คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 30 ตุลาคม 2016 เรื่อง “ตามรอยของพ่อ” ตอน 2 โดย นคร เวชสุภาพร

ผ่านมา 17 วัน เกือบ 3 สัปดาห์แล้ว

สำหรับเหตุการณ์ที่ทำให้คนไทยทั้งประเทศโศกเศร้าเสียใจ

หลายๆ คนก็ยังอยู่ในสภาวะทำใจ ยังโศกเศร้าอยู่

แต่ท่ามกลางความโศกเศร้าเสียใจที่เกิดขึ้นในขณะนี้

เราก็ได้เห็นสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นมากมาย ผมก็ติดตามข่าวอยู่ตลอด

ได้ยินอยู่บ่อยๆ ว่ามีผู้คนเยอะแยะมากมาย ที่ตั้งใจจะทำความดี

ตั้งปณิธานที่จะดำเนินชีวิตตามแนวทางของพระบาทสมเด็จพระปร

มินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชของเรา

แล้วหลายคนก็เริ่มต้นทำแล้วด้วย ไม่เพียงแต่มีสิ่งดีๆ

เกิดขึ้นเยอะแยะในบ้านเราเท่านั้น ยังมีสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นทั่วโลก

ทำให้เราคนไทยภูมิใจมากมาย

จากที่ได้เห็นข่าวจากหลายประเทศ

ก็ได้เห็นจัดกิจกรรมเทิดทูนพระมหากษัตริย์อย่างยิ่งใหญ่

สมพระเกียรติ อย่างเช่น เมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา

หลายคนก็ได้ดูการถ่ายทอดการประชุมสมัชชาพิเศษ

ที่สดุดีถวายพระเกียรติแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล

เราคนไทย นั่งดูไป ก็เศร้าไป แต่ก็ตื่นเต้น ภูมิใจ

อาการนี้เขาเรียกว่ายิ้มทั้งน้ำตา คิดถึงสิ่งที่ท่านทำ

สมัยก่อนตอนท่านอยู่ เราก็ไม่ได้คิด แต่พอท่านไป

แล้วทั้งโลกเขาแซ่ซ้อง เราถึงได้มานั่งคิดนะ

คนเราก็จะเป็นอย่างนี้แหละ เป็นเอกฉันท์ทั่วโลก

แล้วก็เป็นความภาคภูมิใจของเราทั้งหลาย ขอบคุณพระเจ้า

ที่ทรงให้เรามาเกิดบนแผ่นดินนี้

และทุกคน เวลาจะพูดถึงในหลวงของเรา ที่เราได้ดู

ทั่วโลกจะต้องกล่าวถึงเรื่องพระราชกรณียกิจของพระองค์ท่าน

ที่ได้ตรากตรำทำงาน เพื่อคนไทยตลอดเวลา 70 ปี

ไม่ใช่คนไทยอย่างเดียว

มีผลกระทบไปยังบรรดาสังคมในโลกนี้ด้วย

พระเจ้าบอกว่าเกียรติเป็นของใคร? ก็เป็นของผู้นั้น สมควรได้รับ

ก่อนหน้านี้ หลายคน รวมทั้งผมเองด้วย

ก็ยังไม่เคยทราบมาก่อนว่าโครงการที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ของเรา

ได้คิดและทำมานั้น มีมากมาย

คือเราเห็นมาตั้งแต่เด็กๆ ว่าพระองค์ทรงงานหนักมาก

เยี่ยมพสกนิกร ราษฎร ไกลมากเลย

แต่ก็ไม่เคยนับว่ามีจำนวนโครงการทั้งหมดเท่าไร? จนมาวันนี้

รู้ว่า 4,000 โครงการ

และหนึ่งในโครงการของพระองค์ที่รู้จักกันดีที่สุด

ทุกคนพูดถึงมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นประเทศไทยเอง

หรือต่างประเทศทั่วโลกก็ตาม ก็คือโครงการเศรษฐกิจพอเพียง

ไม่ใช่เป็นนโยบาย บอก สอนเฉยๆ แต่ทำเป็นตัวอย่าง

แล้วก็สอนคนเป็นตัวอย่าง เริ่มต้นตรงนั้นเป็นตัวอย่าง

เริ่มต้นตรงนี้เป็นตัวอย่าง พร่ำสอนเรื่องนี้มาตลอด

คนไทยทุกคน จึงคุ้นเคยกับคำว่า “พอเพียง” หรือคำว่า

“เศรษฐกิจพอเพียง” แต่อย่างว่าก็ยังมีหลายคน

รวมผมเองก็เหมือนกัน

ผมก็คิดว่าผมยังเข้าใจไม่ได้ลึกซึ้งเท่าในหลวงของเราที่พระองค์ท

รงตรัสเอาไว้ แต่ก็ยังมีหลายคนในโลกนี้ และในประเทศนี้

ที่ยังไม่เข้าใจเลย

ถึงเรื่องเกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หั

ว ถึงความหมายที่แท้จริง

ที่พระองค์ทรงต้องการให้เราได้เรียนรู้ว่ามันคืออะไร?

มันสำคัญอย่างไรกับชีวิตของคนจริงๆ

มันเป็นจุดเริ่มต้นของความสุข จุดเริ่มต้นของความสงบ

ไม่ใช่สุขอย่างเดียว แต่จุดเริ่มต้นของชีวิตของคนทีเดียว

อยากบอกว่ามันสำคัญที่สุด

พอดี ก็ติดตามข่าวมาตลอด ในช่วงนี้ เหมือนเราหลายๆ คน

ได้รับรู้เรื่องราวต่างๆ คลิปวีดีโอมากมายถึงสิ่งต่างๆ

ของพระองค์ท่านเยอะแยะในขณะนี้ มีอยู่คลิปหนึ่ง ผมได้เปิดดู

ประทับใจมาก ที่พระองค์ท่านได้ทรงอธิบายความหมายของคำว่า

“เศรษฐกิจพอเพียง” ได้แบบลึกซึ้งเข้าใจง่ายๆ เป็นคลิปสั้นๆ

เท่านั้นเอง ผมฟังแล้วประทับใจมาก ก็ฟังแล้วฟังอีก ยอดเยี่ยมๆ

ถ้าฟังเมื่อ 20 ปีก่อน ผมอาจจะไม่ได้คิดอย่างนี้ แต่ ณ วันนี้

ได้ศึกษาเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงมาพอสมควร

เป็นพระราชดำรัสที่ได้พระราชทานแก่คณะบุคคลต่างๆ ที่เข้าเฝ้าฯ

เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาวันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม ปี  2541

https://youtu.be/yvO3dbTN4xI (ให้พี่น้องไปเปิดฟัง)

นี่เป็นแค่ส่วนเดียวเท่านั้น จริงๆ

ผมอยากให้ท่านฟังฉบับเต็มเลย มีประโยชน์มากจริงๆ ฟังแล้ว

นอกจากเราจะซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่านแล้

ว ถ้าเราน้อมนำเอาความคิดทั้งหมดนั้น

มาปฏิบัติให้เกิดผลในชีวิตของเราทุกคน

ก็จะเป็นประโยชน์ต่อตัวเราเอง ต่อครอบครัว ต่อประเทศชาติ

แม้กระทั่งไปถึงทั่วโลก นี่แหละครับ

ทั่วโลกจึงถวายเกียรติแด่พระองค์ท่าน

ตัวอย่างพระราชดำรัสของพระองค์ท่านที่ได้ประทาน

เนื่องในวันปีใหม่ 31 ธันวาคม 2502 หลายท่านยังไม่ได้เกิดเลย

ประมาณ 57 ปีมาแล้ว มีใจความตอนหนึ่งว่าอย่างนี้ …

“การใช้จ่ายอย่างประหยัดนั้น

จะเป็นหลักประกันความสมบูรณ์พูนสุขของผู้ประหยัดเอง

และครอบครัว ช่วยป้องกันการขาดแคลนในวันข้างหน้า

การประหยัดดังกล่าวนี้ จะมีผลดี

ไม่เฉพาะแก่ผู้ประหยัดเท่านั้น

แต่ยังเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติด้วย”

จริงเลยแหละ ไปจนถึงทั่วโลกเลย

ก่อนหน้านี้จะมีพระราชดำรัสเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือยัง ผมไม่แน่ใจ

เพราะเท่าที่ค้นมา เก่าที่สุด คือ 2502 สอนมา 57 – 58 ปี เกือบ 60

ปีแล้ว สอนเรื่องนี้มาตลอด ถ้าพูดตามสามัญชาวบ้าน

ต้องบอกว่าพูดจนปากเปียกปากแฉะ ก็ยังไม่เข้าใจกันเท่าไร?

ยังปฏิบัติกันไม่ได้มากในบ้านเมืองเรา ยังไม่เกิดประโยชน์มาก

แต่พระองค์ท่านไม่เคยท้อเลย พูดทุกปี พูดบ่อยๆ

ไม่ใช่พูดอย่างเดียว ทำเป็นตัวอย่าง ทำเป็นโครงการนั้น

โครงการนี้ ในชนบท ตั้งแต่ปี 2502 จนมาถึงคลิปตะกี้นี้ 2541

ก็ยังอธิบายอยู่ แล้วพระองค์ท่านก็บอกว่าปีหน้าก็ต้องพูดอีก

รู้ว่าเบื่อ แต่รู้ว่าเข้าใจแค่นิดเดียว จะพูดต่อไป

มาถึงวันนี้ ไม่ใช่แค่เพียงคนไทยเท่านั้น แต่หลายๆ ที่ หลายๆ

แห่งในโลก ก็ได้รู้จักปรัชญาเศรษฐกิจเพียงพอ ที่เราได้ยินกัน

เพราะมันเกิดผลจริงๆ นั่นเอง เพราะฉะนั้น

ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิ

พลอดุลยเดช ในหลวง รัชกาลที่ 9 ของเรา

จึงเป็นอันหนึ่งที่สำคัญมาก ทั่วโลกนำไปใช้ในขณะนี้

ซึ่งเราได้ฟังเมื่อสักครู่นี้ เราก็รู้ด้วยตัวเราเอง นั่นมีหลักฐานชัดเจน

ลึกซึ้ง อีกหลายอย่าง ถ้าฟังสมัยก่อน เราอาจไม่ลึกซึ้งขนาดนี้

และถ้าท่านฟังวันนี้ และตั้งใจฝึกฝนไปเรื่อยๆ อีก 10 ปี

ท่านเอาคลิปนี้มาฟังใหม่อีก

ก็จะขยายความเข้าใจท่านมากขึ้นเรื่อยๆ แค่ 15 นาทีเท่านั้น

แต่ความลึกซึ้งมหาศาลมาก

ผมจึงอยากจะใช้เวลานี้ ให้พวกเราได้เข้าใจกับคำว่า

“เศรษฐกิจพอเพียง” หรือคำว่า “พอเพียง”

ซึ่งภาษาพระคัมภีร์ใช้คำว่า “To be contentment” คือ

“มีความพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่” ไม่ใช่แค่เงินอย่างเดียว

ไม่ใช่สิ่งของอย่างเดียว รวมหมดทุกอย่าง

เหมือนที่พระราชดำรัสที่เราได้ฟังกัน แม้กระทั่งความคิดของเรา

ซึ่งเป็นเรื่องที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9

ของเราพร่ำสอนมาตลอด 60 ปี เราก็จะใช้เวลานี้แหละ

เรียนรู้เรื่องเหล่านี้มากขึ้น

เพื่ออย่างน้อยจะได้เป็นประโยชน์ต่อตัวเองและครอบครัว

และเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ

และเป็นประโยชน์ต่อสังคมโลกด้วย

ตามที่มูลนิธิมั่นพัฒนา โดย ดร.จิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา

ได้เคยกล่าวไว้ว่าพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9

ทรงเปรียบเทียบปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เหมือนเสาเข็ม

พระองค์ทรงรับสั่งว่าบ้านเมืองของเรา ถ้าจะให้มั่นคง ต้องมีเสาเข็ม

และเสาเข็มมันอยู่ใต้ดิน มองไม่เห็น

คนเลยละเลยไม่ให้ความสำคัญกับเสาเข็ม แต่บ้านมันจะอยู่ได้

ต่อเมื่อเสาเข็มแข็งแรง ถ้าเสาเข็มไม่แข็งแรง วันหนึ่งลมพัด พายุมา

มันก็โค่นล้ม ในหลวงตรัสว่ามันเป็นเหมือนเสาเข็มนี่แหละ

คนมักมองไม่เห็นว่าความสำคัญอยู่ตรงไหน?

ถ้าพื้นฐานของคนไม่มีความอยู่ดีกินดี ตามอัตภาพ

“อยู่ดีกินดีตามอัตภาพ” คืออะไร? เป็นอยู่ มีชีวิตอยู่ ไม่ใช่

หมายถึงกินอาหารอย่างเดียว อยู่ดีกินดี

หมายถึงชีวิตทุกอย่างอยู่ในความพอเพียง พอดีแล้ว ตามอัตภาพ

ก็คือตามกำลังของตนเอง คิดก็คิดตามกำลัง อยากก็อยากตามกำลัง

แล้วสุดท้าย ก็คือกินตามกำลัง ใช้สอยเงินตามกำลัง

ไม่คิดอะไรใหญ่โตเกินกว่าที่ตัวเองควรจะคิด ถ้าเป็นอย่างนั้น

นั่นแหละเรียกว่าพื้นฐานที่มั่นคง มันจะไม่ล้มลงมาง่ายๆ

แต่ถ้าไม่ใช่อย่างนี้ มันจะล้มลงง่ายๆ คิดเกินไป

คิดว่าเราจะไปอยู่ตำแหน่งนั้น แต่เราทำไม่ได้ เราคิดเกินไป

เรามีสติปัญญาแค่นี้ ขนาดนี้ เราควรจะรับผิดชอบแค่นี้

เราคิดว่าเราอยากจะมีตำแหน่งอย่างโน้น

แล้วในที่สุดมันก็พังลงมาหมดเลย อย่างนี้ ไม่เกี่ยวกับอาหาร

และเพื่อให้เกิดความเข้าใจง่ายขึ้น ทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ก็ได้น้อมนำพระราชดำรัสที่พระองค์ประทาน

สรุปความหมายของเศรษฐกิจพอเพียง หรือความพอเพียงตรงนี้

เป็นประเด็นหลักๆ 3 ข้อเริ่มต้น คือ …

(1) พอประมาณ ไม่สุดโต่ง …

(2) มีเหตุมีผล …

(3) มีภูมิคุ้มกันที่ดี …

หลักข้อที่ 1 พอประมาณ ไม่สุดโต่ง

ก็คือพอประมาณในทุกอย่าง มีความพอดีไม่มาก

หรือไม่น้อยจนเกินไป และไม่เบียดเบียนตนเอง

หรือทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน ความหมายก็คือตามกำลังของตนเอง

ไม่ใช่ว่ามีไม่ได้ หรูหราไม่ได้

ตามที่พระองค์ท่านตรัสตามคลิปเมื่อตะกี้นี้ มีได้

แต่มีตามกำลังของเราที่มี หรูหราได้ไหม? ได้

ถ้าท่านคิดว่าท่านมีกำลังพอ จะทำอย่างนั้น

ไม่เดือดร้อนชาวบ้านและตนเอง รู้จักประมาณตนนั่นเอง

อย่างตอนหนึ่งในพระราชดำรัสที่เราได้ฟังเมื่อตะกี้นี้

ที่ทรงตรัสว่าพอเพียง ก็คือ 2 ขาของเรายืนอยู่บนพื้นให้ได้

ไม่หกล้ม ไม่ต้องขอยืมขาของคนอื่น มาใช้สำหรับยืน คำว่าพอ

ก็เพียงพอ เพียงนี้ก็พอ ดังนั้นเอง คนเราถ้าพอในความต้องการ

ก็มีความโลภน้อย เมื่อมีความโลภน้อย ก็เบียดเบียนคนอื่นน้อย

ทำอะไรต้องพอเพียง หมายความว่าพอประมาณ ไม่สุดโต่ง

ไม่โลภมาก คนเราก็อยู่เป็นสุข พอเพียงนี้ อาจจะมีมาก

อาจจะมีของหรูหราก็ได้ แต่ว่าต้องไม่ไปเบียดเบียนคนอื่น

ต้องให้พอประมาณตามอัตภาพ พูดจา ก็พอเพียง

ทำอะไรก็พอเพียง ปฏิบัติตนก็พอเพียง

แค่นี้เอง ลึกซึ้งมาก คิดกับคนข้างๆ ผิด

ก็คือคิดเลยจากความพอเพียง คิดอิจฉา จะไปเลื่อยเก้าอี้เขา

จะไปแทนที่เขา อย่างนี้ เรียกว่าคิดมากเกินไป ไม่ต้องคิดอย่างนี้

คิดพอดี ก็มีความสุข มีสันติสุข เขาก็สุข เราก็สุข

ไม่เดือดร้อนชาวบ้าน คิดไปเลื่อยขาเขา ก็สร้างแผนการที่ไม่ดี

สิ่งชั่วร้ายก็เกิดขึ้น พระคัมภีร์บอกว่าพอรู้สึกไม่พอ

ความโลภก็เกิดขึ้น ความโลภ คือความไม่พอ

พระคัมภีร์บอกความโลภ คือบ่อเกิดของความบาปทุกชนิด

ความโลภ คือไม่พอ … พอ ก็คือไม่โลภ เศรษฐกิจพอเพียง

คือเศรษฐกิจที่ไม่โลภ พูดฟังง่ายนะ แต่ปฏิบัติยาก

ต้องเรียนรู้กันต่อไป ต้องปฏิบัติ ฝึกฝน อย่างที่บอก 57 ปี

ในหลวงของเราก็ยังสอนเรื่องนี้ตลอดเวลา

เพราะนี่คือหลักการของชีวิต ที่ทำให้เกิดความสุขสงบได้

ในประเทศนี้ และในโลกนี้เลย

หลักข้อที่ 2 ต้องมีเหตุและมีผล

หมายถึงการตัดสินใจเกี่ยวกับระดับความพอเพียงนั้น

จะต้องเป็นไปอย่างมีเหตุผลด้วย

โดยพิจารณาจากเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้อง

ตลอดจนถึงผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการกระทำนั้นๆ

อย่างรอบครอบ ไม่ใช่พอบอกว่าใช้ตามอัตภาพ ตามกำลัง

พอเรามีเยอะ ก็ใช้แบบไม่มีสติเลย ไม่มีเหตุ ไม่มีผล

ไม่มีการพิจารณาใคร่ครวญในการใช้ อันนี้ก็ไม่ใช่พอเพียง

พระบรมราโชวาทในพิธีประทานปริญญาบัตร

มหาวิทยาลัยขอนแก่น เมื่อปี 2540 … 19 ปีที่แล้ว

มีใจความตอนหนึ่งว่า …

“ข้อสำคัญในการสร้างตัว สร้างฐานะนั้น

จะต้องถือหลักค่อยเป็นค่อยไป ด้วยความรอบครอบ

ระมัดระวัง และความพอเหมาะ พอดี ไม่ทำเกินฐานะ

และกำลัง หรือทำด้วยความเร่งรีบ”

จำข้อความในพระคัมภีร์ได้ไหม? ความเร่งรีบ คือความบาป …

บาปทำให้เกิดความเร่งรีบ เพราะถ้าเชื่อและวางใจในพระเจ้า

เราก็จะนิ่งได้ แต่ถ้าเราไม่เชื่อและวางใจในพระเจ้า

เราก็อยากได้ในสิ่งที่เราอยากได้เอง ทุกอย่างจะพึ่งตัวเองหมด

เราก็ทนไม่ไหว ในที่สุดเราก็จะเร่งรีบ ต้องการตรงนั้น

ต้องการตรงนี้ รอไม่ได้ เพราะเราไม่ได้วางใจในพระเจ้า

เมื่อบาปเกิดขึ้น ก็คือเราไม่ได้นึกถึงพระเจ้านั่นเอง การเร่งรีบ

คือคนไม่นึกถึงพระเจ้า ตอนนั้น มันเป็นบาปอยู่ บาป

คือตรงกันข้ามกับทางพระเจ้า …

พระเจ้าต้องการให้เรานึกถึงพระองค์ …

พระองค์จะให้เราทำอะไร? เรานึกถึงพระองค์เมื่อไร? เราจะไม่รีบ

เรารีบเมื่อไร? เราก็ไม่นึกถึงพระองค์ ถูกไหม?

เพราะรู้ว่าการควบคุมดูแล การกำหนด การจัดเตรียม

จัดหาทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่พระองค์ทั้งสิ้น เรารู้มาตลอด

แล้วทำไมตอนนี้เรารีบ ก็แสดงว่าเรากำลังลืมพระเจ้า

ลืมถ้อยคำของพระองค์ก็ได้ ลืมคำสอนของพระองค์ก็ได้

ก็คือลืมพระเยซูนั่นเอง แต่ถ้าเรามีความพอใจ

มีเพลงอยู่เพลงหนึ่งที่บอกว่า …

“ข้าต้องการพระเยซูยิ่งกว่าเพชรนิลจินดา”

แล้วในเพลงนี้บอกว่า “ข้าต้องการพระเยซูมากกว่าทุกสิ่ง”

พอมีพระเยซูก็นิ่งแล้ว อย่างอื่นก็ค่อยว่ากัน แต่ขณะที่เร่งรีบ

พระเยซูหายไปแล้ว

หลักการข้อที่ 3 คือต้องมีภูมิคุ้มกันที่ดีในตัวเอง

หมายถึงการเตรียมตัวให้พร้อม เพื่อรับผลกระทบ

และการเปลี่ยนแปลงด้านต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น

โดยคำนึงถึงความเป็นไปได้ของสถานการณ์ต่างๆ

ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต ทั้งใกล้และไกล

ก็คือต้องมีการเรียนรู้ฝึกฝนที่จะเผชิญกับสถานการณ์ต่างๆ ให้ได้

เช่น เมื่อเกิดวิกฤตขึ้นมา ไม่ว่าวิกฤตอะไรก็ตาม

เราจะรับมือกับเหตุการณ์นั้นๆ ได้อย่างไร? เช่น เมื่อทำตามข้อ 1

ข้อ 2 แล้ว พออัตภาพสำหรับตนแล้ว ก็ยังมีสิ่งที่ไม่นึก ไม่คาด

ไม่ฝันเกิดขึ้นมา เขาเรียกว่าแอดสิเดนเกิดขึ้นมา

ในสถานการณ์แบบนั้น เราจะทำอย่างไร?

ต้องเตรียมให้พร้อม ถามว่าพอเพียง

หมายถึงต้องเตรียมให้พร้อม อะไรบางอย่าง เราไม่คาดคิด

มันอาจเกิดขึ้นมาได้ทุกเมื่อบนโลกใบนี้ พูดง่ายๆ ถ้าตามพระคัมภีร์

คือพระเยซูบอกแล้วอยู่บนโลกใบนี้มันมีแต่ความทุกข์

เดี๋ยวมันก็โผล่ขึ้นมา เราต้องรู้ว่าจะเกิดแน่ เมื่อไรไม่รู้

แต่เราต้องพร้อมที่จะรับในสิ่งเหล่านั้นที่มันอาจจะเกิดขึ้นกับเรา

คือหนึ่งในจำนวนพอเพียงนั้น แล้วเราพร้อมได้อย่างไร?

ก็คือเราสามารถเชื่อและวางใจในพระเจ้า ถ้าเราวางใจในพระเจ้า

ก็คือเราพร้อมที่จะเผชิญทุกสิ่งทุกอย่างได้ ในพระเยซูคริสต์

ผู้ที่เป็นกำลังของเรา ฟีลิปปี 4:13

ฟีลิปปี 4:13

“ข้าพเจ้าทำทุกสิ่งได้โดยพระองค์ผู้ประทานกำลังแก่ข้าพเจ้า”

ขณะที่พูดนั้น ยังไม่มีสถานการณ์อะไรเข้ามาเลย

แต่เตรียมพร้อมไว้ว่าถ้าวันหนึ่งเข้ามา

ข้าพเจ้าจะเผชิญทุกสิ่งทุกอย่างได้

โดยพระเยซูคริสต์ผู้เสริมกำลังข้าพเจ้า คือการเตรียมชีวิตทั้งหมด

นอกจากเตรียมโดยปฏิบัติแล้ว ต้องเตรียมด้วยความเชื่อด้วย

เราดูแลอย่างนี้ตลอดแล้ว เราประหยัดแล้ว เราพอเพียงแล้ว

รับรองได้ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเราแน่นอน ไม่ใช่อย่างนั้น

ชีวิตไม่ได้เรียบง่ายอย่างนั้น มันอาจจะเกิดอะไรขึ้นกับเราก็ได้

แต่ขณะที่เกิดขึ้นนั้น

ต้องให้เราเตรียมพร้อมว่าเราเชื่อในพระเจ้าว่าพระเจ้าเป็นผู้ควบคุ

มดูแลทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ใช่ชีวิตของเราอย่างเดียวทั้งหมด

หลังจากเหตุการณ์นี้

อยู่ในความดูแลของพระองค์และพระองค์กระทำทุกสิ่งทุกอย่างตาม

น้ำพระทัยของพระองค์ เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระองค์

และมันจะเป็นผลดี สำหรับเรา ลูกของพระองค์ ที่รักพระองค์

ที่เชื่อในพระองค์เสมอ พูดง่ายๆ ในที่สุด

มันจะเกิดเป็นผลดีสำหรับเรา นั่นก็เกิดสันติสุข ความสงบ

เมื่อเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นจริงๆ เราก็พอเพียงได้

มันหมายถึงอย่างนั้น

วันนี้เราก็ได้เรียนรู้วิถีทางการพอเพียง

ตามแนวพระราชดำริของพระเจ้าอยู่หัว

พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ของเรา

แล้วคราวหน้าเราก็จะมาเรียนรู้ตามแนวทางของพระเจ้า

ควบคู่กันไป ที่สอนไว้ในพระคัมภีร์ว่าให้เรา

เดินอยู่ในทางของพระองค์ ด้วยความพอเพียง แล้วท่านจะทึ่ง

เมื่อท่านเรียนไปเรื่อยๆ ทึ่งว่าแนวทางในพระคัมภีร์

เป็นแนวทางที่สอดคล้องกันอย่างดีกับเศรษฐกิจพอเพียงของในหล

วงเลย ท่านจะตกใจหลายอย่าง ที่ท่านอาจจะไม่เคยรู้

ตอนนี้สื่อออกมาตรงนี้เยอะ ท่านก็จะได้ฟังตรงนี้ ตรงนั้น หลายๆ

ทาง เพื่อให้จิตวิญญาณเจริญเติบโตในทางของพระเจ้า

วันนี้ เราจะจบกันด้วยถ้อยคำพระเจ้าตรงนี้ก่อน

แล้วผมจะอธิบายให้ท่านฟังถึงถ้อยคำนี้ เป็นสิ่งที่อัศจรรย์มากๆ

ว่าทั้งหมดที่เราฟังในคลิปเมื่อตะกี้นี้กับถ้อยคำพระเจ้าที่บันทึก เมื่อ

2,000 ปีแล้ว เป็นสิ่งเดียวกันเลย ที่เราจะต้องปฏิบัติ

แล้วพระเจ้าต้องการให้เราปฏิบัติ เพื่อชีวิตเราจะได้อยู่บนโลกใบนี้

เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า

1 ทิโมธี 6:6-8 “ 6

แต่ทางพระเจ้าพร้อมด้วยความพอใจในสิ่งที่ตนมี

ย่อมเป็นกำไรงาม 7 เพราะเราเข้ามาในโลกตัวเปล่า

เมื่อออกจากโลก ก็เอาอะไรติดตัวไปไม่ได้ 8 แต่ถ้าเรามีอาหาร

และเสื้อผ้า ก็ให้เราพอใจกับสิ่งเหล่านั้น”

นี่คือปรัชญาชีวิต นี่คือความเป็นจริงของชีวิต

นี่คือแนวทางที่พระเจ้าบอกเราว่าถ้าเราทำอย่างนี้

ชีวิตเราจะอยู่บนโลกนี้อย่าง มีความสุขสงบมาก ปลอดภัย

(มากที่สุด) แต่ทางของพระเจ้าพร้อมด้วยความพอใจ

ในสิ่งที่ตนมีอยู่ ตรงนี้ภาษาเดิมหมายความว่าอย่างไร?

คำพูดนี้เขียนตอนที่พระเยซูได้ตายที่ไม้กางเขน

หลั่งพระโลหิตชำระบาปให้กับมนุษย์ทั้งหลาย ทั้งหมด

เรียบร้อยแล้ว พระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์

พระเยซูบอกว่าพระองค์เป็นพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้า

ผู้สถิตในสวรรค์ พระเจ้าพระบิดาส่งพระองค์ลงมาเกิดเป็นมนุษย์

เพื่อตายที่ไม้กางเขน พระบิดาต้องการให้พระเยซูตายที่ไม้กางเขน

เพื่อหลั่งพระโลหิตของพระองค์ ซึ่งเป็นโลหิตของความบริสุทธิ์

เพราะพระองค์ไม่ได้เป็นคนบาป โลหิตของพระองค์จะชำระบาป

ชดใช้บาปให้กับมวลมนุษยชาติทั้งหมดเลย พระองค์จะตายที่นั่น

และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม และครอบครองเหนือทุกสิ่ง

แล้วพระองค์บอกว่าพระองค์เป็นทางนั้น

ที่ท่านทั้งหลายจะไปหาพระเจ้า ท่านจะไปหาพระบิดาเจ้า …

เจ้าของสวรรค์ ถ้าท่านเชื่อว่ามีพระเจ้าผู้เป็นเจ้าของสวรรค์

“พระเจ้าส่งฉันมา

เพื่อให้บอกท่านว่าฉันเป็นทางที่ท่านจะไปหาพระเจ้า

เป็นทางที่ท่านจะไปสวรรค์

เป็นทางที่ท่านจะไปหาพระบิดาในสวรรค์ ฉันเป็นทางนั้น”

ทางนี้ทำด้วยอะไร? “ทางนี้ทำด้วยความตายของฉัน

ทางนี้ทำด้วยโลหิตของฉันที่หลั่งที่ไม้กางเขน

เพื่อชำระบาปให้กับท่าน”

เรากลับมาดูเมื่อตะกี้ แต่ในทางพระเจ้า ทางพระเยซู

ในนี้กำลังจะบอกว่าในทางพระเจ้า

พร้อมด้วยความพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ ก็คือเริ่มต้นด้วย

ถ้าท่านอยู่ในทางพระเจ้า พูดง่ายๆ ว่าท่านเชื่อพระเยซูแล้ว

พร้อมด้วยท่านมีความพึงพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ กำไรงาม จบ

ชีวิตท่านเยี่ยม เป็นกำไรชีวิตที่งามที่สุดในโลกนี้

ไม่มีอะไรดีกว่านี้อีกแล้ว มันแปลว่าอย่างนั้น Godliness with contentment

ภาษาเดิมแปลภาษาอังกฤษว่าความบริสุทธิ์ที่ท่านได้จากทางนี้

จากการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ ซึ่งท่านไม่สามารถทำเองได้

พระคัมภีร์บอกเราไม่สามารถไถ่บาปตัวเราเองได้

เพราะเราเป็นคนบาป แต่พระโลหิตของพระเยซู

ซึ่งเป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ สะอาดหมดจด

สามารถไถ่บาปเราได้ นี่เป็นทางเดียวเท่านั้น ที่เราจะบริสุทธิ์

ท่านได้ความบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้าแล้ว ท่านได้กำไรไปแล้ว

แต่ไม่กำไรถึงที่สุด ท่านต้องได้พระเจ้าไปด้วย

และมีความพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ ท่านจะมีกำไรงาม …

งามมากเลย นี่คือเคล็ดลับ

แล้วก็บอกว่าพอมีทางพระเจ้า แล้วมีความพอใจ

แค่ท่านมีอาหารและเสื้อผ้าก็พอใจ ยกตัวอย่าง อะไรก็ได้

แล้วแต่พระเจ้าให้ พูดง่ายๆ แล้วแต่พระเจ้าจะจัดเตรียมให้

แม้นกในอากาศ พระองค์ยังดูแลเลย แล้วท่านเป็นใคร?

พระเจ้าจะไม่ดูแลท่านมากกว่านี้หรือ? พระเยซูตรัส

ขนาดนกในอากาศ ต้นไม้ใบหญ้า ดอกไม้ ดอกหญ้า

สวยงามมากเลย เดี๋ยวไม่กี่วันมันก็เฉาแล้ว ถูกแดดเผา

พระเจ้ายังตกแต่งมันสวย

แล้วท่านจะอยู่กับพระองค์ไปตลอดนิรันดร์

แล้วเป็นลูกของพระองค์ด้วย

พระเจ้าจะไม่ดูแลมากกว่าดอกไม้ไม่กี่วันนั่นเหรอ

ต้นหญ้าไม่กี่วันเหรอ นกกระจอกอายุมันอยู่นานเท่าไร?

พระเจ้ายังเลี้ยงดูมันเลย มันไม่ทำงาน วันๆ บินออกมา ร้องจิ๊บๆ

เดี๋ยวมันก็กลับไปบ้าน มันก็อยู่ได้ของมัน

พระเยซูสอนให้เรามองสิ่งเหล่านี้ แล้วท่านเป็นใคร?

เมื่อท่านอยู่ในทางพระเจ้า ท่านเป็นลูกพระเจ้าแล้ว

พระเจ้าจะดูแลท่านเอง พระเจ้าที่ดูแลนกนั่นนะ

พระเจ้าที่ดูแลต้นหญ้าให้มีดอกสวยขนาดนั้น เป็นพ่อของท่าน

จะดูแลชีวิตท่าน

และยกตัวอย่าง เมื่อสมัยท่านเป็นคนบาป

หรือทุกวันนี้ท่านรู้ตัวว่าท่านเป็นคนบาป ท่านยังรู้จักรักลูกของท่าน

ให้ของดีๆ ใช่ไหม? เราก็ต้องบอกว่าใช่

แล้วมากกว่านั่นสักเท่าไรที่พ่อ ผู้สถิตอยู่ในสวรรค์ เป็นพ่อของท่าน

พระเจ้าบริสุทธิ์ ยิ่งใหญ่ เต็มไปด้วยพระสิริ ไม่ใช่เป็นคนบาป

จะรักท่านและให้ของดีๆ กับท่านมากกว่านั้นสักเท่าไร?

ท่านคิดเอาเอง เทียบเอาเอง เราเป็นห่วงลูกของเรามากเลยนะ ดึกๆ

ดื่นๆ ถ้าทำอันโน้นอันนี้ สมมตินะ เราเป็นห่วงมาก เป็นห่วงสุขภาพ

ตอนเขาไม่สบาย เราก็เป็นห่วงมาก พระเยซูบอกให้เราคิดเอาเอง

พระเจ้าเป็นห่วงเราขนาดไหน?

มากกว่านั้นสักเท่าไรที่ถ้าเกิดตอนนี้เราเป็นหวัด

พระเจ้าเป็นห่วงเรามากกว่านั้นสักเท่าไร?

นี่เปรียบเทียบให้เห็นชัดๆ เลย ถ้าเราได้สิ่งเหล่านี้มาทั้งหมด

รวมกับความพอใจในสิ่งที่มีอยู่ว่า …

“ฉันเป็นลูกพระเจ้าแล้ว” วันทั้งวันนั่งยิ้ม

“ฉันเป็นลูกพระเจ้าแล้ว วันหนึ่งจากโลกนี้ไป ฉันก็ไปอยู่ในสวรรค์

ขอบคุณพระเจ้า อยู่บนโลกนี้ ก็แล้วแต่น้ำพระทัยพระองค์

จะให้มีเงิน ฉันก็จะใช้เงินเป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า

เพราะพระเจ้าสอนฉันว่าถ้าให้มีเงิน หรูหราได้ไหม? ได้

แต่ความหรูหรานั้น มีสติปัญญาจากพระเจ้า

คือเป็นเหมือนผู้อารักขาของพระเจ้า

ใช้ให้เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า”

เห็นไหม? ไม่ใช่มีเงิน แล้วมานึกว่า …

“ฉันรวยแล้ว อันนี้เป็นของฉัน”

เปล่า “ฉันเป็นผู้อารักขาเงินจำนวนนี้

และพระเจ้าก็อนุญาตให้ฉันใช้ด้วย แต่ใช้อย่างมีสติ”

มีสติว่าอย่างไร? นี่เป็นเงินของพระเจ้า ใช้ในทางของพระเจ้า

เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า หรูหราได้ไหม? ได้ แต่คิดทางนี้

เขาเรียกว่าคิด มีเหมือนไม่มี ขับรถใหญ่หรูหราเลย มี

แต่เหมือนไม่ใช่ของเรา … เราไม่ได้ไปยึดมันเป็นของเรา

เมื่อไรพระเจ้าจะเอาคืนไป ไม่มี ก็ไม่มี …

มีก็เอามาใช้ให้เป็นประโยชน์ในทางของพระเจ้า มีสติ คืออย่างนี้

เพราะฉะนั้น นี่คือหนทางที่มีสันติสุข และมีความสงบสุขจริงๆ

บนโลกใบนี้ และมีความหวังในโลกหน้าด้วย

ขอพระเจ้าอวยพรครับ