คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 26 กรกฎาคม 2015 เรื่อง “เราเป็นใครในพระคริสต์” ตอน 3 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  26  กรกฎาคม  2015

เรื่อง “เราเป็นใครในพระคริสต์” ตอน 3

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

ลองถามคนข้างๆ สิ “ท่านเป็นใครในพระคริสต์” รู้ไหม?

วันนี้ ตอนที่ 3 แล้ว สัปดาห์ที่แล้วเราได้คุยกันว่าพวกเราที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ เราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ และมีลักษณะชีวิต (ในวิญญาณ) ทางวิญญาณที่เหมือนพระเจ้า เหมือนพระเยซู ทราบจากไหน? จากถ้อยคำของพระเยซูเอง ที่ได้ตรัสไว้  ในหนังสือยอห์น 14:20 นะครับ ได้บันทึกว่า.-

ยอห์น 14:20 “ในวันนั้น พวกท่านจะตระหนักว่าเราอยู่ในพระบิดาของเรา และพวกท่านอยู่ในเรา และเราอยู่ในพวกท่าน”

 

ยอห์น 14:23 “พระเยซูตรัสตอบว่าถ้าผู้ใดรักเรา เขาจะเชื่อฟังคำสอนของเรา พระบิดาของเราจะทรงรักเขา พระบิดากับเราจะมาหาเขา และอยู่กับเขา”

 

จะสร้างบ้านของเราร่วมกับเขา จะอยู่กับเขาในบ้านหลังนั้น ที่มีชื่อว่าพระคริสต์ ในพระคริสต์ พระเจ้าอยู่ในพระเยซู … พระเยซูอยู่ในพระเจ้า เราอยู่ในพระเยซู และพระเยซูอยู่ในเรา รวมความ ก็คือเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าและพระเยซูคริสต์ เอเมน

เป็นความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งมากเลยนะครับ  การร่วมกันเป็นหนึ่ง แบบแยกกันไม่ออกเลย เมื่อเราเข้าไปมีส่วนหนึ่ง เป็นส่วนหนึ่งของอะไรรู้ไหมครับ? เคยได้ยินคำนี้ใช่ไหมครับ? เป็นส่วนหนึ่งของตรีเอกานุภาพ

          ตรีเอกานุภาพ คืออะไร?  คือมีพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทั้ง 3 พระภาค เป็นหนึ่งเดียวกัน แล้วเราเข้าไปมีส่วนในหนึ่งนี้ด้วย ขนลุกไหม? … พูดครั้งใด เห็นถ้อยคำครั้งใด ผมก็ขนลุกทุกที ไม่มีวันที่จะเข้าใจ แต่ที่เข้าใจนิดๆ มันก็ขนลุกพอแล้ว ที่เข้าใจเล็กๆ น้อยๆ มันก็ซาบซึ้ง เหลือที่จะขอบคุณพระเจ้า ไม่รู้จะบอกว่าอย่างไร?  เหมือนกับที่ผมได้ยกตัวอย่างใช่ไหม? ในสัปดาห์ที่แล้วว่าการเป็นหนึ่งเดียวกันของเรากับพระเยซูคริสต์ หรือกับ 3 พระภาค กับตรีเอกานุภาพ เหมือนกับเราจุ่มชาลงไปในน้ำ รวมออกมาเป็นน้ำชา น้ำชาไม่สามารถแยกออกมาเป็นชากับน้ำได้แล้ว เป็นหนึ่งเดียวกัน นั่นคือความลึกซึ้งของความหมายของคำว่า “เป็นหนึ่งเดียวกัน” ที่พระเยซูบอกว่าเมื่อเราอยู่ในพระคริสต์ บัพติศมาในพระเยซูคริสต์

 

บัพติศมา แปลว่าจุ่มลงไป มุดลงไป เข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์ เราได้เข้าเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ และพระบิดา และเมื่อได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์แล้ว เกิดอะไรขึ้นกับครับ? เราก็เป็นผู้บริสุทธิ์ สะอาด ปราศจากบาป ได้รับพระสิริของพระเจ้า เข้ามาอยู่ในวิญญาณของเรา เหมือนกับพระองค์ แล้วก็ได้เป็นลูกของพระเจ้า ได้รับพระพรทางฝ่ายวิญญาณนานานัปการ คือมีลักษณะชีวิตทางวิญญาณเหมือนพระเจ้าไม่มีผิด ลักษณะชีวิตทางวิญญาณเหมือนพระเจ้า  เข้ากันได้ดี

ภาษาพระคัมภีร์ใช้คำว่า “คืนดีกับพระเจ้า” วิญญาณต่อวิญญาณสามารถเข้ากันได้ คืนดีกัน  เหมือนน้ำกับน้ำมันไม่สามารถเข้ากันได้ ใช่ไหม? เอาน้ำมันเทลงในน้ำมัน น้ำมันกับน้ำมันคืนดีกัน เข้ากันได้ดีเหลือเกิน คล้ายๆ อย่างนั้น ในหนังสือ 2 เปโตร 1:3-4 ลองเปิดดูว่าความลึกซึ้งของการเป็นหนึ่งเดียวกันนี้ ในพระคัมภีร์ได้พูดถึงตรงนี้ว่าอย่างไร?

2 เปโตร 1:3-4 “3 พระองค์ได้ประทานพระสัญญา อันยิ่งใหญ่และล้ำค่าของพระองค์แก่เรา 4 เพื่อว่าโดยทางพระสัญญาเหล่านี้  พวกท่านจะได้มีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า และพ้นจากความเสื่อมทรามในโลก ซึ่งเกิดจากตัณหาชั่ว”

 

ขอบคุณพระเจ้า

ให้เราพูดพร้อมกันตรงนี้ ตามผมนะครับ พูดชื่อท่านนะครับ “นคร … (ใส่ชื่อท่าน) จะได้มีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า และพ้นจากความเสื่อมทรามในโลก ซึ่งเกิดจากตัณหาชั่ว”

นคร หรือท่านทั้งหลายจะได้มีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า เพื่อว่าจะได้พ้นจากความเสื่อมทราม ตัณหาในโลก ก็คือพ้นจากความบาปและความตายนั่นเอง

พระคัมภีร์อยากให้เราได้รับรู้ตรงนี้ มากๆ เลย คือได้รับรู้ว่าความสัมพันธ์อันลึกซึ้งของพระเจ้า เมื่อเราเชื่อในการไถ่บาป ในองค์พระเยซูคริสต์เจ้า เมื่อเราได้รับบัพติศมา คือได้รับการจุ่มลงไป โดยพระวิญญาณของพระเยซู คือของพระองค์ คือจุ่มเข้าไปในอะไร? เข้าไปในสิ่งหนึ่งที่มี ทางภาษาอังกฤษหรือภาษาไทย เรียกว่าพลังอำนาจ หรือ Power เข้าไปในฤทธิ์เดชอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งใช้สัญลักษณ์ว่าไฟ … ไฟของพระวิญญาณบริสุทธิ์ คือ Power คือฤทธิ์เดช คืออำนาจยิ่งใหญ่ พลังกำลังอำนาจยิ่งใหญ่ของใคร? พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเยซู ได้จุ่มเราเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกัน เข้าไปสู่การเป็นหนึ่งเดียวกันในตรีเอกานุภาพ

รวมความ ก็คือเราได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่ยิ่งใหญ่ และล้ำค่าสูงสุด ไม่อยากจะบอกสิ่งเลยนะ แต่ก็ต้องบอกสิ่ง ไม่รู้จะบอกว่าอย่างไร? สิ่งที่ยิ่งใหญ่และล้ำค่าที่สุด ที่เราได้เข้าไปมีส่วนนี้ คือได้มีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า หรือภาษาอังกฤษใช้ Devine Nature ซึ่งแปลลำบากมาก แปลว่าพระลักษณะของพระเจ้า หรือธรรมชาติของพระเจ้า  หรือธรรมชาติชีวิตที่เป็นของพระเจ้า เราเข้าไปมีส่วนในแบบนั้นเลย

ซึ่งทั้งหลายๆ ทั้งปวง เราได้รับมาโดยไม่ต้องทำอะไรเลย คิดดูสิ คุณค่ายิ่งใหญ่สูงสุด แต่พอมาคิดอีกที ได้มาโดยเปล่าๆ โดยความเชื่อเท่านั้น พระเยซูทำให้เราหมด เพราะพระเยซูคริสต์ได้ทรงกระทำให้เราเรียบร้อยไปแล้ว

ให้พวกเราพูดพร้อมกันว่า “เรียบร้อยไปแล้ว … พระเยซูคริสต์ได้ทำให้เราเรียบร้อยไปแล้ว เรียบร้อยไปแล้ว”

เอ๊า! บอกคนข้างๆ สิ “เรียบร้อยไปแล้ว รู้หรือเปล่า?”

บางทีเราต้องถามตัวเองนะ “เรียบร้อยจริงเหรอ”

ก็มันจริงๆ พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น เพราะอะไร? เพราะพระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์แล้วหรือยัง?  เกิดหรือยัง? เกิดแล้ว พระเยซูตายที่ไม้กางเขนหรือยัง? ตายแล้ว หลั่งพระโลหิตหรือยัง? หลั่งแล้ว เป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 หรือยัง? เป็นแล้ว … นั่นแหละ เรียบร้อยไปแล้ว เราเพียงแต่แค่เชื่อและรับสิทธิของเราในพระเยซูคริสต์เท่านั้น แค่นี้เอง นี่เขาจึงเรียกกันว่าข่าวดีไง ข่าวดี คือได้ฟรีๆ ใช่ไหม? เขามีแจกอะไรส่วนใหญ่ ตรงนั้นมีข่าวดี ไปกันเถอะ

ข่าวดี คือเขามีของดีๆ แล้วจะแจกเราฟรี เพราะฉะนั้น เพียงแค่ไปรับสิทธิของท่าน เชื่อในพระเยซูคริสต์ ที่ทรงกระทำให้เราทั้งหลายนั้น แค่นั่นเอง เพียงแค่นั้น ทุกคนก็สามารถรับสิทธิที่พระเยซูทำให้กับเรา พระสัญญาทุกอย่างของพระเจ้า เราได้รับมาหมดแล้วจริงๆ ในพระเยซูคริสต์ สัญญานี้บอกก่อนพระเยซูจะเกิด ตั้งหลายพันปี ก่อนพระเยซูคริสต์มาเกิด สัญญาว่ามันจะเป็นอย่างนี้ๆ สัญญาว่าในพระเยซูคริสต์ เราจะมีชีวิตที่สมบูรณ์พร้อม ครบถ้วนบริบูรณ์อย่างเหลือเฟือ เรียบร้อยไปแล้ว เมื่อเราต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เอเมน

            ทุกคนที่มาเชื่อพระเยซูได้รับพระสัญญาตรงนี้ เท่ากันทุกๆ คนเลย เพราะฉะนั้น ทุกคนที่มาเชื่อพระเยซูก็ควรที่จะมีชีวิตที่ครบถ้วนบริบูรณ์ และมีสันติสุขเหมือนกันหมด ไม่น่าจะมีอะไรวิตกกังวลอีกแล้ว ถูกหรือไม่ถูก? ถูกไหม?  ถูกต้องตามพระคัมภีร์เปี๊ยบเลย  แต่ถามว่าชีวิตจริงๆ มันเป็นอย่างที่บอกเมื่อตะกี้ไหม? ไม่เป็น

            ยังจำได้ใช่ไหมครับ สัปดาห์ที่แล้ว ผมถามทิ้งท้ายไว้ เป็นคำถามที่บอกว่า.-

“การดำเนินชีวิตคริสเตียนของเราบนโลกใบนี้ หลายครั้ง มากๆ ครั้ง บ่อยครั้ง เราไม่เห็นได้รับในสิ่งที่พระเยซูสัญญา หรือบอกเราไว้ตามสัญญาเลย  ไม่เห็นได้รับตามนั้น ทั้งหมดเลย พระเยซูบอกว่าอย่างไร?

บอกว่า “เราบอกเรื่องนี้กับท่าน เพื่อท่านจะมีความชื่นชมยินดีอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ในเรา”

เพราะฉะนั้น ในพระเยซู เราควรจะมีความชื่นชมยินดีตามที่พระเยซูสัญญา บอกไว้ จริงไหม?  แต่ปรากฏว่าในชีวิตจริง เราก็เชื่อพระเยซูแล้ว

ในที่นี่ใครเชื่อพระเยซูยกมือขึ้น … หมดเลย เชื่อแล้ว แล้วทำไมเราไม่เห็นจะชื่นชมอย่างที่พระเยซูบอกในตลอดเวลาเลย ทำไมล่ะ ท่านก็คิดในใจ ทำไม? แล้วพระเยซูบอกว่าอย่างไร? บอกว่า.-

“สันติสุขที่เราให้กับท่าน ไม่เหมือนโลกให้”

“สันติสุขที่เราให้กับท่าน” ก็แสดงว่าพระเยซูให้สันติสุขกับเราแล้วหรือยัง? ให้แล้ว พระเยซูไม่ได้บอกว่าเราจะให้ แต่พระเยซูให้แล้ว

ให้มาแล้ว และท่านลองคิดดู ขณะที่ท่านนั่งอยู่ที่นั่งขณะนี้ ท่านมีสันติสุขที่พระเยซูบอกไหมครับ?  มีไหม?  เมื่อวานนี้มีไหม? ถามจริง? เมื่อสัปดาห์ที่แล้วมีไหม?  เมื่อชั่วโมงที่แล้ว ผมยังเห็นท่านหน้าคิ้วขมวด มีสันติสุขอะไร? นั่งรถแท็กซี่มายังหงุดหงิด รถมันติด นั่นเรียกว่าสันติสุขเหรอ … ไม่ใช่ … เมื่อเช้านี้รถเมล์แถมให้ 2 ป้าย ท่านยังไม่มีสันติสุขเลย  ขนาดเขาแถมให้ท่าน 2 ป้าย ท่านยัง.-

“หงุดหงิดๆ เดี๋ยวไปไม่ทันเขานมัสการ”

บางคนขับรถมา วิ่ง แซงตัดหน้าเขามาปุ๊บ เขาตัดหน้ากลับปุ๊บ โอโห้ ทำให้ช้าไปตั้งเยอะ จะรีบไปโบสถ์นะเนี้ย  ไม่มีสันติสุข มันแปลกดีนะ

หรือความเป็นจริง คือท่านมีความเครียด มีความวิตกกังวล มีความกลัวอยู่หรือเปล่า? มีไหม? ลองคิดในใจสิ ในนี้ หรือไม่มีเลย  ถ้าใครไม่มียกมือขึ้น จะได้ออกมาข้างหน้านี้ ช่วยกันอธิษฐานให้ท่าน ท่านจะได้มีบ้าง ไม่ใช่ พูดเล่นๆ ปรากฏว่าไม่มีใช่ไหม?  ซึ่งว่ากันตามจริงแล้ว พวกเราทุกคน เป็นอย่างนี้หมดแหละ มีความวิตกกังวล มีความเครียด มีความกลัว วิตกกังวล กลัว เครียด เพราะอะไร? เพราะเราก็จะบอกว่าก็เราเป็นคนมีภาระในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ มีครอบครัวที่ต้องดูแล มีรายได้ ปัญหาความเป็นอยู่ ปัญหาการสัมพันธ์ การติดต่อกับบรรดาผู้คน คนนั้นก็ไม่เข้าใจเรา เราก็ไม่เข้าใจ กระทบกระทั้งกัน และปัญหาอื่นๆ อีกมากมาย ที่มันไม่ได้ดั่งใจ มันผิดหวัง ภาษาจีนบอกว่าไม่ได้ดังใจเลย  มันไม่ได้ดังใจ มันไม่ได้อย่างที่ใจเราหวังไว้  เราก็เกิดความวิตกกังวล ความกลัว ความเครียด

ในขณะที่พระเยซูบอกว่าอย่างไร? พระเยซูสัญญาไว้ว่าอย่างไร? ถ้ามาหาพระองค์ … พระองค์ทรงประทานสันติสุขอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ให้เราแล้ว  แต่เราก็ต้องเจอกับปัญหาต่างๆ เหล่านี้ ไม่เว้นแต่ละวัน บางทีหลายครั้งต่อหนึ่งวันด้วยซ้ำไป แล้วชีวิตทำไมมันเป็นอย่างนั้น  ไม่เห็นเหมือนที่พระเยซูบอกไว้เลย

หรือที่พระเยซูทรงสัญญา หรือบอกเราว่าเป็นอิสรภาพกับเราแล้ว ปลดปล่อยเราให้เป็นอิสรภาพอย่างแท้จริง ก็คือ Free indeed อิสระจริงๆ  แต่ถามจริงๆ เถอะ ท่านมีความรู้สึกเป็นอิสระไหม? ถามจริง คิดในใจ ถามตัวเองพอ ไม่ต้องถามคนข้างๆ จริงๆ แล้วท่านมีอิสระดั่งพระเยซูบอกไหม? อิสระจริงๆ นะ Indeed  แปลว่าหลุดเลยนะ หลุดไหม?

มีหลายคนนะครับ ที่เชื่อในพระเยซูมานานแล้ว จนทุกวันนี้ก็ยังรู้สึกมีความฟ้องผิด เชื่อมานานแล้วนะ ไม่ใช่เพิ่งเชื่อ ก็ยังมีความฟ้องผิดในใจ ในหลายเรื่อง ยังมีความรู้สึกว่าไอ้โน่นก็ยังทำไม่ดี ไอ้นี่ก็ยังทำไม่ครบ หลายอย่างก็ยังทำไม่ถูกต้อง คือยังติดอยู่ในกรงขังในการฟ้องผิดอยู่ ไม่เห็นเป็นอิสระ Indeed หรือจริงๆ อย่างที่พระเยซูพูดไว้ หรืออย่างที่พระเยซูสัญญาเลยว่าเมื่อมาเชื่อพระองค์ … พระองค์ปลดปล่อยเราเป็นอิสระ … อิสระเมื่อเชื่อว่าพระองค์ทรงตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตชำระบาปให้กับเรา … เราเป็นอิสระจริงๆ มันไม่เห็นเป็นจริงตามนั้น

บางครั้ง ก็รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ ใช่ไหม? ทำไมมันไม่ได้อย่างที่เราคิด คนอื่นคิด คนข้างๆ คิด รู้สึกว่าน้อยเนื้อต่ำใจ เราทำไม่ได้อย่างที่คนข้างๆ เรา เขาคาดหวังไว้ อย่างเพื่อนเราคาดหวังไว้ อย่างพ่อแม่เราคาดหวัง ครูบาอาจารย์คาดหวัง หรือแม้กระทั่งสังคมคาดหวังว่าเราน่าจะเป็นอย่างนั้น  แล้วเราไม่เป็น เรารู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ

หลายคนต้องรู้สึกท้อแท้ใจ ที่ไม่สามารถทำได้ อย่างที่คนอื่นเขาคาดหวังให้เราทำ หรือแม้กระทั่งตัวเราเอง คาดหวังเองว่าเราจะทำไม่ได้ แล้วเราไม่ได้ มันน้อยเนื้อต่ำใจ มันท้อแท้ เป็นไหม? ไม่ต้องยกมือนะ

หลายคนแม้มาเชื่อพระเยซูแล้ว ก็ยังจมอยู่กับความทุกข์เศร้าโศก ในลักษณะที่เขาเรียกว่าอยู่ในพันธนาการ คือไม่เป็นอิสระนั่นเอง พูดง่ายๆ คือภาระในใจมันเกิดขึ้น มันไม่เป็นอิสระ ภาระอะไรแล้วแต่นะ  พูดถึงนะ เหมือนติดคุกในใจอยู่ เหมือนติดคุกอยู่เลย ยังไม่ได้การปลดปล่อยเลย ทั้งที่พระเยซูบอกว่าพระองค์ได้ให้สันติสุข และให้อิสรภาพกับเราเรียบร้อยไปแล้ว เรียบร้อยไปแล้วนะ แล้วๆๆๆ แล้วเรามาเชื่อพระเยซู ทำไมเราไม่ได้ตามนั้น

พระเยซูบอกว่า “ผู้ใดแบกภาระหนักและเหน็ดเหนื่อย จงมาหาเรา เราจะให้ผู้นั้นหายเหนื่อยและเป็นสุข”

เห็นไหมครับ พระเยซูบอกว่าแค่มาหาพระองค์เท่านั้น ก็หายเหนื่อยและเป็นสุขแล้ว พระองค์ไม่ได้บอกว่ามาหาพระองค์ แล้วต้องทำอย่างโน่น ทำอย่างนี่ ทำนั่น ทำนี่ ท่านจะหายเหนื่อยและเป็นสุข พระองค์ไม่ได้บอกอย่างนั้น พระองค์บอกว่าให้มาหาพระองค์ แล้วพระองค์จะให้ท่านหายเหนื่อยและเป็นสุข หายไหม? ไม่หาย หายนิดๆ ไม่หายหมด ไม่ใช่ท่านอย่างเดียว ท่านลองมองดูคนรอบข้างท่าน คนที่เป็นคริสเตียนทั้งหมดที่ท่านรู้จักมา มีใครไหมที่หายเหนื่อยและเป็นสุขอย่าง เป็นไปตามพระคัมภีร์ที่พูดไว้จริงๆ  เป็นไปตามข้อพระคัมภีร์ที่พระเยซูพูด แล้วติดอยู่หน้าโบสถ์หลายโบสถ์ รวมทั้งโบสถ์เราก็ติด ข้างๆ เราเป็นอย่างนั้นไหม? หรือตัวเราเองเป็นอย่างนั้นไหม? หรือมองไปรอบๆ โลกใบนี้เลย ส่วนใหญ่เป็นอย่างนี้ไหม? หายเหนื่อยและเป็นสุขไหม? มันแปลกดีนะ

ทุกวันนี้ เราก็เชื่อพระเยซู แต่เรายังดำเนินชีวิตอยู่ด้วยความเครียด ยังดำเนินชีวิตด้วยความกลัว ดิ้นรน และกระสือกระสน หลายคนก็ยังเหนื่อยทั้งกายและใจ

พระเยซูบอกว่า “เราได้ให้ชีวิตที่สมบูรณ์แบบทุกอย่างแก่เจ้า”

ชีวิตที่ครบถ้วนบริบูรณ์ ไม่ขัดสนบกพร่องอะไรต่างๆ ไม่ตกขาดบกพร่อง ไม่ขัดสนอะไรต่างๆ ชีวิตที่มีทุกอย่างอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ มีอย่างเหลือล้น ไม่ขัดสนสิ่งใดๆ เลย แต่ปรากฏว่าในชีวิตจริง เป็นอย่างไรครับ ชีวิตจริง คริสเตียนหลายคน ก็ยังดำเนินชีวิตอยู่ในแบบขาดๆ แคลนๆ ตลอด รู้ได้อย่างไรว่าตลอด อยากได้โน่น อยากได้นี่ ทุกวัน เหมือนขัดสน เหมือนขาดแคลนตลอด อยากได้มากขึ้น  มากขึ้นอีก อยู่เรื่อยๆ ไป จริงหรือไม่จริง? ไม่เห็นครบถ้วน ไม่เห็นมีเหลือล้นอย่างที่พระเยซูสัญญาไว้เลย  ไม่เห็นพอใจสักทีเลย  ถ้ามันเหลือล้น มันก็ต้องพอสิ อันนี้มันไม่พอ แสดงว่าไม่เหลือล้น  แต่มันขัดสน อย่างที่ผมเคยเหล่าให้ท่านฟัง ถ้าเผื่อพอ มันก็แสดงว่าเหลือล้นแล้ว เราพอแล้ว แต่ถ้าเราบอกว่าจะเอาอีก แสดงว่ามันไม่พอ แต่พระเยซูบอกให้พอแล้ว แต่เราบอกไม่พอ มันคืออะไร?

คริสเตียนลองคิดดูนะ … เราเอง … ผมเองและท่าน คริสเตียนทั้งหลาย ท่านลองคิดดู เราอยากมีทรัพย์สินเงินทอง ทำการงานเจริญรุ่งเรืองทุกอย่างใช่ไม่ใช่? ใช่

ถามว่าอยากมีทรัพย์สินเท่าไรถึงพอ?  ตอนนี้พอไหม? อยากมีอีกไหม? อยาก ใช่ไหม?

อยากให้งานการที่ทำอย่างตอนนี้ เจริญรุ่งเรืองขึ้นอีกไหม? หรือพอแล้ว?

มีคนไหนในนี้ ยกมือขึ้นสิ บอกว่า “ผมทำงานที่บริษัทนี้ หรือผมเป็นเจ้าของบริษัทนี้ ผมพอแล้ว ผมเอาแค่นี้พอ อย่ามาโปรโมทผมให้เป็นหน้าที่สูงกว่านี้เลย เงินเดือนมากกว่านี้ ไม่เอาแล้ว หรืออวยพรในการทำค้าขายของผมเลย ผมมีการค้าขายที่เจริญรุ่งเรือง รวยมากกว่านี้ ไม่เอาแล้ว”

มีคริสเตียนคนไหนอยากจะเป็นอย่างนี้บ้าง? ไม่มี เห็นหรือยัง?  แล้วอยากมีอะไรอีก?  ยิ่งพูดยิ่งชัดเลย อยากมีความแข็งแรง

เรามาวิเคราะห์เรื่องนี้เลย  คริสเตียนทุกคนก็อยากมีความแข็งแรง เหมือนคนอื่นๆ ที่ไม่ได้เป็นคริสเตียนเหมือนกัน อยากมีความแข็งแรง ไม่อยากเจ็บป่วยถูกไม่ถูก?  แล้วเท่าไรถึงเรียกว่าพอ ถ้าพระเยซูบอกว่าไม่ขัดสน แสดงว่าท่านพอแล้ว ท่านเคยพอไหมว่า … ฟังดีๆ นะ ถ้าท่านอยากแข็งแรง ก่อนที่ท่านอยากแข็งแรง ท่านอยากอะไรก่อน อยากหายป่วย

สมมติว่าพระเยซูบอกว่าท่านอยากหายป่วย ท่านได้รับการหายป่วยจริงๆ พอท่านหายป่วย ท่านก็อยากอะไรต่อไป อยากไม่ป่วยอีกเลย ถูกไหม? พอท่านอยากหายป่วย สมมติว่าท่านได้ ไม่ป่วยอีกเลย ท่านก็อยากบอกว่าไม่ป่วยเลยเยอะๆ ขึ้น แล้วแข็งแรงด้วย ไม่ป่วยและแข็งแรงต่างกันนะ ไม่ป่วยเฉยๆ แต่ไม่ค่อยแข็งแรง ก็มี ไม่ป่วยเฉยๆ แต่เอาแบบแข็งแกร่งเลย  แล้วพระเยซูบอกให้แข็งแกร่ง ไม่พอ

“ฉันจะแกร่งกว่านี้อีก”

ถูกไม่ถูก? พูดถึงใครก็ไม่รู้

พูดกับคนข้างๆ สิ “เขากำลังพูด ไม่ใช่เธอ” พูดสิ ใช่ไหม?  แต่จริงๆ มันใช่นั่นเอง

เราทุกคนเป็นอย่างนี้ ไม่มีหยุดหรอก มีใครไหมบอก “รักษาฉันหายป่วย ฉันพอแค่นี้” ไม่มี

“ถ้าเกิดได้จริงๆ ฉันก็ไม่อยากป่วยอีกเลย ไม่อยากป่วยอีกเลย ฉันอยากแข็งแรงขึ้น ไม่ป่วยด้วย แล้วแข็งแรงขึ้นอีกต่างหาก”

มันเท่าไรถึงเรียกว่าพอ ตรงนี้ชัดเลย เท่าไรถึงเรียกว่าพอดี มีเหลือเฟือ ชื่อเสียงดี คนนับหน้าถือตา ทุกอย่างแหละ มีพอไหม? มีชื่อเสียงเท่านี้ บอกพอแล้ว ไม่เอาอีกแล้ว มีเหรอ มีแต่จะถูกดันให้เอามากขึ้น

ครอบครัวดีก็เหมือนกัน มีครอบครัวดี ก็เหมือนกัน ถ้าได้อย่างนี้ ก็อยากได้อีกต่อไป ถูกไหม? ถ้าคนที่ไม่ได้อย่างนี้  แค่ได้แค่นี้ฉันพอแล้ว

ยกตัวอย่างเช่น.-

“ทำไมลูกฉันมันดื้อ ไม่เหมือนลูกอีกบ้านหนึ่งเลย  พระเจ้าขอให้มันไม่ดื้อ แค่นี้ฉันก็พอใจแล้ว”

3 ปีต่อมา มันไม่ดื้อแล้ว หยุดอธิษฐานไหม?

“มันไม่ดื้อดีแล้ว ขอให้มันเจริญรุ่งเรือง ทำมาค้าขึ้นเถอะ” แล้วไงต่อ “พระเจ้าขอให้มันแข็งแรงด้วย”

ไม่มีวันจบสิ้น พอแข็งแรงเสร็จปุ๊บ “พระเจ้าขอให้มันมีลูกที่ดี มีครอบครัวที่ดี”

ไม่มีจบสิ้น คิดกังวลอยู่ตลอด ยังนี้เรียกว่าพอเพียงไหม? รวยหรือยัง? ขัดสนไหม? ขัดสน มีปัญหาอยู่ดี ท่านจะเห็นภาพไหมเนี้ย ถ้าพูดเรื่องเดียว ไม่ต้องพูดเรื่องอื่นแล้ว แค่นี้ก็ยาว สามารถอธิบายให้ท่านฟัง แต่เราไม่ได้เน้นเรื่องนี้ในการเทศนาในครั้งนี้ แต่ท่านพอเข้าใจแล้ว ทิ้งไว้แค่นี้ ท่านดู ท่านฟังแค่นี้ ท่านพอจะนึกภาพออกว่าคำว่า “ขาดแคลน” มันเป็นลักษณะอย่างไร?

ยกตัวอย่างอีกอันหนึ่ง นี่ยิ่งชัดใหญ่เลย อยากจะมี อยากจะรับใช้ มีโอกาสรับใช้พระเจ้า ประกาศข่าวดีให้กับผู้คนมากๆ ทุกคนก็คิดอย่างนี้ รับใช้พระเจ้า จะประกาศข่าวดีมากๆ แล้วเท่าไรถึงมาก? เท่าไรถึงพอ? เห็นไหม? นึกออกใช่ไหม? พระเจ้าให้เวลา 3 ชั่วโมง จิตใจอยากจะเป็น 6 ชั่วโมง ทิ้งครอบครัวมารับใช้ไม่พอ ทิ้งทุกอย่างมารับใช้ บอกจะรับใช้ต่อไป อย่างนี้เรียกว่าสันติสุขหรือเรียกว่าภาระ

ผมจะเล่าเรื่องนี้ให้ท่านฟัง ถือโอกาส มีภาพยนตร์อยู่เรื่องหนึ่ง เอาเรื่องจริงมาทำเป็นภาพยนตร์ ชื่อเรื่องอะไรไม่รู้ เรื่องเกี่ยวกับสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ตอนสมัยนาซีเรืองอำนาจ คือฮิตเลอร์และนาซี เยอรมันเรืองอำนาจ พอเรืองอำนาจ เขาตีเมืองต่างๆ ในยุโรปได้หมดเลย เกือบจะชนะสงครามโลกครั้งที่สองแล้ว แล้วเขาก็ข่มเหงคนที่เป็นยิวมากกว่าใครเพื่อน เพราะว่าเขามีความรู้สึกว่ายิวไปเจริญรุ่งเรืองมั่งคั่งในประเทศเขามากเกินไป จนกระทั่งเจ้าของประเทศไม่มีจะกิน อะไรอย่างนี้ คนยิวรวย คนยิวเป็นเจ้าของกิจการต่างๆ  เขาก็อิจฉา พอได้โอกาส เป็นเผด็จการ มีอำนาจ เขาก็ข่มเหงชาวยิว จับชาวยิวไปฆ่า ไปอะไรต่างๆ เหล่านี้ ที่เราเคยได้ยิน ไปรมแก๊ส แล้วมีเยอรมันอยู่คนหนึ่ง ชื่อชินเลอร์ออสก้าร์ ชินเลอร์ เป็นเรื่องจริงนะ คนนี้เขาอยู่ในพรรคนาซีด้วย  เป็นเยอรมัน เขาก็เป็นพ่อค้า พ่อค้าขาย แล้วก็เป็นคริสเตียน เชื่อพระเจ้า แต่ก็เป็นพ่อค้าธรรมดา แต่ติดต่อกับพวกนายทหาร ราชการทางการเมืองต่างๆ เขาก็เห็นช่องทาง ที่จะทำธุรกิจกับคนยิวเหล่านี้ ก็คือเอายิวที่เป็นเชลย นักโทษเหล่านี้ มาเป็นคนงานในโรงงาน เพราะว่าค่าจ้างมันถูก เพราะคนงานเหล่านี้ ถ้าไม่ได้เป็นคนงาน อาจจะถูกส่งไปทำลายทิ้ง โดยฆ่าตาย ไม่อย่างนั้น ก็ไม่มีข้าวกิน ทุกข์ทรมาน เพราะอยู่ในโรงงาน อย่างน้อย ก็มีกิน มีอยู่ ปลอดภัย เขาก็เอามาอยู่ ทำมาหากิน

ปรากฏว่าวันหนึ่ง เขาเปลี่ยนใจใหม่ เรื่องจริงๆ ยาวกว่านี้เยอะ ทำให้มันสั้นๆ คือวันหนึ่ง ชินเลอร์ออสก้าร์ เขากลับใจใหม่ เขาอยู่กับยิวมากๆ เขาก็สงสาร เพราะว่าเขาเห็นว่าคนยิวถูกรังแก ถูกเอาไปฆ่า เด็กๆ คนแก่ คนเฒ่าถูกเขาไปฆ่า คนหนุ่มๆ ถ้าไม่มีแรงแล้ว ก็ถูกเอาไปฆ่า ผู้หญิงเอาไปฆ่าหมด เขาก็เลยเกิดความสงสาร อยากจะช่วยคนเหล่านี้ได้ โดยการนำคนเหล่านี้มาเป็นคนงาน แล้วก็บอก ติดต่อซื้อ จ่ายค่าใต้โต๊ะให้กับพวกนักการเมือง เพื่อจะขอซื้อคนเหล่านี้ แล้วบอกว่า.-

“เขาเป็นคนงานของฉัน ฉันจำเป็นต้องใช้เขา ฉันจะสร้างโรงงาน เพราะฉะนั้น ขอซื้อคนเหล่านี้ไว้คนเป็นงานของฉัน อย่าไปฆ่าเขา”

พูดง่ายๆ ว่าแทนที่จะถูกประหาร หรือถูกรมแก๊สกันหมด  ซื้อคนเหล่านี้มาเป็นพันๆ คน  แล้วก็มาอยู่ในโรงงาน จะได้รับความรอด … รอดจากการถูกไปฆ่าให้ตาย ปรากฏว่าเขาซื้อจนหมดตัวเลย คนรวยจากโรงงานนั้นมาตั้งปีสองปี ได้เงินเยอะมากมาย หลายล้านๆ แล้วก็เอาเงินเหล่านั้นทุ่มซื้อ จ่ายใต้โต๊ะ ซื้อชีวิตของชาวยิวเหล่านี้มาหมด โดยอ้างว่าจะให้มาทำงานในโรงงานทำอาวุธ ทั้งๆ ที่ทำอาวุธแบบยิงไม่ได้ เขาบอกถ้าเขาทำอาวุธแบบที่ยิงได้  เขาเลยทำแบบยิงไม่ได้ พูดง่ายๆ หลอกรัฐบาลของสมัยฮิตเลอร์

จบสั้นๆ คือเขาได้ช่วยคนยิวเหล่านี้ ได้ประมาณพันกว่าคน สมมตินะ ตีสักประมาณ 1,150 คน สุดท้ายเลย พอวันที่เขาประกาศยุติสงครามว่าฝ่ายพันธมิตรชนะแล้ว เยอรมันแพ้ สงครามยุติแล้ว สรุปแล้ว เขาช่วยคนมาได้ 1,150 คนสมมตินะนอกนั้นถูกฆ่าตายหมด ถูกรมแก๊สตายหมด คนก็มาขอบคุณเขา

ท่านคิดดู อย่างที่ผมพูด จะให้ท่านสังเกตว่าสิ่งที่เรากำลังพูดนี้ เรื่องอะไร? เรื่องความพอเพียงมันคืออะไร?  เขาเป็นคริสเตียน  ทุกคนก็มาขอบคุณเขาที่เขาได้ช่วย แต่เขาบอกเขาไม่ได้ช่วยเลย  เขาก็ชี้ไปที่หัวหน้าของคนงานยิว

“คนนี้เป็นคนช่วยท่านมากกว่า เพราะเขามาช่วยผม ในการจัดแจงเรื่องเกี่ยวกับคนงานต่างๆ แต่ผมเองไม่ได้ช่วยอะไรท่านเลย เพราะผมทำธุรกิจ และบัดนี้ ผมกลายเป็นคนที่กลับกันแล้ว เมื่อเยอรมันแพ้สงคราม ผมกลับถูกตามล่า ผมถูกเป็นฆาตกร ถูกตราหัวไว้ เขาจะตามล่าผม”

เพราะเขาเป็นหนึ่งในจำนวนพรรคนาซีไง เขาจึงถูกตามล่า ถูกจับเหมือนกัน เขาเป็นฆาตกร กลับกันแล้ว ไม่ต้องขอบคุณเขา แต่ทุกคนก็ไปขอบคุณเขา เสร็จแล้วหัวหน้าคนงาน ก็เลยไล่ชื่อบอกเขาว่า.-

“คุณได้ช่วยชีวิตคนยิวไว้ 1,150 คน ทั้งหมดนี้ ถ้าไม่มีคุณ เขาตายไปแล้ว”

แล้วทันทีทันใดนั้น  ไคร์แม๊ทอยู่ตรงที่ออสก้าร์ พระเอกคนนี้ ก็เริ่มซึ้งในคำที่เขาพูด เขาพูดด้วยความซึ้ง ขอบคุณด้วยความซึ้ง พระเอกนี้ ก็หันไปมองที่รถยนต์ที่เขากำลังจะนั่งหนีไป รถยนต์ประจำตำแหน่งเขา พูดง่ายๆ สมมติในปัจจุบัน ก็คือรถเบนซ์สวยงาม ประจำตำแหน่งคันเบ่อเริ่ม เขามองไป เขาก็ร้องไห้โฮ อยู่ดีๆ เขาเป็นคนที่แข็งแกร่ง ไม่ค่อยร้องไห้เลยนะ แต่นี่ร้องไห้โฮ เพราะอะไรรู้ไหม?

“ผมไม่น่าเอารถคันนี้เก็บไว้เลย ตอนนั้น ผมน่าจะขายรถเบนซ์คันนี้ให้กับเจ้าหน้าที่นั้น เพื่อจะซื้อ อย่างน้อยๆ ซื้อได้อีก 10 ชีวิตคนงาน”

เข้าใจไหม? เพราะเขาซื้อเป็นหัวไง หัวละกี่ตังค์ๆ แต่เขาหมดตัวแล้ว เขาบอกเขาหมดตัว แต่จริงๆ เขามีรถคันนี้อีก เขาน่าจะขายรถคันนี้ไป เขาร้องไห้

“ผมน่าจะขายรถคันนี้ไป อย่างน้อย เขาก็จะให้เงินผมอีกเท่านี้ๆ ซึ่งผมจะได้หัวหนึ่งอีก 10 ชีวิตรอดมา ไม่ใช่ 1,150 เท่านั้น แต่จะได้อีก 10 ชีวิตผ่านมา ได้อีก 10 ชีวิตเพิ่มขึ้น”

แค่นั้นไม่พอ เสร็จปุ๊บ ยิวคนนั้น ก็มาปลอบใจ “ไม่เป็นไรหรอกๆ” คนนี้ก็ร้องไห้ต่อไป เสร็จแล้วเจอเข็มกลัด คล้ายๆ เพชรหรือทองมีค่า เขาดึงเข็มขัด

“แล้วเข็มกลัดอันนี้ มันยังสามารถขายให้เขาได้ ผมไม่น่าเก็บไว้เลย ตอนนั้นผมน่าจะขายเข็มขัดนี้ให้เขาด้วย เข็มขัดนี้อาจจะได้อีก 2 ชีวิต 2 คน” นึกออกใช่ไหมครับ?

จบตรงนี้ ทำไมผมเล่าเรื่องนี้ให้ท่านฟัง เพราะอะไร? งานรับใช้ ประกาศข่าวดี ก็ไม่มีวันพอใจสักทีหนึ่ง ทำไมผมถึงอธิบายเรื่องนี้ให้ท่านฟัง แทนที่เขาจะขอบคุณพระเจ้า แทนที่จะสรรเสริญพระเจ้าว่าสิ่งที่พระเจ้าทำกับเขา ผ่านทางพระพรให้กับเขา โดยที่พระพรนี้หลั่งไหลไปยังคนอิสราเอลที่ได้รับความรอด ผ่านทางเขา 1,150 คนแล้ว ขอบคุณและสรรเสริญพระเจ้า ด้วยความปิติยินดี อย่างนี้เขาเรียกว่าไม่เครียด อย่างนี้เขาไม่เรียกว่าวิตกกังวล แต่นี่เขาวิตกกังวล เขากลัว ทั้งๆ ที่ทำไปตั้ง 1,150 คน เพราะว่าไม่ใช่เขาทำ พระเจ้าทำ แต่เขาคิดว่าตัวเองเขาก็ต้องทำ ฉะนั้น พอนึกว่าตัวเองจะต้องทำ เขาก็ต้องทำอีก เขาก็อยากได้อีก ไม่ได้พักสักทีหนึ่ง

นี่ก็อันเดียวกันกับที่ยกตัวอย่างเหล่านี้ให้ท่านฟัง ท่านพอเข้าใจไหม? ท่านเทียบดู ถ้าท่านบอกท่านประกาศ ท่านก็ไม่มีวันที่จะได้มีสันติสุขสักที ถ้าท่านคิดตามเขาแบบนี้

“แท็กซี่คนนั้น ฉันก็ไม่ได้พูดให้เขาฟัง แล้วเขาตาย ใครจะรับผิดชอบ”

ท่านได้มีพักสงบบ้างไหมเนี้ย? ท่านจะเครียดไหม? แล้วพระเจ้าต้องการให้ท่านเครียดอย่างนี้เหรอ พระเยซูบอกว่าท่านได้หายเหนื่อยและเป็นสุข แล้วมันจะหายเหนื่อยได้อย่างไร? นี่แม้กระทั่งงานรับใช้เองนะ ท่านพอเข้าใจไหม?

“คนนั้น ฉันว่าฉันจะไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล ไปไม่ทัน ตายไปก่อนแล้ว”

รู้สึกฟ้องผิดไหม? ถามจริง ฟ้องผิด คนก็มักเป็นอย่างนี้ แต่พระเยซูต้องการให้เราเป็นอย่างนั้นไหม? เปล่าเลย พระเยซูต้องการให้เราเชื่อในพระองค์ … พระองค์ทรงทำให้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ถ้าพระองค์ทรงนำพาเราไปทัน มันก็ทัน ถ้าพระเจ้าต้องการให้ 1,150 คน ยิวเหล่านี้เหลือไว้ (ทำพันธุ์ต่อไปในรุ่นต่อๆ ไป หลังจากสงครามโลกครั้งที่สอง เขาก็จะถูกอยู่ ไม่ต้องถูกรมให้ตายไป 4-5 ล้านคนนั้น) ถูกไหม? แต่ 4-5 ล้านคนที่ตายไปแล้วนั้น เขาก็อยู่ในน้ำพระทัยพระเจ้าเช่นเดียวกัน ถูกหรือไม่ถูก เราช่วยอะไร 4-5 ล้านคนนั้นได้ไหม? ไม่ได้ เพราะฉะนั้นอย่าไปแบกโลกเอาไว้ ให้มันเครียดเปล่าๆ

ที่ยกตัวอย่างเรื่องนี้ให้ท่านฟัง เพื่อให้ท่านเอาเรื่องนี้ ไปใช้ในเรื่องอื่นๆ ในชีวิตของท่านได้ด้วย มีประโยชน์ไหมครับ? ผมว่ามีประโยชน์นะ ผมคิด หนังเรื่องนั้น นึกถึงเรื่องนี้ เลยอยากเล่าให้ท่านฟัง นอกเรื่องจากนี้นิดหนึ่งว่าพระเยซูต้องการให้เราหายเหนื่อยและเป็นสุข แต่เราชอบไปทำตัวเอง ไม่ให้หายเหนื่อยและเป็นสุข และเราก็นึกว่าเอ๊ะ! ทำไมพระเยซูสัญญา แล้วเรายังไม่ได้ทำตามที่พระเยซูบอกไว้ เราทำตามสิ่งที่เราคิดเอง ทำเอง ทุกประการ คำสัญญาของพระเยซูทั้งหมด ที่พูดมาเมื่อตะกี้ทั้งหมด ไม่ใช่ว่าเราไม่เชื่อ ถูกไหม? เราเชื่อ เราเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซู แล้วเราก็เชื่อในคำสัญญาทั้งหมดของพระองค์ด้วย เพลงเรายังร้องขึ้นใจเลยว่าพระองค์ทรงสัญญาอย่างนั้น เช่น

“ข้ายึดมั่นในคำสัญญาขององค์พระคริสต์

ข้าจะสรรเสริญพระองค์เสมอเป็นนิตย์

สรรเสริญยกย่องพระองค์ผู้ทรงมีฤทธิ์

ยึดมั่นในคำสัญญาของพระเจ้า”

ข้าจะสรรเสริญพระองค์เสมอเป็นนิตย์ คำสัญญาของพระองค์ หรือของพระคริสต์ ที่เรายึดมั่น คืออะไรครับ? คืออะไร? คือที่เราคุยมาทั้งหมด เมื่อสักครู่นี้ ใช่ไหม? พระเยซูให้อิสรภาพกับเรา ให้ความชื่นชมยินดีกับเรา ให้สันติสุขกับเรา ให้ชีวิตที่ครบถ้วนบริบูรณ์กับเรา จนเราไม่ขัดสนสิ่งใดๆ เลย เราอยู่กับสิ่งนั้นได้ ให้ชีวิตนิรันดร์ ให้อยู่กับพระเจ้า จริงหรือไม่จริง ให้ชีวิตนิรันดร์ที่เราจะอยู่กับพระเจ้าจริงหรือไม่จริง? จริง ถูกหมดเลย ทั้งหมด เรายึดมั่นในคำสัญญานี้ แต่ในความจริง การดำเนินชีวิตของเรา ในการดำเนินชีวิตจริงๆ ของเรา เป็นไปตามที่เราร้องไหม? ไม่เป็น เพราะเราไม่ได้ยึดตามที่เราร้องจริงๆ นั่นเอง เรายึดแต่ปาก การดำเนินชีวิตของเราในฐานะที่เป็นคริสเตียน หรือในฐานะสาวกของพระเยซูคริสต์ที่เดินตามพระเยซู มันไม่เห็นเป็นตามสัญญาเหล่านั้นเลย เพราะอะไร? มันไม่เห็นเป็นเลย ที่พูดมาทั้งหมด ได้อย่างเดียว คือได้ชีวิตนิรันดร์ที่จะไปอยู่กับพระเจ้า เป็นคริสเตียนแล้ว

“ได้อะไร?”

“ฉันได้รับชีวิตนิรันดร์ ได้อยู่กับพระเจ้า”

ที่เหลือทั้งหมด อิสรภาพ ไม่ได้ ขัดสนตลอด ทุกอย่างตลอด ไม่ได้พักหายเหนื่อย เหนื่อย เครียดตลอดอย่างนี้ เป็นต้น

เพราะฉะนั้น เราจึงสามารถสังเกตได้ว่ามันไม่ใช่ว่าเราไม่เชื่อในสิ่งที่พระเยซูบอก ที่พระเยซูสัญญา หรือไม่เชื่อในคำสัญญาของพระองค์ มันไม่ใช่อย่างนั้น เราเชื่อ แต่ทำไมคำสัญญาเหล่านี้ จึงไม่เกิดขึ้นในชีวิตจริงของเรา ปัญหามันอยู่ที่ไหน?  ปัญหา คืออะไร? ทำไมชีวิตตามพระสัญญาของพระเยซูคริสต์ จึงได้แตกต่างจากชีวิตจริงที่เราต้องเผชิญอยู่บนโลกใบนี้เหลือเกิน ชีวิตตามพระสัญญาของพระเยซูคริสต์ที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่าชีวิตเมื่อมาเชื่อพระเยซูแล้ว มันจะเป็นอย่างนี้ๆ ทำไมมันถึงแตกต่างจากชีวิตจริง ที่เรากำลังเผชิญอยู่บนโลกใบนี้ ทุกวันนี้  ทำไม? เราจะมาวิเคราะห์ปัญหานี้ด้วยกัน มาช่วยกันนะครับว่ามันเกิดอะไรขึ้น? ช่วยกัน ทำไมสิ่งที่เราเชื่อจึงไม่เกิดผล เราจะมาวิตกจากบันทึกของอาจารย์เปาโล ในหนังสือโคโลสี

เปาโลมีประสบการณ์ในการดำเนินชีวิต ที่เต็มไปด้วยสันติสุข เต็มไปด้วยความสงบ เต็มไปด้วยความพอเพียง พอเพียง แปลว่าไม่ขัดสน แปลว่าครบถ้วนบริบูรณ์ อะบันเดิ้นไลท์จริงๆ เป็นสันติสุขในพระเยซูคริสต์เจ้าอย่างแท้จริง ที่ท่านได้รับมา เรียบร้อยไปแล้ว และดำเนินชีวิตอยู่ในนั้น แล้วท่านอยากให้เราได้รับเหมือนกับที่ท่านได้รับเช่นเดียวกัน คำพูดของอาจารย์เปาโลที่กำลังจะอ่านต่อไปนี้นะครับ เป็นสิ่งที่จะสอนเราว่าการที่เราจะได้รับตามที่พระเยซูคริสต์สัญญากับเรานั้น เราควรจะทำอย่างไรบ้าง? ลองอ่านกันดูนะครับว่านี่คือวิธีการที่จะได้รับสิ่งที่พระเยซูสัญญาไว้ในชีวิตคริสเตียนทุกคน ท่านอยากได้ไหม? อยากได้ ตั้งใจอ่านตรงนี้ แล้วมาเรียนรู้กันต่อไป โคโลสี 3:1-4

โคโลสี 3:1-4 “1 ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลาย เป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว ก็จงให้ใจของท่าน จดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์ ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า 2 จงให้ความคิดของท่าน จดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก 3 เพราะท่านตายแล้ว และบัดนี้ ชีวิตของท่าน ถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ ในพระเจ้า 4 เมื่อพระคริสต์ผู้ทรงเป็นชีวิตของท่านปรากฏ เมื่อนั้น ท่านก็จะปรากฏพร้อมกับพระองค์ ในพระเกียรติสิริด้วย”

 

นี่คือถ้อยคำของอาจารย์เปาโล ที่กำลังสอนเรา  ถึงแนวทางในการดำเนินชีวิต ที่จะทำให้เราได้รับสันติสุขและพระพรทางฝ่ายวิญญาณนานานับประการ เหมือนอย่างที่อาจารย์เปาโลได้รับแล้ว เปาโลไม่ได้พูดลอยๆ แบบที่ไม่สามารถปฏิบัติได้จริงในชีวิตนะครับ ถ้อยคำหรือคำสอนตรงนี้ เป็นสิ่งที่ท่านปฏิบัติจริงๆ แล้วเกิดผลในชีวิตของท่านแล้วจริงๆ ท่านจึงอยากให้เราได้รับ อย่างที่ท่านได้รับจริงๆ ลองย้อนมาดูนะครับ ลองย้อนดูตัวเรา ถามว่าจริงๆ แล้วเราต้องการดำเนินชีวิตในทางพระเจ้าหรือไม่?  เราอยากมีชีวิตเต็มไปด้วยน้ำพระทัยพระเจ้าครบถ้วนบริบูรณ์ในชีวิตหรือไม่?  เราอยากมอบถวายชีวิตของเรากับพระองค์หรือไม่? เราอยากให้พระเจ้าอวยพรชีวิตของเรา ทุกพื้นที่ในชีวิตของเราใช่ไหม? ผมเชื่อว่าคำตอบทุกคน คือใช่หมดทุกข้อนั่นแหละ อยากได้อย่างนั้น แต่ละวันเราก็อธิษฐานกับพระเจ้าอย่างนี้ใช่ไหม? แต่ละวัน ส่วนใหญ่

“ขอให้ลูกได้เรียนรู้จักพระองค์มากขึ้น  ได้ติดสนิทกับพระองค์มากขึ้น  มากขึ้นทุกวัน ขอให้ลูกเป็นไปตามน้ำพระทัย”

ถูกไหม?

“ขอให้ลูกพึงพิงในพระองค์แต่เพียงผู้เดียว ขอให้ลูกวางภาระทุกอย่างไว้ที่พระองค์ ขอทรงโปรดช่วยลูกเถิด”

อะไรอย่างนี้ ประมาณนี้ ถูกไหม? นี่คือคำอธิษฐานทั่วๆ ไปของเรา แต่ละวัน แต่หลังจากอธิษฐานแล้ว เราหลังจากนั้น เกิดอะไรขึ้นครับ เราก็ยังวนเวียนอยู่กับเรื่องของโลกนี้ ยังคงเครียดและวิตกกังวลกับเรื่องราวบนโลกนี้ ที่กำลังเกิดขึ้น ยังคงแบกภาระทางโลกไว้ จนหนักอึ้ง ถูกหรือไม่ถูก? ใช่ไม่ใช่? ใช่ คือลึกๆ แล้ว เรามีความปรารถนาทางฝ่ายวิญญาณนั่นเอง

ความปรารถนาทางฝ่ายวิญญาณ เราก็อยากได้อย่างที่เราอธิษฐานเมื่อตะกี้นี้ แต่ความคิดและจิตใจทางร่างกายของเรา มันก็ยังคงติดอยู่กับเนื้อหนัง เชื้อของความบาปที่ติดอยู่กับเนื้อหนัง ใช่หรือไม่ใช่?  คือวิญญาณเรายังอยากได้อย่างที่เราอธิษฐานเมื่อตะกี้นี้  พอออกจากห้องมา ความคิดจิตใจร่างกายของเรา มันยังติดอยู่กับเนื้อหนัง ติดอยู่กับกระแสของโลกนี้  ยังเกาะอยู่กับระบบของโลกนี้อยู่ ยังคงดำเนินชีวิตแบบเราเป็นของโลกนี้อยู่ ยังดำเนินชีวิตตามระบบของโลกนี้อยู่ใช่ไม่ใช่? ใช่

เรามาดูถ้อยคำในโคโลสีที่เราอ่านไปเมื่อตะกี้นี้ว่าเคล็ดลับมันอยู่ที่ไหน?

ในข้อ 1 ที่ตะกี้นี้เราอ่านไปด้วยกันบอกว่า “ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลาย เป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว”

“แล้ว” แปลว่าอะไร? แปลว่ามันเสร็จไปแล้ว

“ก็จงให้ใจของท่านจดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า จงให้ความคิดของท่านจดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก เพราะท่านตายแล้ว”

จำคำว่า “แล้ว” ไว้

“และบัดนี้ (แปลว่าเดี๋ยวนี้) ชีวิตของท่านถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า”

นี่คือเคล็ดลับอยู่ในนี้ สังเกตให้ดีนะครับ พระคัมภีร์ได้ใช้คำว่า “แล้ว” ทั้งนั้นเลย  ที่ตะกี้นี้ผมให้ท่านสังเกตดู

“ทรงให้ท่านทั้งหลายเป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว”

ท่านเป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้วหรือยัง?

พูดกับคนข้างๆ สิ  “ท่านเป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว” ท่านถูกชุบให้เป็นขึ้นมาใหม่แล้ว

หรือในข้อ 3 บอกว่า “เพราะท่านได้ตายแล้ว และบัดนี้ชีวิตของท่านถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์แล้ว ในพระเจ้า”

ถ้อยคำพระเจ้าไม่ได้บอกว่าท่านจะต้องตาย หรือเมื่อถึงเวลาที่ท่านตาย ท่านจะได้เป็นขึ้นมาใหม่ ไม่ได้บอกอย่างนั้น ถูกไหม?  แต่ย้ำว่าเกิดขึ้นหมดแล้ว ตายแล้ว และเป็นขึ้นมาใหม่แล้ว เอเมน เรียบร้อยไปแล้ว เสร็จไปแล้ว ไม่ใช่ต้องรอ ไม่ใช่ต้องรออนาคต ยังมีอีกในโรม 6:4

โรม 6:4 “ฉะนั้น  เราจึงถูกฝังไว้กับพระองค์แล้ว  โดยการบัพติศมา  เข้าในความตาย …”

 

ในโรม 6:6-7 บอกว่า “6 เพราะเรารู้ว่าตัวเก่าของเราถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว เพื่อกายบาปนั้น จะถูกขจัดไป เพื่อเราจะไม่เป็นทาสบาปอีกต่อไป 7 เพราะว่าผู้ใดที่ตายแล้ว ก็เป็นอิสระจากบาป (แล้ว … นี่พูดเอง)”

 

เอเฟซัส 2:6 ที่เมื่อสัปดาห์ที่แล้วได้อ่านกันนิดหนึ่ง “และพระองค์ทรงให้เราเป็นขึ้นมากับพระคริสต์แล้ว และในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าทรงให้เรานั่งในสวรรค์สถานกับพระคริสต์แล้ว

 

          พระคัมภีร์ให้เราจดจ่ออยู่ตรงนี้ ตรงที่ตะกี้นี้พูด ไม่ใช่รออนาคตจะมาถึง แต่ให้จดจ่อว่ามันเป็นขึ้นแล้ว มันเดี๋ยวนี้แล้ว

          “ฉันนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถานแล้ว ฉันเป็นขึ้นมาใหม่ร่วมกับพระเยซูคริสต์แล้ว”

 

ทุกอย่างได้เกิดขึ้นครบถ้วนบริบูรณ์เรียบร้อยไปแล้ว จำได้ไหมครับ วันที่พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน และตายตอนบ่าย 3 โมง วันศุกร์ตอนบ่าย 3 โมง พระองค์ทรงตะโกนร้องว่า “It is finished” มันได้เสร็จแล้ว It is finished. เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว เสร็จแล้ว It is finished. สำเร็จแล้ว เรียบร้อยแล้ว พระเยซูไม่ได้บอกว่า It has begun. ก็คือมันเริ่มต้นแล้ว มันยังไม่จบ ไม่ใช่ พระองค์ไม่ได้บอกอย่างนั้น พระองค์บอกว่ามันจบแล้ว ทุกอย่างเสร็จสิ้นบนโลก ที่ไหน? ที่ไม้กางเขน ตอนบ่าย 3 โมงนั้น ทั้งหมดที่ได้มีบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ ที่เราได้อ่านมานี้ ทั้งหมดนี้ เกิดขึ้นเรียบร้อยแล้ว หันไปบอกคนข้างๆ ได้เลยครับว่ามันเกิดขึ้นอย่างนี้แล้ว บอกคนข้างๆ มันเกิดขึ้นตามนั้น ที่พระเยซูบอกนั่นนะ มันเกิดขึ้นทั้งหมดตามนั้นเลย ชีวิตที่ครบถ้วนบริบูรณ์ มันก็เกิดอย่างนั้นขึ้นแล้ว ไม่ขัดสน มันก็เกิดขึ้นอย่างนั้นแล้ว หาให้เจอ อยู่ที่ไหน? อยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า จดจ่ออยู่ที่นั้น

บอกคนข้างๆ หรือยัง ตะกี้เห็นคนบอกคนข้างๆ บอกว่า “ท่านตายแล้ว”

อย่าหยุดอยู่แค่นั้นนะ ต้องบอกว่า “เป็นขึ้นมาใหม่ด้วย”

หลายคนหันไปบอกว่า “ท่านตายแล้ว”

แค่นั้นมันหยุดไม่ได้นะ ถ้าท่านบอก ท่านหันไป แล้วบอกประโยคเดียวบอกว่า “ท่านเป็นขึ้นมาใหม่แล้ว” อันนี้ไม่เป็นไร

แต่ถ้าหันไปแล้วบอกว่า “ท่านตายแล้ว” แล้วไม่พูดอะไรต่อ ไม่ได้ ต้องให้ครบ

“ท่านเป็นขึ้นมาใหม่แล้ว”

เอาใหม่อีกที “ท่านเป็นขึ้นมาใหม่แล้ว”

เพราะฉะนั้น ปัญหาที่คุยกันไว้ว่า “ทำไมเราเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว แต่เรายังไม่ได้รับในพระสัญญาของพระองค์?”

“ทำไมเรายังไม่มีสันติสุขตามที่พระองค์บอกไว้ในชีวิตของเรา”

“ทำไมเรายังมีความเครียด ความวิตกกังวลอยู่เลย”

สรุปว่าปัญหาอยู่ที่ไหนครับ? ปัญหาอยู่ที่ใคร? อยู่ที่พระสัญญาของพระเยซูหรืออยู่ที่ตัวเรา … อยู่ที่ตัวเรา แสดงว่าพันธสัญญานั้นเป็นจริง แต่มันอยู่ที่ตัวเราเท่านั้นเอง ซึ่งจริงๆ แล้วปัญหาของหลายๆ คน ที่ยังไม่ได้รับในสิ่งที่พระเยซูทรงสัญญาไว้ ทั้งๆ ที่เชื่อในพระเยซูมาตั้งนานแล้ว เชื่อจริงๆ ด้วย เชื่อในข่าวประเสริฐของพระองค์ เชื่อในฤทธิ์เดชอำนาจของพระองค์ แต่สิ่งที่ขาดอยู่ ก็คือไม่เชื่อในผลของข่าวประเสริฐนั้นอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ไม่เชื่อในผลของข่าวประเสริฐที่ตัวเองได้รับข่าวประเสริฐมาแล้ว แต่ไม่เชื่อมันหมด หรืออาจจะเป็นเพราะยังไม่เข้าใจถึงสิทธิของการได้อยู่ในพระคริสต์ พระคริสต์เป็นอะไร? พระคริสต์เป็นอย่างไร? อาจจะยังไม่เข้าใจ อย่างที่ผมบอก รับข่าวประเสริฐมา รับเฉพาะว่าพระเยซูตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต เพื่อชำระบาปให้กับเรา มันก็ได้รับแค่บาปอย่างเดียว แต่ไม่ได้เอาอย่างอื่นแล้ว ไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้ เรานั่งอยู่ที่เบื้องขวาแล้ว เดี๋ยวนี้เราเป็นอย่างไร? เราสามารถมีชีวิตที่ครบถ้วนบริบูรณ์ จนไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว ได้นะ มีทางเป็นไปได้ ถ้าเรารู้อย่างนี้ เราจะใช้สิทธิของเรา  ถูกไหมครับ สิทธิของเราอยู่ที่ไหน?  อยู่ที่ในพระคริสต์

ให้เราพูดพร้อมกัน “ในพระคริสต์ ในพระคริสต์ ในพระคริสต์ ในพระคริสต์”

พูดอีกประมาณ 50 ครั้ง  “ในพระคริสต์ ในพระเยซูคริสต์ ในพระคริสต์ In Christ ในพระคริสต์”

ต่อไปนี้ท่านจะต้องจำตรงนี้ไว้ตลอดเวลาเลย เราต้องมุ่งความคิดของเรา จดจ่ออยู่ที่ในพระคริสต์ ในพระคริสต์ ในพระคริสต์ จะเป็นอย่างไร  เดี๋ยวว่ากันต่อไป ในพระคริสต์ ในพระคริสต์ แล้วศึกษาไปเรื่อยๆ ว่าในพระคริสต์เป็นอย่างไร? เขาเรียกภาวนาๆ ไปทุกวันๆ พูดง่ายๆ ก็คือสิ่งที่พระคัมภีร์บอกว่าพระเยซูทำให้เราหมดแล้ว เราได้รับเรียบร้อยแล้ว แต่เรายังไม่เชื่อในสิ่งเหล่านี้ ก็เพราะว่าเราไม่สนใจในสิ่งที่พระองค์ทรงให้เรา ซึ่งทั้งหมดอยู่ในพระคริสต์แล้วนั่นเอง ซึ่งถ้าเราไม่สนใจในพระคริสต์ เราก็จะไม่ได้รับในสิ่งเหล่านั้นเลย  เพราะเหมือนเราไม่เชื่อ เราไม่เชื่อในสิ่งที่พระองค์บอกไว้ในพระคริสต์

ยกตัวอย่างเช่น ในพระคัมภีร์บอกว่า “ในพระคริสต์ท่านตายแล้วกับพระคริสต์”

ที่ไม่เชื่อ เพราะอะไร? เพราะเราไม่รู้ ท่านตายแล้วกับพระคริสต์ เราก็ไม่รู้ เรานึกว่ารอให้เราตายก่อน วันหนึ่งข้างหน้าเราจะตาย ไม่ใช่ ตายแล้ว เดี๋ยวนี้ตายเลย ในพระคริสต์ พระคัมภีร์บอกว่าท่านได้เป็นขึ้นมาใหม่ร่วมกับพระคริสต์ อย่างนี้เป็นต้น

เป็นขึ้นมาใหม่ บางคนก็บอกรอให้ร่างกายตายไปก่อน แล้วค่อยได้เป็นขึ้นมาใหม่ ไม่ใช่ บาปในพระคริสต์ บาปของท่านถูกตรึงไว้ที่ไม้กางเขน ร่วมกับพระคริสต์ไปแล้ว ตรึงไว้ตรงนั้นแล้ว ท่านก็มาบอกว่าบาป เราต้องฆ่ามันทุกวัน เราต้องไม่ทำบาป เราต้องทำอย่างนั้น มันคนละเรื่องกัน ในพระคริสต์ท่านเป็นคนใหม่แล้ว ท่านไม่ได้เป็นคนบาปอีกแล้ว ท่านหมดเวรหมดกรรมแล้ว เอเมน บางคนก็มีความรู้สึก

“ยังไม่หมดเวร เมื่อไรมันจะตายสักที ตายจะได้หมดเวร พระเยซูจะได้มารับฉันไป ฉันจะได้หมดเวรหมดกรรมสักที”

ไปกันใหญ่เลย ทั้งๆ ที่มันหมดไปแล้ว และในพระคริสต์ เดี๋ยวนี้เกิดขึ้นแล้ว ท่านเป็นคนบริสุทธิ์แล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว อะไรประมาณนี้ เป็นต้น มันเกิดขึ้นแล้ว ท่านต้องรู้สิทธิว่าในพระเยซูคริสต์ หรือในพระคริสต์ มันเป็นอย่างไร? ท่านเป็นใคร? ท่านได้รับอะไรบ้าง? แล้วมันเป็นไปแล้วอย่างไร?  ท่านจึงจะสามารถได้รับสิทธิของท่าน ถ้าท่านไม่สนใจเลย ท่านก็ … เขาเรียกว่าอะไร? ท่านก็นอนหลับทับสิทธิ์

เมื่อเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเจ้า ก็ต้องเชื่อให้มันครบหมดทุกอย่าง ท่านก็จะได้รับสิ่งที่พระองค์ทรงจัดเตรียมให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว ซึ่งอยู่ในพระคริสต์ มิฉะนั้นท่านไม่สนใจในพระคริสต์ ท่านก็จะมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ อย่างในตัวเอง ในโลกนี้  ทำอย่างไรรู้ไหมครับในโลกนี้? ทำเอง อยากได้ ทำเอง  มันก็ไปตามกระแสของโลกนี้ อย่างที่ตะกี้นี้บอก ไม่มีวันหยุด ไม่มีวันจบ วิตกกังวล เครียด กลัว ไม่พอ เอาอีกๆ จนกระทั่งวันตาย แล้วก็ไปอยู่กับพระเจ้า ท่านจะเอาอย่างนั้นไหม? ก็ได้ ท่านก็อยู่กับพระเจ้า แล้วท่านก็ได้แค่นั้นเอง  แต่ในชีวิตท่านแทบจะไม่ได้ถวายเกียรติอะไรกับพระเจ้าเลย เพราะมันเครียดตลอดทั้งชีวิต ในยอห์น 8:31-32 พระเยซูได้ตรัสไว้อย่างนี้ว่า.-

ยอห์น 8:31-32 “31 “ถ้าท่านยึดมั่นในคำสอนของเรา ท่านก็เป็นสาวกของเราจริงๆ 32 แล้วท่านจะรู้จักความจริง และความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท”

 

ไม่ใช่เป็นคนที่อยู่ในคุกอีกต่อไป เป็นอิสรภาพ มีอิสรภาพ

พูดพร้อมกัน “และความจริง จะทำให้นคร … (ใส่ชื่อท่าน) เป็นไท” ตะโกนดังๆ เลย

อะไรที่ทำให้เราเป็นไท “ความจริง” นั่นเอง เรากำลังมาเรียนรู้ความจริงว่าเราเป็นใคร ในพระเยซูคริสต์ ในพระคริสต์ พระองค์ทรงทำอะไรให้เราบ้าง? ความจริงที่พระเยซู หมายถึงคือสิ่งที่พระองค์ได้ทรงกระทำให้เราเรียบร้อยไปแล้ว คือสิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่เราได้รับมาแล้ว เช่น เรารอดจากบาปแล้ว … เราเป็นคนใหม่ในพระเยซูคริสต์แล้ว … สวรรค์เป็นของเราแล้ว … เราสะอาดหมดจด ปราศจากมลทินทั้งปวงเรียบร้อยไปแล้ว … เราเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ สะอาดจริงๆ แม้ว่าบางครั้งเราจะไม่อาบน้ำ แต่เราก็สะอาด ข้างในวิญญาณเราสะอาดหมดจดจริงๆ เลย แม้เมื่อวานนี้เราจะโกหกหรือทำบาปอะไรต่างๆ แต่วันนี้เรารู้ เดี๋ยวนี้เราก็รู้ว่าเรายังบริสุทธิ์สะอาดปราศจากมลทินจริงๆ เพราะเราอยู่ในพระคริสต์ เราอยู่ในพระคริสต์ เราอยู่ในพระเยซู เราเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ข่าวประเสริฐของพระเจ้า เอเมน มันแปลว่าอย่างนี้ และยังมีอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งเราเพียงแค่รับรู้ความจริงตรงนี้

นี่คือความจริงที่เราเป็นไท นี่คือความจริง … ความจริง คืออะไร? ความจริง คือถ้อยคำพระเยซูที่อยู่ในพระคัมภีร์ ความจริงตรงนี้จะทำให้เราเป็นไท เพียงแค่เรารับรู้ความจริงตรงนี้  แล้วก็เชื่อตามความจริงนี้เท่านั้นเอง จดจ่ออยู่กับความจริงนี้ ไม่ว่าโลกมันจะโกหกอะไรเรา ไม่เชื่อ เราจะเชื่อตามถ้อยคำพระเจ้า และใครก็ตามที่สามารถเชื่อได้ตามนี้ ผู้นั้นก็จะได้รับการเป็นไท หรือเป็นอิสรภาพอย่างแท้จริง คือเป็นอิสรภาพอย่างแท้จริง จากชีวิตประจำวันทั้งหมด เหมือนที่เปาโลได้รับเรียบร้อยไปแล้ว เอเมน

นี่คือสิ่งที่พระเยซูสอนเรา บอกเรา ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท แล้ววิธีที่เปาโลได้สอนไว้ คือให้ใจ และความคิดของท่านหรือของเราจดจ่ออยู่กับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก

พูดพร้อมกันนะครับ “ฉันจดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก”

คำว่า “เบื้องบน” ตรงนี้ ก็คือเบื้องบนที่พระคริสต์ประทับอยู่ และท่านก็อยู่ในพระคริสต์ด้วย เข้าใจไหมครับ? ถ้าจิตใจท่านจดจ่ออย่างนี้ตลอดเวลา ท่านคิดอยู่ตลอดเวลา ขึ้นรถเมล์ก็นั่งคิดอยู่ตลอดเวลา เผลอๆ กินข้าวไป มีสมองคิดตลอดเวลาว่า.-

“ฉันกำลังกินข้าว ฉันนั่งอยู่ในพระเยซูคริสต์ ฉันนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า พระเยซูคริสต์ ฉันอยู่กับพระเยซูคริสต์ อยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน ฉันอยู่ที่นั่นแล้ว”

ท่านจะเห็นภาพชัดเจนมากขึ้น เรียกว่าท่านอยู่ที่นั่นแล้ว และท่านจะสามารถเผชิญทุกอย่างได้บนโลกใบนี้ เอเมน นี่แหละอิสรภาพ นี่แหละคือชัยชนะ เห็นหรือยังว่ามันเป็นไปได้

“มันเป็นไปได้จริงๆ นะ”

และใครที่สามารถทำได้ตามอย่างที่เปาโลสอนนั้น ผู้นั้น ก็จะได้รับทุกอย่างตามพระสัญญาของพระคริสต์ ที่ตะกี้นี้เราอ่านมาทั้งหมดเลย แล้วมากกว่านั้นอีก และได้รับประสบการณ์ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ที่เต็มไปด้วยสันติสุข เต็มไปด้วยความสงบ เต็มไปด้วยความพอเพียง เป็นสันติสุขในองค์พระเยซูคริสต์เจ้าอย่างแท้จริง เป็นคริสเตียนแท้จริง ตามพระคัมภีร์ แบบที่เปาโลได้รับไปเรียบร้อยแล้ว แล้วอยากให้พวกเราเป็นอย่างนี้ อยากไหม? เอเมน

เรามาย้ำกันอีกครั้งหนึ่งว่าเปาโลสอนเราว่าอย่างไร? ในโคโลสี 3:1-4 อ่านพร้อมๆ กัน ดังๆ เลยนะครับ

โคโลสี 3:1-4 “1 ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลาย เป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว ก็จงให้ใจของท่าน จดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์ ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า 2 จงให้ความคิดของท่าน จดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก 3 เพราะท่านตายแล้ว และบัดนี้ ชีวิตของท่าน ถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ ในพระเจ้า 4 เมื่อพระคริสต์ผู้ทรงเป็นชีวิตของท่านปรากฏ เมื่อนั้น ท่านก็จะปรากฏพร้อมกับพระองค์ ในพระเกียรติสิริด้วย”

 

อ่านตามผมดังๆ เลยนะครับ “ในเมื่อทรงให้นคร … (ใส่ชื่อท่าน) เป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว ก็จงให้ใจของนคร … (ใส่ชื่อท่าน) จดจ่ออยู่กับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า จงให้ความคิดของนคร … (ใส่ชื่อท่าน) จดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก เพราะนคร … (ใส่ชื่อท่าน) ตายแล้ว และบัดนี้ ชีวิตของนคร … (ใส่ชื่อท่าน) ถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า” เอเมน

ไปท่องตรงนี้เยอะๆ ท่องเยอะๆ เลย นี่คือการจดจ่ออยู่ตรงนี้  ไม่ใช่วันนี้ เดี๋ยวนี้ และแค่นี้ แล้วก็กลับไป มองๆ อย่างนี้ตลอด และเราจะพูดถึงเรื่องนี้ไปอีกหลายตอน อย่างที่ผมบอก จะมาคุยเรื่องในพระคริสต์ตรงนี้เป็นอย่างไร? เบื้องบนที่พระเยซูคริสต์ให้เราไปนั่งอยู่ตรงนั้น เป็นอย่างไร? แล้วเราเป็นอย่างไรตรงนั้น ที่เรียกว่าในพระคริสต์เป็นอย่างไร?

และหนึ่งวิธี ที่จะมีส่วนช่วยเราให้สามารถจดจ่อความคิดจิตใจของเรากับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ก็คือการร้องเพลงที่เกี่ยวกับพระคริสต์ ในพระคริสต์นี้ การร้องเพลงให้ขึ้นใจ มันถึงช่วยเราได้ ท่านพอเข้าใจใช่ไหมว่าเพลงฮิมเขามีไว้ทำไม? ให้เราจดจ่อที่นี่ ร้องไปๆ เพราะร้องเป็นเพลงมันจำได้ง่ายขึ้น แม้จะร้องเพี้ยนก็ตาม แต่สำหรับเราเพราะอยู่คนเดียว ทุกคนร้องเพลง ทุกคนก็คิดว่าร้องเพราะอยู่คนเดียวนั่นแหละ ไม่มีใครนึกว่าตัวเราเพี้ยนหรอก เพราะเราร้องแล้วมีความสุขของเรา เป็นโลกส่วนตัวของเรา  เพราะฉะนั้น ร้องเพลงนี้ให้ขึ้นใจ เนื้อหาของเพลงนี้ บอกเล่าความหมายของการมีชีวิตอยู่ในพระคริสต์ และสิ่งที่เราได้รับตามพระสัญญาของพระองค์ในพระคริสต์ ให้เราฝึกร้องเพลงนี้ จำให้ขึ้นใจ แล้วก็ให้บทเพลงนี้ เป็นเครื่องเตือนใจเราในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  และให้เรารับรู้ถึงความยิ่งใหญ่และความล้ำค่าสูงสุดของการเสียสละของพระเยซูคริสต์ ที่ทำให้เราได้มีชีวิตอยู่ในพระองค์ ในพระคริสต์นี่แหละ เราได้รับมา เพราะพระองค์ทรงเสียสละเพื่อเรา และการมีชีวิตอยู่ในพระคริสต์ ทำให้เราเป็นผู้ชอบธรรม สะอาด บริสุทธิ์ ปราศจากบาป และดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้แบบมีพระคริสต์นำหน้า ในทุกพื้นที่ชีวิตของเรา จนกระทั่งถึงวันที่พระองค์กลับมาบ้าน พาเรากลับบ้าน พาเรากลับไปอยู่เบื้องบน จบหน้าที่เรา ขณะที่เราอยู่บนโลกใบนี้  พระองค์เพียงจะใช้ชีวิตเราให้เป็นประโยชน์ตามน้ำพระทัยของพระองค์เท่านั้นนะ หมดหน้าที่เรา เรากลับบ้านแล้ว เราไม่สามารถที่จะอยากอยู่ต่อไปได้ และเราไม่อยากอยู่ต่อ ก็ต้องอยู่ เพราะฉะนั้น ท่านอยากอยู่ไหม? แล้วแต่พระเจ้า ให้ชีวิตเราเป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ เอเมน จดจ่ออยู่ที่พระเยซู  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*********************

 

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 19 กรกฎาคม 2015 เรื่อง “เราเป็นใครในพระคริสต์” ตอน 2 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  19  กรกฎาคม  2015

เรื่อง “เราเป็นใครในพระคริสต์” ตอน 2

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

เราเป็นใครในพระเยซูคริสต์?  ตอนนี้ตอนที่ 2 นะครับ วันนี้เรายังอยู่ในซีรี่ส์ การบรรยายเรื่อง “เราเป็นใครในพระคริสต์”

ให้เราพูดพร้อมกันนะครับ “เราเป็นใครในพระคริสต์”

ให้ลองถามคนข้างๆ สิ “เธอเป็นใครในพระคริสต์”

“รู้ไหม?” อันนี้ถามตัวเอง ไม่ต้องถามเขา

“รู้ไหม?  ฉันเป็นใครในพระคริสต์”

เราจะมาศึกษาในเรื่องนี้กันต่อ ครั้งที่แล้วเราได้คุยกันตั้งแต่ความหมายของคำว่า “พระเยซูคริสต์” ความหมายของคำว่า “อยู่ในพระคริสต์” “การถูกชุบ” “การถูกสร้างขึ้นใหม่” “การเกิดใหม่ในพระคริสต์” เป็นอย่างไรบ้าง? เราได้บรรยายกันไปในตอนที่แล้ว ใครที่ยังไม่ได้ฟังในตอนที่แล้ว ก็ไปหาซีดีฟัง หรือไปเปิดในยูทูป เว๊บของคริสตจักรโฮลี่ มีเก่าๆ เยอะแยะ ดูสัปดาห์ที่แล้ว ดูชื่อเรื่องก็ได้  เราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ หรือเราเป็นใครในพระคริสต์

ครั้งที่แล้ว เราได้ทิ้งท้ายกันที่สมาการ  สมาการของใคร?  ของพระเยซูคริสต์ สมาการที่พระเยซูคริสต์ได้ตรัสไว้ในหนังสือยอห์น ยังจำได้ไหมครับว่าพระองค์จัดสมาการไว้ว่าอย่างไรในเรื่องเกี่ยวกับพระคริสต์ หรือในพระเยซูคริสต์ สมาการ คือการเปรียบเทียบ

พระเจ้าอยู่ในพระเยซูคริสต์ และพระเยซูคริสต์อยู่ในพระเจ้า เพราะฉะนั้น พระเยซูคริสต์จึงเหมือนพระเจ้า

พระเยซูทรงอยู่ในเรา ผู้ที่เชื่อนะ พระเยซูทรงอยู่ในเรา และเราอยู่ในพระเยซู เท่ากับ เราจึงเหมือนพระเยซู และเมื่อพระเยซูเหมือนพระเจ้า และเราเหมือนพระเยซู เพราะฉะนั้น เราจึงเหมือนพระเจ้า เอเมน

เราเหมือนพระเจ้านะครับ ฟังให้ดีๆ เราเหมือนพระเจ้า ไม่ใช่เราเป็นพระเจ้านะครับ อย่าเข้าใจผิด เราเหมือนพระเจ้า เหมือนกับเป็น ต่างกันเยอะเลยนะครับ ถูกไหม? บางคนแต่งเป็นผู้หญิง ก็ดูเหมือนเป็นผู้หญิง แต่บางทีตัวจริงๆ อาจจะไม่เป็นผู้หญิง หรือบางคนแต่งเป็นผู้ชาย  แต่ดูเหมือนผู้ชายก็มี เห็นไหม? บางทีเขาเอาไปแต่ง แมวบางตัวแต่งออกมา ดูเหมือนสุนัขก็มี แต่มันไม่ใช่ เข้าใจไหม? เป็นเหมือน ไม่ใช่เป็นนะ เป็นเหมือน

คำว่า “เหมือน” พระเจ้าตรงนี้ หมายถึงสภาพ หรือมีพระลักษณะ หรือเรียกว่าลักษณะชีวิตของพระเจ้าอยู่ในตัวเรา จะเรียกว่าลักษณะหรือพระลักษณะ แล้วแต่ ก็คือเป็นลักษณะของพระเจ้า ที่เหมือนพระเจ้าอยู่ในชีวิตเรา ชีวิตใหม่นั้น คืออะไร? ยกตัวอย่าง พระลักษณะหนึ่ง คือมีความชอบธรรมบริสุทธิ์ อย่างนี้เป็นต้น พอเราไปอยู่ในพระคริสต์ เรามีความชอบธรรม มีความบริสุทธิ์สะอาด เหมือนใคร?  พูดพร้อมกัน “เหมือนใคร?” เหมือนพระเจ้า

พูดพร้อมกัน “ฉันชอบธรรมและบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า โดยผ่านทางพระคริสต์ ในพระคริสต์

เพราะฉะนั้น ชอบธรรมบริสุทธิ์ จึงจะอยู่กับพระเจ้าได้ไง ถ้าเราไม่ชอบธรรม เราเป็นคนบาป อยู่พระเจ้าไม่ได้ เข้ากับพระเจ้าไม่ได้ แต่นี่เราชอบธรรม บริสุทธิ์สะอาด เหมือนพระเจ้า จึงสามารถอยู่กับพระเจ้าได้  ยืนยันนิดหนึ่ง ด้วยถ้อยคำ พระคัมภีร์ ซึ่งเราไม่ได้มาพูดเองนะ จะได้รู้ว่ามาจากพระคัมภีร์ ครั้งที่แล้วทิ้งไว้ตรงนี้ ยอห์น 14:20 พระเยซูตรัสว่า.-

ยอห์น 14:20 ““ในวันนั้น พวกท่านจะตระหนักว่าเราอยู่ในพระบิดาของเรา และพวกท่านอยู่ในเรา และเราอยู่ในพวกท่าน”

 

ยอห์น 14:23 อีกข้อหนึ่ง บอกว่า “พระเยซูตรัสตอบว่าถ้าผู้ใดรักเรา เขาจะเชื่อฟังคำสอนของเรา พระบิดาของเรา จะทรงรักเขา พระบิดากับเรา จะมาหาเขา และอยู่กับเขา”

 

ทำบ้านอยู่กับเขาเลย Make our home with him. อยู่กับเขา ทำบ้านอยู่ด้วยกัน อยู่กับเขา อยู่ร่วมกัน เป็นครอบครัว เห็นภาพไหม? นี่พระเยซูตรัส บอกว่าเขาจะเชื่อฟังคำสอนของเรา จะเชื่อฟังคำสอนของเรา ก็หมายถึงจะเชื่อว่าพระองค์สอนว่าพระองค์เป็นใคร? พระเยซูบอกว่าพระองค์เป็นใคร? พระองค์เป็นพระบุตรพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตชำระบาปให้กับเรา พระองค์จะทรงเป็นขึ้นมาใหม่ ในวันที่ 3 และชำระบาปให้กับท่าน แล้วท่านจะได้กลับคืนสู่พระเจ้า คืนดีกับพระเจ้าได้ คนเหล่านั้นที่เชื่อในคำสอนของพระเยซู ตรงนี้ ซึ่งเป็นหัวใจ เขาจะไปอยู่กับพระเจ้า กับพระเยซู เป็นครอบครัวเดียวกัน เป็นบ้าน เอเมน

พระเยซูกำลังพูดกับใคร? พูดกับเรา หมายถึงใคร? หมายถึงเธอ ที่นั่งข้างๆ ที่ได้เชื่อในคำสอนของศิษยาภิบาล ไม่ใช่ ในคำสอนของพระเยซูไปแล้วว่าเป็นอย่างนี้ ว่าพระองค์เป็นใคร? ถ้าศิษยาภิบาลขึ้นมาพูดว่าพระเยซูเป็นอย่างอื่น ไม่ต้องไปฟัง แต่ถ้าศิษยาภิบาลหรือคนสอนขึ้นมาพูดว่า.-

“พระคัมภีร์บันทึกว่าอย่างนี้”

จงฟังเถิด เพราะว่าเขาไม่ได้สอน คำสอนของเขาเอง แต่เขาเอาคำสอนของพระเยซูที่สอน มาบอกว่าเป็นอย่างนี้ อ่านตรงนี้เอง เอเมน ใช่ไหม?

ถ้อยคำตรงนี้ เป็นคำตรัสของพระเยซูที่ยืนยันกับเราว่าพวกเราทั้งหลาย ซึ่งเป็นผู้เชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ เราได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ คือในพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระบิดาและพระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวที่มีชื่อว่า “ครอบครัวของพระเยซูคริสต์” หรือ “ครอบครัวของพระคริสต์” มีพระเยซูเป็นหัวหน้า หรือเป็นผู้นำครอบครัว

พระคัมภีร์บอกว่าพระเยซูเป็นอะไรรู้ไหม? ภาษาอังกฤษเขาใช้คำว่าเป็น “The Second Adam” ก็คือแปลตรงๆ ก็คือเป็นอาดัมคนที่สอง

อาดัม คือใครครับ? อาดัม ก็คือมนุษย์คนแรก หรือผู้ชายคนแรกที่พระเจ้าได้สร้าง ให้มาเป็นผู้นำครอบครัวของมนุษย์ถูกไหมครับ? แต่อาดัมไม่สามารถทำหน้าที่นั่นได้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ อาดัมเป็นมนุษย์คนแรก แต่ได้ล้มลงในความบาป ได้กบฏต่อพระเจ้า เป็นศัตรูกัน ทำให้ครอบครัวมนุษย์ทั้งหมดเลย ต้องตกอยู่ภายใต้คำสาปแช่ง ได้รับโทษของความบาป หรือเรียกว่ากบฏ ไม่เชื่อฟังต่อพระเจ้านั่นแหละ ได้รับโทษทั้งเผ่าพันธุ์ ทั้งครอบครัวไปเลย  แล้วพระเจ้าก็ได้สร้าง The Second Adam ก็คืออาดัมคนที่สอง หรือมนุษย์คนที่สอง ผู้ที่จะมาเป็นผู้นำครอบครัวของมนุษย์ใหม่ ครอบครัวที่สอง ซึ่งก็หมายถึงใคร? ก็หมายถึงพระเยซู พระเยซู คืออาดัมคนที่สอง มนุษย์คนที่สอง ที่พระเจ้าได้สร้างขึ้นมาใหม่

พระเยซูเป็น Second Adam พระคัมภีร์บอก เป็นผู้ชายคนที่สองที่พระเจ้าสร้าง แต่นับเป็นมนุษย์คนแรก ที่สมบูรณ์แบบที่สุด เป็นบุคคลแรกที่สมบูรณ์แบบที่สุด เพราะมนุษย์นอกนั้น เป็นเชื้อสายของอาดัมคนแรก ก็คือบาปทั้งสิ้น ถูกไหม? เพราะฉะนั้น พระเยซูจึงเป็น เรียกว่าเป็นสายพันธุ์ใหม่ ผู้ชายคนที่สอง ผู้ชายคนใหม่ อาดัมคนใหม่ อาดัมคนที่สอง ที่เป็นมนุษย์คนแรกที่สมบูรณ์ที่สุด ครบถ้วนบริบูรณ์ พระเยซูก็มาเป็นหัวหน้าของครอบครัวใหม่ เป็นหัวหน้าของครอบครัวมนุษย์ ที่สมบูรณ์แบบ เป็นครอบครัวที่ไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎบัญญัติเดิม กฎบัญญัติเดิมที่ว่าตาต่อตา ฟันต่อฟัน ทำผิด รับโทษ ใช้เวร ใช้กรรม กฎบัญญัติเดิมที่บอกว่าตาต่อตา ฟันต่อฟัน ได้ถูกลบออกไปหมด ด้วยพระโลหิตของพระเยซู การตายของพระเยซูที่ไม้กางเขน

เสร็จแล้ว พระเจ้าก็ตั้งพระเยซูให้เป็นอะไร? หัวหน้าครอบครัวใหม่ เห็นภาพไหม? ง่ายๆ ผมจะพยายามยกตัวอย่างนี้ ซึ่งอยู่ในพระคัมภีร์ทั้งนั้นนะ ให้ท่านเห็นภาพชัดเจนและง่ายๆ เหมือนเรามีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ว่าครอบครัวเป็นอย่างไร? ตั้งพระเยซู ซึ่งครบถ้วนบริบูรณ์ ตั้งให้เป็นหัวหน้าครอบครัวใหม่ของบรรดามนุษยชาติ อยู่ภายใต้กฎใหม่ พันธสัญญาใหม่

กฎใหม่นี้บอกว่าผู้ใดก็ตาม ที่ได้ย้ายเข้ามาอยู่ในครอบครัวของพระเยซู ที่เรียกว่าในพระคริสต์ ก็จะได้รับสิ่งที่หัวหน้าครอบครัวทำมาแล้วทั้งหมดเลย หัวหน้าครอบครัวทำอะไร ลูกบ้านในครอบครัวนี้ ก็จะได้รับสิทธินั้นด้วย เช่น หัวหน้าครอบครัวบริสุทธิ์ สะอาด ปราศจากบาป ลูกบ้านที่เข้ามาอยู่ในนี้ ก็จะได้รับเลย  คือได้รับบริสุทธิ์ สะอาด และปราศจากบาป สมบูรณ์ครบถ้วนเหมือนกัน หัวหน้าครอบครัวนี้ มีชีวิตนิรันดร์ คนที่เข้ามาอยู่ในครอบครัวนี้ อยู่ในพระคริสต์นี้ ก็มีชีวิตเป็นนิรันดร์  … นิรันดร์นี้เป็นแบบคุณภาพนะ หมายถึงว่าเป็นนิรันดร์ บริสุทธิ์สะอาด เหมือนพระเจ้า ไม่ใช่ว่าอยู่ตลอดไปนะครับ นิรันดร์แปลได้ 2 อย่าง ที่บอกว่าอยู่ตลอดไป  เป็นนิรันดร์ที่ใครๆ ก็มี เพราะพระเจ้าสร้างมนุษย์ให้มีวิญญาณเป็นนิรันดร์ เหมือนพระองค์อยู่แล้ว แต่ถ้าบาป เป็นศัตรูกับพระเจ้า ไปอยู่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า ไม่ใช่สวรรค์นิรันดร์ ก็จะเป็นไปอยู่ตลอดไป แต่ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ในที่มืด ที่มีที่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ความทุกข์ทรมานตลอดไปนะครับ ตลอดไป ไม่มีวันสิ้นสุด นั่นคือนิรันดร์แบบมีเป็นระยะเวลาใช่ไหม?

แต่นิรันดร์อีกภาพหนึ่ง อีกความหมายหนึ่งในพระคัมภีร์ เมื่อพูดถึงชีวิตนิรันดร์ หมายถึงชีวิตนิรันดร์ที่เป็นชีวิต เป็นวิญญาณที่เป็นเหมือนพระเจ้า ที่ตะกี้นี้เราได้พูดกัน คนที่มาอยู่ในนี่ อยู่ในครอบครัวพระเยซูคริสต์ หรืออยู่ในครอบครัวพระคริสต์ อยู่ในกฎใหม่นี้ เขาก็จะได้ชีวิตนิรันดร์ไปด้วย โดยไม่ต้องทำอะไรเลย ได้รับสิทธิให้เป็นลูกพระเจ้า เหมือนพระเยซูเป็นลูกของพระเจ้า เห็นไหมครับ? หัวหน้าครอบครัว และสามารถจะอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้นิรันดร์ ใครมาอยู่ในพระคริสต์ก็ได้สิ่งเหล่านี้ ซึ่งกฎใหม่นี้ พระคัมภีร์รวมเรียกกฎแห่งพระคุณ

อันเดิมคืออะไร? อันเดิมที่บอกว่าตาต่อตา และฟันต่อฟัน เราเรียกว่ากฎแห่งการชดใช้ กฎแห่งบัญญัติ ใครทำตาม ก็ได้ ไม่ทำ ไม่ได้ แล้วมนุษย์ทำได้ไหม? ทำไม่ได้ เพราะฉะนั้น ไม่มีวันได้เลย เข้าใจใช่ไหมครับ?  ทำ ก็ได้ ไม่ทำ ไม่ได้ ทำให้บริสุทธิ์ได้รางวัล ยกตัวอย่างอย่างนี้ ทำตัวให้บริสุทธิ์ และได้รางวัล  กฎมันเป็นอย่างนี้ แล้วมนุษย์ทำให้บริสุทธิ์ได้ไหม? ไม่ได้ เพราะมนุษย์มีเชื้อบาปมาจากบรรพบุรุษ คืออาดัม จึงไม่มีโอกาสที่ได้รับรางวัลดีๆ เลยไง เพราะกฎใหม่ที่ในพระเยซูคริสต์ เป็นกฎแห่งพระคุณ ก็คือไม่ใช่ฟันต่อฟัน ตาต่อตาอีกต่อไป แต่เป็นกฎแห่งการอภัยบาปทั้งสิ้น เคยได้ยินไหม? กฎพระคุณ กฎแห่งการอภัย ไม่ว่าจะทำอะไรมา อภัยหมดสิ้น จบไปแล้ว จบไปเลย เอเมน ไม่ต้องทำอะไรเลยนะครับ สิ่งเหล่านี้ที่กำลังพูดทั้งหมด ทำโดยผ่านทางหัวหน้าครอบครัว ที่มีชื่อว่า Second Adam หรืออาดัมคนที่สอง หรือคือพระเยซูคริสต์เท่านั้น เขาถึงเรียกว่าในพระคริสต์ ในพระองค์ เป็นครอบครัวใหม่เกิดขึ้นอย่างไร? มีฤทธิ์อำนาจอย่างไร? ที่เรากำลังศึกษากันอยู่ขณะนี้ มันมีประโยชน์ต่อชีวิตของเราขนาดไหน? เมื่อเรารู้ความจริงตรงนี้ ตอนนี้เรารู้ความจริงนิดหนึ่ง เรายังได้ประโยชน์อย่างมากมายเลย  เราเชื่อในพระเยซูว่าพระองค์เป็นผู้ไถ่บาป นี่เท่ากับเรารู้ความจริงบ้างนิดหน่อย แต่ถ้าเรารู้มากกว่านั้นขึ้นไปว่าในสภาพการเป็นอยู่ของเราในพระคริสต์เป็นอย่างไร? เราจะได้รับสิทธิประโยชน์เราเต็มที่ขึ้น นึกออกไหมครับ ซึ่งรวมทั้งหมดนี้ เรียกกันภาษาอังกฤษว่า In Christ  หรือในพระคริสต์ หรือในพระเยซูคริสต์ หรือในครอบครัวของพระคริสต์ แล้วแต่จะเรียก เป็นครอบครัวใหญ่  ครอบครัวทางฝ่ายวิญญาณ

สัปดาห์ที่แล้ว ได้เรียนรู้ถ้อยคำ ภาษาตรงนี้ไปชัดเจนแล้วนะครับ เราจึงต้องมาเรียนรู้กันอย่างละเอียดว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์? มีสิทธิอะไรบ้างในพระเยซูคริสต์? อยู่ในสถานะอะไร?  ใช้อะไรได้บ้างในพระเยซูคริสต์? มีมรดกมหาศาลเพียงใดในพระเยซูคริสต์? รวยขนาดไหนในพระเยซูคริสต์? มีชัยชนะอย่างไรในพระเยซูคริสต์? ไปหาดูที่ไหน? หาดูในพระคัมภีร์ เพราะว่าพระเจ้าสอนเรา พระคัมภีร์สอนเรา บอกว่าในพระเยซูคริสต์ที่เธออยู่นั่นเป็นอย่างไร? เราต้องไปเรียนรู้ ถูกไหม? ถ้าเราไม่เรียนรู้ เราก็ไม่รู้เรื่องอะไร?  เราก็ไม่ใช้สิทธิของเรา ก็เสียประโยชน์ไปเปล่าๆ

          และการที่ใครก็ตามจะย้ายสำมะโนครัว จากอาดัมคนแรก ที่บาป มนุษยชาติตกลงไปในความบาปหมด มนุษย์คนไหนที่เกิดมาแล้ว ก็อยู่ในอาดัมคนแรกใช่ไหม? อยู่ในความบาป ต้องรับผิด รับโทษ เพราะอาดัม บรรพบุรุษเราทำไว้ใช่ไหม? มนุษย์คนไหนอยากจะย้ายสำมะโนครัวเข้ามาอยู่ในอาดัมคนที่สอง ครอบครัวของมนุษย์คนที่สอง คือพระเยซูคริสต์ อยากจะเข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ ต้องทำไม? ต้องผ่านทางความเชื่อในข่าวประเสริฐ หรือข่าวดีของพระเยซูเท่านั้น ไม่มีทางอื่น ไม่ใช่ด้วยการทำอะไรก็ตาม จะได้เข้ามาอยู่ในนี้ ไม่ใช่ด้วยการกระทำ แต่ด้วยความเชื่อในการกระทำของพระเยซูคริสต์ หัวหน้าครอบครัวใหม่นั่นเอง ต้องเชื่อข่าวดี พูดง่ายๆ เขาถึงเรียกว่าข่าวดีไง เพราะข่าวดีนี้ ทำให้เราหลุดรอดพ้น ข่าวดี ทำให้เราร่ำรวยมหาศาล ข่าวดีนี้ ทำให้เราไปสวรรค์ได้ เขาถึงเรียกว่าข่าวดี … ข่าวดีของใคร? ข่าวดีของพระเยซูคริสต์

 

ยอห์น 12:32 “แต่เมื่อเราถูกยกขึ้นจากแผ่นดิน ตรึงบนไม้กางเขนแล้ว เราจะชักนำคนทั้งปวงมาหาเรา”

 

พระเยซูตอนที่เดินอยู่บนโลกใบนี้ ได้ตรัสอย่างนี้กับเหล่าสาวก “ถ้าเราถูกยกขึ้นนะ”

หมายถึง “ถ้าเราถูกตรึงที่ไม้กางเขน เราจะนำพาผู้คนทั้งหลาย เข้ามาหาเรา”

จำได้ใช่ไหมครับ? “เราจะดึงเอาผู้คนทั้งหลายมาหาเรา”

ก็คือพระเจ้าได้เลือกคนเหล่านั้นเอาไว้แล้ว และให้เขาเข้ามาหาพระองค์ผ่านทางการถูกตรึงตายที่ไม้กางเขน พระบุตรของพระองค์ ที่พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้ ถ้าผู้นั้นเชื่อ ก็คือพระองค์ทรงใส่ความเชื่อให้กับคนๆ นั้น เมื่อถึงเวลาของเรา เหมือนเรานั่งอยู่ที่นี่ ทุกคนมีวันนั้นแหละ วันที่เริ่มต้นเชื่อในข่าวดีนี้ เพราะเราทั้งหลายได้ถูกเลือกไว้แล้ว โดยผ่านทางความเชื่อที่พระเยซูคริสต์ได้ทำที่ไม้กางเขน

สรุปแล้ว คือพระเยซูบอกว่าพระองค์ทรงถูกตรึงที่ไม้กางเขน พระเจ้าจะให้คนที่พระองค์ทรงเลือกไว้นั้น มาหาพระองค์ ผ่านทางไม้กางเขนนี่แล้ว เมื่อฉันถูกยกขึ้น เมื่อฉันถูกตรึงที่ไม้กางเขน

การมาเชื่อในพระองค์ว่าพระองค์เป็นใคร? การเชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นใคร? การเชื่อว่าข่าวประเสริฐของพระองค์นั้นเป็นจริง สิ่งเหล่านี้ ผมจะบอกให้ท่านฟังว่ามันไม่สามารถเกิดขึ้นได้ โดยบังเอิญ หรือโดยสติปัญญาของมนุษย์ ไม่ใช่นะครับ ถ้าสามารถเชื่อได้ โดยวิธีใช้สติปัญญามนุษย์ บัดนี้ คงมีโรงเรียนสอนเรื่องเกี่ยวกับความรอดเกี่ยวกับพระเยซู ที่ทำให้มนุษย์ได้รับความรอด ใครจบด็อกเตอร์ ก็ได้รับความรอด ไม่ใช่ สิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งที่บังเกิดอย่างอัศจรรย์ เราเรียกว่าอัศจรรย์การเจิม การเรียกเข้าไปในวิญญาณของคนๆ นั้น โดยตรง ผ่านทางพระเจ้านั่นเอง พระเจ้าเรียกเรา วิญญาณเราโดยตรง ไม่ว่าคนนั้นจะตามสติปัญญามนุษย์ อาจจะดูว่าโง่เขลา ไม่มีปัญญา ไม่ได้เรียนหนังสือ หรือคนนั้นอาจจะเป็นด็อกเตอร์ เรียนสูงสุด เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่เก่งมาก ก็ตาม มีค่าเท่ากัน ถ้าพระเจ้าเรียกเข้าไปในวิญญาณเขา เขาจะมาเชื่อเรื่องนี้ ซึ่งตามสติปัญญามนุษย์ พระคัมภีร์บอกคนเหล่านั้น ที่มาเชื่ออย่างนี้ ดูเหมือนคนโง่ๆ คนไร้ปัญญา เข้าใจใช่ไหมครับ? เพราะว่ามันคนละปัญญากัน

การถูกเรียก โดยพระเจ้า เข้ามาอยู่ในพระคริสต์ วิธีการของพระองค์เริ่มต้นด้วยอะไรรู้ไหมครับ?  อย่างที่ตะกี้นี้บอกว่าเริ่มต้นเรียกคนๆ นี้ ที่เตรียมไว้ เข้ามาเชื่อในข่าวประเสริฐ ข่าวดีว่าพระองค์เป็นใคร? พระเยซูคริสต์เป็นใคร? เคยได้ยินเขาพูดกันมาตลอดว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอดๆ แล้วก็เกิดปิ๊งขึ้นมาในใจว่า.-

“โอ … ใช่ พระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดจริงๆ การตายของพระองค์ ที่ไม้กางเขน ทำให้เราได้รับความรอด ชำระบาปเราได้จริงๆ เราได้หมดเวร หมดกรรมแล้วจริงๆ”

นี่คือเริ่มต้นทำไม? เริ่มต้นเชื่อ แล้วพอผ่านทางความเชื่อนี้ แล้วเกิดอะไรขึ้น? คนเหล่านั้นที่ถูกเลือกมาอย่างนี้  จะได้รับการบัพติศมาลงไปในครอบครัว ในพระคริสต์นี้ ใน Christ นี้ จะได้ถูกจุ่มลงไป จะได้ถูกดำลงไป ให้มิด ในฤทธิ์อำนาจ ในครอบครัวนี้ เรียกว่าพระคริสต์ ซึ่งเราได้อธิบาย บรรยายอย่างละเอียดแล้ว ในตอนที่แล้ว เกี่ยวกับเรื่องบัพติศมา ไปฟังย้อนหลังนะครับ คนนั้นได้ถูกจุ่มลงไป จุ่มลงไปในฤทธิ์อำนาจนี้  หรือว่าจุ่มเข้าไปเป็นสมาชิก มาเป็นหนึ่งเดียวกันในครอบครัวพระคริสต์นี้ ที่เรียกว่าครอบครัวพระเยซูคริสต์ ครอบครัวคริสเตียน ครอบครัวของพระเจ้าก็ได้ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ก็ได้ชื่อว่าเป็นพี่น้องในพระคริสต์ ร่วมกันอยู่ในครอบครัวเดียวกันทั้งสิ้น ไม่ว่าจะอยู่ขั้วโลกเหนือ  ขั้วโลกใต้  อยู่ประเทศไทย อยู่อเมริกา อยู่ยุโรป อยู่ประเทศจีน ก็เป็นครอบครัวเดียวกันในพระคริสต์ นี่คือหลักการพระคัมภีร์ทั้งสิ้น

มาถึงตรงนี้ พอจะเข้าใจกันแล้วนะครับว่าคำว่า “พระคริสต์” แปลว่าอะไร? หมายถึงใคร? และคำว่า “อยู่ในพระคริสต์” แปลว่าอะไร? หมายถึงใคร?  ตอนนี้รู้แล้วใช่ไหมครับว่า “อยู่ในพระคริสต์” หมายถึงใคร?  อยู่ในพระคริสต์คืออะไร?

คราวนี้มาดูกันต่อว่าในพระคัมภีร์มีบันทึกไว้อย่างไรบ้างว่า.-

“เมื่อเข้าไปอยู่ในพระคริสต์แล้ว เมื่อเรา ฉันเชื่อพระเจ้า เชื่อพระเยซูว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นผู้ไถ่บาป เชื่อในข่าวประเสริฐแล้ว พระเจ้าจับฉันบัพติศมาลงไปในฤทธิ์เดชอำนาจ ในครอบครัวที่ชื่อพระคริสต์นี้เรียบร้อยไปแล้ว ฉันอยู่ในพระคริสต์นี้เรียบร้อยไปแล้ว”

เราจะมาดูกันต่อว่า “ถ้าฉันอยู่ในพระคริสต์แล้ว ตอนนี้ฉันมีลักษณะเป็นอย่างไร?”

เรามีลักษณะเป็นอย่างไร? ในการดำรงชีวิตอยู่ เราได้รับอะไรบ้าง? สิทธิอะไรบ้าง? เราเป็นใคร? มันเป็นอย่างไร? นี่แหละคือสิ่งที่จะพยายามที่จะอธิบายในตอนต่อๆ ไป

ซึ่งจริงๆ แล้ว ถึงแม้ว่าจะศึกษา หรือแม้ว่าจะพยายามอธิบายให้ละเอียด ยกตัวอย่างให้ละเอียดมากขนาดไหนก็ตาม ก็เป็นไปไม่ได้หรอกครับว่าผมจะอธิบายจนกระทั่งเข้าใจหมด เพราะมันเป็นเรื่องฝ่ายวิญญาณ เรื่องของพระเจ้า ไม่มีทางหรอกมนุษย์ สติปัญญาของมนุษย์อย่างเรา ไม่สามารถจะเข้าใจหนทางของพระเจ้าได้หมดหรอก มันเป็นไปไม่ได้ จะล่วงรู้ทุกอย่างของพระเจ้าหมด เป็นไปไม่ได้เลย เพราะเราเป็นเพียงแค่มนุษย์ เพราะฉะนั้น ต้องทำใจไว้นิดหนึ่ง ผมก็จะพยายามที่จะรวมกันที่จะอธิบายให้ดีที่สุด แต่ท่านต้องพยายามเข้าใจด้วย ให้พอเข้าใจพอได้

สิ่งที่เราต้องการ คืออะไรรู้ไหม? สิ่งที่ต้องการเรียนรู้เรื่องในพระคริสต์ สิ่งที่ต้องการ อาศัยความเชื่อมากกว่าสติปัญญา ต้องอาศัยความเชื่อเท่านั้น คือเชื่อตามที่พระคัมภีร์บอกไว้ ตามที่พระองค์ทรงสอน ไม่ใช่เชื่อตามที่ผมสอน หรือใครสอน ไม่ใช่ ถ้าไม่มีพระคัมภีร์กำกับอยู่ อย่างเชื่อเด็ดขาด เชื่อตามที่ผมบอกไว้ในพระคัมภีร์พูดนี้ สิ่งที่พระเยซูพูดอย่างนี้ ถ้าท่านไม่เชื่อผม ท่านก็ไปเปิดในพระคัมภีร์จริงไหม? ถ้าจริง ก็ตามนั้น ก็จบกัน เพราะพระเยซูสอนไว้อย่างนั้น บอกไว้อย่างนั้น พระคัมภีร์เขียนไว้อย่างนั้นจริงๆ ดังนั้นเชื่อตามที่พระคัมภีร์เขียนไว้

พระคัมภีร์เขียนไว้ ก็คืออะไร? ก็คือพระเจ้าสอนเรา ผ่านทางพระคัมภีร์ พระคัมภีร์ คือถ้อยคำพระเจ้า ไม่ว่าจะเป็นพระเยซูพูดโดยตรง ตรัสเองโดยตรง หรือผ่านทางสาวก อัครสาวก ทั้งเปาโล เปโตร ยอห์น อะไรต่างๆ เหล่านี้  เราเชื่อตามนั้น ตามที่พระเจ้าสอนเราว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ ไม่ต้องพยายามเข้าใจนะครับ ไม่เข้าใจไม่เป็นไร หมายถึงสติปัญญามนุษย์ ไม่เข้าใจ ไม่เป็นไร? แต่จงเชื่อว่าพระคัมภีร์บอกว่าเราเป็นอย่างนั้น และเราก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เมื่อถ้อยคำพระเจ้าบอกอย่างไร? เราก็เป็นอย่างนั้นแหละ

ยกตัวอย่าง เช่น พระคัมภีร์บอกว่าเมื่อเราเข้าไปอยู่ในพระคริสต์แล้ว บัพติศมา จุ่มลงไปในฤทธิ์เดชอำนาจที่เรียกว่าพระคริสต์แล้ว อยู่ในครอบครัวพระคริสต์แล้ว พระคัมภีร์บอกว่าเราก็ได้ไปนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถานด้วย  เอเฟซัส 2:4-6 ไม่ได้พูดเอง พระคัมภีร์บอก ให้ท่านอ่านเองเลยนะครับว่านี่คือพระคัมภีร์

เอเฟซัส 2:4-6 “4 แต่เนื่องด้วยความรักใหญ่หลวงที่ทรงมีต่อเรา พระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยพระเมตตาอันอุดม จึงทรงให้เรามีชีวิตอยู่กับพระคริสต์ 5 แม้เมื่อเราได้ตายแล้วในบาป คือท่านทั้งหลายได้รับความรอดโดยพระคุณ 6 และพระองค์ทรงให้เราเป็นขึ้นมากับพระคริสต์ และในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าทรงให้เรานั่งในสวรรค์สถานกับพระคริสต์

 

ในข้อที่ 6 ตรงที่บอกว่า “พระองค์ทรงให้เราเป็นขึ้นมากับพระคริสต์”

ฟังให้ดีๆ นะ ในข้อที่ 6 ตรงที่บอกว่า “พระองค์ทรงให้เราเป็นขึ้นมากับพระคริสต์” คำว่า “เป็นขึ้นมา” ตรงนี้ ถ้าเราดูพระคัมภีร์ภาษาอังกฤษ จะเห็นว่าใช้คำเดียวกันกับเวลาที่กล่าวถึงการเป็นขึ้นมาจากความตายของพระเยซูเลย คือคำว่า “Raised” แล้วก็เป็น Past tense … Past tense หมายถึงเป็นอดีต มันเกิดขึ้นมาแล้ว ไม่ใช่มันจะเกิด แต่มันเกิดขึ้นแล้ว เหมือนตอนที่พระเยซูเป็นขึ้นมาใหม่ พระคัมภีร์ก็บันทึกเป็น Past tense ก็คือเป็นกาลที่เลยมาแล้ว การเป็นขึ้นมาใหม่ของพระเยซูคริสต์ คำว่า Raised คือได้เป็นขึ้นมาแล้ว แปลตรงนี้ ก็คือ “และพระองค์ทรงให้เราได้เป็นขึ้นมากับพระคริสต์”

“ได้” ก็แสดงว่ามันเป็นไปแล้ว เอเมน

ลักษณะการเป็นขึ้นมาใหม่ของพระเยซูเป็นอย่างไร? เราก็ถูกทำให้เป็นขึ้นมาใหม่ อย่างนั้น เหมือนกันเลย  และการเป็นขึ้นมาของพระเยซูคริสต์ได้เกิดขึ้นแล้ว ได้เกิดขึ้นแล้ว เพราะฉะนั้น การเป็นขึ้นมาของเรา ก็ได้เกิดขึ้นแล้ว เช่นเดียวกัน

 

ท่านลองหันไปหาคนข้างๆ  แล้วบอกว่า “ท่านได้ถูกชุบให้เป็นขึ้นมาใหม่แล้ว”

เขาเชื่อไหม? ท่านไม่ได้พูดเอง แต่ท่านพูดตามถ้อยคำพระเจ้า  ถึงบอกไง มันไม่ใช่ง่าย ที่จะมาเข้าใจเรื่องของพระเจ้า แต่พระคัมภีร์พูดอย่างงั้น เดี๋ยวเราจะไชชอนกันต่อไปว่าแล้วมันคืออย่างไง แล้วยังไงต่อ หมายความว่าอย่างไร?

ง่ายๆ เลย ก็คือเราได้ถูกชุบให้เป็นขึ้นมาใหม่เรียบร้อยไปแล้ว เหมือนพระเยซูถูกชุบให้เป็นขึ้นมาใหม่ จากความตายในวันที่สาม เหมือนกันเลย  ถ้าเหมือนกัน … เราได้ถูกชุบ คำว่า “เราได้ถูกชุบ” หมายถึงอย่างไร? หมายถึงเราไม่ต้องทำอะไรเลย เพื่อจะเป็นคนใหม่ในพระเยซูคริสต์ ไม่ต้องพยายามจะเป็นคนใหม่บริสุทธิ์สะอาด ไม่มีที่ติในพระเยซูคริสต์ เริ่มเข้าใจแล้วใช่ไหมครับ? ไม่ต้องพยายาม มันได้ถูกทำให้เป็นเลย  ท่านไม่ต้องทำตัว เพื่อที่จะให้ได้รับการชุบให้เป็นขึ้นจากความตาย เกิดใหม่ มันได้รับไปเลย โดยไม่ต้องทำอะไรเลย

เหมือนเรามีลูก เหมือนสามีภรรยาแต่งงาน แล้วมีลูก ลูกคลอดออกมาเหมือนใคร? ก็เหมือนสามีและภรรยา ตรงนี้เหมือนพ่อ ตรงนี้เหมือนแม่ ลูกต้องทำพยายามทำอะไรไหม? เกิดมาต้องพยายามทำอะไรให้มันเหมือนพ่อหรือเหมือนแม่ ต้องทำไหม? ต้องไปเข้าศัลยกรรมไหม? ต้องไปผ่าตัดศัลยกรรม ทำใบหน้าให้เหมือนพ่อไหม? หรือว่ามันเหมือนเอง เหมือนกัน เราถูกทำให้เป็นขึ้นมาใหม่ เกิดใหม่ในพระคริสต์ เราเหมือนพระเยซูคริสต์ บังเกิดใหม่ เราเป็นลูกของพระเจ้า เราก็เหมือนพระเจ้า โดยไม่ต้องทำอะไรเลย เราบริสุทธิ์ เราสะอาด เราเป็นผู้ชอบธรรม โดยไม่ต้องทำอะไรเลย เราก็ชอบธรรมแล้ว เอเมน

เพราะฉะนั้นเราไม่ต้องทำอะไรเลย  เราไม่ต้องเหนื่อยยาก ที่จะต้องเป็นผู้ชอบธรรม เข้าใจไหม?  เราไม่ต้องเหนื่อยยากที่จะทำให้เป็นผู้บริสุทธิ์ เราไม่ต้องเหนื่อยยาก ที่จะทำให้ตัวเราเข้าไปหาพระเจ้าได้ เพราะเราได้ถูกทำให้เรียบร้อยแล้ว เป็นผู้ชอบธรรม เป็นผู้บริสุทธิ์ เข้าไปหาพระเจ้าได้ทุกเมื่อ ทุกเวลา ทั้งหมดเลย เอเมน ตรงนี้แหละ น่าจะเอเมน ไม่ต้องพูดอะไรเลย  ไม่เข้าใจ แต่เอเมนลูกเดียว คือได้รับไง เอเมน ลูกเดียวแหละ พูดอะไรมา ฉันเอา ไม่มีพระคัมภีร์ตรงไหนบอกเราได้สิ่งเลวๆ เพราะเป็นข่าวดีไง ข่าวดีของพระคริสต์ ก็ต้องมีแต่ข่าวดี ของดีๆ ทั้งนั้น เอาหรือไม่เอา เอา … เอา ก็ต้องเอเมน

ในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าทรงให้เรานั่งในสวรรค์สถานกับพระคริสต์ เมื่อตะกี้เราอ่านด้วยกัน  “ในพระคริสต์” ตรงนี้ ที่เราเกิดใหม่นี้  ในพระเยซูคริสต์นี้ อยู่ในครอบครัวนี้

“พระเจ้าทรงให้ฉันนั่งในสวรรค์สถานกับพระคริสต์”

ถามอีกที เข้าใจไหมตรงนี้? ก็ไม่เข้าใจอยู่ดี ถูกไหม? คำว่า “นั่งในสวรรค์สถาน” ตรงนี้ ในเอเฟซัส 2:4-6 นั่งในสวรรค์สถานตรงนี้ ก็ใช้คำเดียวกันกับที่พระเยซูประทับที่เบื้องขวาของพระเจ้า เหมือนกันเด๊ะ คำว่า “เด๊ะ” แปลว่าอะไรก็ไม่รู้ มันคงจะเหมือนเป๊ะ

และก็เป็น Past tense เหมือนกัน ก็คือเป็นอดีตเหมือนกัน คือไม่ใช่จะนั่ง ไม่ใช่จะนั่ง  ไม่ใช่กำลังจะนั่ง แต่ได้นั่งแล้ว และตอนนี้กำลังนั่งอยู่  ไม่ใช่จะนั่ง จะได้นั่ง แต่ได้นั่งอยู่แล้ว กำลังนั่งอยู่แล้ว

          พระคัมภีร์บอกว่าพระเยซูประทับอยู่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน ถูกไหมครับ? และเมื่อเราอยู่ในพระคริสต์ พระคริสต์อยู่ในเรา เราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์ เพราะฉะนั้น เมื่อพระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาของพระเจ้า เราก็เลยได้ไปนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าเหมือนกันเด๊ะ  เหมือนกันเป๊ะเลย  ซึ่งอย่างที่บอกผมเอง ท่านเอง เราไม่เข้าใจหรอก มันหมายถึงอะไร? แต่เมื่อพระคัมภีร์บอกอย่างนั้น เราก็ต้องเชื่อว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ แล้วค่อยมาดูสิทธิของเราว่าเราได้รับอะไรบ้างตรงนั้น แล้วเราจะได้มีหน้าที่เอเมนลูกเดียว ไม่ต้องเข้าใจมากหรอก เอเมนลูกเดียว คนที่มาเชื่อพระเจ้า เอเมนลูกเดียว เชื่อพระเจ้าลูกเดียว ได้รับมากที่สุดนะ ไม่ใช่คนที่พยายามคิดๆๆๆๆๆ คิดหาเหตุผล คิดไปคิดมา ไม่ได้สักทีหนึ่ง คิดหาเหตุผล เพื่อที่จะรอเอเมน แต่บางคนข้ามหน้าข้ามตา เอเมน ได้รับไปก่อน

 

“ฉันเป็นลูกพระเจ้า”

“เอเมน”

ได้ไปแล้ว เป็นลูกพระเจ้า บางคนคิดนะ

“เป็นลูกอย่างไง ฉันจะได้เป็นลูกขนาดไหน? เป็นอย่างไง”

ไม่ได้เป็นลูกสักที เอเมน เอ้อ! เอเมนสิ เอเมน ท่านรู้ไหม เอเมนแปลว่าอะไร?  ถือโอกาสแทรกเรื่องนี้ เอเมน แปลว่าอะไร?  เอ๋อ! จงเป็นไปตามนั้น … เอาด้วยคน อะไรประมาณนี้ … เอาๆ ใช่ๆ  มันแปลแค่นี้เอง เอเมน ข่าวดีอยู่แล้ว ไม่เข้าใจไม่เป็นไร ในนี้บอกอย่างนั้น

ขณะที่เรากำลังเดินอยู่บนโลกใบนี้ กำลังนั่งอยู่ ในเก้าอี้ ในโบสถ์แบบนี้ ขณะนี้ แต่วิญญาณเรานั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์ในสวรรค์สถาน เข้าใจไหม? บอกสิ เข้าใจไหม? ไม่เข้าใจ … ไม่เข้าใจ แต่เอเมนไหม? เอเมน ต้องฝึกตรงนี้ เข้าใจไหม? ไม่เข้าใจ แต่เอเมนไหม? เอเมน (37.35)

          “เอเมน ฉันนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน ฉันไม่เข้าใจ แต่ฉันเอาด้วย ฉันนั่งอยู่ที่นี่แหละ ฉันไม่รู้ล่ะ พระเยซูบอกไว้อย่างนั้น พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น ฉันจะรับสิทธิของฉันตามนั้นแหละ เอเมน”

 

ในพระองค์ เรานั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน ในวิญญาณนะครับ นั่งอยู่ในไหน? ในพระคริสต์ ในครอบครัวนี้  เราอยู่กับพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน เราก็อยู่ตรงนั้นด้วย  ต้องบอกฮาเลลูยาแล้ว รับไหม?  รับ

เพราะฉะนั้นอยู่ในพระคริสต์จึงมีความสุข เมื่อเรารับรู้ตรงนี้ ไม่ต้องเข้าใจ เมื่อเรารับรู้ตรงนี้ รับรู้ว่าใช่ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ มันจะเกิดอะไรขึ้นมารู้ไหม? เกิดสิทธิขึ้น เมื่อท่านได้รับตรงนั้นแล้ว ท่านไม่ต้องไปรู้หรอก เมื่อชาวนา มีคนมาบอกเขา

“ชาวนารู้ไหมว่าที่ของท่านมีน้ำมัน ในนั้นมีกี่บาเรล? จะไปกลั่นออกมาได้วันหนึ่งกี่บาเรล? ขายได้เท่าไร?”

ชาวนาคำนวณไม่เป็น แต่เชื่ออย่างเดียวว่า “ฉันเป็นเศรษฐีแล้วเหรอ โอเคๆ มีความสุขแล้ว”

เขายังไม่รู้เลยข้างล่างมีอะไร? แล้วเจาะอย่างไร?  ตรงไหน? กี่ตารางวา? นึกออกไหม? ในทำนองเดียวกัน เราก็ต้องเป็นอย่างนั้น เขาจึงแต่งเพลงให้ร้อง แต่งเพลงอย่างนี้ เพื่อว่า.-

“ฉันรู้แล้ว ฉันอยู่ในพระคริสต์”

เขาไม่เข้าใจหรอก แต่เขารู้ว่าเขาได้รับอะไร?บ้าง? เช่น ท่อนที่ 4 เขาร้องว่าอย่างไร?

“4. อยู่ในพระคริสต์ พระองค์ทรงฤทธิ์

ฉันหมดความผิด ไม่กลัวความตาย

เกิดในพระองค์ จวบจนวันตาย

พระคริสต์นำหน้า หนทางชีวี”

เห็นไหม? พอเราเชื่อปุ๊บ มันอย่างนี้เกิดขึ้น มันร้องมาเป็นบทเพลงเลย ถามว่าคนที่แต่งเพลงนี้ ร้องเพลงนี้ เขารู้เรื่อง เขาเข้าใจหมดไหม? ไม่เข้าใจ แต่เขาเชื่อว่ามันเป็นอย่างนั้น แล้วชีวิตเขาได้เป็นอย่างนั้นจริงๆ พอได้เป็นอย่างนี้จริงๆ มันก็เลยเกิดท่อนนี้ตามมาว่า … อะไร?

“พระหัตถ์พระองค์ ทรงจูงมือข้า

ไม่มีอำนาจ มืดใดรังครวญ

พระองค์กลับมา หรือรับข้าไป

ข้าจะยืนหยัด ในฤทธิ์พระคริสต์”

สงบเลย มีความสุขในชีวิตมากเลยเห็นไหม? ไม่ต้องเข้าใจเลย แต่ได้รับทุกอย่างเลย เอเมน … เราไม่สามารถเข้าใจได้ทุกอย่าง เพราะมันเป็นความสามารถทางฝ่ายวิญญาณ เราจะไปล่วงรู้ได้อย่างไร? มันเป็นความสามารถทางฝ่ายวิญญาณ เราเป็นวิญญาณก็จริง แต่เรายังอยู่ในเนื้อหนัง และเป็นเนื้อหนังที่อยู่ในความบาปเสียด้วยซ้ำ มันต้องเป็นวิญญาณทางชนิดของพระเจ้าที่รับรู้เรื่องนี้ทั้งหมดได้

ยกตัวอย่างเช่นว่าจะรู้ได้อย่างไร?  วิญญาณของพระเจ้าสามารถอยู่ในทุกหนทุกแห่ง ในเวลาเดียวกันได้ พระเจ้าอยู่ที่บัลลังก์ของพระองค์ในสวรรค์สถาน และอยู่กับเราทุกคน อยู่ในใจของเราทุกคน เรารู้เรื่องนี้  เราเชื่อเรื่องนี้ แต่ท่านเข้าใจไหมอยู่อย่างไร? พระเจ้าอยู่กับเราที่นี่ แล้วทำไมอยู่กับพี่น้องที่อยู่ที่ยุโรป … อยู่ที่อเมริกา … อยู่ที่ขั้วโลกเหนือ … อยู่ที่ประเทศจีน อยู่พร้อมกันหมดในวันอาทิตย์ แล้วอยู่อย่างไร? แต่ท่านเชื่อไหม? ท่านเชื่อ แต่ท่านรู้ไหมว่าอยู่อย่างไร? ไม่รู้ ไม่เข้าใจ  เข้าใจได้ไง เราเป็นมนุษย์ นี่เห็นภาพชัดๆ เหมือนกัน เพราะฉะนั้น การที่พระเยซูบอกว่า … พระคัมภีร์บอกว่าเรานั่งรวมกับพระเยซูคริสต์ ได้นั่ง กำลังนั่งอยู่ แม้ว่าตอนนี้เรานั่งอยู่ที่เก้าอี้ในโบสถ์ แต่วิญญาณเรานั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์ในสวรรค์สถานทันที เอเมน วิญญาณเราก็อยู่กับตัวเราขณะนี้ แต่วิญญาณเรานั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์ในสวรรค์สถาน เป็นอย่างไร เราไม่เข้าใจ แต่เรารู้ว่ามันเป็นไปตามนี้ เอเมน

เพราะฉะนั้น ต่อไปนี้ อธิษฐานจงมองไปที่ในใจของเราก็ได้ จะมองไปที่ข้างๆ ก็ได้ เพราะพระเจ้านั่งอยู่ที่ไหน? เรานั่งอยู่ที่เบื้องขวา พระเจ้าต้องอยู่ที่ไหนล่ะ เรานั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ท่านคิดสิ งง เบื้องขวามือ เรานั่งอยู่ที่เบื้องขวา พระเจ้าต้องอยู่ซ้ายเราสิ

เพราะเราเป็นมนุษย์ คิดแบบพระเจ้า เป็นอย่างนี้ ท่านทราบไหมครับ มดตามปกติ สายตาสั้น สั้นเยอะๆ มากๆ เลย มันมองไม่ได้ไกล แล้วมันมองในทางราบอย่างเดียว มันไม่สามารถมองสูงได้ ถ้าเราบอกมดว่าอีก 2 เมตรจะมีภูเขา มันคงหัวเราะก๊ากเลย อะไรภูเขา  คืออะไร?  ภูเขามันสูง ไม่เข้าใจ มองแค่นี้ นี่มดนะ หรือเราบอกมดว่าไปอีก 3 เมตร มีท๊อฟฟี่วางอยู่ มันคงงงว่าอะไรนะ มองอะไรไกลขนาดนั้น  มันคงนึกว่าเราเป็น … ถ้าเกิดมันทำตามเรานะ  มันไปเจอท๊อฟฟี่เม็ดหนึ่งจริงๆ เราคงเป็นยิ่งกว่าพระเจ้าของมัน โอ้! รู้เรื่อง รู้ทุกอย่าง ล้วนรู้ทุกอย่างเลย ขนาดมองไม่เห็น ยังเห็นเลย คิดดูสิ แล้วเราจะขำไหมล่ะ เราก็คงขำมดตัวนั้น เหมือนตะกี้เราหัวเราะกัน ใช่ไหม?

หรือนกอย่างนี้ นกบินได้อย่างไร? บางคนก็บอกว่าบิน นักวิทยาศาสตร์ก็พยายามคิด แต่สรุปแล้ว นกมันบินได้อย่างไร?  รู้ไหม?  ง่ายนิดเดียว เพราะมันเป็นนก ถูกหรือเปล่า? เราไม่มีทางเข้าใจ ต่อให้โครงสร้าง ไปทำอะไรต่างๆ มันก็เป็นนก มนุษย์พยายามทำเหมือนนก กางปีก แล้วบินได้ไหม? ไม่ได้ ยกเว้นเครื่องบิน อะไรต่างๆ ตัวคนเอง ทำไม่ได้

เหมือนปลา ท่านพอเข้าใจ หายใจด้วยเหงือก ทำอย่างไร?  ท่านลองทำ ทำได้ไหม? ลงไปในน้ำ เอาเหงือกหายใจ  เหงือกๆ ท่านคิดดูสิ เราก็นั่งหัวเราะกัน แต่สำหรับปลา ต้องสอนมันไหมว่าต้องใช้เหงือกหายใจ ลงไปในน้ำ ตั้งแต่เล็กแล้ว มันก็ว่ายน้ำ มันต้องมาเรียนว่ายน้ำไหมเนี้ย

เหมือนกัน ในทำนองเดียวกัน ท่านต้องเข้าใจในสิ่งนี้ว่าเรากำลังเรียน เรื่องพระเจ้าทางฝ่ายวิญญาณ  พระเจ้าเป็นวิญญาณ  พระเยซูคริสต์ก็เป็นวิญญาณ  เราก็เป็นวิญญาณ  แต่เราเป็นวิญญาณติดอยู่ในเนื้อหนังร่างกายนี้อยู่ เราจึงไม่สามารถล่วงรู้เข้าไปในโลกฝ่ายวิญญาณได้ครบถ้วนบริบูรณ์ ตอนนี้จึงได้แต่รางๆ ตามที่พระคัมภีร์บอกเราไว้เท่านั้นเอง แต่เราสามารถ … สิ่งหนึ่งที่เราสามารถ คือด้วยความเชื่อในข่าวดีนี้ เราเอาหมดเลย อะไรดีๆ ที่พ่อของเรา พระเยซูทำไว้ให้กับเรา เราเอาหมดเลย ในสิ่งต่างๆ ในพระคริสต์ ที่เรามีมรดกอย่างไร? เรามีสิทธิอย่างไร? เราเป็นอย่างไร? เราเอาหมดเลย เอเมน คราวนี้ เอเมนได้ ใช่หรือเปล่า?

สภาพฝ่ายวิญญาณที่เราเป็นเหมือนพระเจ้าในขณะนี้ เราก็ไม่เข้าใจ คำว่า “วิญญาณเราเป็นเหมือนพระเจ้า” เป็นอย่างไร? บางคนเข้าใจผิด บอกเป็นเหมือนพระเจ้าๆ เขานึกว่าร่างกายนี้ เป็นเหมือนพระเจ้า ไม่เจ็บ ไม่ป่วย ไม่อะไรต่างๆ ไม่ใช่ วิญญาณท่านเป็นเหมือน แต่ร่างกายท่านก็ยังเป็นเหมือนเดิม ก็คือใคร? ก็คือคนบาป ที่วิญญาณนั้นเปลี่ยนเท่านั้นเอง แต่เนื้อหนังข้างนอก มันยังเหมือนเดิมเลย เขาไม่เข้าใจตรงนี้

พระคัมภีร์บอกว่าเราเป็นใครในพระคริสต์? เราอยู่ในสถานะอะไรในพระคริสต์? ได้รับอะไรบ้างในพระคริสต์? ก็ให้เราเชื่อตามนั้นเถิด เชื่อในถ้อยคำอย่างเดียวเท่านั้น เหมือนเด็กเล็กที่พ่อสอน แม้กระทั่งบางครั้ง มนุษย์ พ่ออะไร โกหก เชื่อหมด เชื่อหมดเลย

แต่ก่อนนี้สอนลูก บอก “เต๋ ไปซื้อเฮลิคอปเตอร์มานะ สัปดาห์หน้าจะไปซื้อเฮลิคอปเตอร์”

เชื่อนะ มาตามใหญ่เลย เมื่อไรจะซื้อเฮลิคอปเตอร์สักที เขานึกว่าเฮลิคอปเตอร์เหมือนเราไปซื้อรถคันหนึ่ง เขาเชื่อไง เขาไม่คิดอะไรเลยว่าพ่อจะไปมีเงินซื้อเฮลิคอปเตอร์ ขับยังไม่เป็นเลย เพราะเขาไม่เข้าใจว่าเฮลิคอปเตอร์ต้องขับอย่างไร? มันแพงขนาดไหน? เขาไม่เข้าใจ แต่เขาเชื่อ เห็นไหม? นี่คือมนุษย์หลอกลวง โกหก แต่พระเจ้าไม่เคยหลอกลวง พระเจ้ามีความยุติธรรม เขาเรียกว่ามีความบริสุทธิ์สถาน ไม่หลอก พูดอะไร ตามนั้นทั้งสิ้น จริงๆ ไม่เคยหลอกเลย เพราะฉะนั้น พระองค์พูดอะไร มันเป็นจริงตามนั้นทั้งหมดเลย เราเชื่อแบบเด็กๆ เลย

และถ้าเราเชื่อตามถ้อยคำพระเจ้าที่ระบุไว้  บอกไว้ทุกอย่าง เราก็จะได้รับผลทั้งหมด อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ตามที่พระเยซูคริสต์สัญญาไว้ พูดไว้ในพระคัมภีร์ โดยตัวของพระองค์เอง ตอนที่เดินอยู่บนโลกใบนี้เลยว่าเราจะได้รับอะไรบ้าง? เมื่อมาเป็นสาวกของพระองค์ อย่างเช่น สันติสุขที่เกินกว่าความคิดและความเข้าใจของมนุษย์ ที่พระองค์ได้ทรงประทานให้เราแล้ว ได้ให้เราแล้ว เราก็จะได้รับตรงนี้  ถ้าเราเชื่อ ยอห์น 16:33 ที่พระเยซูบอกว่า.-

ยอห์น 16:33 “เราบอกสิ่งเหล่านี้แก่พวกท่าน เพื่อพวกท่านจะได้มีสันติสุขในเรา ในโลกนี้ พวกท่านจะมีความทุกข์ยาก แต่จงชื่นใจเถิด เราได้ชนะโลกแล้ว”

 

เราได้ชนะโลกแล้ว ไม่ใช่จะชนะโลก เราได้ชนะโลกแล้ว เพราะฉะนั้น  เมื่อพระเยซูคริสต์ชนะโลกแล้ว เราอยู่ในพระคริสต์ เราก็เลยจะชนะโลกด้วย  ใช่ไม่ใช่ ไม่ใช่  โดยหลอกอีกแล้ว  เมื่อพระเยซูคริสต์ได้ชนะโลกแล้ว  เราอยู่ในพระเยซูคริสต์ เราก็จะชนะโลกด้วย  … ดังๆ สิ … ใช่ไม่ใช่ … ไม่ใช่

เอาใหม่อีกที เราจะชนะโลกด้วย ใช่ไม่ใช่ … เราได้ชนะโลกแล้วใช่ไหม? ใช่ ไม่ใช่จะชนะ เราจะต้องชนะ ต้องไปทำไม? ต้องไปอธิษฐานอีก 3 วัน 3 คืน อดอาหารอีก 3 วัน 3 คืน แล้วก็มานมัสการพระเจ้าอีก 3 วัน 3 คืน เราจึงจะได้รับชัยชนะ ใช่หรือไม่? เราได้รับชัยชนะเรียบร้อยแล้ว ในพระเยซูคริสต์ เมื่อไร? เสร็จ เมื่อเราเชื่อ เมื่อเราเริ่มต้นเชื่อ และได้ถูกจุ่มลงไปอยู่ในฤทธิ์เดชอำนาจของในพระคริสต์นี่แล้ว เราได้รับตรงนี้แล้ว และเมื่อเราเริ่มเชื่อว่าเราได้รับ เราก็จะได้ดำเนินชีวิตเป็นไปตามนี้ เอเมน

เราอาจจะเริ่มเชื่อ จุ่มเข้าไปแล้วในพระคริสต์ อยู่ในบัพติศมา อยู่ในครอบครัวใหม่แล้วก็จริง เราแค่เชื่อว่าเราจะไปสวรรค์อย่างนี้  เราก็รอไปสวรรค์ เราไม่เชื่อว่า … เราได้รับชัยชนะแล้ว นึกว่ารอให้ตายไปแล้ว จะได้รับชัยชนะ เราก็รอจนตาย เราถึงจะได้รับชัยชนะ แต่ถ้าเรารู้ว่าไม่ใช่ พอเราจุ่มเข้าไปปุ๊บ  ตั้งแต่วินาทีนั้น เราได้รับแล้ว เพราะฉะนั้นเราก็จะเริ่มแสวงหาวิธีการว่าเราได้รับแล้ว เราจะใช้สิทธิของเราอย่างไรบ้างในพระคริสต์ ที่อยู่ในชัยชนะนี้ เรียบร้อยไปแล้ว เอเมน ตอนนี้ตอบได้ตรงประเด็นเป๊ะเลยนะครับ

สรุป คือให้เราเชื่อถ้อยคำพระเจ้า ในพระคัมภีร์ ไม่ต้องพยายามหาเหตุผล ไม่ต้องคิดมาก เพราะคิดมากไป ก็ไม่เข้าใจอยู่แล้ว  ไปคิดมันทำไม? พระองค์บอกว่าอย่างไร? ก็เป็นไปตามนั้น แล้วก็ทำตามที่พระองค์บอกไว้นั่นแหละ นึกออกใช่ไหม? เริ่มต้นด้วยความเชื่อซะก่อน ท่านเคยคิดบ้างไหมว่าการดำเนินชีวิตคริสเตียนของเรา  ของผู้คนที่เป็นคริสเตียน  หรือคนที่เป็นสาวกของพระเยซูบนโลกใบนี้  มันรู้สึก มันขัดแย้งกับที่พระเยซูสัญญา อย่างเช่น มันไม่เห็นได้รับสันติสุขแท้จริงอย่างที่พระเยซูบอกเลย อย่าโกหกนะ เหมือนพระเยซูคริสต์สัญญา เราได้รับสัญญา เราไม่เห็นจะได้รับอย่างนั้นจริงๆ เลย  แม้กระทั่งตัวผมเอง ก็เป็นอย่างนั้น  หลายครั้งผมคิดว่าชีวิตคริสเตียนของผมด้วย ของผู้คนรอบข้าง ชีวิตคริสเตียนเราแปลกๆ เราไม่เห็นเหมือนพระเยซูบอก พระเยซูบอกมีสันติสุข ชนะโลกแล้ว เราก็ไม่เห็นมีสันติสุข หลายๆ ครั้ง เรามีความคิดอย่างนั้นจริงๆ และผมเชื่อว่าคริสเตียนหลายคน เขามีความคิดอย่างนี้ว่าพระเยซูสัญญาแล้ว ไม่ใช่เราไม่เชื่อนะ เราเชื่อ แต่ทำไมมันไม่ได้รับอย่างนั้นจริงๆ

พระเยซูบอกไว้อย่างไรว่า “เราบอกเรื่องนี้กับท่าน เพื่อท่านจะได้มีความชื่นชมยินดีอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ในเรา”

ชื่นชมยินดีอย่างสมบูรณ์เลย  บอกว่าคือเมื่อเราอยู่ในพระคริสต์ พระเยซูหมายถึงเมื่อเราอยู่ในพระคริสต์ ที่เราถูกชุบให้เป็นขึ้นมาใหม่ร่วมกับพระเยซูคริสต์แล้ว ได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถานแล้ว เราจะมีสันติสุข มีความครบถ้วนบริบูรณ์เลย แล้วมีไหม? ถามจริงๆ มีไหม? อย่าเพิ่งตอบๆ ให้คิดไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้น ในพระเยซูเราจึงควรมีความชื่นชมยินดี แบบครบถ้วนบริบูรณ์ด้วยนะ ตามที่พระเยซูสัญญาไว้ แต่ในความเป็นจริง ถึงแม้เราจะเชื่อพระเยซูอย่างสุดจิตสุดใจแล้วก็ตาม แต่ทำไมเราไม่เห็นจะชื่นชมยินดี อย่างที่ถ้อยคำพระเจ้าบอกเลย ใช่ไม่ใช่? ใช่ … ไม่กล้าพูดดัง กลัวพระเยซูเสียใจเหรอ … ใช่หรือไม่ใช่? … ใช่ พูดดังๆ ได้ พระเยซูเข้าใจเราดี … ใช่หรือไม่ใช่? ใช่แล้ว

“ใช่แล้วๆ นานจะมีคนมาพูดตรงใจฉันสักทีหนึ่ง เอะอะอะไรก็บอกว่าฉันมีสันติสุข … ฉันไม่มี ฉันไม่มีจริงๆ”

ถูกไหม?  ตั้งแต่เรามาเชื่อพระเยซู ถามว่าวันทั้งวัน ปีทั้งปี เรามีสันติสุขหรือไม่มีสันติสุข อันไหนมากกว่ากัน ไม่มีสันติสุขมากกว่านี้ บางครั้งไม่มีเลย แต่ก็ยังเชื่อพระเยซูอยู่ แต่ก็เชื่ออยู่ มีความหวังอยู่ แต่มันเหี่ยวแห้ง หัวโตเหลือเกิน ใช่ไหม?  มันต้องมีอะไรบางอย่าง

เอาไว้คราวหน้าค่อยบอก ไม่อย่างนั้น ไม่ยอมฟัง ทิ้งไว้อย่างนี้  จนทุกวันนี้  มีความวิตกกังวล มีความกลัวโน่น กลัวนี่ กลัวไหม? วิตกกังวลไหม? ผมเป็นไหม? เป็น ที่บอกว่าไม่กลัวๆ พูดตามถ้อยคำพระเจ้า แต่จริงๆ กลัว บางทีแค่เขานัดไปตรวจสุขภาพประจำปีนิดหนึ่ง กลัวแล้ว บ้าหรือเปล่า? นี่พูดถึงตัวเอง ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ บางทีเราก็หงุดหงิดตัวเอง  มันเซ็ง อะไร ทีตอนอยู่บนธรรมมาส

“อย่ากลัวเลยๆ … พระเยซูตรัส”

ใช่พระเยซูตรัส ตอนนี้เราพูดเอง

“ฉันอยู่บ้าน ฉันพูดเอง”

แต่ตอนพูดอยู่บนนี้ ก็คือพระเยซูพูด มันคนละอันกัน เข้าใจไหม?  ท่านต้องเข้าใจตอนที่ศิษยาภิบาลขึ้นมา หรืออาจารย์ขึ้นมาสอน บรรยาย นี่พูดถึงพระคัมภีร์พูดไว้อย่างนั้น แต่ไม่ได้หมายถึงเราทำได้ทุกอย่างตามนั้น ไม่ใช่ผมทำได้ทุกอย่าง ไม่ใช่ว่าคนเหล่านี้ทำได้ทุกอย่าง ไม่ใช่ เราก็ยังเป็นคนเหมือนเดิม มาเชื่อพระเจ้าเหมือนกัน ลักษณะเดียวกัน พระเยซูพระเจ้า ก็นำเราเหมือนกัน เราก็กลัวเป็นเหมือนกัน (นี่หวา) ก็กลัวเหมือนกัน กังวลเหมือนกัน

ตอนลูกจะเข้าโรงเรียน จะต้องใช้เงิน กังวลไหม? กังวล อาจจะบางครั้งไม่กังวล สำหรับบางคน แต่จริงๆ กังวลทุกคน แล้วทำไมมันอะไร แสดงว่าพระเยซูพูดไม่จริง ไม่ใช่ เพราะว่าผมก็เชื่อพระเยซูพูดจริง แต่ทำไมไม่ได้ เพราะอะไร? เพราะเราจะมาต่อสัปดาห์หน้า สัปดาห์หน้าค่อยคุยต่อแล้วกัน จบแล้ว จบตรงนี้เลย  ร้องเพลงดีกว่า เอาง่ายๆ อย่างนี้

เพราะฉะนั้น ก่อนจะร้องเพลงนี้ดีกว่า ค่อยมาต่อกันว่ามันเพราะอะไร? ทำไมมันไม่ได้ ตามที่พระเยซูบอก มันเกิดอะไรขึ้น ปัญหามันอยู่ตรงไหน? ไปหาวิธีแก้ปัญหาดีกว่า เพราะฉะนั้นวันนี้ เรามาร้องเพลงใหม่นี้นะครับ มาร้องเพลงเกี่ยวกับการอยู่ในพระเยซูคริสต์ การอยู่ในพระคริสต์คืออะไร? เราได้รับอะไรในพระคริสต์บ้าง? และจากการได้เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวพระคริสต์ เราได้เป็นอย่างไร? และนี่คือส่วนหนึ่งในคำตอบปัญหา ที่ตะกี้นี้ทิ้งท้ายไว้ว่าทำไมเราไม่ได้รับตามที่พระเยซูสัญญาไว้ พระเยซูไม่โกหก ให้เราเชื่อแน่ๆ แล้ว รับรอง 100% แต่ทำไมเราไม่ได้รับตามที่พระเยซูบอก ชนะโลกแล้ว เป็นต้น มีสันติสุขเกินกว่าความคิดของมนุษย์เข้าใจ เป็นต้น แล้วทำไมไม่ได้ แสดงว่ามันมีวิธีที่จะได้รับ ซึ่งเราจะมาต่อตอนต่อไป แต่ตอนนี้เราร้องเพลงนี้ ผู้ที่เขาได้รับแล้ว เขาแต่งเพลงนี้ขึ้นมา เพราะฉะนั้น เราร้องลักษณะเหมือนผู้ที่เขาได้รับ เรายังอยากได้รับเหมือนในพระคัมภีร์พูดไว้ หรือในบทเพลงนี้  ที่เป็นเนื้อ ที่เขาเขียนไว้ แล้วอยากได้รับอย่างนี้แหละ ขอพระเจ้าเมตตาช่วยเราให้ไปถึงจุดนี้ด้วยกันเถิด เอเมน ร้องบทเพลงนี้ ด้วยการอธิษฐาน ขอพระเจ้าเมตตาเรา ช่วยเราด้วยเถิด ให้เราสามารถไปถึงจุดนี้ ได้ด้วยเถิด  ตามที่บทเพลงนี้ ที่เราจะร้องต่อไปนี้ เอเมน

 

*********************

 

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 12 กรกฎาคม 2015 เรื่อง “เราเป็นใครในพระคริสต์” ตอน 1 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  12  กรกฎาคม  2015

เรื่อง “เราเป็นใครในพระคริสต์” ตอน 1

โดย นคร  เวชสุภาพร

            เราเป็นใครในพระเยซูคริสต์? หรือเราเป็นใครในพระคริสต์? ซึ่งเป็นชื่อหัวข้อในการบรรยายในวันนี้ เราเป็นใครในพระคริสต์ เราเคยได้ยินบ่อยๆ ใช่ไหม? ตั้งแต่เรามาเชื่อพระเจ้าถึงเดี๋ยวนี้ เราจะได้ยินบ่อยๆ เลยว่า “พระคริสต์ๆๆๆ” “ในพระคริสต์” อะไรก็พระคริสต์ รัก ก็พระคริสต์ ถวายทรัพย์ ก็พระคริสต์ และพระคริสต์คืออะไร?

ถ้าพูดคำว่า “ในพระคริสต์” พวกเราทุกคนก็คุ้นเคยกันใช่ไหมครับ? เราอยู่ในพระคริสต์ เราเป็นหนึ่งในพระคริสต์ เรามีชัยชนะในพระคริสต์ ด้วยความรักในพระคริสต์ เราลงจดหมาย ส่งถึงกัน ด้วยความรักในพระคริสต์ รักในพระคริสต์ และอีกเยอะแยะมากมาย ในพระคริสต์ ในพระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น

แล้วท่านทราบไหมครับว่าความหมายที่แท้จริงของคำว่า “ในพระคริสต์” คืออะไร? เราเป็นใคร? หรือมีสภาพอย่างไรในพระเยซูคริสต์ มีตำแหน่งอย่างไร? มันเป็นอย่างไร? พูดง่ายๆ

นี่คือสิ่งที่เราจะเรียนรู้กันอย่างละเอียดเลยนะครับ พอพูดว่าอย่างละเอียด แน่นอน มันไม่ใช่ครั้งเดียว หลายครั้ง จะพยายามค่อยๆ ไปเรื่อยๆ แล้วท่านจะทราบดีว่าในพระคัมภีร์ทั้งหมด  เกี่ยวข้องกับเรื่องในพระคริสต์เท่านั้นเลย

อย่างเช่น ในหนังสือเอเฟซัส 1:3-4 ยกตัวอย่างนิดหนึ่ง ให้ท่านอยากจะเรียนรู้เรื่องนี้ต่อไปว่าท่านเป็นใคร?

เอเฟซัส 1:3 “สรรเสริญพระเจ้าพระบิดาของพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา  ผู้ประทานพระพรฝ่ายจิตวิญญาณนานัปการ ในพระคริสต์แก่เราทั้งหลาย ในสวรรค์สถาน

 

พระพรนานัปการ ที่ไหน? ในพระคริสต์

เอเฟซัส 1:4 “เพราะพระองค์ได้ทรงเลือกเราไว้ในพระคริสต์ พระองค์ได้ทรงเลือกเราทั้งหลายไว้ในพระคริสต์ ตั้งแต่ก่อนทรงสร้างโลก ให้เป็นผู้บริสุทธิ์ปราศจากที่ติในสายพระเนตรของพระองค์ด้วยความรัก

 

แค่นี้เอง ก็อยากรู้แล้วนะ เรียกเราอย่างไรตั้งแต่ก่อนสร้างโลก เรียกเราเข้ามาอยู่ที่ไหน? ในพระคริสต์

ให้พวกเราพูดพร้อมกัน “ในพระคริสต์”

ท่านจะต้องพูดนี้ไปอีกนานเลยนะครับ ในซีรี่ส์นี้

เปาโลได้รับการดลใจจากพระเจ้า แล้วเขาได้เห็น เขาได้รู้ พระเจ้าพาเขาไปเรียนรู้ถึงในพระคริสต์เป็นอย่างไร? เขาเห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า และยิ่งใหญ่ของชีวิตของเขา เมื่อเชื่อพระเยซูคริสต์ เขาอยู่ในพระคริสต์ มันเป็นอย่างไร? เขาจึงอยากให้บรรดาคนที่มาเชื่อพระเจ้า เหมือนกับเขา มาเชื่อพระเยซูนั้น ได้รู้ เหมือนที่พระเจ้าประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์และสำแดงให้เขาได้รับรู้ เขาจึงอธิษฐานและวิงวอนตลอด และเขียนคำนี้ขึ้นมา ในข้อที่ 18 เขาได้อธิษฐานให้กับเราอย่างไรว่า.-

เอเฟซัส 1:18-22 “18 ข้าพเจ้าอธิษฐานขอให้ตาใจของท่านสว่าง เพื่อท่านจะได้รู้ถึงความหวังที่เรียกท่านมานั้น รู้ถึงความมั่งคั่งแห่งมรดกอันรุ่งเรืองของพระองค์ สำหรับประชากรของพระองค์ และรู้ถึงฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่ สุดหาใดเทียบ สำหรับเราทั้งหลายที่เชื่อ 19 ฤทธานุภาพนี้ เป็นเหมือนพระราชกิจแห่งพลังอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ 20 ซึ่งทรงกระทำในพระคริสต์ เมื่อทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากความตาย และให้ประทับเบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์ในสวรรค์สถาน 21 สูงส่งยิ่ง เหนือเทพผู้ครอง เทพผู้ทรงอำนาจ เทพผู้ทรงเดชานุภาพ และเทพผู้ครองอาณาจักรทั้งสิ้น และเหนือทุกนามที่เขาเอ่ยขึ้น ไม่เพียงในยุคนี้เท่านั้น แต่ในยุคหน้าด้วย 22 และพระเจ้าให้สิ่งสารพัดอยู่ใต้พระบาทพระคริสต์ และทรงตั้งพระองค์ไว้เป็นประมุขเหนือทุกสิ่ง เพื่อคริสตจักร อันเป็นกายของพระองค์”

 

และเราอยู่ในพระคริสต์ยิ่งใหญ่ขนาดไหน? ท่านลองคิดดู ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ใต้พระคริสต์ แล้วเราอยู่ในพระคริสต์ ทุกอย่างเลยอยู่ใต้? ทุกอย่างอยู่ใต้พระคริสต์ เราอยู่ในพระคริสต์ เพราะฉะนั้น ทุกอย่างก็อยู่ใต้เรา

เปาโลจึงอยากให้เราเห็นสิ่งเหล่านี้ จึงอธิษฐานขอพระเมตตาจากพระเจ้า ช่วยให้พระวิญญาณบริสุทธิ์เปิดตาใจเรา ขอวิญญาณแห่งปัญญาในการสำแดงความรู้ เราจึงต้องมาเรียนรู้เรื่องนี้กัน ให้พระวิญญาณช่วยเราในซีรี่ส์นี้ ในการที่จะเปิดตาใจเราทุกคนได้เห็น เหมือนดั่งที่เปาโลได้เห็นแล้ว เหมือนดั่งที่พระเจ้าต้องการให้เราได้เห็น เพื่อเราจะได้รับสิ่งทั้งปวง ทั้งมวล ที่พระเจ้าทำให้กับเราแล้วในพระคริสต์ เพื่อเราจะได้รับอิสรภาพ เราจะได้มีชัยชนะอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ อย่างที่พระเยซูคริสต์บอกเรามีชัยชนะอย่างแท้จริง

ก่อนอื่น เรามาดูรากศัพท์กันก่อน ความหมายของคำว่า “พระคริสต์” พระคริสต์ ภาษาไทยไม่ต้องออกเสียง “ส” นะ แต่ภาษาอังกฤษ “Christ” อ่านว่า “ไครสท์” มีเสียง “S” เพราะฉะนั้น คำว่า “พระคริสต์” ต้องอ่านว่า “พระ-คริด”

รากศัพท์ คำว่า “พระคริต” ภาษาไทยนะ พระคริตตรงนี้ หมายถึงใครครับ?  เราก็รู้ หมายถึงพระเยซูคริสต์ ถูกไหมครับ? นี่คือภาษาไทย คำว่าพระคริตในภาษาไทย มาจากภาษาอังกฤษ คือคำว่า “Christ (ไครสท์)”

“Christ (ไครสท์)” ภาษาอังกฤษนี้ มาจากภาษากรีก คือคำว่า “Christos (คริส-ทอส)” ภาษากรีก ซึ่งมาจากคำว่า “Messiah (เมซียาห์ หรือมา-ซี-ฮา)” ในภาษาฮีบรู

พอพูดคำว่าเมซียาห์ ทุกคนคุ้นภาษาฮีบรูคำนี้มากเลย ใครมาเชื่อพระเยซูได้พูดภาษาฮีบรูคำหนึ่งแน่ๆ คือคำว่าเมซียาห์ พระเยซู คือพระมาซียาห์

และคำแปลของคำว่าเมซิยาห์ ท่านรู้ไหมว่าแปลว่าอะไร? Messiah หรือ Christos หรือ Christ หรือภาษาไทย พระคริสต์ แปลว่าผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมตั้งไว้

พูดพร้อมกัน “ผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมตั้งไว้”

ถ้าแปลตามคำโดยตรงๆ ตามภาษาตรงๆ แปลว่าผู้ที่ถูกเจิมด้วยน้ำมัน Anointed with oil ก็คือเจิมด้วยน้ำมัน ตรงๆ เลย ซึ่งก็หมายถึงผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมตั้งเอาไว้ ความหมาย คืออะไรรู้ไหมครับ? ความหมาย คือผู้ที่พระเจ้าเจิมแต่งตั้งไว้ เพื่อทำงานพิเศษ ให้กับพระองค์ ตรงนี้แปลตรงตัวเลย

ส่วนคำว่า “เยซู” ภาษาอังกฤษ คือ “Jesus” ภาษาจีนเรียกว่า “เหย่-โซว” แต่ “เยซู” ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ “Jesus” มาจากภาษากรีก คำว่า “Joshua” และมาจากคำว่า “Yeshua” ในภาษาฮีบรู

และคำว่า “Yeshua” ภาษาฮีบรูตรงนี้ เป็นคำย่อของคำว่า “Yahweh is Salvation” … “Yahweh (ยาเว่ห์)” คือความรอด แปลว่า God is salvation ภาษาอังกฤษ ก็คือคำว่าเยซู ก็แปลได้ว่าพระเจ้าเป็นความรอด ซึ่งก็หมายถึงพระเยซู ทรงเป็นผู้ช่วยให้รอด ที่พระเจ้าทรงแต่งตั้งเอาไว้ เจิมตั้งเอาไว้นั่นเอง เอเมน

และเมื่อมารวมคำ คำว่า “พระคริสต์” กับ “เยซู” นึกออกใช่ไหมครับ พระคริสต์ตะกี้นี้ กับคำว่าเยซู คือชื่อพระเยซู รวม 2 คำเข้าด้วยกัน คราวนี้ชัดแล้ว เราพูดอยู่บ่อย ก็คือคำว่าเยซูคริสต์ ภาษาไทย เนื่องจากเราเคารพ สักการะ ภาษาไทยเรา เฉพาะภาษาไทยเรา  เราจะให้คำนำหน้าอีกคำหนึ่ง คำว่า “พระ” ก็เลยกลายเป็นจากเยซูคริสต์ กลายเป็นพระเยซูคริสต์ คราวนี้ท่านจะได้ชัดแล้วว่ามาจากตรงนี้เอง เพราะฉะนั้น ท่านจะเรียกว่าเยซูคริสต์ หรือพระเยซูคริสต์ มีค่าเท่ากัน

พระเยซูคริสต์ ก็จะได้ความหมายรวมอย่างนี้ว่าพระเยซูคริสต์ ก็คือผู้ที่ได้รับการเจิมตั้งไว้ หรือถูกเลือกสรรไว้ โดยพระเจ้า เพื่อให้ทำงานพิเศษ ให้กับพระองค์ คือมาช่วยมนุษย์ให้ได้รับความรอด เอเมน

แล้วใครบ้างครับ ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ หรืออยู่ในพระเยซูคริสต์ ใครบ้าง? เรามาดูข้อพระคัมภีร์ด้วยกัน กาลาเทีย 3:26-28

กาลาเทีย 3:26-28 “26 ท่านทั้งหลายล้วนเป็นบุตรของพระเจ้า  โดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ 27 เพราะพวกท่านทั้งปวง ผู้ได้รับบัพติศมาเข้าส่วนในพระคริสต์แล้ว ได้คลุมกายของท่านด้วยพระคริสต์ 28 ไม่มียิวหรือกรีก ทาสหรือไท ชายหรือหญิง เพราะพวกท่านทั้งปวง เป็นหนึ่งเดียวในพระเยซูคริสต์

 

พูดตามผมนะครับ “นคร … (ใส่ชื่อท่าน) เป็นบุตรของพระเจ้า โดยความเชื่อในพระคริสต์ นคร … (ใส่ชื่อท่าน) ผู้ได้รับบัพติศมา เข้าส่วนในพระคริสต์แล้ว ได้คลุมกายของนคร … (ใส่ชื่อท่าน) ด้วยพระคริสต์”

สิ่งที่สำคัญที่สุด และเป็นเงื่อนไขเดียว ที่ทำให้เรารับสภาพ หรือมีสภาพในพระคริสต์ เข้าไปอยู่ในพระคริสต์ได้ ก็คือโดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์

โดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ ก็คืออะไร? ก็คือเชื่อในตัวพระองค์ ก็คือเชื่อในข่าวประเสริฐ ข่าวดีของพระคริสต์ เชื่อในอะไร?  เชื่อความหมายของคำว่าเยซูคริสต์  เยซูคริสต์ คือผู้ที่ถูกเจิมตั้งไว้ หรือพระเจ้าเลือกสรรมาให้ทำงานพิเศษให้กับพระเจ้า คือไถ่มนุษย์ให้ได้รับความรอด คือเชื่อตรงนี้แล้ว เชื่ออะไร? เชื่อตอนที่พระเยซูบอกว่าพระองค์เป็นพระบุตรพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต เพื่อชำระท่านให้พ้นจากบาป และเป็นขึ้นมาใหม่ ในวันที่สาม เชื่อตรงนี้ เรียกว่าข่าวดีของพระเจ้า  พอเชื่อปั๊บ ท่านได้รับสภาพ เข้าไปอยู่ในพระคริสต์แล้ว เข้าไปอยู่ในนี้แล้ว ง่ายไหม? ง่าย ใครอยู่ในพระคริสต์แล้วตอนนี้ ยกมือขึ้น? ขอบคุณพระเจ้า นั่นคือเงื่อนไข ที่เราไปอยู่ในพระคริสต์ ก็คือเชื่อในข่าวประเสริฐ หรือข่าวดีขององค์พระเยซูคริสต์

ในข้อที่ 27 เมื่อตะกี้นี้  เราอ่านร่วมกันนะครับ บอกว่า “พวกท่านทั้งปวงผู้ได้รับบัพติศมา” ได้รับเมื่อไร? ได้รับเมื่อรับเชื่อพระเยซูคริสต์แล้ว ถูกไหม?  ซึ่งถามว่าในนี้ใครรับบัพติศมาแล้ว ยกมือขึ้น ทุกคนยกมือ คิดในใจว่า.-

“ฉันลงน้ำแล้ว”

ถูกไม่ถูก แต่ไม่ใช่ นี่ไม่ใช่หมายถึงลงน้ำ ไม่ใช่หมายถึงลงน้ำ คำที่เราอ่านพร้อมกันตะกี้ว่า.-

“นคร … (ใส่ชื่อท่าน) ผู้ได้รับบัพติศมา เข้าส่วนในพระคริสต์แล้ว”

ไม่ได้หมายถึงลงน้ำ ไม่ได้บอกว่านคร ผู้ได้รับบัพติศมาในน้ำแล้ว ไม่ใช่ซะหน่อย ตะกี้เราพูดพร้อมกันว่าอย่างไร?

“เพราะนคร ผู้รับได้บัพติศมา เข้าส่วนในพระคริสต์แล้ว ได้คลุมกายของนคร ด้วยพระคริสต์แล้ว”

ไม่ได้พูดถึงน้ำสักนิดหนึ่ง แล้วทำไมเรานึกถึงว่าเราลงน้ำแล้ว เราเข้าไปอยู่ในพระคริสต์ การลงรับบัพติศมาในน้ำ เป็นเพียงแค่เหมือนเงา  ที่ผมเคยยกตัวอย่างว่าเป็นเหมือนเงา หรือเหมือนรูปภาพของสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น เมื่อพระเยซูมา ก่อนพระเยซูมาเป็นแค่เงา ตอนพระเยซูมา พระองค์เป็นตัวจริง ก่อนพระเยซูมา เป็นแค่รูปภาพ ตอนพระเยซูมาเป็นตัวจริง นึกออกใช่ไหมครับ เพราะฉะนั้นการลงน้ำบัพติศมา เป็นเพียงรูปภาพ เงาของพระเยซูจะมา เพื่อบัพติศมาเรา ลงในไหน? ในไฟแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ จำได้ไหม? ยอห์นบัพติศโตบอกว่า.-

“เราบัพติศมาท่านด้วยน้ำ แต่ผู้ที่มาภายหลังเรายิ่งใหญ่กว่ามากนัก แม้กระทั่งเชือกรองเท้า เรายังไม่สามารถถอดให้เขาได้เลย ผู้นั้นจะบัพติศมาท่านทั้งหลาย ด้วยไฟ”

ไฟ หมายถึงฤทธิ์เดชอำนาจ พลังอำนาจยิ่งใหญ่  ตัวนี่แหละ ที่เรียกว่าพลังอำนาจในพระคริสต์ ผู้ที่ได้รับบัพติศมาเข้าส่วนในพระคริสต์ เข้าส่วน อยู่ในไฟ ไฟเป็นสัญลักษณ์ หมายถึงฤทธิ์เดชอำนาจ หมายถึงพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ซึ่งรวมกันมาอยู่ในพระคริสต์ ในพระเยซู ผู้ที่ได้รับการเจิมตั้งไว้ ผู้ได้รับการจัดตั้งไว้ เพื่อช่วยมนุษย์ให้รอด การช่วยของพระองค์ ก็คือใครเชื่อ คนนั้นก็ได้ถูกชุบ, จุ่มเข้ามาสู่พลังอำนาจ ในพระคริสต์นี้

เพราะว่าคำว่าบัพติศมา แปลว่าอะไรรู้ไหม? บัพติศมา รู้ไหมแปลว่าอะไร?  บางทีเราก็พูดบัพติศมา แบ็บติส แบ็บไทน์ ภาษายุ่งไปหมดเลย ภาษาอังกฤษบ้าง ภาษากรีกบ้าง ภาษาไทยบ้าง ภาษาไทยก็แปลมาจากภาษากรีกบ้างอะไรต่างๆ

บัพติศมา ถ้าแปลตรงๆ ตะกี้ข้อ 27 บอกว่าอย่างนี้ ถ้าผมแปลเป็นภาษาไทย … ภาษาไทยธรรมดา “เพราะพวกท่านทั้งปวง ผู้ได้รับการจุ่มลงไป ในพระคริสต์แล้ว ได้คลุมกายของท่านด้วยพระคริสต์

บัพติศมา แปลว่าจุ่มลงไป มุดลงไป ชุบลงไป เมื่อท่านเชื่อในพระเจ้า เชื่อในข่าวประเสริฐ พอพระเจ้าจับท่าน ในวิญญาณของท่าน จุบลงไปในไหน? ในพระคริสต์ ก็คือในไฟ … ไฟ ก็คือหมายถึงฤทธิ์เดชอำนาจมหาศาล ที่ตะกี้นี้เราได้อ่านกันนิดหน่อย ในหนังสือเอเฟซัส ตอนที่เราเริ่มต้น พอเห็นยัง? ท่านอยู่ที่ไหนตอนนี้

พระเจ้าจุ่มเราลงไป ชุบเราลงไป ในฤทธิ์เดชอำนาจอันยิ่งใหญ่มหาศาล ซึ่งใช้สัญลักษณ์ว่าไฟในสมัยนั้น  เพราะไม่รู้ว่าจะพูดว่าอย่างไร?  ต้องบอกไฟ ถ้าเดี๋ยวนี้ ถ้าเป็นเรา ในยุคสองพันปีผ่านมา แล้วก็บอกว่าจุ่มเราลงไปในปรมาณู เพราะสมัยนั้น ไฟสูงสุดแล้ว ถูกไหม? จุ่มเราลงไปในพระคริสต์

พระคริสต์ นี่หมายถึงอะไร? ตะกี้นี้เราบอกแล้วใช่ไหม? พระคริสต์ ภาษาฮีบรู ภาษาเดิม ก็คือเยสิยาห์ใช่ไหม? พระเจ้าชุบเราเต็มลงไป จับเราจุ่มลงไปมิดเลย ดำมิดลงไปในไหน? ในมาซีฮาห์ … มาซีฮาห์นี้ เข้าไปถึงในฤทธิ์เดชอำนาจของ The  Anointed one  มาซีฮาห์ หมายถึงผู้ที่ถูกเจิมเอาไว้ เข้าไปสู่ความยิ่งใหญ่ เป็นครอบครัวก็ได้ มหาศาลเลย ความยิ่งใหญ่นี้ เราถูกจุ่มเข้าไปพระมาซีฮาห์ ท่านลองนึกถึงภาพว่ายิ่งใหญ่ขนาดไหน? และผลที่ตามมา ก็คือท่านก็จะได้คลุมกายของท่านด้วยพระคริสต์ ก็คือมันจุ่มลงไปใช่ไหม? ท่านจะเห็นภาพว่าคลุมกาย คืออะไร? พอจุ่มลงไป มุดเข้าไปนะ ถ้าท่านมุดลงไปในน้ำ ท่านก็จะคลุมกายด้วยน้ำ ทั้งหมดเลย ตอนที่เรารับบัพติศมาในน้ำ ซึ่งเป็นการสมมติ เป็นการประกาศให้ผู้คนว่าเราเชื่อในพระเจ้า ในรูปแบบของพิธีกรรม ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการเกิดขึ้นจริงๆ

ในทางฝ่ายวิญญาณ ตอนนั้น ที่เราสมมติ ทำพิธีกัน ลงไปในน้ำใช่ไหม พอลงไปปุ๊บ  ขึ้นมาปุ๊บ  ตอนลงไป ก่อนขึ้นมา ทำอย่างไร มันถูกคลุมไปด้วยน้ำ แต่พอมาเรื่องของพระวิญญาณ ทางฝ่ายวิญญาณ พอเราเชื่อพระเยซูคริสต์เจ้า เชื่อในข่าวประเสริฐของพระองค์ปุ๊บ ไม่ว่าที่ไหนก็ตาม ไม่ว่าจะเมื่อไรก็ตาม ยังไม่ทันลงน้ำเลย ทันที ทันใด ถ้าท่านเชื่อจริงในวิญญาณของท่าน พระเจ้า พระบิดาจะจับท่านชุบลงไปในไหน? ในพระคริสต์ ในเมซีฮาห์ ท่านคิดดูสิว่ายิ่งใหญ่ขนาดไหน? ในเมซีฮาห์ แล้วท่านก็ลงไปในพระมาซีฮาห์ ในการเจิมนั้น เรียกว่าพระคริสต์นั้น เป็นหนึ่งเดียวกันเลย แยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร? เหมือนที่ท่านทำตัวอย่าง คือจุ่มลงไปในน้ำ บัพติศมาในน้ำ พอลงไปในน้ำปุ๊บ  ท่านกับน้ำเป็นหนึ่งเดียวกัน นั่นคือภาพสมมติ ภาพเงา เป็นภาพที่ไม่ใช่ของจริง เป็นรูปภาพที่จะบังเกิดขึ้นจริงๆ ในวิญญาณ ทางพระเยซูคริสต์ ในตอนที่พระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ และตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต แล้วพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม

คนสมัยก่อนเขาไม่เข้าใจ ไม่ว่าจะเป็นโมเสส อาโรน ผู้เผยพระวจนะทั้งหลาย เดวิด อิสยาห์ เขาไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้ เขารู้อย่างเดียวว่าพระเมซีฮาห์ พระเจ้าทรงสัญญาว่าพระเมซีฮาห์จะมา พระเมซีฮาห์คือใคร?  พระเมซิฮาห์ คือพระคริสต์ พระคริสต์ คือใคร? พระคริสต์ ก็คือไคร์ซ … ไคร์ซ ก็คือผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมตั้งเอาไว้ เพื่อมาทำงานพิเศษ เพื่อช่วยมนุษย์ให้รอด เขารู้ว่าพระเจ้าสัญญาไว้ จะมีพระมาซีฮาห์มา เท่านั้นเอง แต่เขาไม่รู้นะครับว่าพระเมซีฮาห์ที่จะมา จะมาเป็นหนึ่งเดียวกัน  ไม่ได้มาช่วยเราธรรมดา จะมาพาเราเข้าไปอยู่กับพระองค์ ร่วมเป็นหนึ่งเดียวกัน เราจะเข้าไปอยู่ในพระเมซีฮาห์ ถ้าเผื่อมีใครไปพูดกับโมเสสตอนนั้น  หรือพูดกับเอลียาห์ตอนนั้น  เอลียาห์ก็จะบอกว่า.-

“จะบ้าเหรอ แกบ้า เพี้ยนไปแล้ว”

แต่นี่พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้นหมดเลย มันเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อ เป็นพระคุณมหาศาลของพระเจ้าที่ทำอย่างนี้ คนสมัยนั้น ไม่มีทางที่จะเข้าใจเลย แม้แต่เราเดี๋ยวนี้ เราฟังดู เรายังไม่ค่อยเข้าใจเลย แต่เราเชื่อ เพราะว่าพระคัมภีร์เขียนไว้อย่างนั้นจริงๆ ว่าเราได้อยู่ในพระเยซูคริสต์ เราได้อยู่ในพระคริสต์ และเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์  เป็นหนึ่งอย่างไร รู้ไหมครับ? เหมือนอะไรรู้ไหม? จะยกตัวอย่างชัดขึ้นนะครับ การลงบัพติศมาในน้ำที่ตะกี้อธิบายให้ฟัง ยังไม่ค่อยชัดเท่าไรว่าท่านเป็นหนึ่งเดียวกัน ลงไป มุดลงไปปุ๊บ ที่เขาบอกว่าเวลาจะทำพิธีนี้ ต้องทำไม? กดหัวลงไปให้จมน้ำ เพื่อที่จะให้มีสัญลักษณ์ว่าท่าน มุดอยู่ ถูกคลุมอยู่ด้วยน้ำ แล้วเป็นหนึ่งเดียวกันกับน้ำ แต่มันดูอย่างไร มันก็ไม่เป็นหนึ่ง เพราะยังเป็นตัวอยู่ แต่ถ้ายกตัวอย่างอันนี้ง่ายเลย คืออย่างไรรู้ไหม? ท่านเคยชงชาใช่ไหม? เอาชาถุงก็ได้ มีน้ำอยู่ใช่ไหม? ร่างกายท่านเป็นถุงชา พอท่านเอาถุงชาลงไปในน้ำร้อน สักครู่หนึ่ง มันจะเกิดอะไรขึ้น ชามันจะเข้าไปสู่น้ำ น้ำจะไหลเข้ามาสู่ชา ชาและน้ำทำปฏิกิริยาอะไรกันก็ไม่รู้ รวมกันเป็นน้ำชา แยกออกไหม? พอมาเป็นน้ำชา ท่านพอจะมองออกไหม อันไหนคือชา อันไหนคือน้ำ ไม่ออกแล้ว ในทำนองเดียวกัน เมื่อท่านถูกจุ่มลงไป ถูกชุบลงไป ในพระเยซูคริสต์ หรือในพระมาซีฮาห์ ท่านได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ไม่สามารถแยกท่านได้ว่าใครเป็นท่าน และใครเป็นพระมาซีอาห์ นี่พูดถึง ยกตัวอย่างให้ฟังนะ เข้าใจไหม?

ในหนังสือยอห์น 20:31 บันทึกอย่างนี้นะครับ “แต่ที่บันทึกเรื่องเหล่านี้ไว้ ก็เพื่อท่านทั้งหลายจะได้เชื่อว่าพระเยซูทรงเป็นพระคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า และโดยความเชื่อ ท่านจะได้มีชีวิต ในพระนามของพระองค์”

 

พระเยซูคริสต์เป็นพระคริสต์ เห็นไหม? พระเยซูคริสต์เป็นพระคริสต์ เป็นพระบุตรของพระเจ้า และโดยความเชื่อ ท่านจึงได้รับชีวิตในนามของพระองค์ อยู่ในนามนั้น ถึงจะมีชีวิต ไม่ใช่เชื่ออย่างเดียว  เชื่อแล้วพระเจ้าจับท่านลงไปอยู่ในพระคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกัน นั่นแหละ ท่านถึงจะได้รับชีวิต เพราะว่าพระเยซูบอกว่าพระองค์ทรงเป็นแหล่งของชีวิต ไม่มีที่ไหนมีแล้วในโลกนี้ ในมหาจักรวาลนี้  พระองค์เป็นแห่งเดียว ที่เป็นชีวิตและเป็นแสงสว่าง ท่านเข้าไปอยู่ในแสงสว่าง อยู่ในชีวิต

ชีวิตของพระเยซู และชีวิตของท่านมองไม่ออกว่าชีวิตเป็นของใคร? ทั้งสองฝ่ายเป็นชีวิตทางพระเจ้าเหมือนกัน ทั้งสองฝ่ายเป็นแสงสว่างเหมือนกัน พระเยซูบอกท่านไปไหน ท่านจงจำไว้ ท่านเป็นแสงสว่าง พระเยซูบอกว่าท่านเดินไปไหนก็ตาม ท่านเป็นแสงสว่าง ไม่ใช่ท่านพยายามทำตัวให้เป็นแสงสว่าง เป็นคริสเตียนไม่ใช่ เพื่อจะทำตัวให้เป็นแสงสว่าง ไม่ใช่ ทำดีแล้วท่านจะเป็นแสงสว่าง ไม่ใช่ ท่านเป็นแสงสว่างอยู่แล้ว จงให้แสงสว่างนั้นมันฉายออกไปเอง ไม่ต้องพยายาม มันไปของมันเอง ท่านต้องรู้ก่อนว่าท่านเป็นแสงสว่าง ไม่อย่างนั้น ท่านไม่รู้ พอไม่รู้ ก็เดินสะปะสะเปะ แต่ท่านรู้ว่าตัวท่านเองเป็นแสงสว่าง บางคนเข้าใจผิด คิดว่ามาเป็นคริสเตียน ต้องทำตัวเป็นความสว่าง ไม่ใช่ ท่านเป็นความสว่างอยู่แล้ว ผมต้องทำตัวเป็นผู้ชายไหม? ถามจริง ท่านต้องทำตัวเป็นผู้หญิงไหม? เพราะว่าท่านเป็นอยู่แล้ว ยกเว้นว่าท่านจะเป็นเพศที่สาม ท่านอาจจะต้องทำ แต่ถ้าท่านเป็นอะไร? แต่ท่านเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว ท่านเป็นผู้หญิง ท่านก็เป็นผู้หญิง ท่านเป็นผู้ชาย ท่านก็เป็นผู้ชาย ในพระเยซูคริสต์ เราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า เราเป็นแสงสว่าง เราเป็นชีวิต นี่ ไม่ใช่เราไปขอชีวิตจากพระเจ้า  พระเจ้าจับเราใส่เข้าไปในหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ เป็นชีวิตเดียวกันเลย

โรม 8:1-2 “1 เหตุฉะนั้น บัดนี้ จึงไม่มีการลงโทษ 2 แก่บรรดาผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์”

 

เหตุฉะนั้น บัดนี้ จึงไม่มีการลงโทษแก่ทุกคนเลย  เพราะว่าพระเยซูมาไถ่บาปเรียบร้อยแล้ว  ไม่ใช่ ตั้งใจฟัง บัดนี้ จึงไม่มีการลงโทษ แก่บรรดาทุกคนที่อยู่บนโลกใบนี้เลย เพราะว่าพระเยซูคริสต์มาไถ่บาปแล้ว ไม่ใช่สิ

เพราะฉะนั้น ในพระเยซูคริสต์ บัดนี้ ไม่มีการลงโทษใดๆ เลย ไม่มี จะทำบาป ทำผิดอะไร ก็ไม่มีการลงโทษ สำหรับมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้เลย เพราะพระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ แล้วตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต ชำระมนุษย์ให้พ้นจากบาปผิดทั้งปวง ใช่หรือไม่? ไม่ใช่ ดังๆ สิ ไม่ใช่ ต้องมั่นใจ ข้างๆ เขาไม่กล้าพูด เราก็ไม่พูด ไม่ใช่ เฉพาะผู้ที่เลือกว่าจะมาอยู่ในพระคริสต์ เชื่อในพระเยซูคริสต์ว่าพระองค์ทำจริง

เขาก็จะได้รับสิทธิของเขาเอง เอเมน สำหรับทุกคน แต่ไม่ใช่ทุกคนได้รับ เอ๊ะ! ถูกหรือเปล่านี้ ถูก สำหรับทุกคน แต่ไม่ใช่ทุกคนได้รับ เพราะว่าทุกคนไม่ได้ใช้สิทธิของเขา ใช่ไหม? เงิน 600 บาทต่อเดือน สำหรับคนมีอายุแบบผม หรือแบบใครก็ตามที่มีอายุ 60 ขึ้นไป ที่รัฐบาลคอยช่วยเหลือ เขาเรียกเป็นค่าอะไร? เบี้ยค่าครองชีพของผู้สูงอายุ ค่าเลี้ยงดูผู้สูงวัย 600 บาทต่อเดือน เป็นของคนอายุ 60 ปีขึ้นไป ของคนในประเทศนี้ ใช่หรือไม่ใช่? ใช่ แต่คนที่ได้รับไม่ใช่ทุกคน เฉพาะคนที่ยอมเชื่อและไปใช้สิทธิของเขา ไปยื่น กรอกข้อความที่เขตว่า.-

“ฉันอายุเท่านี้จริงๆ นะ ฉันนคร เวชสุภาพร อายุเท่านี้ เอาบัตรประชาชนให้ดู อยู่บ้านเลขที่นี้ โอเค ฉันต้องการรับ 600 บาท”

ในที่สุด ผมก็ได้ 600 นั้นจริงๆ นี่เหมือนกันเลย คือใครก็ตามเมื่อมาเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ เชื่อจริงๆ นะครับ เชื่อว่าพระเยซูคริสต์มาตายที่ไม้กางเขน พระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้า เป็นพระคริสต์ที่พระเจ้าทรงเจิมตั้งไว้ เป็นพระเมซิฮาห์ ที่ถูกเจิมตั้งไว้โดยพระเจ้า ให้มาทำการนี้โดยเฉพาะ คือ

มาไถ่มนุษย์ให้รอดพ้นจากความบาป แล้วพระองค์มาทำแล้ว คือตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตของพระองค์ และพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม พระโลหิตทรงชำระมนุษย์ให้สะอาดหมดจดทุกคนเลย โดยรวมทั้งฉันด้วย ฉันจะเอาแล้ว ฉันจะไปรับสิทธิของฉัน

นั่นแหละ คือเชื่อในข่าวดี เขาก็จะได้รับสิทธินี้ทันที ได้เชื่ออย่างนี้ ก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ทันที เป็นผู้ที่ถูกจุ่มลงไป ไม่ใช่สระน้ำหน้าบ้านเรา ไม่ใช่ จุ่มลงไป มุดลงไป ได้ถูกชุบลงไป โดยพระเจ้า ลงไปในพระคริสต์ทันทีเลย ไม่ว่าจะเป็นตีหนึ่ง ตีสี่ ตีห้า กี่โมงก็ตาม ที่เขาปิ๊งขึ้นมาว่า.-

“เชื่อแล้วๆ เขามาประกาศตั้งนาน เขามาเล่าให้ฉันฟังตั้งนาน ฉันเชื่อแล้ว วินาทีนี้เลยทันที”

พระเจ้าจับท่านมุดลงไปในฤทธิ์เดชอำนาจ ซึ่งเรียกว่าไฟ พลังอำนาจยิ่งใหญ่นี้ ที่เรียกว่าพระคริสต์ พระคริต หรือมาซีฮาห์ ทันทีทันใด  ท่านได้รับสิทธินั้นทันที และเมื่อจุ่มท่านลงไป มุดลงไปในน้ำ ท่านเปียก ถูกไหม? ตอนที่เราทำตัวอย่างบัพติศมาในน้ำ

บัพติศมาในน้ำ ไม่ใช่ไม่สำคัญ ถามว่าสำคัญไหม? มันเป็นเหมือนกำลังใจให้เรา ที่ดีที่เดียวที่เราจะบอกผู้คนว่าเราเชื่อพระเจ้าจริงๆ เป็นการปฏิบัติให้เห็นเท่านั้นเอง มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับทางวิญญาณเลย ไม่ได้เกี่ยวสักนิดหนึ่ง ถ้าท่านไม่เชื่อ ท่านลงน้ำให้ตายสัก 20 ครั้ง ก็ไม่มีประโยชน์อะไร เพราะการลงน้ำเป็นเพียงแค่สัญลักษณ์ ได้เห็นเท่านั้นเอง ท่านเข้าใจใช่ไหมครับ บางคนบอกว่า.-

“ฉันจะไปลงน้ำ เพื่อฉันจะได้รับชีวิตนิรันดร์”

ไม่ได้หรอกครับ ท่านไม่ได้ ถ้าท่านไม่เชื่อในข่าวประเสริฐ พระเยซูคริสต์จริงๆ ท่านจะไม่ได้ตรงนี้  แต่ส่วนใหญ่ที่เขาลงน้ำ เพราะว่าเขาเชื่อว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระผู้ไถ่บาปจริงๆ ก่อนแล้ว เขาถึงลงน้ำ นี่พูดถึงส่วนใหญ่ ก็มีส่วนน้อยที่เป็นคริสตาม ก็ตามเขามา ก็อยากลงน้ำ เขาลง ก็อยากลงบ้าง สนุกดี แปลกดี ก็อยากลงบ้าง อย่างเช่น ลูก หลาน เหลน โหลนอะไรประมาณนี้ ก็ลงไปเถอะ ไม่เป็นอะไร สนุกดี แต่เมื่อวันหนึ่งที่เขาตามแล้ว วันหนึ่งที่เขาเรียนรู้จักพระเจ้าจริงๆ แล้วเขาเชื่อในข่าวประเสริฐแล้ว เขาถึงจะได้รับการจุ่มลงไปในฤทธิ์เดชอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เรียกว่าไฟแห่งพระวิญญาณ เรียกว่าในพระคริสต์ ในคริต ในไครซ์ ในมาซีฮาห์นี้ เอเมน เข้าใจนะ

แล้วถามว่าจุ่มลงไปเป็นอะไรเกิดขึ้น ถ้าจุ่มลงไปในน้ำ เราก็เปียก แค่นั้นเอง จบ ไม่มีอะไรเลย จริงๆ ไม่มีอะไรจริงๆ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้ว นอกจากเปียก แต่พระเจ้าชุบท่าน ลงไป กดท่านลงไป ทำให้ท่านมุดลงไปในพระคริสต์ พระมาซีฮาห์ ทำให้เกิดปฏิกิริยาเกิดขึ้น ในวิญญาณของท่านทันที ในคนๆ นั้น ทันทีทันใดเลย

พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้อย่างนี้ ท่านอ่านดูนะครับว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทันทีทันใดนั้น มันสปาร์ก นึกถึงภาพอะไรดี ในปัจจุบัน อย่างที่ผมบอก ต้องนึกถึงภาพปรมาณู ทางวิทยาศาสตร์อะไรต่างๆ ที่มันยิ่งใหญ่ ใส่เข้าไปปุ๊บ มันระเบิด 2 โครินธ์ 5:17 เกิดอย่างนี้ขึ้น ก่อนจะอ่านท่านนึกถึงภาพนะครับ พอท่านเชื่อในข่าวประเสริฐ คนใดคนหนึ่ง หรือเราก็ได้ เราเอง พอผมเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเจ้า เชื่อจริงๆ เลย ซาบซึ้งในข่าวประเสริฐจริงๆ เลย ทุกคนมีวินาทีนี้ทุกคน ไม่มีใครไม่มีเลย ทุกคนที่อยู่ในพระคริสต์เดี๋ยวนี้ ทุกคนมีวินาทีนั้น เพียงแต่จะระลึกถึง หรือนึกถึงหรือไม่เท่านั้นเอง วินาทีนั้น มันซาบซ่าส์ ขณะนั้น พระเจ้ากำลังทำพิธีบัพติศมา หรือจุ่มท่าน กดท่านให้มุดลงไปในน้ำ เหมือนคล้ายๆ กับตอนที่ศิษยาภิบาลกดท่านรับบัพติศมาในน้ำ หน้าโบสถ์ คล้ายๆ อย่างนั้น แต่ตรงนี้ทางฝ่ายวิญญาณ ท่านตัวไม่เปียกเลย เพียงแต่เหงื่อแตกเท่านั้นเอง ท่านไม่รู้ตัวเลย  แต่ในทางวิญญาณ พระเจ้ากำลังจับท่านเข้าไปในไฟแห่งพระวิญญาณ ที่เรียกว่าพระคริสต์ มาซีฮาห์ ฤทธิ์เดชอำนาจ ไฟแห่งพระวิญญาณ อะไรก็ว่าไป ท่านลองอ่านตรงนี้ดูว่ามันเกิดอะไรขึ้น ตอนนั้น

2 โครินธ์ 5:17 “เหตุฉะนั้น ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ ผู้นั้นก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งสารพัดที่เก่าๆ ก็ล่วงไป นี่แน่ะ กลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น”

 

เห็นหรือยังว่าเกิดอะไรขึ้น? ถ้าลงน้ำเปียก แต่ในทางวิญญาณ เมื่อเชื่อในพระเจ้า พระเจ้าบัพติศมาท่านลงไปในฤทธิ์เดชอำนาจ แห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าที่เรียกว่าพระคริสต์ มาซีฮาห์ เกิดอะไรขึ้น  ท่านถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งสารพัดเก่าๆ ก็ล่วงไป นี่แน่ะ … นี่แน่ะในภาษาเดิมเขาเรียกว่าอะไรรู้ไหมครับ แปลว่าอะไรรู้ไหมครับ Be hold บอกจงมองให้เห็นเถิด มันใหม่มาก จงเห็นเถิด  ไม่เห็นก็พยายามทำให้เห็น เพราะว่ามันเป็นจริงตามนั้น คืออะไร? คือท่านกลายเป็นสิ่งใหม่เลย เป็นวิญญาณดวงใหม่เอี่ยม ไม่มีบาป ไม่มีสิ่งสกปรกโสโครกอยู่ในวิญญาณท่านอีกต่อไป เอเมน ความจริงตรงนี้ไม่ต้องเชียร์ ท่านก็ต้องปรบมือแล้วล่ะ เพราะท่านทั้งหลายที่นั่งอยู่ที่นี่ เกือบ 100% เป็นตรงนี้หมดเลย โดยเราไม่รู้ตัว พอเรามาเรียน

“อ้อ! เราเป็นอย่างนั้นเหรอ ก็ดีเหมือนกันนะ”

เนี้ยแหละ ใหม่ไหม? รู้สึกกลับไปบ้าน หน้าตาดูดีขึ้นเยอะเลยนะ  ถ้าตาใหม่ขึ้นเยอะเลย

“ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ ผู้นั้น ก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งสารพัดที่เก่าๆ ก็ล่วงไป”

กลับไปทำไมสิวยังอยู่ล่ะ แผลเป็นก็ยังอยู่ เพราะว่าที่พูดทั้งหมดนี้ เป็นเรื่องของวิญญาณของเรา วิญญาณของมนุษย์ ซึ่งสำคัญที่สุด ร่างการเราวันหนึ่งมันต้องตายทุกคน ร่างกายเรา พระเจ้าไม่จัดการแล้ว เพราะว่าเตรียมร่างกายใหม่ไว้ให้แล้ว แต่วิญญาณเราจะต้องอยู่นิรันดร์ ไม่ว่าจะอยู่ในที่ไม่มีพระเจ้า  หรือที่มีพระเจ้า ที่เรียกว่าสวรรค์นิรันดร์กาล ที่ใดที่หนึ่ง ต้องอยู่แน่นอน ตลอดกาล เพราะพระเจ้าให้วิญญาณมนุษย์ สร้างวิญญาณมนุษย์ให้บริสุทธิ์ สะอาด เป็นวิญญาณที่มาจากพระองค์ เป็นวิญญาณนิรันดร์ นิรันดร์ที่เป็นกาลเวลานะ ก็คืออยู่ไม่มีการตาย ไม่มีการสูญสิ้น พอเข้าใจใช่ไหมครับ เพราะฉะนั้น ตัวนี้ เสร็จสิ้นไปแล้ว สำคัญมาก นี่คือความหวังของคนที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ เชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ผู้ที่เชื่อในข่าวประเสริฐ หรือข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ก็คือผู้ที่ได้อยู่ในพระคริสต์นั่นเอง ผู้ที่ต้อนรับข่าวดีพระเยซูคริสต์ ก็คือผู้ที่ได้อยู่ในพระคริสต์ พระเจ้าจับใส่มาอยู่ในพระคริสต์ คือวิญญาณของคนๆ นั้น ได้รับการชุบขึ้นมาใหม่ จุ่มขึ้นมาใหม่ เกิดปฏิกิริยาขึ้นมาใหม่ เปลี่ยนจากวิญญาณที่ตายแล้ว ในความบาป ไม่รู้จักพระเจ้า มีแต่สิ่งสกปรกโสโครก โสมม กลายเป็นสภาพวิญญาณใหม่ สะอาดบริสุทธิ้เหมือนพระเจ้า เป็นวิญญาณที่ได้รับการ Anoint เจิมด้วยฤทธิ์เดชอำนาจ เพราะเข้าไปอยู่ในฤทธิ์เดชอำนาจ พอเข้าใจใช่ไหม เข้าไปอยู่ในพระคริสต์ พระคริสต์เป็น Anointed one พระคริสต์เป็นฤทธิ์เดช เป็นการเจิมของพระเจ้า คนนั้นเข้าไปอยู่ในการเจิมของพระเจ้า วิญญาณเข้าไปอยู่ในพระเจ้า เกิดปฏิกิริยาเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง สะอาดบริสุทธิ์ ชำระอย่างรุนแรงเลย ทำให้สภาพของวิญญาณนั้น มีลักษณะเหมือนพระเยซู หรือเรียกว่ามีพระฉายเหมือนพระเจ้า

ยกตัวอย่างเหมือนอะไรรู้ไหมครับ?  เหมือนแจกันทองคำโบราณ มีค่ามหาศาลมากเลย อยู่ๆ มา มีคนไม่รู้จักค่าของมัน นึกว่าเป็นทองปลอม ก็ทิ้งมัน พอทิ้งมันนานๆ เขา หยากไย่ มันเคอะไปหมดเลย เขาเรียกว่าขี้ทอง หรือว่าเกลี้ยงทอง หรือว่าเชื้อราอะไรต่างๆ เกิดขึ้น สกปรกหมดเลย หนาหลายปีมา ไม่มีใครเอาเลย ลูกๆ หลานๆ เหลน โหลน ก็เอาแจกันอันนี้ ไปขายทอดตลาด ข้างในมันเป็นทองแท้ ทองคำบริสุทธิ์ นึกออกใช่ไหมค่ะ ขายไปตลอด ยิ่งขายไปเท่าไร ยิ่งสกปรกโสโครก โสมม เต็มไปหมด ไม่เห็นทองเลย ไม่เห็น เห็นแต่แจกันอะไรดำๆ แต่เมื่อมีคนหนึ่งรู้ว่าข้างในมันเป็นทอง ก็เลยไปซื้อแจกันทองนี้มา  มาทำอะไรรู้ไหมครับ? เขาจะมีน้ำยากัด ทองเวลาเราเอาไปล้าง เขาจะมีน้ำยาอันหนึ่ง สำหรับล้างทอง ให้มันบริสุทธิ์ ให้เอาสิ่งที่สกปรกติดอยู่ออกไป อันนี้ผมไม่รู้เรื่องหรอกนะ  ผมเล่าให้ฟังเท่านั้นเอง จริงๆ เขาล้างอย่างไรไม่รู้ แต่เขามีวิธีล้าง เขาก็เอาแจกันทอง ซื้อมาถูกๆ เอง แล้วมาทำไมรู้ไหม? มาจุ่มมันลงไป ให้มันมิดลงไป ในสารเคมี น้ำสารเคมีตัวนี้  พอลงไปปุ๊บ น้ำสารเคมีก็ทำการไปปฏิกิริยากับตัวแจกันนี้ กัดสกปรกออก ชุบกลายเป็นทองขึ้นมาใหม่ ปิ้งเลย ใสแจ๋วเลย

ท่านรู้ไหม น้ำสารเคมีนั้น ถ้าเทียบกับพระเยซูคริสต์ คืออะไร? น้ำนั้น คือน้ำเลือดของพระเยซูเอง พระโลหิตของพระบุตรของพระเจ้า ที่บริสุทธิ์นั้น สามารถลบล้างบาปทั้งสิ้น ความสกปรกโสโครกทั้งสิ้นของวิญญาณเราได้ เอเมน พอไหม?  ขอบคุณพระเจ้า ที่ให้เราได้รู้อย่างนี้ ที่ให้เราได้รู้อย่างนี้ ทำไมพระเจ้าทรงเมตตาต่อเรามากขนาดนี้ เราเหมือนแจกันที่ไปอยู่โน่น ขายทอดตลาดมาไม่รู้กี่ทอดแล้ว ตอนนี้อยู่ … ขอโทษนะ อยู่ข้างส้วม เขาทิ้งไว้ ไม่มีใครไปซื้อเลย คนนั้นเดินมาก็เตะที บางคนก็ … ขอโทษนะ … ถ่มน้ำลายลงไปในแจกันนี้ มันอยู่กับพื้น จริงๆ มันอยู่บนหิ้ง เป็นทองสวย มีแก้วจาระไน ทำเป็นตู้วาง ตอนนี้มันอยู่ตรงหน้าประตูส้วม แล้วก็นาน หยากไย่ขึ้น  ถ่มน้ำลายลงไปอะไรต่างๆ สกปรกโสโครกมากๆๆๆๆ แล้วพระเจ้ารู้ พระเจ้าทรงคิดแบบนี้

“อันนี้ ฉันจำได้ แจกันอันนี้ ฉันสร้างเอง ของจริง คือทองแท้บริสุทธิ์ ฉันยอมไปซื้อมา”

แล้วก็ชุบลงไปในสารเคมีพิเศษ ซึ่งทำยากมาก เพราะต้องเกิดขึ้นจากการเสียสละของพระองค์เอง คือพระเยซูคริสต์ต้องตายที่ไม้กางเขน เพื่อได้รับสารเคมีนี้มา เรียกว่าพระโลหิตของพระองค์ เพื่อที่จะกัดตัวบาป โสโครก ที่ติดอยู่กับทองนี้ ลอกมันออกหมดให้ได้เลย ท่านคิดดู ต้องลงทุนขนาดไหน? ที่จะทำสารเคมีตัวนี้ ขึ้นมา เพื่อชำระล้าง แล้วท่านรู้หรือไม่ว่าแม้กระทั่งแจกัน ที่มันสกปรก โสโครกขนาดนั้น ที่อยู่หน้าห้องน้ำขนาดนั้น แต่พระเจ้ารู้ว่ามันบริสุทธิ์ ข้างในมันเป็นทองบริสุทธิ์ พระองค์เป็นผู้สร้างเอง พระองค์รู้ ท่านรู้ไหมโสโครกขนาดนั้น ถ้าเป็นเรา เราไปซื้อ มันคงไม่กี่ตังค์ ถูกไหม?  จ่ายเงินไม่กี่ตังค์ แล้วเราก็ซื้อกลับมา แต่พระเจ้าต้องจ่ายราคาแพงมาก คือจ่ายชีวิตของพระบุตรของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์เอง ยอมสละพระเจ้า สภาพของพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นมนุษย์ที่ต่ำต้อย มาเดินอยู่บนโลกใบนี้ที่ต่ำต้อย สละสภาพพระเจ้าเด็ดขาด มาอยู่เป็นมนุษย์ธรรมดา เพื่อเป็นตัวแทนมนุษย์มารับโทษบาปแทนมนุษย์ เพื่อแจกันนั้นจะได้กลับคืนไปสู่หิ้งเหมือนเดิม เอเมน นี่คือพระคุณ เขาเรียกว่าพระเมตตาคุณของพระเจ้า เขาเรียกว่า Amazing Grace ถ้าใครได้เรียนรู้ตรงนี้ Amazing Grace จริงๆ

นอกจาก พยายามอธิบายให้ท่านเห็นภาพ พระคริสต์ๆ ในพระคริสต์ เป็นอย่างไร อยากให้ท่านเห็นภาพ เพราะอะไรรู้ไหมครับ ท่านจะได้เห็นพระคุณของพระเจ้า ได้เห็นคุณค่าของตัวท่านเอง และได้เห็นว่าพระเจ้าได้ทำอะไรเสร็จไปเรียบร้อยแล้ว ในขณะที่ท่านนั่งอยู่ตรงนี้  ทุกวันนี้ มันเกิดขึ้นแล้วนะ ที่พูดเนี้ย ทั้งหมด ไม่ใช่จะเกิดขึ้นนะ มันเกิดขึ้นแล้ว แล้วพอเรารู้ เราก็จะใช้สิทธิของเรามากขึ้น ถ้าเรารู้ เราก็จะหายเหนื่อยและเป็นสุข อย่างที่พระเยซูบอกเรามากขึ้น พยายามจะยกตัวอย่างให้ท่านเห็นว่า “ในพระคริสต์” นั่นคืออะไร? ในพระคริสต์เป็นฤทธิ์เดชอำนาจ ในพระคริสต์เป็นเหมือนอะไรอีกรู้ไหม?

ในพระคริสต์เปรียบเหมือนครอบครัวหนึ่ง เปรียบเหมือนครอบครัวพระเจ้าใหญ่ๆ เมื่อเราเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ เราได้ถูกชำระล้างด้วยพระโลหิตของพระเยซู ให้จิตวิญญาณเราได้สะอาดหมดจดแล้ว เราได้ย้ายเข้ามาสู่ครอบครัวในพระคริสต์ ในพระคริสต์เหมือนครอบครัวหนึ่ง เหมือนกับสำมะโนครัวหนึ่งที่มีทะเบียนอันหนึ่ง เข้าใจใช่ไหมครับ

เจ้าของบ้าน ก็คือพระเจ้า พระบิดา ถูกไหม? สมมติเอานะ พระเจ้าทำทะเบียนขึ้นมาใหม่ทะเบียนหนึ่ง พระเจ้าเป็นผู้สร้างทะเบียนนี้ขึ้นมา หัวหน้าครอบครัว เขาเรียกอันดับหนึ่ง ถูกไหม? ต้องเบอร์หนึ่ง ทะเบียนบ้านนี้เรียกว่าบ้านพระคริสต์ บ้านพระคริสต์ สมาชิกอันดับหนึ่งเป็นหัวหน้าครอบครัว มีชื่อว่าพระเยซู อันดับสอง คือไม่รู้เปโตร เปาโล ท่านเป็นอันดับที่เท่าไรไม่รู้ เข้าใจไหม? ในพระคริสต์หมายถึงอย่างนี้ ยิ่งใหญ่ขนาดไหน?  เราเข้าไปอยู่ในสถาบันนี้ เราเข้าไปอยู่ในครอบครัวนี้ แล้วมันหมายถึงฤทธิ์เดชอำนาจด้วย พร้อมๆ กันเลยทีเดียวเชียวล่ะ 1 โครินธ์ 12:13 ท่านจะเห็นภาพตรงนี้ มันเหมือนครอบครัวอย่างไร? มันเหมือนถ้าเราไปอยู่ในทะเบียนบ้านเดียวกันอย่างไร? คำว่า “ในพระคริสต์” นอกจากเป็นภาพแบบที่ตะกี้นี้ ที่ผมอธิบาย เป็นฤทธิ์เดชอำนาจยิ่งใหญ่ ที่เราได้ถูกสร้างขึ้น แล้วจุ่มลงไปในฤทธิ์เดชอำนาจนี้แล้ว เป็นเหมือนทะเบียนบ้านที่เราเข้าไปอยู่ มีนามสกุลว่าพระคริสต์ สมมติอย่างนั้นนะ  เป็นน้องของพระเยซู อยู่ในบ้านเดียวกัน มีสิทธิเท่ากัน 1 โครินธ์ 12:13 บันทึกไว้อย่างนี้นะครับ

1 โครินธ์ 12:13 “เพราะเราทั้งหมดก็รับบัพติศมา โดยพระวิญญาณองค์เดียว เข้าเป็นกายเดียวกัน ไม่ว่าเราจะเป็นยิวหรือกรีก เป็นทาสหรือเป็นไท และเราทั้งหมด ก็ได้รับพระวิญญาณองค์เดียวกัน”

 

จะลองแปลงตรงนี้ ให้ท่านได้เห็นภาพว่ามันคืออะไร? ท่านจะได้เข้าใจชัดขึ้น

“เพราะเราทั้งหมด ก็ได้รับการจุ่มลงไป การชุบลงไป การมุดลงไป โดยพระวิญญาณองค์เดียวกัน เข้าเป็นกายเดียวกัน ไม่ว่าเราจะเป็นยิวหรือกรีก เป็นทาสหรือไท เราทั้งหมด ก็ได้รับพระวิญญาณองค์เดียวกัน”

พอมองเห็นไหม?  คือเราทั้งหลาย เหมือนกันหมด เหมือนเผ่าพันธุ์มนุษย์ ผมยกตัวอย่างอันนี้ ไม่รู้ว่าน่าจะได้ไหม? น่าจะได้เหมือนกันนะ เหมือนท่านไปเห็นฝูงม้า เข้าใจไหม? ท่านเห็นฝูงม้า ฝูงหนึ่ง สมมติ 10,000 ตัว ท่านมองไปเป็นม้าหมดเลย ท่านรู้ไหมตัวไหนเป็นตัวไหน? คล้ายๆ อย่างนั้นแหละ จริงๆ มันมีนะ  ถูกไหม? ม้าแต่ละตัวมันก็จะมีแต่ละลักษณะ แต่เรามองไปเป็นฝูงม้า ถูกหรือเปล่า? เหมือนกัน มนุษย์ท่านมองไปทั้งหมด ท่านมองไป ท่านรู้ว่าคนนี้เป็นมนุษย์ ต้องมาบอกท่านไหมว่านี่มนุษย์นะ อันนั้นเราด่ากันมากกว่า ที่บอกไม่เหมือนมนุษย์ จริงๆ เรารู้ แต่เราแกล้ง เราไปว่าเขา ถูกไหม?

“แกไม่เหมือนมนุษย์”

ไม่ต้องบอก ท่านมองดู ทุกคนรู้หมดแล้ว อย่างนี้เรียกว่ามนุษย์ มนุษย์เห็นไหม ก็เหมือนกันหมด ลักษณะเดียวกัน คนที่เกิดใหม่โดยวิญญาณ โดยพระเยซูคริสต์ โดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ เข้าไปอยู่ในพระคริสต์ คนเหล่านั้นอยู่ในครอบครัวเดียวกัน อยู่ในครอบครัวพระคริสต์ เป็นเหมือนกัน เป็นครอบครัวเดียวกัน เป็นพี่น้องกัน เป็นเผ่าพันธุ์เดียวกัน เป็นลักษณะชีวิตเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ด้วย เอเมน

และการที่เราได้อยู่ในพระคริสต์ ได้รับการถูกสร้างใหม่ในพระคริสต์ ได้เป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวของพระคริสต์ทันที เราก็จะมีลักษณะ มีชีวิตอยู่เหมือนพระเยซูคริสต์ ซึ่งพระเยซูคริสต์เป็นเหมือนใคร?  เหมือนพระเจ้า ท่านไปต่อเองแล้วกันว่าควรจะเป็นอย่างไรต่อไป เพราะเราได้ชื่อว่าเป็นลูกของพระเจ้า มีความบริสุทธิ์สะอาดเหมือนพระเจ้า สามารถอยู่กับพระเจ้าได้

สามารถอยู่กับพระเจ้าได้เดี๋ยวนี้เลย เอเมน สามารถอยู่กับพระเจ้าได้ เหมือนที่พระเยซูบอกว่าพระองค์อยู่ในพระเจ้า พระเจ้าอยู่ในพระองค์ จำคำนี้ได้ไหม? รู้ แต่จำไม่ได้แล้ว เอาถ้อยคำมาให้อ่าน ท่านอ่าน ยอห์น 14:20 ฟังพระเยซูพูดเองเลยนะครับ ผมไม่ได้พูดนะ ยอห์น 14:20 พูดไว้อย่างนี้ พระเยซูตรัสว่า.-

ยอห์น 14:20 “ในวันนั้น พวกท่านจะตระหนักว่าเราอยู่ในพระบิดาของเรา และพวกท่านอยู่ในเรา และเราอยู่ในพวกท่าน

 

เอเมน … ผมไม่ได้พูดเลย พระเยซูบอกว่าในวันนั้น ถามว่าในวันนั้น คือวันไหน? วันนั้น คือวันนี้ วันที่เรากำลังพูดอยู่นี้ วันนั้น คือวันที่พระเยซูทรงอยู่บนไม้กางเขน ในตอนบ่ายสามโมง แล้วพระองค์ตะโกนว่า It is finished. มันสำเร็จแล้ว มันไม่ใช่กำลังจะสำเร็จ มันไม่ได้กำลังจะเริ่มต้น เพิ่งจะเริ่มต้น แต่พระองค์บอกว่ามันสำเร็จแล้ว จบแล้ว การไถ่บาปให้กับมนุษย์ จบสิ้นแล้ว ครอบครัวได้ถูกสร้างขึ้นใหม่ ทะเบียนบ้านของพระเยซูคริสต์อันใหม่ได้เกิดขึ้นแล้ว ในวันนั้น พวกท่านจะได้ตระหนัก พวกท่านจะได้รู้ว่าพระเยซูอยู่ในพระบิดา พระเยซูอยู่ในพระเจ้า พระบิดา และพวกท่านอยู่ในพระเยซู พวกท่านได้เชื่อพระเยซูแล้ว ได้ถูกจุ่มลงไปในพระคริสต์ ท่านอยู่ในพระคริสต์แล้ว และพระเยซูอยู่ก็อยู่ในพวกท่าน และเราทั้งหลายก็อยู่ในพระบิดา รวมความแล้วว่าอย่างไร? เป็นหนึ่งเดียวกันในพระเจ้านั่นเอง หนึ่งเดียวกันได้อย่างไร? ถ้าไม่เหมือนกัน ถูกไหม?

 

ท่านพอจะมองเห็นหรือยังว่าความสัมพันธ์ตรงนี้ พระเยซูบอกว่าพระองค์ทรงอยู่ในพระเจ้านะ และพระเจ้าทรงอยู่ในพระองค์ … ช้าๆ นะ และเราทั้งหลาย ผู้เชื่อในพระองค์อยู่ในพระคริสต์ และพระคริสต์อยู่ในเรา สรุป คือเราอยู่ในพระเจ้า และพระเจ้าทรงอยู่ในเรา เพราะเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์

 

สรุปแล้วเราเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า ถามว่าเกิดขึ้นเมื่อไร? รอให้เราตายก่อน แล้วค่อยไปอยู่ในสวรรค์ใช่หรือไม่ใช่? ใช่ไหม? ไม่ใช่ เกือบถูกหลอกแล้ว เกิดขึ้นเมื่อไร? เกิดขึ้นที่ไม้กางเขน เมื่อเกือบ 2,000 ปีที่แล้ว ที่พระเยซูคริสต์ตายที่ไม้กางเขน  และบอกว่ามันจบแล้ว “เททเทเลสสไต” ภาษากรีก ที่บอกว่าจ่ายหมดแล้ว  จ่ายหมดแล้ว จ่ายอะไร? จ่ายหนี้บาปของมนุษย์ทั้งหลายไปเรียบร้อยแล้ว หมดเกลี้ยงแล้ว มนุษย์พ้นจากหนี้บาปแล้ว ใครก็ตามที่รู้ข่าวดีนี้ มารับสิทธิของเธอไปเลย เธอจะได้รับการจุ่มเข้าไปในฤทธิ์เดชอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งหมายถึงพลังอำนาจของพระเจ้า ที่เรียกว่าที่กระทำการงานอยู่ในพระคริสต์ และเธอจะได้เข้าไปอยู่ในพระคริสต์นี้ อยู่ในครอบครัว อยู่ในทะเบียนใหม่นี้ เอเมน เรียกตัวเองว่าลูกของพระเจ้าเลยทันที

พอเราว่าจุ่มลงไปในพระคริสต์ เราถูกมุดเข้าไปในพระคริสต์ใช่ไหม? พระเจ้าจะจับเรามุดเข้าไปในพระคริสต์ใช่ไหม? เราได้รับการถูกสร้างขึ้นมาใหม่ใช่ไหม? เกิดปฏิกิริยาใหม่ คือวิญญาณใหม่ใช่ไหม? แล้วในพระคัมภีร์บอกว่าอย่างไร? “เราอยู่ในพวกท่านใช่ไหม?” แล้วพูดต่อมาในข้อ 23 ว่า.-

ยอห์น 14:23 “พระเยซูตรัสตอบว่าถ้าผู้ใดรักเรา เขาจะเชื่อฟังคำสั่งสอนของเรา พระบิดาของเราจะทรงรักเขา พระบิดากับเราจะมาหาเขา และจะอยู่กับเขา

 

ภาษาเดิมบอกว่าจะสร้างบ้านร่วมกับเขา Make our home with him. ใครก็ตามที่รักเรา และรักพระเยซู เชื่อฟังคำสอนของพระเยซู หมายถึงไม่ได้เชื่อว่าพระเยซูสอนว่าตบหน้าข้างซ้าย ให้หันข้างขวาให้ตบด้วย ไม่ใช่แค่นั้น สอนว่าพระองค์เป็นใคร? พระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้า มาตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตของพระองค์ ชำระบาปให้กับเรา พระองค์เป็นพระคริสต์ๆ ไม่ใช่มาเชื่อพระเยซูว่า.-

“อ๋อ! พระองค์บอกว่าใครทำอะไรไม่ดีกับเรา ให้อภัยเขา ใครเขาอยากได้เสื้อเรา เอาเสื้อคลุมไปด้วย”

ไม่ใช่แค่นั้น  ตรงนั้นไม่สำคัญเท่ากับตรงนี้ ต้องเชื่อว่าพระองค์เป็นใคร? พระองค์เป็นพระมาซีฮาห์ ผู้ที่พระเจ้าเจิมตั้งไว้ เลือกสรรไว้มาทำงานพิเศษ คือไถ่มนุษย์ให้พ้นจากความบาป เชื่อตรงนี้ และเชื่อว่าพระองค์มาจริงๆ เกิดแล้ว และไถ่บาปเรียบร้อยแล้ว ที่ไหน? ที่ไม้กางเขน ตามที่พระองค์ได้บอกว่าพระองค์มา เพื่อตายที่ไม้กางเขน และในวันที่ 3 พระองค์จะทรงเป็นขึ้นมาใหม่ เชื่อจริงๆ ตามนั้น พอเชื่อแล้วเกิดอะไรขึ้น? พระเจ้ากับพระเยซูจะมา เขาเรียกว่า Make out home. หมายถึงว่าทำบ้านของเรากับเขา หมายถึงมาอยู่กับเขา ภาษาไทยแปลว่ามาอยู่กับเขา

ตอนนี้ใครอยู่กับท่าน? พระเจ้า พระเยซูอยู่กับท่าน ต้องรอไหม? รอให้วันหนึ่งท่านตาย ไปอยู่กับพระเจ้าไหม? ท่านรู้ไหมว่าเวลาเราตายอะไรเกิดขึ้น? แค่เราเปลี่ยนมิติ ทุกอย่างเหมือนเดิม แค่เปลี่ยนมติเข้าไปเท่านั้นเอง สิ่งที่จริงๆ ในโลกฝ่ายวิญญาณ ที่เรามองเรืองรางเหลือเกิน ต้องอ่านจากถ้อยคำพระเจ้าเหล่านี้ ที่เราเอเมนๆ ยิ้มๆ อย่างนี้ ไม่ชัด แต่เมื่อวันหนึ่งข้างหน้า เมื่อเราจากร่างนี้ไปแล้ว ทิ้งร่างนี้ไปแล้ว มันจะปรากฏให้เราอย่างชัดเจน เปิดให้เราเห็นอย่างชัดเจน ไม่ได้เป็นมากกว่านี้ ไม่มีอะไรมากกว่านี้ มันเป็นอย่างนี้อยู่แล้ว ตื่นเต้นไหม? ตื่นเต้น ไว้รอสัปดาห์ต่อไป

ตอนนี้เรามาร้องเพลงนี้ด้วยกัน ผมนึกถึงการจุ่ม การชุบลงไปแล้ว ผมนึกถึงเพลงนี้ ตอนที่เรารับบัพติศมาในน้ำ เราก็เอาเพลงนี้มาร้อง แต่เราร้อง เราก็นึกว่าการรับบัพติศมาในน้ำ ถ้าเราไม่ได้เรียนรู้ถ้อยคำพระเจ้าแบบวิญญาณอย่างนี้ ตามพระคัมภีร์อย่างนี้ มันก็ไม่ลึกซึ้งเท่าไร แต่พอได้เรียนอย่างนี้แล้ว ร้องอย่างนี้ มันลึกซึ้งมากเลยว่า “มีธารน้ำพุเต็มด้วยโลหิตของพระเยซู” เห็นไหม?  “ถ้าใครทำบาป ดำลงให้มิด”

คำว่า “ใครทำบาป” นี้ ไม่ได้หมายถึงคนทำบาป หมายถึง sinner หมายถึงคนบาปอย่างเรา มนุษย์ คนบาปทุกคนเลย พระคัมภีร์บอกว่ามนุษย์เป็นคนบาปทุกคน ถ้าคนบาปอย่างเรามุดลงไปในพระโลหิตพระเยซูนี้ จะถูกล้างชำระให้พ้นบาปทั้งปวงเลย เอเมน

 

*********************

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 21 มิถุนายน 2015 เรื่อง “เราเป็นวิหารของพระวิญญาณ” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  21  มิถุนายน  2015

เรื่อง “เราเป็นวิหารของพระวิญญาณ”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            ตอนนี้เราผ่านเพ็นเทคอสต์มาถึงวันนี้ ก็ 4 สัปดาห์แล้ว ถ้าเป็นวันเพ็นเทคอสต์แรก เมื่อ 2,000 ปีก่อน ก็ต้องพูดว่าพระเจ้ามาสถิตอยู่กับมนุษย์ เป็นเวลาเกือบ 1 เดือนแล้ว เราได้คุยกันไปแล้วนะครับว่าวันเพ็นเทคอสต์ ก็คือวันที่พระเจ้ามาสถิตอยู่กับมนุษย์ในลักษณะพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นครั้งแรก เมื่อเกือบ 2,000 ปีที่แล้ว แล้วจากนั้นมาตลอดเลยนะครับ มาจนถึงทุกวันนี้

แล้วมีใครบ้างที่พระวิญญาณบริสุทธิ์จะมาสถิตอยู่กับเขา คำตอบ ก็คือมนุษย์ทุกคน บนโลกใบนี้ ได้รับสิทธิ์นั้น เรียบร้อยไปแล้ว พระเยซูทรงกระทำให้มนุษย์ทุกคนได้รับสิทธิ์นี้ เรียบร้อยไปแล้วที่ไม้กางเขน เพียงแต่รอให้คนๆ นั้น มนุษย์คนนั้นรับรู้ นอกจากรับรู้แล้ว มารับสิทธิของเขานั่นเอง แล้ววิธีการต้องมารับสิทธิ์ต้องทำอย่างไรบ้าง?  คำตอบ ก็คือจะรับสิทธิ์ทำอย่างไร? เหมือนท่านทั้งหลายที่นั่งอยู่ที่นี่ รับสิทธิ์ไปแล้ว  การจะเข้ามารับสิทธิ์ในการต้อนรับพระวิญญาณบริสุทธิ์มาสถิตอยู่กับเรา  ให้เราเป็นวิหารของพระวิญญาณนั้น ต้องผ่านทางความเชื่อเท่านั้น ไม่ใช่การปฏิบัตินะ ต้องผ่านทางความเชื่อเท่านั้น และการเชื่อตรงนี้ เป็นการเสนอตัวให้ไปรับสิทธิ์ที่พระเยซูได้ทรงกระทำให้เราแล้วที่ไม้กางเขน

ถ้ารู้ แต่ไม่เชื่อ ก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย เหมือนเรารู้ว่าเรามีสิทธิ์ที่จะไปเลือกตั้ง เวลาเขาเลือกตั้ง แต่ถึงวันเลือกตั้ง เราไม่ไปใช้สิทธิ์ ก็มีค่าเท่ากับเราไม่มีสิทธิ์ ถูกไหมครับ? คนที่ไม่มีสิทธิ์ เขาก็ไม่ได้ไปเลือก เรามีสิทธิ์ แต่เราไม่ไปเลือก เราก็เท่ากับเราไม่มีสิทธิ์เหมือนกัน คือต้องเริ่มต้นจากข่าวดีของพระเยซูคริสต์ อะไร? ข่าวดีคืออะไร? ข่าวดี คือพระเยซูทรงเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน เพื่อหลั่งพระโลหิต เพื่อชำระบาปให้กับเราทั้งหลาย เป็นแพะรับบาปให้กับเรา และวันที่สามพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ ทุกวันนี้ พระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ แค่นี้สั้นๆ แล้วไปรับสิทธิ์ทันทีเลย และหลังจากที่รับเชื่อในข่าวดี ข่าวประเสริฐของพระเยซูนั้นแล้ว ก็เท่ากับว่าคนๆ นั้น เราผู้ที่ทำแบบนี้ ได้รับสิทธิ์นั้นไปเรียบร้อยแล้ว คือได้ต้อนรับพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาสถิตอยู่กับเราแล้ว สามารถเริ่มต้น เริ่มต้นเท่านั้นนะ สามารถเริ่มต้นรับรู้ถึงฤทธานุภาพอำนาจ และความยิ่งใหญ่สูงสุดของใคร? ของพระเยซู เพราะพระเยซูบอกแล้วว่าพระวิญญาณจะมา เพื่อจะยกย่องพระเยซูขึ้น พระวิญญาณมา ไม่ได้มายกย่องพระองค์เอง เพราะพระวิญญาณมาไม่ใช่เพื่อยกย่องคน คนนั้นคนนี้ พระวิญญาณมาไม่ได้ยกย่องใครเลย นอกจากยกย่องพระเยซู พระวิญญาณจะพาเราไปที่เดียวเท่านั้น คือให้ไปรู้จักพระเยซู แล้วพระเยซูจะนำพาเราไปรู้จักกับพระบิดา เอเมน

เพราะฉะนั้น ทุกสิ่งอยู่ที่พระเยซู ไม่ใช่พระวิญญาณ เข้าใจใช่ไหมครับ? พระวิญญาณจะเป็นตัวนำเราไป ในหนังสือเอเฟซัสจึงได้ระบุไว้อย่างนี้  ให้ท่านอ่านดูนะครับว่าเป็นสิ่งสำคัญขนาดไหน? เราจะเรียนรู้ถึงฤทธิ์เดชอำนาจ ความยิ่งใหญ่ของพระเยซูคริสต์ ความมหัศจรรย์ของพระเยซูคริสต์ ความจริงของพระเยซูคริสต์ ความโดดเด่นของพระเยซูคริสต์ได้อย่างไร? ก็ได้จากการวิงวอน ขออธิษฐานให้พระวิญญาณนำพาเราให้ไปพบกับพระองค์ พบกับใคร? พระเยซู เริ่มต้นแล้วใช่ไหม? เราเริ่มต้นเชื่อแล้ว พอเราเชื่อข่าวดีปุ๊บ พระวิญญาณเข้ามาแล้ว ก็เริ่มต้นสอนเราในเรื่องของพระเยซู แล้วก็สอนเราไปเรื่อยๆ ไม่ใช่สอนให้เราทำฤทธิ์เดช ไม่ใช่สอนเราให้ทำการอัศจรรย์ แต่สอนให้เราทำสิ่งเหล่านั้น เพื่อก้าวเข้าไปสู่ความเป็นลูกศิษย์ หรือเป็นสาวกที่ติดสนิทกับพระเยซูมากขึ้น รู้จักพระเยซูมาขึ้น นี่คือเป้าหมาย ไม่ใช่มาติดอยู่กับอะไรต่างๆ เหล่านั้น ในการปฏิบัติ ท่านเข้าใจใช่ไหมครับ? เอเฟซัส 1:16-21 ลองอ่านดูนะครับ

เอเฟซัส 1:16-21 “16 ข้าพเจ้าจึงขอบพระคุณพระเจ้าอย่างไม่หยุดยั้งเพราะท่าน และเฝ้าอธิษฐานเผื่อท่าน 17 ข้าพเจ้าเพียรทูลขอให้พระเจ้าขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา คือพระบิดาผู้ทรงพระเกียรติสิริทรงให้ท่านมีพระวิญญาณแห่งสติปัญญา และการสำแดง เพื่อท่านจะรู้จักพระองค์ดียิ่งขึ้น 18 ข้าพเจ้ายังขอให้ตาใจของท่านสว่าง เพื่อท่านจะได้รู้ถึงความหวังที่ทรงเรียกท่านมานั้น รู้ถึงความมั่งคั่งแห่งมรดกอันรุ่งเรืองของพระองค์ สำหรับประชากรของพระองค์ 19 และรู้ถึงฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่สุดหาใดเทียบ สำหรับเราทั้งหลายที่เชื่อ ฤทธานุภาพนี้เป็นเหมือนพระราชกิจ แห่งพลังอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ 20 ซึ่งทรงกระทำในพระคริสต์ เมื่อทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย และให้ประทับเบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์ในสวรรคสถาน 21 สูงส่งยิ่งเหนือเทพผู้ครอง และเทพผู้ทรงอำนาจ เทพผู้ทรงเดชานุภาพ และเทพผู้ครองอาณาจักรทั้งสิ้น และเหนือทุกนามที่เขาเอ่ยขึ้น ไม่เพียงในยุคนี้เท่านั้น แต่ในยุคหน้าด้วย”

 

นี่คืออะไร? นี่คือความยิ่งใหญ่ของพระเยซูคริสต์ของเรา ซึ่งการที่เราจะรับรู้สิ่งเหล่านี้ได้ ก็เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้มาสถิตอยู่กับเราเท่านั้น และพระวิญญาณจะเปิดตาใจเรา ให้สามารถที่จะรับรู้ความจริงเหล่านี้ได้ เหมือนตะกี้ทีเราอ่าน เปาโลบันทึกไว้เห็นไหมว่าสำคัญขนาดไหน?

“ข้าพเจ้าเพียรทูลอธิษฐาน ขอพระเจ้าของเรา ขอให้ตาใจของท่านเปิดออก ขอให้ท่านได้รับวิญญาณแห่งสติปัญญา และการสำแดงความรู้”

ทำไมเรียกว่าวิญญาณ ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า Spirit of revelation, Spirit of wisdom คือวิญญาณแห่งสติปัญญา วิญญาณแห่งการสำแดงความรู้เรื่องราวเกี่ยวกับโลกวิญญาณ วิญญาณซึ่งมันไม่มีเหตุมีผลของมนุษย์ที่จะสามารถเข้าใจได้ แต่มันลึกซึ้งมาก สิ่งเหล่านี้ต้องได้รับการสำแดง โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้น แล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์ คือวิญญาณแห่งสติปัญญา พระวิญญาณบริสุทธิ์ คือวิญญาณสำแดงความรู้ ทั้งสิ้นอยู่ในพระวิญญาณเท่านั้น เพราะฉะนั้น พระวิญญาณจะเป็นผู้นำพาเราไป โดยวิญญาณแห่งสติปัญญา จะให้สติปัญญากับเรา  วิญญาณแห่งการสำแดงความรู้ จะให้ความรู้กับเรา เรื่องเกี่ยวกับใคร? พระเยซู จำไว้เลย เรื่องเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ ไม่เกี่ยวกับโลกใบนี้เลย ไม่เกี่ยวกับใครทั้งสิ้น เกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ว่าพระองค์ทรงยิ่งใหญ่ขนาดไหน? และเพราะพระเยซูยิ่งใหญ่ขนาดนี้ พระองค์จึงทรงย้ำกับเราอยู่ตลอดเวลาว่าอะไร? อย่ากลัวเลย อย่าให้ใจท่านวิตกกังวลเรื่องใดๆ เลย เพราะพระองค์ทรงอยู่เหนือทุกสิ่งแล้วนั้นเอง มันจบแล้ว พูดง่ายๆ มันจบแล้ว พระองค์จึงสอนให้เราอธิษฐาน ในมัทธิว 6:9 นั่นคือจบนะ ท่านไปอ่านดูเถอะ บทอธิษฐานที่พระเยซูสอนในมัทธิว 6:9 อ่านดูทั้งหมดนั้น นั่นคือวางใจในพระเจ้า จบแล้ว พระเจ้ายิ่งใหญ่สูงสุด เต็มด้วยพระสิริ ฤทธิ์เดช พระราชอาณาจักรทั้งหมดนั้น เป็นของพระองค์แต่เพียงผู้เดียว ตลอดชั่วนิรันดร์ และเราเป็นลูกของพระองค์ เข้าใจใช่ไหมครับ? มันจบตั้งแต่นั้นเลย ไม่ต้องกังวลในสิ่งใดๆ ทุกอย่างอยู่ในการควบคุมดูแลของพระองค์ทั้งสิ้น ถ้าเราคิดตามภาษามนุษย์ มันไม่มีทางที่จะเข้าใจ ควบคุมอย่างไร? ตรงนั้นก็ไม่ดี ตรงนี้ก็ไม่ดี คิดตามภาษาของมนุษย์เราบอกว่าไม่ดี แต่จงมองตามสายตาของพระเจ้า ทรงควบคุมทุกสิ่ง ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น พระองค์บอกว่าดีแล้ว เอเมน มันถึงไม่วิตกกังวล และพระเยซูผู้นี้ ที่ตะกี้เราอ่านนั้น ในพระคัมภีร์บอกใช่ไหมครับว่าผู้ที่ทรงฤทธิ์เดชอำนาจสูงสุด เหนือทุกสิ่งในมหาจักรวาลนี้  พระองค์ทรงให้พระวิญญาณของพระองค์ มาสถิตอยู่กับเรา พระเยซูให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ คือพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่กับเรา ตามที่พระคัมภีร์บอกว่าเราคือวิหารของพระเจ้า และคือสถานที่ที่พระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่กับเรานั่นเอง

อย่างนี้ สติปัญญามนุษย์เข้าใจไหมเนี้ย ตะกี้นี้บอกว่าพระเยซูยิ่งใหญ่ขนาดไหน? พระเจ้ายิ่งใหญ่ขนาดไหน? ตอนนี้บอกว่าความยิ่งใหญ่อลังการเหล่านั้น ตอนนี้สถิตอยู่กับเรา จะเข้าใจไหม?  พูดธรรมดาจะเข้าใจไหม? ไม่เข้าใจ แต่นี่เรานั่งตาแป๋วเลย เอเมนอยู่ในใจๆ เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์ยืนยันในใจว่าเราเข้าใจ มันจริงๆ เป็นอย่างนั้น เอเมน ข้างในมันใช่ๆ ลองอ่านดูนะครับ 1 โครินธ์ 3:16-17 ได้บอกไว้ว่าเราเป็นวิหาร 1 โครินธ์ 3:16-17

1 โครินธ์ 3:16-17 “16 ท่านไม่รู้หรือว่าท่านเอง เป็นวิหารของพระเจ้า และพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตภายในท่าน 17 ผู้ใดทำลายวิหารของพระเจ้า พระเจ้าจะทรงทำลายผู้นั้น เพราะวิหารของพระเจ้าบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์  และท่านคือวิหารนั้น”

 

ยังจำได้ไหมครับ เมื่อวันศุกร์ประเสริฐ วันที่พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน  ถูกตอกตรึงที่ไม้กางเขน จำได้ไหมครับ? ตอนที่พระเยซูสิ้นพระชนม์ที่ไม้กางเขน ในพระคัมภีร์ได้บันทึกว่าม่านได้ขาดออกเป็นสองท่อน มัทธิว บทที่ 27 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ ดูสิว่าเหตุการณ์วันนั้น มันเกี่ยวอะไรกับตรงนี้ เอามาให้ท่านดูนิดหนึ่ง มัทธิว 27:50-51 บันทึกอย่างนี้นะครับว่า.-

มัทธิว 27:50-51 “50 และเมื่อพระเยซูทรงร้องเสียงดังอีกครั้ง พระองค์ก็สิ้นพระชนม์ 51 ขณะนั้นเอง ม่านในพระวิหารก็ขาดเป็นสองส่วน ตั้งแต่บนจรดล่าง เกิดแผ่นดินไหว ศิลาแตกออกจากกัน”

 

นี่บันทึกไว้ ช่วงที่พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว เหตุการณ์นี้บันทึกไว้ว่าขณะที่พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์ ตอนบ่ายสามโมง บอกว่าเสร็จแล้ว เททเทเลสไตล์ (ภาษากรีก) ได้จ่ายให้หมดแล้ว จ่ายหนี้สิน กรรมเวรของมนุษย์ทั้งหมด จ่ายให้หมดเรียบร้อยแล้ว พระองค์สิ้นพระชนม์ ทันทีทันใดนั้น  ในนี้บอกว่าอย่างไร?  ม่านในวิหารขาดเป็นสองท่อน

ม่านในวิหาร คืออะไรรู้ไหมครับ? ม่านในวิหารขาดเป็นสองท่อน ตั้งแต่บนจรดล่าง คือม่านนี้ แต่เดิม ตามพระคัมภีร์เดิม เคยเป็นที่กั้นส่วนของอภิสุทธิสถาน ในพลับพลา ที่อิสราเอล ชาวยิวต้องติดต่อกับพระเจ้า ทางพลับพลานั้น ม่านนี้ กั้นอยู่ในส่วนของอภิสุทธิสถาน ซึ่งเป็นชั้นในที่สุดของพลับพลา และเป็นที่ตั้งของหีบพันธสัญญา ซึ่งเล็งถึงการทรงสถิตของพระเจ้า  ในสมัยพันธสัญญาเดิม ซึ่งในห้องนี้ ไม่มีใครสามารถเข้าไปได้เลย นอกจากมหาปุโรหิตเพียงผู้เดียว และเข้าไปได้เพียงปีละหนึ่งครั้งเท่านั้นเอง

ความหมาย คืออะไร? ในสมัยนั้น คนทั่วไป ไม่สามารถติดต่อกับพระเจ้าได้ เพราะเป็นคนบาป มหาปุโรหิตต้องเตรียมตัวมากมาย เยอะแยะก่ายกองเลย แล้วเข้าไปได้ปีละครั้ง ด้วยความอันตราย ด้วยความระมัดระวังยิ่ง เผลอแป๊บเดียว เดี๋ยวก็ตาย เพราะว่าความสกปรก เข้าไปอยู่กับความบริสุทธิ์ยิ่งใหญ่ของพระเจ้าไม่ได้ ไม่ใช่พระเจ้าโหดร้าย ไม่ใช่ มันเข้ากันไม่ได้ต่างหาก แต่เมื่อพระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ม่านในวิหารขาดออกเป็นสองท่อน เล็งถึงความหมาย คือไม่มีอะไรกั้นขวางระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์อีกต่อไปแล้ว เพราะว่าพระเยซูคริสต์ได้ทรงชำระล้างบาปให้กับมนุษย์แล้ว เสร็จแล้ว จ่ายให้แล้วไง มนุษย์ได้กลับมาเป็นผู้บริสุทธิ์แล้ว สามารถติดต่อกับพระเจ้าได้ โดยตรงแล้ว พระเยซูเปิดทาง พระเยซูพระองค์ทรงเป็นทางนั้น พระองค์เป็นทางที่เราจะไปหาพระเจ้า โดยไม่ต้องผ่านม่านอีกต่อไป ม่านจึงเอาออกไป เล็งถึงว่าม่านไม่จำเป็นแล้ว ใครก็ไปหาพระเจ้าได้ เอเมน ผ่านทางพระเยซูคริสต์เท่านั้น  เพราะพระเยซูคริสต์ชำระบาปให้กับเรา ให้กับมนุษย์คนนั้น สะอาดหมดจด สามารถที่จะเข้าไปอยู่ต่อหน้าพระเจ้า ถ้าไม่สะอาดหมดจด ทำไม? ตาย

ที่ม่านในวิหาร ขาดเป็นสองท่อน เป็นสัญลักษณ์ว่าพระเจ้าไม่ได้สถิตอยู่ในหีบพันธสัญญาอีกต่อไปแล้ว แต่พระเจ้ามาสถิตที่ไหนครับ? เตรียมตัวมาสถิตกับมนุษย์คนที่เชื่อในการไถ่บาป เชื่อในความบริสุทธิ์ของตนเองที่พระเยซูคริสต์ทำให้ที่ไม้กางเขน

ที่บอก “สำเร็จแล้ว จ่ายให้หมดแล้ว”

ตอนบ่าย 3 โมงนั้น เชื่อตรงนี้ ก็ได้รับทันที มีสิทธิที่จะต้อนรับพระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่กับเขา แล้ววันนี้เราจะมาคุยกันว่าเมื่อเราเป็นวิหารของพระเจ้า  เราใช้สิทธิ์ของเราแล้ว ในการเชื่อในพระเยซูคริสต์ คือพระเจ้าในพระลักษณะของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ได้มาสถิตอยู่กับเราแล้ว พระองค์จะทรงนำพาชีวิตเราอย่างไรบ้าง? เป็นอย่างไร? ในลักษณะอย่างไรในขณะนี้ ที่เราเชื่อพระเจ้าแล้ว เชื่อในข่าวประเสริฐแล้ว พระวิญญาณเริ่มต้นทำงานในชีวิตเราแล้ว พระองค์ทรงทำอะไรต่อไป

ประการที่ 1 พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่ในเรา จะทรงย้ำยืนยันกับเราในเรื่องข่าวดีที่เราเชื่อในพระเยซู ย้ำยืนยันในใจว่าใช่แล้ว และใช่อีก เริ่มต้นตั้งแต่วันแรก ก็ใช่แล้ว เสร็จแล้วปีต่อไป ก็ใช่อีก พอ 3 ปีต่อไป ก็ใช่อีก มากขึ้นเรื่อยๆ ยืนยันความเชื่อของเราว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ หลั่งพระโลหิต เพื่อไถ่บาปให้กับเราและมนุษย์ทั้งปวง และทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม และทุกวันนี้พระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ บัดนี้ประทับอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าในสวรรค์สถานแล้ว อธิษฐานให้กับเราอยู่ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะสอนเราในเรื่องนี้แหละ 1 โครินธ์ 12:3 บันทึกไว้อย่างนี้นะครับ

1 โครินธ์ 12:3 “ฉะนั้น ข้าพเจ้าขอบอกท่านว่าไม่มีใครที่กล่าวโดยพระวิญญาณของพระเจ้าจะพูดว่า “ขอให้พระเยซูถูกแช่ง” และไม่มีใครสามารถพูดได้ว่า “พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า” นอกจากผู้ที่กล่าวโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์”

 

ตรงนี้ แปลได้หลายอย่างเลย มันลึกซึ้งมาก ข้อเดียวนี้ มีความลึกซึ้งมาก ในนี้เอาตรงที่เราจะคุยกันในวันนี้ ในนี้บอกว่าไม่มีใครสามารถพูดได้ว่าพระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า หรือเป็นเจ้านายสูงสุดของเขา ในคนๆ นั้น ที่พูดออกมานั้น นอกจากคนนั้น จะถูกนำโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ มันหมายถึงอย่างนี้ นอกจากผู้ที่กล่าวโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ หมายถึงกล่าวโดยการนำจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งอยู่ในตัวเขา เมื่อเขาใช้สิทธิ์ของเขา ที่พระเยซูไถ่บาป พระวิญญาณมาสถิตอยู่กับเขา เขาจึงพูดจากวิญญาณของเขาเลยว่าพระเยซู คือพระเจ้า พระเยซูเป็นเจ้านายเหนือชีวิตของท่าน พระเยซูสูงสุด

ในทางอีกทางหนึ่ง กลับกัน เราสามารถพูดตรงนี้ได้ พระเยซูทรงเป็นพระเจ้า พระเยซูเป็นเจ้านาย แต่ไม่ได้พูดด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ข้างใน ก็ไม่มีค่าอะไรเลย เป็นศูนย์ ไม่มีค่าอะไรเลย พอเข้าใจใช่ไหมครับ?  มันพูดจากเนื้อหนังของเราไง พูดจากกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ร่างกายของเรา มีวิญญาณและมีเนื้อหนัง ก็คือร่างกาย ถ้าเราพูดจากร่างกายของเรา มันก็มีเชื้อบาปเต็มไปหมด ถ้าเราพูดจากวิญญาณของเรา  … วิญญาณของเรา คือถูกชำระแล้ว โดยข่าวประเสริฐของพระเยซู และพระวิญญาณมาเป็นพี่เลี้ยงให้กับเรา เราพูดจากวิญญาณตรงนั้นออกมาได้เลย แต่ก่อนหน้านี้เราพูดด้วยอะไร? ความรู้สึก ความคิดที่เป็นมนุษย์ เราอาจจะได้ยินคนพูดกับเรา เชื่อในคนนี้ เพราะว่าเขาเป็นพ่อเรา เขาเป็นแม่เรา เขาเป็นอาจารย์สอน เขาบอกว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า เราก็ใช่ เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า  ไม่มีอะไรเกิดขึ้น จริงไหม? เขาอาจจะพูดว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย เพราะว่าเขาพูดด้วยความรู้ของมนุษย์ว่าคนนี้เชื่อ เพราะว่าพ่อแม่ เป็นพ่อแม่เราเชื่อ เชื่อพ่อแม่ ไม่ได้เชื่อพระวิญญาณนะ เชื่อพ่อแม่ พ่อแม่บอกว่าพระเยซูเป็นพระเจ้านะ อ้อ! พระเยซูเป็นพระเจ้า

เพราะฉะนั้น คนที่เป็นเด็กๆ ที่พ่อแม่ดูแลทุกวันนี้ เติมให้ เสริมให้ เราต้องดูแลลูกเรา จนกระทั่งวันหนึ่งเขาพูดจากวิญญาณของเขา โดยรับเชื่อพระเยซูจริงๆ  พระเยซูบอกเขา พูดนำพาเขา พูดนำพาเขาว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า ในชีวิตของเขาจริงๆ นั่นแหละ วันนั้นแหละ เขาเป็นผู้ที่ใช้สิทธิ์นี้จริงๆ ก่อนหน้านั้น เขาอาจจะพูด เพราะเขาเกรงใจเรา ก่อนหน้าเขาอาจจะพูด เพราะว่าเขารักเรา เขาไม่ได้รักพระเยซูหรอก

ลักษณะเดียวกัน ในที่นี่สามารถเอามาขยายความได้ว่าไม่มีใครที่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์นี้ จะสามารถสาปแช่งพระเยซูได้ มันเป็นไม่ได้ ในทำนองเดียวกัน ก็คือคนที่สาปแช่งพระเยซูได้ ไม่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในตัว เพราะฉะนั้น พระเจ้าก็ไม่ได้ถือโทษโกรธ

จำได้ไหม? ผมได้สอนเรื่องนี้มาหลายครั้งแล้วว่าบางคนชอบไปขู่บอกว่าถ้าไม่เชื่อพระเยซู อย่าลบหลู่นะ จริงๆ แล้ว พระเจ้าไม่ได้ถืออะไรเลย  พอเข้าใจไหม? ถ้าเรื่องตะกี้นี้ที่เราพูดมาว่าไม่มีใครสามารถพูดได้ว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้า เป็นเจ้านายสูงสุด นอกจากจะกล่าวโดยพระวิญญาณนะ ถ้าตรงนี้เป็นจริง อีกด้านหนึ่งก็เป็นจริง ไม่มีใครสามารถสาปแช่งพระเยซูได้จริงๆ ถ้าเขาเชื่อพระเยซูแล้วจริงๆ  แสดงว่าเขายังไม่เชื่อ มันก็เหมือนเราที่ยังไม่เชื่อในอดีต พระเจ้าอภัยให้เสมอ เพราะเราไม่รู้ ไม่เข้าใจ แต่เมื่อมารู้แล้ว เราก็ไม่มีทางที่จะสาปแช่ง พอเข้าใจไหม?

ซึ่งถ้อยคำตรงนี้ ก็ตรงกับคำเผยพระวจนะที่ได้บันทึกไว้ในพระคัมภีร์เดิม ซึ่งพระเจ้าได้ตรัสไว้ล่วงหน้านานแล้วว่าวันหนึ่งข้างหน้าจะมาถึง ที่พระเจ้าจะมาสถิตอยู่กับมนุษย์ และจะทรงบรรจุพระธรรมไว้ในจิตใจของเขา พระธรรมนี้ คือมาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์นั่นเอง เดี๋ยวมาลองอ่านดูนะ เดี๋ยวอธิบายต่อในหนังสือพระคัมภีร์เดิมเยเรมีย์ 31:33-34 ตรงนี้เล็งถึงเรื่องราวนี้โดยเฉพาะเลย ค่อยๆ อ่าน และทำความเข้าใจไป

เยเรมีย์ 31:33-34 “33 องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่านี่คือพันธสัญญาที่เราจะทำกับพงศ์พันธุ์อิสราเอล หลังจากสมัยนั้น คือเราจะใส่บทบัญญัติของเราในจิตใจของพวกเขา จารึกบนหัวใจของพวกเขา เราจะเป็นพระเจ้าของพวกเขา และพวกเขาจะเป็นประชากรของเรา 34 ผู้คนจะไม่สอนเพื่อนบ้าน หรือสอนพี่น้องของตนอีกต่อไปว่า ‘จงรู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะพวกเขาทุกคนจะรู้จักเรา ตั้งแต่ผู้น้อยที่สุด ไปจนถึงผู้ใหญ่ที่สุด” องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น”

 

ซึ่งในหนังสือฮีบรูก็ได้ดึงเอาข้อความนี้ อ้างเอาข้อความนี้มาใส่ไว้ในฮีบรู 8:10-11 ยืนยันให้ท่านเห็นว่าฮีบรู พระคัมภีร์ใหม่ก็ได้อ้างถึงข้อความในพระคัมภีร์เดิมเมื่อตะกี้ แล้วก็มาพูดตรงนี้ ในนี้บอกว่าอย่างไร?

“ผู้คนจะไม่สอนเพื่อนบ้าน หรือสอนพี่น้องของตนอีกต่อไปว่าจงรู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะพวกเขาทุกคนจะรู้จักเรา” นี่พระเจ้าตรัสนะครับ “ตั้งแต่ผู้น้อยที่สุด ไปจนถึงผู้ใหญ่ที่สุด”

ผู้คนจะไม่สอนพี่น้องของตนอีกต่อไปว่าจงรู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้า แล้วใครมาสอนแทน? ใคร? พระเยซูมาจะมาสอนเอง โดยผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเยซูจะมาสอนเราเอง พระเยซูตอนเดินอยู่กับสาวก ก่อนที่จะถูกตรึง

พระเยซูบอกสาวกว่า “เราเป็นทางให้ท่านไปหาพระบิดา เราจะสำแดงพระบิดาให้กับท่าน”

พูดง่ายว่า “เราจะสอนเรื่องพระบิดาให้ท่าน ท่านจะได้รู้ว่าพระบิดาของท่าน พระบิดาของเราและพระบิดาของท่าน เป็นพระบิดาเดียวกัน คือพ่อของพระเยซูกับพ่อของท่านเป็นพ่อเดียวกัน  เราจะเป็นผู้นำท่านไปพบกับพ่อ พามาเจอกัน”  นึกภาพนะ มาคืนดีกัน

พระเยซูจะสอนเอง โดยผ่านทางพระวิญญาณของพระองค์ พระวิญญาณของพระองค์ ก็คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ผมสังเกตตรงนี้ดู แถมให้ท่านนิดหนึ่ง บอกว่า.-

“องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า ‘นี่คือพันธสัญญาที่เราจะทำกับพงศ์พันธุ์อิสราเอล หลังจากสมัยนั้น” คือสมัยนี้นะ หลังจากพระคัมภีร์เดิมนั่นนะ

“คือเราจะใส่บทบัญญัติของเราในจิตใจของเขา”

ท่านรู้ไหม? บทบัญญัติ คืออะไร? บางเล่มเขาแปลตรงนี้ว่า.-

“เราจะใส่ถ้อยคำของเรา”

บทบัญญัติ ก็คือถ้อยคำ

ท่านรู้ไหม? “ถ้อยคำของเรา” คืออะไร? ในหนังสือยอห์น บทที่ 1 พระองค์ คือพระวาทะ พระวาทะแปลตรงๆ แบบภาษาไทยๆ ง่ายๆ ก็คือ The word ก็คือถ้อยคำ ตรงนี้ ก็คือพระเยซู

พระเยซู คือถ้อยคำ ถ้าใส่ตรงนี้เป็นพระเยซู ก็คือ.-

“องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า ‘เราจะใส่พระเยซูเข้าไปในใจของเขา”

และจากนี้ จบ  เดี๋ยวพระองค์จะนำเอง โดยพระเยซูสถิตอยู่ในเรา มาในพระลักษณะของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า  พระเจ้ามี 3 พระภาค เป็นหนึ่งเดียวกัน คือพระเจ้าพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณ ทั้ง 3 พระองค์เป็นเหมือนบุคคลเดียวกัน ซึ่งตอนนี้เราไม่เข้าใจมากนัก เห็นไหมครับ? พระเยซูจะสอนเราเองในเรื่องนี้

และนอกจากจะย้ำยืนยันในความเชื่อว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้า เป็นผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ที่พระวิญญาณมาสถิตกับเราแล้ว จะย้ำยืนยันในใจแล้ว

ประการที่ 2 คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ยังย้ำยืนยันกับเราอีกว่าการไถ่ขององค์พระเยซูคริสต์ที่ชำระบาปให้กับเรานั้น  ที่ทำให้เราเป็นผู้บริสุทธิ์ ได้กลับมาเป็นลูกของพระเจ้านั้น มันเป็นจริงๆ ไม่ใช่ลิเกนะครับ มันจริงๆ ซึ่งสมัยก่อน ก่อนที่เราจะรับเชื่อในพระเจ้า หรือแม้ตอนเรารับเชื่อเริ่มต้นใหม่ๆ เรายังรู้สึกกระยิกๆ ลิเกนิดๆ แต่พอไปเรื่อยๆ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะสอนเรา ยืนยันไปเรื่อยๆ จนเราใช่เลย สรรหาคำมาอธิษฐานกับพระเจ้าแบบเพราะพริ้งเลย ยิ่งกว่าลิเกอีกคราวนี้ ยิ่งกว่าอีก ราชาศัพท์ใช้ผิดใช้ถูก ใช้เก่งกันหมดเลย คิดดูสิ ไม่เคยเล่นลิเกมาก่อน แบบใช้กันถูกหมด พูดเพราะมากเลย แต่ละคน สบายเลย มาจากไหนล่ะ? มาจากความมั่นใจข้างในไง มั่นใจมากขึ้นทุกวันๆ ฮีบรู 10:14-17 บันทึกไว้อย่างนี้

ฮีบรู 10:14-17 “14 พระองค์ได้ทรงกระทำให้บรรดาผู้ที่กำลังรับการทรงชำระให้บริสุทธิ์นั้น  บรรลุความสมบูรณ์พร้อมเป็นนิตย์ โดยการถวายบูชาครั้งเดียว 15 พระวิญญาณบริสุทธิ์ยังทรงยืนยันข้อนี้แก่เราด้วย พระองค์ตรัสเป็นประการแรกว่า 16 “นี่คือพันธสัญญาที่เราจะทำกับเขาทั้งหลาย หลังจากสมัยนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนั้น คือเราจะใส่บทบัญญัติของเรา ในหัวใจของพวกเขา และจะจารึกบทบัญญัตินั้น บนจิตใจของพวกเขา” 17 บาปและการอธรรมของพวกเขา เราจะไม่จดจำอีกต่อไป”

 

พระวิญญาณบริสุทธิ์ยืนยันว่าเราเป็นผู้บริสุทธิ์แล้ว พระเจ้าทรงรับเรากลับมาคืนดีกับพระองค์แล้ว ยืนยันอย่างนี้กับเรา พระเจ้าให้เรารับฐานะเป็นลูกของพระองค์แล้ว เขาเรียกว่าลูกแบบรับมา  คือรับมาเป็นลูก เป็นลูกของพระองค์ ผ่านทางความเชื่อเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับการกระทำของเราเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่เกี่ยวกับการกระทำดีของเราเลย แม้แต่นิดเดียว ซึ่งเราเคยทำมาตั้งแต่อดีต เคยจดมาตั้งหลาย ตั้งเยอะแยะทั้งหมด จดๆ แล้วก็ลืมหมด จำได้แต่บาปที่ทำเท่านั้น จริงหรือไม่จริง? เพราะมนุษย์รู้อยู่แล้วว่าที่ทำดีมานั้น ไม่ช่วยอะไรหรอก บาปแค่ครั้งเดียวที่เราทำไปนั้น มันติดตัวเราไปจนถึงไหน? คิดเอาเอง ถึงไหน? หลังความตายแล้วกัน จริงหรือไม่จริง?

ในอดีตเราเป็นอย่างนี้จริงไหม? ทำความดีมาเยอะแยะ ลืมหมดเลย ทำผิดบาปแค่ครั้งเดียว โกหกแค่ครั้งเดียว จำแม่นๆ จำอยู่นั่นแหละ

“ฉันไม่น่าทำๆ”

วันที่ไปช่วยเด็กกำพร้า จำได้แค่ 2 วันผ่านไป ลืม

“วันนั้น ฉันไปหรือเปล่าเนี้ย … ปีที่แล้ววันเกิดฉันไปหรือเปล่าน่า”

จำได้ไหม? จำไม่ได้ แต่ทำอะไร ทำสิ่งที่เลวร้าย ที่คิดว่าเลวร้าย ไม่มากเท่าไร? อาจจะ 30 ปีก่อน 30 ปีผ่านไป ยังจำได้แม่น

“วันนั้น วันที่ฉันทำไม่ดี วันที่ฉันไปขโมยของเขา ถูกเขาจับติดคุกไป”

จำแม่นเลย อย่างนี้แหละ นี่คือธรรมชาติบาป ที่อยู่ในตัวมนุษย์ มันจะฟ้องเราอยู่เรื่อย แล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์มาย้ำยืนยันให้กับเราว่าเราเป็นอิสระจากบาปเหล่านั้นแล้ว ผ่านทางความเชื่อเท่านั้น ในพระเยซูคริสต์ ที่ได้ไถ่บาปให้กับเรา เป็นแพะรับบาปให้กับเรา ซึ่งความจริงทั้งหลายเหล่านี้ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเป็นผู้สอนเราเอง คนอื่นสอน ก็ได้ไหม? ไม่ได้ ตอบตรงๆ เลย ไม่ได้

“อ้าว! แล้วอาจารย์สอนทำไมล่ะ … ไม่ได้ แล้วกำลังคุยอยู่นี้คุยอะไร?”

ใจเย็นๆ สอนได้แต่ข้างนอกเท่านั้น แต่ไม่เข้าใจก็มี ผู้ที่จะเอาเรื่องไปทำให้ท่านเข้าใจมากขึ้น คือพระวิญญาณ ท่านนั่งฟังอยู่นี้ พระวิญญาณกำลังสอนท่านอยู่ ผมพูดของผมไปเรื่อย สำหรับคนที่ยกตัวอย่างคนที่ยังไม่มีพระวิญญาณอยู่ ยังไม่เชื่อ ไม่ได้รับสิทธิของเขาในพระเยซูคริสต์ มานั่งที่นี่ด้วยกันเดี๋ยวนี้ เขาได้ยินผมพูดเหมือนกัน แต่เขาก็ไม่เข้าใจ ไม่รู้อะไร? เข้าใจใช่ไหมครับ?

เพราะฉะนั้น ตรงนี้มันหมายถึงอย่างนี้ คนอื่นสอนไม่ได้หรอก มันเป็นสติปัญญาที่มาจากพระเจ้า รับรู้ทางฝ่ายวิญญาณเท่านั้น  ไม่ใช่รับรู้โดยความเข้าใจแบบสติปัญญาแบบมนุษย์ ผู้คนบนโลกใบนี้จะประกาศข่าวดีอย่างไร? ก็เพียงแค่ให้เราได้รับรู้ ให้เราได้ยินข่าวประเสริฐเท่านั้น แต่จะเข้าใจหรือไม่ ขึ้นอยู่กับใครนำ? พระวิญญาณ เพราะฉะนั้น เวลาท่านไปประกาศข่าวประเสริฐ ก็ไม่ต้องพยายามลุ้น พยายามผลักดัน พยายามเคี่ยวเข็ญ จนเกิดเรื่อง คุ้นๆ ไหม?  พยายามๆ จนกระทั่งเขารำคาญ ก็ท่านจะพยายามไปยัดเหยียด เคี่ยวเข็ญ ก็ไม่เข้าใจ ก็ไม่เข้าใจสิ ท่านต้องกลับไปทำอะไร?  คิดดีๆ แล้วก็คุยตามเหมาะสม ตามโอกาส ที่มีโอกาสให้ แล้วก็ด้วยความสุภาพอ่อนนุ่ม และใช้ช่วงเวลาให้เป็นประโยชน์ แล้วกลับไปอธิษฐานขอพระวิญญาณบริสุทธิ์ช่วยเขาดีไหม? มันควรจะเป็นอย่างนั้น ถ้าคุณพยายามในโลกนี้ คุณตายเลย ไม่หายเหนื่อยและเป็นสุข เหมือนที่พระเยซูบอกเลย ไปที่ไหนก็วุ่นวายหมดเลย เพราะเขายังไม่รู้จัก บ้านจะได้ไม่แตกสาแหลกขาด มาเชื่อทีหนึ่ง กลับไปถึงบ้าน พยายามจะบีบบังคับ ยิ่งคนที่มาเชื่อพระเจ้าใหม่ๆ ก่อนคนอื่นเขาในบ้าน มีสิทธิกว่าคนอื่นในบ้านเขาสูงๆ กว่าคนอื่น คือไม่ใช่เป็นลูก สมมติเป็นพ่อ ยิ่งหนักเลย อาการหนัก บ้านนั้น บ้านแตกสาแหลกขาด บ้านไหนมาเชื่อพระเจ้า เป็นลูกมาเชื่อก่อน ดีที่สุด เพราะลูกถูกบีบคั้นอยู่ ไม่กล้าทำอะไร? แต่ถ้าเป็นพ่อเป็นแม่ บีบคั้นลูก

“ต้องอย่างนี้ ต้องอย่างนั้น”

ตัวเองจะเอา ใช่ไหม? ตัวเองอยากให้เป็นอย่างนั้น  ไม่รอพระวิญญาณ ซึ่งเป็นผู้เดียวที่จะทำให้คนเข้าใจข่าวประเสริฐ หรือไม่ก็ตาม อยู่ที่พระวิญญาณ เอเมน จะได้ไม่ต้องทะเลาะกันนะ พระวิญญาณจะเป็นผู้บอก เหมือนขณะนี้ท่านฟังผมไป พระวิญญาณจะเป็นผู้บอกท่านว่า เออ! I see … I see แปลว่าอะไร?

“เข้าใจแล้ว อ๋อ! ใช่ๆ อ๋อ! พระวิญญาณสถิตอยู่ ใช่”

เห็นไหม? ท่านจะอ๋อไปเรื่อยๆ เหมือนเรารับเชื่อในพระเจ้าครั้งแรก เราก็อ๋อเหมือนกัน พระเจ้าเป็นอย่างนี้ ซาบซึ้งในพระคุณพระเจ้า เหมือนตอนผมรับเชื่อใหม่ๆ ก็ใช่ คนพูดมาเยอะแยะ ไม่ค่อยเข้าใจ บางครั้งก็ต่อต้าน บางครั้งไม่ต่อต้านหรอก แต่ไม่รู้เรื่อง คือไม่เข้าเลย  ไม่ต่อต้านนะ แต่บางครั้งต่อต้าน หมั่นไส้ รำคาญ แต่บางครั้งไม่ต่อต้าน มันไม่เข้า ที่ไม่ต่อต้าน คือมันจนตรอกแล้วไง ที่ต่อต้านอยู่ มันเย่อหยิ่ง สู้กับเขา คราวหลังสู้ไม่ไหว  อยากจะรับเหมือนกัน มันรับไม่ได้ด้วยปัญญาของตัวเอง มันจะรับ จะรับอย่างไร ไม่เข้าใจ จนวันหนึ่ง พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาทันที ไม่ต้องมีใครสอนเลย  ปิ๊ง ขึ้นมา อ๋อ! เขาเรียกว่ากลับใจใหม่ทันที รู้แล้วว่าเราเป็นคนบาปอย่างไร? เขาพูดมาตั้งนาน เราเป็นคนบาป เราไม่เข้าใจ เราเป็นคนบาปอย่างไร?

แม้กระทั่งบางครั้งเราไม่ต่อต้าน เราเชื่อว่าเป็นคนบาป เรายอมเชื่อ แต่ว่าเราไม่ได้เชื่อจากวิญญาณของเราจริงๆ เราเชื่อแบบหยิ่งๆ นิดๆ แบบที่เราไม่รู้ตัวก็ได้ แล้วมันก็ไม่เกิดขึ้น แต่นี่พอพระวิญญาณเข้ามา  พระวิญญาณสำแดงความบาปให้เราเห็นชัดเจน บาปจริงๆ แล้วพระเยซูมาไถ่บาปให้เรา มันเป็นอย่างนี้ กาลาเทีย 4:4-6 จึงบอกไว้อย่างนี้นะครับ

กาลาเทีย 4:4-6 “4 แต่เมื่อถึงกำหนด พระเจ้าได้ทรงส่งพระบุตรของพระองค์ มาประสูติจากครรภ์ของผู้หญิง ถือกำเนิดภายใต้บทบัญญัติ 5 เพื่อไถ่คนทั้งปวง ซึ่งอยู่ใต้บทบัญญัติ เพื่อเราจะได้รับสิทธิของบุตรอย่างสมบูรณ์ 6 ในเมื่อท่านเป็นบุตร พระเจ้าจึงทรงให้พระวิญญาณของพระบุตรของพระองค์เข้ามาในใจเรา ร้องเรียกว่า “อับบา พ่อ

 

เอเมน ปรบมือให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ของเรา พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่พระเยซูคริสต์ทรงประทานให้กับเรา เป็นผู้ที่บอกเรา ยืนยันกับเรา และสอนเราให้เรียกพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ผู้ทรงฤทธานุภาพอำนาจยิ่งใหญ่ ผู้ทรงครอบครองควบคุมอยู่เหนือทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกสถานการณ์ ผู้ทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้แต่เพียงพระองค์เดียว นอกจากพระองค์ไม่มีพระเจ้าอื่นใด ให้บอกว่าพระองค์เป็นอับบา แปลว่าปาป๊า แปลเป็นลักษณะเหมือนปาป๊า ไม่ใช่เป็นพ่อ เหมือนเราเรียก น้อยคนนะที่นี่ ที่เรียกพ่อ ปกติเราจะเรียกปาป๊าบ้าง แด๊ดดี้ อะไรอย่างนี้  คุ้นเคยสนิทกันมาก พระวิญญาณบริสุทธิ์กำลังจะบอกเราว่าพระเจ้ารักเรามากนะ พระเยซูคริสต์รักเรามากนะ ไถ่บาปให้กับเรา เปี่ยมด้วยความรักมากมาย ต้องการสนิทกับเรามาก ให้เรียกพระเจ้าว่าอะไร? ปาป๊า เข้าใจใช่ไหม? แด๊ดดี้ เอเมน

พระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้นที่จะทำสิ่งเหล่านี้ ยืนยันในจิตใจเราว่าพระเจ้ามีความรู้สึกอย่างไรกับเรา เรามีฐานะเป็นอะไร? มนุษย์คิดไม่ออก ไม่เข้าใจเลยว่าเราก็เป็นคนบาปขนาดนี้ เราก็ตัวเล็กขนาดนี้ แล้วพระเจ้าสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ควบคุมดวงดาวทุกอย่าง ใหญ่ยิ่งสูงสุดเลย แล้วรับเราเป็นลูก มันเป็นอย่างไร? นั่นแหละ พระวิญญาณเป็นผู้สำแดงสิ่งนี้ให้กับเรา ในยอห์น 16:12-15 พระเยซูตรัสไว้อย่างนี้  พระเยซูสอนสาวกไว้อย่างนี้ ยอห์น 16:12-15 พระเยซูสอนเราอย่างนี้

ยอห์น 16:12-15 “12 ยังมีอีกมาก ที่เราจะกล่าวกับพวกท่าน มากเกินกว่าที่พวกท่านจะรับได้ในตอนนี้ 13 แต่เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมา พระองค์จะทรงนำพวกท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล พระองค์จะไม่ตรัสโดยลำพังพระองค์เอง แต่จะตรัสเฉพาะสิ่งที่ทรงได้ยิน และจะทรงแจ้งแก่พวกท่านถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น 14 พระองค์จะทรงนำเกียรติสิริมาให้เรา โดยการนำสิ่งที่เป็นของเรามาสำแดงแก่พวกท่าน 15 ทุกสิ่งที่เป็นของพระบิดาก็เป็นของเรา ฉะนั้น เราจึงกล่าวว่าพระวิญญาณจะทรงนำสิ่งที่เป็นของเรา มาสำแดงแก่พวกท่าน

 

เอเมน ยิ่งใหญ่จริงๆ นะ นี่คือคำพูดของพระเยซูก่อนที่จะถูกตรึงที่ไม้กางเขน  เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว พูดกับเหล่าสาวกไว้ เพราะตอนนั้น เหล่าสาวกยังไม่รู้เรื่องอะไร? ยังไม่มีพระวิญญาณอยู่ พูดไปก็งงๆ เพราะพระเยซูบอกว่า.-

“รอก่อนๆ พระวิญญาณมา เดี๋ยวเธอจะรู้เองว่ามันเป็นอย่างไร?”

“แต่เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมา พระองค์จะทรงนำพวกท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล”

คำนี้คำเดียว  ก็ครอบคลุมหมดทุกอย่าง และเมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ยืนยันในเรื่องของความเชื่อ ยืนยันของเรื่องการทรงไถ่ ชำระล้างบาปของพระเยซูที่ทำให้กับเราแล้ว      นอกเหนือจากนั้น ทำอะไรอีก ในข้อต่อไป คือข้อที่ 3

ประการที่ 3 คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ยังคงสอนและนำพาชีวิตเราแต่ละคน ให้อยู่รอดปลอดภัยในทางของพระองค์ และนำพาชีวิตเราให้ได้พบกับสันติสุขในชีวิตที่แท้จริง

ให้อยู่รอดปลอดภัยในทางของพระองค์ ไม่ใช่ในทางที่เราคิดกันเองอีกแล้ว ลองดูสิเป็นอย่างไร? ยอห์น 14:26-27 พระเยซูตรัสอย่างนี้นะครับ ยอห์น 14:26-27

ยอห์น 14:26-27 “26 องค์ที่ปรึกษา คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งพระบิดาจะทรงส่งมาในนามของเรา จะทรงสอนสิ่งทั้งปวงแก่พวกท่าน และจะให้พวกท่านระลึกถึงทุกสิ่ง ที่เราได้กล่าวกับพวกท่าน 27 เรามอบสันติสุขแก่พวกท่าน สันติสุขที่เราให้ ไม่เหมือนที่โลกให้ อย่าให้ใจของท่านทุกข์ร้อน และอย่ากลัวเลย”

 

พูดง่ายๆ คืออย่ากลัวเลย เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงสถิตอยู่กับท่านแล้ว เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่กับท่านแล้ว สันติสุขที่เรามอบให้กับท่านนี้ ไม่เหมือนสันติสุขที่โลกนี้ให้ แต่พระวิญญาณบริสุทธิ์ถูกมอบให้กับเราแล้ว อย่ากลัวเลย พระวิญญาณบริสุทธิ์จะสอนเราในเรื่องของสันติสุขที่โลกนี้ไม่เข้าใจ

เมื่อเราได้รับเชื่อในพระเยซูคริสต์เจ้าแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเป็นผู้ยืนยันกับเราว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นเป็นจริง ก็คือสิ่งทั้งหลายที่พระเยซูพยายามสอนเรา และอีกมากมายที่ยังไม่ได้สอนเรา หมายถึงสอนเราผ่านทางสาวกในอดีตที่เดินอยู่บนโลกใบนี้ และอีกมากมายมหาศาล ซึ่งไม่ได้สอน ขณะเดินอยู่บนโลกใบนี้ แต่สอนในขณะที่พระองค์ทรงอยู่ที่เบื้องขวาขอพระเจ้าในสวรรค์สถานแล้ว อีกมากมาย ความจริงเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์จะสอนท่านหมดเลย (เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์) แล้วแต่ละคนว่าจำเป็นต้องรู้สึกซึ้งมากขนาดไหน? เข้าใจใช่ไหมครับ? ถ้าไม่ต้องเอาไปใช้มาก ก็ไม่ต้องรู้เยอะหรอก ใครเป็นคนตัดสินตรงนี้ว่าจะรู้เยอะ รู้น้อยดี พระวิญญาณเป็นผู้นำทั้งสิ้น ให้เราวางใจในพระองค์นั่นเอง พระเยซูกำลังบอกว่าให้เราวางใจในพระวิญญาณบริสุทธิ์นั่นเองว่าไม่ต้องไปคิดมากแล้ว พระวิญญาณนำไปเลย รู้แค่นี้ ก็แค่นี้ รู้แค่พระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตชำระบาปให้กับเรา พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม เอเมน ไม่ต้องรู้อะไรมาก พอแล้ว เพราะไม่ให้ไปสอนใคร เพราะเราไม่ได้มีหน้าที่นั้น ก็จบ ก็ไม่ต้องได้รู้อะไรมันเยอะแยะ พอมาวันอาทิตย์ คนที่ได้รู้มากกว่าที่พระวิญญาณนำพา ก็มีหน้าที่นี้  เขาอาจจะมาสอน แล้วเราก็ฟัง สนุก เอเมน พอกลับไปบ้าน เราก็ลืม แต่มันเข้าไปแล้ว เข้าใจไหม? มันก็เข้าไปในวิญญาณแล้ว ท่านก็สบายใจว่ากลับไปทีไร ลืมทุกทีเลย ก็ไม่ได้มีหน้าที่นี้ ก็จะไปจำทำไม? สมองมีไว้ทำอย่างอื่นบ้าง สมองมีไว้พักผ่อนบ้าง อย่าเครียดมากเกินไป อย่างนี้ เอเมน ไม่ใช่เป็นคริสเตียนหน้าตายู่ยี่ตลอดเวลา

“ทำอะไร?”

“กำลังคิดถึงถ้อยคำพระเจ้าอยู่”

ไม่ต้องมากถึงขนาดนั้น เอาพอดีๆ บางคนพยายามจะยัดเหยียด สอนนะ ตัวเองเป็นอาจารย์ แล้วก็อ่านพระคัมภีร์ทั้งวันทั้งคืน พยายามยัดเหยียดให้สมาชิก ไปอ่านพระคัมภีร์ทั้งวันทั้งคืน ตี 5 ตื่นไปทำงาน 6 โมงเช้า รถติด กลับมาบ้าน กว่าจะถึงบ้าน 3 ทุ่ม ไม่มีแรงแล้ว

“ต้องอ่านนะ อ่าน สำคัญๆ”

อ่านไปทำไมอย่างนั้น  มันก็เนื้อหนังเราทั้งสิ้น อ่านไปทำไม? ทรมานเปล่าๆ ไม่ต้องอ่าน ได้แค่นี้ บางคนดูผมอยู่นี้ ตอนนี้ นี่เรื่องจริง ไปอ่านทำไม มันไม่ไหว แล้วจะไปทรมานมันทำไม? มาวันอาทิตย์ฟัง ขึ้นรถเมล์ได้สัก 2 ข้อ 3 ข้อ หรือมีโอกาสฟัง CD ที่เขาเทศน์ ก็แบ่งกันรับใช้ พวกอาจารย์เขาทำงานอยู่ในโบสถ์ เขาก็อธิษฐาน อ่านพระคัมภีร์ มาสอนท่าน ท่านก็กลางวันไม่ต้องไปอ่านหรอก ฟังของท่านไป นิดๆ หน่อยๆ พระวิญญาณจะนำท่านเอง ตามลักษณะของแต่ละคน ซึ่งมีหน้าที่ไม่เหมือนกันไง เอเมน  ไม่ใช่ไปพยายามยัดเยียด  ทุกคนจะต้องมาเป็นอย่างนี้หมดเลย  แล้วใครจะหาเงินมาให้โบสถ์ใช้ คนทำงานไป ก็ทำงานไป เอาเงินมาถวายแล้วกัน อันนี้พูดเล่นนะครับ พูดเล่น ที่นี่ไม่เน้นเรื่องถวายทรัพย์อยู่แล้ว เพราะการถวายทรัพย์ คือการช่วยท่าน พระเจ้าต้องการช่วยท่านให้ลดละกิเลส ไม่ใช่มาช่วยพระเจ้า ถ้าท่านมาช่วยพระเจ้า เอาเงินกลับไปเลย  ไม่ต้องถวาย พระเจ้ายิ่งใหญ่ ร้องอยู่ทุกวัน พระเจ้ายิ่งใหญ่สูงสุด แล้วมารอเงินถวายจากท่าน ตายแล้วพระเจ้าจะช่วยท่านได้อย่างไร? ใช่ไหม? เอเมน ต้องมั่นคง มั่นใจอย่างนี้

แล้วนอกเหนือจากนั้น  สิ่งที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงกระทำให้เรา ก็คืออะไร? ก็คือประการที่ 4

ประการที่ 4 ทรงให้ความสามารถกับเรา ที่เราเรียกกันว่าของประทานจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งมีตัวอย่างบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ เดี๋ยวลองอ่านดูนะครับ นี่คือตัวอย่างเท่านั้น มีมากกว่านี้ อย่างที่ผมบอก เยอะแยะมากมาย ที่พระวิญญาณบริสุทธิ์จะให้ความสามารถกับเราได้ นี่คือจำนวนหนึ่งในสมัยโน่น ที่พระคัมภีร์สมัยโน่น ที่ได้บันทึกไว้ว่านี่คือจำนวนหนึ่ง เดี๋ยวจะอธิบายให้ฟัง ใน 1 โครินธ์ 12:7-11

1 โครินธ์ 12:7-11 “7 การสำแดงของพระวิญญาณมีแก่แต่ละคน เพื่อประโยชน์ร่วมกัน 8 คนหนึ่งได้รับถ้อยคำแห่งสติปัญญา โดยพระวิญญาณ ส่วนอีกคนหนึ่งได้รับถ้อยคำแห่งความรู้ โดยพระวิญญาณองค์เดียวกัน 9 อีกคนได้รับของประทานแห่งความเชื่อ โดยพระวิญญาณองค์เดียวกัน ส่วนอีกคน มีของประทานในการรักษาโรค โดยพระวิญญาณองค์เดียวกันนั้น 10 คนหนึ่งได้รับฤทธิ์เดชอันอัศจรรย์ อีกคนเผยพระวจนะได้ คนหนึ่งสังเกตแยกแยะวิญญาณต่างๆ ได้ ส่วนอีกคนสามารถพูดภาษาแปลกๆ และอีกคนแปลภาษาแปลกๆ ได้ 11 ทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นการงานของพระวิญญาณองค์เดียวกัน และพระองค์ประทานสิ่งเหล่านี้ ให้แก่แต่ละคนตามที่ทรงกำหนดไว้”

 

เอเมน … พระองค์ประทานสิ่งเหล่านี้ให้แก่แต่ละคน ตามที่ทรงกำหนดไว้ ตั้งแต่เมื่อไร? ก่อนสร้างโลก การสำแดงของพระวิญญาณบริสุทธิ์มีแก่แต่ละคน เพื่อประโยชน์ร่วมกัน ไม่ใช่ ประโยชน์ของคนที่สำแดงอย่างเดียว พอเข้าใจใช่ไหมครับ? ประโยชน์ร่วมกัน นี่คือตัวอย่างหนึ่ง ไม่ใช่แค่นี้  ดูตัวอย่างอีกอันหนึ่งใน 1 โครินธ์ 12:28-31 มีของประทานอีกแบบหนึ่ง ที่ไม่ได้อยู่ในนี้ นี่เป็นตัวอย่างให้เห็นว่ามันเป็นอย่างนี้  ยกขึ้นมาตัวอย่างนะครับ

1 โครินธ์ 12:28-31 “28 และในคริสตจักร พระเจ้าได้ทรงแต่งตั้งอัครทูตเป็นอันดับแรก อันดับที่สองคือผู้เผยพระวจนะ อันดับที่สามคือผู้สอน จากนั้นคือผู้ทำการอัศจรรย์ ผู้มีของประทานในการรักษาโรค ผู้สามารถช่วยเหลือผู้อื่น ผู้มีของประทานในการบริหารงาน และผู้พูดภาษาแปลกๆ 29 ทุกคนเป็นอัครทูตหรือ? ทุกคนเป็นผู้เผยพระวจนะหรือ? ทุกคนเป็นผู้สอนหรือ? ทุกคนทำการอัศจรรย์หรือ? 30 ทุกคนมีของประทานในการรักษาโรคหรือ? ทุกคนพูดภาษาแปลกๆ หรือ? ทุกคนแปลได้หรือ? 31 แต่ให้เราใฝ่หาของประทานที่ยิ่งใหญ่กว่านี้”

 

ในคริสตจักร หมายถึงอะไรรู้ไหมครับ? ไม่ได้หมายถึงในโบสถ์แบบนี้นะครับ คริสตจักรตรงนี้หมายถึงผู้เชื่อทั้งหมด  ทั้งโลกนี้เลย ใครจะเชื่อที่ไหน? มุมโลกไหน? เป็นคริสตจักรของพระเยซูคริสต์ทั้งสิ้น  ไม่ใช่หมายถึงโฮลี่ ออฟ โฮลี่ส์ที่โน่น ที่นี่ ไม่ใช่หมายถึงตัวอาคาร หมายถึงตัวประชาชนคนที่เป็นวิหารบริสุทธิ์ของพระเจ้า ที่พระเยซูคริสต์มาสถิตอยู่กับในพระลักษณะของพระวิญญาณ นั่นแหละคือหนึ่งในจำนวนคริสตจักร มารวมๆ กันเป็นหนึ่งคริสตจักร นี่ผมคนเดียวก็เป็นหนึ่งคริสตจักร ทุกคนรวมๆ กันเป็นหลายๆ คริสตจักร พอเข้าใจใช่ไหม? คริสตจักรคืออาณาจักรของพระคริสต์ พระคริสต์สถิตอยู่กับฉัน อยู่กับเรา พวกเราทั้งมวล ทั้งโลกนี้เลย มันหมายถึงอย่างนั้น

ตรงนี้ท่านจึงเห็นภาพชัดเจนว่าพระวิญญาณให้ความสามารถ เพราะว่าบางคนในสมัยนั้น  พยายามที่จะมองดู คนทำอัศจรรย์ คิดอย่างนั้น แต่ในนี้บอกว่าทุกคนทำการอัศจรรย์หรือ? ทุกคนมีของประทานในการรักษาโรคหรือ? ทุกคนพูดภาษาแปลกๆ หรือ? ทุกคนแปลได้หรือ?  ทุกคนขึ้นมาเทศน์แบบนี้หรือ? ทุกคนขึ้นมาเล่นดนตรีแบบโต๋หรือ?  เห็นหรือยัง?  ทุกคนจะมาร้องเพลงแบบอาร์ตใช่ไหม? อย่าเลยมันเพี้ยน อาจารย์นำไม่ให้ขึ้นมาอยู่แล้ว เพราะอะไร? ไม่อย่างนั้นทุกคนก็ขึ้นมาร้องหมดดิ ทำไมคนนี้เป็นอย่างนี้? ทำไมคนนั้นเป็นอย่างนี้? เพราะพระวิญญาณทราบดีว่าใครเหมาะกับอะไร? เพราะถูกกำหนดไว้แล้วตั้งแต่ก่อนสร้างโลก พระเจ้ากำหนดให้นั่งที่นี่ ให้ท่านนั่งเฉยๆ นั่นแหละ ไม่ต้องทำอะไร?  ไม่ต้องคิดว่าจะช่วยอะไรดี จะช่วยพระเจ้าตรงไหนดี เดี๋ยวถ้าพระวิญญาณนำท่าน ท่านถูกกำหนดไว้แล้ว เดี๋ยวจะมาเอง มาเองแน่ๆ หลายคนขึ้นมาบนนี้ ไม่มีใครเรียกเลยนะ แล้วเขาเอง เขาก็ไม่ได้ตั้งใจขึ้นมา ไม่รู้ขึ้นมาได้อย่างไรก็ไม่รู้

แต่ในนี้บอกว่าอย่างไร? แต่ให้หาของประทานที่ยิ่งใหญ่กว่านี้  วันนี้ไม่มีเวลา ต่อจากข้อความนี้ไป คือ 1 โครินธ์ บทที่ 13 ซึ่งใครๆ ก็รู้จักดี ให้พวกเราหาของประทานที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ มีทุกคนเลย ของประทานนี้คืออะไร? คือความรักในพระเจ้า รักแท้ของพระเจ้า รักที่ไม่มีเงื่อนไข รักที่อดทนนาน กระทำคุณให้ ไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่เย่อหยิ่ง ไม่เห็นด้วยกับการประพฤติไม่ดี ให้อภัยเสมอ ความรักอย่างนี้แหละ เป็นของประทานอย่างหนึ่งที่พระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นผู้ให้ ถ้าไม่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็จะไม่มีรักแท้แบบพระเจ้า อย่างนี้ไง อย่างนี้มีทุกคน ไปแสวงหาเลย  พวกที่ตะกี้นี้บอกจะมาร้องเพลง ก็ไม่ต้องมาแสวงหา ถ้ามีก็มี พวกที่จะมาเทศนา จะมีก็มี พวกที่ทำการอัศจรรย์ได้ ก็ไม่ต้องไปตามเขา จะมีก็มี พอเข้าใจไหม? แล้วพระวิญญาณก็จะนำเขาทำ แต่ละคนๆ ว่ากันไปตามชีวิตของแต่ละคนๆ นั้น ที่พระวิญญาณ พระเจ้าสถิตอยู่ด้วย และกำกับเขาไว้ว่าควรจะทำอะไร?  มันจบแล้ว อย่าไปคิดมาก มาเชื่อพระเจ้ามันจบหมดทุกอย่างแล้ว อย่าไปคิดมาก ยิ่งคิดมาก ยิ่งเหนื่อย แล้วแทนที่จะหายเหนื่อยและเป็นสุข และไม่เหนื่อยนะ ไม่หายเหนื่อย เป็นสุข ท่านไม่หายเหนื่อยไม่พอ คนข้างๆ ท่าน เขาก็ไม่หายเหนื่อยด้วยเช่นเดียวกัน เพราะท่านทำให้เรื่องยุ่งไปหมดเลย เข้าใจใช่ไหม? พอเครียด คนอื่นเขาก็เครียดตามไปด้วย

เพราะฉะนั้น สรุปแล้ว ทั้งหลายทั้งปวงที่ผมพูดมาทั้งหมดนี้ ก็เพื่ออยากจะย้ำยืนยันให้กับท่านว่าพวกเราทั้งหมดในที่นี่ เป็นวิหารของพระเจ้า ที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเยซูคริสต์สถิตอยู่ด้วย พระเจ้าสถิตอยู่กับเราจริงๆ และเราได้เรียนรู้กันมาเยอะแยะแล้วว่าพระวิญญาณของพระเจ้ามีฤทธิ์เดชอำนาจสูงสุดขนาดไหน? แล้วพระองค์อยู่กับเรา แล้วถามว่าถ้าเป็นอย่างนั้น มีอะไรที่เราต้องกลัว มันจบแล้วจริงๆ ท่านต้องพยายามมองข้ามในสิ่งที่มันเป็นเหตุเป็นผลบนโลกใบนี้ ออกไปให้หมด นี่คือความจริง พระวิญญาณจะนำท่านต่อไปว่านี่คือความจริง ท่านมองข้ามไปเลยว่าอะไรจะเกิดขึ้น เขาถึงบอกว่าอะไรจะเกิดขึ้น ก็สบาย เพราะเราอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้าแล้ว เอเมน ให้เรารู้อยู่เสมอว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่กับเราแล้ว พระเจ้าสถิตอยู่กับเราแล้ว และพระองค์ตรัสกับเราว่า.-

“อย่ากลัวเลย  เราเป็นพระเจ้าของเจ้า อย่าขยาดเลย เราอยู่กับเจ้าตลอดไป”

ตลอดเลยเห็นไหม? ก่อนหน้านี้ ก่อนหน้าพระเยซูจะมาเกิดเป็นมนุษย์ ในพระคัมภีร์เดิม ก็พูดอย่างนี้ เล็งถึงพระเยซูจะมาเกิด พูดมาตลอด

“อย่ากลัวเลยๆ”

พอพระเยซูมา ก็พูดเหมือนกันอย่างนี้ “อย่ากลัวเลยๆ”

มาจริงๆ แล้ว นี่ของจริง ตอนพระคัมภีร์เดิมเป็นเงา แต่ตอนนี้ เป็นของจริง พูดให้ตรงๆ ก็คือตอนพระคัมภีร์เดิม ที่พูดถึงพระเยซู เป็นเหมือนรูปพระเยซู ท่านจะเห็นชัดขึ้น ถ้าบอกเป็นเงา ท่านอาจจะยังไม่เห็น เป็นเหมือนรูป เอารูปมาให้ดู แต่พระคัมภีร์ใหม่ ตอนพระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว ตัวจริงมา เข้าใจไหมตัวจริง เหมือนเราไปดูดารา ดูรูปดาราในหนังสือพิมพ์ นี่ตัวจริงมาครับ ตัวจริง เอเมน

พวกเราขอบคุณพระเจ้าไหม? พวกเราอยู่ในช่วงเวลาของตัวจริงมา ขอบคุณพระเจ้า ที่เราไม่ต้องอยู่ในช่วงที่ดูแต่รูปๆ นี่พระเยซูตัวจริงมาเลย ดังนั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่กับเราแล้ว เพราะฉะนั้น ไม่ว่าเราจะไปไหน? หรือจะทำอะไร? เราก็ไม่ต้องแคร์ ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งสิ้น พูดกันในใจของเราว่าไม่ต้องกลัวเลย  พระเจ้าอยู่ฝ่ายเรา  อยู่ในเรา  ใครจะทำอะไรเราได้ เราชนะหมดเรียบร้อยแล้ว ในพระนามพระเยซูคริสต์ เอเมน

พูดกับทุกสถานการณ์อย่างนี้เลย ทุกสถานการณ์ มันเป็นอย่างนี้จริงๆ อย่าไปคิดว่าเอาเหตุผลของมนุษย์เข้ามา มันเป็นอย่างนี้จริงๆ แล้วผู้ที่จะทำให้เราไปถึงจุดนี้ได้ เราชนะขาดลอยแล้ว เราไม่ต้องไปคิดมาก ทุกเรื่อง วางทุกอย่างไว้กับพระเยซูคริสต์ หรือพระเจ้าได้ ผู้ที่จะนำพาเราผ่านตรงนี้ได้ ก็มีเพียงผู้เดียว คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งเราได้รับ และสถิตอยู่กับเรา ตั้งแต่วันที่เราเริ่มต้นเชื่อ ใช้สิทธิ์ของเรา ที่พระเยซูคริสต์ไถ่บาปให้กับเรา ที่ไม้กางเขนนั้น เมื่อพระเยซูคริสต์ไถ่บาปให้กับเรา จึงมีสิทธิ์ที่จะเป็นผู้บริสุทธิ์ สะอาด แล้วพระเจ้าจึงสามารถเข้ามาสถิตอยู่กับเราได้ และพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่กับเรานี้จะนำพาเราไปเรื่อยๆ ตลอดเวลา จนกระทั่งถึงเมื่อไรท่านทราบไหม?  จนกระทั่งถึงนิรันดร์ นิรันดร์ จนถึงเราไปเห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า ด้วยวิญญาณของเรา  หน้าต่อหน้า เป็นผู้ยืนยันกับเราตลอด เพราะฉะนั้น อย่ากลัวเลย สบายใจได้ วางใจได้ในทุกอย่าง ให้พระวิญญาณบริสุทธิ์นำไป

และสุดท้าย ก็คือเราจำเป็นต้องอธิษฐานขอพระวิญญาณบริสุทธิ์ ขอพระเยซูบ่อยๆ พระเยซูเป็นผู้จุ่มเราลง หรือบัพติศมาเราในพระวิญญาณบริสุทธิ์ เริ่มต้นตั้งแต่วันแรกที่รับเชื่อ และต่อๆ มาทุกวันๆ จุ่มเราอยู่เรื่อยๆ เพราะฉะนั้นวิธีการที่เราจะเร่งตรงนี้ให้มันติดสนิทกับพระองค์มากขึ้นได้ ก็คืออธิษฐานขอบ่อยๆ

“พระเจ้า พระเยซู ลูกอยากได้พระวิญญาณของพระองค์มากขึ้น”

จะอะไรก็ตามให้มันออกมาว่าท่านอยากได้มากขึ้น ท่านอยากได้วิญญาณแห่งสติปัญญา วิญญาณแห่งการสำแดงความรู้ พระวิญญาณบริสุทธิ์สอนลูกด้วยเถิดพระเจ้า พระเยซูจุ่มอยู่ลงไปในความล้ำลึกของพระองค์ จุ่มอยู่เข้าไปในอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์มากขึ้นทุกวันๆ รู้จักพระองค์มากขึ้นทุกวัน รู้จักพระองค์มากขึ้นทุกวัน แทนที่จะไปขอร่ำขอรวย ชื่อเสียงอะไรต่างๆ เข้าใจไหม ตรงนี้มันสำคัญกว่าตั้งเยอะ เพราะทั้งหมดนั้น มันได้ไปเรียบร้อยแล้ว เหลืออยู่ในการกำหนดของพระเจ้าแล้ว ถ้าพระเจ้ากำหนดให้ท่านจน ท่านจนตลอดแหละ หลบกันใหญ่เลย พอบอกอย่างนี้ จนในตามภาษามนุษย์นะครับ แต่ในพระเจ้าร่ำรวยมาก เอเมน เปโตรรวยไหม? รวยมหาศาล เปาโลรวยไหม? รวยมหาศาล ไม่ใช่คนรวยในโลกใบนี้ที่เรียกว่ารวย ทางพระเจ้าไม่ใช่ พระวิญญาณบอกเราว่าร่ำรวยในทางพระเจ้า คืออย่างไร? ต่อไปในอนาคต เอเมน

เพราะฉะนั้น เราต้องอธิษฐานขอพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เชิญพระองค์เข้ามาสถิตอยู่กับเรามากขึ้น สถิตอยู่แล้ว สถิตอยู่อีก มีมากแล้ว ขอมากขึ้นอีก ตรงนี้ไม่เรียกว่าโลภเลย เพราะมันเป็นพระพรทางฝ่ายวิญญาณ ที่พระเจ้าต้องการให้เราเข้าไปให้มากที่สุด ไม่ใช่พระพรทางฝ่ายโลก เอเมน  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

******************

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 7 มิถุนายน 2015 เรื่อง “พระเยซูอยู่ที่ไหน ในขณะนี้” ตอน 2 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  7  มิถุนายน  2015

เรื่อง “พระเยซูอยู่ที่ไหน ในขณะนี้” ตอน 2

โดย นคร  เวชสุภาพร

            ก่อนที่เราจะฟังคำบรรยายในเช้าวันนี้ จะให้ท่านได้ฟังเพลง เพลงหนึ่งที่สำคัญมาก เนื้อเพลง พระเยซูเป็นผู้เขียนเองเลยนะครับ คือเป็นเพลงจากเนื้อจากคำอธิษฐานที่พระเยซูสอนเราให้อธิษฐาน เป็นคำอธิษฐานเดียว ที่พระเยซูสอนให้กับมนุษย์อธิษฐานแบบนี้  ซึ่งผมว่ามันเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับเราทั้งหลายทุกคนที่รู้จักพระเจ้าแล้ว ที่รู้จักพระเยซูแล้ว ควรเอาหลักเกณฑ์นี้ไปอธิษฐาน ให้จำให้ได้เลยว่ามีอะไรบ้างที่อยู่ใน

พระบิ…ดา…. ผู้สถิตในส … วรรค์               พระนามเป็นที่ … สรรเสริญ

ขอสวรรค์ลงมา   ให้น้ำพระทัย                 สำเร็จ … บนโลกนี้

                        เหมือนกับดั่ง … อยู่ใน … สวรรค์

ขอทรงประทาน … อาหาร … ประจำวัน   ขออภัยบาป … ของข้า

                        เหมือนข้า … อภัยให้ผู้อื่น

                        โปรดอย่านำข้า … เข้าในการทดลอง         แต่โปรดช่วยข้า จาก สิ่ง ชั่ว ร้าย

                        เพราะพระ … องค์  ทรงครอบครอง          และทรงฤทธิ์เดช … และพระสิ … ริ

                        เป็นของ   พระองค์ … นิ … รันดร์

                        เพราะพระ … องค์  ทรงครอบครอง          และทรงฤทธิ์เดช … และพระสิ … ริ

                        เป็นของ   พระองค์ … นิ … รันดร์ … อาเมน

เพลงนี้จบลงตรงที่เมื่อตะกี้นี้ บอกว่าอย่างไร? สุดท้าย ก็คือพระองค์คือพระเจ้าทรงครอบครอง ทรงฤทธิ์เดช และพระสิริเป็นของพระองค์นิรันดร์ และขอบคุณพระเจ้า ที่การสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน ทำให้เรามีส่วนเข้าร่วมในการครอบครองร่วมกับพระองค์ มีส่วนเข้าร่วมในฤทธิ์เดชอำนาจของพระองค์ มีส่วนเข้าร่วมในพระสิริของพระองค์ชั่วนิรันดร์เช่นเดียวกัน เอเมน

เพราะฉะนั้น การท่องบทเพลงนี้ หรือร้องบทเพลงนี้  มันซะใจตรงที่ไม่ใช่เพียงถวายเกียรติพระเจ้าอย่างเดียว ไม่ใช่รู้ว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่อย่างเดียว แต่ระลึกถึงพระคุณของพระองค์ เมตตาของพระองค์ที่ทรงช่วยเราผู้เป็นคนบาป ที่ต่ำต้อยเหลือเกินในโลกใบนี้ ให้มีส่วนเข้าร่วมในความยิ่งใหญ่ของพระองค์ ที่ร้องมาทั้งหมดนั้น เอเมน ยิ่งร้อง ยิ่งตื่นเต้นไป ซึมซับถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าด้วย ในขณะเดียวกับซึมซับถึงความเมตตาของพระเจ้า ในการยกเราคนต่ำต้อยขึ้นมา ขึ้นมาถึงขนาดนี้เลยเหรอ และภูมิใจที่เราได้เป็นผู้ที่ถูกเรียกว่าคริสเตียน คือลูกของพระเจ้า ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ท่านเป็นลูกของพระองค์ เอเมน ขอบคุณพระเจ้า เป็นน้องของพระเยซู ท่านลองคิดดู ท่านเป็นน้องของพระเยซู ท่านลองคิดดู

ถามว่าเรามีส่วนเข้าร่วมตั้งแต่เมื่อไร? คำตอบ ก็คือการได้รับสิทธิ์นั้นตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้ ทันทีทันใดที่เราเปิดใจต้อนรับ เชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตของพระองค์ชำระมนุษย์ทั้งปวง รวมทั้งฉันด้วย ให้สะอาดหมดจด พ้นจากความบาป เป็นผู้ชอบธรรม กลับคืนไปสู่พระเจ้า  บริสุทธิ์สามารถกลับไปหาพระเจ้าได้ ตั้งแต่วันนั้นแหละ ที่เราเชื่อตรงนี้ เราก็ได้เป็นลูกของพระเจ้า มีส่วนเข้าร่วมในพระสิริ ความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ทั้งมวลที่ตะกี้นี้พูดมา เพียงแต่ว่า ณ วันนี้  ในระหว่างที่เรากำลังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เรายังไม่สามารถจับต้องมองเห็นด้วยร่างกายนี้ได้เท่านั้นเอง ต้องรอวันที่เราได้เห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า คือวันที่เราทิ้งร่างกายนี้แล้ว แล้ววิญญาณเราไปอยู่ในสวรรค์ และได้รับร่างกายใหม่จากพระเจ้า ที่ทรงเตรียมไว้ให้กับเรา ร่างกายที่ไม่มีบาปนั่นเอง

แต่ถึงแม้วันนี้  ยังไม่มีโอกาสได้เห็นพระเจ้า แบบหน้าต่อหน้า แต่พระองค์ก็ได้ให้สิ่งหนึ่งเป็นมัดจำกับเราไว้ก่อนล่วงหน้าแล้ว คือหลังจากที่เราได้รับเชื่อในพระเยซูใช่ไหมครับ? พระองค์ก็ได้ทรงประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ มาเป็นมัดจำ ให้เรามีความมั่นใจในเรื่องพระเจ้า มีความมั่นใจในสิทธิต่างๆ ที่เราได้รับ ในฐานะเป็นลูกของพระเจ้า ในฐานะที่เข้าไปมีส่วนในความยิ่งใหญ่เหล่านั้น

พระคัมภีร์บันทึกไว้ในหนังสือ 2 โครินธ์ 1:22 ให้ท่านอ่านเองเลย ชัดๆ

2 โครินธ์ 1:22 “ทรงประทับตราแสดงความเป็นเจ้าของบนเรา และประทานพระวิญญาณของพระองค์ไว้ในใจเรา เป็นมัดจำค้ำประกัน ในสิ่งที่จะมาถึง”

 

ลองใส่ชื่อท่านดู “ทรงประทับตรา แสดงความเป็นเจ้าของบนนคร … (ใส่ชื่อท่าน) และประทานพระวิญญาณของพระองค์ไว้ในใจนคร … (ใส่ชื่อท่าน) เป็นมัดจำค้ำประกัน ในสิ่งที่จะมาถึง”

ผู้ใดที่ได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์ ให้มาเป็นผู้ช่วยให้รอด เป็นแพะรับบาปให้กับตัวเอง เวลาเราต้อนรับพระเยซูคริสต์ให้มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด คือเราต้อนรับพระองค์ เรามาต้อนรับพระเยซูคริสต์ คือมาต้อนรับว่าพระองค์ทรงเป็นแพะ มารับบาปแทนเราไป ตรงนี้ต้องเริ่มต้นก่อน ใครที่เชื่ออย่างนี้ ผู้นั้นพระเจ้าก็จะประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้มาสถิตอยู่ด้วย เพื่อยืนยันและเป็นมัดจำว่าพระสัญญาทั้งหมดที่พระองค์ได้ตรัสไว้ เป็นความจริงทั้งสิ้น และเมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์มาสถิตอยู่กับผู้ใด ผู้นั้นก็จะได้รู้จักพระเจ้าในฐานะพระบิดา หรือเรียกว่าพ่อ สามารถเรียกพระเจ้าว่าพ่อ อย่างเต็มปาก เต็มคำได้ อย่างสง่าผ่าเผยได้ อย่างจิตใจรู้ว่ามันใช่ พระคัมภีร์บันทึกไว้

กาลาเทีย 4:4-7 “4 แต่เมื่อถึงกำหนด พระเจ้าได้ทรงส่งพระบุตรของพระองค์ มาประสูติจากครรภ์ของผู้หญิง ถือกำเนิดภายใต้บทบัญญัติ 5 เพื่อไถ่คนทั้งปวง ซึ่งอยู่ใต้บทบัญญัติ เพื่อเราจะได้รับสิทธิของบุตรอย่างสมบูรณ์ 6 ในเมื่อท่านเป็นบุตร พระเจ้าจึงทรงให้พระวิญญาณของพระบุตรของพระองค์เข้ามาในใจเรา ร้องเรียกว่า อับบา พ่อ 7 ฉะนั้น ท่านจึงไม่เป็นทาสอีกต่อไป แต่เป็นบุตร และเพราะท่านเป็นบุตรพระเจ้า จึงทรงให้ท่านเป็นทายาทด้วย”

 

“เพื่อไถ่นคร … (ใส่ชื่อท่าน) ซึ่งอยู่ใต้บทบัญญัติ เพื่อนคร … (ใส่ชื่อท่าน) จะได้รับสิทธิของบุตรอย่างสมบูรณ์ ในเมื่อนคร … (ใส่ชื่อท่าน) เป็นบุตร พระเจ้าจึงทรงให้พระวิญญาณของพระบุตรของพระองค์เข้ามาในใจนคร … (ใส่ชื่อท่าน) ร้องเรียกอับบา พ่อ”

เรียกใคร? เรียกพระเจ้าว่าพ่อ … ในเมื่อท่านเป็นบุตร พระเจ้าทรงให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระบุตรเข้ามาใจของเรา ประโยคเล็กๆ สั้นๆ แต่ว่าเฉียบขาด มิน่า ก่อนที่เราจะรับเชื่อพระเยซูคริสต์ เราไม่เคยกล้าที่จะบอกว่าพระเจ้าเป็นพ่อ ถ้าเราเรียกอย่างนั้น  คนก็นึกว่าเราบ๊อง ส่งเราไปโรงพยาบาลบ๊อง ขนาดตอนที่เรามาเชื่อพระเจ้า  วันแรกเลย กลับไปบ้าน เราก็รู้ในใจเลยนะว่าเราเป็นลูกพระเจ้า  แต่เรายังเขินปากอยู่ว่า.-

“พ่อจ๋า” หรือไม่ก็ “พระบิดา”

ใช่ไหม? แต่ไปเรื่อยๆ พอเริ่มอธิษฐานไปเรื่อยๆ เราเริ่มสนิทใจไปเรื่อยๆ ทุกวันนี้เราเรียกว่าอะไร? ลองตะโกนมา ตามสไตล์ของท่าน

บางคนเรียกว่า “พระบิดาเจ้าข้า, พ่อจ๋า”

มีใครเรียกปาป๊าบ้าง คนจีนเขาเรียกปาป๊า

อับบา เป็นภาษากรีก ใช่ไหม?

ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่าอะไร? ฟาเตอร์

เห็นไหม? ก็คือพ่อนั่นแหละ ถามว่าใครเป็นคนสอนให้ท่านเรียก ศิษยาภิบาลสอนเหรอ ตอนที่ศิษยาภิบาลสอน ตอนที่ผมไปนั่งอยู่ที่โบสถ์ แล้วผมยังไม่รับเชื่อนะ ผมขำด้วยซ้ำไป ผมไม่ได้กลับไปเรียกตามเหรอ เพราะผมยังไม่ได้เชื่อ ผมมานั่งฟัง เขาเชิญมางานคริสตมาสที่โบสถ์ ผมก็ฟังเขาเทศน์ไป  เวลาเขาอธิษฐาน

“โอ ฟาเตอร์ … โอ พระเจ้า … พ่อจ๋า”

พวกนี้เป็นอะไรไหม? เพราะผมไม่เชื่อ ผมมาโบสถ์ ก็ยังไม่รู้เรื่อง ถูกไหมครับ? แต่เมื่อผมรับเชื่อในพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่ที่โบสถ์ ที่บ้านด้วยซ้ำไป จิตใจเปลี่ยนไปจริงๆ จากนั้นเป็นต้นมา ไม่ว่าอยู่คนเดียว หรืออยู่ต่อหน้าคนเป็นฝูง ผมก็สามารถ

“พ่อจ๋า พ่อผู้ทรงสถิตอยู่ในสวรรค์ ข้าพระองค์รักพระองค์เหลือเกิน”

กระหนุกกระหนิงกันเหลือเกิน ท่านลองคิดดู ถ้าเผื่อคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า ได้ยินผมหรือท่านกำลังอธิษฐานอยู่ เขาก็จะคิดเหมือนผมในอดีตนั่นแหละว่าแปลกดีนะ แต่ไม่แปลกสำหรับเรา เพราะพระคัมภีร์ได้บันทึกไว้แล้วว่าพระวิญญาณเป็นผู้สอนเรา ในนี้บอกว่าพระวิญญาณของพระบุตร พระบุตร ก็คือพระเยซู ก็คือพระวิญญาณของพระเยซูคริสต์ หรือ Holy Spirit หรือถูกเรียกว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้ามาอยู่ด้วยกันกับเรา  มาสถิตอยู่กับเรา ปกคุ้มเรา เมื่อเราเริ่มต้นเชื่อในพระเยซูว่าเป็นแพะรับบาปให้กับเรา เป็นผู้ช่วยให้รอดของเรา พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงถูกประทานลงมาอยู่ในเรา ปกคลุมเรา ภาษาพระคัมภีร์เรียกว่าบัพติศมา แปลว่าอะไรรู้ไหมครับ? แปลว่าจุ่มเราลงไป ปกคลุมเราลงไป ชุบเราลงไปในฤทธิ์เดชอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทำให้เราบังเกิดใหม่ เกิดใหม่ในวิญญาณ เขาเรียกเกิดใหม่ สะอาดใหม่เอี่ยมเลย เกิดเป็นลูกของพระเจ้า ในวิญญาณของเรา แล้วจากนั้นเป็นต้นมา ไม่ได้เกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้าอย่างเดียว แต่วิญญาณบริสุทธิ์ก็ยังสถิตอยู่กับเรา นอกจากจะชุบเรา จุ่มเราให้เราเป็นขึ้นมาใหม่ ให้เราเกิดใหม่ในวิญญาณแล้ว ก็ยังอยู่กับเราในวิญญาณนั้น ดำเนินชีวิตกับเราจนทุกวันนี้ และจนกระทั่งวันหนึ่งเราไปอยู่ในสวรรค์เลย เป็นพี่เลี้ยงของเรา พระคัมภีร์บอกเป็นพี่เลี้ยงให้กับเรา พอหรือยังแค่นี้ เกินพอแล้วนะ เอาไว้ค่อยคุยเรื่องนี้ต่อ วันนี้ไม่ได้บรรยายเรื่องนี้มากนักนะครับ เรื่องของพระวิญญาณที่มาสถิตอยู่กับมนุษย์แล้ว ทำให้เรามีประสบการณ์อะไรบ้าง? ค่อยมาว่ากันทีหลัง

วันนี้ผมอยากถือโอกาส ในการตอบคำถาม ที่มีคนถามคำถามนี้มาหลายคน มีคนสงสัยเยอะ มีความเข้าใจผิด จนเกิดความสับสนในความเชื่อ และส่วนใหญ่จะมีคำถามนี้เกิดขึ้นในใจ หลังจากที่ได้อ่านพระคัมภีร์ในภาคพันธสัญญาเดิม อ่านไปอ่านมา จากเชื่อง่ายๆ ชักเป็นงง ชักจะสงสัย กลายเป็นกลัวพระเจ้าอะไรต่างๆ ไม่เข้าใจ กลายเป็นทุกข์ใจ มีความบีบเค้นอยู่ในใจ

“ทำไมพระเจ้าเราเป็นอย่างนี้?”

คำถาม ก็คือเหตุการณ์หลายๆ อย่างที่เกิดขึ้นในยุคพระคัมภีร์เดิม ทำไมพระเจ้าจึงเป็นพระเจ้าที่โหดร้าย  ไม่ยุติธรรม

เช่นตัวอย่างอะไรบ้างครับ? ยกตัวอย่าง ทุกท่านจะต้องต้องอ๋อทันที ในพระคัมภีร์เดิม บันทึกไว้ว่าพระเจ้าทรงทำให้น้ำท่วมโลก ทำลายชีวิตผู้คนบนโลกใบนี้เกลี้ยงเลย เหลือแต่ครอบครัวโนอาห์เท่านั้น ลองอ่านดูนะครับ ปฐมกาล 6:17

ปฐมกาล 6:17 “เรากำลังจะให้น้ำท่วมโลก เพื่อทำลายสิ่งมีชีวิตทั้งมวล ภายใต้ฟ้าสวรรค์ คือทุกสิ่งที่มีลมหายใจแห่งชีวิต ทุกสิ่งบนแผ่นดินโลก จะพินาศสิ้น”

 

“พระเจ้าของเธอ หรือพระเจ้าของฉัน ที่ฉันเชื่อ ทำไมโหดร้ายอย่างนี้นะ”

เคยสงสัยไหม?  ตอบจริงๆ เคยใช่ไหม? ตอนนี้ยังสงสัยอยู่ใช่ไหม? เดี๋ยวฟังต่อไป

พระองค์ทำลายล้างเมืองโสโดมและโกโมราห์ ฟังนะครับ ฟังที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์เดิม ถ้าท่านอ่านมาเจอตอนนี้ ใจท่านจะสั่นขนาดไหน? ปฐมกาล 19:24-25

ปฐมกาล 19:24-25 “24 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงให้ไฟกำมะถันตกลงมาใส่เมืองโสโดมและโกโมราห์ ไฟนี้มาจากองค์พระผู้เป็นเจ้า ตกลงมาจากฟ้าสวรรค์ 25 ดังนั้น พระองค์ทรงทำลายเมืองเหล่านั้น และที่ราบลุ่มทั้งหมด รวมทั้งทุกชีวิตที่อาศัยอยู่ในเมืองเหล่านั้น และพืชพันธุ์ทั้งสิ้นด้วย”

 

“ทำลายทุกชีวิตที่อาศัยอยู่ในเมืองเหล่านั้น” ทำไมพระเจ้าเราโหดร้ายขนาดนั้นหรือ!

ทำลายล้างทั้งหมู่บ้าน เพื่อจะยกดินแดนให้กับพวกชาวยิวเท่านั้นเอง อ่านดูในเฉลยธรรมบัญญัติ 20:17

เฉลยธรรมบัญญัติ 20:17 “จงทำลายล้างชาวฮิตไทต์ ชาวอาโมไรต์ ชาวคานาอัน ชาวเปริสซีชาวฮีไวต์ และชาวเยบุสให้หมดสิ้น ตามที่พระยาห์เวห์ พระเจ้าของท่านทรงบัญชาไว้”

 

สั่งทำฆ่าชาวอามาเลข ที่เคยทำร้ายชาวยิวอย่างรุนแรงเลยนะ หมายถึงสั่งฆ่าอย่างรุนแรง ดูสิอ่านดูแล้วเรามีความรู้สึกอย่างไร 1 ซามูเอล 15:2-3

1 ซามูเอล 15:2-3 “2 องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ตรัสว่า ‘เราจะลงโทษชาวอามาเลข ที่ดักเล่นงานอิสราเอล ตอนที่ออกมาจากอียิปต์ 3 บัดนี้ จงออกไปโจมตีชาวอามาเลข และทำลายล้างทุกสิ่งที่เขามีให้หมดสิ้น ไม่ว่าผู้ชาย ผู้หญิง เด็ก ทารก วัว แกะ อูฐ และลา อย่าไว้ชีวิตเลย”

 

โอโห้! เข้าใจยากเนอะ ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ตัวอย่างบางส่วนเท่านั้นเองนะครับ จากพระคัมภีร์เดิม ยังมีอีกเยอะมากเลย ที่บันทึกในพระคัมภีร์เดิมว่าพระเจ้าทำลายล้างผู้คนมากมายมหาศาล ที่เป็นศัตรูกับชาวยิว หรือไม่ได้เป็นศัตรูกับชาวยิวก็มี

อย่างเช่นตอนที่โมเสสนำพาชาวยิวออกจากประเทศอียิปต์ กองทัพฟาโรห์ก็ถูกทำลายล้างเกือบหมดสิ้น หมดสิ้นเลย ยับเยินเลย  ทำไมพระเจ้าถึงโหดร้ายเช่นนี้ ทำไมพระเจ้าจึงไม่ยุติธรรม ทำไมพระเจ้าจึงช่วยแต่ชนชาติอิสราเอล พวกยิวเท่านั้น ทำไมพระเจ้าต้องทำลายล้างกองทัพอียิปต์ ทำไมต้องสั่งฆ่าผู้หญิง ฆ่าเด็ก ฆ่าชาวบ้านที่บริสุทธิ์ ทำไม? ทำไม? ทำไม?

คำถามในทำนองนี้มีอยู่เรื่อยๆ เกิดขึ้นในใจของหลายๆ คน ถ้าไม่เข้าใจจริงๆ จะเกิดขึ้นแน่นอน เพียงแต่จะเก็บไว้ไหม?  ถูกไหม? ใครอ่านพระคัมภีร์เดิมตรงนี้ สะดุ้งทุกที นอกจากสะดุ้งแล้ว ยังแกล้งเป็นลืมๆ ไปซะ อะไรแบบนี้ แต่ถ้ายิ่งคิดอยู่ในใจ อ่านอยู่บ่อยๆ ถ้าเป็นคนอ่านพระคัมภีร์จะสะดุ้งเยอะเลยนะครับ จะค้างอยู่ในใจ เพราะมันเป็นคำถามว่าพระเจ้าโหดร้ายเหรอ ยิ่งคนที่ไม่รู้จักพระเจ้ามาอ่านตรงนี้ โอโห้! พระเจ้าเราโหดร้ายจริงๆ

วันนี้เราจะมาค้นหาคำตอบที่แท้จริงจากพระคัมภีร์ทั้งหมด พระคัมภีร์ทั้งหมดนะ ไม่ใช่พระคัมภีร์เดิมอย่างเดียว ก่อนอื่น เราต้องเรียนรู้หลักการพื้นฐานก่อน ต้องเรียนหลักการพื้นฐานก่อน ก่อนจะอ่านพระคัมภีร์เหล่านั้น

เราต้องเรียนรู้หลักพื้นฐานก่อนว่าพระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ชัดเจนว่าพระเจ้าของเรา พระเจ้าผู้นี้ ที่มีนามที่มนุษย์ตั้งขึ้นว่าพระเยโฮวาห์ พระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก พระผู้ทรงฤทธิ์ เป็นพระเจ้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก ความเมตตา เป็นพระเจ้าแห่งความยุติธรรม ไม่มีลำเอียง เป็นผู้พิพากษา ที่เขาเรียกว่าเที่ยงตรง ไม่เห็นแก่หน้าใครทั้งสิ้น นี่คือพื้นฐาน และความรัก ความเมตตา ความยุติธรรมของพระเจ้า ได้สำแดงให้เราเห็น เห็นที่ไหนครับ? สำแดงออกมาทางช่วยเหลือชาวยิว เมตตาแต่ชาวอิสราเอล ถูกไม่ถูก? ไม่ใช่ พระคัมภีร์ไม่ได้บันทึกอย่างนั้น ไม่ใช่แน่นอน เพราะท่านจะเห็นแล้วว่าในขณะที่พระองค์ทรงช่วยอิสราเอล  ผู้คนจำนวนมากมายที่ตะกี้เราอ่าน ถูกฆ่าตาย ถูกทำลายล้าง พระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าทรงสำแดงความรักที่ยิ่งใหญ่ มีไหมครับ?  พระคัมภีร์ไม่ได้บอกพระเจ้าทรงสำแดงความรัก ความเมตตา คือช่วยเหลืออิสราเอลให้รอด ไม่ใช่

พระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์ที่พระเยซูคริสต์ นี่บันทึกไว้เลย โดยที่พระองค์ส่งพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระองค์ มาตายที่ไม้กางเขน รับความทุกข์ทรมานที่ไม้กางเขน

โรม 5:8-11 “8 แต่พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์เองแก่เราทั้งหลาย คือขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่นั้น พระคริสต์ได้สิ้นพระชนม์เพื่อเรา 9 ในเมื่อบัดนี้ เราได้ถูกนับเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว โดยพระโลหิตของพระองค์ ยิ่งไปกว่านั้น เราจะรอดพ้นจากพระพิโรธของพระเจ้า โดยพระองค์อย่างแน่นอน 10 เพราะถ้าเรายังได้คืนดีกับพระเจ้า โดยการสิ้นพระชนม์ของพระบุตรของพระองค์ ในขณะที่เราเป็นศัตรูกับพระองค์ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเราได้คืนดีกับพระองค์แล้ว เราก็จะได้รับความรอด โดยพระชนม์ชีพของพระองค์อย่างแน่นอน 11 ไม่เพียงเท่านี้ แต่เรายังชื่นชมยินดีในพระเจ้า โดยทางองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเราด้วย บัดนี้ พระองค์ทรงทำให้เราคืนดีกับพระเจ้าแล้ว”

 

เอเมน … ในนี้บอกว่า “แต่พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์เอง แก่เราทั้งหลาย คือขณะที่เรา คือมนุษย์ทั้งหลายทั้งปวง ทั้งหมดบนโลกใบนี้ ยังเป็นคนบาปอยู่นั่น พระเยซูคริสต์ได้สิ้นพระชนม์เพื่อเรา”

ถามว่าเพื่ออะไร? “เพื่อว่าในบัดนี้ เราได้ถูกนับเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว โดยพระโลหิตของพระองค์”

ก็หมายถึงเพื่อว่าตายที่ไม้กางเขน แล้วโลหิตของพระองค์จะได้ชำระมนุษย์ทั้งปวงให้พ้นจากความบาป พ้นจากโทษของความผิดบาป ได้กลายมาเป็นผู้ชอบธรรม ก็คือไม่ได้เป็นผู้ทำผิด ไม่ใช่เป็นนักโทษ แต่เป็นอิสระ เป็นผู้ชอบธรรม

ในนี้บอกว่า “ยิ่งไปกว่านั้นเราจะรอดพ้นจากพระพิโรธของพระเจ้า โดยพระองค์ คือโดยพระเยซูอย่างแน่นอน”

เราจะรอดพ้นจากพระพิโรธ … ท่านเคยคิดไหมว่าในพระคัมภีร์เดิม หรือในพระคัมภีร์เรียกว่าพระพิโรธ ทำไมรู้ไหมครับ? ยิ่งไปกว่านั้น การที่เรามาเชื่อพระเยซู พระโลหิตของพระเยซูคริสต์ชำระเราให้พ้นจากความบาปแล้ว เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว เราจะรอดพ้นจากพระพิโรธ

พระพิโรธตรงนี้ ก็คืออะไรรู้ไหมครับ? ยกตัวอย่างง่ายๆ ก็คือกฎเกณฑ์ที่ได้ถูกตั้งวางเอาไว้ และมันจะต้องเป็นไปตามนั้น ถ้ายกตัวอย่าง พระพิโรธก็เหมือนกับมันมีกฎอยู่แล้ว ท่านรู้จักไฟฟ้าใช่ไหม? พระพิโรธ สมมติตรงนี้บอกว่า.-

“เพื่อท่านจะรอดพ้นจากการถูกไฟดูด”

ท่านจะเข้าใจไหม? ท่านเอามือท่านไปแตะไฟ โดยไม่ใช่ฉนวน เข้าใจไหม? มือของท่านแตะปุ๊บ  โดยธรรมชาติ ฤทธิ์เดชของไฟฟ้า มันจะผ่านทางมือท่านได้ เพราะถ้าไม่มีฉนวนมันจะไหลลงดิน แล้วท่านก็จะตาย ถ้าทนไม่ไหว แต่ถ้าท่านมีฉนวนอยู่ ท่านใส่ถุงมือ มียาง ท่านไปแตะ มันไม่เป็นอะไร?

ในทำนอง ลักษณะเดียวกัน คล้ายๆ กันอย่างนั้น ถ้ามนุษย์ยังเป็นคนบาปอยู่ มนุษย์เจอพระพิโรธของพระเจ้า หมายถึงพระเจ้าสั่งไว้แล้วว่าถ้าเป็นคนบาป เป็นคนที่ต่อต้านพระเจ้า เป็นคนที่อยู่ตรงข้ามพระเจ้า ถูกลงโทษ มนุษย์ทำบาป มีเชื้อบาป เป็นปฏิปักษ์กับพระเจ้า โทษของผู้ที่เป็นกบฏต่อพระเจ้า ถูกสาปแช่งนั้น โทษหนึ่งในนั้น ก็คือไม่สามารถติดต่อกับพระเจ้าได้ ไม่สามารถสัมผัสกับพระเจ้าได้ เพราะพระเจ้าเป็นฤทธิ์เดช เป็นความบริสุทธิ์ ความสกปรกเหล่านั้น ของคนบาป ไม่สามารถแตะพระเจ้าได้ แตะเมื่อไร ตาย เหมือนเราไปแตะไฟฟ้าแรงสูง คล้ายๆ อย่างนั้น ถ้าอย่างนี้ ท่านจะพอเข้าใจใช่ไหม?

หรือท่านอาจจะเข้าใจในลักษณะว่าพ่อ พระเจ้าเป็นผู้พิพากษาของมหาจักรวาล ดูแลทุกอย่างในจักรวาลนี้ เป็นไปตามคำสั่งทั้งสิ้น เป๊ะเลย  แล้วลูกตัวเองทำผิด โทษ ถูกสั่งให้ติดคุกตลอดชีวิต เมื่อผู้พิพากษาขึ้นไปบนศาลบันทึก แล้วก็สั่งให้ทำตามคำสั่งของกฎหมาย เอาเขาไปติดคุกตลอดชีวิต ถามว่าคนที่เอาเขา หรือคนนี้ไปติดคุกตลอดชีวิตใช่ผู้พิพากษาใช่หรือไม่? ไม่ใช่ ถามว่าใครเป็นผู้ที่จับเขาเข้าคุก กฎหมาย  ไม่ใช่ผู้พิพากษาที่มีชื่อนายจ่อย นายจ่อยไม่ได้ทำให้ติดคุกเลย  นายจ่อยบอกเป็นไปตามกฎหมายนะ ต้องไปติดคุก ถ้านายจ่อยรักษาความยุติธรรม ถูกไหมครับ? มันเป็นอย่างนั้น มันหมายถึงตรงนี้  คนไหนที่มาเชื่อพระเยซูได้รับการชำระ โดยพระโลหิตพระเยซูคริสต์ เขาเป็นผู้ชอบธรรม คือหลุดพ้นแล้ว ไม่ได้เป็นผู้ต้องหา ไม่เป็นผู้ต้องหา แล้วทำไม ก็รอดพ้นจากพระพิโรธ

พระพิโรธ ก็คือกฎหมายของพระเจ้านั่นเอง กฎระเบียบที่พระเจ้าวางไว้นั่นเอง แล้วทำไง พอหลุดพ้นจากกฎระเบียบ ในนี้บอกว่าโดยการสิ้นพระชนม์ พระบุตรของพระองค์ เราได้คืนดีกับพระเจ้าได้ เห็นไหมครับ อย่างที่ผมบอก เราบาป เราไปหาพระเจ้าไม่ได้ใช่ไหม? พระเยซูคริสต์มาตายที่ไม้กางเขน  หลั่งพระโลหิตของพระองค์ชำระบาปให้กับเรา สะอาดหมดจด บริสุทธิ์ใช่ไหม?  พอบริสุทธิ์ก็ไปหาพระเจ้าได้ แค่นี้เอง สมัยก่อนยังไม่มีพระเยซู ก็เหมือนพระพิโรธ พระเจ้าไม่ได้พิโรธใส่เรา แต่มันโดยธรรมชาติของเรา ที่เป็นคนบาป เข้าไปอยู่กับพระเจ้าไม่ได้ ทำให้พ่อกับลูกต้องถูกแยกกันออกไป ด้วยการที่ลูกกระทำผิด ลูกมีเชื้อของความบาป ลูกผิด ลูกก็ต้องรับโทษ อยู่ในคุกตลอด พ่ออยู่ข้างนอก ก็ไม่เจอกัน แต่บัดนี้ ลูกได้รับอิสรภาพออกมาจากคุกแล้ว อะไรประมาณนี้

นี่คือที่พระเจ้าสำแดงความรักของพระองค์ ท่ามกลางเราทั้งหลาย คือขณะที่เรายังเป็นคนบาป คนชั่ว คนเลว ไม่มีอะไรสมควรเลยที่จะได้รับความรักจากพระเจ้า ไม่สมควรเลย ที่เราจะได้รับความเมตตาจากใครเลย เพราะเราสมควรจะได้รับโทษอยู่แล้ว เพราะมันเป็นเชื้อบาป ผิดหมด ถูกไหม? คือตามตัวบทกฎหมายแล้ว พระเจ้าเป็นผู้พิพากษา เป็นผู้ควบคุมอยู่ ดูแลกฎระเบียบเหล่านั้นทั้งหมดเลย แม้กระทั่งดวงจันทร์ ดวงดาวต่างๆ ต้องฟังคำตัดสินของพระองค์ว่าให้ขึ้นทิศไหน? มันก็ต้องขึ้นตรงนั้นแหละ มันไม่กล้าเลย  ทุกอย่างต้องทำตามคำสั่งของพระเจ้า ท่านลองคิดดู ถ้าพระเจ้าเห็นแก่คน หยวนๆ  แล้วจะควบคุม ดูแลคนทั้งหมด มหาจักรวาลนี้ได้อย่างไร?  ควบคุมสิ่งต่างๆ เหล่านั้น ได้อย่างไร? เพราะฉะนั้น พระเจ้าจึงมีพระนามว่าพระเจ้าแห่งความยุติธรรม เที่ยงตรง เที่ยงธรรม แม่นยำ ไม่เห็นแก่หน้าใคร มันหมายถึงอย่างนี้ นี่แหละ คือความจริง

แต่พระเจ้าไม่เคยคิดอย่างนั้นเลยนะว่า “เราเป็นศัตรูกับลูกเรา”

ไม่เคยคิด … คิดในใจเสมออย่างเดียวว่า “ทำอย่างไรถึงจะให้ลูกของเราให้หลุดออกมา ให้กลับมาหาเราได้”

นี่คือการวางแผนของพระเจ้า ทรงสำแดงความรักให้กับมนุษย์ทุกคน โดยอะไร? โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์ที่เราอ่านเมื่อสักครู่นี้ ผ่านทางพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ ยอมให้มาเกิดเป็นมนุษย์ ที่ต่ำต้อย และมารับความทุกข์ทรมาน ตายที่ไม้กางเขน  เพื่อชำระคนสกปรก คนบาปอย่างเราให้กลับคืนสู่สภาพดี ให้กลับคืนมาหาพระองค์ กลับมาคืนดีกับพระองค์ กลับมาเป็นลูกพระองค์เหมือนเดิม นี่เรารู้จักพื้นฐานทั้งหมดว่าพระเจ้าทำเพื่ออะไร? เพื่อเราจะได้สิ่งที่ดีงาม และกลับคืนสู่พระองค์ด้วยความดีงาม เพราะฉะนั้น พระเยซูคริสต์คือแผนการของพระเจ้าที่กำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว ที่จะทรงสำแดงความรักของพระองค์ผ่านทางพระเยซูนี่แหละ เพื่อนำพามนุษย์ทุกคนบนโลกนี้ รวมทั้งสรรพสิ่งทั้งหลายที่พระองค์ทรงสร้าง ให้หลุดพ้นจากคำสาปแช่ง หรือคำแช่งสาป หลุดพ้นจากความบาปและกลับคืนสู่พระเจ้านั่นเอง

คำสาปแช่ง ก็คืออะไร? ก็คือการลงโทษ บทลงโทษ สำหรับนักโทษประหาร คำว่านำไปประหาร นั่นคือคำสาปแช่งของเขาแล้ว เข้าใจใช่ไหมครับ ศาลตัดสินมา นั่นแหละคือคำสาปแช่งของคนที่ได้รับโทษอะไรก็ตาม ถ้าถูกสั่งจำคุกตลอดชีวิต ก็คือคำสาปแช่งของเขา ก็คือเขาต้องถูกกักกันอยู่ในคุกตลอดชีวิตนั่นเอง

นี่คือแผนการการไถ่มนุษย์ของพระเจ้า ไถ่มนุษยชาติให้รอดพ้นจากคำสาปแช่ง ซึ่งก็คือโทษของการกบฏต่อพระเจ้า โทษของความบาป เป็นศัตรูกับพระเจ้า ก็ต้องได้รับโทษอย่างนี้ คือไม่เชื่อฟังนั่นเอง นี่คือหัวใจที่เราต้องเรียนรู้ และสำคัญมาก เกี่ยวกับคุณลักษณะของพระเจ้า ย้ำแล้วย้ำอีกว่าพระเจ้าคือความรัก พระเจ้าคือความเมตตา สำแดงผ่านทางเราทั้งหลาย โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์ ให้เราเห็นอย่างชัดเจน นี่คือพื้นฐานก่อน เราต้องเรียนรู้พื้นฐานว่าถ้าพระเจ้าผู้นี้ทำสิ่งต่างๆ ทั้งหมดที่เราสงสัยว่าทำไมโหดร้าย ทำไม ทำไม เพื่ออะไร? ถูกไหมครับ?

พระเยซูตอนที่เดินอยู่บนโลกใบนี้ พระองค์ก็ได้บอกไว้ล่วงหน้าแล้ว แล้วก็บอกไว้ในหนังสือหลายเล่ม บอกว่าพระองค์มาบนโลกใบนี้ เป็นแผนการของพระเจ้าที่ได้ถูกบันทึกไว้ตั้งแต่สมัยพระคัมภีร์เดิม พูดง่ายๆ พระเยซูกำลังบอกว่าในพระคัมภีร์เดิมทั้งหมด ที่เขาเขียนมาทั้งหมด เกี่ยวกับตัวพระองค์ทั้งนั้น และมันจะต้องเป็นไปตามนั้น  ก็คือแผนการการไถ่มนุษย์ให้พ้นจากความบาป ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ได้ถูกเขียนมาตั้งแต่เริ่มต้นในพระคัมภีร์เดิม มันจะต้องเป็นไปตามนั้น หนึ่งในจำนวนนั้น ก็คือหนังสือลูกา บทที่ 24 ท่านลองอ่านดูว่าพระเยซูบอกเราว่าอย่างไร? ลูกา 24:44-47

ลูกา 24:44-47 “44 พระองค์ตรัสกับเขาว่านี่เป็นถ้อยคำของเรา ซึ่งเราได้บอกไว้แก่ท่านทั้งหลาย เมื่อเรายังอยู่กับท่านว่าบรรดาคำที่เขียนไว้ในหมวดธรรมบัญญัติของโมเสส และในหมวดผู้เผยพระวจนะ และในหมวดสดุดีกล่าวถึงเรานั้น จำเป็นจะต้องสำเร็จ 45 ครั้งนั้น พระองค์ทรงบันดาลให้ใจเขาทั้งหลายเกิดความสว่างขึ้น เพื่อจะได้เข้าใจพระคัมภีร์ 46 พระองค์ตรัสกับเขาว่ามีคำเขียนไว้อย่างนั้นว่าพระคริสต์จะต้องทรงทนทุกข์ทรมาน และทรงเป็นขึ้นมาจากความตายในวันที่สาม 47 และจะต้องประกาศทั่วทุกประชาชาติ ในพระนามของพระองค์ ให้เขากลับใจใหม่ รับการยกบาป ตั้งต้นที่กรุงเยรูซาเล็ม”

 

บรรดาคำที่เขียนไว้ในหมวดธรรมบัญญัติของโมเสส ก็คือพระคัมภีร์เดิม ในหมวดผู้เผยพระวจนะ ในหมวดสดุดี ที่กล่าวถึงเรานั้น จำเป็นจะต้องสำเร็จ

“ที่กล่าวถึงเรา” คือกล่าวถึงพระเยซู กล่าวถึงเรื่องอะไร? ตอนท้ายๆ บอกว่าพระคริสต์จะต้องทนทุกข์ทรมาน และเป็นขึ้นจากความตาย จะต้องถูกประกาศไปทั่วทุกประชาชาติ ในนามของพระองค์ ให้เขากลับใจใหม่ ได้รับการยกบาป ตั้งต้นที่เยรูซาเล็ม จนมาถึงประเทศไทย อนาคตต่อไปอีกเยอะแยะมากมาย เห็นไหมว่ามันเป็นจริงตามนั้นหมดเลย  ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องอะไร? พระคัมภีร์เป็นเรื่องของอะไร?  เรื่องของพระเยซูทั้งสิ้น  คำเผยพระวจนะ ในพระคัมภีร์เดิม ได้บอกล่วงหน้าว่าพระเยซูคริสต์ ตายที่ไม้กางเขน  เพื่อชำระบาปให้กับมนุษย์ และมันก็เกิดขึ้นจริงๆ

แล้วเรื่องนี้ก็เขียนทุกเรื่องเลย  ไม่ใช่เรื่องเดียว ไม่กี่เล่ม แต่มันเรื่องโยงกันไปหมดเลย ตั้งแต่ปฐมกาลจนถึงมาลาคี ซึ่งจริงๆ แล้วเรื่องราวทั้งหมดนี้ เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ คำเผยพระวจนะทั้งหมดนี้ ที่มีบันทึกไว้ในพระคัมภีร์เดิม ล้วนเป็นเรื่องเกี่ยวกับพระเยซูทั้งสิ้นเลย ทั้งสิ้นหมดเลย เริ่มต้นตั้งแต่หน้าแรก ที่เรารู้จักกันดี ก็คือปฐมกาล จนกระทั่งถึงหน้าสุดท้ายในพระคัมภีร์เดิม ก็คือหนังสือมาลาคี ก็เป็นเรื่องที่เล็งถึงแผนการของพระเจ้าที่จะนำไปสู่ข่าวดี คือพระเยซูคริสต์ มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน  หลั่งพระโลหิต เพื่อชำระบาปให้กับมนุษย์ทั้งปวง นำมนุษย์ทั้งปวงมาสู่พระเจ้า กลับมาคืนดีกับพระเจ้า คือเป็นข่าวดีของพระเยซูคริสต์ทั้งสิ้น ตั้งแต่ปฐมกาลถึงมาลาคีทั้งสิ้น นึกในใจเลย อ่านไปรู้หรือไม่รู้ก็ตาม เข้าใจหรือไม่เข้าใจ นึกถึงพื้นฐาน  มันก็คือข่าวดีเรื่องพระเยซูทั้งสิ้น เป็นคำเผยพระวจนะ  เผยพระวจนะ คืออะไร? บอกก่อนล่วงหน้า ก่อนเหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้นนั่นเอง

เพราะฉะนั้น เราต้องเข้าใจในพื้นฐานตรงนี้ก่อน เราต้องรับรู้ก่อนว่าทั้งหมดนี้ คือแผนการของพระเจ้าที่จะช่วยเราไปสู่สิ่งที่ดีงาม ไปสู่สิ่งที่สะอาดบริสุทธิ์ เราต้องรู้พื้นฐานตรงนี้ เราจะได้มีพื้นฐานที่ถูกต้อง ในการที่จะติดตามเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้าต่อไป เราจะได้ไม่สงสัย ไม่ ทำไม ทำไม ทำไม เราจะได้ไม่ทำไม? มันต้องมีพื้นฐานที่ถูกต้องก่อน

ยกตัวอย่างเช่น เรามนุษย์ ยิ่งเฉพาะเดือนที่แล้ว เดือนพฤษภาคม เราจะเห็นความโหดร้ายเยอะแยะเลย ทุกวันนี้ เราเห็น ทุกๆ เดือนพฤษภาคม เราเห็นความโหดร้ายของพ่อแม่เยอะเลย ผมไปแอบดูอยู่ด้วย จะเห็นความโหดร้ายของพ่อแม่ มาส่งแล้วก็แอบๆ ขับรถออกไป ลูกก็ร้อง ถูกทิ้ง แม่ไม่สนใจ พ่อไม่สนใจ ขับรถออกไปแล้ว ผมเห็นแล้ว ทำไมพ่อแม่โหดร้ายอย่างนี้นะ ไม่ต้องพูดต่อ ทุกคนเข้าใจหมายถึงอะไร? ถ้าเด็กคนนั้นสามารถเข้าใจทั้งหมด เขาก็ไม่เป็นเด็ก ถ้าเขาเข้าใจหมด เขาก็รักพ่อแม่ แต่ตอนนั้น เขาเข้าใจไหม? ถามจริง ถามจริงๆ ตอนที่เขาร้องไห้ เขาเข้าใจไหม? ถามว่าเขาเข้าใจไหมว่าพ่อแม่กำลังหวังดี ไม่หรอก ผมรับรองได้ว่าเขาไม่เข้าใจหรอก บริสุทธิ์ใจในการโมโหแม่มาก โมโหพ่อ ทิ้งเขาได้อย่างไร? ถูกไหม? เหมือนกัน

แล้วท่านคิดดู นั่นคือแผนการของมนุษย์ที่เป็นพ่อแม่นะ แผนการที่จะเริ่มให้ลูกตัวเองไปเรียนหนังสือ เพื่ออนาคตเขาจะได้ดี นั่นมนุษย์คิดนะ แล้วพระเจ้ามากกว่านั้นสักเท่าไรที่จะช่วยลูกตัวเองที่ติดอยู่ในการเป็นทาสของความบาป ได้รับคำสาปแช่งมาตลอด ช่วยเขาให้หลุดพ้นออกมา กลับมาสู่การเป็นลูกของพระเจ้าที่ดีงาม เข้ามาสู่พระสิริของพระองค์ เข้ามาสู่ความบริสุทธิ์ของพระองค์ เข้ามาสู่ความยิ่งใหญ่ของพระองค์ มากกว่านั้นสักเท่าไรที่พระองค์ต้องวางแผนสลับซับซ้อนเยอะแยะมากมายไปหมดเลย ในการช่วยมนุษย์หลุดพ้น เอเมน ท่านจะเริ่มเข้าใจแล้ว

อย่างนี้ เขาถึงบอกให้เราเชื่อพระเจ้า วางใจในพระองค์แบบเด็กๆ ก็คือแบบที่ผมให้พูดคำว่า Beyond แปลว่าเกินความเข้าใจ Beyond understanding เลยไปแล้ว

“ไม่รู้ละมันเกินความเข้าใจฉัน ฉันสรุปไปเลย ฉันรักพระเจ้า พระเจ้ามีเมตตา เป็นพ่อที่รักฉัน เพราะประทานพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระองค์มาตาย เพื่อฉัน”

เอเมน ไม่สงสัยแล้ว ไม่ว่าจะอ่านตรงไหนในพระคัมภีร์เดิม ก็จะเกี่ยวกับเรื่องพระเยซูทั้งสิ้น บอกท่านอีกครั้งหนึ่ง ไม่ว่าท่านจะอ่านส่วนไหน? เรื่องไหน? เล่มใดในพระคัมภีร์เดิม เป็นเรื่องของพระเยซูจะมาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตเพื่อชำระบาปให้กับมนุษย์ทั้งสิ้น ไม่ว่าท่านจะแปลออกหรือแปลไม่ออกก็ตาม รู้ละเอียดหรือไม่ละเอียดก็ตาม ที่เราเรียกกันว่าเป็นเงา เข้าใจไหมครับ? เราเรียกกันว่าเป็นเงาของสิ่งที่จะเกิดขึ้น พระคัมภีร์เดิมเรียกว่าเป็นเงาของสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เปรียบเหมือนคำเผยพระวจนะ คือคำบอกล่วงหน้าในสิ่งที่จะเกิดขึ้น ที่ถ่ายทอดผ่านทางเรื่องราวต่างๆ บ้าง ผ่านเหตุการณ์ต่างๆ บ้าง แต่สิ่งเหล่านั้นจะเป็นเงาของเรื่องพระเยซูที่จะมาเกิดเป็นมนุษย์ ไถ่บาปให้กับมนุษย์ทั้งสิ้น

ยกตัวอย่างเช่น เรื่องของโมเสสที่นำชาวอิสราเอลอพยพออกจากการเป็นทาส ในประเทศอียิปต์ ก็เป็นเงาของการช่วยกู้ของพระเยซูคริสต์ ให้มนุษย์ทุกคนหลุดออกจากการเป็นทาสของความบาป ให้มาสู่อิสรภาพในพระเจ้า เห็นไหมครับ? คล้ายอย่างนี้ ทั้งหมดแหละ ไม่ว่าท่านจะรู้หรือไม่รู้ มันจะเป็นเรื่องนี้ทั้งนั้น

กษัตริย์ดาวิดก็เหมือนกัน กษัตริย์ดาวิดก็เป็นเงาถึงความยิ่งใหญ่ของพระเยซูที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

หรือแม้กระทั่งคำสาปแช่งในปฐมกาล 3:15 ที่บอกว่า “พงศ์พันธุ์ของหญิงจะเหยียบหัวเจ้าแหลก” ใช่ไหม?

“พงศ์พันธุ์ของหญิงจะเหยียบหัวของเจ้าแหลก” ก็เล็งถึงการเกิดของพระเยซูคริสต์ ที่จะเอาชนะเหนือมารซาตานในอนาคต ก็คือเล็งถึงเรื่องศุกร์ประเสริฐ ก็คือวันที่พระเยซูถูกตรึงตายที่ไม้กางเขน แล้วก็วันอีสเตอร์ คือวันที่พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3

เห็นไหม? ถ้าท่านอ่านไม่รู้เรื่อง ท่านก็จะอะไร? ไม่เข้าใจ พงศ์พันธุ์ของหญิงจะเหยียบหัวของเจ้าแหลก มันหมายถึงอะไร? ก็หมายถึงเรื่องของพระเยซูอีกแหละ

นี่ยกตัวอย่างให้ท่านดูว่าในพระคัมภีร์เดิมทั้งหมด พูดถึงเรื่องของพระเยซูทั้งสิ้น พระเยซูก็บอกอย่างนั้น  นี่คือที่บอกว่าเราต้องรู้พื้นฐานตรงนี้ก่อนว่าพระเจ้า พ่อของเราเป็นพ่อแห่งความรัก เพราะฉะนั้นอ่านพระคัมภีร์ตรงไหนที่ไม่เข้าใจ พอเรามีพื้นฐานตรงนี้ พ่อของเราเป็นพ่อแห่งความรักใช่ไหม? อ่านพระคัมภีร์เดิมตรงไหน หรืออ่านพระคัมภีร์ใหม่ตรงไหนที่เราไม่เข้าใจ ดูเหมือนพระเจ้าโหดร้าย เช่น ทำไมต้องเกิดน้ำท่วม? ทำไมต้องล้างโลก? ทำไมต้องฆ่าเผ่าพันธุ์ให้หมดเกลี้ยง? ทำไมต้องจัดการกับกองทัพอียิปต์? ต้องฆ่าเด็กผู้หญิง สัตว์เลี้ยงอะไรต่างๆ ก็ไม่ต้องสงสัยในความรักของพระเจ้าอีกต่อไป Beyond understanding เลย เกินกว่าความเข้าใจ ไม่รู้ แต่รู้ว่าทั้งหมดนั้นทำเพื่อสิ่งดีงาม สิ่งดีที่สุด สำหรับมวลมนุษยชาติและสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างทั้งสิ้นบนโลกใบนี้ วางใจในพระองค์ว่าเป็นอย่างนั้น เห็นไหมมันหลุดเลยนะ

ความรู้สึกของเราเอง ในฐานะเป็นมนุษย์ ด้อยสติปัญญา สติปัญญามนุษย์มันด้อยมาก แน่นอนเราก็ต้องมองว่าเรื่องเหล่านั้น เป็นเรื่องโหดร้าย ถ้าเรามองตามตามนุษย์มันโหดร้าย ถูกไหมครับ  เพราะเราคิดแบบมนุษย์ไง แต่ถ้าคิดตามพื้นฐานนี้ว่าพระเจ้าเป็นพระเจ้าแห่งความรัก ทั้งหมดนี้ที่อ่านมา เป็นส่วนหนึ่งของแผนการที่จะนำไปสู่สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตที่ดีสำหรับมนุษย์ทั้งปวง นำไปสู่วิธีการที่พระเจ้าจะสำแดงความรักยิ่งใหญ่ผ่านทางพระเยซูคริสต์ มาถึงมนุษย์ทุกคน เราก็จะเข้าใจว่าพระเจ้ามองไม่เหมือนเรามอง เรามองอีกแบบหนึ่ง พระเจ้ามองอีกแบบหนึ่ง พูดง่ายๆ คือเรามองไม่เหมือนพระเจ้านั่นเอง  เราไม่มีทางคิดได้เหมือนพระองค์หรอก เป็นไปไม่ได้เลย เรามองด้วยเหตุผลของตัวเอง คิดด้วยตัวเองว่ามันไม่ยุติธรรม เรามองแค่ชีวิตในร่างกายสั้นๆ ไม่กี่ปีนี้ แต่พระเจ้ามองไปถึงชีวิตนิรันดร์ ยาวเหยียดเลย  ถูกไหม?

นี่คืออะไร? นี่คือความแตกต่างของมุมมอง เพราะฉะนั้น เราต้องวางใจในพระเจ้า เชื่อในพระเจ้า พระคัมภีร์บอกพระเจ้าเป็นความรัก เป็นความเมตตา ช่วยเหลือเรา ต้องการให้สิ่งดีเกิดขึ้นกับเรา เราก็ต้องเชื่อตามนั้น ไม่ใช่เอาความคิดของเราว่าทำไมต้องอย่างนี้? ทำไมต้องอย่างนั้น? เพราะเราคิดแบบมนุษย์ ไต่ตรองแบบมนุษย์นั่นเอง

ยกตัวอย่างอีกอันหนึ่งนะครับ หนึ่งในจำนวนแผนการของพระเจ้า ที่ต้องการไถ่ผ่านทางพระบุตรของพระเจ้า คือพระเยซูคริสต์ มาเกิดเป็นมนุษย์ หนึ่งในจำนวนนั้น ทุกคนรู้ดี ก็คืออะไร? ก็คือสร้างชนชาติหนึ่งขึ้นมา เพื่อพระเยซูคริสต์จะได้มาเกิดเป็นมนุษย์ได้ ชนชาตินั้น ก็คือชนชาติอิสราเอล หรือชาวยิว ไม่ใช่ว่าชาวยิวพิเศษกว่าใคร ก็คือกลุ่มคน กลุ่มหนึ่ง จริงๆ ก็มาจากคน แล้วก็มาเรียกคนกลุ่มนี้มาสร้างเป็นพิเศษ เพื่อเราจะติดต่อเขาเป็นพิเศษ เพื่ออะไร? เพื่อจะได้ติดต่อกันพิเศษ เพื่อว่าวันหนึ่งข้างหน้า แผนการของพระองค์ คือจะส่งพระบุตรของพระองค์มาเกิดเป็นมนุษย์ ซึ่งเป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์นะ เป็นผู้เดียวในโลกนี้เลย ที่เกิดขึ้นอย่างนี้ คือเกิดในหญิงพรหมจารีย์ มันไม่ใช่ง่ายๆ นะ นี่คิดตามภาษามนุษย์ ก็ลำบากแล้วนะ จะต้องใช้ครรภ์ของแมรี่ ซึ่งเป็นหญิงพรหมจารีย์ แมรี่กลัว แล้วจะทำอย่างไร? แมรี่ไม่ยอม แล้วจะทำอย่างไร?  แมรี่กลัวตาย เพราะว่ากฎตอนนั้น ก็คือไม่ได้แต่งงาน แล้วตั้งครรภ์ ต้องถูกประหารชีวิต ถ้าเกิดแมรี่กลัว ก็ไม่ให้ แล้วพระเยซูจะมาเกิดอย่างไร? ต้องสร้างความเชื่อต่างๆ เหล่านั้นจากเผ่าพันธุ์นี้ ลากมายาวนาน จากบรรพบุรุษของเขา  ของชาวยิว  จนมาถึงครอบครัวของแมรี่ ของโยเซฟ จนกระทั่งเหมาะเจาะ แล้วพระเยซูจึงมาบังเกิด แบบอัศจรรย์ได้ เพื่อไถ่บาปให้กับมนุษย์ เพราะถ้าไม่เกิดแบบอัศจรรย์อย่างนี้ ก็ไม่มีทางไถ่บาปให้กับมนุษย์ เพราะว่าเกิดแบบธรรมดา ก็เป็นเชื้อบาปเหมือนพวกเราทั้งหลาย แต่นี่เป็นทั้งมนุษย์และเป็นทั้งพระเจ้า ในบุคคลเดียวกัน เอเมน

แค่พูดแผนการ เราก็คิดเหนื่อยแล้ว นี่แค่เล็กๆ นิดเดียวนะว่าทำไมต้องมีอิสราเอล ทำไมต้องมีชนชาติอิสราเอล นิดเดียว ก็เพื่อให้พระเยซูคริสต์มาเกิด แค่นี้ คิดแค่นี้เราก็เหนื่อยแล้ว นี่พอรู้ แค่พอรู้ นิดเดียวเอง แล้วที่เหลืออีกตั้งเยอะไปหมดเลย ในพระคัมภีร์เดิมที่พูดถึงเรื่องพระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ แผนการของพระเจ้า มันอีกแค่ไหนที่เราจะต้องเรียนรู้ แล้วเราสมองแค่นี้เอง เป็นมนุษย์นะ แม้เราจะเป็นคริสเตียน มาเชื่อพระเจ้าแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่กับเราแล้วก็จริง แต่เรายังอยู่ในร่างกายนี้ ที่มันอุดอู้อยู่ มันถูกบีบบังคับอยู่ มันไม่ได้มีสติปัญญามากมายขนาดนั้น มันถูกปิดบังด้วยเนื้อหนังต่างๆ และรวมทั้งเชื้อบาปที่ยังอยู่ในร่างกายเราอยู่ วันหนึ่งข้างหน้าสิ เมื่อเราจากโลกนี้ไปแล้ว วิญญาณเราออกจากร่างแล้ว เราเห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า วันนั้นแหละ เราจะร้อง อ๋อออออ มันอย่างนี้เอง เข้าใจแล้ว เอเมน

แล้วทั้งหมดนั้น คืออะไร? คือความต้องการของพระเจ้าที่ต้องการไถ่ให้มนุษย์หลุดพ้นจากความบาปทั้งปวง กลับมาสู่ความดีงาม กลับมาสู่พระองค์ กลับมาคืนดีกับพระองค์ มันต้องตั้งรากฐานตรงนี้ไว้ในจิตใจของเราก่อนเลย

เพราะฉะนั้น เมื่อเรารู้พื้นฐานตรงนี้แล้ว เวลาที่เราอ่านพระคัมภีร์เดิม หรือแม้พระคัมภีร์ใหม่ก็ตาม ไม่ว่าอ่านไปถึงตรงไหนก็ตาม อย่าใช้เหตุผล หรือความคิดของเราเอง เป็นตัวตัดสินเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นนั้น แต่จงใช้วิจารณญาณบนพื้นฐานแห่งความจริง ที่ว่าพระเจ้าของเรา เป็นพระเจ้าแห่งความรัก เป็นพระเจ้าแห่งความยุติธรรม ซึ่งได้สำแดงแล้ว ย้ำอีกที ซึ่งได้สำแดงแล้ว ซึ่งได้แสดงให้เห็นแล้ว ซึ่งได้สำแดงแล้ว ที่ไหน? ที่พระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระองค์ ที่ได้มาตายบนไม้กางเขน เพื่อเราทั้งหลายนี่ไง จบแล้ว สำแดงแล้ว ก่อนหน้านี้ยังพูดลำบากว่าพระเจ้า เป็นพระเจ้าแห่งความรัก แต่นี่สำแดงแล้วบนไม้กางเขน พระเยซูตายที่นั่น  เพื่อคนบาปอย่างเรา  จนเราได้รับความรอด พ้นจากโทษของความผิดบาปทั้งปวง

และถ้าเราได้อ่านไปถึงตรงไหน? ในข้อความตรงไหนในพระคัมภีร์เดิมก็ตาม หรือใหม่ก็ตาม แล้วเกิดไม่เข้าใจในช่วงนั้น ในตอนนั้น เหมือนตะกี้นี้ยกตัวอย่างมาต่างๆ เหล่านั้นว่าทำไม? เราไม่ต้องทำไมแล้ว ถ้าอ่านถึงตรงนั้น แล้วไม่เข้าใจ ทำอย่างไรรู้ไหมครับ? ข้ามไปเลย มองข้ามไปเลย ไม่ต้องคิด ไม่ต้องพยายามหาเหตุผล สรุปได้เลยว่าทำไป ก็เพื่อพระเยซูคริสต์จะมาเกิด  เพื่อช่วยมนุษย์ทั้งปวง เพื่อสำแดงความรักยิ่งใหญ่ของพระองค์ พระองค์ทรงมีเมตตา

เช่น ทำไมต้องล้างเผ่าพันธุ์? ทำไมต้องให้น้ำท่วมโลก?  อ่านยังไม่เข้าใจ ไม่เป็นไร ก็ไม่ต้องไปคิด ไม่ต้องไปเข้าใจมัน ข้ามมันไปเลย  รู้อย่างเดียวว่าพระเจ้าเป็นความรัก พระองค์ทรงทำทุกอย่าง บนพื้นฐานของความรัก เพื่อทุกคนและทุกสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง จะได้กลับคืนสู่พระองค์ เป็นสิ่งที่ดีงาม  เรียกทั้งหมดกลับคืนสู่พระองค์ใหม่อีกทีหนึ่ง เอเมน เห็นไหม? ข้ามไปเลย  ไม่ต้องสงสัย ไม่ต้องถามทำไม? คือไม่มีทางที่เราจะเรียนรู้ทั้งหมด ทุกอย่าง อ่านแล้วจะเข้าใจทั้งหมด ไม่เข้าใจไม่เป็นไร ข้ามไปเลย  อย่าพยายามเก็บค้างไว้ในความคิดของมนุษย์ว่า.-

“ฉันอยากจะหาคำตอบ”

เพราะตามสายตามนุษย์ อย่างนี้เรียกว่าน่าโหดร้ายทั้งนั้น ฆ่าเด็ก อะไรต่างๆ  คุณไม่มีวันเข้าใจหรอกว่าทำไมต้องฆ่าเด็ก ฆ่าอะไรต่างๆ มันไม่จำเป็น เข้าใจใช่ไหมครับ แต่พระเจ้ามีทาง แม้กระทั่งคนตาย พระองค์ยังทรงทำให้เป็นขึ้นมาใหม่ได้เลย เอเมนไหม? พระเยซู พระบุตรของพระองค์ พระองค์ยังทรงให้ตายเลย ถูกตรึงที่ไม้กางเขนตายเลย และพระองค์ก็ยังได้รับการชุบให้เป็นขึ้นมาใหม่ได้เลย  ถ้าพระเจ้ายังสามารถทำให้พระเยซูเป็นขึ้นมาใหม่ได้ พระองค์ทรงทำได้ทุกอย่างแหละ ถ้าคุณจะคิดแบบมนุษย์ คุณต้องคิดอย่างนี้บ้าง ไม่ใช่คิดว่า.-

“ทำไมโหดร้ายอย่างนี้”

พระองค์ช่วยเด็กคนนั้นได้เอง เข้าใจใช่ไหมครับ? พระองค์มีความสามารถ เราไม่รู้ว่าทำด้วยวิธีอะไร แต่พระองค์ทรงสามารถทำได้ก็แล้วกันนะครับ

เหมือนตัวอย่างที่ผมพูดบ่อยๆ ว่าพ่อแม่ คนที่เป็นมนุษย์ พ่อแม่บังคับลูกสารพัด ลูกก็ไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อแม่ต้องบังคับอย่างนี้ หลายอย่างนะ ทุกวันนี้เราเป็นมนุษย์ เรายังรู้ หลายๆ อย่าง หลายๆ ครอบครัว ลูกไม่เข้าใจ ทุกวันนี้ลูกหลายคนยังโกรธพ่อแม่อยู่ก็มีนะ พ่อแม่ทำอะไรหลายอย่าง ดูเหมือนเขาไม่เข้าใจ เหมือนกับทิ้งเขา ไม่รักเขา แต่จริงๆ แต่ขณะนั้นพ่อแม่บอก พ่อแม่ทำได้แค่นี้เอง คือเขาตั้งใจจะทำให้ลูกเขาดีที่สุดแล้ว นั่นคือมนุษย์ต่างคนต่างเป็นคนบาปนะ ยังเป็นอย่างนี้เลย บางทีพ่อแม่บางคน ไม่มีเวลาให้ลูกเลย ลูกก็บอกว่าทอดทิ้งเขาๆ แต่พ่อแม่ของคนนั้นอาจจะบอกว่า.-

“ลูกเขาไม่รู้เลยนะว่าที่เราทำอย่างนี้ เพราะต้องไปทำมาหากินนะ”

สมมติอย่างนี้ ทำทั้งหมด ก็เพื่อลูกทั้งนั้น ลูกไม่เข้าใจ ทำทั้งหมดเพื่อลูก สำหรับมนุษย์แล้ว มนุษย์เป็นคนบาป ทำผิด ทำอะไรต่างๆ ว่ากันไป เสียหายบ้าง อะไรต่างๆ แต่พระเจ้าไม่ใช่ พระเจ้าเป็นพระเจ้าแห่งความดีงามทั้งสิ้น พระเจ้าเป็นพระเจ้าแห่งความดีงาม เป็นพระเจ้าแห่งความรัก เมตตา ยุติธรรม สัตย์ซื่อ นี่คือชื่อของพระเจ้าของเรานะ เอเมน เพราะว่าสิ่งที่พระองค์ทรงทำทุกอย่าง ไม่ว่าเราจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจ ก็คือความรัก พื้นฐานของความเมตตา ของความดีงาม ของความบริสุทธิ์ทั้งสิ้น ในพระองค์ไม่มีสิ่งสกปรกเลย  ในพระองค์ไม่มีความมืดเลย เอเมน

วันนี้ขอเป็นตัวแทน เอาเครดิตให้พระเจ้าหน่อย  เป็นตัวแทน เถียงแทนพระเจ้า น่าจะใช้ชื่อเรื่องวันนี้ว่า “เถียงแทนพระเจ้า” บางคน ยิ่งคนไม่รู้จักพระเจ้า บอกว่า.-

“พระเจ้าเธอโหดร้าย”

โหดร้ายไหมล่ะเนี้ย โหดร้ายไหม?

“ไม่ใช่เลย พระเจ้าฉันดีงามจะตาย”

ดีที่สุดในมหาจักรวาลนี้แล้ว มีใครที่ยอมสละลูกของตัวเอง มาตายที่ไม้กางเขน ให้กับคนบาปอย่างเรา มีใครบ้าง? แล้วเรียกเรากลับไปอยู่กับพระองค์ใหม่ เป็นลูกของพระองค์ ได้รับพระสิริร่วมกับพระองค์ เหมือนเดิม ครอบครองร่วมกับพระองค์ไปนิรันดร์กาลเลย แล้วรื้อฟื้น ฟื้นฟูสิ่งที่เสียหายไปทั้งหมด ให้กลับคืนมาใหม่ทั้งหมดเลย ใครจะยิ่งใหญ่และเต็มไปด้วยความรัก ความเมตตา เหมือนพระเจ้าองค์นี้ ที่น่าจะทำลายโลกใบนี้ทั้งหมดเลย รำคาญเหลือเกิน มนุษย์ดื้อเหลือเกิน ดื้ออีกแล้ว เดี๋ยวดื้ออีกแล้ว ทั้งโลกไม่มีอะไรดีเลย เละเทะไปหมดเลย เพราะฉะนั้น จบไปเลย สร้างใหม่เลย  เอาไหม? ไม่เอา เพราะเราอยู่ที่นี่ เพราะเราเป็นอย่างนั้นไง แล้วพระเจ้าไม่เป็นอย่างนั้นด้วย  พระเจ้ายังอดทนกับเรา ยอมเรา แล้วค่อยๆ วางแผนการ ค่อยๆ ช่วยเราหลุดออกมาทีละคนๆ แต่ในที่สุดน้ำพระทัยของพระองค์ก็เพื่อให้เราหลุดพ้นออกมา ผมเชื่ออย่างนั้นนะ เพราะพระเจ้าทรงเป็นความรัก ความเมตตา

พระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าทรงเป็นความรัก  และความรักของพระองค์อยู่นิรันดร์ด้วย ที่เราร้องบทเพลงไปเมื่อสักครู่นี้ อยู่ในหนังสือบทเพลงคร่ำครวญ 3:22-23

บทเพลงคร่ำครวญ 3:22-23 “22 เพราะความรักใหญ่หลวงขององค์พระผู้เป็นเจ้า เราจึงไม่ถูกผลาญทำลายไป 23 เพราะพระเมตตาของพระองค์ไม่เคยยั้งหยุด มีมาใหม่ทุกเช้า ความซื่อสัตย์ของพระองค์ยิ่งใหญ่นัก”

 

เอเมน … เพราะความรักใหญ่หลวงของพระเจ้า มนุษย์ทั้งหลาย สรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง และที่ตกลงไปในความบาปแล้ว ไม่ถูกผลาญทำลายไป … ขอบคุณพระเจ้าไหม? ไม่ถูกทำลายไป เพราะพระเมตตาของพระองค์ไม่เคยยั่งหยุด … ถามว่าพระเมตตาของพระองค์ให้กับใคร? สิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง สรรพสิ่งทั้งหลายเลย และใครรักมากที่สุด ในสิ่งที่ทรงสร้างทั้งหมด หินเหรอ ต้นไม้เหรอ หรือสัตว์ เปล่าเลย ใคร? มนุษย์เป็นใครหนอ ที่พระเจ้าทรงรักและห่วงใย และคิดถึงเขาอยู่เสมอ พระคัมภีร์พูดอย่างนี้ มนุษย์เป็นใครหนอ ที่พระเจ้าทรงรัก คิดถึงเขาอยู่เสมอ มนุษย์เป็นใคร? นี่ขนาดทูตสวรรค์ยังถามเลย มนุษย์เป็นใคร? ก็เพราะมนุษย์เป็นพระฉายของพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้า ที่พระองค์ทรงรักและสร้างขึ้นมาแล้ว ไม่ว่าเขาจะตกไปในความบาปอีกสักกี่ครั้ง? ไม่ว่าเขาจะทำชั่วอีกสักกี่ครั้ง?  ไม่ว่าเขาจะกบฏต่อเราอีกสักกี่ครั้ง?  เราก็จะส่งพระเยซูมาตายอีกๆ ช่วยเขา ผมเชื่อเป็นอย่างนั้น  เอเมน พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น  ไม่เคยยั่งหยุด พระเมตตาของพระองค์ไม่เคยยั่งหยุด อย่ามาบอกว่าพระเจ้าเราโหดร้าย อย่ามาบอกว่าพระเจ้าเราช่างโหดร้าย มีแต่ลงโทษๆ พระเจ้าเมตตา ไม่เคยยั่งหยุด คุณจะชั่วสักกี่ครั้ง? คุณจะทำพลาดสักกี่ร้อย กี่พันครั้ง? แม้มาเชื่อพระเจ้ายังทำพลาดอีก พระเจ้าไม่เคยยั่งหยุดเลย ในความเมตตาต่อคุณเลย เอเมน มันหมายถึงอย่างนี้

นี่คือพระเจ้าที่ส่งพระเยซูคริสต์มา ไม่รู้พระเจ้าของคุณอื่นใด ผมไม่รู้ แต่ถ้าเป็นพระเจ้า องค์พระเยซูคริสต์มาเป็นผู้ช่วยให้รอดของเรานั้น พระเจ้าผู้นี้ เป็นพระเจ้าที่เต็มไปด้วยความรัก ความเมตตา ที่เราทั้งหลาย เมื่อผ่านพระเยซูคริสต์ เราเรียกพระองค์ว่า.-

“พ่อจ๋า”

พระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก พระเจ้าผู้นี้ ความรักของพระองค์ไม่เคยยั่งหยุด มีใหม่มาเสมอทุกเช้า ความสัตย์ซื่อของพระองค์ยิ่งใหญ่นัก

อ่านตรงนี้พร้อมกัน “มีมาใหม่ทุกเช้า ความซื่อสัตย์ของพระองค์ยิ่งใหญ่นัก”

ทุกเช้าที่ท่านตื่นขึ้นมา  ความรักของพระเจ้า ความเมตตาของพระเจ้ารอท่านอยู่แล้ว ลืมตามาก็จ๊ะเอ๋  จ๊ะเอ๋อย่างไง?

“ฉันจะลงโทษเธอ ทำไมทำอย่างนี้ ทำไมไม่ตื่นสักที ทำไม ทำไม ทำไม ทำไมไม่อธิษฐาน ทำไมไม่ไปโบสถ์ ทำไมขี้เกียจอย่างนี้ ทำไมตรงนี้ไม่ถวาย ทำไมอย่างนั้น”

อย่างนี้หรือเปล่า? อย่างนี้เรียกความรักไหม? ไม่ใช่ ตื่นขึ้นมา ลืมตามา จ๊ะเอ๋

“จ๊ะเอ๋ … เรารักเจ้านะ  จ๊ะเอ๋ … เราเมตตาให้กับเจ้านะ จ๊ะเอ๋ … เราจะช่วยเจ้านะ จ๊ะเอ๋ … อย่ากลัวเลย จ๊ะเอ๋ … เราจะไปกับเจ้าด้วย”

ถูกหรือเปล่า? ความสัตย์ซื่อของพระองค์ยิ่งใหญ่นัก ความสัตย์ซื่อ คือตะกี้ที่บอก เป็นพระเจ้าผู้สร้างจักรวาล เที่ยงตรง แม่นยำ สั่งอะไรแล้ว ต้องทำ สั่งดวงอาทิตย์ขึ้น ทางทิศตะวันออก มันไม่เคยขึ้นทางทิศตะวันตกเลย  สั่งดวงจันทร์ให้มากลางคืน  มันก็มากลางคืน สั่งดวงอาทิตย์มากลางวัน มันก็อยู่กลางวัน เข้าใจไหม? คุมมหาจักรวาลนี้ทั้งหมดเลย เมื่อสั่งอวยพรมนุษย์แล้วว่ามาเชื่อพระเยซูแล้ว ท่านจะได้รับการชำระพ้นจากความบาป ท่านจะกลับไปเป็นลูกของพระเจ้า ท่านจะเข้าร่วมพระสิริกับพระเจ้า ครอบครองอาณาจักรร่วมกับพระองค์ เข้าร่วมในฤทธิ์เดชของพระองค์ เข้าร่วมในพระสิริของพระองค์ แล้วจะอยู่กับพระองค์ในสวรรค์นิรันดร์กาล มันก็จะต้องสัตย์ซื่อเป็นไปตามนี้ด้วย เอเมน ถ้าท่านเห็นดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออกทุกวันนี้ เมื่อไรก็ตาม จงจำไว้ว่ายังไงก็ตาม ท่านไปรอด ตลอดรอดฝั่ง ดีงามเสมอ ท่านจะไปอยู่กับพระเจ้านิรันดร์กาลแน่นอน นั่นหมายถึงอย่างนี้

คำว่า “พระเจ้าเป็นผู้พิพากษาของมหาจักรวาล” … “พระเจ้าเที่ยงตรง ไร้ความเมตตาต่อผู้ใดเลย” มันหมายถึงอย่างนี้ คำว่าไร้ความเมตตาตรงนี้ หมายถึงลักษณะของผู้พิพากษา คือไม่เห็นต่อหน้าผู้ใด ใครทำถูกต้อง ก็ได้ ลูกพระเจ้า พระเจ้าทำให้ถูกต้องหมด ก็ได้ตามถูกต้อง ไม่มีใครมาว่าเราอีกแล้ว พระเยซูคริสต์ตายแทนเราแล้ว เอเมน ต้องคิดในแง่นี้ด้วย  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*************************