คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน 2020 เรื่อง “อย่ากลัวเลย” ตอน 44 โดย วราพร คงล้วน

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  29  พฤศจิกายน  2020

 เรื่อง “อย่ากลัวเลย”  ตอน 44

โดย  วราพร  คงล้วน

 

วันนี้ เราก็มาคุยกันเรื่องการจัดเตรียมที่พระเจ้าได้ทรงประทานให้กับพวกเรา  ตั้งแต่วันแรกที่มนุษย์ล้มลงในความบาป  พระเจ้าก็ทรงเตรียมพระเยซูคริสต์ให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว เรามาดูหนังสือลูกา บทที่ 1 ลูกาเป็นสาวกของพระเยซูคริสต์ที่ได้บันทึกเรื่องราว ที่เกิดขึ้นในระหว่างที่เขายังมีชีวิตอยู่ และในเรื่องราวต่างๆ เหล่านี้ ได้บันทึกถึงรายละเอียดที่พระเจ้าได้อนุญาตให้เขาเขียน เพื่อว่าคนรุ่นหลังอย่างพวกเราทุกๆ คนจะได้สามารถรับรู้ถึงความจริงในถ้อยคำของพระเจ้า

การรับรู้ในความจริงของพระองค์ มีประโยชน์อะไรสำหรับพวกเราบ้าง ถ้าเรารับรู้ความจริง  พระเยซูบอกว่าความจริงจะปลดปล่อยเราให้เป็นไท เป็นอิสรภาพ เรารู้ความจริง เราก็จะสามารถรู้ว่าชีวิตของเรา เป็นอย่างไร? พระเจ้าดูแลเราอย่างไร? แล้วพระเจ้ารักเราขนาดไหน? ถ้าเราไม่รู้ความจริง  เราก็เหมือนถูกโกหก บางทีผีมารซาตานก็ใส่ความคิดเข้ามาในสมองของเรา ตลอดเวลา ค่อยเซี่ยม คอยทำให้เราสงสัยในความรักของพระเจ้า แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม พระเจ้าก็ยังคงสำแดงความรักของพระองค์ ผ่านทางชีวิตประจำวันของเรา ผ่านทางประสบการณ์ที่เราได้มีกับพระเจ้า ไม่ว่าเราทุกข์หรือสุข เราก็รู้ว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่ด้วยตลอดเวลา  เรามาดูในหนังสือลูกา 1:1

ลูกา 1:1-4 “1 ท่านเธโอฟีลัส  ที่เคารพอย่างสูง  ท่านทราบแล้วว่ามีหลายคนได้อุตส่าห์เรียบเรียงเรื่องราวเหล่านั้น ซึ่งสำเร็จแล้วในท่ามกลางเราทั้งหลาย 2 ตามที่เขาผู้ได้เห็นกับตาเองตั้งแต่ต้น    และเป็นผู้ประกาศพระวจนะนั้น  ได้แสดงให้เรารู้ 3 เหตุฉะนั้น  เนื่องจากข้าพเจ้าเอง  ได้สืบเสาะถ้วนถี่ตั้งแต่ต้นมา  จึงเห็นดีด้วยที่จะเรียบเรียง  เรื่องตามลำดับ  เพื่อประโยชน์แก่ท่าน 4 เพื่อท่านจะได้รู้ความจริงอันเกี่ยวกับเรื่องราวเหล่านั้น  ซึ่งมีผู้แจ้งให้ท่านทราบ”

 

เขียนชัดเจนมาก การเรียบเรียงความจริงต่างๆ อย่างถ้วนถี่ คือต้องพินิจพิเคราะห์ ด้วยความพิถีพิถัน ที่เขียนเรื่องราวเหล่านี้เข้ามาในถ้อยคำของพระเจ้า เพื่อคนรุ่นหลังที่ไม่ได้อยู่ในยุคของพระเยซูคริสต์ จะได้รับรู้ถึงความจริงเหล่านี้ว่าพระเยซู หรือพระเจ้าพระบิดาได้ทรงเตรียมสิ่งที่ดีที่สุด ให้กับมนุษยชาติตั้งแต่เริ่มต้นที่มนุษย์ได้ล้มลงในความบาป  ฉะนั้นความจริงเหล่านี้ ถูกเขียนมาเพื่อประโยชน์ ในนี้บอก เพื่อประโยชน์แก่ท่าน ท่านเล็งถึงตั้งแต่สมัยยุคที่คนได้มีโอกาสอ่านถ้อยคำของพระเจ้า ไม่รู้ตอนไหน? ยุคก่อนหน้านั้น คนที่เชื่อพระเจ้า เขาก็ไม่มีพระคัมภีร์อ่านแบบเรา เขาก็จะเป็นพยานอย่างที่บอก คุยเรื่องพระเจ้า ประสบการณ์ที่พระเจ้าช่วยเหลือเรากับผู้คนที่เรารู้จัก ที่เรารัก เป็นประสบการณ์ที่สามารถยืนยันความรักของพระเจ้า ผ่านทางชีวิตของพวกเรา

สาวกเหล่านี้ ก็เช่นเดียวกัน ตั้งแต่พระเยซูคริสต์ได้สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เขาก็พยายามที่จะเก็บข้อมูล ในสิ่งที่เขาเห็น  สิ่งที่เขาได้ยิน สิ่งที่เขาสัมผัส สิ่งที่เขาได้รับรู้ แล้วก็มีประสบการณ์ เพื่อที่จะเขียนไว้ให้คนรุ่นหลัง คือพวกเราทุกๆ คนได้รับรู้ เราไม่สามารถเห็นพระเยซูคริสต์ด้วยตาเนื้อของเรา เราไม่สามารถสัมผัสจับต้องพระองค์ได้  แต่เราสามารถที่จะสัมผัสพระองค์ได้ด้วยวิญญาณ  พระเยซูบอกว่าผู้ที่เข้ามาหาพระองค์ ต้องเข้ามาด้วยจิตวิญญาณและความจริง  ความจริงในถ้อยคำพระเจ้า

ลูกา 1:5-6 “5 ในรัชกาลเฮโรด  กษัตริย์ของยูเดีย  มีปุโรหิตคนหนึ่งชื่อเศคาริยาห์  อยู่ในเวรอาบียาห์  ภรรยาของเศคาริยาห์  ชื่อเอลีซาเบธ  อยู่ในตระกูลอาโรน 6 เขาทั้งสองเป็นคนชอบธรรมจำเพาะพระเจ้า  และดำเนินตามบัญญัติ และกฎหมายทั้งปวงของพระเป็นเจ้าไม่มีที่ติเลย”

 

ในยุคของเฮโรด ลูกาได้พูดถึงปุโรหิตคนหนึ่ง มีชื่อว่าเศคาริยาห์  ปุโรหิตต้องอยู่ในตระกูลของอาโรน ตามที่พระเจ้าได้กำหนดไว้ตั้งแต่เริ่มต้น ตอนที่พระเจ้าเรียกโมเสส ให้มาปลดปล่อยชนชาติของพระองค์ให้เป็นอิสระในยุคที่คนอิสราเอลเข้าไปเป็นทาสในอียิปต์ 400 ปี หลังจากนั้น คนอิสราเอลเมื่อทุกข์มากๆ ก็ร้องหาพระเจ้า เพื่อขอความช่วยเหลือ แล้วพระเจ้าก็ทรงเลือกโมเสส พวกเราน่าจะรู้เรื่องพวกนี้ดี แต่ที่เอามาย้ำอีกครั้งหนึ่ง เพื่อพวกเราจะได้จดเข้าไปในวิญญาณของเรา ในสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงเตรียมการไว้ล่วงหน้า ตั้งแต่มนุษย์ล้มลงในความบาป เป็นพันๆ ปี

พระองค์ได้กำหนดและเลือกโมเสสไว้ ตั้งแต่เริ่มต้นว่าพระองค์จะใช้โมเสสให้ทำการงานใหญ่นี้ เพื่อพระองค์ ตอนที่โมเสสคลอดก็เกิดมีปัญหามากมาย กษัตริย์ฟาโรห์กลัวคนอิสราเอล ทำไมถึงต้องกลัว ในเมื่ออิสราเอลเป็นทาสของอียิปต์ ถูกใช้แรงงานอย่างหนักเลย แต่สิ่งที่ฟาโรห์กลัว คือคนอิสราเอลเพิ่มพูน ทวีคูณเยอะแยะมากมาย ก็คือเป็นพันธุ์ดก มีลูกหลานเหลนโหลนเต็มไปหมดเลย มาอยู่อียิปต์ 400 ปี  น่าจะเกินครึ่ง  เป็นชนชาติอิสราเอล แล้วไม่พอ คนอิสราเอลฉลาดมาก เป็นคนของพระเจ้า ฉลาดล้ำ ไม่พอ แข็งแรงอีกต่างหาก ฉะนั้น ทำให้ฟาโรห์เกิดความกลัว เมื่อกลัวแล้วต้องทำอย่างไร? ก็ต้องกำจัด

การกำจัดคนอิสราเอลของกษัตริย์ฟาโรห์ ในยุคของโมเสส ก็คือไม่ว่าตระกูลใด ถ้าคุณแม่ตั้งครรภ์ กษัตริย์ฟาโรห์ก็จะสั่งว่าถ้าเด็กคลอดออกมา เป็นผู้หญิงให้ไว้ชีวิต แต่ถ้าคลอดออกมาเป็นผู้ชายให้นางผดุงครรภ์จัดการเลย คือทำให้ตาย ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ แต่เราขอบคุณพระเจ้า  ตอนที่แม่ของโมเสสคลอดโมเสส นางผดุงครรภ์ ในพระคัมภีร์ใช้คำว่าเป็นผู้ที่ยำเกรงพระเจ้า เมื่อยำเกรงพระเจ้า ก็ไม่กล้าที่จะฆ่าเด็กทารก ปล่อยให้โมเสสคลอดออกมา โดยที่ไม่ไปแจ้งด้วย กษัตริย์ฟาโรห์ก็ไม่รู้หรอกว่าโมเสสคลอดออกมา แม่ก็เอาไปซ่อน  ซ่อนไว้ 3 เดือน ซ่อนไม่ไหวแล้ว เด็กโตขึ้นทุกวัน  แม่ก็เลยเอาโมเสสไปลอยน้ำ  แล้วเป็นแผนการของพระเจ้าที่ประจวบเหมาะมาก อะไรจะพอดีขนาดนั้น  แต่เรายังเชื่อในถ้อยคำของพระองค์ว่าพระองค์มีแผนการที่ดี ที่พระองค์เตรียมไว้เรียบร้อยไปแล้ว ตั้งแต่โน้น คือพระองค์เขียนทั้งหมด

ถ้าโลกนี้เหมือนโรงละคร ละครเรื่องหนึ่ง พระเจ้าเป็นผู้กำกับ ที่ไม่ได้กำกับอย่างเดียวนะ พระองค์เขียนบทด้วย พระองค์เขียนบททั้งหมดเลยว่าจะให้ใครทำหน้าที่อะไร? เป็นพระเอก เป็นนางเอก เป็นตัวรอง เป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นตัวสำคัญ คนนี้ไม่สำคัญ พระเจ้าเขียนไว้หมดแล้ว ฉะนั้น พระเจ้าก็เขียนแผนการที่ดีเลิศ สำหรับครอบครัวของโมเสส ตอนที่แม่ของโมเสสเอาโมเสสไปลอยน้ำ พระองค์ก็เตรียมธิดาของกษัตริย์ฟาโรห์ไปอาบน้ำพอดี  ไม่ช้า ไม่สาย  ถ้าไปลอยตอนที่ธิดากษัตริย์ฟาโรห์ยังไม่ลงมาอาบน้ำ โมเสสก็ไม่รู้ลอยไปไหน? ถ้ามาลอยทีหลัง ก็ไม่รู้ลอยไปไหนอีกเหมือนกัน แต่มาลอยเวลาเป๊ะเลย ที่พระเจ้ากำหนดไว้ ธิดาฟาโรห์ไปอาบน้ำ ก็ได้ยินเสียงเด็กร้อง ก็ให้เจ้าหน้าที่ หรือคนที่สนิทไปพามาดูสิว่าเป็นใคร?  พอมองครั้งแรก ธิดากษัตริย์ฟาโรห์รู้เลยทันทีว่าโมเสสไม่ใช่คนอียิปต์ แต่เป็นคนฮีบรู แต่ธิดาของกษัตริย์ฟาโรห์เกิดความรักขึ้นมาทันที พระเจ้าใส่ความรักลงไป รักโมเสสมาก ต้องทำอะไรลงไปสักอย่างหนึ่ง ก็เลยรับโมเสสมาเป็นลูกบุญธรรม

พอรับโมเสสมาเป็นลูกบุญธรรม อัศจรรย์อีกอย่างหนึ่ง ที่พระเจ้าได้ทรงเตรียมไว้ ก็คือพี่สาวของโมเสสไปเป็นนางกำนัลของธิดาฟาโรห์พอดีๆ รีบเสนอเลย …

“จะเอาแม่นมมาเลี้ยงเด็กคนนี้ให้พระองค์ไหม?”

ก็คือตอนที่รับเป็นลูกบุญธรรม โมเสสถือว่าเป็นองค์ชายแล้ว ก็ต้องมีแม่นม ธิดาฟาโรห์ก็บอกไปสิ ไปพามา พี่สาวของโมเสสก็ไปพาคุณแม่ แม่ของโมเสสเอง ซึ่งจริงๆ  แล้ว จะต้องแยกจากกัน เอาโมเสสไปลอยน้ำ อธิษฐานกับพระเจ้า ไม่รู้ล่ะ พระองค์จะจัดเตรียมอะไรไว้ให้ โมเสสอาจจะถูกลอยจน 3 วัน 4 วัน แล้วก็แห้งตายในตะกร้าก็ได้ ไม่มีใครคาดคิดได้ แต่พระเจ้าก็เตรียมการไว้ คุณแม่ของโมเสส ก็ได้มาเลี้ยงดูโมเสสเหมือนเดิม แถมได้ค่าจ้างอีก ธิดาฟาโรห์ให้ค่าจ้าง เหมือนบ้านเศรษฐีเขามีลูก ตัวเองเลี้ยงไม่ไหว เขาก็จะไปจ้างแม่นมมา ไปจ้างพี่เลี้ยงมา เยอะแยะมากมาย ห้อมล้อมไปหมด แล้วทุกอย่างต้องเสียค่าจ้างหมด ก็คือจ้างมาทำงาน โมเสสถูกเลี้ยงมาอย่างดี ในมือแม่ตัวเอง

พอเลี้ยงจนโต คุณแม่ก็เอาไปถวายให้ธิดาฟาโรห์ แล้วในพระคัมภีร์บอกโมเสสรู้อย่างดี รู้ในใจว่าตัวเองเป็นคนฮีบรู ทำไมถึงรู้ว่าเป็นคนฮีบรู ซึ่งจริงๆ แล้ว ไม่ควรรู้ใช่ไหม? เพราะว่าถูกเลี้ยงมา ในฐานะของลูกชายธิดาฟาโรห์ การแต่งตัวก็จะไม่ใช่คนฮีบรู จะแต่งตัวเหมือนคนอียิปต์ แต่เชื่อว่าคุณแม่ของโมเสสปลูกฝังทุกวัน  ปลูกฝังในขณะที่เลี้ยง ฉะนั้นการเลี้ยงดูเด็ก ตอนที่เขาเล็กๆ สำคัญ ถ้าพี่เลี้ยงปลูกฝังสิ่งที่ดีเข้าไปในชีวิตของเขา เขาก็จะเจริญเติบโตอยู่ในทางที่ดี เหมือนพวกเราทุกวันนี้ มาเป็นคริสเตียน  เรามาเป็นลูกของพระเจ้า เมื่อเรามีลูกมีหลาน เราก็จะปลูกฝังถ้อยคำของพระเจ้าลงไปในชีวิตของเด็กๆ ที่เราเลี้ยงอยู่ บอกเขาเรื่องพระเจ้า พาเขาร้องเพลงพระเจ้า พาเขาอธิษฐาน ทุกสิ่งเหล่านี้ มันจะถูกปลูกฝังลงไป แล้วเด็กคนนี้ ก็จะเจริญเติบโตอยู่ในทางของพระองค์      โมเสสก็รู้ว่าตัวเองเป็นคนฮีบรู

ในพระคัมภีร์ตรงนี้ ปุโรหิตคนนี้ชื่อเศคาริยาห์ อยู่ในตระกูลของอาโรน ดังนั้น ตอนที่โมเสสถูกเลือกมา ให้ไปปลดปล่อยชนชาติอิสราเอล โมเสสมีพี่น้อง 3 คน พี่ชายคนโต ชื่ออาโรน แล้วพี่สาว ชื่อมีเรียม อาโรนเป็นปุโรหิตคนแรกที่พระเจ้าแต่งตั้ง แล้วพระเจ้าก็ตั้งกฎว่าเฉพาะปุโรหิต หรือครอบครัวของปุโรหิต หรือครอบครัวของอาโรนเท่านั้น ที่จะมีความสามารถในการเข้ามาหาพระเจ้า  เข้ามาถวายเครื่องบูชา แด่พระเจ้า ตามกฎเงื่อนไข ที่พระเจ้าตั้งไว้ คือทุกอย่างมันออกมาเป๊ะๆ หมด คือเป็นตระกูลที่สามารถเข้ามาเฝ้าพระเจ้าได้

แล้วในพระคัมภีร์บอกเราว่าสมัยก่อนปุโรหิต มีหน้าที่ดูแลพระวิหาร อยู่ในเผ่าเลวี คือเฉพาะเผ่านี้  ถูกแยกออกมา เพื่อปรนนิบัติในพระนิเวศน์ของพระเจ้า ดังนั้น มีตำแหน่งหน้าที่ที่แยก แตกต่างกันออกไป ฉะนั้น คนที่เป็นปุโรหิตจึงสามารถที่จะเข้าไปในอภิสุทธิสถานปีละ 1 ครั้งเท่านั้น

เศคาริยาห์เป็นเวรวันนั้นพอดี เข้าไปถวายเครื่องบูชา ในพระคัมภีร์ข้อที่ 5 บอกว่าภรรยาของเขา ชื่อเอลิซาเบล เป็นคนตระกูลอาโรนเหมือนกัน ก็คือตระกูลเดียวกัน  เป็นตระกูลปุโรหิต

ข้อ 6 “เขาทั้งสองเป็นคนชอบธรรมจำเพาะพระเจ้า  และดำเนินตามบัญญัติ และกฎหมายทั้งปวงของพระเป็นเจ้าไม่มีที่ติเลย”

ไม่มีที่ติเลย เป็นคนที่สุดยอด รักษากฎบัญญัติ มีชีวิตที่ดีงาม พระคัมภีร์บอกอย่างนั้น แต่เขาไม่มีบุตร อันนี้สำคัญ คนสมัยก่อน ถ้าใครไม่มีลูก เขาถือว่าเป็นคนถูกสาปแช่ง ก็คือพระเจ้าไม่โปรด เลยไม่อนุญาตให้มีลูก สมัยก่อน ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิดเป็นมนุษย์ แล้วก็ทำให้กฎบัญญัติพวกนี้ มันหายไป ไม่มีที่ติ  แต่ว่าเขาไม่มีบุตร  เพราะนางเอลีซาเบธเป็นหมัน แล้วเขาทั้งสอง ก็ชรามากแล้ว

พี่น้องสงสัยไหมว่าเมื่อเขาเป็นผู้ชอบธรรมจำเพาะพระพักตร์ของพระเจ้า  ไม่มีที่ติเลย ทำไมเขาถึงไม่มีลูกล่ะ ถ้าคนทั่วไป อาจจะเห็นว่านางเอลีซาเบธหรือเศคาริยาห์ ต้องทำอะไรผิดพลาดแน่ๆ เลย พระเจ้าก็เลยไม่ให้มีลูก ซึ่งความคิดแบบนี้ มันก็จะถูกปลูกฝังมาเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบันนี้ หลายครั้ง เวลาเรามองดูคนโน้นคนนี้ ทำไมคนนี้ไม่ได้รับพระพรจากพระเจ้า เขาต้องทำผิดอะไรต่อพระเจ้าแน่ๆ เลย ซึ่งในความเป็นจริง มันไม่เกี่ยวกันเลยแม้แต่นิดเดียว หรือแม้แต่คนในยุคปัจจุบันที่เราเจอปัญหาอุปสรรคมากมายวันแล้ววันเล่า ทุกวี่ทุกวัน  เกิดจากเราไม่รักพระเจ้าหรือ? ไม่ใช่ เกิดจากที่เราทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องต่อพระเจ้าหรือ? ไม่ใช่ เกิดจากอะไรเยอะแยะที่มนุษย์ หรือผีมารซาตานพยายามใส่ข้อมูลเข้ามาในความคิดของมนุษย์ เพื่อที่จะวินิจฉัย กล่าวโทษคนอื่น มองด้วยหางตา

“คนนี้ตั้งแต่มาเชื่อพระเจ้า ทุกข์ยากลำบากมาตลอด ต้องมีปัญหาแน่ๆ น่าจะไม่ทำอย่างโน้น ไม่ทำอย่างนี้” … มันไม่เกี่ยวอะไรเลย แม้แต่นิดเดียว

พระเจ้าบอกว่าผู้ที่เชื่อวางใจในพระเจ้า เขาได้รับอิสรภาพ  เขาได้เป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า ดังนั้น พฤติกรรมต่างๆ ที่มนุษย์ทำ จึงไม่เกี่ยวอะไรกับความรอด อย่างที่เราเรียนมาตลอดเลย ความรอด เราได้เรียบร้อยแล้ว ในโลกวิญญาณ  แต่ถ้าเราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  เราไม่เดินตามที่พระเจ้าสอน  เราก็จะได้รับผล คือได้รับบทเรียน ได้รับค่าตอบแทน ได้รับค่าจ้าง ถ้าเราทำบาป  เราก็ได้รับค่าจ้างของความบาป เราได้รับความทุกข์ทรมานในร่างกายนี้เฉยๆ ไปขโมยเขา ก็ถูกจับติดคุก ไปตีเขา  เขาก็ตีเรากลับ อะไรอย่างนี้ นี่คือผลเฉพาะในโลกใบนี้เท่านั้น

พอเราเห็นอย่างนี้ ทำไมพระเจ้าอนุญาตให้เขาทั้งสองคนไม่มีบุตร แถมให้นางเอลีซาเบธเป็นหมันด้วย เราก็ยังคงเชื่อว่าพระเจ้ามีแผนการ ที่พระองค์จะทำการอัศจรรย์ไว้ในชีวิตของสามีภรรยาคู่นี้ ลูกาบันทึกไว้ เขาทั้งสองคนแก่แล้ว ชราแล้ว ความชราภาพ ไม่สามารถที่จะมีบุตรได้ หรือหญิงที่หมดประจำเดือนแล้ว ก็ไม่สามารถที่จะมีบุตรได้  ตั้งแต่ยุคของอับราฮัม ที่พระเจ้าให้นางซารายตั้งครรภ์ ตอนอายุ 89 แล้วก็คลอดอิสอัคออกมา ตอนนั้น ในพระคัมภีร์ก็เขียนเหมือนกันว่านางซารายแก่มากแล้ว ประจำเดือนหมดอีกต่างหาก ไม่มีสิทธิ์มีลูกอยู่แล้ว แต่พระเจ้าก็ทรงสามารถที่จะทำการอัศจรรย์ หรือทำให้สิ่งที่พระองค์เตรียมไว้สำเร็จลุล่วงในชีวิตของพวกเราแต่ละคน ตรงนี้ พระคัมภีร์บันทึกให้เห็นภาพชัดๆ ว่านางเอลีซาเบธเป็นหมัน แล้วก็ชราแล้ว

ลูกา 1:7-10 “7 แต่เขาไม่มีบุตร  เพราะว่านางเอลีซาเบธเป็นหมัน  และเขาทั้งสองก็ชราแล้ว 8 ขณะที่เศคาริยาห์ทำหน้าที่ปุโรหิตเข้าเฝ้าพระเจ้า  เมื่อกองเวรของท่านเข้าประจำการ 9 ท่านได้ฉลากตามธรรมเนียมของปุโรหิต  ต้องเข้าไปในพระวิหารเผาเครื่องหอมบูชา 10 ส่วนบรรดาประชาชน  ก็อธิษฐานอยู่ภายนอก  ในเวลาเผาเครื่องหอมนั้น”

 

การเข้าไปเผาเครื่องหอมบูชา ต้องรีบทำ รีบออก หมายความว่าเข้าไปอยู่ที่อภิสุทธิสถาน ซึ่งเป็นที่บริสุทธิ์ที่สุด ซึ่งสมัยก่อน ปุโรหิตก่อนที่จะเข้าไปถวายเครื่องบูชา ต้องสารภาพบาป ต้องชำระตัวให้สะอาด  ต้องทำทุกอย่าง เตรียมตัวเองให้พร้อม  เพื่อจะเข้าไปในอภิสุทธิสถานได้ ถ้าเผื่อปุโรหิตคนไหนชะล่าใจ คิดว่าไม่เป็นไรหรอก ไปโดยที่มีความบาปติดตัวอยู่ ไม่ได้ชำระตัวให้สะอาด เข้าไปปุ๊บ เจอความบริสุทธิ์ของพระเจ้า ปุโรหิตคนนั้นตายทันที นี่คือเหตุผลอีกอันหนึ่งที่พระเจ้าสั่งให้ทำเครื่องทรงของปุโรหิต ตอนที่พระเจ้าสั่งให้โมเสสตัดให้อาโรน รายละเอียดเยอะมาก มีผูกกระดิ่งไว้รอบกระโปรง สมัยก่อนเขาใส่เป็นกระโปรง เพื่อเวลาเดินถวายเครื่องบูชา ทำโน่นทำนี่ ปุโรหิตเดินไปเดินมา จะมีเสียงกระดิ่งกรุ๊งกริ๊งๆ เหมือนปัจจุบัน ลูกหลาน เด็กๆ ออกไปข้างนอก พ่อแม่ชอบซื้อรองเท้าที่ปิ๊บๆ หรือสมัยก่อน เขาก็จะให้ใส่กำไลขา  ทำไมไม่ใส่ที่มือ  ใส่ที่ขา เวลาเด็กวิ่งมันมีเสียงไง  กรุ๊งกริ๊งๆ ลูกเรายังอยู่แถวนี้  ถ้าเสียงหายไป ลูกเราหายไปแล้ว ต้องรีบหาตัว ปุโรหิตเหมือนกันจะมีกรุ๊งกริ๊งๆ ไม่พอ มีเชือกผูกไว้ที่ขาด้วย ถ้าเผื่อปุโรหิตคนไหน เข้าไปถวายเครื่องบูชา แล้วตาย ก็ต้องดึงออกมาทันที

เมื่อเกิดความตายขึ้นมา คนที่เฝ้าอยู่ข้างนอก อธิษฐาน รอให้ปุโรหิตเผาเครื่องบูชา จะได้ยินเสียงเงียบไป เมื่อเสียงเงียบไปเมื่อไร? เขาจะชักลอกออกมาเลย คือปุโรหิคนนั้นตายเรียบร้อย ออกมาต้องส่งคนใหม่เข้าไป เพื่อที่จะทำหน้าที่ถวายเครื่องบูชา ปีละ 1 ครั้งเท่านั้น

ตรงนี้ เป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ ในยุคสมัยโบราณที่คนอยู่ยาก ต้องรักษากฎบัญญัติที่พระเจ้าตั้งไว้ เยอะแยะมากมาย ให้ครบถ้วนสมบูรณ์ในแต่ละปีต้องเอาแพะ เอาแกะมาให้ปุโรหิตฆ่าถวายบูชา เอาเลือดมาปะพรมที่แท่นบูชา มาสารภาพบาปของตัวเองทุกปี เพื่อที่จะผ่อนส่ง เหมือนเราเอาอะไรไปจำนำ ที่โรงรับจำนำ แล้วเรายังไม่มีเงินต้น ไปไถ่ถอนสิ่งที่เราเอาไปจำนำออกมา เราก็ต้องเอาดอกเบี้ยไปส่ง ลักษณะเดียวกัน ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิดเป็นมนุษย์ มนุษย์มีลักษณะเดียวกัน คือเราไม่มีเงินต้น เราไม่สามารถที่จะเอาเงินต้นไปไถ่ถอนตัวเองออกมาจากโรงรับจำนำได้ มีวิธีเดียว คือผ่อนดอกทุกปี เพื่ออย่างน้อย ของสิ่งนี้มันยังอยู่ ไม่รู้รอวันไหน? ปีไหน? ที่เราจะมีเงินพอที่จะไปไถ่ถอนสิ่งนี้กลับมาเป็นเจ้าของ ซึ่งพระเจ้าบอกว่าไม่สามารถมีมนุษย์คนไหนมีเงินทุนเพียงพอที่จะไถ่ถอนชีวิตของตัวเองกลับมาได้ เพราะว่ามนุษย์เป็นคนบาป พระเจ้าจึงเตรียมพระเยซูคริสต์ซึ่งไม่มีบาป พระเยซูคริสต์เป็นเหมือนอัครมหาเศรษฐี ที่มีเงินทุนเพียงพอที่ไปโรงรับจำนำ แล้วก็ไถ่ชีวิตของพวกเราทุกคนออกมา โดยที่ไม่ต้องไปส่งดอกแล้ว ไม่ต้องไปปีต่อปีเอาเครื่องบูชามาถวายแด่พระเจ้าแล้ว วันที่พระเยซูคริสต์มาเกิดบนโลกใบนี้ เกิดเป็นมนุษย์ มาตายแทนเราบนไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาจากความตาย ก็คือพระเยซูคริสต์ได้ชดใช้หนี้เวรหนี้กรรมของมนุษยชาติทั้งหมดบนโลกใบนี้เรียบร้อยแล้ว คือซื้อชีวิตของพวกเราทุกคน จากมือของผีมารซาตาน

มือของผีมารซาตานสามารถมีอำนาจเหนือชีวิตของพวกเราได้ เพราะบรรพบุรุษของเรา คืออาดัมกับเอวาเอาเราใส่เข้าไปในโรงรับจำนำ ก็คือเข้าไปอยู่ในมือของมารซาตาน แล้วพ่อแม่ปู่ย่าตาทวดของเรา ก็ไม่มีกำลังพอ ที่จะไปไถ่ถอนเราออกมา คือทุกคนเป็นคนบาปหมดเลย เมื่อเราเป็นคนบาป เราก็ไม่สามารถไปใช้หนี้ได้ ตัวเองยังติดหนี้อยู่เลย เอาอะไรไปใช้หนี้ ก็เลยต้องใช้วิธีส่งดอกเบี้ยทุกปีๆ

เราขอบคุณพระเจ้า สำหรับแผนการที่ดีเลิศ ที่พระเจ้าได้เตรียมไว้สำหรับมนุษยชาติ แล้วทุกๆ ปี พอถึงปลายปี เราก็จะมาเฉลิมฉลองวันประสูติของพระเยซูคริสต์ ซึ่งจริงๆ ตามกำหนดเรา ก็ไม่รู้ว่าอยู่ในช่วงวันไหนของเดือนธันวาคม รู้แต่ว่าอยู่ในช่วงอากาศหนาว แค่นั้นเอง แล้วมนุษย์ก็เลยตั้งขึ้นมาวันหนึ่ง  เอาเป็นวันที่ 25 ธันวาคมของทุกปี ที่มนุษย์จะมาเฉลิมฉลองวันเกิดกับพระเยซูคริสต์

หลายคนบอกว่าพระเยซูคริสต์ตายแล้ว ทำไมยังมีการฉลองวันเกิดด้วย ในพระคัมภีร์บอกว่าพระเยซูคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน หลังจากนั้น 3 วัน พระเยซูคริสต์ได้ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย พระองค์ยังมีชีวิตอยู่ แล้วชีวิตของพระองค์เคลื่อนไหวอยู่ในเรา พระคัมภีร์บอกชัดเจน  นั่นคือความจริง ทันทีที่เราเชื่อวางใจในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ เพื่อเราบนไม้กางเขน พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้เข้ามาในวิญญาณของเราทันทีเลย ในโลกวิญญาณเป็นอย่างนั้น ไม่ว่าสายตาของเราจะเห็นหรือไม่เห็น เราไม่รู้ ความคิดเราจะคิดเป็นอื่น เราก็ไม่รู้ แต่ว่าในความเป็นจริงในถ้อยคำของพระเจ้า คือพระเจ้าพระวิญญาณเข้ามาอยู่ในเราทันที และทันทีอีกเช่นกัน ที่พระเจ้าได้เปลี่ยนเราจากคนบาป มาเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้าทันทีอีกเหมือนกัน

พระเจ้าได้ทำการงานของพระองค์ในโลกวิญญาณเรียบร้อยไปแล้ว  ที่พวกเรามานั่งอยู่ตรงนี้  อยู่ต่อหน้าพระเจ้า มีโอกาสเข้ามาเฉลิมฉลองวันเกิดของพระเยซู เพราะว่าเราได้รับเอาสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำเพื่อเราเรียบร้อยไปแล้วบนไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว เราจึงเชื่อ เราวางใจ

โดยความเชื่อ อย่างที่พระคัมภีร์บอก เชื่อด้วยใจ รับด้วยปาก  ผู้นั้น ก็ได้รับความรอด  ได้เป็นลูกของพระเจ้า  เราจะดำเนินชีวิตแบบคิดเยอะ  …

“เอ๊ะ! มันจะเป็นไปได้อย่างไร?”

ก็คงลำบาก สำหรับเรา ฉะนั้น ความเชื่อตรงนี้แหละ พระเจ้าจะใส่เข้ามาในวิญญาณของเรา ทำให้เรามีความสามารถเชื่อ ตอนที่เรามาเชื่อพระเจ้าใหม่ๆ เราก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเราเชื่อ ซึ่งสมัยก่อน ใครมาบอกเรื่องพระเยซูคริสต์เป็นบุตรของพระเจ้า  มาตายแทนเราบนไม้กางเขน เป็นขึ้นมาจากความตาย เราไม่เห็นเชื่อเลย เราฟังแล้ว เหมือนเอานิยายมาเล่าให้เราฟัง เหมือนละครเรื่องหนึ่ง อยู่ดีๆ มีใครที่จะมาตายแทนเราที่ไม้กางเขน แต่พอถึงเวลาที่พระเจ้าได้ทำงานในใจของเรา เปิดตาใจฝ่ายวิญญาณของเราออก เราต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามาในวิญญาณของเรา วิญญาณของพระเจ้าค่อยๆ สอนเรา ประทานความเชื่อให้กับเรา ให้เราสามารถเชื่อแบบไม่มีข้อสงสัย ใครถามเราว่า …

“ทำไมเชื่อพระเยซู ไม่รู้เหมือนกัน ตอบไม่ได้ แต่เรารู้ว่าเราเชื่อ”

“แล้วเชื่อได้อย่างไรว่าตายไป เราจะได้ขึ้นสวรรค์”

“ไม่รู้ล่ะ เราเชื่อ เพราะถ้อยคำของพระเจ้าบอกอย่างนั้น”

ถ้อยคำของพระองค์ยืนยันกับเราว่า ณ เวลานี้ ในโลกวิญญาณ เราได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์ที่สวรรค์สถานเรียบร้อยไปแล้ว  แต่ในขณะที่เราอยู่บนโลกใบนี้  เราก็ยังต้องดิ้นรนต่อสู้อยู่ เรายังต้องเผชิญกับปัญหาต่างๆ เรายังต้องต่อสู้กับเล่ห์กลของผีมารซาตานที่พยายามมาหลอกเรา หรือต่อสู้กับระบบของโลกใบนี้  ซึ่งความเป็นจริง ในพระคัมภีร์บอกว่าตัวเราเองได้ตายไปพร้อมกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว ตั้งแต่วันแรกที่เราต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ตัวจริงเรา คือตัวบาปของเราตายไปแล้ว

ฉะนั้น ตอนนี้ตัวบาปไม่มีอยู่ในชีวิตของเราเลย เมื่อคนที่ตายแล้ว ไม่มีสิทธิ์ที่จะลุกขึ้นมาทำบาปได้ ไม่มีทาง ตายแล้วทำบาปไม่เป็น แต่ที่เราทำ เพราะว่าเราแถ เหมือนกับโดนหลอก หลอกให้เราทำบาป ซึ่งไม่ว่าเราจะทำบาปบนโลกใบนี้ขนาดไหน? ในขณะที่ในวิญญาณเราเชื่อว่าพระเยซูคริสต์ เป็นพระบุตรของพระเจ้า แล้วเราต้อนรับพระองค์แล้ว วิญญาณเรายังรอดอยู่ วิญญาณเราจะไม่ตกนรก  วิญญาณเราจะได้ไปอยู่กับพระเจ้าบนสวรรค์สถานนิรันดร์กาล หลังจากลมหายใจออกจากร่างกายนี้

แต่สิ่งที่เราต้องเผชิญ ที่เราเรียนรู้ ที่บอกว่าอย่าดับพระวิญญาณ คำว่า “อย่าดับพระวิญญาณ” คืออย่าดับสิ่งที่พระเจ้าพูดเข้าไปในวิญญาณของเราว่าให้เราทำสิ่งที่ถูกต้อง ตามถ้อยคำของพระเจ้า  พระเจ้าบอก … อย่าไปทำสิ่งที่ชั่วร้าย … แล้วเราก็ฝืน เราก็ไปทำสิ่งที่ชั่วร้าย วิญญาณเราไม่ตายนะ วิญญาณเรายังรอดอยู่ แต่เราต้องรับผล บนโลกใบนี้ เราทำสิ่งชั่วร้าย เราก็เก็บเกี่ยวสิ่งชั่วร้ายเข้ามาในชีวิตของเรา  ขณะที่เราอยู่บนโลกใบนี้

เราต้องแยกให้ชัดเจนว่าความจริง คืออย่างนี้ อย่าให้มารหลอกเราว่าพอเราทำผิดปุ๊บ …

“พระเจ้าไม่รักเธอ เธอตกนรกแน่ๆ เลย เธอไม่ได้ขึ้นสวรรค์หรอก”

ไม่จริง มารพยายามหลอกเรา ให้เราตกใจ แล้วเราก็แย่แล้วๆ เราต้องทำอย่างไร?

ฉะนั้น ให้เรายึดมั่น ในสิ่งที่เป็นพระสัญญาของพระองค์ ที่ให้กับพวกเรา

ลูกา 1:11-13 “11 ทูตองค์หนึ่งของพระเจ้า  มาปรากฏแก่เศคาริยาห์  ยืนอยู่ที่ข้างขวาแท่นเผาเครื่องหอมบูชา 12 เมื่อเศคาริยาห์เห็นก็ตกใจกลัว 13 แต่ทูตองค์นั้นกล่าวแก่ท่านว่า  “เศคาริยาห์เอ๋ย  อย่ากลัวเลย  ด้วยได้ทรงฟังคำอธิษฐานของท่านแล้ว  นางเอลีซาเบธ  ภรรยาของท่านจะมีบุตรเป็นผู้ชาย  และท่านจงตั้งชื่อบุตรนั้นว่ายอห์น”

 

ทูตสวรรค์มาปรากฏกับเศคาริยาห์ขณะที่กำลังทำงานอยู่ แล้วเศคาริยาห์ก็ตกใจกลัว เป็นใคร ถ้าเจอแบบนี้ ก็กลัวทุกคนแหละ แล้วทูตสวรรค์ก็พูดกับเศคาริยาห์ว่า … “อย่ากลัวเลย” เพราะว่ามนุษย์เป็นคนที่ขี้ตกใจ เหมือนยุคสมัยที่พระเยซูคริสต์ทรงพระชนม์อยู่ สาวกของพระองค์ที่ติดตามพระเยซู กินด้วย นอนด้วย ตอนที่เห็นพระเยซูเดินอยู่บนน้ำ ยังตกใจเลย นึกว่าเป็นผี

พี่น้องเห็นภาพไหมค่ะว่าอยู่ด้วยกันทุกวันๆ ยังคิดว่าพระเยซูเป็นผีเลย แสดงว่ามนุษย์ขี้ตกใจ  ดังนั้น คำที่พระเจ้าจะบอกกับเราทุกเช้าวันใหม่ คือ “อย่ากลัวเลย พระเจ้าอยู่ด้วย” … ไม่ว่าเราจะพบกับสถานการณ์อะไรก็ตาม  พระเจ้าก็ทรงสถิตอยู่ในเรา พระองค์จะจูงมือเราเดินไปด้วยกัน

เศคาริยาห์ตกใจ เพราะเห็นทูตสวรรค์ แล้วทูตสวรรค์ก็บอกกับเศคาริยาห์ว่า …

“อย่ากลัวเลย  ด้วยได้ทรงฟังคำอธิษฐานของท่านแล้ว  นางเอลีซาเบธ  ภรรยาของท่านจะมีบุตรเป็นผู้ชาย  และท่านจงตั้งชื่อบุตรนั้นว่ายอห์น”

แปลว่าเศคาริยาห์กับนางเอลีซาเบธขอพระเจ้า ขอตลอด อยากมีลูก เชื่อว่าขอไปเรื่อยๆ จนคิดว่าตัวเองคงหมดหวังแล้วล่ะ  อาจจะเลิกขอ หรือยังขออยู่ อันนี้ในพระคัมภีร์ก็ไม่ได้บันทึกชัดเจน แต่สิ่งที่ทูตสวรรค์บอก ก็คือพระเจ้าได้ฟังคำอธิษฐานของท่านแล้ว  สิ่งที่เราทูลขอกับพระเจ้าทุกวี่ทุกวัน เราขอกับพระเจ้าเรื่องของคนที่เรารัก เรื่องคนในครอบครัวที่ยังไม่ได้มาเชื่อพระเจ้า เรื่องของเพื่อนฝูงที่เรารักเขามาก เขานิสัยดีมาก เราอยากให้เขาได้มารู้จักกับพระเจ้า เพราะว่าถ้าเขารู้จักกับพระเจ้า เขาก็จะมีหลักประกันที่มั่นคง หลังความตาย เรายังไปเจอกันอีก แต่ถ้าไม่รู้จักกับพระเจ้า เราสนิทสนมได้แค่โลกนี้ พอหลังความตาย เราก็อยู่กันคนละโลก อะไรแบบนี้

เชื่อมั่นว่าเศคาริยาห์กับเอลีซาเบธ ก็คงอธิษฐานกับพระเจ้าตลอดเวลา …

“อยากมีลูก พระองค์เจ้าข้าอยากมีลูก”

จนวันหนึ่ง ที่พระเจ้ามาตอบคำอธิษฐาน ก็ตอนเขาแก่มากแล้ว แก่จนขนาดที่ประจำเดือนก็ไม่มีแล้ว แต่พระเจ้าทำการอัศจรรย์ พระองค์ก็บอกชัดเจนเลยว่านางเอลีซาเบธจะตั้งครรภ์ไม่พอ บอกกระทั่งว่าพอคลอดแล้ว ให้ตั้งชื่อลูกว่ายอห์นด้วย ก็คือบอกชัดเจนเลยทุกอย่าง เศคาริยาห์ไม่สามารถตั้งชื่ออื่นได้ ลูกเขาต้องชื่อยอห์น

ลูกา 1:14-17 “14 ท่านจะมีความปรีดาและยินดี  และคนเป็นอันมากจะเปรมปรีดิ์ที่บุตรนั้นบังเกิดมา 15 เพราะว่าเขาจะเป็นใหญ่จำเพาะพระเจ้า    เขาจะไม่กินน้ำองุ่นหมักและเหล้าเลย  และจะประกอบไปด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ตั้งแต่ครรภ์มารดา 16 เขาจะนำพงศ์พันธุ์อิสราเอลหลายคน  ให้หันกลับมาหาพระเจ้าของเขาทั้งหลาย 17 เขาจะนำหน้าพระองค์ โดยน้ำใจ และฤทธิ์เดชของเอลียาห์ ให้พ่อกลับคืนดีกับลูก และคนดื้อด้านให้กลับได้ปัญญาของคนชอบธรรม เพื่อจัดเตรียมชนชาติหนึ่งไว้ให้สมแก่พระเจ้า”

 

แปลว่าพระเจ้าได้เตรียมยอห์นไว้เรียบร้อยแล้ว ในแผนการของพระเจ้าว่ายอห์นโตขึ้น จะมาทำอะไร เพื่อพระองค์ แล้วยอห์นคนนี้ คือยอห์นบัพติศโต ที่เราเรียนรู้กัน ตอนที่ยอห์นโผล่มาครั้งแรก ประกาศว่า …

“แผ่นดินของพระเจ้ามาใกล้แล้ว จงกลับใจเสียใหม่ ขวานวางอยู่ที่โคนต้นแล้ว ถ้าใครไม่กลับใจจะถูกตัดทิ้ง”

ยอห์นประกาศอย่างนี้เลยนะ ไม่มีความนุ่มนวลอะไร ตรงๆ ถ้าไม่เชื่อพระเจ้าก็ตายอย่างเดียว แค่นั้นเอง

ดังนั้น ถึงยุคปัจจุบัน หลายคนไม่กล้าประกาศอย่างนี้ ไม่เชื่อพระเจ้าตายอย่างเดียว ไม่ใช่ตายเฉพาะบนโลกใบนี้เท่านั้น ที่ไม่มีหลักประกันในชีวิต แต่หลังความตาย เรายังต้องไปตายในนรกนิรันดร์กาล

นี่คือเหตุที่พระเยซูคริสต์ทรงห่วงใยผู้คนในโลกใบนี้ ที่จะให้เราออกไปประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้า ข่าวดีของพระองค์ ก็คือมนุษย์สามารถที่จะเข้าไปในสวรรค์ได้ ด้วยวิธีการของพระเจ้า ก็คือเชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทรงกระทำ เพื่อเขาบนไม้กางเขน เชื่อเท่านั้น โดยที่มนุษย์ไม่ต้องพยายามที่จะทำความดี เพราะว่าต่อให้เราทำความดีขนาดไหน? ไม่สามารถถึงมาตรฐานของพระเจ้าได้ ไม่สามารถดีได้ 100% จนสามารถทำให้ตัวเราเองขึ้นสวรรค์ได้ ถ้ามนุษย์สามารถทำได้ พระเจ้าไม่ต้องส่งพระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์  มาทรมานเพื่อเรา  นึกภาพออกไหมค่ะ

มนุษย์ทำอะไรไม่ได้ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ นั่นคือข่าวดี และข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ง่ายมาก คือเชื่อด้วยใจ รับด้วยปาก แค่นั้นเอง เราเป็นลูกของพระเจ้า เป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า เราถูกเปลี่ยนมิติจากทาสของมาร  เข้ามาเป็นลูกของพระเจ้า  มารไม่เห็นเราเป็นลูกหรอก  เขาเห็นเราเป็นทาส  สับโขก เราได้ทุกวี่ทุกวัน  ทำให้เราทำผิด  หลงผิด พอทำผิดปุ๊บ กระหน่ำซ้ำเติมเราอีก นั่นคือนิสัยของมาร มารไม่เคยมีความสุข เมื่อเห็นมนุษย์มีความสุข  เขาพอใจที่จะเห็นมนุษย์ทุกข์ใจ เขาพอใจที่จะเห็นมนุษย์เศร้าตลอดเวลา ซึ่งทำให้พระเจ้าเสียใจ นึกออกไหม? พระเจ้ารักเรามาก พระเจ้าอยากให้มนุษย์มีความสุข พระเจ้าอยากให้มนุษย์ชื่นชมยินดีทุกวัน ถ้ามนุษย์เศร้าเสียใจ  พระเจ้าเสียใจมากกว่า ลักษณะเหมือนกับพ่อแม่อยากให้ลูกมีความสุข ถ้าลูกทุกข์ พ่อแม่ทุกข์กว่า ไม่ว่าทุกข์ด้วยเรื่องอะไร? ก็ตาม พ่อแม่จะทุกข์กว่าเรา

ฉะนั้น พอเราเห็นภาพ เห็นถึงความรักที่ยิ่งใหญ่ที่พระเจ้าให้กับเรา หรือความรักที่ยิ่งใหญ่ที่พ่อแม่ให้กับเรา เราจะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของเรา เราจะไม่ทำสิ่งที่ทำให้พ่อแม่เสียใจ  หรือทำให้พระเจ้าเสียใจ

ลูกา 1:18-20 “18 เศคาริยาห์จึงทูลทูตสวรรค์ว่า  “ข้าพเจ้าจะรู้แน่ได้อย่างไร  เพราะข้าพเจ้าก็ชราและภรรยาก็อายุมากแล้ว” 19 ฝ่ายทูตสวรรค์นั้นจึงตอบว่า  “เราคือกาเบรียล  ซึ่งยืนคอยรับใช้อยู่หน้าพระพักตร์พระเจ้า  และทรงใช้ให้มาพูดกับท่านและนำข่าวดีนี้มาแจ้ง 20 นี่แน่ะ  เพราะท่านมิได้เชื่อถ้อยคำของเราถึงเรื่องที่จะบังเกิดขึ้นตามกำหนด  ท่านก็จะเป็นใบ้ไปจนถึงวันที่การณ์เหล่านี้จะสำเร็จ”

 

ไม่เชื่อไง เศคาริยาห์เกิดความสงสัย ถามทูตสวรรค์ว่า …

“เป็นไปได้อย่างไร? ฉันแก่แล้ว ภรรยาก็แก่แล้ว เหตุการณ์นี้มันจะเกิดขึ้นได้อย่างไร?” อะไรประมาณนั้น

ทูตสวรรค์ก็เลยบอกว่า … “เพราะเธอไม่เชื่อ  ฉะนั้น เธอก็จะเป็นใบ้  จนกว่าเด็กคนนี้จะคลอดออกมา แล้วเธอก็จะหายเป็นปกติ”

นี่คือสิ่งที่เศคาริยาห์ ได้รับ

ลูกา 1:21 “ฝ่ายคนทั้งหลายที่คอยเศคาริยาห์     ก็ประหลาดใจ  เพราะท่านอยู่ในพระวิหารช้านาน”

 

คำว่า “ช้านาน” ก็คือปกติคนที่เข้าไปถวายเครื่องบูชา ในพระวิหารต้องรีบๆ แต่เศคาริยาห์เนื่องจากต้องใช้เวลาคุยกับทูตสวรรค์ ก็เลยไม่ออกมาสักที คนก็ตั้งตาคอย เมื่อไรจะออกมาสักที

ลูกา 1:22-23 “22 เมื่อท่านออกมาแล้วก็พูดกับเขาไม่ได้  คนทั้งหลายจึงหยั่งรู้ว่าท่านได้เห็นนิมิตในพระวิหาร  ท่านใช้ใบ้กับเขา  และยังเป็นใบ้อยู่ 23 เมื่อหมดเวรของท่านแล้ว  ท่านก็กลับไปบ้าน”

 

เมื่อเศคาริยาห์ออกมา ทุกคนก็ตกใจ เศคาริยาห์เป็นอะไร พูดไม่ได้แล้ว ออกมาทำมือ ทำสัญญาณ ทุกคนก็เลยรู้ว่ามันต้องมีอะไรบางอย่าง ที่อยู่ในห้องอภิสุทธิสถาน ต้องเกิดอะไรขึ้นแน่ๆ แต่ขณะนี้เศคาริยาห์ไม่สามารถพูดอะไรกับเขาได้ หรืออธิบายเรื่องราวต่างๆ ได้

และในพระคัมภีร์บอกว่าพอหมดเวรในการถวายเครื่องบูชา เศคาริยาห์กับนางเอลีซาเบธก็กลับบ้านไป ทิ้งให้ผู้คนที่อยู่ข้างนอก รอด้วยความตั้งใจ ทิ้งให้เป็นปริศนา รอต่อไปว่าพระเจ้าจะทรงกระทำอะไรในชีวิตของเศคาริยาห์และนางเอลีซาเบธ  พระเจ้าอวยพรค่ะ

 

**********************