คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 4 กุมภาพันธ์ 2018 เรื่อง “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท” ตอน 10 “ความจริงแห่งพระคุณพระเจ้า” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  4  กุมภาพันธ์  2018

 เรื่อง “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท”

ตอน 10 “ความจริงแห่งพระคุณพระเจ้า”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            การบรรยายในซีรี่ส์ ชุดความจริงจะทำให้เป็นไท วันนี้ มาถึงตอนที่ 10 แล้ว ชื่อตอนว่า “ความจริงแห่งพระคุณพระเจ้า” เราจะเริ่มต้นกันด้วย ถ้อยคำพระเจ้าในหนังสือมัทธิว 11:28-30 พระเยซูตรัสว่าอย่างนี้ …

มัทธิว 11:28-30 “28 “บรรดาผู้เหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนักจงมาหาเรา และเราจะให้ท่านได้พักสงบ 29 จงรับแอกของเราแบกไว้ และเรียนรู้จากเรา เพราะเราสุภาพและถ่อมใจ  แล้วจิตวิญญาณของท่านจะพักสงบ 30  เพราะแอกของเรานั้นพอเหมาะ และภาระของเราก็เบา”

 

พระคัมภีร์ตรงนี้ เป็นหนึ่งในข้อพระคัมภีร์ที่เราจะเห็นบ่อยๆ ได้ยินบ่อยๆ ตามคริสตจักรต่างๆ หน้าคริสตจักรเราก็มีป้ายนี้ หลายๆ คริสตจักรทั้งเมืองไทยและต่างประเทศ เขาก็จะมีข้อพระคัมภีร์นี้อยู่ ไม่ว่าจะเป็นหน้าคริสตจักร หรือในคริสตจักร ก็จะมีข้อพระคัมภีร์นี้ เป็นข้อที่โดดเด่นมาก เป็นคำตรัสของพระเยซู ทำไมคริสตจักรหลายๆ แห่งจึงเลือกใช้ข้อพระคัมภีร์นี้ มาประกาศข่าวดีให้กับมนุษย์ จะใช้คำว่าดึงดูดใจ หรือประกาศข่าวดี คำโฆษณา เพราะว่าฟังดูแล้ว มันเป็นความหวังเดียวของมนุษย์ เพราะทุกคนก็อยากหายเหนื่อย พรุ่งนี้มาทำงานอีกแล้ว หาเช้ากินค่ำ  ทำนาไป น้ำท่วม ตายหมดเลย มันรู้สึกเหนื่อย เหนื่อยยากในชีวิต รู้สึกว่าข้อพระคัมภีร์นี้  เหมือนโปรโมชั่นที่ดี ที่ทำให้คนสนใจว่ามาเชื่อพระเยซูจะได้หายเหนื่อยและเป็นสุข

เราทราบดีว่ามนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ต่างคนก็ต่างทุกข์ลำบาก แล้วก็มีภาระหนักด้วยกันทั้งสิ้น ไม่ว่าเป็นใคร ศาสนาใดก็ตาม พอเป็นมนุษย์บนโลกใบนี้  มันเหนื่อยยากลำบาก เหลือเกิน เป็นสัจจะธรรม และลึกๆ แล้วในจิตใจของมนุษย์ทุกคน ก็ต้องการหาที่พักในใจด้วย ไม่ใช่ว่าจะพักแต่เฉพาะข้างนอก คนที่มีเงิน ประสบความสำเร็จในกิจการต่างๆ ไม่ว่าจะทำสวน ทำไร่ ทำนา หรือทำธุรกิจก็ตาม เราก็รู้ว่ามันเหนื่อยข้างในใจด้วย แสดงว่าไม่ใช่แค่อยากที่จะหายเหนื่อยจากการทำงานอย่างเดียวนะ แต่ในใจเขาก็อยากหายเหนื่อยด้วยเช่นเดียวกัน นี่คือสัจจะธรรมของมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว

แต่ในขณะเดียวกัน พระคัมภีร์ข้อนี้ ก็เป็นหนึ่งในพระคัมภีร์หลายๆ ข้ออีกเหมือนกัน ที่ถูกเอาไป ตีความผิด เอาไปสอน เอาไปบอก เอาไปใช้กันแบบผิดๆ ที่บอกเอาไปผิดนี้ คือมันไม่ตรงตามที่พระเยซูคริสต์ตรัสไว้วันนั้น ต้องการสื่อความหมายอย่างนี้ แต่เราเอาไปใช้อีกแบบหนึ่ง อย่างนี้เขาเรียกว่าผิด บางครั้งมันผิด มันเกิดประโยชน์เหมือนกันนะ แต่มันก็ผิดอยู่ดี มันไม่ตรงตามที่ผู้พูด ต้องการสื่อความหมายว่าอะไร?

เรามาดูสิว่าพระเยซูคริสต์ตรัสคำนี้ มันคืออะไร? คือคำว่า “ผิด” สอนผิด ใช้ผิด บางที่ บางครั้ง หลายคนก็ไม่รู้ว่ามันผิด ก็เขาว่ากันมาอย่างนี้  เขาสอนมาอย่างนี้ ก็ทำตามไป หลายคนก็รู้ ถึงแม้จะรู้ ก็ขอผิดสักหน่อย เพราะมันโปรโมทดี มันโฆษณาดี โฆษณา แล้วทำให้คนสนใจ ยอมฟังเราหน่อยหนึ่ง ไม่อย่างนั้น เขาไม่ยอมฟัง เขาเดินไปเลย

“คุณทำงานเหนื่อยๆ อย่างนี้ หนักๆ อย่างนี้ กิจการคุณกำลังเหนื่อยใช่ไหม? กำลังลำบากใช่ไหม? มาหาพระเยซูสิ พระเยซูช่วยได้”

มันก็รู้สึก “ฉันตกงานอยู่ ฉันก็อยากจะมา ให้พระเยซูหางานให้ทำ” อะไรแบบนี้

บางครั้ง ตีความผิด แล้วคิดว่าตั้งใจด้วยความดี แต่ว่าจะดีหรือไม่ดี มันก็คือตีความผิด หรือแปลไม่ถูกความหมายตามบริบท คือเรื่องราวที่พระเยซูพูดในวันนั้น มันคืออะไร?  ไม่ใช่เอามาข้อเดียว แล้วก็มาตีความของเราเอง อย่างนี้เรียกว่าผิด เรามาดูว่าไม่ถูกอย่างไร? ผู้ที่เชื่อแล้ว บางคนอ่านพระคัมภีร์ข้อนี้แล้ว ไปเข้าใจว่าอย่างนี้ พอมาเชื่อพระเจ้าแล้ว ภาระทางโลกอันหนักอึ้ง ที่ตัวเองกำลังแบกอยู่นั้น มันจะหมดไป การใช้ชีวิตจากนี้จะหายเหนื่อยแล้ว พระเจ้าจะทำให้ชีวิตที่เหลืออยู่บนโลกใบนี้ มีความสุข  ใครเคยคิดอย่างนี้บ้าง ตอนมาเชื่อใหม่ ก็อยากจะให้มันเป็นอย่างนี้แหละ

มีกี่คนเชื่อ มีกี่คนที่มั่นใจว่าท่านมาเชื่อพระเยซูแล้ว จากนี้ต่อไป ท่านไม่เจ็บป่วยอีกเลย ท่านเป็นคนที่มีความแข็งแรงมาก มั่นใจ 100% เลย  มีกี่คนที่มั่นใจเลยว่าเชื่อพระเยซูแล้ว จากนี้ต่อไป ท่านไม่มีวันขัดสนเรื่องการงาน การกิน การอยู่เลย ก็มีน้อย

คราวนี้ผมถามว่าเป็นคริสเตียนแล้ว มีใครบ้างที่มั่นใจว่าเมื่อจากโลกนี้ หรือตายจากโลกนี้ไปแล้ว จะไปอยู่บนสวรรค์ยกมือ หมดทุกคนเลย เห็นหรือยัง? นี่คือพิสูจน์ความจริงเลย เพราะเชื่อจริงๆ มันอยู่ที่ในใจ แต่ตะกี้นี้ที่บอกว่าแข็งแรง มันอยู่ที่ไหน? มันไม่ได้อยู่ในใจ มันอยู่ที่หัวเข่า เมื่อเช้านี้เดินก๊อกๆ ไม่กล้าพูด แต่ก่อนก็เชื่อ พออายุมากขึ้นเรื่อยๆ เดินหัวเข่าเจ็บ ไม่กล้าพูดมากแล้ว เพราะอธิษฐานไป 3 ปีแล้วก็ยังเป็นเหมือนเดิม ไม่ใช่เหมือนเดิม มันหนักกว่าเดิมด้วย เพราะว่ามันแก่ลงไง ก็เลยไม่กล้าพูด ชักจะเริ่มปลง

ถ้าใครมาเชื่อพระเจ้า แล้วเจอข้อพระคัมภีร์ข้อนี้ มัทธิว 11:28-30 ที่พระเยซูตรัส เรื่องการหายเหนื่อยและเป็นสุข และคิดหรือคาดหวังว่าจะได้รับอย่างนี้ อย่างที่ผมบอก ท่านก็จะพบกับความผิดหวังแน่นอน ถ้าท่านคิดว่าจะหายเหนื่อยและเป็นสุข จากการไม่ต้องเจ็บไข้ได้ป่วยอีกแล้ว ไม่ต้องยากจนอีกแล้ว สบายแล้ว ชีวิตนี้นอนๆ กินๆ อยู่เฉยๆ ท่านก็ผิดหวังแน่นอน

ที่พระเยซูบอกว่า “บรรดาผู้ที่เหน็ดเหนื่อย และแบกภาระหนัก จงมาหาเรา”

พระคัมภีร์ข้อนี้ ถ้าเราอ่านจากพระคัมภีร์ภาษาอังกฤษ ภาษาเดิมๆ ฉบับขยายความ จะมีคำอธิบายไว้ชัดเจนว่าอย่างนี้ คำว่า “ผู้เหน็ดเหนื่อย และแบกภาระหนัก” ตรงนี้ หมายถึงผู้ที่กำลังแบกภาระหนักจากความพยายาม ให้ตัวเองหลุดพ้นจากบาปเวรกรรม ผู้ที่มีจิตวิญญาณในใจ ไม่มีสันติสุขอยู่ในนั้น เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไรจะชดใช้หนี้บาปเวรกรรมได้หมดสักทีหนึ่ง กำลังแสวงหาอะไรบางอย่าง เรียกว่าสัจจะธรรมในโลกวิญญาณ นี่พระเยซูกำลังพูดถึงตรงนี้  สรุปความหมายของพระคัมภีร์ข้อนี้

คำว่า “ได้พักสงบ” เมื่อมาพบพระเยซูนั้น หมายถึงได้พักสงบ และหายเหนื่อยจากการแบกภาระชดใช้หนี้บาปเวรกรรม ซึ่งมนุษย์ทุกคนมีจิตวิญญาณที่รู้ว่าตัวเองเป็นคนบาป และต้องชดใช้บาปเวรกรรมของตัวเอง ไม่รู้ว่าเมื่อไรมันจะหมดสิ้นสักที แต่พอมาพบพระเยซู … พระเยซูจะชำระในจิตวิญญาณเขา ให้พ้นจากบาป เขาก็เป็นสุขว่าเขาพ้นบาปแล้ว

คำว่า “ชดใช้บาปเวรกรรม” ก็คือต้องอยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตาย ตามหลักพระคัมภีร์ ซึ่งก็คือการถูกลงโทษ อันเนื่องมาจากเหตุที่ไม่เชื่อฟังพระเจ้า กบฏต่อพระเจ้า ที่เรียกว่าการทำบาป โดยผ่านทางบรรพบุรุษของมนุษย์ คืออาดัมและเอวา พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น

พอมนุษย์กลายสภาพมาอยู่ภายใต้ความบาป ก็ตกอยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตาย เงื่อนไขของกฎนี้ ก็คือห้ามทำผิด ห้ามทำบาป โดยเด็ดขาด นิดเดียวก็ไม่ได้ ถ้าทำผิดบาป เพียงนิดเดียว ก็ได้รับโทษทันที เพราะมันเป็นกฎ ระเบียบ ฝ่าไฟแดงนิดหนึ่ง ก็มีค่าเท่ากัน ท่านจะฝ่าไฟแดง เพราะไฟเหลืองผ่านไปแป๊บเดียว แค่เสี้ยววินาที แล้วฝ่าไฟแดง เขาก็จับท่าน โทษฐานฝ่าไฟแดง ท่านจะฝ่าไฟแดงขณะรถจอดหมดแล้ว แล้วไฟแดงเลยไปหนึ่งนาที ก็วิ่งออกไปอีก เขาเรียกฝ่าไฟแดงเหมือนกัน กฎของโลกนี้และกฎของพระเจ้าว่าไว้อย่างนี้แหละ ท่านบอกว่าท่านโกหกนิดเดียว ไม่มี โกหกมากหรือโกหกน้อย มันก็โกหกเหมือนกันแหละ ผิดเหมือนกันหมด

ดังนั้น คำว่า “ผู้แบกภาระหนักและเหน็ดเหนื่อย” หมายถึงมนุษย์ทุกคนที่รู้ตัวว่าเป็นคนบาป และรู้ตัวว่าต้องแบกภาระการชดใช้หนี้บาป เวรกรรมของตัวเอง ไว้ที่ตัวเองนั้น รู้ตัวเองดีว่าไม่สามารถทำให้หลุดพ้น จากบาปเวรกรรมของตัวเองได้ มันก็เลยเหนื่อย ข้างในมันเหนื่อยมากๆ ชดใช้เท่าไรก็ไม่หมดสักที เพราะข้างในมันเหน็ดเหนื่อย พระเยซูกำลังพูดถึงตรงนี้  เหมือนมนุษย์ทุกวันนี้ ใครที่มีหนี้สินเยอะๆ จนกระทั่งถูกฟ้องล้มละลายไปแล้ว มันหมดหวัง ไม่อยากจะทำอะไรเลย? ทำอะไรเขาก็เอาไปหมด

ท่านลองคิดดู นั่นขนาดหมดหวังทางด้านการเงินที่บนโลกใบนี้ เท่านั้นเอง แล้วนี่หมดหวังทางด้านวิญญาณ ตายไปแล้ว จะไปไหน ก็ไม่รู้ ต้องชดใช้อีกกี่หมื่น กี่แสน กี่ล้านปี ก็ไม่รู้ แล้วจะไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ จนกว่าจะตายจากโลกนี้ไป ด้วยความไม่มีสันติสุข ไม่มีการได้หายเหนื่อยนั่นเอง ตรงนี้คือผลของวิญญาณของมนุษย์ที่ถูกสาปแช่ง มาตั้งแต่บรรพบุรุษ ตั้งแต่ปฐมกาล มันเป็นเช่นนี้แหละ พระเยซูมาเกิด พระเยซูจึงบอกตรงนี้ก่อนเลยว่าใครที่รู้ว่าเหน็ดเหนื่อย ก็เหนื่อยทุกคน พระองค์ก็รู้แล้ว ใครที่รู้ตัว ใครที่ไม่เย่อหยิ่ง เหนื่อยแล้วแกล้งบอกว่าไม่เหนื่อย รู้ตัวว่าเหนื่อยจริงๆ มาหาพระองค์ซะ พระองค์จะให้คนๆ นั้น หายเหนื่อยและเป็นสุขไง บริบทของมัทธิว 11:28 ตรงนี้พระเยซูตรัส เพราะอย่างนี้ และต้องการความหมายแบบนี้

ถูกลงโทษ คือคำสาปแช่ง … คำสาปแช่งเข้ามาที่วิญญาณของเรา ที่ร่างกายของเรา และร่างกายเราทำมาจากดิน คือโลกใบนี้ คำสาปแช่งปกคลุมโลกนี้หมดเลย วัตถุสิ่งของถูกสาปแช่งหมดเลย พูดง่ายๆ ทั้งโลกวิญญาณและโลกวัตถุถูกปกคลุมด้วยความสาปแช่งจากบรรพบุรุษของเรา  อาดัมและเอวา ไม่เชื่อฟังพระเจ้า กบฏต่อพระเจ้าจึงถูกลงโทษ โลกทางฝ่ายวัตถุ คือร่างกายของมนุษย์ รวมทั้งโลกใบนี้ทั้งหมด รวมทั้งสิ่งของทั้งหมดบนโลกใบนี้  ที่พระเจ้าสร้างขึ้นมาดีงาม ก็ตกลงไปอยู่ในความเสื่อมเสียหมด เสื่อมพระสิริของพระเจ้า เสื่อมเกียรติของพระเจ้า เสื่อมสิ่งที่ดีๆ ของพระเจ้าไปหมดเลย กลายเป็นความชั่วร้ายเข้ามาแทนที่หมดเลย วิญญาณของมนุษย์ ก็ตกอยู่ในคำสาปแช่งเหมือนกัน

มาดูตัวอย่างในพระคัมภีร์ที่บันทึกไว้ในปฐมกาลว่าตอนที่อาดัมและเอวา บรรพบุรุษของเราทำบาป และถูกคำสาปแช่ง ถูกพิพากษาลงโทษ คำสาปแช่งนั้นลงมาเขียนไว้ว่าอย่างไร? บันทึกไว้ในปฐมกาล 3:17-19 …

ปฐมกาล 3:17-19 “17 พระองค์ตรัสกับอาดัมว่า “เพราะเจ้าฟังภรรยาของเจ้า และกินผลไม้ซึ่งเราสั่งเจ้าว่า ‘เจ้าต้องไม่กินผลจากต้นไม้นั้น’ แผ่นดินจึงถูกสาปแช่งเพราะเจ้า เจ้าจะหาเลี้ยงชีพจากแผ่นดินด้วยความลำบากตรากตรำ ตลอดชีวิตของเจ้า 18 ต้นหนามน้อยใหญ่จะงอกขึ้นมาบนแผ่นดิน และเจ้าจะกินพืชพันธุ์จากท้องทุ่ง 19 เจ้าจะทำมาหากิน อาบเหงื่อต่างน้ำ ตราบจนเจ้ากลับคืนสู่ดิน”

 

“แผ่นดินจึงถูกสาปแช่ง เพราะเจ้า”

“เจ้า” คืออาดัมและเอวา

นี่คือหนึ่งในคำสาปแช่งทางโลก คือแผ่นดินนี้  ที่บอกว่ามนุษย์จะต้องทำงานหนัก หาเลี้ยงชีพด้วยความลำบาก ตรากตรำ ต้องทำมาหากิน อาบเหงื่อต่างน้ำ และไม่ใช่เพียงแค่นี้เท่านั้น ยังมีคำสาปแช่งอื่นๆ สรุปรวมความว่าพระคัมภีร์บอกว่าอยู่บนโลกใบนี้ ท่านจะต้องพบกับความทุกข์ยากลำบากแน่นอน นี่คือสัจจะธรรมความจริง ที่ไม่มีใครหลีกหนีได้

เหตุที่หมอและทุกคนรู้ว่าอยากจะมีสุขภาพที่ดี พอสมควรไหม? แข็งแรง โดยไม่ต้องเจ็บป่วยเลยไหม?  ไม่ใช่ แต่เจ็บป่วยน้อยลง คือให้ออกกำลังกาย เพื่อให้อาบเหงื่อต่างน้ำ มนุษย์ก็พยายามจะฝืนพระเจ้า ไม่อยากอยู่ในคำสาปแช่ง เพราะธรรมชาติที่พระเจ้าสร้างมนุษย์ขึ้นมา ให้อยู่อย่างสบาย ไม่ต้องลำบากอย่างนี้  มนุษย์ก็อยากจะกินแล้วนอน นอนแล้วกิน มันเป็นธรรมชาติที่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างนั้น แต่เราทำไม่ได้ เพราะว่าเราตกอยู่ในคำสาปแช่งแล้ว พระคัมภีร์บอกว่าเรากินแล้วนอนไม่ได้แล้ว จากนี้ต่อไป เราต้องทำงานหนัก เพราะฉะนั้น พอเรากินแล้วนอนๆ เราฝืน คำสาปแช่งนี้ก็เกิดผล ก็คือกินแล้วนอนๆ ในที่สุด เราก็นอนอย่างเดียวเลย  ไม่ต้องลุกขึ้นมา มันก็เป็นโรคเป็นภัย

ทำไมเราต้องออกกำลังกาย ก็เพราะเราทำงานแบบคนในเมือง ชาวนา ชาวสวนจะต้องออกกำลังกายไหม? คนหาปลากลางคืน เขาเหนื่อยจะตายแล้ว เขาอาบเหงื่อต่างน้ำมาทั้งวันแล้ว พอแล้ว แต่เราเข้า office เปิดแอร์เย็นๆ แล้วก็เอาปากกามานั่งคิด อันนี้อย่างนี้ ตัวเลขนั้นเป็นอย่างนี้ กลับบ้าน  อยากจะพักนอน จึงถูกบังคับ  ถ้าอยากจะมีความสุขขึ้นนิดหนึ่ง ก็ให้ไปออกกำลังกาย ต้องแกล้งไปวิ่ง เหนื่อยแล้ว ทำตามนั้น สาปแช่งไปแล้วจบ นอนได้ หรือไม่อย่างนั้น ก็สาปแช่งตัวเองตั้งแต่เช้าเลย ตื่นขึ้นมาก็สาปแช่งตัวเอง ไปวิ่ง ออกกำลังกาย ให้มันอาบเหงื่อต่างน้ำซะ ให้มันเป็นไปตามกฎระเบียบ มันก็ทุกข์น้อยลง เสร็จปุ๊บ เราก็เข้าไปทำงานในห้องแอร์ได้ ถ้าใครที่ทำสวนอยู่ ก็ไม่ต้องไปวิ่งแล้วนะ ขอร้อง เยอะไปๆ แค่นี้ก็ทุกข์พอแล้ว เห็นหรือยัง?

ยิ่งเราเรียนรู้จักถ้อยคำพระเจ้า ยิ่งเห็น มันชัดจริงๆ มันใช่เลย  ทำไมมันต้องเป็นอย่างนี้ ก็เพราะนี่คือสัจจะธรรม นี่คือความจริงที่พระเจ้าบอกมนุษย์ นี่คือประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ

ข้างในลึกๆ  “เธอเป็นใคร? ฉันบอกเธอ ฉันมีพิมพ์เขียวให้กับเธอว่าเธอเป็นใคร? เธอควรจะทำอยู่อย่างไร? บนโลกใบนี้ ที่ดีที่สุด สำหรับวิญญาณของเธอ และร่างกายของเธอ ในการอยู่บนโลกใบนี้ แบบให้มันทุกข์น้อยที่สุด ดีที่สุดนั่นเอง” เอเมน

เพราะฉะนั้น ต่อไปนี้ ทุกคนก็ออกกำลังกาย ฝืนตัวเอง นึกในใจตอนออกกำลัง กำลังได้รับคำสาปแช่ง เพราะฉะนั้น ตื่นเช้าขึ้นมา ท่านออกไปวิ่ง หรือท่านขึ้นไปออกกำลังกาย หรือทำอะไรก็ตามเกี่ยวกับการออกกำลังกาย ท่านพูดกับตัวเองว่าท่านกำลังถูกสาปแช่ง พูดกับตัวเองนะ แล้วก็จำไว้เลยว่า …

“อาดัมนะอาดัม แต่ไม่เป็นไร ฉันมีความหวังในพระเยซูคริสต์ ฉันจะไม่เป็นอย่างนี้ตลอดไป หรอก เอเมน”

รวมความ ก็คือคำสาปแช่งที่มาถึงมนุษย์ทุกคน เป็นคำสาปแช่งทั้งทางวิญญาณ ที่ทำให้ต้องพบกับความตาย คือถูกตัดขาดออกจากพระเจ้า และคำสาปแช่งทางโลกวัตถุ ที่ภายใต้ร่างกายนี้ เราต้องพบกับความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้

 

สรุป ก็คือภายใต้กฎแห่งความบาป และความตาย มนุษย์ทุกคนต้องเหน็ดเหนื่อย และแบกภาระหนัก ทั้งทางวิญญาณและทางร่างกายด้วย พอเห็นชัดแล้ว สรุปแล้วความจริง คือเมื่อพระเยซู พระบุตรของพระเจ้า ที่พระเจ้าประทานให้กับมนุษย์ทั้งปวง  ถูกตรึงตายที่ไม้กางเขน พระองค์ทรงเอาบาปของเราไป ได้ชำระล้างเราจนหายจากโรคหนี้สินทั้งปวงแล้ว เป็นการชำระล้างทางวิญญาณ 1 เปโตร 2:24 ที่บอกว่า …

“ด้วยรอยแผลเฆี่ยนของพระเยซู เราได้รับการรักษาให้หายแล้ว วิญญาณหายจากโรคบาป”

ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องสุขภาพร่างกายของเรา พระองค์รักษาวิญญาณให้หายจากโรคบาปเรียบร้อยไปแล้ว พระคัมภีร์ตรงนี้ ก็เป็นอีกข้อหนึ่ง ที่มักมีการเข้าใจผิด เอามาใช้กันในเรื่องของสุขภาพทางฝ่ายร่างกายว่ามาเชื่อพระเจ้าแล้ว ต้องไม่ป่วย เพราะว่าพระองค์ทรงรักษาทางวิญญาณเราหายแล้ว รอยแผลเฆี่ยนของพระเยซูคริสต์ ได้รักษาทางร่างกายเราหายด้วย เขาเชื่ออย่างนี้ ทำให้ร่างกายเราปราศจากโรคแล้ว ที่ไม้กางเขน

บางคนเชื่อถึงขนาดไม่ยอมไปหาหมอ เฝ้าแต่คิดถ้อยคำนี้ตลอดเวลาว่าด้วยรอยแผลเฆี่ยนของพระเยซูรักษาฉันหายแล้ว แล้วมันหายจริงๆ คือหายจากโลกไปเลย คือตาย นี่เรื่องจริงๆ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง 2,000 ปีคงไม่มีโรงพยาบาลเลย แสดงว่ามันไม่ใช่ ตอนนี้เรารู้แล้วว่ามันหมายถึงอะไร?

ส่วนร่างกายเรา จะได้รับการไถ่อย่างสมบูรณ์ เมื่อวันที่พระเยซูคริสต์กลับมาอีกทีหนึ่ง หรือเรียกว่าวันแห่งองค์พระเยซูคริสต์นั่นเอง

ถามว่าขณะที่เรากำลังทุกข์ยากลำบากในเนื้อหนังร่างกาย ในการเป็นอยู่ ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เราไม่ได้ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ด้วยความทุกข์ยากลำบาก เจ็บป่วย แต่เรามีความหวังใจอยู่ในนั้น เจ็บป่วยก็มีความหวัง ยากจนก็มีความหวัง ทำงานทำการลำบาก มีปัญหา ก็มีความหวังอยู่ในนั้น ความหวังว่าวันหนึ่งข้างหน้า เราจะได้รับการไถ่ถอนอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ คือวันที่พระเจ้าจะให้ร่างกายใหม่กับเรา ซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับวิญญาณของเราทุกวันนี้ วิญญาณเราเป็นอยู่นั้น  เป็นวิญญาณเดิมนั่นแหละตอนนี้ เปลี่ยนเป็นวิญญาณเหมือนพระเยซูไปแล้ว และเป็นวิญญาณนี้ตลอดไป แต่ร่างกายที่เห็นอยู่นี้ เป็นร่างกายเก่า ต้องถูกทิ้งไปวันหนึ่ง แล้วพระเจ้าจะให้ร่างกายใหม่กับเรา พระคัมภีร์บอกว่า …

“รู้ไหม พระเจ้าให้ร่างกายใหม่เราได้”

ทุกคนบอก “ได้อย่างไร?”

เปาโลบอก “ง่ายนิดเดียว เคยเห็นต้นข้าวไหม? ถ้าต้นข้าว เมล็ดมันไม่เน่าซะก่อน จะเกิดต้นใหม่ ไม่ได้ คนทำนารู้ดี เอาข้าวเมล็ดดีๆ สวยๆ ลงไป แล้วต้องรอให้เมล็ดนั้น เจอน้ำเยอะ มันเน่า จนกระทั่งงอกใหม่”

มนุษย์ก็เหมือนกัน ร่างกายที่เราไม่ต้องการ ที่ถูกสาปแช่ง จะถูกเปลี่ยนใหม่เลย ไม่ได้ ต้องรอให้ร่างกายนี้มันเน่าเสียก่อน พระเจ้าจะทำให้ร่างกายที่เน่าไปแล้วนั้น เกิดใหม่ขึ้นมา เหมือนที่พระเยซูได้บังเกิดใหม่ เราจะได้รับร่างกายใหม่ตอนนั้นแหละ เอเมน เป็นร่างกายที่เหมือนพระเยซูเลย

นี่คือความหวัง ร่างกายใหม่ ใหม่เอี่ยมเลย ร่างกายที่บริสุทธิ์ เป็นร่างกายที่มาจากสวรรค์ และเป็นวันที่พระเจ้าจะสร้าง ไม่ใช่ร่างกายเราใหม่อย่างเดียว ร่างกายเรามาจากดิน  พระเจ้าจะสร้างดินใหม่ให้กับเรา ดินที่เสียหายไป โลกใบนี้ที่เสียหายไป ต้นไม้ ใบหญ้า สัตว์ ทุกชนิดที่เสียหายไป  ก็จะได้รับการกู้ขึ้นมาใหม่ ได้รับการช่วยให้รอดขึ้นมาใหม่ ถูกสร้างใหม่ เรียกว่าโลกใบใหม่ เยรูซาเล็มใหม่ หรือเรียกว่าสวรรค์ของพระองค์ ที่เราจะอยู่ที่นั่น กลับมาที่เดิม ไม่ต้องทุกข์ยากลำบาก ทั้งร่างกายและวิญญาณอีกต่อไป นิรันดร์เลย เอเมน

นั่นแหละ คือความหวังของเรา เป็นวันที่เราจะได้พักผ่อนอย่างจริงๆ เสียที ตามที่พระเยซูตรัสไว้ เป็นวันที่เราจะหายเหนื่อยและเป็นสุขอย่างแท้จริง ไม่ต้องแบกภาระอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นการแบกภาระทางวิญญาณ หรือทางร่างกายนี้ ก็ตาม ไม่ต้องปวดเข่า ไม่ต้องปวดหัว ไม่ต้องเป็นเก๊า ไม่ต้องเป็นจิปาทะโรค มันเยอะไปหมด เป็นไวรัสลงนั้น ลงนี้ ตับ ไต ไส้ พุง มีแต่วันเสื่อมเสียไปทั้งนั้น ทุกวันนี้เราจึงยิ้ม สามารถเผชิญกับสิ่งเหล่านี้ได้ เพราะเรามีความหวังที่จะกลับคืนสู่สภาพเดิม เหมือนสวรรค์ที่พระเจ้าสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยปฐมกาลตอนแรกๆ  ที่ให้กับอาดัมและเอวา และเผ่าพันธุ์มนุษย์ทุกคน ก่อนที่จะตกลงไปในความบาป เรามีความหวังตรงนั้น เราจึงหายเหนื่อยได้

ในโรม 8:24 บอกไว้อย่างนั้น สรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างทั้งหมด รวมทั้งเรา ก็คือมนุษย์ … มนุษย์ที่เชื่อในพระเยซูแล้ว ที่วิญญาณได้รับการไถ่แล้ว กำลังคร่ำครวญมากๆ เลย  รอวันแห่งการไถ่ถอนครบถ้วนบริบูรณ์จากพระเจ้าอีกครั้งหนึ่ง เอเมน เพราะฉะนั้น ทุกวันนี้ ท่านเดินไป ท่านรู้ไหมต้นไม้ ใบหญ้า ทุกต้น กำลังสรรเสริญพระเจ้า

“พระเจ้า พระเยซูเสด็จกลับมาเถิด กำลังรออยู่”

ท่านเห็นหมา แมว นก ปลา หรืออะไรต่างๆ กำลังรอคอยวันที่พระเจ้าจะกลับมาไถ่พวกเราอีกครั้งหนึ่ง ทั้งโลกใบนี้ กลับคืนสู่สภาพดี ทุกวันนี้ สรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างทุกข์ทรมานด้วยกันกับเรา คร่ำครวญมาพร้อมกับเรา เพราะว่าความบาปมันปกคลุม ความชั่วร้าย คำสาปแช่งมันปกคลุมอยู่เหนือโลกใบนี้

ลองไปอ่านในปฐมกาลช่วงเริ่มต้นกับวิวรณ์ช่วงท้ายๆ จะได้รู้ว่าสวรรค์ใหม่ หรือโลกใหม่ ที่เราจะอยู่กับพระเจ้าอย่างมีความสุขนั้น เป็นอย่างไร? พระคัมภีร์บอกไว้ว่าไม่มีการเจ็บไข้ได้ป่วย ไม่มีความทุกข์ยากลำบากอีกต่อไป นี่คือความหวังของผู้ที่รู้ความจริงของพระเจ้า และเชื่อในการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์แล้ว และเป็นแผนการของพระเจ้าที่จะให้มนุษย์กลับไปอยู่กับพระองค์ และทุกสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง กลับไปเหมือนที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมาใหม่ๆ พระองค์ต้องการแค่นี้ กลับคืนมา คืนสู่สภาพเดิมหมดทุกอย่าง กลับมาอยู่ในครอบครัวของพระองค์ มิน่าเขาถึงร้องเพลง …

“โลกนี้ไม่ใช่บ้านเรา ฉันเพียงอาศัยชั่วคราว

สมบัติฉันสะสมไว้ ที่ในสวรรค์เบื้องบน

ทูตสวรรค์ร้องเรียกอยู่ ณ ประตูบนวิมาน

และฉันรู้ว่าโลกนี้ ไม่ได้เป็นบ้านฉันเลย”

เห็นไหม? โลกหน้าเป็นบ้านของเรา แต่โลกนี้ไม่ใช่ โลกหน้า ก็คือสวรรค์ โลกนี้ คือนรกดีๆ นี่เอง เปาโลบอกว่า …

“ถ้าเลือกได้ ฉันไม่อยากอยู่แล้ว เพราะฉันรู้จักพระเจ้าแล้ว เห็นชัดแล้ว อยากจะไปอยู่กับพระเจ้าแล้ว อยากจะไปจากโลกนี้”

แต่ที่จำเป็นต้องอยู่ เพราะว่าพระเจ้ายังใช้เปาโลสอนความจริง ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ให้กับบรรดาผู้คนบนโลกใบนี้อยู่ ถ้าเลือกได้เปาโลไปก่อนแล้ว พวกเราที่นี่เหมือนกัน ถ้าเลือกได้ เราไปเหมือนกันแหละ หมายถึงจิตใจมันสบาย แต่มันยังทำไม่ได้ ก็ว่ากันไป ถ้าทำไม่ได้ แสดงว่าพระเจ้ายังไม่อนุญาตให้เราคิดอย่างนั้น ก็ให้เรามีห่วงอยู่ จะได้อยู่บนโลกใบนี้แบบมีภาระหน่อยหนึ่ง ภาระทำตามที่พระเจ้าวางแผนไว้ให้กับเรา ดูแลลูกหลาน ดูแลการงาน ก็ว่ากันไป แต่ถ้าพระเจ้าให้เห็นชัดเจนบางอย่าง และพร้อม เราจะพูดเหมือนเปาโลว่าอยู่ก็ดี ถ้าไปก็ดีกว่า คิดแค่นี้ ก็มีความสุขแล้วนะ มันมีความหวัง และความหวังที่แท้จริง เพราะมันออกจากวิญญาณของเราด้วย มันไม่ใช่แค่พูดเฉยๆ

พอผมอธิบายอย่างนี้ ก็ยังมีผู้เชื่อบางคน ที่อาจได้รับคำสอนมาแบบต้องอยู่ภายใต้กฎระเบียบ ข้อบังคับต่างๆ ก็จะเริ่มแย้งว่าทางวิญญาณจะหายเหนื่อย เป็นสุขได้อย่างไร? หมายถึงคริสเตียนเก่าแก่ ที่ถูกสอนมาตั้งแต่เด็ก แต่เล็กเลย คือพูดง่ายๆ เชื่อพระเจ้ามาตามพ่อแม่ พ่อแม่พูดอย่างไร? ก็ฟังๆ บางทีตัวเองก็ไม่ได้คิด พอผมอธิบายอย่างนี้ ฟังแล้ว …

“จะเป็นไปได้อย่างไร? พระเยซูบอกจะหายเหนื่อยและเป็นสุข เป็นคริสเตียนใครบอกหายเหนื่อย แล้วเป็นสุข ไม่จริงหรอก”

ไม่จริงเพราะว่า “ตั้งแต่ฉันรู้จักพระเจ้ามา พ่อแม่พามาโบสถ์ ฉันไม่เห็นมีอะไรหายเหนื่อยและเป็นสุขเลย”

เพราะอะไร?  “คิดดูสิ จะเล่นเกมก็ไม่ได้ วันอาทิตย์ก็ต้องมาโบสถ์ ไม่มาก็ไม่ได้ ต้องอธิษฐาน ไม่อธิษฐานก็ไม่ได้ แล้วแถมยังต้องท่องพระคัมภีร์ ไม่ท่องก็ไม่ได้ ไม่อ่านก็ไม่ได้ โอ๊ย! มันยุ่งกว่าเก่าอีก ฉันไม่เห็นมีความสุขเลย ไม่เห็นหายเหนื่อยตรงไหน? มันหนักกว่าเดิมอีก”

จริงหรือเปล่า ไม่เป็นคริสเตียน ไม่เห็นมีกฎเหล่านี้เลย ตอนนี้เป็นคริสเตียน กฎเพิ่มขึ้นมาอีก จากถือศีลกี่ข้อๆ ตอนนี้เพิ่มมาอีก วันอาทิตย์ต้องไปโบสถ์ ถวายสิบลดอีก มันเยอะไปหมดเลย ดูหนังผีก็ไม่ได้ ดูแฮรี่ พอตเตอร์ก็ไม่ได้ แล้วจะทำอย่างไร? ไปเที่ยวก็ไม่ได้ แล้วยังมาบอกว่าหายเหนื่อยและเป็นสุข มันไม่เป็นสุข มันหนักกว่าเดิม จริงไหม? จะมีคนถามท่านอย่างนี้ ใช่ไหม? ลูกๆ หลานๆ อาจจะถามท่านอย่างนี้

“ไหนพ่อ ไหนหายเหนื่อยเป็นสุขตรงไหน? เพื่อนเขายังเป็นสุขบ้าง ยังหายเหนื่อยมากกว่า”

นี่เรากลับกลายต้องอันโน้น ต้องอันนี้ เยอะไปหมดเลยหรือ? พระคัมภีร์มีคำสอนเรื่องเกี่ยวกับข้อห้าม กฎต่างๆ มากมาย มัทธิว 5:21-47 ซึ่งพระเยซูเป็นผู้สอนเอง คนก็เอามาใช้เหมือนกัน แต่ใช้แบบไหนท่านลองคิดดู พระเยซูสอนตั้งแต่ห้ามฆ่าคน อย่าโกรธเคืองพี่น้อง อย่าพูดดูหมิ่นพี่น้อง ใครว่าพี่น้องว่าไอ้โง่ ตกนรกทันทีเลย จงปรองดองกับศัตรู รักศัตรูเหมือนเพื่อนบ้าน พอเขาตบแก้มขวา เอาแก้มซ้ายให้เขาตบทันทีเลย  แล้วยังสั่งว่าห้ามล่วงประเวณี มีมองหญิงด้วยใจกำหนัด ก็ไม่ได้ ก็แค่คิด ก็ผิดแล้วนะ ห้ามหย่าร้าง อย่าสาบาน จงให้ผู้ขอ ขออะไรต้องให้หมด นี่เป็นกฎระเบียบทั้งนั้นนะ แล้วท่านคิดดูว่ามาเชื่อพระเจ้า แล้วท่านไปบอกลูกๆ หลานๆ หนุ่มๆ สาวๆ ว่านี่คือกฎระเบียบที่ต้องทำ แล้วถ้าท่านบอกว่าพระเยซูบอกว่าจะให้เธอหายเหนื่อยและเป็นสุข คนนั้นก็บอกมันเหนื่อยมากขึ้นนะเนี้ย มานั่งสู้กับความคิด จะคิดก็ไม่ได้ จะว่าเพื่อนว่าไอ้งั๋ง ตกนรกอีกแล้ว มันหนักกว่าเดิมใช่หรือไม่?

แล้วพระเยซูก็จบคำสอนเหล่านี้ ด้วยถ้อยคำนี้ ยิ่งหนักใหญ่เลย ซึ่งถ้าเราเอาไปสอนตรงๆ อย่างนี้ ตายเลยนะ ไม่มีคำว่าหายเหนื่อยและเป็นสุข พระเยซูจบคำสอนในมัทธิว 5:48

มัทธิว 5:48 “เหตุฉะนั้น จงดีพร้อม เหมือนพระบิดาของท่านในสวรรค์ ทรงดีพร้อม”

 

“จงดีพร้อม” แปลว่าเพอร์เฟค แปลว่าสมบูรณ์แบบ จงสมบูรณ์แบบเหมือนพระเจ้า จงบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้าเลย  ต่อจากนี้ ออกจากบ้านใส่ชุดขาวอย่างเดียวเดิน คิดอะไรก็ไม่ได้ พระเยซูต้องการให้เราทำอย่างนั้นเหรอ นี่พระเยซูสอนเองนะ

พระเยซูกำลังบอกว่าถ้าท่านต้องการไปสวรรค์ ท่านก็ต้องทำชีวิตของท่านให้ดีพร้อม ให้เพอร์เฟค เหมือนพระบิดาในสวรรค์ของท่าน คือต้องไม่มีบาปเลย ไม่เคยคิดบาปเลย และเหล่านี้ คือบทบัญญัติที่พระเจ้าวางไว้นานแล้ว ตั้งแต่สมัยพระคัมภีร์เดิมโน่นแล้ว อยากอยู่พวกเดียวกับพระเจ้า ก็ต้องทำเหมือนพระเจ้า ต้องทำตัวให้บริสุทธิ์ จึงจะเหมือนพระเจ้าได้

แล้วในพระคัมภีร์ใหม่ พระเยซูมายกเลิกบทบัญญัติเหล่านี้เหรอ มาเลิกศีลธรรมอันดีงานเหล่านี้ไปเหรอ ไม่ใช่ พระเยซูไม่ได้มายกเลิกกฎเหล่านี้  เพราะว่าพระเยซูบอกในมัทธิว 5:17-20 ว่ากฎเหล่านี้ยังอยู่ ไม่ได้หายไปเลย

มัทธิว 5:17-20 ““ 17 อย่าคิดว่าเรามาเพื่อล้มล้างหนังสือบทบัญญัติ หรือหนังสือผู้เผยพระวจนะ เราไม่ได้มาล้มล้าง แต่มาเพื่อทำให้สำเร็จครบถ้วน 18 เราบอกความจริงแก่ท่านว่าตราบจนฟ้าและดินสูญสิ้นไป แม้อักษรที่เล็กที่สุดสักตัวหนึ่ง หรือขีดๆ หนึ่ง ก็จะไม่มีทางสูญหาย จากหนังสือบทบัญญัติ จนกว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะสำเร็จครบถ้วน 19 ผู้ใดฝ่าฝืนบทบัญญัติเหล่านี้แม้ข้อเล็กน้อยที่สุด และสอนคนอื่นให้ทำเช่นเดียวกัน ผู้นั้นจะได้ชื่อว่าเป็นผู้เล็กน้อยที่สุดในอาณาจักรสวรรค์ ส่วนผู้ที่ปฏิบัติและสั่งสอนตามคำบัญชาเหล่านี้ จะได้ชื่อว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในอาณาจักรสวรรค์ 20 เพราะเราบอกท่านว่าหากความชอบธรรมของท่าน ไม่มากกว่าของพวกฟาริสีและเหล่าธรรมาจารย์แล้ว ท่านจะไม่ได้เข้าอาณาจักรสวรรค์อย่างแน่นอน”

 

สั้นๆ ง่ายๆ ตรงนี้บอกว่ากฎของธรรมาจารย์เขาบอกว่าห้ามล่วงประเวณี แต่กฎธรรมบัญญัติพระเจ้า ในอาณาจักรสวรรค์บอกว่าคิดก็ไม่ได้ พวกฟาริสีเขาบอกแค่ไม่ล่วงประเวณี เขาเท่ห์มาก เขาเป็นคนที่สูงกว่าคนอื่น บริสุทธิ์ เขารักษาศีลได้ดีมาก พระเยซูบอกแค่นั้นไม่พอ ต้องสูงกว่านี้ ถ้าอยากเข้าสวรรค์ แค่เธอคิดก็ไม่ได้ แว๊บหนึ่งก็ไม่ได้เลย ฟาริสีทำได้ไหม? ไม่แว๊บเลย นี่หมายถึงอย่างนั้น

กฎทั้งหมด ยังคงอยู่ครบถ้วนบริบูรณ์ แต่เพราะว่าพระเจ้าทราบดีว่ามนุษย์ไม่สามารถทำตามกฎนี้ได้หรอก พระองค์จึงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์มา เกิดเป็นมนุษย์มาทำแทน มาเป็นตัวแทน มาเป็นแพะรับบาปให้กับเรา บทบัญญัติทั้งหมดยังอยู่ครบ ใครที่ต้องการไปสวรรค์ ต้องมีชีวิตที่เพอร์เฟค สมบูรณ์แบบ ดีพร้อม เหมือนพระเจ้า บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า คือไม่มีบาปเลย ถ้าทำได้ตามธรรมบัญญัติ ที่บอกไว้ทั้งหมด 1,000 กว่าข้อ หรือมากกว่านั้นอีก ก็ได้ชื่อว่าเป็นคนดีพร้อมเหมือนพระเจ้า บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า ไปสวรรค์ได้ ยังอยู่ครบถ้วน แต่อีกทางหนึ่ง สิ่งที่พระเยซูได้กระทำให้แล้ว บนไม้กางเขน ก็คือทำให้เกิดผลเช่นเดียวกัน ก็คือมนุษย์สามารถดีพร้อมเหมือนพระเจ้าได้ ไม่มีบาปได้ สามารถไปอยู่กับพระเจ้าบนสวรรค์ได้ โดยความเชื่อในการกระทำแทนของพระเยซูคริสต์ พระองค์ทำแทนเรา นี่มันยังอยู่ครบถ้วน ไม่ใช่กฎหายไป สำคัญมากเลย

สรุป ก็คือมนุษย์มีเหลืออยู่ 2 ทางทุกวันนี้ ในการดำเนินชีวิต ที่เป็นเหมือนพระเจ้าได้ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้าได้ เพอร์เฟคเหมือนพระเจ้าได้ สมบูรณ์แบบเหมือนพระเจ้าได้ คือ …

(1) ทำตามกฎที่บอกมาทั้งหมดเลย ไม่มีข้อผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว จะได้สมบูรณ์พร้อม จะได้ไปสวรรค์ได้ อันนี้ถูกต้องเลย พระเจ้ายินดีต้อนรับ ประตูเปิด

(2) เชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงกระทำให้เราแล้ว ที่ไม้กางเขน คือไถ่บาปเรา ชดใช้บาปเวรกรรมแทนเราไปแล้ว จะเอาอย่างไร?  อย่างที่หนึ่งต้องทำเอง อีกอย่างหนึ่ง คือเชื่อพระเยซูคริสต์ ทำให้เรา

ท่านก็รู้แล้วว่าอย่างแรกมันทำไม่ได้ เมื่อทำไม่ได้ พระเยซูจึงต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อช่วยเรา ให้เราพูดที่ทำไม่ได้ ยอมรับเถิด ยอมถ่อมใจเถิด อย่าเย่อหยิ่งเลย  เชื่อพระเจ้าเถิดว่า …

“ฉันทำไม่ได้ ฉันขอความช่วยเหลือ ช่วยลูกด้วยเถิด ลูกขอพึ่งในพระองค์ ตกลงเป็นแพะรับบาปให้ลูกๆ ยอมเชื่อแล้วว่าพระองค์ไถ่บาปให้ลูก ลูกยอมสยบแล้วว่าทำเองไม่ได้”

พระเยซูก็ช่วยเขาทันที เขาก็รอด เพอร์เฟคทันที บริสุทธิ์สะอาด เหมือนพระเจ้าทันที ได้สามารถอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้ทันที และในขณะนี้ ที่เรานั่งอยู่ที่นี่ เราเรียกตัวเองว่าเป็นคริสเตียน หรือผู้ที่ใช้สิทธิของเรา  ที่พระเยซูไถ่บาปให้กับเราแล้ว เราเป็นคริสเตียนแล้ว ก็แปลว่าพวกเราได้เลือกทางที่ 2 ไปแล้ว แต่ก่อนเรายังอยู่ในทางที่หนึ่ง แต่ตอนนี้เราเลือกทางที่ 2 แล้ว คือเชื่อในสิ่งที่พระเยซูได้ทรงกระทำให้กับเราแล้วที่ไม้กางเขน และเราก็ได้รับผลจากความเชื่อนั้น คือขณะนี้ เรามีชีวิตที่ดีพร้อม สะอาดบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า ที่วิญญาณของเรา ส่วนเนื้อหนังก็ว่ากันไป รอคอยวันที่จะได้รับร่างกายใหม่มา ทุกวันนี้เดินไปที่ไหน วิญญาณเราก็แฮปปี้ ไชโย ฮาเลลูยา สรรเสริญพระเจ้า ชนะแล้ว แต่ในเนื้อหนังร่างกายจงถ่อมใจ จงรู้ว่ามันยังอยู่กับศัตรู มันยังอยู่กับสาปแช่งอยู่ ก็ประคับประคองมันไป รอวันไถ่ถอน

นี่คือชีวิตของคริสเตียนทุกคน ที่สมควรที่จะได้รับรู้ความจริงเหล่านี้  จะได้หายเหนื่อยและเป็นสุขทางวิญญาณ 100% และหายเหนื่อย เป็นสุขทางร่างกาย คือทุกข์น้อยหน่อย ลำบากน้อยหน่อย มันรู้ความจริงแล้ว มันก็รับได้ ตั้งรับได้ ไม่ใช่ตั้งรับ กะว่ามาเชื่อพระเยซูไม่เจออะไรเลย  พอเจอแล้ว ไม่ไหว ตกใจใหญ่ ไม่ต้องตกใจ เจอก็รับได้ พระเยซูอยู่กับเรา อยู่ในตัวเรา มันต้องทุกข์ โอเค สู้กับมันไปเลย มันก็เบา วางลง ไม่ใช่ป่วยที ก็ …

“พระเยซูต้องรักษาๆ”

ถ้ารักษาอย่างนั้นได้ ป่านนี้ก็ไม่ต้องมีโรงพยาบาล 2,000 ปีไม่ต้องขอพระเยซูหรอก ถ้าทำได้พระเยซูทำให้แล้ว มันทำไม่ได้ มันเป็นกฎระเบียบ ที่พระเจ้าวางไว้ ตั้งแต่สมัยโน่น จงรับรู้ความจริงนี้ สอนความจริงนี้แล้ว วิญญาณจะไม่ต้องห่วง ยอมแล้ว แต่ร่างกายเธอรับรู้ว่ามันเป็นอย่างนี้  แล้วดูแลให้ดีที่สุด พระเจ้าก็จะค่อยๆ สอนเราทีละนิดๆ ให้เราออกกำลังกายบ้าง กินข้าวตรงนั้น ตรงนี้ กินนั้นนิด กินนี้น้อยหน่อย เข้าใจไหม?  เพื่อประคับประคองให้ร่างกาย มันพออยู่ได้ แต่อย่าไปเทิดทูนร่างกายมัน ในที่สุด มันต้องตาย มันต้องเน่า เพื่อจะได้เกิดร่างกายใหม่ ต้นใหม่จะเกิดขึ้น เมื่อเมล็ดมันเน่า เอเมน เพราะฉะนั้น การตายจึงดีกว่าอยู่สำหรับคริสเตียน แต่ทั้งหมด ก็อยู่ที่การทรงนำของพระเจ้าทั้งสิ้น ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

***********************