คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 27 ธันวาคม 2015 เรื่อง “พระเยซูคริสต์ มนุษย์ผู้ไม่มีบาป” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  27  ธันวาคม  2015

 เรื่อง “พระเยซูคริสต์ มนุษย์ผู้ไม่มีบาป”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

เราจะฟังคำบรรยายในวันนี้นะครับ ชื่อเรื่องว่า “พระเยซูคริสต์ มนุษย์ผู้ไม่มีบาป” เมื่อสัปดาห์ที่แล้วเราคุยกันเยอะเลย  เกี่ยวกับเรื่องราวของการประสูติของพระเยซู คำถามที่หลายๆ คนเคยสงสัย ผมก็ได้ตอบไปบ้างแล้ว ในสัปดาห์ที่แล้ว เท่าที่พอจะค้นหาได้ ทั้งจากพระคัมภีร์และจากหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ครั้งที่แล้วจำได้ใช่ไหมครับ?

เรามาทบทวนสักนิดหนึ่งนะครับว่าเราได้ตอบคำถามอะไรไปบ้าง? เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ถือว่าเป็นการตอบคำถามร่วมกัน เป็นการบรรยายร่วมกัน

ถ้าถามว่า “ทำไมต้องมีวันคริสตมาส?”

ทุกคนก็ทราบว่าวันคริสตมาส ก็คือวันที่พระเจ้า คือพระเยซูคริสต์ มาเกิดเป็นมนุษย์ นี่คือหัวใจหลักของวันคริสตมาส

“แล้วทำไมพระเยซูต้องมาเกิดเป็นมนุษย์?”

คำตอบที่เราได้รับ ก็คือเพื่อมาไถ่บาปให้กับมนุษย์ ให้รอดพ้นจากโทษของความบาป  ซึ่งพระคัมภีร์บอกว่านี่เป็นเพียงหนทางเดียวเท่านั้นที่จะทำให้มนุษย์รอดพ้นจากบาปเวรกรรม รอดพ้นจากโทษของบาปเวรกรรม รอดพ้นจากการได้รับโทษ จากการกระทำความผิดนั่นเอง คือมีโทษ ซึ่งภาษาพระคัมภีร์ใช้คำว่าสาปแช่ง พ้นจากคำสาปแช่งของบาปเวรกรรม ของมนุษยชาติ พระเยซูมาเพื่อสิ่งนี้

พระเยซูสามารถทำตรงนี้ได้ เพราะว่าพระเยซูไม่มีเชื่อบาป เพราะว่าเป็นพระเจ้า แต่มนุษย์ทุกคนมีเชื่อบาปของเวรกรรมอยู่ ก็คือมีเชื้อบาป เชื้อที่จะต้องถูกลงโทษ พูดง่ายๆ ว่าติดหนี้เขา จะต้องใช้หนี้เขา เรียกว่าเชื้อบาป มนุษย์ทั้งปวงติดมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษเลย การไถ่บาป ที่จะไถ่บาปให้มนุษย์รอดพ้นจากโทษบาปเวรกรรม ก็จะต้องมาจากมนุษย์ มาจากเผ่าพันธุ์มนุษย์เหมือนกัน มาจากทูตสวรรค์ไม่ได้ ต้องมาจากมนุษย์ … มนุษย์ต้องเข้ามาช่วยมนุษย์ … มนุษย์เท่านั้นจึงจะเป็นตัวแทนของมนุษย์ด้วยกันได้  พระเยซูจึงต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อมารับโทษบาปแทนมนุษย์ทั้งหลายบนโลกใบนี้

คำถามต่อไป คือ “พระเยซูที่เป็นมนุษย์ มีอะไรพิเศษ แตกต่างจากคนอื่น ทำไมจึงมาไถ่บาปให้กับมนุษย์ได้?”

คำตอบเรารู้แล้ว ทำไมมาไถ่บาปให้กับมนุษย์? มนุษย์ทุกคนมีเชื้อของความบาปอยู่ในเขา แต่พระเยซูเป็นมนุษย์เพียงผู้เดียวเท่านั้น ที่ไม่มีเชื้อของบาปเลย สัปดาห์ที่แล้ว เราได้เรียนรู้ตรงนี้

แล้วก็ถามว่า “แล้วทำไมพระเยซูจึงไม่มีบาป?”

คำตอบ ก็คือเพราะพระเยซูทรงเป็นพระเจ้าที่ลงมา เรียกว่าจุติ เกิดในหญิง ในมดลูก ในครรภ์ของหญิงพรหมจารี คือมารีย์ หรือแมรี่ ด้วยฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ดังนั้นจึงไม่มีเชื้อของมนุษย์เลย ไม่มีเชื้อของมนุษย์มาเกี่ยวข้องเลย

ยังจำได้ไหมครับเมื่อครั้งที่แล้ว เราได้คุยกัน ถ้าเป็นสมัยก่อน แล้วบอกว่า.-

“เกิดจากหญิงพรหมจารี”

ทุกคนก็จะบอกว่า “เสียสติไปแล้ว มันเป็นไปไม่ได้ มีใครที่ไหนเล่า บ้าไปแล้วหรือไง?”

ถ้าเป็นยุคสมัยก่อน แต่ถ้าเป็นยุคนี้ เรียกว่าถ้าหญิงพรหมรีย์ตั้งครรภ์ ถือเป็นเรื่องธรรมดา … ธรรมดามาก ที่เราได้เรียนรู้กันเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ที่เขาเรียกว่าการอุ้มบุญ การผสมเทียม การทำเด็กในหลอดแก้ว สิ่งเหล่านี้ทำให้หญิงพรหมจารี สามารถตั้งครรภ์ได้

สัปดาห์ที่แล้วเรียนรู้เรื่องนี้ บางคนคิดว่าผมสอนวิทยาศาสตร์ การกำเนิดของคน ไม่ใช่เลยนะครับ เรามาติดตามเรื่องวิทยาศาสตร์ว่าวิทยาศาสตร์ค้นพบทีหลัง … หลังจากพระคัมภีร์บอกไว้แล้วตั้งหลายพันปี มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ  เมื่อเทคโนโลยีคิดค้นไปถึง ก็จะเห็นความจริงของพระเจ้าปรากฏนั่นเอง

สรุปประเด็นหลัก ที่เราได้คุยกันครั้งที่แล้ว ก็คือพระเจ้าทรงให้พระเยซูมาจุติในครรภ์ ในมดลูกของหญิงพรหมจารี ก็คือนางแมรี่ และให้มาประสูติในวันคริสตมาส ในสภาพของมนุษย์ ที่ปราศจากความบาป เพื่ออะไร? เพื่อให้พระองค์มาเป็นตัวแทนของมนุษย์ รับเอาโทษบาปทั้งหลาย คำสาปแช่งทั้งหลาย ทั้งปวงของมวลมนุษย์ไว้ที่พระองค์ เพื่อให้มนุษย์ทุกคนหลุดพ้นจากโทษของบาปเวรกรรม และความตาย และตายทางฝ่ายวิญญาณ ที่เราเรียนรู้กัน ว่าคือวิญญาณตาย ก็คือไม่สามารถติดต่อกับพระเจ้าได้ และวันหนึ่ง เมื่อวิญญาณเราตาย เราต้องไปอยู่ในสถานที่ที่ไม่มีพระเจ้านิรันดร์กาล ทุกข์ทรมานนิรันดร์กาลนั่นเอง เพื่อช่วยมนุษย์ให้หลุดพ้นจากสถานะอย่างนั้น ทั้งเดี๋ยวนี้และในอนาคต พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ว่าพระเยซูที่จะมาไถ่บาปให้กับเรา มารับเอาคำสาปแช่งของมนุษยชาติทั้งหมดไปนั้น พระองค์ไม่มีบาปเลย ไม่เหมือนมนุษย์คนอื่นๆ

2 โครินธ์ 5:21 “เพราะว่าพระเจ้าได้ทรงกระทำพระองค์ ผู้ทรงไม่มีบาป ให้เป็นความบาป เพราะเห็นแก่เรา เพื่อเราจะได้เป็นคนชอบธรรมของพระเจ้าทางพระองค์

 

          ตรงนี้ก็หมายถึงพระเยซูไม่มีบาปเลย แต่เรามนุษยชาติมีบาป เป็นบาป เอามาแลกกัน พระเยซูไม่มีบาป แต่พระเจ้าทำให้พระเยซูเป็นบาป คือรับบาปเราไป ขณะที่เราเป็นคนบาป พระเยซูมารับบาปเราไป  พระเจ้าทำให้เราผู้เคยมีบาป เป็นบาปนั้น กลายเป็นผู้บริสุทธิ์ ชอบธรรม เห็นไหมแค่นี้ง่ายๆ

 

ครั้งที่แล้วเราได้เน้นกันว่าเหตุผลที่พระเยซูเป็นมนุษย์เพียงผู้เดียว ที่ไม่มีเชื้อบาปเลย ก็เพราะว่าพระองค์ทรงกำเนิดจากหญิงพรหมจารี มีเพียงผู้เดียงในโลกนี้แหละ โดยไม่มีเชื้อมนุษย์ผู้ชายเลยแม้แต่นิดเดียว ที่จะเข้ามาผสมกับเชื้อหรือไข่ของแม่ แม้กระทั่งหลังจากที่เกิดเป็นมนุษย์แล้วนะ หลังจากที่คลอดแล้วนะ ตลอดชีวิตของพระเยซูคริสต์ จนถึงวันสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน พระองค์ไม่เคยมีบาป  คิดให้ดีๆ ประมาณอายุ 33 ปีบนโลกใบนี้ ไม่เคยมีบาป ไม่เคยทำบาปเลย พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น พระองค์จึงสามารถแบกรับบาปของมนุษย์ชาติ คำสาปแช่งทั้งหลายไว้ที่ตัวพระองค์ได้ ซึ่งพระเจ้าก็ได้จัดเตรียมแผนการนี้ไว้ล่วงหน้า ตั้งแต่ก่อนสร้างโลกอีก ก่อนมนุษย์จะตกลงไปในความบาปอีกว่าถ้าเผื่อมนุษย์ตกลงไปในความบาป ถ้ามนุษย์ดื้อ กบฏต่อพระเจ้าเมื่อไร เขาจะถูกลงโทษด้วยกฎที่วางเอาไว้ ไม่ใช่พระเจ้าโหดร้าย เขาจะได้รับโทษ … โทษนั้นเรียกว่าคำสาปแช่ง และถ้ามันเป็นอย่างนั้น พ่อคือพระเจ้าจะช่วยเขาด้วยวิธีนี้แหละ คือวิธีคริสตมาส ก็คือส่งพระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ เราลองอ่านกันนิดหนึ่ง เพื่อจะได้เห็นว่าพระเจ้าเตรียมแผนการนี้ไว้ตั้งแต่เมื่อไร?

1 เปโตร 1:19-20 “19 แต่ด้วยพระโลหิตล้ำค่าของพระคริสต์  ผู้เป็นลูกแกะ อันปราศจากตำหนิ หรือข้อบกพร่องใดๆ 20 พระองค์ได้ทรงเลือกสรรพระคริสต์ไว้  ตั้งแต่ก่อนทรงสร้างโลก แต่ทรงให้พระคริสต์ปรากฏในวาระสุดท้ายนี้  เพื่อท่านทั้งหลาย” … เอเมน …

 

“ผู้เป็นลูกแกะปราศจากตำหนิ” ภาษาเดิม ก็คือผู้เป็นลูกแกะ อันปราศจากมลทิน  พูดง่ายๆ ก็คือผู้เป็นลูกแกะ อันปราศจากบาป ไม่เป็นศัตรูกับพระเจ้า สะอาดบริสุทธิ์ ไม่มีข้อบกพร่องใดๆ ที่ตะกี้เราอ่าน พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าในระหว่างที่พระเยซูเดินอยู่บนโลกใบนี้  พระองค์ทรงมีสภาพเหมือนกับมนุษย์ทุกประการ เพราะเกิดในครรภ์ของหญิง มนุษย์ผู้หญิง เกิดในมดลูกเหมือนเราทั้งหลาย  และพระองค์เดินอยู่บนโลกใบนี้ เหมือนมนุษย์อย่างเรา ในพระคัมภีร์บอกพระองค์ต้องผ่านการทดลอง เหมือนมนุษย์เรา เจ็บปวด มีอารมณ์ เหมือนมนุษย์เราทุกคน

ฮีบรู 4:15 “เราไม่ได้มีมหาปุโรหิต ซึ่งไม่อาจเห็นใจในความอ่อนแอต่างๆ ของเรา แต่ทรงถูกลองใจ เช่นเดียวกับเราทุกประการ  กระนั้น ก็ทรงปราศจากบาป

 

ตรงนี้กำลังจะบอกว่าพระเยซูเข้าใจเราได้ เวลาเราทุกข์ บางครั้งเราบอก

“พระเจ้าไม่รู้เหรอว่าลูกทุกข์อย่างไร?”

รู้ พระองค์ทรงทุกข์เหมือนเราเลย โดนตะปูตำ ก็เจ็บเท่ากัน เข้าใจใช่ไหมครับ เหมือนกันเลย ไม่มีผิดเลย ฉะนั้น พระองค์รู้ไหม? พระองค์รู้หมด เพราะว่าพระองค์ก็เกิดมาเป็นมนุษย์เหมือนกับเราทั้งหลาย ในนี้บอกว่าเช่นเดียวกันกับเราทุกประการ ดังนั้น ก็ทรงปราศจากบาป ก็คือเป็นมนุษย์เหมือนกับเรา แต่ไม่มีบาปเลย ไม่มีบาป ไม่มีเชื้อบาป และไม่เคยทำบาป เดี๋ยวเราตามต่อไปว่าพิสูจน์กันตรงไหน?

ท่านเคยสงสัยไหม? แล้วพระเยซูเกิดมาเป็นมนุษย์เหมือนเรา เดินอยู่บนโลกนี้ 33 ปี ไม่เคยทำบาปเลยเหรอ เป็นไปได้เหรอ ไม่เคยโกรธใครเลยเหรอ? ใครเคยอ่านพระคัมภีร์บ้าง? พระเยซูเคยโกรธไหม? โกรธบาปหรือไม่บาป? บาปหรือเปล่า? เอาล่ะสิ บาปไหม? พระองค์เคยว่าใครแรงๆ ไหม? ตอนที่พระเยซูไปที่หน้าวิหาร พระเยซูล้มกระดานเลย แบบ (เหมือนอันธพาล) ไม่พูดไม่จาเลยนะครับ บาปไหม?

ทำไมพระเยซูที่เป็นมนุษย์ มีเลือด มีเนื้อหนัง มีอารมณ์เหมือนเรา เหมือนมนุษย์ทุกประการเลย ทำไมพระองค์ไม่เคยทำบาปเลย  เป็นไปได้เหรอ คิดเทียบมนุษย์ทั้งหมดบนโลกใบนี้ เราคิดว่าเป็นไปไม่ได้แน่นอน ถูกไหม? นี้เป็นไปได้เหรอ 33 ปี ไม่เคยทำบาปเลย เพราะสิ่งที่เราได้เรียนรู้มาตลอด คือมนุษย์ทุกคนต้องเคยทำบาป อย่างแน่นอน ไม่มีใครเลยที่ไม่เคยทำบาป

โรม 3:10 “ไม่มีสักคนที่ชอบธรรม ไม่มีแม้สักคนเดียวเลย”

 

ไม่มีสักคนหนึ่งในมนุษย์ทั้งหลาย

โรม 3:12 บันทึกว่า “ไม่มีสักคนที่ทำดี ไม่มีแม้แต่คนเดียว”

 

โอโห้! งงเลยใช่ไหม? เคยมีคนบอกเราว่าเราทำดีแล้วนะ แต่ในนี้บอกไม่มีสักคนที่ทำดี ไม่มีแม้แต่คนเดียวเลย

โรม 3:23 “เพราะทุกคนทำบาป และเสื่อมจากพระเกียรติสิริของพระเจ้า”

 

นี่คือคำตอบ แสดงว่าเป็นบาปแล้ว ทำอย่างไรก็บาป สิ่งที่เราคุยกันว่าเขาทำดี คุณนครทำดี อย่างนี้ดีๆ ในสายตาพระเจ้า ก็ไม่ดี ทุกข้อที่กล่าวมาเมื่อตะกี้นี้ หมายถึงมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้นะ ทุกคน ยกเว้นเพียงผู้เดียว คือมนุษย์ที่เป็นพระเจ้า มีนามว่าเยซูคริสต์ หรือพระเยซู

ทำไมถึงต้องยกเว้น ทำไมต้องยกเว้นพระเยซูเพียงผู้เดียว ก็เพราะย้อนกลับไป เราเรียนรู้สัปดาห์ที่แล้ว ก็เพราะเซลแรกของพระเยซู เป็นเซลที่ไม่มีบาป ไม่มีเชื้อบาปจากมนุษย์เลย เซลแรกของพระองค์ เป็นเซลที่เกิดจากฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เพราะฉะนั้น พระเยซูทำอะไรก็ไม่บาปทั้งสิ้น เพราะทุกสิ่งที่พระองค์ทำเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า เป็นบุคคลเดียวกัน เป็นหนึ่งเดียวกัน ทุกสิ่งที่พระองค์ทรงทำ เป็นพระประสงค์ของพระเจ้าทั้งสิ้น  ทุกสิ่งที่พระองค์ทรงทำ เป็นน้ำพระทัยของพระเจ้าทั้งสิ้น

ให้เราพูดพร้อมกันว่า “น้ำพระทัย”

ยังจำได้ไหม?  เราคุยกันบ่อยๆ ถึงเรื่องเกี่ยวกับบาปหรือการทำบาป

“บาป” คืออะไร? ใครจำได้บ้าง? ผมพูดบ่อยเรื่องนี้ บาป คืออะไร? การทำบาป คืออะไร?

การทำบาป คือการไม่ทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า

พูดพร้อมกัน “ไม่ทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า คือบาป”

คราวนี้ท่านรู้แล้วนะ  คำว่า “บาป” ที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า “Sin” นี้ ตามรากศัพท์ภาษาเดิม หมายถึง Missing the target แปลว่าผิดเป้าหมาย ก็คือไม่เป็นไปตามที่พระเจ้าตั้งใจให้เป็น ผิดเป้าหมายจากใคร? ผิดเป้าหมายจากที่พระเจ้าตั้งใจไว้

บางคนเขาเคยเข้าใจผิด คิดว่าสาเหตุที่อาดัมและเอวาล้มลงในความบาปนั้น เพราะว่าไปกินผลไม้ต้องห้าม ก็เลยได้รับติดเชื้อจากผลไม้ พระเจ้าเอาเชื้อติดไว้ที่ผลไม้ ไปกินผลไม้ เลยติดเชื้อเข้ามา สมมติๆ ว่าเป็นลูกแอปเปิ้ล พระคัมภีร์ไม่ได้บอกว่าเป็นลูกแอปเปิ้ล เราใส่กันเอง สมมติว่าเป็นแอปเปิ้ล พระเจ้าไปฉีดเชื้อในแอปเปิ้ล เข้าไปในนั้นว่าใครกินเชื้อนี้ติดเขาไป ไม่ใช่ … ไม่ใช่อย่างนั้น ไม่ใช่เลยนะครับ จริงๆ แล้วที่บอกว่าอาดัมทำบาป ก็เพราะว่าอาดัมไม่ทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า ไม่เชื่อฟัง ขัดคำสั่งพระเจ้า ทำผิดไปจากเป้าหมายที่พระเจ้าไว้ พระเจ้าตั้งความหวังไว้ให้เจ้าเชื่อฟัง อย่าทำสิ่งที่บอกว่า “อย่าทำนะ” อย่างนี้เรียกว่าดื้อ พระเจ้าสั่งว่าอย่าทำ อาดัมก็ทำ รวมความ ก็คือไม่เชื่อฟัง ไม่ทำตามน้ำพระทัยพระเจ้านั่นเอง  ไม่ใช่ เพราะติเชื้อจากผลไม้

คงมีอะไรบางอย่าง คงลึกซึ้งมาก พระเจ้าจะอธิบายให้ฟังอย่างไร? เอาเป็นว่ายกผลไม้ขึ้นมา ให้เป็นอะไรบางอย่าง ที่ให้เรารู้ว่าพระเจ้าสั่งว่าอย่าทำ แต่อาดัมกับเอวาไปทำ ตรงนี้สำคัญมากกว่า คือความไม่เชื่อฟัง  การละเมิดกฎ

การทำบาป ก็คือไม่ทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า แต่สำหรับพระเยซู พระองค์ทรงเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า พระองค์ได้ตรัสไว้ในยอห์น 10:30 อย่างนี้นะครับ ทำให้เห็นชัดเจนเลยว่าทำไมพระเยซูไม่เคยทำบาป

ยอห์น 10:30 “เรากับพระบิดาเป็นหนึ่งเดียวกัน”

 

“เรากับพระบิดาเป็นหนึ่งเดียวกัน” ก็คือเป็นผู้คนเดียวกัน คิดเหมือนกัน ทำเหมือนกันหมดเลย พระเยซูกับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียว เพราะฉะนั้น ทุกสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำนั้น ก็คือมาจากพระเจ้า ทุกอย่างเป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า ทุกอย่างเท่ากับพระเจ้าทำเองเลย หนึ่งเดียวกันแปลว่าอย่างนี้ พระเยซูก็บอกไว้แบบนี้ ในหนังสือท่านก็ดูเองนะครับ ให้ท่านอ่านตรงนี้ดู แล้วให้ท่านสังเกตดูว่าพระเยซูทำอะไร? ถึงทำให้เราเห็นชัดว่าพระเยซูไม่มีบาป สังเกตให้ดีๆ นะครับ

ยอห์น 8:23-29 “23 พระองค์ตรัสว่า  “พวกท่านมาจากเบื้องล่าง  เรามาจากเบื้องบน ท่านเป็นของโลกนี้  เราไม่ได้เป็นของโลกนี้ 24 เราบอกแล้วว่า “ท่านจะตายในบาปของท่าน  ถ้าท่านไม่เชื่อว่าเราเป็นผู้นั้น ท่านจะตายในบาปของท่านอย่างแน่นอน” 25 พวกเขาทูลถามว่า “ท่านเป็นใคร” พระเยซูตรัสตอบว่า “ก็อย่างที่เราอ้างมาโดยตลอด 26 เรามีหลายอย่างที่จะพูดในการตัดสินท่าน แต่พระองค์ผู้ทรงส่งเรามานั้น เชื่อถือได้ และสิ่งที่เราได้ยินมาจากพระองค์นั้น เราก็แจ้งแก่โลก 27 พวกเขาไม่เข้าใจที่พระองค์กำลังบอกพวกเขา เกี่ยวกับพระบิดาของพระองค์ 28 ดังนั้น  พระเยซูจึงตรัสว่าเมื่อท่านยกบุตรมนุษย์ขึ้น ตรึงบนไม้กางเขนแล้ว ท่านจะรู้ว่าเราเป็นผู้ที่เราอ้างว่าเราเป็น และเราไม่ได้ทำอะไรโดยลำพัง แต่พูดตามที่พระบิดาได้ทรงสอนไว้ 29 พระองค์ผู้ทรงส่งเรามาสถิตกับเรา พระองค์ไม่ได้ทรงทิ้งเราไว้ตามลำพัง เพราะเราทำสิ่งที่พระองค์พอพระทัยเสมอ” … เอเมน …

 

ถ้าเราทำได้อย่างนี้ ก็สบายสิ เป็นความใฝ่ฝันของเรา … เราอธิษฐานกันตลอดเลย อยากทำตามน้ำพระทัยพระองค์ทั้งหมด  พระเยซูบอกว่าอะไรในนี้

“สิ่งที่เราได้ยินมาจากพระองค์นั้น เราก็แจ้งแก่โลก”

ก็คือพระองค์พูดจากพระเจ้าบอกให้พูด ถ้าเป็นอย่างนั้นได้ ชีวิตเราคงมีความสุขมากกว่านี้เยอะเลยนะ จะพูดอะไร?  พระเจ้าบอก

แล้วอะไรอีก “และเราไม่ได้ทำอะไร โดยลำพัง แต่พูดตามที่พระวิญญาณได้สอนเราไว้”

พระวิญญาณบอกให้พูดอย่างนี้ เราก็ไปพูด เราเป็นตัวแทน ดังนั้นทุกวันนี้ พระคัมภีร์บอกเราเป็นตัวแทนพระเยซูคริสต์ ให้ออกไปประกาศข่าวดีนะ ท่านเคยพูดเหมือนพระเยซูพูดไหม? ท่านมั่นใจว่าที่ท่านพูด คือพระเยซูพูด เชื่อไหม? เป็นคำถามไว้  ท่านกลับไปถามพระเจ้าแล้วกันนะ

พระเยซูพูดนะ “พระองค์ผู้ทรงส่งเรามา สถิตกับเรา” หมายถึงพระเจ้าสถิตกับพระเยซู

“พระองค์ไม่ได้ทรงทิ้งเราไว้ลำพัง ไม่เคยทิ้งเราไปเลย เพราะเราทำสิ่งที่พระองค์พอพระทัยเสมอ”

เพราะอะไร? พระเจ้าไม่สามารถอยู่กับคนบาปได้ มันเป็นศัตรูกัน

“พระองค์อยู่กับข้าพระองค์เสมอ” คือพระบิดาอยู่กับพระเยซูเสมอ ก็เพราะว่าเราทำสิ่งที่พระองค์พอพระทัยเสมอ ก็คือไม่มีบาป

ถ้อยคำตรงนี้ เป็นสิ่งที่พระเยซูตรัสเอง และเป็นคำตอบที่ว่าทำไมพระเยซูซึ่งมีสภาพเหมือนมนุษย์ทุกอย่าง แต่สามารถดำเนินชีวิตบนโลกนี้ และเผชิญกับการทดลองบนโลกนี้ โดยพระองค์ไม่มีบาป ไม่เคยทำบาปเลย เห็นหรือยัง? ขอบคุณพระเจ้านะ

ถ้าท่านเข้าใจความหมายของคำว่า “บาป” ที่เราวิเคราะห์กันว่าบาปนั้น หมายถึงการไม่ทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า การเป็นศัตรูกับพระเจ้า การกบฏ การไม่เชื่อฟัง ดื้อ ฝืนกฎระเบียบที่พระเจ้าวางไว้ ล้วนเรียกว่าบาปทั้งสิ้น เพราะอะไร? เพราะว่าบาปตรงนี้ ก็คืออะไรก็ตามที่เราต่อต้านกับพระเจ้า และจริงๆ แล้วในพระคัมภีร์ที่มีบันทึกมาจนถึงทุกวัน เท่าที่หาได้ เท่าที่หาได้ในพระคัมภีร์ มีเพียง 2 พวกเท่านั้น จากที่พระเจ้าทรงสร้างมาทั้งหมดเลยนะ ทำบาปกับพระองค์ กบฏต่อพระองค์ รู้ไหมว่าใคร?

พวกแรก คือใคร?

พวกที่สอง คือใคร?

เอาพวกที่สองก่อน พวกที่สอง คือพวกมนุษย์ทั้งหลาย ก็คือต้องเริ่มต้นตั้งแต่อาดัมและเอวา ก็คือบรรพบุรุษของเรา รวมถึงพวกเราทั้งหมด เผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งหมด

ท่านรู้ไหมพวกแรกก่อนที่มนุษย์จะล้มลงไปในความบาป พวกแรกที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นมา แล้วก็ละเมิดกฎของพระเจ้า คือใครรู้ไหมครับ? ลูซีเฟอร์และสมุนของมัน คือชื่อๆ หนึ่งที่พระเจ้าประทานให้ ตอนสร้างทูตสวรรค์องค์นี้ แต่ตอนนี้เราเรียกกันว่า … เรารู้จักกันในนามของซาตาน และสมุนของมัน ทำบาปต่อพระเจ้า  กบฏต่อพระเจ้า ถูกลงโทษเหมือนกัน  เข้าใจใช่ไหม มี 2 พวก เพราะฉะนั้น การที่เราถูกลงโทษนั้น มนุษย์นั้นถูกลงโทษ เราเรียกว่าคำสาปแช่ง

คำสาปแช่ง คืออะไร? คำสาปแช่ง คือคำตัดสินของศาลว่าเราทำผิดกฎระเบียบกับเรา เราต้องโดนลงโทษ ไม่ใช่พระเจ้าโหดร้ายกับเรา ไม่ใช่พระเจ้าตั้งใจจะลงโทษเรา แต่กฎหมายวางไว้ เราได้รับการลงโทษ เมื่อเราฝ่าไฟแดง ไม่ใช่ตำรวจมาจับเราเข้าคุก หรือตำรวจจะมาปรับเงินเรา แต่ผู้ที่ปรับเรา ก็คือไม่ใช่ศาลด้วย แต่เป็นกฎหมาย ศาลเพียงแต่มาอ่านให้ฟังว่าทำอย่างไร? ตำรวจทำหน้าที่มาจับเราไป  อะไรอย่างนี้ เราจะได้เห็นภาพชัดเจน

ถ้อยคำตรงนี้ เมื่อสักครู่นี้ ท่านก็จะสามารถเข้าใจเลยว่าทำไมพระเยซูจึงปราศจากบาปตลอดชีวิตของพระองค์ เพราะว่าพระองค์ทำอะไรก็ตาม ทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าทุกอย่างเลย พระเจ้าบอกให้ทำ ก็ทำ เหมือนเราไหม? พระเจ้าบอกให้ทำ เราก็คิดไว้ในใจ  เดี๋ยวไปเรื่อยๆ ตามไปเรื่อยๆ จะได้เห็นว่าเอ๊ะ! เราจะเหมือนพระเยซูไหมหน่อ! ตอนนี้หลายคนบอกเราเหมือนพระเยซู เราเหมือนพระองค์ ดูสิว่าเหมือนขนาดไหน?

ถามว่าเพราะอะไรครับ? เพราะพระเยซูทำสิ่งที่พระเจ้าพอพระทัยเสมอ พระองค์จึงไม่ทำบาป ถ้าเราทำอย่างนี้ได้ เราก็ไม่ทำบาปเหมือนกัน คือทุกสิ่งที่เราทำ เป็นน้ำพระทัยพระเจ้าทั้งหมดเลย ถูกไหม? แล้วถามว่าแล้วท่านรู้ไหมว่าที่ทำไปนั้น เป็นน้ำพระทัยพระเจ้าหรือเปล่า? เดี๋ยวค่อยติดตามต่อไป

พระเยซูทำตามน้ำพระทัยพระเจ้าทั้งหมด ทำ เขาเรียกว่าสิ่งที่พระองค์ทำ ก็คือพระเจ้าบอกให้ทำ ก็คือเชื่อฟัง ทำตาม และที่พระเยซูสามารถทำสิ่งที่พระเจ้าพอพระทัยได้เสมอ ฟังนะ สามารถทำในสิ่งที่พระเจ้าพอพระทัยได้เสมอ ก็เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า พระองค์เป็นหนึ่งเดียวกับพระบิดา พระองค์เป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นพระเจ้า พระองค์จึงทำได้

พระเยซูทรงเป็นพระเจ้า ทรงเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า และทำทุกสิ่งที่พระเจ้าพอพระทัย ก็คือหมายความว่าทำทุกอย่างตามน้ำพระทัยพระเจ้านั่นเอง แต่มนุษย์ที่ไม่เชื่อว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้า ก็คือไปเองว่าหลายๆ อย่างที่พระเยซูทรงทำนั่นแหละบาป

จะพาท่านไปให้เห็นสิ่งเหล่านี้ ยกตัวอย่างเช่นที่ตะกี้ผมถามใช่ไหม? โกรธ บาปไหม? บาปนะครับ เพราะโกรธเป็นตามน้ำพระทัยพระเจ้าไหม? เป็นไหม? ไม่เป็น

อ้าว! พระเยซูโกรธ ทำอย่างไรล่ะ พระเยซูโกรธ เราก็บอกว่าพระเยซูบาป ถูกไหม? ที่ตะกี้ที่ผมบอกว่าเราตัดสินพระเยซูเอง ไม่ใช่พระเจ้าตัดสิน เราตัดสินเอง พระเยซูโกรธ เราบอกว่าบาป เพราะกฎบอกถ้าโกรธ บาป เพราะฉะนั้น พระเยซูทำอย่างนี้ แสดงว่าบาป นี่ใครคิด? ใครตัดสิน? มนุษย์ตัดสิน พระเยซูโกรธ ก็บอกว่าพระเยซูบาป

พระเยซูรักษาวันสะบาโต ก็บอกว่าบาป อันนี้ เห็นชัดขึ้น วันสะบาโตรักษาคนป่วย ก็บอกว่าบาปอีก เพราะอะไร? ใครคิด? มนุษย์คิด

พระเยซูนั่งทานข้าวกับพวกคนเก็บภาษี ก็บอกว่าบาป

พระเยซูพูดความจริงว่า “พระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า พระบิดาทรงใช้เรามา” มนุษย์ยิ่งบอกว่าบาปมโหฬาร รับไม่ได้เลย คราวนี้รับไม่ได้แล้ว เพราะใครคิด?

ถามว่าที่พระเจ้า ที่พระเยซูพูดทั้งหมดนั้น มาจากใคร? ตามพระคัมภีร์ ก็คือมาจากพระเจ้าบอกให้พระองค์พูดอย่างนั้น ใช่ไหม? หมิ่นไหม? หมิ่นพระเจ้าไหม? บอกไม่หมิ่น เพราะอะไร? โกรธ สรุปแล้วบาปไหม? ตอนนี้ ไม่บาป เพราะอะไร? ไม่บาป เพราะว่ามันเป็นน้ำพระทัยพระเจ้า พระเจ้าเป็นผู้ให้ทำ เราไม่สามารถเข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้ เราคิดของมนุษย์เองว่าอย่างนี้ ถ้าตามภาษามนุษย์ เห็นไปแล้วว่าบาป เราคิดของเราเองตลอดเลย เห็นไหม?  บางอันก็คิดแล้ว พอจะรู้เรื่อง บางอันคิดก็ไม่รู้เรื่อง ก็ตัดสินไปอย่างนั้นแหละ เพราะนี่คือความคิดของมนุษย์ … มนุษย์คิดไปเองว่าถ้าทำอย่างนี้ เรียกว่าบาป ทำอย่างนั้น คือบาป ทำอย่างนี้ คือไม่บาป แถมยังมนุษย์ไม่ทำอย่างนี้บาป แถมมีการแบ่ง สำหรับพระเจ้าไม่มี

คำว่าแบ่ง บาปนิดหน่อย มนุษย์บาปน้อย ทำอย่างนี้บาปแรง มนุษย์แบ่งทั้งนั้น แต่สำหรับพระเจ้า บาป ก็คือบาป  ไม่บาป ก็คือไม่บาป ไม่มีหรอกว่าบาปนิดหน่อย ไม่มี เข้าใจใช่ไหมครับ อะไรก็ตาม สำหรับพระเจ้า ที่มนุษย์หรือใครก็ตามไม่ทำตามกฎที่พระเจ้าวางไว้ ซึ่งเรียกว่าน้ำพระทัย ความประสงค์ หรือ Target หรือเป้าหมายที่พระเจ้าวางไว้ เรียกว่าบาปทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น เมื่อไรท่านเห็นดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก เรียกว่าดวงอาทิตย์มันทำบาป ท่านจะได้สบายใจ ตอนนี้ท่านเข้าใจแล้วใช่ไหมครับ? ดวงอาทิตย์ยังทำบาปได้ เพราะฉะนั้น มนุษย์บาป มันจึงเป็นเรื่องธรรมดา ไม่อย่างนั้นตกใจ

“อยู่ดีๆ มาว่าฉันเป็นคนบาป”

พอประกาศข่าวดี บอกว่ามนุษย์ทั้งหลาย พระคัมภีร์บอกว่ามนุษย์เป็นคนบาป ทุกคนเป็นคนบาป

“โอ๊ย! ฉันบาปที่ไหน? ฉันทำอะไรผิดตรงไหน?”

มนุษย์จะคิดถึงอย่างนี้เสมอ ตอนนี้เข้าใจแล้ว เขาจะไม่ตื่นเต้น แล้วเขาจะรู้ว่านี่เป็นเหมือนหลักวิทยาศาสตร์ เหมือนอะไรบางอย่างที่เป็นกฎระเบียบทางวิทยาศาสตร์ที่วางไว้ ผลและเหตุอะไรต่างๆ เหล่านั้น เนี้ยเราเรียนรู้ทางพระเจ้า ทางวิทยาศาสตร์ มันจะชัดเจนอย่างนี้ จะพูดอะไรก็ได้ มันใช่หมดเลย  ไม่มีแย้งเลย

รู้แล้วใช่ไหมครับ บาปทั้งสิ้น คืออะไร? บาปทั้งสิ้น ก็คือการไม่ทำอะไรก็ตามที่เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า ฝืน กบฏต่อพระเจ้า ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม และตลอดชีวิตของพระเยซูที่เดินอยู่ในโลกใบนี้ ในสภาพของการเป็นมนุษย์ ที่พระองค์ทรงบังเกิดมา พระองค์บอกว่าพระองค์ทำสิ่งที่พระเจ้าพอพระทัยเสมอ ทำตามน้ำพระทัยพระเจ้าหมดเลย เพราะฉะนั้นพระองค์จึงไม่มีบาป ไม่เคยทำบาปเลย เอเมน นี่พระเยซูพูดเอง

และอย่างที่ผมบอกพระเยซูปราศจากบาป ไม่เคยทำอะไรที่ผิดเป้าหมายที่พระเจ้าตั้งไว้เลย ก็เพราะพระองค์เป็นพระเจ้า เซลแรกของพระองค์มาจากพระเจ้า เพราะฉะนั้น ไม่ว่าพระเยซูจะทำอะไร? ก็ถูกหมด ไม่มีคำว่าบาป  ซึ่งหมายถึงตรงกันข้าม แม้ในสายตาของมนุษย์อาจดูเหมือนว่ากำลังทำบาป แต่สำหรับพระเจ้าบอกว่า.-

“พระเยซูทำไม่บาปเลย ดีมาก เพราะเราเป็นผู้ต้องการให้เขาทำอย่างนี้แหละ เขาทำตามน้ำพระทัย เขาทำตามฉัน เขาเชื่อฉัน บาปคือกบฏ นี่เขาเชื่อฉัน บาปคือไม่เชื่อฟัง นี่เขาเชื่อ”

เข้าใจใช่ไหมครับ? ในทางตรงกันข้าม มนุษย์เราทุกคนเป็นคนบาป เซลแรกของเรา ก็เป็นเซลที่มีเชื้อบาป  เกิดจากเชื้อพ่อที่เป็นคนบาป ผสมกับไข่แม่ที่เป็นบาป เกิดเป็นเซลแรกเป็นบาป เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็บาป แม้สิ่งที่เราทำ จะเหมือนว่าทำดี ในสายตาของมนุษย์และในสายตาของเราเอง ที่เป็นมนุษย์ รู้สึกว่าทำดี ทำถูกต้อง แต่ถ้าไม่ใช่ตามน้ำพระทัยพระเจ้าเมื่อไร? อย่างไรก็เรียกว่าบาปอยู่ดี ต่อให้มนุษย์บอกว่ามันดี แต่สิ่งนั่น ถ้าไม่ใช่น้ำพระทัยพระเจ้า มันก็บาป ก็เหมือนกับการติดกระดุม เข้าใจไหม? ถ้าเราติดกระดุมเม็ดแรกผิด ติดเพลินไปเลยนะครับ แล้วสุดท้ายเป็นอย่างไร? ผิด ถ้าเม็ดแรกผิด ต่อให้ติดต่อไปอย่างไร ก็ผิดหมด ไม่มีวันถูกต้อง ต่อให้มีเมตตา คิดให้ดีๆ ต่อให้หลายคนบอก หรือตัวเราเองบอก หรือคนข้างเคียงบอกว่าเราเอง เป็นคนมีเมตตา เป็นคนดี  ทำดี มีจิตใจเมตตา บริจาคอยู่เสมอ จะทำดีอย่างไรก็ตาม ทำอย่างไรๆ ก็ผิด เพราะความตั้งใจหรือสำนึกในใจมันผิด ข้างในผิดแล้ว เริ่มต้นมันผิดแล้ว เหมือนกระดุมเม็ดแรกมันผิด แม้ว่าจะดูเหมือนถูกนะ แต่พระเจ้าบอกว่ามันผิดตั้งแต่แรกแล้ว มันก็ต้องผิด

คนจะเถียงเรื่องนี้เยอะ จะไม่เข้าใจเรื่องนี้เยอะ คิดว่ามันต้องถูก เพราะใครๆ ก็บอกถูก แต่พระเจ้าบอกไม่ถูก ผิด เพราะผิดตั้งแต่แรกแล้ว และการกระทำนั้น เราเอง คนนั้นเอง ก็จะไม่รู้ตัว เราเองอาจจะบอกว่าทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ แต่ลึกๆ ข้างในเราก็ยังต้องคิดให้ดีๆ ว่าถ้าพระเจ้าผู้ซึ่งดูจิตใจลึกๆ ข้างในของเรา รู้ข้างลึกๆ ของเราทำอะไร? แม้แต่เราเอง เรายังไม่รู้เลย เราทำไปเพื่ออะไร? มันอาจจะปิดลึกซึ้งมาก จนกระทั่งเราไม่เห็นตัวเราเอง แต่พระเจ้าบอกว่าพระองค์ทรงยิ่งกว่า ยิ่งกว่า TC สแกนอีก สแกนเข้าไปเลย เห็นชัดเลยว่าเราทำสิ่งนั้น มันเมตตาจริงไหม? เราบริจาคด้วยความจริงไหม? หรือเรากำลังทำเพื่อตัวเอง  เช่น อันนี้ชัดเลย เช่นเราถวายเงินสร้างโบสถ์ แต่เราต้องการชื่อเสียง ต้องการให้คนยกย่อง ต้องการให้พระเจ้าอวยพรเราร่ำรวย เป็นไปได้ไหม? เป็นไปได้ อาจจะเป็นไปไม่ได้มาก นิดเดียว แอบๆ อยากจะมีเกียรติสักนิดหนึ่ง เป็นไปได้ไหม?  เป็นไปได้ เยอะๆ เป็นไปได้เยอะ นิดเดียวก็อาจจะเป็นไปได้ไหม?  บางคนอาจจะบอกว่าไม่ค่อยเห็น … เห็นไม่ค่อยชัด แต่ไปคิดลึกๆ บางทีก็แอบๆ นะ

“แต่ถ้าอาจารย์พูดชื่อเราหน่อย เราเป็นคนถวาย เราก็จะดูเท่ห์นิดหนึ่งนะ แอบดีใจไม่ได้ เพราะเพิ่งออกจากโบสถ์ไป ถวายไปตั้งเยอะ แอบดีใจไม่ได้ว่าโบสถ์นี้อยู่ได้ เพราะฉันถวายนะ แอบดีใจไม่ได้ว่าอันนี้ก็เป็นของฉัน”

มันแอบนิดๆ นะ เป็นไปได้ไหม? เป็นไปได้ แต่รอบข้าง ดูเหมือนเรากำลังทำสิ่งที่ดีนะ ถวายสร้างโบสถ์นี้เห็นชัด

น้ำพระทัยพระเจ้า ต้องการให้เราทำอย่างนั้นไหม? ต้องการให้เราถวาย แล้วมีความรู้สึกในใจอย่างนั้นไหม? ไม่ใช่ แสดงว่าเราไม่ทำตามน้ำพระทัยพระเจ้าใช่ไหม? แสดงว่าที่เราให้ไป ได้ผลไหม?  เป็นดีไหม? เป็นบริสุทธิ์ไหม?  เป็นบาปหรือไม่บาป ตอบ “บาป” เสร็จเลย เห็นหรือยัง? แค่นี้ก็ตายแล้ว แย่เลยนะครับ

เช่น เรามีเมตตาช่วยคนยากไร้ ดีไหม? ดี สายตามนุษย์ทุกคนบนโลกนี้บอกว่าดี แต่ใครจะไปรู้ ลึกๆ ในจิตใจเรา … เราอาจจะกำลังสะสมความดี เพื่อไปสวรรค์ก็ได้ เป็นไปได้ไหม? เรากำลังสะสมความดี เพื่อเราจะได้ไปสวรรค์ เพราะเราช่วยคนยากจน คนยากไร้ เผื่อว่าวันหนึ่งเรายากไร้ จะได้มีใครมาช่วยเราได้ เคยคิดอย่างนี้บ้างไหม? หรือในอดีตเคยคิดอย่างนี้บ้างไหม?  ถูกไหม?  และนั่นเป็นน้ำพระทัยพระเจ้าหรือเปล่า? พระเจ้าให้เราทำมีเมตตา ถูกต้อง แต่ไม่ใช่สุดๆ แล้วทำเพราะเราจะพึ่งตัวเราเองไปสวรรค์ เพราะน้ำพระทัยพระเจ้าส่งพระเยซูคริสต์มา เพื่อให้เราเกิดใหม่ สามารถบังเกิดใหม่และไปสวรรค์ได้ นี่คือน้ำพระทัยพระเจ้า … พระเจ้ารู้ว่าถ้าเราพึ่งตัวเองเมื่อไร? เราไปไม่รอด พระเจ้ารักเรา อยากจะช่วยเราไปสวรรค์ นี่คือน้ำพระทัย ถ้าเราฝืนน้ำพระทัย เราไม่ทำตาม ก็คือบาป เห็นไหม?  นี่คิดตามหลักตรรกะวิทยา ด้วยเหตุและผลเลยนะครับ

พระคัมภีร์จึงบอกว่าไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม จงทำด้วยความเชื่อ ถ้าเราทำอะไรก็ตาม ด้วยความเชื่อ มันก็จะไม่บาป  หมายถึงเชื่อในการไถ่บาปของพระเยซู ในทางกลับกัน อะไรก็ตามที่ไม่ได้ทำด้วยความเชื่อ ก็เป็นบาปทั้งสิ้น

คำว่า “เชื่อ” นี้ คือเชื่อฟังพระเจ้าหมดเลย เริ่มต้นตั้งแต่เชื่อพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระบุตรของพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ แล้วก็เชื่อฟังมาตลอด ถ้าทำตรงนั้น ตามกฎนะ ไม่เรียกว่าบาป โรม 14:22 บันทึกไว้อย่างนี้

โรม 14:22 “สิ่งใดๆ ก็ตาม ที่ท่านเชื่อเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ จงเก็บไว้ เป็นเรื่องระหว่างท่านเองกับพระเจ้าเถิด ความสุขมีแก่ผู้ที่ไม่กล่าวโทษตนเอง ในสิ่งที่เขาเห็นชอบการกระทำใดๆ ซึ่งไม่ได้มาจากความเชื่อ ก็เป็นบาป”

 

คือตรงนี้บาป เปาโลกำลังสอน เพราะว่ามีคนเขาแย้งกันว่ากินอันนี้บาป กินอันนี้ได้ไหม? กินมังสวิรัติได้ไหม?  กินเนื้อได้ไหม? กินได้ไหม? กินนี้ได้ไหม?  เปาโลก็พยายามบอกไป แล้วแต่ความเชื่อนะ พูดง่ายๆ ทำอะไรก็ได้ แต่ผมต้องการประโยคสุดท้ายนี้มากกว่า ก็คือ “การกระทำใดๆ ซึ่งไม่ได้มาจากความเชื่อ ก็เป็นบาป”

การกระทำใดๆ ของเรา ถ้าไม่ได้มาจากความเชื่อ ก็เป็นบาป เพราะถ้าเราไม่ได้ทำด้วย ความเชื่อ ก็แปลว่าเรายังไม่ได้เกิดใหม่ในพระเยซูเลย ความเชื่อนี้หมายถึงเริ่มต้นเชื่อพระเยซู เชื่อพระเจ้าทรงพระชนม์อยู่ เชื่อว่าเราสามารถบังเกิดใหม่ เชื่อก็คือพึ่งในพระเจ้านั่นเอง ความเชื่อนี้แปลว่าพึ่งในพระเจ้านั่นเอง แต่ถ้าเกิดใหม่แล้ว รู้จักพระเจ้าแล้ว เราทำด้วยความเชื่อข้างใน ถ้าเราเกิดใหม่แล้ว ความเชื่อนี้มันเกิดที่ไหน? ที่ข้างใน พอเกิดความเชื่อข้างใน เราจะทำอะไรก็จากข้างในออกมาข้างนอกแล้ว เข้าใจไหม? ก็จะคล้ายกับพระเยซูเมื่อสักครู่นี้แล้วว่าพอเราเชื่อในพระเจ้า โดยความเชื่อนี้ เราสามารถเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับ 3 พระภาคเลย เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า พระบิดา เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า พระเยซู เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเยซูบอกพระองค์ทรงเป็นหนึ่งเดียวกับพระบิดาอย่างไร เราก็เลยกลายเป็นหนึ่งอย่างนั้นด้วย เราก็มีโอกาสทำคล้ายๆ พระเยซูได้เช่นเดียวกัน เอเมน

นี่คือเคล็ดลับ ถ้าทำอย่างนี้ไม่มีบาปแน่นอน แต่ดูข้างนอกเหมือนมีบาป แต่ข้างในบริสุทธิ์ในสายพระเนตรพระเจ้า คือไม่มีบาปเลย แต่ถ้าเรากระทำสิ่งใดๆ ด้วยความเชื่อ อย่างจริงใจในชีวิตของเรา ในจิตใจของเรา ด้วยความบริสุทธิ์ใจ สิ่งนั้น ก็จะเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า และเมื่อเป็นสิ่งที่พอพระทัย เราก็รู้ว่านั่นเป็นน้ำพระทัยพระเจ้า เราก็มั่นใจว่าสิ่งนั้นไม่ได้เป็นบาป ทำไปเถอะ ถ้าเรามั่นใจ เดี๋ยวผมจะยกตัวอย่างให้ แม้ว่าบางครั้งในสายตาคนอื่น อาจจะดูเหมือนขัดแย้งว่าเรากำลังทำบาปอยู่ ก็ตาม มันจะเกิดขึ้นอย่างนี้  อันนี้ยกตัวอย่างสั้นๆ มีเวลาน้อย ค่อยมาไล่เรียงกันละเอียดอีกทีหนึ่ง

อย่างเช่น หลายคนเคยถามผมนะครับ เขาเป็นหัวหน้าคนงาน

“คนงานให้อภัยหลายครั้งแล้ว  … แล้วก็ยังคดโกง ไม่มีอนาคตเลย ผมจะทำอย่างไรดี?”

“ก็ไล่ออกสิ ถ้าคดโกง ถึงขนาดขโมยของ ให้เรียกตำรวจมาจับด้วย”

“อย่างนี้มันโหดร้ายไปหน่อยไหม?”

พอเข้าใจใช่ไหม? ผมกำลังจะบอกท่าน พอเข้าใจไหม?  ถ้าเราปล่อยเขาไป เขาอาจจะตายก็ได้ เขาจะไปทำหนักกว่านี้ก็ได้ เห็นไหม? แต่เมื่อเราอธิษฐาน เราจะรู้ว่าวันหนึ่ง บางคนอธิษฐาน ไม่สามารถเท่ากันทุกคน บางคนบอกว่าคนนี้ ทำไป 3 ครั้ง ครั้งที่สี่ไม่ได้แล้ว เพราะฉะนั้นเอาเป็นกฎเกณฑ์ คนอื่นทำมา 3 ครั้ง เกิน 4 ครั้ง ครั้งที่ 4 เรียกตำรวจจับเลย ไม่แน่ บางคน ถ้าเราอธิษฐานกับพระเจ้า บางครั้งอาจครั้งเดียวเราก็เรียกตำรวจจับแล้ว หรือบางครั้งอาจจะ 10 ครั้ง เราจึงเรียกตำรวจจับก็ได้ ขึ้นอยู่กับอะไร? ขึ้นอยู่กับเรามั่นใจด้วยความเชื่อไหมว่าเราทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่ได้เกลียดชังเขา ไม่ได้โมโหเขา ทำให้เราเจ๊ง ไม่ได้โมโหเขา เอาเงินเราไป ไม่ได้โมโห แต่เราทำเพราะข้างในบอกว่ารักแท้มาจากพระเจ้า  เห็นไหม? คุณมั่นใจตรงนั้นไหม? ถ้ามั่นใจ ทำไปเถอะ ไม่ผิดเลย เอเมน

นี่สายตามนุษย์ เขามองข้างนอก เขาก็จะตัดสินเลยว่าครั้งเดียว ก็ทำแล้ว แต่นี้คนนี้ 4 ครั้ง เขาถึงจะทำ พอมองเห็นไหม? ผมพยายามให้ท่านได้เห็นสิ่งเหล่านี้ หรือแม้กระทั่งผู้รักษากฎหมาย ตำรวจอย่างนี้ ตำรวจปกป้องคนดี ปกป้องคนที่ถูกต้อง และจับคนชั่วร้าย ต่อสู้กับคนชั่วร้าย บางครั้งยิงตายเลย เป็นอย่างไร? บาปไหม? รู้ไหมว่าพระคัมภีร์เขียนไว้ว่าอย่างไร? ในโรม บทที่ 13 บอกว่าพระเจ้าทรงแต่งตั้งอำนาจต่างๆ เหล่านี้ไว้ดูแลคนที่ดีๆ คนที่ชั่ว เขาจะจัดการเอง หมายถึงพระเจ้าให้อำนาจเขาเป็นคนจัดการ ก็แสดงว่ามาจากพระเจ้า ถ้าตำรวจจับท่าน ตอนที่ท่านฝ่าไฟแดง อย่าไปโกรธ ต้องโกรธใคร? โกรธพระเจ้า อ้าว! หมายถึงถ้าโกรธไง แหม! ถ้าจะโกรธ ถ้าจะโมโหว่า.-

“มาจับฉันทำไม?”

ต้องพูดที่เพราะพระเจ้าให้อำนาจกับเขา ในหนังสือโรมบอกไว้ บทที่ 13 ท่านก็ไปโทษพระเจ้า เอเมน

ท่านจะเห็นแล้วว่าพยายามพาท่านไปเห็นชัดๆ เพราะอย่าลืมว่าพระคัมภีร์บอกไว้อย่างไร? บอกว่าความคิดของพระเจ้า ก็สูงกว่าความคิดของเรา ทางพระเจ้าก็ไม่เหมือนทางของเรา อิสยาห์ 55:8-9 อ่านพร้อมกันอีกทีหนึ่ง

อิสยาห์ 55:8-9 “8 เพราะความคิดของเรา ไม่เป็นความคิดของเจ้า ทั้งวิถีทางของเจ้า ไม่เป็นวิถีทางของเรา 9 ฟ้าสวรรค์สูงกว่าแผ่นดินโลกฉันใด วิถีของเรา ก็สูงกว่าทางของเจ้า และความคิดของเรา ก็สูงกว่าความคิดของเจ้าฉันนั้น”

 

สำหรับพระเยซู พระองค์ทรงกำเนิดจากเซลของพระเจ้า ไม่มีเชื้อบาปของมนุษย์เลย ดังนั้น ในพระองค์จึงไม่มีบาปเลย และเพราะพระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า ทุกสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำนั้น จึงเป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้าทั้งสิ้น และเสมอด้วย ดังนั้น พระองค์จึงไม่เคยทำบาปเลย และสำหรับมนุษย์ทุกคน เราเกิดจากพ่อแม่ที่เป็นมนุษย์ มีเชื้อบาปที่ถ่ายทอด ส่งต่อกันมา ตั้งแต่บรรพบุรุษ และเมื่อเรามีเชื้อบาปอยู่ในตัว โดยธรรมชาติแล้ว เราก็มักจะทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับน้ำพระทัยพระเจ้าเสมอ แนวโน้มมันจะไปทางตรงกันข้าม จะกบฏอยู่เรื่อย

มนุษย์จึงได้ชื่อว่าเป็นคนบาป และกระทำบาปอยู่เสมอๆ แต่ขอบคุณพระเจ้า เพราะอะไร? เพราะเมื่อเรามาเป็นคริสเตียน เชื้อบาป ที่อยู่ในตัวจริงๆ ของเรา คืออยู่ที่ไหน? เรียนรู้กันไปแล้ว ตอบสิ

“เชื้อบาปที่อยู่ในตัวจริงๆ ของเรา อยู่ที่ไหน?”

ตอบ “อยู่ในวิญญาณของเรา”

มันทำไม? ตัวจริงๆ ของเรา คือวิญญาณของเรานะ เชื้อบาปที่อยู่ในวิญญาณของเรา ได้ถูกชำระล้าง โดยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ ได้สะอาดหมดจดแล้ว เมื่อเรารับเชื่อ รับการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ สะอาดหมดจดที่ไหน? ที่วิญญาณของเรา แต่ร่างกายที่เรายังต้องอยู่บนโลกใบนี้ ที่ยังนั่งสลอนกันอยู่ตอนนี้ หรืออยากกินโน้นกินนี้ หรืออยากจะโมโห อยากจะเตะคนนี้ อะไรอย่างนี้ นั่นไม่ใช่วิญญาณของเรา นั่นเป็นร่างกายของเรา ส่วนมากเป็นร่างกายของเรา

โกรธจากวิญญาณมีไหม? มี บริสุทธิ์ใจ แต่สำหรับเรานะ มันโกรธจากเนื้อหนังซะมากกว่านะ เข้าใจใช่ไหมครับ ผมกำลังพยายามอธิบายให้ท่านฟัง

ขอบคุณพระเจ้า เมื่อเรามาเป็นคริสเตียน เราได้รับการชำระจากพระวิญญาณของพระเจ้า วิญญาณเราสะอาดหมดจด แต่เนื้อหนังเราจะสกปรก หรือยังมีเชื้อของบาปอยู่ก็ตาม ทุกสิ่งที่เรากระทำ เราจึงมีโอกาสที่จะทำตามน้ำพระทัยพระเจ้าได้ มากขึ้นกว่าไม่ได้เชื่อเลย ด้วยความเชื่อในพระเยซูคริสต์เจ้า ทำให้เราบังเกิดใหม่ เราจึงมีโอกาส ทำได้มากขึ้น เอเมน เวลาเราอธิษฐาน เราจึงบอกว่าขอให้เราทำตามน้ำพระทัยพระเจ้าได้มากขึ้น เราทำได้แล้ว ตอนนี้ แต่ก่อนหน้านี้ เรายังไม่เชื่อพระเจ้า เราทำไม่ได้เลย  ตอนนี้วิญญาณเราเป็นหนึ่งเดียวกัน แต่เผอิญๆ ร่างกายต้องอยู่บนโลกใบนี้อยู่ ถ้าพระเจ้าเอาเราออกจากร่างกายนี้ไปเลย ก็สบายแล้ว ก็ไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์ แต่พระเจ้าจะใช้เราในโลกนี้อยู่ เลยให้อยู่ในร่างกายนี้ก่อน บนโลกใบนี้ เพื่อทำงานให้กับพระองค์ ดังนั้นเราจึงมีศัตรู คือร่างกายนี้ จะทำอะไรก็ตามที่ดื้อต่อพระเจ้า กบฏต่อพระเจ้า แต่วิญญาณไม่ทำแล้ว

เพราะฉะนั้น ด้วยความเชื่อ เราจึงมีโอกาสที่จะทำทุกสิ่ง โดยความเชื่อและไม่เป็นบาปเลยได้ มีโอกาส ตามที่พระคัมภีร์บอกไว้ว่าทุกสิ่งที่เรากระทำด้วยความเชื่อ ก็คือเชื่อทางวิญญาณว่าเราบริสุทธิ์ ด้วยการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ พึ่งในพระเยซูคริสต์ จะเป็นที่พอพระทัยพระเจ้าทั้งสิ้น เหมือนที่พระเยซูได้กระทำว่ามันไม่บาป คือเชื่อในการไถ่บาปและการบังเกิดใหม่ในพระคริสต์ว่าเราเชื่อในพระเจ้า  พระเยซูไถ่เราแล้ว  ถ้าเชื่อตรงนี้ มันบังเกิดใหม่ในวิญญาณแล้ว โอกาสทำถูกต้อง มันก็มีมาก สามารถควบคุมเนื้อหนังได้บางนะครับ  และแม้กระทั่งบางครั้ง เราอาจจะล้มลงไปในการทดลองของเนื้อหนัง ไปฝืนกฎระเบียบของพระเจ้า ตามที่เนื้อหนังมันพาไปทำ มีไหม? มี มันมีอยู่แน่นอน แต่ขอบคุณพระเจ้า เราก็ไม่ได้ต้องเป็นคนบาปตรงนั้น เราเป็นคนบาปที่ได้รับการอภัยและอภัยเสมอ อภัยตลอดไป นี่เป็นตรงนี้ การเป็นคริสเตียนจึงได้เปรียบตรงนี้ ข้างในมันสะอาด ข้างนอกสกปรก ยังทำผิดพลาด แต่ผิดพลาด พระเจ้าก็อภัยให้ล่วงหน้าเลย แต่เราก็ต้องคอยลุ้นว่าจะได้รับโทษของการผิดตรงนั้นไป อย่างไรบนโลกใบนี้ ก็ว่ากันไปตามกฎระเบียบของโลกใบนี้  เอเมนไหม? เอเมน

จำได้ไหม? หว่านสิ่งใด ก็ได้รับสิ่งนั้น หว่านแตงโม ก็ได้แตงโม เพราะฉะนั้น หว่านในสิ่งดีๆ นะ ทั้งวิญญาณและทั้งร่างกาย  แต่สมมติถ้าเราไม่เชื่อพระเยซูเลย  ทำอะไร มันก็เลยผิดหมด เหมือนติดกระดุมเม็ดแรกผิด จะทำดี มีเมตตา จะบริจาค มันก็ไม่ได้ช่วยให้เราหลุดพ้นได้เลย พระคัมภีร์บอกอย่างนั้น เพราะมันกระทำไม่ได้โดยความเชื่อ เพราะมันกระทำไม่ได้มาจากความเชื่อ … ความเชื่อในอะไร? เชื่อในการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ เพราะพระคัมภีร์บอก พระเจ้าบอกแล้วว่าน้ำพระทัยของพระเจ้า คือความรอดจากบาป และต้องมาจากการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์เท่านั้น นั่นคือน้ำพระทัยพระเจ้า วนๆ มาก็อยู่ตรงนี้แหละ มันจึงต้องมาอยู่ที่พระเยซูคริสต์ เป็นหัวใจของความรอดทั้งหมด

สรุปแล้ว ตอนนี้เรารู้แล้วพระเยซูเป็นใคร? เรามาที่นี่วันนี้ได้อย่างไร? เรามารู้จักพระเจ้า รู้จักสิ่งนี้ได้อย่างไร? ก็เพราะพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า  มาเกิดเป็นมนุษย์ ไถ่บาปให้กับเรา ตามที่พระเจ้าได้บันทึกถึงเรื่องพระเยซูมาก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์นี้  เป็นหลายๆ พันปี

เมื่อหลายพันปีก่อน ผู้คนไม่เชื่อว่าหญิงพรหมจารีจะสามารถตั้งครรภ์และคลอดลูกได้ มันเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน แต่พระคัมภีร์บอกว่าได้ บอกตั้งแต่เริ่มต้นพระคัมภีร์เลย หลายพันปีแล้ว บอกว่าหญิงพรหมจารีจะตั้งครรภ์ เราก็บอกว่าเป็นไปได้อย่างไร? เถียงมาตลอด ตั้งหลายพันปี แล้วพอมายุคนี้ ไม่กี่สิบปีนี้เอง เราก็รู้ว่าหญิงพรหมจารีตั้งครรภ์ได้จริงๆ ตามพระคัมภีร์บอก พระคัมภีร์พูดไว้เป็นความจริง

เมื่อหลายพันปีก่อน พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าโลกกลม คนก็ไม่เชื่อ แย้งกับพระเจ้า แล้วในที่สุด ก็พิสูจน์ให้เห็นและรู้ว่าโลกกลมจริงๆ

เมื่อหลายพันปีก่อน พระคัมภีร์บอกว่าโลกลอยอยู่ในอวกาศ ลอยอยู่นะ แต่ความเชื่อตั้งแต่โบราณว่าโลกมีฐานรองรับ คือตั้งอยู่บนอะไรอย่างหนึ่ง เหมือนตั้งอยู่บนพานอย่างนี้ ต่อมานักวิทยาศาสตร์ก็ได้ค้นพบว่าพระคัมภีร์บอกไว้นั้นเป็นจริง คือโลกลอยเคล้งอยู่ในอวกาศจริงๆ

เมื่อหลายพันปีก่อน  พระคัมภีร์บอกแล้วว่าดวงดาวที่เป็นบริวารของฟ้าสวรรค์ทั้งหมด ที่มองขึ้นไป มีจำนวนมากมายมหาศาล นับไม่ถ้วน นักวิทยาศาสตร์ เมื่อประมาณสักหลายปีก่อน สร้างกล้องพอที่จะมองเห็นได้ มองเห็นได้นับได้ครับ นับได้ 1,200 ดวง ก็บอกว่ามีประมาณนี้ 1,000 กว่าดวง เท่าที่ตามองเห็น แล้วมาวันนี้เป็นไง เมื่อมีเครื่องบิน มีจรวด นักวิทยาศาสตร์พูดพร้อมกันว่าข้างบนมีดาวต่างๆ ทั้งหมด  นับไม่ถ้วน ตามที่พระคัมภีร์บอกมาแล้วหลายพันปี

ยังมีอีกเยอะแยะนะครับ ที่พระคัมภีร์บอกล่วงหน้าแล้ว ทุกวันนี้ก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ มีเยอะมาก และเมื่อหลายๆ สิ่ง หลายๆ อย่างที่พระคัมภีร์บันทึกไว้ ได้รับการพิสูจน์และยอมรับว่าเป็นความจริง แล้วท่านเชื่อไหมครับ ที่พระคัมภีร์บอกว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า มาถือกำเนิดในมดลูกของหญิงพรหมจารี ชื่อแมรี่ และประสูติในคืนวันคริสตมาส เพื่อมาไถ่บาปมวลมนุษยชาติ บนโลกใบนี้ พูดมาหลายพันปีนะ ท่านเชื่อไหมตอนนี้  เชื่อไหม? พิสูจน์กันมาเรื่อยๆ ด้วยหลักวิทยาศาสตร์

ถ้าท่านเชื่อ เหตุการณ์คืนวันคริสตมาสเป็นเรื่องจริงล่ะก้อ อะไรเกิดขึ้น ผมจะบอกให้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้น ก็คือที่เราเรียนรู้มาทั้งหมด ในวันนี้ คริสตมาสคืออะไร? คือพระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ มาไถ่บาปให้กับมนุษย์ คือวันบริสุทธิ์ วันศักดิ์สิทธิ์ใช่ไหม?  ถ้าท่านเชื่อเรื่องนี้จริงๆ เขาบอกกันมาตั้งหลายพันปี ถ้าท่านเชื่อเรื่องนี้ ทำไมรู้ไหมครับ? ความบริสุทธิ์นั้น ความสะอาดนั้น พระบุตรนั้น คืนศักดิ์สิทธิ์นั้น เพลงคริสตมาสทั้งหมด จะเข้ามาอยู่ในชีวิตของท่าน ไม่ใช่ชีวิตก็ได้ ในตัวของท่านนั่นแหละ

พูดอย่างนี้ท่านก็ไม่เชื่อ เป็นไปได้อย่างไร? เดี๋ยวอีกไม่กี่ปีเขาก็พิสูจน์อีกแหละ สิ่งที่ผมพูดเมื่อตะกี้นี้ ตามพระคัมภีร์ มันเป็นจริงอีกแล้ว พอเข้าใจไหม ที่ผมพูด ถ้าท่านเชื่อ แม้กระทั่งคริสตมาสที่ท่านเห็นอยู่นี้ ก็บอกมาตั้งแต่นานหลายพันปีแล้ว ต้องเป็นอย่างนี้จริงๆ และมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าท่านเชื่อว่าพระเยซูเป็นเจ้าของคริสตมาส  มาเกิด และตายเพื่อท่านที่ไม้กางเขน  หลั่งพระโลหิต เพื่อชำระท่าน พาท่านกลับไปหาพระเจ้า พาท่านกลับไปเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า เมื่อท่านเชื่อตรงนี้ ทันทีทันใดนั้น พระเจ้าจะมาสถิตอยู่กับท่าน พระวิญญาณบริสุทธิ์จะมาสถิตอยู่กับท่าน พระเยซูจะมาสถิตอยู่กับท่าน วิญญาณท่านจะถูกชำระ จะสะอาดหมดจด ใสปิ๊งเลย ท่านจะทำอะไร มีโอกาสทำตามน้ำพระทัยพระเจ้าได้มากขึ้น ท่านจะเข้าใจพระเจ้า และเมื่อสิ้นสุดชีวิตนี้แล้ว ท่านจะไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์นิรันดร์กาล

และก่อนจะไปสิ้นสุดกับพระเจ้าในสวรรค์สถานนิรันดร์กาลนั้น อยู่บนโลกใบนี้นั้น ท่านจะเดินกับพระเจ้าทุกวัน เพราะพระเจ้าสถิตอยู่กับท่านเหมือนที่พระเยซูคริสต์บอกว่าพระเจ้าอยู่กับเราตลอดเวลาเลย ท่านก็จะได้ฝึกการได้ยินเสียงพระเจ้า … พระเจ้าบอกทำอะไร? พระเจ้าก็จะปกปักคุ้มครองชีวิตท่าน ให้ท่านเดินตามพระองค์ทั้งหมด จนกระทั่งถึงสิ้นชีวิตนี้ และพาวิญญาณท่านไปอยู่ในสวรรค์นิรันดร์กาล เอเมน และเมื่อนั้นคำอวยพรที่เขาอวยพรมา Merry Christmas ก็จะเกิดขึ้นในชีวิตของผู้คนเหล่านั้น คืออะไร?

“ขอให้ท่านได้พบสันติสุข และความสงบทางใจ  จากการเสียสละของพระเยซูคริสต์ ที่ได้ทรงไถ่บาปให้ท่าน”

มันก็เกิดขึ้นกับท่าน ตรงหัวใจของท่านตรงนั้นแหละ เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรนะครับ

 

***********************