คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2018 เรื่อง “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท” ตอน 11 “ทำดี เพื่อตอบแทนพระคุณพระเจ้า ไม่ใช่ เพื่อความรอด” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  18  กุมภาพันธ์  2018

 เรื่อง “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท”

ตอน 11 “ทำดี เพื่อตอบแทนพระคุณพระเจ้า

ไม่ใช่ เพื่อความรอด”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท” ตอนที่ 11 มีชื่อตอนว่า “ทำดี เพื่อตอบแทนพระคุณพระเจ้า ไม่ใช่ เพื่อความรอด” เป็นเรื่องราวที่ต่อเนื่องจากครั้งที่แล้ว เรามาทบทวนกันหน่อยว่าครั้งที่แล้ว เราได้เรียนอะไรกันไป และเรื่องราวในวันนี้ จะต่อเนื่องกันอย่างไร? ครั้งที่แล้ว เราได้ทำความเข้าใจกับความหมายที่แท้จริงของถ้อยคำพระเจ้า ในหนังสือมัทธิว ที่พระเยซูบอกว่า …

“บรรดาผู้ที่เหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก จงมาหาเรา เราจะให้ท่านหายเหนื่อยและเป็นสุข”

ซึ่งเราได้เรียนรู้แล้วว่าคำๆ นี้ เป็นคำที่เกี่ยวข้องกับเรื่องโลกฝ่ายวิญญาณเท่านั้น และเราได้เรียนรู้กันมาตั้งนานแล้ว ผมได้บอกตั้งหลายครั้งแล้วว่าพระคัมภีร์ทั้งเล่ม 99% เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับวิญญาณ ต้องเตือนตัวเองตลอดเวลา เพราะฉะนั้น  คำนี้ ก็เป็นคำที่เกี่ยวข้องกับเรื่องฝ่ายโลกวิญญาณเช่นเดียวกัน

“บรรดาผู้ที่เหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก (ในวิญญาณ)”

หมายถึงผู้ที่กำลังแบกภาระ จากความพยายามที่จะทำให้ตัวเองหลุดพ้นจากบาปเวรกรรม ที่ต้องชดใช้ รู้อยู่ลึกๆ ในใจ สำนึกของทุกคน รู้ดีว่าตัวเองเป็นคนบาป  และต้องการที่จะหนีจากความบาป ที่เราพูดกันติดบาปว่า …

“เมื่อไรมันจะใช้เวร ใช้กรรมหมดสักที เกิดมามีเวร มีกรรมจริง” ไม่ต้องมีใครสอน ก็พูดได้

และคำว่า “เราจะให้ท่านหายเหนื่อยและเป็นสุข” ก็หมายถึงได้พักสงบทางวิญญาณ จากการได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์  มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดจากบาปเวรกรรมที่ต้องชดใช้ พระเยซูคริสต์เป็นแพะรับบาป แทนให้กับฉัน มันก็เลยสบาย เอาแอกออกไป เอาหนี้ออกไป ในโลกวิญญาณ แต่ทางฝ่ายร่างกาย ใช้หนี้ธนาคาร ที่ไปเบิกเขามา ไปกู้เขามาซื้อบ้าน ผ่อนเดือนละ 20,000 แม้ว่ามาเชื่อพระเยซูแล้ว ยังต้องจ่าย ไม่จ่าย เขาก็มายึดบ้านไป จบ  เห็นชัดไหม?

วิญญาณของเรา จะได้รับอิสรภาพ เมื่อเราเชื่อในพระเยซูคริสต์ว่าเป็นแพะรับบาปของเรา เป็นผู้รับบาปเราไป วิญญาณเราไม่ต้องตกอยู่ภายใต้การชดใช้บาปเวรกรรมอีกต่อไป ไม่ต้องแบกภาระหนักเหน็ดเหนื่อย ในการชดใช้แต่ละวันๆ  ไม่ต้องบ่นอีกต่อไป และไม่ต้องพูดออกจากปากอีกต่อไปว่าเมื่อไรมันจะหมดเวร หมดกรรมสักที เพราะว่าฉันเชื่อพระเยซู หมดเวรไปแล้ว เพราะพระเยซูได้เอาความบาปออกไปจากชีวิตฉันเรียบร้อยแล้ว เอเมน มันก็หายเหนื่อย

คำว่า “พระเยซูทำให้หมดแล้ว” ไม่ได้หมายความว่าพระเยซูยกเลิกศีลธรรมคุณงามความดีต่างๆ ที่ผู้คนสอนกันมาตลอดเวลา ซึ่งพระเจ้าเป็นผู้ประทานให้ตั้งแต่สมัยโบราณ พระเยซูก็จะทรงสอนเอง สอนทั้งฟาริสี สอนทั้งคนทั่วไปว่าที่กำหนดเอาไว้มนุษย์ต้องทำตัวเองให้บริสุทธิ์ สะอาด ต้องรักษาศีล ทำสิ่งที่ดีงาม ห้ามทำบาป ห้ามทำสิ่งที่ผิดต่างๆ เหล่านั้น สอนกันมาตั้งแต่โบร่ำโบราณ พระเยซูบอก …

“ฉันไม่ได้มาลบพวกนี้ทิ้งหมด พวกนี้ยังอยู่นะ”

ศาสนาก็เหมือนกับรัฐบาล เหมือนกับกฎหมายทางศีลธรรมของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นศาสนาไหนก็ตาม มีบทบัญญัติ มีระเบียบข้อบังคับต่างๆ ที่บอกว่าสิ่งใดต้องทำ สิ่งใดห้ามทำ ซึ่งของคริสเตียน ก็เช่นเดียวกัน มีบทบัญญัติที่ถูกวางไว้ตั้งแต่สมัยโมเสสแล้ว บทบัญญัติเหล่านี้ ซึ่งเป็นที่เข้าใจดีว่าถ้าใครปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ตามสิ่งเหล่านี้ ก็จะได้สิ่งที่ดีๆ เรียกว่าพระพร ใครไม่ประพฤติตาม ก็จะถูกลงโทษ พระเยซูบอกว่าพระองค์ไม่ได้มายกเลิกบทบัญญัติเหล่านี้นะ แต่พระองค์มาเสริม และเน้นให้ชัดเจนขึ้นอีกว่ากฎ ทั้งศีลและธรรมเหล่านี้  ข้อห้ามและข้อให้ทำเหล่านี้ พระเจ้าเป็นผู้มอบให้กับมนุษย์เอง เป็นสิ่งที่ดีงาม พระองค์เสริมว่าอย่างไร?

ใครที่จะเข้าไปอยู่ในสวรรค์ได้นั้น สวรรค์ ก็คือบ้านของพระเจ้า บ้านที่พระเจ้าทรงสถิตอยู่ และมนุษย์ทุกคนลึกๆ ในใจ อยากจะไปอยู่ที่นี่ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเรียกภาษาอะไรก็ตาม อยากอยู่ในสวรรค์ทั้งนั้น พระเยซูก็อธิบายให้ชัดเจนขึ้นว่าใครที่อยากจะเข้าไปอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า ขาต้องรักษาศีล รักษาความดีให้ครบถ้วนบริบูรณ์ที่สุด ถึงขั้นที่สะอาดบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า ถึงจะไปอยู่ในสวรรค์ได้

ยกตัวอย่างนิดหนึ่ง เช่น บทบัญญัติที่บอกว่าห้ามฆ่าคน เราก็รู้แล้วว่าดี ทุกศาสนาก็บอกว่าห้ามฆ่าคน แต่การจะดีพร้อมเหมือนพระเจ้า ตามที่พระเยซูบอก คือแค่โกรธ ก็ไม่ได้

ไปด่าพี่น้องว่าไอ้โง่ ก็ไม่ได้ ก็ถือว่าเป็นบาปแล้ว อันนั้นตกนรกแล้ว

บทบัญญัติเดิมบอกว่าห้ามล่วงประเวณี แต่การจะดีพร้อมเหมือนพระเจ้า ไปอยู่ในสวรรค์ได้ ต้องทำได้มากกว่านั้น แค่มอง แล้วเกิดความรู้สึก คือเกิดความต้องการ ก็ผิดแล้ว ก็เท่ากับล่วงประเวณี บาปไปแล้ว

บทบัญญัติเดิมบอกว่าตาต่อตา ฟันต่อฟัน สู้กัน แต่การจะดีพร้อมเหมือนพระเจ้า ต้องอดทน ให้อภัยทุกอย่าง คนตบแก้มซ้าย ให้ยื่นแก้มขวาให้เขาตบด้วย ใครขอเสื้อท่าน ท่านต้องเอาเสื้อคลุมให้เขาด้วย ทำได้ไหม?

ไม่มีใครสามารถรักษากฎบัญญัติเหล่านี้ได้หรอก กฎธรรมดาก็ไม่ได้แล้ว นี่พระเยซูมาเสริมอีก ฟาริสี หรือนักศาสนา พยายามที่จะปฏิบัติตามศีลธรรมของตนที่วางไว้ ตามที่พระเจ้ากำหนดไว้ อย่างมากที่สุด ก็ได้เยอะนะ หรือเรียกว่าเป็นปุโรหิต ก็มี ถือว่าเป็นบรรดาพระชั้นผู้ใหญ่ ในยิวผู้เคร่งศาสนาก็มี คิดว่าตัวเองทำได้ยอดเยี่ยมแล้วนะ เป็นมหาอาจารย์ แต่พอมาเจอพระเยซูพูด หงอยเลย

“ที่ฉันคิดว่าฉันทำได้หมด มันเป็นศูนย์ไปเลย ฉันคิดว่าฉันไม่ฆ่าคน ฉันก็ดีแล้ว ไม่ฆ่าสัตว์ก็ดีแล้ว แต่ที่ไหนได้ วันก่อนฉันด่าลูกศิษย์ไป โมโหลูกศิษย์”

แค่นี้ ก็เท่ากับฆ่าคนแล้ว อะไรอย่างนี้ ทำให้มนุษย์หมดสิทธิ์ที่คิดว่าทำเองได้  ตามบทบัญญัติของพระเจ้า พูดง่ายๆ คือทำไม่ได้นั่นเอง มันเป็นไปไม่ได้เลย เมื่อเป็นไปไม่ได้ พระเจ้าจึงวางกฎไว้ว่ารู้แล้วว่ามนุษย์ทำไม่ได้ จึงต้องหาตัวช่วย ไม่อย่างนั้น มนุษย์ตายแน่ ตกนรกอย่างเดียวแน่นอน ไม่มีทางช่วยตัวเองได้ เมื่อกฎเกณฑ์ยังอยู่ บทบัญญัติยังอยู่ แต่มนุษย์ไม่สามารถทำได้ด้วยตัวเอง  พระเจ้าจึงส่งพระเยซูมาเป็นแพะรับบาป มาทำแทน

คำว่า “สำเร็จแล้ว” ที่พระเยซูพูดที่ไม้กางเขน คือจ่ายหนี้หมดแล้ว แปลเป็นภาษากรีกวันนั้น  บ่าย 3 โมง ที่เนินเขาโกละโกธา ที่ถูกตรึงกางเขนอยู่ ตอนสิ้นพระชนม์ ที่บอกสำเร็จแล้ว Testelesti จ่ายหนี้ให้มนุษยชาติทั้งหมดแล้ว มารับสิทธิ์ของเธอไปเลย นี่คือข่าวดี

ความหมาย ก็คือบทบัญญัติทั้งหลาย ศีลธรรมทั้งหลาย  ความดีงามทั้งหลาย ที่มนุษย์จำเป็นต้องประพฤติปฏิบัติตามนั้น ได้ถูกกระทำแทนแล้ว โดยฉัน คือพระเยซูคริสต์ สำเร็จครบถ้วนบริสุทธิ์ บริบูรณ์จริงๆ ที่ไม้กางเขนนั้น  ผลตามมา ก็คือมนุษย์ได้ถูกชำระให้สะอาดบริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเจ้าแล้ว มารับสิทธิของเธอไปเลย แค่นั้นเอง และเมื่อมนุษย์ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์สะอาด ดีพร้อมเหมือนพระเจ้าแล้ว สามารถเข้าสู่อาณาจักรสวรรค์ทันทีเลย

นี่คือเป้าหมายสูงสุดแล้ว ไม่มีอันอื่นแล้ว ที่ดีกว่านี้ พระเจ้าก็ต้องการตรงนี้ มนุษย์ก็ต้องการแค่นี้เอง ไม่มีอะไรที่อยากได้มากกว่านี้อีกแล้ว มนุษย์ก็ไม่จำเป็นต้องทำตามกฎบัญญัติอีกต่อไป  เพราะว่ามันได้ไปแล้ว

เพราะฉะนั้น บทบัญญัติเหล่านี้ยังอยู่ เฉพาะผู้ที่ไม่เชื่อในการไถ่บาปของพระเยซู แต่สำหรับคนที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ เชื่อในการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ ยอมรับว่าพระเยซูคริสต์เป็นแพะผู้รับบาปแล้ว สำหรับเขา บทบัญญัตินี้เท่ากับเป็นศูนย์ไปแล้ว นี่คือหัวใจของข่าวประเสริฐของพระเยซู

ตอนมาเชื่อวันแรก เราบอกว่าพระเยซูเป็นผู้ไถ่บาป ความรอดมาถึงเราฟรีๆ เราไม่ต้องทำอะไรเลย พอเชื่อไปสักพักใหญ่ๆ ท่านเริ่มมี list ในใจ ในหัว ในความคิดท่านแล้วว่า …

“ฉันมาเป็นคริสเตียนแล้ว ฉันควรจะทำอะไร? ไม่ควรทำอะไร? ฉันต้องทำอะไร? ไม่ต้องทำอะไร?”

แล้วก็ได้รับการสอนว่าถ้าทำได้แบบนี้ ก็จะได้เป็นที่พอพระทัยพระเจ้ามาก จะได้รับพระพร ไหนบอกอิสรภาพ กฎใหม่มาแล้วเนี้ย  เข้ามานั่งปุ๊บ ทำอย่างนี้ จะได้พระพร ก็แปลว่าถ้าไม่ทำ พระเจ้าไม่พอพระทัย (ถูกลงโทษ) หรือหนักเข้าไปอีก บางรายถ้าฝ่าฝืน จะกลายเป็นคนบาปเหมือนเดิม ชักไม่แน่ใจแล้วว่าตกลง ฉันรอดหรือไม่รอด หนักกว่านั้นอีก บางคนบอกว่า …

“ท่านผู้เชื่อใหม่ทั้งหลาย ถ้าท่านไม่ทำตามนี้นะ วันสุดท้าย วันที่พระเยซูกลับมาใหม่ หรือท่านไป เจอพระเยซู แล้วพระเยซูจะบอกท่านว่า ‘เราไม่รู้จักเจ้า’”

ถ้าหลักของความเชื่อแบบนี้ เป็นความจริง มาเชื่อพระเจ้าแล้ว มีข้อห้าม อย่าทำอันนี้ ต้องทำอันนั้น ผมคิดว่าในสวรรค์ของพระเจ้า คงต้องมีเครื่องคอมพิวเตอร์สำหรับคิดเลข อันใหญ่เลย  แล้วก็มีโปรแกรมของพวกเรา แต่ละคนไว้ในนั้น ทุกคน แทนที่จะจดชื่อไว้ในสมุดแห่งความรอดบนสวรรค์ จดไว้ในคอมพิวเตอร์ เพื่อวัดดูว่าทำอะไรไปบ้าง? วันนี้ทำความดีได้พอสมควร +5 คะแนน พรุ่งนี้พูดโกหก โดนหัก 8 คะแนน มะรืนนี้บริจาคให้คนจน ได้ +10 คะแนน มะเรืองนี้ บริจาคให้คนจนเหมือนกัน แต่ -10 ทำไมล่ะ เพราะเที่ยวก่อนบริจาคด้วยใจจริง ไม่ได้หวังสิ่งตอบแทน แต่วันนี้ บริจาค เพราะอยากได้ชื่อเสียง เลย -10 จนถึงวันสุดท้าย ที่อยู่บนโลกนี้ เป็นวันปิดการโหวต ปิดการนับคะแนน บวก ลบ คูณ หาร เบ็ดเสร็จแล้ว ใครที่ได้คะแนนรวมแล้ว เกิน 100 คะแนน ได้ไปอยู่ในสวรรค์กับเรา ซึ่งถ้าเป็นแบบนี้ พระเยซูคงไม่บอกว่า …

“จงมาหาเรา เราจะให้ท่านหายเหนื่อยและเป็นสุข”

ถ้าเป็นอย่างนี้ ขอเหนื่อยแค่นั้นพอแล้ว มาหาพระเยซูยิ่งเหนื่อยกว่าเดิม จะอะไรมากขนาดนั้น พระเยซูบอกข่าวประเสริฐของพระเยซูง่ายนิดเดียว ทำให้หมดแล้ว แล้วเราไปทำให้มันเหนื่อยมาก

แบบนี้ไม่ใช่หลักการของความเชื่อ ไม่ใช่ลักษณะของพระคุณพระเจ้า  เชื่อและพระคุณ คือเราไม่ต้องทำอะไร? มีบางท่านทำให้เราเสร็จ เชื่อ หมายถึงเชื่อว่าเขาทำให้เรา พระคุณ หมายถึงทำโดยที่เราไม่ทำอะไรเลย เราไม่สมควรได้รับ เขาเรียกว่าพระคุณ ไม่ใช่บุญคุณ พระคุณพระเจ้า ก็คือเราได้รับการชำระให้บริสุทธิ์สะอาด ดีพร้อมเหมือนพระเจ้า เราได้รับความรอดนี้ เรียบร้อยไปแล้ว เมื่อพระเยซูทรงทำให้เราสะอาดหมดจด เรียบร้อยไปแล้วที่ไม้กางเขน เมื่อเราได้รับสิทธิของเรา ในความเชื่อนี้แล้ว เราสะอาดหมดจด บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้านิรันดร์ ไม่สามารถทำให้เรากลับไปสกปรกได้อีกแล้ว เอเมน ไม่มีทาง เป็นไปไม่ได้เลย สะอาดก็สะอาด สกปรกก็สกปรก ไม่มีการมาแยกกลับไปกลับมา วันนี้สกปรก พรุ่งนี้สะอาด คอมพิวเตอร์พังหมดเลย  คิดไม่ทัน เพราะสมองเรามีแต่เดี๋ยวสกปรก เดี๋ยวสะอาด เดี๋ยวโกรธ เดี๋ยวเกลียด เดี๋ยวรัก เดี๋ยวชัง คอมพิวเตอร์อาจจะพังไปเลย สำหรับคนๆ เดียว อยู่ไป 80 ปี ถูกไหม? ถ้าท่านเชื่อ ท่านก็ได้รับความรอดนิรันดร์

เมื่อบทบัญญัติทั้งหลาย ได้ถูกกระทำให้ครบถ้วนบริบูรณ์ เรียบร้อยไปแล้ว ที่ไม้กางเขน ไม่มีสิ่งใดที่จะทำให้บทบัญญัตินั้น บกพร่องหรือตกหล่นไปได้อีกแล้ว เพราะว่าสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทำ มันเรียบร้อย มันสมบูรณ์แบบแล้ว ไม่ต้องเติมเข้าไปอีก มันครบแล้ว พระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าทรงรักและห่วงใยเราอย่างมากที่สุด เพราะฉะนั้น ไม่มีสิ่งใดที่เราจะสามารถทำให้พระเจ้ารักเราได้มากกว่านี้อีกแล้ว เพราะว่าเราเป็นลูกของพระองค์แล้ว จบแล้ว เมื่อเราเป็นลูก พระองค์ก็รักเราในฐานะที่เป็นลูก เราจะดี จะเลว ไปปฏิบัติตัวอย่างไร? พระองค์ก็รักเราเป็นลูก พอเห็นไหม? เราจะทำดีแค่ไหน เราก็เป็นลูก ไม่มีมากขึ้น อีกคนหนึ่งในสายตาของมนุษย์ อาจจะทำแย่กว่าเรา พระองค์ก็รักเขาเป็นลูก ยังไงๆ ก็เป็นลูก

เพราะเหตุมันเกิดจากความเชื่อของคนๆ นั้น ในการกระทำของพระเยซูคริสต์ ที่ไม้กางเขน  ทำให้คนนั้นวิญญาณเกิดใหม่ มาเป็นลูก ไม่ใช่ เป็นลูก เพราะว่าเขาทำดี  มาเป็นลูก ไม่ได้ทำอะไรเลย โจรบนไม้กางเขน จึงสามารถเป็นลูกของพระเจ้าได้ ขณะเดียวกันกับมหาปุโรหิตของยิว ที่ติดสนิทกับพระเจ้ามาตลอด แต่เย่อหยิ่งจองหอง คิดว่าตัวเองดีพร้อม ไม่ได้เป็นลูกของพระเจ้า เพราะว่ารักษาบัญญัติไม่ครบถ้วนบริบูรณ์

ยกตัวอย่างง่ายๆ โต๋เต๋  ผมรักเขา เพราะเขาเป็นลูก เขาจะทำอย่างไร? เขาก็เป็นลูก ผมอยากให้เขาทำสิ่งที่ดี อยากให้เขาเชื่อฟัง แต่ถ้าเขาไม่เชื่อฟัง เขาก็เป็นลูก เขาทำดี เขาก็เป็นลูก เขาทำไม่ดี เขาก็เป็นลูก ไม่ใช่เพราะเขาทำดีหรือไม่ดี แต่เขาเป็นลูก เพราะว่าเขาเกิดในตระกูล เกิดจากผม

เพราะฉะนั้น ไม่ใช่เพราะการกระทำดีใดๆ ที่ทำให้เราเป็นลูกของพระเจ้า แต่เป็นความเชื่อในพระเยซูคริสต์เท่านั้น ทั้งหมดนี้ แปลว่าเราไม่จำเป็นต้องทำตามบทบัญญัติอีกต่อไปแล้วใช่ไหม? ไม่จำเป็นต้องรักษาศีลธรรมอันดีอีกแล้วเหรอ ไม่จำเป็นต้องทำความดีอีกแล้วใช่ไหม? เพราะความรอดจากบาป ได้มาเป็นลูกของพระเจ้า ที่เราได้รับมาแล้วนั้น เป็นความรอดแบบนิรันดร์ เปลี่ยนแปลงไม่ได้แล้ว เป็นลูกแล้ว โต๋เต๋ก็เป็นลูกแล้ว เราก็เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เปลี่ยนแปลงไม่ได้แล้ว แล้วจะไปทำดีทำไม? เราอาจจะคิดอย่างนั้น

เป็นความรอดที่มาจากพระคุณพระเจ้า  ได้มาฟรีๆ เราไม่ได้ทำเอง เพราะฉะนั้น  เราจะประพฤติตัวอย่างไรดี? เราจะประพฤติตัวเหลวแหลกก็ได้ใช่ไหม? ถ้าท่านคิดภาพเช่นนั้น  ท่านลองคิดว่าโต๋เต๋อยากไปทำอะไรก็ได้ โต๋เต๋เป็นลูก อย่างไรพ่อก็ไม่มีทางกำจัดเราไปจากลูก เราก็ยังเป็นลูกอยู่ดี เดี๋ยวมรดกก็ต้องได้อยู่ดี เพราะฉะนั้น ทำตัวอย่างไรก็ได้ ไม่ต้องสนใจ ท่านต้องคิดภาพอย่างนี้ ท่านจะได้มองเห็น พอนึกถึงลูกมนุษย์ ท่านจะนึกว่ามันเป็นไปไม่ได้ นั่นแหละ ในทางวิญญาณ เราเป็นลูกพระเจ้า ก็เช่นกันว่าสิ่งที่เราคิด เป็นไปได้ไหมว่าเราเป็นลูกพระเจ้า แล้วเราจะทำอะไรก็ได้ ไม่สนใจแล้ว เพราะตอนนี้สบาย มันเป็นอย่างนั้นหรือ?

เพราะเมื่อรอดแล้ว โดยพระคุณพระเจ้าแล้ว ผ่านทางพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ได้ลบล้างบาปให้กับเราหมดแล้ว ทั้งบาปในอดีต บาปในปัจจุบัน และบาปในอนาคตทั้งหมด เพราะฉะนั้น จากนี้ไป การกระทำใดๆ ความประพฤติใดๆ ก็ไม่มีผลต่อความรอดของเราอีกต่อไปแล้ว นี่คือหลักการจริงๆ ในพระคัมภีร์ ถามว่าคิดแบบนี้ ถูกหรือผิด? เรามาดูว่าในพระคัมภีร์เขียนว่าอย่างไร? โรม 6:5

โรม 6:5 “เช่นนี้แล้ว จะเป็นอย่างไรต่อไป เราจะทำบาป เพราะเราไม่ได้อยู่ใต้บทบัญญัติ  แต่อยู่ใต้พระคุณหรือ? อย่าให้เป็นเช่นนั้นเลย”

 

เปาโลตอบว่า “อย่าให้เป็นเช่นนั้นเลย” อาจารย์เปาโลกำลังเตือนสติคริสเตียน ที่เชื่อแล้ว ที่คิดแบบเมื่อตะกี้นี้ พระเยซูให้เรารอดพ้นจากความบาป โดยที่เราไม่ต้องกระทำด้วยตัวเอง แล้วเราจะละเลย ต่อการประพฤติปฏิบัติอันดีงาม ละเลยต่อศีลธรรมอันดีหรือ! ไม่ใช่อย่างนั้น เรามาสอนเพื่อที่จะเน้นให้ทำมากขึ้นด้วย เหมือนที่พระเยซูเน้น ในลักษณะของความจริง ก็คือสำนึกในจิตใจของเรา ในวิญญาณของเรา เราอยากจะทำทุกอย่างตามที่พระเจ้าสอนหมด แต่เราก็รู้ตัวเองดีว่าเราไม่สามารถทำให้ครบถ้วนบริบูรณ์ ตามกฎเกณฑ์ที่พระเจ้าวางไว้ได้ ยิ่งรู้ถึงพระคุณมากเท่าไร? ก็จะสัมผัสถึงความรักของพระเจ้ามากเท่านั้น ข้างในใจก็อยากจะทำให้ดีที่สุด เท่าที่เราจะทำ

พระคัมภีร์บอกว่าเมื่อเราต้อนรับพระเยซูเข้ามาในชีวิตเราแล้ว เมื่อเราได้รับความรอดแล้ว วิญญาณข้างใน ก็จะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ได้ถูกสร้างใหม่ เกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้า มีความต้องการที่จะทำตามคำสอน คำบอกเล่าของพระเจ้าแน่นอน แต่ทำในลักษณะที่เป็นลูก ไม่ได้เป็นทาส ทำตามด้วยความรัก ด้วยการอยากจะทดแทนพระคุณของพระเจ้ามากกว่าอย่างอื่น สำคัญกว่านั้น อยากทำ เพราะวิญญาณมันบังเกิดใหม่แล้ว เหมือนพระเจ้า วิญญาณสะอาด ทำบาปไม่เป็นเลย  ตัวข้างใน อยากจะทำในสิ่งที่ธรรมชาติของเขาเป็น ก็คือเป็นลูกพระเจ้า อยากทำสิ่งที่สะอาดหมดจด บริสุทธิ์นั่นเอง มันเป็นธรรมชาติ อยากทำ แต่ทำไม่ได้ เพราะมันยังอยู่ในเนื้อหนัง ที่มีเชื้อบาปอยู่ ก็คือความคิดเก่าๆ วิญญาณที่อดีต ก่อนจะรับเชื่อในพระเยซูคริสต์ ก่อนที่จะรับสิทธิของเราในพระเยซูคริสต์ วิญญาณที่อดีต เป็นศัตรูกับพระเจ้า  เรียกว่าความบาป ไม่อยากทำตามพระเจ้าเลย  โกรธเกลียดพระเจ้า พระเจ้าพูดขาว ฉันบอกดำ พระเจ้าบอกดำ ฉันบอกขาว พระเจ้าบอกสูง ฉันก็บอกเตี้ย พูดออกมาเถอะ ฉันจะต้องต้านหมดแหละ เพราะธรรมชาติวิญญาณฉันต่อต้านตลอดเวลา ไม่ใช่เพราะมีเหตุผล หรือไม่มีเหตุผล ก็เหมือนกับทุกวันนี้ เราไปประกาศ บางคนยังไม่ทันฟังอะไรเลย ไม่เอาๆ ไม่ดีๆ มันเหนือเหตุผล เข้าใจใช่ไหมครับ?

วิญญาณข้างในมันต่อต้านกับพระเจ้า ไม่ว่าพระเจ้าจะพูดอะไร ฉันต่อต้านหมดแหละ พระเจ้าบอกสว่าง ฉันบอกมืด พระเจ้าบอกอย่านอนดึก ฉันนอนดึก อะไรอย่างนี้ พระเจ้าบอกไม่ดีๆ ฉันจะกิน ในพระคัมภีร์มีอย่างนี้จริงๆ ถ้าฟังจากภาษาเดิม มันแปลว่าอย่างนั้นจริงๆ มีอะไรหรือเปล่า? คือเย่อหยิ่งมากกับพระเจ้า เพราะไม่ได้ตั้งใจจะเย่อหยิ่ง มันเย่อหยิ่งจากธรรมชาติที่อยู่ในวิญญาณ พอมาเชื่อพระเยซู แล้วเกิดใหม่ วิญญาณเป็นเหมือนพระเจ้า มันก็ตรงกันข้ามกัน อะไรๆ ก็ทำตามพระเจ้าหมดทุกอย่างเลย พระเจ้าบอกขาว ฉันก็บอกขาว พระเจ้าบอกดำ ฉันบอกดำ หมดเลย  พระเจ้ายังไม่ได้บอก ฉันเอเมน ไปอ่านดู พระคัมภีร์บอก จากนี้ต่อไป ทุกสิ่งทุกอย่าง เอเมน เพราะว่าข้างในบริสุทธิ์ อินโนเซ้นท์ สำหรับบาปเลย  แต่เนื่องจากมันยังอยู่บนโลกใบนี้ มันยังอยู่ในร่างกาย  ร่างกายนี้ลงหลุมฝังศพ เมื่อไร มันหมดฤทธิ์ วิญญาณมันเชื่อฟังพระเจ้าอยู่แล้ว

พระคัมภีร์ในโรมจึงบอกว่าขณะที่เราอยู่บนโลกใบนี้  วิญญาณฉันรับใช้พระเจ้า เอเมนกับพระเจ้าตลอด แต่เนื้อหนัง ของเก่ามันยังอยู่ในนี้ตลอด มันก็รับใช้ความคิดเก่าๆ เชื้อของความบาปอยู่ สู้กับมันตลอดเวลา นี่คือความเป็นจริง

โคโลสี 2:6-7 บันทึกไว้อย่างนี่ “6 ดังนั้น ในเมื่อท่านได้รับพระเยซูคริสต์ เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว ก็จงดำเนินชีวิตในพระองค์ต่อไป 7 ด้วยการหยั่งราก และรับการก่อร่างสร้างขึ้นในพระองค์ มั่นคงขึ้นในความเชื่อ ตามที่ได้รับการสอนมา และเต็มล้นด้วยการขอบพระคุณ”

 

โดยความเชื่อ เราทราบว่าเราสะอาดหมดจดแล้ว บริสุทธิ์แล้ว โดยพระโลหิตพระเยซูคริสต์ ได้ไปอยู่ในสวรรค์แล้ว เราไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติมเลย แต่เราต้องการดำเนินชีวิต ให้สมกับที่เราบริสุทธิ์แล้ว เรียบร้อยแล้ว จากการไถ่บาปของพระเยซู

ตะกี้นี้เราอ่านพร้อมกัน บอกว่า “ดังนั้น ในเมื่อท่านได้ต้อนรับพระเยซูแล้ว เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว ก็จงดำเนินชีวิต ในพระองค์ต่อไป”

ให้รู้ว่าตัวเองบริสุทธิ์ สะอาด และอยู่ตรงนี้แล้ว ตอนนี้เลย ไม่ต้องรอตายไปแล้ว จึงไป ทันทีทันใด เมื่อท่านเชื่อพระเยซู วิญญาณท่านก็เป็นอย่างนี้

สมัยก่อนนี้ กลับตรงกันข้ามกัน ผมอยากทำอะไรก็ตาม ที่วิญญาณอันมืดบอดของผม วิญญาณที่ต่อต้านกับความดีงามของพระเจ้า ข้างนอกอยากทำ ข้างในมันก็บอกไม่เอา ผมก็ต้องสู้กับมันตลอด เขาเรียกว่าชดใช้หนี้เวรกรรม ก็คือหนึ่งในจำนวนนั้น ข้างในบังคับมันเท่าไร? เดี๋ยวโผล่มาอีกแล้ว เมื่อไรจะใช้หนี้หมดเวรหมดกรรมสักทีหนึ่ง แต่เดี๋ยวนี้ เมื่อมาเชื่อพระเยซู หมดหนี้ หมดเวร หมดกรรมแล้ว วิญญาณข้างใน มันบริสุทธิ์สะอาด มันไม่ได้ถูกบังคับให้ทำ แต่มันอยากทำโดยธรรมชาติ ทำผิดไป ก็ยังรู้ตัวว่าฉันบริสุทธิ์สะอาด เป็นลูกของพระเจ้า เดี๋ยวเริ่มต้นใหม่ๆ อยากทำ เพราะว่ามันสมควรที่จะกระทำ เพราะฉันเป็นลูกพระเจ้าแล้ว โต๋เต๋สมควรทำ เพราะโต๋เต๋เขาเป็นลูกของคุณนครนะ เขาสมควรจะทำอย่างนี้ ไม่ใช่เขาต้องทำ ถ้าไม่ทำ เดี๋ยวถูกเฉดหัวออกไป ไม่ได้เป็นลูกของผม ไม่ใช่

นี่แหละ คือแรงจูงใจของการที่จะทำในสิ่งที่ดีงาม ในขณะที่เรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว มันควรจะสอนในลักษณะแบบนี้มากกว่าที่จะบอกว่าอะไรต้อง อันนี้ไม่ต้อง ยุ่งไปหมดเลย ให้มันขึ้นตรงกับพระเจ้า ทำเพราะรักพระเจ้า

ในพระคัมภีร์ใหม่ทั้ง 1 เปโตร ทั้งโรม ทั้งยอห์น อัครสาวกทั้งหลาย ได้สอนอย่างนี้ว่า …

“จงบริสุทธิ์ เพราะพระเจ้าบริสุทธิ์”

แล้วก็เติมต่อว่าพระเยซูบอกว่าจงบริสุทธิ์ เพราะพระเจ้าบริสุทธิ์ แต่เมื่อพระเยซูมาไถ่บาปให้กับเรา แล้วเปโตร เปาโลจึงบอกว่า …

“จงบริสุทธิ์ เพราะพระเจ้าได้ทำให้ท่านบริสุทธิ์แล้วตอนนี้ พระเยซูทำให้ท่านบริสุทธิ์แล้ว จากนี้ต่อไป สมควรที่จะมีชีวิตอยู่อย่างบริสุทธิ์ เพื่อเป็นการทดแทนพระคุณของพระเจ้า”

โคโลสี 2:8-10 สังเกตดูว่าพอมาเชื่อพระเจ้าแล้ว มันก็เกิดขึ้นอย่างนี้ ในอดีต 2,000 ปีมาแล้ว  ปัจจุบันก็เป็นอย่างนี้

โคโลสี 2:8-10 “8 จงระวังให้ดี อย่าให้ใครมาจับท่านเป็นทาส ด้วยปรัชญาอันไร้แก่นสารและหลอกลวง ซึ่งอาศัยธรรมเนียมปฏิบัติ ที่มนุษย์ถ่ายทอดกันมา และหลักการพื้นฐานต่างๆ ของโลกนี้ แทนที่จะอาศัยพระคริสต์ 9 เพราะในพระคริสต์ พระลักษณะทั้งสิ้นของพระเจ้าดำรงอยู่อย่างบริบูรณ์ ในพระกายของพระองค์ 10 และท่านได้รับความบริบูรณ์ในพระคริสต์ ผู้ทรงเป็นศีรษะเหนือเทพผู้ทรงเดชานุภาพ และเทพผู้ทรงอำนาจทั้งสิ้น”

 

เปาโลเตือนผู้เชื่อทั้งหลายว่าหลักการ หรือแก่นสารที่แท้จริงของผู้ที่เชื่อในการไถ่บาปของพระเยซู คือเชื่อในการกระทำของพระเยซูเท่านั้น ไม่พึ่งพา การกระทำของตัวเอง เพราะฉะนั้น ถ้ามีใครมาบอก หรือมาสอนว่าจะทำอะไร? หรือควรจะทำอะไร? ห้ามทำอะไร? ต้องทำอะไร? เพื่อรักษาความรอด อะไรทำแล้ว ทำให้เราหลุดจากความรอด หมายถึงความรอดหายไป ฟันธงไปเลยว่ามันหลอกลวง

สมัยก่อนช่วงตรุษจีนจะมีคนถามว่า “อันนั้นทำได้ไหม?”

ถ้าเรียนรู้อย่างนี้ไปเรื่อยๆ ท่านจะไม่ต้องมาถาม ท่านจะรู้ข้างในของท่านว่าจะทำหรือไม่ทำ ไหว้ได้ไหม? จุดธูปได้ไหม? ไปวัดได้ไหม?  คำถามเยอะแยะไปหมด แล้วมาดูสิว่าอาจารย์เปาโลตอบว่าอย่างไร?

โคโลสี 2:16 “เพราะฉะนั้น อย่าให้ใครมาตัดสินท่าน จากสิ่งที่ท่านกิน หรือดื่ม หรือเกี่ยวกับเทศกาลทางศาสนา ไม่ว่าวันฉลองขึ้นหนึ่งค่ำ หรือวันสะบาโต”

 

นี่ 2,000 ปีมาแล้วนะ ถ้าอาจารย์เปาโลตอบช่วงนี้ คำตอบก็อาจจะเป็นอย่างนี้ว่า …

“อย่าให้ใครมาตัดสินท่าน จากสิ่งที่ท่านกินหรือดื่ม หรือเกี่ยวกับเทศกาลตรุษจีน หรือไหว้พระจันทร์ หรือเช้งเม็ง หรือไม่ว่าจะเป็นฉลองปีใหม่ วันวาเลนไทน์ สงกรานต์ ลอยกระทง”

ถามว่าในพระคัมภีร์มีสอนถึงเรื่องกฎเกณฑ์ต่างๆ แนวทางการดำเนินชีวิตว่าสิ่งใด ควรทำ สิ่งใดไม่ควรทำ  มี  แต่กฎเกณฑ์ต่างๆ เหล่านี้ ไม่ได้มีผลอะไรต่อการเป็นคริสเตียนหรือความรอดของท่าน เพราะว่ากฎวิญญาณแห่งชีวิตในองค์พระเยซูคริสต์ ทำให้ท่านเป็นอิสรภาพจากกฎของความบาป และความตาย

สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์นั้นๆ ของแต่ละคน มันไม่เหมือนกัน อยากทำ ก็เชิญทำ ไม่อยากทำ ก็ไม่ต้องทำ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกันเลย

โคโลสี 2:20-23 “20 ในเมื่อท่านตายกับพระคริสต์ พ้นจากหลักการพื้นฐานต่างๆ ของโลกนี้ ทำไมยังยอมอยู่ใต้กฎต่างๆ ราวกับว่าท่านยังเป็นของโลก 21 เช่นกฎที่ว่า “ห้ามหยิบ ห้ามชิม ห้ามแตะต้อง” 22 สิ่งทั้งปวงเหล่านี้ ถูกกำหนดให้เสื่อมสูญไป เมื่อใช้มัน เพราะตั้งอยู่บนคำสั่งและคำสอนของมนุษย์ 23 ที่จริงกฎเกณฑ์พวกนี้ ดูเหมือนมีปัญญา พวกเขานมัสการตามแนวที่กำหนดขึ้นเอง เสแสร้งถ่อมตัวและทรมานร่างกายของตน แต่สิ่งเหล่านี้ ก็ไม่มีประโยชน์อะไร ต่อการควบคุมกิเลสตัณหาเลย”

 

ตอนจบอาจารย์เปาโลบอกว่าโอเค สรุปสั้นๆ อะไรก็ตามที่ท่านทำ โดยปราศจากความเชื่อ (หมายถึงเชื่อในการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์) ท่านก็เป็นบาปอยู่ดี ต่อให้ทำดี ก็บาป แต่ถ้าท่านเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว มันไม่ได้บาปอะไรทั้งสิ้น เพราะท่านทำด้วยความเชื่อ

คือเมื่อเรามาเป็นคริสเตียน เราเชื่อในพระเจ้าแล้ว เหตุผลเดียวที่เราต้องการที่จะพยายามทำชีวิตให้เป็นไปตามคำสอนของพระเจ้า พ่อของเรา พยายามรักษาศีลธรรมอันดีงาม พยายามทำสิ่งที่ดีๆ เหตุผลนั้น ก็คือเราต้องการจะรักษาชีวิตของเรา ให้สมกับที่เป็นลูกของพระเจ้า ข้างในเราเป็นลูกของพระเจ้า ศักดิ์ศรีเราเป็นลูกพระเจ้า เราต้องทำให้มันเด็ดขาด เราต้องพยายามทำสงครามกับเนื้อหนังของเรา สู้กับมัน ไม่ยอมทำตามมัน เพื่อเราจะได้สมศักดิ์ศรีว่าเราเป็นลูกพระเจ้านะ แพ้ไป เดี๋ยวก็ขึ้นมาใหม่ๆ จนกระทั่งวันสุดท้ายนั่นแหละ สู้ไม่มีวันจบ ตรงนี้ จึงเป็นสิ่งที่สำคัญ

มาเชื่อพระเจ้า ไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะว่าโดยธรรมชาติแล้ว บังเกิดใหม่แล้ว วิญญาณข้างใน เป็นลูกของพระเจ้า ที่สะอาดบริสุทธิ์ ทำบาปไม่ได้แล้ว ไม่มีทางเลย ถ้าเขาจะทำบาป เพราะมันอยู่ในเนื้อหนังนี้ มันแพ้ยกนั้น ยกที่อารมณ์ไม่ดี แดดร้อน ข้าวไม่ได้กิน ออกจากโบสถ์ไป รถคันนั้นมันเฉี่ยวหน้าพอดี มันทนไม่ไหว ด่าเขาไป นั่นแหละ มันแพ้ตอนนั้น วิญญาณไม่ได้อยากจะทำอย่างนั้นเลย

วิญญาณ “ไม่เป็นหรอก อภัยให้ เข้าใจกัน”

แต่เนื้อหนังมันทนไม่ได้ มันแพ้ แค่นั้นเอง เข้าใจใช่ไหมครับ วิญญาณไม่เคยคิดจะคอรัปชั่นอะไรเลย แต่เผอิญลูกก็ป่วย ต้องการจะใช้เงิน 3-4 ล้านในการรักษา รักลูกมาก พอดีมีใครมาให้ใต้โต๊ะ เรามีอำนาจที่จะเซ็นต์ได้ ใต้โต๊ะมีจำนวนเงินอยู่ 5 ล้านบาทพอดี คิดแล้วคิดอีก อธิษฐานแล้วอธิษฐานอีก ในที่สุด เอาเงินดีกว่า ไปรักษาลูกให้หาย เป็นไปได้ไหม จบอย่างนี้ เป็นคริสเตียนนะ เป็นไปได้ไหม? เป็นคริสเตียนแล้ว ยังตะโกนใส่รถคันหน้าได้ไหม? มันหงุดหงิดขึ้นมาทันที มันไม่ไหวแล้ว ขอด่าสักทีหนึ่ง ได้หรือไม่ได้? ด่ามากกว่าคำว่า “ไอ้โง่” อีก ได้ไหม?  ได้ แล้วคอรัปชั่นเมื่อกี้ ได้หรือเปล่า? ก็แค่นั่นแหละ แต่ข้างในสู้เต็มที่ เพราะว่าเราเป็นลูกพระเจ้า ลูกพระเจ้าต้องเป็นอย่างนี้ เพราะธรรมชาติของเรา  เป็นอย่างนี้  เหมือนธรรมชาติของเราเป็นปลา  มันต้องอยู่ในน้ำ ลูกของพระเจ้า มันต้องทำความดี บริสุทธิ์ เพราะเป็นผู้บริสุทธิ์ อย่างไรก็ทำสกปรกไม่เป็น วิญญาณของท่านไร้เดียงสามาก แต่เนื้อหนังของท่าน ร่างกายของท่านที่เห็นอยู่ มันแย่มากเลย  ไม่รู้จะบอกว่าอย่างไร? มันอยากจะทำชั่วเต็มที่ ท่านก็อยู่กับเขา ในอาณาจักรสวรรค์ คนหนึ่งอินโนเซ้นต์มาก เป็นเด็กๆ สะอาดบริสุทธิ์ อีกคนหนึ่งเชี่ยวชาญการทำชั่วที่สุดเลย  ก็คือเนื้อหนังตัวท่านเอง เอเมน  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*********************