วารสาร Holy News ฉบับที่ 1302

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  14  มีนาคม  2021

 เรื่อง “คริสเตียนบังเกิดใหม่แล้ว เป็นลูกพระเจ้าแล้ว ทำไมถึงยังทำบาปอยู่?”  ตอน 1

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

วันนี้หัวข้อเรื่องชื่อ “คริสเตียนบังเกิดใหม่แล้ว เป็นลูกพระเจ้าแล้ว ทำไมยังทำบาปอยู่?” น่าคิดนะ เราได้เรียนรู้จักถ้อยคำพระเจ้าแล้วว่าความชอบธรรมของเรา คือการเป็นคนดี  สามารถยืนอยู่ต่อหน้าพระเจ้าผู้บริสุทธิ์ได้อย่างสง่าผ่าเผย ผู้พิพากษาของมหาจักรวาล คือพระเจ้า ผู้ซึ่งมนุษย์ทุกคนต้องไปยืนอยู่ต่อหน้า วันหนึ่งในอนาคต หลังจากตายจากโลกใบนี้แล้ว  และพระเจ้าผู้นี้มีพระนามว่า “พระเจ้าผู้บริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์” เพราะฉะนั้น ใครที่จะยืนอยู่ต่อหน้าพระเจ้าได้ ต้องเป็นคนที่ดีพร้อม เราได้เรียนรู้แล้วว่าเราผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่ดีพร้อมในสายตาของมนุษย์ แต่ดีพร้อมในสายพระเนตรของพระเจ้า ซึ่งสำคัญกว่าสายตาของมนุษย์เยอะ เพราะพระองค์เป็นผู้พิพากษาของมหาจักรวาล และทุกคนต้องไปยืนอยู่ต่อหน้าพระองค์ ไม่ใช่ยืนอยู่ต่อหน้ามนุษย์

และความชอบธรรมนี้ ที่เราสามารถยืนอยู่ต่อหน้าพระเจ้า เป็นคนดีพร้อมได้ เป็นของประทานฟรีๆ เป็นของขวัญจากพระเจ้า  โดยพระคุณ ผ่านทางความเชื่อของเรา ในพระผู้ช่วยให้รอด ที่มีชื่อว่าพระเยซูคริสต์นั่นเอง  ซึ่งเป็นทางเดียวเท่านั้น ที่มนุษย์จะสามารถกลายเป็นผู้ชอบธรรม เป็นคนดีพร้อมในสายพระเนตรพระเจ้าได้

พระคัมภีร์ได้พูดไว้ในหนังสือ 2 โครินธ์ 5:21 “พระเจ้าทรงกระทำให้พระเยซูคริสต์ ผู้ซึ่งไม่เคยเป็นคนบาป ไม่เคยทำบาปเลย แต่ต้องกลายมาเป็นคนบาป  เพื่อเห็นแก่เราทั้งหลายผู้ซึ่งเป็นคนบาปและทำบาปมากมาย เพื่อเราทั้งหลาย ผู้เป็นคนบาปนั้น จะได้กลายมาเป็นผู้ชอบธรรม”

 

พระเยซูคริสต์ผู้ไม่รู้จักบาป ผู้ไม่ได้เป็นคนบาป  แต่พระเจ้าทรงกระทำให้พระเยซูคริสต์ กลายเป็นคนบาป เพื่อว่าเราทั้งหลาย มนุษย์ทุกคน บนโลกใบนี้ ซึ่งเป็นคนบาป  ไม่เคยทำดีอะไรเลย ในพระคัมภีร์บอก แต่พระเจ้าได้ทรงทำให้เราทั้งหลายที่เป็นคนบาปนั้น กลับกลายเป็นคนดีพร้อม โดยการเชื่อในพระเยซูคริสต์นั่นเอง พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น พระเยซูผู้ซึ่งไม่ได้ทำบาปเลย  แต่ต้องกลายเป็นคนบาป แลกกัน  เราทั้งหลายผู้ไม่เคยทำดีเลยสักนิดหนึ่ง แต่กลายเป็นคนดีพร้อม  1 คนดีพร้อม แต่ต้องกลายมาเป็นคนบาป  อีกหลายคนมากมาย มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ไม่มีใครดีพร้อมเลยสักคนหนึ่ง กลายเป็นคนดีพร้อมได้  โดยการกระทำของพระเจ้า  พระเมตตา เรียกกันว่าพระคุณ ประทานให้ฟรีๆ  ฉะนั้น เราเป็นคนดี เป็นคนชอบธรรม ดีพร้อม โดยการกระทำของพระเจ้า ให้เราบังเกิดใหม่

“เราเป็นคนดีพร้อม เป็นคนชอบธรรม เพราะเราได้กำเนิด เกิดมาเป็นผู้ดีพร้อม ซึ่งเรียกกันว่าลูกของพระเจ้า”

เรากำเนิดเกิดมาเป็น ตรงนี้เป็นหัวใจ เป็นพื้นฐานของความรอด ในพระเยซูคริสต์ที่ต้องจำไว้แม่นๆ ว่าเราได้รับสิ่งทั้งหมดเหล่านี้ เราเป็นคนดีพร้อม  เพราะเรากำเนิด เกิดมาเป็นลูกพระเจ้า

พอพูดอย่างนี้ ก็รู้แล้วนะว่าไม่มีใครกำเนิดด้วยตัวเองได้ ต้องมีผู้ที่ให้กำเนิดเรา แล้วผู้ที่ให้กำเนิดเรานั้น ก็คือพระเจ้า ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่ โดยการประพฤติของตัวเราเอง  ที่ทำให้เราเกิดใหม่ได้ รู้กันอยู่ เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว

และพระเจ้าได้กระทำสิ่งเหล่านี้ สำเร็จแล้ว ตามพระคัมภีร์บันทึกเอาไว้ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ซึ่งผลของการกระทำเหล่านี้  ที่พระเยซูทำสำเร็จแล้วที่ไม้กางเขน พร้อมแล้วที่จะให้มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ มาใช้สิทธิของเขา  ที่พระเจ้าได้ทรงกระทำให้  คือรับของขวัญนี้ไป  โดยการเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดเท่านั้น ก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงในชีวิต หรือเรียกว่า “ได้รับการบังเกิดใหม่” ทันที หลังจากการเปิดใจต้อนรับสิทธินี้ในพระเยซูคริสต์  เชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ว่าพระเยซูช่วยได้ ช่วยให้คนไม่ดี กลายเป็นคนดีได้ ช่วยให้คนบาป กลายเป็นคนดีพร้อม กลายเป็นผู้คนชอบธรรม สามารถยืนอยู่ต่อหน้าพระเจ้าได้  สิ่งเหล่านี้ ถ้าเผื่ออยากได้ เปิดใจต้อนรับ พร้อมแล้วสำหรับท่าน พระเจ้าทำให้สำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว ที่ไม้กางเขน บริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์เป็นลูกของพระเจ้า

สำหรับผู้ที่เปิดใจต้อนรับสิทธิไปแล้ว หรือว่าเชื่อในพระเจ้าแล้ว ลองถามตัวท่านเองว่าท่านบังเกิดใหม่แล้วหรือยัง?  ทุกคนก็ต้องมั่นใจว่าเราบังเกิดใหม่แล้ว เพราะว่าเราเชื่อในพระเยซู ถ้อยคำพระเจ้าบอกไว้อย่างนั้น เราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว อันนี้ไม่ยาก

ที่บอกว่า “เราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว” ถามตัวเองดูสิว่าท่านสะอาด บริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์เท่าไร? ตอนที่ท่านรับเชื่อในพระเจ้าแล้ว  ขณะนี้เลย ขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  ที่บอกท่านเป็นลูกพระเจ้าแล้ว  ท่านสะอาด ศักดิ์สิทธิ์ บริสุทธิ์เท่าไร?  …

“เธอว่าฉันศักดิ์สิทธิ์ บริสุทธิ์เท่าไร?”

เราลองหาคำตอบนิดหนึ่งนะ เมื่อลองถามตัวเองแล้ว  คราวนี้ลองมาถามพระเจ้าดีกว่า มาดูในพระคัมภีร์เขียนไว้ว่าอย่างไร?  ในขณะที่เรารับเชื่อแล้ว  เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้แล้ว  เป็นผู้เชื่อ เป็นคริสเตียนแล้ว  เราบริสุทธิ์ เป็นลูกพระเจ้าขนาดไหน?  เท่าเปาโลได้ไหม? หรือเท่าเปโตร? หรือบริสุทธิ์เท่าพาสเตอร์ที่เราชื่นชอบ? หรือบริสุทธิ์เท่าคนโน้นคนนี้ได้ไหม?  และตัวเราเองทำอะไรบ้าง? ที่เรียกว่าเราบริสุทธิ์เท่านั้นได้  เรามั่นใจขนาดไหน?  อ่านข้อพระคัมภีร์นี้ ข้อเดียวเท่านั้นเอง  ท่านจะตกใจเลย เป็นไปได้หรือ? เป็นไปแล้วสิ จริงๆ มันมีหลายข้อ ในพระคัมภีร์ที่บันทึกไว้ตรงนี้ ซึ่งเราอาจจะไม่ค่อยได้สังเกต แต่ข้อนี้มันชัดเจนมาก  1 ยอห์น 4:17 ครั้งที่แล้วเรายกมาครั้งหนึ่งแล้ว

1 ยอห์น 4:17  “แบบนี้สิ  ความรัก​ของ​พระเจ้า  ​ถึง​สำเร็จ​ตาม​เป้าหมาย​ของ​พระองค์  ​ใน​พวก​เรา  เรา​จึง​มี​ความ​มั่นใจ​ใน​วัน​พิพากษา  ที่​เรา​มี​ความ​มั่นใจ​อย่าง​เต็มเปี่ยม ​ ก็​เพราะ​ชีวิต​ที่​เรา​มี​ใน​โลก​นี้  เป็น​ชีวิต​ที่​เหมือน​กับชีวิต​ของ​พระคริสต์

 

“แบบนี้สิ” ขึ้นมาแบบนี้ … แบบนี้คือแบบไหน? ก็แบบที่บริบทก่อนหน้านี้ ที่พระคัมภีร์บันทึกเอาไว้ในหนังสือ 1 ยอห์น ก่อนหน้านี้ กำลังพูดถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าว่าผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ ที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว ได้เข้าไปอยู่ในความรักของพระเจ้า พระเจ้าเป็นความรักและเขาเองก็เป็นความรัก ได้บังเกิดใหม่เป็นความรัก ความรักของเขาสมบูรณ์ เพราะเขาเข้าไปอาศัยอยู่ในความรักของพระเจ้า คือวิญญาณเขากับพระเจ้าเข้าสวมเป็นหนึ่งเดียวกัน ที่เราเรียกกันว่าบัพติศมา วิญญาณของมนุษย์เข้าไปเป็นวิญญาณเดียวกันกับพระเจ้า  เป็นหนึ่งเดียวกันเลย สะอาด บริสุทธิ์พร้อมกับพระเจ้าเลย

ในนี้จึงบอกว่าแบบนี้สิ  ก็คือแบบการเข้าเป็นหนึ่งเดียวกัน  แบบนี้สิ ความรักของพระเจ้าถึงสำเร็จตามเป้าหมายของพระองค์ เป้าหมายของพระเจ้า ในพวกเรา เราจึงมีความมั่นใจในวันพิพากษา

จำได้ไหมตะกี้นี้บอก “ผู้พิพากษาของมหาจักรวาล คือพระเจ้าผู้บริสุทธิ์สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ เราจึงมีความมั่นใจในวันพิพากษา  ที่เรามีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม  ก็เพราะชีวิตที่เรามีอยู่ในโลกนี้  เป็นชีวิตที่เหมือนกับชีวิตของพระคริสต์”

เพราะฉะนั้น เท่ากับเราบริสุทธิ์เท่ากันกับพระเยซู กล้าพูดหรือยังคราวนี้  เราบริสุทธิ์เท่ากับพระคริสต์  เราไม่ได้บริสุทธิ์เท่ากับศิษยาภิบาลเท่านั้น รู้สึกว่าเขารู้เรื่องพระเจ้าเยอะ มีความเชื่อเยอะ เราไม่ได้บริสุทธิ์เท่ากันกับอาจารย์เปาโล หรือเปโตร อัครทูตเท่านั้น แต่ในพระคัมภีร์บอก ว่าเราบริสุทธิ์เท่ากันกับพระเยซูคริสต์ เพราะฉะนั้น เราจึงมั่นใจในการยืนอยู่ต่อหน้าบัลลังก์ของผู้พิพากษาของมหาจักรวาล ในวันสุดท้าย  วันที่เราจากโลกนี้ไป เราอยู่ในสวรรค์ได้ เพราะเรายืนอยู่ต่อหน้าพระเจ้า ผู้บริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์ เพราะว่าเราบริสุทธิ์เหมือนพระคริสต์ เรามั่นใจพอๆ กันกับที่พระเยซูคริสต์มั่นใจ ท่านคิดว่าพระเยซูคริสต์มั่นใจไหมว่าพระองค์สามารถยืนอยู่ต่อหน้าพระเจ้าได้ เรามั่นใจเท่าพระเยซูคริสต์เลย

และข้อสำคัญ ก็คือเหมือนพระองค์ในโลกนี้ ก็แปลว่าเดี๋ยวนี้ ที่นี่ บนโลกนี้เลย เอเมน บางทีเราไม่ค่อยได้สังเกต พอเราสังเกต เราไปวิเคราะห์ดู ตกใจเลย ในโลกนี้ หลายคนก็รอว่าเราจะบริสุทธิ์เมื่อวันหนึ่งที่เราตายจากโลกใบนี้ไปแล้ว  ออกจากร่างกายนี้แล้ว แต่พระคัมภีร์บอกเราว่าเราบริสุทธิ์เท่าพระเยซูคริสต์ตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้เลย เพราะเรามั่นใจว่าเราอยู่บนโลกใบนี้ เราก็บริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์แล้ว  เราจึงมั่นใจว่าเราก็บริสุทธิ์อย่างนี้ เมื่อวันหนึ่งที่เราออกจากร่างนั่นเอง เป็นคนชอบธรรม เป็นคนดีพร้อมในสายพระเนตรพระเจ้า  ก็คือเป็นแสงสว่างดั่งที่พระเยซูคริสต์บอกว่าเราเป็นแสงสว่าง  เป็นความรักที่บริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ ครบถ้วนบริบูรณ์ เหมือนพระเยซู เหมือนพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ตั้งแต่เดี๋ยวนี้เลย ทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เราได้เป็นตรงนี้  และจะเป็นอยู่อย่างนี้ตลอดไป

เพราะฉะนั้น เราจึงมั่นใจในการพิพากษา 100% เลย มั่นใจเท่าๆ กับพระเยซูมั่นใจนั่นแหละ จริงๆ คริสเตียน ความเชื่อน่าจะเป็นอย่างนี้ว่าเราหวังไว้ว่าจะไปสวรรค์ไหม หลังความตาย? เราไม่หวังหรอก  เพราะความหวังของเรา คือเราอยู่ในสวรรค์แล้วเดี๋ยวนี้ มันน่าจะเป็นอย่างนั้น

ความหวังของเรา ก็คือความหวังที่เป็นเดี๋ยวนี้ Now  ความหวังของเรา คือพระวิญญาณยืนยันกับเราว่าเราอยู่ในสวรรค์แล้วเดี๋ยวนี้  และเราจะอยู่ในสวรรค์นี้ตลอดไป  พระเจ้าไม่ให้ใครมาเอาเราออกจากพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระองค์ได้ ไม่ว่าใครก็ตาม ใหญ่ขนาดไหนก็ตาม มีฤทธิ์อำนาจขนาดไหนก็ตาม ไม่มีใครสามารถเอาเราออกไปจากพระหัถต์อันทรงฤทธิ์ของพระเจ้าได้ ในพระเยซูคริสต์ เอเมน นี่คือความมั่นใจ

บริสุทธิ์ สะอาด เพราะว่าก่อนที่เราจะรับเชื่อ ตัวเก่าของเรา วิญญาณเก่า จิตใจเก่าของเราเป็นมนุษย์บาป เป็นคนบาป ได้ถูกตรึงตายไปแล้ว พร้อมกับพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น ตัวเก่ามันตายไปแล้ว และเดี๋ยวนี้เราได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าที่สะอาด บริสุทธิ์ครบถ้วน บริบูรณ์เหมือนพระเยซูคริสต์เลย  เพราะได้เกิดใหม่แล้ว ตัวเก่ามันจบไปแล้ว  มันไม่มีแล้ว

เพราะฉะนั้น เมื่อตัวเก่า ที่เรียกว่าตัวบาป ที่เราเคยมีชีวิตอยู่นั้น มันจบไปแล้ว ในพระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น  ตอนนี้เราเกิดใหม่ เป็นวิญญาณใหม่ จิตใจใหม่แล้ว  ก็เกิดคำถามตามหัวข้อเรื่องในวันนี้ว่า “แล้วทำไมเรายังคงทำบาปอยู่” คริสเตียนบังเกิดใหม่แล้ว เป็นลูกพระเจ้าที่สะอาด บริสุทธิ์แล้ว ทำไมจึงยังทำบาปอยู่? อยากรู้ใช่ไหมว่าความจริง คืออะไร?

พระคัมภีร์บอกว่าเราเป็นคนใหม่แล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างใหม่เอี่ยม 2 โครินธ์ 5:17 ใช่ไหม?  “จงมองให้เห็นเถิด ทุกสิ่งใหม่เอี่ยม เราเป็นผู้ที่ถูกสร้างใหม่ ตัวเก่าของเรา ที่เป็นบาปตายไปแล้ว  ตัวตนใหม่ของเรา เป็นผู้ชอบธรรม ที่สะอาด บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า

ช่วยกันตีความพระคัมภีร์แบบผิดๆ ถูกๆ ใช้ความคิด สติปัญญา ความเข้าใจแบบมนุษย์บ้างว่ามันน่าจะเป็นอย่างนั้น มันน่าจะเป็นอย่างนี้  แล้วก็เพิ่มลงไปจากพระคัมภีร์อะไรต่างๆ เหล่านั้น

คราวนี้เรามาลองดูว่าพระคัมภีร์พูดถึงเรื่องนี้อย่างไร?  มันตรงกับความคิดของมนุษย์ไหมที่คิดว่าทำบาป เพราะอย่างนั้น อย่างนี้ ลองดูสิว่าพระคัมภีร์บอกไว้ว่าทำบาปเพราะอะไร?  เพราะอย่างที่บอก ความจริงจะทำให้เราเป็นไท ความจริงมีอยู่ที่เดียว คือในถ้อยคำพระเจ้า ที่เป็นความจริง ให้พระวิญญาณนำพาเราไป

เราก็ได้เรียนรู้กันมาตลอดว่าเมื่อเราได้รับการบังเกิดใหม่แล้ว เกิดใหม่เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราก็ได้รับตัวตนใหม่ อ่านให้ดีๆ ช้าๆ ตัวตนใหม่ คือวิญญาณใหม่กับจิตใจใหม่ วิญญาณใหม่ หรือใจใหม่ ไม่ใช่ร่างกายใหม่ ร่างกายยังเป็นร่างกายเดิมอยู่ ค่อยๆ ไปนะ

ตัวตนที่แท้จริงของเรา ที่จะอยู่ตลอดไป ก็คือวิญญาณกับจิตใจตัวนี้  หรือจะบอกว่าความคิดจิตใจก็ได้  หรือจะบอกใจตัวเดียวก็ได้ พระคัมภีร์ใช้ทั้ง 2 คำนี้ วิญญาณรู้อยู่แล้ว ก็คือ Spirit จิตใจ ก็คือ Soul หรือ Mind ก็คือความคิดจิตใจ ติดอยู่ด้วยกันตลอดไป

เพราะฉะนั้น เวลาพูดว่า “เรามี” หรือ “ได้บังเกิดใหม่” เป็นตัวตนใหม่ ก็หมายถึงเราได้มี หรือได้เป็นวิญญาณใหม่ + จิตใจใหม่  ไม่ใช่ร่างกายใหม่ อันนี้ต้องจำไว้แม่นๆ อันนี้เป็นไปตามพระคัมภีร์เป๊ะ โคโลสี 3:9-10 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

โคโลสี 3:9-10 “9 เมื่อท่านสลัดทิ้งตัวตนเก่าๆ  พร้อมกับความประพฤติเดิมๆ แล้ว 10 และสวมตัวตนใหม่  ซึ่งกำลังทรงสร้างขึ้นใหม่ ตามพระฉายขององค์พระผู้สร้าง  ขณะที่ท่านเรียนรู้จักพระองค์มากขึ้น”

 

“เมื่อท่านสลัดทิ้งตัวตนเก่า” ตัวตนเก่า ก็คือวิญญาณและจิตใจ ที่เป็นบาป ตายอยู่ เป็นศัตรูกับพระเจ้า  พร้อมกับความประพฤติเดิมๆ  เห็นไหม? คนละอันกันนะ  ตัวตน คือตัวตนเก่า  ความประพฤติก็แยกกันมา เป็นความประพฤติ ตัวตนกับความประพฤติ ไม่ใช่อันเดียวกัน  และสวมตัวตนใหม่ ก็คือวิญญาณใหม่ + จิตใจใหม่  หรือความคิดจิตใจใหม่  ซึ่งกำลังทรงสร้างขึ้นใหม่  ตามพระฉายของพระองค์ พระผู้สร้าง

“ซึ่งกำลังทรงสร้างขึ้นใหม่” ท่านก็บอกอ้าว! ตะกี้บอกสำเร็จแล้วไง  วิญญาณนะ สำเร็จเรียบร้อยแล้ว เป็นเหมือนพระเจ้า  ความคิดจิตใจ ก็เป็นเหมือนพระคริสต์ แต่ต้องมีการสร้างความคิดจิตใจให้เพียวๆ  เพราะความคิดจิตใจยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  มันสามารถรับสื่ออะไรต่างๆ บนโลกใบนี้ได้ เราค่อยเรียนรู้กันต่อไป  ถูกสร้างความคิดจิตใจเพียวๆ เลย  รับสื่อจากพระเจ้าทางเดียวเท่านั้น  จากทางวิญญาณเท่านั้น  ก็จะได้เหมือนพระฉายขององค์พระผู้เป็นเจ้า จะได้ทำตามพระฉายของพระองค์

ขณะที่ท่านเรียนรู้จากพระองค์มากขึ้น เห็นไหม? เรียนรู้จากพระองค์ จากถ้อยคำพระเจ้าที่เรากำลังเรียนรู้  ความจริงจะทำให้เราเป็นไท ความจริงจะทำให้จิตใจที่ใหม่ของเรา  ไม่ถูกของเก่า หรือความสกปรกของโลกใบนี้ เข้ามาทำให้เลอะเทอะมัวๆ ต่อไปเอเฟซัส 4:22-24 …

เอเฟซัส 4:22-24  “22 เกี่ยวกับวิถีชีวิตเดิมนั้น  ท่านได้รับการสอน  ให้ทิ้งตัวตนเก่าของท่าน  ซึ่งกำลังถูกทำให้เสื่อมโทรมไป โดยตัณหาอันล่อลวงของมัน 23 เพื่อรับการสร้าง ท่าทีความคิดจิตใจขึ้นใหม่ 24 และเพื่อสวมตัวตนใหม่ ซึ่งพระเจ้าทรงสร้างขึ้น ให้เป็นเหมือนพระองค์ ในความชอบธรรม และความบริสุทธิ์ที่แท้จริง”

 

ชัดเจนเลย โดยตัณหาอันล่อลวงของมัน  ไม่ใช่ของเรา เป็นของมัน มีศัตรูอยู่ มีมือที่สามอยู่

ข้อ 24 บอกว่า “และสวมตัวตนใหม่ ซึ่งพระเจ้าทรงสร้างขึ้น ให้เป็นเหมือนพระองค์ ในความชอบธรรมและความบริสุทธิ์ที่แท้จริง”

“ตัวตนใหม่” ก็คือวิญญาณใหม่+ความคิดจิตใจใหม่ ที่เหมือนพระองค์ สะอาด บริสุทธิ์เหมือนพระองค์ คิดเหมือนพระองค์

จิตใจใหม่ ในพระคัมภีร์เขาใช้คำนี้ด้วยว่า “เป็นจิตใจที่เหมือนพระคริสต์” เขาเรียกว่า “The mind of Christ” ก็คือความคิดจิตใจที่เป็นของพระคริสต์  เป็นความคิดจิตใจของเราอันใหม่

ด้วยถ้อยคำตรงนี้ เลยทำให้คนมาตีความ  และสอนกันต่อๆ มาว่าเมื่อเชื่อพระเจ้าแล้ว  เราจะมีอยู่ 2 ตัวตน 2 ฝั่ง …

ฝั่งหนึ่งคือตัวตนเดิม  ซึ่งมีธรรมชาติ วิสัยบาปที่รับมาจากบรรพบุรุษ ที่เกิดมาจากอาดัม และติดตัวมาตั้งแต่เกิด คือเป็นคนบาปนั่นเอง

ส่วนอีกฝั่งหนึ่ง คือตัวตนใหม่ ซึ่งเป็นธรรมชาติใหม่ เป็นวิญญาณใหม่ ความคิดจิตใจใหม่ ที่เหมือนพระเจ้า

พอคนตีความ จากโคโลสีและเอเฟซัส เมื่อสักครู่นี้ ก็คิดว่าให้เราทิ้งตัวตนเก่า  และมาดำเนินชีวิตตัวตนใหม่  ทั้งสองตัวนี้ มันอยู่ในตัวเรา  ที่เดียวกัน เขาจะคิดอย่างนี้

แต่ก่อนนี้ ผมก็เคยได้รับการสอนมาอย่างนี้ แล้วก็เข้าใจแบบนี้ว่าพอเรามาเชื่อพระเจ้า เรามีตัวตนใหม่ ขณะที่ตัวตนเก่าก็ยังอยู่ อยู่ในตัวคนเดียวนี่แหละ มี 2 ตัวตน เดินไปที่ไหน มี 2 ตัวตนอย่างนั้น แต่อ่านพระคัมภีร์จริงๆ  ศึกษาตามพระคัมภีร์จริง มันไม่ใช่ ถ้าเผื่อเราไปตีความหมายผิดปุ๊บ พระคัมภีร์จะตีกันยุ่งเลย มันจะไม่สามารถสอดคล้อง ได้ทุกข้อ และตามบริบทของแต่ละข้อด้วย

คราวนี้เรามาพูดถึงตัวตนใหม่กับตัวตนเก่า ก็มีความเข้าใจกันว่าตัวตนเก่าและตัวตนใหม่ มันก็จะแข่งขันอยู่ในตัวเรา  สู้กันอยู่ในตัวเราตลอดเวลา  นี่คือความรู้แบบเก่าๆ

บางคนก็จินตนาการออกมาเป็นตัวขาวกับตัวดำ เรามีตัวขาวกับตัวดำอยู่ในตัวของเรา พอทำไม่ดี ตัวดำเป็นคนทำ พอทำดี ตัวนี้ตัวขาว  พอโกรธขึ้นมา ตัวดำเป็นคนทำ อันนี้ตัวขาว สู้กันตลอดเวลา ผลัดกันไปผลัดกันมา แพ้บ้าง ชนะบ้าง แล้วก็มีคำสอนว่าต้องพยายามกำจัดตัวดำออกไปให้ได้  ต้องพยายามจับมันให้อยู่ และบังคับมัน ให้เลี้ยงดู ประคบประหงมตัวขาวให้มันเจริญเติบโต ที่พูดถึงนี้ คืออยู่ในตัวเราหมดนะ  ท่านลองคิดดูว่ามันถูกไหม?  อะไรทำนองอย่างนั้น

นี่คือความเชื่อของคริสเตียนแล้วนะ ตะกี้นี้ ที่พูดนี้ เพราะฉะนั้น ผู้ที่เชื่อหรือคริสเตียน ก็เลยอยู่ในความคิดแบบนี้มายาวนานมาก ตัวดำตัวขาว ตัวขาวตัวดำ ตัวบาปก็อยู่ในตัวเรา  ตัวบริสุทธิ์ก็อยู่ในตัวเรา แล้วจะเอาอย่างไร? พระเจ้ากับมารมาอยู่ที่เดียวกัน พระเยซูบอกว่าเรือนนั้น ก็อยู่ไม่ได้  พระเยซูขับผีออก พวกฟาริสีบอกมารขับ พระเยซูบอกว่าถ้าเรือนนั้นทะเลาะกันเอง  ข้างในนั้นมันอยู่ไม่ได้หรอก มันต้องเป็นอันเดียวกัน

เพราะฉะนั้น พอเริ่มเชื่ออย่างนี้นานๆ เข้า  ใครที่รู้สึกว่าตัวดำมันชักทำเยอะ สู้กับมันไม่ไหว

“ฉันไม่อยากทำตามตัวดำ สู้กับมันไม่ไหว”

ก็ฝังใจลึกลงไปเรื่อยๆ  จนในที่สุด พ่ายแพ้ ก็คิดว่า …

“ตัวดำไม่เคยจะหมดไปจากชีวิตฉันสักทีหนึ่ง ไม่เคยขาวสะอาดบริสุทธิ์สักทีหนึ่ง มีตัวดำอยู่ตลอดเลย เพราะฉะนั้น ฉันก็เป็นเทาๆ”

แทนที่ตะกี้นี้ เราเริ่มต้นบอกว่าบริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์เหมือนพระเยซู ตอนนี้ชักไปนานๆ ผ่านไปปี สองปี เป็นคริสเตียนแบบชักจะไม่ค่อยบริสุทธิ์แล้ว  จากบริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ ขาวเริ่มกลายเป็นสีเทา เพราะมีสีดำเข้ามาผสม

“ฉันบังเกิดใหม่มาเป็นสีเทาๆ”

ก็เลยเกิดความไม่มั่นใจ ในความรอดในพระเยซูคริสต์ ก็คือไม่มั่นใจว่าวันหนึ่งที่จากโลกนี้ไป เมื่อยืนอยู่ต่อหน้าผู้พิพากษาของมหาจักรวาล คือพระเจ้า ผู้บริสุทธิ์ในสวรรค์นั้น  …

“ฉันจะเป็นคนดีพร้อมหรือเปล่า? มันยังเทาๆ อยู่เลย”

ใช่หรือไม่? ถ้าได้รับการเรียนรู้อย่างถูกต้องวันแรก บริสุทธิ์ สะอาด เหมือนพระเยซู อย่างที่ตะกี้นี้เราเรียนรู้มาตั้งแต่เริ่มต้น 1 ยอห์น 4:17 ชัดเจนเลย มั่นใจในการยืนอยู่ต่อหน้าพระเจ้า …

“ฉันบริสุทธิ์ สะอาด ฉันบังเกิดใหม่แล้ว”

แต่ถ้ามีการสอนผิด ข้อมูลผิดๆ เข้ามาเรื่อยๆ ความคิดจิตใจก็เริ่มเปลี่ยน จากบริสุทธิ์นั้น ก็เริ่มเทาๆ วิญญาณใหม่ ความคิดจิตใจใหม่ที่ได้รับจากพระเจ้าตอนบังเกิดใหม่ ก็เริ่มความคิดจิตใจที่ไม่บริสุทธิ์เข้ามาแล้ว เพราะข้อมูลมันผิด ข้อมูลมันถูกขโมย ศัตรูมาขโมยอะไรบางอย่างออกไป นี่เราจะเห็นชัดเจน

เรามาดูกันว่าความจริงในถ้อยคำพระเจ้าที่ทำให้เราเป็นไทในเรื่องนี้ เป็นอิสระจากการหลอกตรงนี้ ให้เรามีความมั่นใจในความบริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ของเราตลอดไป อยู่ตรงไหน? เรามาเรียนรู้ด้วยกัน

คริสเตียนที่บังเกิดใหม่ ได้รับตัวตนใหม่แล้ว ก็คือวิญญาณใหม่ + ความคิดจิตใจใหม่ แต่ยังคงทำบาปอยู่ เหตุผลอย่างแรกเลย ก็คือมาจากสิ่งที่พระคัมภีร์เรียกว่า “เนื้อหนัง”

ที่ผ่านมา การแปลพระคัมภีร์ในเรื่องเกี่ยวกับการทำบาปของคริสเตียน เรามักจะคุ้นเคยกับคำว่า “วิสัยบาป”  ซึ่งมีปรากฏอยู่เยอะเลยในพระคัมภีร์ใหม่ ตัวอย่าง คำว่า “วิสัยบาป” เรามาเรียนรู้กัน ตัวชัดเจน ที่ทำให้มันวุ่นวายไปหมด ทำให้เกิดการถูกหลอก ถูกขโมยเอาความจริงไป ในโรม 8:5 บันทึกไว้อย่างนี้ …

โรม 8:5 “ผู้ที่ดำเนินชีวิตตามธรรมชาติวิสัยบาป ก็ปักใจในสิ่งที่วิสัยบาปต้องการ แต่ผู้ที่ดำเนินชีวิตตามธรรมชาติของพระวิญญาณ  ก็ปักใจในสิ่งที่พระวิญญาณทรงประสงค์”

 

ท่านรู้ไหมว่าภาษาเดิมตรงนี้ จะเน้นให้ฟังมันคืออะไร?

“ผู้ที่ดำเนินชีวิตตามธรรมชาติวิสัยบาป” ภาษาเดิมเขาบอกว่า “ผู้ที่มีชีวิตอยู่” พอเราบอกว่า “ดำเนินชีวิต” มันเหมือนกับเรากำลังกระทำอะไรบางอย่าง ถูกไหม? แต่ถ้าเราบอกว่า “ผู้ที่มีชีวิตอยู่” เป็นสถานะว่าเขาอยู่ที่นั่น

“ผู้ที่อยู่ในธรรมชาติวิสัยบาป” ตรงนี้ภาษาเดิมจริงๆ  “ผู้ที่อยู่ในเนื้อหนัง ก็จดจ่อ (ปักใจ) อยู่ในสิ่งที่เป็นเนื้อหนัง”

ตรง “วิสัยบาป” มันแปลว่า “เนื้อหนัง”

“แต่ผู้ที่อาศัยอยู่ในธรรมชาติของพระวิญญาณ ก็คือผู้ที่อาศัยอยู่ในพระวิญญาณของพระเจ้า ก็จะจดจ่อในสิ่งที่พระวิญญาณทรงประสงค์”

ก็คืออยู่ตรงข้ามกับเนื้อหนัง พอมองออกไหม? ไม่ออก ค่อยๆ ตามมานะ ช้าๆ กลับไปฟังที่บ้านทบทวนอีกหลายๆ เที่ยวก็ได้ประมาณสัก 10, 20 เที่ยว

“ผู้ที่อาศัยอยู่ในเนื้อหนัง”พูดง่ายๆ ตามพระคัมภีร์ ก็คือ “ผู้ที่อาศัยอยู่ในอาดัม” ก็ปักใจในเรื่องของเนื้อหนังต้องการ ใครต้องการ? เนื้อหนังต้องการ เอาแค่นี้ก่อน แล้วเดี๋ยวท่านจะรู้เนื้อหนังแปลว่าอะไร?  คนที่อยู่ในพระวิญญาณ ก็คืออยู่ในพระคริสต์ เขาก็จดจ่อ มีชีวิตอยู่ในพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า  ตามพระประสงค์ของพระวิญญาณ

พอใช้คำว่าวิสัยบาป  ก็กลายเป็นความเข้าใจแบบเดิมๆ ที่ผิด  ที่บอกว่ามี 2 ตัวตนอยู่ในเรา วิสัย คือธรรมชาติ เป็น 2 ธรรมชาติ อันหนึ่งคือธรรมชาติเดิม  คือตัวดำ ที่เป็นวิสัยบาป  อีกอันหนึ่ง คือธรรมชาติใหม่ คือตัวขาว ที่มีวิสัยที่เป็นเหมือนพระเจ้า ค่อยๆ ตามไปนะ

ถ้าแปลผิด มันจะอย่างนี้ เวลาที่ไปทำบาป ก็จะบอกว่าเป็นเพราะทำตามธรรมชาติเดิม  ตอนไหนที่ทำดี ก็จะบอกว่าตอนนั้นทำตามธรรมชาติใหม่  เพราะฉะนั้น เราเลยมี 2 ตัวตน  ไม่รู้จะเอาธรรมชาติไหนดี

อ่านให้ดีๆ นะ ธรรมชาติ ก็แปลว่าเกิดมาเป็น

เพราะฉะนั้น ถ้าแปลตรงๆ ตามข้อความอย่างนี้ ตามถ้อยคำอย่างนี้ จะเห็นชัดเจนว่าพอบอกว่า “ธรรมชาติ” ปุ๊บ มันควรจะ หรือมันต้องมีแค่เพียงธรรมชาติเดียว คนเราจะมี 2 ธรรมชาติอยู่ในตัว ธรรมชาติ คือเกิดมาเป็น เกิดมาเป็นผู้หญิงผู้ชาย อยู่คนๆ เดียวกัน เป็นไปไม่ได้ มันคงผิดเพี้ยนไปมาก  ถึงไม่เข้าใจตรงนี้

มันชัดเจนว่ามนุษย์เรา ไม่ว่าจะเกิดใหม่หรือไม่เกิดใหม่ มันควรจะมีธรรมชาติเดียว  คือเกิดมาเป็นเหมือนอาดัมหรือเกิดมาเป็นเหมือนพระคริสต์  เกิดมาเป็นแสงสว่างหรือเกิดมาเป็นความมืด  มันไม่ควรจะเกิดมาเป็นเทาๆ คงไม่มีใครเกิดมาเป็นพระอิด (คริสต์กับอาดัมมารวมกัน) คืออยู่ในอาดัมด้วย อยู่ในพระคริสต์ด้วย กลายเป็นในอิด ไม่มี มีว่าในอาดัมหรือในพระคริสต์เท่านั้นเอง ชอบธรรมหรือเป็นคนบาปเท่านั้น

เหมือนที่ผมยกตัวอย่างบ่อยๆ เรื่องทาร์ซาน  … ทาร์ซานคือมนุษย์ ต่อให้ไปอยู่กับลิงนานแค่ไหน? พยายามพูดภาษาลิง ทำท่าทางเหมือนลิง กินอาหารเหมือนลิงได้ แต่ธรรมชาติของทาร์ซาน ตัวตนแท้ๆ ของทาร์ซานเป็นมนุษย์วันยังค่ำ อย่างไรก็เป็นมนุษย์ ไม่มีทางเป็นอื่นไปได้  เพราะนี่คือธรรมชาติ เขาเกิดมาเป็นมนุษย์ ต่อให้เขาอยู่กับลิงมาเป็น 10 ปี ประพฤติปฏิบัติตัวเหมือนลิง เขาก็ยังเป็นมนุษย์  มีธรรมชาติเดียว คือธรรมชาติมนุษย์  แต่ประพฤติเหมือนลิง อย่างนี้ถึงจะถูก

ฉันใดก็ฉันนั้น พระคัมภีร์บอกว่า “เมื่อเรามาเชื่อพระเจ้า และได้รับการบังเกิดใหม่แล้ว บริสุทธิ์ สะอาด เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้าได้เปลี่ยนแปลง ให้เราเกิดใหม่ มีธรรมชาติตัวตนที่แท้จริงของเรา ก็คือธรรมชาติของเรา จากธรรมชาติวิสัยบาป หรือภาษาเดิม ที่แปลภาษาอังกฤษ เรียกว่า Sinful nature มาเป็นธรรมชาติแห่งพระวิญญาณของพระเจ้า คือเป็นเหมือนพระเยซู เป็นเหมือนพระเจ้า และเมื่อพระเจ้าได้เปลี่ยนธรรมชาติของเรา จากการบังเกิดใหม่แล้ว ก็ไม่มีอะไรอีกแล้วที่สามารถเปลี่ยนกลับไปเหมือนเดิมได้อีก เพราะมันถูกเปลี่ยนแล้ว สะอาด หมดจด บริสุทธิ์ เปลี่ยนไปแล้ว ก็เปลี่ยนเลย กำเนิดเกิดมาแล้ว ก็กำเนิดเกิดมาเลย เกิดมาเป็น แล้วก็เป็นเลย  ไม่มีทางเป็นอย่างอื่นไปได้อีกแล้ว กำเนิดเกิดมาเป็น

อย่างที่ตะกี้นี้บอก เกิดมาเป็นแสงสว่าง ก็เป็นแสงสว่างเลย เกิดมาเป็นความรักเหมือนพระเจ้า ก็เป็นความรักเลย ไม่ใช่มาผสมกัน เป็นความรัก แล้วก็เป็นเกลียด เป็นฆ่ากัน ไม่มี มันมีแต่เป็นความรัก แต่ยังประพฤติเกลียดเขาอยู่ มันมีแต่เป็นความรัก แต่ยังอิจฉาเขาอยู่ มันมีแต่เป็นความรัก แต่ยังเห็นแก่ตัวอยู่ เป็นไปได้ไหม? เป็นไปได้ แต่ไม่ใช่เป็นความรัก แล้วเป็นความเกลียดอยู่ในตัวเดียวกัน  มันพิสดาร มันไม่มี ถ้าเราวิเคราะห์กันอย่างนี้ เราจะเห็นชัดขึ้น

นี่คือหลักการของพระคัมภีร์จริงๆ  และสามารถตอบได้หมด ทุกๆ คำถามที่ถามเกี่ยวกับเรื่องนี้

เพราะฉะนั้น สรุปว่าคริสเตียนมีธรรมชาติเดียว ไม่ว่าจะเป็นคริสเตียนหรือไม่เป็นคริสเตียน ก็มี 1 ธรรมชาติเหมือนกันหมด ต้องจำไว้ว่าธรรมชาติ คือการเกิดมาเป็น เขาถึงเรียกว่าธรรมชาติ ธรรมะจัดสรร

คำตอบ ก็คือคริสเตียนก็มี 1 ธรรมชาติเท่านั้น คือธรรมชาติแห่งความรัก ธรรมชาติของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในตัวเรา เห็นไหม? ธรรมชาติที่เป็นวิญญาณใหม่ เหมือนพระเจ้า มีความคิดจิตใจที่เหมือนพระเยซูคริสต์ เป็นตัวใหม่ ที่บังเกิดใหม่ นี่คือธรรมชาติของคริสเตียนทุกคน

พูดอีกครั้ง คริสเตียนมีธรรมชาติเดียว คือธรรมชาติวิญญาณเหมือนพระเจ้า บริสุทธิ์สะอาดเหมือนพระเจ้า และมีความคิดจิตใจเหมือนพระเยซูคริสต์ ไม่ว่าเขาจะประพฤติอย่างไรก็ตาม เขาเป็นตรงนี้แล้ว เขาเปลี่ยนไปไม่ได้  เอเมนไหม?

กลับไปที่คำถามเดิมว่าคริสเตียนที่มีธรรมชาติ คือมีวิญญาณและความคิดจิตใจ ที่เหมือนพระเจ้าแล้ว เป็นความรัก เป็นความสว่างแล้ว ยังทำบาปไหม?

ทำหรือไม่ทำ? ตอบ ทำสิ ก็ต้องทำบาปอยู่ ก็เห็นๆ อยู่ ไม่มีการหลบลี้ หรือตอบปฏิเสธ ทำ แต่เป็นการทำบาป ที่ไม่ได้เป็นไปตามธรรมชาติของความบาป ถูกไหม? คือเขายังคงทำบาป แต่ไม่ได้ทำจากวิญญาณและความคิดจิตใจของเขา ซึ่งเป็นเหมือนพระเจ้า บริสุทธิ์เหมือนพระเยซู เอเมน

ค่อยๆ ตามไปทีละนิดทีละหน่อย จะได้เห็นชัดว่ามันอยู่ตรงไหน?  ทำบาปเพราะอะไร? เอาให้ชัดๆ เลย โรม 6:6 จึงบันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

โรม 6:6  “เรารู้แล้วว่าคนเก่าของเรานั้น  ถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว  เพื่อตัวที่บาปนั้น  จะถูกทำลายให้สิ้นไป  และเราจะไม่เป็นทาสของบาปอีกต่อไป”

 

เรารู้แล้วว่าคนเก่า ก็คือวิญญาณเก่า ความคิดจิตใจเก่าของเรานั้น ถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว พร้อมกับพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน  ตรึงไว้เพื่อว่าวิญญาณและความคิดจิตใจที่เป็นตัวบาป จะได้ถูกทำลายให้สิ้นไป  สิ้นไปหรือยัง? สิ้นไปแล้ว และเราจะได้ไม่เป็นทาสของบาปอีกต่อไป เพราะว่าวิญญาณเรา ความคิดจิตใจเราสะอาด บริสุทธิ์แล้ว จากการตายของพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน  และจากการเปิดใจรับเชื่อพระเยซู พระเจ้าได้ทำให้เราตายพร้อมพระเยซูที่ไม้กางเขน นั่นแหละ การตายนั้นคือเราจัดการเอาตัวบาป วิญญาณบาปและความคิดจิตใจเก่า ตัวดำนั้น จบสิ้นไปแล้ว ต้องย้ำตรงนี้เลย พระคัมภีร์บอกหมดสิ้น ก็คือหมดสิ้น ถูกทำลายไปหมดสิ้นแล้ว

ตัวเก่าของเรา ก็คือวิญญาณ ความคิดจิตใจเก่า  ที่เป็นธรรมชาติ วิสัยบาปอยู่ ถูกตรึงไว้กับพระเยซูคริสต์แล้วที่ไม้กางเขน ถูกทำลายจนหมดสิ้นไปแล้ว  เราได้เปลี่ยนธรรมชาติวิสัยบาปนั้น มากลายเป็นธรรมชาติวิสัยดีงาม เหมือนพระเจ้า  เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เอเมน

ธรรมชาติวิสัยของลูกพระเจ้า ก็คือสะอาด บริสุทธิ์ ไร้เดียงสา ไม่มีบาป  และไม่ทำบาป เพราะฉะนั้น เมื่อไรที่เราทำบาป  ก็แปลว่าเรากำลังฝืนธรรมชาติในตัวเรา ที่เป็นเหมือนพระเจ้า  เหมือนพระเยซู เรากำลังฝืนมันอยู่ ฝืนได้ไหม? ได้ ทำไมจะไม่ได้ พระคัมภีร์ยังบอกไว้

วิญญาณของเรา จิตใจใหม่ของเราดี คือตัวตนแท้ๆ ของเราดี แต่มีอะไรบางอย่างมากระตุ้นให้เราใช้ร่างกาย ความคิดจิตใจที่ไม่ดี ทำไป เรียกว่าความประพฤติ ไม่ใช่ตัวตนเรา  มันคืออะไร? ใครมาให้เราฝืนธรรมชาติของตัวเราเอง  ซึ่งเราไม่อยากทำเลย

เหมือนธรรมชาติของมนุษย์ เราต้องเดินตัวตรง 2 ขา  ใครมาหลอกเราให้คลาน มันไม่ใช่ธรรมชาติของเรา

เหมือนทาร์ซานยังคงชินกับการเดินเหมือนลิง มันธรรมชาติของเขาไหม?  ดูแล้วเก้ๆ กังๆ เคยดูหนังใช่ไหม?  ตอนที่ทาร์ซานยังอยู่ในป่า  ลิงที่คอยดูแลทาร์ซานวิ่ง  ลิงมันวิ่งอย่างไร? เอามือลงไปคลาน เดินช้ากว่ามนุษย์ที่เป็นนักวิ่งมาราทอนอีก เพราะว่ามนุษย์ธรรมชาติเขาต้องเดินต้องวิ่งอย่างนั้น  ไม่ใช่ลงไป 4 ขา เขาไม่มี 4 ขา เขามี 2 มือ ถูกไหม? มันฝืนธรรมชาติมากเลย

ซึ่งจริงๆ แล้วคำว่าธรรมชาติ วิสัยบาป หรือ Sinful nature ตรงนี้ มีการเข้าใจผิดกันเยอะมาก เพราะว่ามันมีการแปลผิดอยู่ในพระคัมภีร์บางฉบับ ทั้งภาษาอังกฤษและภาษาไทยด้วย อันนี้เป็นสาเหตุหนึ่งด้วย  ที่ทำให้เข้าใจผิดตรงนี้มากขึ้น เพราะว่าความจริง ในถ้อยคำพระเจ้าได้ถูกบิดเบือน จากการแปลผิด ไม่ใช่ผมไม่เห็นด้วยกับการไปอ่านพระคัมภีร์ การอ่านพระคัมภีร์ดี แต่กำลังจะบอกกับท่านว่าอ่าน ก็ต้องระมัดระวัง ในการเรียนรู้ด้วยว่าให้มันถูกต้องจริงตามนั้น แปลกันมา 2,000 กว่าปี มันก็ต้องมีผิดมีพลาดบ้าง?  เป็นเรื่องธรรมดา เราเอาประโยชน์ส่วนใหญ่ของการอ่านพระคัมภีร์เป็นหลักการ แต่แน่นอน มันก็จะมีส่วนผิดบ้างในนั้น ก็ต้องพยายามที่จะศึกษา ใช้ความคิด สติปัญญาด้วย อธิษฐานกับพระเจ้าด้วย

อย่างเช่นเรากำลังศึกษาพระคัมภีร์เดิม  ตอนที่เขียนขึ้นมาใหม่ๆ ใช้ภาษากรีก ใช้ภาษาฮีบรู โอกาสจะผิดเพี้ยนก็จะมีน้อย จะเข้าใจตรงกัน แต่พอเลยมาหลายๆ ปี แปลเป็นภาษาโน้น ภาษานี้ เลยมา 2,000 ปี มีไม่รู้กี่เวอร์ชั่น เต็มไปหมด  ภาษาอังกฤษอย่างเดียว ไม่รู้กี่ร้อย? กี่พัน? แล้วภาษาไทยอีกกี่เวอร์ชั่น? เพราะฉะนั้น คนแปลก็ว่ากันไป บางท่านแปล ไม่ใช่คริสเตียนก็มี ใช้หลักการประวัติศาสตร์ ใช้หลักการความคิดแบบมนุษย์มาใส่ก็มี มันก็มีผิดพลาดบ้าง แต่ที่พูดทั้งหมดนี้ ยังอ่านพระคัมภีร์อยู่นะครับ พระคัมภีร์ยังมีประโยชน์ แต่พูดให้ฟังเท่านั้นเองว่าต้องระมัดระวัง

เรื่องนี้ เรื่องเกี่ยวกับธรรมชาติบาป หรือว่าเรื่องเกี่ยวกับเนื้อหนังอะไรต่างๆ เหล่านี้ ก็เป็นส่วนหนึ่งที่การแปล มีส่วนทำให้เข้าใจผิดกันเยอะขึ้น

คริสเตียนมีธรรมชาติวิสัยเดียว คือธรรมชาติวิสัยเหมือนพระเจ้า  เรารู้กันตรงนี้แล้วนะ แต่ยังคงทำบาปอยู่  เพราะยังคงมีเนื้อหนัง ภาษาเดิมใช้คำว่า “ซาร์” หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า “Fresh” แปลเป็นภาษาไทย ตรงๆ เลย คือเนื้อหนัง ซึ่งซาร์ หรือ Fresh หรือเนื้อหนัง มันไม่ใช่ธรรมชาติลักษณะของตัวของเราจริงๆ ใช้คำนี้ แต่มันเป็นปรสิตหรือกาฝาก ที่แอบซ่อนอยู่ในตัวเรา  แต่ในโรม 8:5 บอกไว้อย่างนี้

โรม 8:5 “ผู้ที่ดำเนินชีวิตตามเนื้อหนัง ก็ปักใจในสิ่งที่เนื้อหนังต้องการ แต่ผู้ที่ดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ ก็ปักใจในสิ่งที่พระวิญญาณทรงประสงค์”

 

ที่ตะกี้นี้เราอ่านไป ในโรม 8:5 ถ้าจะแปลให้ได้ความหมายที่ถูกต้อง ตามภาษาเดิม ก็จะแปลอย่างนี้ว่า … “ผู้ที่อยู่อาศัยในเนื้อหนัง ก็จะปักใจจดจ่อ ความคิดจิตใจของเขา ไปที่เนื้อหนังต้องการ แต่ผู้ที่อาศัยอยู่ในพระวิญญาณ ก็จะมีความคิดจิตใจ ปักใจไปที่สิ่งที่พระวิญญาณพระเจ้าทรงประสงค์”

มาถึงตรงนี้แล้ว น่าจะเข้าใจมากขึ้น  ถึงตรงนี้ เราก็สรุปแล้วว่าเมื่อเราได้รับการบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ตัวตนที่แท้จริงของเรา ก็คือวิญญาณและจิตใจที่มีธรรมชาติวิสัยที่เป็นเหมือนพระเจ้า  จดจ่อความคิดจิตใจที่เหมือนพระเยซูคริสต์ ไปที่พระเจ้า นี่คือธรรมชาติตัวตนที่แท้จริงของคริสเตียนที่เกิดใหม่ และจะเป็นอย่างนี้ และจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงได้อีก เป็นสิ่งที่ยืนยันว่าเราได้รับความรอด ได้ไปสวรรค์แน่นอน 100% มันเปลี่ยนแปลงไม่ได้  ส่วนการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  จะเป็นอย่างไร? ขึ้นอยู่กับว่าจิตใจใหม่ของเรา ที่ยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้   เราจะเชื่อฟังใคร?  หรือจดจ่อ  จดจ้องความคิดของเราไปที่ไหน?     ความคิดจิตใจมันยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ มันยังมีของล่อลวงอยู่ในโลกนี้  โรม 8:5-9 …

โรม 8:5-9 “5 ผู้ที่ดำเนินชีวิตตามเนื้อหนัง ก็ปักใจในสิ่งที่เนื้อหนังต้องการ แต่ผู้ที่ดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ ก็ปักใจในสิ่งที่พระวิญญาณทรงประสงค์”  6 จิตใจของคนบาปนำไปสู่ความตาย  แต่จิตใจที่พระวิญญาณทรงควบคุม นำไปสู่ชีวิตและสันติสุข 7 จิตใจที่เต็มไปด้วยบาป ก็เป็นศัตรูกับพระเจ้า ไม่ยอมอยู่ใต้บทบัญญัติของพระเจ้า ทั้งไม่สามารถอยู่ได้ด้วย 8 บรรดาผู้ที่วิสัยบาปควบคุมอยู่ ไม่อาจเป็นที่ชอบพระทัยของพระเจ้าได้  9 อย่างไรก็ตาม ถ้าพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตในท่าน ท่านก็ไม่ได้ถูกควบคุมโดยวิสัยบาป แต่โดยพระวิญญาณ”

 

ผู้ที่อยู่ในเนื้อหนัง ก็จะคิดตามที่เนื้อหนังต้องการ เนื้อหนัง ก็คือให้ทำตามวิสัยบาป  เป็นศัตรูกับพระเจ้า แต่ผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ ก็คืออยู่ในพระวิญญาณของพระเจ้า  ก็จะมีความคิดจิตใจที่จดจ่อไปที่จะเชื่อฟังพระวิญญาณเป็นพวกเดียวกัน

ข้อ 6 บอกว่าจิตใจของคนบาป ตรงนี้ ก็คือจิตใจของคนที่เป็นเนื้อหนัง กำลังจะให้เห็นชัดๆ ว่าถ้าจิตใจยังเป็นเนื้อหนังอยู่ จะนำไปสู่ความตาย  รู้ใช่ไหม? ความตาย ก็คืออยู่ตรงข้ามกับพระเจ้านั่นเอง ก็คือเป็นศัตรูกับพระเจ้า

แต่จิตใจที่จดจ่อไปที่พระวิญญาณทรงควบคุมอยู่ นำไปสู่ชีวิต และสันติสุข ก็คือจิตใจที่เหมือนพระเยซูคริสต์ ใจใหม่ของเราที่เหมือนพระเยซูคริสต์ อันนี้มันจะนำไปให้เชื่อฟังต่อพระเจ้า เกิดสันติสุข

ข้อ 7 บอกว่าจิตใจที่เต็มไปด้วยบาป ก็เป็นศัตรูกับพระเจ้า  ตรงนี้แปลเองก็ได้แล้วนะ  จิตใจหรือความคิดจิตใจที่เต็มไปด้วยเนื้อหนัง ก็เป็นศัตรูกับพระเจ้า ไม่ยอมอยู่ใต้บทบัญญัติของพระเจ้า ก็คือไม่ยอมทำตามพระเจ้า ความดีงามของพระเจ้า ทั้งไม่สามารถอยู่ได้ด้วย เพราะว่ามันไม่สามารถครึ่งๆ กลางๆ ได้นั่นเอง

ข้อ 8 จึงบอกไว้อย่างนี้ว่าบรรดาผู้ที่เนื้อหนังควบคุมอยู่  ไม่อาจเป็นที่ชอบพอพระทัยของพระเจ้าได้ ถ้าเขายังไม่เชื่อ วิสัยบาป คือเนื้อหนังมันควบคุมอยู่ มันไม่มีทางทำให้พระเจ้าพอใจได้เลย  ทำดีอย่างไรก็ไม่พอใจ? เพราะว่ามันอยู่ข้างในลึกๆ ในวิญญาณมันยังถูกควบคุมโดยวิสัยบาป  เพราะฉะนั้น มันจึงทำตาม และคิดตามความคิดจิตใจที่เป็นเนื้อหนัง ซึ่งอยู่ตรงกันข้ามกับความคิดจิตใจใหม่ของคริสเตียน ซึ่งเป็นความคิดจิตใจที่เหมือนพระเยซูคริสต์

ข้อ 9 จึงได้บอกว่าอย่างไรก็ตาม อันนี้พูดถึงคนที่เป็นคริสเตียนนะ ถ้าพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตในท่าน  ก็คือบังเกิดใหม่แล้ว  ท่านก็ไม่ได้ถูกควบคุมโดยวิสัยบาป โดยเนื้อหนังอีกต่อไป คือไม่ได้เป็นศัตรูอีกต่อไป แต่โดยพระวิญญาณ ก็คือวิญญาณที่เกิดใหม่ เป็นผู้ควบคุมท่าน

นี่คือสภาวะที่เป็นจริงของคริสเตียน ที่บังเกิดใหม่แล้ว ในวิญญาณเป็นสิ่งที่ตามองไม่เห็น ที่ในพระคัมภีร์ได้อธิบายให้เห็นถึงว่ามันเป็นอะไร? มันเป็นลักษณะอยู่อย่างไร?

ตราบใดที่เรายังอยู่บนโลกใบนี้  ก็คือยังอยู่ในร่างกายนี้อยู่ เรายังคงมีเนื้อหนัง หรือเจ้าปรสิตตัวนี้ แอบซ่อนอยู่ แต่มันไม่ใช่ตัวเรา จำไว้ มันไม่ใช่ตัวเรา แต่มันแอบซ่อนอยู่ ซึ่งเมื่อไรเราเผลอ  มันก็แสดงตัวตนของมัน แสดงฤทธิ์ของมัน อิทธิพลของมันออกมา และล่อลวงให้เราทำตามมัน ไม่ใช่ตัวเรา มันเป็นพยาธิ เป็นเชื้อไวรัส มันมีอิทธิพลบางอย่าง มันไม่ใช่ตัวเรา  ทำให้เราเจ็บป่วยได้ พูดง่ายๆ  ป่วยทางวิญญาณ ไม่ใช่ตัวตนของเราจริงๆ

วิธีการที่เราจะเอาชนะเจ้าปรสิตนี้ได้ คือจดจ่อความคิดของเรา ที่เหมือนพระเยซูคริสต์ ไปจดจ่ออยู่ตรงนั้น ว่าเราเหมือนพระเยซูอย่างไร? ในพระคัมภีร์บอกให้เราจดจ่อความคิดจิตใจของเราไปที่เบื้องบน  ที่พระเยซูคริสต์นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน ให้เรารู้ว่าตัวตนจริงๆ ของเราเป็นใคร? แล้วเราจะได้จัดการกับมันได้

เหมือนเวลาเราใช้คอมพิวเตอร์หรือเครื่องโทรศัพท์ พอซื้อเครื่องใหม่มา เราต้องรีเชตเครื่องใหม่หมดเลย  รีเซตซอฟแวร์ใหม่ ได้เครื่องมาใหม่แล้ว เราต้องเปลี่ยนหรือเซตระบบของซอฟแวร์ใหม่ ล้างโปรแกรมเก่าๆ ออกไปให้หมด แล้วใส่โปรแกรมใหม่เข้าไปแทนที่ เพราะเครื่องรุ่นใหม่มันจะทำงานร่วมกันกับโปรแกรมเก่าไม่ได้ มันเหมือนไวรัส มันเกิดเอ่อร์เร่อ เราต้องล้างของเก่าออกไป เรามีธรรมชาติใหม่แล้ว เราต้องเอาซอฟแวร์ตัวใหม่เข้ามา ให้มันเข้ากันกับเครื่องใหม่ วิญญาณใหม่ ความคิดจิตใจใหม่ ไม่อย่างนั้นมันฝืน เรียกว่าเอ่อร์เร่อๆ มันไปไม่ได้  มันฝืน มันแฮงค์

เช่นเดียวกันตัวตนของเรา ได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่แล้ว เป็นตัวตนใหม่แล้ว วิญญาณใหม่ ความคิดจิตใจใหม่เหมือนพระเยซู เราก็ควรจะล้างโปรแกรมเดิมๆ ออกไปจากความคิดจิตใจ ในชีวิตของเรา โปรแกรมเดิมในที่นี้ ก็คือความคิดแบบเดิมๆ ความประพฤติแบบเดิมๆ นิสัยแบบเดิมๆ ที่เราคุ้นเคย แบบเนื้อหนังๆ … เนื้อหนัง คือระบบของโลกใบนี้ ระบบของความบาปที่ปกคลุมอยู่เหนือโลกใบนี้ ที่พยายามที่จะผลักดันให้มนุษย์ทำอะไรก็ตาม ที่มันเป็นศัตรูกับพระเจ้า ตรงกันข้ามกับพระเจ้า เยาะเย้ยพระเจ้า สู้กับพระเจ้า ปฏิปักษ์ต่อพระคริสต์ เรียกว่าแอนตี้ไคร์ซ

เพราะเมื่อก่อน ตอนที่ยังไม่ได้รับการเปลี่ยนแปลงวิญญาณใหม่ของเรา เราเคยตกอยู่ภายใต้บาปเหล่านี้ เป็นทาสของมันอยู่ เป็นทาสนานๆ จนชิน  จนกระทั่งทำตามวิสัย ตอนนั้น ตอนที่เรายังไม่ได้เปลี่ยนวิสัยมาเป็นวิสัยพระเจ้านะ  เป็นลูกของพระเจ้า ยังเป็นวิสัยบาปอยู่ เป็นทาสมัน 100% เลย  โงกหัวไม่ขึ้นเลย  แต่บัดนี้ เราได้รับการเปลี่ยนแปลงแล้ว เราไม่ได้เป็นทาสของความบาปอีกต่อไป  เราไม่จำเป็นต้องเชื่อฟังมันอีกแล้ว แต่ก่อนนี้เราต้องเชื่อฟังมัน แต่เดี๋ยวนี้ เราไม่ต้องเชื่อฟังมันอีกแล้ว  อย่าให้มันหลอกเรา  โรม 6:11-14 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

โรม 6:11-14  “11 ในทำนองเดียวกัน  จงถือว่าตัวท่านเองตายต่อบาป และมีชีวิตอยู่ เพื่อพระเจ้า ในพระเยซูคริสต์ 12 ดังนั้น ​อย่า​ปล่อย​ให้​บาป​มา​เป็น​เจ้า​ ครอบ​ครอง​ร่างกาย​ที่​ต้อง​ตาย​ของท่าน​อีกเลย คือให้​ความบาปทำ​ให้​ท่าน​ต้อง​เชื่อฟัง​ และ​ทำ​ตาม​กิเลส​ตัณหา​ของ​มัน 13 ท่านไม่​ควร​ยอม​ให้​บาป ​มา​ใช้​อวัยวะ​ส่วน​ไหน​ก็​ตาม​ของท่าน  ​เป็น​เครื่องมือ​ใน​การ​ทำ​ชั่ว แต่​ให้​มอบ​ชีวิต​ของ​ท่าน​เอง​กับ​พระเจ้า  ให้​สม​กับเป็น​คน​ที่​ตาย​ไป​และ​ฟื้น​ขึ้น​มา​ใหม่​แล้ว  ดังนั้น​ ขอ​ให้​ท่าน​ยอม​ให้​พระเจ้า​ ใช้​อวัยวะ​ทุก​ส่วน​ของ​ร่างกาย​ท่าน​ ให้​เป็น​เครื่องมือใน​การ​ทำ​ความดี   14 เพราะบาปจะไม่เป็นนายของท่านอีกต่อไป  ด้วยว่าท่านไม่ได้อยู่ใต้บทบัญญัติ แต่อยู่ใต้พระคุณ

 

สรุปง่ายๆ ว่าตัวเก่าเราที่เป็นสกปรกโสโครก มันจบสิ้น ตายไปแล้ว  วิญญาณเก่า พร้อมกับความคิดจิตใจเก่า ที่มีวิสัยธรรมชาติบาป  ทำบาปอยู่เรื่อย ต่อสู้ เป็นศัตรูกับพระเจ้า ไม่รู้ล่ะ จะรู้จักไม่รู้จักพระเจ้า เป็นศัตรูต่อพระเจ้าทุกอย่าง ตอนนี้  ตัวนี้มันตายไปแล้ว  ไม่ได้เป็นทาสของมันอีกต่อไปแล้ว  พระเจ้าให้เราได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์แล้ว เรามีวิญญาณใหม่เหมือนพระเจ้า มีความคิดจิตใจใหม่เหมือนพระเจ้าเลย แต่ยังดำเนินชีวิตอยู่ในร่างกายเก่านี้ เพราะฉะนั้น มันอาจจะเคยชินกับของเก่าๆ  ซอฟแวร์เก่าๆ การล่อลวงเก่าๆ  ที่พยายามส่งผ่านเข้ามาเหมือนปรสิต มันไม่ใช่ตัวเรา  อย่าไปยอมให้มันทำอีก

อ่านตรงนี้อีกครั้ง “และทำตามกิเลสตัณหาของมัน” เราจะไม่ยอมทำตามกิเลสตัณหาของมันอีกแล้ว สมัยก่อนเราต้องถูกให้ทำตามกิเลสตัณหาของมัน มันไม่ใช่กิเลสตัณหาของเรา แต่มันเป็นกิเลสตัณหาของมัน

ถ้าถามว่าคริสเตียนมีกิเลสตัณหาไหม? ไม่มีแล้ว เพราะพูดถึงคริสเตียน  เกิดมาเป็นลูกพระเจ้า เกิดมาเป็นวิญญาณเหมือนพระเจ้า เกิดมาเป็นความคิดจิตใจเหมือนพระเจ้า มันเป็นไปแล้ว เพราะฉะนั้น เราจะทำอะไร? เราก็ทำเหมือนพระเจ้า  สะอาด บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้าหมดเลย แต่บางครั้งทำอะไรตรงกันข้าม มันฝืนทำ มันไม่ได้อยากจะทำนะ มันถูกหลอก มันถูกกระตุ้นด้วยอะไรบางอย่าง ในนี้จึงบอกว่าไม่ต้องไปยอมมันอีกต่อไป  แต่ก่อนนี้เราเป็นทาส ยอมมัน ตอนนี้ไม่ต้องยอมมัน  สู้กับมันได้เลย และใครช่วยเรา? พระวิญญาณของพระเจ้า และความคิดจิตใจใหม่ที่อยู่ที่ความคิดจิตใจของเรา

วิธีการ ก็คือเราต้องเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจใหม่เสียก่อน  เอาถ้อยคำพระเจ้าเข้ามา เบอร์หนึ่ง ถ้อยคำพระเจ้าที่สำคัญที่สุด อันดับแรกในการเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจใหม่ เป็นซอฟแวร์ของเรา ก็คือเราเป็นอิสระจากมันแล้ว เราสะอาด บริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์เรียบร้อยไปแล้ว มันไม่ใช่ตัวเราที่เป็นผู้กระทำ ตรงนี้ต้องเอามาเปลี่ยนแปลงก่อนเลย ต้องย้ำยืนยันว่าเราสะอาด หมดจด บริสุทธิ์ สามารถยืนอยู่ต่อหน้าพระเจ้า ผู้พิพากษาของมหาจักรวาล ไม่ว่าเดี๋ยวนี้หรือหลังจากตาย และตลอดไปนิรันดร์ เราสามารถยืนอยู่ต่อหน้าพระพักตร์ของพระเจ้า ผู้พิพากษาของมหาจักรวาล ที่บริสุทธิ์ สะอาด และศักดิ์สิทธิ์ได้ เพราะเราบริสุทธิ์ และศักดิ์สิทธิ์ ดีพร้อมในสายพระเนตรของพระองค์เรียบร้อยไปแล้ว  ไม่ว่าเราจะมีความประพฤติอะไรก็ตาม

ที่พูดทั้งหมดนี้ ที่อ่านตั้งแต่ต้นมา ไม่ใช่เอาตรงนี้ไปพูดว่าผมกำลังจะบอกว่าความประพฤติไม่สำคัญ  ความประพฤติก็สำคัญ และในนี้ก็บอกแล้ว สรุปว่าเราอย่าปล่อยให้มันทำอย่างนี้  เราอย่าปล่อยให้ปรสิตเหล่านี้มาทำร้ายเราอีกต่อไป เราสามารถสู้มันได้ และสู้ได้มากน้อยขนาดไหน?  เราไม่ต้องห่วง เรารอด ปลอดภัย ในพระเยซูคริสต์ ด้วยการบังเกิดใหม่ กำเนิดเกิดมาเป็นในพระเยซู โดยพระคุณของพระเจ้า ผ่านทางพระเยซูคริสต์เท่านั้น เอเมน พระเจ้าอวยพรครับ

 

**********************

 

จากใจคณะศิษยาภิบาล

พระคัมภีร์บอกว่าผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ เป็นผู้ที่ชนะโลกแล้ว …

“เพราะทุกคนที่เกิดจากพระเจ้า ก็มีชัยต่อโลก และความเชื่อของเรานี่แหละ เป็นชัยชนะที่ชนะโลก ใครเล่าชนะโลก ไม่ใช่คนอื่น คือผู้ที่เชื่อว่าพระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้านั่นเอง”

(1 ยอห์น 5:4-5)

 

คำว่า “มีชัยชนะอยู่เหนือโลก”  ไม่ได้หมายความว่าพระเจ้าจะทำให้ชีวิตของเราราบรื่นตลอดเวลา ไม่ต้องเจอปัญหา ไม่ต้องเจอความทุกข์ยากลำบาก  แต่โดยความเชื่อนั้น   เราจะได้รับการเสริมกำลัง ที่จะทำให้สามารถเผชิญทุกสิ่งทุกอย่างได้

 

ชนะปัญหา ไม่ได้แปลว่าไม่ต้องเจอปัญหา ปัญหายังมีอยู่  แต่สามารถเผชิญได้ ชนะความยากจน ไม่ได้แปลว่าร่ำรวยขึ้นมา อาจยังยากจนอยู่  แต่ก็สามารถผ่านได้ ชนะความเจ็บป่วย ก็อาจหมายถึงอาการป่วยยังคงมีอยู่ แต่สามารถเผชิญได้ คือสามารถมีความพึงพอใจได้ในทุกสถานการณ์นั่นเอง

 

พระเจ้าอวยพรครับ