คำบรรยายคืนวันอาทิตย์ที่ 20 ธันวาคม 2015 เรื่อง “ข่าวดีวันคริสตมาส” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายคืนวันอาทิตย์ที่  20  ธันวาคม  2015

เรื่อง “ข่าวดีวันคริสตมาส”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

ที่จบไปเมื่อสักครู่นี้ เป็นละครซึ่งเกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดเมื่อ 100 กว่าปีก่อน ในเมืองไทยนี้นะครับ เกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไร? ในวันคริสตมาส ท่านรู้ไหมครับ? นั่นเป็นพระเมตตาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ที่สงสารและเห็นใจกับคนที่เป็นทาส สมัยนั้น คนที่เป็นทาส ไม่มีโอกาสได้เป็นไทเลยนะครับ มีลูกออกมา ก็เป็นทาส เรียกว่าทาสในเรือนเบี้ย มีหลานก็เป็นทาส เป็นทาสตลอดไป ไม่มีวันที่จะอิสระ ท่านเห็นสภาพทาสไหมครับ ต้องตกอยู่ใต้ เหมือนสัตว์เลี้ยงของคนที่เป็นเจ้านาย  ท่านเห็นความเมตตาที่มาต่อทาสเหล่านั้นไหม? โดยวิธีอะไรรู้ไหมครับ? ประกาศการเลิกทาสเลย ประกาศทั้งประเทศเราเลยว่าไม่มีทาสอีกต่อไป ใครเป็นทาส เป็นอิสระ สั่งโดยพระเจ้าอยู่หัวที่สูงสุดในประเทศไทย ทุกคนต้องเชื่อฟัง ทาสทุกคนได้เป็นอิสระ คนที่มีทาสมากมาย ต้องยอมปล่อยทาสให้เป็นอิสรภาพ

แต่เกิดอะไรขึ้นรู้ไหมครับ ในกรุงเทพฯ ทาสเป็นอิสระหมดเลย  แต่ไปตามหัวเมืองต่างๆ ที่ไกลออกไปมากๆ ข่าวนี้ ไม่ถึงพวกเขา กว่าข่าวจะไปถึง ทาสที่เป็นอิสระแล้ว ยังถูกหลอก โดยพวกเจ้านาย เจ้าขุนมูลนายที่มีทาสเยอะแยะ หลอกทาส บอกว่า.-

“ไม่จริงหลอก ข่าวนั้นเป็นข่าวโกหก แกต้องเป็นทาสต่อไป แกต้องเป็นทาสในเรือนเบี้ยต่อไป แกต้องรับใช้ต่อไป แกต้องเป็นทาส อยู่อย่างสัตว์อย่างนี้ต่อไป ไม่ได้รับอิสรภาพ”

ทาสเหล่านั้นกลัวนะครับ ถามว่ากลัวเพราะอะไร? เพราะมันเคยเกิดขึ้น อย่างนี้กับชีวิตของเขาตลอดเวลา  เวลาเขาจะดื้ออย่างไร? จะกบฏอย่างไร? จะไม่เชื่อฟังอย่างไร? เขาจะถูกลงโทษ เฆี่ยนแทบตาย บางคนตายคาหวายก็มี ท่านนึกภาพ เขาไม่กล้าจะหือเลย  พอเจ้านายทำตาเขม็งเขม่นว่า.-

“ไม่จริง ข่าวนั้นไม่จริง”

พวกนี้ก็กลัวหมด แล้วถามว่าข่าวที่มาถึงทาสเหล่านี้ทั้งหมดในประเทศไทยนั้น เราเรียกว่าข่าวดีหรือข่าวร้าย ท่านตอบสิ ข่าวดีหรือข่าวร้ายสำหรับทาส? ข่าวดี  การเลิกทาสนั้นเป็นข่าวดี … ข่าวดีนี้แพร่สะพัดจากเมืองหลวง ไปยังหัวเมืองต่างๆ ค่อยๆ ไปทีละนิดๆ ข่าวดีไปถึงไหน? ที่นั่นก็มีอิสรภาพ สำหรับคนที่เป็นทาสที่นั่น ยกเว้นข่าวดีไปไม่ถึง พอข่าวดีไปไม่ถึง หรือถึงไม่พอ ถึงไม่มากพอ ทาสไม่สามารถเชื่อในข่าวดีนั่นได้ ก็แพ้การข่มขู่ของเจ้านายเก่าๆ ที่พยายามจะเอาทาสเอาไว้ใช้ต่อไป ข่มเหงทาสต่อไป

เมื่อไรก็ตามที่ข่าวดีไปถึงเขาซ้ำๆ มากขึ้น ได้ยินได้ฟังมากขึ้น ทาสเกิดความเชื่อมั่นในข่าวดีนั้นว่าเขาได้รับอิสรภาพ มีการประกาศการเลิกทาสจริงๆ แล้ว เขามั่นใจแล้ว เขาจึงยกมือขึ้น แล้วก็ต่อสู้กับอำนาจมืด การข่มเหงรังแกอย่างไม่ยุติธรรมของเหล่าเจ้าขุนมูลนายเหล่านั้น เขาก็ได้รับอิสรภาพจริงๆ เพราะเจ้าขุนมูลนายเหล่านั้น ไม่กล้าทำอะไรเขา นอกจากขู่เท่านั้น เพราะว่ามีอำนาจใหญ่สูงสุดกว่าเขานั้น ควบคุมเขาอยู่ คืออำนาจของพระมหากษัตริย์ ที่สูงสุดในประเทศ นึกภาพออกใช่ไหมครับ? เขาก็ไม่กล้าเหมือนกัน เพราะอำนาจใหญ่นั้นบอกว่าปล่อยเขาแล้ว เขาเป็นอิสระ ยกเว้นทาสคนนั้น ได้รับข่าวดีนี้ แล้วไม่เชื่อ นี่เป็นเรื่องที่น่าสังเวชใจสุดๆ ในสมัยนั้น ซึ่งมีจริงๆ หลายจังหวัดในประเทศไทย ที่อยู่ไกลๆ ออกไป ทาสได้ยิน  ได้ฟังข่าวดีที่มาจากเมืองหลวงแล้ว เล่าแล้วเล่าๆ ซ้ำๆ ซากๆ อยู่นั้น แต่ไม่เชื่อในข่าวดีว่า.-

“มันเป็นไปได้อย่างไร? ฉันเป็นรุ่นที่ 4 ของการเป็นทาสในครอบครัวนี้ ฉันเป็นเหลนๆ ของทาสคนแรก เดี๋ยวนี้ฉันรู้แล้วว่าฉันเป็นทาสตลอดไป ลูกฉันก็จะเป็นทาสตลอดไป เหลนฉันที่กำลังจะเกิดก็จะเป็นทาสเช่นเดียวกัน เป็นไปไม่ได้หรอก ที่ฉันจะเป็นอิสรภาพ โดยไม่ได้เสียเงินแม้แต่นิดเดียวที่จะจ่ายให้เจ้านาย หรือจ่ายให้กับในหลวง หรือจ่ายให้กับพระเจ้าอยู่หัว หรือจ่ายให้กับเจ้านายฉัน เพื่อฉันจะได้ไถ่ตัวเองเป็นอิสรภาพ มันเป็นไปไม่ได้หรอกที่จะมีคนมาไถ่ฉันฟรีๆ ปลดปล่อยฉันเป็นอิสรภาพฟรีๆ  มันเป็นไปไม่ได้ๆๆๆๆๆๆ”

นั่นแหละมันเรื่องที่น่าเศร้าใจที่สุด คืออย่างนี้ เรื่องเศร้าใจ ไม่ใช่ข่าวดีไปไม่ถึง เรื่องเศร้าใจ คือข่าวดีไปถึงแล้ว ซ้ำๆ ซากๆ ฟังอยู่นั่นแหละ แต่ไม่ตัดสินใจที่จะรับสิทธิของเขาสักทีหนึ่ง ไม่กล้าที่จะใช้สิทธิ์ต่อสู้กับอำนาจมืดอะไรก็ตาม ที่มาข่มเหงว่าเราเป็นหนี้เขา เราต้องจ่ายเขา เราเป็นทาสเขานะ เราต้องอยู่ใต้เขา

เทียบกับพระเมตตาคุณของพระเจ้า พระเยซูคริสต์ที่เจ้าของวันคริสตมาส พระเยซูคริสต์คือใคร? พระเยซูคริสต์คือข่าวดีที่พระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ที่ทรงสร้างมนุษย์ทั้งหลาย เป็นข่าวดีของพระเจ้าที่ส่งมาเกิดบนโลกใบนี้ จากพระเจ้า มาเป็นมนุษย์ เพื่อจะมาบอกข่าวดี และตัวพระองค์เองก็เป็นข่าวดี พระเยซูเป็นข่าวดี แล้วบอกให้ทุกคนประกาศพระเยซูออกไป หมายถึงประกาศข่าวดีออกไป พระเยซูไปที่ไหน? คนนั้นได้รับอิสรภาพ ไม่เป็นทาสของความบาป และความตายอีกต่อไป ไม่ต้องชดใช้บาปเวรกรรมที่เราบ่นมาตลอดว่า.-

“เมื่อไรมันจะชดใช้หมดสักทีๆ เกิดมาต้องใช้เวรกรรมเป็นธรรมดา เมื่อไรจะหมดเวร หมดกรรมสักที ตายแล้ว เมื่อไรฉันจะได้ไปสวรรค์ ทำอย่างไร ฉันจะได้ไปสวรรค์”

เราทุกข์ทรมานมาตลอด บัดนี้มีข่าวดีมาบอกถึงเราแล้ว  โดยพระเจ้าส่งพระเยซูเป็นข่าวดีมา แล้วพระองค์ทรงเป็นผู้เริ่มต้นประกาศข่าวดีนั้น แล้วก็ประกาศต่อๆ ไปเรื่อยๆ 2,000 ปีแล้วว่ามนุษย์ได้รับอิสรภาพแล้ว มีคนมาไถ่บาปแล้ว เราเป็นอิสระแล้ว  เราไม่จำเป็นต้องอยู่ใต้อำนาจมืดของผีมารซาตาน และกฎเกณฑ์ที่บ่งบอกว่าเป็นผู้กำชีวิตของเรา ดวงดาวต่างๆ เหล่านั้น ดวงของเราต่างๆ เหล่านั้น ไม่มีอำนาจอยู่เหนือเราเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะผู้ที่ยิ่งใหญ่สูงสุด คือพระเจ้าได้บอกแล้วว่าเราเป็นอิสระแล้ว เมื่อเรารับข่าวดีนี้ และเชื่อในข่าวดีนี้ เราเป็นอิสระแล้วจริงๆ

เช่นเดียวกัน มันเป็นเรื่องน่าเสียใจจริงๆ และน่าเสียดายจริงๆ ที่ข่าวดีนี้ประกาศมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า มาร้อยกว่าปีมาแล้ว  หรือแม้ในยุคปัจจุบัน เราหลายท่านได้ฟังเรื่องนี้ซ้ำๆ เราก็ปล่อยมันผ่านไปๆ แล้วเราก็ไปหาทางที่จะมาชดใช้กรรมด้วยตัวเอง หาทางที่จะไถ่บาปด้วยตัวเอง หาทางที่จะทำความดี เพื่อจะไถ่บาปตัวเอง หาทางที่จะชำระตัวเองให้สะอาดบริสุทธิ์ หาทางที่จะไปสวรรค์ด้วยตัวเอง หาทางที่จะได้รับอิสรภาพด้วยตัวเอง ซึ่งก็ทำไม่ได้ ทำอย่างไรก็ทำไม่ได้ ถ้าทำได้ ต้องหยุดแล้ว แต่นี่ทำไม่ได้ ถึงไม่หยุด ทำไปเรื่อยๆ ทำจากทางนี้ ไม่พอ ก็ทำทางนี้เพิ่มๆ เยอะแยะมากมาย  ไม่พบทางออกเสียทีหนึ่ง แต่ก็ยังไม่ยอมมา รับสิทธิในข่าวประเสริฐของพระเยซู แล้วก็ถูกหลอกว่านี่เป็นของฝรั่ง นี่เป็นของคนเมืองนอกเมืองนา ซึ่งไม่ใช่เลย ไปอ่านประวัติดู เกิดในเอเชียนี่แหละ เป็นของเรา เป็นของมนุษย์ทั้งหลายบนโลกใบนี้ กำเนิดมาแล้วเป็นหมื่นๆ ปี ข่าวดีนี้ มันไม่ใช่ 2,000 ปีอย่างที่เราคิดนะ มันเป็นหมื่นๆ ปีมาแล้ว ข่าวดีนี้มันมาตั้งแต่ตอนโน่นแล้ว จนมาชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ จน 2,000 ปีที่แล้วชัดเจนมาก เมื่อพระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์

และชัดเจนมาเรื่อยๆ จนยุคปัจจุบัน  2015 ปีบนโลกใบนี้ ข่าวดีนี้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น คนได้รับข่าวดีนี้ ได้รับอิสระมากมาย แต่อย่างที่บอก คนมากมายได้รับอิสรภาพนั้น  เราดีใจด้วย  แต่เราเสียใจในคนอีกจำนวนมากมายเหมือนกัน ที่ข่าวดีนี้ผ่านไปแล้วทุกวันๆ แล้วก็ยังไม่ยอมรับ และมันมีโอกาสสายเกินไป ก็คือเมื่อเราสิ้นสุดชีวิตเราลงแล้ว เราจะพบกับความจริงว่าเราจะต้องเป็นทาสตลอดไป ถ้าเราไม่รับอิสรภาพของเรา ณ ชีวิตปัจจุบันบนโลกใบนี้ ถ้าเราไม่รับเอาอิสรภาพนี้ เราจะต้องเป็นทาสตลอดไป อย่างที่ทาสต่างๆ กลัว ไปจนถึงลูกหลานเหลนโหลน  ก็คือชีวิตของเรา เมื่อสิ้นสุดบนโลกใบนี้แล้ว เราก็ต้องไปใช้บาปเวรกรรมชดใช้เวรกรรมของตัวเอง เพราะเราไม่รับอิสรภาพ เมื่อมีพระเยซูมาไถ่เราแล้ว เราไม่เอา เราก็ต้องช่วยตัวเอง แล้วเราก็ต้องไปชดใช้ต่อไป

อย่างที่เราบอกนั่นแหละ เมื่อไรมันจะหมดเวรหมดกรรมสักที อีกกี่ชาติ เราต้องชดใช้ ซึ่งมันสายไปเสียแล้ว พระคัมภีร์บอกมันสายไปเสียแล้ว การจะรับสิทธินั้น เราต้องรับในขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่เป็นมนุษย์บนโลกใบนี้ ถ้าสิ้นชีวิตบนโลกใบนี้ ลมหายใจสุดท้าย ออกจากร่างแล้ว  มันสายเกินไปกับการที่จะตัดสินใจต้อนรับข่าวประเสริฐนี้ หรือรับสิทธิของเราตรงนี้ ซึ่งมันน่าเสียใจมากๆ เราจะต้องไปในสถานที่ไม่มีพระเจ้า ที่เรียกว่าสวรรค์ เราจะไม่ได้อยู่ในสวรรค์ ไม่ใช่ไม่ได้อยู่ในสวรรค์เพียงแค่ 100 ปี 50 ปี ไม่ใช่ 1,000 ปี ไม่ใช่ 10,000 ปี แต่เป็นนิรันดร์ ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลได้บันทึกไว้อย่างนั้นว่าเป็นนิรันดร์ ไบเบิ้ลบันทึกไว้มันเป็นความจริงทั้งสิ้น แม้ขณะนี้เราไม่ได้เห็นว่าเป็นความจริง แต่ต่อมาเรื่อยๆ ในอนาคตมันก็จะเป็นจริงทุกอย่าง เหมือนอย่างที่พระคัมภีร์บันทึกว่าโลกกลม บอกมาเป็นหมื่นปีแล้ว … แล้วมนุษย์ไม่เชื่อ ในที่สุดก็พิสูจน์ให้เห็นว่าโลกมันกลมจริงๆ

ไบเบิ้ลได้บันทึกไว้แล้วว่าดวงดาวนี้นับไม่ถ้วน มนุษย์เมื่อประมาณ 100 กว่าปีก่อน มีดาราศาสตร์พิสูจน์ว่ามีอยู่พันกว่าดวง นับได้ ที่ตาที่มองเห็น แต่จริงๆ นับไม่ถ้วน มันเป็นไปตามนั้น ในที่สุดก็รู้ความจริง

พระคัมภีร์ได้บันทึกเป็นพัน เป็นหมื่นปี แล้วว่ามนุษย์สามารถเกิดขึ้นได้ โดยหญิงพรหมจารี ไม่มีเพศสัมพันธ์ แต่เกิดเป็นมนุษย์ได้ จากหญิงพรหมจารี โดยเฉพาะพระเยซูเป็นตัวอย่าง เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว มาเกิดในหญิงพรหมจารี ที่ชื่อมารีย์ คนหัวเราะใหญ่ มันเป็นไปได้อย่างไร? หญิงพรหมจารีจะไปมีท้องได้อย่างไร? แต่ในปัจจุบัน เรารู้แล้วว่ามีการอุ้มบุญ มันเกิดขึ้นจริงๆ เพราะพระเจ้าบอกแล้ว มันเป็นไปได้ เราไม่เชื่อใช่ไหม?  มันเป็นจริงตามนั้น และหนึ่งในนั้น ซึ่งเป็นความจริง ก็คือมนุษย์สามารถเป็นอิสรภาพได้ โดยการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ เพียงแค่เราไปรับสิทธิของเราเท่านั้น ไม่ต้องทำอะไรเลย ไม่ต้องเสียแม้แต่บาทเดียว เหมือนที่เขาเลิกทาสในประเทศไทย ไม่ต้องเสียอะไรเลย แม้แต่นิดเดียว ยอมเสียศักดิ์ศรีหน่อย คือเสียความเย่อหยิ่งที่เรามีอยู่ในตัวไง เราไม่เชื่อหรอก ไม่ใช่หรอก เราเสียศักดิ์ศรีใช่ไหม? เรายอมลดตัวลง เราไม่ต้องเสียสักบาทเดียว  เรามีแต่ได้กับได้

          ถ้าเผื่อเรื่องนี้ไม่จริง สมมตินะครับ ท่านลองคิดดูตามตรรกะเลย ถ้าเรื่องนี้ไม่จริง เรื่องที่เล่ามาทั้งหมด ไม่จริงเลย สมมติ เราเสียอะไร? เราไม่ได้เสียอะไรเลยแม้แต่บาทหนึ่ง ถ้าเรื่องนี้ไม่จริง คนที่ไม่เชื่อในพระเยซูคริสต์ว่าเป็นผู้ไถ่บาปให้กับเขา … เขาตายไป เขาก็เป็นไปตามบุญตามกรรมที่เขาเชื่อ ถูกไหม? ไม่ว่าเขาจะเชื่ออะไรมาก่อน ก็เป็นตามนั้น ไม่ได้ไปทำอะไรให้เขาเสียกว่านั้นเลย ถูกไหม?  แต่ถ้าเกิดมันเป็นจริงขึ้นมา อะไรเกิดขึ้น พระคัมภีร์บอกถ้ามันเป็นจริงขึ้นมา พระเยซูคริสต์เป็นทางเดียวเท่านั้น ที่ทำให้เราไปสวรรค์ได้ มีพระองค์เพียงทางเดียวเท่านั้น ไม่มีทางอื่นอีกแล้ว ถ้าทางนี้พิสูจน์เหมือนทางอื่นที่บอกว่าหญิงพรหมจารีสามารถตั้งครรภ์ได้ ในปัจจุบันเราพิสูจน์แล้วว่าตั้งครรภ์ได้จริงๆ หรือโลกกลม พิสูจน์ได้จริงๆ ว่าโลกกลม ตามพระคัมภีร์บอก แล้วถ้าเผื่อมันพิสูจน์วันนั้นได้ว่าใช่จริงๆ มีทางเดียวที่จะไปสวรรค์ได้  คือทางพระเยซูเท่านั้น แต่การพิสูจน์นั้น มันต้องไปพิสูจน์เมื่ออยู่ในโลกวิญญาณ ตายไปแล้ว ไม่สามารถเปลี่ยนอะไรได้แล้ว … แล้วตอนนั้น เราจะเสียใจขนาดไหน?

 

ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลบันทึกว่าคนร้องไห้น้ำตาเป็นสายเลือด ก็ไม่สามารถที่จะแก้ไขตรงนั้นได้แล้ว ดังนั้น คำพูดสุดท้ายของพระเยซูจึงให้คน หรือเรียกว่าสาวก หรือคนที่รู้จักพระองค์แล้ว คนที่เชื่อพระองค์แล้ว ไม่กี่คนเองนะ ให้พูดเรื่องนี้  เป็นข่าวดีให้บอกคนต่อไป บอกออกไป ประกาศแค่นี้เอง ไม่ได้มาสอนศีลธรรม ไม่ได้สอนธรรมะ ไม่ได้สอนจริยธรรม เพียงแต่บอกว่าไปบอกเขาให้เชื่อนะว่าเขาเป็นอิสระแล้ว นี่คือข่าวดีของพระเจ้าที่มาถึงเราทั้งหลายทุกคนบนโลกใบนี้ ไปบอกเขาๆ จากคนสองสามคน จนมาถึงทุกวันนี้ เป็นกี่พันล้าน? กี่หมื่นล้านคนแล้ว? ทุกวันนี้มีคนรู้จักพระเยซูกี่พันล้าน? กี่หมื่นล้านคนแล้ว? ทุกวันนี้มีคนรู้จักพระเยซูและเชื่อข่าวประเสริฐนี้ เฉพาะทุกวันนี้ ที่มีชีวิตอยู่นะครับ 1 ใน 3 ของโลกนี้ คือประมาณเกือบ 3,000 ล้านคนบนโลกใบนี้ 2,000 กว่าล้านคน ท่านลองคิดดู เกิดมาได้อย่างไร? เริ่มต้นแค่คนสองคน ถ้าเรื่องไม่ใช่เรื่องจริง

คริสตมาส คือข่าวดี ที่เขาฉลองกันทั่วโลกนี้ ท่านรู้ไหมเขาฉลองทำไม? หัวใจประกาศอย่างเดียว ก็คือเขาอยากจะบอกข่าวดีให้กับคนที่ยังไม่รู้ เขาอยากจะบอกข่าวดี ไม่รู้จะบอกอย่างไร?  พูดทุกวิถีทาง เขาเลยจัดงานฉลองคริสตมาสขึ้นมา ซึ่งมันก็ไม่ตรงกับวันที่พระเยซูจริงๆ หรอก แต่เขาก็เหมือนกับอุปโลกน์ ช่วงนี้ เทศกาลนี้ขึ้นมา เพื่อจะประกาศข่าวดีว่าพระเยซูบังเกิดจริงๆ มาที่นี่จริงๆ เพื่อให้ท่านรู้ว่าท่านมีส่วนในการบังเกิดของพระเยซู คือพระเยซูบังเกิดเพื่อท่าน เป็นข่าวดีให้กับท่าน มาไถ่บาปให้กับท่าน มนุษย์ทุกคน ย้ำอีกทีว่ามนุษย์ทุกคน

          พระคัมภีร์ไบเบิ้ลเขียนบอกว่ามนุษย์ทุกคน พระเจ้าทรงรักและทรงเมตตา และเห็นว่าเราเป็นทาสของความบาป ทาสของความมืด ความชั่วร้ายของมารซาตาน  และต้องการจะปลดปล่อยให้เราเป็นอิสระ จึงประกาศการเลิกทาส โดยวิธีการส่งพระบุตรของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ ซึ่งเราเรียกว่าวันคริสตมาส และพระองค์ก็ทรงไถ่บาปเราด้วยการตายที่ไม้กางเขน รับโทษบาปแทนเรา และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 เรียกว่าวันอีสเตอร์ และนั่นคือจบของการไถ่บาปทั้งหมด

 

การไถ่โทษทั้งหมดของมนุษยชาติและก็ให้ประกาศข่าวดีนี้ออกไป ตั้งแต่กรุงเยรูซาเล็มที่พระองค์ทรงตายที่นั่น ให้ประกาศเรื่องนี้ออกไป จนสุดปลายแผ่นดินโลก พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น หลายพันปีแล้ว และมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ มาจนถึงทุกวันนี้ พิสูจน์แล้ว 2,000 กว่าปีแล้วจริงๆ ข่าวดีนี้ ถูกประกาศจากเยรูซาเล็มนั้น ไปทั่วโลกในขณะนี้ และมากขึ้นทุกวัน พระคัมภีร์บอกจะมากขึ้นทุกวันๆ ไม่มีใครหยุดยั้งเรื่องนี้ได้  ไม่ว่าท่านะเชื่อหรือไม่เชื่อเรื่องนี้ก็ตาม ไม่มีใครหยุดยั้งข่าวดีนี้ได้ มันไปอยู่เรื่อยๆ  รถไฟขบวนนี้ไปสู่สวรรค์ วิ่งเร็วมาก มีคนขึ้นเยอะแยะ รถไฟขบวนนี้อยากให้คนขึ้น แต่คนนั้นไม่ขึ้น  ไม่มีใครสนใจ เพราะว่าคนขึ้นเยอะไปเร็วมาก เดี๋ยววันหนึ่งก็ผ่านไป ปีหนึ่งก็ผ่านไป คนนั้นก็ตายไปแล้ว คนนี้ก็ตายไปแล้ว  ท่านมั่นใจหรือไม่ว่าถ้าถึงวันนั้น เป็นเวลาของท่านที่จะจากโลกนี้ไป ท่านมั่นใจหรือไม่ว่าท่านได้ไปสวรรค์แน่นอน

ถามตัวเองในวันนี้ ให้คริสตมาสปีนี้ เป็นปีที่ท่านได้คิดถึงเรื่องอย่างซีเรียสสักทีหนึ่งว่าอะไรคือคำตอบในชีวิตของท่าน … ท่านมีเป้าหมายอะไร? ท่านเสียอะไรไหมที่จะรับข่าวดีนี้ เรื่องของพระเจ้า พระเยซูคริสต์ เรื่องของคริสตมาสนั้น และถ้าท่านรับสิทธิของท่าน อะไรเกิดขึ้นรู้ไหมครับ? ที่เขาอวยพรในวันคริสตมาส ก็จะเกิดขึ้นในชีวิตของท่าน ก็คือ Merry Christmas จะเกิดขึ้นในชีวิตของท่าน ที่เขาอวยพรกัน Merry Christmas ก็จะเกิดขึ้นในชีวิตของท่าน เพราะ Merry Christmas แปลว่าอะไรรู้ไหมครับ? แปลว่า “ขอให้ท่านได้พบสันติสุข และความสงบทางใจ จากการเสียสละของพระเยซูคริสต์ ที่ได้ทรงไถ่บาปให้ท่าน ได้บังเกิดขึ้นกับท่าน” นี่คือความหมายของ Merry Christmas

แต่คนนั้นจะไม่ได้รับอะไรเลย ถ้าเขาไม่ใช้สิทธิของเขา ไม่มีใครใช้สิทธิแทนเขาได้ เขาต้องใช้สิทธิด้วยตนเอง เขาจะต้องเชื่อในเรื่องข่าวดีนี้ว่าเป็นจริง และรับสิทธิของเขา และคริสตมาสก็จะเข้าไปอยู่ในใจของเขาตลอดไป ไม่ใช่วันนี้เป็นวันคริสตมาสแล้ว ตั้งแต่นี้ต่อไป ถ้าเขาเชื่อในข่าวดีนี้ รับพระเยซูคริสต์ว่าเป็นผู้ไถ่บาปให้เขาจริงๆ คริสตมาสจะเป็นทุกวัน ในชีวิตของเขา เป็นทุกวินาทีในชีวิตของเขา … เขาจะเกิดความสงบสุข สันติสุขทางใจ จากการเสียสละของพระเยซูคริสต์ จากการไถ่บาปให้กับเขา เพราะเขามั่นใจแล้วว่าเขาหมดบาปแล้ว สะอาดหมดจดแล้ว พร้อมแล้วที่จะจากโลกนี้ไป และจะไปอยู่ในสวรรค์ นั่นคือความหวังสูงสุดของมนุษย์ทุกคนแล้ว

แค่นั้นยังไม่พอ ขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่บนโลกใบนี้ เมื่อเรารับเชื่อในพระเยซู เมื่อเราต้อนรับสิทธิตรงนี้เข้าไปแล้ว พระเยซูมาสถิตอยู่กับเรา มาช่วยเราทุกเรื่อง ทุกเรื่องเลย ทุกอย่าง ทุกก้าว ทุกฝีก้าวเข้าออก ดูเราตลอดเวลา เป็นลูกที่พระองค์ทรงรักและดูแลตลอดเวลา และถามว่าทำไมคนอื่นไม่ดู ก็จะดูได้อย่างไร ก็เขาไม่ให้พระองค์ดู อยากจะดู แต่เขาไม่ยอม แต่เมื่อเราต้อนรับ เหมือนเราเปิดใจให้พระเยซู … พระเยซูก็จะเข้าไปอยู่กับเรา พาเราเดินแต่ละวันๆ ไป

คิดดูสิ มันจึงเกิดสันติสุขและความสงบทางใจ ช่วยเราทุกเรื่องบนโลกใบนี้ แก้ปัญหาอะไรทุกอย่างบนโลกใบนี้ นำพาเราทุกอย่างบนโลกใบนี้  แล้วยังทำให้เรา มั่นใจว่าเราไปสวรรค์ เราหมดบาป เราไปอยู่กับพระเจ้าได้ ในสวรรค์แน่นอน เพราะเราไม่มีบาปแล้ว เราได้รับการไถ่แล้ว มีแต่ได้สองเด้งเลย  อยู่บนโลกนี้ก็ได้ พร้อมที่จะตาย … ตายไปก็ได้ ไม่เสียอะไรเลยแม้แต่นิดหนึ่ง ไม่ต้องเอาเงินมาให้พระเจ้าเลย ไม่ต้องทำอะไรให้กับพระเจ้าเลย เพราะสิ่งเหล่านี้ เป็นของฟรี ที่พระเจ้าให้กับเราฟรีๆ ถ้าใครเรียกร้องเงินจากท่าน ถ้าใครมาบอกท่าน ให้ทำอย่างโน้นอย่างนี้ เพื่อจะได้ตรงนี้ มันไม่ใช่เลย มันผิดหมดเลย เพราะทั้งหมดเหล่านี้ พระคัมภีร์ไบเบิ้ลบอกว่ามันฟรี จากพระเจ้า ไม่เสียอะไรเลย  แม้แต่นิดเดียว มีแต่ได้กับได้

ก็ขอฝากตรงนี้ไว้กับท่านนะครับ  เราจะร้องบทเพลงนี้ ซึ่งเป็นเพลงที่ดังที่สุดในโลกเลยนะครับ เรื่องเกี่ยวกับคริสตมาสนี้  เป็นเพลงคริสตมาสที่ดังที่สุด ท่านก็รู้อยู่แล้วว่าเพลงคริสตมาสที่ดังที่สุด คือเพลงอะไร?  ในจำนวนเพลงคริสตมาส เพลงนี้ที่ดังและได้รับความนิยมมากที่สุด เพราะว่าหมายของเพลงนี้ พระเจ้าเป็นผู้กำหนดให้คนแต่ง … แต่งเพลงนี้ขึ้นมา โดยการดลใจจากพระเจ้า  บอกถึงความสำคัญของวันคริสตมาสว่าพระเยซูมาเกิดในหญิงพรหมจารีอย่างไร? เพื่อไถ่บาปให้มนุษย์พ้นจากความบาป ได้รับอิสรภาพนั่นเอง รู้จักใช่ไหมครับเพลงนี้ เพลง “Silent night” ภาษาไทย คือ “ยามราตรี” ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*************************