คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 20 ตุลาคม 2019 เรื่อง “การต่อสู้ของโลกวิญญาณ ทางความคิด” ตอน 3 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  20  ตุลาคม  2019

 เรื่อง “การต่อสู้ของโลกวิญญาณ ทางความคิด” ตอน 3

โดย นคร  เวชสุภาพร

            เราจะต่อซีรี่ย์นี้ เรายังอยู่ในเรื่องของ “การต่อสู้ของโลกวิญญาณ ทางความคิด” ตอน 3 ที่พระคัมภีร์บอกว่าในขณะที่เรายังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ สิ่งที่เราต้องเจอ และต้องเผชิญอยู่ตลอดเวลา ก็คือสงครามทางฝ่ายวิญญาณ พระคัมภีร์ทั้งเล่ม ก็พูดถึงสงครามทางฝ่ายวิญญาณนี้ ตั้งแต่ปฐมกาลจนถึงวิวรณ์ ซึ่งหลายๆ คน ก็ไม่เข้าใจเรื่องสงครามฝ่ายวิญญาณ เที่ยวนี้เราจะมาเรียนรู้เรื่องนี้อย่างชัดเจน แล้วเห็นชัดว่ามัน คืออะไร จะได้ไม่ถูกหลอก

ครั้งที่แล้ว ผมได้อธิบายให้ฟังแล้ว จุดกำเนิดของมารซาตาน จุดกำเนิดของความบาป คือความชั่วร้ายมาจากไหน? ก็คือมาจากทูตสวรรค์ที่มีชื่อว่าลูซีเฟอร์ ซึ่งพอตกกระป๋อง ก็มีชื่อเปลี่ยนไปว่าซาตาน ความชั่วร้าย  ที่เกิดขึ้น ก็คือในตัวของลูซีเฟอร์ เกิดความเย่อหยิ่งขึ้นมาเอง อยากเป็นพระเจ้าเสียเองเลย มันโผล่ขึ้นมา มันก็เออร์เล่อ เกิดความผิดปกติในตัวของมันเอง มันก็จะคิดกบฏต่อพระเจ้า เป็นศัตรูต่อพระเจ้า  ทำสงครามกับพระเจ้า แล้วมันก็พ่ายแพ้ จึงตกกระป๋อง กลายเป็นซาตาน

แล้ววิธีทำสงครามของมัน ก็คือการใส่ข้อมูล ที่ตรงกันข้ามกับถ้อยคำของพระเจ้า บิดเบือนถ้อยคำของพระเจ้า ส่งเข้ามาในความคิดของมนุษย์ เพราะมนุษย์เป็นพระฉายของพระเจ้า มันต้องการทำลายทุกอย่างที่เป็นของพระเจ้า อยู่ตรงข้ามกับพระเจ้า  เริ่มต้นครั้งแรกในสวรรค์ ไม่ใช่บนโลก มันมีพรรคพวก 1 ใน 3 หลังจากตกกระป๋องมาอยู่บนโลกใบนี้แล้ว มันก็เริ่มหลอกพระฉายของพระเจ้า คือลูกของพระเจ้า คือพวกเรา เริ่มต้นจากอาดัมและเอวา ในสวนเอเดน ในพระคัมภีร์บันทึกเอาไว้ เริ่มหลอกว่า …

“พระเจ้าบอกว่า “อย่ากิน วันใดเจ้ากิน เจ้าจะต้องตาย”

แต่มันบอกว่า “พระเจ้าบอกว่าอย่ากิน”

ถูกครึ่งหนึ่ง แล้วมันบอกต่อว่า “ถ้าเจ้ากิน เจ้าจะเหมือนพระเจ้า”

ถ้ามันหลอกคำแรกเลย อาจจะไม่ฟัง คำแรกนะถูก พระเจ้าบอกอย่ากิน แต่พระเจ้าบอก ถ้าวันใด ขืนกิน เจ้าจะต้องตาย ถูกสาปแช่ง แต่มันบอกไม่ถูกสาปแช่งหรอก ไม่ตายหรอก แต่เจ้าจะเป็นเหมือนพระเจ้า

ก็คือนิสัยของมันนั่นเอง มันอยากจะเป็นพระเจ้า มันก็เอาสิ่งเหล่านั้น มาใส่ให้กับมนุษย์ หลอกมนุษย์ ผลก็คืออาดัมและเอวาบรรพบุรุษของเรา ก็เชื่อมาร คือมีความคิดเหมือนกับที่มันส่งเข้ามา ก็คืออยากจะเป็นเหมือนพระเจ้า อยากจะเป็นพระเจ้าเสียเอง ความคิดเดียวกันกับมาร ตอนสมัยที่เป็นลูซีเฟอร์ตกลงไปในความบาป อันเดียวกัน เพราะฉะนั้น มันถ่ายทอดจากความคิดของมาร มาสู่ความคิดของมนุษย์ คู่แรก ก็คืออาดัมและเอวา พูดแล้วจะขนลุกเลยว่าขณะที่อาดัมและเอวา เชื่อฟังต่อคำโกหกและหลอกลวงของมาร และตกลงไปในความบาป ไปเป็นศัตรูกับพระเจ้า  ในขณะที่อาดัมและเอวาไม่เชื่อฟังนั้น มนุษยชาติทุกคนบนโลกใบนี้ ตั้งแต่วันที่พระเจ้าสร้างมาวันแรก ซึ่งทั้งหมด อยู่ในตัวของอาดัมและเอวา ซึ่งเรียกว่า DNA พวกเราอยู่ในนั้นแล้ว เพราะฉะนั้น เมื่ออาดัมและเอวาตกลงไปในความบาป ตกลงไปในคำสาปแช่ง ถูกลงโทษ พวกเราก็เลยถูกลงโทษด้วย  เพราะเราอยู่ในนั้น เราก็ถูกลงโทษไปด้วย นี่คือสิ่งที่มารต้องการ และมารก็เยาะเย้ยพระเจ้าว่า  …

“นี่ไง เห็นไหม ลูกของพระองค์ตอนนี้ มาเป็นทาสเราแล้ว ลูกของพระองค์ตอนนี้มาเป็นพวกเราแล้ว”

ลูกของพระเจ้า แต่ตอนนี้ มาเป็นศัตรูกับพระเจ้า มารและพวกสมุนของมัน ก็ยังคงเดินหน้า ก่อการกบฏ และทำสงคราม ถามว่าสงครามนี้ มันจะสิ้นสุดเมื่อไร? พระคัมภีร์มีบันทึกไว้ในหนังสือวิวรณ์ว่าต้องรอถึงวันที่พระเยซูคริสต์เสด็จมาอีกครั้งหนึ่ง  เพื่อทำการพิพากษา ปราบพวกมารเหล่านี้ให้สิ้นซาก

พระเยซูบอกว่าเมื่อข่าวดีถูกประกาศไปถึงมนุษย์คนสุดท้าย ตอนนี้ข่าวดีประกาศไปประมาณ 2,000 ปี และอีกกี่ปี พระเยซูถึงจะกลับมาใหม่ ถึงจะจบสักที จับมารขังคุก ลงนรกไปเลย อีกกี่ปี ก็ไม่รู้ แต่พระเยซูบอกว่าเมื่อวันที่ข่าวดีนี้ประกาศไปถึงมนุษย์คนสุดท้าย

ฟังดูสิ มนุษย์คนสุดท้ายจะเกิดเมื่อไร? ไม่รู้ แต่มันจะมีวันหนึ่งแหละที่มนุษย์คนสุดท้ายจะเกิด สมมติว่าเอาสิ้นปีนี้ มนุษย์คนสุดท้ายเกิด แล้วเราจะรู้ได้อย่างไร? คนสุดท้ายเกิด เราไม่มีทางรู้ จนกว่าพระเยซูจะกลับมาอีกครั้งหนึ่ง เพราะฉะนั้น เมื่อสิ้นปีนี้ มีเด็กเกิดมา อีก 7 ปีข้างหน้า เด็กคนนี้เจริญเติบโตไปจนถึงอายุ 7 ขวบ สมมตินะ แล้วข่าวดีนี้ได้ถูกประกาศไปถึงคนๆ นี้ คนสุดท้าย แล้วพระเยซูก็กลับมา กลับมาเป็นผู้พิพากษา จัดการเรียบร้อยทุกอย่าง แล้วก็สร้างโลกใหม่ให้กับมนุษย์ได้อยู่ แล้วก็เอาความชั่วร้ายต่างๆ ไปที่บึงไฟนรกนิรันดร์ ไม่ขึ้นมาอีกแล้ว จบ

นี่คือความหวังใจ นี่คือสิ่งที่พระคัมภีร์บันทึกเอาไว้ว่าโลกใบนี้มันเสียหายอยู่ มันเสียหาย เพราะบาปคงทำงานอยู่ พระเจ้าไถ่เราแล้วก็จริง แต่ไถ่ทางวิญญาณเท่านั้น ทางด้านวัตถุสิ่งของบนโลกใบนี้นั้น มันยังคงตกอยู่ในคำสาปแช่ง วันก่อนไปดูที่ดินกับพี่น้องที่เขาซื้อไว้ แล้วก็ทำสวน ปลูกต้นกล้วยบ้าง ปลูกแก้วมังกรบ้าง เลี้ยงปลา เขาบอกว่าปลูกยากลำบากจริงๆ เลย  เดี๋ยวแมลงก็มา ปลูกมะพร้าวเป๊บเดียว ตัวด้วงกิน ไม่เหลือเลย เหนื่อย เลยบอก พระคัมภีร์บอกไว้  สวนเอเดน ทุกอย่างดีหมด พอมนุษย์ตกลงไปในความบาป ถูกสาปแช่ง โลกใบนี้เปลี่ยนไป พระเจ้าบอกว่าผืนดินจะให้หนาม พูดง่ายๆ ทำมาหากินลำบากลำบน ต้องอาบเหงื่อต่างน้ำ ของที่กินได้ ปลูกแทบตาย ศัตรูพืชเต็มไปหมด แล้วก็เดินไปอีกแปลงของพี่น้องอีกคนหนึ่ง ปรากฏว่าเขาไม่ค่อยได้มา ขึ้นดกเลย  คือไมยลาพ มีหนามด้วย เดินเข้าไปไม่ได้เลย แล้วอย่างนี้มันไม่ใช่คำสาปแช่งเหรอ อันที่กินไม่ได้ มันขึ้นอย่างสวยงามมากเลย อันที่กินได้ เลือดตาแทบกระเด็น กว่าจะได้สักชิ้นหนึ่ง นี่ถ้อยคำพระเจ้าทั้งสิ้น

แล้วถามว่าจะรอเมื่อไร พระเยซูบอกสำเร็จแล้ว  ที่ไม้กางเขน พระองค์บอกไถ่บาปเราเลยนะ  สำเร็จในโลกวิญญาณ วิญญาณนะเรียบร้อยแล้ว มนุษย์ทุกคน เมื่อเชื่อพระเยซูแล้ว วิญญาณเขาได้เกิดใหม่ แต่ยังอยู่ในร่างกายเก่าอยู่ ร่างกายที่เรานั่งอยู่นี้ วิญญาณใหม่เราอยู่ข้างใน พระคัมภีร์พูดอย่างนี้เสมอ ในพระคัมภีร์ใหม่ บอกให้เรามองให้เห็นเถิดว่าวิญญาณเราบังเกิดใหม่แล้ว เป็นใหม่ทั้งสิ้นเลย 100% แต่เรายังอยู่ในร่างกายเก่า  ร่างกายเก่าที่จำเป็นจะต้องเจ็บและตายในที่สุด ตายก็แปลว่าลงดินไป ตามคำสาปแช่ง ในปฐมกาล ตอนที่มนุษย์ตกลงไปในความบาป หนึ่งในคำสาปแช่งนั้น คือร่างกายของเจ้าที่ไม่ต้องตาย บัดนี้เจ้าจะต้องตาย ร่างกายของเจ้าสร้างมาจากดิน มันก็กลับไปสู่ดิน

เพราะฉะนั้นร่างกายของมนุษย์ที่เราเห็นๆ อยู่นี้  มันก็ต้องไปสู่ความตาย ลงไปสู่ดิน สักวันหนึ่ง เนื่องเหตุจากคำสาปแช่งนั่นเอง วิญญาณอยู่นิรันดร์ และพระเจ้าก็จัดเตรียมร่างกายใหม่ ร่างกายสวรรค์ เป็นเหมือนพระเยซู ที่ไม่ต้องเจ็บปวด ไม่ต้องแก่ ไม่ต้องเจ็บไข้ได้ป่วย ไม่ต้องตายอีกต่อไป ไม่มีความทุกข์ ไม่มีความโศกเศร้า ไม่มีน้ำตาอีกต่อไป  ให้กับผู้ที่เชื่อในการไถ่บาปของพระเยซู เมื่อวันหนึ่งข้างหน้า เมื่อเขาทิ้งร่างกายนี้แล้ว พระเจ้าสัญญาว่าเขาจะได้ร่างกายสวรรค์ที่พระเจ้าจัดเตรียมให้ ซึ่งศักดิ์ศรีนิรันดร์  ศักดิ์ศรียิ่งใหญ่ สูงกว่าร่างกายปัจจุบันมากเหลือเกิน เป็นร่างกายที่เหมือนพระเยซูเลย เดินผ่านทะลุกำแพงได้เลย

สรุป ก็คือตราบที่เรายังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ในขณะนี้ และตราบเท่าที่พระเยซูยังไม่เสด็จกลับมา บรรดาพวกมาร ก็ยังคงทำงานของมันต่อไปเหมือนเดิม เป็นสงครามฝ่ายวิญญาณ ที่จะต้องดำเนินต่อไป จนกว่าจะถูกจับทิ้งลงไปในบึงไฟนรก โดยพระเยซูคริสต์ของเรา และกองทัพผู้ชอบธรรมทั้งหลาย ซึ่งรวมทั้งเราด้วย ในอนาคตอันใกล้หรือไกล ไม่มีใครรู้

เรากลับมาที่ร่างกาย ในสมองหรือความคิดของมนุษย์ทุกคน ก็ยังคงต้องเป็นสมรภูมิรบ หรือเรียกว่าสนามรบต่อไป พระคัมภีร์บอก สมองความคิดของเรา  ที่เรามองไม่เห็น  จับต้องไม่ได้ มันทำงานอะไรก็ไม่รู้ แต่รู้ว่ามันมีความคิดอยู่ตรงนี้ จะเรียกว่าสมอง จะเรียกว่าความคิดจิตใจก็ได้ นี่คือสงคราม ที่กระทำการงานอยู่ในสนามรบ มนุษย์ทุกคนเป็นเช่นนี้

นี่คือเหตุผลที่ทำไมเราต้องมาคุยกันในเรื่องนี้เยอะๆ เพราะมันมองไม่เห็น พระคัมภีร์เป็นโคม เป็นแสงสว่างส่องให้เราเดิน ให้เรารู้ว่ามันคืออะไร? เราต้องมาย้ำกันเยอะๆ มาเล่าให้ฟัง อย่างละเอียดบ่อยๆ เพราะเราอยู่ท่ามกลางสนามรบ เราต้องเผชิญกับการต่อสู้อยู่ตลอดเวลา มันถึงต้องบอกบ่อยๆ

ยกตัวอย่างเช่น พวกเราทั้งหลายที่เชื่อในพระเยซู ได้รับการชุบให้เป็นขึ้นมาจากความตาย และได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน ร่วมกับพระเยซูคริสต์แล้ว (ในวิญญาณของเรา) มองไม่เห็น พูดอย่างนี้บ่อยๆ เราได้ถูกย้ายออกจากอาณาจักรของความมืด ของมาร มาสู่อาณาจักรแห่งแสงสว่าง อันเป็นที่รักของพระองค์ ในพระเยซูคริสต์ไปแล้ว  ตอนนี้ วิญญาณเราอยู่ที่อาณาจักรแห่งแสงสว่างของพระเยซูคริสต์แล้ว ที่เรียกว่าอาณาจักรพระคริสต์ มองเห็นไหม? ไม่เห็น มันถึงต้องย้ำกันอย่างนี้

นี่แหละคือสิ่งที่ต้องเรียนรู้ เมื่อไม่เห็นต้องย้ำ พระคัมภีร์ก็บอกเป็นระยะว่าเพราะฉะนั้น ผู้ที่เชื่อทั้งหลาย ให้จดจ่อความคิดของท่านไปที่โลกฝ่ายวิญญาณ ที่มันเกิดขึ้นนี้ ซึ่งใช้คำว่าจดจ่อไปยังเบื้องบน

“เบื้องบน” หมายถึงมิติที่มันดีกว่า มิติที่อยู่สูงส่งกว่า มิติบนโลกใบนี้ที่มองไม่เห็น จะเป็นมิติที่ 4 หรือ 5 ก็ไม่รู้ … รู้ว่ามันมีอยู่จริง  แต่ร่างกายธรรมดาของมนุษย์ไม่สามารถที่จะเข้าไปสัมผัสรับรู้ได้ ต้องใช้วิญญาณเท่านั้น และวิญญาณก็จะถูกนำ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผ่านทางถ้อยคำพระเจ้าที่บอกเราว่านั่นคืออะไร? เราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ เราเป็นลูกพระเจ้าอย่างไร? ซึ่งสิ่งเหล่านี้ มันเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ มากกว่าอื่นๆ ทั้งปวงเลย พระคัมภีร์จึงพยายามพูดวนเวียนถึงสิ่งเหล่านี้ และมารก็พยายามที่จะดึงเราออกจากสิ่งเหล่านี้ ให้มาอยู่ที่วัตถุ ให้มาอยู่ในสิ่งที่จับต้องมองเห็นได้ พระเจ้าผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็จะพาเราไปในโลกฝ่ายวิญญาณที่มองไม่เห็น แล้วก็บอกเราว่าที่นั่นเป็นอย่างไร? อยู่อย่างไร? เขาเป็นอย่างไรบ้าง และมีอะไรเกิดขึ้น พระเจ้าสัญญาอย่างไร? เรายิ่งใหญ่ขนาดไหน? เราเป็นลูกพระเจ้าอย่างไร? เราบริสุทธิ์สะอาดอย่างไร? มารก็พยายามดึงเราลงเวทีล่าง เพื่อจะชกเรา เพื่อจะอัด เพื่อจะให้เราเป็นทาสมันให้ได้ อย่างนี้เราเรียกว่าสงครามฝ่ายวิญญาณ

เคยได้ยินไหมครับ “ตำราพิชัยสงคราม” ที่บอกว่าในการทำสงคราม สิ่งที่สำคัญที่สุด คือต้องรู้เขารู้เรา รบ 100 ครั้ง ก็ชนะ 100 ครั้ง ในขณะที่เรากำลังทำสงครามกับพวกมารอยู่ เราก็ต้องรู้ว่าพวกมันทำงานกันอย่างไร? และเราควรต้องรับมืออย่างไร? เช่นเดียวกัน มันเข้ามา 100 ครั้ง เราก็ชนะ 100 ครั้ง ถ้าเรารู้วิธี คือดึงมันขึ้นมาที่โลกวิญญาณ ดึงขึ้นมาที่เวทีวิญญาณ ดึงมันขึ้นมาข้างบนนี้ให้ได้ อย่าไปชกกับมันที่โลกวัตถุ อย่าไปชกกับมันที่สิ่งที่จับต้องมองเห็นได้

บางคนไม่เข้าใจ เวทีโลกวิญญาณ เวทีโลกวัตถุมันเป็นอย่างไร? เอาง่ายๆ สมมติว่ามีข้อมูล มีคนมาถามท่านว่า …

“เชื่อพระเจ้าแล้ว ไม่เห็นแข็งแรงเลย ทำไมยังป่วยอย่างนี้อยู่อีกล่ะ มันไม่ควรจะป่วย พระเจ้ายิ่งใหญ่เหลือเกิน พระเยซูต้องก็รักษาได้สิ”

สมมติถ้าท่านจะชกกับมัน  มันมาแล้ว สงครามเริ่มต้นแล้ว

“ป่วยอย่างนี้ได้อย่างไรล่ะ เป็นลูกพระเจ้า ดูสิ พระเยซูรักษาก็หายแล้ว วางมือก็หายแล้ว”

นี่วางไปกี่ครั้งแล้ว ยังไม่หายเลย คุ้นๆ ไหม? เติมอีกนิดหนึ่ง ก็ได้

“นี่เป็นลูกพระเจ้า ทำไมอดๆ อยากๆ อยู่เลย ทำงานก็เจ๊งหมด อธิษฐานขอในพระเยซูมันได้หมดทุกอย่างไง ไม่ใช่หรือ?”

มี 2 เวทีให้ท่านเลือก ท่านจะชกอย่างไร? ถ้าเวทีวิญญาณ ท่านก็ดึงมันขึ้นมา

“ไม่ เพราะฉันไม่ท้อใจ 2 โครินธ์ 4:16 บอกมาเลย”

นี่ดึงขึ้นมาข้างบน “เพราะฉันไม่ท้อใจ ไม่กังวลใจ แม้ว่ากายภายนอกจะเจ็บป่วย หรือตายก็ตาม เพราะมันแค่แป๊บเดียว มันไม่สามารถเทียบกับศักดิ์ศรีนิรันดร์ที่ฉันจะได้รับ ที่พระเจ้าเตรียมให้ คือร่างกายในสวรรค์ได้  เพราะว่าฉันได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูแล้ว วิญญาณฉันเป็นลูกพระเจ้า ฉันสะอาดหมดจด”

ไปอีกเยอะเลย มันตกม้าตายไปแล้ว เห็นหรือยัง? ท่านชนะไปแล้ว ถูกไหม? ท่านเดินผิวปากไป ทั้งๆ ที่ยังเจ็บหลัง แต่จิตใจท่านเต็มไปด้วยสันติสุข นี่คือของแท้ แล้วในใจท่านยังพูดอีกว่า …

“ฉันก็รู้ คนเราเกิดมาบนโลกใบนี้ มันก็เจ็บป่วยอย่างนี้แหละ คนที่ไม่เชื่อไม่เจ็บป่วยหรือไง? แกไปถามดูสิ ไอ้มาร แกมาจดจ่อกับฉันคนเดียว พอฉันเป็นคริสเตียนมาถามว่าทำไมฉันต้องเจ็บป่วย ตอนไม่เป็นคริสเตียน เจ็บป่วย ทำไมไม่ถามบ้างล่ะ มันก็เหมือนกันแหละ แสดงว่ามันไม่เกี่ยวกับพระเจ้าเลย มันเกี่ยวกับการหลอกลวงของแกนั่นเอง”

เริ่มเห็นชัดแล้ว แต่ถ้าเราถูกมันหลอก เราแพ้ เราลงไปชกกับมัน บนเวทีที่ตามองเห็น จับต้องได้

“ไหนไม่เห็นหายเลย”

“จริง ปวดเหลือเกิน พระเยซูรักษาลูกให้หายป่วยด้วยเถิด”

ไปให้ใครวางมือ เที่ยวตะลอนไปหาอาจารย์เยอะแยะ ไปให้เขาวางมืออธิษฐาน เพื่อจะหายโรค พอมองอะไรออกไหม? ท่านก็จะทุกข์ต่อไปเรื่อยๆ เพราะมันปกติ อันนี้เป็นวิสัยจริงตามนั้น เพราะว่ามนุษย์ถูกสาปแช่งมาตั้งแต่โน้นแล้ว แต่มันไม่บอกความจริงกับเรา ถ้าเผื่อไปวางมืออธิษฐาน มีโอกาสไหม? พระเจ้ารักษาโรคหาย มีไหมคำพยาน มี ถามว่ามีเยอะมีน้อย? มีเยอะ ก็เราไปมองดูมันเยอะ ลองเทียบกับคริสเตียนทั้งหมด มีเยอะหรือมีน้อย นิดเดียว คนไม่เป็นคริสเตียน ทำได้ไหม? ทำได้ ไปหาอาจารย์แดง อาจารย์ดำ ทำไสยศาสตร์อะไรต่างๆ มันก็หายบ้าง ไม่เห็นแตกต่างอะไรตรงไหนเลย  เห็นไหม? แต่สิ่งที่พระเจ้าประทานให้กับเรา คือวิญญาณที่ได้บังเกิดใหม่ เป็นผู้บริสุทธิ์สะอาดหมดจดแล้ว  มั่นใจแล้วว่าไปสวรรค์ 100% และตอนนี้ก็อยู่ในสวรรค์แล้ว  พระเจ้าได้เตรียมร่างกายใหม่ให้กับเราเรียบร้อยแล้ว เป็นร่างกายที่ไม่ต้องเจ็บปวดอีกต่อไปนิรันดร์ เป็นความหวังของเรา เมื่อถึงวันที่ร่างกายเราต้องทิ้ง จากร่างกายนี้ไป นั่นคือชัยชนะของเรา ความหวังใจนี้เต็มเปี่ยม อย่างนี้ ถามว่าอาจารย์ดำ อาจารย์แดง อาจารย์เยอะแยะ ไสยศาสตร์เหล่านี้ สามารถให้เราได้ไหม? ให้ไม่ได้  เห็นหรือยังว่าเราสามารถถูกหลอกลงไปที่เวทีข้างล่าง แล้วเราก็ไปมัวคิดแต่ว่าอยากจะแข็งแรง อยากจะร่ำรวย อยากจะมีชื่อเสียง อยากจะได้พระพร อยากจะประสบผลสำเร็จ ซึ่งอยู่ในโลกที่วิปริตแบบนี้ เรายังอยากได้อย่างนั้นอยู่ เราก็ซวยสิ มันเป็นไปไม่ได้ มันก็ทุกข์ใจ มันก็ไม่มีวันเป็นสุขเลย มีวันนี้รวยมหาศาลล้นฟ้า อีก 30 ปีต่อมา จนไม่มีอะไรจะกิน เป็นไปได้ไหม? เป็นไปได้ แล้วถ้าเราฝากชีวิตไว้กับสิ่งเหล่านั้น เราจะเป็นอย่างไร? เราก็ทำลายชีวิตของเราเอง เพราะเราไปฝากความหวังไว้ในที่ที่มันไม่มีความหวัง ฝากความหวังไว้ในที่โลเล พระคัมภีร์ใช้คำว่าอนิจจัง มันกินลม กินแล้ง ไปฝากความหวังไว้ที่กินลมกินแล้ง แต่ถ้าเราฝากความหวังไว้ที่ความจริงของพระเจ้า ที่ความชัดเจนนี้  เรามั่นคงแข็งแกร่งอย่างนี้เป็นต้น  นี่คือสงคราม เห็นไหม?

ฉะนั้น ตอนนี้เรารู้แล้วว่ากลยุทธของมาร ก็คือพยายามทำทุกสิ่ง ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับถ้อยคำพระเจ้า ถ้อยคำพระเจ้าบอกไว้อย่างไร? มันก็พยายามทำสิ่งที่ตรงกันข้าม ก็คือมันพยายามที่จะมาขโมยความจริงในถ้อยคำพระเจ้าออกไปจากจิตใจเรา วิญญาณของเรา ถ้าเรามีความจริงอยู่ 50 มันก็พยายามจะขโมย 50 นั่นไปเรื่อยๆ ถ้าเรามีอยู่ 100 ก็จะพยายามขโมย 100 และมันไม่มีสงสารเราว่ามันขโมยแล้วจะให้เราเหลือบ้าง ไม่ใช่นะ มันอยากจะขโมยให้หมดเลย

พระคัมภีร์บอกว่าสำหรับคนเหล่านั้น  ที่ยังไม่เชื่อฟัง หมายถึงสำหรับคนเหล่านั้นที่ไม่ได้เชื่อถ้อยคำพระเจ้า สำหรับคนเหล่านั้น ที่ไม่เชื่อพระเยซู พูดง่ายๆ สำหรับคนเหล่านั้นที่ไม่เชื่อฟังพระเยซู ที่ไม่เชื่อว่าพระเยซูเป็นผู้ช่วยให้รอด  เป็นพระผู้ไถ่บาป ในพระคัมภีร์บอก เขาเหล่านั้น ถูกมารปิดบังตา 100% เลย ไม่ได้เชื่อ เป็นศูนย์ แต่ปรากฏว่าคนนี้หลุดไปได้ เห็นแสงสว่างในสายตาฝ่ายวิญญาณของเขา ได้เชื่อพระเจ้า เหมือนกับเราที่นั่งอยู่ที่นี่ ได้รับความรอดเข้ามาปุ๊บ มารมันหยุดงานไหม? หยุดทำสงครามไหม? ไม่หยุด มันก็ทำต่อไป คือให้เราได้รับความรอดที่มันยากที่สุด ได้รับพรน้อยที่สุดเท่าที่ทำได้ เพื่อไม่ให้เราไปเป็นพยานต่อคนอื่นๆ อีกต่อไป นี่คือวิธีการ มันก็ปิดบังตาเรานั่นแหละ เพื่อว่าเราไม่สามารถบอกคนอื่นอีกต่อไปว่าการเชื่อพระเยซูคริสต์มันง่ายมากๆ แต่มันพยายามหลอกเรา อย่างนี้เป็นต้น ดังนั้น เราต้องพยายามรู้ความจริง ตอนนี้ เรารู้แล้ว ความคิดเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด เป็นสมรภูมิที่สู้กันในโลกฝ่ายวิญญาณ เป็นความสำคัญในการต่อสู้สงครามฝ่ายวิญญาณ หรือสงครามทางความคิดนี้ ที่เรากำลังเรียนรู้กันอยู่นี้ ก็คือตรงนี้แหละ คือการต่อสู้ระหว่างความจริงของพระเจ้า ที่จะทำให้เราเป็นไท ตามที่พระเยซูบอกกับข้อมูลเท็จของมาร ที่จะทำให้เราตกอยู่ใต้อำนาจ อิทธิพลของมัน และไม่ได้รับอิสรภาพ ข้อมูลฝั่งไหนครอบครองพื้นที่ในความคิดของเราได้มาก ฝั่งนั้น ก็ชนะ ข้อมูลของฝั่งไหนอยู่มาก ฝั่งนั้นชนะ ถ้าข้อมูลคิดแต่เรื่องเบื้องบน สวรรค์ๆ พระเยซูชนะ แต่ถ้าคิดแต่ข้างล่างๆ บนโลกใบนี้ ลาภ ยศ สรรเสริญ มารชนะ

ในหนังสือ 2 โครินธ์ พระคัมภีร์ได้สอนวิธีการต่อสู้ในสงครามฝ่ายวิญญาณ ที่เราได้เริ่มอ่านกันแล้ว ที่เน้นว่าเราไม่ได้สู้รบแบบที่โลกนี้เขาทำกัน แล้วอาวุธที่ใช้ทำสงคราม ก็ไม่เหมือนกับบนโลกนี้เขาใช้ทำสงคราม ใช้นิวเคลียร์ ใช้ระเบิด ใช้ปืน แต่ในโลกวิญญาณ ไม่ใช่ 2 โครินธ์ 10:3-5

2 โครินธ์ 10:3-5 “3 เพราะแม้เราอยู่ในโลก เราก็ไม่ได้สู้รบตบมืออย่างที่โลกทำ 4 อาวุธที่เราใช้ต่อสู้ไม่ใช่อาวุธของโลก แต่เป็นอาวุธที่เปี่ยมด้วยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า สามารถทำลายล้างที่มั่นต่างๆ ได้ 5 เราทำลายล้างประเด็นโต้แย้งและคำแอบอ้างทั้งปวง ที่ตั้งตัวขัดขวางความรู้ของพระเจ้า และเราสยบทุกความคิดให้ยอมจำนนเชื่อฟังพระคริสต์”

 

อาวุธที่เปี่ยมด้วยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า  ที่สามารถทำลายล้างที่มั่นต่างๆ ได้ ที่มั่นต่างๆ อยู่ที่ความคิด ก็หมายถึงถ้อยคำพระเจ้า ที่พระคัมภีร์บอกว่าถ้อยคำพระเจ้านั้น คมยิ่งกว่าดาบสองคม แทงทะลุแม้กระทั่งจิตและวิญญาณ ข้อต่อและไขกระดูก ซึ่งเราได้เรียนรู้แล้ว ที่ผมบอกว่าสมัยก่อนชาวยิวใช้มีดสั้น ที่มีความคมทั้งสองด้าน ในการฆ่าสัตว์ และสมัยนั้น มีดแบบนี้ถือว่าเป็นอาวุธที่มีความคมที่สุด พระคัมภีร์จึงเปรียบเทียบถ้อยคำพระเจ้าว่าคมยิ่งกว่าดาบสองคม แทงทะลุทั้งด้านโน้นด้านนี้ ลึกเข้าไปเลย และเป็นอาวุธที่เปี่ยมด้วยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า สามารถทำลายล้าง ประเด็นโต้แย้ง และคำแอบอ้างทั้งปวง ที่ขัดขวางความรู้พระเจ้า  และเป็นอาวุธที่เปี่ยมด้วยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า

อาวุธที่เปี่ยมไปด้วยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าตรงนี้ ก็คือพระเยซู คือถ้อยคำพระเจ้า คือความจริง พระเยซู คือถ้อยคำพระเจ้า และคือความจริง นี่คืออาวุธของเราอย่างเดียวเท่านั้นที่มีฤทธิ์อำนาจมาก

นี่แหละ เราจะชนะด้วยวิธีนี้ เพราะว่าเป็นอาวุธที่เปี่ยมด้วยฤทธิ์อำนาจ สามารถทำลายล้างประเด็นโต้แย้ง มารมันโต้แย้ง ส่งข้อมูล ผ่านทางความคิดของเรา โต้แย้งกับถ้อยคำพระเจ้า ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าร่างกายที่เราเห็นอยู่นี้ ที่วิญญาณเราอาศัยอยู่ในร่างกายทุกวันนี้ มันจะต้องเจ็บ มันจะต้องป่วย และไปสู่ความตายในที่สุด เพราะเหตุจากบาป ตั้งแต่สมัยอาดัม มันต้องตาย นี่คือความจริง

มันก็โต้แย้งว่า … “ไม่ใช่ พระเยซูสามารถทำอัศจรรย์ได้ พระเยซูรักษาคนโรคเรื้อนยังหายได้เลย”

มันเคยบอกพระเยซูใช่ไหม?  ตอนพาพระเยซูไปทดลอง พระเยซูมาเป็นมนุษย์ เพื่อมาเป็นตัวแทนเรา ไม่มีสิทธิ์ทำอะไรต่างๆ ที่ไม่ใช่มนุษย์ มันหลอกพระเยซู ตอนที่พระเยซูอดอาหารในถิ่นทุรกันดาร แล้วพระเยซูหิว เหมือนมนุษย์เราทั่วไป มันบอกว่าถ้าเป็นลูกพระเจ้าจริง สั่งก้อนหินให้เป็นขนมปังเลย หิวๆ อยู่ พระเยซูไม่ทำ เพราะว่าพระเยซูเป็นมนุษย์ ไม่สามารถละเมิดกฎว่าเป็นมนุษย์มาทำอย่างนี้ได้ไง มารมันมีวิธี เล่ห์กลต่างๆ  เพื่อให้เรา ทำอะไรก็ตามที่ตรงกันข้ามกับที่พระเจ้าบอก

เพราะฉะนั้น อาวุธของเรา ก็คือถ้อยคำพระเจ้านั่นเอง พูดง่ายๆ ก็คือไม่ว่าพวกมารจะใช้วิธีอะไร? ใช้ข้อมูลแบบไหนที่มาโกหกเราก็ตาม ถ้าเรามีพร้อม อาวุธของเรา ก็คือพระเยซู … ในนามพระเยซู (ไม่ใช่ไล่ผีออกไปนะ) ในนามพระเยซูออกไปเลย ข้อมูลต่างๆ ที่มันแย้งกับถ้อยคำพระเจ้า ไปให้พ้นเลย ถ้ามันหลอกเราให้เราโลภ

“มาเชื่อพระเจ้าอย่างนี้ พระเจ้าจะอวยพรให้โลภแน่เลยอย่างนี้ ต้องได้ดีแน่เลย ไปลงทุนเลย กู้หนี้ยืมสินมา อัดเข้าไปเลย อย่างนี้ อธิษฐานเยอะแยะเลย อดอาหารมากๆ รับรองได้ รวย”

ถ้าเราเชื่อมัน เราก็ซวย แต่ถ้าเราไม่เชื่อมัน เราไล่เลย

“ไปให้พ้นไอ้ความโลภ” แค่นี้เอง

แล้วก็เอาถ้อยคำพระเจ้าที่พูดถึงว่า “จงพึงพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ พระเจ้าทรงสัญญาว่าพระองค์จะไม่ทอดทิ้ง และไม่ละท่านเลย มนุษย์คนใดเล่าจะทำอะไรท่านได้ พระเจ้าอยู่กับท่านแล้ว”

มีอะไรหรือเปล่า? และไม่ถูกหลอกลงไปในการล่อลวงให้เป็นคนโลภ นี่แหละวิธีการ 2 โครินธ์ 10:6 ลองอ่านดู

2 โครินธ์ 10:6 “และเราพร้อมที่จะลงโทษ ทุกการกระทำที่ไม่เชื่อฟัง หลังจากท่านได้เชื่อฟังอย่างสมบูรณ์แล้ว”

 

คราวนี้ ตรงนี้ต้องอธิบายละเอียดหน่อย เพราะว่าผู้คนพูดกันไปหลายทิศหลายทาง ตอนนี้ท่านพอจะมองเห็น ผมเกริ่นมาตั้งหลายตอน คำว่า “เชื่อฟัง” ฟังให้ดีๆ นะ บางคนเข้าใจว่าเป็นการเชื่อฟังคำสอนของพระเจ้า ในเรื่องการประพฤติปฎิบัติตน ตามกฎดั้งเดิม ตั้งแต่สมัยพระเยซูยังไม่ไถ่ และพอบอกว่าเราพร้อมที่จะลงโทษทุกการกระทำที่ไม่เชื่อฟัง ก็กลายเป็นว่าใครที่ไม่เชื่อฟัง หรือไม่ทำตาม ก็จะเจอการลงโทษ ซึ่งมันไม่ใช่เลย เดี๋ยวจะพาไปดู นี่สงครามฝ่ายวิญญาณ ที่เราอ่านมาตั้งแต่ต้น ที่บอกว่าอาวุธที่เราใช้ต่อสู้ ไม่ใช่อาวุธของโลก เราทำลายล้างประเด็นโต้แย้ง และคำแอบอ้างทั้งปวง ที่ตั้งตัวขัดขวางความรู้ของพระเจ้า และเราสยบทุกความคิด ให้ยอมจำนนเชื่อฟังพระคริสต์

“และเราสยบทุกความคิด ให้ยอมจำนน เชื่อฟังพระคริสต์”

คำว่า “และเราสยบ” ภาษาเดิมแปลว่า “จับ” เหมือนจับอะไรบางอย่างที่มันดิ้น จับแบบออกแรง และบังคับมันด้วย ให้มันเชื่อฟังต่อพระคริสต์ เชื่อฟังต่อพระเยซู พระเยซู คือถ้อยคำพระเจ้า พระเยซูคือความจริง ให้มันเชื่อฟังต่อถ้อยคำพระเจ้า ซึ่งเป็นความจริง

ให้ความคิดของเราเชื่อฟัง อย่าไปนึกถึงมาร ไม่ต้องไล่เลย มารมันอยู่ตรงนั้นแหละ มันไม่ไปไหนหรอก แต่มันจะส่งถ้อยคำ ไล่ข้อมูลผิดๆ ในความคิดของเราออกไป นี่คือการลงโทษ  เห็นไหม? แล้วมันก็มาหลอกเราว่าความคิด กลายเป็นการลงโทษ คนนี้ไม่เชื่อฟัง คนเชื่อตรงนี้ผิดในอดีต จับผู้เชื่อที่ไปทำอะไร ที่เขาไม่เชื่อฟัง ไปเผาทั้งเป็น แล้วกล่าวหาว่าเขาเป็นแม่มด ไม่ต้องอดีตมาก ถ้อยคำแบบนี้ เราจะต้องทำการแก้แค้น ลงโทษผู้ที่ไม่เชื่อฟัง  กลายเป็นคนเลย อ้าว! ถูกหลอกไปอีก คริสเตียนที่ไม่รู้อีโหน่งอีเหน่

“และเราพร้อมที่จะลงโทษทุกการกระทำที่ไม่เชื่อฟัง”

“เรา” ตรงนี้หมายถึงตัวเราเองนั่นแหละ ความหมาย ก็คือเราพยายามที่จะใช้ถ้อยคำ คือความจริงของพระเจ้าในการต่อสู้กับข้อมูลของพวกมาร ข้อมูล ไม่ใช่ตัวมาร เราจะพยายามยืนยันความจริงจากถ้อยคำพระเจ้าเข้าไปที่ความคิดของเรา ให้ถึงที่สุดเลยว่านี่คือของจริง นี่คือใช่ แล้วใช้ฤทธิ์อำนาจนี้จัดการกับความไม่เชื่อฟัง ที่มันโผล่เข้ามาในความคิดของเรา เอเมน จบ ขอบคุณพระเจ้า

และถ้าเรายังมีความคิดตรงไหนที่ยังเผลอไปอยู่ฝั่งตรงข้ามกับพระเจ้า ทำอย่างไร? ลงโทษมันด้วยการขับไล่มันออกไป วิธีขับไล่มันออกไป คือใส่ข้อมูลของพระเจ้าเข้ามาๆ สมมุติว่าตอนนี้ บางคนยังติดนิสัยอยากจะเจออัศจรรย์ในเรื่องพระเจ้า อยากจะไปขับผี อยากไปวางมืออธิษฐาน รักษาโรค อยากไปอะไรต่างๆ เหล่านั้น ไปหาถ้อยคำพระเจ้า ที่บอกว่าการอยู่บนโลกใบนี้ มันเป็นอย่างไร? อย่างที่ตะกี้บอก เอาหนังสือ 2 โครินธ์ 4:4-18 ไปท่องเยอะๆ ท่องมากๆ นั่นคือความจริง ใส่เข้าไปว่าพระเจ้าสอนเราแบบนี้ ให้เราหวังในสิ่งที่เป็นโลกฝ่ายวิญญาณ  ในสวรรค์สถาน ในขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ อย่าหวังในสิ่งที่มองเห็นจับต้องได้ เพราะมันอยู่ชั่วคราว มันพลิกไปพลิกมา มันวิปริตไปแล้ว บนโลกใบนี้ ถ้าไปหวัง ถ้าไปอยากได้ในสิ่งของบนโลกใบนี้ ท่านจะเสียใจ ท่านจะเป็นทุกข์ ให้เราหวังในโลกฝ่ายวิญญาณ นั่นคือความหวังนิรันดร์ และไม่มีใครมาขยับได้ มันเข้มแข็ง แข็งแกร่งเรื่อยๆ ทุกวันๆ นั่นคือพรอันยิ่งใหญ่ ที่พระเจ้าบอกไว้ พรนานานัปการในสวรรค์สถาน  พระองค์ทรงประทานให้มนุษย์เรียบร้อยไปแล้ว ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ที่ไม้กางเขน  เอเมน

เพราะฉะนั้น ใครอยากได้พร? ไปแสวงหาในถ้อยคำพระเจ้าว่าในพระเยซูคริสต์เราเป็นใคร? ในพระเยซูคริสต์ เรามาเชื่อพระเจ้า เราเป็นลูกของพระเจ้า เราได้บังเกิดใหม่แล้ว เกิดมาเป็นลูกของพระเจ้าเลย เกิดมาเป็นผู้ชอบธรรมเลย ไม่ต้องไปทำอะไรให้มันชอบธรรมมากขึ้น เพราะพระเจ้าให้เราเกิดมาเป็น สมัยก่อนที่ยังไม่เชื่อพระเจ้า เราเกิดมาซวย เกิดมาบาป ไม่ได้ทำอะไรเลย เราอยู่ในอาดัม … อาดัมเป็นคนทำ เราเกิดมาบาป เราเกิดมาซวยเลย  เกิดมา นรกรอเราอยู่ ไม่ต้องทำอะไรเลย แต่ในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าทรงประทานพระเยซูคริสต์มาเป็นผู้ช่วยให้รอด ตายที่ไม้กางเขน และเมื่อเราเชื่อ เราได้ตายพร้อมกับพระเยซู ไม่ต้องทำอะไรเลย  อดีตเกิดมาบาปเลย  เพราะอาดัมทำให้เรา ตอนนี้เราเกิดมาเป็นลูกพระเจ้า บริสุทธิ์ สะอาด ไร้มลทิน เรามีตำแหน่งเป็นลูกพระเจ้า สูงเท่าๆ กับอาจารย์เปาโล อาจารย์เปโตร และอาจารย์อื่นๆ รวมทั้งคุณนครด้วย เราพึ่งมาเชื่อเมื่อวานนี้ เราก็มีสิทธิเท่าเขาด้วย

นี่คือความเป็นจริง นี่คือความหวังใจนิรันดร์ ที่เราได้รับ ในสิ่งที่มองเห็นชัดๆ มันเป็นอย่างนี้ และเอาข้อมูลเหล่านี้ ไปพูดให้ตัวเองฟังบ่อยๆ ใส่เข้าไปๆ นี่แหละเขาเรียกว่าจดจ่อความคิดท่านไปที่เบื้องบน ณ สถานที่ที่พระเยซูคริสต์สถิตอยู่ ณ เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน และพระเจ้าก็นำท่านเข้าไปอยู่ในพระคริสต์ ชีวิตท่านซ่อนอยู่ในพระคริสต์ เมื่อพระคริสต์นั่งอยู่ที่เบื้องขวาในสวรรค์สถานกับพระเจ้า ท่านก็ได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาด้วยเช่นเดียวกัน เอเมน

พระเยซูบอกว่าใครก็ตามที่เชื่อในการไถ่ของพระเยซูคริสต์ พอเชื่อปุ๊บ สมมติชีวิตท่าน คือกระดาษแผ่นนี้ พอท่านเชื่อ นี่คือพระคริสต์ พระคัมภีร์บอกว่าพอท่านเชื่อปุ๊บ พระเจ้าใส่วิญญาณท่านเข้าไปอยู่ในพระคริสต์ พระคัมภีร์บอกว่าเราเป็นผู้เชื่อ ตอนนี้เราอยู่ในพระคริสต์ แล้วพระเจ้าบอกว่าในพระคริสต์นี้ พระเจ้าได้ให้พระเยซูคริสต์ตาย ชดใช้บาป ขณะที่พระเยซูคริสต์ตายอยู่ในนรก เพื่อใช้บาป เราก็ตายด้วย เราก็ตายต่อบาป บาปทำอะไรเราไม่ได้แล้ว แล้ววันที่สาม พระเยซูคริสต์ก็เป็นขึ้นมาใหม่ เราก็เป็นขึ้นมาใหม่ด้วยกัน แค่นั้นไม่พอ ในพระคัมภีร์บอกว่าพระเยซูคริสต์ตรัสเองเลย พระเจ้าบอกว่าพระองค์ทรงประทานฤทธิ์เดชอำนาจทั้งหมดในสวรรค์ก็ดี ในโลกก็ดี ทั้งหมดเลย ยกให้พระเยซูและประทานนามนามหนึ่ง และตั้งพระองค์ไว้ที่สูงสุด เหนือนามทั้งปวงเลย วางไว้บนที่สูงสุด แล้วเราก็อยู่ที่สูงสุด ร่วมกับพระเยซู เพราะเราอยู่ในพระคริสต์

สิ่งเหล่านี้ต้องพูดให้ตัวเองฟัง นี่แหละมารมันกลัวมากเลย กลัวกว่าไล่ผีเยอะเลย  นี่คือความจริงทั้งหมด นี่คือถ้อยคำพระเจ้า แล้วท่านมองดูสิ่งเหล่านี้บ่อยๆ เยอะๆ ท่านก็อยู่บนโลกใบนี้ อย่างผู้มีชัยชนะนิรันดร์ เอเมน ท่านก็จะหลุดออกจากสิ่งที่หลอกลวงต่างๆ จะรวย จะมี จะจน อะไรก็แล้วแต่พระเจ้า แล้วอะไรก็ได้ ท่านก็จะไม่กังวล จะเจ็บป่วยอะไรต่างๆ ก็ว่ากันไป จะมีทุกข์บ้าง มีอะไรบ้างต่างๆ บนโลกใบนี้ มันเรื่องธรรมดาของโลกใบนี้ มันเป็นจริง เพราะว่ามันถูกสาปแช่งไปแล้ว ไม่เชื่อไปดูต้นไมยลาพก็ได้ ดูทีไร นึกถึงพระเจ้าทุกที

เพราะฉะนั้น มองเห็นสัจจธรรมอย่างนี้ มันหลอกเราไม่ได้อีกต่อไป  พระคัมภีร์จึงให้เราหนุนจิตชูใจ ซึ่งกันและกัน ตามที่พระวิญญาณบริสุทธิ์หนุนจิตชูใจให้เรา ปลอบประโลมจิตใจของเราทั้งหลาย เพราะว่าอยู่บนโลกใบนี้ มันต้องทุกข์ยากลำบาก เป็นเรื่องธรรมดา แต่พระเยซูบอก แต่เราชนะโลกแล้ว ทนอีกนิดเดียว เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

********************