คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 12 พฤศจิกายน 2023
เรื่อง “อิสระจากความกลัวทั้งปวง (เพราะพระองค์ทรงอยู่)”
ตอน 3 “อิสระจากความกลัวการสูญเสียความรอด”
โดย นคร เวชสุภาพร
วันนี้ก็มาต่อซีรี่ย์ “อิสระจากความกลัวทั้งปวง (เพราะพระองค์ทรงอยู่)” หมายถึงพระคริสต์ทรงอยู่ วันนี้ ตอนที่ 3 ในซีรี่ย์นี้ ให้ชื่อเรื่องว่า “อิสระจากความกลัวการสูญเสียความรอด”
ปกติแล้ว ความกลัว สำหรับคนทั่วๆ ไปบนโลกใบนี้ ซึ่งรวมทั้งคริสเตียนด้วย หมายถึงคนทั้งโลก เขากลัวอะไรกัน ในขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ลองคิดสิ ท่านกลัวอะไรบ้าง? ที่เราเห็นกันบ่อยๆ หรือเผชิญกันอยู่ทุกวันนี้ เรารู้ว่าเรากำลังกลัวอะไร? เช่น กลัวความเจ็บป่วย กลัวความยากจน กลัวการทำมาหากิน กลัวความขาดแคลน กลัวอุบัติเหตุ อะไรที่เกิดขึ้นในอนาคตที่เราไม่รู้ ควบคุมไม่ได้ นี่เราก็กลัว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่เรารัก กลัวจะไม่มีคนยอมรับเรา อันนี้มันอยู่ข้างในใจของเราทุกคน ความกลัวจะถูกปฏิเสธว่าเราเป็นอย่างนั้น คนนั้นชี้นิ้วอย่างนี้ อย่างนั้น กลัว ถึงขนาดบางคนก็กลัวในการพูดในที่สาธารณะ เพราะข้างในไม่มั่นใจในตัวเอง ไม่กล้า เรียกว่ากลัวนั่นเอง กลัวการพูดต่อหน้าชุมชน กลัวไปหมด หนักกว่านั้น กลัวความวิตก กลัวว่าจะกังวล คือเขาเรียกว่ากังวล ซ่อนกังวล นี่เป็นโรคชนิดหนึ่ง มันอยู่บนโลกใบนี้แหละ อีกอันหนึ่ง ก็คือกลัวว่าจะกลัว มีด้วยนะ และสุดท้าย ก็คือกลัวว่าจะนอนไม่หลับ ทั้งๆ ที่หลับไหม? แต่ก็กลัวว่าจะนอนไม่หลับ นี่ก็แปลก
แต่ความกลัวที่กำลังจะพูดถึง ในวันนี้ ที่เป็นหัวข้อเรื่อง ที่จะเกิดกับ คริสเตียนผู้เชื่อ ที่ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้วเท่านั้น เพิ่มขึ้นจากเมื่อตะกี้นี้ ทั่วๆ ไป ก็กลัวขนาดนั้น คริสเตียนอยู่ในโลกใบนี้ ก็จะอยู่ท่ามกลางความกลัวแบบนั้น เหมือนกัน แต่คริสเตียนได้รับความรอดแล้ว เพิ่มไปอีกอย่างหนึ่ง ก็คือเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว ได้รับความรอดแล้ว กลัวสูญเสียความรอด
คิดในใจสิว่าใครที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว ยังมีความกลัวตรงนี้อยู่ คิดดูนะว่าเขากำลังพูดถึงเราหรือเปล่า? คือหลังจากเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว ได้รับความรอดแล้ว แต่ลึกๆ ในใจ ก็ยังมีความกลัวอยู่ว่าจะสูญเสียความรอดนี้ไปหรือไม่? ก็เพราะว่ามีการเข้าใจผิดกันเรื่องข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ข่าวดีของพระเจ้า เกี่ยวกับถ้อยคำพระเจ้า ถึงเรื่องความรอดนิรันดร์ที่พระเยซูคริสต์ประทานให้ สำหรับผู้ที่เปิดใจต้อนรับพระองค์ ยังมีความเข้าใจผิดตรงนี้ แล้วก็สอนกันต่อๆ มาว่ามาเชื่อพระเจ้าแล้ว ต้องอยู่ในทางพระเจ้านะ พอเปิดใจปุ๊บ ก็เริ่มต้นฟังถ้อยคำพระเจ้า ก็จะมีคนสอน และส่วนใหญ่ ก็จะสอนอย่างนี้แหละ เชื่อแล้ว
“ต้องรักษาความเชื่อนั้นให้ดีนะ”
“ต้องอยู่ในทางของพระเจ้านะ”
“ต้องระวังรักษาความประพฤติให้ดีนะ รักษาความรอดให้ดี อย่าให้สูญเสียความรอดไปนะ”
คุ้นๆ นะ ไม่ว่าจะมากหรือน้อย เราได้ยินบ่อยๆ คำพูดเหล่านี้แหละ ที่ทำให้คริสเตียนเกิดความกลัวสะสม ตั้งแต่วันแรกที่เปิดใจต้อนรับพระเยซู กลัวว่าจะสูญเสียความรอดที่ได้รับมา ปิติยินดีแค่ไม่กี่วัน อ้าว! ดำเนินชีวิตเริ่มต้นคริสเตียน ด้วยความกลัวว่าพระเจ้ากำลังเริ่มต้น ถือไม้ เดินตามเรา คอยฟาด คอยตีเรา เราต้องระมัดระวังตัวให้ดี ประพฤติตัวให้ดี ไม่อย่างนั้น ถูกตี ต้องรักษาความเชื่อด้วยตัวเอง ที่ได้รับมาแล้วนั้น อย่างขะมักเขม่นและระมัดระวัง (เป็นพิเศษ) เราจะได้ยินอย่างนี้บ่อยๆ บนธรรมาส ในการบรรยาย ถ้อยคำพระเจ้า ไม่ว่าจะมากหรือน้อย จะมีอย่างนี้แทรกเข้ามาอยู่เรื่อยๆ ว่า …
“ท่านต้องระวังให้ดี ท่านต้องรับผิดชอบ”
อาการเป็นอย่างไร? ลองดูสิว่าเป็นอย่างที่เราเคยเจอไหม? ใครที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ได้รับความรอดมานานๆ แล้ว ลองนึกย้อนไปถึงวันแรกๆ ท่านเริ่มต้นเชื่อ อาการตอนเริ่มต้นเชื่อเป็นอย่างไร? น้ำหูน้ำตาไหล วันนั้น วินาทีนั้น …
“ขอบคุณพระเจ้า ฉันเป็นคนบาป ได้รับความรอด พระเจ้าเป็นความรัก เป็นความยินดี”
ดีใจมากเลย ไม่มีความกลัวอะไรเลยสักนิดหนึ่ง ได้เป็นลูกของพระเจ้าด้วย ขอบคุณพระเจ้า นี่คืออาการเริ่มต้น เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ยินดีมาก แต่หลังจากนั้น 1 วันผ่านไป 2 วันผ่านไป 1 อาทิตย์ผ่านไป 2 อาทิตย์ผ่านไป 3 เดือนผ่านไป 4 เดือนผ่านไป 1 ปีผ่านไป ได้ยิน ได้ฟังถ้อยคำพระเจ้า ได้ยินได้ฟังผู้คนพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับคริสเตียน ได้ยินได้ฟังผู้คนสอนแนะนำให้เราทำอะไรบ้าง? อาการหลังจากเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ที่ชื่นชมยินดีมากนั้น นับวัน มันยิ่งเพิ่มความวิตกกังวลขึ้นมา จริงหรือไม่? หายไปแล้ว กลายเป็นความวิตกกังวลแทน กลายเป็นว่าเอ๊ะ! เราทำอะไรผิดพลาดไปหรือเปล่า? เราจะสูญเสียความรอดไหม? กลัวว่าสุดท้ายแล้ว ล่วงหลับไป หรือเขาเรียกว่าตายไป ความรอดจะคงอยู่ เหลือเท่าไร? หรือเหลือไหม? พระเยซูจะคายเราทิ้งหรือเปล่า? จะลดลงไปมากน้อยเท่าไร? ยิ่งเชื่อมากเท่าไร? ยิ่งเดินทางกับพระเจ้ามากเท่าไร? ยิ่งกลัวว่าวันหนึ่งที่เราจากโลกนี้ไป กลายเป็นกลัวพระเจ้า กลัวอะไร? เรารู้ เราเป็นอิสระแล้ว อาจจะเป็นอิสระแล้วในความคิด จากความกลัวตาย จากความกลัวการพิพากษาหลังความตาย เราได้รับความรอด เราเชื่อตรงนั้น แต่เรามีความกังวลว่าเราต้องอยู่ต่อหน้าการพิพากษา เหมือนกับคนที่ไม่เชื่อ แต่เราต้องถูกพิพากษาในฐานะผู้เชื่อ นึกให้ดีๆ จะต้องมีการพิพากษาคนที่เป็นคริสเตียนด้วย แล้วเราจะเป็นอย่างไร? เราจะถูกพิพากษาขนาดไหน? เราต้องรักษาขนาดไหน? เรายังทำไม่ถูกต้อง ยังทำไม่ดีงาม หลายเรื่อง หลายอย่างเลย เราจะเหลือความรอดไปเจอพระเจ้าเท่าไร?
บางคนหนักกว่านั้นอีก ไม่กล้าเจอพระเจ้าเลย ตัวสั่น คือคิดตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้แล้วว่าเมื่อล่วงหลับไป ไปเจอพระเจ้า แทนที่จะปิติยินดี ดีใจตามถ้อยคำพระเจ้า แต่กลับกลัวว่าจะเจอพระเยซู พระเยซูจะคายเราทิ้งหรือเปล่า? หรือกำลังจะบอกว่า …
“อ๋อ! มาแล้วหรือ? ไปๆ เข้าสวรรค์ไปเลย ไหนๆ ก็มาแล้ว ไปไกลๆ” มีความรู้สึกอย่างนี้จริงๆ
เหมือนกับอะไรรู้ไหม? ผมนึกถึงภาพ เหมือนเราเริ่มเชื่อในความรอด สมมติเหมือนน้ำในแก้ว นี่คือความรอด ความรอดคืออะไร? คือรอดจากการถูกพิพากษา เราเป็นลูกของพระเจ้า เราเป็นผู้ชอบธรรม เราสะอาดบริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว เราอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า พระบิดา เดี๋ยวนี้และตลอดไป เป็นนิจนิรันดร์ นี่พอสังเขป
น้ำในแก้วนี้คือความรอด ที่เราได้รับมาจากพระเจ้า สมมติว่าน้ำเต็มแก้วเราได้รับมาตอนที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงสัญญาไว้แล้ว เปิดใจต้อนรับปุ๊บ เราได้รับความรอดมาแล้ว เต็มแก้วแล้ว จากนี้ดำเนินชีวิตต่อไป จนกระทั่งถึงวันหนึ่ง เราจากโลกนี้ไป สู่อ้อมกอดพระเจ้า อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ แต่ต้องรักษาน้ำแก้วนี้ไว้ให้ดีๆ นึกภาพนะ? แล้วปรากฏว่าเราถูกสอนให้รับผิดชอบในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ในการดูแลน้ำในแก้วนี้ อย่าให้มันหก หรือพร่องแม้แต่หยดเดียว ไม่ได้ เราก็รับมาวันแรก เริ่มต้นรับเชื่อ เดินไป หกนี่ หกนั่น ระวัง อย่าให้หก เดี๋ยวก็หมดหรอก โกหกบ้าง อิจฉาเขาบ้าง อธิษฐานก็น้อย มาโบสถ์ก็ไม่ค่อยได้มา ศึกษาถ้อยคำพระเจ้าก็ไม่เคยศึกษา หงุดหงิดก็หงุดหงิด อะไรหลายอย่างที่เขาชี้มา ประกาศก็ไม่ประกาศ ไม่เห็นได้เรื่องสักอย่าง ยิ่งดำเนินชีวิตเป็นปีๆ เป็นคริสเตียนหลายๆ ปี ยิ่งหนักใหญ่เลย อันนั้นก็ไม่ดี อันนี้ก็ไม่ดี รู้สึกเราไม่ดีเลย ปรากฏน้ำในแก้ว ความคิดของเรานะ น้ำในแก้วมันลดลงไปเรื่อยๆ แล้วก็คิดในใจว่าถึงวันที่เราล่วงหลับไป สุดท้าย มันจะเหลือน้ำในแก้วสักเท่าไรหนอ? น้ำในแก้ว เล็งถึงความรอด
แต่ในพระคัมภีร์บอกไว้ เมื่อเราได้รับน้ำในแก้วนี้มาแล้ว ใครเป็นผู้รับผิดชอบ เราเป็นผู้รับผิดชอบหรือเปล่า? เราจะมาดูกันในวันนี้แหละ จะได้รู้ว่าน้ำในแก้วที่ได้รับมา ความรอดนี้ เราต้องดูแลรับผิดชอบเอง หรือใครมาดูแลให้เรา หรือศิษยาภิบาลดูแลให้เรา หรือนักอธิษฐานดูแลให้เรา หรือใครดูแลให้เรา ที่เราสามารถไว้ใจได้ หรือเราต้องดูแลด้วยตัวเราเองจริงๆ วันนี้เราจะมาดูความจริง ในเรื่องนี้จากถ้อยคำของพระเจ้า อย่างที่บอก ความจริงจะทำให้เราเป็นไท เป็นอิสระจากความกลัวทั้งปวง ซึ่งเป็นชื่อซีรี่ย์นี้ ผ่านมาแล้ว 2 ตอน …
ตอนที่ 1 อิสระจากความกลัวตาย … เป็นอิสระไปแล้ว
ตอนที่ 2 อิสระจากความกลัวการพิพากษาลงโทษครั้งสุดท้าย หลังความตาย … อันนี้ผ่านไปแล้ว อิสระแล้ว
วันนี้ ตอนที่ 3 อิสระจากความกลัวการสูญเสียความรอด
วันนี้จะเป็นอิสระจากความกลัวการสูญเสียน้ำในแก้ว ที่เราถูกสอนมาตลอดว่าให้เราดูแลให้ดีๆ ดำเนินชีวิตให้ดีๆ อย่าให้น้ำในแก้วนี้หกออกมาเด็ดขาด ซึ่งน้ำนี้มันเต็มแล้ว ไหวไหมที่เราจะรับผิดชอบ ดูสิว่าพระเจ้าเตรียมเราไหม? ให้เราเป็นผู้รับผิดชอบไหม? พระเจ้าให้กำลังกับเรา ให้ความสามารถกับเราในการดูแลรับผิดชอบตรงนี้หรือเปล่า?
ความจริงจากถ้อยคำพระเจ้าเหล่านี้ ที่ผมคัดมาให้ท่าน พิสูจน์ให้ท่านได้เห็นว่าใครรับผิดชอบ ผมว่าน่าจะเพียงพอแล้ว แต่จริงๆ แล้วทั้งเล่มของพระคัมภีร์เลย ได้กล่าวถึงตรงนี้ชัดเจนว่าใครเป็นคนรับผิดชอบ แต่อย่างที่บอก มันเยอะมาก เอามาจำนวนหนึ่งที่คิดว่าสำคัญ ที่เขาว่ามันเจ๋งจริงๆ เป๊ะๆ จริงๆ อ่านแล้ว มันหนีไม่พ้นเลยว่าในนี้ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าใครต้องเป็นคนรับผิดชอบ ดูแลความรอดน้ำในแก้วนี้อย่าให้หกเลยแม้แต่หยดเดียว ท่านคิดว่าใคร? ถ้อยคำพระเจ้าเหล่านี้จะทำให้ท่านเป็นอิสระจากความกลัวการสูญเสียความรอด ที่ท่านได้รับมาเรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่วันที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด หรือเรียกว่าเริ่มต้นต้อนรับพระเยซู เริ่มต้นชีวิตคริสเตียน นาทีแรก วันแรกบนโลกใบนี้ ใครเป็นผู้รับผิดชอบความรอดที่ท่านได้รับมาเรียบร้อยแล้วนั้น ท่านหรือใคร? ยอห์น 10:28-29 แค่ข้อเดียว ท่านก็เห็นแล้วว่าท่านหรือใครเป็นคนรับผิดชอบนี้ …
ยอห์น 10:28-29 “28 เราให้ชีวิตนิรันดร์แก่แกะนั้น แกะนั้นจะไม่ตายเลย ไม่มีผู้ใด ชิงแกะนั้น ไปจากมือของเราได้ 29 พระบิดาของเรา ผู้ประทานแกะนั้นแก่เรา ทรงยิ่งใหญ่ เหนือกว่าสิ่งทั้งปวง ไม่มีผู้ใด แย่งชิงแกะนั้น จากพระหัตถ์พระบิดาของเราได้”
ผมเริ่มต้นด้วยคำพูดของพระเยซูเองเลยนะ พระเยซูพูดเอง ยืนยันด้วยตัวของพระองค์เองเลยว่าชีวิตนิรันดร์ ที่พระองค์ให้กับแกะนั้น แกะนั้น ก็คือผู้เชื่อ ผู้ที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด คือคริสเตียนนั่นเอง ชีวิตนิรันดร์ คือน้ำในแก้ว อย่างที่ผมบอก
“แกะนั้นจะไม่ตายเลย จะไม่มีผู้ใด ชิงแกะนั้นไปจากมือของเราได้” ก็คือไม่มีใครที่จะมาเอาความรอด ออกไปจากมือของพระเจ้าได้ มือของพระเยซู
“พระบิดาของเราผู้ประทานแกะนั้น ให้แก่เรา ทรงยิ่งใหญ่เหนือกว่าสิ่งทั้งปวง” ยิ่งใหญ่มากเลย
“ไม่มีผู้ใดแย่งชิงแกะนั้น จากพระหัตถ์พระบิดาของเราได้” 2 มือเลย มือหนึ่ง คือมือพระเยซูคริสต์ อีกมือหนึ่ง คือมือพระเจ้าพระบิดา ทั้งสองมือนี้กำลังอุ้มชูน้ำในแก้วนั้นตลอดเวลา อย่านะ ไม่มีใครมาทำให้สะเทือน แม้แต่หยดเดียว
ใครรับผิดชอบ? ตอบในใจได้ … พระเจ้า พระเยซู พระบิดารับผิดชอบ ซึ่งพระเจ้า 2 พระภาคนี้สถิตอยู่กับผู้เชื่อ สถิตกับเราทั้งหลาย คริสเตียน ตั้งแต่เปิดใจต้อนรับพระเยซู พระองค์ก็เข้ามาสถิตอยู่ และยังมีพี่เลี้ยง พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็อยู่ด้วย ใครมาแย่งชิงได้
ผู้ที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ได้รับน้ำแก้วนี้มาแล้ว ตั้งแต่ตอนที่ยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ วิญญาณของเขาก็ได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า อยู่ในครอบครัวของพระเจ้า พระคัมภีร์เปรียบเป็นอุปมาให้เราเห็น ก็คือเป็นแกะแห่งทุ่งหญ้าของพระเจ้า เรียบร้อยแล้ว เปิดใจก็เรียบร้อยแล้ว และครอบครัวของพระเจ้า มีพระเยซูเป็นผู้เลี้ยงดู คอยดูแลปกป้อง คุ้มครอง เอาใจใส่จนถึงนิรันดร์ ไม่มีใครที่ไหน สามารถทำอันตรายผู้เชื่อ หรือแกะเหล่านี้ได้เลย เอเมนไหมครับ? ใครพูด พระเจ้าพูด พระเยซูพูดเอง เพราะเมื่อเขาเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เจ้า ทันทีปุ๊บ เขาเป็นแกะในทุ่งหญ้า ในคอกของพระเจ้า คือเขาได้เข้าไปเป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวของสวรรค์เรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้
ท่านเป็นพลเมืองของสวรรค์เรียบร้อยแล้ว เป็นประชากรของพระเจ้าในสวรรคสถานเรียบร้อยแล้วในขณะนี้ เอเมน ท่านกำลังอาศัยอยู่กับพระเจ้าบิดา พระเจ้าพระบุตรพระเยซู พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ เรียบร้อยแล้วในโลกฝ่ายวิญญาณ เดี๋ยวนี้และขณะนี้ กำลังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ และจะอยู่ในสวรรค์อย่างนี้ตลอดไป ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ทั้งสิ้น เอเมน
การเป็นพลเมืองสวรรค์นี้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความประพฤติของท่านเลย แม้แต่นิดเดียว สถานะเป็นลูกของพระเจ้า ที่พูดไว้นี้ การเป็นแกะนี้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการประพฤติของท่านว่าจะเป็นแกะดื้อหรือแกะดี เมื่อท่านเป็นแกะ ท่านก็เป็นแกะ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ก็เป็นลูกเลย มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับความประพฤติของท่าน แต่ถ้อยคำพระเจ้าเมื่อตะกี้นี้ พระเยซูบอก “แต่เพราะพระบิดาของเรา ผู้ประทานแกะนั้นให้แก่เรา ทรงยิ่งใหญ่เหนือกว่าสิ่งทั้งปวง” เอเมน
การเป็นลูกของพระเจ้า ความรอด คือพระพรทั้งปวง ในโลกฝ่ายวิญญาณ ใครรับผิดชอบ พระเจ้าพระบิดาของเรา ผู้ประทานแกะนั้นให้แก่เรา ทรงยิ่งใหญ่เหนือกว่าสิ่งทั้งปวง ทั้งบนโลกนี้และโลกหน้า ทั้งในโลกที่มองเห็นและมองไม่เห็น ไม่ต้องกลัว มาถึงโรม 8:31-34 …
โรม 8:31-34 “31 “ถ้าเช่นนั้น เราจะว่าอย่างไร ถ้าพระเจ้าทรงอยู่ฝ่ายเรา ใครจะขัดขวางเรา 32 พระองค์ผู้มิได้ทรงหวงพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ แต่ได้ทรงโปรดประทานพระบุตรนั้น เพื่อประโยชน์แก่เรา ถ้าเช่นนั้น พระองค์จะไม่ทรงโปรดประทานสิ่งสารพัดให้เราทั้งหลาย ด้วยกันกับพระบุตรนั้นหรือ 33 ใครจะฟ้องคนเหล่านั้น ที่พระเจ้าได้ทรงเลือกไว้ พระเจ้าทรงโปรดให้พ้นโทษแล้ว” 34 “ใครจะกล่าวโทษเขา พระเยซูหรือ! เป็นไปไม่ได้ เพราะพระเยซูคริสต์เป็นผู้ที่ตายและฟื้นขึ้นมาใหม่ และตอนนี้ พระองค์ก็นั่งอยู่ทางขวามือของพระเจ้า อธิษฐานวิงวอนต่อพระเจ้า (เป็นทนายแก้ต่าง ) แทนเรา”
“ถ้าเป็นอย่างนั้น” ก็คือถ้าเราได้รับความรอดแล้ว พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่กับเราแล้ว เราเป็นลูกของพระองค์แล้ว พระเจ้าทรงอยู่ฝ่ายเรา
“พระเจ้าทรงอยู่ฝ่ายฉัน คืออยู่ข้างฉัน เป็นพวกเดียวกับฉัน ไม่ใช่คอยเอาไม้มาตีฉัน มาชี้ฉัน เอาสิ่งไม่ดีมาให้กับฉัน ไม่ใช่ อยู่ข้างฉัน โลกนี้ต่างหากที่อยู่ตรงข้ามกับฉัน ระบบของโลกนี้ต่างหาก ที่ต่อต้านกับฉัน”
พอนึกภาพออกใช่ไหม? แต่โลกนี้มันหลอกลวงเรา ให้เราแทนที่จะมีโลกนี้ต่อต้านเรา เรายังแถมไปมีพระเจ้าต่อต้านเราอีก ไปไหนก็กลัว 2 ต่อเลย กลัวทั้งโลกใบนี้ กลัวทั้งพระเจ้าตีหรือเปล่า? พระเจ้าไม่ตี สาปแช่งไหม? โดนทั้งสาปแช่ง โดนทั้งพระเจ้าตี มันจะไปอยู่มีความสุขได้อย่างไร? มันจะมีสันติสุขได้อย่างไร?
“ถ้าทำอย่างนี้พระเจ้าตีสอนนะ”
อ้าว! ไปหา มองดูพระเจ้าตีอีก เกิดอะไรไม่ดีขึ้นมา แทนที่พระเจ้าอยู่ข้างเรา พระเจ้าช่วยเราอยู่
“ไม่รู้ล่ะ พระเจ้าอยู่ข้างฉัน ไม่ใช่พระเจ้าเป็นผู้กระทำฉัน เกิดสิ่งที่ไม่ดีเหล่านี้”
แทนที่จะเป็นอย่างนี้ กลับกลายเป็น … “ฉันทำอะไรไม่ดีแน่ๆ ฉันสมควรได้รับ พระเจ้าตีฉันอยู่ โลกก็ต่อต้านฉัน แล้วฉันจะไปมีความสุขได้อย่างไร?”
ในนี้เลยอธิบายบอกว่า … “ผู้ที่ไม่ได้ทรงหวงพระบุตรของพระองค์” พูดให้เราเข้าใจว่าพระเจ้าอยู่ฝ่ายเราถึงขนาดไหน? ถึงขนาดยอมให้บุตรองค์เดียว ในนี้ความหมายแท้จริง พระองค์ไม่หวง คือยอมให้พระเยซูคริสต์เป็นบุตรของพระองค์เพียงผู้เดียว พูดง่ายๆ ยอมสละบุตรคนนี้ ให้มาตายแทนพวกท่าน อย่างนี้พิสูจน์ได้ไหมว่าอยู่ข้างท่าน มันหมายถึงอย่างนั้น
ถ้าเช่นนั้น พระองค์จะไม่ทรงโปรดประทานสิ่งสารพัดให้เราทั้งหลาย ด้วยกันกับพระบุตรนั้นหรือ? ก็คือขนาดพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ ยังยอมให้ท่าน มาตายอย่างทุกข์ทรมานบนไม้กางเขน เพื่อท่าน แสดงถึงความรักอันยิ่งใหญ่ของพระองค์แล้ว พระองค์ไม่หวงสิ่งสารพัด
“สิ่งสารพัด” คือน้ำในแก้วนั้น คือความรอดนั้น ฐานะเป็นบุตร ความบริสุทธิ์ สะอาด ความเป็นผู้ชอบธรรม การอยู่ในสวรรคสถาน การเป็นลูกของพระองค์นั่นแหละ สิ่งสารพัดเหล่านั้น พระองค์จะไม่เต็มใจให้กับท่านหรือ? หมายถึงอย่างนั้น
ข้อ 33 บอกว่า “ใครจะฟ้องคนเหล่านั้น ที่พระเจ้าได้ทรงเลือกไว้ พระเจ้าทรงโปรดให้พ้นโทษแล้ว”
พระเจ้าทรงโปรดให้หมดบาป หมดเวรกรรม เป็นลูกของพระองค์แล้ว ไม่มีทางเป็นอื่นไปได้ ใครจะมากล่าวโทษท่าน โลกนี้จะชี้หน้า กล่าวโทษท่านว่าท่านเป็นเป็นคนบาป เป็นคนชั่ว ไม่ดีอย่างนั้น ไม่ดีอย่างนี้ ท่านไม่พร้อมอย่างนั้น ท่านไม่พร้อมอย่างนี้หรือ! นี่หมายถึงอย่างนั้น
ใครจะกล่าวโทษเขา ดูสิ ใครรับผิดชอบ พระเยซูหรือ? ก็คือหมายถึงพระเจ้าหรือ? ถ้าท่านทำอะไรผิดพลาดไป บนโลกใบนี้ พระเจ้าจะมากล่าวโทษท่านหรือว่าท่านทำชั่ว ท่านสมควรจะได้รับสิ่งชั่วร้าย ฉันจะตีเธอ ฉันจะลงโทษเธอ ฉันจะเป็นผู้สอนเธอ ด้วยการตีสอน อย่างนั้นหรือ? ในนี้บอกพระเยซูคริสต์หรือ? เป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้น มาบอกพระเจ้าตีสอน บอกไปเลยว่ามันเป็นไปไม่ได้ เพราะพระคัมภีร์ได้บอกชัดเจน มันเป็นไปไม่ได้ เพราะพระเยซูคริสต์ เป็นผู้ที่ตาย แล้วเป็นขึ้นมาใหม่ เพื่อท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายตาย แล้วเป็นขึ้นมาใหม่เช่นเดียวกัน ท่านทั้งหลายเป็นส่วนหนึ่ง เป็นอวัยวะชิ้นหนึ่ง ต่อติดกับร่างกายของพระเยซูคริสต์แล้วขณะนี้ พระองค์จะมาตีตัวเอง เพื่ออะไร? พระองค์มีแต่ทนุถนอม คอยรักษาเยียวยาให้ ถ้ามันสกปรก พระองค์ไปอาบน้ำให้ ท่านเกิดมือสกปรก ท่านตัดมือทิ้งไปไหม? มันหมายถึงอย่างนั้น เราทั้งหลายก็เป็นอวัยวะชิ้นหนึ่งของพระเยซูคริสต์ สมมติเราเป็นมือ มือเราทำสกปรก ตัดมือทิ้งเลย ไม่ใช่
และตอนนี้ ขณะนี้ ที่กำลังพูดอยู่นี้ ตอนที่เรากำลังอยู่บนโลกใบนี้ คริสเตียนที่อยู่บนโลกใบนี้ ฟังให้ดีๆ ขณะนี้ พระเยซูก็นั่งอยู่ที่ขวามือของพระเจ้าในสวรรคสถาน กำลังอธิษฐานวิงวอนต่อพระเจ้า แทนเรา ไม่ว่าท่านจะขัดสน ขาดแคลน หรือถูกล่อลวงให้ทำอะไรผิด อะไรต่างๆ พระเยซูแทนที่พระองค์จะบอกว่าพระองค์ตีสอนท่าน พระองค์กำลังเป็นห่วงท่าน กำลังอธิษฐานให้ท่าน ท่านรู้ไหม? ไม่รู้ ในพระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น
และคำว่า “อธิษฐาน” ตรงนี้ ภาษาเดิมแปลว่า “วิงวอน เป็นทนายแก้ต่าง” ท่านทำอะไรผิดบาปไป ไม่ดีไป เผลอไปทำอะไรต่างๆ ถูกล่อลวงด้วยระบบของโลกนี้ ทำอะไรผิดพลาดไป โลกนี้ มารชี้ว่าท่านชั่วแล้ว ท่านต้องได้รับโทษ พระเยซูบอกไม่? พระบิดาบอกไม่ใช่เลย เขาเป็นแกะของลูกแล้ว โลหิตของลูกที่หลั่งที่ไม้กางเขน ตอนสิ้นพระชนม์นั้น เป็นพยานยืนยันว่าเขาเป็นชนชาติของพระองค์ ไม่มีบาปอะไรเลย ไม่เกี่ยวกับเขา เขาได้รับการอภัยมาเรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่ตอนที่ลูกสิ้นพระชนม์ ลูกตายที่ไม้กางเขนและหลั่งพระโลหิต ครั้งเดียวเป็นพอ เขาได้รับการยกเว้น เขาได้รับการชำระล้าง เขาได้รับการอภัยโทษ ในความบาปผิดทั้งหมด ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคตเรียบร้อยแล้ว พระเจ้าเป็นผู้พิพากษาของมหาจักรวาล เราต่างตอบว่า “เอเมน”
แต่เราถูกหลอก ไม่ได้หรอก ทำบาป ต้องสารภาพบาป พระเจ้าลูกบาปไปแล้ว บาป ขออภัยจากพระเจ้า ขออภัยอะไร ก็อภัยไปแล้ว อย่างนี้ ก็ไม่เกิดวิตกกังวล และไม่กลัว ไม่รุกรี่รุกรน
สรุปแล้ว ใครดูแลรับผิดชอบความรอดของเรา? พระเยซูอยู่ที่ขวามือของพระเจ้า ในสวรรค์ขณะนี้ กำลังอธิษฐานให้เรา กำลังเป็นตัวแทนให้เรา กำลังเป็นทนายให้กับเรา ทนายเราใหญ่ขนาดไหน? เรามีทนายประจำตัวของเราในโลกฝ่ายวิญญาณ คือพระเยซูคริสต์ ผู้เป็นผู้ชอบธรรม ทำทุกอย่างตามกฎระเบียบเป๊ะๆ พระโลหิตของพระองค์ยังคงฤทธิ์อำนาจอยู่ในทุกวันนี้ เป็นพยานยืนยันความชอบธรรมของเราทั้งหลาย ผู้เชื่อในพระองค์ มาดูเอเฟซัส 1:13-14 ยิ่งชัดใหญ่เลย อันนี้ว่าใครรับผิดชอบหนอ …
เอเฟซัส 1:13-14 “13 และท่านทั้งหลายก็ได้ร่วมอยู่ในพระคริสต์เช่นกัน เมื่อท่านได้ฟังพระวจนะแห่งความจริง คือข่าวประเสริฐแห่งความรอดของท่าน เมื่อท่านเชื่อ ก็ทรงประทับตราท่านไว้ในพระองค์ด้วยดวงตรา คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทรงสัญญาไว้ 14 ผู้เป็นมัดจำ ค้ำประกันว่าเราจะได้รับกรรมสิทธิ์ของเรา จนกว่าคนของพระเจ้าจะได้รับการไถ่ อันเป็นการสรรเสริญพระเกียรติสิริของพระองค์”
“ท่านทั้งหลาย” ก็คือผู้เชื่อทั้งหลาย ก็ได้เข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ด้วยเช่นกัน เมื่อท่านได้ฟังพระวจนะความจริง ได้รับการประกาศข่าวประเสริฐบนโลกใบนี้แล้ว ท่านเปิดใจต้อนรับข่าวประเสริฐนั้น ท่านเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า คือข่าวประเสริฐแห่งความรอดของท่าน เมื่อท่านเชื่อ ท่านได้รับความรอดแล้วนะ พอท่านได้รับความรอด ก็ทรงประทับตราท่านด้วยดวงตราบริสุทธิ์
“ประทับตรา” หมายถึงผนึก ความรอดที่ท่านได้รับไป ถูกผนึกด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้าผนึก ความรอดเหมือนตู้คอนเทนเนอร์ แล้วมัดด้วยห่อพัสดุอะไรต่างๆ หนาแน่นปึ๊กเลย ท่านอยู่ข้างในนั้น หรือถ้าพูดถึงน้ำที่อยู่ในแก้ว เมื่อตะกี้ จะหกหรือไม่หก ท่านลองคิดดู น้ำในแก้วนี้ พระวิญญาณบริสุทธิ์ปกคลุมอยู่ตลอด ทั้งแก้ว แล้วมันจะหยดออกมาสักหยดหนึ่งไหม? ไม่ใช่ท่านต้องเป็นคนไปประคองมัน ท่านไปไม่รอดหรอก ท่านถูกหลอกลวงโดยมารว่าท่านจะต้องประคองมัน ไม่ใช่ ท่านไม่ต้องประคอง ท่านอยู่เฉยๆ ท่านจะดิ้นไปดิ้นมา ก็ได้ แต่มันจะไม่มีวันหก เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์ปิดอยู่ เอเมน อย่างไรก็ไม่หก ต่อให้ท่านไม่มาโบสถ์เลย ก็ไม่หก ตราบใด ถ้าท่านได้รับน้ำในแก้วนี้ไปแล้ว ไม่มีวันหกเด็ดขาด นี่คือถ้อยคำแห่งความจริงที่ทำให้เราเป็นอิสระ
ข้อ 14 บอกว่าสิ่งเหล่านี้ พระวิญญาณบริสุทธิ์ทำเพื่ออะไร? ผู้เป็นมัดจำ ค้ำประกัน พระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นผู้ค้ำประกัน คือไม่มีวันหกแน่นอน ไม่มีวันหยด แม้แต่หยดเดียวเลย เราเองไม่มีทางที่จะทำได้หรอก เดินนิดหนึ่งก็หยดแล้ว รับเชื่อมา วันรุ่งขึ้น เราก็เริ่มคิดแล้ว พระเจ้ามีจริงไหมเนี้ย เริ่มต้นมาอีกวัน เราก็โกหกแล้ว แล้วมารมันก็บอก โกหก น้ำหกอีกแล้ว คริสเตียนเขาไม่โกหกแล้วนะ ฉันแย่จริงๆ อ้าว! ไปยอมรับ มันไม่ใช่ความจริง มันเป็นสิ่งที่โกหกเรา หลอกลวงเรา
ผู้เป็นมัดจำ ค้ำประกันว่าน้ำไม่หก แม้แต่หยดเดียว ผู้เป็นมัดจำ ค้ำประกันว่าเราจะได้รับกรรมสิทธิ์ของเรา จนกว่าคนของพระเจ้า คือเราทั้งหลายจะได้รับการไถ่ อันเป็นการสรรเสริญ พระเกียรติสิริของพระองค์ หมายถึงว่าน้ำในแก้วจะไม่มีวันหกออกไปเลย เราจะได้รับสิทธิ์ของเรา จนกว่าจะถึงวันที่พระเยซูคริสต์กลับมาอีกทีหนึ่ง จบแล้ว พูดง่ายๆ ก็คือยังไงๆ หลังจากเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว จนถึงวันที่จากโลกนี้ไป อยู่ในสวรรคสถาน น้ำในแก้วไม่มีวันหกเลย ท่านยังคงเป็นลูกที่มีกรรมสิทธิ์ครบถ้วนบริบูรณ์ ในฐานะเป็นลูกของพระเจ้า อย่างครบถ้วน ไม่มีหยดออกไป แม้แต่นิดเดียวเลย ไม่มีเสียสิทธิ์ไป แม้แต่นิดเดียวเลย เอเมน
ถามว่าตอนนี้ใครรับผิดชอบ? พระเจ้า เห็นไหม? ท่านตอบได้เองเลย ใครรับผิดชอบ ท่านเองหรือ? เปล่าเลย พระวิญญาณบริสุทธิ์รับผิดชอบ พระเจ้าทรงประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์รับผิดชอบ ปิดแก้วนี้แล้ว ความรอดเข้ามาปุ๊บ ปิด ท่านจะดิ้นอย่างไร? มันก็อยู่ตรงนั้นแหละ ฮีบรู 6:18-20 …
ฮีบรู 6:18-20 “18 ดังนั้น พระเจ้าได้ประทานให้เราทั้งจากคำสัญญาและคำสาบาน ที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง เพราะเป็นไปไม่ได้ที่พระเจ้าจะพูดโกหก ด้วยเหตุนี้ พวกเราที่ได้หนีมาพึ่งในพระองค์จึงมีกำลัง และมีกำลังใจอย่างเข้มแข็งที่จะยึดมั่นในความหวังที่อยู่เบื้องหน้าเรา 19 ความหวังและความมั่นใจของเรานี้ เป็นเหมือนสมอเรือที่มั่นคงและติดแน่นในความคิดจิตใจและความหวังนี้ ได้นำพาเราเข้าไปสู่หลังม่านสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในสวรรค์ คืออภิสุทธิสถาน ซึ่งเป็นสถานที่ทรงสถิตของพระเจ้า” 20 ที่ซึ่งพระเยซูผู้ได้เสด็จนำหน้าเราทรงเข้าไปก่อนแล้วเพื่อเรา พระองค์จึงได้เป็นมหาปุโรหิตชั่วนิรันดร์ ตามแบบของเมลคีเซเดค”
“พระเจ้าได้ประทานให้เรา” ทั้งจากคำสัญญาและคำสาบาน ที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงเลย เพราะเป็นไปไม่ได้ที่พระเจ้าจะพูดโกหก พระเจ้าไม่พูดโกหกไม่พอ แต่ให้คำสัญญากับเราว่าเมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว พระองค์ทรงเตรียมขบวนการการบังเกิดใหม่ ได้รับความรอดครบถ้วนบริบูรณ์นี้ให้เรียบร้อยแล้ว นี่คือคำสัญญา แค่นั้นไม่พอ พระองค์บอกว่า …
“ฉันสาบานด้วย ในนามของพระเจ้า” ท่านเข้าใจไหมครับ?
มนุษย์เวลาพูดกับใครแล้ว คนเขาไม่เชื่อเรา เราก็บอกว่าในนามของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มาตั้งแต่โบราณแล้วนะ ตั้งแต่สมัยอิสราเอล รุ่นดึกดำบรรพ์ หลายพันปีก่อน เขาก็จะอย่างนี้ เราพูดจริงๆ นะ ไม่เชื่อเราหรือ? เราสาบานในนามของพระเจ้า ถ้าเขารู้จักพระเจ้านะ ถ้าเขาไม่รู้จักพระเจ้า เขาก็จะบอกเราสาบานต่อหน้าภูเขาไฟนี้ เราสาบานต่อหน้าดวงดาว เราสาบานต่อหน้าดวงอาทิตย์ ถ้าคนที่รู้จักพระเยซูคริสต์ ก็บอกว่าเราสาบานต่อหน้าพระเยโฮวาห์ ว่าเราพูดจริง เราไม่ได้ฆ่าเขาตาย
นี่พระเจ้ารู้ พระเจ้าบอกให้คำสัญญานี้ เรียบร้อยแล้วว่าพระเยซูจะมาทำอะไร? แล้วพระองค์ก็บอกว่าทั้งหมดนี้ เป็นจริง ไม่เชื่อเราหรือ? เราพูดทั้งหมดนี้ เราให้คำสัญญาเหล่านี้ ในพระเยซูคริสต์นี้ เราสาบานในนามของเราเอง เพื่อมนุษย์จะได้รู้ว่ามันต้องเชื่อ นี่ขนาดพระเจ้าให้คำสัญญา และสาบาน ยืนยันว่าพระองค์ทรงกระทำอย่างนั้นจริงๆ
ด้วยเหตุนี้ ด้วยคำสัญญาและสาบานนี้ พวกเรา ก็คือพวกเราที่เชื่อแล้ว ได้หนีมาพึ่งพระองค์ จึงมีกำลังและมีกำลังใจอย่างเข้มแข็งที่จะยึดมั่นในความหวังที่อยู่เบื้องหน้าเรา พระเจ้าสาบานสัญญาว่า พอเราได้รับแล้ว ไม่ต้องกลัว สาบาน สัญญาว่าพระองค์จะเป็นผู้ดูแลเอง
ความหวังและความมั่นใจของเรานี้ เป็นเหมือนสมอเรือที่มั่นคง และติดแน่นในความคิด จิตใจและความหวังนี้ ก็คือคำสาบาน คำสัญญาเหล่านี้ ควรจะเป็นสมอเรือ คือหลักยึดในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ว่าพระเจ้าสัญญาและสาบานแล้ว ความรอดนี้จะไม่มีหยด หกออกไปแม้แต่นิดเดียวเลย พระองค์ทรงดูแลให้จริงๆ คือมั่นใจในความหวังนี้ ที่เราได้รับมาเรียบร้อยแล้ว คือการเข้าไปสู่หลังม่าน สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด คือในสวรรคสถาน ตรงนี้เล็งถึงในสวรรค์ คือให้มีความมั่นใจว่าเราอยู่ในสวรรค์แล้ว หลังจากเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ความรอดนี้อยู่ในเรา และจะไม่มีหกออกไปเลย สวรรค์นี้อยู่ในเราแล้ว เราอยู่ในสวรรค์แล้ว จะไม่มีวันออกจากสวรรค์นี้ไปได้เลย ให้เราหยั่งรากลึกตรงนี้ และถ้าเผื่อเราหยั่งรากลึก ในหลักการของความเป็นจริงในถ้อยคำนี้ คือสมอของความคิดจิตใจนี้ ลงไปในความหวังอันแท้จริง ที่พระเจ้าสัญญาและสาบานด้วยตัวพระองค์เอง ก็คือการอยู่ในสวรรคสถานกับพระองค์แล้วเดี๋ยวนี้ การได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระองค์แล้วเดี๋ยวนี้ การได้อยู่ที่เบื้องขวาของพระองค์ในสวรรคสถานเรียบร้อยแล้วเดี๋ยวนี้ และจะอยู่ที่นี่ตลอดไปเป็นนิตย์ พระเจ้าสถิตอยู่ในเรา และจะอยู่ตลอดไปเช่นเดียวกัน พระองค์ไม่เคยทอดทิ้งเราเลย นี่คือคำสัญญาและสาบานจากพระเจ้า
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ความคิดจิตใจของเรา ก็จะมั่นคง ไม่หวั่นไหว ไม่โครงเครง แม้ว่าจะต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากนานัปการ ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ก็ตาม เรามีหน้าที่แค่เชื่อเท่านั้น เชื่อและวางใจ มั่นใจในคำพูดของพ่อของเรา คือพระเจ้า บอกว่า …
“ฉันสัญญาว่าน้ำในแก้วนั้น เป็นอย่างนั้น ความรอดนั้น เป็นอย่างนี้ เป็นลูกแล้วเป็นเลย และสาบานด้วยตัวเราเอง ด้วยพระองค์เอง”
ฮีบรู 7:25 “เหตุฉะนั้น พระองค์จึงสามารถช่วยปกป้องรักษาบรรดาผู้ที่มาหาพระเจ้า ผ่านทางความเชื่อ และไว้วางใจในพระองค์ ได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ที่สุด และตลอดไปชั่วนิรันดร์ เพราะพระองค์ทรงพระชนม์อยู่ชั่วนิรันดร์ และพระองค์กำลังอธิษฐาน วิงวอน (เป็นเหมือนทนายแก้ต่าง) ต่อพระเจ้า ให้เขาทั้งหลายอยู่”
“เหตุฉะนั้น พระองค์เองจึงสามารถช่วยปกป้องรักษาบรรดาผู้ที่มาหาพระเจ้า ผ่านทางความเชื่อ และไว้วางใจในพระองค์ ได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ที่สุด”
พระองค์เอง คือเจ้าของคอก ผู้เลี้ยงแกะ ก็คือพระเยซูคริสต์ … พระเยซูคริสต์จึงสามารถช่วยปกป้อง รักษาบรรดาผู้ที่มาหาพระองค์ ก็คือผู้ที่เชื่อในพระองค์ แกะของพระองค์นั่นเอง ก็คือเราทั้งหลาย ชัดไหมว่าใครดูแลเรา พระองค์เอง คือพระเยซูคริสต์เอง เป็นผู้ดูแลเรา ดีที่สุด และสมบูรณ์ที่สุด และตลอดไปชั่วนิรันดร์ ดูแลและปกป้องเรา เพราะอะไร? …
“เพราะพระองค์ทรงอยู่ เราเผชิญพรุ่งนี้ได้”
เพราะพระองค์ทรงพระชนม์อยู่ชั่วนิรันดร์ คำว่า “พระองค์ทรงอยู่ชั่วนิรันดร์นี้” มิได้หมายถึงเฉพาะแค่พระองค์ทรงอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรคสถาน ขณะนี้ เท่านั้น แต่หมายถึงพระองค์ทรงอยู่ในเราทั้งหลาย ในร่างกายของเรา ที่เรากำลังเดินอยู่บนโลกใบนี้ เรากำลังประสบปัญหาอยู่บนโลกใบนี้ เดินอยู่กับเราด้วย ตลอดเวลา คอยปกป้องดูแลน้ำในแก้ว ไม่ให้มันหกเลยแม้แต่นิดเดียว พระองค์ทำได้ไหม? ทำได้ จนถึงนิรันดร์ พระองค์ทรงพระชนม์อยู่ชั่วนิรันดร์ และทุกวันนี้พระองค์กำลังอธิษฐาน เป็นทนายแก้ต่างให้เรา เราเดือดร้อนอะไร พระองค์ทรงอธิษฐาน เราอธิษฐานไม่ได้ พระองค์อธิษฐานให้เรา ไม่มีใครอธิษฐานให้เรา พระองค์อธิษฐานให้เรา ไม่มีใครรู้เรื่องอะไรเกิดขึ้นกับเรา แต่พระองค์ทรงอยู่กับเรา รู้เรื่องหมด ไม่มีอะไรปิดบังสำหรับพระองค์ พระองค์ทรงทราบหมด พระองค์อธิษฐานให้เรา และพระองค์อธิษฐานชนิดที่เป็นแบบอยู่ข้างเรา ไม่ใช่อธิษฐานตำหนิเรา อธิษฐานสาปแช่งเรา ไม่ใช่ อธิษฐานอยู่ข้างเรา เป็นห่วงเรา รักเรามากเลย ตายเพื่อเราก็ได้ อะไรก็ให้กับเราได้เลย อยู่ข้างเราตลอดเลย เมื่อเราเจ็บปวดอะไรต่างๆ ก็เท่ากับเราล้มลง พระองค์ทรงวิ่งไป นึกภาพ เหมือนเราเลี้ยงลูก เลี้ยงหลาน ไม่เชื่อฟัง ล้มลง เข่าแตก พระองค์ทรงวิ่งไป ไม่ใช่วิ่งไปเอาไม้ไปตี ไม่ใช่วิ่งไปเอานิ้วไปชี้ ด่าว่า แต่วิ่งไปเอาผ้าไปพันแผล เอายาไปใส่บาดแผลให้เรา
สรุปแล้ว ใครรับผิดชอบ ชีวิตของเรา พระเยซูคริสต์รับผิดชอบ ชีวิตของเราในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ จนกระทั่งไปถึงนิรันดร์เลย
“เพราะพระองค์ทรงอยู่ เราเผชิญพรุ่งนี้ได้”
อนาคต คือวันพรุ่งนี้ ใครรับผิดชอบ ผู้ที่กำอนาคตของเราอยู่ คือเกิดอะไรขึ้นในวันพรุ่งนี้ อยู่ในมือของใคร? ภาษาอังกฤษใช้คำดี ในเพลงนี้
“Because He lives, I can face tomorrow;”
ใช่ I can face tomorrow ฉันสามารถเผชิญพรุ่งนี้ได้
“Because He lives all fear is gone
เพราะพระองค์ทรงอยู่ ความกลัวสิ้นไป
Because I know, I know He holds the future,
พระองค์ทรงถือ รับผิดชอบ อนาคตของฉัน”
อีกสักครู่เดินออกไป ใช่อนาคตไหม? อีก 1 นาทีต่อไป อนาคตไหม? ใช่หมด เพราะฉะนั้น ใครดูแลรับผิดชอบ เพราะพระองค์ทรงอยู่ และพระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าเพราะพระองค์ทรงอยู่ พระเยซูคริสต์ทรงอยู่วานนี้ วันนี้ และสืบๆ ไปเป็นนิจ อาเมน
วานนี้ หมายถึงอะไร? ไม่ใช่หมายถึงเมื่อวานนี้นะ วานนี้ หมายถึงพระองค์ทรงอยู่ตั้งแต่ก่อนที่จะมีโลกนี้ ก่อนที่จะสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็น ก่อนที่จะมีเราทั้งหลาย ก่อนที่จะมีทูตสวรรค์ทั้งหลาย ก่อนที่จะมีโลกใบนี้ ก่อนจะมีดวงดาวทั้งหมด พระองค์ทรงเป็นอยู่แล้ว เอเมน แล้วพระองค์ทรงตรัสอย่างนี้ว่าอนาคตของเรา พรุ่งนี้ของเราอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ พระองค์ทรงนำเราไป ไปไหนก็ไปเถอะ เราไปด้วย โอเคไหม? เอเมน
1 เปโตร 1:3-5 “3 สรรเสริญพระเจ้า พระบิดาขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา ด้วยพระเมตตายิ่งใหญ่ พระองค์ได้ทรงให้เราทั้งหลายบังเกิดใหม่ เข้าในความหวังอันยืนยง โดยการได้เป็นขึ้นจากตายของพระเยซูคริสต์ 4 และ (ได้เป็นทายาท) เข้าในมรดก อันไม่มีวันเสื่อมสลาย เน่าเสีย หรือเลือนหายไป ซึ่งได้ทรงเตรียมไว้ในสวรรค์แล้ว เพื่อพวกท่าน 5 โดยความเชื่อ (ในพระเยซู) พระเจ้าได้กำลังปกป้องพวกท่านไว้ ด้วยฤทธานุภาพของพระองค์ จนถึงความรอดอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ซึ่งพร้อมแล้วที่จะปรากฏในวาระสุดท้าย”
ข้อ 3 “สรรเสริญพระเจ้า พระบิดาขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา ด้วยพระเมตตายิ่งใหญ่ พระองค์ได้ทรงให้เราทั้งหลายบังเกิดใหม่ เข้าในความหวังอันยืนยง โดยการได้เป็นขึ้นจากตายของพระเยซูคริสต์”
พูดง่ายๆ คือพระองค์ได้ทรงให้เราได้บังเกิดใหม่ร่วมกับพระเยซูคริสต์ … พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์ เราตายด้วย เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซู เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ พระองค์ได้เป็นขึ้นจากความตาย เราได้เป็นขึ้นจากความตายด้วย สิ่งเหล่านี้ เป็นแผนการของพระองค์ที่วางไว้เรียบร้อยแล้ว สำหรับเรา มนุษย์ทุกคน
และเมื่อเราบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระองค์ ข้อ 4 บอกว่า “และได้เป็นทายาท เข้าในมรดก”
เข้าในมรดกได้ ก็ต้องเป็นทายาท พระคัมภีร์บอกเราเป็นทายาท เข้าในมรดกนี้ ก็คือความรอดในแก้วน้ำ ก็คือน้ำในแก้ว คือมรดก เราเป็นทายาท เราเป็นลูกของพระองค์ ที่สะอาดบริสุทธิ์แล้ว เรียนมาแล้วนะว่าปิดผนึกด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ไม่มีวันหยดออกไปเลย เพราะฉะนั้น มรดกที่เราได้รับ คือการเป็นทายาทนี้ ไม่มีวัน ที่จะสูญเสียไป แม้แต่หยดเดียวเลย
สมมติว่ามรดก มีบ้านหลังนี้ทั้งหลัง และทุกอย่างในบ้านด้วย เพราะฉะนั้น ตุ่มหน้าบ้าน ก็เป็นของเรา ไม่มีใครมาเอาตุ่มนี้ไปได้ ไม่มีการกระเด็นออกไปจากการที่เราเป็นเจ้าของ
ในนี้บอกว่า “และได้เป็นทายาท เข้าในมรดก คือร่วมมรดกกับพระเยซู อันไม่มีวันเสื่อมสลาย เน่าเสีย หรือเลือนหายไป ซึ่งได้ทรงเตรียมไว้ในสวรรคสถานแล้ว เพื่อพวกท่านทั้งหลาย”
สิ่งเหล่านี้ คือพระพรทางฝ่ายวิญญาณ ที่พระองค์ทรงเตรียมไว้ให้ อย่างเช่น เป็นลูกของพระเจ้า เป็นผู้บริสุทธิ์ สะอาด ดีพร้อม เหล่านี้ และยังมีหลังจากความตาย ยังเตรียมอะไรไว้อีกหลายอย่าง ให้กับเรา
การเตรียมสิ่งเหล่านี้ให้กับเราเรียบร้อยแล้ว เหมือนน้ำในแก้ว ในนี้บอกว่าไม่มีวันเสื่อมสลาย เน่าเสีย เลือนหายไป ถ้าผมยกตัวอย่างเมื่อตะกี้นี้ ก็คือน้ำในแก้ว ไม่มีวันเสื่อม เป็นน้ำเสีย ไม่มีวันหยดหายไป แม้แต่หยดเดียว เอเมน ใครเป็นคนรับผิดชอบครับ? พระเยซู … พระเยซูรับผิดชอบ มันไม่เสื่อม รับรองได้
ข้อ 5 อันนี้ก็ให้เห็นชัดเลยว่าใครเป็นคนรับผิดชอบ “โดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ ที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ตอนที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้แล้ว โดยความเชื่อในพระเยซู พระเจ้าได้กำลังปกป้องพวกท่านไว้ ด้วยฤทธานุภาพของพระองค์ ปกป้องไว้ถึงเมื่อไร? จนถึงความรอดอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ซึ่งพร้อมแล้วที่จะปรากฏในวาระสุดท้าย”
ซึ่งพระองค์ทรงทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว เมื่อตอนที่พระเยซูทรงเป็นขึ้นจากความตาย ทุกอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ก็คือตั้งแต่เดี๋ยวนี้ จนจากร่างนี้ไป ได้รับร่างกายใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ได้ครอบครองร่วมกับพระเยซูคริสต์ในสวรรคสถานนิรันดร์กาล ครอบครองโลกใหม่ และสรรพสิ่งใหม่ ที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นใหม่ทั้งหมดนั้น เสร็จหมดเรียบร้อยแล้ว แล้วใครดูแล รับผิดชอบ ให้มันเป็นไปตามนี้ เมื่อท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เปิดใจด้วยความเชื่อแล้ว ก็คือตัวพระองค์เอง ซึ่งทรงฤทธานุภาพอำนาจยิ่งใหญ่
ท่านสังเกตดูประโยคแรก “โดยความเชื่อในพระเยซู” อันนี้ใครรับผิดชอบ? เฉพาะคำนี้ “โดยความเชื่อในพระเยซู” ใครเป็นคนทำ? เราเป็นคนทำ เราเปิดใจต้อนรับพระเยซู เรารับผิดชอบตรงนี้ แล้วเราทำไปหรือยัง? ทำไปแล้ว ก็จบแล้วสิ เราไม่ควรจะรับผิดชอบอะไรอีกแล้ว
อ้าว! ดูสิ เราทำไปแล้ว แล้วพระเยซู พระเจ้ารับผิดชอบอะไร? … “โดยความเชื่อในพระเยซู พระเจ้าได้กำลังปกป้องพวกท่านไว้” โดยความเชื่อในพระเยซู เราได้รับความรอด เรารับผิดชอบ ทำสิ่งเดียว คือเชื่อและได้รับ จบ สำหรับพระเจ้าทำอะไร? พอจบปุ๊บ พระเจ้ารับต่อ ดูแลความรอดนั้น ให้กับเรา ปกป้องไว้ ชัดเจน พระคัมภีร์บอกว่าเมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว ชีวิตของเรา ทันทีทันใด ถูกซ่อนอยู่ในพระคริสต์ วิญญาณของเราถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ เรารับผิดชอบเพียงสิ่งเดียว ก็คือตัดสินใจ เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด แค่นั้นพอแล้ว พอเราตัดสินใจปุ๊บ ทันทีทันใด ในโลกฝ่ายวิญญาณ วิญญาณเราได้ถูกย้ายเข้าไปอยู่กับพระคริสต์ และพระคริสต์กับเรา เข้าไปอยู่ในพระเจ้าพระบิดา แล้วพระเจ้าพระบิดาได้มอบพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้เป็นพี่เลี้ยงอยู่กับเราตลอด 24 ชั่วโมงเราไปไหนมาไหน? เราก็อยู่ในพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเยซู พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราไปไหนมาไหนบนโลกใบนี้ ทางฝ่ายวิญญาณ เรามี 3 พระภาคนี้ไปกับเราด้วย วิญญาณเราประกอบไปด้วย วิญญาณของพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเยซู พระเจ้าพระวิญญาณ และวิญญาณของเราเอง ไปไหนด้วยกันตลอดเวลา เอเมนไหม?
เพราะฉะนั้น เราจึงเห็นชัดเจนว่าพระเจ้าทั้ง 3 พระภาคอยู่ในเรา และในพระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าเป็นใหญ่กว่าเขาทั้งหลายที่อยู่ในโลก
“ผู้ซึ่งอยู่ในเรา เป็นใหญ่กว่าผู้นั้น ที่อยู่ในโลก
ผู้ซึ่งอยู่ในเรา เป็นใหญ่กว่าผู้นั้น ซึ่งอยู่ในโลก”
นี่แหละ มันหมายถึงอย่างนั้นแหละ 1 ยอห์น 4:4
เพราะฉะนั้น เมื่อพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สถิตอยู่กับเรา ทั้ง 3 พระภาคแล้ว การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ โลกจึงไม่มีชัยชนะเหนือเรา เพราะฉะนั้น เราอย่าให้โลกนี้ ซึ่งควบคุมโดยมาร ใช้ระบบของโลกนี้ คือความบาปและความตาย และสิ่งต่างๆ ที่เราเห็นอยู่บนโลกนี้ มาโกหกหลอกลวง ข่มขู่เรา ให้เรากลัวได้ มันจะมาข่มขู่เราต่างๆ ด้วยเหตุการณ์ต่างๆ บนโลกใบนี้ อย่าให้มันข่มขู่เราให้เกิดความกลัว
เมื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว ทำสิ่งเดียว คือเปิดใจแล้ว หน้าที่เราในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ มีทำอยู่แค่นี้เอง ก็คือในโรม 8:37-39 …
โรม 8:37-39 “37 เปล่าเลย ในสถานการณ์ทั้งปวงนี้ เราเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิต โดยทางพระองค์ ผู้ทรงรักเราทั้งหลาย 38 เพราะข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่าไม่ว่าความตายหรือชีวิต ไม่ว่าทูตสวรรค์หรือวิญญาณชั่ว ไม่ว่าปัจจุบันหรืออนาคต หรือฤทธิ์อำนาจใดๆ 39 ไม่ว่าเบื้องสูง หรือเบื้องลึก หรือสิ่งอื่นใด ในสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง ล้วนไม่สามารถพรากเราไปจากความรักของพระเจ้า ซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราได้”
ฉะนั้น หน้าที่ของเรา ก็คือเชื่อมั่นในคำสัญญาแค่นั้นเอง ฟังจากถ้อยคำพระเจ้าเหล่านี้มา แค่มาเชื่อมั่นในคำสัญญาของพระเจ้าว่ามันเป็นจริง สิ่งที่มันเกิดขึ้น เป็นเรื่องจริง เชื่อมั่นเท่านั้นเอง เมื่อท่านได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ท่านได้บังเกิดใหม่แล้ว ได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ได้อยู่ในสวรรค์กับพระองค์แล้ว ต้องเชื่อมั่นในคำสัญญาเหล่านี้ นี่คือคำสัญญาและคำสาบานของพระเจ้า เป็นผู้พูดกับเรา พระองค์รับผิดชอบสิ่งเหล่านี้ที่เกิดขึ้นว่ามันเป็นจริง ท่านได้เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระคริสต์แล้วนิรันดร์ด้วย ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงเป็นอื่น แม้แต่นิดเดียว ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับท่าน ที่จะสามารถทำให้มันเปลี่ยนแปลงได้เลย พระเจ้าการันตี ยืนยัน ค้ำประกันด้วยพระองค์เอง ไม่มีวันสูญเสียมรดกแห่งความรอดของท่านเลยแม้แต่นิดเดียว หรือไม่สูญเสียพระพรทางฝ่ายวิญญาณต่างๆ ในการดำเนินชีวิตของท่านบนโลกใบนี้ มันไม่สามารถทำให้ท่านพร่องจากพระพรนี้แม้แต่นิดเดียว ไม่สามารถเลย เพราะพระเจ้าปกปักษ์คุ้มครอง ดูแลความรอดของท่าน เมื่อพระเจ้าได้ทำให้ท่านรอดแล้ว ก็รอดเลย เมื่อพระเจ้าทำให้ท่านบังเกิดใหม่แล้ว ก็เกิดเลย เป็นลูกแล้ว ก็เป็นลูกเลย ไม่มีการสูญเสีย หรือเสื่อมลง หรือลดน้อย ถอยลงแต่อย่างใด ตลอดไป ชั่วนิรันดร์ น้ำเต็มแก้ว ไม่มีวันพร่องเลย แม้แต่หยดเดียว มันเต็มพร้อมบริบูรณ์
นี่คือความเป็นจริง เพราะฉะนั้น ความจริงเหล่านั้นจะทำให้เราเป็นอิสระจากความกลัว การสูญเสียความรอด และดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ด้วยการหายเหนื่อยและเป็นสุขในใจ สงบ นิ่ง อยู่กับพระเยซูคริสต์ของเรา ผู้ทรงเป็นพระเจ้า ผู้ทรงเป็นชีวิตของเรา ตั้งแต่เดี๋ยวนี้ จนถึงนิรันดร์ พระเจ้าอวยพรครับ
************************
จากใจคณะศิษยาภิบาล
รู้ได้อย่างไรว่า? เราเป็นคริสเตียน ที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว ได้อยู่ในสวรรค์กับพระคริสต์แล้ว ในขณะนี้
มัทธิว 5:12 … “จงชื่นชมยินดีเถิด เพราะบำเหน็จของท่านในสวรรค์ยิ่งใหญ่นัก เพราะพวกเขาได้ข่มเหงบรรดาผู้เผยพระวจนะที่อยู่ก่อนท่านเหมือนกัน”
พระเยซูพูดกับชาวยิวที่เป็นสาวกใกล้ชิด ซึ่งอนาคตอันใกล้นี้ จะได้เกิดใหม่เป็นคริสเตียน หลังจากที่พระเยซูทำภารกิจสำเร็จแล้วบนไม้กางเขน คือการสิ้นพระชนม์ และการเป็นขึ้นจากความตายในวันที่สาม และพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าจะเข้ามาสถิตอยู่ภายในร่างกายพวกเขา และจะเป็นผู้นำพวกเขาประกาศโดยฤทธิ์เดชอำนาจเรื่องสวรรค์ เหมือนที่พระเยซูได้กำลังประกาศอยู่นี้ และพวกเขาจะถูกต่อต้าน ถูกข่มเหง ถูกใส่ร้าย ถึงขนาดถูกฆ่าให้ตาย โดยพวกผู้นำทางศาสนายิว คือพวกฟาริสี สะดูสี และธรรมาจารย์ เหมือนกับที่พวกเขาได้ทำกับบรรดาผู้เผยพระวจนะก่อนหน้านี้ เช่น คนล่าสุด คือยอห์นบัพติศโต และพระองค์เองก็ถูกต่อต้านข่มเหงใส่ร้ายเช่นกัน
ฉะนั้น จงชื่นชมยินดีเถิด เพราะเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าเราได้เป็นคริสเตียนที่บังเกิดใหม่แล้ว ได้อยู่ในสวรรค์กับพระเยซูคริสต์แล้วจริงๆเป็นพวกเดียวกันกับพระองค์
เพราะนี่เป็นความจริงมาตั้งนานแล้ว โลกหนึ่ง คือโลกวิญญาณ ที่เป็นของพระเจ้า อีกโลกหนึ่ง คือโลกวิญญาณที่ไม่มีพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า
ทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดในชีวิต ได้รับบัพติศมาเข้าส่วนร่วมมาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ในวิญญาณ เรากับโลกนี้เป็นศัตรูกันเลย
อดีตคริสเตียนผู้เชื่อในพระเยซูถูกข่มเหงอย่างไร? ปัจจุบันคริสเตียนผู้เชื่อ ก็ถูกข่มเหงเช่นเดียวกัน เพียงแต่การข่มเหง อาจจะเป็นคนละรูปแบบเท่านั้นเอง
ยอห์น 15:18-19 … “พระเยซูคริสต์ตรัสว่า … “18 ถ้าโลกนี้เกลียดชังท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายก็รู้ว่าโลกได้เกลียดชังเราก่อน 19 ถ้าท่านทั้งหลายเป็นของโลก โลกก็จะรักท่านซึ่งเป็นของโลก แต่เพราะท่านไม่ใช่ของโลก แต่เราได้เลือกท่านออกจากโลก เหตุฉะนั้น โลกจึงเกลียดชังท่าน”
พระเจ้าอวยพรครับ