คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 22 พฤศจิกายน 2020 เรื่อง “มั่นคง ไม่หวั่นไหว ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก” ตอน 4 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  22  พฤศจิกายน  2020

 เรื่อง “มั่นคง ไม่หวั่นไหว ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก”  ตอน 4

โดย  นคร   เวชสุภาพร

 

เรามาต่อซีรี่ย์นี้ … “มั่นคง ไม่หวั่นไหว ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก” เรามั่นใจมากขึ้น  เรียนมา 3 ตอน ตอนนี้ ตอนที่ 4 เรารู้ความจริงเยอะแยะมากขึ้นแล้วว่าพระเจ้าอยู่ฝ่ายเรา เรารู้ว่าความทุกข์ยากลำบากนั้น คืออะไร?  เพราะฉะนั้น เรามีความมั่นคงไม่หวั่นไหว  ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบากจริงๆ ซึ่งความหมายของคำว่า “มั่นคง ไม่หวั่นไหว ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก” ที่เราได้สรุปกันไว้ 3 ตอนนั้น ก็คือการมีสันติสุขของพระเจ้า ซึ่งเกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ  เวลาอยู่ที่บ้าน ก็นำไปอ่านออกจากปากของเรา เพื่อว่าหูเราจะได้ยิน สมองเราเปิดรับ ตาเราจะได้ดูถ้อยคำพระเจ้าเหล่านี้  ซึ่งเป็นความจริง  ปากเราได้พูดความจริงนั้น ให้หูตัวเองได้ยิน หูข้างใน คือหูทางวิญญาณ ก็ได้ยินชัด อ่านดังๆ ชัดๆ ให้ตัวเองฟัง …

“สันติสุขของพระเจ้า ซึ่งเกินความเข้าใจ เป็นสภาวะที่ทำให้ความคิดจิตใจของท่านสงบ และมีความมั่นใจในความรอด ที่ได้รับมาแล้ว ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ซึ่งส่งผลให้ท่านไม่กลัวสิ่งใด และทำให้มีความพึงพอใจในทุกสิ่งที่มี ที่เป็น ที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ เอเมน”

อยากให้เป็นคริสเตียนวันอาทิตย์ตลอดเลยนะ เพราะคริสเตียนวันอาทิตย์เต็มไปด้วยพลัง พูดชัดเจน ความเชื่อชัดแจ๋ว พอวันจันทร์ วันอังคาร วันพุธ มาถึงวันศุกร์ คริสเตียนวันศุกร์ ง่อยเลย  แต่เราไม่ง่อย เราสามารถเปิดถ้อยคำพระเจ้า เปิดยูทูป เปิดที่ผมบรรยายไว้ ไปเปิดฟังเอา อย่าไปเปิดอย่างอื่น เปิดสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน เดี๋ยวยิ่งแย่ ยิ่งลำบาก อย่าไปฟังมันมากนัก

ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก ท่ามกลางความสับสนวุ่นวายบนโลกใบนี้ ซึ่งมนุษย์บนโลกใบนี้ ได้ถูกเปลี่ยนเป็นคน ก็คือคนที่วุ่นวายกันไปหมด เพราะระบบของโลกนี้ ถูกกำหนด ถูกครอบงำโดยมาร  มันก็สับสนวุ่นวาย แต่ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้ เราเรียนรู้มาแล้วว่าเรามีความหวังอยู่ที่ฮีบรู บทที่ 6 บอกไว้ เป็นเหมือนสมอเรือ ที่หลังม่าน ก็คือหีบพันธสัญญาในสมัยพระคัมภีร์เดิม ซึ่งเล็งถึงการทรงสถิตของพระเจ้า ปัจจุบันเราเป็นคริสเตียนแล้ว เราอยู่ในพระคัมภีร์ใหม่แล้ว ความหวังหลังม่านของเรา ก็คือเป็นคริสเตียน บังเกิดใหม่แล้ว อยู่ในสวรรค์สถานกับพระเจ้า ในพระคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว

ความหวังหลังม่านของพวกเรา ก็คือข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ที่บอกว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์  ตายที่ไม้กางเขน  เพื่อชำระล้างบาปให้กับมนุษย์ทั้งปวง และทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 และใครก็ตามที่เชื่อในข่าวดีนี้  เขาก็จะได้รับความรอดจากบาป เข้าไปอยู่ในสวรรค์ อยู่กับพระเจ้า มีชีวิตนิรันดร์ตลอดไป เอเมน

ในขณะที่เขารับเชื่อในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ย้ายวิญญาณของเขา ผ่าตัดวิญญาณของเขา จากอยู่ในอาดัม มาอยู่ในพระเยซูคริสต์ ออกจากอาณาจักรของความมืด มาสู่อาณาจักรของความสว่าง ออกจากนรก มาอยู่ในสวรรค์ ออกจากเป็นทาสมารมาเป็นลูกของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว เอเมน  และพระองค์ทรงมาสถิตอยู่กับเขา ในร่างกายของเขา บนโลกใบนี้ ในขณะที่เขารับเชื่อ เรียบร้อยแล้วนั้น นี่คือส่วนหนึ่งในข่าวดี ที่เรามีความหวังหลังม่านนี่แหละ เอเมน

เพราะฉะนั้น ข่าวดี ก็คือหัวใจที่เราจะต้องยึดแน่นไว้ เป็นเหมือนหลักสมอ ที่ฝังแน่นอยู่ในความคิดจิตใจของเรา ต้องรู้จักข่าวดีนี้ตลอดเวลา พูดได้ตลอดเวลา เพื่อเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ พระเจ้าไม่ได้ทำความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ให้เกิดขึ้น  แต่พระเจ้าทรงใช้ความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้

“พระเจ้าทรงใช้”

พระเจ้าใช้ความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้ ให้เป็นเครื่องมือ ในการเสริมสร้าง นำพาลูกๆ ที่เกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ให้เจริญเติบโต เป็นผู้ใหญ่ในฝ่ายวิญญาณ เข้าไปสู่แผนการดีๆ ที่พระองค์ทรงเตรียมไว้ให้แต่ละคน และแผนการนั้น ก็คือให้แต่ละคนที่เชื่อในพระเจ้าแล้ว ที่เป็นคริสเตียนแล้ว พระองค์ต้องการให้ทุกคนทำ เมื่อมาเชื่อพระองค์ ก็คือการสำแดงพระเยซูคริสต์ ที่สถิตอยู่ในเรา  ออกมาให้ผู้คนรอบข้างได้เห็น ให้โลกนี้ได้เห็นพระเยซู ซึ่งอยู่ในเรา ซึ่งเราเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซู เราเป็นร่างกาย เป็นอวัยวะชิ้นหนึ่งของพระเยซู พระเยซูเป็นศีรษะ เพราะฉะนั้น หน้าที่ของเรา คือสำแดงพระคริสต์ในเราออกมา

พระเยซูได้กล่าวไว้ว่า … “ท่านเป็นความสว่าง จงให้ความสว่างฉายแสงออกมาในตัวของท่าน ไม่ต้องทำให้ตัวเองเป็นความสว่าง เพราะท่านเป็นความสว่าง พระเยซูเป็นความสว่าง เราก็เป็นความสว่าง พระเยซูบอกว่าเพราะฉะนั้น เราพวกเดียวกัน ไปที่ไหน ให้ความสว่างที่อยู่ในเรา เป็นตัวจริงๆ ของเรามันปรากฏออกมา มันหมายถึงอย่างนั้น

คำว่า “ให้พระเยซูคริสต์สำแดงออกมา” บางคนบอกจะให้พระเยซูโผล่ออกมา ตัวเรานั่นแหละ เพราะตัวเรากับพระเยซู คือบุคคลเดียวกัน คือหนึ่งเดียวกัน  เป็นแสงสว่างเหมือนกัน และการให้แสงสว่าง ที่อยู่ในตัวจริงๆ ของเรา  ด้านใน ข้างในร่างกายนี้ ได้ฉายออกมา ก็คือการรับใช้อย่างเดียวที่ผู้เชื่อทุกคน กำลังอยู่ในระหว่างที่พระเจ้าฝึกฝนให้ทำสิ่งนี้ ซึ่งมันจะค่อยๆ เกิดขึ้นทีละนิด ทีละหน่อย เป็นกระบวนการทางธรรมชาติ เรียกว่าการเจริญเติบโตทางวิญญาณ ไม่ต้องทำอะไรเลย มันเติบโตเองตามธรรมชาติ พระองค์เป็นผู้ควบคุม ด้วยตัวของพระองค์เอง ควบคุมกฎนี้ว่าท่านเกิดแล้ว ท่านต้องโต ท่านไม่ต้องทำอะไร ท่านก็ต้องโต เพราะพระเจ้าจะพาท่านโต โดยผ่านทางความรู้ ถ้อยคำพระเจ้าต่างๆ ในชีวิต ในแต่ละวันที่ได้เรียนรู้ และเผชิญกับความสุข ไม่ใช่ เผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก ทุกขั้นตอน พระเจ้าเป็นผู้ดูแลอยู่ตลอด ใช้สิ่งนี้ ให้เป็นประโยชน์ในการที่จะสร้างเราให้เจริญเติบโต และใช้ได้ ซึ่งถ้าเมื่อเรารู้อย่างนี้ เราก็จะมีความมั่นคง ไม่หวั่นไหว ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบากใช่ไหม? … อ้อ! เรารู้แล้ว  เราก็จะไม่หวั่นไหว

เป้าหมายของเรา ก็คือสำแดงพระเยซูคริสต์ สำแดงตัวตนภายในของเราออกมา ในทุกพื้นที่ชีวิตของเรา ให้ผู้คนรอบข้างได้เห็น ให้คนในครอบครัวได้เห็น ให้คนในที่ทำงานได้เห็นให้คนที่โบสถ์ได้เห็น ให้คนทั้งโลกได้เห็น ไม่ว่าพระเจ้าจะนำเราไปที่ไหนก็ตาม ให้เขาทั้งหลายได้เห็นตัวตนที่แท้จริงของเราข้างใน ซึ่งเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ เป็นแสงสว่าง เป็นความรัก เอเมนไหม? ยากไหม?

เราคิดว่ายาก  เพราะเรานึกว่าเราต้องเป็นคนทำ แต่ตะกี้นี้ผมบอกแล้ว ขบวนการทั้งหมดนี้ พระเจ้าเป็นผู้ควบคุม และเป็นผู้ทำ ทุกขั้นตอน  มันไม่ยาก เพราะพระเจ้าเป็นผู้ทำ เราไม่ได้เป็นผู้ทำ  เราก็นึกว่าเราต้องพยายาม ไม่ต้อง แค่รับรู้ทางพระเจ้า รับรู้ความจริงนี้ อยู่เฉยๆ และอดทน ให้เป็นไปตามธรรมชาติ

ความทุกข์ยากลำบากต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรา การถูกข่มเหงต่างๆ การเจ็บปวดต่างๆ เป็นกระบวนการทางธรรมชาติของการเจริญเติบโต ให้แข็งแรง เข้มแข็งมากยิ่งขึ้น ก่อให้เกิดความอดทน อุตสาหะ บากบั่น  และในที่สุด จนเป็นผู้ใหญ่ทางฝ่ายวิญญาณ ที่พระเจ้าสามารถใช้งานเราได้

ถามอีกที “พระเจ้าใช้งานอะไรเรา?”

พระเจ้าใช้เราให้ฉายแสงออกมา ให้เราสำแดงพระเยซูคริสต์ออกมา พระคัมภีร์จึงบอกว่า …

“ขณะที่ข้าพระองค์อ่อนแอและประสบความทุกข์ยากลำบาก เพื่อฤทธิ์เดชอำนาจของพระเยซูคริสต์จะได้สำแดงออกมาได้มากยิ่งขึ้น ผ่านทางความทุกข์ยากลำบาก งานของเรา ก็คือผ่านทางความทุกข์ยากลำบาก อดทน งานของพระเจ้า  คือฉายแสง ที่พระองค์ทรงกระทำ เสร็จเรียบร้อยแล้ว ในชีวิตในร่างกายเรา ที่เราได้เกิดใหม่แล้ว เหมือนพระเยซูแล้ว เป็นแสงสว่างแล้ว นั่นแหละ พระคัมภีร์บอกว่าไม่มีใครที่จุดตะเกียง แล้วจะเอาไปครอบไว้ พระเจ้าจุดตะเกียงในตัวท่านแล้ว  เป็นแสงสว่างแล้ว  ยังไงๆ พระเจ้าให้มันสว่างส่องแน่นอน เอเมนไหม? พระองค์จะไม่เอาอะไรไปครอบมัน จุดไปแล้ว มันสว่างแล้ว

ความหวังหลังม่าน หรือความหวังในสวรรค์ จะชัดเจน มากยิ่งขึ้น ในทุกประสบการณ์ ที่ผ่านความทุกข์ยากลำบาก  นี่คือความจริง จดไว้ได้เลย จดไว้ในใจ ก็ได้ จดไว้ในกระดาษก็ได้ว่าความหวังหลังม่าน  ที่เราคุยกัน ที่เราได้รับเรียบร้อยแล้ว  ที่เราได้บังเกิดใหม่แล้ว  จากการเชื่อในข่าวดีของพระเยซู มันจะชัดเจนมากยิ่งขึ้น ความหวังนี้จะเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น  ในทุกประสบการณ์ ที่เราผ่านความทุกข์ยากลำบาก

เปาโลจึงบอกไว้หลายครั้งในจดหมายฝากของเขาว่า …

“จงมีความชื่นชมยินดีในความทุกข์ยากลำบาก”

ตอนเรามาเชื่อใหม่ๆ เราไม่เข้าใจ  ทุกข์ยากลำบากจะให้เราชื่นชมยินดีได้อย่างไง แต่พอเรารู้ ขอบคุณพระเจ้า เปาโลพูดถูกแล้ว จงมีความชื่นชมยินดีในความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้ อย่างที่บอก เหมือนกับว่าจงให้แสงสว่าง ฉายแสงความชื่นชมยินดีนี้ ไม่ได้เกิดจากการตั้งใจ พยายามทำด้วยตัวเราเอง  แต่มันเกิดจากเราเจริญเติบโตมากเท่าไร? เราก็จะมีความยินดีมากขึ้นเท่านั้น ไม่ใช่ตัวเราเองอีกแล้ว

เหมือนตัวอย่างวงจรชีวิตผีเสื้อ ที่ได้เล่าให้ฟังเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว กว่าจะเป็นผีเสื้อที่สวยๆ ที่เราได้เห็นในปัจจุบัน  มันต้องผ่านกระบวนการสร้าง ขบวนการอดทน ต่อความทุกข์ยากลำบาก ตามธรรมชาตินะ ผีเสื้อมันไม่ได้ทำอะไรเลย พูดง่ายๆ ว่าพระเจ้าเป็นผู้วางกฎเกณฑ์ไว้อย่างนั้น มันต้องเกิดอย่างนี้แหละ เพื่อจะได้เกิดเป็นผีเสื้อ เริ่มจากไข่ ฟักตัวออกมาเป็นหนอน เรียกว่าหนอนแก้ว หรือตัวแก้ว จากตัวแก้ว เป็นการเริ่มกระบวนการสร้างความอดทนแข็งแกร่ง ตัวแก้วก็จะหยุดกินอาหาร  หยุดนิ่ง ไม่เคลื่อนไหว หลังจากสะสมอาหารกินเต็มที่เลย พุงกางเลย ใครเจอตรงต้นไม้จะเห็นเลย ตัวเขียวมาก อ้วนปรึ๊กเลย  เรียกว่าหนอนแก้ว กินเต็มที่เลย เพราะตามธรรมชาติรู้แล้วว่าเดี๋ยวก็จะเจอความทุกข์ยากลำบาก และพอเจอความทุกข์ยากลำบาก ก็คือหยุดกิน เริ่มไม่กินแล้ว  แล้วก็เริ่มชักใยตัวเอง จนกระทั่งตัวมันเองกลายสภาพ เรียกว่าดักแด้ … ดักแด้ คือตัวหนอนที่อยู่ข้างใน ของห่อข้างนอก เรียกว่าตัวใย ที่ห่อตัวหนอน แล้วเมื่อตัวหนอนภายในดักแด้ เริ่มเปลี่ยนรูปร่าง จนโตเต็มที่ มีอวัยวะเหมือนผีเสื้อแล้ว ข้างในนะ จากหนอน มันกลายเป็นผีเสื้อ มันจะใช้ขาดันเปลือกดักแด้ ให้ปริกออกมา ตัวใยที่ถักล้อมตัวไว้  เป็นดักแด้ ที่มัดเหมือนไม่มีอิสรภาพแล้ว ถูกมัดเอาไว้ด้วยดักแด้ หนอนดักแด้ ตัวที่อยู่ภายใน เมื่อมันโตเป็นผีเสื้อ มันจะเริ่มขยับตัวออกมาจากเปลือก ค่อยๆ

ซึ่งถ้าใครเฝ้าดู ขบวนการผีเสื้อ พยายามจะเอาตัวออกจากดักแด้นี้ จะเห็นว่าผีเสื้อตัวอ่อนนี้ มันต้องใช้ความพยายาม และความอดทนอย่างมาก มันจะต้องใช้พลังงานทั้งหมด ที่สะสมมา ดันตัวเองออกมา เพื่อสู้ ออกกำลังเต็มที่  เพื่อ กัด แทะ ถีบ อะไรต่างๆ เพื่อจะออกมาจากตัวดักแด้ให้ได้  เพราะมันเริ่มเป็นผีเสื้อแล้ว

และถ้าใครมองดูอยู่ และอดใจไม่ไหว เป็นพวกโลกสวย ดราม่านิดๆ อยากช่วยตัวหนอน อยากช่วยผีเสื้อ สงสารมัน มันทรมาน มันอยากจะออกมาใช่ไหม? ช่วยมันนิดหนึ่ง ก็เอามีดไปกรีด พอกรีด มันก็ออกมาได้ ปรากฏว่าช่วยมัน หลุดออกมา นึกว่าเป็นผลดี แต่มันเป็นผลเสีย เพราะว่ามันออกมาเร็วเกินกว่ากำหนด ปีกยังไม่กล้าแข็งพอ มันสู้กับโลกภายนอกไม่ได้ ในที่สุด มันก็ตาย ถ้าไม่ตาย ก็เป็นผีเสื้อแบบพิการ  ไม่ได้โชว์อะไรเลย เห็นไหม? มันมีขบวนการของมัน ให้เจริญเติบโตแบบธรรมชาติ

วิธีการเดียวกันนี่แหละ ที่เกิดกับผู้เชื่อหรือคริสเตียนทุกคน เหมือนกัน ลักษณะเดียวกันเลย ท่านลองคิดดู เราดูคริสเตียนยุคเริ่มต้น คริสเตียนสมัยกรุงเยรูซาเล็ม ตอนที่พระเยซูเป็นขึ้นจากความตายใหม่ๆ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว เกิดอะไรขึ้น เกิดคริสเตียนรุ่นแรกขึ้น แล้วถามว่ารุ่นแรกเกิดอะไร? ทำไมเขาถึงมีความเชื่อสูงขนาดนั้น ผ่านความทุกข์ยากลำบาก

เพราะความทุกข์ยากลำบากเกิดขึ้น  ตอนแรกๆ มาเชื่อ เหมือนกับสะสมอาหารเต็มที่ อันนั้นก็ดี อันนี้ก็ดี อัศจรรย์เกิดขึ้นเยอะแยะเลย มันน่าจะมีอัศจรรย์ต่อไปเรื่อยๆ คนจะได้มาเชื่อพระเจ้าเยอะๆ  คนที่เชื่อพระเจ้าจะได้มีความเข้มแข็ง มีกำลังความเชื่อเพิ่มพูน เยอะๆ เจริญเติบโตทางฝ่ายวิญญาณเยอะๆ ก็คิดอย่างนี้ แต่เปล่า อัศจรรย์เหล่านั้น เริ่มต้นนิดเดียว  เสร็จแล้ว ก็หยุดไป  ที่กลับมาใหม่นั้น เป็นการถูกข่มเหง รังแกอย่างหนัก แรกๆ มีอัศจรรย์เกิดขึ้น มีผู้เชื่อมากมาย เป็นพระพรต่างๆ ดีนะ ทุกคนมารวมเป็นหนึ่งเดียวกัน  อยู่แบบสงบสุขในกรุงเยรูซาเล็ม ไม่ไปไหนเลย  พอถูกข่มเหงรังแกถึงขนาดสตีเฟนถูกเอาหินขว้างตาย ถูกข่มเหงรังแกอย่างหนัก ทุกคนเริ่มกลัว คนก็บอกว่า …

“กลัวก็ไม่ดีสิ เป็นคริสเตียน แล้วกลัวได้อย่างไร?”

เพราะเขากลัว กลัวแล้วทำอะไร? กลัว แล้วก็แตกฮือ ไม่อยู่แล้วกรุงเยรูซาเล็ม หนีตาย

“เป็นผู้เชื่อจะหนีตายได้อย่างไร?”

ก็มันหนีตายจริงๆ หนี เพราะเขาถูกข่มเหงรังแก ใครเป็นคนนำนะทั้งหมดนี้? พระเจ้าไม่ได้ทำให้การข่มเหงรังแกเกิดขึ้น มันเป็นไปตามธรรมชาติ แต่พระเจ้าใช้การข่มเหงรังแกนี้ ให้เป็นประโยชน์ ก็เลยให้คนเหล่านี้ที่กลัว ต่างคนต่างกระจัดกระจาย หนีไปรอบด้านของกรุงเยรูซาเล็ม ไปเมืองต่างๆ ไปเมืองโน้นเมืองนี้  จนไปถึงกรุงโรม ข่าวประเสริฐตามคนเหล่านี้ไป  ก็อย่างที่ตะกี้ที่ผมบอกว่าพระเจ้าใช้เขาให้เป็นแสงสว่าง ไปที่ไหนมันก็เอาความสว่างไปที่นั่น เห็นหรือยังว่าพระเจ้าใช้อะไร? ใช้ความทุกข์ยากลำบากใช่ไหม? แล้วเราคริสเตียนต้องทำอะไรไหม? ไม่ต้องทำอะไร ทำอย่างเดียว คือให้พระเจ้าใช้ อดทนต่อความทุกข์ยากลำบาก

ถ้าเรามาเทียบกันตลอดระยะเวลา 2,000 ปีถึงทุกวันนี้ ก็เป็นอย่างนี้ตลอด นี่พูดถึงเรื่องเดียวนะ เรื่องข่าวประเสริฐของพระเจ้า พระเยซูบอกให้ไปประกาศ ข่าวประเสริฐไปถึงสุดปลายแผ่นดินโลก  แล้วสาวกรุ่นแรก รุ่นเยรูซาเล็มอยากไปไหม? ไม่ มีความสุขอยู่ในเยรูซาเล็มพอแล้ว แต่เพราะความทุกข์ยากลำบากเข้ามา เลยกลัว กระจัดกระจาย ที่พระเจ้าสามารถใช้ได้ พระเยซูบอกไว้ล่วงหน้าแล้ว

มายุคปัจจุบัน ยุคใกล้ๆ เห็นชัดเลย อย่างหลายคนที่นี่ ก็มีประวัติเป็นคริสเตียนมาตั้งแต่ปู่ย่า … ปู่ย่าเกิดความทุกข์ยากลำบาก ที่เมืองจีน จึงต้องหนีมาพึ่งเย็นที่เมืองไทย ก็เลยนำเอาข่าวประเสริฐมาด้วย เห็นหรือยัง? ข่าวประเสริฐก็เลยไปถึงลูกหลานเหลนโหลนของตระกูลนี้ เป็นคริสเตียนไล่ตามเต็มไปหมด พอมองเห็นอะไรหรือยังว่าพระเจ้าใช้อะไร? แล้วใครเป็นคนทำให้มันเกิดขึ้น พระเจ้าไม่ได้ทำให้ความทุกข์ยากลำบากเกิดขึ้น  ไม่ใช่พระเจ้าทำให้เกิดสงครามกลางเมืองในประเทศจีน เลยนำให้ผู้คนออกจากประเทศจีน สงคราม การฆ่ากัน การทำลายกัน เป็นการงานของมารทั้งสิ้น แต่พระเจ้าใช้ให้มันเป็นประโยชน์ มันเป็นความทุกข์ยากลำบาก เกิดความกลัว เกิดความอดอยาก  เกิดการข่มเหง  เพราะฉะนั้นหนีมา ก็นำเอาเมล็ดพันธุ์ในข่าวประเสริฐมาด้วย นี่จะเห็นชัด ลักษณะเดียวกัน พระเยซูก็ต้องผ่านความทุกข์ยากลำบาก  อธิษฐานจนเหงื่อเป็นเลือด เปาโลก็เห็นชัดเจน ผ่านความทุกข์ยากลำบาก ถูกเฆี่ยนตี ถูกทุบตี ถูกเอาหินขว้าง เพราะเอาหินขว้างจึงเข้าไปอยู่ในคุก เลยทำให้ครอบครัวทหารคนคุมคุก  มาเชื่อพระเจ้าเลยเป็นแหล่งกำเนิดคริสตจักรในเอเฟซัส ในฟิลิปปี ต่อๆ ไปเยอะแยะ ลักษณะเดียวกัน พูดแบบคร่าวๆ

เห็นหรือยัง เพราะเกิดความทุกข์ยากลำบาก เปาโลจึงได้มีโอกาสไปประกาศที่กรุงโรม อะไรอย่างนี้  นี่ลักษณะเดียวกันหมดเลย คือผ่านความทุกข์ยากลำบาก  เราจึงสามารถฉายแสงได้  ไม่ว่าจะยุคไหนของผู้เชื่อ เหมือนกันทั้งสิ้น วิธีการของพระองค์ก็อย่างนี้แหละ  ผ่านความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้  พระเจ้าให้ทนต่อความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้น แล้วก็ฉายแสงออกไป เวลาพระเจ้าใช้ พระองค์ทำสิ่งหนึ่งเหมือนกันหมดเลย คือให้พระวิญญาณนำพาคนๆ นั้น ให้มองทะลุความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้น ไปที่ข้างหน้า อนาคต ไม่ให้มองหรือจมอยู่กับความทุกข์ยากลำบาก ในปัจจุบัน แต่ให้มองทะลุผ่านไปเลย ไปสู่อนาคต เหมือนพระเยซูทุกข์ทรมาน พระองค์ให้มองทะลุไปเลยเห็นผู้คนทั้งหลายบนโลกใบนี้ จะได้รับความรอด พ้นจากบาป  และเมื่อพระองค์ทรงทนทุกข์ ทรมานถึงสุดท้าย พระเจ้าจะยกพระองค์ขึ้น  มานั่งที่เบื้องขวาของพระองค์ในสวรรค์สถาน เห็นไหม? เปาโล เปโตร เหมือนกันหมด ผู้เชื่อก็ต้องเป็นอย่างนี้แหละ  เราทั้งหลายก็เหมือนกัน ให้มองทะลุความทุกข์ยากลำบาก มองไปที่หลังม่าน คือเราเป็นลูกพระเจ้า เราอยู่ในสวรรค์สถานแล้ว วันหนึ่งข้างหน้า เราจะได้รับร่างกายใหม่จากพระเจ้า คือร่างกายที่เหมือนพระเยซูคริสต์

มองไปที่ข้างหน้า ลักษณะเดียวกัน แล้วความหวังเหล่านี้ ที่พระวิญญาณนำเรามองข้ามไปที่ช๊อตข้างหน้าเลย ความหวังเหล่านี้เป็นถ้อยคำ ที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ และให้คำมั่นสัญญาและสาบาน โดยพระเจ้าเองว่าพระองค์สัญญาว่าเป็นอย่างนี้ ทำแล้วเป็นอย่างนี้ พระองค์สาบานด้วยพระนามของพระองค์ที่เราได้เรียนรู้กันแล้ว

การมองไปที่ช๊อตข้างหน้า การมองไปที่ผลข้างหน้า ที่เราหวังเอาไว้ ที่มันแน่นอนชัดเจน เปาโลยกตัวอย่างเหมือนนักวิ่ง สมัยนั้นเขามีการวิ่งในยุคกรีก กำลังเฟื่องฟู สมัย 2,000 ปีก่อน  กรีกกำลังเริ่มต้นเป็นผู้ให้กำเนิดการแข่งขันโอลิมปิค จนมาถึงปัจจุบัน วิ่งเพื่อได้รับชัยชนะ แล้วจะได้มงกุฎใบไม้ ทุกคนก็วิ่งกันแบบสุดความสามารถ เปาโลบอกว่าให้เราเป็นผู้เชื่อที่เหมือนนักวิ่ง ต่างคนต่างก็เหน็ดเหนื่อยในการวิ่ง และทุกคนก็บากบั่นไปสู่เส้นชัย คือมงกุฎรางวัลที่จะได้รับ ซึ่งเป็นใบไม้ แต่ความหวังของเรา คือความรอดนิรันดร์ ร่างกายใหม่ ในหนังสือฟิลิปปี 3:12-16 มันเป็นอะไรบางอย่างที่ทำให้เราเห็นว่าเราควรจะเป็นอย่างนั้น  เราก็ควรจะเป็นนักวิ่งๆ เหมือนกันนะ แต่วิ่งอย่างไร เรามาดูว่าเปาโลยกตัวอย่างเปรียบเทียบไว้ว่าอย่างไร?

ฟีลิปปี 3:12-16 “12 ไม่ใช่ว่าข้าพเจ้าได้ทั้งหมดนี้แล้ว  หรือได้รับการปรับปรุง  ให้เป็นคนดีพร้อมแล้ว  แต่ข้าพเจ้ารุดหน้าไป  เพื่อฉวยเอาสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทรงตั้งไว้  สำหรับข้าพเจ้า  เมื่อทรงฉวยข้าพเจ้ามาเป็นของพระองค์ 13 พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่ถือว่าตนเองฉวยสิ่งนี้มาได้แล้ว  แต่ข้าพเจ้าทำอย่างหนึ่ง  คือลืมสิ่งที่ผ่านมา  และโน้มตัวไปหาสิ่งที่อยู่ข้างหน้า 14 ข้าพเจ้ารุดหน้าไปสู่หลักชัย  เพื่อคว้ารางวัล  ซึ่งพระเจ้าได้ทรงเรียกข้าพเจ้าจากสวรรค์  ผ่านทางพระเยซูคริสต์  ให้ไปรับ 15 พวกเราทุกคนที่เป็นผู้ใหญ่แล้ว  ควรมีทัศนะเช่นนี้  และถ้าท่านคิดเห็นแตกต่างไป  ในบางประเด็น พระเจ้าจะทรงให้ท่านเข้าใจเรื่องนั้น  อย่างแจ่มแจ้งด้วย 16 ขอแต่เพียงให้เราดำเนินชีวิต  ให้สมกับสิ่งที่เราได้รับมาแล้ว”

 

เปาโลบอกว่า … “ข้าพเจ้ายังไม่ได้สิ่งทั้งหมดเหล่านี้” หมายถึงยังไม่ดีพร้อม  ไม่ได้ถูกปรับปรุง นิสัยเป๊ะเลย  นิสัย คือความประพฤติ ไม่ได้เกี่ยวกับความรอด  ความรอด เราได้โดยพระคุณความเชื่อในพระเยซูคริสต์ ไม่ได้ได้มาเพราะความประพฤติ เปาโลบอกความประพฤติของเขาไม่ได้ดีพร้อมเลย  แต่เขาไม่สนใจสิ่งเหล่านั้น เขารุดหน้าต่อไป ความดีพร้อมในวิญญาณของเขา เพราะว่าพระเยซูได้ฉวยเขาไว้แล้ว พระเยซูได้ช่วยเขาให้รอดแล้ว เขาได้บังเกิดใหม่แล้ว เขาเป็นของพระเยซูไปแล้ว พูดง่ายๆ

เพราะฉะนั้น เขาจึงไม่สนใจปัจจุบันเลย บากบั่นอย่างเดียว แล้วโน้มตัวไปที่ข้างหน้า ก็คือมองไปที่ข้างหน้า  ที่ไหน?  … “ข้าพเจ้ารุดหน้า โน้นตัวไป” นึกถึงนักวิ่งนะ ยิ่งใกล้ถึงเส้นชัยเท่าไร? ยิ่งเหมือนกับขาอยู่ข้างหลัง ดูในข่าว เห็นชัดเลย โน้มไปข้างหน้า ไม่สนใจใคร ไม่สนใจด้านข้าง ด้านหลัง ใครจะวิ่งมาไม่วิ่ง ใครจะแข่งกับเราขนาดไหน? หรือว่าใครจะเชียร์อย่างไร ไม่รู้ ไม่สนใจ สนใจมองข้างหน้าอย่างเดียว เส้นชัยอย่างเดียว แล้ววิ่งสุดชีวิต นี่เป็นลักษณะอย่างนั้น

“ข้าพเจ้ารุดหน้าไปสู่หลักชัย เพื่อคว้ารางวัล ซึ่งพระเจ้าได้ทรงเรียกข้าพเจ้าจากสวรรค์ ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ให้ไปรับ คือข้าพเจ้าได้รับไปแล้ว และจะไปรับอีกทีหนึ่ง สุดท้าย ตอนที่จากโลกนี้ไป เดี๋ยวในนี้บอกไว้

“พวกเราทุกคนที่เป็นผู้ใหญ่แล้ว ควรมีทัศนะเช่นนี้ และถ้าท่านคิดเห็นแตกต่างไป พระเจ้าจะทรงให้ท่านเข้าใจเรื่องนั้นอย่างแจ่มแจ้งด้วย  ขอเพียงแต่ให้เราดำเนินชีวิต ให้สมกับสิ่งที่เราได้รับมาแล้ว”

อะไรที่เราได้รับมาแล้ว การบังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้า  การนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน  ในนี้บอกเราได้รับมาแล้ว  แล้วเราจะวิ่งไปทำไมอีก เดี๋ยวในนี้มีบอกไว้  อธิบายต่อ  เพราะฉะนั้น เราควรจะมีชีวิตอย่างนี้ โน้มไปข้างหน้า วิ่งอย่างเดียว  ไม่ใช่เอาความทุกข์ยากลำบากมาตั้งไว้ที่ข้างหน้า แต่มองทะลุไปเห็นมงกุฎ  … มงกุฎนั้นคืออะไร? ฟิลิปปี 3:17-21

ฟีลิปปี 3:17-21 “17 พี่น้องทั้งหลาย  จงร่วมกันทำตามแบบอย่างของข้าพเจ้า  และเลียนแบบ ผู้ที่ดำเนินชีวิต  ตามแบบอย่างที่เราได้ให้ท่านไว้ 18 เพราะว่าดังที่ข้าพเจ้าเคยพร่ำเตือนท่าน  และบัดนี้  ก็เตือนอีกด้วยน้ำตาว่ามีหลายคนที่ใช้ชีวิตอย่างเป็นศัตรู  ต่อไม้กางเขนของพระคริสต์ 19 ปลายทางของพวกเขา คือความพินาศพระของเขา  คือกระเพาะ  เขาภูมิใจในสิ่งที่ควรอับอาย  ปักใจอยู่แต่กับสิ่งฝ่ายโลก 20 แต่เราเป็นพลเมืองสวรรค์  และเราเฝ้ารอคอยพระผู้ช่วยให้รอดจากสวรรค์ คือองค์พระเยซูคริสต์เจ้า 21 พระองค์จะทรงเปลี่ยนกายอันต่ำต้อยของเรา  ให้เหมือนพระกายอันทรงพระเกียรติสิริของพระองค์  โดยฤทธานุภาพที่สยบทุกสิ่งไว้ใต้อำนาจของพระองค์”

 

ให้ดำเนินชีวิตตามแบบอย่างของเปาโล ก็คือเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ และก็ได้เตือนหลายคนแล้วที่ไม่เชื่อในข่าวดีนี้ นี่หมายถึงอย่างนั้นว่าคนที่ไม่เชื่อในข่าวดีนี้ อยู่ในความพินาศ ซึ่งอยู่ในการตัดสินลงโทษอยู่แล้ว เพราะไม่ต้อนรับผู้ที่จะมาช่วย  ก็คือพระเยซู พระเยซูมาช่วย แล้วเราไม่เอา ก็คือตกนรกอยู่ดี มันหมายถึงอย่างนั้น แล้วในนี้เลยบอกว่า …

“แต่เราเป็นพลเมืองสวรรค์” … “แต่เรา” หมายถึงผู้เชื่อแล้ว  แต่เราพวกที่เชื่อแล้ว ได้เกิดใหม่แล้ว เป็นพลเมืองของสวรรค์แล้ว เป็นแล้วนะ แล้วทำอะไรต่อ?  และเราเฝ้ารอคอยผู้ช่วยให้รอดจากสวรรค์ อ้าว! เป็นแล้วทำไมรอคอย อ่านต่อไป “คือองค์พระเยซูคริสต์เจ้า พระองค์จะทรงเปลี่ยนกายอันต่ำต้อยของเรานี้” เห็นหรือยัง?  เราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว บังเกิดใหม่แล้ว วิญญาณข้างในของเรา แต่ร่างกาย ภายนอกนี้ จำเป็นต้องตาย และวันหนึ่งจะได้รับร่างกายใหม่ พระเยซูจะเปลี่ยนแปลงกายอันต่ำต้อยของเรา  ให้เหมือนพระกายอันทรงพระเกียรติสิริของพระองค์ ด้วยฤทธานุภาพที่สยบทุกสิ่งไว้ใต้อำนาจของพระองค์ ด้วยฤทธิ์อำนาจอันยิ่งใหญ่  คือพระสิริของพระเจ้า

เขามองทะลุความทุกข์ยากลำบาก มองไปที่รางวัลข้างหน้า ก็คือร่างกายใหม่ เต็มไปด้วยพระสิริ ที่เหมือนพระเยซูคริสต์ ตอนนี้ได้มัดจำไปแล้ว 99.99%  ได้เกิดใหม่ข้างในแล้ว มีพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ข้างในของเรา เป็นพยานยืนยันว่ามันเป็นจริง เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ตามถ้อยคำของพระเจ้าเหล่านี้ ตามข่าวดีของพระเจ้าเหล่านี้ แล้วเราก็พุ่งตรงไปข้างหน้าว่าทำงานให้พระเจ้าไม่นาน ให้พระเจ้าใช้ในการฉายแสง พระเยซูคริสต์ฉายแสงสว่างออกมาจากชีวิตของเรา แล้วแต่พระองค์จะนำไปที่ไหน ก็ตาม เราจะอดทนเอา เราจะไม่สนใจในโลกใบนี้แล้ว จะวิ่งอย่างเดียวเลย ไปที่เป้าหมายของเรา คือร่างกายใหม่ ร่างกายที่เหมือนพระเยซูคริสต์

เพราะฉะนั้น หลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ ความทุกข์ยากลำบากต่างๆ เราอาจจะไม่เข้าใจ ไม่มีคำตอบว่าเพราะอะไร? มันถึงเกิดขึ้น เราก็ไม่สนใจ สิ่งเดียวที่เรารู้และมั่นใจ และเป็นความหวังที่จับต้องมองเห็นได้ของเรา ก็คือพระเจ้าสถิตอยู่กับเราแล้วตอนนี้ ตลอดเวลา  ไม่เคยทอดทิ้ง ไม่เคยละเราเลย และพระองค์ทรงห่วงใย รักเราดั่งแก้วตาดวงใจของพระองค์ ถ้อยคำพูดไว้อย่างนั้น แล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่กับเรา ก็ยืนยันอย่างนั้น และเรารู้อยู่ว่าเราได้อยู่ในสวรรค์ เรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่ตอนเริ่มเชื่อแล้ว เราได้เข้าไปอยู่ในสวรรค์ มีชีวิตนิรันดร์ อยู่ในครอบครัวของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว 99.99% แล้ว รออีกนิดเดียวเอง ก็จะครบถ้วนบริบูรณ์ เมื่อเรารับร่างกายใหม่ ที่เหมือนพระเยซูคริสต์ มาแทนร่างกายอันต่ำต้อยนี้  ในวันหนึ่งที่ทิ้งร่างนี้ หมดการงานบนโลกใบนี้แล้ว

เวลาอีกนิดหนึ่งที่เตรียมไว้ เพื่อแผนการของพระเจ้าจะได้สำเร็จ และแผนการของพระเจ้าที่เตรียมไว้สำหรับเราผู้เชื่อทุกคน  ก็คือสำแดงพระเยซูคริสต์ ฉายแสงออกมา ก็คือนำเอาข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ไปปรากฏกับมนุษย์ทั้งหลาย ทั่วโลกใบนี้  แล้วพระองค์จะนำไปที่ไหนก็ตาม  โดยพระองค์ทรงใช้ความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้นแหละ และเมื่อเสร็จการงานของเรา เราก็จะได้พัก สวมร่างกายใหม่ คือร่างกายสวรรค์ที่เหมือนพระเยซูนิรันดร์ อยู่ในโลกใหม่ สรรพสิ่งใหม่ ทุกสิ่งถูกสร้างใหม่ ไม่มีมารมาหลอกลวงอีกต่อไป  ไม่มีบาปอีกต่อไป เราจะอยู่ที่นั่นในครอบครัวพระเจ้านิรันดร์ ในพระคัมภีร์โรม 8:28 บอกว่าพระองค์ทรงใช้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเรา ในชีวิตของเราบนโลกใบนี้ ไม่ว่าอะไรก็ตาม ทำงานร่วมกัน ให้เกิดเป็นผลดีสำหรับเราผู้ที่รักพระองค์

“ผลดีสำหรับเรา” ก็คือเราจะยินดีมากเลย เมื่อวันหนึ่งที่เราจะได้รู้ว่าเราได้ฉายแสง และทำการของพระเจ้าให้ดีที่สุดแล้ว มีผู้คนได้รับพรตรงนี้เยอะแยะมากมาย ผ่านทางชีวิตของเรา รู้หรือไม่รู้ตอนนี้ ก็ไม่รู้ แต่วันหนึ่งข้างหน้าเมื่อเราเสร็จการงาน เราจะรู้ เราจะยินดี และพระเจ้าผู้ทรงเริ่มต้นการงานดีในชีวิตของเรา  คือให้เราได้บังเกิดใหม่ด้วยความเชื่อในพระเยซูแล้ว เข้ามาสถิตอยู่กับเรา  ภายในเราแล้ว พระองค์จะทรงกระทำต่อไป จนกระทั่งสำเร็จ เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์อย่างแน่นอนจนกว่าจะถึงวันของพระเยซู ถ้อยคำพระเจ้าในฟิลิปปี 1:6 บันทึกเอาไว้อย่างนั้น  ผู้ที่ให้คำสัญญาเหล่านี้ ทั้งหมดนี้ ยังได้ยืนยันด้วยการสาบาน ด้วยพระนามของพระองค์ คือผู้มีพระนามว่าไม่มีนาม ผู้มีพระนามว่าพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย  ผู้ทรงฤทธานุภาพอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด  ผู้ทรงครอบครองและควบคุมอยู่เหนือสิ่งสารพัดและทุกสถานการณ์ ผู้ทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้แต่เพียงพระองค์เดียว  นอกจากพระองค์ไม่มีพระเจ้าอื่นใด ผู้ทรงประกอบกิจการงานใดๆ ก็ได้ ไม่มีใครขวางพระองค์ได้เลย แม้แต่นิดเดียว

ยืนยันถึงขนาดนี้ว่าผู้นี้เป็นผู้ให้คำสัญญา เป็นผู้บอกอย่างนี้ แล้วจะเชื่อไหม? ตอบว่า “เชื่อครับ เชื่อแล้วครับ” เพราะได้เชื่อไปแล้วด้วย

เพราะฉะนั้น เราต้องรับรู้ความจริงตรงนี้ให้ได้ว่าพระเจ้าอยู่ฝ่ายเรา และเราก็อยู่ฝ่ายพระเจ้า  เรากับพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นทีมเดียวกัน เป็นพวกเดียวกัน ต้องรับรู้ตรงนี้ให้ได้ ยืนยันตรงนี้ให้ได้ และเช่นเดียวกัน เราต้องรับรู้ความจริงด้วยว่านี่เป็นเหตุให้โลกนี้ เป็นศัตรูกับเรา โลกนี้ต่อต้านเรา  เกลียดเรา เหมือนที่พระเยซูบอก เพราะเราอยู่ฝ่ายพระเจ้า คำว่า “อยู่ฝ่ายพระเจ้า” แสดงว่ามีอีกฝ่ายหนึ่ง

ระบบของโลกนี้ ที่มีมารครอบครองอยู่ชั่วคราว มารยังกระทำการงานบนโลกใบนี้อยู่ชั่วคราว รอกระบวนการพิจารณาคดี ความยุติธรรม ที่ได้ถูกตัดสินไปแล้ว  คือมารลงนรกแล้ว รอกระบวนการให้ทำสำเร็จเท่านั้นเอง อีกแป๊บเดียว  แต่ในขณะที่รอแป๊บเดียว  โลกใบนี้  มีมารครอบครองอยู่ เมื่อมารครอบครอง มารเป็นศัตรูกับพระเจ้า  เพราะฉะนั้น สมการมันจึงออกมาอย่างนี้ว่ามารอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับพระเจ้า  ระบบของโลกนี้ ซึ่งถูกครอบครอง ครอบงำโดยมาร เป็นศัตรูกับพระเจ้า ต่อต้านพระเจ้า เราอยู่ฝ่ายพระเจ้า  เพราะฉะนั้น ระบบของโลกนี้  เป็นศัตรูกับเรา ต่อต้านเรา และเกลียดเรา ซตพ. นี่คือความจริง เราต้องรู้และต้องยอมรับ เราไม่ใช่ของโลกนี้อีกต่อไปแล้ว

“โลกนี้ไม่ใช่บ้านเรา    ฉันเพียงอาศัยชั่วคราว”

ไม่ใช่ของเรา อย่าไปหวังอะไรบนโลกใบนี้ เราจะไปหวังพึ่งศัตรู มีแต่ขโมย ฆ่า และทำลาย ทุกข์หนัก

เพราะฉะนั้น ความทุกข์ยากลำบากเกิดขึ้น คือศัตรูทำ แต่พระเจ้าอยู่ฝ่ายเรา แก้ไข เอาความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้  ทำให้เกิดผลดีเสียเลย  นี่คือปัญญา ความยอดเยี่ยม ความเก่งกาจ ความมหัศจรรย์ของพระเจ้านั่นแหละ

ขอบคุณพระเจ้า แม้โลกจะต่อต้านเรา เกลียดเรา แต่เรามีพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด อยู่กับเรา  อยู่ข้างในเรา พระองค์ไม่เคยทอดทิ้งเราเลย  ไม่เคยละเราเลย รักเรามากมาย ดั่งแก้วตาดวงใจ อยู่ฝ่ายเราจริงๆ สดุดี 139:15-16 อยากให้ท่านอ่านตรงนี้ ท่านจะได้เห็นชัดเจนว่าพระเจ้าทรงรักเรา และอยู่กับเราอย่างไร? ดูแลชีวิตเราอย่างไร?

สดุดี 139:15-16 “15 โครงร่างของข้าพระองค์ ไม่ได้ซ่อนเร้นจากพระองค์  เมื่อข้าพระองค์ถูกสร้างขึ้นในที่ลี้ลับ  เมื่อข้าพระองค์ถูกถักทอขึ้นในห้วงลึกแห่งแผ่นดินโลก 16 พระเนตรของพระองค์ ทรงเห็นข้าพระองค์  ตั้งแต่ข้าพระองค์ยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง  ทุกวันคืนที่กำหนดไว้  สำหรับข้าพระองค์ ทรงบันทึกไว้ในสมุดของพระองค์  ก่อนที่วันเหล่านั้นจะมาถึง”

 

ก่อนอธิษฐาน พระองค์ก็ทรงทราบแล้วว่าเราอธิษฐานขออะไร? ก่อนเราจะคิด พระองค์ทรงรู้แล้วว่าเราจะคิดอะไร? … “ทุกวันคืนที่กำหนดไว้ สำหรับข้าพระองค์ สำหรับเราทั้งหลาย ทรงบันทึกไว้ในสมุดของพระองค์ไว้เรียบร้อยแล้ว ก่อนที่วันเหล่านั้นจะมาถึง” ก่อนที่อะไรจะเกิดขึ้น พระองค์ทรงทราบแล้ว รู้แล้วว่าเป็นอย่างไร? ชื่อของเรา พระองค์ก็ทรงสลักไว้ที่ฝ่ามือของพระองค์

ถ้อยคำของพระองค์บอกอีกในหนังสือโรม บทที่ 8 บอกว่าไม่มีฤทธิ์อำนาจอะไร? ไม่มีใครที่ไหนจะมาเอาเราออกไปจากความรักของพระองค์ได้ ไม่มีทาง พอใจไหม? พระเยซูบอกว่าผมทุกเส้นของเรา พระบิดาก็ทรงนับไว้แล้ว มันร่วงไปกี่เส้น?

เพราะฉะนั้น อยู่บนโลกใบนี้เราต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก จากโลกวิปริต จากความบาป  ที่มันปกคลุมเข้ามาจากมนุษย์ล้มลงในความบาป สมัยอาดัม และผลของความบาป เกิดความตาย  และเข้าไปสู่มนุษย์ทั้งหลาย มนุษย์ทั้งหลายเลยวิปริตไปด้วย  เพี้ยนไปด้วย  ทำสิ่งต่างๆ ที่ชั่วร้าย จะชั่วร้ายจากวิปริต หรือระบบโลกวิปริต หรือระบบคนวิปริต หรือจะเกิดสิ่งเลวร้าย เกิดขึ้นจากเราเอง ซึ่งถูกหลอก โดยมาร และระบบของโลกนี้ ไปหว่าน ไปกระทำในสิ่งที่ผิดกฎ ตามธรรมชาติที่พระเจ้าวางไว้  เราก็ได้รับเคราะห์ สิ่งที่ไม่ดี เข้ามาในชีวิตของเรา ต้องเผชิญกับการถูกข่มเหง โดยไม่ได้ทำ ก็มี เขาเรียกว่าข่มแห่งโดยธรรมชาติของระบบของโลกนี้ ที่เป็นศัตรูกับพระเจ้า

ดังนั้น ถ้าเราถูกข่มเหงจากการเป็นผู้เชื่อก็ได้ สิ่งเหล่านี้ มันแป๊บเดียวเอง จริงๆ มันไม่เยอะ และไม่ว่าจะต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก  ที่มาจากสาเหตุใดสาเหตุหนึ่ง อย่างที่บอกเมื่อสักครู่นี้ ก็ตาม ไม่ว่ามันจะมาจากทางไหนก็ตาม จะเข้าใจหรือไม่เข้าใจก็ตาม  จะมีคำตอบหรือไม่มีก็ตาม เรามีความหวังอย่างแน่นอน 100% ว่าความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้น ไม่ว่ามันจะมาแบบชนิดใด ก็ตาม เมื่อเราเชื่อในพระเจ้า วางใจในพระองค์ เป็นลูกของพระองค์แล้ว พระเจ้าสถิตอยู่กับเรา ในความทุกข์ยากลำบากนั้น พระเจ้าสถิตอยู่กับเราแล้ว เราอยู่กับพระองค์เรียบร้อยแล้ว พระองค์ทรงรักเราดั่งแก้วตาดวงใจ อยู่กับเราเสมอ เป็นฝ่ายเรา ต้องย้ำยืนยัน เพราะมารมันจะคอยกระซิบ คอยจะยุแยงให้เราตีกับพระเจ้า ให้เราทะเลาะกับพระเจ้า  ให้เรารู้สึกฟ้องผิดกับตัวเองว่าเราแย่แล้ว เราไม่ดีแล้ว พระเจ้าตีเรา พระเจ้าไม่ชอบเรา แล้วให้เราหนีออกจากพระเจ้าไป เพื่อว่าเราจะได้รับความรอดเหมือนเดิม แต่เราไม่ได้ฉายแสงสว่างของพระเยซูออกมาจากชีวิตของเราแล้ว ฉายไม่ได้แล้ว ก็เปรียบเหมือนผีเสื้อพิการ ก็เปรียบเหมือนผู้ได้รับความรอด แต่รอดแบบพิการ ที่พระคัมภีร์บอก รอดเหมือนรอดด้วยไฟ เราไม่สามารถทำการงานที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้เราได้สมบูรณ์ครบถ้วน ไม่สามารถฉายแสงออกมาได้ ไม่สามารถเป็นผีเสื้อที่บินสวยงามตามธรรมชาติที่ให้มันบิน เพราะเราเข้าใจผิด  เราถูกหลอก

พระเจ้าจะใช้ความทุกข์ยากลำบากที่เกิดขึ้นเหล่านั้น ซึ่งพระองค์ไม่ได้เป็นผู้ทำ อย่างที่บอกไว้ ย้ำอีกที ให้เกิดประโยชน์ เป็นผลดีในชีวิตของเรา ตามแผนการที่พระองค์ทรงวางไว้ได้อย่างแน่นอน  มารก็พยายามที่จะขัดขวางตรงนี้ วิธีขัดขวาง อย่างที่บอก ขโมย ฆ่า และทำลาย ถ้าขโมยให้หมดเลย ก็คือปิดบังตา ไม่ให้เราเชื่อในข่าวประเสริฐเลย ตายลูกเดียว  แต่ถ้าเรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว มารพยายามปิดบังตาเราต่อ เพื่อไม่ให้เรารู้ความจริง  เพื่อให้รู้ว่าเราแย่ เราไม่ดี แต่ไม่ใช่เลย เพื่อให้เราทะเลาะกับพระเจ้าเอง ให้เราไม่มั่นใจในตัวพระเจ้าของเรา ก็เกิดการไม่สมบูรณ์ครบถ้วน ตามที่พระเจ้าได้วางไว้ในชีวิตของเรานั่นเอง ซึ่งบางคนถูกหลอก  หลอกด้วยวิธีอะไร? หลอกด้วยวิธีอย่างที่ตะกี้นี้บอก เอาระบบของโลกนี้มาใส่ในสมองของเรา ให้เราเชื่อพระเจ้าแบบผิดๆ บางคนมาเชื่อพระเจ้าตั้งนานแล้ว แต่ยังคงให้ความสำคัญมากกว่าการแสวงหาความสำเร็จ ในทางที่พระเจ้าวางไว้ ก็คือให้ความสำคัญกับความสำเร็จทางโลกมาก

นี่แหละคือหนึ่งในจำนวนการหลอกลวงของมาร ให้เราไม่มั่นใจในสิ่งที่พระเจ้าวางไว้ ยกตัวอย่างพระเจ้าใช้ความทุกข์ยากลำบากให้เกิดประโยชน์ในชีวิตของเรา  พระองค์ทรงอยู่ด้วยในความทุกข์ยากลำบากของเรา สมมตินะ รอพระเจ้าไม่ไหว ไม่อยากทุกข์ยากลำบาก มารมาหลอกเราว่า …

“วิธีนี้ง่ายกว่า ไม่ต้องไปรอพระเจ้าหรอก ทำเองเลย”

ยกตัวอย่างตอนนี้ โควิดอย่างนี้ ไปรอพระเจ้าทำไม? ทำด้วยตัวเอง ด้วยระบบของโลก วิตกกังวลระบบของโลก ดิ้นรน  ทำอะไรต่างๆ ที่ตรงกันข้ามกับที่พระเจ้าได้สอนไว้ ไม่ใช่ด้วยความรักแล้ว ด้วยความโลภ ด้วยความกลัว ไปทำอะไรที่ผิดๆ เอาตัวรอด โกงเขาเลย ขายยาเสพติดเลย  ทำสิ่งที่ไม่ดีเลย  ต้องเอาตัวรอดไว้ก่อน ตอนนี้ใครๆ เขาก็เอาตัวรอด อย่างนั้น

นี่คือการหลอกลวง อยากจะประสบผลสำเร็จทางระบบของโลก  ให้คุณค่าของคำว่าความสำเร็จบนโลก อยู่ที่ความมั่งมี ความร่ำรวย มีชีวิตที่สุขสบาย เห็นไหม? อยากสุขสบาย พอมีความทุกข์เข้ามา  ก็บอกว่าความทุกข์นี้มาจากพระเจ้า  พระเจ้าไม่มีจริงหรอก กระซิบข้างหูเราต่างๆ

“ถ้ามีจริงๆ คงไม่ปล่อยให้เราทุกข์ยากลำบากอย่างนี้ ถ้ามีจริงก็ต้องทำอย่างนี้?”

มันจะพูดไปเรื่อยเปื่อยต่างๆ  เพื่อมาบอกเราว่า …

“มาสุขสบายดีกว่า โลกนี้เขาให้เธอสุขสบาย อย่าไปเชื่อเลย มาทำอย่างนี้ดีกว่า”

แล้วถ้าเราไปเชื่อตามมัน เสร็จเลย มันไม่มีจริง เพราะฉะนั้น เราอาจจะถูกหลอกไปสู่ความสุขสบาย มีชีวิตอยู่ที่สุขสบาย ร่ำรวย มีเงินใช้ ไม่ขาดแคลน ใครๆ ก็อยากได้  เห็นไหม? แข็งแรงอยากได้ไหม? ไม่ป่วยอยากได้ไหม? อยากได้ พระเจ้าบอก …

“อดทน รอ พระเจ้าสถิตอยู่ด้วย”

เธอป่วย มันก็บอกว่า … “ไม่จริงหรอก ถ้าพระเจ้ามีจริง ก็หายสิ ถ้าพระเจ้ามีจริง สัญญาแล้ว ทำไมอธิษฐาน แล้วก็ไม่หาย อธิษฐานไม่เห็นตอบเลย มาทางนี้ดีกว่า ไปหาเข้าทรงเลยดีไหม?”

เรากำลังให้ความสำคัญกับอะไรมากกว่า ความแข็งแรงใช่ไหม? เราไม่อยากจะทุกข์ยากลำบากเหล่านั้นใช่ไหม?  ซึ่งมันเป็นไปได้ไหม? ท่านลองคิด เราเรียนกันไปแล้ว มันเป็นไปได้ไหม? สุขภาพแข็งแรง เกียรติยศ ชื่อเสียง เงินทองมากมาย มันจะหลอกให้เราไปยึดติดสิ่งเหล่านี้ ซึ่งในทางพระเจ้าแล้วสิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องมือของมาร ความสำเร็จในเรื่องนี้ เป็นเครื่องมือของมาร ที่ใช้ในการหลอกลวงของมนุษย์ เพื่อที่มันจะได้มาซึ่งการขโมย ฆ่า และทำลาย  ไม่ได้ด้วยเล่ห์ ก็เอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนต์ ก็เอาด้วยคาถา มาในทุกรูปแบบ เพื่อจะล่อลวงเราไป  สู่ระบบของโลกใบนี้ ที่เรียกว่าสุขสบาย แข็งแรง มีชื่อเสียง ประสบผลสำเร็จ (แบบโลกใบนี้) แต่ทางพระเจ้าท่านจะสำเร็จใน ทางพระเจ้า มันต้องผ่านทางความทุกข์ยากลำบาก อย่างแน่นอน และระบบของโลก ก็บอกอยู่แล้วว่ามันหลอกลวง มันไม่มีจริง ขืนไปเชื่อมัน ก็ถูกหลอก 2 ต่อ คือไม่ได้ด้วย แถมทุกข์หนักอีกต่างหาก แต่ถ้ามาเชื่อพระเจ้า วางใจในพระองค์ อาจจะทุกข์ยากลำบากบ้าง แต่มันแป๊บเดียว ท่านจะเข้าไปสู่สันติสุขในพระเจ้าที่เกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ

ท่านลองคิดดูนะ ถ้าพระเจ้าจะให้ท่านแข็งแรง ถามว่าต้องแข็งแรงขนาดไหน ถึงจะพอ ถ้าแข็งแรง จนกระทั่ง ท่านพอแล้ว ท่านจะระวังตัวเองในเรื่องการกิน การดื่ม การออกกำลังกายไหม? ต้องเท่าไรถึงจะให้ท่านหันมาดูแลสุขภาพท่าน ในสุขลักษณะ ถ้าท่านพึ่งพระเจ้า แข็งแรงตลอดเวลา ง่ายๆ พระเจ้าต้องให้เกียรติ ชื่อเสียงกับท่านเท่าไร? ท่านถึงจะคิดว่าพอแล้ว เอาเกียรติกับชื่อเสียงบนโลกใบนี้  แค่นี้พอแล้ว ท่านคิดว่าท่านสต๊อปมันอยู่ไหม? ถ้าท่านมีชื่อเสียงที่พระเจ้าให้ ท่านคิดว่าท่านจะอ่อนถ่อมสุขภาพไหม? ไม่เหลิงไหม? เปาโลยังกลัวเลย ต้องอวยพรท่านให้ท่านร่ำรวยทรัพย์สมบัติเท่าไรถึงจะเรียกว่าพอ ท่านถึงไม่อยากจะได้เพิ่มอีก สักเท่าไรดี? ปีนี้อาจจะบอก 1 ล้าน  พอได้ 1 ล้าน ท่านจะพอไหม? พอไปอีกกี่ปี? ท่านเห็นไหม? โลกนี้มันเป็นอย่างนี้  แต่พระเจ้าสัญญาว่าบนโลกใบนี้  พระองค์ทรงสัญญาให้สิ่งที่เกินกว่านี้ทั้งหมดเลย คือสันติสุขที่เกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว

สันติสุขนี้ คือมีความมั่นใจในความรอดที่เราได้รับมาแล้ว ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ส่งผลให้เราไม่กลัวสิ่งใดๆ อีกแล้ว และทำให้เราพึงพอใจในทุกสิ่งที่มี ที่เป็น ที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ทั้งสิ้น และนี่คือสิ่งที่พระเยซูสัญญาว่า …

“ใครก็ตาม ที่แบกภาระหนักและเหน็ดเหนื่อยจงมาหาเรา เราจะให้ผู้นั้นหายเหนื่อยและเป็นสุข”

“เป็นสุข” ในที่นี้ ก็คือสุขสงบ  สันติสุขเกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจนั่นเอง

พระเยซูสัญญาไว้ตรงนี้ว่าใครแบกภาระและเหน็ดเหนื่อย แบกภาระเรื่องบาปของตัวเอง ความรู้สึกตัวเองเป็นคนบาป มาหาพระองค์ พระองค์จะไถ่บาป  พระองค์ไถ่บาปให้เรียบร้อยแล้ว  เสร็จแล้วพระองค์ให้สันติสุขนี้ คือความพึงพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ นี่คือสิ่งที่เป็นจริง และไม่มีใครเอาจากเราไปได้  คือสันติสุขท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก แล้วเราค่อยมาเรียนรู้ว่าเคล็ดลับตรงนี้ คืออย่างไร? ในตอนต่อๆ ไป เรื่องนี้สำคัญมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลานี้  เราก็ไม่รู้ว่าสถานการณ์มันจะแย่ไปกว่านี้อีกถึงเมื่อไร? ซึ่งในอดีต ตามที่บันทึกในประวัติศาสตร์มา มันก็มีแย่ๆ อย่างนี้ อยู่เยอะแยะมากมาย แย่กว่านี้ยังมีเลย แล้วถ้ามันแย่กว่านี้อีก เราจะอยู่อย่างไร? ถ้าเราไม่มีความจริงเหล่านี้อยู่ เราจะอยู่ได้หรือไม่? เพราะฉะนั้น ตัวนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญที่เราจะต้องเรียนรู้กันในช่วงนี้ให้มากๆ นี่คือความหวัง นี่คือคำสัญญาอย่างแท้จริง ซึ่งเราสามารถยึดได้ว่ามันเป็นจริง อย่าให้โลกมาหลอกลวงเราในสิ่งที่เขาเรียกว่าเหมือนคำพูดเพราะ แต่มันไม่ได้เป็นจริง มันเป็นเรื่องไร้สาระ  พระเจ้าอวยพรครับ

 

************************