดให้กับมนุษยชาติ ก็คือจะมีเด็กคนหนึ่งคลอดจากหญิงพรหมจารีย์ นั่นคือสิ่งที่พระเจ้าได้กำหนดไว้หลายพันปี แล้วพระองค์ก็ทรงดำเนินการงานของพระองค์มาตลอดว่าสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นแน่นอนในเวลาที่เหมาะสมของพระองค์ด้วย

ไม่ว่าอะไรก็ตามที่พระองค์ได้ทรงบอกกับเรา พระองค์มีกำหนดเวลา ไม่ใช่เวลาของเรา เป็นเวลาของพระองค์ หรือหลายๆ อย่างที่พระองค์ได้ประทานให้กับชีวิตของพวกเรา ก็จะมีกำหนดเวลาของพระองค์ว่าพระองค์จะให้สิ่งต่างๆ เหล่านี้ เกิดขึ้นเมื่อไร? อย่างไร? ให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้า

อันนี้ก็เช่นเดียวกัน พระองค์ก็กำหนดพระเยซูคริสต์ไว้ให้อยู่ในพงศ์พันธุ์ของดาวิด ตรงนี้เศคาริยาห์ก็อธิษฐานเผยพระวจนะตามที่พระคัมภีร์เดิม บอกไว้ชัดเจนว่าเกิดจากพงศ์พันธุ์ของดาวิด อันแรก คือพระเจ้าได้สัญญากับอาดัม-เอวามาจนถึงยุคของอับราฮัม

อับราฮัมเป็นคนแรกที่พระเจ้าทำพันธสัญญาเลือด คือก่อนหน้านั้น เป็นคำปฏิญาณหรือเป็นคำมั่นสัญญาเฉยๆ แต่พอถึงยุคของอับราฮัม พระเจ้าก็ให้ทำพันธสัญญาเลือด เราจะเห็นชัดเจนว่าการไถ่ของพระเยซูคริสต์จะมีเรื่องของเลือดเข้ามาเกี่ยวข้องเสมอ ตั้งแต่ครั้งแรกที่พระเจ้าได้ช่วยอาดัมกับเอวา มนุษย์ก่อนที่จะล้มลงในความบาป มีวิญญาณเหมือนพระเจ้า สะอาด บริสุทธิ์ หมดจด อาดัมกับเอวาไม่ต้องใส่เสื้อผ้า และไม่มีความอายต่อกันด้วย เพราะบริสุทธิ์มาก พอล้มลงในความบาปปุ๊บ จึงรู้สึกว่าตัวเองโป๊อยู่และไม่สะอาด พอรู้สึกโป๊ เขาก็ไปเอาใบไม้มาคลุมกาย ซึ่งเมื่อก่อนไม่ต้อง พอพระเจ้ารู้ปุ๊บ พระเจ้าทำให้เป็นแบบอย่าง ให้ดูครั้งแรก ก็คือพระเจ้าฆ่าสัตว์ตัวหนึ่ง เพื่อเอาหนังสัตว์มาห่อหุ้มร่างกายของมนุษย์ นั่นคือการทำให้มนุษย์เห็นว่าเลือดของสัตว์ หรือสัตว์ตัวหนึ่งจะต้องถูกฆ่า เพื่อที่จะได้มาปิดบังความบาปให้กับมนุษย์ หรือปิดบังความน่าอายของมนุษย์

แล้วครั้งแรกที่พระเจ้าทำพันธสัญญาเลือดกับมนุษย์ ก็คืออับราฮัม พระเจ้าให้ทำพิธีเข้าสุหนัต คือต้องมีการหลั่งเลือด เฉพาะผู้ชายทุกคนของอิสราเอล เมื่ออายุ 8 วัน เขาก็จะพาเข้าไปในพระวิหาร เพื่อทำพิธีเข้าสุหนัต เป็นพันธสัญญากับพระเจ้าว่าเราเป็นของพระองค์ … พระองค์เลือกเราไว้

พอเสร็จสรรพ ในตรงนี้ ที่เศคาริยาห์ได้อธิษฐาน ก็คือพระเจ้าได้ทำเอาไว้เรียบร้อยแล้ว และเป็นขั้นตอนมาตลอด จนถึงยุคของโมเสสที่พระเจ้าได้ทรงเลือกเผ่าอิสราเอล และแยกเผ่าเลวีออกมา เพื่อทำหน้าที่ถวายเครื่องบูชา มีเผ่าเดียวเท่านั้น ที่สามารถเข้าไปในอภิสุทธิสถานได้ เพื่อถวายเครื่องบูชา มนุษย์ก็ต้องทำอย่างนี้ทุกปีๆ เหมือนกับส่งดอกเบี้ย เหมือนเราเอาของบางอย่างไปจำนำไว้ แล้วเราไม่มีเงินต้นที่จะไปไถ่ถอนสิ่งนี้ออกมา เราไม่อยากสูญเสียสิ่งนี้ เราก็ต้องไปจ่ายดอกเบี้ย ตามที่โรงรับจำนำเขาบอกไว้ว่าดอกเบี้ยเท่าไรต่อเดือน ต้องเอาไปจ่าย ไม่อย่างนั้น ของมันจะหลุดจำนำ  ลักษณะเดียวกันเลย

มนุษย์ถูกขายเป็นทาส พระเจ้าก็ใช้วิธีการให้มนุษย์มาล้างบาป 1 ปีต่อ 1 ครั้ง เพื่อชำระบาป ชั่วคราว เหมือนการส่งดอกเบี้ย เพื่อที่จะยืดลมหายใจ ในลักษณะที่ยังสามารถเป็นคนของพระเจ้าอยู่ แต่ลำบากนะในยุคนั้น เขาก็ต้องทำอย่างนี้ตลอด

พอถึงตรงนี้ พระเจ้าเมตตา พันธสัญญาของพระเจ้าที่ได้บอกไว้ตั้งแต่สมัยอาดัม-เอวากำลังจะสำเร็จ ตรงนี้พระเยซูคริสต์ยังไม่ได้เกิด ถ้อยคำตรงนี้ที่ได้พูดถึงยอห์น บัพติศโตได้คลอดออกมา แล้วตั้งชื่อว่ายอห์น … เศคาริยาห์ได้มองเห็นล่วงหน้าว่าหลังจากนี้ อีก 6 เดือน พระเยซูคริสต์จะมาเกิด เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ที่พระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้กับชนชาติอิสราเอล ในสมัยก่อน เขาคิดว่าสัญญานี้มีเฉพาะชนชาติอิสราเอลเท่านั้น แต่ความเป็นจริงน้ำพระทัยของพระเจ้า คือพระสัญญานี้ พระเจ้าทำไว้สำหรับมนุษยชาติทั้งหมดบนโลกใบนี้ เป็นความรักที่พระเจ้าส่งต่อมาให้พวกเราทุกคนที่อยู่ในความบาป อยู่ในความกลัว เป็นทาสของมาร เป็นทาสของความชั่วร้าย มีสิทธิ์หรือมีความสามารถที่จะหลุดจากการเป็นทาสของมาร เข้ามาอยู่ในพระคุณของพระเจ้าได้ สิ่งนี้ ได้ทำให้สำเร็จแล้ว เมื่อ 2,000 กว่าปีที่แล้ว แล้วในถ้อยคำเหล่านี้ ก็ได้เขียนให้เราเห็นภาพชัดเจนว่าพระองค์ได้เตรียมการอะไรไว้บ้าง? เมื่อพรเยซูคริสต์เสด็จมาบังเกิด และทำหน้าที่ของพระองค์สำเร็จ ก็คือเดินไปที่ไม้กางเขน และสิ้นพระชนม์เป็นขึ้นมาจากความตาย จะทำให้มนุษย์พ้นจากความกลัว

กลัวว่าเราจะต้องชดใช้หนี้เวรกรรมของเราเอง แล้วเราต้องทำดีขนาดไหน? เพื่อที่จะชดใช้ให้มันหมด แล้วกลัวอีกว่าเมื่อชดใช้ไม่หมด แล้วเราจะอยู่อย่างไร? ถ้าหลังความตาย เราจะอยู่ในสภาพแบบไหน? เราไม่มีความสามารถที่จะทำดีจนกระทั่งตัวเองมีความมั่นใจ 100% ว่าเราจะได้ไปสวรรค์ ไม่มีใครสามารถทำได้เลย ไม่กล้าคิดด้วยซ้ำไปว่าเราจะได้ไปสวรรค์ เพราะว่าความดีของเรามีไม่พอ ฉะนั้น พระเจ้ารู้ดีที่สุดว่ามนุษย์อ่อนแอ มนุษย์เป็นคนบาป มนุษย์ไม่สามารถช่วยตัวเองได้ เมื่อมนุษย์ไม่สามารถช่วยตัวเองได้ พระเจ้ารักเรามาก ก็เลยต้องหาวิธีที่จะช่วยเรา แล้วเป็นวิธีที่ง่ายๆ ง่ายเกิน จนทำให้มนุษย์ไม่สามารถรับได้ เพราะก่อนที่เรามาเชื่อพระเจ้า เราถูกสอนมาว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เราจะต้องทำโน่นนี่นั่น ด้วยกำลังของเราเอง เพื่อส่ำสมบารมี ส่ำสมบุญวาสนาอะไรต่างๆ เพื่อเราจะได้ลบกลบหนี้บาปที่เรามีอยู่ในใจ แต่มันก็ไม่ลบหายไปไหน?

ตั้งแต่วันนั้น จนถึงวันนี้ ใครก็ตามมนุษย์ที่อยู่บนโลกใบนี้ ที่ได้ยินได้ฟังเรื่องราวของพระเจ้า แล้วเปิดใจยอมรับ หมายความว่ายอมรับว่าตัวเองเป็นคนบาป ยอมรับว่าตัวเองช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ยอมรับว่าต่อให้เราทำดีขนาดไหน? ก็ไม่สามารถไปสวรรค์ได้ มันเป็นการยอมรับที่ลึกๆ อยู่ในใจว่าเรารู้สึกว่าทำดีมาก มากที่สุด ทำดีทุกวัน แต่ข้างในสะอาดจนขนาดที่เรารู้สึกว่าจากโลกนี้ไป ฉันได้อยู่สวรรค์แน่ๆ ไม่มีใครทำตรงนั้นได้ ฉะนั้น พระเจ้าก็เลยส่งพระเยซูคริสต์มา ทำเรื่องนี้ให้สำเร็จ

ทำไมพระเจ้าต้องให้พระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ จริงๆ ตามหลักการ พวกเรามนุษย์คิดอะไรง่ายๆ เรารู้สึกว่าพระเจ้าเป็นพระเจ้า เป็นผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก เป็นผู้ครอบครองควบคุมกัลปจักรวาลนี้ เป็นผู้ที่ตรัสแล้วทุกสิ่งก็เกิดขึ้น ทำไมพระเจ้าไม่ตรัสว่าเราลบบาปให้พวกเจ้า ไม่ต้องทำอะไรเลย ไม่ต้องส่งพระเยซูคริสต์มาด้วย ทำไมพระเจ้าไม่ทำ  เหตุผล คือพระเจ้าตั้งกฎไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าถ้าอาดัมกับเอวาไม่เชื่อฟังพระเจ้า ผลที่เกิดขึ้น คือเขาจะต้องตาย

ตายในความหมายของพระเจ้า คือไม่ใช่ พอไม่เชื่อฟังปุ๊บ แล้วก็หงายท้องตึง แล้วก็ตายเลย ไม่ใช่  แต่ว่าความตายตรงนี้ หมายถึงมนุษย์จะถูกตัดขาดจากพระเจ้า จากการที่เคยเดินคู่กับพระเจ้า เกี่ยวก้อยกันเดินคุยกันสนุกสนาน เหมือนพ่อกับลูก ต้องถูกตัดขาด กลายเป็นเส้นขนานที่ไม่สามารถมาบรรจบกันได้ แล้วพระเจ้าก็บอกว่าความตายอย่างเดียวเท่านั้น ที่จะสามารถชดใช้บาปได้ คือความตายต้องชดใช้ด้วยความตาย เมื่อชีวิตชดใช้ด้วยชีวิตปุ๊บ ตอนนี้เป็นปัญหาแล้ว เพราะว่ามนุษย์ทุกคนบาปหมด ไม่มีใครสามารถชดใช้แทนใครได้ เหมือนกับเราเป็นหนี้ทั้งโลก ทุกคนเป็นหนี้หมด แล้วมีใครที่จะสามารถปลดหนี้ ให้กับใครได้ ไม่มีทาง มีเพียงผู้เดียวเท่านั้น ที่ไม่มีหนี้ ถึงสามารถปลดหนี้ให้เราได้ แล้วพระเยซูคริสต์ผู้นี้แหละ ถูกส่งมา โดยที่พระเจ้าบอกว่าจะส่งพระวิญญาณของพระเจ้าเข้ามาจุติในครรภ์ของหญิงพรหมจารี

หญิงพรหมจารี ทุกอย่างพระเจ้ากำหนดไว้เรียบร้อยแล้ว  ตั้งแต่วันแรกที่พระเจ้าบอก พระเจ้าก็กำหนดบุคคลที่พระเจ้าจะใช้งาน  อย่างบุคคลที่พระเจ้าใช้งานอันดับแรกเลย ก็คือเศคาริยาห์กับเอลีซาเบธ คือในยุคของพระเยซูคริสต์ ที่จะให้กำเนิดยอห์น ผู้ให้รับบัพติศมา หรือเราเรียกว่ายอห์น บัพติศโต เพื่อที่จะมากรุยทาง มานำทางพระเยซูคริสต์ ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะเริ่มพระราชกิจของพระองค์ พระเจ้าก็เตรียมยอห์นไว้  เพื่อการนั้น พอหลังจากนั้น พระเจ้าก็เตรียมอีก เตรียมนางมารีย์ ที่พระองค์จะใช้ครรภ์ของเธอ เป็นที่ปฏิสนธิของพระวิญญาณบริสุทธิ์

สมัยก่อนคนอาจจะไม่เข้าใจ มันเป็นไปได้อย่างไร? แต่ยุคปัจจุบัน เราเห็นมีเด็กหลอดแก้ว หรือเขาจะมีวิธีการ โดยที่คุณแม่ไม่จำเป็นต้องมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชาย ไม่อยากแต่งงาน แต่อยากมีลูก แล้วแถม ไม่อยากไปขอเขามาเลี้ยง คืออยากตั้งท้องเอง ก็ไปขออสุจิจากผู้ชาย ก็คือต้องไปขอจากโรงพยาบาล หรือไปขออย่างไรก็แล้วแต่ ต้องมีการยินยอม แล้วก็มาทำวิธี โดยให้คุณหมอฉีดเข้าไปในมดลูก แล้วก็ตั้งท้อง  สมัยนี้เขาทำได้

ในยุคของพระเยซูคริสต์ เขายังไม่สามารถรับรู้เรื่องนี้ได้ แต่พระเจ้าได้บอกกับคนอิสราเอล ในยุคนั้นว่าพระเจ้าจะส่งพระเยซูคริสต์มาประสูติ จากหญิงพรหมจารี และผู้หญิงคนนั้นชื่อมารีย์ แล้วมารีย์หมั้นกับโยเซฟ โดยที่โยเซฟก็เป็นพงศ์พันธุ์ของเผ่ายูดา สืบเชื้อสายมาจากกษัตริย์ดาวิด โยงจนเสร็จ ทุกอย่าง พระเจ้าได้กำหนดไว้เรียบร้อยแล้ว ให้โยงมาเป็นเรื่องเดียวกัน ตามสิ่งที่พระเจ้าได้บอกไว้

สมมติเป็นว่าเรารู้จักเพื่อนคนหนึ่ง ที่เฟสบุ๊ค แล้วเพื่อนคนนี้ ก็ไม่เอาหน้าขึ้นมาด้วย บางคนไม่ชอบเอาหน้าขึ้นมา ก็เอาภาพวิว ภาพอะไรก็แล้วแต่ เสร็จ เราก็ไม่สามารถรับรู้ว่าคนนี้คือใคร? หน้าตาเป็นอย่างไร?  รู้จักแต่ชื่อ พูดคุยกัน จนเราอยากจะรู้จักมากขึ้น เราก็นัดเจอกัน

เมื่อนัดเจอกัน ก็ต้องมีกำหนดใช่ไหม? สมมติว่าเรานัดเจอกันที่เดอะมอลล์บางกะปิ เราจะไปยืนอยู่ตรงหน้าแมคโดนัล

“ฉันมีรูปลักษณะสัณฐานแบบนี้ ฉันตัดผมซอย ย้อมผมสีทอง วันนี้ฉันจะใส่เสื้อสีเขียว กางเกงสีแดง ฉันจะไปยืนอยู่ตรงนี้นะ ตัวขาวๆ ส่วนสูงประมาณ 150”

อะไรก็แล้วแต่ พอนัดเสร็จ อีกคนก็ต้องบอกลักษณะ สัณฐานของตัวเองว่า …

“ฉันเป็นแบบนี้”

พอมาเจอกันปุ๊บ มองแล้ว ตามที่เขาบอกเป๊ะๆ ใช่เลยคนนี้ เราก็เข้าไปทักทาย พระเยซูเหมือนกัน พระเจ้าได้กำหนดไว้ชัดเจนเลยว่าพระองค์จะมาเกิดที่ไหน? อย่างไร? และเจริญเติบโตอย่างไร? แล้วเมื่อถึงเวลาเท่าไร พระองค์จะประกอบภารกิจของพระองค์ และเมื่อไรที่พระองค์จะต้องเดินไปที่ไม้กางเขน  เพื่อสิ้นพระชนม์ เพื่อหลั่งพระโลหิต เพื่อไถ่บาปของมนุษยชาติทั้งหมดบนโลกใบนี้ ใครก็ตามที่เปิดใจต้อนรับในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ เพื่อเขาบนไม้กางเขน ก็ได้รับความรอด รอดตรงนี้ ก็คือรอดพ้นจากความผิดบาปทั้งปวง ไม่ต้องไปชดใช้หนี้บาปอีกต่อไป ไม่ต้องมานั่งผวาว่าเดี๋ยววันนี้ พรุ่งนี้ ลมหายใจเราออกจากร่าง แล้วเราจะไปอยู่ไหน?

พระคัมภีร์บอกเราชัดเจน เมื่อเราต้อนรับพระเยซูคริสต์ เราเป็นผู้ชอบธรรม เราไม่มีบาปอีกเลย เมื่อไรที่ลมหายใจเราออกจากร่าง เราสามารถที่จะไปอยู่กับพระเจ้าบนสวรรค์สถานทันที เราจะย้ำกันบ่อยๆ ว่า ณ ปัจจุบัน ในโลกวิญญาณ เราได้นั่งอยู่ที่เดียวกันกับพระเยซูคริสต์ คือที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า

ฉะนั้น เราไม่มีความกลัวใดๆ ไม่ว่าปัญหาอุปสรรคบนโลกใบนี้ ก็ไม่สามารถทำให้เราเกิดความกลัวได้แม้แต่นิดเดียว เราจะมีความมั่นใจในการเดินกับพระเจ้า มั่นใจในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ และรู้ว่าเราไม่ได้เดินคนเดียว แต่พระเจ้าไปกับเราด้วย พระเจ้าทรงดูแลเราทุกย่างก้าว พระองค์สัญญาอย่างนั้น ไม่เพียงแต่ในโลกวิญญาณ ก็คือเรียบร้อยไปแล้ว พระเจ้าทำจบไปแล้ว เราได้อยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว แต่ในขณะที่เรายังอยู่บนโลกใบนี้ พระเจ้าก็ยังคงสัญญาว่าพระองค์จะดูแลเรา พระองค์จะไม่ทอดทิ้งเรา พระองค์จะจูงมือเราเดิน ไม่ว่าเราจะทุกข์ยากลำบาก เจอปัญหาอะไรก็ตาม  พระเจ้าจะพาเราผ่านได้ ด้วยพระคุณของพระเจ้า ไม่ว่าด้วยวิธีอะไรก็ตาม พระเจ้าจะสามารถทำให้เราผ่านไปได้แน่นอน

ลูกา 1:76-80 “76 “ท่านทารกเอ๋ย  เขาจะเรียกท่านว่าเป็นผู้เผยพระวจนะของผู้สูงสุด  เพราะว่าท่านจะนำหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้า  และจัดเตรียมมรรคาของพระองค์ไว้ 77 เพื่อจะให้ชนชาติของพระองค์มีความรู้ถึงความรอด  ที่มาทางการทรงยกบาปของเขา 78 โดยพระทัยเมตตากรุณาแห่งพระเจ้าของเรา  แสงอรุณจากเบื้องสูงจึงมาเยี่ยมเยียนเรา 79 ส่องสว่างแก่คนทั้งหลายผู้อยู่ในที่มืด  และในเงาแห่งความมรณา  เพื่อจะนำเท้าของเราไปในทางสันติสุข” 80 ฝ่ายทารกนั้นก็ได้เจริญวัยขึ้น  และวิญญาณจิตก็มีกำลังทวีขึ้น  ท่านไปอาศัยอยู่ในถิ่นทุรกันดาร  จนถึงวันที่ท่านจะได้มาปรากฏแก่ชนชาติอิสราเอล”

 

ยอห์นผู้นี้แหละ เมื่อคลอดเสร็จ ได้ประมาณหนึ่ง เราก็ไม่รู้ ในพระคัมภีร์ไม่ได้เขียนว่ายอห์นไปอาศัยอยู่ในถิ่นทุรกันดาร ตอนอายุเท่าไร? แต่พระเจ้าก็ให้เขาไปอาศัยอยู่ในถิ่นทุรกันดาร เหมือนไปเก็บตัว จนถึงเวลากำหนดของพระเจ้า ยอห์นก็ปรากฏตัวขึ้นมาเฉยๆ อย่างนั้นแหละ พอยอห์นปรากฏตัวปุ๊บ ยอห์นก็ประกาศแผ่นดินของพระเจ้า ให้คนกลับใจใหม่ ทำพิธีบัพติศมา ให้กับคนอิสราเอล

เชื่อมั่นว่าคนอิสราเอลเขารับรู้เรื่องราวของสิ่งที่พระเจ้าทรงสัญญาทั้งหมด เขารับรู้อยู่แล้ว ไม่เหมือนพวกเรา เราไม่ใช่อิสราเอลโดยกำเนิด เราก็ต้องมาเรียนรู้กัน แต่คนอิสราเอลเขารู้ พอยอห์นปรากฏขึ้น เชื่อมั่นว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้แบ็คอัพยอห์นอยู่ ทำให้ผู้คนเกิดความยำเกรง พอยอห์นประกาศให้กลับใจเสียใหม่ ทุกคนก็ชักแถวมาเลย มาให้ยอห์นทำพิธีบัพติศมา

การทำพิธีบัพติศมา คือการสำแดงตัวเองว่าเรากลับใจใหม่แล้ว เราตัดสินใจจะเดินติดตามพระเจ้า ตลอดชีวิต สำแดงตัวเองว่าเราเป็นพวกของพระองค์

ยอห์นผู้นี้ก็มีลักษณะขวานผ่าซาก คือพูดเพราะไม่เป็น  พูดตรงๆ แล้วการที่จะพูดตรงๆ พูดแบบไม่รักษาน้ำใจใครเลย ถ้าไม่ได้มาจากพระเจ้าตายแน่นอน พระเจ้าก็แบ็คยอห์นไว้ จนถึงเวลากำหนด เวลายอห์นจะเตือนใคร ยอห์นก็เตือนตรงๆ ไปเตือนเฮโรด จนถูกจับไปติดคุก และถูกตัดคอตาย นี่คือภารกิจที่พระเจ้ามอบหมายให้ยอห์นทำ เป็นช่วงเวลาที่สั้น

ช่วงที่ยอห์นมาบอกว่าแผ่นดินสวรรค์ใกล้เข้ามาแล้ว ให้กลับใจเสียใหม่ ก็มีคนติดตามยอห์นเยอะมาก  นี่ผู้เผยพระวจนะมาจากพระเจ้านะ แต่พอตอนที่พระเยซูปรากฏตัวปุ๊บ ยอห์นไม่ได้รู้สึกหวงคนที่ติดตามยอห์นเลย ยอห์นจะชี้ให้ดูว่า …

“นั่นไงๆ คือพระเมษโปดก”

พระเมษโปดก หมายถึงแกะ ในอนาคตพระเยซูคริสต์จะเป็นแกะที่จะถูกนำไปฆ่าตาย เพื่อลบบาปมนุษยชาติบนโลกใบนี้  พอยอห์นบอกว่า …

“นั่นไง พระเมษโปดก คนนี้ใหญ่มาก ขนาดฉันไม่คู่ควรที่จะไปแก้สายรองเท้าของพระองค์ด้วยซ้ำไป”

หมายความว่าพระองค์อยู่สูงมาก ขนาดยอห์นที่คนยกย่อง นับถือ ยังพูดขนาดนี้  แล้วขณะที่ยอห์นพูดแบบนี้  ก็มีสาวกหลายคนที่ติดตามยอห์น หันไปติดตามพระเยซู เราจะเห็นภาพหนึ่ง คือยอห์ไม่ได้รู้สึกอะไร? ไม่ได้รู้สึกว่าทำไมไปกันหมดแล้วล่ะ

ผู้รับใช้ของพระเจ้า มีหน้าที่อย่างหนึ่ง คือนำคนไปถึงพระเจ้า ไม่ใช่นำคนมาถึงเรา แน่นอน ต้องนำผู้คนไปถึงพระเจ้า เพราะพระเจ้าผู้เดียวเท่านั้น ที่จะช่วยเราได้ ผู้รับใช้ไม่มีความสามารถที่จะช่วยท่านได้ ผู้รับใช้ก็เป็นเหมือนท่านคนหนึ่ง ที่เป็นคนบาป ที่ได้กลับใจใหม่ แล้วเป็นคนที่พระเจ้าเลือกมา เพื่อทำงานให้พระองค์แค่นั้นเอง จบ เรามีสถานะเดียวกัน คือเป็นลูกของพระเจ้าเท่ากัน แล้วเรามีสถานะเดียวกัน คือเรามีโอกาสล้มลงในความบาปเท่ากันด้วย เนื่องจากเราเชื่อพระเจ้าแล้ว วิญญาณเราสะอาด บริสุทธิ์ หมดจด แต่ร่างกายเรายังสามารถถูกล่อลวงด้วยเนื้อหนัง ด้วยระบบของโลกใบนี้ ที่หลายครั้ง เราก็ถูกล่อลวง ให้ออกจากทางของพระเจ้า แต่ไม่ว่าเราจะถูกล่อลวง ด้วยลักษณะไหนก็ตาม ให้พี่น้องมั่นใจว่าเมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเจ้าเป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว วิญญาณเรารอดแน่นอน พอเป็นอย่างนี้ยอห์นก็เจริญเติบโตในถิ่นทุรกันดาร

เรามาดูในลูกา บทที่ 2 พระเยซู ก็ถูกกำหนดเหมือนกัน ตอนที่ทูตสวรรค์มาหานางมารีย์ นางมารีย์อาศัยอยู่ที่นาซาเร็ธ แต่ว่าโยเซฟมีถิ่นกำเนิด ที่เบธเลเฮม เหมือนเราเกิดที่หนึ่ง แล้วย้ายถิ่นฐานไปอีกทีหนึ่ง แล้วพระเจ้าได้เขียน และกำหนดไว้ว่าพระเยซูคริสต์จะต้องคลอด หรือกำเนิดที่เบธเลเฮม ถ้าเป็นอย่างนั้น นางมารีย์กับโยเซฟอยู่ที่นาซาเร็ธ แล้วจะมาคลอดที่เบธเลเฮมได้อย่างไร มันต้องมีขบวนการ ต้องมีเหตุทำให้ต้องเดินทาง เรามาดู

ลูกา 2:1-4 “1 อยู่มาคราวนั้น  มีรับสั่งจากมหาจักรพรรดิซีซาร์  ออกัสตัส  ให้จดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งแผ่นดิน 2 นี่เป็นครั้งแรกที่ได้จดทะเบียนสำมะโนครัว  เมื่อคีรินิอัสเป็นเจ้าเมืองซีเรีย 3 คนทั้งปวงต่างคนต่างได้ไปขึ้นทะเบียนยังเมืองของตน 4 ฝ่ายโยเซฟก็ขึ้นไปจากเมืองนาซาเร็ธ  แคว้นกาลิลีถึงเมืองของดาวิดชื่อเบธเลเฮม  แคว้นยูเดียด้วย  เพราะว่าเขาเป็นวงศ์วานและเชื้อสายของดาวิด”

 

ตามเป๊ะเลย ที่พระเจ้ากำหนดไว้

ลูกา 2:5 “เขาได้ไปกับมารีย์ที่เขาได้หมั้นไว้แล้ว  เพื่อจะขึ้นทะเบียน  และนางมีครรภ์”

 

ที่พระคัมภีร์เขียนว่ามารีย์เขาได้หมั้นไว้แล้ว ก็คือตอนนี้รับมาเป็นภรรยา เพราะเหตุที่นางมารีย์ตั้งครรภ์พระเยซู แล้วทูตสวรรค์มาบอกกับโยเซฟว่านางมารีย์ตั้งครรภ์ โดยเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์ ฉะนั้น โยเซฟเลยรับนางมารีย์ไว้ ในสถานะ ณ เวลานี้ ก็ยังคงเหมือนคู่หมั้นอยู่นะ แม้ว่าจะรับมาอยู่ด้วยกัน พระคัมภีร์เขียนว่าโยเซฟไม่ได้แตะต้องนางมารีย์เลย จนกว่าพระเยซูคลอดออกมา หลังจากนั้น โยเซฟกับมารีย์ก็ใช้ชีวิตแบบสามี-ภรรยาปกติ ซึ่งในพระคัมภีร์บอกว่าพระเยซูมีน้องๆ

แต่น้องๆ เหล่านั้น ก็คือคนบาปเหมือนพวกเรา มีพระเยซูผู้เดียวเท่านั้นเป็นผู้บริสุทธิ์ ไม่มีบาปเลย

ลูกา 2:6-7 “6 เมื่อเขาทั้งสองยังอยู่ที่นั่น  ก็ถึงเวลาที่มารีย์จะประสูติบุตร 7 นางจึงประสูติบุตรชายหัวปี  เอาผ้าอ้อมพันและวางไว้ในรางหญ้า  เพราะว่าไม่มีที่ว่างให้เขาในโรงแรม”

 

พอทุกคนต้องไปขึ้นทะเบียนสำมะโนครัว คนก็แห่แหนกันไป แต่ละคนอยู่เมืองไหนก็ไป พอมาถึงเบธเลเฮม คนมาเยอะมาก จนโรงแรมทุกโรงแรม คนแน่นไปหมด ไม่มีห้อง สำหรับโยเซฟกับนางมารีย์ … นางมารีย์ก็ใกล้กำหนดคลอดพอดีเลย คือเดินทางต่อไม่ได้แล้ว เจ้าของโรงแรมใจดีนะ บอกมีที่ว่างห้องหนึ่ง ก็คือในคอกแกะ เป็นที่เลี้ยงสัตว์ มันคงเหม็นมาก แต่ด้วยสิ่งแวดล้อมที่ไปไหนไม่ได้แล้ว นางมารีย์ต้องคลอดบุตรแล้วล่ะ  ก็เลยไปอยู่ที่คอกแกะ แล้วพระเยซูก็กำเนิดในคอกแกะ ในรางหญ้า มีผ้าอ้อมพัน ตามที่ผู้เผยพระวจนะได้บันทึกไว้ว่าพระเยซูจะคลอดในลักษณะแบบไหน? ก็เป็นไปตามนั้น พอพระเยซูคลอดปุ๊บ ในข้อที่ 8

ลูกา 2:8-13 “8 ในแถบนั้นมีคนเลี้ยงแกะอยู่ในทุ่งนา  เฝ้าฝูงแกะของเขาในเวลากลางคืน 9 มีทูตองค์หนึ่งของพระเป็นเจ้ามาปรากฏแก่เขา  และพระสิริของพระเป็นเจ้าส่องล้อมรอบเขา  และเขากลัวนัก 10 ฝ่ายทูตองค์นั้นกล่าวแก่เขาว่า  “อย่ากลัวเลย  เพราะเรานำข่าวดีมายังท่านทั้งหลาย  คือความปรีดียิ่งซึ่งจะมาถึงคนทั้งปวง 11 เพราะว่าในวันนี้พระผู้ช่วยให้รอดของท่านทั้งหลาย  คือพระคริสต์เจ้า  มาบังเกิดที่เมืองดาวิด 12 นี่จะเป็นหมายสำคัญแก่ท่านทั้งหลาย  คือท่านจะได้พบพระกุมารนั้นพันผ้าอ้อมนอนอยู่ในรางหญ้า” 13 ในทันใดนั้น  มีชาวสวรรค์หมู่หนึ่งมาอยู่กับทูตองค์นั้นร่วมสรรเสริญพระเจ้า”

 

คนกลุ่มแรกที่ทูตสวรรค์ไปหา ก็คือคนเลี้ยงแกะ เราจะเห็นความสัมพันธ์ระหว่างผู้เลี้ยงแกะกับแกะ ที่ได้เขียนไว้ในถ้อยคำของพระเจ้า  ตอนที่พระเยซูเจริญเติบโต แล้วพระองค์ได้ทำพระราชกิจ พระเยซูตรัสว่าเราเป็นผู้เลี้ยงที่ดี พระองค์ทรงดูแลแกะทุกตัว  และในพระคัมภีร์บอกว่าแกะทุกตัว พระองค์จะเรียกชื่อของเขา หมายความว่าพระเยซูคริสต์ทรงจำชื่อแกะของพระองค์ได้ทุกตัว

พี่น้องอาจจะคิดว่าเราเป็นคนเล็กน้อยมากเลย ไม่มีบทบาทอะไรในอาณาจักรของพระเจ้า พระเยซูคงจำชื่อเราไม่ได้ แต่พระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าจำชื่อของแกะได้ทุกตัว แล้วพระองค์ทรงเรียกชื่อแกะของพระองค์ด้วย แล้วแกะของพระองค์จะไม่ตามคนอื่นไป แต่จะตามพระเยซูมา นี่คือลักษณะของแกะ ดังนั้น เมื่อเราเป็นลูกแกะของพระเจ้า เราก็จะฟังเสียง เข้าใจเสียงของพระเยซูคริสต์ เสียงของพระเยซูคริสต์ในปัจจุบัน เราฟังได้จากถ้อยคำของพระเจ้า ทุกครั้งที่เราได้อ่าน ได้ฟัง ได้ยิน ได้ทบทวน มันเป็นลักษณะเหมือนจดหมาย ที่พระเจ้าเขียนมาให้เรา ความรู้สึกของพระเจ้า  ที่จะบอกพวกเราว่าพระองค์รักเราขนาดไหน? พระองค์ทำอะไรเพื่อเราบ้าง? แล้วทำสำเร็จไปแล้วด้วย หมายความว่าเราไม่ต้องไปทำอะไรเลย  เราแค่รับเอา เหมือนของขวัญ ซื้อเสร็จแล้ว ไม่ต้องไปขวนขวาย ไปเดินห้างเป็นชั่วโมง 2 ชั่วโมง เพื่อหาซื้อของขวัญอีก พระเยซูบอก …

“ไม่ต้อง ของขวัญ ฉันทำให้เรียบร้อยแล้ว”

ทำหน้าที่อย่างเดียว คือเดินมารับเอา จบ รับของขวัญแห่งชีวิตนิรันดร์ที่พระเยซูคริสต์ ได้กระทำให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว เมื่อ 2,000 กว่าปีที่แล้ว แล้วสิ่งที่พระเจ้าทำ คือกำหนดทุกอย่างที่มันออกมาเป๊ะๆ พอทูตสวรรค์มาพบกับพวกคนเลี้ยงแกะ คำแรกที่พูด ก็คือ …

“อย่ากลัวเลย”

ทูตสวรรค์มาหา ตกใจ ทูตสวรรค์บอก …

“ไม่ต้องกลัว ฉันนำข่าวดีมา”

ข่าวดี ก็คือเรื่องของพระเยซูคริสต์ ที่จะมาเกิดบนโลกใบนี้ และ ณ เวลานี้ ก็เกิดแล้ว ประสูติในรางหญ้า  ฉะนั้น มันจะเกิดความปรีดี คือความชื่นชมยินดี  เพราะคนอิสราเอลรอคอย พระผู้ช่วยให้รอด มาหลายพันปี ที่พระเจ้าบอกว่าจะส่งมาๆ ลุ้นแล้ว ลุ้นอีกว่าตกลงคนนี้ใช่ไหม? คนนั้น ใช่ไหม? จนถึงพระเยซูคริสต์ เป็นเรื่องแปลก แต่เป็นเรื่องจริง ส่งมาปุ๊บ คนอิสราเอลไม่เชื่อว่าพระเยซูคริสต์ คือคนที่พระเจ้าส่งมา แต่ว่ามีคนที่พระเจ้าเปิดตาใจ ให้เขาสามารถเห็นความจริง แล้วเขาก็ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดนเ็นเรื่

ยุคที่พระเยซูคริสต์ทำภารกิจบนโลกใบนี้อยู่ ก็จะมีมนุษย์อยู่ 2 พวก คือพวกหนึ่งเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ อีกพวกหนึ่งก็คือไม่เชื่อ ปฏิเสธพระองค์ จนถึงยุคนี้ ยุคปัจจุบันเหมือนกัน เมื่อเราได้ยินได้ฟังข่าวประเสริฐของพระเจ้า ก็จะแยกออกมาเป็น 2 พวก พวกหนึ่ง ก็คือเชื่อ เปิดใจต้อนรับในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ เพื่อเราบนไม้กางเขน อีกพวกหนึ่ง ก็คือไม่เชื่อ ต่อให้รู้สึกว่าดีขนาดไหน ก็ไม่เอา  ต่อให้รู้ว่าพระเยซูคริสต์ทรงฤทธิ์สามารถชุบคนตายให้เป็นขึ้นมา เห็นจะๆ กับตาเลย ก็ยังไม่เอาพระเยซู มีความรู้สึกว่ามันง่ายไป …

“ฉันต้องทำด้วยตัวของฉันเอง

ที่ต้องทำด้วยตัวของฉันเอง เหมือนกับเรามีอีโก้แรง …

“ทำไมเราต้องไปพึ่งใครก็ไม่รู้ ที่เขาบอกว่าชื่อเยซู ไม่ต้องหรอก เราพึ่งตัวเองได้  เรายังมีความสามารถอยู่ เราจะทำด้วยกำลังของเราเอง เราจะพยายามปฏิบัติความดี ด้วยตัวของเราเอง”

ดังนั้น กลุ่มคนกลุ่มนี้ ไม่ถ่อมใจ ไม่กลับใจใหม่ ถ้ายังคงไม่กลับใจ จนถึงวันสุดท้ายของชีวิต ก็คือขาดทุนย่อยยับ เมื่อลมหายใจออกจากร่าง อย่างที่บอก มนุษย์มีสิทธิ์ที่จะเชื่อพระเจ้า เฉพาะในขณะที่เราอยู่บนโลกใบนี้เท่านั้น พระเยซูจำเป็นต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อปลดปล่อยมนุษย์ให้เป็นอิสระ เมื่อลมหายใจออกจากร่างปุ๊บ ไม่ใช่มนุษย์ ก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะกลับใจใหม่  ไม่มีสิทธิ์ที่จะเชื่อพระเยซูคริสต์

ฉะนั้น เราจำเป็นต้องเปิดใจต้อนรับพระองค์ ในขณะที่เรายังมีลมหายใจอยู่ ผลมันจะเกิดทันที ตามที่พระเจ้าได้กำหนดไว้ ก็คือทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระเจ้าได้เข้ามาเปลี่ยนวิญญาณเรา จากวิญญาณบาป มาเป็นวิญญาณชอบธรรม ในพระคัมภีร์ตรงนี้บอกปลดปล่อยคนที่อยู่ในความมืดให้เป็นอิสระ เมื่อก่อนเราไม่ได้เชื่อพระเจ้า เราอยู่ในความมืด มืด 8 ด้านเลย  เราอยู่ในการควบคุมของผีมารซาตาน มารจะจับเราไปทำโน่นทำนี่ ทุกอย่างตามใจเขา แล้วเราก็ฝืนไม่ได้ด้วย  เราก็ทำตาม แต่ ณ บัดนี้ พระเจ้าบอกว่าพระองค์มาปลดปล่อยเราแล้ว เรามีความสามารถที่จะต่อต้าน ขัดขืน เราไม่จำเป็นจะต้องเชื่อฟังมาร เราเชื่อฟังพระเจ้า

ฉะนั้น คนที่เข้ามาหาพระเจ้าจะได้รับอิสรภาพ เป็นผู้ชอบธรรมทันทีเลย แล้วมาเป็นลูกของพระเจ้าทันทีด้วย พระเจ้าเขียนไว้อย่างนั้นว่าคนที่ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เขาจะมีสถานะเป็นลูกของพระเจ้า พอเป็นลูกปุ๊บ ก็เป็นเลย ไม่ใช่วันนี้เป็นลูก พรุ่งนี้เป็นทาส มะรืนนี้เป็นลูก อีกวันหนึ่งเป็นทาส ไม่ใช่ พอเป็นลูก ก็เป็นลูกเลย พระเจ้ารับเราเป็นลูก และเมื่อรับเราเป็นลูก พระองค์ก็จะดูแลเรา พระองค์จะนำทางเรา พระองค์จะชี้ทางให้กับเรา พระองค์จะคอยประคบประหงมเรา พระองค์จะทรงแนะนำเราว่าอะไรควร อะไรไม่ควร แล้วเมื่อถึงอันตราย พระองค์ก็จะจูงมือเรา พาเราไปด้วยกัน แล้วก็ผ่านพ้นไปได้

เมื่อเรามีความทุกข์ พระองค์อยู่กับเรา เมื่อเรามีความสุข พระองค์ก็อยู่กับเรา พระเจ้าไม่มีแม้แต่วินาทีหนึ่งที่ทอดทิ้งเรา เพราะพระคัมภีร์บอกว่าทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทั้ง 3 พระภาคเข้ามาสถิตในเรา เป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่มีการแยกจากกันอีกแล้ว เมื่อสถิตอยู่กับเรา เราก็ไม่ต้องไปอธิษฐานขอพระเจ้าสถิตอยู่ด้วยนะ เราติดไง เราติดคำอธิษฐานว่า …

“พระองค์เจ้าข้า ขอสถิตอยู่ด้วย”

ตอนนี้เลิกพูดแล้วนะว่าขอพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย ไม่ต้องขอ เพราะพระเจ้าบอกว่า …

“ฉันอยู่ในเธอ อยู่ในนี้แล้ว เมื่อเธอเปิดใจต้อนรับฉัน ฉันอยู่ในนี้ แล้วฉันจะไม่ทิ้งเธอไปไหนด้วย จะอยู่ตลอดไป”

นี่คือพระคุณ ความรัก ความเมตตา ที่พระเจ้าทรงมีอยู่เหนือชีวิตของพวกเราทั้งหลาย พระองค์ไม่ได้เริ่มต้นจากคนที่มีฐานะสูงส่ง แต่พระองค์เริ่มจากคนเลี้ยงแกะ  ผู้ที่ต่ำต้อย แล้วก็ให้มีโอกาสได้พบกับพระเยซูคริสต์

ฉะนั้น มนุษย์บนโลกใบนี้ ไม่ว่าเราจะอยู่ในสถานะอะไร? อยู่เป็นมหาเศรษฐี หรือเป็นยาจก ที่เป็นขอทาน ก็มีสิทธิ์เข้ามาเป็นลูกของพระเจ้าได้ แล้วเมื่อเข้ามาเป็นลูกของพระเจ้า เรามีฐานะเท่ากัน ไม่ใช่พอมหาเศรษฐีมาเชื่อพระเจ้า เขาจะมีอภิสิทธิ์ หรือเป็นอภิสิทธิ์ชน ไม่มี เป็นนายร้อย นายพัน นายหมื่น ก็ไม่มีอภิสิทธิ์ ก็คือเป็นลูกของพระเจ้าเท่ากันกับคนที่เป็นยาจกเดินเข้ามา เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เขาก็มีสถานะเป็นลูกของพระเจ้าเท่ากันเป๊ะๆ เลย

ฉะนั้น เราจึงมีความรู้สึกขอบคุณพระเจ้า ขอบคุณที่พระองค์ทรงเลือกเรา ขอบคุณที่พระองค์ทรงเปิดตาใจเรา ให้เราสามารถเห็นความรักของพระเจ้า ขอบคุณที่พระองค์ทรงให้เราสามารถเข้ามาอยู่ในพระนิเวศน์ของพระเจ้า อยู่ในการดูแลของพระองค์ อยู่ในการควบคุมทั้งหมดของพระองค์ และให้เรามีความมั่นใจในพระองค์มากขึ้นทุกวันๆ ไม่ว่าบนโลกนี้เราจะเผชิญกับอะไรก็ตาม ความทุกข์ยากลำบาก อันนั้นไม่เป็นปัญหา แต่เรามีความมั่นใจว่าพอจากโลกนี้ไป เราได้มีที่ที่สวยงามที่สุด ที่พระองค์ทรงเตรียมไว้สำหรับเรา คือสวรรค์สถาน ซึ่งมีถนนทำด้วยทองคำ  มีที่อยู่เป็นอันมาก ตามที่พระเจ้าได้บอกไว้  แล้วพระเจ้าก็ทรงสัญญากับผู้เชื่อทุกคนว่าพระองค์ไปจัดเตรียมที่ไว้ให้กับเรา แล้วสัญญาอีกว่าพระองค์จะเตรียมร่างกายใหม่ที่เต็มไปด้วยสง่าราศีของพระเจ้า ให้กับพวกเราด้วย ซึ่งปัจจุบัน เราอยู่บนโลกนี้ อยู่ในร่างกายบาปนี้  เราก็มีวันที่จะเหี่ยวเฉา โรยราไป พออายุมากขึ้น ก็เจ็บโน่นเจ็บนี่ เป็นเรื่องปกติ พี่น้องไม่ต้องรู้สึก เราเป็นคริสเตียน ทำไมเราป่วยได้  ไม่เกี่ยวกันนะ เป็น คริสเตียนก็ไม่เกี่ยวอะไรกับป่วยหรือไม่ป่วย เพราะว่าร่างกายนี้ เป็นร่างกายที่วันหนึ่งจะต้องถูกทิ้งไป ต่อให้เราเจ็บป่วยขนาดไหน? เรามั่นใจอย่างหนึ่ง ก็คือเมื่อถึงเวลากำหนดของพระเจ้า พระเจ้าจะเอาวิญญาณเราออกจากร่าง แล้วพระองค์เตรียมร่างกายใหม่ สำหรับพวกเราทุกๆ คน เรียบร้อยไปแล้ว ฉะนั้น อยู่บนโลกนี้ อยู่ให้มีความสุข อยู่ด้วยความมั่นใจว่าพระเจ้ารักเรามาก มากขนาดไหน? ถ้าวันไหนเกิดความน้อยเนื้อต่ำใจว่า …

“ทำไมเจอปัญหาเยอะแยะมากมายอย่างนี้ พระเจ้าไม่รักเราหรือ?”

ให้นึกภาพว่ารักขนาด ให้พระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ ยอมตายแทนเราบนไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาจากความตาย เพื่อเรา แค่นี้จบเลย  ไม่มีอะไรสามารถแยกเราออกจากพระเจ้าได้ หรือไม่มีปัญหาใดๆ ที่ทำให้เรารู้สึกน้อยอกน้อยใจพระเจ้าได้เลย พระเจ้าอวยพรค่ะ

 

*********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

ภายในจิตใจของผู้ที่ได้รับการชำระล้างบาปแล้ว ล้วนปรารถนาที่จะทำแต่สิ่งที่ดี ตามน้ำพระทัยพระเจ้า แต่ก็ยังคงต้องต่อสู้กับเนื้อหนังที่ยังคงมีเชื้อบาปอยู่ ผลัดกันแพ้ ผลัดกันชนะ ตามที่อาจารย์เปาโลได้คร่ำครวญไว้ว่า …

“ด้วยว่าการดีนั้น ซึ่งข้าพเจ้าปรารถนาทำ ข้าพเจ้าไม่ได้กระทำ แต่การชั่ว ซึ่งข้าพเจ้ามิได้ปรารถนาทำ ข้าพเจ้ายังทำอยู่ ถ้าแม้ข้าพเจ้ายังทำสิ่งซึ่งข้าพเจ้าไม่ปรารถนาจะทำ ก็ไม่ใช่ตัวข้าพเจ้าเป็นผู้กระทำ แต่บาปซึ่งอยู่ในตัวข้าพเจ้านั่นเอง เป็นผู้กระทำ” (โรม 19-20)

 

หลายคนก็ต้องเคยมีประสบการณ์แบบนี้ คือใจอยากจะทำดี  ไม่อยากทำบาป แต่เนื้อหนังสู้ไม่ไหว

 

และในที่สุด  ผู้ที่มีพระวิญญาณคอยช่วยอยู่  ก็จะค่อยๆ ทำบาปน้อยลงเรื่อยๆ และในขณะเดียวกัน เรายังคงสามารถมั่นใจได้ว่าเราได้รับการอภัยแล้ว   วิญญาณเราไม่เป็นคนบาปอีกต่อไปแล้ว

 

พระคัมภีร์บอกว่าไม่มีมนุษย์คนใดที่สมบรูณ์พร้อม แม้ทางจิตวิญญาณจะได้รับความรอดแล้วก็ตาม แต่ทางกายก็ยังมีเชื้อบาปอยู่ ยังต้องต่อสู้กับกิเลสตัณหาทางเนื้อหนังอยู่

 

แต่ขอบคุณพระเจ้า ที่พระองค์ทรงโปรดอภัยให้เรา  และคอยอยู่เคียงข้างเรา  นำพาเราในทุกสถานการณ์  คอยช่วยเหลือและให้กำลังเรา ในการต่อสู้กับการล่อลวง และไม่ว่าเราจะผิดพลาดไปกระทำบาปแค่ไหนก็ตาม พระองค์ก็ไม่เคยปรับโทษเราอีกเลย แต่ยังคงอธิษฐานเพื่อเราอยู่เสมอ

 

ไบเบิลบันทึกไว้ว่า … “ใครจะกล่าวโทษได้อีก? พระเยซูคริสต์ผู้ทรงสิ้นพระชนม์และยิ่งกว่านั้นพระเจ้าทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตายแล้ว บัดนี้พระองค์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าและทรงกำลังอธิษฐานวิงวอนแทนเราด้วย” (โรม 8:34)

 

พระเจ้าอวยพรครับ