คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 24 ธันวาคม 2017 เรื่อง “ความหมายวันคริสตมาส” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  24  ธันวาคม  2017

 เรื่อง “ความหมายวันคริสตมาส

โดย นคร  เวชสุภาพร

            Merry Christmas” ภาษาไทย คือ “ขอให้ท่านได้พบสันติสุขและความสงบทางใจ จากการเสียสละของพระเยซูคริสต์ ที่ได้ทรงไถ่บาปให้กับท่านแล้ว”

ก่อนจะเฉลิมฉลองวันสำคัญ เราควรต้องรู้ความหมายที่แท้จริงก่อน ทุกคนทราบดีว่าวัน คริสตมาส ก็คือวันประสูติของพระเยซูคริสต์ แต่ความหมายที่แท้จริง ที่เป็นเหตุให้มีการเฉลิมฉลอง ใหญ่โตมโหฬารกันทั่วโลก มากขึ้นทุกวันๆ วันจริงๆ ไม่รู้หรอก เป็นวันเฉลิมฉลองการประสูติของพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อลบล้างบาปให้กับมวลมนุษยชาติ

ท่านเคยคิดไหม? ทำไมพระเยซูจำเป็นต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นพระเจ้า แล้วก็มาช่วยมนุษย์เลยไม่ได้หรือ!  เหตุผลที่พระเจ้าต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อมาไถ่บาป ให้มนุษย์รอดพ้นจากการถูกลงโทษ เพราะความบาป พระคัมภีร์ไบเบิ้ล ได้บันทึกไว้ว่ามนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป และต้องได้รับโทษของความบาปนั้น คือจะเชื่อ หรือไม่เชื่อก็ตาม พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้อย่างนั้น ในวิญญาณของเขา ในจิตสำนึกของทุกคน จะรู้ว่าตัวเองเป็นคนบาปอยู่ มีบาป เวรกรรมาตั้งแต่เกิด แต่ก็ไม่รู้ว่าจะช่วยตัวเองได้อย่างไร?  จะหลุดพ้นจากบาปนั้นได้อย่างไร?  หรือหมดเวร หมดกรรม ได้อย่างไร? ซึ่งในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลได้บันทึกไว้ว่ามีเพียงหนทางเดียวเท่านั้น ที่จะทำให้มนุษย์รอดพ้นจากบาปเวรกรรมของเขาได้ ก็คือพระเยซูต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ ก็คือพระเจ้าต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อเป็นตัวแทนของมนุษย์ที่จะรับโทษของความบาปทั้งหมด แทนมวลมนุษย์ เขาเรียกว่าตัวตายตัวแทนนั่นเอง

เพราะว่าตัวการที่ทำให้มนุษย์ทุกคนตกลงไปเป็นคนบาป ได้รับโทษของบาป ก็คือบรรพบุรุษของมนุษย์ ชื่ออาดัมและเอวา พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น เพราะฉะนั้น ผู้ที่จะมาไถ่บาปให้กับมนุษยชาติ ทำให้มนุษย์หมดเวรหมดกรรมได้ ก็ต้องเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์เหมือนกัน โดยมนุษย์เป็นตัวแทนของมนุษย์เท่านั้น ทูตสวรรค์ วิญญาณลงมาแทนมนุษย์ไม่ได้ นี่คือกฎระเบียบทางวิญญาณ ที่พระเจ้าได้วางไว้ตั้งแต่ก่อนสร้างโลกแล้ว เพราะฉะนั้น พระเจ้าเองก็ต้องทำตามกฎของพระองค์ ก็คือพระองค์ทรงลงมาเป็นพระเจ้า และช่วยมนุษย์ไม่ได้ เพราะฉะนั้น พระเยซูจึงต้องสละสภาพพระเจ้า ลงมาเกิดในร่างกายของมนุษย์ นี่คือคำตอบที่ว่าทำไมพระเยซูจึงต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ หรือทำไมต้องมีวันคริสตมาสนั่นเอง เพราะว่ามนุษย์ช่วยตัวเองไม่ได้ และมนุษย์ไม่มีใครช่วยใครได้เลย  เพราะต่างคนต่างบาปหมด เพราะฉะนั้น พระเจ้าจึงต้องมาเกิดเป็นมนุษย์

แล้วคราวนี้ มนุษย์ที่มีนามว่าเยซู ที่เรากำลังกล่าวถึง มีอะไรพิเศษ แตกต่างจากมนุษย์คนอื่นๆ จึงสามารถเป็นตัวแทนไถ่บาปให้มนุษยชาติได้ทั้งหมด ก็เพราะว่ามนุษย์ทุกคน มีเชื้อบาปติดตัวมาเหมือนกันทุกคน ตามที่พระคัมภีร์บันทึกไว้ เป็นเชื้อบาปที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษอาดัมและเอวา พระคัมภีร์ใช้คำว่ามนุษย์ทุกคนอยู่ในอาดัม

ฟังให้ดีๆ พระเจ้าบันทึกไว้ สอนเราทั้งหลายว่ามนุษย์ทุกคนตกอยู่ในความบาป และมนุษย์ทุกคนอยู่ในอาดัม ก็คืออยู่ในชีวิตอาดัม เชื้อบาปอยู่ในอาดัม เราก็เป็นบาปไปด้วย  เกิดก็บาปแล้ว และเมื่อมนุษย์มีเชื้อบาปอยู่ มนุษย์ก็อยู่ใต้อำนาจของมาร ไม่มีกำลังพอที่จะต่อสู้กับอำนาจของความบาปและความตายได้ และไม่มีกำลังพอที่จะช่วยเหลือมนุษย์ ซึ่งกันและกันได้ พระเยซูซึ่งแม้มาเกิดในสภาพมนุษย์ก็จริง มีเลือด มีเนื้อ เหมือนมนุษย์ทุกอย่าง แต่ในขณะเดียวกัน พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า พระคัมภีร์ทรงบันทึกไว้อย่างนั้น และในขณะเดียวกัน พระองค์ทรงไม่มีบาปเลย พระองค์จึงไม่ได้อยู่ภายใต้อำนาจของมาร ของบาป ดังนั้น พระเยซูจึงสามารถรับโทษบาปทั้งปวง แทนมนุษย์ได้ พระเยซูไม่ได้เกิดมาอยู่ในอาดัม 1 ยอห์น 3:5

1 ยอห์น 3:5 “แต่ท่านทั้งหลายรู้ว่าพระองค์ได้มา เพื่อขจัดบาปของเรา และในพระองค์  ไม่มีบาป”

 

ในพระเยซูไม่มีบาป คำถามที่ตามมา คือพระเยซูซึ่งมาเกิดเป็นมนุษย์ มีเลือด มีเนื้อ เหมือนมนุษย์ทุกอย่าง แล้วทำไมพระองค์จึงเป็นมนุษย์เพียงผู้เดียวที่ไม่มีบาปเล่า ก็เพราะว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้า อยู่ในสภาพพระเจ้า ที่ลงมาจุติในครรภ์ของหญิงพรหมจารี คือแมรี่ โดยฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ โดยไม่มีเชื้อจากมนุษย์

“จุติ” ภาษาไทย แปลว่าแปลงสภาพจากวิญญาณ มาสู่เนื้อหนัง พูดง่ายๆ ก็คือพระเยซูแปลงสภาพวิญญาณจากพระเจ้าลงมาอยู่ในเนื้อหนัง ในครรภ์ของแมรี่หญิงพรหมจารีย์ หนังสือลูกาได้บันทึกเหตุการณ์ในช่วงที่โยเซฟกับแมรี่หรือมารีย์ยังเป็นคู่หมั้นกัน และพระเจ้าได้ส่งทูตสวรรค์ไปบอกข่าวกับนางมารีย์อย่างนี้ ตั้งใจฟังให้ดีๆ นี่คือกำลังจะเกิดวันคริสตมาสแรกในโลก ย้อนกลับไปประมาณ 2,000 ปี ใกล้ๆ วันที่พระเยซูจะประสูติ เป็นทารก ก่อนหน้านั้น สักปีหนึ่ง พระเจ้ามาบอกข่าว ทูตสวรรค์มาบอกมารีย์ ในลูกา 1:31-35

ลูกา 1:31-35 “31 เธอจะตั้งครรภ์และคลอดบุตรชาย จงตั้งชื่อบุตรนั้นว่าเยซู 32 พระองค์จะทรงยิ่งใหญ่และได้ชื่อว่าพระบุตรของพระเจ้าสูงสุด พระเจ้าจะประทานบัลลังก์ของดาวิดบรรพบุรุษของพระองค์แก่พระองค์ 33 และพระองค์จะทรงครอบครองพงศ์พันธุ์ของยาโคบตลอดไป  อาณาจักรของพระองค์จะไม่มีวันสิ้นสุดเลย” 34 มารีย์ถามทูตสวรรค์นั้นว่า “จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร ในเมื่อข้าพเจ้าเป็นสาวพรหมจารี?” 35 ทูตนั้นตอบว่า “พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเสด็จลงมาเหนือเธอและฤทธิ์อำนาจขององค์ผู้สูงสุดจะปกคลุมเธอ ดังนั้น องค์บริสุทธิ์ที่ประสูติมา จะได้ชื่อว่าพระบุตรของพระเจ้า”

 

นึกถึงสภาพตอนนั้น ย้อนกลับไปประมาณ 2,000 ปี ตอนที่ทูตสวรรค์พูดกับมารีย์ว่าเธอจะตั้งครรภ์และคลอดบุตรชาย แน่นอนทีเดียว แมรี่ก็ต้องไม่เชื่อ คิดว่ามันจะเป็นไปได้อย่างไร? เพราะว่าตอนนั้นเธอเองเป็นคู่หมั้นของโยเซฟอยู่ ยังไม่ได้แต่งงาน ในช่วงนั้น ประเพณีของชาวยิว ถ้าหญิงใด ร่วมกับชาย โดยไม่ได้แต่งงาน เอาหินขว้างให้ตาย ประหารชีวิต ลองคิดดู แล้วพระเจ้าส่งทูตสวรรค์มาบอกแมรี่อย่างนี้ เธอจึงตกใจ เป็นไปได้อย่างไร?  เธอจึงถามทูตสวรรค์ว่า …

“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร? ในเมื่อข้าพเจ้าเป็นสาวพรหมจารี”

ทูตสวรรค์ก็ตอบว่า “เป็นไปได้ เพราะบุตรชายที่จะเกิดมาในครรภ์ของเธอนั้น มาจากพระเจ้า มาจากฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ไม่ได้มาจากการปฏิสนธิตามธรรมชาติของมนุษย์นั่นเอง”

ทูตสวรรค์กำลังบอกอย่างนี้ ไม่ อย่าไปคิดแบบมนุษย์ นี่เป็นอัศจรรย์ที่พระเจ้าจะกระทำ แล้วมารีย์จะเข้าใจไหมเนี้ย ไม่มีทางเข้าใจหรอก แต่พระเจ้าฟูมฟัก ประชากรของพระองค์ คือชาวอิสราเอล หรือชาวยิว ซึ่งเป็นตัวแทนของมนุษยชาติทั้งมวลให้ติดสนิทอยู่กับพระองค์มาตั้งนานแล้ว เป็นพันๆ ปีแล้ว เพื่อฝังรากลึกของความเชื่อในพระเจ้า แม้ว่ามองไม่เห็นก็ตาม ด้วยสุดจิต สุดใจ ไม่ว่าตาจะเห็นอย่างไร? คิดอย่างไร? พระเจ้าบอกอย่างไร? ฉันจะเชื่ออย่างนั้น ฝังมาตั้งนานแล้ว เป็นพันๆ ปี ก็เพื่อการนี้แหละ พระเจ้าบอกว่า …

“ฟ้าสวรรค์สูงกว่าแผ่นดินโลกเท่าไร? ความคิดของเรา ก็อยู่เหนือความคิดของเจ้า สติปัญญาเรามากกว่าของเจ้า เพราะฉะนั้น เจ้ามีอย่างเดียว คือเชื่อเราเท่านั้นเอง”

ฝังรากลึกมาเป็นพันๆ ปี จนกระทั่งถึงมารีย์ เกิดในตระกูลของชาวยิวที่มีความเชื่อสูง ก็คือพระเจ้าเล็งจะใช้เธอตั้งนานแล้ว เธอก็มีความเชื่อส่งต่อกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษของเธอในครอบครัว ตั้งแต่ปู่ย่าตายาย ตั้งแต่เชื่อพระเจ้า เขาเรียกว่าหลับหูหลับตาเชื่อจริงๆ ถึงแม้ความคิดภายนอกต่างๆ มันจะแย้งหมดเลย เป็นไปได้อย่างไร? ไม่ได้แย้งอย่างเดียว แถมกลัวตายอีกต่างหาก

“ถ้าเกิดท้องขึ้นมา ไม่ได้แต่งงาน แล้วจะไปพูดอะไรกับว่าที่สามี คือคู่หมั้นที่ชื่อโยเซฟ … โยเซฟคงตกใจ หนีไปแล้ว แต่ว่าฉันเป็นหญิงพรหมจารีที่ตั้งครรภ์ ฉันไม่ได้มีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายเลย ใครจะเชื่อฉัน คู่หมั้นฉันจะเชื่อไหม? คู่หมั้นฉันคงจะถอนหมั้น แล้วฉันก็จะถูกเอาหินขว้างตาย”

เขาคงคิดอย่างนี้แหละ เพราะเรากำลังพูดถึงเหตุการณ์เมื่อ 2,000 กว่าปีที่แล้ว  การที่หญิงพรหมจารีจะตั้งครรภ์และคลอดลูก มันเป็นไปไม่ได้เลย แม้แต่ 100 ปีก่อนนี้ ก็เป็นไปไม่ได้เลย ไม่มีทางเกิดขึ้นแน่ๆ ถ้าใครมาพูดกับเราในสมัยโน้น สมัย 500, 600 ปีที่แล้ว หรือ 200 ปีที่แล้ว เราคงว่าคนนี้บ้าหรือเปล่า? แต่ถ้าเป็นในยุคปัจจุบันนี้ ด้วยเทคโนโลยี และวิวัฒนาการทางการแพทย์ การที่หญิงสาวพรหมจารีจะตั้งครรภ์ และทำให้เกิดทารกขึ้นในครรภ์ ต้องถือว่าเป็นเรื่องธรรมดามากเลย มีทั้งการอุ้มบุญ ทั้งผสมเทียน ทั้งการทำเด็กหลอดแก้ว เยอะแยะไปหมด

แต่ไม่ว่าจะเป็นการตั้งครรภ์โดยธรรมชาติ หรือทางเทคโนโลยีก็ตาม ทารกทุกคนต้องเกิดจากเชื้อของผู้ชาย  เป็นพงศ์พันธุ์ของชาย มาจากชายทั้งสิ้น และไปผสมกับไข่ของแม่ ไม่ว่าจะทำกิ๊ฟท์ อุ้มบุญ ผสมเทียม การทำเด็กหลอดแก้ว ต้องมีเชื้อผู้ชายอย่างแน่นอน ถึงจะทำได้ เซลแรก หรือกำเนิดชีวิตแรกของมนุษย์ใดๆ ก็ตาม มาจากเชื้อของผู้ชายมาผสมกับไข่ของผู้หญิง จึงเกิดเป็นเซลแรกขึ้นในครรภ์ ในมดลูก ตอนนี้เราเห็นชัดแล้วนะ

แต่การประสูติของพระเยซูคริสต์ พระองค์ไม่ได้อาศัยเชื้อจากชายเลย ตามที่เราอ่านเมื่อสักครู่นี้  ถ้าจะพูดให้เห็นภาพทางวิทยาศาสตร์แบบปัจจุบัน ก็คงพูดว่าพระเจ้าทรงให้กำเนิดเซลแรกขึ้นในครรภ์ หรือในมดลูกของมารีย์ เมื่อ 2,000 ปีก่อนนั้น โดยไม่ต้องอาศัยเชื้อจากมนุษย์ผู้ชายเลย แต่ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า พระเจ้าบอกว่าเพียงแค่ …

“มารีย์ เราขออาศัยครรภ์ของเธอหรือมดลูกของเธอ เพื่อจะฟูมฟักเซลแรกนี้ แบบมนุษย์ทั่วๆ ไป จนถึงวันคริสตมาส เพื่อจะได้คลอดเขาออกมาเป็นทารกที่บริสุทธิ์ ที่ปราศจากเชื้อบาปเลย แม้แต่นิดเดียว ก็คล้ายๆ กับที่เขามีการจ้างหญิงที่แข็งแรง สาวๆ ที่มดลูกแข็งแรง ร่างกายแข็งแรง มาอุ้มบุญ แทนที่จะเป็นพระเจ้าไปบอก ปัจจุบันเป็นหมอไปบอก หมอบอก …

“มีครอบครัวหนึ่งนะ มีปัญหาเรื่องมีบุตร เขาอยากมีบุตรมากเลย  เขาขอจ้างเธอ ช่วยอุ้มบุญให้ที เขาจะเอาเชื้อของคนเป็นพ่อและเป็นแม่มาผสมกัน เสร็จแล้วก็จะฉีดเข้าไปในครรภ์ของเธอ ให้เธอช่วยอุ้มครรภ์ไว้สัก 9 เดือน แล้วก็คืนเขาไป ให้เธอสัก 300,000 เอาไหม?”

พระเจ้าเราไฮเทคมาก 2,000 ปีกับปัจจุบัน มันต่างกันเหมือนฟ้ากับเหวเลยนะ เราจึงเห็นพระเจ้าพูดอะไร มันเป็นตามนั้นจริงๆ แม้บางครั้ง ตอนพูด เราไม่เข้าใจ แต่วันหนึ่งเราจะเข้าใจ ไม่ว่าวันที่เข้าใจจะอยู่ในโลกใบนี้ หรืออยู่ในสวรรค์ก็ตาม จะเข้าใจเอง

ขอบคุณพระเจ้า หลายครั้งพระองค์เปิดตาให้เรารู้ก่อนเลย บนโลกใบนี้  อย่างเช่น ตอนนี้เรามาศึกษาเรื่องนี้ เทคโนโลยีไม่กี่ปีเท่านั้นเอง ทำตรงนี้ได้ เราจึงเห็นว่าพระเยซูมาเกิดในหญิงพรหมจารี เป็นเรื่องหมูมากเลย เมื่อประมาณ 5, 6 ปีก่อน แค่ร้องเพลงคริสตมาส ปากยังเขินอยู่เลย พระเยซูเกิดในหญิงพรหมจารี หัวเราะ เดี๋ยวนี้ร้องไป ทึ่ง ใช่จริงๆ ด้วย เหมือนที่บอกว่า …

“โลกกลม เป็นพันๆ ปี ไม่เชื่อ ไม่กี่ร้อยปีนี้มาพิสูจน์ เอ่อ! โลกมันกลมจริงๆ”

คล้ายกันอย่างนี้ มันตื่นเต้นนะ

พระเยซูจึงไม่มีเชื้อบาปใดๆ อยู่ในตัวพระองค์เลย มารีย์จึงเป็นผู้คลอดมนุษย์พิเศษ คือพระเยซู ที่ไม่มีมลทินใดๆ เลย ท่ามกลางมนุษย์ทั้งปวงบนโลกใบนี้นั่นเอง พระเยซูจึงเป็นมนุษย์ ผู้เดียวที่แตกต่างกว่ามนุษย์ทั้งปวงบนโลกทั้งหมดเลย ตั้งแต่ 2,000 ปีที่แล้ว พระคัมภีร์จึงใช้คำว่าพระเยซูเป็นพงศ์พันธุ์ของหญิง เพราะมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ เป็นพงศ์พันธุ์ของชายทั้งสิ้น เกิดมาจากชายทั้งสิ้น

พระเยซูเป็นพระเจ้า สำคัญไหม? สำคัญ ต้องเชื่อ แต่ต้องเชื่อไหมว่าพระเยซูเป็นมนุษย์ ต้องมากยิ่งกว่าพระเยซูเป็นพระเจ้าอีก เพราะถ้าท่านไม่เชื่อว่าพระเยซูเป็นมนุษย์ พระเยซูไม่สามารถเป็นตัวแทนท่านได้นั่นเอง จบข่าว พระองค์เป็นมนุษย์ อยู่กับเราได้ เป็นตัวแทนเราได้ เอาบาปของเราไปได้ ถ้าพระเยซูไม่เป็นมนุษย์ เป็นพระเจ้าอย่างเดียว อยู่ห่างจากเรา เราก็ได้แต่ เหมือนหมาแหงนดูเครื่องบิน ได้แต่เห็น บริสุทธิ์ สะอาด ช่วยอะไรเราไม่ได้เลย  แต่พระองค์ทรงสภาพมาเกิดเหมือนเราเลย แต่ไม่มีบาป เพราะฉะนั้น การเกิดของพระเยซูที่เป็นมนุษย์ เป็นสิ่งที่สำคัญที่จะต้องบรรยาย ที่จะต้องเทศนา ต้องประกาศไปเรื่อยๆ ว่าพระองค์เป็นพระเจ้า และเป็นมนุษย์ เวลาพูดกับใครต้องพูดตรงนี้ชัดๆ อย่าบอกว่าพระเยซูเป็นพระเจ้าเฉยๆ ต้องบอกว่าเป็นมนุษย์ เพราะว่าพระคัมภีร์บันทึก และเน้นตรงนี้ว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้า และเป็นมนุษย์

คำว่า “เป็นมนุษย์” ในพระคัมภีร์อธิบายหลายอัน เมื่อเป็นมนุษย์และเป็นพระเจ้าด้วย จึงสามารถไถ่บาปให้กับมวลมนุษยชาติได้ พระองค์เป็นมนุษย์จริงๆ เกิดเหมือนเราจริงๆ รับประทานอาหารเหมือนเราจริงๆ ตอนที่อยู่ในท้อง ในครรภ์ ก็ได้รับอาหารจากแม่ทางสายสะดือแบบพวกเราจริงๆ  เพียงแต่จุดกำเนิด ก็คือเซลแรก ในครรภ์นั้น ไม่เหมือนเรา ฮีบรู 2:14-17 บันทึกไว้เกือบ 2,000 ปีว่าทำไมพระเยซูจึงต้องเกิดมาเป็นมนุษย์ สำคัญอย่างไร?

ฮีบรู 2:14-17 “14 ในเมื่อบุตรทั้งหลาย (มวลมนุษย์) มีเลือดและเนื้อ พระองค์ (พระเยซู) จึงทรงร่วมในความเป็นมนุษย์ของพวกเขา เพื่อว่าโดยการสิ้นพระชนม์ พระองค์จะได้ทรงทำลายผู้กุมอำนาจแห่งความตาย คือมาร 15 และปลดปล่อยบรรดาผู้ซึ่งตลอดชั่วชีวิตตกเป็นทาส (บาป) เนื่องจากกลัวความตาย 16 เพราะแน่นอนว่าพระองค์ไม่ได้ทรงช่วยทูตสวรรค์ แต่ทรงช่วยวงศ์วานของอับราฮัม (มวลมนุษย์) 17 ด้วยเหตุนี้เอง พระองค์จึงต้องเป็นเหมือนกับพี่น้องของพระองค์ทุกอย่าง เพื่อจะได้ทรงเป็นมหาปุโรหิต (เป็นตัวแทนของมวลมนุษย์ ติดต่อกับพระเจ้า เพื่อไถ่บาปมวลมนุษย์) ผู้เปี่ยมด้วยความเมตตาและความสัตย์ซื่อ ในการรับใช้พระเจ้า และเพื่อจะได้ทรงลบมลทินบาปของปวงประชากร (มวลมนุษยชาติ)”

 

“ด้วยเหตุนี้เอง พระองค์จึงต้องเป็นเหมือนกับพี่น้องของพระองค์ทุกอย่าง” เป็นพี่น้อง ก็คือเป็นมนุษย์นั่นเอง เผ่าพันธุ์ ครอบครัวมนุษย์ เรียกว่าพี่น้องครอบครัวใหญ่ๆ นี้  คือพระองค์ต้องมาเป็นมนุษย์เหมือนเขา

“เพื่อจะได้ทรงเป็นมหาปุโรหิต”

คำว่า”ปุโรหิต” แปลว่าผู้รับใช้พระเจ้า มีหน้าที่เป็นคนกลางระหว่างมนุษย์กับพระเจ้าติดต่อกัน ไม่ใช่มีพระเยซูผู้เดียว ยังมีมนุษย์คนอื่นๆ ที่เป็นปุโรหิตและมหาปุโรหิตด้วย ยกตัวอย่างเช่น อาโรน เป็นต้น และอีกเยอะแยะที่เขามีหน้าที่ทำพิธีกรรมต่างๆ คนที่ทำเหล่านี้เขาเรียกว่าปุโรหิต … ปุโรหิต ก็คือคนที่ติดต่อกับพระเจ้า แล้วก็เป็นตัวแทนมนุษย์

ยกตัวอย่างเช่น ตรุษยิว ก็แล้วกัน เมื่อหลายพันปีก่อนตรุษยิว ท่านก็เอาวัวไปแล้วก็บอกอาโรน

“อาโรนช่วยเอาวัวนี้ไถ่บาปให้ฉันที เอาไปให้พระเจ้าที บอกว่าอภัยให้ฉัน อวยพรให้ฉันด้วย ปีต่อไป”

อาโรน ก็คือปุโรหิต เอาวัวตามที่ท่านบอกไป แล้วก็ไปฆ่าวัว แล้วก็บอกพระเจ้า

“พระเจ้า จ๋องเขาจะมาไถ่บาปเขา ปีนี้ ผมเป็นผู้รับใช้ เป็นปุโรหิต ทำแล้ว”

จบ ทำให้เรียบร้อยแล้ว อย่างนี้เขาเรียกว่าปุโรหิต

มหาปุโรหิต คือใคร? ง่ายๆ ก็คือหัวหน้า มีปุโรหิตอย่างนี้หลายคน คนนี้ทำให้จ๋อง คนนั้น ทำให้จิ๊ก หลายๆ คนไปช่วยกันทำ แต่ในหลายๆ คน มีหัวหน้าอยู่คนหนึ่ง เรียกว่ามหาปุโรหิต ในโลกวิญญาณพระเยซูมาเป็นมหาปุโรหิต ให้กับมวลมนุษย์เลย  ทั้งหมดเลย  โดยแทนที่จะเอาวัวไปฆ่า พระองค์เอาตัวเองไปให้ถูกฆ่า เพื่อไถ่บาปพวกเรา

พระเยซูทรงถือกำเนิดเป็นทารกที่ปราศจากเชื้อบาป และตลอดชีวิตของพระเยซู จนถึงวันสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  พระองค์ไม่เคยมีบาป ไม่เคยทำบาปเลย  พระองค์จึงสามารถที่จะแบกรับความบาปทั้งหมดของมวลมนุษยชาติ ไว้ที่พระกายของพระองค์ พระคัมภีร์เขียนไว้อย่างนั้น ซึ่งพระเจ้าก็ได้เตรียมแผนการนี้ บอกไว้ตั้งแต่ก่อนสร้างโลกว่ามันจะเป็นอย่างนี้ 1 เปโตร 1:19-20

1 เปโตร 1:19-20 “19 แต่ด้วยพระโลหิตล้ำค่าของพระคริสต์ ผู้เป็นลูกแกะอันปราศจากตำหนิ หรือข้อบกพร่องใดๆ 20 พระองค์ได้ทรงเลือกสรรพระคริสต์ไว้ ตั้งแต่ก่อนทรงสร้างโลก แต่ทรงให้พระคริสต์ปรากฏในวาระสุดท้ายนี้ เพื่อท่านทั้งหลาย”

 

ย้อนไปนิดหนึ่ง พูดถึงมหาปุโรหิตที่บอกว่าเป็นตัวแทนมนุษย์ ท่านรู้ไหม? ใครเป็นผู้ถวายพระเยซูแทนมนุษย์ทั้งปวง ก็ต้องเป็นมหาปุโรหิตใช่ไหม? คือมหาปุโรหิตในสมัยเมื่อ 2,000 ปี ไม่ใช่มหาปุโรหิตผู้เดียว คณะปุโรหิตในตอนนั้น เกือบทั้งหมด เห็นด้วยกันกับที่จะเอาพระเยซูไปตรึงที่ไม้กางเขน บอกให้ปีลาตสั่งตรึงเสีย ปีลาตบอกเขาไม่ได้ทำผิดอะไร ตรึงทำไม? ต้องตรึงเขาให้ได้ แล้วก็ไปปลุกระดมมวลชน ให้พูดในสิ่งที่เขาต้องการ คือฆ่าเขาซะ เอาเขาไปตรึงๆ พระคัมภีร์บันทึกไว้ พูดง่ายๆ ก็คือปุโรหิตที่เป็นคนตอนนั้น และกลุ่มปุโรหิต ได้ทำการบูชาพระเยซูบนไม้กางเขน เพื่อไถ่บาปให้กับเรา นี่ชัด แต่พระเยซูเป็นมหาปุโรหิตแบบโลกวิญญาณ ไม่ใช่แบบมนุษย์แล้ว ทำการใหญ่กว่านั้น ก็คือเป็นตัวแทนของมวลมนุษยชาติทั้งหมดเลย และก็เอาเลือดของตนเอง ที่ปราศจากตำหนิ ไปถวายพระเจ้า เพื่อไถ่บาปเขา

กลับมาที่เรื่องพระเยซูเป็นผู้บริสุทธิ์ ปราศจากบาป พระเจ้าทรงให้พระเยซูมาจุติในครรภ์ของหญิงพรหมจารีและให้ประสูติในวันคริสตมาส ในสภาพของมนุษย์ที่ปราศจากบาป ช่วงนี้ไปไหนก็ตาม จะได้ยินเพลงนี้เยอะแยะไปหมด Silent Night,  Holy Night, Virgin Mother, Holy Child คือความบริสุทธิ์นั่นเอง ปราศจากบาป เพื่อรอให้ถึงวันศุกร์ประเสริฐ วันที่พระเยซูถูกจับไปตรึงที่ไม้กางเขน ตายไป และถูกฝังไว้ 3 วัน วันอีสเตอร์เป็นขึ้นมาใหม่ ซึ่งเราถือว่าฉลองเทศกาลการเป็นขึ้นมาใหม่ของพระเยซู คืออีสเตอร์ ให้พระเยซูเกิดในวันคริสตมาส แล้วไปตายในวันศุกร์ประเสริฐ และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 คือวันอีสเตอร์

ทั้งหมดนี้ เพื่อจะรับเอาโทษของความบาป ของมนุษย์ทั้งปวงไว้ที่พระองค์เอง เพื่อให้มนุษย์ทุกคนหลุดพ้นจากความบาป และเป็นอิสรภาพจากโทษของความบาป ที่เกิดขึ้นในอาดัม ถ้าเอาออกจากอาดัมได้ เราก็อยู่ในพระคริสต์ เราจะเห็นภาพอย่างนี้ชัดเจนขึ้น ให้เราเป็นอิสรภาพจากโทษที่เราอยู่ในอาดัม ก็คือจากโทษที่เราไม่ได้ทำเลย  ที่หลายๆ คนบอกว่า …

“เกิดมา ฉันไม่ได้ทำอะไร? ทำไมฉันตกอยู่ในบาป เวรกรรม”

ก็เพราะบรรพบุรุษของเรา เป็นอย่างนั้น แต่ตอนนี้เรามีทางเลือกใหม่แล้ว คือพระเยซูคริสต์เป็นบรรพบุรุษให้กับเราได้ สายใหม่ให้กับเราได้ และเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ เป็นแผนการที่พระเจ้าบันทึกไว้ล่วงหน้าแล้ว หลายร้อยปี ก่อนพระเยซูจะมาประสูติ ก่อนที่จะมีวันคริสตมาสอีก นี่คือหนึ่งในจำนวนมากมาย ในพระคัมภีร์ ที่บันทึกไว้ว่าพระเจ้าจะทำอย่างนี้ พระเยซูจะมาจุติ จากสภาพเป็นพระเจ้า มาเป็นมนุษย์ที่ต่ำต้อย มาเกิดในหญิงพรหมจารี บันทึกไว้อย่างนี้ทั้งเล่ม อิสยาห์ 7:14

อิสยาห์ 7:14 “องค์พระผู้เป็นเจ้าเอง จะประทานหมายสำคัญแก่ท่าน คือหญิงพรหมจารีคนหนึ่งจะตั้งครรภ์และคลอดบุตรชาย และจะเรียกบุตรนั้นว่าอิมมานูเอล”

 

“อิมมานูเอล” แปลว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเรา

นี่คือหมายสำคัญและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ในวันคริสตมาส ที่พระเจ้าบอกไว้ล่วงหน้าว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ ถ้าใครมีไหวพริบ พอบอกโลกวิญญาณปุ๊บ ท่านจะมองเห็นอะไรทันที? เห็นเก้าอี้ 2 ตัว มาอีกแล้ว ทำไมต้องมีเก้าอี้ 2 ตัว?  เพราะโลกวิญญาณมองไม่เห็น ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร? ก็เลยมีอันนี้มา เพื่อให้เห็น เป็นเครื่องไม้เครื่องมือที่ทำให้เราเข้าใจง่ายขึ้นนิดหนึ่ง

อย่างที่บอก ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในหนังสือเล่มนี้ทั้งหมด เกี่ยวพันและเป็นเรื่องโลกวิญญาณล้วนๆ เลย ไม่ว่าจะเกิดขึ้นในวัตถุ ในนี้ที่เป็นเรื่องเป็นราวอะไรต่างๆ ทั้งหมด เล็งไปถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในโลกวิญญาณเท่านั้น ยังจำได้นะ อาณาจักรแห่งโลกวิญญาณ ซึ่งเดิมนั้น เป็นอาณาจักรแห่งความมืด นับตั้งแต่มนุษย์คู่แรก บรรพบุรุษของเรา อาดัมและเอวาล้มลงในความบาป ที่พระคัมภีร์ใช้คำว่ามนุษย์ทั้งหลายอยู่ในอาดัม มนุษย์ทั้งหลายอยู่ในความมืด อันเดียวกัน ตั้งแต่อาดัมและเอวาบรรพบุรุษของมนุษย์ พาญาติโกโหติกา ครอบครัวของตัวเอง คือเผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งหมดตกลงไปในความบาป คือตกลงไปในความมืด เป็นทาสของความบาปและความตาย  คืออยู่ในสภาพความมืดบอดนั่นเอง อยู่ในสภาพของการได้รับโทษ คือเป็นเหมือนอาชญากร  ที่ต้องได้รับการลงโทษ คือความตาย มนุษย์ทั้งหลายอยู่ในอาดัม และเพราะมีวันคริสตมาส เกิดขึ้น เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว   ตามแผนการของพระเจ้าจึงนำไปสู่การเกิดอาณาจักรแห่งความสว่างขึ้น   ตั้งแต่วัน คริสตมาสนั้นเป็นต้นมา ก่อนวันคริสตมาสไม่มี มีแต่ในอาดัม ในความมืด โลกนี้อยู่ในความมืด แต่พอมีวันคริสตมาส มีวันที่พระเยซูตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 วันอีสเตอร์ ทันทีทันใด เกิดมีพระเยซูคริสต์ ผู้เป็นขึ้นมาใหม่ และมีความสว่าง นี่คือข่าวดี ที่มาถึงมนุษย์ทุกคน ไม่เว้นแม้แต่คนเดียว จำไว้เลย ไม่มีศาสนาคริสต์นะ แล้วแต่คนจะเรียก

แต่นี่เป็นความเป็นจริงของมวลมนุษยชาติ ศาสนาเป็นสิ่งที่ดี ที่เป็นกฎหมายต่างๆ แล้วแต่ประเพณี การเป็นอยู่ วัฒนธรรม เป็นกฎหมายทางศีลธรรม มันดีอยู่แล้ว แต่เรื่องพระเยซูคริสต์ที่เรากำลังคุยกันอยู่นี้ เป็นประวัติ ในเรื่องโลกวิญญาณทั้งสิ้น ถ้าท่านเอาคำว่าโลกวิญญาณออกไป ท่านจะฟังไม่รู้เรื่องเลย แล้วท่านจะบอกเป็นไปไม่ได้ๆ ไม่รู้เรื่อง แล้วท่านจะอ่านพระคัมภีร์ ก็ไม่รู้เรื่องอยู่ดีนั่นแหละ เพราะฉะนั้น ท่านต้องเข้าใจเบอร์แรกเลยว่ามันเกิดขึ้นในโลกวิญญาณเท่านั้น

เกิดตั้งแต่ 2,000 ปีที่แล้ว วันคริสตมาสแรกของโลก เกิดเป็นเก้าอี้ 2 ตัวนี้ทันทีเลย คืออันหนึ่งเล็งถึงความสว่าง ก็คือผ้าขาว อีกอันหนึ่ง ก็คือผ้าดำ ในอาดัม 2 อาณาจักรแห่งโลกวิญญาณ คืออาณาจักรแห่งความมืด

เพราะมีวันคริสตมาสเกิดขึ้น มนุษย์จึงมีโอกาส ที่จะย้ายจากอาณาจักรแห่งความมืดไปอยู่อาณาจักรแห่งความสว่าง ถ้าไม่มีวันคริสตมาสจะเกิดอะไรขึ้น ทำไมเขาฉลองกันทั่วโลก

Joy to the world the Lord is come

แปลว่า           ชาวโลกทั้งหลายชื่นใจยินดี มีพระราชาประสูติ

คือพระเยซูเสด็จลงมา ให้เราร้องเพลงสรรเสริญ

ฟังให้ดีๆ ถ้าไม่มีพระเยซูเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ พระคัมภีร์บันทึกว่าอยู่ตรงนี้ ไม่มีทางเลือกเลย นี่คือเหตุที่ทำไม พระเจ้าจึงจำเป็นต้องให้พระเยซูมาเกิดบนโลกใบนี้ จำเป็นต้องให้มีวันคริสตมาส ก่อนสร้างโลกก็กำหนดไว้แล้วว่าต้องมี เพราะถ้าไม่มีมนุษย์ก็อยู่ในอาดัมตลอด

ในประวัติศาสตร์โลกบอกว่าพระเยซูเกิดราว ค.ศ.4 หรือ 3 ประมาณนี้  สมมติว่าก่อนคริสตศักราช 4 แล้วกัน ที่พระเยซูจะเกิด มนุษย์อยู่ตรงนี้ทั้งหมด (ฝั่งดำ) สมมติว่าพระเยซูเกิด ค.ศ.4 เดือนธันวาคม พอวันที่ 25 ธันวาคม ค.ศ.4 ในพระคัมภีร์บอก มีดวงดาวส่องตรงที่พระเยซูประสูติ ที่เบธเลเฮม แต่มนุษย์ยังอยู่ฝั่งดำอยู่ จนเด็กทารกผู้นี้ คลอดออกมา 30 ปีไม่ได้ทำอะไรเลย ไม่ใช่ไม่ทำ ทำอะไรต่างๆ ก็ว่ากันไปตามแบบมนุษย์ธรรมดา ทำมาหากิน เพื่อสำแดงให้ผู้คนทั้งหลายในโลกนี้ ทั้งมหาจักรวาลว่า …

“ฉันเป็นมนุษย์เหมือนเขาเลย ฉันต้องทำมาหากิน ต้องทำงาน แล้วฉันก็ไม่รู้จักกับพระเจ้าทุกอย่าง ทุกเรื่อง เป็นพระเจ้าหมด ไม่ใช่ ฉันก็เป็นคนธรรมดา ค่อยๆ เรียนรู้จากพระเจ้า ค่อยๆ ศึกษาหาความรู้สติปัญญาในทางโลกวิญญาณมากขึ้นเรื่อยๆ” ในพระคัมภีร์เขียนไว้อย่างนั้น

เสร็จแล้ว ก็ค่อยๆ ขึ้นมาเรื่อยๆ จนอายุ 33 ปี ค.ศ.37 พระองค์ตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ทันทีทันใดนั้น มาฝั่งขวาเลย ก่อนหน้านั้นไม่กี่วัน ไม่กี่ปี พระเยซูยังบอกเลยว่าสวรรค์กำลังมา ความสว่างกำลังมา เราคือความสว่าง แต่ยังไม่ได้บอกว่าสถาปนา จนกระทั่งพระองค์ทรงตายที่ไม้กางเขน  และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 พระองค์ทรงประกาศว่า …

… บัดนี้ สวรรค์อยู่ที่นี่แล้ว จงไปประกาศเรื่องนี้ให้กับมวลมนุษยชาติทั้งหมดได้รู้เลย บัดนี้ สิทธิอำนาจทั้งหมด ในสวรรค์ก็ดี ในโลกก็ดี ได้ถูกมอบให้กับมนุษย์ โดยผ่านทางเรา ซึ่งเป็นตัวแทนของมนุษย์ทั้งหลายแล้ว จงไปบอกเขาทั้งหลาย ให้ย้ายซะ ย้ายมาอยู่ให้หมดเลย พระเยซูบอกให้ไปประกาศข่าวดี ให้กับทุกคนในโลกนี้เลย

“จงไปประกาศ จนสุดปลายแผ่นดินโลก”

พูดคำนี้ จบเลย ตรงไหนที่ยังไม่มีประเทศ ไม่เป็นไร เดี๋ยวมีประเทศ เธอไปประกาศแล้วกัน เพราะฉันสั่งไปแล้ว ไม่ใช่ไปประกาศให้มนุษย์ทุกคนเดี๋ยวนี้ ขณะนี้ แต่บอกว่าจงไปประกาศ จนสุดปลายแผ่นดินโลกเลย ก็คือประเทศไทยยังไม่เกิด ตอนนี้เกิดแล้ว ก็อยู่ในคำสั่ง เพราะประเทศไทยก็อยู่ในสุดปลายแผ่นดินโลกเหมือนกัน พระองค์ทรงสั่งอย่างนี้ มันสำคัญและง่ายมากเลย สิทธิอำนาจถูกมอบให้กับเราแล้ว ตอนนี้สวรรค์อยู่ที่นี่แล้ว พระบิดาบอกผ่านทางเรา จบแล้วนะ ไปบอกให้หมดเลย เอเมน

สิ่งเหล่านี้ทั้งหมด เกิดขึ้นที่โลกวิญญาณทั้งนั้น ในโลกวัตถุมันก็ดูเหมือนกัน แต่ไม่ใช่ นี่คือโลกวิญญาณ โคโลสี 1:12-13

โคโลสี 1:12-13 “12 ขอบพระคุณพระบิดา ผู้ทรงทำให้พวกท่านเหมาะสมที่จะมีส่วน ในกรรมสิทธิ์ของประชากรของพระเจ้า ในอาณาจักรแห่งความสว่าง 13 เพราะพระองค์ได้ทรงช่วยเรา ให้พ้นจากอาณาจักรแห่งความมืด และทรงนำเราเข้ามาสู่อาณาจักร (แห่งความสว่าง) ของพระบุตรที่รักของพระองค์”

 

นั่งตรงนี้ (ฝั่งดำ) เครียดทั้งวัน หน้ายุ่ง ชีวิตทำไมมันทุกข์ลำบากอย่างนี้ ความหวังก็ไม่มี

ตอนนี้ (ฝั่งขาว) นั่งยิ้ม Joy to the world the Lord is come

เราถูกย้ายออกจากอาณาจักรแห่งความมืดมาสู่อาณาจักรแห่งแสงสว่างด้วยความเชื่อ … เชื่อในข่าวดีของพระเยซูว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้า และเป็นมนุษย์ เพื่อไถ่บาปให้กับมนุษย์ทั้งหลาย รวมทั้งฉันด้วย โดยการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนของพระองค์ และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 สรุปง่ายๆ คือเชื่อในความเป็นจริงในข่าวประเสริฐ ข่าวดีของพระเยซูนั่นเอง ข่าวดีของพระเยซู ก็คือเชื่อในวันคริสตมาส เชื่อในวันศุกร์ประเสริฐ เชื่อในวันอีสเตอร์ จบข่าว

และอย่างที่ผมพูดอยู่บ่อยๆ ตัวตนที่แท้จริงของมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ไม่ว่าท่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ก็ตาม ท่านเป็นวิญญาณ ร่างกายที่เราเห็นกันอยู่นี้ ไม่ใช่ตัวจริงของเรา วันหนึ่งมันต้องลงไปในดิน มันต้องถูกทิ้งไป เหมือนเสื้อผ้า แต่ตัวจริงๆ ของท่าน คือวิญญาณ จะอยู่ตลอดไป และที่อยู่อาศัยของวิญญาณ ก็คือโลกทางวิญญาณนั่นเอง เพราะฉะนั้น ผมถึงบอกว่าพระคัมภีร์ต้องอ่านแล้ว เรียนรู้ทางโลกวิญญาณ  เพราะท่านจะได้เข้าใจ และเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ซึ่งอาณาจักรโลกวิญญาณ มี 2 อาณาจักร มืดและสว่าง วิญญาณของมนุษย์ทุกคน ก็จะต้องอยู่ในอาณาจักรใด อาณาจักรหนึ่ง ไม่ว่ามืดหรือสว่างก็ตาม ไม่ว่าคนนั้นจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อ … เชื่อข้อมูลนี้ หรือไม่เชื่อก็ตาม ในพระคัมภีร์ได้บันทึกไว้อย่างนั้นว่ามนุษย์ทุกคนในปัจจุบันต้องอยู่ในอาณาจักรใดอาณาจักรหนึ่ง ไม่ว่าจะมืดหรือสว่างก็ตาม อย่างแน่นอน เหมือนที่พระคัมภีร์บอกว่าท่านกำลังเดินอยู่บนโลกใบนี้ แล้วโลกใบนี้มันหมุนรอบตัวเอง มันโลกกลม ท่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม แต่โลกกลมจริงๆ

ผมอยากจะยกตัวอย่าง สภาพในโลกวิญญาณของโลกใบนี้ ขณะนี้ เส้นทางการดำเนินชีวิตของมนุษย์ แต่ละคนบนโลกใบนี้ เปรียบเหมือนการนั่งรถโดยสารที่จะขับเคลื่อน นำพาชีวิตเราไป ซึ่งจะมีรถโดยสารให้เลือกอยู่ 2 คัน มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ก็ต้องอยู่บนรถโดยสารนี้ ไม่คันใด ก็คันหนึ่งอย่างแน่นอน

รถโดยสารคันที่หนึ่ง เป็นรถโดยสารที่สว่างไสว มีผู้ขับเคลื่อนรถคันนี้ ชื่อพระเยซูคริสต์ และมีพระเจ้าเป็นผู้กำกับทาง  เป็นผู้คอยให้กำลังใจ คอยปลอบโยน  ระหว่างทาง  อาจจะเจอถนนขุระบ้าง เจอหลุมกระแทกบ้าง เจอพายุพัดไปพัดมา เสียวไส้อะไรต่างๆ พระเจ้าก็จะมาคอยปลอบใจ ให้กำลังใจทุกคน

“สบายๆ นะ ไม่ต้องกลัวๆ เราอยู่ด้วยๆ”

ส่วนรถโดยสารอีกคันหนึ่ง เป็นรถที่มืดสนิท คนขับรถชื่ออะไรก็ไม่รู้ เป็นใครก็ไม่รู้ รู้แต่พระเยซูบอกว่าเป็นพวกขโมย ฆ่าและทำลาย เป็นพวกมิจฉาชีพ ที่คอยมาหลอกล่อลักพาตัวผู้คนไปขึ้นรถ จับเป็นตัวประกัน แล้วคนที่คอยกำกับระหว่างทาง ก็เต็มไปด้วยความโหดร้าย เต็มไปด้วยความน่ากลัว คอยข่มขู่ เคี่ยวเข็ญตลอดเวลา

ผู้คนที่อาศัยอยู่ในรถโดยสารคันที่ 1 คันที่เป็นแสงสว่าง ก็มีแต่ความสุข ความสงบ แม้หนทางจะเป็นหลุม เจอบ่อเป็นระยะ เจอถนนเรียบบ้าง ขุระบ้าง แต่ก็ยังมีสันติสุข มีความสงบ ผู้คนบนรถเต็มไปด้วยความรัก ความเมตตา ถ้อยทีถ้อยอาศัย แบ่งปัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน มีความเผื่อแผ่ซึ่งกันและกัน วางใจในพระเจ้า ให้ผู้กำกับรถคันนี้ คือพระเจ้าเป็นผู้นำพาชีวิตต่อไป ตามรถคันนี้ และที่เป็นแบบนี้ได้ ก็เพราะว่าทุกคนที่อาศัยอยู่ในรถแสงสว่างนี้ ทราบดีว่ารถคันนี้ กำลังจะวิ่งไปไหน แล้วเคลื่อนไปที่ไหน? จุดหมายปลายทางอยู่ที่ใด? และที่นั่นเป็นอย่างไร? เขาจะอยู่อย่างไร? พูดง่ายๆ มีความหวังว่าจะไปถึงสวรรค์นั่นเอง

ในขณะที่รถโดยสารคันที่ 2 ที่เป็นความมืดมิด ตลอดเส้นทาง มีแต่การข่มขู่ มีแต่การคาดโทษ มีแต่ตวาด  และถึงแม้ว่ารถคันมืด  บางครั้งขับไปบนถนนราบเรียบ  ไม่เจอหลุม  ไม่เจอบ่อ  ถนนไม่ขุระ แต่ทุกคนที่อาศัยอยู่ในรถคันนี้ ก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัว แม้กระทั่งถนนเรียบ ยังกลัวเลย กังวลตลอดเวลา คอยแก่งแย่งกัน เบียดเบียนกัน มีแต่ความกระสับกระส่าย วุ่นวาย เครียดกันไปทั้งรถ ไม่มีใครเลยบนรถคันนี้ ที่จะมีสันติสุขและความสงบสุขที่แท้จริงได้ มันกลัว มันระวังไปหมด

และเหตุผลที่ผู้คนในรถคันที่สองที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว เต็มไปด้วยการแก่งแย่งกัน เบียดเบียนกัน ก็เพราะว่าคนที่อยู่บนรถคันนี้ ที่มืดมิด ทั้งสับสนวุ่นวายนี้ ไม่มีใครสักคนเลยรู้ว่ารถคันนี้กำลังขับเคลื่อนไปทิศทางใด? จะไปไหน? จะไปจุดหมายปลายทางที่ใด? และที่นั่นจะเป็นอย่างไร? ชีวิตหลังจากลงจากรถแล้ว จะเป็นอย่างไร? จะเกิดอะไรขึ้น? พูดง่ายๆ มันมืดแปดด้าน มันไม่มีความหวังนั่นเอง

นี่คือภาพที่ผมเปรียบเทียบ ให้เห็นชัดๆ ในโลกทางวิญญาณ ตามหลักพระคัมภีร์ เมื่อเราได้รับเชื่อในข่าวดีในองค์พระเยซูคริสต์แล้ว เราก็จะได้ขึ้นไปในรถโดยสารคันที่ 1 คันที่เรียกว่าแสงสว่าง ที่มีผู้ขับชื่อพระเยซูคริสต์ เราก็จะมีสันติสุข มีความสงบสุข แม้ว่าทางจะขุระบ้าง เจอทางลำบากบ้าง? เจอพายุบ้าง แต่เรารู้ว่ารถคันนี้จะไปไหน? แล้วผู้ที่คอยปลอบโยน ที่คอยดูเราตลอดเวลา คือพ่อของเรา คือพระเจ้านั่นเอง เราก็สบายใจ มีสันติสุขได้ และเมื่อเราขึ้นอยู่บนรถคันนี้ เราจึงมีความรู้สึกเหมือนพระเยซูคริสต์บอก

“ผู้ใดที่แบกภาระและเหน็ดเหนื่อยจงมาหาเรา เราจะให้ผู้นั้นหายเหนื่อยและเป็นสุข”

ก็คือเราหายเหนื่อยและเป็นสุข เมื่อเรารับพระเยซูคริสต์ เราก็ถูกย้ายเข้ามาอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่าง รถแห่งความสว่าง รถคันนี้เต็มไปด้วยสันติสุข เราก็จะหายเหนื่อยและเป็นสุข และเมื่อเราอยู่ในรถแห่งความสว่างนี้  เราก็จะสัมผัสถึงสิ่งต่างๆ ที่ตะกี้เล่ามาทั้งหมด ตั้งแต่เริ่มต้น แล้วเราอยากที่จะบอกข่าวดีนี้ให้ใครก็ตามที่อยู่ข้างๆ เรา อยากให้โลกได้รู้ โลกก็คือมนุษย์ อยากให้มนุษย์ทุกคนได้รู้จริงๆ ว่ามันง่ายนิดเดียว ในการที่จะมีสันติสุขแบบที่เรามี ง่ายนิดเดียวที่จะมาอยู่ในสวรรค์ เพียงเชื่อในข่าวดีของพระเยซู แล้วก็ย้ายมาแค่นั้นเอง ทิ้งความเย่อหยิ่ง ทิ้งความอวดดี ทิ้งสติปัญญา ทิ้งอะไรทั้งหมดของเรา แล้วเชื่อ … เชื่ออย่างเดียว ไม่ต้องเสียอะไรเลยแม้แต่นิดหนึ่ง เชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์เท่านั้น แล้วทันทีทันใด พระเจ้าก็จะย้ายเราไปอยู่ในนี้ เราก็จะเต็มไปด้วยสันติสุข

และจากนั้น พอเกิดขึ้นกับตัวเราเอง เราก็อยากจะไปบอกคนอื่นแล้วว่าข่าวดีนี้คืออะไร? เราอยากให้เขาได้สันติสุขและความสงบทางใจ อันเกิดจากการเสียสละของพระเยซูคริสต์ที่ทรงไถ่บาปให้กับเรา เพราะฉะนั้น ร่วมกันทำทุกวัน จึงจัดเป็นงานฉลองว่าปีหนึ่งจึงมีใหญ่ๆ ครั้งหนึ่ง นอกนั้นมีเล็กๆ ทุกวันก็เป็นคริสตมาส สำหรับเรา แต่วันที่รวมกันใหญ่ๆ ก็คือปีหนึ่งมีครั้งหนึ่ง ในวันที่ 25 นี้ ก็คือวันคริสตมาส เราจึงอวยพรทั้งโลกเลย ไม่ว่าใครมีโอกาส ติดที่บ้าน ติดที่ไหนก็ตาม

ติดคำว่า … “Merry Christmas”

Merry แปลว่าขอให้ท่านได้พบสันติสุขและความสงบทางใจ

Christmas มาจาก Christes Maesse แปลว่ามิซซาของพระคริสต์ คือการเข้ามาร่วมเป็นหนึ่งกับพระคริสต์ การที่พระเยซูคริสต์ตายที่ไม้กางเขน  และหลั่งพระโลหิตชำระบาปให้กับมนุษย์ เรียกว่ามิซซา … มิซซาของพระคริสต์ ก็คือการที่พระเยซูถูกตรึงตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ทำให้มนุษย์กับพระเจ้าสามารถคืนดีกันได้ ตรงนี้ เรียกว่ามิซซาของพระคริสต์ เรียกว่าคริสตมาส

ดังนั้นมาแปลเป็นไทย ไปที่ไหน เราก็อยากจะอวยพรกันว่า Merry Christmas ก็คือขอให้ท่านได้พบสันติสุขและความสงบทางใจ อันเหตุเกิดขึ้น จากการเสียสละของพระเยซูคริสต์ ที่ได้ทรงตาย เพื่อไถ่บาปให้กับท่านแล้ว เอเมน         ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*********************