วารสาร Holy News ฉบับที่ 1303

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  21  มีนาคม  2021

 เรื่อง “คริสเตียนบังเกิดใหม่แล้ว เป็นลูกพระเจ้าแล้ว  ทำไมถึงยังทำบาปอยู่?” ตอน 2

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

สวัสดีครับพี่น้อง เราพบกันอีกครั้งหนึ่ง เราจะต่อจากสัปดาห์ที่แล้วเลย เรื่อง “คริสเตียนบังเกิดใหม่แล้ว เป็นลูกพระเจ้าแล้ว ทำไมถึงยังทำบาปอยู่?” ตอนที่ 2 ตำราพิชัยสงครามของซุนวูบอกว่า …             “รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง”

รู้เขา ก็คือรู้ว่าศัตรูของเราคือใคร? และรู้วิธีการของศัตรูที่ใช้แผนการอะไรเข้ามาโจมตีเรา ตรงนี้เป็นหัวใจสำคัญ

และอันดับที่ 2 คือรู้เรา ก็คือรู้ว่าเราเป็นใคร? มีกำลังอยู่ตรงไหน? มีความถนัดตรงไหน? ใครบ้างที่อยู่ฝ่ายเรา

ความจริงอันดับแรกที่เราต้องรับรู้และต้องมั่นใจในการเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจของเราเสียใหม่ ตามพระคัมภีร์บอก ก็คือตัวตนจริงๆ ของเรา นี่ผู้เชื่อนะ ผู้ที่เชื่อในข่าวประเสริฐของพระเจ้าแล้ว ผู้ที่เรียกว่าเป็นคริสเตียนแล้ว ตัวตนจริงๆ ของท่านที่พระเจ้าได้ให้กำเนิดใหม่แล้วนั้น  ที่เรียกว่าบังเกิดใหม่แล้ว บริสุทธิ์ สะอาดในสายพระเนตรของพระเจ้า ทั้งวิญญาณ ความคิดจิตใจ และร่างกายด้วย

นี่เป็นส่วนประกอบของร่างกายของมนุษย์นั่นเอง เราเป็นการฝีมือชิ้นเอก เขาเรียกว่าเป็นบทกวีที่พระเจ้าสร้างขึ้นใหม่ในพระเยซูคริสต์ ตอนเราบังเกิดใหม่ พระคัมภีร์บอกว่าเราเป็นฝีพระหัตถ์  ก็คือฝีมือของพระเจ้า ที่เป็นชิ้นเอกเลย

ภาษาเดิม สามารถแปลผลงานชิ้นเอกนี้ได้ว่าเป็นบทกวี  เราเป็นบทกวีที่พระเจ้าสร้างขึ้น เขียนด้วยความบรรจง เวลาเราพูดกัน จะถ่ายทอดสื่ออะไรให้ ยกตัวอย่างง่ายๆ สื่อว่าเรารักเขาขนาดไหน? คนรัก เขาถึงเขียนเป็นบทเพลง บทกวี หมดเลย เพราะว่ามันสื่อได้มากขึ้นกว่าที่จะพูดว่า …

“ฉันรักเธอ ฉันคิดถึงเธอ”

เขาเอาคำว่า “ฉันรักเธอ ฉันคิดถึงเธอ” ไม่รู้จะพรรณนาอย่างไร? ก็เขียนเป็นบทกวีออกมา พออ่านบทกวีซาบซึ้ง อะไรนั่นแหละ ฉะนั้น เราทั้งหลายเป็นชิ้นเอกขนาดไหน? ที่พระเจ้าสร้างขึ้นในพระเยซูคริสต์ ที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว เป็นคนใหม่จริงๆ เรียบร้อยไปแล้วในพระเยซูคริสต์ เป็นสิ่งที่พระเจ้าได้สร้าง ให้กำเนิดเรา  เราต้องรู้ก่อนว่าจะสู้รบกับศัตรู เราเป็นใคร? และใครเป็นใคร? ตอนนี้เรารู้แล้วนะว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ เราเป็นการฝีมือชิ้นเอก เป็นบทกวีที่พระเจ้าสร้างขึ้นอย่างยอดเยี่ยมที่สุด นี่พระคัมภีร์บันทึกไว้เลย เพราะฉะนั้น ต้องย้ำตรงนี้ไว้ให้ดีๆ อย่าให้พลาด อย่าให้ใครขโมยเอาความจริงนี้ไป

อย่างที่ย้ำไปเมื่อครั้งที่แล้วว่าธรรมชาติ วิสัยบาปของเรา คือบาปนั้นได้ถูกลบออกไป ได้ถูกล้างออกไป หมดไปแล้ว มันตายไปแล้ว ตัวเก่าที่เป็นวิสัยบาป ตัวเก่าที่เป็นบาปมันตายไปแล้ว เพราะฉะนั้น ตัวใหม่ที่เป็นการฝีมือชิ้นเอกของพระเจ้า ไม่มีบาปเจือปนอยู่เลยแม้แต่นิดเดียว ไม่มีวิสัยบาป ไม่มีธรรมชาติบาป มีแต่ธรรมชาติของพระเจ้าอยู่ในตัวตนที่แท้จริงของเรา จึงเรียกว่าเราบริสุทธิ์ สะอาด  เพราะเราเหมือนพระเจ้า ในพระคัมภีร์ใช้คำว่าเรามีชีวิตนิรันดร์เหมือนพระองค์ พระองค์ประทานชีวิตนิรันดร์ให้เรา คือเป็นแบบนี้ เราไม่ได้กระทำ มันเกิดมาเป็น แต่ตราบใดที่เรายังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ยังมีลมหายใจ อยู่บนโลกใบนี้ อยู่ในร่างกายนี้ ซึ่งร่างกายนี้ แม้เราจะเกิดใหม่เป็นคริสเตียนแล้ว พลังและอิทธิพลของความบาป ยังกระทำการงานอยู่ในร่างกายของเรา ซึ่งมันครอบคลุมไปถึงระบบของโลกใบนี้หมดเลย มันเข้ามาตั้งแต่สมัยที่อาดัม บรรพบุรุษของเราเปิดประตูรับเอาความบาปเข้ามา พลังของความบาป เนื้อหนังมันเข้ามาครอบคลุมอยู่เหนือโลกใบนี้ ระบบของโลกใบนี้  และรวมถึงร่างกายของเราที่แม้ว่าเราจะเป็นคริสเตียนแล้วก็ตาม มันยังคงกระทำการงานอยู่ เราจึงมีโอกาสถูกล่อลวง ชักชวน ด้วยอิทธิพลของความบาปนี้ ด้วยพลังของความบาปนี้ และอิทธิพลของเนื้อหนังนี้ได้ เมื่อล้มลง พลาด ถูกล่อลวง ให้กระทำตาม ซึ่งผ่านทางร่างกาย ตา หู จมูก ลิ้น กายและความคิดของเรานั่นเอง ที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เราจึงเห็นชัดไง นี่คือสิ่งที่เราเรียนไปครั้งที่แล้ว

ต้องรอจนกว่าวันหนึ่งข้างหน้า วันที่เราหมดลมหายใจ ถึงบอกว่าตราบใดที่เรายังมีลมหายใจอยู่ ตราบนั้น เราอยู่ในการล่อลวงตลอดเวลา เพราะมันไม่ใช่ตัวเรา  แต่มันอยู่ในเรา วิธีการจะหมดปัญหา ง่ายนิดเดียว ออกจากร่างซะ ตายจากโลกนี้ คือตาย วิญญาณออกจากร่างแล้ว มันก็หมดปัญหา ไม่ได้อยู่ในโลกนี้ ก็ไม่มีปัญหาแล้ว

เมื่อเรามาเป็นคริสเตียน มาเชื่อพระเจ้าแล้ว พระคัมภีร์จึงบอกว่าเราเป็นเหมือนคนต่างด้าว ท้าวต่างแดน เราไม่ใช่เป็นของโลกนี้อีกต่อไปแล้ว แต่เราอยู่บนโลกแบบโลกนี้ไม่ใช่บ้านเกิดเมืองนอนของเรา  เราเพียงอาศัยชั่วคราวเท่านั้นเอง  อาศัยไปด้วย ต่อสู้ไปด้วย ให้พระเจ้าใช้ร่างกายเราให้เป็นไปตามแผนการของพระองค์ นำเอาข่าวประเสริฐ ด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง ผ่านทางชีวิตของเราที่พระองค์ทรงสร้างมาเป็นผลงานชิ้นเอก ดำเนินไป แล้วข่าวดีนั้นจะอยู่ในเรานั่นแหละ เดี๋ยวพระเจ้าทำเอง เอาข่าวดีไปยังบรรดามนุษย์ทั้งหลายบนโลกใบนี้ บอกเขาว่าพระเยซูช่วยท่านแล้ว พระเยซูรักท่าน  พระเยซูตายเพื่อท่าน พระเยซูทำให้ท่านสามารถบังเกิดใหม่ สะอาดหมดจด พ้นจากบาปได้ และไปอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้นิรันดร์ เอเมน เป็นอย่างนั้น

เพราะฉะนั้น ในขณะที่เรายังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เราก็จะได้รู้ว่าเราอยู่ในการสงคราม (สงครามแบบไหน?) จะได้ไม่ถูกหลอกอีก ไม่ใช่อยู่ในการสงคราม มาหลอกเราอีกว่าสงครามแบบเราต้องแพ้  แต่นี่เป็นสงครามแบบเราชนะเรียบร้อยไปแล้ว เราต้องเรียนรู้ด้วย

พลังอิทธิพลของความบาป ของเนื้อหนังเป็นศัตรูกับพระเจ้ามาตั้งนานแล้ว ตั้งแต่มันล้มลงไปในความบาป ตั้งแต่สมัยความบาปเกิดขึ้นมาในตัวของมันเอง คือตั้งแต่ลูซีเฟอร์ล้มลงไปในความบาป ตั้งแต่เป็นทูตสวรรค์ แล้วมันนำเอาสิ่งเหล่านี้ คืออุปนิสัยของมันลงมาบนโลกใบนี้ แล้วมันมาหลอกลวงมนุษย์

เพราะฉะนั้น อิทธิพลของความบาป และเนื้อหนังเป็นศัตรูต่อต้านพระเจ้า มันไม่ใช่ตัวเราที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว เป็นลูกของพระเจ้า เราอยู่ฝ่ายพระเจ้า มันจึงไม่ใช่ตัวเรา มันเป็นพลัง อิทธิพลที่ดำเนินการ หนุนหลังโดยมาร หรือลูซีเฟอร์ในอดีตนั่นเอง เป็นผู้ทรงอิทธิพลอยู่เหนือระบบของโลกใบนี้อย่างที่บอกไว้  โดยถ้ามันทำได้ ก็คือมนุษย์ที่ยังไม่ได้ต้อนรับข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ยังเป็นทาสของมันอยู่ มันก็ปิดบังข่าวประเสริฐ ไม่ให้คนมารับเชื่อพระเยซู ไม่ให้ได้รับความรอด ยังเป็นทาสของมันอยู่ มันก็สบาย มันก็จะใช้พลังอำนาจที่มันมีอยู่และระบบของเนื้อหนังที่มีอยู่นั้น มีอิทธิพลชักชวนให้คนๆ นั้น ทำอะไรก็ตามที่เป็นศัตรูกับพระเจ้า

เพราะฉะนั้น มนุษย์ทั้งหลาย ก็เป็นแค่เครื่องมือของมารเท่านั้นเอง ซึ่งมาในลักษณะของพลังของความบาป และอิทธิพลที่เราเรียกว่าเนื้อหนัง

สมมติว่ามันบังคับไม่ได้แล้ว คนนั้นได้รับเชื่อแล้ว ข่าวประเสริฐไปถึงเขา แล้วเขาต้อนรับพระเยซูคริสต์ เขาเป็นอิสระ เขาไม่ได้เป็นทาสมันอีกต่อไปแล้ว เขาเกิดใหม่แล้ว  มันก็ยังทำอยู่นะ ไม่ใช่ไม่ทำ นี่เรากำลังพูดถึงคริสเตียนที่ไปทำบาป ก็มาถึงจุดนี้ว่าทำไมคริสเตียนทำบาป ก็คือไม่ได้อยู่ในการเป็นทาสของมันแล้ว เป็นอิสระจากมันแล้ว มันใช้วิธีใดต่อ มันก็จะใช้เล่ห์กล ขโมยเอาความจริง ทำให้เราเข้าใจผิด แล้วก็ล่อลวงชักจูง โน้มน้าว เหย้ายวน จูงใจ โฆษณาชวนเชื่อ  ทำให้โน้มเอียงไปในแนวทางของมัน ก็คือแนวทางในการเป็นศัตรูกับพระเจ้า ต่อต้านพระเจ้า  บางครั้งไม่รู้ตัวด้วย กำลังต่อต้านพระเจ้า เพราะถูกหลอก โดยผ่านทางความไม่รู้ และความเคยชินกับอิทธิพลของเนื้อหนัง ซึ่งก่อนที่จะรับเชื่อ มันดำเนินอยู่ มันชินกับความคิดเดิมๆ และผ่านทางการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ผ่านทางผู้คนรอบข้าง สถานการณ์รอบข้าง ที่เราเผชิญอยู่ทุกวันนี้ มันก็จะหลอกเราว่านั่นหมายถึงอะไร? อันนี้ต้องโต้ตอบอย่างไร? เขายังโต้ตอบกันอย่างนี้เลยระบบของโลกใบนี้ เขาก็เป็นอย่างนี้กันทั้งนั้นแหละ เขาอิจฉาตาร้อน เขาโลภกันอย่างนี้ทั้งนั้นแหละ เขาเห็นแก่ตัวอย่างนี้ทั้งนั้นแหละ เพราะฉะนั้น เราทำอย่างนี้ ก็ไม่เห็นมีอะไรแปลก เราก็ทำได้ อะไรอย่างนี้เป็นต้น มันกระตุ้น ส่งข้อมูลผ่านทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และความคิดจิตใจของเรา

เราเกิดใหม่แล้ว วิญญาณเราเกิดใหม่ จิตใจก็ได้มาใหม่ด้วย จิตใจที่เหมือนพระเยซูคริสต์ แต่จิตใจนี้ยังสามารถรับรู้อะไรต่างๆ บนโลกใบนี้ ไม่ใช่จิตใจ เป็นหุ่นยนต์ ฟังแต่พระเจ้าอย่างเดียว  ไม่ใช่ พระเจ้าให้เราเป็นอิสระ เราสามารถมองดูอันนั้น อันนี้ แล้วเราสามารถที่จะคิดได้ และสามารถตัดสินใจได้ รู้สึกได้ว่าจะตัดสินใจเชื่อใคร มันก็หลอกเรา ซึ่งความคิดจิตใจนี้ พระวิญญาณก็กำลังทำงานอยู่ในคริสเตียนทุกคน คือกำลังช่วยเรา ให้เราเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจเสียใหม่ ให้เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ เปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจให้เรา คิดเหมือนพระเจ้าคิด อย่าไปคิดแบบเดิมๆ กำลังอยู่ในระหว่างการทำงาน เราจะได้เห็นภาพชัดเจนว่าสมรภูมิเป็นอย่างไร? กลยุทธเป็นอย่างไร?

กลยุทธของมาร ก็อย่างที่พระเยซูบอก สรุปแล้ว คือขโมย ฆ่า และทำลาย จำเอาไว้เลย ล่อลวงให้เราทำบาป ให้เราเป็นศัตรูกับพระเจ้า พอเป็นศัตรูกับพระเจ้าปุ๊บ ก็ยัดเยียด บอกว่า …

“แกเป็นคนทำเองแหละ”

พอเราเป็นคนทำเอง เราก็รู้สึกเข้าหน้าพระเจ้าไม่ติด เราเป็นศัตรู มันแหละเป็นคนยุแยง ส่งเสริม ผลักดันให้เราทำ แล้วมันก็บอก …

“แกเป็นคนทำเอง แกตัดสินใจเอง แกเป็นคนเลว”

แล้วในที่สุด พอนานๆ เข้า ก็บอกว่า … “ฉันมันเลว ฉันมันแย่ พระเจ้าเมตตาลูกด้วย สงสารลูกเถิด อภัยให้ลูกด้วย ลูกมันแย่เหลือเกินๆ”

มารมันหัวเราะก๊าก ชอบใจใหญ่เลย พระเจ้าจะเข้ามากอดเรา เราไม่ให้กอด …

“อย่ากอดลูกเลย ลูกมันแย่เหลือเกิน”

ทั้งๆ ที่ตอนแรกๆ เกิดใหม่บอกว่าเราเป็นลูกพระเจ้าที่สะอาดหมดจด บริสุทธิ์แล้ว พระโลหิตพระเยซูชำระเราจนหมดจด เกิดใหม่แล้ว แต่ตอนนี้กลับบอกว่าลูกไม่ควรเป็นลูกของพระองค์แล้ว ไปกันใหญ่เลย

“ลูกหลงหายไป ลูกไม่ควรเป็นลูกของพระองค์เลย ลูกแย่ ลูกไม่ดี”

เห็นไหม? ถ้าเราไม่รู้มือที่สาม ก็จะทำอย่างนี้แหละ แล้วมันก็ทุบเราเข้าไปอีก ให้เรารู้สึกแย่ รู้สึกไม่ดี อะไรต่างๆ พอไม่ดีปุ๊บ ตะกี้ยุแยงให้เราโกรธกับพระเจ้า คราวนี้ยุแยงให้เราคิดว่าพระเจ้าโกรธเรา ตอนนี้มันยุแยงว่า …

“ที่ไม่ดีนี้เพราะว่าพระเจ้ากำลังตีสอน ทุบตีแกอยู่ แกมันเลว พระเจ้าไม่ให้อภัยแล้ว จะตีแกให้ตาย”

คราวนี้เราเริ่มงอนพระเจ้าแล้ว … “ทำไมต้องตีลูกถึงขนาดนี้ด้วย”

เห็นไหม มือที่สามเห็นชัดหรือยัง? พยายามแยกเราออกจากพ่อของเรานั่นเอง ด้วยวิธีการอย่างนี้ นี่แหละคือกลยุทธ

ตัวอย่างง่ายๆ อย่างเช่นโควิด-19 เกิดกับทุกคนบนโลกใบนี้ มันเกิดจากระบบของโลกใบนี้ ที่เสียหายจากมารมาหลอกให้มนุษย์เปิดประตูให้ความบาปเข้ามา คำสาปแช่งเข้ามา ตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษของเรา ระบบของโลกนี้จึงเสียหาย วิปริตไปหมดเลยทุกอย่าง แล้วพอเกิดสิ่งที่ชั่วร้ายขึ้นมา ไวรัส อุทกภัย หรือภัยธรรมชาติรุนแรงมา แม้กระทั่งโควิด-19 มันก็บอกว่าพระเจ้ากำลังลงโทษมนุษย์ เพราะเราทำบาป ทุกคนก็สำรวจกันใหญ่ เราทำบาปตรงไหน? นึกออกไหม? ทำไมพระเจ้าโหดร้ายอย่างนี้ ถึงขนาดเทไปหมดเลย คนตายเป็นเบืออย่างนั้นหรือ? รวมทั้งประชากรของพระองค์ด้วย ก็ยังมีคนเชื่อแบบนี้อีก

ถามว่าเชื่อเพราะอะไร? ก็เพราะถูกหลอก ถูกขโมยเอาความจริง จากความคิดจิตใจของเขาไปนานแล้ว จนกระทั่งถึงแค่นี้ยังไม่เห็นอีกหรือว่าพระเจ้ารักเราขนาดไหน? พระเจ้าประทานพระบุตร คือองค์พระเยซูคริสต์ เพื่อทุกคนบนโลกใบนี้ ที่วางใจในพระบุตร จะได้รับความรอด และจะไม่ได้รับความพินาศ แล้วพระองค์จะส่งอะไรที่พินาศมาให้เราหรือ? พระเจ้าเป็นพระเจ้าที่แสนดี สำหรับพระองค์เป็นพระเจ้าที่ดี แต่มาร คือความชั่วร้าย เราลืมสิ่งเหล่านี้ไปหมดเลย เพราะตา หู จมูก ลิ้น กาย รับเอาข้อมูล เอาความคิดต่างๆ ของมาร ของระบบของโลกใบนี้มาจนกระทั่งเละตุ้มเป๊ะไปหมดเลย  คอยตัดสินใหญ่เลยว่าคิดตามภาษามนุษย์แล้วว่ามันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้

เหมือนอย่างที่บอกแล้วว่าพอเราเชื่อพระเจ้าแล้ว เราเป็นคนชอบธรรม เราดีพร้อม โดยการกำเนิดเกิดมาเป็นในพระเยซูคริสต์ มารก็พยายามหลอกเราไปเรื่อยๆ

“เกิดมาเป็นบริสุทธิ์ สะอาด ทำดีแล้วใช่ไหม? แล้วทำไมยังคิดอย่างนี้อยู่ล่ะ คิดสกปรกอยู่เลย คิดโลภอยู่เลย คิดอิจฉาเขาอยู่เลย คิดโกรธ คิดเกลียดเขาอยู่เลย นี่หรือดีพร้อม มันดีพร้อมที่ไหนล่ะ”

เห็นไหม? พอมาดูในพระคัมภีร์ … พระคัมภีร์บอกเราเป็นผลงานชิ้นเอก เป็นบทกวีของพระเจ้าสร้างขึ้นใหม่ในพระเยซูคริสต์ ดีพร้อมแล้ว … มันดีพร้อมตรงไหน?  … ใครเป็นคนให้ข้อมูลเหล่านี้มา เราควรจะเชื่อใคร? อย่างนี้เป็นต้น

เพราะฉะนั้น วันนี้เราจะมาค้นหาศัตรูตัวจริงของเรากันต่อ  มาดูว่าศัตรูของเรา ก็คือเนื้อหนังและพลังอำนาจของความบาปมันอยู่ที่ไหน? มันเป็นอย่างไร? ก่อนอื่นเราต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่าตามที่มีบันทึกกันในพระคัมภีร์บอกไว้ว่าอย่างนี้ เราต้องรับรู้กันตรงนี้เลยว่ามนุษย์เราในพระคัมภีร์บอกว่ามีอยู่ 3 ส่วน คือวิญญาณ ความคิดจิตใจ และร่างกาย ต้องจำไว้เลย ไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อพระเจ้า มนุษย์เรามี 3 ส่วนอย่างนี้

“วิญญาณ” หรือภาษาอังกฤษ ใช้คำว่า “Spirit” มาจากคำว่า “Pneuma”  ในภาษากรีก แปลว่า “ลมหายใจ หรืออากาศ” วิญญาณมองไม่เห็น หรือลม

“ความคิดจิตใจ” ก็คือ “Soul” มาจากภาษากรีก “Suke” ซึ่งเป็นรากศัพท์ ของคำว่า “Psychology” หมายถึง “ความคิด  หรือความรู้สึกทางจิตใจ” ผมให้คำนี้ เวลาพูด อธิบายคำนี้สั้นๆ ว่าความคิดจิตใจ  มันรวมถึงความรู้สึก การตัดสินใจ ความคิด วิเคราะห์ตรงนี้แหละ

ส่วน “ร่างกาย” หรือเรียกว่า “Body”  เราเห็นๆ กันอยู่ง่ายๆ ก็คืออวัยวะทุกส่วนที่ประกอบเป็นร่างกายของมนุษย์ ทั้งสมองด้วยนะ เป็นร่างกายที่เราใช้ในการดำเนินชีวิต จนกว่าจะไม่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว ก็คือออกจากร่าง ก็คือตัวตนจริงๆ เราออกจากร่าง ร่างกายเป็นเพียงแค่ส่วนประกอบหนึ่ง เป็นเพียงแค่เสื้อ ซึ่งวันหนึ่งเราจะถอดทิ้ง ไปรับร่างกายใหม่จากพระเจ้า

มาถึงคำว่า “เนื้อหนัง” หรือ “Flesh” ที่เราได้เรียนรู้กันไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว  ท่านจะมองเห็นภาพชัดเลย ไม่เห็นมีอยู่ในแผนผังรูปเลย  ไม่ได้เกี่ยวกับร่างกายของเราเลย

พอใช้คำว่า “เนื้อหนัง” ภาษาไทย แปลคำว่า “Flesh” หลายคนเลยเข้าใจผิด คิดว่าคำว่าเนื้อหนัง หมายถึงร่างกาย พอบอกเนื้อหนังปุ๊บ นึกถึงร่างกาย แต่มันไม่ใช่

ร่างกาย ตะกี้นี้เราดูในแผนภูมิ เราเห็นแล้วว่าร่างกายอยู่ตรงไหน? แต่ Flesh ไม่เห็นมีเลย ไม่ได้อยู่ในร่างกายของเรา  ใช่ไหม?

มนุษย์เราประกอบไปด้วย 3 ส่วน คือวิญญาณ ความคิดจิตใจ และร่างกาย เพราะฉะนั้น เนื้อหนัง ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของตัวเราเลย  นี่คือความจริงในพระคัมภีร์ ความจริงจะทำให้เราเป็นไท เป็นอิสระจากการล่อลวง จากศัตรูที่จะคอยทำลายเรา

ถ้าเราเปรียบว่าทั้ง 3 ส่วนในตัวเรา คือวิญญาณ ความคิดจิตใจ และร่างกาย ประกอบเข้าด้วยกัน สมมติว่าเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ 1 เครื่อง ก็คือเป็น Hardware เนื้อหนังหรือ Flesh ก็เปรียบเสมือน Software คือไม่ได้เป็นตัวตน มันอยู่นอกเครื่อง เป็นตัวใส่เข้าไป เขาเรียกว่าโปรแกรม สามารถใส่โปรแกรมเข้าไปได้ แต่ตัว Hardware ต้องไปซื้อใหม่ Hardware พระเจ้าสร้างให้ใหม่แล้วในพระเยซูคริสต์  เกิดใหม่  เป็น Hardware ส่วนความคิดเดิมๆ ความคิดเก่าๆ เป็นโปรแกรม เขาเรียก Software โปรแกรมตัวนี้ จะเป็นตัวที่บอกว่า Hardware ควรจะทำงานอย่างไร? ทำงานควบคู่ไปกับ Software

คราวนี้ พอเนื้อหนัง ทำงานลักษณะเดียวกันกับ Software เนื้อหนังก็ทำงานลักษณะเป็นโปรแกรมหนึ่ง  จะเป็นตัวคอยโน้มน้าวความคิดจิตใจของเรา มองดูแผนภูมิ มันคอยโน้มน้าวความคิดจิตใจของเรา ให้ทำตามโปรแกรมของมัน ก็คือทำตามเนื้อหนัง และตราบใดที่เรายังอยู่ในร่างกายนี้ แม้เกิดใหม่แล้ว เป็นคริสเตียนแล้ว เจ้าโปรแกรม หรือเจ้าเนื้อหนัง ตัว Flesh ตัวนี้ มันก็ยังทำการงานอยู่ในร่างกายเราอยู่ มันเป็นเหมือนปรสิต เหมือนกาฝากที่แอบซ่อนอยู่ในเรา ถ้าเราเผลอ มันก็จะโผล่ออกมา มีอิทธิพลทำให้เราทำตามโปรแกรมของมัน ก็คือทำตามเนื้อหนังนั่นเอง ซึ่งเป็นศัตรู ตรงกันข้ามกับพระเจ้า ซึ่งเราเรียกกันว่า “ทำบาป” เราจะเห็นภาพชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ

และวิธีการที่เราจะเอาชนะเจ้าปรสิต เจ้า Flesh หรือโปรแกรม หรือเนื้อหนังตัวนี้ได้ ก็คือเมื่อมันเป็น Software เป็นโปรแกรมใช่ไหม? เหมือนเราใช้คอมพิวเตอร์ พอซื้อเครื่องใหม่มา เราก็ต้องทำการ Reset ใหม่ ลบโปรแกรมเก่าออก ตั้งโปรแกรมใหม่เข้าไป เพื่อให้มันเข้ากับเครื่องใหม่ที่รับมา ล้างเอาโปรแกรมเก่าออก แล้วใส่โปรแกรมใหม่เข้าไปแทนที่ ได้ Software หรือโปรแกรมใหม่ที่ดีๆ เข้ามา ทำงานอย่างดีไปกันกับเครื่องคอมพิวเตอร์ใหม่ ก็คือการเปลี่ยนแปลงข้อมูลโปรแกรมใหม่เสีย  เอาข้อมูลโปรแกรมเก่า ซึ่งเป็น Flesh ออกไปซะ

Software คือโปรแกรมเดิมๆ ที่เราดำเนินชีวิตก่อนที่จะเชื่อพระเจ้า ตอนที่ยังไม่รู้จักพระเจ้า  พระคัมภีร์บอกเราเป็นศัตรูกับพระเจ้าอยู่ เราเคยชินกับโปรแกรมนั้นอยู่ ล้างมันออกไป ค่อยๆ Reset ไปเรื่อยๆ Renew ไปเรื่อยๆ ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงความคิดไปเรื่อยๆ เปลี่ยน Software ไปเรื่อยๆ ความคิดเดิมๆ หรือความประพฤติเดิมๆ นิสัยเดิมๆ ก็จะถูกลบล้างออกไป จากความคิดของเรา ถามว่าหมดไหม? ไม่หมดหรอก แต่ทำเป็นกิจวัตรประจำวันไปเรื่อยๆ พระวิญญาณก็จะคอยช่วยเรา

วิธีการ ก็คือการล้างโปรแกรมเนื้อหนังออก และใส่โปรแกรมใหม่เข้ามาแทนที่ โปรแกรมใหม่ ก็คือความจริงของถ้อยคำพระเจ้า เรื่องเกี่ยวกับพระเจ้า ที่ทำให้เราเป็นไท อย่างเช่นเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ เรากำลังเรียนรู้อยู่ เรากำลังทำการใส่โปรแกรมใหม่เข้าไป รู้ว่าเจ้า Flesh หรือเนื้อหนังนี้ มันคือใคร? ไม่ใช่ตัวเรา นี่คือการเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจใหม่ แรกๆ ความคิดเก่าๆ  Flesh บอกว่าตัวเนื้อหนัง คือตัวแกนี่แหละ คือเจ้านั่นแหละ ที่ทำไม่ดี ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว เราถูกขโมยเอาความจริงไปตั้งนานแล้ว ตอนนี้เอาความจริงของถ้อยคำพระเจ้า ใส่เข้ามาในความคิดจิตใจของเรา

วิธีล้างโปรแกรมเนื้อหนังนี้ออก ก็คือการเปลี่ยนแปลง และจดจ่อ จดจำให้ขึ้นใจถึงความจริงของถ้อยคำพระเจ้า ในโลกวิญญาณ ยกตัวอย่าง เช่น เรานั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถานแล้วเดี๋ยวนี้,  เราเกิดใหม่แล้วเดี๋ยวนี้ เราเป็นลูกพระเจ้าแล้วเดี๋ยวนี้  ขณะนี้นั่งอยู่ในสวรรค์แล้ว ไม่ต้องรอให้ไปสวรรค์ เราอยู่ในสวรรค์แล้ว อย่างไรๆ เราก็ไปสวรรค์ จะทำผิดทำถูกมากขนาดไหน? ก็ไปสวรรค์อยู่แล้ว เราเกิดใหม่แล้วนะ พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น พ่อเราบอกไว้อย่างนั้น พ่อเราอยู่กับเรา อยู่ในตัวเรานี่แหละ  ย้ำยืนยันอยู่เรื่อยๆ เรียกว่าจดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจ

ความคิดของเราก็จะพุ่งไปที่ความจริงเบื้องบนเหล่านี้ มันก็เป็นการขจัดเอาอิทธิพลของความคิดเดิมๆ โปรแกรมเดิมๆ จากเนื้อหนังออกไป มันไม่หายไปหรอก มันจางลง เขาเรียกกันว่าเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจเสียใหม่

นี่คือสรุปคำตอบแรกของหัวข้อการบรรยายในครั้งนี้ ที่ถามว่าคริสเตียนบังเกิดใหม่แล้ว เป็นลูกพระเจ้าแล้ว ทำไมยังทำบาปอยู่? นั่นคือข้อ 1 คือ Flesh คือเนื้อหนัง เพราะว่าในตัวเรายังมีโปรแกรมเดิม  ก็คือมีเนื้อหนังนี้อยู่ ซึ่งมันมีอิทธิพล เหมือนปรสิตที่แอบซ่อนอยู่ พระคัมภีร์จึงสอนให้เราหมั่นล้างโปรแกรมนี้บ่อยๆ ด้วยการจดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจเกี่ยวกับถ้อยคำพระเจ้า ซึ่งเป็นความจริง บางทีมันถูกล่อลวง หลอกลวงด้วยอิทธิพลของความบาป ด้วยมาร ด้วยวิธีการเอาถ้อยคำพระเจ้า เหมือนให้เราจดจ่อ แต่ไปจดจ่อถ้อยคำพระเจ้าที่ไม่ใช่เป็นถ้อยคำพระเจ้าที่เป็นความจริง มันเป็นการโกหกอีกแล้ว โกหกผ่านทางถ้อยคำพระเจ้าเลย บอกนี่คือถ้อยคำพระเจ้า  มันใช่ที่ไหน? มันไม่ใช่ พอมันไม่ใช่ เรายิ่งไปจดจ่อ ยิ่งไปกันใหญ่เลย อย่างนี้เป็นต้น

เรามาดูกันต่อว่านอกจากเรื่องเนื้อหนัง หรือ Flesh  หรือระบบโปรแกรมเดิมๆ โปรแกรมบาปแล้ว พระคัมภีร์มีคำตอบอะไรอีกว่าคริสเตียนบังเกิดใหม่แล้ว ทำไมยังทำบาปอยู่? ยังมีตัวที่สอง สำคัญกว่าตัวแรกอีก ตัวที่อยู่เบื้องหลังของ Flesh หรืออยู่เบื้องหลังของเนื้อหนังอีกทีหนึ่ง อยู่เบื้องหลังของโปรแกรมนี้อีกทีหนึ่ง เป็นตัวใหญ่ที่แอบอยู่ สำคัญกว่านี้อีก ก็คือเราจะมาดูด้วยกัน ในหนังสือปฐมกาล 4:7 จะเห็นภาพชัด …

ปฐมกาล 4:7  ”หากเจ้าทำสิ่งที่ถูกที่ควร (เชื่อฟังพระเจ้า และทำในสิ่งที่พระเจ้าพอพระทัย) เจ้าก็จะเป็นที่ยอมรับไม่ใช่หรือ?  แต่หากเจ้าไม่ทำสิ่งที่ถูกต้อง  (ไม่เชื่อฟังพระเจ้า  เป็นศัตรูกับพระเจ้า)  บาปก็จะหมอบอยู่ที่ประตู เพื่อคอยเล่นงานเจ้า เป้าหมายของบาป คือการเอาชนะเจ้า   แต่เจ้าจะต้องเอาชนะมันให้ได้”

นี่คือพระเจ้ากำลังสอน แนะวิธีการให้กับคาอิน  … คาอิน-อาแบล คือบรรพบุรุษของเรา ลูกของอาดัม-เอวา รุ่นแรกเลย คาอินไม่ทำตามที่พระเจ้าสอนว่าวิธีการที่จะชนะบาป ก็คือต้องไถ่บาปตัวเอง โดยใช้เลือดสัตว์ ซึ่งอาแบลทำตาม  แต่คาอินไม่ทำ  พระเจ้าก็เลยเตือน

“ถ้าเจ้าทำสิ่งที่ถูกที่ควร คือเชื่อฟังพระเจ้า ทำในสิ่งที่พระเจ้าพอพระทัย” คือพระเจ้าให้ฆ่าสัตว์ แล้วก็เอาเลือดมาชำระบาปให้ตนเอง มาไถ่บาปให้ตนเอง เป็นครั้งคราวไป เขาไม่ทำ เขาไปเอาอย่างอื่น พูดง่ายๆ เขาไม่ทำ  เขาไปเอาพวกผลิตผลทางการเกษตร พระเจ้าบอกเอาเลือด เขาไม่เอา  เขาดื้อ

ถ้าเจ้าทำตามที่เราบอก เจ้าก็เป็นที่ยอมรับไม่ใช่หรือ?  ถ้าเจ้าทำ มันก็ดี แต่หากเจ้าไม่ทำสิ่งที่ถูกต้อง ก็คือไม่เชื่อฟังพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า อย่างนี้เรียกว่าเป็นศัตรู คือไม่เชื่อฟัง พระเจ้าบอกให้ทำอย่างนี้ ไม่ทำ

บางทีศัตรู เรานึกว่าต้องดื้อมาก ไปด่าพระเจ้า ไม่ใช่ ศัตรูตรงนี้หมายถึงอะไรก็ตามที่แอนตี้พระเจ้า  คือไม่เห็นด้วย  ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ ที่เขาเรียกว่าแอนไทไคร์ซ หรือแอนตี้ไคร์ซ คือแอนตี้ ไม่ชอบ เหมือนเราไม่ชอบคนๆ นี้ เราแอนตี้เขา ไม่ต้องถึงขนาดไปว่าเขา หรือไปโกงเขา ไปตีเขา ฟังแล้วไม่ชอบ เรากำลังแอนตี้เขา นี่หมายถึงอย่างนั้น แอนตี้พระเจ้า คือไม่เชื่อฟัง เป็นศัตรูพระเจ้า

ถ้าเป็นอย่างนั้น ไม่เชื่อฟังพระเจ้า บาปก็หมอบอยู่ที่ประตู เพื่อคอยเล่นงานเจ้า บาปตัวนี้เป็นคำนามนะ เป้าหมายของบาป คือมันต้องการเอาชนะเจ้า  แต่เจ้าจะต้องเอาชนะมันให้ได้ เอาชนะใคร? เอาชนะมัน เป็นตัวตนเลยนะ

คำว่า “บาป” ในที่นี้จะเห็นว่าหมายถึงความบาปที่เป็นคำนาม ไม่ใช่บาป ที่เป็นกริยา หรือกระทำบาป ไม่ใช่ แต่มันมีอะไรบางอย่างที่เป็นตัวเป็นตนที่เรียกว่าความบาป

ในภาษาเดิมเลย ภาษาฮีบรูตรงนี้ แปลชัดเจนกว่านี้ ตรงที่ใช้สรรพนามตัวที่ 3 ว่า “เขา” … เขาจะหมอบอยู่ที่ประตู … “เขา” หมายถึงบุรุษที่ 3 หมายถึง He ถ้าแปลตรงตัวมาถึงภาษาไทยเดี๋ยวนี้ ตรงๆ แบบขวานผ่าซากเลย

“บาปเขาผู้ชายก็จะหมอบที่ประตูนั้น และเจ้าจะต้องเอาชนะเขาผู้ชายให้ได้” สรรพนามที่ 3 ซึ่งบ่งบอกถึงเพศชาย นี่หมายถึงภาษาเดิม เพื่อให้ท่านได้เห็นชัดเจนว่าบาปมันเป็นตัวเป็นตนจริงๆ

ถ้อยคำตรงนี้ ก็กำลังพูดถึงตัวบาป  หรือความบาป ที่มัน หรือเขากำลังจ้องเล่นงานเราอยู่ มันจ้องมาตั้งแต่สมัยโน้นแล้ว หลายพันปีก่อนโน้น บาปมันมีเป้าหมายที่ชัดเจน คือพยายามทุกวิถีทางที่จะเอาชนะเรา พาพวกเรา ให้เป็นพวกมัน คือให้เป็นศัตรูกับพระเจ้า  ให้เราดื้อกับพระเจ้า ให้เราไม่ชอบพระเจ้า แอนตี้พระเจ้า  ถ้าเป็นคริสเตียนก็ให้เราแอนตี้ไคร์ซ คือเป็นปฏิปักษ์ต่อพระคริสต์นั่นเอง จะมากหรือน้อยไม่รู้

ซึ่งคำว่า “ความบาป” หรือ “ตัวบาป” ที่เป็นคำนามนี้ ในภาษาอังกฤษ คือคำว่า “ฮามาเทีย” ซึ่งแปลความหมายได้ว่าเป็นระบบหรือกฎแห่งการครอบครองหรือพลังอำนาจ ในการบังคับ ในการส่งเสริมการเป็นศัตรูกับพระเจ้า เป็นตัวเป็นตนจริงๆ เป็นพลังงานอะไรบางอย่างที่จับต้องมองเห็นได้ เป็นบุคคล บางครั้งเราพูดกันบ่อยๆ เราอาจจะถูกหลอกเอาความจริงไปนึกในใจ เป็นแค่นามธรรม เป็นแค่ความบาป แต่นี่เป็นตัวเป็นตนจริงๆ และในหนังสือโรม มีพูดถึงเจ้าตัวบาปนี้ว่าหมายถึงพลังอำนาจที่ควบคุมอยู่เหนือการกระทำของอวัยวะต่างๆ ผ่านทางร่างกายของมนุษย์

รวมความ ก็คือเจ้าตัวบาปนี้ มันมีพลังอำนาจในการที่จะเอาชนะ พยายามที่จะเอาชนะมนุษย์ และอยู่เหนือมนุษย์ พยายามที่จะคอยควบคุมอยู่เหนือมนุษย์ ผ่านทางร่างกายของมนุษย์ ซึ่งรวมถึงความคิดจิตใจด้วยนะ ควบคุมสมอง ให้ทำตามสิ่งต่างๆ ที่มันต้องการ ก็คือให้เป็นศัตรูกับพระเจ้า พูดง่ายๆ ก็คือมันพยายามล่อลวง หลอกลวง ชักจูง ให้เราเป็นทาสของมัน เพื่อต้องการให้เราเป็นศัตรู เป็นปฏิปักษ์ต่อพระเจ้า และถ้าเรายังเป็นทาสมันอยู่ มันง่ายเลย แต่ถ้าเราไม่ได้เป็นทาสมันแล้ว เป็น คริสเตียนแล้ว เราก็จะถูกมันล่อลวง  แล้วก็ถูกมันข่มขู่ เคยได้ยินไหม? มันทำอะไรเราไม่ได้ มันได้แต่ข่มขู่ อดีตทาส ตอนนี้ไม่ได้เป็นทาส แต่เผื่อว่าคนนี้เขาไม่รู้ ขู่ไว้ก่อน พระเยซูใช้หนี้ให้เราหมดไปแล้วล้านบาท เจ้าหนี้มาถึง …

“ยังไม่ได้จ่ายเลย งวดนี้ ทุกทีจ่ายเดือนละหมื่น เดือนนี้ไม่เห็นจ่ายเลย”

แรกๆ เราก็บอกว่า … “พระเยซูจ่ายไปหมดแล้ว”

“เหรอ!”

เดือนหน้ามันก็มาอีก … “เห้ย! เดือนนี้จ่ายหรือยัง? ทำไมไม่จ่าย”

คราวนี้มันมาเยอะๆ มันพาพวกมาเลย … “เห้ย! ไม่จ่าย เอาตายนะ”

“หยวนๆ น่า จ่ายไปเถอะ”

พอจ่ายๆ ไป ชักนาน ชักชิน เลยจ่ายเป็นประจำไปเลย จ่ายตามความอยากจ่าย เขาเรียกว่าข่มขู่ ตามที่มันต้องการ เพราะก่อนที่เราจะเป็นคริสเตียน เราพูดเน้นถึงการเป็นคริสเตียนก่อน

ก่อนที่เราจะเป็นคริสเตียน เราเป็นทาสมันอยู่ โอกาสเกิดขึ้นอย่างนี้ มันไม่ยากเลย เพราะเราเคยเป็นทาสมันอยู่ เมื่อเป็นทาสมัน ก็ติดนิสัย เราเคยเป็นทาสมัน มันข่มขู่สักหน่อย เดี๋ยวเราก็เสร็จมันได้ใช่ไหม?

วิธีที่จะเอาชนะเจ้าตัวบาป ตัวนี้ อิทธิพลของความบาปตัวนี้  ในพระคัมภีร์บอกว่าวิธีนี้ใช้ได้ผล ซึ่งพระเจ้าใช้กับคริสเตียนทุกคนแล้ว ก่อนที่เราจะเชื่อในพระเจ้า ก่อนที่เราจะเป็นคริสเตียน  เราเป็นทาสมันอยู่ ไม่มีทางเอาชนะมันได้เลย พระเจ้าบอกว่าวิธีจะเอาชนะมันง่ายนิดเดียวเอง เราคิดไม่ถึง แต่จริงๆ แล้วตามปกติวิสัยของมนุษย์ ดำเนินบนโลกใบนี้ เราก็เห็นอยู่ว่ามันเป็นจริงตามนั้น ก็คืออยากชนะมัน ง่ายนิดเดียว คือต้องตาย  และเกิดใหม่ ไม่อยากเป็นทาสใช่ไหม? ไม่ยากเลย ตายแล้วเกิดใหม่ ก็คือความตาย เอาชนะพลังอำนาจตัวบาปนี้ได้ ไม่ต้องเป็นทาสมัน   โรม  7:1 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

โรม 7:1  “พี่น้องทั้งหลาย  ท่านไม่รู้หรือว่าบทบัญญัตินั้น  มีอำนาจเหนือมนุษย์ ตราบเท่าที่  เขายังมีชีวิตอยู่เท่านั้น”

 

“ท่านไม่รู้หรือว่าพลังอำนาจนี้ เป็นเจ้านายเรา ก็ต่อเมื่อเรายังมีชีวิตอยู่เท่านั้น” เมื่อเรามาเชื่อในพระเยซูคริสต์ พระเยซูตายที่ไม้กางเขน เพื่อว่าเราทั้งหลายจะได้มีโอกาสตายพร้อมพระองค์ด้วย วิญญาณเราก็ได้รับการเป็นอิสระจากการเป็นทาสของตัวบาปนี้ ก็เพราะเมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าได้เข้ามาผ่าตัดวิญญาณของเรา จำได้ไหม? นำวิญญาณเก่าเราเข้าไปตรึงที่ไม้กางเขน ร่วมกับพระเยซูคริสต์ ไปตายร่วมกับพระเยซูคริสต์ ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ เพื่อประกาศชัดเจนว่านี่ตายแล้ว ก็เป็นอิสระ จากพลังตัวบาปนี้นั่นเอง

ฉะนั้น เมื่อก่อนเราเคยเป็นทาสของตัวบาปนี้ ต้องยอมให้มันครอบงำความคิดจิตใจ วิญญาณของเรา ไม่ใช่มารมันเข้ามานะ มารมันส่งอิทธิพลเข้ามา ตัวนี้ ผลักดันให้เราอยู่ใต้อำนาจมัน เป็นทาสมัน แต่บัดนี้ ตัวเก่าของเรา ก็คือตัวบาปนี้ ได้ตายไปแล้ว พร้อมกับพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน เราจึงได้รับการปลดปล่อยแล้ว ไม่ได้เป็นทาสมันอีกต่อไปแล้ว ตามถ้อยคำเมื่อสักครู่นี้  โรม 7:4-6 จึงได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

โรม 7:4-6  “4 ดังนั้น พี่น้องทั้งหลายของข้าพเจ้า ท่านเองก็ตายจากบทบัญญัติแล้ว โดยทางพระกายของพระคริสต์  เพื่อท่านจะเป็นของอีกผู้หนึ่ง  คือเป็นของพระองค์ ผู้ทรงเป็นขึ้นจากตาย เพื่อเราจะเกิดผล ถวายแด่พระเจ้า 5 เพราะเมื่อก่อนเราถูกความบาปควบคุมอยู่ จึงถูกบทบัญญัติ กระตุ้นตัณหาชั่ว ให้ออกฤทธิ์ในกายของเรา เพื่อให้เราเกิดผล อันนำไปสู่ความตาย 6 แต่บัดนี้ โดยการตายต่อสิ่งที่ครั้งหนึ่งเคยผูกมัดเรา เราก็ได้รับการปลดปล่อยจากบทบัญญัติแล้ว”

 

“ท่านเอง ก็ตายจากบทบัญญัติแล้ว โดยทางพระกายของพระคริสต์” ก็คือเราเข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์ เมื่อพระองค์ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เราก็เลยตายด้วย พร้อมกับพระเยซูคริสต์ ท่านได้รับการปลดปล่อย จากการเป็นทาสบาปแล้ว ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของมัน ท่านจะได้เห็นภาพชัด แยกออกให้เห็นชัดเลยว่าศัตรูของมนุษย์คือใคร? และทำงานอย่างไร? มันไม่ใช่ตัวเรา

แล้วถ้าเราไม่ได้อยู่ในการควบคุมของมัน  ไม่ได้เป็นทาสของมัน ไม่ได้เป็นทาสของพลังความบาปอีกต่อไปแล้ว ถ้าอย่างนั้น ทำไมเรายังทำบาปอยู่ล่ะ ท่านก็ลองคิด ก็คือคำถามที่เราตั้งเป็นหัวข้อเรื่อง ทำไมเรายังมีความคิดแบบโลกอยู่ ทำไมเรายังคิดโกรธ คิดเกลียด คิดอิจฉาริษยา คิดสกปรก ทำไมเรายังคิดอย่างนั้นอยู่เล่า ในเมื่อเราไม่ได้เป็นทาสมันแล้ว เปาโลก็มีคำถามแบบเดียวกันนี่แหละว่าทำไม? โรม 7:15 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

โรม 7:15  “ข้าพเจ้าไม่เข้าใจสิ่งที่ตนเองทำ เพราะสิ่งที่ข้าพเจ้าต้องการจะทำ  ข้าพเจ้าไม่ทำ แต่ข้าพเจ้ากลับทำสิ่งที่ตนเองเกลียด”

 

เห็นไหม? เปาโลก็ถามเหมือนเราที่กำลังถามนี้ ทำไมคริสเตียนยังทำบาปอยู่ เปาโลบอก …

“ข้าพเจ้าทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ อยากทำในสิ่งที่ไม่ได้อยากทำ”

นี่คือคำถามที่ผมบอกว่าเป็นคำถามยอดฮิตของคริสเตียนทุกยุคทุกสมัย คือคำถามนี้แหละว่า …

“คริสเตียนบังเกิดใหม่แล้ว  เป็นลูกพระเจ้าแล้ว  ทำไมยังทำบาปอยู่?”

คริสเตียนส่วนใหญ่จะถามตัวเองก่อนเลย พอเป็นคริสเตียนแล้ว รู้ว่าสะอาดหมดจด บริสุทธิ์แล้ว ได้ยินได้ฟัง คำบรรยาย คำเทศนา อ่านถ้อยคำพระเจ้า แต่นั่งคิด …

“เอ๊ะ! ทำไมเรายังทำอย่างนี้อยู่”

พอเอ๊ะไปนานๆ  ถูกหลอกมากขึ้น เรามันเลว เราไม่สมควรได้ไปสวรรค์ มันไปกันอย่างนั้นเลย มันถูกหลอก ถูกขโมยไปไกลเลย ถ้าเผื่อความจริงไม่ไปถึงเขา  อย่างที่บอกแล้ว ศัตรูเราคือใคร? เราก็จะสามารถตอบคำถามนี้ได้  รู้เขา รู้เรา คือรู้จักศัตรูว่าทำงานอย่างไร? รู้เรา คือรู้ว่าเราเป็นใคร? ลักษณะตัวตนของเราเป็นอย่างไร? ส่วนประกอบของเราเป็นอย่างไร?

ตอนนี้เรารู้แล้วว่าศัตรูของเรา ก็คือเนื้อหนัง โปรแกรมการดำเนินชีวิตที่เป็นศัตรูกับพระเจ้า แบบเดิมๆ เป็นเหมือนปรสิต ซ่อนอยู่ในตัวเรา แล้วเจ้าเนื้อหนังนี้มันทำงานภายใต้พลังอำนาจหนึ่งที่เป็นตัวตน ที่เรียกว่าพลังของความบาป ตัวบาป ที่เรียกว่า Power of sin หรือตัวบาป ที่มันคอยหมอบอยู่ แล้วก็จ้องจะเล่นงานผู้ที่มันสามารถทำได้ และพยายามทุกวิถีทางที่จะเอาเราไปเป็นพวกมัน ให้เราเป็นศัตรูกับพ่อของเรา ให้เราเป็นศัตรูกับพระเจ้านั่นเอง

เปาโลจึงสรุปไว้ในตอนท้ายของโรม บทที่ 7 ว่ารู้แล้วว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้น ตอบคำถามตัวเอง ตอบคำถามให้กับคริสเตียนทุกคนได้รู้ด้วยว่าทำไมสิ่งที่ข้าพเจ้าอยากทำ ข้าพเจ้าก็ไม่ได้ทำ แต่สิ่งที่ข้าพเจ้าไม่อยากทำ ข้าพเจ้าก็ยังทำอยู่ เป็นเพราะโรม 7:25 … เดี๋ยวอธิบายให้ฟัง

โรม 7:25 “ดังนั้นแล้ว ในด้านจิตใจ ข้าพเจ้าเองเป็นทาสของกฎแห่งพระเจ้า แต่ในด้านเนื้อหนัง  ข้าพเจ้าเป็นทาสของกฎแห่งบาป”

 

แปลตรงนี้ได้อย่างนี้ว่า … “ดังนั้นแล้ว ในด้านวิญญาณและจิตใจของข้าพเจ้าที่บังเกิดใหม่แล้วนั้น ที่เหมือนพระเจ้าแล้วนั้น ข้าพเจ้าเป็นทาสของพระเจ้า อยู่ในการควบคุมดูแลของพระเจ้า เชื่อฟังพระเจ้า เป็นลูกแห่งความเชื่อฟัง แต่ในขณะเดียวกัน ข้าพเจ้าสามารถที่จะผ่านทางเนื้อหนังนี้ รับเอาอิทธิพลของเนื้อหนัง โปรแกรมเก่าๆ เข้ามาได้ ในขณะนั้น ก็เป็นเหมือนเป็นทาสของเนื้อหนังนั่นเอง นึกออกแล้วนะ พอไล่มาตามความจริงเหล่านี้ จะเห็นชัดขึ้น ดูถ้อยคำพระเจ้าในเอเสเคลีย 36:25-27 จะชัดขึ้น นี่คือคำเผยพระวจนะที่พระเจ้าบอกไว้ว่าเมื่อพระเยซูคริสต์มาบังเกิด เมื่อพระผู้ช่วยให้รอดมาปรากฏ คือพระเยซูคริสต์มาปรากฏ พระเยซูคริสต์จะมาทำการไถ่มนุษย์ และปลดปล่อยมนุษย์เป็นอิสรภาพได้ และพระเจ้าจะมาสถิตอยู่กับมนุษย์อย่างไร?  เมื่อพระองค์ทรงทำที่ไม้กางเขนเสร็จ นี่คือสิ่งที่บอกไว้ล่วงหน้า ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาทำให้สำเร็จที่ไม้กางเขน …

เอเสเคียล 36:25-27  “25 เราจะประพรมน้ำ ชำระลงบนเจ้า แล้วเจ้าจะสะอาด 26  เราจะชำระล้างเจ้า  จากมลทินโสโครกทั้งปวง  และจากรูปเคารพทั้งปวงของเจ้า เราจะให้จิตใจใหม่แก่เจ้า 27 และใส่วิญญาณใหม่ในเจ้า  เราจะขจัดใจหินออกจากเจ้า  และให้เจ้ามีใจเนื้อ เราจะใส่วิญญาณของเราไว้ในเจ้า  โน้มนำเจ้าให้ปฏิบัติตามกฎหมายของเรา  และใส่ใจรักษาบทบัญญัติของเรา”

 

นี่คือสิ่งที่พระเยซูกระทำสำเร็จแล้ว ที่ไม้กางเขน ข้อที่ 25 คือพระเยซูหลั่งพระโลหิตของพระองค์ปะพรม ชำระเราครั้งเดียวเป็นพอ สะอาดหมดจด บริสุทธิ์เลย เรียบร้อย เสร็จแล้ว พอสะอาดหมดจดปุ๊บ วิญญาณของเรา พระเจ้าได้ให้เราบังเกิดใหม่ ทั้งวิญญาณและความคิดจิตใจ (กลับไปดูแผนภาพ) พระเจ้าได้ให้เราบังเกิดใหม่ พร้อมกับพระเยซูคริสต์ เมื่อพระเยซูเป็นขึ้นมาใหม่ เราก็เป็นขึ้นมาด้วย เป็นขึ้นมาใหม่ที่วิญญาณของเรา  และความคิดจิตใจใหม่ให้กับเรา และใส่วิญญาณใหม่ในเจ้า เป็นวิญญาณของเรา ตัวตนของเราแท้ๆ กับความคิดจิตใจใหม่ ที่เหมือนพระเยซูคริสต์ ใส่เข้ามาอยู่ในการบังเกิดใหม่ของเรา เพื่อเอาใจหิน คือใจที่ดื้อดึง ดื้อด้าน ที่เคยเป็นทาสมาร เอาออกไปซะ ให้เจ้ามีใจเนื้อ ก็คือมีความคิดจิตใจที่เชื่อฟังต่อพระเจ้า และเราจะใส่วิญญาณของเราไว้ในเจ้า

ใส่วิญญาณ ก็คือเอาพระวิญญาณบริสุทธิ์ของเราใส่เข้าไปในเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่กับเรา หมายถึงอย่างนั้น  ข้อความตรงนี้มี 2 วิญญาณ วิญญาณใหม่อันหนึ่ง ก็คือวิญญาณของเราเองได้บังเกิดใหม่ เหมือนพระเยซูคริสต์ เป็นวิญญาณนิรันดร์ เหมือนพระเยซู พระเยซูแบ่งวิญญาณให้กับเรา รวมทั้งความคิดจิตใจ

ส่วนอีกวิญญาณหนึ่ง พระเจ้าใส่ลงมา ก็คือวิญญาณของเรา (คือพระเจ้า) พระเจ้าใส่วิญญาณของพระองค์เข้ามา ก็คือพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาสถิตอยู่กับเรา เพราะฉะนั้น พระวิญญาณกับเรา จึงแนบสนิทเป็นหนึ่งเดียว พระวิญญาณจึงเป็นพี่เลี้ยง ดูแลวิญญาณของเรา โดยนามนะ แต่ในทางปฏิบัติแล้ว ทั้ง 3 พระภาคเข้ามาอยู่กับเราหมดเลย พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตรพระเยซู พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์

“เราจะใส่วิญญาณใหม่ในเจ้า” ก็คือวิญญาณที่ไม่ได้อยู่ใต้กฎเดิม คือกฎของความบาปและความตาย ไม่ได้เป็นทาสของบาปอีกต่อไป วิญญาณใหม่ของเรา ก็คือธรรมชาติใหม่ ที่สะอาด บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า ที่เรียกว่าวิญญาณนิรันดร์นั่นเอง ไม่ได้หมายถึงอยู่ไปนิรันดร์ ถึงไม่เชื่อพระเจ้า ก็อยู่นิรันดร์เหมือนกัน แต่เป็นพินาศนิรันดร์ แต่เราอยู่ในชีวิตนิรันดร์ คนละอย่างกัน

เพราะฉะนั้น ทุกครั้งที่เราจะทำอะไร? ที่ไม่ตรงตามน้ำพระทัยพระเจ้า ก็คือเรากำลังฝืนธรรมชาติจากภายในนั่นเอง เปาโลจึงบอกว่าเมื่อเรารู้ความจริงตรงนี้แล้ว เราควรทำตัวอย่างไร? นี่คือความจริงที่เปาโลบอก เข้าใจแล้ว อ๋อ!

ขณะที่เราปล่อยให้อิทธิพลของความบาป พลังอำนาจของความบาป ผ่านทางอิทธิพลของเนื้อหนัง โปรแกรมเดิมๆ หลอกล่อให้ร่างกายของเราเป็นศัตรู หรือเรียกว่าบาป ตอนนั้น ข้างในตัวจริงๆ ของเรา คือวิญญาณและความคิดจิตใจเราที่เหมือนพระเยซู อึดอัดๆ ไม่อยากทำเลย มันต่อสู้กันอยู่ โรม 6:12-14 จึงได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

โรม 6:12-14  “12 เหตุฉะนั้น อย่าให้บาปครอบครองกายที่ต้องตายของท่าน ซึ่งทำให้ท่านต้องยอมทำตาม ความปรารถนาชั่วของกายนั้น  13 อย่ายกส่วนต่างๆ ในกายของท่าน ให้แก่บาป เป็นเครื่องมือของความชั่วร้าย แต่จงถวายตัวของท่านเอง แด่พระเจ้า ในฐานะผู้ที่ทรงให้มีชีวิตเป็นขึ้นจากตาย และถวายส่วนต่างๆ ในกายของท่าน แด่พระองค์ ให้เป็นเครื่องมือของความชอบธรรม 14 เพราะบาปจะไม่เป็นนายของท่านอีกต่อไป ด้วยว่าท่านไม่ได้อยู่ใต้บทบัญญัติ แต่อยู่ใต้พระคุณ

 

ขอบคุณพระเจ้า เปาโลจึงบอกว่าเมื่อรู้ความจริงเหล่านี้แล้ว เมื่อรู้กลยุทธแห่งการสงคราม และศัตรูตัวจริงของเรา และความจริงทั้งหมดเหล่านี้แล้ว เราควรจะทำตัวอย่างไร? และคิดอย่างไรในการสงครามนี้ เหตุฉะนั้น อย่ายอมให้ปรสิต ตัวบาปตัวนี้มันครอบครองอีกต่อไป เหมือนแต่ก่อนนี้ ครอบครองผ่านทางกายที่ต้องตายของท่าน ก็คือร่างกายนี้ อย่าให้มันมาบังคับเราอีกต่อไป ซึ่งทำให้เราต้องยอมทำตามความปรารถนาชั่วของมัน ไม่ใช่ของกายนี้ ของมัน กายเราบริสุทธิ์สะอาด กายเราดีอยู่แล้ว แต่ถูกตัวนี้ มันแอบเข้ามาบงการ ล่อลวง มีอิทธิพล

อย่ายกส่วนต่างๆ ของร่างกายของท่านให้แก่บาป ให้แก่ปรสิตตัวนี้ ให้ไวรัสตัวนี้ เป็นเครื่องมือในการทำชั่วร้าย อย่าไปยอมมัน แต่จงถวายตัวของท่านเองแด่พระเจ้า ในฐานะผู้ทรงให้มีชีวิตเป็นขึ้นจากความตาย และถวายส่วนต่างๆ ในร่างกายของท่านแด่พระองค์ ให้เป็นเครื่องมือของความชอบธรรม คือตรงกันข้ามกัน แต่ให้พระเจ้าที่ทำให้เราได้บังเกิดใหม่แล้ว ที่เป็นตัวตนจริงๆ ที่สถิตอยู่กับเรา เป็นพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่กับเรา ที่เป็นวิญญาณใหม่ของเรา ความคิดจิตใจใหม่ของเราที่เหมือนพระคริสต์ เอาร่างกายนี้ และอวัยวะทุกส่วนในร่างกายนี้ ทั้งตา หู จมูก ลิ้น กายและความคิดมอบให้ฝั่งพระวิญญาณ และความคิดจิตใจของเราที่เกิดใหม่ดีกว่า อย่าให้ปรสิตนี้มันแอบอยู่ เห็นชัดๆ ว่ามันแอบอยู่ ศัตรูตัวนี้มันแอบอยู่

ข้อ 14 บอกว่าเพราะบาป เพราะปรสิตตัวนี้ มันเคยเป็นเจ้านายท่าน ต่อไปนี้มันไม่ได้เป็นนายท่านอีกแล้ว เพราะว่าท่านไม่ได้อยู่ใต้กฎบัญญัติ ซึ่งเป็นเครื่องมือของมันอีกต่อไป แต่ท่านอยู่ใต้พระคุณของพระเจ้า ท่านเกิดใหม่แล้ว โดยไม่ต้องทำอะไรเลย ไม่ต้องไปสนใจ เกิดใหม่แล้วจริงๆ นี่มันเป็นอย่างนั้น

พอเราเห็นภาพความเป็นจริงอย่างนี้ เราจะชัดเจนว่าตัวบาปเอย พลังของความบาปที่ตัวตนนี้เอย หรืออิทธิพลของเนื้อหนัง ซึ่งเป็นโปรแกรมเก่าๆ ที่ทำให้เราเป็นศัตรูกับพระเจ้า ไม่เชื่อฟังพระเจ้า ที่เรียกว่าทำบาปนั้น มันไม่ใช่ตัวเรา มันเป็นปรสิต มันเป็นเหมือนไวรัส ถ้าเราไม่รู้อย่างนี้ เราก็จะตีกันกับตัวเอง เรานึกว่าตัวเราเองแย่เหลือเกิน มันก็หาไม่เจอ เราก็ยิ่งแย่ลงไปทุกวันๆ นี่มันชัดเจนเลย

เหมือนสมมติว่าบาปตัวนี้มันเป็นไวรัส เข้ามาในร่างกาย  แล้วเราไปหาหมอ แล้วหมอหาไวรัสไม่เจอ หมอไปรักษาแต่อาการมัน แต่ตัวไวรัสมันแอบอยู่ ปรสิตตัวนี้แอบอยู่ เกิดไวรัสตัวนี้มันทำให้มือข้างขวามันเน่า เพราะมีไวรัสบางอย่างเข้าไป แต่หมอหาไม่เจอ หมอบอกไม่ได้แล้ว ตัดมือทิ้ง มันจะเป็นอย่างนี้ ตัดมือขวาทิ้ง ก็ไปขึ้นเป็นมือซ้าย ก็ตัดมือซ้ายทิ้ง มาขึ้นที่ตา ตาบอด ควักตาทิ้ง มาขึ้นที่ขา ตัดขาทิ้ง เพราะตัวแอบอยู่ เราไม่เห็น เราไม่ได้รักษาต้นตอของมัน เราไปตัดหมด เหมือนพระเยซูบอกถ้าใครจะเข้าสวรรค์ได้ สงสัยต้องตัดหมด เลยกลายเป็นคนพิการหมด

ตาทำให้ทำบาปใช่ไหม? ทำให้ตาบอดซะ  ควักลูกตาออก มือทำให้ทำบาป ตัดมือทิ้ง พระเยซูกำลังพูดความจริงให้เรารู้ว่าถ้าเราสู้รบในสมรภูมิอย่างนี้ แล้วเราไม่รู้ความจริง เราถูกมันหลอกตลอด ถ้าเรารู้ความจริง  … ความจริงจะทำให้เราเป็นอิสระ เป็นไท 2 โครินธ์ 5:17 บอกว่า …

2 โครินธ์ 5:17  “เหตุฉะนั้น ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์  การทรงสร้างใหม่ได้เกิดขึ้นแล้ว  สิ่งเก่าได้ล่วงไป สิ่งใหม่ได้เข้ามา”

 

เหตุฉะนั้น ทุกอย่างในชีวิตของเราถูกสร้างขึ้นใหม่เอี่ยม ทั้งร่างกาย ความคิดจิตใจและวิญญาณ 3 อันนี้สะอาดหมดจดแล้ว ร่างกายเป็นพระวิหารของพระเจ้า ผู้ทรงสถิตอยู่ ร่างกายเราสะอาดหมดจดเลย แล้วร่างกายทำไมทำบาป ก็มันไม่ใช่ตัวเรา มันมีปรสิตที่แอบอยู่ เป็นไวรัสที่ทำให้เราเป็นอย่างนั้น  แต่ตัวร่างกายเองจริงๆ ไม่เป็น เราปวดหัว ไม่ใช่ร่างกายเราปวดหัว เราปวดหัว เพราะไวรัสไปทำอาการบางอย่างในหัวเรา จนกระทั่งเราปวดหัว มันไม่ใช่ตัวเรา แต่ตัวเราบริสุทธิ์สะอาด พระคัมภีร์พูดไว้อย่างนั้น ร่างกายเราถูกชำระสะอาดหมดจด เป็นโฮลี่ ออฟ โฮลี่ส์เลย เป็นสถานที่สถิตของพระเจ้า  ผู้ทรงสถิตอยู่กับเรา บริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ ถูกแยกส่วน เป็นทรัพย์สมบัติของพระองค์แต่เพียงผู้เดียว วิญญาณเหมือนพระองค์ ความคิดจิตใจเหมือนพระเยซูคริสต์ แล้วจะเอาอะไรอีก สะอาดหมดจดแล้ว สิ่งเหล่านี้ต้องฝังอยู่ สิ่งเหล่านี้ คือการบังเกิดใหม่ เป็นสิ่งใหม่ๆ ทั้งสิ้น เอเมน อย่าไปคิดว่าวิญญาณเกิดใหม่แล้ว ความคิดจิตใจเหมือนพระเยซูคริสต์ แต่ร่างกายมันสกปรก มันไม่ดี แต่เดี๋ยวนี้รู้แล้วว่าสิ่งสกปรกมาจากอะไร? รู้แล้วนะ

เพราะฉะนั้น 2 สิ่งที่มีอิทธิพลทำให้เราทำบาป …

(1) อิทธิพลของเนื้อหนัง คืออิทธิพลของระบบความคิดและการกระทำแบบเดิมๆ  แบบเก่า สมัยที่ยังเป็นทาสของความบาป ทำให้เราเป็นศัตรูกับพระเจ้า

(2) พลังของความบาป ซึ่งเราเคยเป็นทาสของมันอยู่ มันครอบครองชีวิตของเราอยู่ ครอบงำชีวิตของเราอยู่ ครอบครองอยู่เหนือชีวิตและตัวตนจริงๆ ของเรา  แต่เดี๋ยวนี้เราเป็นทาสของพระเยซู พระเยซูเข้าครอบครองชีวิตของเรา ครอบงำตัวตนแท้ๆ ของเราตลอดเวลาเลย

พลังของความบาปและอิทธิพลของเนื้อหนังกระทำการงาน ผ่านทางอวัยวะในร่างกายของเรา ตา หู จมูก ลิ้น กายและความคิดจิตใจเท่านั้น ผ่านทางระบบของโลกใบนี้ ผ่านทางผู้คน กิจการต่างๆ เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น บนโลกใบนี้ ซึ่งมารมันยังครอบงำอยู่ คอยเย้ายวนชวนเชื่อ ชักจูง ข่มขู่ โน้มน้าวให้เรากระทำตามมัน  มันเปรียบเหมือนสิงห์ที่คำรามได้ แต่กัดเราไม่ได้ แต่ทำให้เราตกใจและกระทำสิ่งที่ไม่ดีได้ เพราะเราตกใจ

ดังนั้น จงจำไว้ว่าพลังของความบาปและอิทธิพลของเนื้อหนัง ที่ทำงานอยู่ในตัวเรานี้ มันไม่ใช่ตัวเรา มันเป็นศัตรูของเรา เป็นปรสิต เป็นไวรัสอะไรบางอย่างที่ไม่ใช่ตัวเรา  แต่เป็นศัตรูกับพระเจ้า  และเป็นศัตรูกับเรา คอยจะนำเราให้ไปเป็นพวกมัน เพื่อจะเป็นศัตรูกับพระเจ้าไปด้วย  เพราะฉะนั้น  อย่าให้มารปั่นหัว อย่าให้มันหลอกให้เราสู้รบกับตัวเราเอง เรามันแย่ เราไม่ดี เนื้อหนังเราแย่มากเลย นี่มันกำลังสู้รบกับตัวเราเอง

อย่าให้มันหลอกเราสู้รบกับตัวเราเอง หรือสู้รบกันเองกับคนอื่น คนข้างๆ หรือสู้รบกับพระเจ้า หรือสู้รบกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่กับเรา อย่าให้มันหลอกให้เราสู้รบกันเอง พระเยซูบอกว่าถ้าบ้านนั้นสู้รบกันเอง บ้านนั้นอยู่ไม่ได้หรอก พังแน่นอน มันเป็นไปไม่ได้

เพราะฉะนั้น สรุปตัวเก่าเรา ที่อยู่ในอาดัม อยู่ภายใต้เนื้อหนัง ก็คือระบบโปรแกรมของทาสของความบาป ความคิดแบบเดิมๆ ที่เป็นศัตรูกับพระเจ้า อยู่ในอาดัม อยู่ภายใต้พลังของความบาป ที่ขับเคลื่อนในชีวิตของเราในอดีต แต่แม้ว่าตอนนั้น เรายังไม่เชื่อ มันก็ไม่ใช่ตัวเราอยู่ดี เพียงแต่เราเป็นทาสมันเท่านั้นเอง เราอยู่ในอาดัม เราอยู่ภายใต้การเป็นทาสของพลังของความบาปนี้ มันไม่ได้เข้ามาอยู่ในตัวเราหรอก มารนะ แต่มันมีพลังของความบาปและอิทธิพลของเนื้อหนัง กระทำการงานอยู่ในเรา ในอาดัม สมัยที่เรายังไม่รับเชื่อในพระเจ้า มันคอยทำเรา ให้โงหัวไม่ขึ้น พูดง่ายๆ แต่มันไม่ใช่ตัวเรา ตัวตนเก่าของเรา ที่อยู่ในอาดัม ที่เป็นทาสของอิทธิพลของความบาป พลังของความบาป และอิทธิพลของเนื้อหนัง มันตายไปแล้ว ในพระเยซูคริสต์ แต่เนื้อหนังและพลังของความบาป ยังอยู่ในตัวเรา แต่ไม่ใช่ตัวตนของเรา มันยังคงกระทำการงานอยู่ในร่างกายของเรา นี่คือสมรภูมิที่เราเห็นชัดๆ

แต่มันไม่ใช่ตัวตนของเรา มันเป็นเหมือนกับไวรัส พยาธิ ปรสิต หรืออะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ตัวเรา ที่มันคอยแอบอยู่ในตัวเรา มันเป็นศัตรูของเรา ตัวเราบริสุทธิ์ สะอาด เป็นของพระเจ้า ทั้งร่างกาย ความคิดจิตใจ และวิญญาณ พระเจ้าอวยพรครับ

 

*********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

ถ้อยคำพระเจ้ามีอยู่มากมายหลายแห่ง ที่ย้ำยืนยันกับเราว่าเมื่อเรามาเชื่อพระเจ้าและได้รับความรอดแล้ว วิญญาณเราก็ได้รับการชำระล้างบาป จนหมดสิ้น กลายเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ปราศจากบาปแล้ว วิญญาณเรา ได้รับการอภัยเรียบร้อยแล้ว ไม่มีการลงโทษใดๆ อีกแล้ว (ถ้าผู้นั้น เชื่อพระเจ้าจากใจจริง และมีใจปรารถนาที่จะดำเนินชีวิตตามน้ำพระทัยพระเจ้าจริงๆ)

 

ตามที่พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า … “เราบอกความจริงแก่ท่านว่าผู้ใดฟังคำของเรา  และเชื่อพระองค์ ผู้ทรงส่งเรามา  ผู้นั้นก็มีชีวิตนิรันดร์ และจะไม่ถูกลงโทษ”   (ยอห์น 5:24)

 

พระคัมภีร์บอกว่าผู้ที่เชื่อในพระเยซู ก็คือผู้ที่อยู่ในพระเยซู ซึ่งจะได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์มานำพาชีวิต และผู้นั้นจะมีใจปรารถนา ที่จะดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ

 

คือสำหรับผู้ที่ได้มาเชื่อพระเยซูอย่างจริงใจแล้ว ถึงแม้กายภายนอก ทางเนื้อหนัง ซึ่งยังมีเชื้อบาปอยู่ ยังถูกล่อลวงให้ไปกระทำบาปได้ก็จริง  แต่วิญญาณข้างใน ที่สะอาดบริสุทธิ์แล้ว จะมีความคิดที่ตรงข้ามกัน และเป็นไปไม่ได้เลย ที่จะสามารถทำบาปได้อย่างสบายใจ เพราะทางวิญญาณถูกนำโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้ว

 

“ผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ ได้ตรึงวิสัยบาปและกิเลสตัณหาของวิสัยบาปไว้ที่กางเขนแล้ว  ในเมื่อเรามีชีวิตอยู่โดยพระวิญญาณ ก็ให้เราดำเนินตามพระวิญญาณเถิด”  (กาลาเทีย 5:24-25)

 

หลายครั้งในชีวิตคริสเตียน แม้ว่าเราจะมาเชื่อพระเจ้าแล้ว  วิญญาณสะอาดบริสุทธิ์แล้ว  แต่เพราะเนื้อหนังทางร่างกาย มันยังมีเชื้อบาปอยู่  มันจึงเกิดการสู้กัน  ระหว่างวิญญาณที่ปรารถนาจะทำความดี และดำเนินชีวิตตามน้ำพระทัยพระเจ้า กับเนื้อหนังที่ยังถูกล่อลวงให้กระทำบาป
แม้แต่อัครทูตเปาโลเอง ก็ยังต้องผ่านสถานการณ์เช่นนี้  ตามที่มีบันทึกไว้ว่า … “ข้าพเจ้าไม่เข้าใจการกระทำของข้าพเจ้าเอง เพราะว่าข้าพเจ้าไม่ทำสิ่งที่ข้าพเจ้าปรารถนาที่จะทำ แต่กลับทำสิ่งที่ข้าพเจ้าเกลียดชังนั้น เหตุฉะนั้น ถ้าข้าพเจ้าทำสิ่งที่ข้าพเจ้าไม่ปรารถนาที่จะทำ และข้าพเจ้ายอมรับว่าธรรมบัญญัตินั้นดี ฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงมิใช่ผู้กระทำ แต่ว่าบาปซึ่งอยู่ในตัวข้าพเจ้านั่นเองเป็นผู้ทำ” (โรม 7:15-20)