วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1449

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  24  ธันวาคม  2023 (กลางคืน)

เรื่อง “พระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            Merry Christmas ระลึกถึงวันคล้ายวันประสูติของพระเยซูคริสต์ เขาก็บอกว่า “Merry Christmas” ซึ่งแปลว่า “ขอให้ท่านพบกับสันติสุขและความสงบทางใจ จากการเสียสละของพระเยซูคริสต์ ที่ได้ทรงไถ่บาปให้ท่าน” นี่แปลเป็นไทยเลย

            วันคริสต์มาส คือวันที่พระเจ้า พระเยซูคริสต์ลงมาเกิดเป็นมนุษย์ นี่หัวใจสั้นๆ  ความหมายตรงนี้  วันนี้สิ่งที่ท่านจะได้ฟังไม่ใช่เป็นเรื่องของศาสนา  ไม่ว่าศาสนาอะไรก็ตาม บนโลกใบนี้ ศาสนาเป็นสิ่งที่ดี แต่ในสายพระเนตรพระเจ้า ยังดีไม่พอ  ไม่มีศาสนาใดทำให้มนุษย์ได้บังเกิดใหม่ได้ ไม่มีศาสนาใดทำให้มนุษย์กลายเป็นบริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์เหมือนพระเจ้าได้  แต่พระเยซูคริสต์ทำได้และพระเยซูคริสต์มาประกาศข่าวดี พระองค์ไม่ได้มา เพื่อประกาศศาสนา พระองค์ไม่ได้มาตั้งศาสนาคริสต์ พระองค์ไม่ได้มาสอนเรื่องศีลธรรม พระองค์ไม่ได้มาสอนเรื่องความประพฤติบนโลกใบนี้ เป็นอย่างไร? แต่พระเยซูคริสต์มาประกาศข่าวดี

            ข่าวดีของพระองค์ คือพระเจ้าทรงรักมนุษย์ยิ่งนัก จึงได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเจ้า พระเยซูคริสต์เป็นพระบุตร ลงมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อเปิดประตูสวรรค์ ให้กับมนุษย์ ที่จะได้รับการบังเกิดใหม่ในวิญญาณ กลับมาเป็นลูกของพระเจ้า  ได้เข้าอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้านิรันดร์

            นี่คือข่าวดีสั้นๆ ที่พระเยซูคริสต์ได้ประกาศเรื่องนี้มา 2,000 ปีแล้วว่าพระองค์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ให้รอดพ้น จากกฎแห่งกรรม คือความบาป ซึ่งมนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป เราก็รู้กันอยู่แล้ว ไม่มีมนุษย์คนไหนทำดีได้ครบถ้วนบริบูรณ์ สักคนเดียวเลย นี่คือการประกาศของพระเยซูคริสต์

            ในหนังสือยอห์น 3:16-18 พระเยซูเข้ามาอยู่บนโลกใบนี้ เดินอยู่บนโลกใบนี้ 3 ปี แล้วก็ประกาศอย่างนี้แหละ สรุปสั้นๆ อยู่ที่ไม่กี่ข้อนี่แหละว่าพระองค์มาสอนหรือเปล่า?  พระองค์ไม่ได้มาสอนเรื่องการประพฤติอะไรต่างๆ เหล่านี้   ไม่ได้มาสอนเรื่องศาสนา ให้ประพฤติชอบ แต่มาประกาศว่าสถานะของมนุษย์ตอนนี้อยู่ที่ไหน? จะเข้าสวรรค์ได้อย่างไร? จะต้องบังเกิดใหม่ด้วยวิธีใด นี่สำคัญกว่าเยอะ  และพระองค์ประกาศว่ามีวิธีเดียว ก็คือต้องผ่านทางพระองค์เท่านั้น  ถึงจะเข้าสวรรค์ได้  โดยไม่ต้องทำอะไรเลย คือเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์เท่านั้น ง่ายเกินไป มนุษย์เลยไม่ค่อยจะเข้าใจ  มนุษย์บอกมันง่ายเกินไป จะเข้าสวรรค์ทั้งที มันต้องพยายามทำดีสิ  นี่คือมนุษย์คิด แต่พระเจ้าบอกว่าทำดีอย่างไร มันก็ไม่ไปถึงฝั่งสวรรค์ได้หรอก เพราะว่าทำดีอย่างไร มันก็มีพลาด  พลาดครั้งเดียว ก็ตกนรกแล้ว  เพราะฉะนั้น ให้มาวางใจในพระบุตร  คือพระเยซูคริสต์ เราจะลองอ่านดู ยอห์น 3:16-18 …

        ยอห์น 3:16-18 “16 พระเจ้าทรงรักมนุษย์และโลกยิ่งนัก ถึงกับได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ เพื่อทุกคนที่วางใจ (พึ่งพา) ในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ (ตายนิรันดร์ อยู่ในความบาป) แต่ได้รับการบังเกิดใหม่ มาเป็นลูกของพระองค์ มีชีวิตนิรันดร์ ที่เป็นของพระองค์ เหมือนพระองค์ 17 เพราะว่าพระเจ้าทรงให้พระบุตรเข้ามาในโลก ไม่ใช่เพื่อพิพากษาลงโทษมนุษย์และโลก แต่เพื่อช่วยกู้มนุษย์และโลกให้รอด จากการถูกพิพากษาลงโทษนั้น โดยทางการวางใจ พึ่งพาในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ 18 คนที่วางใจ พึ่งพาในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์จะไม่ถูกพิพากษาลงโทษให้พินาศ ส่วนคนที่ไม่ได้วางใจ ก็ถูกพิพากษาลงโทษ อยู่ในความพินาศ ในความตาย ในความบาป เหมือนเดิมอยู่แล้ว เพราะเขาไม่ได้วางใจ พึ่งพาในพระนาม พระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า”

            นี่คือสภาพของมวลมนุษยชาติบนโลกใบนี้ ที่มนุษย์มองไม่เห็น แต่โลกวิญญาณมันเป็นอย่างนี้ เป็นเรื่องจริงๆ พระเยซูมาประกาศบอกว่าสภาพวิญญาณของมนุษย์เป็นอย่างนี้  อยู่กันอย่างนี้แหละ  และพระเจ้าทรงรักมนุษย์และโลกยิ่งนัก  ถึงกับได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ ลูกในไส้ ก็คือลูกของพระองค์ เป็นพระเจ้าพระบุตร  อยู่กับพระเจ้ามาตั้งแต่ก่อนสร้างอะไรทั้งปวง ก็คือพระเยซูคริสต์ เพื่อว่าพระเยซูคริสต์นี้จะได้มา และมาไถ่มนุษย์ทั้งปวงให้หลุดพ้นจากความบาปนั้น  เพื่อทุกคนที่วางใจ พึ่งพาในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ ตายอยู่ในบาป ก็แสดงว่ามนุษย์เกิดมาก็ตายอยู่ในบาป วิญญาณตายอยู่ในบาป วิญญาณไม่มีพระเจ้า วิญญาณมุ่งสู่ความพินาศนิรันดร์ แต่พระบุตรมาช่วยให้มนุษย์ได้รับการบังเกิดใหม่  มาเป็นลูกของพระองค์ มีชีวิตนิรันดร์ที่เป็นของพระองค์ เหมือนพระองค์เลย  คือสะอาดบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า เท่าเทียมพระเจ้า ดีเท่ากับพระเจ้า จึงสามารถเข้าสวรรค์ได้ เราก็พูดกันอยู่บ่อยๆ ง่ายๆ “จะเข้าสวรรค์ได้อย่างไร ยังทำบาปอยู่เลย”  แต่นี่เราบังเกิดใหม่ใน วิญญาณ สามารถเข้าสู่สวรรค์ได้จริงๆ

            ในข้อ 17 บอกว่า “เพราะว่าพระเจ้าทรงให้พระบุตรเข้ามาในโลก ไม่ใช่เพื่อพิพากษาลงโทษมนุษย์บนโลกใบนี้”

            พระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ไม่ได้มา เพื่อจะมาชี้นิ้วว่าคนนี้ทำบาป ตกนรก เปล่า พระองค์มาชี้นิ้วให้หมดเลย ทั้งโลกเลยว่ามนุษย์ทั้งโลกตกเป็นคนบาป  และพระองค์มา ไม่ใช่มาเพื่อพิพากษา แต่มาเพื่อจะช่วยให้รอดพ้นจากความบาปนั้น ให้มาบังเกิดใหม่  โดยความเชื่อและวางใจในพระองค์ ก็คือมาช่วยกู้มนุษย์และโลกให้รอดจากการถูกพิพากษาลงโทษ  โดยการวางใจ และพึ่งพาเชื่อในพระเยซูคริสต์ที่พระเจ้าได้ทรงส่งมา

            ฟังดูเหมือนง่ายมาก ไม่มีอะไรเลย แต่ทำไมเรื่องจริง เรื่องนี้  จึงเกิดผลมาถึง 2,000 ปีถึงเดี๋ยวนี้แล้ว ถ้าเผื่อเรื่องนี้ ไม่มีเค้าโครงความจริง หรือไม่จริงเลย ไม่มีเกิดผลเลย  มันเป็นเรื่องโกหกที่ใครก็ไม่มีทางเชื่อได้เลย มันโง่เขลาเหลือเกินที่จะมาเชื่อเรื่องพวกนี้ใช่ไหม? แต่ 2,000 ปีมีแต่จะมากขึ้นทุกวันๆ ทั่วโลกมากขึ้นทุกวันๆ ที่ประกาศข่าวดีนี้  ที่เอาบทเพลงของข่าวดีนี้ ไปร้องเพลงต่างๆ ที่เราได้ฟัง ตามศูนย์การค้า ตามในยูทูป ในโซเซียลมีเดียทั้งหมดทุกวันนี้ เยอะขึ้นทุกวันๆ เป็นเรื่องนี้ เรื่องที่ผมกำลังพูดให้ท่านฟังวันนี้  คือเรื่องของข่าวดี พระเจ้าส่งพระเยซูคริสต์มา ผู้ทรงเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ให้หลุดรอดพ้น จากนรก หลุดรอดพ้น จากความพินาศในวิญญาณ  ซึ่งกำลังเป็นอยู่นั้น รีบเชื่อในพระเจ้า พระเยซูคริสต์ เพื่อได้รับความรอดเถิด  นี่คือข่าวประเสริฐ ข่าวดีในวันคริสต์มาสทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นบทเพลง บทความ หรือเรื่องอะไร? แม้กระทั่งพิธีต่างๆ ที่เขาทำกันทั่วโลก อย่างเช่น มอบของขวัญเอย เทศกาลของขวัญ ก็มาจากแบบอย่างของพระเจ้า ผู้ประทานของขวัญ ให้กับมนุษย์ ในวันคริสต์มาสแรกของโลก เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว คือประทานพระบุตร พระเยซูคริสต์มาเป็นของขวัญให้กับมวลมนุษยชาติ  เพื่อจะได้รอด เข้าสวรรค์ได้ โดยไม่ต้องพึ่งพาการพยายามทำดีของตนเอง  แต่พึ่งพาพระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอด ซึ่งเป็นหนทางเดียวเท่านั้น

            ในข้อ 18 ได้บันทึกว่าคนที่วางใจ พึ่งพาในพระบุตร มนุษย์คนใดพึ่งพาในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์จะไม่ถูกพิพากษาลงโทษให้พินาศ ก็คืออยู่ในการถูกลงโทษ พิพากษาให้พินาศอยู่ แต่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ทันที เขาหลุดพ้นจากความพินาศ จากการถูกลงโทษทันทีเลย เขาได้บังเกิดใหม่ในวิญญาณทันทีเลย บนโลกใบนี้ ขณะนี้เลย สามารถพิสูจน์ได้เลย ข่าวประเสริฐจึงแพร่สะพัดมาถึง 2,000 ปีนี้เยอะขึ้นเรื่อยๆ มากขึ้นเรื่อยๆ  และในพระคัมภีร์บอกว่าจะมากถึงที่สุด จนสุดท้าย สิ้นโลก พระเยซูกลับมาใหม่ คือมากกว่านี้อีกเยอะ นี่ยังไม่เยอะพอ คนที่พึ่งพาและวางใจในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์จะไม่ถูกพิพากษาลงโทษให้พินาศ ส่วนคนที่ไม่ได้วางใจ นึกภาพนะ ส่วนมนุษย์คนที่ได้ยินได้ฟังข่าวประเสริฐ เรื่องราวเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์นี้แล้ว แล้วไม่เชื่อ ไม่วางใจในข่าวดีนี้  ก็ถูกพิพากษาลงโทษ อยู่ในความพินาศ อยู่ในความตาย อยู่ในความบาปเหมือนเดิมอยู่แล้ว ก็แสดงว่าเกิดมา ก็เป็นคนบาป

            พระคัมภีร์บอกว่ามนุษย์ทุกคน เกิดมา ก็เป็นคนบาป  ตาย พินาศในวิญญาณ ถ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไร? ไม่มีใครมาช่วย  ก็จะตายอยู่อย่างนั้นตลอดชั่วนิรันดร์  เขาจะถูกพิพากษาลงโทษ ก็อยู่ในความพินาศ อยู่ในความตาย ในความบาป เหมือนเดิมอยู่แล้ว เพราะเขาไม่ได้วางใจ พึ่งพาพระนามพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า เขาจึงไม่มีโอกาสได้บังเกิดใหม่ เมื่อไม่ได้บังเกิดใหม่ เมื่อวิญญาณเขาออกจากร่าง เขาก็ไปอยู่ในสถานที่ที่ไม่มีพระเจ้า  เพราะไม่ได้บังเกิดใหม่ สะอาดไม่พอ เขาก็ยังเป็นคนบาป และไปอยู่ในส่วนของคนบาป ไม่มีพระเจ้าอยู่ ซึ่งเราเรียกกันว่านรก  พินาศนั่นเอง   และเป็นความพินาศนิรันดร์ด้วย เพราะเป็นวิญญาณ  ที่อยู่ในความพินาศนั้น

            ดูข้อพระคัมภีร์อีกข้อหนึ่ง  เพื่อจะได้เห็นว่าความจริงของข่าวประเสริฐ มันไม่ได้เกี่ยวกับความประพฤติ ไม่ได้เกี่ยวกับการมาสอนศีลธรรม ไม่ได้เกี่ยวกับความดี ความชั่ว มันเกี่ยวกับเรื่องราวของมนุษย์ว่ามนุษย์เป็นวิญญาณ และวิญญาณเป็นบาปอยู่ และพระเจ้าทรงมาช่วยมนุษย์ และมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อเป็นตัวแทนมนุษย์ มารักษามนุษย์ นำมนุษย์กลับคืนสู่สวรรค์ กลับคืนสู่บ้านนั่นเอง  และทั้งหมดนี้ คือข่าวประเสริฐ ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ข่าวดีของพระเยซูคริสต์จึงไม่ใช่ศาสนา แต่เป็นฤทธิ์เดช เป็นอำนาจ เป็นพลังงาน  เป็น Power อันยิ่งใหญ่ ยิ่งกว่า Power อะไรทั้งปวงเลย  ที่ทำการอัศจรรย์ คือทำให้วิญญาณของมนุษย์ที่ตายอยู่นั้น สามารถบังเกิดใหม่ได้ สามารถเกิดใหม่ได้ 2 เปโตร 1:3-4 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่าด้วยอำนาจที่บอกนี้ เป็นข่าวประเสริฐนี้ ทำให้เกิดสิ่งนี้ขึ้น …

        2 เปโตร 1:3-4 “3 ด้วยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า ทุกสิ่งที่จำเป็นในการมีชีวิตที่ชอบธรรม และ ดีงามเหมือนพระเจ้า พระองค์ได้ทรงจัดเตรียมให้แก่เราเรียบร้อยแล้ว ผ่านทางการรับรู้เรื่องราวของพระองค์ (ในพระคริสต์) ผู้ทรงได้เรียกเรา ด้วยพระสิริและความดีงามของพระองค์เอง ให้เข้าไปมีส่วนร่วม ในพระเกียรติสิริและความดีงามของพระองค์ (ในพระคริสต์) 4 โดยสิ่งเหล่านี้ พระองค์ได้ประทานพระสัญญาอันยิ่งใหญ่ และล้ำค่าของพระองค์แก่เรา เพื่อว่าโดยทางพระสัญญาเหล่านี้ พวกท่านจึงได้มีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า (บังเกิดใหม่เป็นลูกพระเจ้า) และพ้นจากความเสื่อมทรามในโลก ซึ่งเกิดจากตัณหาชั่ว (ความบาป)”

            ด้วยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า เห็นไหมครับ?  ฤทธิ์อำนาจที่ทำให้เกิดการอัศจรรย์ยิ่งใหญ่  ไม่ได้เกี่ยวกับการประพฤติ ไม่ได้เกี่ยวกับศาสนา นี่เป็นฤทธิ์อำนาจจริงๆ  เป็นฤทธิ์เดียวกันกับที่พระองค์ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย  สร้างโลกทั้งใบ มหาจักรวาลทั้งหมด ทั้งที่มองเห็น และมองไม่เห็น  ทุกอย่างด้วยฤทธิ์อำนาจของพระองค์  พระเจ้าผู้ทรงอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด  ด้วยฤทธิ์อำนาจของพระองค์ ทุกสิ่งที่ทำให้เรามนุษย์คนนั้น ที่วางใจในพระเยซูคริสต์ สามารถเกิดใหม่ มีชีวิตที่จะเป็นผู้ชอบธรรม  และดีงาม เหมือนพระเจ้า พระองค์ทรงจัดเตรียมและทำให้สำเร็จ เรียบร้อยแล้ว ผ่านทางพระเยซูคริสต์ เมื่อเรารับรู้เรื่องราวของพระเยซูคริสต์ ผู้ได้ทรงเรียกเรา ด้วยพระสิริ และความดีงามของพระองค์เองให้เข้าไปมีส่วนร่วมในพระลักษณะของพระองค์ ร่วมในพระเกียรติและความดีงามของพระองค์ ในพระคริสต์ พระเยซูคริสต์มา เพื่อเราทั้งหลายจะได้เข้าไปมีส่วนร่วมในพระลักษณะของพระองค์

            พระลักษณะของพระองค์ คือพระเจ้า พูดอย่างง่ายๆ อย่างตะกี้นี้ ตามหัวข้อเรื่อง ก็คือพระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อว่ามนุษย์คนบาปอย่างเรา จะได้บังเกิดใหม่มาเป็นลูกของพระเจ้า สลับที่กัน พระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อมนุษย์ที่เป็นคนบาป  จะได้กลับมาเป็นลูกของพระเจ้า

            “พระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ ชื่อพระเยซู เมื่อใครเชื่อ มนุษย์ที่เป็นคนบาป  กลายเป็นลูกของพระเจ้า มีสภาวะเหมือนพระเจ้าเลย  เหมือนกับพระองค์เลย” … นี่คือพระคัมภีร์

            ข้อ 4 บอกว่า “พระองค์ได้ทรงประทานพระสัญญาอันยิ่งใหญ่ และล้ำค่าของพระองค์แก่เรา  เพื่อว่าโดยทางพระสัญญาเหล่านี้  พวกท่านจึงได้มีส่วนร่วมในพระลักษณะของพระเจ้า”

            พระลักษณะของพระเจ้ายิ่งใหญ่ขนาดไหน?  บริสุทธิ์อย่างไร?  ดีงามขนาดไหน?  ดีพร้อมอย่างไร?  เป็นผู้ชอบธรรมอย่างไร? เราเข้าไปมีส่วนอยู่ในนั้นด้วย  เราเป็นส่วนหนึ่งอยู่ในนั้น โดยไม่ต้องทำอะไรเลย  เป็นพันธสัญญาที่พระเจ้าให้เราฟรีๆ ผ่านทางพระบุตร พระเยซูคริสต์ ผู้ที่บังเกิดเป็นมนุษย์ในวันคริสต์มาสนั่นเอง เราจะสามารถเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ เพื่อว่าเราจะได้บังเกิดใหม่ ร่วมกับพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ได้บังเกิดใหม่  และพ้นจากความเสื่อมทรามในโลก  ก็คือพ้นจากความบาป  ที่มันอยู่ในวิญญาณของเรา  เราจะได้พ้นจากการเป็นคนบาป นึกภาพนะ พระเยซูคริสต์มาเพื่อให้ฤทธิ์อำนาจของพระองค์ ทำให้คนที่เป็นคนบาป  และเชื่อในพระองค์ รับสิทธิของเขา รับอำนาจจากพระเยซูคริสต์ ทำให้เขาได้บังเกิดใหม่  จากการเป็นคนบาป กลายเป็นคนชอบธรรม จากคนสกปรก ดำมืด กลายเป็นประชากรแห่งความสว่าง เป็นลูกของพระเจ้า

            นี่คือหัวใจของข่าวประเสริฐของข่าวดี หัวใจของวันคริสต์มาส ที่เขาบอกว่าสุขสันต์วันคริสต์มาส ก็คือวันที่สวรรค์ได้เปิดประตู ให้กับบรรดามนุษย์ทุกๆ คน ที่วางใจในพระเยซูคริสต์ เพื่อเขาจะได้ไม่พินาศ  และอยู่ในความพินาศนั้น ชั่วนิรันดร์ แต่เขาจะได้รับการบังเกิดใหม่เดี๋ยวนี้ ทันทีบนโลก พิสูจน์ได้ ด้วยวิญญาณของเขาเอง นี่คือข่าวดี  พระเจ้าอวยพรครับ

***********************************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            ความจริงที่ทำให้เราเป็นไท  ถ้าเราได้บังเกิดใหม่เป็นคริสเตียนแล้ว

            ถ้าเราได้บังเกิดใหม่เป็นคริสเตียนแล้ว ตัวตนที่แท้จริงของเรา สะอาดหมดจด บริสุทธิ์  ปราศจากบาปแล้ว แต่มันยังมีอิทธิพลของบาป ที่เป็นเหมือนกาฝาก  เหมือนไวรัสที่แอบเกาะอาศัยอยู่ในความคิด ในสมอง ในร่างกายเรา มันไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของเราเลยนะครับ มัน คือปรสิต!

            โรม 6:12-14 …  “12 เหตุฉะนั้น อย่ายอมมอบร่างกายที่ต้องตาย (ที่อยู่เพียงชั่วคราว) ของท่าน ให้บาปมันครอบครองเป็นเจ้านายเหนือท่าน ซึ่งทำให้ท่านคล้อยตามกิเลสความปรารถนาของมัน และต้องยอมจำนนทำตามตัณหาชั่วของมัน 13 อย่ายอมยกส่วนต่างๆ ในร่างกายของท่าน ให้แก่บาป  เป็นเครื่องมือของความชั่วร้าย แต่จงยอมถวายตัวของท่านเองแด่พระเจ้า ในฐานะที่ได้เป็นขึ้นจากตาย ได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้าแล้ว และยอมถวายอวัยวะต่างๆ ในร่างกายของท่าน แด่พระองค์  ให้เป็นเครื่องมือของความชอบธรรม 14 เพราะบาป มันไม่ได้เป็นเจ้านายครอบครองท่านอีกต่อไปแล้ว เพราะว่าบัดนี้  ท่านไม่ได้อยู่ใต้บทบัญญัติ  ไม่ได้เป็นทาสบาปอีกต่อไปแล้ว แต่อยู่ใต้พระคุณความโปรดปรานของพระเจ้า”

            ฉะนั้น อย่าให้มันบ่อนทำลายสุขภาพจิต วิญญาณของเรา ต่อต้านมันด้วยถ้อยคำความจริงของพระเจ้า ที่บอกเราว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ เพื่อเปลี่ยนแปลงความคิดเดิมๆ ในสมองเสียใหม่ แล้วอุปนิสัย ความประพฤติของเราจะค่อยๆ เปลี่ยนไป เหมือนพระเยซูคริสต์มากขึ้นเรื่อยๆ

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1448

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  24  ธันวาคม  2023 (ช่วงเช้า)

เรื่อง “ทำไมพระเยซูผู้ทรงเป็นพระเจ้า ต้องมาเกิดเป็นมนุษย์”

โดย  นคร  เวชสุภาพร

            ชื่อเรื่อง “ทำไมพระเยซูผู้ทรงเป็นพระเจ้า ต้องมาเกิดเป็นมนุษย์” เราลองคิดดูสิว่าทำไมพระเยซู ผู้ทรงเป็นพระเจ้า ต้องมาเกิดเป็นมนุษย์

            ความจริงเกี่ยวกับความเป็นมาของมนุษย์และโลกที่พระเจ้าทรงสร้าง และให้กำเนิดขึ้น เอาแบบคร่าวๆ พอนะ ความจริง ก็คือพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ ให้กำเนิดมนุษย์ตามพระฉายาของพระองค์ ให้เหมือนพระองค์ มนุษย์ที่พระเจ้าสร้าง เหมือนพระองค์ คือเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเจ้า  เกิดจากหน่อเชื้อ หรือเลือดเนื้อเชื้อไข ทางฝ่ายวิญญาณจากพระเจ้า  ที่บริสุทธิ์ เรียกว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า  เกิดจากตรงนี้แหละ ความบริสุทธิ์  ก็คือเกิดจากวิญญาณนิรันดร์ของพระเจ้า มาเป็นวิญญาณของมนุษย์ แล้ววิญญาณของมนุษย์ก็อาศัยอยู่ในร่างกายที่เรามองเห็นกันอยู่นี้ ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลได้บันทึกว่าเป็นร่างกายที่พระองค์ทรงเอามาจากธาตุทั้ง 4 ของโลกใบนี้ ก็คือดิน ธาตุทั้ง 4 นี้มาปั้น  มาสร้างเป็นร่างกาย แต่วิญญาณที่อยู่ข้างในนั้น เป็นวิญญาณที่มาจากพระเจ้า  อาศัยในร่างกาย เรือนดินนี้ ซึ่งดิน ภาษาเดิม ใช้คำที่เราได้รู้กันหมด  ลูกพระเจ้ารู้คำนี้ คือคำว่า “อาดัม”

            อาดัม แปลว่าดิน  อาดัม แปลว่ามาจากดิน  ต้นกำเนิด คือบรรพบุรุษของเรานั้น ก็คืออาดัม คือมาจากดิน  แต่มีพระสิริของพระเจ้า คือพระวิญญาณของพระเจ้า เป็นหน่อเชื้อในวิญญาณที่บังเกิด เริ่มสร้าง แล้ววิญญาณที่อยู่ภายในเรือนดินนี้ ก็เต็มด้วยพระสิริของพระเจ้า  พระสิริของพระเจ้าก็ปกคลุมทั้งหมด ทั้งวิญญาณ ซึ่งมีจิตใจอยู่ในนั้น และปกคลุมไปถึงร่างกายที่เป็นเรือนดินนั้น นึกภาพนะ นี่คือความจริงคร่าวๆ ของต้นกำเนิดของสรีระ ร่างกายของมนุษย์

            แล้วพระเจ้าก็ประทานสิทธิ อิสรภาพในการตัดสินใจ ในทุกเรื่อง ให้กับมนุษย์ที่ทรงสร้างขึ้นมา ให้ครอบครอง มีความสุขกับทุกสิ่งสารพัด ทุกอย่างที่พระองค์ทรงสร้างอย่างดี สมบูรณ์ครบถ้วน พระองค์บอกว่าทุกสิ่งล้วนเป็นสิ่งที่ดีทั้งสิ้น และให้เชื่อฟัง พระองค์ว่าทุกสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำนั้น ดี สมบูรณ์ ครบถ้วนแล้ว  พระเจ้าตรัสอย่างนั้นแหละ บอกมนุษย์ว่ามันดี สมบูรณ์ ครบถ้วนแล้ว  ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติมอีกเลย

            นึกถึงภาพว่าพระเจ้าสร้างเสร็จ แล้วบอกมนุษย์อย่างนี้แหละ  เราคุ้นๆ กับชีวิตของเราปัจจุบันไหม? ความรู้สึกคุ้นๆ ไหม?  ทำให้ดี ครบถ้วนบริบูรณ์เลย  ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติมแล้ว เวลาเรามีลูก เราพูดกับลูกเราอย่างนี้แหละ  ลูกเราไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติมแล้ว  เขาก็เป็นลูกเรา  เกิดมาปุ๊บ เป็นลูกเรา เกิดมาจากครรภ์มารดา ก็เป็นลูกเราแล้ว แล้วเราก็บอกเขาว่าไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติมที่จะเป็นลูกเราหรอก เพราะเป็นแล้ว ถูกไหม? ซึ่งเราเรียกกันว่า “พระคุณ” ถ้าเผื่อเป็นมนุษย์ธรรมดา เราก็เรียกกันว่า “บุญคุณ” บุญคุณของพ่อแม่  ให้ความรักกับเราอย่างนี้ คือให้ลูกเดียวเลย

            นี่คือความจริงของการเริ่มต้นครอบครัวของพระเจ้า ซึ่งมีมนุษย์เป็นลูกของพระองค์ แล้วก็สั่งลูก สอนลูก  โดยสั่งว่า …

            “อย่ากินผลไม้จากต้นแห่งความดีและความชั่ว เพราะถ้าวันใดฝืนคำสั่ง ไม่เชื่อฟังกินผลไม้นั้น เจ้าจะต้องตาย และพระสิริของเรา ก็จะหลุดออกไปจากเจ้า คือเจ้าจะต้องตาย จากเราออกไป”

            พูดง่ายๆ ว่าอย่าทำนะ อย่าออกจากบ้านนะ ออกไปจากบ้าน ตายแน่เลย สั่งไว้อย่างนั้น ไม่ต้องไปรู้หรอกความดี ความชั่ว ให้เชื่อฟังพระองค์อย่างเดียว ไม่ต้องรับผิดชอบในการพึ่งพาการทำความดี ความชั่วด้วยตนเอง ไม่ต้องพึ่งพาความคิดของตนเอง เป็นลูกของเรา เราทำให้ทุกอย่างดีเรียบร้อยแล้ว ให้กำเนิดมา เพื่อว่ามนุษย์จะพึ่งในพระองค์เพียงอย่างเดียว และได้รับสิ่งที่ดีๆ เรียกว่ากฎแห่งพระคุณ ไม่ต้องออกไป 0เจ้าออกไปนอกบ้าน ออกจากสวรรค์ไป ไม่มีพ่ออยู่ เจ้าอยู่ด้วยตัวเองไม่ได้หรอก เตือนอย่างนั้นแหละ

            บันทึกไว้ในปฐมกาล บทที่ 1 ข้อ 27 กับข้อ 31 อย่างนี้นะ ลองอ่านดู คือตัวยืนยันว่าพระองค์ทรงสร้างมนุษย์อย่างไร? …

        ปฐมกาล 1:27, 31 “27 พระเจ้าจึงทรงสร้างมนุษย์ขึ้น  ตามพระฉายาของพระองค์  ตามพระฉายาของพระเจ้านั้น  พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ขึ้น  และทรงสร้างให้เป็นชายและหญิง 31 พระเจ้าทอดพระเนตรสิ่งทั้งปวงที่พระองค์ทรงสร้างไว้ ดูสิ ทรงเห็นว่าดียิ่งนัก มีเวลาเย็นและเวลาเช้า เป็นวันที่หก”

            พระเจ้าทอดพระเนตรสิ่งทั้งปวง ที่พระองค์ทรงสร้างไว้  โดยเฉพาะอย่างยิ่งมนุษย์ …

            “ดูสิ ลูกเราน่ารักมากเลย คลอดออกมาแล้ว ดูสิ พระองค์เห็นว่าดียิ่งนัก”

            ไม่ใช่ดีธรรมดา ดียิ่งนัก หมายถึงดีเลิศ ประเสริฐศรีเลย นี่คือความรู้สึก สายตาของพระเจ้า  ที่มีต่อลูกของพระองค์ ที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมา ที่เรียกว่ามนุษย์ มวลมนุษย์ เริ่มต้นจากบรรพบุรุษ คืออาดัม ปฐมกาล 2:7 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        ปฐมกาล 2:7 “พระยาห์เวห์ พระเจ้า ทรงปั้นมนุษย์ ด้วยผงคลีจากพื้นดิน ระบายลมปราณเข้าทางจมูกของเขา  มนุษย์จึงกลายเป็นผู้มีชีวิตอยู่”

            ตรงนี้เป็นความจริงอันดับแรกเลยของมวลมนุษยชาติ  ที่จะรู้เรื่องพระเยซูคริสต์ รู้เรื่องสวรรค์ที่แท้จริง  รู้เรื่องพระเจ้าผู้ทรงเที่ยงแท้แต่เพียงพระองค์เดียว แม้ว่าจะมีเรื่องอยู่แค่บรรทัดเดียว แค่นี้เอง แต่เป็นสิ่งสำคัญมากเลย ที่ไม่ค่อยมีใครได้พูดกัน และเป็นเรื่องจริงที่สั้นๆ  แต่ยากเหลือเกินที่มนุษย์จะเข้าใจเรื่องนี้  เป็นกระดุมเม็ดแรกของมนุษยชาติ  ถ้าอยากจะรู้เรื่องพระเจ้า  อยากจะรู้ว่าพระเยซูเป็นใคร?  อยากจะรู้ว่าสวรรค์เป็นอย่างไร? ต้องเรียนรู้ความจริงอันดับแรก กระดุมเม็ดนี้ก่อนเลย คือว่าพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ ด้วยผงคลี จากพื้นดิน พวกเราก็รู้ คือร่างกาย และระบายลมปราณ  “ลมปราณ” นี้คือพระวิญญาณของพระเจ้า เข้าไปในจมูกของเขา คือเข้าไปในตัวของเขา มนุษย์จึงกลายเป็นผู้มีชีวิต ก็คือเป็นสิ่งที่มีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์

            เพราะฉะนั้น มนุษย์เป็นวิญญาณ  เรามัวแต่ใช้เวลาศึกษากันเยอะแยะ ทั้งวิทยาศาสตร์ ทั้งปรัชญา ทั้งอะไรต่างๆ  เพื่อจะศึกษาหาความจริงของโลกวัตถุ คือโลกใบนี้ คือดิน เยอะแยะไปหมดเลย ซึ่งเป็นประโยชน์ไหม? เป็นประโยชน์  แต่พระเยซูบอกเป็นประโยชน์น้อยกว่ามากเลย ที่จะรู้ความจริงเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ ตัวท่านเป็นใคร? ตรงนี้ ลึกซึ้งกว่าเยอะ  ปฐมกาล 2:16-17 …

        ปฐมกาล 2:16-17 “16 พระยาห์เวห์ พระเจ้า จึงตรัสสั่งมนุษย์นั้นว่า “ผลไม้ทุกอย่างในสวนนี้ เจ้ากินได้ตามใจชอบ 17 แต่ผลของต้นไม้แห่งการรู้ถึงความดีและความชั่วนั้น ห้ามเจ้ากิน เพราะในวันใดที่เจ้ากิน เจ้าจะต้องตายแน่”

            พูดง่ายๆ ก็คืออย่างตะกี้นี้ที่บอก … “ลูกอย่าไปเชื่อฟัง อย่าไปคิดออกจากบ้าน ถ้าออกจากบ้านไปนะ  เจ้าจะลำบาก เจ้าอย่าออกไปจากสวรรค์ พ่อทำไว้อย่างดี เรียบร้อยแล้วทั้งหมดเลย เจ้าออกไป รับผิดชอบตนเองไม่ได้หรอก”

            พูดง่ายๆ คือแค่นี้ สิ่งที่พ่อทำให้ ดียอดเยี่ยมทั้งหมดแล้ว คิดดูสิ ผลไม้ทุกอย่างในสวนนี้ เจ้ากินตามชอบใจได้  เล็งให้เห็นถึงสิ่งสารพัดมันเยอะมากเลย ที่พระองค์ทรงสร้าง  โลกทั้งใบ สรรพสิ่ง ธรรมชาติทุกอย่าง ดวงดาว ดวงจันทร์ มหาจักรวาลนี้ สร้างเพื่อโลกทั้งนั้น แล้วโลก สร้างเพื่อมนุษย์ เป็นบ้านของมนุษย์ ดีงาม ครอบครองไปเลย  ขออย่างเดียว คือเชื่อฟังพ่อนะ  อย่าหลงไปเชื่อใครอื่น ที่เขาหลอกลวง อย่าออกจากสวรรค์ อย่าพึ่งตนเอง  อย่าไปรับผิดชอบว่า …

            “ฉันทำดี ฉันทำยอดเยี่ยม”

            พ่อทำไว้ดี ครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว และบันทึกไว้ว่าความจริงก็เกิดขึ้น  ก็คือมนุษย์ถูกล่อลวงจริงๆ โดยมาร  และเราก็รู้กันอยู่แล้ว มนุษย์ตัดสินใจ เชื่อคำล่อลวงเหล่านั้น ก็คือฝืน  ไม่เชื่อคำเตือนของพระเจ้า ที่บอกไว้  ก็คือการตัดขาดตนเองออกจากการเป็นลูกของพระเจ้า  ออกจากสวรรค์ ออกจากบ้านไป กลายมาเป็น ไม่อยากจะบอกว่าเป็นลูกมาร ในพระคัมภีร์ใช้คำว่า “ทาสมาร” จากการเป็นลูกพระเจ้า กลายมาเป็นทาสมาร

            คำว่า “ทาสมาร” อย่าไปนึกว่ามารมีฤทธิ์อำนาจยิ่งใหญ่ มาเป็นทาส ไม่ใช่นะ มารก็คงไม่มีอำนาจอยู่เหมือนเดิม ใช้คำหลอกลวงเหมือนเดิม ล่อลวงเหมือนเดิม มนุษย์ออกจากสวรรค์มา ออกจากบ้านมา จากอยู่ในกฎแห่งพระคุณ ไม่ต้องรับผิดชอบ ไม่ต้องทำอะไรเลย ออกมาดูแลชีวิตด้วยตนเอง จะมาทำดีด้วยตนเอง ละชั่วด้วยตนเอง  ก็คือมารับผิดชอบด้วยตนเอง  มาอยู่ในกฎแห่งกรรม แทนที่จะเป็นกฎแห่งพระคุณ ไม่ต้องทำอะไรเลย พระเจ้าจะดูแลให้หมด ฉันจะออกมาดูแลตัวฉันเอง  ฉันจะอยู่ในกฎแห่งกรรม

            “กฎแห่งกรรม” คือฉันทำ ฉันได้ ฉันจะพยายามทำดี ด้วยตัวฉันเอง ฉันจะเท่ห์แล้วล่ะ  ซึ่งความคิดนี้ มันเริ่มต้นจากสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง ก็คือวิญญาณที่เป็นทูตสวรรค์ที่ชื่อ ลูซีเฟอร์ ก็คือตัวของมารนั่นเอง มันเกิดขึ้นในมารก่อน  เรียกว่าไม่เชื่อฟัง เรียกว่ากบฏ คิดว่าตัวเองแน่  และมาล่อลวงอาดัม บรรพบุรุษของเรา ตกลงไปในสิ่งที่เรียกว่ากฎแห่งความบาปและความตาย ฉันจะอยู่ในกฎแห่งความบาปและความตาย ฉันจะดูแลตัวฉันเอง  ฉันจะพึ่งพาตัวฉันเองในการกระทำดี ละชั่ว ที่เรียกว่ากฎแห่งกรรม

            กฎแห่งกรรม คือกฎแห่งการกระทำ เราทำดี เราได้ดี เราทำชั่ว เราได้ชั่ว ถามว่าอาดัมและเอวาตัดสินใจ เป็นสิ่งที่ดีไหม? ดีนะ ตามความคิดของมนุษย์ เห็นว่าดี มารมีสติปัญญาในการหลอกลวง ล่อลวงอย่างแนบเนียนมาก  มันไม่ได้ล่อลวงเราทำไม่ดีนะ มันล่อลวง ดูเหมือนทำดี  แต่มันทำไม่ได้ เพราะว่าในความเป็นจริงแล้ว  ไม่มีมนุษย์ผู้ใดที่จะสามารถทำดี ละชั่วได้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ไม่มีทางที่มนุษย์จะสามารถทำตัวเองให้สะอาดบริสุทธิ์เหมือนเดิม  คือเหมือนพระเจ้าได้  เพราะว่าเมื่อออกจากบ้านไป  พระสิริของพระเจ้าได้จากมนุษย์ไปเรียบร้อยแล้ว  วิญญาณของมนุษย์ที่พระเจ้าบอกว่าอย่าออกไปนะ ออกไปเจ้าจะตายนะ  เจ้าดูแลตัวเองไม่ได้หรอก  มนุษย์สลัดเอาพระสิริของพระเจ้าออกไป จากชีวิตของตน เขาได้ทำผิดจากเป้าหมาย ความประสงค์ของพ่อ ที่สร้างเขามา ให้เขามีความสุข อยู่ในพระคุณ  อยู่ในความดีงาม สิ่งต่างๆ ที่พระองค์ทรงสร้าง เขาตัดสินใจออกไปจากพระคุณ ออกไปจากสิ่งดีงามต่างๆ เหล่านั้น ผิดจากเป้าหมายที่พระเจ้าได้วางไว้ สำหรับเขา การผิดเป้าหมาย ภาษาพระคัมภีร์เรียกว่า “บาป”

            มนุษย์ตกไปในความบาป ก็คือมนุษย์ตกลงไปในการดำเนินชีวิต อยู่ในกฎแห่งกรรม กฎแห่งการกระทำรับดีรับชั่วด้วยตัวเอง ซึ่งผิดเป้าหมายจากพระประสงค์ของพระเจ้า เรียกว่าบาปนั่นเอง

            มนุษย์ทำชั่ว คืออะไร?  กระทำชั่ว คือทำบาป คือคนบอกว่าทำชั่ว คือทำสิ่งที่ไม่ดีอะไรต่างๆ เหล่านั้น จะบอกให้ ทำชั่ว คือทำอะไรก็ตามที่ไม่ได้อยู่ในความประสงค์ของพระเจ้า เป้าหมายของพระเจ้า ไม่มีชั่วมาก ชั่วน้อย  มีแต่ว่าไม่ใช่พระประสงค์ของพระเจ้า พระประสงค์ของพระเจ้าไม่ใช่อย่างนั้น  พระประสงค์ของพระเจ้า ให้เราอภัยให้คนอื่น เราทำไม่ได้ เท่ากับเราทำบาป แค่นั้นเอง นี่คือพระประสงค์ของพระเจ้า

            และเมื่อมนุษย์ไม่สามารถทำตัวเองให้บริสุทธิ์ดีพร้อมเหมือนเดิมได้ ได้อำนาจของความบาปและความตายนั่นแหละ นึกภาพออกไหม?  เพราะทำไม่ได้

            แรกๆ บอก … “ฉันจะทำด้วยตัวเอง ฉันทำได้ๆ”

            พระเจ้าบอก … “ทำไม่ได้”

            “ฉันจะทำให้ได้”

            พอทำไม่ได้ ก็เกิดการฟ้องผิด  ก็อยู่ในกฎของความบาปและความตาย ต้องรับโทษ การรับโทษ เรียกว่าถูกพิพากษา ตามมาด้วยอะไร? พอโดดเข้ามาอยู่ในกฎแห่งกรรม  กระทำดี กระทำชั่วปุ๊บ สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้น เป็นผล ก็คือคำสาปแช่ง  เกิดตามกฎที่บอกไว้ เมื่อทำไม่ได้ ทำชั่ว ไม่ทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า  ไม่ตามกฎที่พระเจ้าวางไว้  ก็ได้สิ่งที่ไม่ดีเข้ามา สิ่งที่ไม่ดีเหล่านี้ เขาเรียกว่า “คำสาปแช่ง” ก็คือพูดง่ายๆ ตรงกันข้ามกับพระพร เมื่อเชื่อฟังพระเจ้า  ได้พร ได้สิ่งที่ดีๆ พรต่างๆ เหล่านั้น ก็หายไป กลายเป็นคำสาปแช่ง ถูกพิพากษาลงโทษ ให้อยู่ในคำสาปแช่งนี้ ซึ่งเป็นไปตามกฎที่พระเจ้าได้วางไว้ และเตือนไว้ล่วงหน้าแล้วว่าอย่า พูดง่ายๆ เหมือนที่เราบอกลูกว่าอย่าออกจากบ้านไปนะ เจ้าออกไป เจ้าเละแน่เลย  ผู้คนหลอกลวง ล่อลวง บอกอย่าติดยาเสพติด อย่าไปเชื่อเขา อย่าไปลองเสพนะ  แล้วลูกเราไปเสพ แล้วก็เละตุ้มเป๊ะ ชีวิตล้มไปทั้งชีวิตเลย ทุกข์ทรมาน เหมือนกัน คล้ายๆ กัน

            ความจริง ตามกฎของพระเจ้าบอกว่าค่าจ้างของความบาป คือความตาย แทนที่จะอยู่ในพระคุณของพระเจ้า พระคุณของพระเจ้าได้มาเปล่าๆ  เป็นของขวัญที่พระเจ้าให้  ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลย แต่นี่มนุษย์อยากจะเข้าไปอยู่ในนี้  อยากจะทำด้วยตนเอง ค่าจ้างของความบาป ก็คือเมื่อไม่เป็นไปตามพระประสงค์ของพระเจ้า  ไม่เป็นไปตามเป้าหมายของพระเจ้า อยากออกมาทำเองใช่ไหม? อยู่ในพระคุณสบายๆ ไม่เอา ออกมาเหนื่อยด้วย เหนื่อยแล้วได้อะไร? ค่าจ้างของความบาป ก็คือเหนื่อยในการไม่เชื่อฟังพระเจ้า ทำด้วยตนเอง เกิดความตาย นี่คือสัจจธรรม ไม่ได้พระพร มีแต่คำสาปแช่ง จนถึงนิรันดร์เลย ที่ผมใช้อยู่บ่อยๆ คือมนุษย์แทนที่จะอยู่ในที่สบายๆ กลับตัดสินใจมาอยู่ในกฎของคำสาปแช่ง กฎของความบาป พึ่งพาตนเอง อยู่ในกฎของความพยายามอยู่ที่ไหน? แล้วก็บอกว่าความสำเร็จอยู่ที่นั่น  ซึ่งมันไม่มีจริง ถูกมารหลอก มนุษย์ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาให้พึ่งพาในตนเอง แต่มนุษย์ถูกสร้างให้พึ่งพาในพระเจ้า

            เพราะฉะนั้น เป้าหมายของพระเจ้า ก็คือถ้าลูกจะมีความสุขได้ ลูกต้องพึ่งพาในพ่อเท่านั้นเอง เพราะถูกสร้างมาอย่างนั้น รถมอไซด์ เขาออกแบบมา มี 2 ล้อ ก็ต้องใช้แบบมอไซด์ 2 ล้อ  รถที่สร้างมาแบบ 4 ล้อ ก็ใช้แบบ 4 ล้อ จะเอา 2 ล้อมาจอด แล้วก็ลอยๆ ยืนเฉยๆ ให้มันเหมือนรถ 4 ล้อ ไม่ได้ มันก็ล้มสิ มันต้องเอาขายันไว้ ในทำนองเดียวกัน มนุษย์ถูกสร้างมาให้สุขสบาย แต่ต้องอยู่ในน้ำพระทัยพระเจ้า คือเชื่อฟัง อยู่ในพระคุณ เมื่อไม่เชื่อฟัง อยากมาอยู่ด้วยตนเอง มนุษย์ก็จะตกอยู่ในคำสาปแช่ง จนเคยชิน แล้วให้คติกับตัวเองว่า …

            “ความพยายามอยู่ที่ไหน? ความสำเร็จก็อยู่ที่นั่น”

            พระเจ้าบอกไม่ใช่หรอก ไม่จริงหรอก  พระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์บอกว่าความพยายามอยู่ที่ไหน? ความพยายามก็อยู่ที่นั่นแหละ  ก็ทำต่อไป  เหมือนหนูถีบจักร อยู่ในวัฏจักรแห่งกรรม  ทำไปเถอะ ถีบไปๆ  ค่าแรงค่าจ้างในการถีบจักรอย่างดี  จะไปให้ถึงเป้าหมาย อยู่ที่เดิม เหนื่อยเปล่า อยู่ในความตาย แต่ถ้าอยู่ในพระคุณของพระเจ้า คือออกจากกฎแห่งกรรม วัฏจักรแห่งกรรม แล้วมานอนอยู่ที่บันไดเลื่อนแล้วกัน บันไดเลื่อน ชื่อพระเยซูคริสต์ บันไดเลื่อนมันจะเลื่อนไปเองนั่นแหละ เอเมนไหม? มองเห็นภาพไหม?

            โอเค กลับมาที่ ตั้งแต่มนุษย์ตกลงไปในความบาป พระเจ้ากับมนุษย์ก็อยู่ตรงกันข้าม  เป็นศัตรูกัน  คนหนึ่งอยู่ในสวรรค์ อีกคนหนึ่งอยู่บนโลก ที่ไม่มีพระเจ้าอยู่ อยู่คนละกฎกัน  ก็เป็นศัตรูกัน เข้ากันไม่ได้ พูดง่ายๆ ว่าพระเจ้าเป็นความสว่าง มนุษย์และโลก ก็อยู่ในความมืด เข้ากันไม่ได้  พระเจ้าเป็นความชอบธรรม เป็นความบริสุทธิ์ ก็เข้ากันไม่ได้ มนุษย์กับโลกก็เป็นความบาป  ความบาป คือการผิดเป้าหมาย โลกที่ถูกสร้างมาดีๆ เสียหายหมดเลย บ้านเละตุ้มเป๊ะ มนุษย์ก็เสียหายไปหมด อยู่ในคำสาปแช่ง มนุษย์จึงกลายเป็นคนบาป คนชั่ว โดยกำเนิดเกิดมาเป็น ทั้งโลกเป็นหมด  รวมทั้งหมนุษย์เกิดมาก็เป็น  เพราะว่ามนุษย์ทุกคนก็เกิดมาจากบรรพบุรุษ เราก็เกิดมาจากปู่ของเรา  ปู่เราก็เกิดมาจากทวด ทวดก็ไล่มาเรื่อยๆ  จนกระทั่งมนุษย์เกิดมาจากอาดัมนั่นแหละ อาดัมที่เราเรียนรู้เมื่อตะกี้นี้ว่า เป็นวิญญาณที่มาจากพระเจ้า พระเจ้าไม่ได้อยู่ในอาดัมแล้ว วิญญาณของอาดัม ไม่มีพระเจ้าอยู่ ไม่มีพระสิริของพระเจ้าอยู่แล้ว มีอะไรแทน มีบาป มีตัวตนของตัวเองอยู่ในนั้น ไม่ใช่มีมารนะ มีตัวตนของตัวเอง ทำด้วยตัวเอง เย่อหยิ่ง จองหอง เห็นแก่ตัว ทุกอย่าง ฉันเป็นใหญ่

            นี่แหละ คือสิ่งที่เกิดขึ้นของมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้  เพราะฉะนั้น มนุษย์ทุกคนจึงกลายเป็นคนบาป คนชั่วโดยกำเนิด เกิดมาเป็น  ไม่ใช่ไปทำชั่ว แต่วิญญาณข้างในมันชั่ว เพราะไม่ได้อยู่ในน้ำพระทัยพระเจ้า เดี๋ยวมันทำอะไรต่างๆ เป็นอาการ การประพฤติออกมา ก็จะเป็นการประพฤติที่ไม่ตรงกับน้ำพระทัยพระเจ้า ยกตัวอย่างน้ำพระทัยพระเจ้า พระเจ้าต้องการให้เขารู้ว่าเขามาจากไหน? เขามาจากพระเจ้าผู้เที่ยงแท้แต่เพียงพระองค์เดียว  แต่เขาไปกราบไหว้ภูเขาไฟ แล้วคิดว่าภูเขาไฟให้กำเนิดเขามา  แค่นี้เขาเรียกว่าทำชั่วแล้ว

            เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ทำอย่างไร? ความจริงแล้วพระเจ้าก็วางแผน ช่วยกู้มนุษย์ ให้รอดพ้นจากความพินาศนี้ จากสถานะนี้  จากการพิพากษาลงโทษ จากการเป็นคนบาป จะช่วยกู้เรา จึงวางแผนการ และแผนการนั้น ก็คือทรงให้พระบุตร คือพระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์  เป็นตัวแทนของมนุษย์พันธุ์ใหม่ พันธุ์ที่ไม่ใช่อาดัม ที่ล้มลงไปในความบาป ปฐมกาล 3:15 จึงได้บันทึกไว้อย่างนี้เลยว่าหลังจากที่มนุษย์ล้มลงในความบาป เชื่อมาร เกิดเหตุขึ้นในครอบครัวของพระเจ้า มนุษย์หลุดออกจากบ้านพระเจ้า หลุดออกจากสวรรค์ไปแล้ว หลุดออกจากพระสิริไปแล้ว อะไรเกิดขึ้น พระเจ้าวางแผนการอย่างไร? …

        ปฐมกาล 3:15 “เราจะให้​เจ้​ากับหญิงนี้​ เป็นปฏิปักษ์​กัน ทั้งเชื้อสายของเจ้ากับเชื้อสายของนาง เชื้อสายของนาง จะกระทำให้หัวของเจ้าแหลก และเจ้าจะกระทำให้ส้นเท้าของท่านฟกช้ำ”

            นี่เล็งให้เห็นถึงพระเยซูคริสต์ที่จะมาเกิดเป็นมนุษย์  เพื่อเป็นตัวแทนมนุษย์พันธุ์ใหม่ “ทั้งเชื้อสายของเจ้าและเชื้อสายของนาง” เชื้อสายของเจ้า เล็งถึงเชื้อสายของอาดัม ที่มารล่อลวงให้เชื่อฟัง เมื่อเชื่อมาร ก็เหมือนกับเป็นลูกหลานของมาร จริงๆ ไม่ใช่เป็นลูกหลาน แต่ไปเชื่อเขาไง ในพระคัมภีร์บอกว่าถ้าเชื่อใคร ก็เป็นทาสคนนั้น  ก็คือเชื่อฟังเขา

            เพราะฉะนั้น “เชื้อสายของเจ้า” ก็คือเชื้อสายของมนุษย์ทุกคน ที่อยู่ในอาดัม ซึ่งตกอยู่ใต้ความบาป โดนหลอกลวง โดยมารนั้น จะเป็นศัตรู อยู่ตรงกันข้ามกับเชื้อสายของนาง

            “เชื้อสายของนาง” ตรงนี้ หมายถึงหน่อเชื้อ  หน่อเชื้อตรงนี้หมายถึงพระเยซูคริสต์ เพราะภาษาเดิม หน่อเชื้อ ตรงนี้ เป็นเอกพจน์  ไม่ใช่เป็นพหูพจน์  ไม่ใช่หมายถึงหน่อเชื้อต่างๆ แต่หน่อเชื้อตรงนี้ หมายถึง 1 เดียว ที่เกิดจากหญิง  ปกติแล้ว พระเจ้าให้กฎเกณฑ์ไว้ว่ามนุษย์สืบเผ่าพันธุ์มาจากผู้ชายเป็นหลัก DNA ทางวิญญาณมาจากผู้ชายเป็นหลัก

            ฉะนั้น คำว่า “สืบเชื้อสาย” เขาจึงสืบเชื้อสายผ่านทางผู้ชายเท่านั้น แต่นี่บอกไว้เลยว่าเชื้อสายของนาง ก็คือเชื้อสายที่มาจากผู้หญิง ในโลกนี้ไม่มีใครเลยที่เกิดมาจากผู้หญิง  เกิดจากผู้ชายทั้งสิ้น  นี่คือกฎทางวิญญาณที่ในพระคัมภีร์บันทึกไว้

            เพราะฉะนั้น หมายถึงหน่อเชื้อ ก็คือมนุษย์คนเดียวในโลกใบนี้ ที่จะเกิดจากหญิง  โดยไม่มีชายเกี่ยวข้อง ก็คือแมรี่ หญิงพรหมจารี เกิดโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า  ก็คือพูดง่ายๆ วางแผนก่อนเลยว่าพระเยซูจะมาเกิดเป็นมนุษย์  ในหญิงพรหมจารี เพื่อจะช่วยเหลือมนุษย์ โดยการเหยียบหัวของเจ้าให้แหลก  “เจ้า” พูดง่ายๆ เล็งถึงมารที่จะมาหลอกลวง ล่อลวง  ให้มนุษย์ทำบาปนั่นเอง เหยียบหัวให้แหลก ก็คือทำลายความบาปและความตายออกไป เพราะถ้าเราเข้าใจอย่างนี้ จะได้ไม่ต้องกลัวมารมันมีอำนาจอะไร? ไม่มีอะไรเลย มันหลอกลวงทั้งสิ้น  โดยใช้กฎหมายนี้ มันเป็นตัวหลอกลวง  เหมือนกับมนุษย์ในปัจจุบัน  ที่เรามีลูก ลูกเราไม่รู้เรื่อง  ถูกคนข้างนอก หลอกลวง ล่อลวง บอกให้เซ็นอันนี้นะ เซ็นอันนั้นนะ ไปเชื่อฟังอะไรเขาต่างๆ ล่อลวง เช่นเดียวกัน มนุษย์ถูกล่อลวง แล้วพระเจ้าก็จะส่งพระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์  เพื่อจะได้พามวลมนุษย์ กลับคืนมาสู่สถานะเดิม

            เราจะมาดูว่าเมื่อพระเจ้าวางแผนการเริ่มต้นไว้อย่างนั้นแล้ว  แล้วในพระคัมภีร์จากนั้นมา มนุษย์ที่รู้ความจริง เรื่องเหล่านี้ ในตอนเริ่มต้น คืออาดัมและเอวา และมนุษย์รุ่นแรกๆ หลายพันปีก่อนโน้น  ก็เฝ้ารอ รอว่าเมื่อไรเด็กคนนี้  หน่อเชื้อจากหญิงนี้ จะมาสักทีหนึ่ง พระคัมภีร์เดิมใช้คำว่าพระเมสิยาห์ แปลว่าผู้ช่วยให้รอด  ทุกคนก็เฝ้ามอง  เมื่อไรพระเมสิยาห์จะมา  พระเจ้าสัญญา ท่านลองคิดดูสิ เขาจะมานั่งคิดหรือว่าต้องมานั่งรอไปอีก 1,000 ปี อีก 3,000 ปี อีก 5,000 ปี 8,000 ปี เขาไม่ได้คิดหรอก เขาก็คิดว่าพระเจ้าทำวันพรุ่งนี้แหละ มะรืนนี้แหละ แต่ละรุ่นๆ ของมนุษย์มา น่าจะเป็นพรุ่งนี้มั้ง พอมีลูกชายคนหนึ่ง ก็ดีใจ ใช่มั้งๆ ก็ไม่ใช่ แต่ที่ไม่ใช่ ตัวเขาเองก็เสียชีวิตไปแล้ว คนรุ่นใหม่ก็รอต่อไป คนนี้อาจจะใช่ ก็เลยดีใจ เมื่อมีลูกชาย แค่นั้นเอง

            เรามาดูตั้งแต่เริ่มต้นว่าในปฐมกาล พระเยซูคริสต์เป็นใคร? เป็นพระเจ้าจริงหรือไม่? พระคัมภีร์บันทึกไว้ชัดเจนว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า  แล้วมาเกิดเป็นมนุษย์อย่างไร? ยอห์น 1:1-5 ได้บันทึกอย่างนี้ว่าพระเยซูเป็นพระวาทะ คือถ้อยคำพระเจ้า  เป็นพระเจ้า เป็นพระบุตรของพระเจ้า  อยู่กับพระเจ้าตั้งแต่เริ่มต้น ก่อนที่จะสร้างอะไรทั้งหลายทุกสิ่งทุกอย่าง  เริ่มต้นขึ้นมา ก็มีพระเจ้าแล้ว  และพระเจ้าผู้นั้น ก็มีพระบุตร ชื่อว่าพระเยซูคริสต์ เพิ่งให้ชื่อทีหลัง ตอนที่ส่งลงมาช่วยมนุษย์ จึงตั้งชื่อตามหน้าที่ คือมาช่วยมนุษย์ให้รอด จึงตั้งชื่อว่าพระเยซู ซึ่งแปลว่าผู้ช่วยให้รอด เติม “คริสต์” เข้าไป ก็คือผู้ที่ถูกแต่งตั้ง เจิมไว้ให้เป็นผู้ช่วยให้รอด เรียกว่าพระเยซูคริสต์ แต่ก่อนหน้านั้น พระองค์ไม่มีชื่อ พระองค์มีนามว่าพระวาทะ ตามหน้าที่ของพระองค์ ก็คือเป็นถ้อยคำของพระเจ้า  พระเจ้าเป็นผู้วางแผน เป็นผู้คิดว่าอยากจะทำอะไร?

            ยกตัวอย่าง พระเจ้าคิดอยากจะสร้างโลก พระเจ้าก็ปรึกษา บอกพระเยซู พระเยซู คือถ้อยคำ พระเจ้าก็ตรัสออกมา “จงมีโลกเกิดขึ้น” นึกภาพนะ คำพูดนี้ คือพระเยซู แล้วพระเยซูก็ออกไป ไปถึงที่ว่างเปล่า ที่จะเกิดโลกนั้น พระเยซูไปถึงปุ๊บ ก็กดปุ่ม ให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งเป็นฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้า ทำการสร้างโลกนี้ขึ้นมา  เป็นอย่างนั้น อ่านยอห์น 1:1-5 …

        ยอห์น 1:1-5 “1 ในปฐมกาล พระวาทะ (พระเยซูคริสต์) ทรงดำรงอยู่ และพระวาทะทรงอยู่กับพระเจ้า และพระวาทะทรงเป็นพระเจ้า 2 พระองค์ทรงอยู่กับพระเจ้า ตั้งแต่ปฐมกาล 3 สรรพสิ่งถูกสร้างขึ้น โดยทางพระองค์ ในบรรดาสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมานั้น ไม่มีสักสิ่งเดียว ที่ไม่ได้ถูกสร้างขึ้น โดยทางพระองค์ 4 ในพระองค์ คือชีวิต และชีวิตนั้น เป็นความสว่างของมนุษย์  5 ความสว่างส่องเข้ามาในความมืด แต่ความมืดไม่ได้เข้าใจความสว่างนั้น”

            พระองค์เป็นชีวิต พระองค์สร้างทุกสิ่ง พระองค์มีส่วนในทุกอย่าง ที่ทรงสร้าง ส่วนหนึ่งของพระองค์เป็นต้นไม้อยู่ สร้างต้นไม้ สร้างมนุษย์ พระองค์ก็อยู่ในส่วนของมนุษย์ เมื่อไม่มีพระเยซู ก็ไม่มีชีวิตอยู่  ก็คือตายอยู่นั่นเอง  พระองค์ทรงเข้ามาในโลกใบนี้ โลกใบนี้เป็นความมืด  อย่างที่ตะกี้นี้บอก  โลกใบนี้เป็นศัตรูกับพระเจ้า พระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า เพราะฉะนั้น มาบนโลกใบนี้ โลกไม่รู้จักพระองค์ จะรู้จักได้อย่างไร? ในเมื่ออยู่คนละขั้ว ความมืดกับความสว่าง อ่านข้อที่ 10-14 ต่อ …

        ยอห์น 1:10-14 “10 พระองค์ทรงอยู่ในโลก และแม้ว่าโลกถูกสร้างขึ้น โดยทางพระองค์ แต่โลกก็ไม่ได้รู้จักพระองค์ 11 พระองค์ทรงเข้ามาในดินแดนของพระองค์เอง แต่คนของพระองค์เอง ไม่ยอมรับพระองค์ 12 ส่วนคนทั้งปวงที่ยอมรับพระองค์ ผู้ที่เชื่อในพระนามของพระองค์ พระองค์ก็ประทานสิทธิให้เป็นบุตรของพระเจ้า 13 คือเป็นบุตรที่ไม่ได้เกิดจากการสืบเชื้อสายตามธรรมชาติ หรือจากการตัดสินใจของมนุษย์  หรือจากเจตจำนงของสามี แต่เกิดจากพระเจ้า 14 พระวาทะทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ และประทับอยู่ท่ามกลางเรา พระองค์ทรงเปี่ยมด้วยพระคุณและความจริง  เราได้เห็นพระเกียรติสิริของพระองค์ คือพระเกียรติสิริของพระบุตรองค์เดียว ผู้ทรงมาจากพระบิดา”

            พระเยซูทรงอยู่ในโลก มาเกิดเป็นมนุษย์ในโลกนะ แม้ว่าโลกถูกสร้างขึ้นโดยทางพระองค์ เห็นไหมครับ?  แต่โลกไม่ได้รู้จักพระองค์ เพราะว่าตกอยู่ในความบาป  คำสาปแช่ง พระองค์ทรงเข้ามาในดินแดนของพระองค์เอง  แต่คนของพระองค์ไม่ยอมรับพระองค์ ดินแดนของพระองค์ หมายถึงชนชาติอิสราเอล ชนชาติยิวที่พระเจ้าส่งพระเยซูมาบังเกิดในหญิงพรหมจารีนี้ อยู่ในตระกูล อยู่ในเผ่าพันธุ์ของชาวยิว  ชาวอิสราเอล  แผนการของพระองค์ เริ่มต้นจากชาวอิสราเอลก่อน  แล้วข่าวดีนี้ถึงจะแพร่หลายมาถึงชาวที่ไม่ใช่ยิว ก็คือชาวต่างชาติ ใครก็ตามมนุษย์ทุกคน

            ปรากฏว่าในอิสราเอล พี่น้องแท้ๆ ตามสายเลือดของมนุษย์ ที่พระเยซูเกิดจากชาวยิว ชาวยิวไม่ยอมรับพระองค์ว่าเป็นพระเมสิยาห์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์

            ข้อ 12 จึงบันทึกว่าส่วนคนทั้งปวงที่ยอมรับพระองค์ ส่วนคนต่างชาติอื่นๆ ที่ข่าวดีถูกประกาศออกไป หมายความว่าพระเยซูมาบังเกิดแล้ว  วันคริสต์มาส คือพระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน เพื่อท่านทั้งหลาย  คนเหล่านั้นที่ยอมรับพระองค์ ยอมรับพระเยซู ผู้ที่เชื่อในนามของพระองค์ คือในนามของพระเมสิยาห์  พระผู้ช่วยให้รอด พระเจ้าองค์เดียวที่พระเจ้าพระบิดาส่งมาช่วยเหลือมนุษย์  ใครที่เชื่อในนามของพระเยซูว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระองค์ก็ประทานสิทธิ

            สิทธินี้ แปลว่าฤทธิ์อำนาจ พระองค์ก็ทรงประทานฤทธิ์อำนาจจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ ให้เขาได้บังเกิดใหม่  เป็นลูกของพระเจ้าเลย

            ข้อ 13 คือเป็นลูกที่ไม่ได้เกิดจากการสืบเชื้อสายตามธรรมชาติ  หรือจากการตัดสินใจของมนุษย์ หรือจากเจตจำนงของสามี แต่เกิดจากพระเจ้า

            เห็นอะไรบางอย่างหรือยัง? ได้เกิดใหม่ทันทีเลย  พระวาทะทรงบังเกิดเป็นมนุษย์  และประทับอยู่ท่ามกลางเรา พระองค์ทรงเปี่ยมด้วยพระคุณ และความจริง เราได้เห็น พระเกียรติสิริของพระองค์ คือพระเกียรติสิริของพระบุตรองค์เดียว ผู้ทรงมาจากพระบิดา  ก็คือผู้ที่พระเจ้าได้เจิมตั้งไว้ ตั้งแต่เมื่อตะกี้นี้ ที่เราอ่านกันในปฐมกาล

            ฟีลิปปี 2:5-7 ได้ยืนยันอีก อย่างชัดเจนว่าพระเยซูเป็นพระเจ้าจริงๆ และยอมสละสถานะพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ที่ต่ำต้อยเหมือนเราทั้งหลาย …

        ฟีลิปปี 2:5-7 ”5 จงมีจิตใจเช่นนี้ในพวกท่าน เหมือนอย่างที่มี ในพระเยซูคริสต์ 6 ผู้ทรงสภาพเป็นพระเจ้า ไม่ทรงถือว่าความทัดเทียมกับพระเจ้า เป็นสิ่งที่จะต้องยึดไว้ 7 แต่ทรงสละพระองค์เอง และทรงรับสภาพทาส ทรงถือกำเนิดเป็นมนุษย์ และทรงปรากฏอยู่ในสภาพมนุษย์”

            ยืนยันอย่างชัดเจนว่าพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงสภาพเป็นพระเจ้า ไม่ทรงถือว่าความทัดเทียมกับพระเจ้า เป็นสิ่งที่น่ายึดถือไว้ ก็คือไม่เสียดาย ไม่นึกถึงสถานะของตนเองที่เป็นพระเจ้า แต่ทรงยอมสละพระองค์เอง คือสละตำแหน่งพระบุตรของพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่ มาอยู่ในสภาพทาส ทาสคืออะไร?  ทาสของกฎของความบาปและความตาย กฎแห่งกรรม พูดง่ายๆ ว่าลงมาเกิดเป็นมนุษย์  และอยู่ภายใต้กฎแห่งกรรม  กฎแห่งการทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เรียกว่ากฎของความบาปความตาย ร่วมกับเราทั้งหลาย เหมือนกับเราเลย ไม่เหมือนเพียงอย่างเดียว คือพระองค์ทำได้ พระองค์ไม่ได้ประพฤติชั่ว ทำดีตลอดเลย แต่อยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตาย อยู่ภายใต้กฎแห่งกรรม กฎของพระองค์ คือทำแต่สิ่งที่ดีตลอด เพราะว่าวิญญาณข้างในพระองค์ เป็นวิญญาณที่มาจากพระเจ้า  แต่วิญญาณของเราเป็นวิญญาณที่หล่นหายไปจากพระเจ้าแล้ว เป็นวิญญาณบาปนั่นเอง

            กาลาเทีย 4:4-7 จึงบอกว่าสิ่งที่มนุษย์รอมา รอให้เกิดขึ้น ก็คือที่พระเจ้าสัญญาไว้ว่าจะส่งพระบุตรของพระองค์ ส่งพระมาซิฮาห์มาช่วยเหลือมนุษย์ ให้รอด ให้พ้นจากกฎของความบาปและความตาย รอจนกระทั่งลืมไปแล้ว รอจนกระทั่งนึกว่าถึงอาทิตย์หนึ่ง  อีก 2 อาทิตย์ อีกปีหนึ่ง อีก 5 ปี รอจนหลายพันปี จนในที่สุด สิ่งที่พระองค์ทรงสัญญาไว้ และบอกมาทุกรุ่นๆ 500 ปีก็บอก  200 ปีก็บอก 100 ปีก็บอก พันปีก็บอก บอกมาเรื่อยๆ เลย หนึ่งในจำนวนนั้น คือเจ็ดร้อยปีที่แล้ว  บอกไว้เหมือนกันว่าเด็กที่จะมาเกิด ที่จะมาช่วยเหลือเขาจะตั้งชื่อให้ว่าอิมมานูเอล แปลว่าพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย อ้าว! พอถึงวันเวลาจริงๆ เมื่อ 2,000 ปีผ่านมา วันคริสต์มาสแรกของโลก 2,000 ปีมาแล้ว เกิดขึ้นจริงๆ กาลาเทีย 4:4-7 ได้บันทึกไว้ …

        กาลาเทีย 4:4-7 “4 แต่เมื่อถึงกำหนด พระเจ้าได้ทรงส่งพระบุตรของพระองค์ (พระเยซู) มาประสูติจากครรภ์ของผู้หญิง ถือกำเนิดภายใต้บทบัญญัติ 5 เพื่อไถ่คนทั้งปวง ซึ่งอยู่ใต้บทบัญญัติ เพื่อเราจะได้รับสิทธิของบุตร (เป็นลูกของพระเจ้าได้) อย่างสมบูรณ์” 6 และเพราะท่านเป็นบุตรของพระเจ้าแล้ว พระองค์จึงทรงใช้พระวิญญาณแห่งพระบุตรของพระองค์ เข้ามาในใจของเรา ร้องว่าอาบา คือพระบิดา 7 เหตุฉะนั้น โดยพระเจ้า ท่านจึงไม่ใช่ทาสอีกต่อไป แต่เป็นบุตร และถ้าเป็นบุตรแล้ว ท่านก็เป็นทายาท”

            แต่เมื่อถึงวันคริสต์มาสแรกของโลก  เมื่อ 2,000 ปีที่ผ่านมา ถึงเวลาที่พระเจ้าได้ส่งพระบุตรของพระองค์ ก็คือพระเยซูคริสต์ มาประสูติจากครรภ์ของผู้หญิง  เห็นหรือยังหน่อเชื้อของหญิงพรหมจารี ไม่เกี่ยวกับผู้ชาย ถือกำเนิดภายใต้บทบัญญัตินี่แหละ คือกฎแห่งกรรม กฎแห่งการกระทำ  กฎของการทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ที่อาดัมเอาเข้ามา  ในเผ่าพันธุ์ของอาดัม มนุษย์บนโลกใบนี้ อยู่ใต้กฎนี้อยู่ พระเยซูลงมาอยู่บนโลกใบนี้  อยู่ใต้กฎนี้เหมือนกัน ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง  เหมือนกับเราทั้งหลาย เพื่อไถ่คนทั้งปวง ที่อยู่ใต้กฎบัญญัติ

            คนทั้งปวงที่อยู่ใต้กฎบัญญัติ ก็คือมนุษย์บนโลกใบนี้ทั้งหมด ที่เป็นลูกหลานของอาดัม  คือมนุษย์ทั้งปวงที่เกิดมาแล้ว  และที่ยังไม่เกิดอีก เรายังไม่รู้ว่าจะมีถึงเมื่อไร?  พระเจ้าก็ไม่ได้บอกไว้ เพื่อไถ่คนทั้งปวงที่อยู่ใต้บทบัญญัติ  ก็คืออยู่ใต้ความบาป กฎแห่งกรรม กฎแห่งความพยายามอยู่ที่ไหน? ความพยายามอยู่ที่นั่น ทำไปๆ กฎแห่งหนูถีบจักร วัฏจักรแห่งการกระทำ ทำดีทำชั่ว อยู่ที่เดิม ไม่ได้ไปไหนเลย ไถ่คนทั้งปวงที่อยู่ใต้บทบัญญัติ เพื่อเราจะได้รับสิทธิเป็นบุตร  เป็นลูกของพระเจ้า อย่างสมบูรณ์

            “เรา” คือมนุษยชาติทั้งปวงเลย  เพื่อว่ามนุษยชาติที่อยู่ใต้บัญญัตินั้น จะได้กลับมาสู่บ้านของพระเจ้า  กลับมาเป็นลูกของพระเจ้าเหมือนเดิม  และเพราะท่านเป็นบุตรของพระเจ้าแล้ว หมายถึงว่าถ้าท่านเชื่อและวางใจในพระบุตร เพราะพระเยซูบังเกิดแล้ว ท่านต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว ด้วยความเชื่อของท่าน ท่านจะเป็นบุตรของพระเจ้า พระองค์จึงใช้พระวิญญาณแห่งพระบุตรของพระองค์เข้ามาในใจของเรา ให้เรียกพระเจ้าว่า “พ่อ” เพราะท่านจะเกิดเป็นบุตร โดยวิญญาณของท่านจะบังเกิดใหม่ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเข้ามาสถิตอยู่ด้วย และจะนำท่าน ภายในวิญญาณของท่าน จะเรียกพระเจ้าว่า “พระบิดา” หรือ “พ่อ”

            เมื่อเป็นเช่นนั้น โดยพระเจ้า ท่านจึงไม่ใช่ทาสอีกต่อไป แต่เป็นบุตร ก็หมายถึงถ้าท่านเชื่อและวางใจ และได้บังเกิดใหม่แล้ว ท่านจะรู้ในใจของท่าน ท่านไม่ได้เป็นทาสของความบาปและความตายอีกต่อไปแล้ว ไม่ต้องอยู่ใต้อำนาจของความบาปและความตาย  ไม่อยู่ใต้อำนาจของการกระทำดี กระทำชั่ว  ไม่ได้อยู่ใต้อำนาจของกฎแห่งกรรม ไม่มีเจ้ากรรมนายเวรมาคอยชี้ท่านว่าท่านต้องชดใช้ๆ ไม่ต้องอีกแล้ว ท่านไม่ได้เป็นทาสใครทั้งสิ้น แต่ท่านเป็นผู้ที่บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า อยู่ใต้พระคุณ กลับมาเป็นลูกเหมือนเดิม โดยเกิดใหม่ อยู่ใต้พระคุณแล้ว อยู่ใต้พระคุณ ก็คือไม่ต้องรับผิดชอบอะไรทั้งสิ้น เป็นลูกเลย ทำอะไรต่างๆ ก็เป็นลูก เมื่อเป็นลูกแล้ว เป็นเลย ออกมาไม่เชื่อฟัง เดินไปที่นั่น เดินไป ก็ยังเป็นลูกอยู่ นี่เรียกว่าใต้พระคุณ

            เพราะฉะนั้น ข่าวดีวันคริสต์มาส ก็คือพระเยซูผู้ทรงเป็นพระเจ้า ได้สละสถานะพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์  เพื่อมนุษย์จะได้สามารถบังเกิดใหม่ในวิญญาณ มาเป็นลูกของพระเจ้าได้เหมือนเดิม ตามพระประสงค์ของพระองค์ ที่วางไว้ ตั้งแต่ก่อนสร้างโลกแล้วว่าจะมีครอบครัว และจะมีมนุษย์เป็นลูกของพระองค์ นี่คือน้ำพระทัยของพระเจ้า

            นี่คือคำตอบของเรื่องนี้  ทำไมพระเยซูต้องมาเกิดเป็นมนุษย์  ก็เพื่อเป็นตัวแทนของมวลมนุษยชาติ  เป็นมนุษย์ผู้เดียวที่อยู่ใต้กฎบัญญัติ แห่งการกระทำดีกระทำชั่ว และเป็นผู้เดียวที่ทำได้จริงๆ คือไม่ได้ทำชั่วเลย เพราะไม่ได้เป็นคนบาป แต่เป็นมนุษย์ เป็นตัวแทนของเรา จึงสามารถเป็นหัวหน้าของเรา ในการนำพามวลมนุษยชาติ ให้เข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับสภาวะของพระเจ้าได้ วิญญาณเรากลับคืนสู่สภาวะเป็นเหมือนพระเจ้าได้ โดยการบังเกิดใหม่ ร่วมกับพระองค์ การเข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ในการบังเกิดใหม่นี้ พระคัมภีร์ใช้คำ ตามศัพท์ของภาษาสมัยนั้นว่า “บัพติศมา” แปลเป็นไทยว่า “เข้าส่วนร่วม” พูดง่ายๆ ว่าจากเดิมที่มนุษย์เกิดมาบนโลกใบนี้ อยู่ใต้บาป ได้บัพติศมาเข้าส่วนร่วมในความบาปกับบรรพบุรุษ คืออาดัม ได้ย้ายบัพติศมาเข้าส่วนร่วม ในความชอบธรรม ในความบริสุทธิ์ เหมือนพระเยซูคริสต์ ในการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์

            “จากเดิม มนุษย์เกิดมาบนโลกนี้ ได้บัพติศมาเข้าส่วนร่วม ในความบาปกับบรรพบุรุษ คืออาดัม ได้ย้ายมาบัพติศมาเข้าส่วนร่วม ในความชอบธรรม  ในความบริสุทธิ์  เหมือนพระเยซูคริสต์ ขอบคุณพระเจ้า”

             พระเยซูมาทำให้มนุษย์ที่เชื่อในพระองค์ ทำให้มนุษย์ตัวตนเดิม คือวิญญาณ ที่อยู่ใน DNA บาปของอาดัม ให้มันตายไป แล้วให้เราบังเกิดใหม่  เข้ามาอยู่ใน DNA ทางวิญญาณ เป็นผู้บริสุทธิ์ ชอบธรรม ดีพร้อมเหมือนพระเยซูคริสต์ ตามที่ได้บันทึกไว้ในหนังสือโรม 6:3-6 …

        โรม 6:3-6 “3 ท่านไม่รู้หรือว่าเราทั้งปวงที่เชื่อ (พระเยซู) ก็ได้ (รับบัพติศมา โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า) ถูกนำเข้าไป เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ก็ได้เข้าส่วนร่วม ในความตายของพระองค์ (ที่ไม้กางเขน) ในการบัพติศมานั้น 4 ดังนั้น เราจึงได้ถูกฝังไว้กับพระองค์ โดยการได้บัพติศมาเข้าส่วนร่วมในความตาย เพื่อว่าเราเองก็จะได้มีชีวิตใหม่ (บังเกิดใหม่) เช่นเดียวกับที่พระเจ้าได้ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย (บังเกิดใหม่) โดยฤทธิ์อำนาจ แห่งพระวิญญาณ และพระเกียรติสิริของพระบิดา 5 ฉะนั้น ถ้าเราได้มีส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ในการตาย แน่นอน เราจะมีส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ในการเป็นขึ้นจากตาย(บังเกิดใหม่) ด้วยเช่นกัน 6 เพราะเรารู้ว่าตัวเก่าของเรา (ที่อยู่ในบาปในอาดัม) ได้ถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว เพื่อตัวบาปเก่านั้นจะได้ถูกขจัดไป (ตายจากบาป) เพื่อเราจะไม่เป็นทาสบาปอีกต่อไป”

            ข้อ 6 ที่บอกว่า “เพราะเรารู้ว่าตัวเก่าของเราที่อยู่ในบาป ในอาดัมนั้น ได้ถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว  เพื่อตัวบาปเก่านั้น จะได้ถูกขจัดไป คือตายไป ก็คือตัวบาปเราตายไปแล้ว เพื่อเราจะไม่เป็นทาสบาปอีกต่อไป”

            เพราะฉะนั้น ก็เท่ากับว่าเราได้บังเกิดใหม่ เช่นเดียวกับพระเยซู เพราะว่าเมื่อเราเชื่อในพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระเจ้าจะกำจัดวิญญาณบาปของเรา ที่ในอาดัมนั้น ให้หลุดไป แล้วก็ย้ายเราเข้ามาบัพติศมา อยู่ในพระเยซูคริสต์ เข้าส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ คือการเป็นขึ้นจากความตาย  คือการบังเกิดใหม่ นี่คือข่าวดีวันคริสต์มาส คือพระเยซู ผู้ทรงเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์  เพื่อมนุษย์จะได้กลับสู่สวรรค์ บังเกิดใหม่ มาเป็นลูกของพระเจ้าได้เหมือนเดิม ตามน้ำพระทัยของพระเจ้า โดยแค่เชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ เพียงอย่างเดียวเท่านั้น มันง่ายเหลือเกิน เพียงแค่เชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์เท่านั้น ทุกสิ่งที่เราพูดกันมาทั้งวันนี้ ทั้งชั่วโมงนี้ มันเกิดขึ้นกับเขาคนนั้น ใครก็ตามที่เชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าอวยพรครับ

********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            ทันที! ทันที! ย้ำอีกครั้ง ทันที! ผู้ใดเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดจากบาป ผู้นั้นจะบังเกิดใหม่ เป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่ เหมือนพระเยซูคริสต์ทันที

            2 โครินธ์ 5:17 … “เหตุฉะนั้น ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ การทรงสร้างใหม่ได้เกิดขึ้นแล้ว สิ่งเก่าได้ล่วงไป สิ่งใหม่ได้เข้ามา!”

            ดังนั้น ถ้าผู้ใดได้อยู่ในพระคริสต์ ผู้นั้นก็ได้รับบัพติศมาเข้าเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ด้วยความเชื่อในพระองค์ ผู้เป็นพระผู้ช่วยให้รอด คนนั้นจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้างขึ้น เป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่ บังเกิดใหม่โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า สิ่งเก่าๆ ทั้งหมดก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็นศีลธรรม ที่พยายามรักษาได้บ้างไม่ได้บ้าง หรือการกระทำการงานใดๆ ที่เราภาคภูมิใจ หรือว่าสถานะในวิญญาณที่มืดบอดนั้น คือตัวเก่าของเรา ได้ตายไปแล้ว มันได้ถูกยกเลิกลบล้างไปแล้ว ได้ผ่านไปแล้ว จงมอง ด้วยตาฝ่ายวิญญาณให้เห็นเถิด สิ่งใหม่ๆ ทั้งสิ้นได้ปรากฏขึ้นมา เพราะการบังเกิดใหม่นี้ นำมาซึ่งชีวิตใหม่ ในพระเยซูคริสต์

            วิญญาณใหม่เอี่ยมเหมือนพระคริสต์ จิตใจใหม่เอี่ยมเหมือนพระคริสต์ ร่างกายเดิมแต่ได้รับการชำระด้วยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ และได้รับชีวิตจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตภายใน ร่างกายสะอาดหมดจด เป็นที่พอใจของพระเจ้าแล้ว

            เหลือเพียงแค่ความคิดในสมอง ที่ยังมีข้อมูลเดิมอยู่ ซึ่งเป็นข้อมูลจากอิทธิพลของความบาป ที่เรียกว่ากิเลสตัณหาของเนื้อหนัง ซึ่งเป็น ป้อมปราการที่เป็นศัตรู เป็นปฏิปักษ์ต่อต้านพระเจ้า ความคิดเนื้อหนังนี้มันคอยรับสื่อการกระตุ้น จากพลังอำนาจของความบาปและความตาย และอิทธิพลของหลักการพื้นฐาน ของระบบการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ที่เป็นความมืด ไม่มีพระเจ้า ซึ่งปกคลุมอยู่เหนือทุกสิ่งในโลกใบนี้ทั้งหมด ที่ควบคุมโดยมาร ที่คอยยุแหย่หลอกลวง ขโมย ฆ่า และทำลาย

            ข้อมูลความคิดเดิมที่อยู่ในสมอง ที่เป็นป้อมปราการนี้ กำลังอยู่ในกระบวนการการเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจใหม่ อยู่ในกระบวนการการทำลายล้างป้อมปราการนี้ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้สถิตอยู่ภายในร่างกาย แต่จะทำการงานได้ดี ต้องได้รับความร่วมมือจากตัวเรา เจ้าของร่างกายนี้ด้วย ซึ่งเราเรียกกันว่ายอมให้พระเจ้าเปลี่ยนแปลงความคิด โดยการฝึกฝนความคิดให้เชื่อฟัง และจดจ่อไปที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่อยู่ภายในเสมอๆ  ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ในแต่ละวัน แต่ละนาที ด้วยถ้อยคำ ความจริงในข่าวประเสริฐในพระคริสต์ ที่บอกว่าในโลกวิญญาณนั้นเราได้บังเกิดใหม่ เราได้เป็นใครในพระคริสต์แล้ว

            ซึ่งถ้อยคำแห่งความจริงนี้ จะเป็นอาวุธไปทำลายป้อมปราการความคิดเดิมนั้น ให้ค่อยๆเบาบางลง แต่ไม่มีวันสูญสิ้นไป สงครามนี้ยังคงดำเนินต่อเนื่อง ตราบใดที่เรายังหายใจอยู่ในร่างกายนี้ อยู่บนโลกใบนี้ ข้อมูลความคิดในสมองเดิม ป้อมปราการนี้ อิทธิพลของกิเลสตันหาของเนื้อหนังนี้ มันยังคงซ่อนตัวอยู่ในเราตลอดไป จนกว่าเราจะได้รับร่างกายใหม่ ร่างกายสวรรค์มาแทนที่ร่างกายเดิมนี้

            ฉะนั้น โปรแกรมข้อมูลในความคิดชั่ว ที่เป็นป้อมปราการนี้ จึงไม่ใช่ตัวเรา แต่มันเป็นศัตรูที่คอยทำลายชีวิตของเรา ที่แอบซ่อนอยู่ในตัวของเรานั่นเอง เหมือนปรสิต เหมือนเชื้อไวรัส ที่แอบอาศัยอยู่ในร่างกายของมนุษย์

            พรเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1447

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  17  ธันวาคม  2023

เรื่อง “อิสระจากความกลัวทั้งปวง (เพราะพระองคทรงอยู่)”

ตอน 6 “อิสระจากความกลัวพระเจ้า”

โดย  นคร  เวชสุภาพร

            ให้เราหันไปบอกกันและกันว่า “Merry Christmas” อย่านึกว่าผมจำไม่ได้ว่าวันนี้วันอะไร? ฝึกไว้ก่อน คราวนี้ฝึกเป็นภาษาไทย เราแปลได้หลายปีแล้ว “ขอให้ท่านได้พบกับสันติสุขและความสงบทางใจ จากการเสียสละของพระเยซูคริสต์ที่ทรงไถ่บาปให้กับท่าน” เอเมน

            วันนี้เรามาต่อในซีรี่ย์ “อิสระจากความกลัวทั้งปวง (เพราะพระองค์ทรงอยู่)” ตอนที่ 6 “อิสระจากความกลัวพระเจ้า” มนุษย์ทุกคนคุ้นหูเรื่องนี้มากเลย ถ้าเราคิดให้ดีๆ เวลาเราจะทำอะไร เราจะบอก …

            “ระวังนะ พระเจ้ามองดูอยู่ พระเจ้าไม่มีลำเอียงเลยนะ พระเจ้ารู้หมด เธอต้องทำดีๆ นะ ทำไม่ดี พระเจ้าลงโทษ”

            พอเกิดอะไรไม่ดีขึ้น เราก็บอกว่า … “เนี้ย พระเจ้าลงโทษ”

            คนที่ทำชั่ว ทำอะไรไม่ดี เห็นชัดๆ แล้วได้รับอะไรที่ไม่ดีเข้ามา เราก็จะบอกว่า … “นี่ พระเจ้าลงโทษ”

            เกิดอุบัติเหตุ หรืออะไร? ภัยธรรมชาติต่างๆ เยอะแยะมากมาย ภูเขาไฟระเบิดอะไรต่างๆ  เราก็บอกว่าพระเจ้ากำลังลงโทษ โควิดมา คนตายเยอะแยะ  พระเจ้ากำลังลงโทษ มนุษย์ทำอะไรบาปไว้มั้ง หรือใครทำอะไรที่ชั่วร้ายไว้  พระเจ้ากำลังจัดการลงโทษ นี่คุ้นหูมากเลย  พระเจ้าลงโทษๆ

            ในพระคัมภีร์ก็เขียนไว้ตรงนี้ด้วยเยอะเหมือนกัน โดยเฉพาะพระคัมภีร์เดิม คำนี้ใช้บ่อย คือ … “จงเกรงกลัวพระเจ้าด้วยตัวสั่น”

            พออ่านก็สะดุ้งทุกทีเลย  แล้วมันหมายความว่าอย่างไร?  วันนี้เราจะมาค้นหาความหมายของคำว่า “จงเกรงกลัวพระเจ้าด้วยตัวสั่น” นึกในใจว่าพระเจ้าต้องการให้มนุษย์กลัวพระองค์หรือ? ความจริงจากถ้อยคำพระเจ้าในวันนี้  จะทำให้เราเป็นอิสระจากความกลัวพระเจ้า  ความจริงในวันนี้ ความจริงจากถ้อยคำพระเจ้าในวันนี้  จะทำให้เรารู้ความจริงว่าเราควรกลัวพระเจ้าไหม? พระเจ้าเป็นผู้ที่น่ากลัวอย่างนั้นหรือ?  สำหรับมนุษย์ทั้งปวง  เพื่อเราจะได้เป็นอิสระจากความกลัวพระเจ้า แล้วได้เข้าหาพระองค์อย่างสนิทสนมอย่างใกล้ชิด ซึ่งเป็นน้ำพระทัยของพระองค์ วันนี้เราจะมาดูสิว่าน้ำพระทัยของพระองค์ ที่ให้มนุษย์กลัวพระเจ้าหรือไม่?

            ต้นเหตุของความกลัวพระเจ้ามาจากไหน? ต้นเหตุของความกลัวพระเจ้าสั้นๆ ในพระคัมภีร์บอกมาจากบาป ที่มนุษย์เป็นผู้ก่อขึ้น เรียกว่าก่อกรรมทำเอง  ไม่ใช่พระเจ้า นี่คือความจริงชัดๆ มนุษย์ก่อกรรมขึ้นมาเอง เราจึงใช้ พูดกันสั้นๆ ชัดๆ ว่าก่อนเรามาเชื่อ เราก็บอกว่าคนเราเกิดมาใช้กรรมเก่า ถูกเลยนะ  ใช้กรรมเก่า เป็นกรรมเก่าที่เราไม่ได้ทำ  แต่บรรพบุรุษเราเป็นคนทำ เหมือนคนที่เกิดในครอบครัวที่เป็นหนี้เป็นสิน  เกิดมาต้องใช้หนี้ใช้สิน เพราะว่าบรรพบุรุษเราขายทรัพย์สมบัติไปหมดเลย  เราตกเป็นทาสเขา ไม่มีเงินเหลือเลย ติดหนี้ติดสินเขา ต้องยกครอบครัวให้กับเขา เกิดมาก็เป็นหนี้เขาแล้ว อะไรอย่างนี้เป็นต้น เกิดมาใช้กรรม ไม่ใช่พระเจ้าเป็นต้นเหตุแห่งการใช้กรรมของเรา ใครเป็นต้นเหตุ มนุษย์เอง บรรพบุรุษของเรา เป็นผู้ขายเรา และบ้านของเรา คือโลกใบนี้ทั้งหมด ให้กับบาป

            “บาป” คือการไม่มีพระเจ้าอยู่ด้วย  ไม่มีสันติสุข ไม่มีพระสิริของพระเจ้า ไม่มีพระพรของพระเจ้า สิ่งดีงามของพระเจ้าทั้งหมด  ที่จัดไว้ให้กับมนุษย์ทั้งปวง  ได้หายไปหมดเลย เขาเรียกว่าทรัพย์สินของมนุษย์ทั้งปวงที่พระเจ้าได้สร้างขึ้นมา ทั้งทรัพย์สินที่ภายในวิญญาณ ร่างกาย และวัสดุบนโลกใบนี้ ทั้งหมด ได้สูญหายไปหมดแล้ว มนุษย์ได้ออกจากสวรรค์ไป  ต้นเหตุก็ไม่ได้มาจากพระเจ้า ชัดเจนไหม? ก็ มนุษย์เกิดมาใช้กรรม  และอยู่ใต้คำสาปแช่ง บนโลกใบนี้ ต้องทำมาหากินด้วยเหงื่อต่างน้ำ  ด้วยความลำบากยากเย็น  เพราะพระเจ้าอย่างนั้นหรือ? ต้นเหตุมันไม่ใช่นะ

            วันนี้ ความจริงเหล่านี้ จะทำให้เราเห็นถึงน้ำพระทัยพระเจ้าจริงๆ ว่าพระเจ้าเป็นใคร? แล้วพระองค์มีความรู้สึก สัมพันธ์ต่อมนุษย์ แค่ไหน? อย่างไร? พระองค์สาปแช่งลูกของพระองค์ คือมนุษย์ทั้งหลายที่พระองค์ทรงให้กำเนิดมาได้ถึงขนาดนี้นั้นหรือ?

            ความจริงอันดับแรกที่เราต้องเรียนรู้ คือความรักของพระเจ้า  ที่มีต่อมวลมนุษย์ ในฐานะผู้ให้กำเนิด คือเรียกว่าพ่อนั่นเอง ว่าความรักของพ่อ คือพระเจ้าที่มีต่อมวลมนุษย์นั้น มากขนาดไหน?  เป็นห่วง เป็นใย และแคร์เรา มากขนาดไหน?  นี่ดูจากถ้อยคำพระเจ้าชัดๆ เลย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ที่จะสำแดงพระเจ้า ให้เราได้เข้าใจ ได้รู้ ชัดเจน ถึงพระลักษณะของพระเจ้า และความต้องการของพระองค์ และจิตใจของพระองค์นั้น ก็คือตัวของพระองค์เอง ก็คือพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า ที่มาเกิดเป็นมนุษย์  เพื่อช่วยเหลือมนุษย์  และพระองค์มาถึงปุ๊บ พระองค์ก็สำแดงน้ำพระทัยของพระเจ้าว่าพระองค์มีน้ำพระทัย  มีความต้องการ มีความสัมพันธ์ มีความรักต่อมนุษย์ขนาดไหน? ฟังดูแล้วท่านจะเข้าใจเลย แทบจะไม่ต้องพูดอะไรอีกมากเลยว่าพระเจ้ารักเรามากขนาดนี้แหละ

            เราจะเริ่มต้นจากลูกา 15:17-24 ซึ่งพระเยซูยกอุปมาตัวอย่างให้กับชาวยิวในขณะนั้น ได้รู้ถึงน้ำพระทัยพระเจ้าว่าพระเจ้าผู้เป็นพ่อแห่งฟ้าสวรรค์ มีความรักต่อมนุษย์อย่างไรบ้าง?  โดยยกตัวอย่างง่ายๆ ชัดๆ ว่ามนุษย์ที่ตกอยู่ใต้คำสาปแช่ง อยู่ในความบาปนั้น เหมือนลูกที่หลงทางออกจากบ้าน ออกจากทางของพระเจ้าไป ไปสู่ความทุกข์ยากลำบาก แล้วพระเจ้าผู้เป็นพ่อ ที่อยู่ในสวรรค์มีความรู้สึก อย่างไรต่อลูกที่จำเป็นต้องจากกันไป  เพราะลูกตัดสินใจเองว่าจะไปอยู่ตามลำพัง  ไม่ต้องมีพระเจ้าก็ได้  แต่ในที่สุด มันก็เป็นไปไม่ได้ ทำไม่ได้ ไม่ได้พรจากพระเจ้าเลย  พระเจ้ามีความรู้สึกต่อเขาอย่างไร?  ที่เขาต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก  เผชิญกับคำสาปแช่งต่างๆ เหล่านั้น อ่านดู แล้วเดี๋ยวเราจะมาทำความเข้าใจกัน …

        ลูกา 15:17-24 “17 เมื่อเขาคิดขึ้นได้ จึงกล่าวว่า ‘บิดาของเรา มีลูกจ้างหลายคน พวกเขามีอาหารเหลือเฟือ แต่นี่ เรากำลังจะอดตาย 18 เราจะกลับไปหาบิดาของเรา และกล่าวกับท่านว่า ‘บิดาเจ้าข้า ข้าพเจ้าทำบาปต่อสวรรค์ และต่อท่านด้วย 19 ข้าพเจ้าไม่คู่ควรจะได้ชื่อว่าเป็นบุตรของท่านอีกต่อไป ให้ข้าพเจ้าเป็นเหมือนลูกจ้างคนหนึ่งของท่านเถิด’ 20 ดังนั้น เขาจึงลุกขึ้น กลับไปหาบิดาของเขา แต่เมื่อเขายังอยู่แต่ไกล บิดาเห็นเขา ก็สงสาร จึงวิ่งมาหาบุตรชาย แล้วสวมกอดและจูบเขา 21 เขากล่าวกับบิดาว่า ‘บิดาเจ้าข้า ข้าพเจ้าทำบาปต่อสวรรค์และต่อท่านด้วย ข้าพเจ้าไม่คู่ควรจะได้ชื่อว่าเป็นบุตรของท่านอีกต่อไป’ 22 แต่บิดาสั่งคนรับใช้ว่า ‘เร็วเข้า! จงนำเสื้อผ้าที่ดีที่สุดมาให้เขาสวมใส่ เอาแหวนมาสวมนิ้วของเขา และเอารองเท้ามาสวมให้เขา 23 จงนำลูกวัวขุนมาฆ่า ให้เราจัดงานเลี้ยงฉลอง 24 เพราะบุตรชายคนนี้ของเรา ได้ตายไปแล้ว และกลับเป็นขึ้นมาอีก เขาหายไปแล้ว และได้พบกันอีก’ ดังนั้น เขาทั้งหลายจึงเริ่มเฉลิมฉลองกัน”

            พระเยซูยกตัวอย่างว่าคนบาป มนุษย์ทั้งหลาย เหมือนกับลูกของพระเจ้าที่หลงหายออกไปจากสวรรค์ ออกไปจากบ้าน แล้วเจอความทุกข์ยากลำบาก แล้วก็ระลึกขึ้นมาได้ว่าเราลำบากลำบนอย่างนี้ทำไม? พระเจ้าผู้เป็นพ่อของเรา เป็นเจ้าของสวรรค์น่าจะช่วยเราได้ น่าจะอภัยให้เราได้  เรากลับไปที่บ้านดีกว่า แม้ว่าจะกลับไป แล้วถูกพ่อลงโทษอย่างไร? ก็ยังดีกว่า ที่จะมาอยู่อย่างทุกข์ทรมานอย่างนี้

            “บิดาเจ้าข้า ข้าพเจ้าทำบาปต่อสวรรค์และต่อท่านด้วย ข้าพเจ้าไม่คู่ควรจะได้ชื่อว่าเป็นบุตรของท่านอีกต่อไป”

            มนุษย์มีความรู้สึกว่าเราไม่คู่ควรกับพระเจ้าเลย เพราะเราไม่บริสุทธิ์ เราสกปรก แต่พระเจ้าบริสุทธิ์ สะอาด  เข้าใกล้กันไม่ได้เลย เป็นศัตรูกัน อยู่กันไม่ได้ เพราะฉะนั้น เราไม่มีค่า สมควรที่จะเข้าไปในสวรรค์ได้เลย นี่คือความรู้สึกของมนุษย์ทั้งหลายที่เป็นคนบาป

            “ดังนั้น  เขาจึงลุกขึ้น  กลับไปหาบิดาของเขา” … เอาล่ะ กลับไปหาพ่อแล้วกัน พ่อจะลงโทษอย่างไร ก็ยินยอมทุกอย่าง ยอมหมด

            “แต่เมื่อเขายังอยู่แต่ไกล  บิดาเห็นเขา ก็สงสาร” … ทำไมพระเยซูยกตัวอย่างว่าอยู่แต่ไกล และเห็น …

            1. แสดงว่าบิดาจำได้ว่าลูกของตัวเอง ไกลลิ๊บเลย ลูกหายไปตั้งนานแล้ว กลับมาแต่ไกล ก็มองเห็น นั่นลูกเราเนี้ย แสดงว่าจำอยู่ไม่ลืมเลยลูกคนนี้  เรามีลูกกี่คน? เราจำได้ไหมลูกทุกคน?  แล้วหายไปตั้งนานแล้ว เดินกลับมา อยู่ไกลๆ เห็น

            2. แสดงว่าบิดาคนนี้ รอคอยลูกกลับมาอยู่ทุกวัน  พอกลับมา ก็เห็นแล้ว ไม่ใช่กลับมาเคาะประตูตั้งนาน ถึงเห็น  กลับมาปุ๊บ อยู่ไกลๆ ก็เห็นแล้ว  แสดงว่ามองทุกวัน กลับมาหรือยัง? มาหรือยัง? นี่คือท่าทีของพระเจ้าที่มีต่อคนที่ยังอยู่ในบาป ใช้กรรมอยู่ อยู่ในคำสาปแช่ง  ไม่สามารถเข้ากับพระเจ้าได้ วิญญาณสกปรก วิญญาณเป็นคนชั่ว ไม่บริสุทธิ์ ไม่สามารถอยู่ต่อหน้าพระเจ้าผู้เป็นพ่อ ผู้ให้กำเนิดเขาได้

            บิดามีความสงสาร  เห็นไหม? ออกไปรอคอยด้วยความโกรธหรือ? … “สมน้ำหน้า บอกแล้ว อย่าออกไป  อย่าทำๆ เห็นไหม?  บอกแล้วว่า “อย่าๆ อย่าเชื่อเขา  บอกแล้วว่าอย่า ให้เชื่อฟังพ่อแม่ แล้วทำอย่างนี้ ดูสิ” ใช่หรือเปล่า? พระคัมภีร์บอก “บิดาเห็นเขา ก็สงสาร” ต่อด้วย “จึงวิ่งมาหาบุตรชาย”  เพราะดีใจมาก แทนที่บุตรชายจะวิ่งมาหาบิดา บุตรชายกลัวจะตาย กลัวจนตัวสั่น …

            “อย่าลงโทษลูกเลย เข้ากันไม่ได้เลย พ่อลูกผิดไปแล้ว ลูกมันเลว”

            แต่พ่อวิ่งเข้าไปหาบุตรชาย แล้วสวมกอด แล้วจูบเขา ไม่ได้พูดอะไรสักคำเลย นึกถึงภาพนะ สวมกอดและจูบเขา นี่ยังไม่ได้เข้าบ้านนะ นี่อยู่โน้น เลยหน้าไปออกไปอีก เพราะวิ่งออกไปนอกบ้านแล้ว ไปรับลูก

            พอสวมกอดเขา ไม่ได้พูดอะไรเลย เขาก็คือคนบาป ที่หลงหายไป  ได้รับการสวมกอดจากพระเจ้า  จากพระบิดาแล้ว  พูดอย่างนี้ว่า …

            “บิดาเจ้าข้า ข้าพเจ้าทำบาปต่อสวรรค์และต่อท่านด้วย ข้าพเจ้าไม่คู่ควรที่จะเป็นลูกของพระเจ้าต่อไปแล้ว ข้าพเจ้ามันเลว ข้าพเจ้ามันไม่ดี ข้าพเจ้ามันชั่ว ข้าพเจ้าทำผิดไปแล้ว ยกโทษให้ลูกด้วยเถิด”

            คงร้องและคุกเข่าลง แต่บิดาสวมกอดก่อน คงคุกเข่าไม่ได้ คงพยุงขึ้นมา 2 แขน มาแล้วก็กอด ลูกก็พูดไป อยากจะคุกเข่า ขออภัย

            “แต่บิดาสั่งคนรับใช้ว่าเร็วเข้า” … แสดงว่าบิดา ไม่ได้ฟังเขาเลยนะ ไม่ได้บอกว่ายกโทษให้แล้ว แต่แสดงอาการเหล่านี้ทั้งหมด คือพระคัมภีร์บอกว่าพระองค์ไม่จดจำความผิดความบาปของเรา ที่เคยทำในอดีตเลย แม้แต่นิดหนึ่ง พระองค์ลืมไปแล้ว ลบไปแล้ว ลบตั้งแต่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์ บนไม้กางเขนแล้ว  พระองค์ไม่เคยคิดเลยว่าเราเป็นคนบาปมาก่อน อะไรต่างๆ เหล่านั้น

            “แต่บิดาสั่งคนรับใช้ว่าเร็วเข้า จงนำเสื้อผ้าที่ดีที่สุด มาให้เขาสวมใส่ เอาแหวนมาสวมนิ้วของเขา เอารองเท้ามาสวมให้กับเขา นำลูกวัวขุนมาฆ่า เพื่อมาฉลอง” … คือเอาสิทธิทั้งหมด เป็นลูก เป็นทายาท มรดกอะไรที่เป็นของเขา  บ้านที่เป็นของเขา ทรัพย์สมบัติของพ่อ ที่เป็นของเขา ให้หมดเลย ให้สิทธิ เป็นลูกของพระเจ้าเลย  ไม่ได้คิดถึงเรื่องความผิดอะไรต่างๆ ของเขาที่ทำมา แม้แต่นิดเดียวเลย แค่นั้นไม่พอ จัดงานฉลองด้วย ฉลองแล้วบอกว่าอย่างไร? …

            “บุตรของเราที่ตายไปแล้ว คือเป็นคนหลงทางไป เป็นบาปนั้น ต้องชดใช้กรรมอยู่นั้น บัดนี้ กลับเป็นขึ้นมาใหม่แล้ว  กลับบ้านแล้ว กลับมาอยู่ในสวรรค์กับพระองค์แล้ว  ดังนั้น เราก็ต้องมีงานฉลองในสวรรค์กันหน่อยสิ” พระเยซูตรัสว่าในสวรรค์จะมีการฉลองกันใหญ่โตเลย เมื่อมีคนบาปคนหนึ่งกลับใจใหม่มาหาพระเยซูคริสต์ เข้ามาสู่สวรรค์ ในสวรรค์จะมีการฉลองกันใหญ่โต เป็นอย่างนั้น พระเยซูคริสต์จึงได้พูดอย่างนี้ ในหนังสือมัทธิว 7:9-11 ว่าให้เราเปรียบเทียบให้ผู้คนที่ฟังอยู่ขณะนั้น ได้รู้ถึงความรู้สึก ความลึกซึ้งของพระเจ้า ที่มีต่อมวลมนุษยชาติ ซึ่งเป็นคนบาป ตกอยู่ในความบาป ตกอยู่ในความพินาศ ตกอยู่ในความสาปแช่งว่าความรู้สึกของพระองค์เป็นอย่างไร? อันนี้ก็เฉียบขาดมาก มัทธิว 7:9-11 …

        มัทธิว 7:9-11 “9 ใครบ้างในพวกท่าน ถ้าบุตรขอขนมปัง จะให้ก้อนหิน? 10 หรือถ้าบุตรขอปลา จะให้งูแก่เขา 11 ถ้าแม้ท่านเอง ซึ่งเป็นคนชั่ว ยังรู้จักให้สิ่งดีๆ แก่บุตรของท่าน พระบิดาของท่านในสวรรค์ จะประทานสิ่งดี แก่บรรดาผู้ที่ทูลขอต่อพระองค์ ยิ่งกว่านั้นสักเพียงใด”

            “ประทานสิ่งที่ดีแก่บรรดาผู้ที่ทูลขอต่อพระองค์ ยิ่งกว่านั้นสักเพียงใด” ให้เรานึกถึงว่าเราเป็นลูกที่พระองค์ทรงรักมากเลย มีอะไรบ้างที่เราทูลของต่อพระองค์ต่างๆ เราอาจจะยังไม่ได้ หรือไม่ได้ตามใจตัวเอง แล้วเรานึกว่าพระเจ้าคงลงโทษ พระเจ้าคงไม่ให้ เพราะอย่างโน้นอย่างนี้ อย่างนั้น ขนาดเราเป็นคนบาป คนชั่ว เรามีลูก เรายังรักลูกของเรา เรายังอยากจะให้สิ่งที่ดีที่สุด สำหรับเขาเลย แล้วมากกว่านั้นสักเท่าไร? ที่พระเจ้าเป็นพระเจ้าผู้บริสุทธิ์จะรักเรามากขนาดไหน? จะให้สิ่งที่ดีที่สุด ไว้สำหรับเรา  เราอาจจะยังไม่เข้าใจตอนนี้ แต่เห็นนะว่าท่าทีของพระเจ้าที่มีต่อมวลมนุษย์เป็นอย่างไร? นี่กำลังพูดถึงคนบาป ไม่ใช่คริสเตียนนะ พระเจ้ายังรักถึงขนาดนั้นเลย รักมนุษย์ทุกคน ไม่ว่าเขาจะเป็นคนบาป หลงหายไป หรือเป็นคริสเตียน แน่นอน ในพระคัมภีร์บอกว่าพระองค์ทรงห่วงใยคนที่เป็นคนบาป ที่ยังไม่เป็นคริสเตียนมากกว่าคนที่เป็นคริสเตียนแล้วนิดหนึ่ง เพราะคนที่เป็นคริสเตียนแล้ว รอดแล้วรอดเลย อยู่ในสวรรค์กับพระองค์แล้ว สบายใจไปแล้ว น้องที่ยังไม่ได้เข้ามา ในสวรรค์ ยังอยู่ในความพินาศอยู่ นั่นแหละ คือเป็นคนที่พระบิดาทรงห่วงใยมากกว่า 1 ยอห์น 3:1-2 บันทึกไว้อย่างนี้ พูดถึงความรักของพระเจ้าที่มีต่อมวลมนุษย์นะ …

        1 ยอห์น 3:1-2 “1 จงดูเถิด พระบิดาทรงโปรดประทานความรัก แก่เราทั้งหลายเพียงไร ที่เราจะได้ชื่อว่าเป็นบุตรของพระเจ้า และเราก็ได้เป็นเช่นนั้น เหตุที่โลกไม่รู้จักเราทั้งหลายก็เพราะเขาไม่รู้จักพระองค์ 2 เพื่อนที่รัก บัดนี้ เราเป็นลูกของพระเจ้า ภายหน้าเราจะเป็นอย่างไร เรายังไม่อาจรู้ได้ แต่เรารู้ว่าเมื่อพระองค์ทรงปรากฏ เราจะเป็นเหมือนพระองค์ เพราะเราจะเห็นพระองค์ อย่างที่พระองค์ทรงเป็น”

            พระเจ้าพระบิดา ทรงโปรดประทานความรัก คือรักเรามาก ถึงขนาดให้เรากลับมามีฐานะเป็นบุตรของพระเจ้า เท่าเทียม เหมือนกับพระบุตร คือเท่ากับพระเยซูคริสต์เลย วันหนึ่งข้างหน้า เราจะได้รับร่างกายใหม่ เหมือนพระเยซูคริสต์ทุกวันนี้ เมื่อเราเปิดใจรับเชื่อพระเยซูคริสต์ กลับมาหาพระเจ้าแล้ว วิญญาณและใจใหม่ของเรานั้น เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว แต่ยังอยู่ในร่างกายเดิม  แต่วันหนึ่งข้างหน้า เมื่อเราเห็นพระเยซูคริสต์ปรากฏ คือเราได้พบกับพระเยซูคริสต์ เราจะได้รับร่างกายใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลย นี่คือรักเราขนาดไหน?

            ยอห์น 3:16 อันนี้พระเยซูก็แจงชัดเจน อีกอันหนึ่งว่าพระเจ้าทรงรักมวลมนุษย์เลย มนุษย์ทุกคน มนุษย์ที่เกิดมาใช้กรรม ที่เกิดจากการกระทำของตนเอง หมายถึงเผ่าพันธุ์ของตนเองนั่นแหละ  และพระเจ้าลงมาช่วยเหลืออย่างไร? ความรักของพระเจ้าที่มีต่อมวลมนุษย์นั้น เป็นเช่นไร? …

        ยอห์น 3:16 “พระเจ้าทรงรักมนุษย์และโลกยิ่งนัก ถึงกับได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ เพื่อทุกคนที่วางใจ (พึ่งพา) ในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ (ตายนิรันดร์อยู่ในความบาป) แต่ได้รับการบังเกิดใหม่ มาเป็นลูกของพระองค์ มีชีวิตนิรันดร์ (ที่เป็นของพระองค์) เหมือนพระองค์”

            “พระเจ้าทรงรักมนุษย์และโลกยิ่งนัก” มนุษย์ คือมวลมนุษย์ ไม่มีว่ารักคนนี้ คนชั่วหรือไม่ชั่ว ทุกคนในสายพระเนตรพระเจ้า เป็นคนชั่วทั้งหมด ชั่ว แปลว่าบาปนั่นเอง  บาปกับชั่ว คืออันเดียวกัน คือคนที่ไม่มีพระเจ้าสถิตอยู่กับเขา  พระองค์ทรงรักมนุษย์ยิ่งนัก ถึงกับได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ ลูกของพระองค์ผู้เดียวที่อยู่กับพระองค์มาตังแต่ก่อนสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย คือพระเยซูคริสต์ได้ถูกพระเจ้าประทาน ยอมให้ลูกมาเกิดเป็นมนุษย์ มาตายที่ไม้กางเขน มาช่วยเราทั้งหลาย เพื่อว่าคนที่วางใจในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์นั้น จะไม่พินาศ ตายนิรันดร์ อยู่ในความบาปอย่างนั้น และได้รับการบังเกิดใหม่  มาเป็นลูกของพระองค์ มีชีวิตนิรันดร์เหมือนกับพระองค์ โดยไม่ต้องทำอะไรเลย  แค่เชื่อและวางใจเท่านั้น โรม 8:32 …

        โรม 8:32 ”พระองค์ผู้ไม่ได้ทรงหวงพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ แต่ได้ประทานพระบุตรนั้นแก่เราทุกคน พระองค์จะไม่ยิ่งทรงเมตตา ประทานสิ่งสารพัดแก่เรา พร้อมกับพระบุตรหรือ?”

            พระเจ้าผู้ไม่ได้ทรงหวงพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ ไม่หวงเอาไว้เลย  รักไหม? รักมากถึงมากที่สุด อยู่กับพระองค์ตั้งแต่ก่อนโน้น ก่อนสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ไม่หวงพระบุตรองค์เดียว  แต่ได้ประทานพระบุตรนั้น แก่มวลมนุษย์ทุกคน เห็นแค่นี้ ความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าที่มีต่อมวลมนุษย์อย่างไรแล้ว ในนี้จึงบอกว่าพระองค์จะไม่ยิ่งทรงเมตตา ประทานสิ่งสารพัดแก่เรา พร้อมกับพระบุตรอย่างนั้นหรือ?  ก็คือมีอะไรที่ดีๆ ที่พระองค์จะหวง เก็บเอาไว้ ไม่ให้เราอีก ในเมื่อสิ่งที่พระองค์ทรงรักและมีค่าที่สุดของพระองค์ คือพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ พระองค์ยังประทานให้ได้เลย  แล้วมีอะไรที่ให้ไม่ได้อีก โรม 8:37-39 …

        โรม 8:37-39 ”37 เปล่าเลย ในสถานการณ์ทั้งปวงนี้ เราเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิต โดยทางพระองค์ผู้ทรงรักเราทั้งหลาย 38 เพราะข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่าไม่ว่าความตายหรือชีวิต ไม่ว่าทูตสวรรค์หรือวิญญาณชั่ว ไม่ว่าปัจจุบันหรืออนาคต หรือฤทธิ์อำนาจใดๆ 39 ไม่ว่าเบื้องสูงหรือเบื้องลึก หรือสิ่งอื่นใดในสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง ล้วนไม่สามารถพรากเราไปจากความรักของพระเจ้า ซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราได้”

            เราเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิต หมายถึงผู้ที่เป็นคนบาป แล้วก็เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  และได้รับความรอดเลย แค่เปิดใจเชื่อและได้รับมรดกทั้งหลายทั้งปวง  เป็นลูกของพระเจ้า เท่าเทียมกับพระเยซูคริสต์เลยนั่นแหละ ได้ชื่อว่าเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิต

            ผู้พิชิต คือไม่ต้องทำอะไรเลย รับลูกเดียว ใครรู้ไหม? เห็นภาพชัดเจนเลย คือลูกเรา ไม่ต้องทำอะไรเลย  เกิดมารับลูกเดียว  เป็นลูกเรา เป็นทายาท เราทำมาหากิน ทั้งหมดตกเป็นของลูกเรา ลูกเราเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิต พ่อแม่ไปทำมาหากิน เก็บเงินเก็บทองไว้ให้ลูก เราก็รู้อยู่ ถูกไหม? ยิ่งกว่าผู้พิชิต เราจึงเห็นภาพ ความรักของพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่ขนาดไหน? นี่แหละ คือน้ำพระทัยพระเจ้า ที่มีต่อมวลมนุษย์ทั้งปวง ว่าความรักของพระเจ้านั้นเป็นเช่นไร? ความจริงอันดับแรกที่เราควรจะรู้

            ในยอห์น 17:23 ยิ่งเป็นตัวประทับตราสุดท้ายเลย จริงๆ มีเยอะกว่านี้  ผมเอามาจำนวนหนึ่งให้เห็นถึงความรักของพระเจ้าที่มีต่อเรา แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว ที่จะเป็นพื้นฐานให้กับเรา รู้ว่าพระเจ้ารักเรา และเราควรจะกลัวพระเจ้าไหม? กลัวจนตัวสั่นไหม?  เกิดอะไรไม่ดีขึ้นมา พระเจ้าลงโทษ พระเจ้าลงโทษมนุษย์อย่างนั้นหรือ? ในเมื่อรักเราขนาดนี้ …

        ยอห์น 17:23 “ให้ข้าพระองค์อยู่ในพวกเขา และพระองค์อยู่ในข้าพระองค์ เพื่อพวกเขาจะได้ถูกทำให้ (บริสุทธิ์ดีพร้อม) สมบูรณ์  เป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา และเพื่อโลกจะได้รู้ว่าพระองค์ทรงส่งข้าพระองค์มา และทรงรักพวกเขา เหมือนที่พระองค์ทรงรักข้าพระองค์”

            พระเยซูกำลังอธิษฐานให้กับบรรดามนุษย์ เพื่อมนุษย์จะได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ต้อนรับในพระองค์ วางใจในพระองค์เมื่อวางใจในพระองค์แล้ว เขาจะได้รับความรักจากพระเจ้า  เมื่อเขาเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว เขาจะเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ก็คือเป็นวิญญาณเดียวกัน เข้ามาเป็นหนึ่งในครอบครัวของพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ เข้ามาเป็นหนึ่งในตรีเอกานุภาพนี้

            และข้อสำคัญตรงนี้ ประโยคสุดท้ายบอกว่า “พระองค์ทรงส่งข้าพระองค์มา เพื่อว่าพวกเขาจะได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา (เรา หมายถึงตรีเอกานุภาพ) และพระองค์ทรงรักพวกเขา (พวกเขา คือมนุษย์ทั้งปวง) ที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  เพื่อมนุษย์ทั้งปวง” นี่แหละ เพื่อเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขาที่ได้รับรู้ความจริง แล้วก็เปิดใจต้อนรับสิทธิของเขา  ที่พระเยซูคริสต์ตายที่ไม้กางเขนให้กับเขา เพื่อว่าพระเจ้าจะได้ทรงรักพวกเขา เหมือนที่พระองค์ทรงรักข้าพระองค์

            รักพวกเขา มนุษย์ทั้งปวง เท่ากับรักพระเยซู พวกเขาแปลว่ามนุษย์ทั้งปวง แน่นอนมันจะเกิดผลแต่เฉพาะกับคนที่ได้ยินความจริงในเรื่องนี้ แล้วก็เปิดใจมารับสิทธิของเขา ถ้าเขาไม่รับสิทธิของเขา พระเยซูที่ตายบนไม้กางเขน ความรักของพระเจ้าที่รักเขาเท่าๆ กับรักพระเยซู ก็ไม่เกิดผล เห็นไหมครับ? พระเจ้ารักมนุษย์ขนาดไหน? นี่เป็นตัวแย้งให้เราเห็นว่าพระเจ้ามีน้ำพระทัย ให้มนุษย์กลัวพระองค์จนตัวสั่นหรือ? ทำอย่างนี้ กลัวจนตัวสั่น เข้าไปกอด เข้าไปจูบ ไม่ฟังเลยว่าจะทำบาปอะไรมา ทำชั่วขนาดไหนมา ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าจะมาขออภัย ทำบาปอย่างโน้นมา ทำบาปอย่างนี้มา ช่วยรับเราเข้าสวรรค์ที ไม่ต้องเลย เพราะว่าโดยพระเยซูคริสต์ ความรักของพระองค์ได้เปิดเผยแล้ว อภัยให้หมดแล้ว  ที่พระเยซูคริสต์ตายที่ไม้กางเขนนั้น บ่งบอก สำแดงถึงความรักของพระองค์ และการอภัยโทษของพระองค์ ให้สำเร็จเรียบร้อยแล้ว สำหรับมนุษย์ทั้งปวง เข้ามารับสิทธิเลย ไม่ต้องกลัว เหล่านี้ คือความจริงอันดับหนึ่งที่เราควรจะเรียนรู้ มนุษย์ทั้งปวงเอ๋ย

            ความจริงอันดับที่สอง ที่ควรจะเรียนรู้ เพื่อจะได้มั่นใจถึงความรักของพระเจ้าที่มีต่อเรา คือพระเจ้านอกจากจะเป็นพ่อของเราแล้ว ของมนุษย์ทั้งหลายแล้ว ยังคงเป็นผู้พิพากษา ดูแลกฎระเบียบของพระองค์ในมหาจักรวาล ในโลกที่มองเห็นและโลกที่มองไม่เห็น ทั้งในสวรรค์และบนแผ่นดินโลกนี้ด้วย ขณะเดียวกัน ควบ 2 ตำแหน่ง  พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าแห่งความยุติธรรม ทรงปกครองด้วยความชอบธรรม เป็นผู้พิพากษาที่เที่ยงธรรม ไม่ลำเอียง เมื่อพระองค์ตรัสแล้ว  ตั้งเป็นกฎระเบียบขึ้นทันทีแล้ว จะไม่ลืมคำของพระองค์เอง พูดอย่างไร? มันเป็นอย่างนั้น และพระคัมภีร์ ก็ได้บันทึกไว้ชัดเจนว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าผู้แสนดี  และดีตลอดเวลา  และดีตลอดไป

            ในพระองค์ไม่มีเงาแห่งความมืด  ใม่มีความชั่วร้าย  ไม่มีความอยุติธรรม  ไม่ว่ามนุษย์จะคิดอย่างไร?  ตามความคิดของมนุษย์จะเข้าใจอย่างไร? ที่แย้งกับสิ่งเหล่านี้ นี่คือความจริงจากถ้อยคำพระเจ้าว่าพระเจ้ามีบุคลิกอย่างนี้  ในหนังสือยากอบ 1:17 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        ยากอบ 1:17 ”ของประทานทุกอย่างที่ดีและล้ำเลิศ ล้วนมาจากเบื้องบน จากพระบิดาแห่งดวงสว่างทั้งหลายในฟ้าสวรรค์ ผู้ไม่ได้ทรงผันแปร เหมือนเงาที่แปรเปลี่ยน”

            พูดง่ายๆ คือพระเจ้าให้แต่ของดีๆ อย่างเดียว  แต่ขณะเดียวกันทรงเตือนเรา ในสิ่งชั่วร้ายต่างๆ  เพื่อเราจะได้ของดีๆ อย่างเดียว คำแปลในนี้ง่ายนิดเดียว พระเจ้าไม่แปรผันสิ่งที่พระองค์ทรงเป็นอยู่ พระองค์เป็นพระเจ้าผู้แสนดี สิ่งดี สิ่งล้ำเลิศ  ล้วนมาจากเบื้องบน จากพระบิดาแห่งดวงสว่างทั้งหลายในฟ้าสวรรค์ พูดง่ายๆ ว่าพูดถึงพระเจ้าปุ๊บ มีแต่สิ่งดีมาให้มวลมนุษยชาติ และโลกใบนี้ทั้งสิ้น  เพราะฉะนั้น ที่เราบอกว่าโควิดมาจากพระเจ้า ใช่หรือไม่? ไม่ใช่ โควิดดีไหม? ไม่ดี ภูเขาไฟระเบิดดีไหม? ไม่ดี ฝุ่น PM 2.5 ดีไหม? ไม่ดี โรคภัยไข้เจ็บดีไหม? ไม่ดี ความยากจนดีไหม? ไม่ดี อย่าบอกว่าสิ่งเหล่านี้มาจากพระเจ้า คนชั่วได้รับสิ่งชั่วร้าย มาจากพระเจ้าหรือเปล่า? ไม่ใช่มาจากพระเจ้า พระเจ้าไม่ใช่สิ่งชั่วร้าย  ก็ในนี้บอกว่าพระเจ้ามีแต่สิ่งดีๆ แล้วความชั่วร้ายมาจากไหน? ตอบว่ามนุษย์เป็นผู้นำเข้ามาเองนั่นแหละ พระเจ้าไม่มีการลำเอียง ไม่มีเงาแปรผัน  ก็คือพระเจ้าเป็นผู้ดีงาม  ไม่มีแปรผัน เอาความชั่วมานิดหนึ่ง ไม่มี ไม่รู้จัก ไม่รู้จักเกลียดชัง  ไม่รู้จักขโมย ฆ่า และทำลาย มีแต่ความดี ความรัก  พระเจ้าเป็นความรัก เป็นแสงสว่าง  เป็นความดีงาม  เป็นความยุติธรรม เป็นความอ่อนโยน  นี่คือพระเจ้าผู้แสนดี แต่ขณะเดียวกัน เป็นผู้พิพากษาของมหาจักรวาล  เดี๋ยวเราเรียนรู้ต่อไป  กันดารวิถี 23:19 จึงบันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        กันดารวิถี 23:19 ”พระเจ้าไม่ใช่มนุษย์ จะได้พูดมุสา พระองค์ไม่ได้ทรงเปลี่ยนใจอย่างมนุษย์ มีหรือที่ทรงลั่นวาจาไว้แล้ว ไม่ทรงกระทำ? หรือทรงสัญญาไว้แล้ว ไม่ทรงกระทำให้เป็นไปตามนั้น?”

            เพราะพระองค์เป็นผู้พิพากษาของมหาจักรวาล พูดคำไหน เป็นคำนั้น  พระองค์บอกพระองค์เป็นพระเจ้าผู้ดีงาม ก็เป็นพระเจ้าผู้ดีงาม ตั้งแต่สร้างมนุษย์ใหม่ๆ แล้วพระเจ้าบอกว่าสร้างมนุษย์ อาดัมและเอวา และเผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งปวง รวมทั้งโลกใบนี้ อย่างดีเยี่ยม  ไม่มีสิ่งชั่วร้ายต่างๆ

เลย แม้แต่นิดเดียว  และได้บอกว่าให้อยู่อย่างนี้กับพระองค์ในสวรรคสถาน  อย่างดีเยี่ยมเลย ครอบครองบรรดาฝูงปลาทุกอย่างบนโลกใบนี้ที่สร้างขึ้นมาเป็นของเธอ ลงมาพูดคุยกับลูกของพระองค์อย่างสนิทสนม ถ้าอยู่อย่างนี้ ไม่มีปัญหา แต่เธออย่าดื้อนะ  อย่าเอามือไปแหย่ปลั๊ก  แหย่ปลั๊กมันตายนะ เตือนแล้ว  อย่าดื้อ กินผลไม้ที่ต้องห้าม จากต้นนี้นะ ทุกอย่างกินได้หมดเลย แต่อย่ากินตรงนี้ก็แล้วกัน  ไม่งั้น เธอจะรู้ดีรู้ชั่ว  เธอจะตกลงไปอยู่ในความทุกข์ยากลำบาก เห็นไหม? เป็นผู้พิพากษาไหม?

            แล้วลูกตัวเองเอามือไปแหย่ปลั๊กจริง แล้วจะทำอย่างไร?  ก็ตาย แล้วพ่อทำอย่างไร? พ่อก็หาวิถีทางช่วย กู้ลูกขึ้นมาใหม่ ผมพยายามยกตัวอย่างให้ฟัง รีบเรียกรถแอมบูแลมซ์มา ส่งลูกไปโรงพยาบาล ปั้มหัวใจ  อะไรประมาณนั้น

            ความชั่วร้ายไม่ได้มาจากพระเจ้าเลยแม้แต่นิดเดียว  พระองค์ไม่มีเงาของความชั่วร้าย  ไม่มีความมืดอยู่ในตัวพระองค์ พระองค์เป็นแสงสว่าง เป็นความรัก  ไม่มีความเกลียดชัง ไม่มีการขโมย ฆ่า และทำลายอยู่ในพระองค์เลย  แต่ขณะเดียวกัน พระองค์เป็นผู้พิพากษา บอกอย่าทำนะ ถ้าขืนทำ  พระสิริ หรือพระเจ้า พระพรของพระองค์จะหลุดหายออกไปจากเขา ใครทำก็ต้องได้รับตามที่กฎหมายทางวิญญาณที่พระเจ้าตรัสไว้แล้ว ไม่คืนคำ มันจะเป็นอย่างนั้น ยอห์น 3:17-18  จึงได้บันทึกไว้อย่างนี้ พระเยซูจึงชี้ให้เราเห็นว่าพระเจ้าเป็นผู้พิพากษา มันจำเป็นต้องเป็นไปตามนี้ ตามกฎเกณฑ์ทางโลกวิญญาณ ไม่ว่าจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม กฎเกณฑ์มันต้องเป็นไปตามกฎเกณฑ์  เหมือนกับแรงดึงดูดของโลก เราเป็นชาวบ้าน อาจจะไม่รู้ว่าแรงดึงดูดของโลกเป็นอย่างไร? แต่ปีนขึ้นไปบนต้นไม้ กิ่งไม้หัก มันก็ร่วงลงมาเหมือนกัน จะเป็นนักวิทยาศาสตร์ หรือไม่เป็นนักวิทยาศาสตร์ ก็ต้องร่วงลงมาเหมือนกันหมด จะรู้ว่ามีกฎแรงดึงดูดของโลกหรือไม่รู้ แรงดึงดูดของโลกก็ทำงานเหมือนเดิม  เพราะมันเป็นกฎ ยอห์น 3:17-18 …

        ยอห์น 3:17-18 “17 เพราะว่าพระเจ้าทรงให้พระบุตรเข้ามาในโลก ไม่ใช่เพื่อพิพากษาลงโทษมนุษย์และโลก แต่เพื่อช่วยกู้มนุษย์และโลกให้รอดจากการถูกพิพากษาลงโทษนั้น (โดยทางการวางใจพึ่งพาในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์) 18 คนที่วางใจ พึ่งพาในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ จะไม่ถูกพิพากษาลงโทษให้พินาศ ส่วนคนที่ไม่ได้วางใจ ก็ถูกพิพากษาลงโทษ อยู่ในความพินาศ (ในความตาย ในความบาป) เหมือนเดิมอยู่แล้ว เพราะเขา ไม่ได้วางใจ พึ่งพาในพระนามพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า”

            เห็นชัดเลยว่ามันมีอยู่ 2 กฎ พระเยซูแจงให้เห็นชัดเจนเลยว่าพระเจ้าทรงรักมนุษย์ พระเจ้าทรงให้พระบุตรเข้ามาในโลก  ไม่ใช่ เพื่อพิพากษามนุษย์และโลก แต่ช่วยกู้มนุษย์และโลกให้รอด  จากการถูกพิพากษาลงโทษอยู่นั้น นี่คือกฎเดิม  ก็คือมนุษย์ตกอยู่ในการพิพากษา ให้ตาย ให้อยู่ในคำสาปแช่ง ให้ไม่มีพระเจ้าอยู่ ไม่มีพรของพระเจ้าอยู่ ทุกข์ลำบาก  นี่คือมนุษย์เกิดมาก็อยู่ในกฎนี้แล้ว  กฎเดิม จะรู้หรือไม่รู้ ก็อยู่ในกฎนี้ จะเชื่อหรือไม่เชื่อพระเจ้า จะเป็นคริสเตียนหรือไม่เป็นคริสเตียน ก็อยู่ในกฎนี้ ซึ่งพระเจ้าช่วยมนุษย์ ที่อยู่ในกฎเดิมนี้ให้รอด  โดยการวางใจในพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า แค่นั้นเอง ส่งพระเยซูคริสต์มาช่วยให้รอด ตายที่ไม้กางเขน และมนุษย์ผู้นั้นทำอะไร มีหน้าที่แค่มาเชื่อและวางใจในพระเยซูเท่านั้น  ก็หลุดพ้นจากกฎเดิมนี้แล้ว

            ข้อ 18 บอกว่าคนที่วางใจ พึ่งในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์จะไม่ถูกพิพากษาลงโทษให้พินาศ เห็นไหม? จะหลุดออกจากการถูกพิพากษาทันทีเลย ก็คือกฎใหม่นั่นเอง  พระเยซูคริสต์มาเริ่มต้นกฎใหม่ให้ ส่วนคนที่ไม่ไว้วางใจ  ก็ถูกพิพากษาลงโทษอยู่ในความพินาศ ในความตาย ในความบาป เหมือนเดิมอยู่แล้ว  มันเป็นกฎ เพราะเขาไม่ได้วางใจ พึ่งพาในพระนามพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า เห็นหรือยังว่าความรักของพระองค์ มีเงื่อนไขแค่ว่าพระองค์เป็นผู้พิพากษา มันจำเป็นต้องทำไปตามกฎ จะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม กฎมันมีอยู่ เหตุนี้ ข่าวดีของพระเยซูคริสต์จึงจำเป็นต้องถูกประกาศออกไป เพื่อให้มนุษย์ได้รู้จักกฎในโลกวิญญาณนี้  และจะได้เลือกกฎให้ถูกว่าเขาจะอยู่ในกฎไหน?

            นี่คือความจริงอันดับที่สอง ที่เราได้เรียนรู้ว่าพระเจ้าเป็นผู้พิพากษา  ถ้าข่าวดีในกฎใหม่ ที่ช่วยมนุษย์ให้รอดพ้นจากความบาป  ความตาย ความพินาศในนรกแล้วนั้น ได้ถูกประกาศออกไปแล้ว มนุษย์มีหน้าที่ต้องเลือก วางใจในพระองค์ ในความรักของพระองค์ และเชื่อตามกฎใหม่นั้น จึงจะได้รับสิทธินี้  ไม่ใช่พระองค์ไม่รัก รักแต่ต้องดูแลให้เป็นตามกฎหมายของโลกวิญญาณที่พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า  ผู้พิพากษาของมหาจักรวาล

            ความจริงอันดับที่สาม  จะทำให้เราไม่กลัวพระเจ้า  และรู้ว่าอะไรคือความเป็นจริงว่าความรักของพระเจ้าไม่เคยสั่นคลอน  ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปจากมนุษย์ทั้งหลายทั้งปวง พระองค์ทรงรักมนุษย์จริงๆ  แม้ว่ามนุษย์คนนั้นจะต้องพินาศ ในบึงไฟนรก ในอนาคตก็ตาม พระองค์ทำได้แค่นี้จริงๆ เพราะพระองค์เป็นผู้พิพากษาของมหาจักรวาล

            ความจริงอันดับที่สาม คือเราจำเป็นต้องรู้ความหมายที่แท้จริงของคำว่า  “กลัวจนตัวสั่น” ที่กล่าวในพระคัมภีร์ว่าหมายถึงอะไร? อ่านในพระคัมภีร์ โดยเฉพาะพระคัมภีร์เดิม เขียนไว้ในนั้นว่าจงเคารพยำเกรงกลัวพระเจ้า ในภาษาเดิมบอกว่าจงกลัวพระเจ้าด้วยตัวสั่น งันงก เราต้องเรียนรู้ว่าจริงๆ มันหมายความว่าอย่างไร? เราจะได้รู้ว่าพ่อเราเป็นความรัก เพราะฉะนั้น เราไม่ควรกลัว แต่ทำไมพระคัมภีร์เขียนอย่างนั้น เราต้องรู้ความหมายนี้

            ความหมายในพระคัมภีร์ กลัวจนตัวสั่น หมายถึงความเคารพ ยำเกรง เชื่อวางใจ ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ด้วยความถ่อมใจ ต่อกฎเกณฑ์ทางด้านวิญญาณของพระเจ้า  ไม่ใช่ตัวพระเจ้า  กฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางไว้ ที่ได้กำหนดไว้ในเรื่องของความรอด จากความพินาศ หรือตกอยู่ในความพินาศนิรันดร์นั่นเอง ในเรื่องของความบาป  ที่มนุษย์ตกอยู่ใต้คำสาปแช่งนั้น คือหมายความว่าไม่ได้ให้กลัวพระเจ้า ไม่ได้ให้กลัวผู้พิพากษา พระเจ้าเป็นผู้พิพากษาใช่ไหม?  คือไม่ได้กลัวผู้พิพากษา คือพระเจ้า แต่กลัวกฎหมายฝ่ายวิญญาณที่ระบุไว้ มันเที่ยงตรง แม่นยำ  ไม่มีการลำเอียง ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ซึ่งผู้พิพากษาเป็นผู้ดูแล  เราไม่ได้กลัวตำรวจนะ  แต่เรากลัวกฎหมายที่ตำรวจดูแลอยู่ เราไม่ได้กลัวคณะผู้พิพากษา ที่ศาล แต่เรากลัวกฎหมายต่างๆ ที่ผู้พิพากษาในศาลเขาดูแลอยู่  ตัดสินให้เป็นไปตามนั้น ใครเชื่อทำตาม ก็ได้รับผลประโยชน์  ตามกฎหมายเหล่านั้น ใครไม่เชื่อ ไม่ทำตาม ก็ได้รับโทษตามกฎหมาย ไม่มีเข้าข้างผู้ใด ไม่มีคนหนึ่งคนใดพิเศษกว่าคนใดเลย ทุกคนมีค่าเท่าๆ กัน  สดุดี 19:7-9 ได้บันทึกเรื่องนี้ไว้ว่าพระเจ้าดูแลกฎหมายของพระองค์อย่างไร? …

        สดุดี 19:7-9  “7 กฎหมายของพระเจ้ารอบคอบและฟื้นฟูจิตวิญญาณ  กฎเกณฑ์ของพระเจ้านั้นแน่นอน กระทำให้คนรู้น้อยมีปัญญา 8 ข้อบังคับของพระเจ้านั้นถูกต้อง กระทำให้จิตใจเปรมปรีดิ์ พระบัญญัติของพระเจ้านั้นบริสุทธิ์  กระทำให้ดวงตากระจ่างแจ้ง 9 ความยำเกรงพระเจ้านั้นบริสุทธิ์ สะอาดหมดจด ถาวรเป็นนิตย์ กฎหมายของพระเจ้าก็สัตย์จริง และชอบธรรมทั้งสิ้น”

            ถ้อยคำพระเจ้าได้พูดถึงเรื่องโลกวิญญาณทั้งสิ้น ซึ่งการพูดถึงความจริงในโลกวิญญาณทั้งสิ้นของพระเจ้า เป็นการแสดงถึงกฎเกณฑ์ต่างๆ ในโลกวิญญาณ ที่มนุษย์มองไม่เห็น แต่ให้เชื่อฟังพระองค์ ให้เคารพยำเกรงกฎเกณฑ์เหล่านั้น ด้วยตัวสั้นงันงกเลยว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ กลัวกฎหมายบ้านเมืองอย่างไร ก็กลัวกฎหมายทางโลกฝ่ายวิญญาณอย่างนั้น มากกว่านั้นอีก ให้เคารพ เกรงกลัวจนตัวสั่น ทึ่งในความอัศจรรย์ และความรักอันยิ่งใหญ่ ต่อความจริงในเรื่องข่าวประเสริฐ ข่าวดีของพระเจ้า  ข่าวดีของพระเจ้า คือมนุษย์ทั้งปวงเป็นคนบาป  และต้องได้รับโทษ จนถึงหลังความตายนิรันดร์ มนุษย์อยู่ในกฎของความบาป และความตาย นี่คือกฎเดิมที่พระเจ้าบอกไว้ในข่าวดีว่าตอนนี้เธอทั้งหลายอยู่ในกฎเดิมนี้  อยู่ในความตาย  ความบาปเหล่านี้ และกฎใหม่ว่าอย่างไร? กฎใหม่ในวิญญาณบอกว่าให้รีบตัดสินใจ ย้ายมาอยู่ในกฎวิญญาณแห่งชีวิต ในองค์พระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นกฎใหม่นี้  เพื่อให้พ้นโทษจากความตายและหลังความตาย และความจริงทั้งหมดนี้เป็นกฎทางวิญญาณของพระเจ้า  ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้อีกแล้ว พระเจ้าแม้ว่าจะเป็นพ่อของเรา พ่อของมวลมนุษยชาติ รักเรามากขนาดไหน?  เราได้รู้แล้วก็ตาม  แต่พระองค์ยังคงเป็นผู้พิพากษาของมหาจักรวาล

            มันต้องเป็นไปตามกฎเหล่านั้นแหละ เราโยนหินขึ้นไป มันต้องร่วงลงมาโดนหัวเราแน่นอน ตราบใดที่เราอยู่บนโลกใบนี้  ไม่ว่าเราจะเป็นคนทำดีหรือทำชั่ว  ไม่ว่าเราจะรู้จักพระเจ้าหรือไม่รู้จัก ไม่ว่าเราจะรักพระเจ้าหรือไม่รัก ไม่ว่าเราจะเชื่อฟังพระองค์หรือไม่เชื่อฟัง โยนหินขึ้นไป  มันก็ตกลงมาทุกคนแหละ  เพราะว่ามันเป็นกฎ

            เราจะบอกว่า … “เรามองไม่เห็น”

            พระเจ้าบอก … “เขามองไม่เห็น  เพราะฉะนั้น อย่าตกลงมาโดนหัวเขานะ”

            ไม่ได้  โรม 8:1-2 ยิ่งเห็นชัดเจนใหญ่เลยว่า 2 กฎเหล่านี้อยู่คู่กันบนโลกใบนี้ ขณะนี้แล้ว พระเยซูคริสต์มาเปิดทางใหม่  มาเปิดกฎใหม่ให้กับเราทั้งหลาย ในวันคริสต์มาสนั้น คริสต์มาสแรกของโลก เมื่อ 2,000 ปีก่อน โรม 8:1-2  …

        โรม 8:1-2 “1 เหตุฉะนั้น บัดนี้ จึงไม่มีการลงโทษแก่บรรดาผู้ที่อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ (เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดจากบาป) 2 เพราะว่าโดยทางพระเยซูคริสต์กฎของพระวิญญาณแห่งชีวิตได้ปลดปล่อยท่านให้เป็นอิสระ จากกฎแห่งบาปและความตาย (คือกฎแห่งการพึ่งพาการกระทำดีของตนเอง)”

            “เหตุฉะนั้น บัดนี้ ไม่มีการลงโทษ แก่บรรดาผู้ที่อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ ก็คือผู้ที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด จากบาปแล้ว  เพราะว่าโดยทางพระเยซูคริสต์กฎของพระวิญญาณแห่งชีวิต  ก็คือกฎใหม่ ได้ปลดปล่อยท่านให้เป็นอิสระ จากกฎแห่งบาปและความตาย  ก็คือเป็นอิสระจากกฎแห่งการพึ่งพาการกระทำของตนเอง  ก็คือเป็นอิสระจากกฎแห่งกรรมนั่นเอง  ท่านไม่ได้อยู่ในกฎแห่งกรรม กฎแห่งการทำดีได้ดี อีกต่อไป ไม่ได้พึ่งพาการกระทำดีได้ดี  ทำชั่วได้ชั่วของตนเองต่อไป แต่พึ่งพาการกระทำของพระเยซูคริสต์ ดีลูกเดียว เอเมน ให้เชื่อกฎเหล่านี้อย่างตัวสั่นเลยว่ามีกฎเหล่านี้อยู่จริงๆ

            ในทางโลก มนุษย์ทุกคนอยู่ภายใต้กฎของแรงดึงดูดของโลก อย่างที่ตะกี้นี้บอก  จนกระทั่งมีการค้นพบกฎแห่งการยกขึ้นของเครื่องบิน มนุษย์จึงสามารถมีชัยชนะอยู่เหนือกฎแห่งแรงดึงดูดของโลกได้  โดยใช้กฎแห่งการยกขึ้น คือนั่งบนเครื่องบิน ไม่ถูกดูดลงไป ตราบใดที่กฎแห่งการยกขึ้นยังใช้อยู่ ยังมีน้ำมัน เชื้อเพลิงอยู่ ทุกอย่าง อุปกรณ์ยังอยู่ครบถ้วน ก็ยังชนะแรงดึงดูดของโลก ไม่ตกลงมาเช่นเดียวกัน ในโลกวิญญาณ มนุษย์ทุกคนอยู่ภายใต้กฎแห่งกรรม  กฎแห่งการกระทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว  ซึ่งไม่มีใครสามารถทำดีได้ครบถ้วน บริบูรณ์ ตามมาตรฐานของพระเจ้าได้เลย ซึ่งมาตรฐานของพระเจ้า  คือจะต้องบริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระองค์ จึงจะเข้าอยู่ในสวรรค์กับพระองค์ได้ ซึ่งไม่มีใครทำได้หรอก  กฎแห่งกรรมหมายถึงอย่างนี้  จนกระทั่ง เมื่อ 2,000 ปีที่ผ่านมา พระเยซูคริสต์มาสถาปนากฎใหม่ ที่มีชื่อว่ากฎวิญญาณแห่งชีวิต ในพระเยซูคริสต์ ซึ่งมีอำนาจอยู่เหนือกฎแห่งความบาปและความตาย  หรือเรียกว่ากฎแห่งกรรมนี้  พูดง่ายๆ …

            กฎเดิม ที่เรียกว่ากฎแห่งความบาปและความตาย หรือกฎแห่งกรรม คือกฎแห่งการพึ่งพาการกระทำของตนเอง  พยายามกระทำดี ละเว้นชั่วด้วยตนเอง เพื่อจะไปอยู่ในสวรรค์

            กฎใหม่ คือที่เรียกว่ากฎแห่งวิญญาณแห่งชีวิตในองค์พระเยซูคริสต์ ก็คือกฎแห่งการพึ่งพาการกระทำของพระเยซูคริสต์ ที่เราเรียกว่ากฎแห่งพระคุณ  นี่คือกฎใหม่ มีมา 2,000 ปีแล้ว  โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์

            ให้เราจงเคารพ ยำเกรงจนตัวสั่น ต่อกฎทั้ง 2 กฎนี้ว่ามันมีอยู่จริงๆ อย่าทำเป็นเพิกเฉย และหลังจากที่พระเยซูคริสต์ได้สถาปนากฎใหม่ ตั้งแต่นั้นมา มนุษย์ทุกคนสามารถเลือกที่จะดำเนินชีวิตอยู่ใน กฎใดกฎหนึ่ง  กฎเดิมหรือกฎใหม่ก็ได้  ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของมนุษย์คนนั้นเอง ไม่ได้ขึ้นอยู่กับพระเจ้าอีกแล้ว พระเจ้าเปิดประตูสวรรค์ให้เรียบร้อยแล้ว พระเจ้ารักและรอคอย ยืนอยู่หน้าประตู เมื่อไรจะกลับมาๆ ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของมนุษย์คนนั้นแล้วว่าจะกลับหรือไม่กลับ จะกลัวพระเจ้าต่อไปไหม? หรือจะยอมกลับเข้ามาหาพระเจ้า แล้วจะได้รู้ว่าพระเจ้ารักเราขนาดไหน?

            เพราะฉะนั้น เป็นการตัดสินใจด้วยตนเองว่าจะเลือกทางไหน? ระหว่าง …

            (1) พึ่งพาการกระทำของตนเอง  เพื่อให้ครบถ้วนบริบูรณ์  ในการเป็นคนดี บริสุทธิ์ ดีพร้อม เพื่อไปอยู่สวรรค์กับพระเจ้านิรันดร์ได้ หรือ …

            (2) ไม่แน่ใจ หันกลับมาหาพระเจ้า โดยพึ่งพาการกระทำของพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า ที่พระองค์ได้ทรงประทานมาให้  เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของมนุษยชาติทั้งปวง  โดยการวางใจ แค่นั้นพอ

             ซึ่งพระเยซูคริสต์ได้กระทำสำเร็จ เรียบร้อยแล้ว คือสถาปนากฎแห่งวิญญาณ  หรือกฎแห่งพระคุณนี้  โดยการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3  เป็นการเปิดประตูสวรรค์ ให้กับมนุษยชาติทั้งปวง นี่คือข่าวดี ที่มนุษย์ฟังแล้วต้องตัดสินใจ ด้วยตนเอง เพราะเป็นหน้าที่รับผิดชอบของเราเองแล้ว พระเจ้ากระทำให้สำเร็จ เรียบร้อยแล้ว ด้วยความรักของพระองค์ มนุษย์ทุกคนเมื่อได้ยินได้ฟังแล้ว สิ่งที่สมควรที่สุด ก็คืออย่างที่เราได้เรียนรู้มาทั้งหมด  ควรจะเคารพ ยำเกรงจนตัวสั่น  ครั่นคร้ามในความรักอย่างอัศจรรย์ของพระเจ้า ที่ยิ่งใหญ่ขนาดไหน?  เป็นจริงขนาดนี้เชียวหรือ?  ในแผนการ การช่วยให้รอดของพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ผู้เป็นพระเจ้าเพียงผู้เดียวเท่านั้น นอกจากพระองค์ไม่มีพระเจ้าอื่นใด ในพระคัมภีร์บันทึกอย่างนั้น

            ให้เราเคารพ ยำเกรงว่านี่คือความจริง  พระเจ้าเป็นพระเจ้าองค์เดียวเท่านั้น  ที่เป็นพระเจ้าแท้ๆ ของมนุษยชาติทั้งปวง  เป็นพระผู้เดียวเท่านั้น นอกจากพระองค์ ไม่มีพระเจ้าอื่นใด ก็แสดงว่าพระเจ้าที่เราพูดกันทั้งหมด  ที่อ้างว่าเป็นพระเจ้า  เป็นพระเจ้าปลอมทั้งสิ้น เพราะว่าพระคัมภีร์พูดไว้อย่างนั้นว่าพระองค์เป็นพระเจ้าเพียงผู้เดียว นอกจากพระองค์ไม่มีพระเจ้าอื่นใดแล้ว พระเจ้าเป็นพระเจ้าผู้เดียว ก็คือพระเจ้าของพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้านั่นเอง

            เพราะฉะนั้น จงยำเกรงต่อความจริงเหล่านี้ ยำเกรงต่อกฎหมายเหล่านี้ ยำเกรงต่อคำพูดของผู้พิพากษา พูดถึงกฎหมายเหล่านี้ ให้ยำเกรง แต่ตัวผู้พิพากษาเอง รักเราดังแก้วตาดวงใจ  เพราะฉะนั้น อย่าเพิกเฉยต่อกฎวิญญาณนี้ ผู้พิพากษาย้ำแล้วย้ำอีก บอกกับเราแล้ว บอกกับเราอีก บอกกับมนุษย์ทั้งปวงว่า …

            “เรารักเจ้าอย่างมาก เรารักเจ้าดังแก้วตาดวงใจ เพราะฉะนั้น เจ้าทั้งหลาย อย่าเพิกเฉยต่อกฎวิญญาณเหล่านี้ โดยคิดว่าไม่สำคัญ กฎทางวิญญาณนี้ส่งผลอย่างเด็ดขาด เฉียบขาดต่อผู้ที่เคารพยำเกรง เชื่อฟัง ปฏิบัติ คือวางใจในพระเยซูคริสต์ พระบุตร ที่พระบิดาผู้สถิตในสวรรค์ประทานให้กับมนุษย์ทั้งปวงด้วยความรักและห่วงใยอย่างที่สุด”

            นี่คือสารที่มาจากพระเจ้าผู้พิพากษา เตือนเราทั้งหลายว่าอย่าเพิกเฉย  เพื่อเราจะได้เข้าไปสู่สวรรค์ อยู่กับพระบิดาของเราได้ตลอดชั่วนิรันดร์ ถ้าไม่เช่นนั้น เราก็ต้องพินาศนิรันดร์ ซึ่งพระองค์ไม่ต้องการอย่างนั้นเลย  ซึ่งมันเป็นเรื่องจริงๆ ในโลกฝ่ายวิญญาณ  ที่เราจำเป็นจะต้องเรียนรู้และไม่เพิกเฉย  ไม่ล้อเล่นกับมัน พูดง่ายๆ  ได้ยินข่าวประเสริฐแล้ว มันเป็นเรื่องจริง  จงตัดสินใจให้ดีๆ  พระองค์ขอร้องเราทั้งหลาย  อันนี้พูดจริงๆ ตามถ้อยคำพระเจ้า ในพระคัมภีร์นะ พระเยซู พระเจ้าขอร้องให้เราทั้งหลาย โปรดเลือกที่จะพึ่งพาการกระทำของพระเยซูคริสต์ จะได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า กลับคืนดีกับพระองค์ เข้าสวรรค์ อยู่สวรรค์กับพระองค์ ไม่ต้องกลัวพระเจ้าอีกต่อไป ประตูสวรรค์ได้เปิดเรียบร้อยแล้ว  สำหรับมนุษย์ทั้งปวง  ไม่ต้องกลัวพระองค์อีกต่อไปแล้ว  พระเจ้าอวยพรครับ

*********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            ในสายพระเนตรของพระเจ้า มืดก็คือมืด ไม่มีมืดมากหรือมืดน้อย บาปก็คือบาป ไม่มีบาปเล็กหรือบาปใหญ่ แล้วท่านจะยอมให้พระองค์ย้ายท่านมั้ย?

            โคโลสี 1:13-14 “13 เพราะพระองค์ได้ทรงช่วยเรา ให้พ้นจากอาณาจักรของความมืด และทรงนำเรา ย้ายเรา เข้ามาสู่อาณาจักรของพระบุตร (พระเยชูคริสต์) ที่รักของพระองค์ 14 ในพระบุตร (พระเยซูคริสต์) เราได้รับการไถ่บาป (ชำระให้สะอาดบริสุทธิ์) และได้รับการอภัยโทษบาปทั้งสิ้น ที่เราทำ” (เราได้รับการไถ่ หมดเวร หมดกรรม เพราะได้อยู่ในพระคริสต์ ไม่ใช่ เพราะการประพฤติดี)”

            การบังเกิดใหม่ คือการย้ายจากที่อยู่เดิม ในอาณาจักรแห่งความมืด มาอยู่บ้านใหม่ คืออาณาจักรแห่งความสว่าง หรืออาณาจักรแห่งพระบุตร ก็คืออาณาจักรสวรรค์ อาณาจักรพระเยซูคริสต์

            ย้ายโดยการผ่าตัดทางวิญญาณโดยพระเจ้า  ก็คือการย้ายวิญญาณของผู้ที่ต้อนรับข่าวดีของพระเยซูคริสต์

            ในสายพระเนตรของพระเจ้า มืดก็คือมืด ไม่มีมืดมากหรือมืดน้อย บาปก็คือบาป ไม่มีบาปเล็กหรือบาปใหญ่ สว่างก็คือสว่าง ไม่มีสว่างมากหรือสว่างน้อย ผู้ชอบธรรมก็คือผู้ชอบธรรม ไม่มีชอบธรรมมากชอบธรรมน้อย สวรรค์ก็คือสวรรค์ ไม่มีสวรรค์ชั้นหนึ่ง ชั้นสอง ชั้นสาม

            พระเจ้าอวยพรครับ

ารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1446

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  10  ธันวาคม  2023

เรื่อง “หนังสือเอเฟซัส” ตอน 32

โดย วราพร  คงล้วน

            วันนี้เรายังอยู่ในหนังสือเอเฟซัส 5:12-14 …

        เอเฟซัส 5:12-14 “12 เพราะเพียงเอ่ยถึงสิ่งซึ่งพวกที่ไม่ยอมเชื่อฟัง  แอบทำกันนั้น  ก็ยังน่าอาย 13 แต่ทุกสิ่งที่ถูกเปิดเผย  โดยความสว่างก็เห็นกันแจ่มแจ้ง 14 เนื่องจากความสว่างทำให้เห็นทุกสิ่งชัดแจ้ง ด้วยเหตุนี้จึงกล่าวกันว่า “โอ ผู้ที่หลับอยู่ จงตื่นขึ้น จงฟื้นขึ้นจากความตาย และพระคริสต์จะทรงส่องสว่างแก่ท่าน”

            ในพระคัมภีร์ตรงนี้ คราวที่แล้ว อาจารย์เปาโลสอนว่าด้วยเหตุผลทั้งหมดที่พวกเราได้รับพระคุณ จากพระเจ้า เมื่อเราได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์แล้ว ได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ได้เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว  ได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์แล้ว ฉะนั้น ให้เราดำเนินชีวิตให้สมกับที่เป็นลูกที่รักของพระองค์ เราจำได้ใช่ไหม? ดำเนินชีวิตให้สมกับ ตอนนี้เราเป็นราชบุตร ราชธิดาของพระเจ้า ผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด พระเจ้าของเราเป็นอย่างไร? ก็ให้เราเรียนแบบตามนั้น  เราจะเรียนแบบพระเจ้าของเราได้อย่างไร?  ถ้าเราไม่รู้ว่าพระเจ้าของเราเป็นอย่างไร? เราจะรู้ว่าพระเจ้าของเราเป็นอย่างไร?  ผ่านทางถ้อยคำของพระเจ้า

            ถ้อยคำของพระเจ้าจะบอกเราว่าพระลักษณะของพระเจ้าที่เรารู้จักเป็นอย่างไร?  แล้วเราก็ยอมให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่อยู่ภายในเรา นำพาเรา ให้ส่งผลของธรรมชาติใหม่ ที่เราบังเกิดใหม่แล้ว  ก็คือธรรมชาติของพระเจ้าพระบิดา  อยู่ในเราหมดเลย  แค่เรารับรู้ความจริง แล้วยอมให้พระเจ้าทำให้ธรรมชาตินี้ ส่งออกไป ผ่านทางชีวิตของเรา ไปถึงผู้คนรอบข้าง นี่คือสิ่งที่อาจารย์เปาโลกำลังบอกกับผู้เชื่อ ในเมืองเอเฟซัส

            ตรงข้อที่ 14 ที่บอกว่า “โอ ผู้ที่หลับอยู่ จงตื่นขึ้น จงฟื้นขึ้นจากตาย” อาจารย์เปาโลอ้างมาจากพระคัมภีร์เดิม ในหนังสืออิสยาห์ 26:19 และอิสยาห์ 60:1-2 ก็คือคนที่มาบังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ ให้ความสว่างของพระเจ้าที่อยู่ในเรา ได้ฉายแสงออกไป ในหนังสืออิสยาห์ เป็นคำพยากรณ์ พูดถึงในอนาคตข้างหน้า เมื่อพระเยซูคริสต์ได้ทำภารกิจของพระองค์สำเร็จ พระองค์จะทำแบบนี้ แล้วพวกเราผู้ที่เชื่อวางใจในพระเจ้า เราเป็นตะเกียง ซึ่งพระเจ้าจุดความสว่างลงมาในชีวิตของพวกเราแล้ว ให้แสงสว่างในชีวิตของเราฉายออกไปให้คนอื่นได้สามารถสัมผัสจับต้องได้ หรือในพระคัมภีร์ใช้คำว่าให้เราเป็นตัวหนังสือของพระเยซูคริสต์ที่คนอื่นอ่านแล้วรู้ นี่เป็นคริสเตียนนะ ไม่ใช่อ่านแล้วงง ตกลงเป็นคริสเตียนหรือไม่เป็นคริสเตียนอะไรอย่างนี้

            ความรักเป็นธรรมชาติใหม่ ที่ผู้เชื่อทุกคนเป็นอยู่แล้ว เกิดมาเป็น ไม่ต้องพยายามไปทำตัวเอง ให้มีความรัก  เพราะเราเกิดมาเป็นความรัก เพราะพระเจ้าที่อยู่ในเรา พระองค์ทรงเป็นความรัก ฉะนั้น ความรักตรงนี้ ให้เราค่อยๆ พัฒนา ตอนเราเชื่อใหม่ๆ เราอาจจะไม่สามารถที่จะสำแดงได้มากเท่าไร?  แต่พอเราเชื่อนานขึ้น ความรักตรงนี้มันจะบังเกิดขึ้นมาเอง  เหมือนพัฒนา โตขึ้นเรื่อยๆ เราก็จะสามารถสำแดงความรักชนิด เป็นแบบของพระเจ้าออกไปได้มากขึ้นเรื่อยๆ

            เรามองภาพเด็ก เป็นภาพเดียวกันที่พระเจ้าให้เราเห็นในโลกฝ่ายวิญญาณ ตอนเราบังเกิดใหม่ วิญญาณเรายังเป็นเด็กทารก เราอาจจะไม่สามารถที่จะสำแดงพฤติกรรมใหม่ที่พระเจ้าใส่เข้ามาให้กับเราได้มากนัก เราอาจจะเคยชินกับความเคยชินเก่าๆ ของเรา ความเห็นแก่ตัว  ความอิจฉา ริษยา  หรืออะไรต่างๆ ที่เมื่อก่อน เราเคยเป็น  แล้วเราก็ยังไม่โตพอ ที่จะควบคุมพฤติกรรมของเรา เราอาจจะเผลอ ทำสิ่งนี้ออกไป แต่ไม่เป็นไร เราค่อยๆ พัฒนา พระเจ้าก็จะเสริมเรา ให้กำลังเราข้างใน ให้เราเห็นชัดเจนว่าสิ่งที่เราประพฤติออกไป มันไม่ใช่นะ ลูก อันนี้เป็นพฤติกรรมที่ไม่ดี ไม่เหมาะสม เหมือนกับพระเจ้าบอกว่าเมื่อเราเป็นลูกของพระองค์แล้ว ให้เรามีพฤติกรรมที่สำแดงความเป็นเหมือนพระเจ้า ที่อยู่ในตัวเรา เป็นพระลักษณะของพระเจ้าที่อยู่ในตัวเรา ให้สำแดงออกไป  เราก็ค่อยๆ มันจะเกิดการพัฒนา

            สังเกตตัวเองไหม? พอเราโตขึ้น เราเชื่อพระเจ้านานขึ้น มันอัตโนมัติเลยนะ เราเรียนรู้ที่จะรักคนอื่นมากขึ้น แต่ในความเป็นจริง ในโลกวิญญาณทันทีที่เราเชื่อพระเจ้า  เรารักกันเลย  เรารักพี่น้องทุกคนที่เชื่อพระเจ้าเลย  นี่คือเรื่องของโลกวิญญาณ  แต่เรื่องของโลกวัตถุ พระคัมภีร์ใช้คำว่าฝึกฝน พัฒนา บุคลิกลักษณะที่เป็นตัวตนจริงๆ ของเรา ให้สำแดงออกไป

            สัปดาห์ที่แล้วไปอยู่กับเหลน เห็นพัฒนาการ  จากเด็กที่เขาทำอะไรไม่เป็น ยังนอนแบเบาะ ตอนนี้ อายุใกล้ 5 ขวบแล้ว เขาก็ค่อยๆ พัฒนา ค่อยๆ สามารถที่จะเรียนรู้จากคุณพ่อคุณแม่ จากผู้ใหญ่ได้มากขึ้น สามารถที่จะพูดคุยได้เข้าใจมากขึ้น อย่างตอนเล็กๆ พูดแล้วไม่ค่อยเข้าใจ พูดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ จะเอาแต่ใจตัวเอง  แต่ตอนนี้ มีเหตุผล สามารถที่จะคุยได้

            ลักษณะเดียวกัน เหมือนกับพวกเรา ในขณะที่เราเป็นทารก  เรายังเชื่อพระเจ้าใหม่ๆ  บางทีเราไม่มีเหตุผล เราไม่เข้าใจในสิ่งที่พระเจ้าบอกเรา  แต่พระเจ้าอดทนนานมาก พระเจ้าก็จะค่อยๆ บอกเรา สอนเรา  พระวิญญาณบริสุทธิ์จะสำแดงให้เราเห็นว่าสิ่งที่เราทำตามความเคยชินเดิม ตอนนี้ มันไม่เหมาะสมกับเราแล้ว ตอนนี้เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราควรจะทำตัวแบบนี้ดีกว่า ซึ่งพระเจ้าไม่บังคับเรา พระเจ้าก็แนะนำว่าอันนี้ดีกว่า เมื่อเราเป็นลูกพระเจ้า เราควรจะทำแบบนี้

            ฉะนั้น ในพระคัมภีร์ตรงนี้ อาจารย์เปาโลก็พยายามที่จะบอกเรา ถึงพระลักษณะของพระเจ้า ที่มันเกิดขึ้นเรียบร้อยแล้ว ในชีวิตของเรา ให้เราค่อยๆ เรียนรู้ และค่อยๆ พัฒนาพระลักษณะตรงนี้ของพระเจ้าออกไปเรื่อยๆ เราก็เรียนรู้ที่จะรักคนอื่นมากขึ้น เรียนรู้ที่จะให้ออกไปได้มากขึ้น เรียนรู้ที่จะอดทนนานมากขึ้น ถ้าเราเชื่อใหม่ๆ เราก็อดทนไม่นาน พอโตขึ้น ความอดทนถูกสร้างขึ้นผ่านทางความทุกข์ยากลำบาก

            เห็นไหมพอเรามาเชื่อพระเจ้า เราไม่ได้เดินอยู่บนกลีบกุหลาบ พระเจ้าไม่ได้สัญญาอย่างนั้น เรายังเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก  แต่สิ่งที่เราเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก คือเรามีพระเจ้าอยู่ในเรา แล้วเรารับรู้ด้วยว่าพระเจ้าสถิตอยู่ในเรา พระเจ้าให้กำลังเราที่จะสามารถผ่านความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้ไปได้ ทำให้เราอดทนมากขึ้นๆ เรื่อยๆ ทำให้เรากลายเป็นคนที่พระเจ้าทรงสามารถใช้ได้ด้วย

        เอเฟซัส 5:15-17 “15 เพราะฉะนั้น  ท่านจงระมัดระวังในการดำเนินชีวิต อย่าดำเนินชีวิตแบบคนไร้ปัญญา แต่จงดำเนินชีวิตแบบคนมีปัญญา 16 จงรู้จักใช้ทุกโอกาส  เพราะเวลานี้เป็นยุคอันเลวร้าย 17 ฉะนั้น  จงอย่าโง่เขลา แต่จงเข้าใจพระประสงค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าว่าเป็นเช่นใด”

            สมัยก่อน เราก็บอกว่าจงรู้จักใช้ทุกโอกาส พอบอกใช้ทุกโอกาสปุ๊บ เราก็ใช้ใหญ่เลย ทุกโอกาส ก็คือเราไปใช้กับคนอื่น ไม่ได้ใช้กับตัวเอง นี่ถ้อยคำของพระเจ้า อาจารย์เปาโลบอกต้องใช้ทุกโอกาส เราก็เลยใช้ทุกโอกาสในการประกาศข่าวดีของพระเจ้า  เขาพูดถึงเรื่องข่าวดี เราต้องใช้ทุกโอกาส คนจะฟังหรือไม่ฟังไม่รู้ ฉันจะประกาศอย่างเดียวเลย

            ดิฉันมีประสบการณ์ เจออย่างนี้ ดิฉันก็หืม! กรุณาอย่าคุยได้ไหม? คือตอนนั้น เรายังไม่เชื่อพระเจ้า พอพูดถึงคำว่าพระเยซูคริสต์ปุ๊บ  มันขึ้นทันที คือเกิดการต่อต้านขึ้นมาทันที โดยไม่มีสาเหตุ แต่ตอนนี้เรารู้แล้ว

            คนที่ไม่เชื่อพระเจ้ากับคนเชื่อพระเจ้า เราเป็นศัตรูกันในวิญญาณ ก็คือไม่ต้องทำอะไรเลย อยู่เฉยๆ เราโกรธกันเฉยๆ นั่นแหละ  นั่นคือเรื่องความจริง เพราะว่าโลกนี้เป็นศัตรูกับพระเจ้า แล้วเมื่อก่อนดิฉันยังไม่เชื่อพระเจ้า ใครมาคุยเรื่องพระเยซูคริสต์ ของขึ้น มันจริงๆ มีความรู้สึกว่าอย่าเอ่ยนามนี้ได้ไหม?  ไม่ชอบ ไม่อยากฟัง อย่ายุ่งกับฉัน อะไรประมาณนั้น แต่เราขอบคุณพระเจ้า พระเจ้าประทานพระคุณ แล้วพระเจ้าก็อดทนนาน พระเจ้าไม่ลดละ พระเจ้าไม่ทิ้งเรา พระเจ้าก็ยังคอยเคาะประตูใจเราตลอดเวลา โอเค ตอนนี้ของขึ้น พระเจ้าก็ไปห่างๆ พอเริ่มเย็นลง พระเจ้าก็มาใหม่

            จนวันหนึ่ง ก็ขอบคุณพระเจ้า เราก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จากที่ต่อต้านสุดขีด แต่ข้างในวิญญาณ เกิดความอยากจะเชื่อพระเจ้าขึ้นมาเฉยๆ และตอนนี้ เราเข้าใจแล้ว  เมล็ดพันธุ์แห่งความเชื่อ ที่พระเจ้าใส่เข้ามาในวิญญาณของเรา จากใครก็ไม่รู้ คนโน้นทีคนนี้ที พี่สาวที พี่เขยที คนในโบสถ์ที ที่เราหลบคนในโบสถ์ประจำเลย ที่ดิฉันไปโบสถ์วันคริสต์มาส เพราะลูกชายเล่นละคร เป็นลูกแกะ มาตั้งแต่ 5 ขวบ พ่อแม่ทุกคน พอลูกทำอะไร เราอยากมาดู พอมาโบสถ์ คริสเตียนทั้งหลาย เรียกว่ามีความพยายามอย่างสูง ขนาดดิฉันไปแอบนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ ไม่อยากให้ใครมายุ่งกับเรา เขายังอุตส่าห์คุยเรื่องพระเจ้าให้เราฟังอีก

            ข้างในวิญญาณเราเป็นศัตรูกัน แต่ ณ เวลานั้น เราไม่รู้ไงว่ามันอะไร? ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน แต่ว่าพอถึงทุกวันนี้ เข้าใจแล้ว เราก็เรียนรู้ที่จะมอง ถ้าใครไม่อยากฟัง ก็อย่าไปพยายามยัดเยียดให้เขา เหมือนกับที่พระเยซูบอก อย่าเอาไข่มุกให้สุกร ตอนนั้น ดิฉันเป็นสุกร ก็คือไม่รู้ค่าของไข่มุก ถ้าเขาเอาข้าวมาให้ดิฉันกิน ดิฉันมีความสุขกว่าเอาไข่มุกมาให้ พระเยซูบอกว่าอย่าเอาไข่มุกให้สุกร เพราะตอนนั้น สุกรเขาไม่รู้ค่า ให้รอจนวันหนึ่งเขารู้ค่า พอรู้ค่าปุ๊บ มาคุยเรื่องพระเยซู ตอนที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ปุ๊บ เราอยากจะรู้เรื่องพระเจ้า อยากรู้ พระเยซูเป็นอย่างไร? ทำอะไร? อยากรู้ไปหมดเลย นั่นคือพอเราบังเกิดใหม่ปุ๊บ วิญญาณเราถูกเปลี่ยน เราไม่รู้นะว่าวิญญาณเราถูกเปลี่ยน  แต่พระเจ้าบอกว่าทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับ พระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด วิญญาณได้ถูกเปลี่ยนใหม่ เป็นเหมือนพระเจ้าเลย ฉะนั้น พอวิญญาณเราถูกเปลี่ยนใหม่ เป็นเหมือนพระเจ้า  เราอยากรู้เรื่องราวของพระเจ้า ขึ้นมาเอง โดยอัตโนมัติ ไม่ต้องมีใครบังคับ ไม่ต้องมีใครบอกว่าให้ไปโบสถ์ ไม่ต้องมีใครบอกว่าให้อ่านพระคัมภีร์ ไม่ต้องมีใครบอกว่าให้อธิษฐานนะ มันเกิดมาเอง จากข้างในวิญญาณ เพราะว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ข้างในเราเร้าเข้ามาในวิญญาณ  ทำให้เรารู้สึกรักพี่น้องในโบสถ์ รักมากด้วย พอบอกใครเป็นคริสเตียน เรารักหมดเลย  เพราะว่าวิญญาณเดียวกัน  ณ เวลานั้น

            วันแรกที่พ่อดิฉันมาเชื่อพระเจ้า  ตอนนั้น ดิฉันยังไม่เชื่อ  พ่อดิฉันมาเชื่อพระเจ้าตอนที่ท่านเป็นมะเร็งขั้นสุดท้าย มาเชื่อพระเจ้าได้ 5 วัน พระเจ้าพากลับบ้าน 5 วันเอง แล้ววันที่คุณพ่อ จากไปอยู่กับพระเจ้า คุณพ่อจากไปตรงแขนดิฉัน คือจะประคองขึ้นมาเข้าห้องน้ำ แล้วคุณพ่อก็ป๊อกไปเลย หลับไปเลย คาแขนนี้  ตอนนั้น ดิฉันยังเป็นลูกผีอยู่เลย  ยังไม่เชื่อพระเจ้า  แล้วก็มีงานไว้อาลัยที่โบสถ์ ตอนนั้น ดิฉันเคืองคริสเตียนมากเลย มีพี่น้องคนหนึ่งใส่ชุด มีดอกแดงๆ แล้วดิฉันก็เห็น คริสเตียน นี่งานไว้อาลัยนะ  มันเป็นงานเศร้า ทำไมเขาหัวเราะกันทุกคนเลย   คุยกันไป หัวเราะกันไป อะไรอ่ะ คือตอนนั้น เราไม่เชื่อพระเจ้าไง พวกนี้ ทำไมถึงนิสัยแบบนี้ มันเป็นงานเศร้า มาหัวเราะทำไม? พอเรามาเชื่อพระเจ้า ถึงบางอ้อเลย ขอบคุณพระเจ้า  เพราะว่าการจากไปของผู้เชื่อ ไม่ใช่เรื่องเศร้า การจากไปของพวกเราทุกคน เป็นการเริ่มต้นใหม่ที่เราจะได้ไปอยู่กับพระเจ้านิรันดร์กาลบนสวรรค์ ลักษณะงานไว้อาลัยของคริสเตียน เป็นลักษณะเหมือนกับเรามาส่งผู้ที่เรารัก ขึ้นเครื่อง ไปอยู่เมืองบรมสุขเกษม มันเป็นอย่างนั้นเลย

            พอถึงตอนนี้ ดิฉันเข้าใจเลย ขอบคุณพระเจ้า ที่พระเจ้าให้ดิฉันเห็นตั้งแต่ยังไม่เชื่อพระเจ้า หลังจากที่คุณพ่อมาเชื่อพระเจ้า 3 ปี ดิฉันจึงมาเชื่อ แต่เราขอบคุณพระเจ้าที่พระเจ้าเลือกไว้แล้ว จริงๆ พระเจ้ามีพระคุณกับพวกเราทุกๆ คน เมื่อพระเจ้าทำงานมาตลอด  พอถึงวันที่ดิฉันเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระเจ้าเลือกดิฉันมาปรนนิบัติรับใช้ที่โบสถ์ ตอนนั้นดิฉันไม่เข้าใจหรอก แต่สิ่งหนึ่งที่มันเกิดขึ้น ก็คืออยากเรียนรู้ อยากรู้เรื่องพระเจ้า  อยากรู้ทุกอย่างเลย แล้วอาจารย์ที่โบสถ์ก็มาทาบทามว่าให้มาเรียนพระคัมภีร์ ตอนนั้นอยู่คริสตจักรใจสมาน ดิฉันบอกไม่ได้หรอก มาเรียนพระคัมภีร์ ไม่มีทาง แค่เชื่อพระเจ้าก็พอแล้ว  แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว  แล้วลูกก็ยังเล็ก ตอนนั้น ลูกอายุ 5 ขวบเอง แล้วใครจะมาเลี้ยง ใครจะมาดูแล อาจารย์ก็บอกมาเถอะ มาเรียนพระคัมภีร์ พระเจ้าเรียก เราไม่รู้นะ พระเจ้าเรียกคืออะไร? ตอนนั้นไม่เข้าใจ

            อธิษฐานกับพระเจ้า อธิษฐานขอ ตอนนั้น เหมือนดิฉันขอแค่ข้อเดียว คือคุณแม่ เขาไม่รับเลี้ยงหลาน เพราะทุกคนต้องเลี้ยงลูกตัวเอง แล้วดิฉันก็อธิษฐานว่าถ้าพระเจ้าจะให้มารับใช้ และให้เรียนพระคัมภีร์ ดิฉันจะไปคุยกับคุณแม่ แล้วคุณแม่ก็จะเป็นคนเสนอเองว่าจะดูแลลูกให้ ขอแค่นี้นะ แล้วพอไปบอก คุณแม่บอกไปเถอะ เดี๋ยวดูให้ แค่นั้นเอง พระเจ้าตอบคำอธิษฐาน แล้วดิฉันก็มาเรียนพระคัมภีร์  แล้วดิฉันก็มารับใช้ ตั้งแต่วันนั้น จนถึงวันนี้ 36 ปี ดิฉันเชื่อพระเจ้ามา 37 ปี  เชื่อ 1 ปี แล้วก็มาเรียนและรับใช้พระเจ้า พระเจ้า แล้วพระเจ้าก็ดูแลชีวิตของดิฉัน จนตอนนี้ลูก หลาน มีเหลนแล้ว  พระเจ้าก็ดูแลมาตลอด คำว่าดูแล ไม่ได้หมายความว่าดิฉันไม่มีความทุกข์

            คำว่า “ดูแล” ของพระเจ้า เหมือนกับที่พระเจ้าบอกว่าพระองค์ทรงเริ่มต้นการงานดีของพระองค์ พระองค์จะนำพาเราไปจนถึงจุดหมายปลายทางที่พระองค์เตรียมไว้ ก็แปลว่าเรามั่นใจในพระเจ้าที่ทรงสถิตอยู่ในเรา  ไม่ว่าเราจะทุกข์ เราจะสุข  พระองค์บอกว่าพระองค์ไม่ทิ้งเรา เป็นเหมือนลูกกำพร้า แล้วดิฉันมารับใช้พระเจ้า ดิฉันอธิษฐานกับพระเจ้าว่าถ้าพระเจ้าจะให้ตาย ดิฉันก็ยอมตาย ให้อดตาย ดิฉันก็อดตาย ไม่เป็นไร ก็คือแล้วแต่น้ำพระทัย แต่ว่าพระเจ้าไม่เคยให้ดิฉันได้อดตาย ก็คือตอนนี้อ้วนท้วมสมบูรณ์เลย พระเจ้าดูแล นี่คือพระคุณ

            แต่ว่าพระคุณตรงนี้ ไม่ได้หมายความว่าพระเจ้าจะสัญญาว่าเราจะอยู่ดีมีสุข แต่พระเจ้าสัญญาว่าไม่ว่าเราจะเจอทุกข์ยากลำบาก หรือความสุขใดๆ พระเจ้าสถิตอยู่ด้วย ดิฉันผ่านความทุกข์ยากลำบากมาทุกรูปแบบ  ดิฉันเคยอดอาหารโดยไฟท์บังคับ  ก็คือไม่มีจะกิน  เข้าใจคำว่าไม่มีจะกิน  แล้วต้องอด ตอนนั้นรับใช้พระเจ้าแล้ว นั่นนะ ผ่านมาหมด ฉะนั้น พอเรารับรู้ความจริงว่าไม่ว่าเราจะอด หรือเราจะอะไร? พระเจ้าอยู่ด้วย ไม่เป็นไร ถ้าถึงวาระที่พระเจ้าจะให้เราอยู่ดีมีสุข เราก็สามารถเหมือนกับอาจารย์เปาโล เผชิญทุกสิ่งได้

            “ข้าพเจ้าสามารถเผชิญกับความอดอยาก หิวโหยได้ ข้าพเจ้าสามารถเผชิญกับความอิ่มหนำสำราญได้ ข้าพเจ้าสามารถเผชิญกับความร่ำรวยได้ แล้วข้าพเจ้าก็สามารถเผชิญกับความยากจนได้ด้วย” อะไรอย่างนี้

            นี่คือชีวิตของผู้เชื่อ แล้วดิฉันก็เป็นหนึ่งในผู้เชื่อ แค่พระเจ้าแยกให้มารับใช้พระเจ้าเท่านั้น สถานะของเราเท่ากัน  การปฏิบัติของพระเจ้าที่มีกับดิฉันกับพวกท่านเท่ากัน เราเป็นลูกที่รักของพระองค์ พระเจ้ารักเราดั่งแก้วตาดวงใจ เหมือนกันทุกคน เรามีสถานะ คือเป็นลูกของพระเจ้า เป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์ เหมือนกันทุกคน นี่คือของประทาน นี่คือของขวัญ  นี่คือรางวัล ที่พระเจ้าให้กับผู้เชื่อทุกๆ คนเท่ากัน  แต่สิ่งที่ไม่เท่ากัน ก็คือพระเจ้าทรงให้แต่ละคนที่มีสถานะการงานต่างกัน บางคนพระเจ้าก็ให้มารับใช้ บางคนพระเจ้าก็ให้เป็นแม่บ้าน บางคนพระเจ้าก็ให้อยู่ยาวเลย บางคนพระเจ้าก็ให้อยู่แป๊บเดียว ก็ไปแล้ว กลับบ้าน สบายเลย ดิฉันเคยขอพระเจ้า ขออายุแค่ 60 พอ ดิฉันขอจริงๆ นะ  พระเจ้าขอ 60 พอ ดิฉันอยากจะไปอยู่กับพระเจ้ามากเลย พระเจ้าไม่ตอบคำอธิษฐาน พระเจ้าให้ดิฉันอยู่ต่อ ตอนนี้ดิฉัน 72 ปีแล้วย่าง 73 อยู่ต่อมาอีก 12 ปี แล้วดิฉันก็ยังขออยู่ดีแหละ ดิฉันอยากจะไปอยู่กับพระเจ้ามากกว่าอยู่บนโลกใบนี้ ถ้าพระเจ้าอนุญาตนะ ถ้าพระเจ้าให้ แต่ถ้าพระเจ้าไม่ให้ ก็ไม่เป็นไร ดิฉันก็อยู่อย่างชื่นชมยินดีแหละ อยู่แบบแก่ๆ ไปด้วยกัน

            พี่น้องลองนึกภาพ เราอยู่ด้วยกันตั้งแต่ตอนผมดำ จนตอนนี้ผมขาวหมดทั้งหัวแล้ว เราก็ยังสามารถชื่นชมยินดีได้ ดิฉันเห็นพี่น้องทุกครั้ง ดิฉันมีความสุข  แค่เห็นหน้า ดิฉันก็มีความสุข  คือพี่น้องไม่ต้องทำอะไรเลย แค่มานั่งอยู่ที่ห้องประชุม ดิฉันก็มีความสุข  แล้ววันคริสต์มาสอย่างนี้ ดิฉันยิ่งมีความสุขใหญ่เลย  เพราะได้ร้องเพลงคริสต์มาส ดิฉันก็มีความสุข นี่คือความสุขเล็กๆ น้อยๆ ที่เราสามารถหาได้  ไม่ต้องไปหาไกลที่ไหนเลย แค่เราได้มีโอกาสรักกัน  เราก็มีความสุขแล้ว เอเมนไหมค่ะ …

        เอเฟซัส 5:18 “และอย่าเมาเหล้าองุ่น  ซึ่งจะทำให้เสียคน แต่จงเปี่ยมด้วยพระวิญญาณ”

            ทำไมอาจารย์เปาโลบอกอย่างนี้  … “อย่าเมาเหล้าองุ่น” พี่น้องจำได้ไหมตอนที่วันเพ็นเตคอส แรก ที่พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นมาจากความตาย  แล้วก็มาอยู่กับสาวก 40 วัน  และก่อนที่จะขึ้นไปสวรรค์ พระเยซูก็บอกกับสาวกว่าให้ไปรอในที่แห่งหนึ่ง รอตามพระสัญญา และสาวกก็ไปรอ อยู่ในห้องลักษณะเหมือนห้องใต้หลังคา ก็คือเขาไปแอบพวกคนยิว พวกธรรมาจารย์ พวกฟาริสีที่จะมาไล่ล่าฆ่า คนที่เชื่อพระเจ้า ในยุคนั้น  ถูกข่มเหง ถูกไล่ล่า ถูกเอามาเฆี่ยนตี ถูกเอามาติดคุก  ถูกเอามาเผาไฟ  ถูกเอามาให้สิงโตกิน ในยุคของพระเยซูคริสต์ ผู้ที่เชื่อวางใจในพระเจ้า เขาโดนอย่างนี้นะ ไม่เหมือนเรา สบายๆ ณ เวลานี้ แต่เขาโดนจริงๆ และเขาต้องตัดสินใจ เลือกข้าง เลือกว่าเขาจะยังคงอยู่ในความเชื่อเดิม คืออยู่ในบทบัญญัติเดิม ตามที่พวกธรรมาจารย์ พวกฟาริสีที่เขาทำกัน ก็คืออยู่ในวิหาร หรือเลือกที่จะออกจากวิหาร มาติดตามพระเยซูคริสต์ ณ เวลานี้ คนที่ยังปฏิบัติหน้าที่ในวิหาร คือมันจบแล้ว พระเยซูบอกว่าวันที่พระเยซูสิ้นพระชนม์ และถูกฝัง เป็นขึ้นมาจากความตาย กฎเก่า คือกฎที่ทำพิธีกรรมในพระวิหาร พระเจ้าพระบิดายกเลิกแล้ว ตอนนี้พระเจ้าให้กฎใหม่ ก็คือใครก็ตามที่อยากได้รับความรอด หรืออยากจะคืนดีกับพระเจ้า ต้องมาทางพระเยซูคริสต์เท่านั้น

            ฉะนั้น คนที่เชื่อพระเจ้ายุคแรก  พวกสาวกต่างๆ เขาต้องวิ่งหนีหัวซุกหัวซุน พระเยซูคริสต์บอกให้เขามารอ ตามพระสัญญาที่พระเจ้าบอก ก็คือส่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าลงมาสถิตกับมนุษย์  และที่วันเพ็นเตคอสครั้งแรก  ก็คือเป็นครั้งแรกที่พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาสถิตกับมนุษย์    มนุษย์กลายเป็นวิหารของพระเจ้า  พวกสาวกไปแอบอยู่ใต้หลังคา  เพราะไม่รู้ว่าพระสัญญาที่พระเจ้าบอกจะมาเมื่อไร? เพราะพระเยซูไม่ได้บอกเลยว่ากี่วัน? แค่บอกว่าไปรอแล้วกัน เดี๋ยวมาก็รู้เอง  เหมือนกับทุกวันนี้ บอกว่าพระเยซูจะเสด็จกลับมา  ไม่ต้องไปหาหรอกว่าเมื่อไร?  เดี๋ยวมาก็รู้เอง พระเยซูก็บอกอย่างนั้น สาวกก็ไปรอ ไปอธิษฐาน ไปอดอาหาร ตอนนั้น กลัวนะ ไม่ใช่หน้าชื่นตาบาน คือกลัวมาก กลัวคนมาจับไป

            แล้วพอถึงวันที่ 50 พระวิญญาณบริสุทธิ์ถูกส่งลงมา ในพระธรรมกิจการบอกว่าเป็นเปลวไฟ สันฐานเหมือนลิ้น ลงมาเหนือทุกคน แล้วคนเหล่านั้น ก็พูดภาษาอื่นๆ ที่ปัจจุบันเราใช้คำว่าภาษาแปลกๆ  เพราะว่าเราฟังไม่รู้เรื่อง เราก็เลยบอกแปลก แต่ภาษาอื่นๆ ในพระธรรมกิจการได้บันทึกไว้ คือภาษาที่สาวกเหล่านี้เขาไม่รู้จัก  แต่พระเจ้าให้เขาพูด เป็นคำประกาศพระกิตติคุณของพระเจ้าในภาษานั้นๆ ซึ่งตอนที่สาวกพูดภาษาอื่นๆ นี้ มีชาวอะไรเยอะแยะมากมาย อยู่ข้างล่าง อาจจะพวกโปตุเกส พวกฝรั่งเศส พวกอิตาลี พวกเยอรมัน อเมริกัน หรืออะไรต่างๆ แต่ในพระคัมภีร์มีชาวพื้นเมืองที่นั่น ดิฉันจำไม่ได้ ก็คือภาษาของเขาจะแตกต่างจากพวกสาวกที่เขาพูด

            ฉะนั้น ตอนที่สาวกพูดภาษาอื่นๆ ก็คือเป็นภาษาพื้นบ้านของคนเหล่านี้  ที่เขาได้ยินได้ฟัง แล้วเขา … “โอ๊ย! คนเหล่านี้เขาประกาศเรื่องของพระเยซูคริสต์ ทำไมเขาถึงพูดได้  ภาษาของเรา”

            ซึ่งคนเหล่านี้เขาได้ยินได้ฟังเป็นภาษาของเขา แล้ว ณ วันนั้น คือวันแรกที่พระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ด้วย ลงมาสถิตอยู่ด้วยปุ๊บ มันเกิดความกล้า จากเปโตรที่ขี้กลัวมาก ลุกขึ้นมาประกาศข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ถ้าพี่น้องไปอ่านถ้อยคำของพระเจ้าจริงๆ มันจะเป็นเรื่องที่พูดเหมือนซ้ำไปซ้ำมาๆ เหมือนที่พี่น้องบอกว่าอาจารย์แถวนี้ ไม่พูดอย่างอื่นเลย พูดเรื่องเดียว ก็ไม่รู้จะไปพูดอะไร เพราะข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ก็มีเรื่องเดียว แค่นี้แหละ แล้วเราไปอ่านพระคัมภีร์ เราจะเห็นเปโตรก็ไล่เลย พระเยซูคริสต์ผู้นี้ ผู้ที่พระเจ้าส่งมา พวกท่านไม่เชื่อว่าเป็นพระมาซีฮาห์ พวกท่านก็เลยจับพระองค์ไปตรึงบนไม้กางเขน แล้วพระองค์ผู้นี้แหละ ได้เป็นขึ้นมาจากความตาย  เป็นพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ ที่จะสามารถทำให้พวกท่านรอด นี่คือข่าวประเสริฐที่ในหนังสือกิจการหรือหนังสือจดหมายฝาก พี่น้องไปอ่านสิ มีอยู่แค่นี้แหละ

            แล้วอาจารย์เปาโลพอไปเจอใคร ประกาศ ไล่ความตั้งแต่ปฐมกาลมาเลย พระเยซูคริสต์เป็นใคร? มาจากไหน? ทำอะไร? ข่าวดีของพระเจ้า มีแค่นี้จริงๆ

            ฉะนั้น ข่าวประเสริฐของพระเจ้าแค่นี้ จึงทำให้คนในยุคนั้น สามารถยืนหยัดอยู่ได้ เพราว่าเขามีความเชื่อมั่นคง ปักหลักลงไปที่พระเยซูคริสต์ แล้วพอคนที่ได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ปุ๊บ คนข้างล่างเขาหาว่าพวกสาวก หรือพวกที่ติดตามพระเยซูคริสต์เขาเมาเหล้าองุ่น นี่แหละที่มา เขาเมาเหล้าองุ่น คือคุยไม่รู้เรื่อง เซไปเซมา แต่ว่าความเป็นจริง เขาไม่ได้เมาเหล้าองุ่น เขาเมาพระวิญญาณ อาจารย์เปาโลก็เลยบอกว่าอย่าเมาเหล้าองุ่น ให้เมาพระวิญญาณดีกว่า

            สมัยก่อนคนอิสราเอล พื้นที่เขาน้ำเปล่าหายากมาก แล้วเป็นพื้นที่ที่เขาปลูกต้นองุ่น ออกผลดกมาก แล้วองุ่น พอกลั่นเป็นน้ำนานๆ มันกลายเป็นไวน์ แล้วเหล้าองุ่นมันเป็นสารชนิดหนึ่ง ที่เวลาคนดื่ม แล้วทำให้เกิดแบบเคลิ้ม เหมือนคนเสพกัญชา เสพยาเสพติด ถ้าดื่มน้อยๆ มันจะเป็นประโยชน์ แต่ถ้าดื่มเยอะ ก็จะเมา แล้วกว่าจะเมา ต้องดื่มเยอะมาก ฉะนั้น เป็นสารที่ทำให้มีความสุข อาจารย์เปาโลเลยสอนว่าอย่าเมาเหล้าองุ่น แต่ให้เมาพระวิญญาณ เพราะเหล้าองุ่น ถ้าเมาเยอะๆ ก็เสียผู้เสียคน

        เอเฟซัส 5:19-20 “19 จงสนทนากันด้วยเพลงสดุดี เพลงสรรเสริญและบทเพลงฝ่ายจิตวิญญาณ จงร้องและบรรเลงเพลงในใจถวายองค์พระผู้เป็นเจ้า 20 จงขอบพระคุณพระเจ้าพระบิดา  สำหรับทุกสิ่งอยู่เสมอ  ในพระนามขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา”

            ตรงนี้ ให้ร้องเพลงสดุดี ร้องเพลงสรรเสริญ เปล่งเสียงชื่นบานถวายแด่พระเจ้า เราก็งงว่าแล้วทำอย่างไร? เสียงชื่นบาน จะร้องอย่างไร? สดุดีจะร้องอย่างไร? พี่น้องนึกภาพนะ แค่เราขึ้นเพลงปุ๊บ พี่น้องมีความสุขไหม? เวลาร้องเพลง มีความสุขนะ  ไม่ว่าจะเป็นเพลงพระเจ้า หรือเพลงข้างนอก สมัยก่อนเราไม่เชื่อพระเจ้า เราก็ร้องเพลงข้างนอก พอเพลงขึ้นปุ๊บ ร่างกายก็ขยับตามเลย นึกออกไหม? พอเพลงขึ้นปุ๊บ มันเต้นเอง โดยอัตโนมัติ มีความสุข แล้วเวลาเรามีความสุข ไม่ใช่เราร้องเพลง

                        “จงชื่นชมยินดีในพระเป็นเจ้า        จงชื่นชมยินดีในพระองค์” (ร้องเพลงไม่มีชีวิตชีวา)

            ไม่ใช่หน้าอย่างนี้ (หน้าเฉยๆ ไม่มีความสุข) แต่เวลาจงชื่นชมยินดีในพระเป็นเจ้า เราก็ยิ้มแย้มมีความสุข ร้องอย่างมีคาวมสุข ก็คือหน้าไปหมดเลย มันส่อถึงความชื่นชมยินดี จากข้างในออกมาข้างนอก แล้วการร้องเพลง เป็นประโยชน์มากสำหรับพวกเรา ก็คือทำให้ปอดเราขยาย มันเป็นการออกกำลังกาย โดยที่เราไม่รู้ตัว แต่ว่าพระเจ้าสร้างให้เรามาเป็นแบบนี้ แล้วพระเจ้าบอกว่าพระองค์ทรงเป็นบทเพลง ตัวพระองค์เองเป็นบทเพลง ทำให้พวกเราทุกคน ผู้ที่เชื่อวางใจในพระเจ้า จากที่เราร้องเพลงไม่เป็น เราก็ร้องเพลงเป็นเฉยเลย เมื่อก่อนอาจจะร้องเพลงไม่เป็น อาจจะเสียงเหมือนเป็ด เหมือนอะไร พี่น้องเสียงไม่เพราะก็ไม่เป็นไร ร้องไปเถอะ พระเจ้าฟังแล้ว พระเจ้าจะบอกว่า …

            “ลูกเราคนนี้ ร้องเพลงเพราะมาก”

            เอเมนไหมค่ะ เพราะมาก ทุกคนเลย พระเจ้ามีความสุข

            ฉะนั้น การเปล่งเสียงชื่นบาน มันจะออกมาจากข้างใน ถ้าข้างในเราไม่ชื่นบาน มันออกมาไม่ได้หรอก  มันจะออกมาโดยอัตโนมัติ แล้วพระเจ้าใส่ความชื่นบานลงมา ในวิญญาณของเราเรียบร้อยไปแล้ว ที่ในพระคัมภีร์บอกว่าจงชื่นชมยินดี ในองค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่ เราต้องพยายามไปชื่นชมยินดี  แต่ความชื่นชมยินดีมันอยู่ข้างในเราแล้ว ให้เรานำเอาสิ่งที่เรามีอยู่  สำแดงออกมา เหมือนที่เขาชอบพูดว่าเวลามีความสุข ช่วยบอกให้ใบหน้ารู้ด้วยนะ

            “ฉันมีความสุขมากเลย สุขจริงๆ นะ ตอนนี้ฉันสุขมาก” ใบหน้าไม่บอก เขาลืมบอกว่าเรามีความสุข

            เวลามีความสุข ใบหน้ามันจะออกมาเอง มันอัตโนมัติ โดยที่ไม่ต้องฝืน ไม่มีใครฝืน แต่ถ้าเราฝืน ชื่นชมยินดีสิ ให้เราร้องเพลง มันก็ร้องเพลงแบบไม่มีชีวิตชีวา เวลาเรามาโบสถ์ เรามีความชื่นชมยินดี  เขาถามว่าคริสตจักรทำอะไร? คริสตจักรมาร้องเพลงไง เรามาร้องเพลง ถวายพระเจ้า  เรามาฟังความจริงของพระเจ้า  แล้วเรามารับรู้ความจริง เพื่อเราจะได้รู้ว่าตอนนี้เราเป็นใคร? ตอนนี้เราได้รับอะไรไปแล้ว? พระเจ้าทำให้เราเสร็จเรียบร้อยแล้ว? เราไม่ต้องทำอะไร? เราแค่เอาสิ่งที่พระเจ้าให้เรา สำแดงออกมาเท่านั้นเอง

            “จงขอบคุณพระเจ้าพระบิดา สำหรับทุกสิ่งอยู่เสมอ” ในนามของพระเยซูคริสต์ ทุกสิ่ง ไม่ได้หมายความว่าสิ่งดีๆ เท่านั้น “ทุกสิ่ง” หมายถึงแม้สิ่งนั้นจะไม่ดีก็ตาม พี่น้องรู้สึกไหม? บางครั้งเราไม่อยากได้สิ่งที่เราเจอ เคยเป็นไหม? แต่พระเจ้าบอกให้เราขอบพระคุณ  เพราะเราไม่รู้ว่าสิ่งที่เราเจอ มันจะมีผลดีสำหรับเราในอนาคต เราไม่รู้หรอก แต่พระเจ้ารู้ว่าอย่างนี้แหละ มีผลดีสำหรับเราในอนาคต แล้วเราก็รับรู้ว่าพระเจ้ารักเรา ดังแก้วตาดวงใจ พระเจ้าไม่เอายาพิษให้เรากินแน่นอน ฉะนั้น เราจึงสามารถที่จะชื่นชมยินดีได้

            ลักษณะเหมือนเด็ก เด็กไม่ชอบไปโรงเรียน แต่พ่อแม่ก็ต้องให้ไปให้ได้ เพื่ออนาคตของเขา ตอนใหม่ๆ เด็กก็จะงอแงร้องไห้ โวยวาย  แต่พอเขาโตขึ้น เขาก็จะเข้าใจ เป็นอย่างนี้นี่เอง ถ้าเมื่อก่อน พ่อแม่ไม่บังคับ ตอนนี้เราก็ไม่มีความรู้ ไม่สามารถไปทำงานดีๆ เราก็ต้องไปเป็นลูกจ้างที่ใช้แรงงาน อะไรประมาณนั้น หรือเด็กบางคนไม่ชอบแปรงฟัน พ่อแม่ก็ต้องบังคับให้แปรงฟัน  ไม่ชอบก็ต้องทำ  เพื่อสวัสดิภาพของเขา  มันเป็นภาพเดียวกัน ในโลกวิญญาณ พระเจ้ารู้ว่าอะไรดีที่สุด สำหรับชีวิตของพวกเราทุกๆ คน เราไม่รู้หรอก บางครั้งเราเจออย่างนี้

            เราก็จะถามพระเจ้าว่า … “พระองค์เจ้าข้า ทำไมพระองค์อนุญาตให้เรื่องนี้เกิดขึ้นกับลูก พระองค์ไม่รักลูกแล้วหรือ?”

            พระเจ้าบอก … “รักจะตาย รักขนาดให้ลูกชายคนเดียวมาตายแทนเธอ เธอยังไม่เชื่อใจฉันอีกหรือ?” อะไรประมาณนั้น

            ฉะนั้น ให้เรามั่นใจในความรักของพระเจ้า ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นกับชีวิตของเรา เรารู้ว่าพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย แล้วเรารู้ว่าแม้จะอยู่หรือตาย พระเจ้าก็อยู่ด้วย เหมือนอาจารย์เปาโล อาจารย์เปาโลไม่ได้อยู่สบายนะ อาจารย์เปาโลไปประกาศ ถูกตี ถูกเฆี่ยน ถูกจับ ถูกโยน ถูกอะไรสารพัดสิ่ง แต่อาจารย์เปาโลสามารถที่จะชื่นชมยินดีได้ เพราะอาจารย์เปาโลรู้จักพระเจ้าที่เขาเชื่อ รู้ว่าพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย  และรู้ว่าพระเจ้ามีแผนการที่ดี สำหรับอาจารย์เปาโล

            เหมือนกัน พระเจ้ามีแผนการที่ดีถ้าเรามองภาพ ถ้าพี่น้องรู้สึกว่าตอนนี้ทุกข์ยากลำบาก ดิฉันก็ไม่รู้ว่าตอนนี้ใครกำลังเผชิญกับอะไรทั้งหลายแหล่ อาจจะเรื่องของสุขภาพร่างกาย เรื่องของการเงินการงาน เรื่องของครอบครัว เรื่องของอะไร เราไม่รู้ แต่ให้พี่น้องดูตัวอย่างที่สำคัญ ที่พระเยซูคริสต์ พี่น้องว่าพระเจ้ารักพระเยซูไหม?  รักเนอะ เป็นพระบุตรองค์เดียวใช่ไหม?  แต่ตอนที่พระเจ้าส่งพระเยซูคริสต์มา เพื่อที่จะถูกตรึงบนไม้กางเขน เพื่อพวกเรา  เพื่อที่จะมาตาย เพื่อที่จะมาหลั่งพระโลหิต  เพื่อว่าถ้าพระเยซูคริสต์ไม่มาเป็นมนุษย์ พระเยซูคริสต์ไม่ตาย พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นมาใหม่ไม่ได้ ถ้าพระเยซูคริสต์เป็นขึ้นมาใหม่ไม่ได้ พวกเราก็ตาย

            ตอนที่พระเยซูคริสต์อธิษฐานกับพระเจ้า 3 ครั้ง พระเจ้าไม่ตอบ แปลว่าพระเจ้าไม่รักพระเยซูคริสต์ใช่ไหม?  พระเจ้ารัก แต่พระเจ้ารู้ว่าอันนี้ดีที่สุดแล้ว พระเยซูยังไงก็ต้องเดินไป เพื่อแผนการที่ยิ่งใหญ่ ที่พระเจ้าทำให้มนุษยชาติบนโลกใบนี้  แล้วในที่สุดพระเยซูคริสต์ก็ยอม

            พระเยซูคริสต์จะบอกว่าให้เป็นไปตามน้ำพระทัย ถ้าเลื่อนไม่ได้ แล้วพระเยซูคริสต์ก็เดินไปที่แดนประหาร ให้ถูกเฆี่ยนตี ถูกตรึง ถูกเยาะเย้ย  ถูกทุกอย่างเลย  เพื่อพวกเราทั้งหลายจะได้สามารถกลับคืนดีกับพระเจ้าได้ ภาพเดียวกันเลย ถ้าเราเผชิญกับความทุกข์ยากใดๆ ให้เรามองพระเยซูคริสต์เป็นต้นแบบ พระเจ้ารักพระเยซูคริสต์ขนาดไหน? พระเจ้าก็รักเราขนาดนั้น  พระเจ้ามีแผนการที่ดีที่สุด สำหรับพวกเราแน่นอน ไม่ว่าเราจะรู้สึกหรือไม่รู้สึก ไม่ว่าเราจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจก็ตาม พระเจ้ารักเรามากที่สุด แล้วทุกอย่างที่มันเกิดขึ้นกับเรา พระเจ้าจะทำให้มันเป็นผลดี สำหรับชีวิตของเราแน่นอน  พระเจ้าอวยพรค่ะ

***********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            “วิญญาณของเราจะชั่วหรือจะดี ขึ้นอ ยู่กับอะไร?”  พระเยซูคริสต์มีคำตอบ

            พระเยซูประกาศเรื่องอาณาจักรสวรรค์ให้ชาวยิวที่เคร่งศาสนา ทนงตนในความดี ความชอบธรรมที่ตนเองถือปฏิบัติ ตามกฎบัญญัติได้มาก ให้พวกเขากลับใจใหม่ หันมาเชื่อ และวางใจในพระองค์และจะได้ความรอด จากการถูกพิพากษาลงโทษ หลังความตาย ได้เข้าอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า

            พระเยซูชี้ให้เห็นตัวตนของมนุษยชาติจริงๆ นั้นเป็นวิญญาณ และอยู่ในสภาพตาย เนื่องจากผลของความบาป ซึ่งไม่สามารถแก้ไข ด้วยการประพฤติปฏิบัติ ตามกฎบัญญัติ กฎศีลธรรม การประพฤติดีได้เลย ต้องได้รับการช่วยเหลือจากพระเจ้าเท่านั้น เพื่อจะได้รับการบังเกิดใหม่ ได้รับวิญญาณใหม่ เข้ามาแทนที่วิญญาณเดิม ที่เป็นบาปอยู่นั้น

            มัทธิว12:33-37 … “พระเยซูเปรียบเทียบวิญญาณเหมือนต้นไม้ 33 ถ้าทำต้นไม้ให้สมบูรณ์ดี ผลออกมาก็จะดี หรือทำต้นไม้ให้เลว ติดเชื้อโรค ผลออกมาก็จะเลว เพราะว่าเราจะรู้จัก และตัดสินต้นไม้ว่าดีหรือเลว ก็ด้วยผลของมัน (ถ้าวิญญาณภายในสมบูรณ์ดี ก็จะส่งผลดี คือเชื่อและเป็นมิตรกับพระเยซูกับพระเจ้า ผู้เป็นความดี ถ้าวิญญาณภายในเลว ติดเชื้อโรคบาปชั่ว ก็จะส่งผลเลว คือต่อต้าน ปฏิเสธ เป็นศัตรูกับพระเยซู กับพระเจ้า) 34 โอ พวกชนชาติงูร้าย (สืบเชื้อสายมาจากบรรพบุรุษอาดัม ซึ่งล้มลงในความบาป) ท่านทั้งหลายเป็นคนชั่ว (คนบาป) แล้วจะพูดความดีได้อย่างไร ด้วยว่าปากนั้นพูดสิ่งที่ล้นมาจากใจ (ความหมายคือโอ้ มนุษย์ซึ่งตกอยู่ในสภาพบาป ในตระกูลของอาดัม ท่านทั้งหลายติดเชื้อโรคบาป เป็นคนบาป คนชั่วในวิญญาณ จะพูดเป็นมิตร ยอมรับเราได้อย่างไร เพราะที่ท่านพูดต่อต้านปฏิเสธเรานั้น ก็เพราะในใจของท่านเป็นบาป เป็นศัตรูกับเรา ต่อต้านปฏิเสธเรา ผู้เป็นความชอบธรรม ความดีของพระเจ้า) 35 คนดีก็นำสิ่งดีออกมา จากคลังแห่งความดีภายในตัวของเขา คนชั่วก็นำของชั่วออกมาจากคลังแห่งความชั่ว ภายในตัวของเขา (คลังแห่งความดีในวิญญาณของเขา หรือคลังแห่งความชั่วในวิญญาณของเขา) 36 ส่วนเราบอกพวกท่านว่า ในวันพิพากษา (หลังความตาย) มนุษย์จะต้องรับผิดชอบต่อถ้อยคำเหล่านั้นที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อตนเอง (เป็นผลเลว) ทุกคำที่พูดนั้น (ความหมาย คือส่วนเราบอกท่านว่าทุกคำที่เป็นผลเลว ซึ่งท่านพูดต่อต้านเรา ไม่เชื่อในตัวเรา เป็นศัตรู ปฏิเสธ ไม่ยอมรับเราว่าเป็นผู้ที่พระเจ้าส่งมา เพื่อช่วยมนุษยชาติให้รอดจากบาปนั้น จะทำให้ท่านถูกพิพากษาลงโทษ เพราะท่านไม่ยอมรับผู้เดียว ที่พระเจ้าทรงส่งมาช่วยท่านให้รอดพ้นจากโทษของความบาป) 37 เพราะว่าพวกท่านจะพ้นผิด เป็นผู้ชอบธรรมหรือเป็นคนบาป ถูกตัดสินลงโทษ ก็เพราะคำพูดของท่าน (ฉะนั้นท่านจะรอดจากการถูกพิพากษาลงโทษ เนื่องจากบาปที่อยู่ในตัวท่าน ในวิญญาณของท่าน หรือไม่ขึ้นอยู่กับท่านปฏิเสธ หรือยอมรับผู้ช่วยให้รอด คือพระเยซูหรือไม่)”

            สรุป วิญญาณจะชั่วหรือดี ขึ้นอยู่กับต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดหรือไม่ พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1445

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  3  ธันวาคม  2023

เรื่อง “อิสระจากความกลัวทั้งปวง (เพราะพระองคทรงอยู่)”

ตอน 5 “อิสระจากความกลัวความขัดสนยากจน”

โดย  นคร  เวชสุภาพร

            “อิสระจากความกลัวทั้งปวง (เพราะพระองค์ทรงอยู่)” วันนี้ตอนที่ 5 “อิสระจากความกลัวความขัดสนยากจน”

            อันดับแรกเลย ถามว่า … “ความขัดสนยากจนนี้ มาจากไหน?”

            มนุษย์บนโลกใบนี้คิดอย่างไร?  เราคิดอย่างไร? ความขัดสนยากจน มาจากไหน?  ความจริงคืออะไร?  เรามาดูถ้อยคำพระเจ้ากัน  เพราะพระเจ้าเป็นผู้ทราบสาเหตุของความยากจน  ความขัดสนบนโลกใบนี้อย่างแน่นอนเลยว่า เหตุอะไร จึงเกิดความยากจน เหตุใดการทำมาหากินของมนุษย์บนโลกใบนี้ ทำไมมันจึงลำบาก  มันยุ่งวุ่นวายถึงการทำมาหากิน ทุกยุคทุกสมัยเป็นอย่างนี้  มันมาจากไหน?  มาจากมนุษย์ขี้เกียจหรือ? เราก็ต้องไปที่พระคัมภีร์เริ่มต้นเลย เพราะพระเจ้าเป็นผู้สร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ผู้สร้างสิ่งที่มองเห็น ก็คือโลกใบนี้ วัตถุสิ่งของบนโลกที่เรามองเห็น และเป็นผู้สร้างสิ่งที่มองไม่เห็นด้วย พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น ก็คือโลกวิญญาณ เพราะฉะนั้น ความทุกข์ยากลำบาก ความยากจนนี้ ในวัตถุสิ่งของที่มองเห็นนี้ มันเกิดอะไรขึ้น  พระเจ้าสร้างมาเป็นอย่างนี้หรือ? ให้ทุกข์ลำบากอย่างนี้หรือ?

            เปล่าเลย ในปฐมกาล พระเจ้าบอกแล้วว่าพระเจ้าสร้างโลกใบนี้อย่างนี้และดีที่สุดเลย เป็นบ้านให้กับมนุษย์ได้อยู่อาศัย  แล้วทำไมบ้านที่ดี ถึงทุกข์ลำบากอย่างนี้ มีแต่ความชั่วร้าย มีแต่ความลำบากในการอยู่อาศัย  ก็เพราะว่ามีการผิดพลาดเกิดขึ้น เพราะมนุษย์ผู้เป็นเจ้าของบ้านนั้น ได้ทำอะไรบางอย่าง ก็คือได้กบฏต่อพระเจ้า  ตัดสินใจออกจากบ้านนี้  ตัดสินใจเป็นศัตรู ต่อต้านกับพระเจ้า ไม่อยู่กับพระเจ้าแล้ว  พูดง่ายๆ เชิญพระเจ้าออกจากบ้านไป เมื่อเชิญพระเจ้าออกจากบ้านไป ก็คือพระเจ้าก็ออกไปจากบ้าน คือโลกใบนี้ รวมทั้งชีวิตของมนุษย์ทุกคน ซึ่งเป็นวิญญาณ และเป็นร่างกาย เป็นวัตถุ รวมกัน ร่างกายสร้างมาจากธาตุทั้ง 4 ของโลกวัตถุนี้  ส่วนวิญญาณนั้น มาจากพระเจ้า  เต็มด้วยสง่าราศี  เรียกว่าพระสิริของพระเจ้า

            ปรากฏว่าเมื่อมนุษย์ไม่ต้องการพระเจ้าแล้ว ตัดสินใจเดินออกมาจากพระเจ้า ไม่พึ่งพาพระเจ้าแล้ว จะพึ่งตัวเอง พระเจ้าก็จำเป็นต้องออกไป เพราะอะไร?  พระเจ้าเป็นพระเจ้าแห่งความยุติธรรม เป็นพระเจ้าแห่งความรัก ไม่เคยบังคับใคร? ไม่เคยให้ใครเป็นทาส ให้กำเนิดทุกสิ่ง รวมทั้งมนุษย์ด้วย โดยให้อิสรภาพ  เพราะพระองค์เป็นพระเจ้า มนุษย์มีสิทธิ์ที่จะตัดสินใจ จะรับพระเจ้าหรือไม่รับก็ได้ ปรากฏว่าเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ คือหัวหน้า บรรพบุรุษของเรา คืออาดัมและเอวา ตัดสินใจที่จะอยู่ด้วยตัวเอง ออกจากบ้าน หรือไม่ก็คือให้พระเจ้าออกจากบ้านไป จะดูแลโลกใบนี้ และดูแลชีวิตด้วยตนเอง

            ด้วยตนเอง คือพึ่งพาตนเอง  “พึ่งพาตนเอง” ภาษาพระคัมภีร์เรียกว่าบาป  “บาป” ที่เราบอกว่าทำอันนั้นบาป  ทำอันนี้บาป ยิงนกตกปลาเป็นบาป บาปตัวนี้ แปลว่าการผิดเป้าหมาย จากพระเจ้า ที่พระประสงค์ของพระองค์สร้างเรามา ต้องการให้เราพึ่งพาในพระองค์ ต้องการให้เราอยู่กับพระองค์ ถึงจะได้มีความสุขดี ตามที่พระองค์ทรงสร้างเรามา แต่เราทำบาป ก็คือไม่กระทำตามพระประสงค์ หรือทำตามความต้องการของพ่อของเรา เราต้องการทำตามใจตัวเอง  หรือออกมาอยู่ด้วยตนเอง เรียกว่าบาปนั่นเอง ทำบาปครั้งใหญ่เลย  ครั้งใหญ่มาก ก็คือการสลัดทิ้งพระเจ้า  ออกมาอยู่ลำพัง เกิดอะไรขึ้น  พระเจ้าก็ออกไป  ความดีงามที่เรียกว่าพระสิริของพระเจ้า และตัวพระเจ้าเอง พระเจ้าแห่งความดี ก็ต้องออกไปจากชีวิตของมนุษย์ ทั้งวิญญาณและโลกวัตถุ  ทั้งหมดนี้ ออกไปหมดเลย

            ความดีงามออกไป เรียกว่าพระสิริ เป็นสง่าราศีของพระเจ้า หลุดออกไป จากทั้งวิญญาณของมนุษย์ และร่างกายของมนุษย์  รวมทั้งวัตถุสิ่งของ โลกใบนี้ที่บอกดีงามนั้น ความดีงาม หลุดออกไปหมดเลย  กลายเป็นอะไร? ตรงกันข้ามกับความดีงาม  ซึ่งพระเจ้าไม่ได้สร้างขึ้นมาเลย ตรงกันข้ามกับความดีงาม คือความชั่ว  … ความชั่วมันก็ปรากฏออกมา ความชั่วจริงๆ ไม่มีนะ ความชั่ว คือความไม่ดี ความชั่ว คือปราศจากความดี

            ในพระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าเป็นเหมือนกับแสงสว่าง  เมื่อแสงสว่างออกไป อะไรเข้ามาแทนที่ ความมืด … ความมืดไม่มีตัวตน  ความมืด คือการไม่ปรากฏตัวของแสงสว่างนั่นเอง  ความมืดไม่มีจริง  แต่แสงสว่างหายไปนั่นเอง  เพราะฉะนั้น โลกใบนี้ จึงไม่มีแสงสว่าง  ไม่มีความดีงาม  อะไรเกิดขึ้นมาแทน สิ่งตรงกันข้าม ความชั่วร้ายและความมืดเข้ามาแทนที่ ที่ไหน? ที่ทั้งวิญญาณของมนุษย์ ในโลกวิญญาณ  และที่โลกวัตถุใบนี้ รวมทั้งร่างกายของเราด้วย  สาเหตุเป็นอย่างนั้น  และจะพาท่านไปดูที่บันทึกเอาไว้ ในพระคัมภีร์ปฐมกาล เริ่มแรกเลยว่าพระเจ้าสร้างมาดีอย่างนี้นะ  อธิบายให้ฟังเมื่อสักครู่นี้  แล้วเกิดอย่างนี้ขึ้น  เพราะฉะนั้น มันเป็นไปตามธรรมชาติของกฎระเบียบ เมื่อพระเจ้าออกไป เมื่อแสงสว่างออกไป ความมืดก็เข้ามาแทนที่ เรียกกันว่า “คำสาปแช่ง” กฎเหล่านี้ เรียกว่ากฎแห่งการสาปแช่ง

            กฎแห่งการสาปแช่ง คือกฎที่ทำให้เกิดความไม่ดีงาม  ไม่พอใจ เสียหาย  สำหรับมนุษย์นั่นเอง  และโลกใบนี้ มนุษย์ตกอยู่ใต้กฎนี้ เรียกว่ากฎแห่งคำสาปแช่ง อยู่ใต้ความชั่ว อยู่ใต้ความมืด  เรียกว่าอยู่ใต้กฎของความสาปแช่งนั่นเอง ดูนะว่าเกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้ อ่านเองเลยว่าพระเจ้าพูดกับเราว่าอย่างไร? นี่คือความเป็นจริงของโลกที่เราอยู่อาศัยนี้  ทั้งโลกวิญญาณและโลกวัตถุ มันเป็นอย่างนี้แหละ

            ปฐมกาล 3:17-19 เพื่อเราจะได้เรียนรู้ว่าความขัดสนยากจน มาจากไหน? ความลำบากลำบนในการทำมาหากินบนโลกใบนี้ มาจากไหน? อ่าน แล้วตั้งใจดูให้ดีๆ ว่ามาจากไหน? …

        ปฐมกาล 3:17-19 “17 พระองค์จึงตรัสแก่ชายนั้นว่า “เพราะเหตุเจ้าเชื่อฟังคำพูดของภรรยา และกินผลจากต้นไม้ที่เราสั่งไม่ให้กินผลจากต้นนั้น แผ่นดินจึงต้องถูกสาปเพราะเจ้า เจ้าจะต้องหากินบนแผ่นดินด้วยความทุกข์ลำบากตลอดชีวิต 18 ต้นไม้และพืชที่มีหนามจะงอกขึ้นบนดินแก่เจ้า และเจ้าจะกินพืชตามท้องทุ่ง 19 เจ้าจะต้องหากินด้วยเหงื่ออาบหน้า จนเจ้ากลับไปเป็นดิน เพราะเจ้าถูกนำมาจากดิน และเพราะเจ้าเป็นผงคลีดิน และเจ้าจะกลับเป็นผงคลีดินดังเดิม”

            คำสาปแช่งของกฎนี้ ก็คือ “แผ่นดินจึงต้องถูกสาปแช่ง เพราะเจ้า”

            “เจ้า” ก็คืออาดัมและเอวา บรรพบุรุษของเรา เจ้าของโลกใบนี้ ซึ่งเราทั้งหลาย ก็เป็นเจ้าของด้วย เราเป็นลูกหลาน เป็นทายาท โลกใบนี้ ซึ่งเป็นบ้านของมนุษย์ ได้ตกลงไป อยู่ในคำสาปแช่ง  แผ่นดิน หมายถึงแผ่นดินโลกนี่แหละ จึงต้องถูกสาป เพราะเจ้า เจ้าจะต้องหากินบนแผ่นดินโลกนี้ ด้วยความทุกข์ ลำบาก ตลอดชีวิต ทุกข์ลำบากตลอดไป เจ้าจะต้องหากินด้วยเหงื่ออาบหน้า  จนกลับไปเป็นดิน เป๊ะไหม?

            “เจ้าจะต้องหากิน” ก็คือมนุษย์ทั้งหลาย เจ้าและลูกหลาน เหลน โหลนของเจ้าที่อยู่ในบ้านหลังนี้  จะต้องอยู่บนโลกใบนี้ด้วย เหงื่ออาบหน้า  จนกลับไปถึงดิน เป๊ะเลย ไม่มีคนไหนที่เกิดขึ้นมา แล้วอยู่สบายๆ  ไม่มี มันรวมทั้งความเจ็บป่วย การดำเนินชีวิต  ไม่ว่าจะป่วยทางกาย หรือป่วยทางใจ ป่วยทางความคิด ทุกอย่างมันลำบากลำบนไปหมดเลย  มีอะไรที่ง่ายบ้าง?  ปากกัด ตีนถีบทุกคน บนโลกใบนี้มันเป็นอย่างนั้น มันคือผลที่เกิดขึ้นกับโลกใบนี้ ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ โดยบรรพบุรุษของเรา

            และใครมาแก้ไข? ในพระคัมภีร์ก็บอกแล้วว่าพระเยซูมาแก้ไข ให้มันกลับคืนสภาพปกติ และผลสำเร็จในพระเยซูที่มาแก้ไข ผ่านทางการสิ้นพระชนม์ของพระองค์บนไม้กางเขน  และการเป็นขึ้นจากความตาย ในวันที่ 3 ผลของความสำเร็จของพระเยซูนั้น  เราได้เรียนรู้แล้ว ในตอนก่อนๆ ว่ามีผลเกิดขึ้นทั้งในโลกวิญญาณ  ที่เรียกว่าในสวรรค์ และในโลกวัตถุในโลกนี้ อย่างที่อธิบายเมื่อสักครู่นี้  มีผลทั้ง 2 อันเลย  ในโลกวิญญาณ ในสวรรค์ ในวิญญาณของเรา  พระเยซูทำสำเร็จแล้ว  มีผลทันทีเลย ทั้งหมดเลย  เมื่อใครก็ตามเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นผู้ช่วยให้รอด เขาก็จะได้รับผลทางโลกวิญญาณทันที

            ตามที่เราได้เรียนรู้กันมาแล้ว  ตอนก่อนๆ  ส่วนในโลกวัตถุให้รอก่อน ในขณะที่รอ ก็รออยู่พร้อมๆ กับพระเยซูและพระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ด้วย ภายในร่างกายของเรา ถูกไหม? นี่เราได้เรียนรู้ไปแล้ว และพระเจ้าผู้ทรงสถิตอยู่ในร่างกายของเรา ก็จะจูงมือเราเดิน ผ่านทางการดำเนินชีวิต บนโลกใบนี้ ซึ่งบนโลกใบนี้ยังคงอยู่ในคำสาปแช่งอยู่  คือเปรียบเสมือนหุบเขาเงามัจจุราช ก็คือต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากอยู่ แม้ว่าวิญญาณของเราจะได้รับความรอดเรียบร้อยแล้ว พระเจ้าสถิตอยู่ในวิญญาณของเราแล้ว  แต่เรายังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ใช่ไหมคริสเตียนทั้งหลาย เรายังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เรายังอยู่ในคำสาปแช่ง เราอยู่ในหุบเขาเงามัจจุราช  เราอยู่ในความทุกข์ยากลำบาก อาบเหงื่อต่างน้ำ  เหมือนเดิมอยู่เลย  เพราะเรายังอยู่บนโลกใบนี้ โลกใบนี้ยังอยู่ภายใต้คำสาปแช่ง  รอให้วันหนึ่ง ให้โลกสิ้นสุด ไปเมื่อไร นั่นแหละ คือจบคำสาปแช่ง โลกใหม่ที่พระเจ้าเตรียมไว้นั้น ไม่มีคำสาปแช่งแล้ว แต่ให้รอก่อน

            ในยอห์น 16:33 พระเยซูจึงพูดความจริงกับเราตอนนี้ ตอนที่พระองค์ทรงเดินอยู่บนโลกใบนี้ มาประกาศข่าวประเสริฐ เรื่องการช่วยกู้ของพระองค์ เรื่องการช่วยให้รอดของพระองค์ จากคำแช่งสาปนี้ ในไม่ช้านี้  พระองค์ได้ทรงประกาศความจริงนี้ เช่นเดียวกันว่า …

        ยอห์น 16:33 “พระเยซูตรัสว่าเราได้บอกเรื่องนี้แก่ท่าน เพื่อท่านจะได้มีสันติสุขในเราในโลกนี้ ท่านจะประสบความทุกข์ยาก แต่จงชื่นใจเถิด เพราะว่าเราได้ชนะโลกแล้ว”

            ความจริงจะทำให้เราเป็นไท พระเยซูบอกความจริงให้กับเราเลย … “แม้ท่านจะเชื่อเรา วางใจในเรา  เป็นคริสเตีนแล้วก็ตาม แต่บอกความจริงเลยว่าขณะที่ท่านเป็นคริสเตียน วางใจในเรา เราเข้าไปสถิตอยู่กับท่านแล้วก็จริง  แต่ตราบใดที่ท่านยังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ท่านจะประสบกับความทุกข์ยากลำบาก อย่างแน่นอน” ก็คือคำสาปแช่งมันยังอยู่บนโลกใบนี้ มันต้องรอก่อน  แต่จงชื่นชมยินดีเถิด เพราะเราชนะโลกใบนี้แล้ว  ก็คือจงชื่นชมยินดีเถิด  เพราะวิญญาณเรามีพระเจ้าอยู่ในนั้นแล้ว  พระสิริของพระเจ้าเข้าไปอยู่ในวิญญาณของเราแล้ว เราเพียงรอร่างกายใหม่เท่านั้นเอง  แต่ขณะที่ยังอยู่บนโลกใบนี้ ยังอยู่ในร่างกายเก่านั้น เรายังอยู่ภายใต้กฎของคำสาปแช่งเหมือนเดิมอยู่ นี่มันเป็นอย่างนี้ มันต้องเข้าใจอย่างนี้ วางใจในพระเจ้า ก็คือวางใจในความเป็นจริงที่พระองค์ทรงบอกเราด้วยว่ามันเป็นอย่างนั้น แล้วต้องยอมรับในความจริงเหล่านี้ ถ้าเราฝ่าฝืน เราอาจจะได้รับความรอดในทางวิญญาณ แต่ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  เราอาจจะทุกข์มากขึ้น

            ใครที่เชื่อวางใจในพระองค์ พระองค์บอกว่าพระองค์กับพระบิดาจะมาสร้างบ้านอยู่ในตัวเขา  เห็นไหม? พระองค์บอกว่าพระองค์กับพระเจ้าพระบิดาจะมาอยู่กับเขา  ก็คือจะดำเนินชีวิตไปกับเขาบนโลกใบนี้ เมื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว พระองค์รู้ว่าเรายังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  ยังมีลมหายใจอยู่บนโลกใบนี้นั้น เราต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากเป็นเรื่องธรรมดา  แต่พระองค์ต้องการเข้ามาช่วยเรา คือนำพาเรา ดำเนินชีวิตผ่านความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้ไปด้วยกัน แม้ว่ามันจะอีกไม่นานก็ตาม แต่พระองค์ต้องการเข้ามาดูแลเรา

            นี่แหละ คือความรักอันยิ่งใหญ่ ที่บอกว่ารักเราดังแก้วตาดวงใจ  แม้แต่อยู่บนโลกใบนี้อีกนิดเดียว  พระองค์ก็เข้ามาดูแลชีวิตของเรา คือดำเนินชีวิต ไปกับเรา พร้อมๆ กับเราในความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้น

            วันนี้เราจะมาเรียนรู้ความจริง ในเรื่องเกี่ยวกับการกิน การอยู่ ความขัดสน ยากจน โดยเฉพาะจะเน้นในเรื่องนี้ว่าเรื่องจริงๆ มันคืออะไร? เกี่ยวกับความขัดสนยากจน บนโลกใบนี้  ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ในชีวิตคริสเตียนบนโลกใบนี้ ยังอยู่ในความทุกข์ยากลำบากจริงๆ หรือ?  เราจะได้มาเรียนรู้ความจริงว่ามันจริงตามที่พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้อย่างนั้นไหม? เพื่อเราจะได้มั่นใจว่าจริงๆ มันไม่ได้แปลก แตกต่างกับคริสเตียนคนอื่นๆ ที่มีชีวิตอยู่เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว จนมาถึงทุกวันนี้ พระเจ้าบอกล่วงหน้าถึงการไถ่มนุษย์ และโลกนี้มาตลอด ตั้งแต่ปฐมกาลมา เป็นแผนการของพระองค์ที่วางไว้แล้วว่ามนุษย์ตกลงไปในความทุกข์ยากลำบาก ตกลงไปในคำสาปแช่ง แต่พระเจ้าจะช่วยเหลือมนุษย์ให้หลุดพ้นออกมา โดยการประทานพระบุตรของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์มา เพื่อเป็นผู้ช่วยรักษา  ให้มนุษย์กลับมาหาพระองค์ที่เดิมให้ได้  กลับมาให้หลุดพ้นจากคำสาปแช่งนั้น ให้ได้ พระเจ้าวางแผนนี้ไว้ล่วงหน้าแล้ว ตลอดเวลา  จนมาถึงหลายพันปี

            เรามาดูแผนการอันหนึ่งที่ผมยกมาให้ท่านเห็น นี่คือแผนการอันหนึ่งที่บอกล่วงหน้า โดยพระเจ้า ในหนังสือพระคัมภีร์เดิม ก่อนที่พระเยซูจะมากระทำให้สำเร็จ บนไม้กางเขน 1,000 ปี จริงๆ บอกมาตลอดหลายพันปีเลย แต่นี่คือหนึ่งในจำนวนนั้น ก็คือสมัยกษัตริย์ดาวิด  พระเจ้าบอกกษัตริย์ดาวิด โดยให้กษัตริย์ดาวิดเผยพระวจนะให้เห็นนิมิตตรงนี้ นี่คือแผนการล่วงหน้าที่จะมาไถ่มนุษย์ อยู่ในหนังสือสดุดีบทที่ 22 และบทที่ 23

            บทที่ 22 พูดชัดเจนเลย พูดถึงตอนที่พระเยซูคริสต์ถูกตรึงบนไม้กางเขน  สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน แล้วเป็นขึ้นจากความตาย ในวันที่ 3 และเกิดอะไรขึ้น นี่คือบทที่ 22 ท่านไปอ่านเองนะ ผมจะพาท่านไปดูบทที่ 23 ว่าเมื่อพระเยซูคริสต์มาทำให้สำเร็จแล้ว อะไรเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ  และบนโลกวัตถุนี้เกิดอะไรขึ้น  ตามที่ตะกี้นี้ผมอธิบายให้ท่านฟัง ตั้งแต่สมัยปฐมกาลแล้วว่ามันเป็นจริงไปตามแผนการของพระองค์จริงๆ ว่าเหตุการณ์มันเกิดขึ้นตามนั้นจริงๆ

            นึกถึงภาพว่านี่พระเจ้าบอกล่วงหน้า ก่อนที่เหตุการณ์จะเกิดขึ้น 1,000 ปี เป็นเงาของสิ่งที่พระเยซูคริสต์จะมาทำให้สำเร็จ ในอีกพันปีข้างหน้านี้  ก็คือมาเกิดเป็นมนุษย์และตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นจากความตาย สดุดี 23:1-4 …

        สดุดี 23:1-4 “1 พระยาห์เวห์ทรงเลี้ยงดูข้าพเจ้าดุจเลี้ยงแกะ ข้าพเจ้าจะไม่ขัดสน 2 พระองค์ทรงทำให้ข้าพเจ้านอนลงที่ทุ่งหญ้าเขียวสด พระองค์ทรงนำข้าพเจ้าไปริมน้ำแดนสงบ 3 พระองค์ทรงคืนความสดชื่นแก่ชีวิตข้าพเจ้า พระองค์ทรงนำข้าพเจ้าไปในทางชอบธรรม เพราะเห็นแก่พระนามของพระองค์ 4 แม้ข้าพระองค์จะเดินฝ่าหุบเขาเงามัจจุราช ข้าพระองค์ไม่กลัวอันตรายใดๆ เพราะพระองค์สถิตกับข้าพระองค์ คทาและธารพระกรของพระองค์ปลอบโยนข้าพระองค์”

            นี่คือตัวอย่างของแผนการที่บอกล่วงหน้าว่าผลสำเร็จของพระเยซูคริสต์ ที่กระทำที่ไม้กางเขนนั้น เกิดผบทางด้านโลกวิญญาณ และโลกวัตถุ

            ดูสิโลกวิญญาณเกิดอะไรขึ้น … “พระยาห์เวห์ทรงเลี้ยงดูข้าพเจ้าดุจเลี้ยงแกะ  ข้าพเจ้าจะไม่ขัดสน” เมื่อพระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน และเป็นขึ้นจากความตาย ใครก็ตามที่ต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เขาได้รับสิ่งนี้ คือพระยาห์เวห์เลี้ยงดูข้าพเจ้าดุจเลี้ยงแกะ ข้าพเจ้าจะไม่ขัดสน

            คำว่า “จะไม่ขัดสน” แปลว่าความไม่ขัดสนทางโลกวิญญาณ  วิญญาณเขาจะไม่ได้เป็นคนบาปอีกต่อไป  วิญญาณเขาจะไม่อยู่ในความมืดอีกต่อไป วิญญาณเขาจะไม่ถูกสาปแช่งให้ตาย อีกต่อไป  วิญญาณเขาจะกลับคืนเป็นลูกของพระเจ้า  เป็นเหมือนพระเยซู ก็คือผลของการทำให้สำเร็จของพระเยซูคริสต์ในฝ่ายวิญญาณนั่นเอง นี่เป็นเรื่องเกี่ยวกับฝ่ายวิญญาณทั้งสิ้นเลย

            ข้อ 2 ก็ใช่  “พระองค์ทรงทำให้ข้าพเจ้านอนลงที่ทุ่งหญ้าเขียวสด  พระองค์ทรงนำข้าพเจ้าไปริมน้ำแดนสงบ  ทรงฟื้นคืนความสดชื่น แก่ชีวิตของข้าพเจ้า  พระองค์ทรงนำข้าพเจ้าไปในความชอบธรรม  เพราะเห็นแก่พระนามของพระองค์”

            3 ข้อนี้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้นว่าในโลกวิญญาณ เราเป็นอย่างนี้ ในโลกวิญญาณเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เราเป็นลูกพระองค์ เป็นผู้ชอบธรรมทันที  เราอยู่ในสวรรค์แล้ว ริมน้ำแดนสงบแล้ว วิญญาณเราไม่ขัดสนแล้ว วิญญาณเราไม่ต้องไปแสวงหาอะไรแล้ว  เราบริสุทธิ์ สะอาด ดีพร้อม เหมือนพระเยซูคริสต์เลย ในโลกวิญญาณ

            ถ้าเราไม่เข้าใจในสิ่งนี้ หลายคนก็เอาไปใช้ในโลกวัตถุว่าอยู่บนโลกใบนี้ มาเชื่อพระเยซูฉันจะไม่ขัดสน ฉันจะร่ำรวยมั่งมี ไม่ลำบากยากจนอีกแล้ว  ใช่หรือ? ไม่ใช่ ถูกหลอก เอาไปใช้ผิด

            ข้อ 4 คือผลที่พระเยซูคริสต์ไถ่บาปให้กับเรา สำเร็จแล้วบนไม้กางเขน เป็นผลที่เกิดขึ้นบนโลกวัตถุนี้ ทันทีเหมือนกัน ก็คือ “แม้ข้าพระองค์จะเดินผ่านหุบเขา เงามัจจุราช ข้าพระองค์ไม่กลัวอันตรายใดๆ เพราะพระองค์สถิตอยู่กับข้าพเจ้า คทาและธารพระกรของพระองค์ปลอบโยนข้าพระองค์”

            เห็นหรือยัง?  วิญญาณเราเป็นลูกพระเจ้า เป็นผู้ชอบธรรม แต่แม้ว่าตอนนี้ข้าพระองค์จะดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ จะเดินฝ่าหุบเขาเงามัจจุราช  แต่ไม่กลัว เพราะพระองค์ทรงสถิตอยู่ด้วย พระวิญญาณของพระองค์ พระคุณ ความรักของพระองค์อยู่กับเราตลอดเวลา รักเราดังแก้วตาดวงใจ  เผชิญได้ทุกสิ่ง  แม้ความยากจนก็ตาม

            เราจะมาวิเคราะห์ดูถ้อยคำพระเจ้าที่เกี่ยวกับความสำเร็จ ที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว ที่ไม้กางเขนนั้นว่ามันเกี่ยวข้องกับเรื่องความมั่งคั่ง ร่ำรวยหรือไม่? อย่างไร? โดยไปดูพระคัมภีร์ใหม่บ้าง? ดูสิว่าอัครสาวกตอนเริ่มต้น ประกาศข่าวดี เขาพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับความเจริญรุ่งเรือง มั่งคั่ง ร่ำรวย สำหรับคนที่เชื่อสำหรับคริสเตียนอย่างไรบ้าง?  เป็นตัวอย่างให้เห็นชัดเจน  2 โครินธ์ 8:9 ดูอาจารย์เปาโลพูดอย่างไรถึงเรื่องนี้ …

        2 โครินธ์ 8:9 “เพราะว่าท่านทั้งหลายรู้จักพระคุณของพระเยซูคริสต์  องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราแล้วว่าแม้พระองค์ทรงมั่งคั่ง ก็ยังทรงยอมเป็นคนยากจน เพราะเห็นแก่ท่านทั้งหลาย เพื่อท่านทั้งหลายจะได้เป็นคนมั่งคั่ง เนื่องจากความยากจนของพระองค์”

            มีคริสเตียนหลายคน เอาไปใช้ว่าเมื่อเราเป็นคริสเตียนแล้ว เชื่อแล้ว เราต้องมั่งคั่ง ร่ำรวย  เพราะว่าพระเยซูยอมยากจน เพื่อเราทั้งหลาย คิดในใจว่าใช่หรือไม่? เปาโลกำลังพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับอะไร เกี่ยวกับความเจริญรุ่งเรือง มั่งคั่งนี้  เราอยากรู้ เราต้องไปดูที่ก่อนหน้านี้ ในบริบทเดียวกัน  ก็คือ 2 โครินธ์ 8:1-4 จะได้รู้ว่าพระเยซูยอมมาเกิดเป็นคนยากจน เพื่อเรามั่งมีนั้น มันหมายถึงพระเยซูเกิดมา อยู่ในรางหญ้า  เพราะฉะนั้น เราต้องอยู่ในวังเจ้าหรือ? แปลว่าอย่างนั้นหรือ? พระเยซูดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ไม่มีที่ซุกหัวนอน  เรามาเชื่อพระเยซู เราต้องอยู่ในคฤหาสน์หรือ? แปลว่าอย่างนั้นไหม? หลายคนเอาไปแปลว่าอย่างนั้น

            เรามาดูสิว่าคริสเตียนในยุคเริ่มต้น ที่หลายคนในนี้เห็นพระเยซูหน้าต่อหน้า ตอนที่พระเยซูดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ 2 โครินธ์ 8:1-4 …

        2 โครินธ์ 8:1-4 “1 และบัดนี้ พี่น้องทั้งหลาย เราอยากให้ท่านทราบถึงพระคุณที่พระเจ้า ประทานแก่บรรดาคริสตจักร ในแคว้นมาซิโดเนีย 2 จากการทดลองอย่างหนักหน่วงที่สุด ความชื่นชมยินดีอันล้นพ้น และความยากไร้เป็นอย่างยิ่งของพวกเขานั้น ก็เอ่อล้น เป็นความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ 3 เพราะข้าพเจ้าเป็นพยานได้ว่าพวกเขาถวายสุดความสามารถ ที่จริงเกินความสามารถก็ว่าได้ และด้วยความสมัครใจของเขาเอง 4 เขาได้คะยั้นคะยอ ขอรับสิทธิพิเศษที่จะมีส่วนร่วมในการรับใช้นี้ เพื่อประชากรของพระเจ้า”

            “พี่น้องทั้งหลาย เราอยากให้ท่านทราบถึงพระคุณที่พระเจ้าประทานแก่บรรดาคริสตจักรในแคว้นมาซิโดเนีย”

            นึกภาพนะ ผู้เชื่ออยู่ในแคว้นมาซิโดเนีย  พระเจ้าประทานพระคุณ  พระคุณนี้คืออะไร? ดูสิว่าประทานอะไร?

            “จากการทดลองอย่างหนักหน่วงที่สุด”  ทดลองความเชื่อของเขาว่าเป็นคริสเตียนจริงไหม?  “คือความชื่นชมยินดี อันล้นพ้น” คงจะมั่งมีมากนะ รวยมากเลย  เพราะว่าอยู่ในบริบทเดียวกันกับที่ตะกี้เราบอกว่าเราทั้งหลายมั่งคั่ง เพราะว่าพระเยซูยอมยากจน เพื่อให้เรามั่งคั่ง เราควรจะร่ำรวย เพราะฉะนั้น นี่กำลังพูดถึงความร่ำรวยมั้ง  และดูสิว่าใช่หรือไม่?

            “การทดลองอย่างหนักหน่วงที่สุด คือความชื่นชมยินดีอันล้นพ้น และความยากไร้เป็นอย่างยิ่งของพวกเขานั้น” บริบทเดียวกัน “ความยากไร้เป็นอย่างยิ่งของพวกเขานั้น ก็เอ่อล้น เป็นความเอื้อเฟือเผื่อแผ่”  ขนาดเขายากไร้ เป็นอย่างยิ่ง เขายังมีพลังความรักจากภายในเอ่อล้นออกมา  เป็นความอยากจะให้กับคนที่ด้อยกว่าเขา “เอ่อล้นเป็นความเอื้อเฟือเผื่อแผ่ เพราะข้าพเจ้าเป็นพยานได้ว่าพวกเขาถวายสุดความสามารถ ที่จริงเกินความสามารถก็ว่าได้  และด้วยความสมัครใจของเขาเอง เขาได้คะยันคะยอ ขอรับสิทธิพิเศษที่จะเป็นส่วนร่วมในการรับใช้นี้  เพื่อประชากรของพระเจ้า”

            นี่คือความหมายของเมื่อตะกี้นี้ว่าแม้พระองค์ คือพระเยซูคริสต์ทรงมั่งคั่ง ก็ทรงยอมเป็นคนยากจน เพราะเห็นแก่ท่านทั้งหลาย เพื่อท่านทั้งหลายจะได้เป็นคนมั่งคั่ง เนื่องจากความยากจนของพระองค์ มันหมายถึงอย่างนี้

            หมายถึงว่าในโลกวิญญาณ พระเยซูเป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ยอมสละความเป็นพระเจ้ายิ่งใหญ่ มาเกิดเป็นมนุษย์อันต่ำต้อย  ยอมสละมาเป็นต่ำๆ เพื่อว่าการยอมสละนั้น จะมาช่วยเหลือเรามนุษย์ที่เป็นคนต่ำต้อยนั้น  ที่เป็นคนบาปนั้น จะได้กลับมา กลายเป็นผู้ชอบธรรม  พูดง่ายๆ สั้นๆ ก็คือพระเยซูผู้เป็นพระเจ้า ยอมลดตัวลงมา เกิดเป็นมนุษย์  เพื่อว่ามนุษย์ที่เชื่อในพระองค์จะได้มาเกิดเป็นลูกพระเจ้า นี่คือความหมาย มันต้องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ

            พระเยซูเป็นพระเจ้า ยอมมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อว่าผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ เป็นมนุษย์ที่ตายอยู่จะได้เกิดใหม่เป็นเหมือนพระเยซู เข้าไปรับตำแหน่ง หมายถึงอย่างนี้  ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องโลกวัตถุเลย แต่เราเอาไปใช้กันผิดๆ  เพราะอะไร? เดี๋ยวตามไป จะรู้ว่าเพราะอะไร? มาดูต่อไป นี่คือคริสเตียนยุคเริ่มต้นทั้งนั้นนะ ยุคเริ่มต้นที่ชัดในเรื่องข่าวดีมากๆ เลย กาลาเทีย 2:9-10 …

        กาลาเทีย 2:9-10 “9 เมื่อยากอบ เปโตร และยอห์น ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นเสาหลักเห็นถึงพระคุณที่ทรงมีต่อข้าพเจ้า ก็จับมือขวาของข้าพเจ้ากับบารนาบัส เพื่อแสดงว่าเราร่วมงานกัน เขาเหล่านี้ เห็นด้วยว่าเราควรไปยังคนต่างชาติ ส่วนพวกเขาไปหาคนยิว 10 เขาทั้งสาม ขอแต่เพียงให้เรา คิดถึงคนจนเสมอ ซึ่งเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้ากระตือรือร้นที่จะทำอยู่แล้ว”

            “เมื่อยากอบ เปโตร ยอห์น ก็คืออัครสาวกชาวยิวรุ่นแรก ก็คือ 12 อัครสาวก ที่พระเยซูเลือก ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นเสาหลัก เห็นถึงพระคุณที่ทรงมีต่อข้าพเจ้า  (หมายถึงเปาโล)  ก็จับมือขวาของข้าพเจ้ากับบารนาบัส เพื่อแสดงว่าเราร่วมงานกัน”

            ร่วมงานกันทำอะไร? “เขาเหล่านั้นเห็นด้วยว่าเราควรไปยังคนต่างชาติ” ก็คือให้เปาโลไปประกาศข่าวดีให้กับคนต่างชาติ “ส่วนพวกเขา ก็คืออัครสาวก เปโตร ยอห์น ยากอบ พวกเขาไปหาคนยิว คือประกาศให้กับชาวยิว

            ข้อนี้สำคัญ “เขาทั้งสาม ได้ขอร้องเราเพียงแต่ว่า …” ทุกอย่างถูกต้องหมดแล้ว ตามข้อมูลข่าวดีของพระเยซูคริสต์ เช็คความเชื่อ หลักข้อเชื่อของข่าวดีของเปาโลกับหลักข้อเชื่อของบรรดาอัครสาวกในกรุงเยรูซาเล็ม ชาวยิวนั้น ตรงกันแล้ว เรียบร้อยแล้ว “แต่เขาทั้ง 3 ขอเพียงแต่ว่าให้เรา (คือเปาโล) ที่จะไปหาคนต่างชาติ ให้เราคิดถึงคนจน ก็คือประชากรของพระเจ้า พูดง่ายๆ ก็คือชาวยิว ผู้เชื่อพระเยซูคริสต์ ในยุคแรกนั้น ผู้เชื่อในข่าวดีกลุ่มแรกนั้น ส่วนใหญ่เป็นคนยากจน ยากจนถึงขนาดต้องขอความช่วยเหลือจากคนต่างชาติ ให้ช่วยกันบริจาค เพราะเปาโลจะเดินทางออกไปประกาศข่าวดีให้กับชนต่างชาติเยอะแยะ ที่ไม่ใช่ชาวยิว อย่าลืมนะเปาโล บอกคนต่างชาติด้วย ให้ช่วยเหลือพวกเราชาวยิวที่ยากจนด้วย

            เปาโลก็บอกว่า “ข้าพเจ้ากระตือรือร้นที่จะกระทำอยู่แล้ว”

            ความเชื่อของเปโตร ยอห์น ยากอบ อัครสาวกรุ่นแรก ที่ทำการอัศจรรย์ สั่งในนามพระเยซูให้คนง่อยลุกขึ้นเดิน  คนง่อยก็หายโรคอย่างอัศจรรย์ ความเชื่อไปไหน? เปโตรไม่เห็นสั่งการ ในนามพระเยซูให้ประชากรรุ่งเรืองเลย

            “ในนามพระเยซู ขอให้พวกท่านทั้งหลาย ชาวยิวทั้งหลายที่มาเชื่อพระเจ้าจงมั่งคั่ง จงร่ำรวย”

            ไม่เห็นเปโตรและอัครสาวกสอนผู้เชื่อเหล่านั้น ให้มีความเชื่อเยอะๆ จะได้เรียกเงินเข้ามาสู่คริสตจักรของพระเจ้า  จะได้เจริญรุ่งเรืองมั่งคั่ง ยากจน เพราะพวกท่านอธิษฐานน้อย พวกท่านความเชื่อน้อย ใช่ไหม? ซึ่งผู้คนเหล่านั้น ที่ยากจน หลายคนเดินกับพระเยซูมาก่อน  เดินตามพระเยซู ตอนที่พระเยซูประกาศข่าวดีบนโลกใบนี้  และหลายคนในนั้น เห็นพระเยซู หลังจากที่พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย ในร่างกายใหม่แล้ว และหลายคนเห็นพระเยซูลอยเข้าไปสู่สวรรค์ แล้วความเชื่อไปไหน? ยังยากจนอยู่ สิ่งเหล่านี้ตอบโจทย์ท่านได้เลยว่าปัญหาของความยากจน ความขัดสน มาจากไหน? และพระเยซูแก้ไขได้ด้วยวิธีใด?

            ท่านก็อาจจะสงสัยว่าแล้วอย่างนี้มาเชื่อพระเจ้า  ไม่มีโอกาสร่ำรวย มั่งคั่งหรือ?  มี แต่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวเรา  ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความเชื่อของเรา  ไม่ได้ขึ้นอยู่กับวิธีการของเรา  ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการดำเนินชีวิตของเรา  แต่ขึ้นอยู่กับพระวิญญาณของพระเจ้าที่สถิตอยู่ในเราว่าน้ำพระทัยของพระองค์ต้องการให้เราแต่ละคนเป็นอย่างไร?  เราเรียกกันว่าของประทาน

            บางคนพระเจ้าให้ของประทานในการทำมาหากิน  มั่งมีเงินทองมากมาย มี เดี๋ยวจะพาไปดู แต่ก็ให้ใช้ของประทานเหล่านี้ให้เป็นประโยชน์แก่ร่างกายของพระคริสต์ ก็คือให้เป็นประโยชน์ต่อคริสตจักรของพระองค์ ให้เป็นประโยชน์ต่อประชากรของพระองค์ ให้เป็นประโยชน์ต่อการงานของพระองค์ นี่คือเป้าหมายของพระเจ้า ที่ต้องการในผู้เชื่อในแต่ละคน 2 โครินธ์ 8:14 …

        2 โครินธ์ 8:14 “คือที่พวกท่านมีอยู่อย่างเหลือล้นในเวลานี้ ก็เพื่อช่วยเขาทั้งหลายที่ขัดสน และในยามที่เขาทั้งหลายมีอย่างเหลือล้น เขาก็จะได้ช่วยพวกท่านเมื่อขัดสน ซึ่งจะทำให้มีความเสมอภาคกัน”

            ตะกี้เราพูดถึงคริสเตียนในมาซิโดเนีย ยากไร้เป็นอย่างยิ่ง  ตอนนี้มาพูดถึงคริสเตียนที่อยู่ในโครินธ์ ทั้งหมดนี้เป็นคริสเตียนต่างชาติทั้งนั้น  ที่คริสเตียนชาวยิว คือเปโตร หัวหน้า ได้ขอร้องเปาโลบอกให้คริสเตียนต่างชาติ อย่าลืมพวกเขานะ ให้ไปช่วยเหลือชาวยิวที่ยากจน เพราะฉะนั้น มีโอกาสมั่งมีเหมือนกันนะ

            “พวกท่านที่มีอยู่อย่างเหลือล้นในเวลานี่ ก็เพื่อช่วยคนทั้งหลายที่ขัดสน” นี่กำลังพูดถึงชาวยิวที่ขัดสน  “และในยามที่เขาทั้งหลายมีอย่างเหลือล้น” ก็คือไม่แน่ในอนาคต ชาวยิวเหล่านั้น อาจจะมีอย่างเหลือล้น  “เขาจะได้ช่วยพวกท่านเมื่อขัดสน ซึ่งจะทำให้มีความเสมอภาคกัน” แล้วแต่พระเจ้า คนนี้ขาดอันนั้น พระเจ้าก็ให้อีกคนหนึ่งมาช่วย ก็คือคริสเตียนช่วยเหลือกันเองนั่นแหละ เห็นไหม? มันขึ้นอยู่กับพระเจ้า ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าท่านมีความเชื่อมากหรือน้อย ท่านจะต้องทำอย่างไรถึงจะได้มั่งมีเยอะๆ

            ชาวมาซิโดเนียยากจน ถูกไหม? แต่เปาโลบอกว่าเขาฝึกฝนในการให้ออกไป ตั้งแต่ยังไม่มี ก็คือเขายากจน ยากไร้ แต่เขาฝึกในการที่จะให้ออกไป  ฝึกความรักที่อยู่ภายในใจเขา ให้ออกไปด้วยใจ  และมันเกิดอะไรขึ้น  เกิดผลขึ้นง่ายๆ ก็คือเมื่อเขาฝึกอย่างนี้แล้ว มันเกิดขึ้นว่าเมื่อโอกาสที่พระเจ้าให้เขามี เขาก็จะไม่โลภ  เขามี ก็ยิ่งจะให้ใหญ่เลย ส่วนชาวโครินธ์มั่งมีอยู่แล้ว  ก็ให้ฝึกในการให้ ตอนที่มั่งมี เพราะมี ถ้าไม่ให้ออกไป ยิ่งมียิ่งโลภ ยิ่งโลภ ก็กลายเป็นยิ่งจน  มีแต่รู้จักให้ รู้จักแบ่งปัน  เหมือนกับคนรวย สบายเลย คนรวย แต่ขี้เหนียว ไม่ยอมให้

            การมีใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ให้แก่กันและกัน  ไม่เห็นแก่ตัว พร้อมที่จะให้ แบ่งปันให้กับผู้อื่นนั้น  เป็นการฝึกฝน ลดความโลภ ซึ่งเป็นอันตรายต่อทุกๆ ชีวิตบนโลกใบนี้  พระคัมภีร์เตือนเอาไว้ นี่คือท่าทีของคริสเตียนที่มีต่อการเจริญรุ่งเรืองมั่งคั่ง ร่ำรวย การฝึกฝนในการให้ แบ่งปันนี้ สามารถฝึกได้ทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะมีทรัพย์สินมากหรือน้อยก็ตาม  โดยให้แบ่งปันตามขนาดความสามารถของแต่ละคน  ด้วยความเต็มใจ  มีน้อยให้น้อย มีมากให้มาก  ตามขนาดความสามารถของทรัพย์สินของแต่ละคน  ที่มีอยู่ ซึ่งพระเจ้าเป็นผู้ประทานให้ เรียกว่าฝึกฝนความรัก ที่อยู่ภายในใจ  ที่พระเจ้าทำให้เราได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์นั่นเอง  ให้ด้วยใจนั่นเอง  ใน 1 ทิโมธี 6:17-19 ได้บันทึกไว้ถึงเกี่ยวกับเรื่องนี้ …

        1 ทิโมธี 6:17-19 “17 สำหรับคนเหล่านั้น ที่มั่งมีร่ำรวยฝ่ายโลก จงกำชับเขา อย่าให้มีมานะทิฐิ ทะนงตน เย่อหยิ่ง ดูถูกคนอื่น หรือยึดมั่น ตั้งความหวังไว้ในความร่ำรวยที่ไม่แน่นอน แต่ให้ยึดมั่น ตั้งความหวังไว้ในพระเจ้า ผู้ทรงประทานทุกสิ่งให้พวกเรา (ลูกของพระองค์) เพื่อความสะดวกสบาย ชื่นชมยินดีของเรา (ในการดำเนินชีวิตบนโลกนี้) 18 จงกำชับให้เขากระทำดี ให้ร่ำรวยในการกระทำการดีให้มากๆ ให้มีใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ไม่เห็นแก่ตัว ให้พร้อมที่จะให้ และแบ่งปันให้กับผู้อื่น 19 การกระทำเช่นนี้ เป็นการวางรากฐานอันมั่นคง สำหรับตนเอง (เผื่อวันเวลาข้างหน้าบนโลกนี้ ที่ไม่มีอะไรแน่นอน) เพื่อยึดมั่นในความเชื่อ และความหวังใจในชีวิตนิรันดร์  ซึ่งเป็นความร่ำรวยถาวรนิรันดร์ในสวรรค์ อันแท้จริง ที่ได้รับมาแล้ว ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง”

            ชัดมากเลย “สำหรับคนเหล่านั้นที่มั่งมี ร่ำรวยฝ่ายโลก อย่าให้มีมานะ ทิฐิ ทะนงตน เย่อหยิ่ง ดูถูกคนอื่น หรือยึดมั่น ตั้งความหวังไว้ในความร่ำรวยที่ไม่แน่นอน” บนโลกใบนี้  พระเจ้าให้ท่านได้ ก็เอาออกจากท่านได้เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับพระเจ้า  “แต่ให้ตั้งมั่นไว้ในความหวังในพระเจ้า ผู้ทรงประทานทุกสิ่งให้กับเราทั้งหลายนั่นเอง” เห็นไหม?

            แล้วก็บอกว่าอย่างไรอีก “การกระทำเช่นนี้ เป็นการวางรากฐานอันมั่นคง สำหรับตนเอง เพื่อวันข้างหน้าบนโลกใบนี้ ที่ไม่มีอะไรแน่นอน” เมื่อเรารู้ว่าไม่มีอะไรแน่นอน  พระเจ้าเป็นผู้ประทานความมั่งคั่งให้  เราก็พร้อมที่จะทำตามที่พระเจ้าแนะนำหรือนำพาในการให้ออกไปเช่นเดียวกัน เพื่อยึดมั่นในความเชื่อและความหวังใจในชีวิตนิรันดร์ … ชีวิตนิรันดร์ ก็คือโลกวิญญาณ เห็นไหม?

            ให้เรามีความหวังใจแน่นอน กอดเอาไว้แน่นๆ เลย  ก็คือผลของโลกวิญญาณ ที่เราได้รับนั้น คือเราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว  ในฝ่ายโลกวิญญาณ คือชีวิตนิรันดร์กอดไว้ให้แน่นๆ  ส่วนความมั่งมี การมีทรัพย์สินเงินทองนั้น เป็นของชั่วคราว  เป็นของที่พระเจ้าใช้เราให้เป็นประโยชน์ ชีวิตนิรันดร์ซึ่งเป็นความร่ำรวย ถาวรนิรันดร์ในสวรรค์อันแท้จริง ชีวิตนิรันดร์ที่ได้มา ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ได้เท่าๆ กันหมดทุกคนเลย

            แต่ความมั่งมี ร่ำรวยในโลกวัตถุ ไม่มีเท่ากันทุกๆ คน และมันเปลี่ยนแปลงได้ มันไม่แน่นอน  เพราะฉะนั้น คริสเตียนที่ยากจนหรือมั่งมีก็ตาม ในโลกนี้ มีฐานะเท่ากัน คือพระเจ้าจูงมือเขาเดินผ่านหุบเขาเงามัจจุราช บนโลกนี้เหมือนกัน  เพียงแต่ว่าคนละแง่มุม คนที่ยากจน พระเจ้าก็จูงอีกแบบหนึ่ง สอนอีกแบบหนึ่ง คนที่มั่งมี พระเจ้าก็จูง สอนอีกแบบหนึ่งว่าอย่าโลภ ทั้งสองฝ่าย ก็อย่าโลภทั้งคู่ อะไรทำนองนี้

            ฮีบรู 13:5 จึงได้กำชับอย่างชัดเจนเลยว่าในโลกวัตถุนี้ ผลของพระเยซูคริสต์ ที่ทำให้เราสำเร็จแล้ว สัญญาอีกว่าพระองค์จะอยู่กับเรา ไม่ต้องกลัว จงอย่าโลภก็แล้วกัน ทำตามที่พระองค์ทรงบอก …

        ฮีบรู 13:5 “จงให้อุปนิสัยและความประพฤติของท่าน ห่างไกลจากการรักเงิน และความโลภทั้งสิ้น จงพอใจในทุกสิ่ง ทุกสถานการณ์ ที่มีอยู่ และเป็นอยู่ ในขณะนี้ (ทั้งในโลกวิญญาณ และโลกวัตถุนี้ จงเชื่อและวางใจในพระเจ้า) เพราะพระเจ้าได้ตรัสว่า “เราจะไม่มีวันทอดทิ้งเจ้า (เหมือนเป็นลูกกำพร้า)  เราจะไม่มีวันละทิ้งเจ้า (ปล่อยให้อยู่ตามลำพัง) เราจะไม่ทำให้เจ้าต้องผิดหวังอย่างแน่นอน”

            “จงให้อุปนิสัยและความประพฤติของท่านห่างไกลจากการรักเงินและความโลภทั้งสิ้น จงพอใจในทุกสิ่ง ทุกสถานการณ์ที่มีอยู่ และเป็นอยู่ในขณะนี้” พอใจในขณะนี้ สถานะเราเป็นอะไรในขณะนี้ จงพอใจ ทั้งในโลกวิญญาณ เราได้เท่ากันหมดเลย  เป็นลูกของพระเจ้า ได้รับมรดก เป็นทายาท ในโลกวัตถุ แล้วแต่พระองค์จะให้เราเป็นอะไรก็ว่าไป ขอบคุณพระเจ้าลูกเดียว พระเจ้าสถิตอยู่กับเรา ไม่ทอดทิ้งเรา  และจะไม่ทำให้เราผิดหวังเด็ดขาดอย่างแน่นอน เอเมน ขอบคุณพระเจ้า

            นี่คือการพักผ่อน สบายใจของการดำเนินชีวิตคริสเตียนบนโลกใบนี้ แต่ปรากฏว่าในความเป็นจริง เราเห็นอยู่บ่อยๆ บนโลกใบนี้ แม้ตัวเราเอง  ก็เคยผ่านประสบการณ์เหล่านั้นมาบ้าง ก็คือเราถูกล่อลวงด้วยความโลภ ให้ใช้พระนามพระเยซูคริสต์ที่จะประสบความสำเร็จ บนโลกใบนี้ ให้มั่งมี ร่ำรวย แข็งแรง ซึ่งเมื่อใช้พระนามพระเยซูคริสต์ไปอย่างนั้นแล้ว หลายๆ ครั้ง เริ่มต้นด้วยการประสบผลสำเร็จด้วยซ้ำ  ประสบผลสำเร็จจริงๆ ตามที่สั่ง หลายคนก็เคยผ่านประสบการณ์นี้ พอสั่งไปในนามพระเยซู ได้ ก็เลยติดใจ เหมือนยาเสพติด เราเจอวิธีการหลักใหญ่ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ต้องมั่งมี ร่ำรวยแน่นอน มาเป็นคริสเตียนดีกว่า ร่ำรวยแน่นอน  สุดท้ายก็ว่างเปล่า ถูกหลอก หมดตัว

            ในโลกนี้ มีอะไรหลายๆ อย่าง หลายๆ สิ่งที่ไม่สามารถอธิบายได้ ที่ผมเคยอธิบายให้ฟังบ้างแล้ว ในตอนที่แล้ว  เช่น เรื่องเกี่ยวกับไสยศาสตร์  คาถา  อาคม  สิ่งลี้ลับที่ทำให้เกิดอะไรบางอย่าง ที่เราไม่เข้าใจ  ซึ่งมันเหมือนกับการหายโรคอย่างอัศจรรย์  อะไรต่างๆ เหล่านั้น  ความมั่งมี ร่ำรวยก็เช่นเดียวกัน  เหมือนกัน เช่น เราไม่สามารถอธิบายหลายๆ สิ่ง หลายๆ อย่างที่เกิดขึ้น  ดูเหมือนว่ามันจะทำให้เรามั่งมีได้ “เรา” ในที่นี้ หมายถึงใครก็ตาม  ไม่ใช่คริสเตียนก็มีเยอะแยะ เช่น พวกพลังจิต การพูดซ้ำๆ  พูดทางบวก ที่เราเรียกว่า “Positive Thinking” ฮิตกันใหญ่ หรือเรียกว่าขบวนการการล้างสมอง  ให้เชื่อตามนั้น  และบางครั้ง มันก็เกิดผลจริงๆ ซึ่งอธิบายไม่ได้ หลายคนก็แห่ไป  ถูกหลอกทั้งหมดแหละ  เพราะมันไม่จริง ไม่มีใครได้จริงๆ ตามนั้นหรอก  ถ้าได้จริง ทั้งโลกก็รวยกันหมดทุกคนแล้ว  เพราะมันง่ายจะตาย ตามที่เขาบอก 1, 2, 3, 4 ทำตามนี้ ได้เลย เอาไปท่องๆ  พูดๆ ทุกวัน มันได้ตามนี้ มันก็ได้หมดทุกคน

            มันเหมือนขบวนการที่เขาเอามาใช้ทางวิทยาศาสตร์ ในเรื่องการทดสอบยา หรือวิตามินอะไรต่างๆ วิธีการทดสอบ วิชาการทางวิทยาศาสตร์การแพทย์เขาเรียกว่า “ยาหลอก” คือสมมติว่าจะทดสอบยาแก้โรคมะเร็ง ดูว่าสูตรนี้ใช้ได้ผลจริงไหม? เขาก็จะให้ … สมมติว่า 100 คน กินยานี้ แล้วอีก 100 คนกินยานี้ แต่เป็นยาปลอม แป้งธรรมดา แล้วเขาก็บอกว่ายานี้ จะทำให้มะเร็งหาย สมมติว่าภายใน 1 เดือน จะหาย วันละนิด วันละหน่อย  แล้วค่อยๆ หาย ยาหลอกก็เหมือนกัน  แต่เขาไม่บอกว่ายาหลอก  เขาก็แจกไป แล้วเขาก็ให้ไปกิน 1 เดือน สมมติ ผลปรากฏว่า … คนกินยาจริง ไม่ต้องไปพูดถึง  ก็ว่ากันไปตามจริง คนกินยาหลอก มีคนหายด้วยนะ ได้ผล 50% บ้าง 20% บ้าง  มันได้อย่างไร มันเป็นแป้งธรรมดา เป็นแป้งมัน นี่แหละ มันเกิดอะไรบางอย่าง  บอกเกิดความเชื่อก็ไม่ใช่ เขาจึงเรียกว่ายาหลอก อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งบอกไม่ได้ว่าคืออะไร? นี่คือสิ่งลี้ลับอะไรบางอย่าง  ซึ่งพระเจ้าบอกอย่าไปยุ่งเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ ถูกหลอก

            หรือแม้กระทั่งถูก ล๊อตเตอร์รี่ บางคนบอก … “เข้าฝัน พระเยซูมาบอกฉันเลยนะ เรื่องนี้” แล้วซื้อ ถูกด้วย ครั้งต่อไปซื้ออีก ถูกเหมือนกัน ถูกอะไร? ถูกกิน  ตอบได้ไหมวันที่ถูก ทำไมมันถึงถูก ตอบไม่ได้ เพราะฉันเห็นจริงๆ ฉันฝัน ฉันเห็นพระเยซูเดินมาจริงๆ กับตัวเลย แล้วจะฝันอีกได้ไหม? ไม่ได้แล้ว อย่างนี้เป็นต้น

            พลังจิต ยิ่งชัดใหญ่ ให้ท่องไปมากๆ ยิ่งเห็นพระเยซูเดินมาเลย  อะไรต่างๆ  หรือแม้กระทั่งการบนบานศาลกล่าว ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไรต่างๆ เหล่านี้ให้ได้รับผลสำเร็จ บางคนเขาไม่ได้ใช้นามพระเยซู เขายังสำเร็จ เพราะให้เขาเรียกชื่อตัวเองว่าลูกช้าง เขายังสำเร็จเลย เขาไปบนบานศาลกล่าวกับจอมปลวก เขายังสำเร็จเลย  แล้วบางทีเราไปใช้นามพระเยซูอย่างนี้ แล้วบอกสำเร็จ มันไม่ใช่เสมอไปว่าจะถูกต้องตามนั้นว่ามันเป็นมาจากพระเจ้าจริงๆ  แต่เราตอบไม่ได้ว่าที่เขาเจอความลี้ลับนั้น มันมาจากอะไร?

            ทั้งหมดนี้ เรียกว่าปาฎิหารย์ อัศจรรย์อันลี้ลับของมนุษย์ ซึ่งอยากจะรู้ อยากจะเห็น อยากจะได้  อยากจะเอามาใช้เป็นประโยชน์ ตั้งแต่ดึกบรรพ์แล้ว  และมันถูกหลอกกันหมดทุกคน ซึ่งมันไม่ใช่ของจริงที่มาจากพระเจ้า  เราก็อาจจะถูกหลอกให้ยึดติดและมัวเมา อยากได้ เพราะมันมาจากสิ่งเดียว ก็คือถูกหลอก เพราะความโลภ … ความโลภของใคร? พระคัมภีร์บอกอย่าไปโทษพระเจ้าว่าพระเจ้าทำอย่างโน้นทำอย่างนี้  เพราะความโลภ  ไม่ว่าจะโลภทรัพย์สินเงินทอง  หรือโลภวัตถุสิ่งของอื่นๆ  เช่นการหายโรคเป็นต้น ชื่อเสียงต่างๆ เหล่านี้ ใช้นามพระเยซูแล้ว  ก็ดูว่าผลบางทีมันเกิดขึ้น ก็เลยติดใจ อยากใช้ใหญ่ ซึ่งพอเราได้ตามนั้นจริง เราก็หลงเชื่อว่านี่คือน้ำพระทัยพระเจ้า ที่ต้องการให้เรามั่งมี ร่ำรวย ได้สิ่งเหล่านั้น ซึ่งเกี่ยวกับการหายโรค ที่มันหายโรคได้แปลกๆ  เราก็นึกว่าน้ำพระทัยพระเจ้า ต้องการให้เราหายโรคแบบนั้น  ซึ่งมันอาจจะไม่ใช่ก็ได้  1 ยอห์น 2:16 จึงได้บันทึกไว้ว่าอย่างนี้ เตือนเราทั้งหลายว่า …

        1 ยอห์น 2:16 “เพราะว่าทุกสิ่งที่อยู่ในโลก คือตัณหาของเนื้อหนัง และตัณหาของตา และความทะนงในลาภยศ  ไม่ได้มาจากพระบิดา แต่มาจากโลก”

            นี่คือความจริง ทุกสิ่งที่อยู่ในโลก และเราทั้งหลายก็ดำเนินชีวิตในโลก คือตัณหาของเนื้อหนัง และตัณหาของตา และความทะนงในลาภ ยศ อิทธิพลของโลกใบนี้ มันเป็นอย่างนี้หมดเลย การดำเนินของโลกใบนี้ที่มีชีวิตบนโลกใบนี้ มันเป็นอย่างนี้หมดเลย ให้เราอย่าไปจดจ่อกับมัน  เพราะว่าสิ่งเหล่านี้มันไม่ได้มาจากพระบิดา แต่มาจากโลก ซึ่งถูกสาปแช่งไปแล้ว มันไปสู่สูญสิ้น มันหลอกเรา อย่าไปตามๆ อย่าไปเชื่อมัน มองไปที่เบื้องบน มองไปที่วิญญาณ มองไปที่สิ่งที่พระเจ้าทำให้กับเรา  มองไปตรงนั้น เราจะได้ไม่ถูกหลอก

            เราจึงจำเป็นต้องเรียนรู้ความจริงว่าพระเจ้าสอนเรา ให้มีทัศนคติอย่างไรในเรื่องเกี่ยวกับความมั่งมี เกี่ยวกับความยากจน  เกี่ยวกับความมีหรือไม่มีทรัพย์สินเงินทองบนโลกใบนี้ ฟีลิปปี 4:11-13 …

        ฟีลิปปี 4:11-13 “11 ข้าพเจ้าไม่ได้พูด เนื่องจากความขัดสน เพราะข้าพเจ้าเรียนรู้ที่จะพอใจในสภาพที่เป็นอยู่ 12 ข้าพเจ้ารู้จักความขาดแคลน และรู้จักความอุดมสมบูรณ์ ไม่ว่าในกรณีใด หรือในทุกกรณี ข้าพเจ้าได้เรียนรู้เคล็ดลับในการเผชิญความอิ่มท้อง และความอดอยาก ความอุดมสมบูรณ์ และความขัดสนแล้ว 13 ข้าพเจ้าเผชิญได้ทุกอย่างโดยพระองค์ ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า”

            เปาโล อัครสาวกของพระเยซูคริสต์ซึ่งเคยเข้าไปอยู่ในสวรรค์มาแล้ว ได้เห็นประสบการณ์ในสวรรค์จริงๆ พระเจ้าพาเข้าไปสู่สวรรค์จริงๆ เป็นผู้ประกาศข่าวประเสริฐ รุ่นแรก ให้กับชาวต่างชาติ ได้พูดอย่างนี้ชัดเจนเลย

            “ข้าพเจ้าไม่ได้พูดเนื่องจากความขัดสน” คือตะกี้นี้ พูดกับชาวต่างชาติต่างๆ ให้ถวาย ให้อะไรต่างๆ  เพราะว่าต้องการให้ไปช่วย ชาวยิวคนจน  ไม่ใช่ เพราะว่าตัวเปาโลเองขัดสน  เพราะอะไร? “เพราะข้าพเจ้าเรียนรู้ที่จะพอใจในทุกสภาวะ เป็นอยู่แล้ว เพราะข้าพเจ้ารู้จักความขาดแคลน” เพราะเคยผ่านความขาดแคลนมาแล้ว รู้จักความอุดมสมบูรณ์  ไม่ว่ากรณีใดๆ  ข้าพเจ้าได้เรียนรู้เคล็ดลับในการเผชิญกับความอิ่มท้อง และความอดอยาก เปาโลยังอดอยากเลย  ความอุดมสมบูรณ์และความขัดสน ข้าพเจ้าเผชิญทุกอย่างได้ โดยพระองค์ผู้เสริมกำลังข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเผชิญความยากจน  ความขัดสน ความลำบาก สิ่งของเหล่านี้ที่จำเป็นต้องใช้สอยได้ โดยกำลังจากพระเจ้าที่สถิตอยู่ภายใน  นี่ชัดเจนเลย

            ฟีลิปปี 4:4-7 ได้บอกอย่างนี้ ให้เราทำหน้าที่ของเรา ในการเป็นคริสเตียนผู้เชื่อ ดำเนินชีวิตในโลก ในการดำเนินชีวิตนี้ มีท่าทีอย่างไร เกี่ยวกับเรื่องนี้ …

        ฟีลิปปี 4:4-7 “4 จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าทุกเวลา ข้าพเจ้าขอย้ำอีกครั้งว่าจงชื่นชมยินดีเถิด 5 จงให้ความอ่อนสุภาพของท่านทั้งหลายประจักษ์แก่ทุกคน องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ใกล้แล้ว  6 อย่ากระวนกระวายในสิ่งใดๆ เลย แต่จงทูลพระเจ้าให้ทรงทราบทุกสิ่งที่พวกท่านขอ โดยการอธิษฐานและการวิงวอน พร้อมกับการขอบพระคุณ 7 แล้วสันติสุขของพระเจ้าที่เกินความเข้าใจ จะคุ้มครองจิตใจ และความคิดของท่านทั้งหลายไว้ในพระเยซูคริสต์”

            นี่คือท่าทีที่ถูกต้อง นี่คือความจริงเกี่ยวกับความขัดสน ยากจน ในการทำมาหากิน  ในการดำรงชีวิตบนโลกนี้ ในฐานะ เป็นคริสเตียน นี่พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับท่านทั้งหลาย ก็คือตามข้อพระคัมภีร์ฟีลิปปี 4:4-7  ก็คือ …

                        “3 อย่าทุกข์ร้อนในสิ่งใดๆ ฝากเอาไว้ให้พระองค์

                        อธิษฐาน วิงวอนทุกอย่าง ด้วยใจขอบพระคุณ”

                        4 พระเยซูจะทรงประทาน สันติสุขมากมาย

                        จะคอยคุ้มครองใจของข้า ทุกวันทุกเวลา”

            เอเมนไหม?  พระเจ้าอวยพรครับ

************************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            ไม่มีใครได้ชื่อว่าเป็นผู้ชอบธรรม ในสายพระเนตรของพระเจ้า โดยการรักษาบทบัญญัติ บทบัญญัติเพียงแต่ทำให้เรารู้ตัวว่าเราเป็นคนบาป

            2 โครินธ์ 5:10 …  “เพราะ​เรา​ทุกคน​ (วิญญาณตัวตนจริงๆ ของมนุษย์ทุกคน) จะ​ต้อง​อยู่​ต่อหน้า​บัลลังก์​พิพากษา​ของ​พระคริสต์ (หลังความตาย) เพื่อ​แต่ละ​คน​จะ​ได้รับ​ผล​ตอบแทน​ ตาม​ความดี​หรือ​ความชั่ว​ (เลว) ที่​ทำ​มา​ตอนที่​ (วิญญาณ) ยัง​อยู่​ใน​ร่างกาย​นี้”

            ถ้าทำดีได้ไปสวรรค์ ถ้าทำชั่วแม้นิดเดียวก็พินาศโดยพลัน

            โรม 3:9-20 … “9 เช่นนี้แล้วเราจะสรุปว่าอย่างไร? พวกเราชาวยิวดีกว่าคนอื่นหรือ? ไม่เลย! เราชี้ให้เห็นแล้วว่าทั้งคนยิว และคนต่างชาติล้วนอยู่ภายใต้บาปเหมือนกันหมด 10 ตามที่มีเขียนไว้ว่า “ไม่มีสักคนที่ชอบธรรม ไม่มีแม้สักคนเดียวเลย 11 ไม่มีใครที่เข้าใจ ไม่มีใครที่แสวงหาพระเจ้า 12 ทุกคนล้วนหันเหไป พวกเขากลายเป็นคนไร้ค่าไปด้วยกัน ไม่มีสักคนที่ทำดี ไม่มีแม้แต่คนเดียว” 13 ลำคอของพวกเขา คือหลุมฝังศพที่เปิดอยู่ พวกเขาตวัดลิ้นปลิ้นปล้อน พิษงูร้ายอยู่ที่ริมฝีปากของพวกเขา 14 ริมฝีปากของเขาเต็มไปด้วยคำสาปแช่ง และคำเผ็ดร้อน 15 เท้าของเขาว่องไวในการทำให้นองเลือด 16 เขาก่อหายนะ และทุกข์เข็ญไว้ ตามรายทางของเขา 17 ไม่มีความยำเกรงพระเจ้าในสายตาของพวกเขา 18 เขาไม่เคยคิดที่จะเกรงกลัวพระเจ้าเลย 19 เรารู้อยู่ว่าสิ่งใดๆ ที่บทบัญญัติกล่าวไว้ ล้วนกล่าวแก่ผู้ที่อยู่ใต้บทบัญญัติ เพื่อปิดปากทุกคน ไม่ให้มีข้อแก้ตัว และให้ทั้งโลกอยู่ภายใต้การพิพากษาของพระเจ้า 20 ฉะนั้น ไม่มีใครได้ชื่อว่าเป็นผู้ชอบธรรมในสายพระเนตรของพระเจ้า โดยการรักษาบทบัญญัติ  บทบัญญัติเพียงแต่ทำให้เรารู้ตัวว่ามีบาป”

            บทบัญญัติ ก็คือกฎแห่งการกระทำที่พึ่งพาการกระทำของตนเอง ไม่ว่าดีหรือชั่ว เรียกว่ากฎแห่งกรรม ทำดีก็ได้ดี ทำชั่วก็ได้ชั่ว

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1444

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  26  พฤศจิกายน  2023

เรื่อง “อิสระจากความกลัวทั้งปวง (เพราะพระองค์ทรงอยู่)”

ตอน 4.2 “อิสระจากความกลัวความเจ็บป่วย” ตอน 2

โดย  นคร  เวชสุภาพร

            “อิสระจากความกลัวทั้งปวง (เพราะพระองค์ทรงอยู่)”  ซีรี่ย์นี้  ตอนนี้ ตอนที่ 5  ชื่อเรื่องว่า “อิสระจากความกลัวความเจ็บป่วย” ตอนจบ หรือตอน 2 ก็ได้ มี 2 ตอนเท่านั้นเอง

            ความจริงในโลกวิญญาณ  จะทำให้เราเป็นไท  เป็นอิสระจากความกลัวทั้งปวง  วันนี้ตอนที่ 5  อิสระจากความกลัวความเจ็บป่วย ตอนจบ เราได้เรียนรู้ในสัปดาห์ที่แล้วแล้วว่าความจริงในมหาจักรวาลนี้ มีกฎของโลกวิญญาณ และมีกฎของโลกวัตถุควบคู่กันไป  นี่คือความจริงอันดับแรกเลย ที่ต้องเรียนรู้ มาเชื่อในพระเจ้า หรือเริ่มต้นเรียนรู้จากพระเจ้า หรือเริ่มต้นสนใจเรื่องพระเยซูคริสต์ อันดับแรก ท่านต้องเปิดใจเชื่อเสียก่อน  แม้ว่ายังไม่เชื่อพระเยซูก็ตาม จะมาศึกษาก็ตาม เปิดใจไว้ก่อนเลยว่าท่านกำลังมาเรียนรู้เรื่องโลกวิญญาณ มีโลกวิญญาณจริงๆ  มนุษย์เป็นวิญญาณ อาศัยอยู่ในร่างกาย  นี่เป็นอันดับแรกในการเรียนรู้

            เพราะฉะนั้น เราจึงรู้ว่ามี 2 กฎควบคู่กันไปบนโลกใบนี้  คือในโลกวิญญาณและโลกวัตถุ สำหรับในโลกวัตถุ ที่จับต้องมองเห็นได้นี้ ตราบเท่าที่เรายังมีลมหายใจอยู่ เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ภายใต้กฎของความบาปและความตาย  เราต้องเรียนรู้ให้ได้ และยอมรับให้ได้ ยอมจำนนให้ได้ว่าความจริงในพระคัมภีร์ ที่พระเจ้าสอนเรา คือในโลกวัตถุที่เรามองเห็น จับต้องได้นี้ อยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตาย ทุกสิ่งบนโลกใบนี้ วัตถุสิ่งของต่างๆ ทั้งหมดที่มองเห็นได้ รวมทั้งร่างกายที่เราเห็น ต้องอยู่ใต้กฎของความบาปและความตาย ซึ่งเราเรียกว่าอยู่ใต้กฎของการเกิด แก่ เจ็บ และตาย หรือเรียกว่าสูญสิ้นไป ทั้งสิ้น ทุกสิ่งทุกอย่าง  ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า

            เพราะฉะนั้น เราจึงเห็น ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ เป็นต้นไม้ เป็นก้อนอิฐ เป็นดวงดาว  นี่พูดถึงในมหาจักรวาล โลกวัตถุไม่ได้หมายถึงโลกใบนี้เท่านั้น  คำว่า “โลก” หมายถึงอะไรที่มองเห็นทั้งหมด รวมทั้งบนฟ้า ดวงดาวที่เรามองไม่เห็น แต่มันมีอยู่จริงๆ เพียงแต่ตาเราไม่สามารถมองเห็น ท้องฟ้า ดวงดาวต่างๆ  เมฆ อะไรต่างๆ เหล่านี้ มันอยู่ภายใต้กฎของการเกิด แก่ เจ็บ และตาย

            เกิด แก่ เจ็บ ก็คือไปสู่การเสื่อมสูญทั้งสิ้น  ไม่ว่าจะอะไรก็ตาม ไม่ว่าจะนานขนาดไหนก็ตาม ซึ่งรวมทั้งร่างกายของมนุษย์ด้วยเช่นเดียวกัน ร่างกายของมนุษย์จับต้องมองเห็นได้ ถึงวันเวลา ก็ต้องอยู่ภายใต้กฎของการเกิดมา เพื่อไปแก่ เพื่อไปโทรม เจ็บ และตาย  นี่คือความจริง อันดับแรกที่เราต้องเรียนรู้

            แต่ในทางโลกวิญญาณล่ะ ซึ่งโลกวิญญาณ พูดถึงวิญญาณของมนุษย์  เป็นตัวตนแท้ๆ ของเขาจริงๆ ที่จะอยู่ตลอดไปนิรันดร์ อาศัยอยู่ในร่างกายที่มองเห็นนี้ได้เท่านั้น  เราได้เรียนรู้ว่าในทางโลกวิญญาณนั้น คนที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เจ้า ที่เรียกว่าคริสเตียนแล้ว  ภายในร่างกายที่จะต้องตายได้ของเขา  พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่กับเขา เขาได้รับความรอดจากกฎของความบาปและความตายเรียบร้อยแล้ว วิญญาณเขาไม่ตายแล้ว เกิด แก่ เจ็บ วิญญาณไม่ตาย  แต่วิญญาณได้รับความรอด

            ความรอดนี้ ก็คือพระพรนานัปการ ที่พระเจ้าได้กระทำให้ ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ที่เป็นผู้ที่พระเจ้าประทานมาช่วยเหลือมนุษย์ให้รอดพ้นจากกฎของความบาปและความตาย ทั้งฝ่ายร่างกายและฝ่ายวิญญาณ  ซึ่งเรากำลังเรียนรู้อยู่ พระพรนี้ทำให้คนที่เป็นคริสเตียนได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ที่เรียกว่าคริสเตียน ในโลกวิญญาณ ขณะที่เขาดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  เขาได้พรนี้เรียบร้อยไปแล้ว ทั้งหมดแล้ว

            พรเหล่านี้ สรุปสั้นๆ ก็คือเขาได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า  เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเยซู สะอาดหมดจดเลย เรียบร้อยไปแล้ว ตั้งแต่เขาเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นผู้ช่วยให้รอด ทันทีเลย ในโลกวิญญาณ เขาเปลี่ยนที่อยู่ มาเป็นลูกของพระเจ้า  มาเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมทันที  ซึ่งเป็นพรที่ยิ่งใหญ่สูงสุดแล้ว ไม่มีใครที่ไหนสามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้เลย ยกเว้นพระเยซูคริสต์ผู้เดียวเท่านั้น  พระคัมภีร์บันทึกเอาไว้อย่างนั้น ซึ่งพระพรเหล่านี้ เราได้รับมาเรียบร้อยแล้ว

            “เราคริสเตียนได้รับพรทางโลกวิญญาณนี้ ครบถ้วนบริบูรณ์ สมบูรณ์เรียบร้อยแล้ว  เมื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์”

            เพราะฉะนั้น พระคัมภีร์จึงบอกให้เราจดจ่อไปที่โลกวิญญาณนี้ ที่อยู่นิรันดร์นี้ ที่เราได้รับมาเรียบร้อยแล้ว ตอนที่อยู่บนโลกใบนี้ ซึ่งข้อสำคัญที่สุด คือมันเป็นตัวตนแท้ๆ ของเราที่จะอยู่นิรันดร์ วิญญาณนี้ได้รับความรอด อยู่กับพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว

            คราวนี้เราจะมาสรุปว่าครั้งที่แล้ว เราได้เรียนรู้เรื่องอะไร? เราเรียนรู้แล้วว่าพระเยซูคริสต์มาช่วยเราให้ได้รับความรอด จากกฎของความบาปและความตาย  แล้วผลของการที่พระเยซูคริสต์มาทำให้เราสำเร็จ ได้รับความรอด ผลเกิดขึ้น 2 ทาง ก็คือผลของความรอดในโลกฝ่ายวิญญาณ  ถูกไหม?  และมีผลของความรอด ทางฝ่ายวัตถุ

            ผลของความรอดทางฝ่ายวิญญาณ ก็คือเมื่อตะกี้ที่บอก เราได้รับพระพรทางโลกฝ่ายวิญญาณ ครบถ้วนบริบูรณ์ หมด เรียบร้อยแล้ว คือเราได้เกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า สะอาด บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้า  เกิดกับพระเจ้า อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว นี่คือผลทางด้านวิญญาณ ซึ่งได้ยกข้อพระคัมภีร์ เอเฟซัส 1:3 …

        เอเฟซัส1:3  “สรรเสริญพระเจ้า พระบิดาของพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา ผู้ได้ประทานพระพรฝ่ายจิตวิญญาณนานัปการในพระคริสต์แก่เราทั้งหลายแล้วในสวรรคสถาน”

            ซึ่งมันเป็นความจริงในโลกฝ่ายวิญญาณ ที่เราอาจจะมองไม่เห็น จับต้องไม่ได้ แต่มันเป็นความจริงว่าพอเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว สิ่งนี้มันเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ ในวิญญาณเราจริงๆ  เพราะฉะนั้น ความเชื่อของเรา ที่เป็นจริงในโลกวิญญาณ ในขณะนี้ ที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้แล้ว ในโลกวิญญาณ  ความเชื่อของเราในพระเยซูคริสต์ เราต้องเชื่อว่าเราได้ความรอดจากบาป เป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า  เป็นลูกของพระเจ้า และอยู่ใน สวรรค์กับพระเจ้าชั่วนิรันดร์ พระเยซูคริสต์ คือความมั่นคั่ง คือสุขภาพที่ดีเยี่ยม ในวิญญาณของเราเรียบร้อยไปแล้ว  กำลังพูดถึงผลของความรอดในโลกวิญญาณ  เพื่อเราจะได้ไม่หลุดออกจากคอนเซปนี้ว่าเรากำลังพูดถึงโลกวิญญาณ ทั้งหมดนี้ เป็นอัศจรรย์ที่เราได้รับจากพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว  เป็นอัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่สูงสุด  ไม่มีทางใด ไม่มีใคร ไม่มีอำนาจใด แม้กระทั่งมาร ที่จะสามารถเลียนแบบตรงนี้ได้เลย มารอาจจะเลียนแบบสิ่งต่างๆ  ผลอะไรต่างๆ ที่เกิดขึ้น ในโลกวัตถุ จับต้องมองเห็นได้  แต่นี่โลกวิญญาณ ไม่มีใครทำได้ นอกจากพระเจ้า ผู้เป็นเจ้าของอาณาจักรโลกฝ่ายวิญญาณ ที่เรียกว่าสวรรค์นั้น

            แล้วเราก็ได้เรียนรู้เรื่องผลของความรอด ในฝ่ายโลกวัตถุด้วย ซึ่งได้ยกตัวอย่างในหนังสือฮีบรู 13:5 …

        ฮีบรู 13:5 “จงให้อุปนิสัยและความประพฤติของท่าน ห่างไกลจากการรักเงิน และความโลภทั้งสิ้น จงพอใจในทุกสิ่ง ทุกสถานการณ์ที่มีอยู่และเป็นอยู่ในขณะนี้ (ทั้งในโลกวิญญาณ และโลกวัตถุนี้ จงเชื่อและวางใจในพระเจ้า) เพราะพระเจ้าได้ตรัสว่า “เราจะไม่มีวันทอดทิ้งเจ้า (เหมือนเป็นลูกกำพร้า) เราจะไม่มีวันละทิ้งเจ้า (ปล่อยให้อยู่ตามลำพัง) เราจะไม่ทำให้เจ้าต้องผิดหวัง อย่างแน่นอน”

            สรุป ก็คือว่าสำหรับในโลกฝ่ายวัตถุ เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว ผลของการรับเชื่อ และผลที่พระเยซูคริสต์ทำให้สำเร็จเรียบร้อยแล้ว พรทางฝ่ายวัตถุ สำหรับคริสเตียน คือ … “จงพอใจในทุกสิ่ง ทุกสถานการณ์ที่มีอยู่และเป็นอยู่ในขณะนี้ ทั้งโลกวิญญาณและโลกวัตถุนี้ จงเชื่อและวางใจในพระเจ้า  เพราะพระเจ้าได้ตรัสว่า “เราจะไม่มีวันทอดทิ้งเจ้า เหมือนเป็นลูกกำพร้า เราจะไม่มีวันละทิ้งเจ้า ปล่อยให้อยู่ตามลำพัง เราจะไม่ทำให้เจ้าต้องผิดหวังอย่างแน่นอน” คือพระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่กับเราแล้ว แล้วอยู่กับเราตลอดเวลา  ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ให้เราพึงพอใจในทุกสถานการณ์ ที่พระองค์ทรงนำพาเราไปบนโลกใบนี้ เอเมนไหม? นี่คือโลกวัตถุ เราอย่าไปสับสน เอาตรงนั้นมาใส่ตรงนี้ เอาตรงนี้ไปใส่ตรงนั้น มันจะยุ่งไปหมด

            ความจริง เรื่องของความเจ็บป่วย ที่เราได้เรียนรู้ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เราเรียนรู้ เพื่อเราจะได้เผชิญกับความเจ็บป่วย ซึ่งเป็นผลของความบาปและความตาย และคำสาปแช่งที่ปกคลุมอยู่เหนือโลกใบนี้ ก็คือกฎของความบาปและความตาย ที่ยังอยู่บนโลกวัตถุนี้อยู่ คือเกิด แก่ เจ็บ ตาย ยังอยู่ เรามาเรียนรู้ความจริงตรงนี้ พระเจ้าต้องการให้เราเข้าไปเผชิญกับความจริงตรงนี้ เพื่อเราจะได้เป็นอิสระจากความกลัวความเจ็บป่วยนั่นเอง

            วันนี้เราจะมาฟังความจริง เรื่องความเจ็บป่วย เพื่อจะได้เป็นอิสระจากความกลัวความเจ็บป่วยมากขึ้น เราเรียนรู้แล้วว่ายิ่งเผชิญกับความจริงมากเท่าไร เราก็จะยิ่งกลัวน้อยลง ยิ่งกลัวอะไร ยิ่งต้องเข้าไปหามันเลย มันจะได้ไม่กลัว ยิ่งหนี ยิ่งกลัวใหญ่เลย ในเมื่อมันต้องเกิดขึ้น มันต้องเป็นอย่างนั้นจริงๆ เข้าไปดูมันสิ มันเป็นอะไร? ยิ่งเข้าไปเท่าไร? แรกๆ อาจจะรู้สึกกลัว  ไปๆ ชักรู้ความจริง มันเป็นอย่างนั้นเอง วันนี้ลองฟังความจริง จากถ้อยคำพระเจ้า  ในเรื่องความเจ็บป่วย จากอาจารย์เปาโล

            อาจารย์เปาโลพูดถึงเรื่องเจ็บป่วย ไว้อย่างไร? ในเรื่องเกี่ยวกับความทุกข์กาย ด้วยโรคภัยไข้เจ็บ  ความอ่อนแอนี้ อาจารย์เปาโลมีประสบการณ์มากมาย ในการอัศจรรย์ ที่เกิดขึ้นในร่างกาย  เกี่ยวกับเรื่องเจ็บป่วย  อาจารย์เปาโลเริ่มต้นจากการเชื่อในเรื่องพระเจ้า  ในเรื่องพระเยซูคริสต์ จากความเจ็บป่วยนะ เริ่มต้นจากยังไม่เชื่อ แล้วตาบอด  พูดสรุปสั้นๆ พระเจ้าทำการอัศจรรย์มากเลย ส่งคนของพระองค์ ชื่ออานาเนียมา แบบอัศจรรย์เลย มาตามหาเปาโลปุ๊บ วางมือให้เปาโลทันที เปาโลตาหายบอด ได้รับการรักษาให้หาย  แล้วก็กลับใจมาเชื่อพระเยซู นึกภาพออกใช่ไหม?

            แล้วอีกหลายครั้ง ที่เปาโลถูกหินขว้างจนตาย ได้รับการอธิษฐาน จากผู้คนของพระเจ้า ได้เป็นขึ้นจากความตาย ได้ฟื้นจากความตาย อาจารย์เปาโลเหมือนกัน มีประสบการณ์เยอะไหม? แล้วหลายครั้งที่ถูกเฆี่ยนจนปางตาย  ถูกโยนเข้าไปในคุกมืด คุกใต้ดิน ก็ได้รับการรักษาให้หายอย่างอัศจรรย์เหมือนกัน แล้วหลายครั้งที่อาจารย์เปาโลอธิษฐาน ให้กับคนป่วยคนอื่น คนป่วยคนอื่นหายโรคอย่างอัศจรรย์ ขนาดเอามือ วางไว้บนผ้าเช็ดหน้า แล้วส่งผ้าเช็ดหน้าไปทางแกร๊บ ส่งเป็นพัสดุไป คนป่วยเอาผ้าเช็ดหน้าไปวางให้ตัวเอง หายโรคอย่างอัศจรรย์  เป็นที่ฮือฮามาก นี่คือประวัติของอาจารย์เปาโล

            เราลองมาดูทัศนคติของอาจารย์เปาโล เรื่องเกี่ยวกับความเจ็บป่วย ที่อาจารย์เปาโลมีประสบการณ์ เยอะแยะมากมาย ทั้งหายโรคอย่างอัศจรรย์ ทั้งรักษาคนอื่นให้หายโรคอย่างอัศจรรย์ ที่เราเรียกว่าอัศจรรย์ ที่พระเยซูคริสต์ทำงานผ่านทางเปาโล แต่เราเรียกว่าเปาโลรักษาเขาให้หายโรค ถึงขนาดเด็กตกมาจากชั้น 2 สิ้นใจไป ลงมาอธิษฐานให้เด็กคนนั้น ฟื้นขึ้นมาใหม่ อาจารย์เปาโลทั้งนั้น  เราลองมาฟังประสบการณ์ของอาจารย์เปาโลเกี่ยวกับเรื่องนี้ดูสิว่าเป็นอย่างไร? แล้วท่านจะได้รู้ว่าอะไรคือความจริง เกี่ยวกับเรื่องความเจ็บป่วย ในร่างกายของเรา นี่พูดถึงเรื่องเกี่ยวกับร่างกาย โดยเฉพาะเลยนะ จำได้ใช่ไหม? โลกวัตถุ ก็คือร่างกายของเรา  อยู่บนโลกใบนี้ อยู่ภายใต้กฎของการเกิด แก่ เจ็บ ต้องเจ็บแน่ แก่ ก็คือเจ็บแล้ว เกิด แก่ แล้วเจ็บ แล้วก็สูญสิ้น มันจริงไหม? มันมีอะไรมาช่วยได้ไหม? ความเจ็บป่วยนี้อยู่ในพันธสัญญาของพระเจ้าหรือไม่? มาฟังอาจารย์เปาโล 2 โครินธ์ 12:8-10 เราจะเริ่มจากตรงนี้ …

        2 โครินธ์ 12:8-10 “8 ข้าพเจ้าทูลวิงวอนองค์พระผู้เป็นเจ้าสามครั้ง ให้ทรงเอาหนามนี้ ออกไปจากข้าพเจ้า 9 แต่พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “พระคุณของเราเพียงพอสำหรับเจ้า เพื่อว่าฤทธิ์อำนาจของเรา จะได้ปรากฏเต็มที่ในความอ่อนแอ” ฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงอวดความอ่อนแอของตนด้วยความยินดี เพื่อฤทธิ์อำนาจของพระคริสต์จะได้อยู่ในข้าพเจ้า 10 ด้วยเหตุนี้แหละ เพื่อพระคริสต์ ข้าพเจ้าจึงชื่นชมในความอ่อนแอ ในการสบประมาท ในความยากลำบาก ในการกดขี่ข่มเหง ในความยุ่งยาก เพราะเมื่อใดที่ข้าพเจ้าอ่อนแอ เมื่อนั้น ข้าพเจ้าก็เข้มแข็ง”

            “ข้าพเจ้าทูลวิงวอนองค์พระผู้เป็นเจ้า 3 ครั้ง” วิงวอน แปลว่าอะไร?  แปลว่าทุกข์มาก ทุกข์มาก เพราะให้ทรงเอาหนามนี้ออกไปจากข้าพเจ้า “หนามนี้” ในบริบทนี้ พูดถึงหนามในเนื้อ รู้ไหมว่า “เนื้อ” แปลว่าอะไร?  “เนื้อ” ภาษาเดิม ก็คือร่างกายของเรา  หนามในร่างกายของเรา “หนาม” คือความทุกข์ ทรมาน ทุกข์ทรมานในร่างกายของเรา ของอาจารย์เปาโล ถึงสามครั้ง ก็คือขนาดเปาโล ซึ่งพระเจ้าเคยนำท่านเข้าไปอยู่ในโลกฝ่ายวิญญาณ เรียกว่าในสวรรค์จริงๆ ได้ไปเห็นสวรรค์มาแล้ว มีความเชื่อและไว้วางใจในพระเจ้า ในสวรรค์อย่างมากแล้ว ยังอธิษฐาน เรื่องนี้ถึง 3 ครั้ง  บอกพระเจ้าเอาหนามนี้ออกไป “หนาม” นี้คือความทุกข์ ในร่างกาย จากการถูกข่มเหงรังแก จากความเจ็บป่วยทางธรรมชาติ จากกฎของความบาปและความตาย

            “ข้าพเจ้าจึงอวดความอ่อนแอของตน” ความอ่อนแอ คืออะไร? คำศัพท์เดียวกัน  ความอ่อนแอของตน คือความอ่อนแอในร่างกาย อาจารย์เปาโลกำลังจะอวดว่าข้าพเจ้าจึงได้อวดความเจ็บป่วย ความเสื่อมโทรม ความอ่อนแอในร่างกาย ความทุกข์ในร่างกาย

            “ด้วยเหตุนี้ เพื่อพระคริสต์ ข้าพเจ้าจึงชื่นชมในความอ่อนแอ” อวด แล้วยังแถมชื่นชมอีก ก็แสดงว่าพอใจ เมื่อพระเจ้าตอบว่าปล่อยไว้อย่างนั้นแหละ เพื่อพระคุณของเรา  พระคุณตรงนี้ หมายถึงฤทธิ์เดชอำนาจ การทรงสถิตของพระองค์ จะได้สำแดงออกในชีวิตของอาจารย์เปาโล ได้เห็นชัด เด่นขึ้น จากความอ่อนแอ จากความทุกข์กาย จากความเจ็บปวด เจ็บป่วยนั่นแหละ  พอพระเจ้าบอกอย่างนี้ ข้าพเจ้าจึงมีความพอใจ ชื่นชมในความเจ็บป่วย ที่เกิดขึ้นกับข้าพเจ้า

            แล้วยกตัวอย่างให้เห็นว่าความเจ็บปวด เจ็บป่วย ทุกข์ทรมาน ในร่างกายนั้น มาจากอะไร? “ในการสบประมาท ในความยากลำบาก  ในการถูกกดขี่ข่มเหง ในความยุ่งยากต่างๆ” เพราะอะไร?  เพราะในขณะที่กำลังทุกข์ยากลำบากในร่างกาย ออกไปประกาศ ก็ถูกเขาขว้างหิน เจ็บปวด บวมไปหมด ออกไปตาก็ไม่ค่อยดี เป็นโรคตา ตาก็มองไม่ค่อยเห็น บางครั้ง ถึงขนาดเหมือนกับบอด เป็นโรค มีแต่ความอ่อนแอมากเลย แต่ข้าพเจ้ายินดี  เพราะเมื่อใดที่ข้าพเจ้าอ่อนแอ เมื่อนั้น ข้าพเจ้าก็เข้มแข็ง  เมื่อใดข้าพเจ้าหมดแรง เมื่อใดข้าพเจ้าทำไม่ได้แล้ว พระเจ้าก็จะมาปรากฏ พระเจ้าก็จะมาทำแทน แต่เมื่อใดที่ข้าพเจ้าเข้มแข็ง รู้สึกซ่าส์เหลือเกิน พระเจ้าก็เฉยๆ ปล่อยให้ซ่าส์ไปก่อน

            เปาโลโอ้อวดในความอ่อนแอ ในความเจ็บป่วย ความเสื่อมโทรม ความทุกข์ทรมาน ในร่างกาย เห็นได้ชัดเลย จากข้อความพระคัมภีร์นี้  เพราะว่ายังต้องอยู่ภายใต้กฎของการเกิด แก่ เจ็บ และตายบนโลกใบนี้อยู่ ร่างกายเขายังอยู่ที่นี่  ที่เปาโลไม่กลัวที่จะเผชิญกับความเจ็บป่วย แต่ยังสามารถโอ้อวดได้  เพราะอาจารย์เปาโลยอมให้เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า ยอมจำนนต่อความเจ็บป่วยนั้น และมอบให้กับพระเจ้า ฝากไว้ที่พระองค์ แล้วแต่พระองค์เถิด อธิษฐานไป 3 ครั้งแล้ว วิงวอนไป 3 ครั้งแล้ว

            เมื่อพระองค์บอกว่า … “พระคุณของเรา หรือฤทธิ์อำนาจของเราเพียงพอ สำหรับเจ้า”

            ก็ตอบว่า … “เอเมน” อดทนเอา

            นี่คือท่าที เราดูในฟีลิปปี 3:20-21 เพิ่มเติมให้เห็นชัดว่าเปาโลมีทัศนคติเกี่ยวกับความเจ็บป่วย ความอ่อนแอในร่างกายอย่างไร? เขาโอ้อวดอะไรในชีวิตของเขา โอ้อวด ความแข็งแรงในร่างกายของเขาด้วยความเชื่อหรือ? เขาโอ้อวดใช่ไหมว่า …

            “ฉันเปาโล เต็มไปด้วยความเชื่อในพระเจ้า เต็มที่เลย ฉันเคยวางมือคนเจ็บคนป่วย รักษาโรคหาย ฉันวางมือบนผ้าเช็ดหน้า คนก็หายโรค พระเจ้ารักษาฉันอย่างอัศจรรย์ เพราะฉะนั้น ถ้าคุณมีความเชื่อแบบฉัน คุณก็จะแข็งแรง” เขาอวดอย่างนี้หรือไม่?

            หรือเขาอวดอย่างที่เราได้ฟังเมื่อสักครู่นี้ ลองดูต่อไป ฟีลิปปี 3:20-21 …

        ฟีลิปปี 3:20-21 “20 แต่เราเป็นพลเมืองสวรรค์ และเราเฝ้ารอคอยพระผู้ช่วยให้รอดจากสวรรค์ คือองค์พระเยซูคริสต์เจ้า 21 พระองค์จะทรงเปลี่ยนกายอันต่ำต้อยของเรา ให้เหมือนพระกาย อันทรงพระเกียรติสิริของพระองค์ โดยฤทธานุภาพ ที่สยบทุกสิ่งไว้ใต้อำนาจของพระองค์”

            เปาโลบอกว่าขณะที่เราอ่อนแอนั้น ร่างกายเราอ่อนแอ เปาโลกำลังบอกว่าในโลกวิญญาณ เห็นไหม? ตะกี้เราพูดถึงโลกวัตถุ ก็คือร่างกายตกอยู่ใต้กฎของความบาปและความตาย กฎแห่งการเกิด แก่ เจ็บ และตาย คราวนี้อาจารย์เปาโลพูดถึงเกี่ยวกับเรื่องโลกวิญญาณ วิญญาณเราได้รับพระพรนานัปการจากพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว  ได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้าแล้ว จำได้ใช่ไหม? เราได้บังเกิดใหม่เรียบร้อยไปแล้ว เป็นลูกพระเจ้า สะอาด บริสุทธิ์ ดีพร้อม อยู่กับพระเจ้าในสวรรคสถาน เรียบร้อยแล้วใช่ไหม? นี่กำลังพูดถึงโลกวิญญาณ แต่เรา ในโลกวิญญาณ ก็คือเป็นพลเมืองสวรรค์เป็นลูกพระเจ้าอยู่ในสวรรค์เรียบร้อยแล้ว  “เราเฝ้ารอคอย” เรา คือวิญญาณของเรา พระผู้ช่วยให้รอดจากสวรรค์ คือองค์พระผู้เป็นเจ้า องค์พระเยซูคริสต์เจ้า พระองค์จะทรงเปลี่ยนกายอันต่ำต้อยของเรา

            พระองค์จะเปลี่ยนกายอันต่ำต้อยของเรา  กายที่กำลังอยู่นี้ มันต่ำต้อย “ต่ำต้อย” ภาษาเดิมใช้คำศัพท์ ความหมายเดียวกันกับคำว่า “อ่อนแอ” ข้าพเจ้าโอ้อวดความอ่อนแอ เหมือนกันคำว่าต่ำต้อย คือพระองค์จะทรงเปลี่ยนกายอันอ่อนแอของเรานั่นเอง เดี๋ยวทำอันนั้นก็เจ็บ ทำอันนี้ก็เจ็บ  มันอยู่ใต้กฎของความบาปและความตาย  มันก็ต้องเจ็บ มันอยู่ภายใต้กฎของการเกิด แก่ เจ็บและตาย มันก็ต้องเจ็บ มันต้องปวด ไม่เจ็บใจ ก็ความคิด เครียด ก็เป็นโรคภัยไข้เจ็บ ไม่เชื้อโรค ก็ความเสื่อมโทรมของร่างกาย ความแก่ ความตายนั่นเอง  ความเสื่อมโทรม มันต้องสูญสิ้นไปในที่สุด เพราะมันอยู่ใต้กฎของการเกิด แก่ เจ็บและตาย แต่ในโลกวิญญาณเราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว เรารอวันที่พระเยซูคริสต์จะเปลี่ยนกายอันต่ำต้อย  อันอ่อนแอนี้ ให้เป็นเหมือนพระกายอันทรงพระเกียรติของพระองค์ ให้เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์

            นี่คือท่าทีกายอันต่ำต้อย ร่างกายที่อ่อนแอ เพราะอยู่ภายใต้กฎของการเกิดแก่ เจ็บ ตาย ที่อยู่บนโลกใบนี้ มันเสื่อมโทรม มันไปสู่การสูญสิ้น  เปาโลจึงมีสติบอกว่าเพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงพูดตรงๆ ว่ามีชีวิตอยู่ ก็จะอยู่เพื่อประกาศข่าวประเสริฐให้กับผู้คน ให้พระเยซูใช้ร่างกายให้เป็นประโยชน์ แต่ถ้าจากร่างกายนี้ไป ดีกว่าอยู่ตั้งเยอะ พูดง่ายๆ ว่าตายดีกว่าอยู่ตั้งเยอะเลย

            แล้วเปาโลเขียนจดหมายเหล่านี้จากในคุก  บางครั้งจากคุกใต้ดินด้วย  เป็นความหวัง เต็มไปด้วยความเชื่อ ศรัทธา เฝ้ารอคอยวันที่จะพบพระเจ้าหน้าต่อหน้า  อย่างใจจด ใจจ่อ ตาไม่กระพริบเลย  ก็คือความหวังในโลกวิญญาณ  พระคัมภีร์พระเจ้า จึงบอกให้เราจดจ่อไปที่โลกวิญญาณ กำลังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้ ท่านทั้งหลายได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้าแล้ว จงจดจ่อความคิดของท่านไปที่เบื้องบน คือในโลกวิญญาณ  ในสวรรคสถาน  ที่พระเยซูคริสต์สถิตอยู่นั้น  ท่านอยู่กับพระองค์ที่นั่น  ไม่ใช่จดจ่ออยู่ที่ฝ่ายโลก อย่าไปสนใจฝ่ายโลกมากนัก อะไรอย่างนี้

            บนโลกใบนี้ พระเจ้าพระบิดากำลังฝึกฝน  กำลังจูงมือให้เราดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ให้สมกับที่เป็นลูกเล็กๆ ของพระองค์ ที่ได้อยู่ในสวรรค์กับพระองค์เรียบร้อยแล้ว ในขณะที่ดำรงชีวิตบนโลกใบนี้ ให้เรารู้ว่าพระองค์ทรงรักเราดังแก้วตาดวงใจ  และพระวิญญาณบริสุทธิ์คอยอยู่กับเราตลอดเวลา ทุกฝีก้าว ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับเรา พระองค์ทรงทราบและทรงเข้าใจตลอดเวลาเลย  และให้เราไว้ใจในพระองค์ เพื่อเมื่อถึงวันหนึ่ง เมื่อเราพร้อม หรือเมื่อถึงวันเวลาของพระเจ้า  เราก็จะได้ออกจากร่างที่มัน ต้องทุกข์ทรมาน ทุกข์ใจ ทุกข์กาย ออกไปสู่ร่างกายใหม่  เข้าไปสู่โลกใหม่ โลกวิญญาณ  ด้วยร่างกายที่เต็มไปด้วยสง่าราศี  เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์

            นี่คือหนทางเดินของผู้เชื่อ คริสเตียนทั้งหลาย  และมันจะไปได้อย่างไร?  ได้รับร่างกายใหม่ได้อย่างไร?  โดยทั่วๆ ไป ก็คือมันต้องผ่านขบวนการเกิด แก่ เจ็บ  และล่วงหลับ  มันต้องมีการเจ็บ และล่วงหลับ  ก็คือเปลี่ยนร่างกายใหม่  ไปสู่ความรอดนิรันดร์อย่างสมบูรณ์ครบถ้วนและรับมรดกร่วมกับพระเยซูคริสต์ในสวรรคสถานนิรันดร์

            เพราะฉะนั้น บนโลกนี้ เราได้อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าในโลกวิญญาณแล้ว ขาดแค่ยังอยู่ในร่างกายเดิม  และบนโลกเดิม ที่อยู่ภายใต้คำสาปแช่งของกฎของความบาปและความตาย  กฎของการเกิด แก่ เจ็บ ตายอยู่ ซึ่งพระเจ้าได้สัญญาว่าได้เตรียมทั้งร่างกายใหม่ แบบสวรรค์ที่เหมือนพระเยซูให้  และได้เตรียมสร้างโลกใหม่ สรรพสิ่งใหม่ บนโลกใหม่ ที่ดีกว่าเดิมอย่างมากมาย  หาที่เปรียบไม่ได้ ให้กับเรา ได้อยู่อาศัยนิรันดร์เรียบร้อยแล้ว นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เพราะฉะนั้น เราเรียนรู้จากอาจารย์เปาโล

            อาจารย์เปาโลพอใจ ชื่นชมยินดี ในความอ่อนแอ ก็คือความเจ็บป่วย  ความทุกข์ทรมานในร่างกาย ไม่ใช่เป็นซาดิสต์ …

            “ฉันชอบ” ไม่ใช่

            อธิษฐานถึง 3 ครั้ง เรียกว่าหนามในเนื้อ ไม่ชอบแน่นอน  เราเจ็บป่วย เราไม่ชอบแน่นอน  แต่มันจำเป็นต้องเกิดขึ้น และเราจะทำอย่างไร?  เราวางใจในพระเจ้าดีกว่า  กาลาเทีย 4:13-15 …

        กาลาเทีย 4:13-15 “13 ท่านก็ทราบอยู่ ตอนแรกที่ข้าพเจ้าประกาศข่าวประเสริฐแก่ท่านนั้น  ก็เพราะความเจ็บป่วย 14 แม้ว่าความเจ็บป่วยของข้าพเจ้า เป็นการทดลองสำหรับท่าน  ท่านก็ไม่ได้ดูถูก หรือสบประมาทข้าพเจ้าเลย  กลับต้อนรับราวกับข้าพเจ้า เป็นทูตของพระเจ้า ราวกับข้าพเจ้า เป็นองค์พระเยซูคริสต์เอง 15 ความชื่นชมยินดีของท่าน หายไปไหนหมดแล้ว? ข้าพเจ้ายืนยันได้ว่าถ้าท่านทำได้ ท่านก็คงจะควักตาของท่าน ให้ข้าพเจ้าแล้ว”

            อาจารย์เปาโลกำลังพูดถึงประสบการณ์ของท่าน  ที่เดินทางไปกาลาเทีย กะว่าจะเดินทางผ่านเฉยๆ  ปรากฏว่าถึงกาลาเทียปุ๊บ ป่วย ป่วยหนักเลย  ไปต่อไม่ได้ ต้องอยู่ที่กาลาเทีย  ถามว่าป่วยเป็นอะไร? เป็นโรคตา เหมือนกับตาบอด มองไม่เห็น  เรารู้ได้อย่างไร? ในบรรทัดสุดท้ายบอกว่า …

            “ถ้าทำได้ ท่านคงควักตาของท่านให้ข้าพเจ้าแล้ว”

            ก็หมายความว่าชาวกาลาเทียช่วยเหลือ ดูแลอาจารย์เปาโล เป็นดวงตาให้ตอนนั้น  เอาหยูกยามาให้ คอยจูงมือเข้าห้องน้ำ กินข้าว และอาจารย์เปาโลก็ใช้เวลานั้น ในการประกาศข่าวประเสริฐ ให้กับชาวกาลาเทีย จนชาวกาลาเทียเปิดใจรับเชื่อพระเจ้า อาจารย์เปาโลมารื้อฟื้นความหลังให้เขาได้เห็นว่า …

            “เห็นไหมตอนที่ข้าพเจ้าไปหาท่าน ประกาศข่าวประเสริฐ ซึ่งไม่ได้ตั้งใจ ข้าพเจ้าป่วยอยู่ ป่วยหนักด้วย  ท่านไม่ได้สบประมาท ท่านไม่ได้ดูถูกข้าพเจ้าเลยว่า … “นักประกาศใหญ่ ทำการอัศจรรย์ยิ่งใหญ่เลย ทำไมป่วยขนาดนี้ ไม่มีความเชื่อเลยหรือไง?”

            นี่คือความจริงจากถ้อยคำพระเจ้า  จากประวัติของอาจารย์เปาโลที่เราเรียนรู้ว่ามีอัศจรรย์มากมาย ที่ท่านได้ผ่านมาเยอะแยะ ถามว่าความเชื่อของเปาโลหายไปไหน? ตกลงไปหรือ! ถึงจะเขียนจดหมายอย่างนี้ ลืมไปแล้วหรือว่าวางมือบนผ้าเช็ดหน้า เอาผ้าเช็ดหน้าไปวางคนอื่น ยังหายโรค ลืมไปแล้วหรือ? อธิษฐานให้เด็กตายไปแล้ว ฟื้นขึ้นมาใหม่? ลืมไปแล้วหรือ? จับงู แล้วตัวเองไม่เป็นอะไร? อะไรอย่างนี้ เปาโลความเชื่อหายไปไหน?

            1 ทิโมธี 5:23 ย้ำยืนยันอีก ชัดเจนว่าอาจารย์เปาโลมีทัศนคติเรียนรู้เรื่องการเจ็บป่วยนี้อย่างไร? ว่ามันเป็นธรรมดา มันเป็นกฎเป็นเกณฑ์ …

        1 ทิโมธี 5:23 “ตั้งแต่นี้ไป อย่าดื่มแต่น้ำ จงเจือเหล้าองุ่นเล็กน้อย เนื่องด้วยกระเพาะอาหารของท่าน และความเจ็บป่วยที่ท่านเป็นอยู่บ่อยๆ”

            อาจารย์เปาโลเขียนจดหมายไปหนุนใจทิโมธี ศิษย์เอก ที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นศิษยาภิบาล ศิษย์เอก น่าจะเขียนไว้อย่างนี้นะ ความเชื่อท่านหายไปไหนทิโมธี  ทำไมท่านไม่อธิษฐานกับพระเจ้า แค่ป่วย แค่นี้เอง ท่านลืมไปแล้วหรือ? มีคนป่วยที่ไหน วางมือรักษาโรค ท่านลืมผ้าเช็ดหน้าของข้าพเจ้าแล้วหรือ? เอาผ้าเช็ดหน้าของข้าพเจ้าไปวางไว้ตรงท้องของเจ้า ท่านอธิษฐานไม่พอ  ท่านอธิษฐานน้อยไป  หรือทิโมธี ท่านไปทำบาปอะไรมาหรือเปล่า? เปล่าเลย ความเจ็บป่วยที่ท่านเป็นอยู่บ่อยๆ เรื้อรังนั้น ทิโมธีปวดท้องเรื้อรัง แล้วอาจารย์เปาโลใช้อะไรไปหนุนใจ ศิษย์เอกของเขาล่ะ

            “อย่าดื่มแต่น้ำ จงเจือเหล้าองุ่นเล็กน้อย”

            เปาโลใช้สติปัญญาจากโลกนี้  ตามกฎเกณฑ์ของโลกนี้  กฎเกณฑ์ของโลกนี้คืออะไร? ด้วยสติปัญญาที่พระเจ้า เกี่ยวกับโลกใบนี้ ก็คือสาเหตุของการป่วยเป็นโรคอะไร แล้วก็หาต้นเหตุ ค่อยแก้ไขไป  นี่คือเหตุผล ตรรกแบบโลกวัตถุนี้ แก้ไขปัญหา ไม่ใช่ใช้วิญญาณตลอดไป ไม่ใช่ ทิโมธีอาจจะอธิษฐานมาตั้งเยอะแล้ว  เปาโลอาจจะอธิษฐานให้ทิโมธีมาตั้งเยอะแล้ว เปาโลก็ใช้วิธีบอกว่าเรียนรู้ปัญญาแบบโลกด้วย คือเจ็บป่วยพระเจ้าก็ทรงรักษา ผ่านทางกินยา หาหมอเหมือนกันนะ

            แล้วอาจารย์เปาโลได้เรียนรู้จากยูทูปด้วย ในยูทูปบอกว่าถ้าท้องไส้เป็นอย่างนี้ เรื่องโรคกระเพาะอย่างนี้ ให้กินน้ำผสมเหล้าองุ่นนิดหนึ่ง มันจะออกมาคล้ายๆ กับยาธาตุ หรืออาจจะผสมเหล้าองุ่นนิดหนึ่ง  ทำให้น้ำมันสะอาดขึ้น ทิโมธีอาจจะแพ้น้ำเปล่าๆ มันไม่มีการต้ม ทำให้สะอาดได้อย่างไร?  เขาก็มีเทคนิค ก็คือเอาไวน์หรือเหล้าองุ่น ซึ่งมีแอลกอฮอล์อยู่ไปผสมในน้ำ  เพื่อจะฆ่าเชื้อโรค เพื่อลำไส้จะได้สบายขึ้น อะไรอย่างนี้ ผมไม่รู้แล้วนะ อธิบายเทียบ เพื่อท่านจะได้เห็นภาพ อาจารย์เปาโลวันๆ อาจจะเปิดยูทูปดู ไม่อย่างนั้น อาจารย์เปาโลจะรู้ได้อย่างไร? เจ็บป่วย ก็กินยาหาหมอ เปาโลอาจจะคุยกับหมอแผนโบราณ หรือเปาโลอาจจะคุยกับหมอลูกาก็ได้ …

            “ลูกา ทิโมธีเขาป่วยอย่างนี้  อธิษฐานตั้งเยอะแล้ว ไม่หาย”

            ลูกาไปเปิดตำรา … “อันนี้เป็นโรคลำไส้อักเสบ ลองกินน้ำผสมไวน์ดูบ้าง”

            นี่กำลังจะบอกให้ท่านฟังว่าอะไรคือความจริงเกี่ยวกับเรื่องความเจ็บป่วย ในร่างกายของเรา  ที่กำลังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เพื่อเราจะได้ไม่กลัว มันเกิดแน่ เพราะฉะนั้น  พระวิญญาณของพระเจ้าที่สถิตอยู่กับเราจะให้สติปัญญากับเรา ในการให้วิธีรักษา นอกเหนือจากการอธิษฐานวิงวอน  ฝากไว้ที่พระเจ้า อันนี้ต้องทำทุกคนอยู่แล้ว  แต่ไม่ใช่บังคับ แล้วต้องอย่างนี้ ต้องอย่างนั้น พระเจ้าต้องทำให้เราอย่างนี้  ไม่ใช่ มีอีกหลายวิธีที่พระเจ้าจะทำได้ พระเจ้าสถิตอยู่ในเรา พระเจ้าได้เปิดตาฝ่ายวิญญาณให้อาจารย์เปาโลเกี่ยวกับเรื่องสุขภาพร่างกาย ในการดำเนินชีวิตในโลกใบนี้อย่างไร? อย่างชัดเจนเลยว่าเมื่อเกิดความเจ็บป่วย พระเจ้าบอกให้มองตรงไหน? มองอย่างไร?  และพิจารณาอย่างไร?  2 โครินธ์ 4:16-18 …

        2 โครินธ์ 4:16-18  “16 ฉะนั้น เราไม่ท้อถอย (ผิดหวัง เสียใจ กลัว) แม้ว่ากายภายนอกของเรา กำลังทรุดโทรมไป แต่ตัวตนภายใน (ที่มีชีวิตนิรันดร์ของพระคริสต์สถิตอยู่) ของเรานั้นกำลังได้รับการเลี้ยงดูเสริมสร้างขึ้นใหม่ ให้เจริญเติบโตขึ้นทุกวัน 17 เพราะความทุกข์ยากลำบาก ที่เราได้รับอยู่ในร่างกายภายนอกที่เห็นอยู่ในขณะนี้นั้น เป็นเพียงสิ่งชั่วคราว และเป็นเพียงสิ่งเล็กน้อย ที่กำลังเสริมสร้าง หล่อหลอม และจัดเตรียมเรา (ให้พร้อมที่จะจากโลกนี้ไปด้วยความยินดี เพื่อเข้าไปสู่โลกวิญญาณ เพื่อสวมร่างกายใหม่ ร่างกายอมตะ ร่างกายสวรรค์ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์) เข้าร่วมในสง่าราศี พระสิริอันยิ่งใหญ่สมบูรณ์นิรันดร์ของพระคริสต์ ที่ไม่มีสิ่งใดสามารถเปรียบได้เลย 18 ดังนั้น เราจึงไม่จับตามองดู สิ่งที่มองเห็นอยู่ (ไม่จดจ่ออยู่กับความทุกข์บนโลก) แต่จับตามองดู สิ่งที่มองไม่เห็น (แต่จดจ่ออยู่กับฝ่ายวิญญาณที่พระคริสต์ที่สถิตอยู่ภายใน) เพราะสิ่งที่มองเห็นอยู่นั้น (คือความทุกข์ในร่างกายบนโลกนี้) เป็นเพียงชั่วคราว เดี๋ยวมันก็ผ่านไป ไม่ยั่งยืน (เหมือนเงา) แต่สิ่งที่มองไม่เห็นนั้น (คือร่างกายใหม่และพระคริสต์ที่สถิตอยู่ภายในผู้เป็นสง่าราศีและสิริของเรา) เป็นถาวรนิรันดร์”

            จำได้ใช่ไหม ที่ผมบอกว่าความจริงจะทำให้เราเป็นไท พระเยซูบอก แต่การเผชิญความจริงในตอนแรกๆ มันอาจจะทำให้เราตกใจ  ถ้าเราหนีมัน เราไม่มีทางเป็นอิสระเลย  เราต้องเผชิญกับมัน  ฟังซีรี่ย์นี้ ตอนนี้ อาจจะหวั่นๆ ว่าเราต้องเผชิญ มันหนีไม่พ้น มันต้องเจออยู่แล้ว เพราะฉะนั้น เราเตรียมเผชิญกับมันเลย มันจะดีกว่า และข้อสำคัญ ก็คือมันเป็นความจริงจากถ้อยคำพระเจ้า เรามาดูสิว่าเราควรจะทำอย่างไร? เผชิญมันด้วยวิธีใด?

            ข้อ 16 บอกว่า “ฉะนั้น เราจึงไม่ท้อถอย”

            ไม่ท้อถอย คือไม่ผิดหวัง  ไม่เสียใจ ไม่กลัว แม้กายภายนอกของเรากำลังทรุดโทรมไป  กำลังอยู่ภายใต้การเกิด แก่ เจ็บ และตายอยู่ มันไปสู่ความตายตลอด ทุกนาทีไปสู่ความเจ็บไข้ตลอด ไม่ว่าอาการจะออกมาแล้วหรือยัง? ไม่ว่าเราจะยอมรับมันหรือไม่ก็ตาม มันเกิดขึ้น บางคนบอกมีความเชื่อมากเลย ฉันแข็งแรงในนามพระเยซู แต่จริงๆ แล้วมีทั้งปวดหัว เป็นหวัด ท้องเสีย ปวดเมื่อย สิ่งเหล่านี้ มันบ่งบอกว่าเรากำลังเจ็บ ไปสู่ความตาย เพียงแต่ว่าเราปฏิเสธมัน  ไปอยากได้อย่างอื่นแทน

            “แต่ตัวตนภายใน” ก็คือวิญญาณของเราที่ได้รับชีวิตนิรันดร์ อยู่กับพระเยซูคริสต์แล้ว “ตัวตนภายในของเรานั้น กำลังได้รับการเลี้ยงดู เสริมสร้างขึ้นใหม่” กำลังเจริญเติบโตทุกวันเลย  จากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าที่สถิตอยู่กับเราภายใน เราไม่ต้องทำอะไรเลย  พระวิญญาณเป็นผู้ปกป้อง คุ้มครองดูแลวิญญาณเรา  และเรากำลังเจริญเติบโต “เรา” หมายถึงวิญญาณนะ  จำได้ใช่ไหมครับ?  พอบอกร่างกายนี้ ไม่ใช่ตัวเรา  เดี๋ยววันหนึ่ง ก็ต้องสูญสิ้นไป

            ข้อ 17 “เพราะความทุกข์ยากลำบาก  ที่เราได้รับอยู่ในร่างกายภายนอกที่เห็นอยู่ในขณะนี้นั้น เป็นเพียงสิ่งชั่วคราว” จริงๆ แล้วในนี้ เปาโลได้มีข้อความหนึ่งที่ไม่ได้ใส่อยู่ในนี้ ก็คือ … “แต่ข้าพเจ้าเห็นว่า …” ก็คือพระเจ้าเปิดตาอาจารย์เปาโลในวิญญาณได้เห็น “แต่ข้าพเจ้าเห็นว่าความทุกข์ยากลำบาก ความเจ็บป่วย การเสื่อมโทรมในร่างกายภายนอก ที่เห็นอยู่ในขณะนี้นั้น  มันอยู่เพียงชั่วคราว  ภาษาเดิมเรียกว่าแป๊บเดียว  ภาษาไทยเรียกว่าเพียงชั่วคราว อาจจะฟังได้ยาว  แต่จริงๆ แล้วในภาษาเดิม มันใช้คำว่า “แป๊บเดี๋ยว” ชั่วขณะเดียว  มันจึงเป็นเพียงสิ่งเล็กน้อย ที่กำลังเสริมสร้างล่อหลอม จัดเตรียมเรา มันจัดเตรียมเรา มันเสริมสร้างเราให้เราเข้มแข็ง ให้เราอดทน ให้เรามองไปที่โลกฝ่ายวิญญาณอย่างชัดเจน และพร้อมเหมือนอาจารย์เปาโลพร้อมที่จะจากร่างกายนี้ไป รับร่างกายใหม่ เห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้าในสวรรค์ ซึ่งดีกว่ามาก ถ้าเราไม่พร้อม ก็กลัวตาย  กลัวเจ็บ กลัวป่วย แต่ถ้าเราพร้อม เราก็กลัวเจ็บน้อยหน่อย  ไม่กลัวตาย  เพราะว่าตายของเรา ก็คือการเปลี่ยนร่างกายใหม่ สู่สวรรค์ สู่การพักผ่อนนิรันดร์

            “เป็นการจัดเตรียมเราให้พร้อมที่จะจากโลกนี้ไป ด้วยความยินดี  เพื่อเข้าไปสู่โลกฝ่ายวิญญาณ ที่สวมร่างกายใหม่ในร่างกายอย่างเป็นอมตะ  ร่างกายสวรรค์ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์” … ถ้ามองตรงนี้ได้ มันตื่นเต้นมาก ยิ่งป่วย ยิ่งตื่นเต้น ยิ่งโทรม ยิ่งตื่นเต้น ยิ่งจะจากไปเท่าไร? ยิ่งตื่นเต้นใหญ่ เหมือนอาจารย์เปาโลบอกว่าตายก็ดีกว่าอยู่ เพื่อร่วมในสง่าราศี พระสิริ อันยิ่งใหญ่ สมบูรณ์นิรันดร์ของพระคริสต์ ที่ไม่มีสิ่งใดสามารถเปรียบได้เลย ห่างกันลิบลับเลย  ความทุกข์ทรมาน ความเจ็บป่วย จากกฎของความบาปและความตาย คำสาปแช่งบนโลกใบนี้ ในร่างกายนี้ มันนิดเดียว เทียบกับสิ่งที่พระเจ้าเตรียมไว้ หลังจากนี้ จนถึงนิรันดร์ เทียบกันไม่ได้เลย

            เมื่อเราเห็นอย่างนี้แล้ว เปาโลเลยสรุปว่า … “ดังนั้น เราจึงไม่จับตามองดูสิ่งที่มองเห็นอยู่ ก็คือโลกวัตถุ  ไม่จดจ่ออยู่กับความทุกข์บนโลกใบนี้ ไม่จดจ่ออยู่กับความเจ็บป่วย ในร่างกาย ความอ่อนแอนี้ แต่จับตาดู สิ่งที่มองไม่เห็น ก็คือโลกวิญญาณ  แต่จดจ่ออยู่กับฝ่ายวิญญาณ  ที่พระคริสต์สถิตอยู่ภายในเรา เป็นพี่เลี้ยงเรา ไม่ใช่พระคริสต์อย่างเดียว พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่กับเรา  เพราะสิ่งที่มองเห็นอยู่นั้น ก็คือร่างกายที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากลำบาก  เจ็บป่วย เจ็บปวดนั้น  มันอยู่เพียงชั่วคราว อยู่แค่แป๊บเดียว มันเหมือนเงา ที่เดี๋ยวมันก็ผ่านไปแล้ว  ไม่ยั่งยืน  เงามันอยู่แป๊บเดียว  แต่สิ่งที่มองไม่เห็น คือร่างกายใหม่ ในโลกวิญญาณ  และพระคริสต์ที่สถิตอยู่ภายใน ผู้เป็นสง่าราศีของเรานั้น อยู่กับเรานิรันดร์  และเราจะได้รับร่างกายใหม่นั้น นิรันดร์

            นี่คือทัศนคติที่เห็นชัดเจนว่าเราควรจะมองไปที่สิ่งที่มองไม่เห็น คือโลกวิญญาณ เหมือนดังพระคัมภีร์บอกแล้วว่าพระเจ้าพอใจมากเลย  ที่ผู้เชื่อ  คือลูกๆ ของพระองค์ จะดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อศรัทธา ไม่ใช่ตามองเห็น  สิ่งที่มองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน  คือสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้กับผู้ที่รักพระองค์ ก็คือลูกๆ ของพระองค์ ในโลกนี้ สิ่งที่เหนือธรรมชาติ เกินกว่าเหตุผลของมนุษย์ มีมากมาย  ที่ไม่ได้เป็นความจริงมาจากพระเจ้า  แต่ก็ไม่มีอะไรสามารถที่จะอธิบายความจริงได้ว่ามันคืออะไร? อยู่ในปริศนาอยู่ อะไรที่เหนือธรรมชาติ อย่างเช่น วิทยาคม คาถาอาคม  ไสยศาสตร์ การสะกดจิต พลังจิต อะไรอีกเยอะแยะมากมาย ซึ่งเราเหมากันว่าเกี่ยวกับโลกวิญญาณ มันอาจจะไม่ใช่โลกวิญญาณจริงๆ พระคัมภีร์ พระเจ้าจึงเตือนเราว่าอย่าเข้าไปยุ่ง บางคนอยากได้การหายโรคมากๆ ก็หลุดเข้าสู่การถูกล่อลวง  ถูกหลอกลวง ให้เข้าไปสู่วิทยาคม  ไสยศาสตร์ สะกดจิต พลังจิตอะไรเยอะแยะมากมาย เพราะอยากจะได้การหายโรค ซึ่งถูกหลอก โดยใช้ชื่อพระเจ้า  พระเยซูคริสต์เข้ามาสวม บอกว่า …

            “นี่มาจากพระเจ้า มาจากพระเยซูคริสต์ พระเยซูต้องการให้ท่านหายโรค พระเยซูต้องการให้ท่านหายจากโรคนี้แน่นอน”

            ท่านกลับไปคิดเองก็แล้วกันว่ามันเป็นจริงไหม? ตามที่เราได้เรียนรู้ความจริง จากประวัติ จากประสบการณ์ของอาจารย์เปาโล ที่เรากำลังวิเคราะห์กันอยู่นี้

            ในโลกนี้เราควรมีความพึงพอใจในพระเยซูคริสต์ ที่เป็นชีวิตของเรา  เป็นที่ปรึกษามหัศจรรย์ เป็นผู้ปลอบโยนจิตใจ เป็นสติปัญญาอันล้ำเลิศ  เป็นราชาจอมราชา  เป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด  ผู้ทรงสถิตอยู่กับเรา  เดินอยู่กับเรา จูงมือเราเดิน ทุกเสี้ยววินาทีบนโลกใบนี้  กำลังนำพาเราไปสู่สวรรค์ที่พักอันถาวร นิรันดร์ ไปสู่โลกใหม่ที่สมบูรณ์พร้อมทุกประการ  เราควรจะยึดตรงนี้ไว้ อย่างแน่นอน ไม่ถูกหลอก  แล้วเราก็จะเผชิญกับการเกิด แก่ เจ็บ และล่วงหลับ หรือถ้าไม่เชื่อพระเจ้า ก็คือตาย บนโลกใบนี้ ซึ่งเกิดขึ้นแน่นอน ด้วยสันติสุขในพระคริสต์ ผู้ทรงสถิตอยู่กับเราตลอดเวลา ด้วยความเต็มใจ  ไม่ว่าจะเป็นเช่นไรก็ตาม  ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ผู้ทรงสถิตอยู่ มันควรจะเป็นอย่างนี้ ใช่ไหม? นี่แหละ คือมองไปที่โลกฝ่ายวิญญาณอย่างชัดเจน แทนที่จะมาบีบบังคับพระเจ้า เหมือนกับเด็กเล็กๆ ที่เอาแต่ใจตัว เอาหัวโขกพื้น …

            “ฉันจะได้ ฉันต้องได้ๆ”

            ให้แม่ทำสิ่งที่ตัวเองต้องการ  เราหันกลับมาเป็นผู้ใหญ่ในฝ่ายวิญญาณ โดยการไว้วางใจในพระองค์ว่าพระองค์เป็นพ่อที่แสนดี  และสามารถให้ในสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับลูกๆ ของพระองค์ทุกคน เกินกว่าที่ลูกจะคิด หรือสามารถขอจากพระองค์ได้ เราบอกอย่างนี้ดีแล้ว จะเอาอย่างนี้ๆ  แต่พระองค์มีสิ่งที่ดีกว่านั้น เยอะแยะที่เราไม่เข้าใจ ฝากไว้ที่พระองค์ดีกว่าหรือไม่?  เพราะฉะนั้น จดจ่อไปที่พระพรทางฝ่ายวิญญาณ นานัปการที่ได้รับเรียบร้อยไปแล้ว และดำเนินชีวิตด้วยความยินดี ในชัยชนะเหนือความตาย ด้วยความกล้าหาญ อดทน มั่นใจที่จะเผชิญกับความเจ็บป่วยพร้อมกับพระองค์  บางคนไม่กล้าพูดนะ …

            “ไม่อยากเจ็บ”

            ไม่ได้ มันต้องเจ็บ เราต้องกล้าเผชิญกับมัน เผชิญความเจ็บป่วยพร้อมกับพระองค์ ไม่ใช่เผชิญคนเดียว แล้วเคารพในกฎเกณฑ์กติกาที่พระองค์ทรงวางไว้ พระองค์เป็นผู้ดูแล กฎเกณฑ์กติกาเหล่านั้น การเกิด แก่ เจ็บ และตายบนโลกใบนี้ ก็เป็นกฎที่พระองค์เป็นผู้ดูแล  มันต้องเป็นอย่างนั้น ต้องเคารพในพ่อของเรา ต้องเคารพกฎทุกกฎ มันเป็นกฎอยู่อย่างนั้น  อย่าต้องให้พ่อเราละเมิดกฎ กฎกติกามันเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้น ถึงแม้เรามาเป็นคริสเตียน เป็นลูกของพระองค์แล้ว ก็ต้องอยู่ในกฎกติกาของพระองค์ พระองค์เปลี่ยนมาได้แค่ พอเรามาเป็นลูกของพระองค์ เปลี่ยนใจ เปิดใจมาต้อนรับพระเยซูคริสต์ มาเป็นลูกของพระองค์แล้ว พระองค์ยังให้เราอยู่ในกฎ เรายังคงอยู่ภายใต้กฎของการเกิด แก่ เจ็บ แล้วหลับ  เปลี่ยนร่างกายใหม่  ไม่ใช่เกิด แก่ แล้วไม่เจ็บ เปลี่ยนร่างกาย เป็นอย่างไร? ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย พ่อบอกมันไม่ได้ มันเป็นกฎ ลูกเอ๋ย มันต้องทำอย่างนี้

            ความจริงเหล่านี้จะทำให้เราเป็นอิสระจากความกลัวการเจ็บป่วย  และเผชิญได้ด้วยสันติสุข และทุกข์น้อยลง ตอนที่ฟังอาจจะตื่นเต้น ตกใจ ไม่เคยได้ยินอย่างนี้มาก่อน ไหนบอกเชื่อพระเจ้าแล้ว มีความหวังว่าจะหายโรค วันนี้มาเชื่อพระเจ้าแล้ว ได้รู้ความจริงว่าไม่มีหายโรคหรอก ยังไงก็ไม่หาย กล้าฟันธงได้เลยว่าอย่างไรก็ไม่หาย  เพราะมันเป็นกฎที่พระเจ้าดูแลอยู่ แต่ถ้าท่านเผชิญกับกฎนี้ด้วยความจริง ความถูกต้อง ท่านจะสงบลงด้วยสันติสุขในพระเยซูคริสต์และทุกข์บนโลกใบนี้แน่ๆ แต่มันทุกข์น้อยลง หวังลมๆ แล้งๆ แต่ทุกข์หนักขึ้น

            เราไม่สามารถที่จะเข้าใจพระเจ้าได้ด้วยสติปัญญา  ด้วยความคิดของเราเอง  เราต้องใช้ความเชื่อและความไว้วางใจในถ้อยคำพระองค์ที่บอก เช่น พระองค์บอกว่าทรงสถิตอยู่กับเราตลอดเวลา  24 ชั่วโมง ไม่เคยทิ้งเราเลย อยู่ตลอดเวลา  เราไม่สามารถจะเห็น  รู้สึก หรือจับต้อง มีเซนต์ว่าพระเจ้าอยู่กับเราจริงๆ  เราไม่สามารถทำอย่างนั้นได้  แต่เราต้องเชื่อมั่นว่าพระเจ้าอยู่กับเราจริงๆ  และพระองค์ทรงยืนยันด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่สถิตอยู่กับเราจริงๆ พระเจ้าสถิตอยู่ เป็นผู้รับผิดชอบ ปกป้อง คุ้มครองวิญญาณภายในของเรา  ที่ได้รับความรอด เป็นลูกของพระองค์เรียบร้อยแล้ว ตลอดนิรันดร์ ไม่มีใครที่ไหน อะไรมาทำร้าย ทำลายวิญญาณ ซึ่งเป็นตัวตนแท้ๆ ของเราได้เลย ไม่มีใครทำอะไรเราได้เลย  ไม่ต้องกลัว แต่เรายังมีอีกส่วน คือร่างกายที่เป็นวัตถุ สสารอยู่บนโลก ซึ่งเป็นเหมือนเสื้อของวิญญาณ เป็นร่างกายที่อยู่บนโลกนี้ เพียงชั่วคราว เพียงชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น อดทนรอคอยการเปลี่ยนแปลงไปสู่ชีวิตนิรันดร์ ร่างกายที่เป็นร่างกายสวรรค์ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ เข้าสู่สวรรค์ โลกวิญญาณจริงๆ นิรันดร์กาล

            นั่นคือท่าทีที่ถูกต้องของคริสเตียน อยู่บนโลกใบนี้เราต้องดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อเท่านั้น ไม่ใช่ด้วยความเข้าใจ หรือด้วยเหตุผลของมนุษย์ ด้วยอะไรก็ตามที่จับต้องมองเห็นได้ ด้วยความรอบรู้ของตนเอง ด้วยความเฉลียวฉลาดของตนเอง  ด้วยสติปัญญาของตนเอง  เราไว้ใจไม่ได้เลยสักอย่าง นอกจากวางใจในถ้อยคำพระเจ้า  เมื่อถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าพระเจ้าเป็นพระเจ้าที่ดี มีเมตตา เป็นความรัก ไม่มีความเกลียดชัง  เป็นผู้ยุติธรรม  เป็นผู้ชอบธรรม รักเราดังแก้วตาดวงใจ ต้องการให้สิ่งที่ดีที่สุดกับเรา  เป็นพ่อที่คอยดูแลลูกเล็กๆ ของพระองค์ ด้วยความหวงและห่วงใยสูงสุดเลย  เราผู้ซึ่งเป็นลูกของพระองค์ พระองค์พูดอย่างไรว่า …

            “เราจะอยู่กับเจ้าตลอด ไม่เคยทอดทิ้งเจ้า”

            คำว่า “ไม่เคยทอดทิ้ง” ภาษาเดิม หมายถึงไม่เคย เหมือนเด็กทารก เด็กทารกเขาไม่เคยอยู่คนเดียว  ภาษาเดิมตรงนี้บอกว่า “ไม่เคยทอดทิ้งให้เจ้าอยู่เพียงลำพัง” แปลว่าอย่างนั้น เหมือนกับเราดูแลเด็กทารกคนหนึ่ง แล้วเราก็บอกเด็กทารกนั้นว่า …

            “ฉันไม่มีมีทางปล่อยให้เธออยู่ลำพัง”

            ปล่อยได้อย่างไร เด็กทารกอยู่ลำพังได้อย่างไร? คำนี้แปลอย่างนั้นจริงๆ ขณะที่เราไม่เข้าใจว่าทำไมต้องปล่อยให้เราเจ็บป่วยอย่างนี้ ทำไมอย่างนั้น  ทุกข์ทรมานในร่างกาย เจ็บปวดอย่างนี้ ไม่มีทางเข้าใจหรอก แต่ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าแต่ในขณะที่เราเจ็บป่วย เจ็บปวด ทุกข์ทรมาน อธิษฐานไป 30 ครั้ง บางคนอธิษฐานไป 300 ครั้งแล้ว  ก็ยังไม่เห็นหายเลย นี่เปาโล 3 ครั้งเอง  พระเยซูก็ 3 ครั้งเอง  แต่พวกเราอาจจะ 300 ครั้ง  30 ครั้ง แต่ในขณะที่เรา 300 ครั้ง ให้รู้ดีว่าพระเจ้าสถิตอยู่ในเรา อยู่กับเราตลอดเวลา ถ้อยคำพระเจ้าบอกอย่างไร? มันเป็นอย่างนั้น พระองค์กำลังจูงมือเรา เดินผ่านอุปสรรคปัญหานั้น ด้วยกันกับพระองค์ตลอดเวลา ไม่ใช่พระองค์อย่างเดียว ทั้ง 3 พระภาคเลย ชีวิตเราซ่อนอยู่ในพระองค์ กับพระเยซู และมีพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ภายในเรา

            แทนที่เราจะคิดหาเหตุผล หรือเข้าใจตามสติปัญญาของเราเอง เราตัดสินใจแล้ว  ที่จะเชื่อและวางใจ เราก็บอกกับพระองค์เลย ตัดสินใจแล้ว เชื่อและวางใจสุดๆ แล้ว บอกต่อพระองค์ ตามถ้อยคำของพระองค์ที่บอกไว้ เมื่ออ่านถ้อยคำของพระองค์แล้ว มีหน้าที่พูดอย่างเดียวว่า “เอเมน” ไม่ว่ามันจะเจ็บ มันจะปวดขนาดไหน? มันจะไม่สบายอย่างไร?  พระเจ้าบอกเราอยู่กับเจ้า เราก็ตอบว่าเอเมน  ถึงจะตอบเบาๆ ก็ตาม “เอเมน” ก็คือขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ อย่าให้เป็นไปตามความต้องการของลูกเลย เหมือนพระเยซูคริสต์อธิษฐานเลย เหมือนเปาโลอธิษฐานเลย  เพราะว่าพระองค์พระเจ้าทรงเตรียมสิ่งที่ดีที่สุด ดีกว่าที่ลูกคิดหรือเตรียมเอง  หรือขอเองอย่างมากมาย  พระองค์สามารถให้ลูกมากยิ่งกว่าสิ่งที่ลูกขอ และคิดเองด้วยซ้ำ  เพราะฉะนั้น ขอพระองค์ทรงจูงมือลูกไปเถิด ตอบพร้อมกันว่า “เอเมน” ตอนไหน? ตอนแข็งแรงดี หรือตอนเจ็บป่วย โอ้อวดอะไร? โอ้อวดตอนอ่อนแอสุดๆ ตอบคำเดียวว่า …

                        *3. ข้าขอพระเจ้าทรงจูงมือไป ไม่ว่าจะนำสู่ตำบลใด

                              จะเกิดความทุกข์หรือสุขก็ดี พระหัตถ์พระองค์ทรงนำทุกที

                        ** พระคริสต์นำหน้า พระคริสต์นำหน้า

                             พระหัตถ์พระองค์ทรงจูงมือข้า

                             เต็มใจเดินตาม ด้วยความเปรมปรีดิ์

                             พระหัตถ์พระองค์ทรงนำทุกที **

                        3. ข้าขอพระเจ้าทรงจูงมือไป   ไม่ว่าจะนำสู่ตำบลใด

                            จะเกิดความทุกข์หรือสุขก็ดี พระหัตถ์พระองค์ทรงนำทุกที

                        ** พระคริสต์นำหน้า พระคริสต์นำหน้า

                             พระหัตถ์พระองค์ทรงจูงมือข้า

                             เต็มใจเดินตาม ด้วยความเปรมปรีดิ์

                             พระหัตถ์พระองค์ทรงนำทุกที **

                        2. บางคราวต้องผ่านความทุกข์มืดมัว

                            บางคราวโศกเศร้า บังเกิดความกลัว

                            บางคราวราบรื่น  ชื่นใจยินดี

                          พระหัตถ์พระองค์ทรงนำทุกที

                        ** พระคริสต์นำหน้า พระคริสต์นำหน้า

                             พระหัตถ์พระองค์ทรงจูงมือข้า

                             เต็มใจเดินตาม ด้วยความเปรมปรีดิ์

                             พระหัตถ์พระองค์ทรงนำทุกที **

            พระเจ้าอวยพรครับ

***********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            พระเจ้าให้อิสระเราเลือกตัดสินใจ

                        1. จะเป็นเกลือในวิหาร

                                    หรือ …

                        2. เป็นเกลือบนถนน

            เราตอบ ……….?

            มัทธิว 5:13 … “ท่านทั้งหลายเป็นเกลือของโลก แต่ถ้าเกลือนั้นหมดความเค็มแล้ว จะทำให้กลับเค็มอีกได้อย่างไร มันก็ไม่มีประโยชน์อันใดอีกต่อไป มีแต่จะถูกสาดทิ้งให้คนเหยียบย่ำ”

            เกลือมีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อโรค เชื้อแบคทีเรียที่ทำให้อาหารเน่าบูด คริสเตียนเป็นเกลือของโลก รักษาความเน่าเฟะของโลกใบนี้ ก็คือเป็นเกลือท่ามกลางความบาปบนโลก

            พระเยซูยกคำอุปมานี้ ซึ่งชาวยิวเข้าใจดี คือในพระคัมภีร์ยิวเดิม ปุโรหิตในพระวิหารจะใช้เกลือทาเนื้อและอื่นๆ ที่จะถวายแด่พระเจ้า

            หนังสือเลวีนิติ 2:13 …  “เจ้​าจงปรุงบรรดาธัญญบู​ชาด้วยใส่​เกลือ เจ้​าอย่าให้​เกลือแห่งพันธสัญญากับพระเจ้าของเจ้า ขาดเสียจากธัญญบูชาของเจ้า เจ้​าจงถวายเกลือพร้อมกับบรรดาเครื่องบูชาของเจ้า”

            พระเจ้าสั่งให้เอาเกลือทา  เพื่อให้มันบริสุทธิ์ เพื่อถวายแด่พระเจ้า เกลือมีหน้าที่ที่จะชำระสิ่งต่างๆ ที่จะเน่า ไม่ให้มันเน่า พอพระเยซูยกเรื่องเกลือ ชาวยิวจะรู้ทันที

            “แต่ถ้าเกลือนั้นหมดความเค็ม” ไม่ได้ หมายถึงสูญเสียความเป็นเกลือไป แต่หมายถึงหมดคุณภาพ มันยังคงเป็นเกลืออยู่  แต่มันไม่ใช่เกลือที่มีความเค็ม 100%  ความเค็มลดลง

            ลักษณะคล้ายๆ กับเกลือหมดอายุ อาจจะเก็บไว้ไม่ดี เกิดความชื้น น้ำและความสกปรกจากพื้นดิน ทำให้เกลือที่อยู่ล่างๆ ติดพื้นดิน  สูญเสียคุณลักษณะความเค็มของมัน เขาจะใช้ความเค็มของเกลือเป็นประโยชน์  แต่เมื่อมันสูญเสียความเค็มแล้ว เขาก็เอาไปใช้ประโยชน์ไม่ได้ ตามที่ควร ทำได้อย่างเดียว ก็ต้องเอาไปทิ้งบนถนน ถมถนนไม่ให้เฉอะแฉะ และยังช่วยกำจัดวัชพืช ไม่ให้ขึ้นตามถนนที่คนเดินผ่านไปผ่านมา คนก็จะเดินเหยียบย่ำบนเกลือนั้น

            ไม่สามารถทิ้งที่ผืนดิน ไร่นา หรือสวนได้ เพราะจะทำให้ดินเพาะปลูกเสียหาย จึงนำมาใช้ประโยชน์ในการถมถนน แทนที่จะใช้ประโยชน์ในวิหารของพระเจ้า

            พระเยซูกำลังบอกว่าถ้าท่านเป็นเกลือแล้ว เป็นคริสเตียนแล้ว มาบังเกิดใหม่แล้ว ท่านก็ทำตัวให้สมกับเป็นลูกของพระเจ้าหน่อย

            เมื่อท่านทำตัวให้สมกับเป็นลูกของพระเจ้า ผู้คนก็จะเห็นพระเจ้าชัดเจน ท่านก็จะมีประโยชน์มากต่อโลกใบนี้

            แต่ถ้าท่านเป็นคริสเตียนแล้ว ท่านทำตัวไม่สมกับการเป็นคริสเตียนเลย ไม่สำแดงชีวิตที่เป็นเหมือนพระเจ้าออกมา

            ตรงนี้แหละ คือสูญเสียความเค็มไป เจ้าของเกลือก็จะเอาไปถมถนนให้คนเดิน แต่ท่านยังคงเป็นเกลืออยู่ เพียงแต่เจ้าของเอาไปใช้ประโยชน์ได้ไม่เต็มที่เท่าที่ควร แทนที่จะไปอยู่ในวิหารได้รับเกียรติ  ใช้เป็นของถวายแด่พระเจ้า  แต่กลับมาอยู่บนพื้นดินให้คนเหยียบย่ำน่าเสียดาย

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1443

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  19  พฤศจิกายน  2023

เรื่อง “อิสระจากความกลัวทั้งปวง (เพราะพระองค์ทรงอยู่)”

ตอน 4.1 “อิสระจากความกลัวความเจ็บป่วย” ตอน 1

โดย  นคร  เวชสุภาพร

            บางคนป่วยเป็นโรคกลัวนานๆ ไม่ได้รับการรักษา ก็กลายเป็นโรคซึมเศร้า … ซึมเศร้า เกิดจากความกลัวมาก่อน เริ่มต้นจากกลัว ในทางการแพทย์ การใช้การรักษาที่เรียกว่าพฤติกรรมบำบัด ซึ่งภาษาอังกฤษ ใช้คำว่า CBT (Cognitive Behavioral Therapy) หรือการเรียบเรียงความคิดเสียใหม่ CBT คือการเรียบเรียงความคิดให้มันถูกต้อง พฤติกรรมบำบัด ก็คือวิธีที่มาปรับความคิดของคนที่กลัว โดยให้ผู้ป่วยเข้าหาและฝึกเผชิญหน้ากับสิ่งที่กลัว เพื่อให้คนที่กลัวหรือคนป่วยนั้น เกิดความเคยชิน และรู้ความจริง และกลัวน้อยลง  ตั้งใจฟังนะ

            ถ้าเกิดปรับความคิดไม่ได้ผล หรือได้ผลไม่ทันการกับการดำเนินชีวิต ที่ทุกข์ลำบากขึ้น เกิดจากความกลัว เป็นซึมเศร้า อันตรายถึงชีวิตได้ มันไม่ทัน ทำอย่างไร? ขณะที่ปรับความคิดไป เขาก็ให้ยาแบบสารเคมีเข้าไปช่วย ให้ทุเลาอาการของความกลัวนั้น เรียกกันว่ายาจิตเวช นี่วิทยาศาสตร์ล้วนๆ นะ

            หลักการพฤติกรรมบำบัด หรือ CBT ก็คือการทำให้ผู้ป่วยเห็นว่าความคิด เช่น กลัวความมืด ซึ่งมันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด ก็คือความสว่างที่มันค่อยๆ น้อยลงๆ  แล้วมันมืดสนิท ก็คือความสว่างมันหายไป  ความมืดไม่มีตัวตนด้วยซ้ำไป เขาก็เอาวิธีการนี้ไปใช้กับทุกอย่างที่กลัว ยกตัวอย่างเช่น กลัวแมลงสาป กลัวแมลงปอ กลัวแมลงวัน กลัวหนอน กลัวตุ๊กแก อย่างนี้เป็นต้น ใครกลัวตุ๊กแก ยกมือขึ้น? พยายามๆ ไปจับมันให้ได้นะ  แต่หมายถึงจับแบบปลอดภัยนะ  บางคนกลัวแมงมุม ต่างประเทศไม่ค่อยมีตุ๊กแก ก็พาไป ค่อยๆ ทีละนิดทีละหน่อย

            มีความกลัวอะไรต่างๆ มา เราต้องไปเรียนรู้หมดเลย แล้วเอาความจริงเหล่านั้น มาเปลี่ยนสถานการณ์ เปลี่ยนสถานการณ์ได้ไหม? เปลี่ยนให้เรามีความสุขได้ไหม? ไม่ได้ เปลี่ยนให้พระเจ้าตอบคำอธิษฐานของเราได้ไหม?  ตอบสิ ตามสติปัญญา ตามขบวนการเมื่อตะกี้เรารับรู้ความจริง เปลี่ยนได้ไหม? ไม่ได้

            คนป่วยคนนี้ จะพยายามเปลี่ยนได้ไหม จากที่หมอพยายามบอกเขา แล้วเขาเชื่อหมอ แต่ไม่เปลี่ยนความคิด ช่วยเขาไม่ได้  เขาอาจจะกินยาช่วยได้บ้าง แต่เขามาหยุดยา ก็กลัวอยู่เหมือนเดิม สิ่งที่เขาจะหายได้ เขาต้องยอมเผชิญกับมันทีละนิดทีละหน่อย  แล้วก็เปลี่ยนความคิดของเขาไปเรื่อยๆ ความจริงย่อมเป็นความจริง หนีไม่พ้น  ถ้าเราพยายามหนีความจริง เราก็กำลังฝืนความเป็นจริงเหล่านั้น  และเมื่อยิ่งฝืนไปเท่าไร ยิ่งเจ็บมากเท่านั้น เพราะว่ายิ่งปฏิเสธความจริง ก็แสดงว่าเรายังกลัวการเผชิญความจริง ความกลัวและความวิตกกังวลลึก ในความคิดนี้ ที่ไม่เปลี่ยน จะก่อให้เกิดความทุกข์ ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  ไม่มากก็น้อย  ก็ต้องเกิดความทุกข์ขึ้น  ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม ที่เราได้เรียนมาตั้งเยอะแยะ หลายตอนแล้ว อิสระจากความกลัว ความตายอย่างนี้  บางคนบอกว่าพูดถึงความตาย ไปเคาะ มันไม่เกิดๆ แล้วได้ไหม? มันเกิดไหมล่ะ เห็นไหม?

            “อย่าพูดๆ ถึงเรื่องความตาย อัปมงคล ไม่ดีๆ”

            พยายามหนีมันใช่ไหม?  ถ้าเรียนรู้จักว่ามันเกิดขึ้นแน่นอน แล้วจะเผชิญกับมันอย่างไร?  มันดีกว่า  หรือเราเรียนจากเรื่องอิสระจากความกลัว การพิพากษาหลังความตาย

            “ไม่อยากจะไปคิดมันเลย”

            ถึงจะไม่คิดอย่างไร? ความกลัวจากการพิพากษา หลังความตาย มันก็อยู่ในตัวเรา แล้วมันบั่นทอนชีวิตของเรา ขาดสันติสุข  เราเรียนรู้มันเลยดีไหมว่าหลังความตายเป็นอย่างไร? มาเรียนรู้ไปเรื่อยๆ เราก็จะพบแล้วว่ามีผู้เดียวที่พูดไว้หลังความตายว่าจะช่วยเหลือเราได้อย่างไร? เราจะรอดได้อย่างไร? มีพระเยซูผู้เดียวที่พูด …

            “นอกจากเรา ไม่มีทางอื่น ที่ท่านจะเข้าสวรรค์ ไปถึงพระบิดาได้”

            เพราะฉะนั้น การเผชิญความจริง  ทำให้เราเปลี่ยนแปลงความคิดใหม่ ยอมรับความจริงเหล่านั้น ชีวิตทุกข์น้อยลง  เพราะถ้าเราคอยหนีความจริงตลอด แทนที่จะยอมรับรู้ เตรียมพร้อมที่จะเผชิญและตั้งรับความจริงเหล่านี้ ด้วยสติปัญญาและด้วยความคิดใหม่ สันติสุข อิสระจากความกลัว ก็เป็นของเรา ความกลัวก็จะสิ้นไป หมดไป หายไป ลดน้อยลง

            มายอมรับรู้ความจริงเริ่มต้นกัน  เรื่องเกี่ยวกับความเจ็บป่วย ความจริงที่เราควรจะยอมรับรู้ ไม่ว่าอันเก่าที่เราคิดอยู่ จะถูกหลอกมาอย่างไรก็ตาม  ความจริงจากถ้อยคำพระเจ้าเหล่านี้  เราควรจะยอมรับรู้ ไม่ว่าเราจะกลัวขนาดไหนก็ตาม ความจริง ต้นเหตุของความเจ็บป่วย คืออะไร? เราถูกหลอกมาเยอะแยะ จนเรากลัวไปหมดแล้ว มาดูต้นเหตุของความเจ็บป่วยของมวลมนุษยชาติว่าพระเจ้าบอกไว้ว่าอย่างไร? ให้เราเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจเสียใหม่ ยกตัวอย่างเช่น ความคิดเดิม เราอาจจะบอกความเจ็บป่วยมาจากเวรกรรมของเราในอดีต ทำอะไรบาปไว้ จึงเกิดมะเร็งกับเรา  นี่คือความคิดเดิม ที่ทำให้เราเกิดความกลัว  พอเราเจ็บป่วยขึ้นมา เราก็คิดว่าไปทำกรรมอะไรไว้ อันโน้นอันนี้เยอะแยะไปหมด เรามาดูสิว่าพระเจ้าบอกความจริงเราอย่างไร?  แล้วเราควรจะเปลี่ยนแปลงความคิดของเราอย่างไร?

            ต้นเหตุของความเจ็บป่วย คือมวลมนุษย์ทั้งโลกตกลงไปในความบาป เป็นคนบาป ดำเนินชีวิตอยู่ภายใต้คำสาปแช่ง ซึ่งพระเจ้าได้ช่วยเหลือมนุษย์ พ้นจากคำสาปแช่งนี้ รอดจากคำสาปแช่งนี้แล้ว สำเร็จแล้ว ที่พระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน  ซึ่งความสำเร็จที่พระเยซูคริสต์กระทำ เกิดผลแล้ว สำเร็จแล้ว ในโลกวิญญาณก่อน  เราต้องแยกออกให้ชัดเจน  เราต้องรู้ อย่างที่บอกรู้ความจริงอันดับแรก ก็คือมนุษย์เป็นวิญญาณ อาศัยอยู่ในร่างกาย  เราไม่ยอมรับความจริงนี้ เราก็ไม่มีทางที่จะพบกับความรอดจากความกลัว อิสระจากความกลัวได้เลย

            ความจริงอันดับแรก อย่างที่บอกตั้งแต่ก่อนเริ่มต้นซีรี่ย์ ก็บอกว่าเรากำลังมาเริ่มต้นเรียนรู้โลกวิญญาณ ต้องยอมรับก่อนเลยว่ามนุษย์เรา ตัวเราเป็นวิญญาณและอาศัยอยู่ในร่างกายนี้ ถ้าไม่ยอมรับตรงนี้ ก็ไม่ต้องเรียนแล้ว ไม่มีประโยชน์ เริ่มต้นกระดุมเม็ดแรก ก็ไม่เอาแล้ว ไม่ยอมรับ รับแบบผิดๆ ไป ยิ่งเรียนต่อ มันยิ่งวุ่นวาย แต่ถ้ากระดุมเม็ดแรกถูก เดี๋ยวมันก็ค่อยๆ ถูกไปเรื่อยๆ มีโอกาสถูกเยอะ  เพราะว่าเริ่มต้นถูก เพราะฉะนั้น เริ่มต้นด้วยการยอมรับว่า …

            “ฉันเป็นวิญญาณ ตัวตนแท้จริงของฉันเป็นวิญญาณ แต่ฉันอาศัยอยู่ในร่างกายนี้ ชั่วคราวเท่านั้น”

            เพราะฉะนั้น ผลของความรอดที่พระเจ้าได้กระทำสำเร็จแล้วในพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขนนั้น มันเกิดผลในวิญญาณก่อน แล้วร่างกายวัตถุที่จับต้องมองเห็นได้ จะได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่ตามมาทีหลัง นี่คือความจริง เพราะฉะนั้น โลกใบนี้กำลังอยู่ในความพินาศ อยู่ในความสูญสิ้น กำลังจม โลกใบนี้ คือโลกวัตถุต่างๆ ที่มองเห็น  เหมือนเรือกำลังจม  พระเจ้ากู้เรือได้ไหม? กู้เรือ แต่ไม่ถึงเวลา กู้มนุษย์ไหม? กู้ กู้ทางวิญญาณก่อน แต่วัตถุรอเวลา

            เพราะฉะนั้น เราจึงเห็นว่าเรือกำลังแตกอยู่ กำลังจมอยู่ ก็คือทุกอย่างบนโลกใบนี้  ที่เรามองเห็นได้  ที่เป็นโลกวัตถุนี้ เหมือนเรือที่กำลังจม เป็นไปตามคำสาปแช่ง ซึ่งมนุษย์เป็นผู้ยินยอมรับเข้ามาเอง โดยอาดัม บรรพบุรุษของมนุษย์ เป็นผู้ยอมรับเอาคำสาปแช่งนี้ ทำให้คำสาปแช่งนี้เกิดขึ้นเอง ไม่ใช่พระเจ้าเป็นคนทำ ไม่ใช่พระเจ้าเป็นคนสาปแช่ง มนุษย์ทำเอง  เอาเข้ามาสู่ครอบครัวของตัวเอง สู่เผ่าพันธุ์ของตนเอง แล้วพระเจ้ามีหน้าที่อะไร? พระเจ้าเป็นผู้พิพากษา เป็นผู้ควบคุม ดูแลให้เป็นไปตามกฎของคำสาปแช่งนี้ ด้วยตาปริบๆ ไม่รู้จะทำอย่างไร? ก็ลูกเราเป็นคนเอาเข้ามาเอง เราเป็นผู้พิพากษา เราก็ต้องดูแลให้เป็นไปตามกฎ

            เพราะฉะนั้น ทุกสิ่งในโลกที่เป็นวัตถุ อ่านพระคัมภีร์หรือฟังคำบรรยาย พอพูดถึงในโลก  จงนึกถึงภาพร่างกายของเรา วัตถุสิ่งของ จับต้องมองเห็นได้ เขาเรียกว่าโลก แต่ในวิญญาณ พระคัมภีร์ใช้คำว่าวิญญาณภายใน เบื้องบน  ก็คือสวรรค์ นี่คือเรื่องเกี่ยวกับวิญญาณ  ถ้าวัตถุสิ่งของที่จับต้องมองเห็นได้ จะเรียกว่าโลก ทางโลก ฝ่ายโลก ทุกสิ่งในโลกจึงอยู่ภายใต้คำสาปแช่ง เห็นภาพออกแล้วนะ  อยู่ในกฎเกณฑ์ ภาษาพระคัมภีร์ใช้คำว่า “กฎเกณฑ์ของความบาปและความตาย, กฎเกณฑ์แห่งการพึ่งพาตนเอง” ภาษาไทยเรียกว่า “กฎแห่งการเกิด แก่ เจ็บ ตาย หนีไม่พ้น” คุ้นๆ ไหม? กฎแห่งการเกิด แก่ เจ็บ ตาย  ไม่มีใครหนีพ้น ตราบใดที่ยังมีลมหายใจอยู่บนโลกใบนี้ ซึ่งรวมทั้งคริสเตียนด้วย

            คริสเตียนดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ แม้วิญญาณเขาจะได้รับความรอด ตามพันธสัญญาเรียบร้อยแล้ว ตามถ้อยคำพระเจ้าที่เราได้เรียนรู้แล้ว อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าแล้ว แต่ร่างกายเขายังอยู่บนโลก ร่างกายของเขายังเป็นวัตถุสสาร จับต้องมองเห็นได้ ฉะนั้น อยู่ภายใต้คำสาปแช่ง  คือภายใต้กฎของการเกิด แก่ เจ็บ และตาย  เพียงแต่ว่าคริสเตียนพิเศษกว่าชาวบ้านเขา คือคริสเตียนอยู่ภายใต้กฎของคำสาปแช่งนี้ แต่วิญญาณของเขา มีพระเจ้าสถิตอยู่ด้วยภายใน ผ่านร่างเดิม อยู่บนโลกใบนี้  ภายใต้กฎแห่งความบาปและความตายบนโลกใบนี้  แต่วิญญาณเขาอยู่ในกฎแห่งชีวิต ในพระเยซูคริสต์ พอนึกภาพออกไหม?  พยายามอธิบายให้ละเอียด  เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนเรื่องความเจ็บป่วย ซึ่งมนุษย์ถูกหลอกตรงนี้เยอะมาก คริสเตียนก็ถูกหลอกในเรื่องนี้ด้วย สับสนในเรื่องนี้ว่า …

            “ทำไมเป็นคริสเตียนยังเจ็บป่วยอยู่ ไม่เจ็บป่วยได้ไหม? น้ำพระทัยพระเจ้าเป็นอย่างไร? ให้ชัดเจนเลยนะ”

            สำหรับคนที่เป็นคริสเตียน ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ภายใต้การเกิด แก่ เจ็บ และตาย แต่เมื่อเขาต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว เขารอดจากความตาย เขาจึงอยู่ภายใต้กฎของความเกิด แก่ เจ็บ ตายจึงเปลี่ยนเป็นหลับไป  เพราะว่าไม่ตายแล้ว มันได้รับร่างกายใหม่มาแทนที่ร่างกายที่สูญสิ้นไปนั่นเอง เราจึงเรียกว่าเกิด แก่ เจ็บ และหลับไป เปลี่ยนแปลงร่างกายใหม่ คือรับร่างกายใหม่ ร่างกายสวรรค์ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ เข้ามาแทนที่ นี่คือชีวิตของคริสเตียน ในโลกใบนี้ ซึ่งแตกต่างกับชีวิตของมนุษย์ทั่วๆ ไป ที่ยังไม่เปิดใจ ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  อยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตาย  กฎของการเกิด แก่ เจ็บ และตายและตายในที่สุด  คือ 2 ตายเลย คือเกิด แก่ เจ็บ ร่างกายตาย ร่างกายไม่มีวิญญาณ วิญญาณก็ตาย ถูกพิพากษานิรันดร์ ไม่มีพระเจ้านิรันดร์ อยู่ในความทุกข์ยากลำบากนิรันดร์ นี่คือทางของคนที่ไม่ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซู

            เห็นชัดแล้ว โอเค เรามาดูผลของความรอดในโลกฝ่ายวิญญาณก่อนว่าพระเจ้าพูดอย่างไรเกี่ยวกับผลของความรอดที่พระเยซูกระทำสำเร็จแล้ว บนไม้กางเขน  เกิดผลในโลกวิญญาณ พระคัมภีร์บันทึกไว้ในข้อพระคัมภีร์ตรงไหน? ว่ามันเป็นอย่างไร? ผลที่เกิดขึ้น จากความรอดที่พระเยซูคริสต์กระทำ ทางฝ่ายวิญญาณ วิญญาณเราเกิดอะไรขึ้นแล้วตอนนี้ในโลกวิญญาณ  เราที่เป็นวิญญาณ ที่เป็นตัวตนแท้จริงของเรา เมื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว มันเป็นอย่างไร? กำลังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้ มีสถานะเป็นอย่างไรบ้าง? ใครจะรู้ได้ เราก็มองไม่เห็น พระเจ้าเท่านั้นที่มาบอกความจริงกับเรา ในถ้อยคำของพระองค์ อยู่ในข้อนี้เลย  เอเฟซัส 1:3 …

        เอเฟซัส1:3  “สรรเสริญพระเจ้า พระบิดาของพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา ผู้ได้ประทานพระพรฝ่ายจิตวิญญาณนานัปการในพระคริสต์แก่เราทั้งหลายแล้วในสวรรคสถาน”

            ในวิญญาณ เราได้รับพรนานัปการ หมายถึงพรทุกอย่างเกี่ยวกับโลกวิญญาณ  เราได้รับเรียบร้อยแล้ว ในพระเยซูคริสต์ (ได้รับเมื่อไร?) ทันที ขณะดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้

            ในโลกวิญญาณ เราได้รับพระพร ได้รับการไถ่ในพระเยซูคริสต์ แบบครบถ้วนบริบูรณ์เรียบร้อยแล้ว  ก็คือวิญญาณเราเข้าไปอยู่ในสวรรค์ เป็นลูกของพระเจ้า สะอาด บริสุทธิ์ตามถ้อยคำพระเจ้าเรียบร้อยแล้วทุกอย่าง แต่ขณะเดียวกัน ในโลกวัตถุ ร่างกายของเรายังอยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตาย กฎแห่งการกระทำ กฎแห่งการเกิด แก่ เจ็บ และตาย สูญสิ้นไป นี่คือชีวิตของคริสเตียน ทางด้านวิญญาณ เราไม่ต้องไปแสวงหาอะไรแล้ว เราได้รับครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว จบหมด เรียบร้อยแล้ว  ไม่ต้องห่วงอะไรเลย ได้รับเมื่อไร? ทันที ไม่มีทางสูญเสียด้วย จบแล้ว เพียงแต่ร่างกายยังต้องคอย ต้องรอ

            โคโลสี 3:1-2 พระเจ้าจึงต้องการให้เรามองไปที่ไหนในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ควรจะมองไปที่ไหนลูกเอ๋ย เพื่อจะเปลี่ยนแปลงความคิดของเรา เพื่อจะให้เรามีความกล้าหาญ มีความเชื่อ มีสันติสุขมากที่สุด ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ แนะนำ สอนเรา ให้เรามองไปที่ไหน? …

        โคโลสี 3:1-2 “1 ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลายเป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว 2 ก็จงให้ใจของท่านจดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า จงให้ความคิดของท่านจดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก”

            “ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลายเป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว” ก็คือบังเกิดใหม่ในวิญญาณ วิญญาณท่านเกิดใหม่แล้ว ไม่ได้เป็นคนบาปแล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ก็จงให้ใจของท่านจดจ่ออยู่กับสิ่งที่อยู่เบื้องบน อย่างที่ตะกี้ผมบอก เบื้องบน ก็คือโลกวิญญาณ จดจ่อไปที่โลกวิญญาณ เดินไป มองไปเห็นแต่โลกวิญญาณ  จดจ่อ หมายถึงมีสมาธิ มีสติอยู่ตลอดเวลา มองไปที่โลกวิญญาณตลอดเวลา โลกวิญญาณที่ใครใหญ่? พระคริสต์ประทับที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า จงให้ความคิดของท่านจดจ่ออยู่กับวิญญาณ หรือสิ่งที่อยู่เบื้องบนนี้ หรือเรียกว่าสวรรค์ ที่ท่านอยู่นี้ และอยู่ตลอดไป  ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก เห็นไหมครับ? ไม่ได้มาจดจ่ออยู่ที่ความเจ็บป่วย ในร่างกายนี้ นี่เราพูดถึงเฉพาะวันนี้นะ ไม่ได้มาจดจ่อกับความสุขบนโลกใบนี้  ไม่ได้มาจดจ่ออยู่กับอะไรต่างๆ บนโลกใบนี้ มีก็ได้ ไม่มีก็ได้ ไม่สำคัญหรอก วิญญาณฉันอยู่กับพระเจ้าแล้วในสวรรค์ พระพรในฝ่ายวิญญาณเสร็จเรียบร้อยแล้ว ตามสัญญา พระเยซูคริสต์ได้กระทำที่ไม้กางเขน

            ส่วนโลกวัตถุในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ พระองค์สัญญาว่าอย่างไร? เมื่อตะกี้เราอ่านในเอเฟซัส 1:3 นั่นคือสัญญาของพระเจ้า ที่ให้เราเรียบร้อยแล้วในโลกวิญญาณ คือพรทุกอย่าง เอาไปหมดเลย เรียบร้อยแล้ว เช่น เป็นลูกพระเจ้า มีมรดก รอคอยร่างกายสวรรค์ ที่เป็นเหมือนพระเยซู ที่พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้ให้ นี่ก็ให้ไว้เรียบร้อยแล้ว จะได้ครอบครองร่วมกับพระเยซูคริสต์ หลังจากออกจากร่างนี้แล้ว ก็ให้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว จะได้ครอบครองโลกใหม่  สวรรค์ใหม่ ร่วมกับพระเยซูคริสต์ ก็ให้เรียบร้อยทั้งหมดแล้ว รอคอยเพียงอย่างเดียว คือร่างกายใหม่ และในร่างกายใหม่ที่รออยู่นี้ กำลังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ได้สัญญาอะไรไว้กับเราบ้าง เราจะได้รู้ไงว่าพระองค์ทรงสัญญาอะไรไว้กับเรา ในโลกฝ่ายวิญญาณ ให้เรามองไปที่โลกฝ่ายวิญญาณ พระองค์จัดเตรียมไว้หมดแล้ว ยิ้มแย้มแจ่มใส

            ในขณะที่เรากำลังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ พระองค์สัญญาอะไรกับเรา  ฮีบรู 13:5 คราวนี้ มาดูผลในความรอด ที่พระเยซูคริสต์ทำให้เรียบร้อยแล้ว ที่ไม้กางเขน ทางโลกวัตถุ คืออะไร? อยากรู้ไหม? เราจะได้รู้ เราจะได้ขอบคุณพระเจ้า นี่คือความจริง เราจะได้ดำเนินชีวิตบนโลกวัตถุนี้ เราได้สิ่งเหล่านี้แล้วเหมือนกัน ดูสิ มีอะไรอยู่ในนั้นบ้าง? มีการหายป่วย มีไหม? มีการอัศจรรย์ การหายโรคมีไหม? มีความมั่งคั่ง มีความร่ำรวยอยู่ในนั้นไหม? มีความสุขอยู่ในนั้นไหม? ลองดูสิว่าพระองค์สัญญาว่าอย่างไร? ข้อเดียวเท่านั้น อ่านดูก็รู้ทันที ผลของความรอดทางฝ่ายวัตถุ ที่พระองค์ทรงสัญญาไว้ว่าเมื่อมาเชื่อในพระองค์แล้ว บังเกิดใหม่แล้ว ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ โลกวัตถุ ท่านได้อันนี้แน่นอนเลย 100% ไม่อธิษฐานก็ได้ เหมือนในโลกวิญญาณ ท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ทางโลกวิญญาณท่านได้รับทันที ท่านรู้หรือไม่รู้ ท่านก็ได้  คือท่านบังเกิดใหม่ ท่านเป็นลูกของพระเจ้า ได้รับความรอดอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ในโลกวิญญาณแน่นอน 100% ได้ไปเลย เช่นเดียวกัน เมื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ในโลกวัตถุ พระเจ้าก็สัญญาว่าอันนี้ฉันได้แน่  ได้ไปเลย อะไร? …

        ฮีบรู 13:5 “จงให้อุปนิสัยและความประพฤติของท่าน ห่างไกลจากการรักเงิน และความโลภทั้งสิ้น จงพอใจในทุกสิ่ง ทุกสถานการณ์ที่มีอยู่และเป็นอยู่ ในขณะนี้ (ทั้งในโลกวิญญาณและโลกวัตถุนี้ จงเชื่อและวางใจในพระเจ้า)  เพราะพระเจ้าได้ตรัสว่า “เราจะไม่มีวันทอดทิ้งเจ้า (เหมือนเป็นลูกกำพร้า) เราจะไม่มีวันละทิ้งเจ้า (ปล่อยให้อยู่ตามลำพัง) เราจะไม่ทำให้เจ้าต้องผิดหวังอย่างแน่นอน”

            ได้ไปแล้ว 100% เลย ได้ทุกอย่างเลย อะไรล่ะ  พระเจ้าสัญญาว่าจะเข้ามาสถิตอยู่ด้วยกันกับเราตลอดเวลา พระเยซูคริสต์เข้ามาอยู่กับเรา  เราอยู่กับพระเยซูคริสต์ และซ่อนอยู่ในพระเจ้า พระวิญญาณเข้ามาปกคลุมเรา เป็นพี่เลี้ยงเรา เป็นพยานย้ำยืนยันกับเราว่าเราเป็นลูกของพระองค์ คอยจูงมือเราเดิน ผ่านความสุข ไม่ใช่  ผ่านอุปสรรคปัญหาทุกๆ อย่าง เดินผ่านหุบเขาเงามัจจุราช  ไปพร้อมๆ พระองค์ เอเมนไหม? นี่ไง ยอมรับไหม? กลัวไหมเดินผ่านหุบเขาเงามัจจุราช  กลัว ทำไมจะไม่กลัวล่ะ  แต่พระองค์กำลังบอกความจริง  เหมือนไหม? เหมือน CBT เหมือนการรักษาพฤติกรรมความคิดของคนป่วย  ที่ตะกี้เราเริ่มต้น จากความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ มันจำเป็นต้องเป็นอย่างนี้  ต้องรับรู้ความจริง จะหนีมันได้อย่างไร?  ในที่สุด เราก็ต้องยอมรับความจริงว่านี่คือความจริง …

            “จงพอใจในทุกสิ่ง ทุกสถานการณ์ที่มีอยู่ และเป็นอยู่”

            จงพอใจในทุกสถานการณ์ที่เป็นอยู่ และมีอยู่ ก็คือจงพอใจในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ซึ่งอยู่ภายใต้ความจริง คืออยู่ภายใต้คำสาปแช่ง อยู่ภายใต้การเกิด แก่ เจ็บ แต่ไม่ตาย  ล่วงหลับไป แล้วเปลี่ยนร่างใหม่ ใช่ไหม? แต่มันผ่านขบวนการเกิด แก่ เจ็บ แก่ คือการเสื่อมโทรม  ให้เราพึงพอใจในทุกสถานการณ์เหล่านี้  พึงพอใจ เพราะพระเจ้าได้ตรัสว่า …

            “เราจะไม่มีวันทอดทิ้งเจ้า เหมือนลูกกำพร้า  เราจะไม่มีวันละทิ้งเจ้า หรือปล่อยให้เจ้าอยู่ตามลำพัง เราจะไม่ทำให้เจ้าต้องผิดหวัง อย่างแน่นอน” … เราหวังอะไร? เราได้หมดเลย แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้

            ความจริงในเรื่องความเจ็บป่วย  จากถ้อยคำพระเจ้าเหล่านี้ ก็คือสิ่งที่มนุษย์ทุกๆ คนอยากได้  รวมทั้งคริสเตียนก็อยากได้ ก็คือสุขภาพแข็งแรง หายป่วย ใช่ไหม?  ในการดำเนินชีวิตบนโลกนี้ เราอยากจะหายป่วย ทุกคนก็อยากได้ ก็คืออยากจะแข็งแรง กลัวความเจ็บป่วย พยายามหนีความเจ็บป่วย  แล้วมันหนีได้ไหม? ไม่ได้  พอหนีไม่ได้ ก็พยายามแสวงหา พอมาเชื่อพระเจ้าปุ๊บ  ก็เกิดความคิดว่าพระเจ้าให้ได้ทุกอย่าง ตอนนี้เรารู้ความจริงแล้ว ก็อยากถามว่าสุขภาพแข็งแรง ไม่เจ็บป่วยเลย หายป่วย  เป็นส่วนหนึ่งของสัญญาในพระเยซูคริสต์ ที่กระทำสำเร็จแล้ว ที่ไม้กางเขนหรือไม่?

            เอาใหม่อีกที คิดตามนะ เพื่อจะได้เปลี่ยนแปลงความคิดของเรา อะไรที่ไม่ถูกจะได้เอามันออกไป เอาความคิดที่ถูกต้องตามหลักความจริงตามถ้อยคำพระเจ้าเข้ามาใส่แทนที่  เพื่อเราจะได้ขจัดความกลัวออกไป

            ถามว่าสุขภาพแข็งแรง การหายจากการเจ็บป่วย เป็นส่วนหนึ่งของสัญญาในพระเยซูคริสต์ที่พระองค์ทรงกระทำสำเร็จแล้วที่ไม้กางเขนหรือเปล่า? ไม่ใช่ บางคนบางความเชื่อสอนว่าพระเยซูได้แบกเอาความเจ็บป่วยของเราไปไว้ที่พระองค์บนไม้กางเขนแล้ว อ้างจากข้อความพระคัมภีร์ 1 เปโตร2:24-25 ซึ่งเดี๋ยวเราจะมาวิเคราะห์กัน ฉะนั้น ถ้าเราเชื่อพระเยซูคริสต์แล้ว  เป็นคริสเตียนแล้ว แล้วยังป่วยอยู่ ก็แสดงว่าความเชื่อไม่พอ ยิ่งเชื่อมาก ก็ยิ่งแข็งแรงมาก เขาเชื่ออย่างนั้น มันเป็นความจริงไหม? แล้วถ้าเราพยายามสร้างความเชื่อแล้ว  แต่ก็ยังป่วยอยู่อีก ก็เกิดการค้างคาใจว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมพระเจ้าไม่รักษา ทำไมๆๆๆๆ นี่เชื่อเต็มที่แล้ว ยังไม่เกิดเลย  เราก็สงสัยพระเจ้าว่า …

            “เราก็ทำเต็มที่แล้ว พระเจ้าก็ยังไม่รักษา ยังมีอะไรที่ยังไม่ได้ทำอีก”

            เราก็พยายามดิ้นรนๆ อ้อนวอนๆ พยายามฝืนๆ ฝืนความจริงว่ามันไม่ได้อยู่ในสัญญา  ที่พระเจ้าสัญญาไว้  พระองค์บอกดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ สัญญาแล้วจะอยู่กับเราเท่านั้น ที่เหลือไม่ได้สัญญา ในขณะที่บางครั้งบางคราวเราเห็นบางคน เกิดอัศจรรย์ หายโรคจริงๆ แต่เอ๊ะ ทำไมไม่เกิดขึ้นอย่างนี้ตลอดไป ตลอดเวลา  เราก็อยากได้ ยิ่งอยากได้มากเท่าไร?  เราก็ยิ่งพยายามเรียกร้องจากพระเจ้ามากๆ ถึงขนาด อดอาหารเยอะๆ อธิษฐานเยอะๆ เพื่อจะได้อัศจรรย์เหล่านั้น ให้พระเจ้าทำ พยายามเรียกคนมาเยอะๆ เรียกคนมาอธิษฐานจะได้สิ่งเหล่านั้น  พยายามทุกอย่างด้วยตัวเอง เพื่อจะได้สิ่งเหล่านั้นมา แล้วมันไม่ได้ เพราะมันฝืนความจริง  ก็ยิ่งสงสัยมากขึ้น เหมือนกับเด็กเล็กๆ ที่อยากได้ของจากพ่อแม่ แล้วเอาหัวไปโขกพื้น โขกๆ เพราะว่าเคยได้ เคยร้อง แล้วก็ให้ พ่อแม่ตามใจมากให้ คราวนี้อยากได้หมด ไม่มีวันหยุด  แล้วพ่อแม่ทำอย่างไร? ต้องให้หมดทุกอย่างไหม? ถ้าให้หมดทุกอย่าง วันหลัง เขาก็จะเอามีดมาจ่อคอเขา แล้วก็บอกว่า …

            “ถ้าไม่ให้ ฉันจะฆ่าตัวฉันเองให้ตาย”

            นึกภาพออกใช่ไหม? บ้านใครมีเด็กเล็กๆ จะชัด เรามาดูสิว่าในข้อพระคัมภีร์ที่บอก หมายถึงโลกวิญญาณ หรือผลในโลกวัตถุ ที่ตะกี้เราวิเคราะห์กันมาแล้ว 1 เปโตร 2:24-25 …

        1 เปโตร 2:24-25  “24 พระองค์เองทรงรับแบกบาปของเราทั้งหลายไว้ที่พระกาย บนไม้กางเขนนั้น  เพื่อเราจะได้ตายต่อบาปและมีชีวิตอยู่ เพื่อความชอบธรรม และด้วยบาดแผลของพระองค์ พวกท่านได้รับการรักษาให้หาย 25 เพราะพวกท่านเป็นเหมือนแกะที่พลัดหลงไป แต่บัดนี้ ได้กลับมาหาพระผู้เลี้ยง และพระผู้ทรงดูแลวิญญาณจิตของท่านแล้ว”

            การไถ่บาปที่เราอ่านเมื่อตะกี้นี้ เป็นการไถ่บาปในโลกวิญญาณ ไม่ใช่ไถ่บาปในโลกวัตถุ นึกภาพนะ กำลังพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ ไถ่วิญญาณของเรา ซึ่งเป็นคนบาป  ไม่ได้ไถ่เราออกจากประพฤติบาป ฟังให้ดีๆ  ไม่ได้ไถ่เราออกจากการกระทำบาป  ถ้าไถ่เราออกจากการกระทำบาป  จากทางโลกวัตถุ เมื่อเราเชื่อพระเยซู เราต้องไม่ทำบาปเลย  ถ้าเป็นความจริง  ถูกไหม? แต่นี่ไม่ใช่ นี่ไถ่เราออกจากการเป็นคนบาป ก็คือเป็นวิญญาณของเรา  เพราะฉะนั้น การหายจากโรคตรงนี้ ก็คือหายจากโรคทางวิญญาณ  ก็คือโรคบาป ทางวิญญาณ  หายจากการเป็นคนบาป  หายจากการเป็นคนชั่ว  มาเป็นคนดี  เป็นนะ หายจากการเป็นศัตรูกับพระเจ้า มาเป็นลูกของพระเจ้า  “เป็นศัตรูกับพระเจ้า” คือเข้ากับพระเจ้าไม่ได้  วิญญาณเป็นบาป สกปรก เข้ากับพระเจ้าไม่ได้ กลายมาเป็นลูกของพระเจ้า เข้ากับพระเจ้าได้แล้ว  หายจากความพินาศในนรก มาอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้า เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นฝ่ายวิญญาณเบื้องบน ซึ่งพระคัมภีร์บอกว่าให้เราจดจ่ออยู่ตรงนี้ จดจ่อที่วิญญาณตรงนี้  ไม่ใช่ให้เรามาจดจ่อว่าหายจากโรคมะเร็ง หายจากโรคหัวใจ โรควัณโรค หายจากโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ บนโลกใบนี้ ที่เป็นฝ่ายโลก  พระเจ้าบอกว่าให้เราวางใจในพระองค์ว่าพระองค์ทรงอยู่ด้วย  ถ้าเป็นมะเร็ง พระองค์ก็ทรงอยู่ด้วย จะรักษาให้เราหายอย่างไร? ก็แล้วแต่พระองค์ ตามน้ำพระทัย แต่พระองค์ทรงสัญญาว่าพระองค์ทรงอยู่ด้วย พระองค์ไม่ได้สัญญาว่าจะรักษาเราหายจากมะเร็ง  หายจากเบาหวาน หายจากโรคหัวใจอย่างอัศจรรย์เปล่าเลย แต่พระองค์ทรงบอกว่าขณะที่เราป่วยอยู่นั้น ซึ่งป่วยเป็นธรรมดา ตามกฎเกณฑ์ของโลกใบนี้  พระองค์อยู่กับเราด้วย เอเมน  ไม่ทิ้งเราไปไหนเลย เอเมนไหม?  บางคนไม่กล้าเอเมน กลัวว่าจะป่วย ถึงจะเอเมนหรือไม่เอเมน ก็ต้องป่วย  บางคนรีบเคาะใหญ่เลย  เคาะให้ตาย สักวันหนึ่งมันต้องล่วงหลับ ต่อให้ไม่ล่วงหลับจากการเจ็บไข้ได้ป่วย  บอกว่าเกิดอุบัติเหตุตายก็ได้  ก่อนเกิดอุบัติเหตุก็ป่วยอยู่แล้วล่ะ  แต่ป่วยแบบมีอาการรู้หรือไม่เท่านั้นเอง มันทนอยู่ได้หรือไม่เท่านั้นเอง มันป่วยตั้งแต่เริ่มต้นคลอดออกมา  ตั้งแต่อยูในครรภ์มารดา ก็ป่วยแล้ว  เพราะคำสาปแช่งมันอยู่ในนั้น  อย่างนี้เป็นต้น

            เพราะฉะนั้น การจะหายโรคอย่างอัศจรรย์หรือไม่ มันขึ้นอยู่กับพระเจ้า  เพราะพระองค์ทรงสัญญาของความรอดทางวิญญาณ  อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ให้กับเราเรียบร้อยแล้ว แต่ในฝ่ายวัตถุ ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  ต้องจำให้แม่นๆ เลย พระองค์ทรงสัญญาอย่างเดียวเท่านั้นเอง คือ 3 พระภาคจะไม่ทอดทิ้งเรา อยู่กับเราตลอดเวลา ให้เราจดจ่อไปตรงนี้ และทำการพึงพอใจในทุกสถานการณ์  ไม่ว่ามันจะหายจากมะเร็งหรือไม่หาย  มันจะหายอย่างอัศจรรย์หรือไม่หาย มันจะหายจากการไปหาหมอทำคีโมหรือไม่ มันจะหายไปนิดหนึ่ง หรือไม่หาย มันจะอยู่ไปอีกกี่ปี  ในที่สุด เราก็จะต้องสิ้นสุดชีวิตลง  และรับร่างกายใหม่ เตรียมไว้แล้วในสวรรคสถาน อยู่กับพระองค์นิรันดร์ตามที่พระองค์ทรงสัญญาไว้ในโลกฝ่ายวิญญาณ เอเมน

            ต้องยอมรับ ต้องกล้า ไม่อย่างนั้น เราไม่กล้าที่จะเผชิญ ไม่กล้าที่จะรู้ความจริง รู้ความจริง ทำให้ความหวังหมด ใครบอกเรา  ความหวังนั้นควรจะหมดไป เพราะเป็นความหวังลมๆ แล้งๆ  เป็นความหวังที่ถูกหลอก  เคยเห็นคนถูกหลอกไหม?  ที่คนโทรศัพท์มา หลอกให้ลงทุน  มันของปลอม มันไม่ใช่ของจริง  ไม่ใช่พระเยซูโทรมา มันใช้เพจเจอร์ของพระเยซู ทำหน้าเหมือนเลย เสียงก็เหมือนด้วย แต่จริงๆ ไม่ใช่ เป็นตัวปลอม แล้วมาเชื้อเชิญ ชักชวนเรา แล้วบอกว่าจะได้กำไรเยอะแยะ ให้เราลงทุน ค่อยๆ ผ่อนเดือนละหมื่น สิ้นปี คุณจะได้สิบล้าน มันหลอกเรา แล้วเราก็จ่ายไปๆ แล้วเราก็มีความหวัง สิ้นปีได้ 10 ล้าน มันหลอก พอถึงสิ้นปี มันทุกข์กว่าเก่าอีก  มันไม่ได้อะไรเลยสักนิดหนึ่ง  เช่นเดียวกันนั่นแหละ มันหลอกเราว่ามาเชื่อพระเจ้า บนโลกใบนี้ เราต้องได้อันนั้น อันนี้  ฟังดูดีไหม? ดี อยากได้ไหม? อยากได้  แต่มันหลอกเรา มันไม่จริง มันไม่แน่นอน บางคนอาจจะได้ บางคนอาจจะไม่ได้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเรา แล้วก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับใคร? ขึ้นอยู่กับพระเจ้า พระองค์ทรงตัดสินเอง พระองค์ทรงรู้วิธีต่างๆ เหล่านั้นว่าสมควรเป็นเช่นไร? และพระองค์ต้องปล่อยให้เป็นไปตามกฎด้วย  และกฎนั้น ก็คือกฎของความบาปและความตาย  และคำสาปแช่งที่อยู่บนโลกใบนี้ ซึ่งพระองค์เป็นผู้ดูแลเอง เรากินอาหารไม่ดีเอง เราทำอะไรไม่ดีเอง  เราขับรถเร็วเอง มันเกิดอุบัติเหตุขึ้นมา เราจะไปอ้างใครล่ะ พระเจ้าต้องการให้เกิดหรือ? ไม่ใช่ แล้วใครต้องการให้เกิด เราต้องการให้เกิดหรือ? เราก็ไม่ใช่ แต่เราอยู่ใต้กฎของความบาปและความตาย

            มันอาจจะเป็นความผิด ความรับผิดชอบของคนอื่น มือที่ 3 ยกตัวอย่างเช่น คนเขาเผาป่า แล้วเราป่วยเป็นภูมิแพ้ เราจะไปบอกพระเจ้าทำหรือ? ไม่ใช่ เราทำหรือ? ก็ไม่ใช่อีก แล้วใคร? ก็มือที่ 3 ทำ ใครก็ไม่รู้ ก็คนที่เขาเกิดความกลัว ความโลภ อยากไปหาเห็ด อยากไปทำไร่ไถนา แบบไม่ลงทุน หรืออะไรต่างๆ เหล่านั้น ไปเผา หรือคนที่เขารู้เท่าไม่ถึงการณ์ เขาอยู่ในความบาป  เหมือนกับเราอยู่ในโลกใบนี้  เหมือนกัน อยู่ในความวุ่นวาย คำสาปแช่งในโลกใบนี้ เขาก็ทำผิด ทำพลาด เกิดผลมาถึงเราด้วย ทำให้ชีวิตเราเกิดความป่วยไข้ขึ้นมา นึกออกไหม? แล้วจะไปอ้างว่าพระเจ้าทำ ไม่ใช่ พระเจ้าอยู่ฝ่ายเราเสมอ อยากให้เราได้ดีที่สุด  แต่อยู่บนโลกใบนี้ พระองค์ต้องดูแลกฎต่างๆ ให้มันเป็นไปตามกฎ แต่พระองค์บอกว่าพระองค์จะอยู่กับเรา ไม่ว่ามันจะเกิดขึ้นกับเรา  เพราะว่าเราเป็นคนทำ หรือคนอื่นเป็นคนทำ  หรือโลกใบนี้ ธรรมชาติเป็นตัวทำเอง เพราะว่าธรรมชาติตกไปในคำสาปแช่งแล้วก็ตาม  พระเจ้าก็จะอยู่ข้างเรา อยู่ฝ่ายเรา ช่วยเราเสมอ ถ้าพระองค์ทรงทำได้ พระองค์ทรงทำ  อัศจรรย์พระองค์ก็ทำ เราไม่รู้ แต่พระองค์ทรงสัญญาว่าจะอยู่กับเรา ให้เราวางใจในพระองค์ นี่ชัดเจนเลย

            อันตราย ก็คือสิ่งที่เราเชื่อผิดๆ ความคิดที่ถูกหลอก หวังในสิ่งที่ไม่เป็นจริง หวังในสิ่งที่ถูกหลอกเหล่านั้น  เป็นความหวังที่ลมๆ แล้งๆ มันอันตรายด้วย 2 ต่อ ยิ่งถูกทำลาย เมื่อถูกทำลาย เราก็นึกว่าพระเจ้าทำไมเป็นอย่างนี้ เสียชื่อพระเจ้าอีกต่างหาก อันตรายที่ผมเคยเห็น คือพอตั้งความหวังไว้ที่ผิดๆ ยิ่งทุกข์หนักขึ้น

            ยกตัวอย่างบางคน นี่ประสบการณ์ในชีวิตที่ผ่านมาเห็นกับตา ผ่านมากับมือเลย บางคนเป็นโรคความดัน พอมาเชื่อพระเจ้า ทิ้งยาหมดเลย ไม่ดูแลสุขภาพของเขาเลย แล้วเกิดอะไรขึ้น ก็อย่างที่บอก ใช้ความเชื่อๆ ในที่สุด มันก็เลวร้ายกว่าที่เขากินยาอีก พระเจ้าก็รักษาผ่านทางหมอ ทางยา ทางอะไรต่างๆ มิได้หมายถึงว่าทุกคนต้องไปหาหมอ ไม่ได้หมายถึงอย่างนั้น  แต่กำลังยกตัวอย่าง 1 ราย

            หรืออีกรายหนึ่งเป็นโรคเบาหวาน ก็ค่อยๆ งดกินยา  แล้วก็ใช้ความเชื่อ ให้เขาอธิษฐาน แรกๆ ก็ดูเหมือนดีขึ้น แล้วก็เริ่มปล่อยตัว เริ่มไม่ควบคุมอาหาร ตามที่หมอบอก  แล้วในที่สุด ก็ช็อค

            อะไรอย่างนี้ เราเคยได้ยินบ่อยๆ  สิ่งเหล่านี้ มันเกิดจากความหวัง จากควาคิดผิดในถ้อยคำ คำหลอกลวง ซึ่งอยู่ตรงกันข้ามกับความจริงของถ้อยคำพระเจ้า ซึ่งเกิดเป็นภัยต่อผู้เชื่อต่างๆ ความเชื่อของเราที่เป็นจริงในพระเยซูคริสต์ว่าเราได้รับความรอดแล้วทางฝ่ายวิญญาณ หมดเรียบร้อยแล้ว ทางโลกวัตถุให้เรารอก่อน รออะไร? รอร่างกายใหม่ ที่พระเจ้าทรงเตรียมไว้ อันนี้หายโรค 100% เฉียบขาดเลย หายแบบเที่ยวเดียว เกลี้ยงเลย  ก็คือเปลี่ยนร่างให้เราใหม่ เป็นร่างกายที่สะอาด หมดจดบริสุทธิ์ พร้อมเหมือนพระเยซู เต็มด้วยสง่าราศี  เหมือนพระเยซูคริสต์เลย …

            “รออีกนิดเดียวลูกเอ๋ย  รออีกหน่อยนึงนะ อดทนหน่อย ตอนนี้พ่อกำลังดูแลเจ้าอยู่ กำลังโอบกอดเจ้าอยู่ เดินไปด้วยกัน อีกนิดเดียวๆ ไปสู่ชัยชนะนิรันดร์  เพราะฉะนั้น ไม่ต้องกลัว เผชิญไปกับพ่อด้วย  พ่อจะจูงมือเจ้าเดินเอง เมื่อความเจ็บป่วยเข้ามา  ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่”

            นึกถึงภาพว่าพระองค์กำลังสอนเรา กำลังรักษาเราให้หายจากพฤติกรรมความกลัว ความเจ็บป่วย เราไม่กลัวตายแล้วตอนนี้ เราเรียนรู้ไปแล้วเมื่อตอนที่แล้ว  เราเป็นอิสระแล้ว แต่ตอนนี้ เราจะเป็นอิสระจากความกลัวก่อนตาย ก่อนจะล่วงหลับ  คือกลัวความเจ็บป่วย ซึ่งต้องเผชิญ เดินเข้าไปหามัน  แล้วก็ไปกับพระเยซู ไปกับพระเจ้า อันนี้จะช่วยทุเลา ให้เรามีสันติสุขและดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้อย่างทุกข์น้อยลงมากกว่า พระเจ้าอวยพรครับ

********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            คริสเตียนอาจถูกเข้าใจผิดว่าล้มเลิกศาสนา และบทบัญญัติเดิม ที่เคยยึดถือ

            แท้จริงเรายึดถือ เคารพให้ความสำคัญกับกฎบัญญัติในศาสนา กฎศีลธรรม ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่วมาก ไม่เพิกเฉย ละเลยในการพยายามประพฤติ ปฏิบัติตามทุกข้อ ทุกอย่าง แม้ข้อเล็กน้อยที่ศาสนาได้บอกว่าดี ให้ทำ และภายในจิตใจเราก็เห็นว่าดีด้วย

            แต่ด้วยพลังอำนาจของกิเลสตัณหา มันทำให้เราไม่สามารถที่จะทำดีได้ ตามที่ศาสนาต้องการ และจิตใจเราก็เห็นด้วย และอยากจะเชื่อฟังทำตาม

            ทุกครั้งที่เรากระทำชั่ว ผิดศีลธรรมอันดีงาม ซึ่งเราไม่อยาก ไม่ต้องการที่จะกระทำแม้เป็นเพียงข้อเล็กน้อยก็ตาม เราก็รู้สึกทรมาน ทุกข์ใจ อยากจะแก้ไขให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น

            แต่ยิ่งพยายามให้ความสำคัญมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้ว่าเราไม่มีความสามารถ ไม่มีทางที่จะรักษาบทบัญญัติ กฎศีลธรรม ที่ระบุไว้ในศาสนา และในใจของเราให้ครบถ้วนบริบูรณ์ ไม่ผิดเลยแม้แต่เรื่องเล็กน้อยก็ตาม

            เราจึงรู้ว่าเราไม่มีทางที่จะไปสวรรค์   ตามที่หวังไว้หลังความตายได้เลย เพราะเราเชื่อถือเคารพอย่างมากในกฎศาสนาที่ได้ระบุไว้ และเราก็เห็นด้วยว่าเป็นจริง และเป็นจริงในสากลโลก คือกฎแห่งกรรม ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว

            ซึ่งเรารู้อยู่แก่ใจว่าเราได้ทำผิด ทำชั่ว ทำบาปไม่รู้กี่ครั้งในชีวิต เรายอมรับอย่างสุดใจเลยว่าเราต้องชดใช้หนี้บาปเวรกรรมที่เราได้ทำ ไม่ว่ามากหรือน้อยนี้แน่นอน เราจึงสิ้นหวัง

            เราไม่เพิกเฉยละเลยต่อกฎหมายฝ่ายวิญญาณ คือกฎแห่งกรรมนี้ โดยอ้างว่าเราทำดีมากกว่าคนอื่นๆ ตั้งเยอะ ทำชั่วทำบาปแค่นิดหน่อยเท่านั้น

            แสดงว่าเราได้ให้ความเคารพศาสนา เคารพนับถือต่อกฎหมาย คือกฎแห่งกรรมนี้อย่างเคร่งครัด อย่างละเอียดมากใช่หรือไม่?

            ใครหนอสามารถช่วยเราให้พ้นจากบ่วงกรรมนี้ได้?

            ใครหนอสามารถช่วยเราให้เข้าสวรรค์ได้?

            มัทธิว 5:11 … “พระเยซูคริสต์ตรัสว่า … ความสุข (พระพรทางวิญญาณ) มีแก่ท่าน เมื่อคนทั้งหลายสบประมาท ข่มเหง และใส่ร้ายป้ายสีท่าน เพราะเรา”

            ผู้ที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดจากบาปเวรกรรมนั้น ได้รับการบังเกิดใหม่ในวิญญาณในพระเยซูคริสต์  ก็ได้เข้าร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันทางวิญญาณกับพระองค์ ได้เข้าไปอยู่ในสวรรค์เรียบร้อยแล้วในโลกวิญญาณ

            พระเยซูบอกว่า “เขาข่มเหงเราอย่างไร เขาก็จะข่มเหงท่านอย่างนั้นเหมือนกัน เพราะท่านกับเราเป็นหนึ่งเดียวกันในโลกวิญญาณแล้ว เมื่อท่านเข้าสู่สวรรค์”

            พระเยซูถูกกล่าวหา ถูกใส่ร้ายป้ายสีว่ามาล้มเลิกศาสนา และบทบัญญัติในศาสนา แล้วท่านล่ะคริสเตียนทั้งหลาย! ถูกกล่าวหาว่าล้มเลิก ไม่ให้ความสำคัญกับความประพฤติอันดีตามกฎศีลธรรมในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้แล้วหรือยัง?

            เช่นเขาจะกล่าวหาท่านว่า “เอะอะ อะไรๆ ก็อ้างพระคุณ รอดแล้วรอดเลย! ความประพฤติบนโลกใบนี้ไม่เกี่ยวกับผลของความรอดทางด้านวิญญาณ เพราะที่ท่านรอดก็รอดด้วยพระคุณของพระเจ้า ไม่ใช่ด้วยความประพฤติของท่าน” (เอเฟซัส 2:8-9)

            โรม 6:1-2 …  “1 เราจะว่าอย่างไรในเรื่องพระคุณพระเจ้านี้? เราจะยังคงทำบาปต่อไป เพราะรู้แล้วว่า พระคุณมากมาย สามารถปกคลุมไปถึงอย่างนั้นหรือ? 2 มันเป็นไปไม่ได้แน่นอน เราได้ตายต่อบาปแล้ว เรายังคงอาศัยอยู่ในบาปต่อไปได้อย่างไร? (วิญญาณของเราไม่ได้ตายอยู่ในบาปในอาดัมแล้ว)”

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1442

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  12  พฤศจิกายน  2023

เรื่อง “อิสระจากความกลัวทั้งปวง (เพราะพระองค์ทรงอยู่)”

ตอน 3 “อิสระจากความกลัวการสูญเสียความรอด”

โดย  นคร  เวชสุภาพร

            วันนี้ก็มาต่อซีรี่ย์ “อิสระจากความกลัวทั้งปวง (เพราะพระองค์ทรงอยู่)” หมายถึงพระคริสต์ทรงอยู่ วันนี้ ตอนที่ 3 ในซีรี่ย์นี้ ให้ชื่อเรื่องว่า “อิสระจากความกลัวการสูญเสียความรอด”

            ปกติแล้ว ความกลัว สำหรับคนทั่วๆ ไปบนโลกใบนี้ ซึ่งรวมทั้งคริสเตียนด้วย  หมายถึงคนทั้งโลก เขากลัวอะไรกัน ในขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  ลองคิดสิ ท่านกลัวอะไรบ้าง? ที่เราเห็นกันบ่อยๆ หรือเผชิญกันอยู่ทุกวันนี้ เรารู้ว่าเรากำลังกลัวอะไร?  เช่น กลัวความเจ็บป่วย  กลัวความยากจน  กลัวการทำมาหากิน  กลัวความขาดแคลน กลัวอุบัติเหตุ อะไรที่เกิดขึ้นในอนาคตที่เราไม่รู้ ควบคุมไม่ได้  นี่เราก็กลัว  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่เรารัก  กลัวจะไม่มีคนยอมรับเรา อันนี้มันอยู่ข้างในใจของเราทุกคน  ความกลัวจะถูกปฏิเสธว่าเราเป็นอย่างนั้น คนนั้นชี้นิ้วอย่างนี้  อย่างนั้น กลัว ถึงขนาดบางคนก็กลัวในการพูดในที่สาธารณะ เพราะข้างในไม่มั่นใจในตัวเอง ไม่กล้า เรียกว่ากลัวนั่นเอง  กลัวการพูดต่อหน้าชุมชน กลัวไปหมด หนักกว่านั้น กลัวความวิตก กลัวว่าจะกังวล คือเขาเรียกว่ากังวล ซ่อนกังวล  นี่เป็นโรคชนิดหนึ่ง  มันอยู่บนโลกใบนี้แหละ อีกอันหนึ่ง ก็คือกลัวว่าจะกลัว มีด้วยนะ และสุดท้าย ก็คือกลัวว่าจะนอนไม่หลับ ทั้งๆ ที่หลับไหม? แต่ก็กลัวว่าจะนอนไม่หลับ  นี่ก็แปลก

            แต่ความกลัวที่กำลังจะพูดถึง ในวันนี้ ที่เป็นหัวข้อเรื่อง ที่จะเกิดกับ คริสเตียนผู้เชื่อ ที่ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้วเท่านั้น เพิ่มขึ้นจากเมื่อตะกี้นี้ ทั่วๆ ไป ก็กลัวขนาดนั้น คริสเตียนอยู่ในโลกใบนี้ ก็จะอยู่ท่ามกลางความกลัวแบบนั้น เหมือนกัน  แต่คริสเตียนได้รับความรอดแล้ว เพิ่มไปอีกอย่างหนึ่ง  ก็คือเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว ได้รับความรอดแล้ว กลัวสูญเสียความรอด

            คิดในใจสิว่าใครที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว ยังมีความกลัวตรงนี้อยู่ คิดดูนะว่าเขากำลังพูดถึงเราหรือเปล่า? คือหลังจากเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว ได้รับความรอดแล้ว แต่ลึกๆ ในใจ ก็ยังมีความกลัวอยู่ว่าจะสูญเสียความรอดนี้ไปหรือไม่?  ก็เพราะว่ามีการเข้าใจผิดกันเรื่องข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ข่าวดีของพระเจ้า เกี่ยวกับถ้อยคำพระเจ้า ถึงเรื่องความรอดนิรันดร์ที่พระเยซูคริสต์ประทานให้ สำหรับผู้ที่เปิดใจต้อนรับพระองค์ ยังมีความเข้าใจผิดตรงนี้ แล้วก็สอนกันต่อๆ มาว่ามาเชื่อพระเจ้าแล้ว ต้องอยู่ในทางพระเจ้านะ พอเปิดใจปุ๊บ ก็เริ่มต้นฟังถ้อยคำพระเจ้า ก็จะมีคนสอน  และส่วนใหญ่ ก็จะสอนอย่างนี้แหละ เชื่อแล้ว

            “ต้องรักษาความเชื่อนั้นให้ดีนะ”

            “ต้องอยู่ในทางของพระเจ้านะ”

            “ต้องระวังรักษาความประพฤติให้ดีนะ รักษาความรอดให้ดี อย่าให้สูญเสียความรอดไปนะ”

            คุ้นๆ นะ ไม่ว่าจะมากหรือน้อย เราได้ยินบ่อยๆ คำพูดเหล่านี้แหละ ที่ทำให้คริสเตียนเกิดความกลัวสะสม ตั้งแต่วันแรกที่เปิดใจต้อนรับพระเยซู กลัวว่าจะสูญเสียความรอดที่ได้รับมา ปิติยินดีแค่ไม่กี่วัน อ้าว! ดำเนินชีวิตเริ่มต้นคริสเตียน ด้วยความกลัวว่าพระเจ้ากำลังเริ่มต้น ถือไม้ เดินตามเรา คอยฟาด คอยตีเรา  เราต้องระมัดระวังตัวให้ดี  ประพฤติตัวให้ดี ไม่อย่างนั้น ถูกตี ต้องรักษาความเชื่อด้วยตัวเอง ที่ได้รับมาแล้วนั้น อย่างขะมักเขม่นและระมัดระวัง (เป็นพิเศษ) เราจะได้ยินอย่างนี้บ่อยๆ บนธรรมาส ในการบรรยาย ถ้อยคำพระเจ้า ไม่ว่าจะมากหรือน้อย จะมีอย่างนี้แทรกเข้ามาอยู่เรื่อยๆ ว่า …

            “ท่านต้องระวังให้ดี ท่านต้องรับผิดชอบ”

            อาการเป็นอย่างไร? ลองดูสิว่าเป็นอย่างที่เราเคยเจอไหม? ใครที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ได้รับความรอดมานานๆ แล้ว ลองนึกย้อนไปถึงวันแรกๆ ท่านเริ่มต้นเชื่อ อาการตอนเริ่มต้นเชื่อเป็นอย่างไร? น้ำหูน้ำตาไหล วันนั้น วินาทีนั้น …

            “ขอบคุณพระเจ้า ฉันเป็นคนบาป ได้รับความรอด พระเจ้าเป็นความรัก เป็นความยินดี”

            ดีใจมากเลย  ไม่มีความกลัวอะไรเลยสักนิดหนึ่ง  ได้เป็นลูกของพระเจ้าด้วย  ขอบคุณพระเจ้า นี่คืออาการเริ่มต้น เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ยินดีมาก  แต่หลังจากนั้น 1 วันผ่านไป  2 วันผ่านไป  1 อาทิตย์ผ่านไป  2 อาทิตย์ผ่านไป  3 เดือนผ่านไป  4 เดือนผ่านไป 1 ปีผ่านไป  ได้ยิน ได้ฟังถ้อยคำพระเจ้า ได้ยินได้ฟังผู้คนพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับคริสเตียน ได้ยินได้ฟังผู้คนสอนแนะนำให้เราทำอะไรบ้าง?  อาการหลังจากเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ที่ชื่นชมยินดีมากนั้น นับวัน มันยิ่งเพิ่มความวิตกกังวลขึ้นมา จริงหรือไม่?  หายไปแล้ว กลายเป็นความวิตกกังวลแทน กลายเป็นว่าเอ๊ะ! เราทำอะไรผิดพลาดไปหรือเปล่า? เราจะสูญเสียความรอดไหม? กลัวว่าสุดท้ายแล้ว ล่วงหลับไป หรือเขาเรียกว่าตายไป ความรอดจะคงอยู่ เหลือเท่าไร? หรือเหลือไหม? พระเยซูจะคายเราทิ้งหรือเปล่า?  จะลดลงไปมากน้อยเท่าไร?  ยิ่งเชื่อมากเท่าไร? ยิ่งเดินทางกับพระเจ้ามากเท่าไร?  ยิ่งกลัวว่าวันหนึ่งที่เราจากโลกนี้ไป กลายเป็นกลัวพระเจ้า  กลัวอะไร? เรารู้ เราเป็นอิสระแล้ว  อาจจะเป็นอิสระแล้วในความคิด  จากความกลัวตาย จากความกลัวการพิพากษาหลังความตาย เราได้รับความรอด  เราเชื่อตรงนั้น แต่เรามีความกังวลว่าเราต้องอยู่ต่อหน้าการพิพากษา เหมือนกับคนที่ไม่เชื่อ  แต่เราต้องถูกพิพากษาในฐานะผู้เชื่อ นึกให้ดีๆ จะต้องมีการพิพากษาคนที่เป็นคริสเตียนด้วย แล้วเราจะเป็นอย่างไร? เราจะถูกพิพากษาขนาดไหน?  เราต้องรักษาขนาดไหน? เรายังทำไม่ถูกต้อง ยังทำไม่ดีงาม หลายเรื่อง หลายอย่างเลย  เราจะเหลือความรอดไปเจอพระเจ้าเท่าไร?

            บางคนหนักกว่านั้นอีก ไม่กล้าเจอพระเจ้าเลย ตัวสั่น คือคิดตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้แล้วว่าเมื่อล่วงหลับไป ไปเจอพระเจ้า แทนที่จะปิติยินดี  ดีใจตามถ้อยคำพระเจ้า แต่กลับกลัวว่าจะเจอพระเยซู พระเยซูจะคายเราทิ้งหรือเปล่า? หรือกำลังจะบอกว่า …

            “อ๋อ! มาแล้วหรือ? ไปๆ เข้าสวรรค์ไปเลย ไหนๆ ก็มาแล้ว ไปไกลๆ”             มีความรู้สึกอย่างนี้จริงๆ

            เหมือนกับอะไรรู้ไหม? ผมนึกถึงภาพ  เหมือนเราเริ่มเชื่อในความรอด สมมติเหมือนน้ำในแก้ว  นี่คือความรอด ความรอดคืออะไร?  คือรอดจากการถูกพิพากษา เราเป็นลูกของพระเจ้า เราเป็นผู้ชอบธรรม เราสะอาดบริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว  เราอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า พระบิดา เดี๋ยวนี้และตลอดไป เป็นนิจนิรันดร์ นี่พอสังเขป

            น้ำในแก้วนี้คือความรอด ที่เราได้รับมาจากพระเจ้า สมมติว่าน้ำเต็มแก้วเราได้รับมาตอนที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงสัญญาไว้แล้ว เปิดใจต้อนรับปุ๊บ เราได้รับความรอดมาแล้ว  เต็มแก้วแล้ว จากนี้ดำเนินชีวิตต่อไป จนกระทั่งถึงวันหนึ่ง  เราจากโลกนี้ไป สู่อ้อมกอดพระเจ้า อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ แต่ต้องรักษาน้ำแก้วนี้ไว้ให้ดีๆ นึกภาพนะ? แล้วปรากฏว่าเราถูกสอนให้รับผิดชอบในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ในการดูแลน้ำในแก้วนี้ อย่าให้มันหก หรือพร่องแม้แต่หยดเดียว ไม่ได้ เราก็รับมาวันแรก เริ่มต้นรับเชื่อ เดินไป  หกนี่ หกนั่น ระวัง อย่าให้หก เดี๋ยวก็หมดหรอก  โกหกบ้าง อิจฉาเขาบ้าง อธิษฐานก็น้อย มาโบสถ์ก็ไม่ค่อยได้มา ศึกษาถ้อยคำพระเจ้าก็ไม่เคยศึกษา หงุดหงิดก็หงุดหงิด อะไรหลายอย่างที่เขาชี้มา  ประกาศก็ไม่ประกาศ  ไม่เห็นได้เรื่องสักอย่าง ยิ่งดำเนินชีวิตเป็นปีๆ  เป็นคริสเตียนหลายๆ  ปี ยิ่งหนักใหญ่เลย อันนั้นก็ไม่ดี อันนี้ก็ไม่ดี รู้สึกเราไม่ดีเลย ปรากฏน้ำในแก้ว ความคิดของเรานะ น้ำในแก้วมันลดลงไปเรื่อยๆ แล้วก็คิดในใจว่าถึงวันที่เราล่วงหลับไป สุดท้าย มันจะเหลือน้ำในแก้วสักเท่าไรหนอ?  น้ำในแก้ว เล็งถึงความรอด

            แต่ในพระคัมภีร์บอกไว้ เมื่อเราได้รับน้ำในแก้วนี้มาแล้ว ใครเป็นผู้รับผิดชอบ  เราเป็นผู้รับผิดชอบหรือเปล่า? เราจะมาดูกันในวันนี้แหละ จะได้รู้ว่าน้ำในแก้วที่ได้รับมา ความรอดนี้ เราต้องดูแลรับผิดชอบเอง หรือใครมาดูแลให้เรา หรือศิษยาภิบาลดูแลให้เรา หรือนักอธิษฐานดูแลให้เรา หรือใครดูแลให้เรา ที่เราสามารถไว้ใจได้  หรือเราต้องดูแลด้วยตัวเราเองจริงๆ  วันนี้เราจะมาดูความจริง ในเรื่องนี้จากถ้อยคำของพระเจ้า อย่างที่บอก ความจริงจะทำให้เราเป็นไท เป็นอิสระจากความกลัวทั้งปวง ซึ่งเป็นชื่อซีรี่ย์นี้  ผ่านมาแล้ว 2 ตอน …

            ตอนที่ 1 อิสระจากความกลัวตาย … เป็นอิสระไปแล้ว

            ตอนที่ 2 อิสระจากความกลัวการพิพากษาลงโทษครั้งสุดท้าย หลังความตาย … อันนี้ผ่านไปแล้ว อิสระแล้ว

            วันนี้ ตอนที่ 3 อิสระจากความกลัวการสูญเสียความรอด

            วันนี้จะเป็นอิสระจากความกลัวการสูญเสียน้ำในแก้ว ที่เราถูกสอนมาตลอดว่าให้เราดูแลให้ดีๆ ดำเนินชีวิตให้ดีๆ  อย่าให้น้ำในแก้วนี้หกออกมาเด็ดขาด ซึ่งน้ำนี้มันเต็มแล้ว ไหวไหมที่เราจะรับผิดชอบ ดูสิว่าพระเจ้าเตรียมเราไหม? ให้เราเป็นผู้รับผิดชอบไหม?  พระเจ้าให้กำลังกับเรา ให้ความสามารถกับเราในการดูแลรับผิดชอบตรงนี้หรือเปล่า?

            ความจริงจากถ้อยคำพระเจ้าเหล่านี้ ที่ผมคัดมาให้ท่าน พิสูจน์ให้ท่านได้เห็นว่าใครรับผิดชอบ ผมว่าน่าจะเพียงพอแล้ว  แต่จริงๆ แล้วทั้งเล่มของพระคัมภีร์เลย ได้กล่าวถึงตรงนี้ชัดเจนว่าใครเป็นคนรับผิดชอบ แต่อย่างที่บอก มันเยอะมาก  เอามาจำนวนหนึ่งที่คิดว่าสำคัญ ที่เขาว่ามันเจ๋งจริงๆ เป๊ะๆ จริงๆ  อ่านแล้ว มันหนีไม่พ้นเลยว่าในนี้ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าใครต้องเป็นคนรับผิดชอบ ดูแลความรอดน้ำในแก้วนี้อย่าให้หกเลยแม้แต่หยดเดียว  ท่านคิดว่าใคร? ถ้อยคำพระเจ้าเหล่านี้จะทำให้ท่านเป็นอิสระจากความกลัวการสูญเสียความรอด ที่ท่านได้รับมาเรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่วันที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด หรือเรียกว่าเริ่มต้นต้อนรับพระเยซู เริ่มต้นชีวิตคริสเตียน นาทีแรก วันแรกบนโลกใบนี้  ใครเป็นผู้รับผิดชอบความรอดที่ท่านได้รับมาเรียบร้อยแล้วนั้น ท่านหรือใคร?  ยอห์น 10:28-29 แค่ข้อเดียว ท่านก็เห็นแล้วว่าท่านหรือใครเป็นคนรับผิดชอบนี้ …

        ยอห์น 10:28-29 “28 เราให้ชีวิตนิรันดร์แก่แกะนั้น แกะนั้นจะไม่ตายเลย ไม่มีผู้ใด ชิงแกะนั้น ไปจากมือของเราได้ 29 พระบิดาของเรา ผู้ประทานแกะนั้นแก่เรา ทรงยิ่งใหญ่ เหนือกว่าสิ่งทั้งปวง  ไม่มีผู้ใด แย่งชิงแกะนั้น จากพระหัตถ์พระบิดาของเราได้”

            ผมเริ่มต้นด้วยคำพูดของพระเยซูเองเลยนะ พระเยซูพูดเอง ยืนยันด้วยตัวของพระองค์เองเลยว่าชีวิตนิรันดร์ ที่พระองค์ให้กับแกะนั้น  แกะนั้น ก็คือผู้เชื่อ ผู้ที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด คือคริสเตียนนั่นเอง  ชีวิตนิรันดร์ คือน้ำในแก้ว อย่างที่ผมบอก

            “แกะนั้นจะไม่ตายเลย จะไม่มีผู้ใด ชิงแกะนั้นไปจากมือของเราได้” ก็คือไม่มีใครที่จะมาเอาความรอด ออกไปจากมือของพระเจ้าได้ มือของพระเยซู

            “พระบิดาของเราผู้ประทานแกะนั้น ให้แก่เรา ทรงยิ่งใหญ่เหนือกว่าสิ่งทั้งปวง” ยิ่งใหญ่มากเลย

            “ไม่มีผู้ใดแย่งชิงแกะนั้น จากพระหัตถ์พระบิดาของเราได้” 2 มือเลย มือหนึ่ง คือมือพระเยซูคริสต์ อีกมือหนึ่ง คือมือพระเจ้าพระบิดา ทั้งสองมือนี้กำลังอุ้มชูน้ำในแก้วนั้นตลอดเวลา อย่านะ ไม่มีใครมาทำให้สะเทือน  แม้แต่หยดเดียว

            ใครรับผิดชอบ? ตอบในใจได้ … พระเจ้า พระเยซู พระบิดารับผิดชอบ ซึ่งพระเจ้า 2 พระภาคนี้สถิตอยู่กับผู้เชื่อ สถิตกับเราทั้งหลาย คริสเตียน ตั้งแต่เปิดใจต้อนรับพระเยซู พระองค์ก็เข้ามาสถิตอยู่ และยังมีพี่เลี้ยง พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็อยู่ด้วย ใครมาแย่งชิงได้

            ผู้ที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ได้รับน้ำแก้วนี้มาแล้ว ตั้งแต่ตอนที่ยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ วิญญาณของเขาก็ได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า  อยู่ในครอบครัวของพระเจ้า  พระคัมภีร์เปรียบเป็นอุปมาให้เราเห็น ก็คือเป็นแกะแห่งทุ่งหญ้าของพระเจ้า เรียบร้อยแล้ว เปิดใจก็เรียบร้อยแล้ว  และครอบครัวของพระเจ้า มีพระเยซูเป็นผู้เลี้ยงดู คอยดูแลปกป้อง คุ้มครอง เอาใจใส่จนถึงนิรันดร์  ไม่มีใครที่ไหน สามารถทำอันตรายผู้เชื่อ หรือแกะเหล่านี้ได้เลย เอเมนไหมครับ? ใครพูด พระเจ้าพูด พระเยซูพูดเอง  เพราะเมื่อเขาเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เจ้า ทันทีปุ๊บ เขาเป็นแกะในทุ่งหญ้า ในคอกของพระเจ้า คือเขาได้เข้าไปเป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวของสวรรค์เรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้

            ท่านเป็นพลเมืองของสวรรค์เรียบร้อยแล้ว เป็นประชากรของพระเจ้าในสวรรคสถานเรียบร้อยแล้วในขณะนี้ เอเมน  ท่านกำลังอาศัยอยู่กับพระเจ้าบิดา พระเจ้าพระบุตรพระเยซู พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ เรียบร้อยแล้วในโลกฝ่ายวิญญาณ เดี๋ยวนี้และขณะนี้ กำลังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ และจะอยู่ในสวรรค์อย่างนี้ตลอดไป ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ทั้งสิ้น เอเมน

            การเป็นพลเมืองสวรรค์นี้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความประพฤติของท่านเลย แม้แต่นิดเดียว สถานะเป็นลูกของพระเจ้า ที่พูดไว้นี้  การเป็นแกะนี้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการประพฤติของท่านว่าจะเป็นแกะดื้อหรือแกะดี เมื่อท่านเป็นแกะ ท่านก็เป็นแกะ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ก็เป็นลูกเลย  มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับความประพฤติของท่าน แต่ถ้อยคำพระเจ้าเมื่อตะกี้นี้  พระเยซูบอก “แต่เพราะพระบิดาของเรา ผู้ประทานแกะนั้นให้แก่เรา ทรงยิ่งใหญ่เหนือกว่าสิ่งทั้งปวง” เอเมน

            การเป็นลูกของพระเจ้า ความรอด คือพระพรทั้งปวง ในโลกฝ่ายวิญญาณ ใครรับผิดชอบ  พระเจ้าพระบิดาของเรา ผู้ประทานแกะนั้นให้แก่เรา ทรงยิ่งใหญ่เหนือกว่าสิ่งทั้งปวง ทั้งบนโลกนี้และโลกหน้า ทั้งในโลกที่มองเห็นและมองไม่เห็น ไม่ต้องกลัว มาถึงโรม 8:31-34 …

        โรม 8:31-34 “31 “ถ้าเช่นนั้น เราจะว่าอย่างไร ถ้าพระเจ้าทรงอยู่ฝ่ายเรา ใครจะขัดขวางเรา 32 พระองค์ผู้มิได้ทรงหวงพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ แต่ได้ทรงโปรดประทานพระบุตรนั้น เพื่อประโยชน์แก่เรา ถ้าเช่นนั้น พระองค์จะไม่ทรงโปรดประทานสิ่งสารพัดให้เราทั้งหลาย ด้วยกันกับพระบุตรนั้นหรือ 33 ใครจะฟ้องคนเหล่านั้น ที่พระเจ้าได้ทรงเลือกไว้ พระเจ้าทรงโปรดให้พ้นโทษแล้ว” 34 “ใคร​จะ​กล่าว​โทษ​เขา พระเยซู​หรือ! เป็น​ไป​ไม่​ได้ เพราะ​พระเยซู​คริสต์เป็น​ผู้​ที่​ตาย​และ​ฟื้น​ขึ้น​มา​ใหม่ และ​ตอนนี้​ พระองค์​ก็​นั่ง​อยู่​ทาง​ขวา​มือ​ของ​พระเจ้า ​อธิษฐานวิงวอนต่อพระเจ้า​ (เป็นทนายแก้ต่าง ) แทน​เรา”

            “ถ้าเป็นอย่างนั้น” ก็คือถ้าเราได้รับความรอดแล้ว พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่กับเราแล้ว เราเป็นลูกของพระองค์แล้ว  พระเจ้าทรงอยู่ฝ่ายเรา

            “พระเจ้าทรงอยู่ฝ่ายฉัน คืออยู่ข้างฉัน เป็นพวกเดียวกับฉัน  ไม่ใช่คอยเอาไม้มาตีฉัน  มาชี้ฉัน เอาสิ่งไม่ดีมาให้กับฉัน ไม่ใช่  อยู่ข้างฉัน โลกนี้ต่างหากที่อยู่ตรงข้ามกับฉัน ระบบของโลกนี้ต่างหาก ที่ต่อต้านกับฉัน”

            พอนึกภาพออกใช่ไหม?  แต่โลกนี้มันหลอกลวงเรา ให้เราแทนที่จะมีโลกนี้ต่อต้านเรา เรายังแถมไปมีพระเจ้าต่อต้านเราอีก  ไปไหนก็กลัว 2 ต่อเลย กลัวทั้งโลกใบนี้ กลัวทั้งพระเจ้าตีหรือเปล่า? พระเจ้าไม่ตี สาปแช่งไหม? โดนทั้งสาปแช่ง โดนทั้งพระเจ้าตี มันจะไปอยู่มีความสุขได้อย่างไร? มันจะมีสันติสุขได้อย่างไร?    

            “ถ้าทำอย่างนี้พระเจ้าตีสอนนะ”

            อ้าว! ไปหา มองดูพระเจ้าตีอีก  เกิดอะไรไม่ดีขึ้นมา แทนที่พระเจ้าอยู่ข้างเรา พระเจ้าช่วยเราอยู่

            “ไม่รู้ล่ะ พระเจ้าอยู่ข้างฉัน ไม่ใช่พระเจ้าเป็นผู้กระทำฉัน เกิดสิ่งที่ไม่ดีเหล่านี้”

            แทนที่จะเป็นอย่างนี้ กลับกลายเป็น … “ฉันทำอะไรไม่ดีแน่ๆ ฉันสมควรได้รับ พระเจ้าตีฉันอยู่ โลกก็ต่อต้านฉัน แล้วฉันจะไปมีความสุขได้อย่างไร?”

            ในนี้เลยอธิบายบอกว่า … “ผู้ที่ไม่ได้ทรงหวงพระบุตรของพระองค์” พูดให้เราเข้าใจว่าพระเจ้าอยู่ฝ่ายเราถึงขนาดไหน? ถึงขนาดยอมให้บุตรองค์เดียว ในนี้ความหมายแท้จริง  พระองค์ไม่หวง คือยอมให้พระเยซูคริสต์เป็นบุตรของพระองค์เพียงผู้เดียว พูดง่ายๆ ยอมสละบุตรคนนี้ ให้มาตายแทนพวกท่าน อย่างนี้พิสูจน์ได้ไหมว่าอยู่ข้างท่าน มันหมายถึงอย่างนั้น

            ถ้าเช่นนั้น พระองค์จะไม่ทรงโปรดประทานสิ่งสารพัดให้เราทั้งหลาย ด้วยกันกับพระบุตรนั้นหรือ? ก็คือขนาดพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ ยังยอมให้ท่าน มาตายอย่างทุกข์ทรมานบนไม้กางเขน เพื่อท่าน แสดงถึงความรักอันยิ่งใหญ่ของพระองค์แล้ว  พระองค์ไม่หวงสิ่งสารพัด

            “สิ่งสารพัด” คือน้ำในแก้วนั้น  คือความรอดนั้น  ฐานะเป็นบุตร ความบริสุทธิ์ สะอาด ความเป็นผู้ชอบธรรม การอยู่ในสวรรคสถาน การเป็นลูกของพระองค์นั่นแหละ สิ่งสารพัดเหล่านั้น พระองค์จะไม่เต็มใจให้กับท่านหรือ? หมายถึงอย่างนั้น

            ข้อ 33 บอกว่า “ใครจะฟ้องคนเหล่านั้น ที่พระเจ้าได้ทรงเลือกไว้ พระเจ้าทรงโปรดให้พ้นโทษแล้ว”

            พระเจ้าทรงโปรดให้หมดบาป หมดเวรกรรม เป็นลูกของพระองค์แล้ว  ไม่มีทางเป็นอื่นไปได้  ใครจะมากล่าวโทษท่าน โลกนี้จะชี้หน้า กล่าวโทษท่านว่าท่านเป็นเป็นคนบาป เป็นคนชั่ว ไม่ดีอย่างนั้น ไม่ดีอย่างนี้ ท่านไม่พร้อมอย่างนั้น ท่านไม่พร้อมอย่างนี้หรือ! นี่หมายถึงอย่างนั้น

            ใครจะกล่าวโทษเขา ดูสิ ใครรับผิดชอบ พระเยซูหรือ? ก็คือหมายถึงพระเจ้าหรือ?  ถ้าท่านทำอะไรผิดพลาดไป บนโลกใบนี้ พระเจ้าจะมากล่าวโทษท่านหรือว่าท่านทำชั่ว ท่านสมควรจะได้รับสิ่งชั่วร้าย ฉันจะตีเธอ ฉันจะลงโทษเธอ ฉันจะเป็นผู้สอนเธอ ด้วยการตีสอน  อย่างนั้นหรือ?  ในนี้บอกพระเยซูคริสต์หรือ?  เป็นไปไม่ได้  เพราะฉะนั้น มาบอกพระเจ้าตีสอน บอกไปเลยว่ามันเป็นไปไม่ได้  เพราะพระคัมภีร์ได้บอกชัดเจน มันเป็นไปไม่ได้  เพราะพระเยซูคริสต์ เป็นผู้ที่ตาย แล้วเป็นขึ้นมาใหม่ เพื่อท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายตาย แล้วเป็นขึ้นมาใหม่เช่นเดียวกัน  ท่านทั้งหลายเป็นส่วนหนึ่ง เป็นอวัยวะชิ้นหนึ่ง ต่อติดกับร่างกายของพระเยซูคริสต์แล้วขณะนี้ พระองค์จะมาตีตัวเอง เพื่ออะไร? พระองค์มีแต่ทนุถนอม คอยรักษาเยียวยาให้ ถ้ามันสกปรก พระองค์ไปอาบน้ำให้ ท่านเกิดมือสกปรก ท่านตัดมือทิ้งไปไหม? มันหมายถึงอย่างนั้น เราทั้งหลายก็เป็นอวัยวะชิ้นหนึ่งของพระเยซูคริสต์ สมมติเราเป็นมือ มือเราทำสกปรก ตัดมือทิ้งเลย ไม่ใช่

            และตอนนี้ ขณะนี้ ที่กำลังพูดอยู่นี้ ตอนที่เรากำลังอยู่บนโลกใบนี้ คริสเตียนที่อยู่บนโลกใบนี้ ฟังให้ดีๆ ขณะนี้ พระเยซูก็นั่งอยู่ที่ขวามือของพระเจ้าในสวรรคสถาน กำลังอธิษฐานวิงวอนต่อพระเจ้า แทนเรา  ไม่ว่าท่านจะขัดสน ขาดแคลน หรือถูกล่อลวงให้ทำอะไรผิด อะไรต่างๆ พระเยซูแทนที่พระองค์จะบอกว่าพระองค์ตีสอนท่าน พระองค์กำลังเป็นห่วงท่าน  กำลังอธิษฐานให้ท่าน ท่านรู้ไหม? ไม่รู้ ในพระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น

            และคำว่า “อธิษฐาน” ตรงนี้  ภาษาเดิมแปลว่า “วิงวอน เป็นทนายแก้ต่าง” ท่านทำอะไรผิดบาปไป ไม่ดีไป เผลอไปทำอะไรต่างๆ ถูกล่อลวงด้วยระบบของโลกนี้ ทำอะไรผิดพลาดไป  โลกนี้ มารชี้ว่าท่านชั่วแล้ว ท่านต้องได้รับโทษ พระเยซูบอกไม่? พระบิดาบอกไม่ใช่เลย  เขาเป็นแกะของลูกแล้ว โลหิตของลูกที่หลั่งที่ไม้กางเขน  ตอนสิ้นพระชนม์นั้น เป็นพยานยืนยันว่าเขาเป็นชนชาติของพระองค์ ไม่มีบาปอะไรเลย ไม่เกี่ยวกับเขา เขาได้รับการอภัยมาเรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่ตอนที่ลูกสิ้นพระชนม์ ลูกตายที่ไม้กางเขนและหลั่งพระโลหิต ครั้งเดียวเป็นพอ เขาได้รับการยกเว้น  เขาได้รับการชำระล้าง เขาได้รับการอภัยโทษ ในความบาปผิดทั้งหมด ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคตเรียบร้อยแล้ว พระเจ้าเป็นผู้พิพากษาของมหาจักรวาล เราต่างตอบว่า “เอเมน”

            แต่เราถูกหลอก ไม่ได้หรอก ทำบาป ต้องสารภาพบาป  พระเจ้าลูกบาปไปแล้ว บาป ขออภัยจากพระเจ้า ขออภัยอะไร ก็อภัยไปแล้ว  อย่างนี้ ก็ไม่เกิดวิตกกังวล และไม่กลัว ไม่รุกรี่รุกรน

            สรุปแล้ว  ใครดูแลรับผิดชอบความรอดของเรา? พระเยซูอยู่ที่ขวามือของพระเจ้า ในสวรรค์ขณะนี้ กำลังอธิษฐานให้เรา กำลังเป็นตัวแทนให้เรา กำลังเป็นทนายให้กับเรา ทนายเราใหญ่ขนาดไหน? เรามีทนายประจำตัวของเราในโลกฝ่ายวิญญาณ คือพระเยซูคริสต์ ผู้เป็นผู้ชอบธรรม ทำทุกอย่างตามกฎระเบียบเป๊ะๆ พระโลหิตของพระองค์ยังคงฤทธิ์อำนาจอยู่ในทุกวันนี้ เป็นพยานยืนยันความชอบธรรมของเราทั้งหลาย ผู้เชื่อในพระองค์ มาดูเอเฟซัส 1:13-14 ยิ่งชัดใหญ่เลย อันนี้ว่าใครรับผิดชอบหนอ …

        เอเฟซัส 1:13-14 “13 และท่านทั้งหลายก็ได้ร่วมอยู่ในพระคริสต์เช่นกัน เมื่อท่านได้ฟังพระวจนะแห่งความจริง คือข่าวประเสริฐแห่งความรอดของท่าน เมื่อท่านเชื่อ ก็ทรงประทับตราท่านไว้ในพระองค์ด้วยดวงตรา คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทรงสัญญาไว้ 14 ผู้เป็นมัดจำ ค้ำประกันว่าเราจะได้รับกรรมสิทธิ์ของเรา จนกว่าคนของพระเจ้าจะได้รับการไถ่ อันเป็นการสรรเสริญพระเกียรติสิริของพระองค์”

            “ท่านทั้งหลาย” ก็คือผู้เชื่อทั้งหลาย ก็ได้เข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ด้วยเช่นกัน  เมื่อท่านได้ฟังพระวจนะความจริง ได้รับการประกาศข่าวประเสริฐบนโลกใบนี้แล้ว ท่านเปิดใจต้อนรับข่าวประเสริฐนั้น ท่านเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า คือข่าวประเสริฐแห่งความรอดของท่าน เมื่อท่านเชื่อ ท่านได้รับความรอดแล้วนะ  พอท่านได้รับความรอด ก็ทรงประทับตราท่านด้วยดวงตราบริสุทธิ์

            “ประทับตรา” หมายถึงผนึก ความรอดที่ท่านได้รับไป ถูกผนึกด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้าผนึก ความรอดเหมือนตู้คอนเทนเนอร์ แล้วมัดด้วยห่อพัสดุอะไรต่างๆ หนาแน่นปึ๊กเลย ท่านอยู่ข้างในนั้น หรือถ้าพูดถึงน้ำที่อยู่ในแก้ว เมื่อตะกี้ จะหกหรือไม่หก ท่านลองคิดดู น้ำในแก้วนี้ พระวิญญาณบริสุทธิ์ปกคลุมอยู่ตลอด ทั้งแก้ว  แล้วมันจะหยดออกมาสักหยดหนึ่งไหม?  ไม่ใช่ท่านต้องเป็นคนไปประคองมัน ท่านไปไม่รอดหรอก  ท่านถูกหลอกลวงโดยมารว่าท่านจะต้องประคองมัน ไม่ใช่ ท่านไม่ต้องประคอง ท่านอยู่เฉยๆ ท่านจะดิ้นไปดิ้นมา ก็ได้ แต่มันจะไม่มีวันหก เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์ปิดอยู่ เอเมน  อย่างไรก็ไม่หก  ต่อให้ท่านไม่มาโบสถ์เลย ก็ไม่หก  ตราบใด ถ้าท่านได้รับน้ำในแก้วนี้ไปแล้ว  ไม่มีวันหกเด็ดขาด นี่คือถ้อยคำแห่งความจริงที่ทำให้เราเป็นอิสระ

            ข้อ 14 บอกว่าสิ่งเหล่านี้ พระวิญญาณบริสุทธิ์ทำเพื่ออะไร? ผู้เป็นมัดจำ ค้ำประกัน พระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นผู้ค้ำประกัน คือไม่มีวันหกแน่นอน ไม่มีวันหยด แม้แต่หยดเดียวเลย เราเองไม่มีทางที่จะทำได้หรอก เดินนิดหนึ่งก็หยดแล้ว รับเชื่อมา วันรุ่งขึ้น เราก็เริ่มคิดแล้ว พระเจ้ามีจริงไหมเนี้ย เริ่มต้นมาอีกวัน เราก็โกหกแล้ว  แล้วมารมันก็บอก โกหก น้ำหกอีกแล้ว คริสเตียนเขาไม่โกหกแล้วนะ ฉันแย่จริงๆ อ้าว! ไปยอมรับ  มันไม่ใช่ความจริง มันเป็นสิ่งที่โกหกเรา หลอกลวงเรา

            ผู้เป็นมัดจำ ค้ำประกันว่าน้ำไม่หก แม้แต่หยดเดียว  ผู้เป็นมัดจำ ค้ำประกันว่าเราจะได้รับกรรมสิทธิ์ของเรา จนกว่าคนของพระเจ้า คือเราทั้งหลายจะได้รับการไถ่ อันเป็นการสรรเสริญ พระเกียรติสิริของพระองค์ หมายถึงว่าน้ำในแก้วจะไม่มีวันหกออกไปเลย เราจะได้รับสิทธิ์ของเรา จนกว่าจะถึงวันที่พระเยซูคริสต์กลับมาอีกทีหนึ่ง จบแล้ว พูดง่ายๆ ก็คือยังไงๆ หลังจากเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว จนถึงวันที่จากโลกนี้ไป อยู่ในสวรรคสถาน น้ำในแก้วไม่มีวันหกเลย ท่านยังคงเป็นลูกที่มีกรรมสิทธิ์ครบถ้วนบริบูรณ์ ในฐานะเป็นลูกของพระเจ้า อย่างครบถ้วน ไม่มีหยดออกไป แม้แต่นิดเดียวเลย ไม่มีเสียสิทธิ์ไป แม้แต่นิดเดียวเลย เอเมน

            ถามว่าตอนนี้ใครรับผิดชอบ? พระเจ้า เห็นไหม?  ท่านตอบได้เองเลย ใครรับผิดชอบ ท่านเองหรือ? เปล่าเลย พระวิญญาณบริสุทธิ์รับผิดชอบ  พระเจ้าทรงประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์รับผิดชอบ ปิดแก้วนี้แล้ว ความรอดเข้ามาปุ๊บ ปิด ท่านจะดิ้นอย่างไร? มันก็อยู่ตรงนั้นแหละ  ฮีบรู 6:18-20 …

        ฮีบรู 6:18-20  “18 ดังนั้น พระเจ้าได้ประทานให้เราทั้งจากคำสัญญาและคำสาบาน ที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง เพราะเป็นไปไม่ได้ที่พระเจ้าจะพูดโกหก ด้วยเหตุนี้ พวกเราที่ได้หนีมาพึ่งในพระองค์จึงมีกำลัง และมีกำลังใจอย่างเข้มแข็งที่จะยึดมั่นในความหวังที่อยู่เบื้องหน้าเรา 19 ความหวังและความมั่นใจของเรานี้ เป็นเหมือนสมอเรือที่มั่นคงและติดแน่นในความคิดจิตใจและความหวังนี้  ได้นำพาเราเข้าไปสู่หลังม่านสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในสวรรค์  คืออภิสุทธิสถาน ซึ่งเป็นสถานที่ทรงสถิตของพระเจ้า” 20 ที่ซึ่งพระเยซูผู้ได้เสด็จนำหน้าเราทรงเข้าไปก่อนแล้วเพื่อเรา  พระองค์จึงได้เป็นมหาปุโรหิตชั่วนิรันดร์ ตามแบบของเมลคีเซเดค”

            “พระเจ้าได้ประทานให้เรา” ทั้งจากคำสัญญาและคำสาบาน  ที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงเลย  เพราะเป็นไปไม่ได้ที่พระเจ้าจะพูดโกหก พระเจ้าไม่พูดโกหกไม่พอ แต่ให้คำสัญญากับเราว่าเมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว พระองค์ทรงเตรียมขบวนการการบังเกิดใหม่  ได้รับความรอดครบถ้วนบริบูรณ์นี้ให้เรียบร้อยแล้ว  นี่คือคำสัญญา  แค่นั้นไม่พอ พระองค์บอกว่า …

            “ฉันสาบานด้วย ในนามของพระเจ้า”  ท่านเข้าใจไหมครับ?

            มนุษย์เวลาพูดกับใครแล้ว คนเขาไม่เชื่อเรา เราก็บอกว่าในนามของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มาตั้งแต่โบราณแล้วนะ  ตั้งแต่สมัยอิสราเอล รุ่นดึกดำบรรพ์ หลายพันปีก่อน  เขาก็จะอย่างนี้ เราพูดจริงๆ นะ ไม่เชื่อเราหรือ? เราสาบานในนามของพระเจ้า  ถ้าเขารู้จักพระเจ้านะ  ถ้าเขาไม่รู้จักพระเจ้า เขาก็จะบอกเราสาบานต่อหน้าภูเขาไฟนี้ เราสาบานต่อหน้าดวงดาว เราสาบานต่อหน้าดวงอาทิตย์ ถ้าคนที่รู้จักพระเยซูคริสต์ ก็บอกว่าเราสาบานต่อหน้าพระเยโฮวาห์ ว่าเราพูดจริง  เราไม่ได้ฆ่าเขาตาย

            นี่พระเจ้ารู้ พระเจ้าบอกให้คำสัญญานี้ เรียบร้อยแล้วว่าพระเยซูจะมาทำอะไร?  แล้วพระองค์ก็บอกว่าทั้งหมดนี้ เป็นจริง ไม่เชื่อเราหรือ? เราพูดทั้งหมดนี้ เราให้คำสัญญาเหล่านี้ ในพระเยซูคริสต์นี้ เราสาบานในนามของเราเอง  เพื่อมนุษย์จะได้รู้ว่ามันต้องเชื่อ นี่ขนาดพระเจ้าให้คำสัญญา และสาบาน ยืนยันว่าพระองค์ทรงกระทำอย่างนั้นจริงๆ

            ด้วยเหตุนี้ ด้วยคำสัญญาและสาบานนี้ พวกเรา ก็คือพวกเราที่เชื่อแล้ว  ได้หนีมาพึ่งพระองค์ จึงมีกำลังและมีกำลังใจอย่างเข้มแข็งที่จะยึดมั่นในความหวังที่อยู่เบื้องหน้าเรา  พระเจ้าสาบานสัญญาว่า พอเราได้รับแล้ว ไม่ต้องกลัว สาบาน สัญญาว่าพระองค์จะเป็นผู้ดูแลเอง

            ความหวังและความมั่นใจของเรานี้ เป็นเหมือนสมอเรือที่มั่นคง และติดแน่นในความคิด จิตใจและความหวังนี้ ก็คือคำสาบาน คำสัญญาเหล่านี้ ควรจะเป็นสมอเรือ คือหลักยึดในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ว่าพระเจ้าสัญญาและสาบานแล้ว ความรอดนี้จะไม่มีหยด หกออกไปแม้แต่นิดเดียวเลย  พระองค์ทรงดูแลให้จริงๆ  คือมั่นใจในความหวังนี้ ที่เราได้รับมาเรียบร้อยแล้ว คือการเข้าไปสู่หลังม่าน สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด คือในสวรรคสถาน ตรงนี้เล็งถึงในสวรรค์ คือให้มีความมั่นใจว่าเราอยู่ในสวรรค์แล้ว หลังจากเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ความรอดนี้อยู่ในเรา และจะไม่มีหกออกไปเลย สวรรค์นี้อยู่ในเราแล้ว เราอยู่ในสวรรค์แล้ว จะไม่มีวันออกจากสวรรค์นี้ไปได้เลย ให้เราหยั่งรากลึกตรงนี้ และถ้าเผื่อเราหยั่งรากลึก ในหลักการของความเป็นจริงในถ้อยคำนี้ คือสมอของความคิดจิตใจนี้ ลงไปในความหวังอันแท้จริง  ที่พระเจ้าสัญญาและสาบานด้วยตัวพระองค์เอง  ก็คือการอยู่ในสวรรคสถานกับพระองค์แล้วเดี๋ยวนี้ การได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระองค์แล้วเดี๋ยวนี้ การได้อยู่ที่เบื้องขวาของพระองค์ในสวรรคสถานเรียบร้อยแล้วเดี๋ยวนี้  และจะอยู่ที่นี่ตลอดไปเป็นนิตย์ พระเจ้าสถิตอยู่ในเรา  และจะอยู่ตลอดไปเช่นเดียวกัน  พระองค์ไม่เคยทอดทิ้งเราเลย นี่คือคำสัญญาและสาบานจากพระเจ้า

            เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ความคิดจิตใจของเรา ก็จะมั่นคง ไม่หวั่นไหว ไม่โครงเครง แม้ว่าจะต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากนานัปการ ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ก็ตาม เรามีหน้าที่แค่เชื่อเท่านั้น เชื่อและวางใจ มั่นใจในคำพูดของพ่อของเรา คือพระเจ้า บอกว่า …

            “ฉันสัญญาว่าน้ำในแก้วนั้น เป็นอย่างนั้น  ความรอดนั้น เป็นอย่างนี้ เป็นลูกแล้วเป็นเลย และสาบานด้วยตัวเราเอง ด้วยพระองค์เอง”

        ฮีบรู 7:25  “เหตุฉะนั้น พระองค์จึงสามารถช่วยปกป้องรักษาบรรดาผู้ที่มาหาพระเจ้า ผ่านทางความเชื่อ และไว้วางใจในพระองค์ ได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ที่สุด และตลอดไปชั่วนิรันดร์  เพราะพระองค์ทรงพระชนม์อยู่ชั่วนิรันดร์ และพระองค์กำลังอธิษฐาน วิงวอน (เป็นเหมือนทนายแก้ต่าง) ต่อพระเจ้า ให้เขาทั้งหลายอยู่”

            “เหตุฉะนั้น พระองค์เองจึงสามารถช่วยปกป้องรักษาบรรดาผู้ที่มาหาพระเจ้า ผ่านทางความเชื่อ และไว้วางใจในพระองค์ ได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ที่สุด”

            พระองค์เอง คือเจ้าของคอก ผู้เลี้ยงแกะ ก็คือพระเยซูคริสต์ … พระเยซูคริสต์จึงสามารถช่วยปกป้อง รักษาบรรดาผู้ที่มาหาพระองค์ ก็คือผู้ที่เชื่อในพระองค์ แกะของพระองค์นั่นเอง  ก็คือเราทั้งหลาย ชัดไหมว่าใครดูแลเรา  พระองค์เอง คือพระเยซูคริสต์เอง เป็นผู้ดูแลเรา ดีที่สุด และสมบูรณ์ที่สุด และตลอดไปชั่วนิรันดร์ ดูแลและปกป้องเรา เพราะอะไร? …

                        “เพราะพระองค์ทรงอยู่       เราเผชิญพรุ่งนี้ได้”

            เพราะพระองค์ทรงพระชนม์อยู่ชั่วนิรันดร์ คำว่า “พระองค์ทรงอยู่ชั่วนิรันดร์นี้” มิได้หมายถึงเฉพาะแค่พระองค์ทรงอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรคสถาน  ขณะนี้ เท่านั้น แต่หมายถึงพระองค์ทรงอยู่ในเราทั้งหลาย ในร่างกายของเรา  ที่เรากำลังเดินอยู่บนโลกใบนี้  เรากำลังประสบปัญหาอยู่บนโลกใบนี้ เดินอยู่กับเราด้วย ตลอดเวลา คอยปกป้องดูแลน้ำในแก้ว ไม่ให้มันหกเลยแม้แต่นิดเดียว  พระองค์ทำได้ไหม? ทำได้ จนถึงนิรันดร์ พระองค์ทรงพระชนม์อยู่ชั่วนิรันดร์  และทุกวันนี้พระองค์กำลังอธิษฐาน  เป็นทนายแก้ต่างให้เรา เราเดือดร้อนอะไร พระองค์ทรงอธิษฐาน  เราอธิษฐานไม่ได้ พระองค์อธิษฐานให้เรา  ไม่มีใครอธิษฐานให้เรา   พระองค์อธิษฐานให้เรา ไม่มีใครรู้เรื่องอะไรเกิดขึ้นกับเรา แต่พระองค์ทรงอยู่กับเรา รู้เรื่องหมด  ไม่มีอะไรปิดบังสำหรับพระองค์ พระองค์ทรงทราบหมด พระองค์อธิษฐานให้เรา และพระองค์อธิษฐานชนิดที่เป็นแบบอยู่ข้างเรา ไม่ใช่อธิษฐานตำหนิเรา  อธิษฐานสาปแช่งเรา ไม่ใช่ อธิษฐานอยู่ข้างเรา เป็นห่วงเรา รักเรามากเลย  ตายเพื่อเราก็ได้  อะไรก็ให้กับเราได้เลย  อยู่ข้างเราตลอดเลย เมื่อเราเจ็บปวดอะไรต่างๆ ก็เท่ากับเราล้มลง พระองค์ทรงวิ่งไป นึกภาพ เหมือนเราเลี้ยงลูก เลี้ยงหลาน  ไม่เชื่อฟัง ล้มลง เข่าแตก พระองค์ทรงวิ่งไป ไม่ใช่วิ่งไปเอาไม้ไปตี  ไม่ใช่วิ่งไปเอานิ้วไปชี้ ด่าว่า แต่วิ่งไปเอาผ้าไปพันแผล เอายาไปใส่บาดแผลให้เรา

            สรุปแล้ว ใครรับผิดชอบ ชีวิตของเรา พระเยซูคริสต์รับผิดชอบ ชีวิตของเราในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ จนกระทั่งไปถึงนิรันดร์เลย

                        “เพราะพระองค์ทรงอยู่       เราเผชิญพรุ่งนี้ได้”

            อนาคต คือวันพรุ่งนี้ ใครรับผิดชอบ ผู้ที่กำอนาคตของเราอยู่ คือเกิดอะไรขึ้นในวันพรุ่งนี้ อยู่ในมือของใคร? ภาษาอังกฤษใช้คำดี ในเพลงนี้

                        “Because He lives, I can face tomorrow;”

                        ใช่ I can face tomorrow ฉันสามารถเผชิญพรุ่งนี้ได้

                        “Because He lives all fear is gone

                        เพราะพระองค์ทรงอยู่   ความกลัวสิ้นไป

                        Because I know, I know He holds the future,

                        พระองค์ทรงถือ รับผิดชอบ อนาคตของฉัน”

            อีกสักครู่เดินออกไป ใช่อนาคตไหม? อีก 1 นาทีต่อไป อนาคตไหม?  ใช่หมด เพราะฉะนั้น ใครดูแลรับผิดชอบ เพราะพระองค์ทรงอยู่ และพระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าเพราะพระองค์ทรงอยู่ พระเยซูคริสต์ทรงอยู่วานนี้ วันนี้ และสืบๆ ไปเป็นนิจ อาเมน

            วานนี้ หมายถึงอะไร? ไม่ใช่หมายถึงเมื่อวานนี้นะ  วานนี้ หมายถึงพระองค์ทรงอยู่ตั้งแต่ก่อนที่จะมีโลกนี้ ก่อนที่จะสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็น  ก่อนที่จะมีเราทั้งหลาย ก่อนที่จะมีทูตสวรรค์ทั้งหลาย ก่อนที่จะมีโลกใบนี้  ก่อนจะมีดวงดาวทั้งหมด  พระองค์ทรงเป็นอยู่แล้ว เอเมน แล้วพระองค์ทรงตรัสอย่างนี้ว่าอนาคตของเรา พรุ่งนี้ของเราอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ พระองค์ทรงนำเราไป ไปไหนก็ไปเถอะ  เราไปด้วย โอเคไหม? เอเมน

        1 เปโตร 1:3-5 “3 สรรเสริญพระเจ้า พระบิดาขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา ด้วยพระเมตตายิ่งใหญ่ พระองค์ได้ทรงให้เราทั้งหลายบังเกิดใหม่ เข้าในความหวังอันยืนยง โดยการได้เป็นขึ้นจากตายของพระเยซูคริสต์ 4 และ (ได้เป็นทายาท) เข้าในมรดก อันไม่มีวันเสื่อมสลาย เน่าเสีย หรือเลือนหายไป ซึ่งได้ทรงเตรียมไว้ในสวรรค์แล้ว เพื่อพวกท่าน 5 โดยความเชื่อ (ในพระเยซู) พระเจ้าได้กำลังปกป้องพวกท่านไว้ ด้วยฤทธานุภาพของพระองค์ จนถึงความรอดอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ซึ่งพร้อมแล้วที่จะปรากฏในวาระสุดท้าย”

            ข้อ 3 “สรรเสริญพระเจ้า พระบิดาขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา  ด้วยพระเมตตายิ่งใหญ่ พระองค์ได้ทรงให้เราทั้งหลายบังเกิดใหม่ เข้าในความหวังอันยืนยง โดยการได้เป็นขึ้นจากตายของพระเยซูคริสต์”

            พูดง่ายๆ คือพระองค์ได้ทรงให้เราได้บังเกิดใหม่ร่วมกับพระเยซูคริสต์ … พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์ เราตายด้วย  เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซู เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ พระองค์ได้เป็นขึ้นจากความตาย เราได้เป็นขึ้นจากความตายด้วย สิ่งเหล่านี้ เป็นแผนการของพระองค์ที่วางไว้เรียบร้อยแล้ว สำหรับเรา มนุษย์ทุกคน

            และเมื่อเราบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระองค์ ข้อ 4 บอกว่า “และได้เป็นทายาท เข้าในมรดก”

            เข้าในมรดกได้ ก็ต้องเป็นทายาท  พระคัมภีร์บอกเราเป็นทายาท  เข้าในมรดกนี้ ก็คือความรอดในแก้วน้ำ ก็คือน้ำในแก้ว คือมรดก  เราเป็นทายาท เราเป็นลูกของพระองค์ ที่สะอาดบริสุทธิ์แล้ว เรียนมาแล้วนะว่าปิดผนึกด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ไม่มีวันหยดออกไปเลย  เพราะฉะนั้น มรดกที่เราได้รับ คือการเป็นทายาทนี้ ไม่มีวัน ที่จะสูญเสียไป แม้แต่หยดเดียวเลย

            สมมติว่ามรดก มีบ้านหลังนี้ทั้งหลัง  และทุกอย่างในบ้านด้วย เพราะฉะนั้น ตุ่มหน้าบ้าน ก็เป็นของเรา  ไม่มีใครมาเอาตุ่มนี้ไปได้  ไม่มีการกระเด็นออกไปจากการที่เราเป็นเจ้าของ

            ในนี้บอกว่า “และได้เป็นทายาท เข้าในมรดก คือร่วมมรดกกับพระเยซู อันไม่มีวันเสื่อมสลาย เน่าเสีย หรือเลือนหายไป ซึ่งได้ทรงเตรียมไว้ในสวรรคสถานแล้ว เพื่อพวกท่านทั้งหลาย”

            สิ่งเหล่านี้ คือพระพรทางฝ่ายวิญญาณ  ที่พระองค์ทรงเตรียมไว้ให้ อย่างเช่น เป็นลูกของพระเจ้า  เป็นผู้บริสุทธิ์ สะอาด ดีพร้อม เหล่านี้  และยังมีหลังจากความตาย ยังเตรียมอะไรไว้อีกหลายอย่าง ให้กับเรา

            การเตรียมสิ่งเหล่านี้ให้กับเราเรียบร้อยแล้ว  เหมือนน้ำในแก้ว  ในนี้บอกว่าไม่มีวันเสื่อมสลาย เน่าเสีย เลือนหายไป  ถ้าผมยกตัวอย่างเมื่อตะกี้นี้ ก็คือน้ำในแก้ว ไม่มีวันเสื่อม เป็นน้ำเสีย  ไม่มีวันหยดหายไป แม้แต่หยดเดียว เอเมน ใครเป็นคนรับผิดชอบครับ? พระเยซู … พระเยซูรับผิดชอบ มันไม่เสื่อม รับรองได้

            ข้อ 5 อันนี้ก็ให้เห็นชัดเลยว่าใครเป็นคนรับผิดชอบ “โดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ ที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ตอนที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้แล้ว โดยความเชื่อในพระเยซู พระเจ้าได้กำลังปกป้องพวกท่านไว้  ด้วยฤทธานุภาพของพระองค์ ปกป้องไว้ถึงเมื่อไร? จนถึงความรอดอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ซึ่งพร้อมแล้วที่จะปรากฏในวาระสุดท้าย”

            ซึ่งพระองค์ทรงทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว เมื่อตอนที่พระเยซูทรงเป็นขึ้นจากความตาย ทุกอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ก็คือตั้งแต่เดี๋ยวนี้ จนจากร่างนี้ไป  ได้รับร่างกายใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ได้ครอบครองร่วมกับพระเยซูคริสต์ในสวรรคสถานนิรันดร์กาล ครอบครองโลกใหม่ และสรรพสิ่งใหม่ ที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นใหม่ทั้งหมดนั้น เสร็จหมดเรียบร้อยแล้ว  แล้วใครดูแล รับผิดชอบ ให้มันเป็นไปตามนี้ เมื่อท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เปิดใจด้วยความเชื่อแล้ว  ก็คือตัวพระองค์เอง ซึ่งทรงฤทธานุภาพอำนาจยิ่งใหญ่

            ท่านสังเกตดูประโยคแรก “โดยความเชื่อในพระเยซู” อันนี้ใครรับผิดชอบ?  เฉพาะคำนี้  “โดยความเชื่อในพระเยซู” ใครเป็นคนทำ?  เราเป็นคนทำ  เราเปิดใจต้อนรับพระเยซู เรารับผิดชอบตรงนี้  แล้วเราทำไปหรือยัง?  ทำไปแล้ว ก็จบแล้วสิ เราไม่ควรจะรับผิดชอบอะไรอีกแล้ว

            อ้าว! ดูสิ เราทำไปแล้ว แล้วพระเยซู พระเจ้ารับผิดชอบอะไร?  … “โดยความเชื่อในพระเยซู พระเจ้าได้กำลังปกป้องพวกท่านไว้” โดยความเชื่อในพระเยซู เราได้รับความรอด  เรารับผิดชอบ ทำสิ่งเดียว คือเชื่อและได้รับ จบ สำหรับพระเจ้าทำอะไร? พอจบปุ๊บ พระเจ้ารับต่อ ดูแลความรอดนั้น ให้กับเรา ปกป้องไว้ ชัดเจน  พระคัมภีร์บอกว่าเมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว ชีวิตของเรา ทันทีทันใด ถูกซ่อนอยู่ในพระคริสต์ วิญญาณของเราถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ เรารับผิดชอบเพียงสิ่งเดียว ก็คือตัดสินใจ เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด แค่นั้นพอแล้ว  พอเราตัดสินใจปุ๊บ ทันทีทันใด ในโลกฝ่ายวิญญาณ วิญญาณเราได้ถูกย้ายเข้าไปอยู่กับพระคริสต์ และพระคริสต์กับเรา เข้าไปอยู่ในพระเจ้าพระบิดา แล้วพระเจ้าพระบิดาได้มอบพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้เป็นพี่เลี้ยงอยู่กับเราตลอด 24 ชั่วโมงเราไปไหนมาไหน?  เราก็อยู่ในพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเยซู พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราไปไหนมาไหนบนโลกใบนี้ ทางฝ่ายวิญญาณ เรามี 3 พระภาคนี้ไปกับเราด้วย วิญญาณเราประกอบไปด้วย วิญญาณของพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเยซู พระเจ้าพระวิญญาณ และวิญญาณของเราเอง ไปไหนด้วยกันตลอดเวลา  เอเมนไหม?

            เพราะฉะนั้น เราจึงเห็นชัดเจนว่าพระเจ้าทั้ง 3 พระภาคอยู่ในเรา  และในพระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าเป็นใหญ่กว่าเขาทั้งหลายที่อยู่ในโลก

                        “ผู้ซึ่งอยู่ในเรา           เป็นใหญ่กว่าผู้นั้น ที่อยู่ในโลก

                        ผู้ซึ่งอยู่ในเรา             เป็นใหญ่กว่าผู้นั้น  ซึ่งอยู่ในโลก”

            นี่แหละ มันหมายถึงอย่างนั้นแหละ 1 ยอห์น 4:4

            เพราะฉะนั้น เมื่อพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สถิตอยู่กับเรา ทั้ง 3 พระภาคแล้ว การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ โลกจึงไม่มีชัยชนะเหนือเรา เพราะฉะนั้น เราอย่าให้โลกนี้ ซึ่งควบคุมโดยมาร ใช้ระบบของโลกนี้ คือความบาปและความตาย และสิ่งต่างๆ ที่เราเห็นอยู่บนโลกนี้ มาโกหกหลอกลวง ข่มขู่เรา ให้เรากลัวได้ มันจะมาข่มขู่เราต่างๆ ด้วยเหตุการณ์ต่างๆ บนโลกใบนี้  อย่าให้มันข่มขู่เราให้เกิดความกลัว

            เมื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว ทำสิ่งเดียว คือเปิดใจแล้ว หน้าที่เราในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ มีทำอยู่แค่นี้เอง ก็คือในโรม 8:37-39 …

        โรม 8:37-39 “37 เปล่าเลย ในสถานการณ์ทั้งปวงนี้ เราเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิต โดยทางพระองค์ ผู้ทรงรักเราทั้งหลาย 38 เพราะข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่าไม่ว่าความตายหรือชีวิต ไม่ว่าทูตสวรรค์หรือวิญญาณชั่ว  ไม่ว่าปัจจุบันหรืออนาคต หรือฤทธิ์อำนาจใดๆ 39 ไม่ว่าเบื้องสูง หรือเบื้องลึก หรือสิ่งอื่นใด ในสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง ล้วนไม่สามารถพรากเราไปจากความรักของพระเจ้า ซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราได้”

            ฉะนั้น หน้าที่ของเรา ก็คือเชื่อมั่นในคำสัญญาแค่นั้นเอง ฟังจากถ้อยคำพระเจ้าเหล่านี้มา แค่มาเชื่อมั่นในคำสัญญาของพระเจ้าว่ามันเป็นจริง สิ่งที่มันเกิดขึ้น เป็นเรื่องจริง เชื่อมั่นเท่านั้นเอง เมื่อท่านได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ท่านได้บังเกิดใหม่แล้ว ได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ได้อยู่ในสวรรค์กับพระองค์แล้ว ต้องเชื่อมั่นในคำสัญญาเหล่านี้  นี่คือคำสัญญาและคำสาบานของพระเจ้า เป็นผู้พูดกับเรา พระองค์รับผิดชอบสิ่งเหล่านี้ที่เกิดขึ้นว่ามันเป็นจริง ท่านได้เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระคริสต์แล้วนิรันดร์ด้วย ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงเป็นอื่น แม้แต่นิดเดียว ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับท่าน ที่จะสามารถทำให้มันเปลี่ยนแปลงได้เลย พระเจ้าการันตี ยืนยัน ค้ำประกันด้วยพระองค์เอง  ไม่มีวันสูญเสียมรดกแห่งความรอดของท่านเลยแม้แต่นิดเดียว  หรือไม่สูญเสียพระพรทางฝ่ายวิญญาณต่างๆ ในการดำเนินชีวิตของท่านบนโลกใบนี้ มันไม่สามารถทำให้ท่านพร่องจากพระพรนี้แม้แต่นิดเดียว  ไม่สามารถเลย เพราะพระเจ้าปกปักษ์คุ้มครอง ดูแลความรอดของท่าน เมื่อพระเจ้าได้ทำให้ท่านรอดแล้ว ก็รอดเลย เมื่อพระเจ้าทำให้ท่านบังเกิดใหม่แล้ว ก็เกิดเลย เป็นลูกแล้ว ก็เป็นลูกเลย  ไม่มีการสูญเสีย หรือเสื่อมลง หรือลดน้อย ถอยลงแต่อย่างใด ตลอดไป ชั่วนิรันดร์ น้ำเต็มแก้ว ไม่มีวันพร่องเลย แม้แต่หยดเดียว  มันเต็มพร้อมบริบูรณ์

            นี่คือความเป็นจริง เพราะฉะนั้น ความจริงเหล่านั้นจะทำให้เราเป็นอิสระจากความกลัว การสูญเสียความรอด และดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ด้วยการหายเหนื่อยและเป็นสุขในใจ สงบ นิ่ง อยู่กับพระเยซูคริสต์ของเรา ผู้ทรงเป็นพระเจ้า ผู้ทรงเป็นชีวิตของเรา ตั้งแต่เดี๋ยวนี้ จนถึงนิรันดร์ พระเจ้าอวยพรครับ

************************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            รู้ได้อย่างไรว่า? เราเป็นคริสเตียน ที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว  ได้อยู่ในสวรรค์กับพระคริสต์แล้ว ในขณะนี้

            มัทธิว 5:12 …  “จงชื่นชมยินดีเถิด เพราะบำเหน็จของท่านในสวรรค์ยิ่งใหญ่นัก เพราะพวกเขาได้ข่มเหงบรรดาผู้เผยพระวจนะที่อยู่ก่อนท่านเหมือนกัน”

            พระเยซูพูดกับชาวยิวที่เป็นสาวกใกล้ชิด ซึ่งอนาคตอันใกล้นี้ จะได้เกิดใหม่เป็นคริสเตียน หลังจากที่พระเยซูทำภารกิจสำเร็จแล้วบนไม้กางเขน คือการสิ้นพระชนม์ และการเป็นขึ้นจากความตายในวันที่สาม  และพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าจะเข้ามาสถิตอยู่ภายในร่างกายพวกเขา และจะเป็นผู้นำพวกเขาประกาศโดยฤทธิ์เดชอำนาจเรื่องสวรรค์ เหมือนที่พระเยซูได้กำลังประกาศอยู่นี้ และพวกเขาจะถูกต่อต้าน ถูกข่มเหง ถูกใส่ร้าย ถึงขนาดถูกฆ่าให้ตาย โดยพวกผู้นำทางศาสนายิว คือพวกฟาริสี  สะดูสี และธรรมาจารย์ เหมือนกับที่พวกเขาได้ทำกับบรรดาผู้เผยพระวจนะก่อนหน้านี้ เช่น คนล่าสุด คือยอห์นบัพติศโต และพระองค์เองก็ถูกต่อต้านข่มเหงใส่ร้ายเช่นกัน

            ฉะนั้น จงชื่นชมยินดีเถิด เพราะเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าเราได้เป็นคริสเตียนที่บังเกิดใหม่แล้ว ได้อยู่ในสวรรค์กับพระเยซูคริสต์แล้วจริงๆเป็นพวกเดียวกันกับพระองค์

            เพราะนี่เป็นความจริงมาตั้งนานแล้ว โลกหนึ่ง คือโลกวิญญาณ ที่เป็นของพระเจ้า  อีกโลกหนึ่ง คือโลกวิญญาณที่ไม่มีพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า

            ทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดในชีวิต ได้รับบัพติศมาเข้าส่วนร่วมมาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ในวิญญาณ เรากับโลกนี้เป็นศัตรูกันเลย

            อดีตคริสเตียนผู้เชื่อในพระเยซูถูกข่มเหงอย่างไร? ปัจจุบันคริสเตียนผู้เชื่อ ก็ถูกข่มเหงเช่นเดียวกัน เพียงแต่การข่มเหง อาจจะเป็นคนละรูปแบบเท่านั้นเอง

            ยอห์น 15:18-19 … “พระเยซูคริสต์ตรัสว่า … “18 ถ้าโลกนี้​เกลียดชังท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายก็​รู้​ว่าโลกได้​เกลียดชังเราก่อน 19 ถ้าท่านทั้งหลายเป็นของโลก โลกก็จะรักท่านซึ่งเป็นของโลก แต่​เพราะท่านไม่​ใช่​ของโลก แต่​เราได้เลือกท่านออกจากโลก เหตุ​ฉะนั้น โลกจึงเกลียดชังท่าน”

            พระเจ้าอวยพรครับ