คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 28 เมษายน 2019 เรื่อง “สำเร็จแล้ว … ไม่มีโทษแห่งความบาปอีกแล้ว” ตอน 3 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  28  เมษายน  2019

 เรื่อง “สำเร็จแล้ว … ไม่มีโทษแห่งความบาปอีกแล้ว”  ตอน 3

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

วันนี้ชื่อเรื่อง “สำเร็จแล้ว … ไม่มีโทษแห่งความบาปอีกแล้ว” วันนี้เราจะมาดูกันต่อในหนังสือโรม บทที่ 8 ซึ่งเป็นเรื่องต่อจากวันอีสเตอร์ สัปดาห์ที่แล้วว่าในวันศุกร์ประเสริฐ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว หลังจากที่พระเยซูได้ตรัสคำว่า “สำเร็จแล้ว” ก่อนสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นกับบรรดาผู้ที่เชื่อในข่าวดี ที่พระองค์บอกว่า “สำเร็จแล้ว”

คำว่า “สำเร็จแล้ว” คือคำสุดท้ายที่พระเยซูประกาศบนไม้กางเขน ก่อนสิ้นพระชนม์ แต่เป็นการเริ่มต้นประกาศข่าวดีของพระองค์ว่าแผนการของพระเจ้า ในการช่วยกู้มนุษย์ให้รอดพ้นจากโทษของความบาปและความตายนั้น ได้วางมาตั้งแต่นมนาน บัดนี้ได้ถูกกระทำให้สำเร็จแล้ว พระคัมภีร์ทั้งเล่มสำเร็จแล้ว สิ่งที่พระเยซูได้เคยเทศนา หรือได้ประกาศไว้ ในขณะที่ยังคงสภาพของการเป็นมนุษย์อยู่ในขณะนั้น คือยังไม่ถูกตรึงที่ไม้กางเขน พระเยซูตระเวนสั่งสอนเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ คำอุปมา คำเทศนา ทั้งหมด ล้วนเป็นเรื่องเกี่ยวกับอาณาจักรสวรรค์ … อาณาจักรสวรรค์กำลังมาตั้งอยู่ พระเจ้ามีน้ำพระทัยในอาณาจักรสวรรค์อย่างไร? มนุษย์จะเข้าในอาณาจักรสวรรค์ได้อย่างไร? พระองค์สอนแค่นี้ จนไปสุด 3 ปีที่โกละโกธาที่ไม้กางเขน พระองค์บอกว่า “สำเร็จแล้ว” ก็คือสวรรค์ ที่บอกกำลังมา ก็มาแล้ว

สรุปคำว่า “สำเร็จแล้ว” ก็คือแผนการของพระเจ้าทั้งหมด ได้สำเร็จแล้ว อาณาจักรสวรรค์ลงมาตั้งอยู่บนโลกนี้ 2,000 ปีแล้ว และอาณาจักรสวรรค์บนโลกนี้มีชื่อว่า “อาณาจักรพระเยซูคริสต์” หรือ “อาณาจักรพระคริสต์” นั่นเอง เพราะฉะนั้น คำว่าในพระคริสต์ ก็คือในสวรรค์ อาณาจักรพระคริสต์ ก็คืออาณาจักรสวรรค์

พระเจ้าได้ตั้งอาณาจักรสวรรค์บนโลกนี้สำเร็จแล้ว คำว่า “สำเร็จแล้ว” ตอนที่พูด เมื่อวันศุกร์ประเสริฐ ก่อนพระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์นั้น ภาษากรีกใช้คำว่า “Tetelestai” แปลว่า “จ่ายหมดแล้ว” สำเร็จแล้ว ก็คือจ่ายหมดแล้ว โดยผ่านทางการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ คือการตายของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน อาณาจักรสวรรค์นี้ จึงมีชื่อว่าอาณาจักรของพระคริสต์ เพราะพระเยซูคริสต์เป็นคนจ่าย เพราะฉะนั้น พระเจ้าจึงตั้งชื่อให้เป็นเกียรติแก่ผู้จ่าย คือพระเยซู จึงใช้ชื่ออาณาจักรนี้ว่าอาณาจักรพระคริสต์

คือก่อนที่แผนการของพระเจ้า ที่วางไว้ทั้งหมดตั้งแต่พระคัมภีร์เดิม จนกระทั่งถึงหมดทั้งเล่ม จะถูกกระทำให้สำเร็จ โลกวิญญาณในตอนนั้น เคยมีเพียงอาณาจักรเดียว ซึ่งในพระคัมภีร์ใช้ชื่อว่า “อาณาจักรแห่งความมืด” ซึ่งบางทีใช้คำว่า “อาณาจักรแห่งความบาปและความสาปแช่ง” ซึ่งรวมๆ พระคัมภีร์ใหม่ใช้คำว่า “อาณาจักรอาดัม” หรือในอาดัม ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับในพระคริสต์ แต่พอพระเยซูบอกสำเร็จแล้ว อาณาจักรสวรรค์ลงมาตั้งอยู่แล้ว โลกวิญญาณก็เพิ่มมาอีกหนึ่งอาณาจักร คืออาณาจักรแห่งความสว่าง ซึ่งบางครั้งก็ใช้คำว่า “อาณาจักรสวรรค์” “อาณาจักรพระคริสต์” รวมๆ กันเรียกว่าอาณาจักรพระคริสต์ หรือในพระคริสต์ เพราะฉะนั้น 2,000 ปีที่ผ่านมานั้น จนถึงทุกวันนี้ โลกวิญญาณมี 2 อาณาจักร

หนังสือโรม บทที่ 8 ที่เราได้เรียนกันสัปดาห์ที่แล้ว ก็เป็นบทสรุปว่าหลังจากที่แผนการพระเจ้าได้ถูกกระทำให้สำเร็จแล้ว หลังจากที่อาณาจักรสวรรค์หรืออาณาจักรพระคริสต์ได้ถูกตั้งบนโลกใบนี้สำเร็จแล้ว หลังจากนั้น เกิดอะไรขึ้น เราทบทวนกันนิดหนึ่ง โรม 8:1-5

โรม 8:1-5 “1 เหตุฉะนั้น บัดนี้ จึงไม่มีการลงโทษ แก่บรรดาผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ 2 เพราะว่าโดยทางพระเยซูคริสต์ กฎของพระวิญญาณแห่งชีวิต ได้ปลดปล่อยท่าน ให้เป็นอิสระจาก  กฎแห่งบาปและความตาย 3 เพราะสิ่งที่บทบัญญัติทำไม่ได้ เนื่องจากวิสัยบาป ทำให้อ่อนแอนั้น พระเจ้าทรงกระทำแล้ว โดยส่งพระบุตรของพระองค์เอง มาในสภาพเช่นเดียวกับมนุษย์ ที่เป็นคนบาป เพื่อเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป และโดยการกระทำเช่นนี้ พระองค์ได้ตัดสินลงโทษบาป ในมนุษย์ที่เป็นคนบาป 4 เพื่อข้อกำหนดอันชอบธรรมของบทบัญญัติ จะได้สำเร็จครบถ้วน ในตัวเราทั้งหลาย ผู้ไม่ดำเนินชีวิตตามวิสัยบาป แต่ดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ 5 ผู้ที่ดำเนินชีวิตตามวิสัยบาป ก็ปักใจในสิ่งที่วิสัยบาปต้องการ แต่ผู้ที่ดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ ก็ปักใจในสิ่งที่พระวิญญาณทรงประสงค์”

 

การสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน เป็นผลให้เกิดการตั้งอาณาจักรสวรรค์บนแผ่นดินโลกนี้ เรียกว่า “อาณาจักรสวรรค์” สำเร็จแล้วด้วย ตามแผนการของพระเจ้าที่ได้ตั้งไว้ว่าวันนั้น วันนี้จะมีการตั้งอาณาจักรหนึ่งขึ้นมาบนโลกใบนี้ อาณาจักรนั้นตามองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน เป็นอาณาจักรที่พระเจ้าเตรียมไว้สำหรับผู้ที่รักพระองค์ เรียกว่าอาณาจักรโลกวิญญาณ คืออาณาจักรสวรรค์ พระเจ้ากับมนุษย์จะมาอยู่ด้วยกัน ตามแผนการที่พระเจ้าได้ตั้งไว้ และสัญญาไว้ตั้งแต่นมแต่นาน แต่อ้อนแต่ออกแล้วว่าพระเจ้าจะทำอย่างนี้ มันเกิดขึ้นเมื่อสำเร็จแล้ว “จ่ายหนี้หมดแล้ว” พระเยซูได้จ่าย … จ่ายในนามของมวลมนุษยชาติ พอจ่ายหนี้หมด ก็มีครอบครัวมนุษย์เกิดขึ้น 1 ครอบครัว เรียกว่า “ครอบครัวพระคริสต์” ซึ่งไม่มีหนี้แล้ว

ซึ่งอาณาจักรสวรรค์ที่ว่านี้ เป็นอาณาจักรสวรรค์ทางโลกวิญญาณ ตามองไม่เห็น มือจับต้องไม่ได้ แต่ใช้ความเชื่อ ความรู้ทางวิญญาณของเราว่ามันมีอยู่ เรียกว่าพร ที่ตามองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ ซึ่งอาณาจักรสวรรค์ทางโลกวิญญาณนี้ ที่ทำให้วิญญาณมนุษย์สามารถที่จะอยู่กับพระเจ้า ผู้บริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ได้ในฐานะเป็นบุตรของพระองค์ ไม่ต้องรอให้ตายนะ 2,000 ปีที่ผ่านมา สวรรค์ตั้งอยู่บนโลกใบนี้แล้ว มนุษย์สามารถเข้าไปอยู่กับพระเจ้า ติดต่อพระเจ้าได้เรียบร้อยแล้ว เพราะจ่ายหนี้บาปหมดแล้ว มีข้อแม้ว่าต้องอยู่ในสำมะโนครัวที่ 2 ซึ่งมีหัวหน้า ชื่อพระเยซูคริสต์

ในโรม บทที่ 8 เปาโลได้แยกแยะให้เราเห็นความแตกต่าง ระหว่างผู้ที่ยังอยู่อาศัยในอาณาจักรเดิม ที่ยังเป็นหนี้อยู่ กับผู้ที่ได้ย้ายออกมาสู่อาณาจักรใหม่ สู่สำมะโนครัวใหม่ ซึ่งจ่ายหนี้หมดแล้วว่ามันแตกต่างกันอย่างไร? คนที่ยังมีหนี้อยู่ ก็ต้องใช้หนี้ต่อไป

ในข้อที่ 1 ผลเกิดขึ้นในโลกฝ่ายวิญญาณ คือไม่มีการลงโทษใดๆ สำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ในอาณาจักรพระคริสต์ ก็แสดงว่าผู้ที่ไม่ได้อาศัยอยู่ในอาณาจักรพระคริสต์ ก็ยังมีโทษอยู่ พูดง่ายๆ ผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ไม่ต้องถูกลงโทษ เพราะไม่มีหนี้สินแล้ว

ในข้อ 2 บอกว่า “เพราะว่ากฎของพระวิญญาณแห่งชีวิต ในพระเยซูคริสต์ ได้ปลดปล่อยให้ผู้นั้นเป็นอิสระจากกฎของความบาป และความตาย” เพราะฉะนั้น ผู้ที่ไม่ได้อยู่ในพระคริสต์ ก็ยังไม่ได้รับการปลดปล่อยหลุดพ้นออกจากความบาปและความตาย ก็คือต้องรับโทษอยู่เหมือนเดิม เพราะว่าคนที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ มีกฎแห่งวิญญาณว่าเขาได้เกิดใหม่แล้ว เขาได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสรภาพแล้ว เพราะกฎของวิญญาณได้บอกแล้วว่าหนี้สินที่มนุษย์ติดหนี้ไว้ ตั้งเยอะแยะมากมาย ตั้งแต่บรรพบุรุษมานั้น พระเยซูคริสต์ได้จ่ายหมดเรียบร้อยไปแล้ว หนี้มองไม่เห็น เพราะไม่เห็นนั่นแหละ เขาถึงเรียกว่ากฎแห่งวิญญาณแห่งชีวิต

กฎแห่งวิญญาณ คือกฎที่มองไม่เห็น แต่มันมีอยู่จริงๆ และถ้าใครเชื่อ ก็ได้รับตามนั้น เพราะวิญญาณเขาไม่ต้องใช้หนี้ ก็เป็นอิสระ

ข้อที่ 3 บอกว่าเพราะว่ามนุษย์ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ พระเจ้าจึงส่งพระบุตรมาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด นี่คือข่าวดี ซึ่งใครเชื่อข่าวดีนี้ ก็ได้รับความรอด ไม่ต้องพึ่งการกระทำอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว ใครที่ยังไม่เชื่อ ก็ยังไม่ได้รับ ก็อยู่ที่เดิม

ข้อ 3 หมายถึงตรงนี้ มนุษย์ไม่สามารถใช้หนี้ของมนุษย์เองได้ เกิดมาเป็นมนุษย์ ก็เป็นคนบาป ติดหนี้เขา จะไปใช้หนี้เขาได้อย่างไร? ต้องมหาเศรษฐีจึงจะใช้หนี้ได้ พระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ก็จริง แต่ไม่ได้อยู่ในตระกูลเป็นคนบาป ไม่ได้ติดหนี้ใคร มาในฐานะร่ำรวยมากเลย ก็เลยสามารถมีตังค์ มาใช้หนี้ให้เลย หนี้ของมนุษย์จริงๆ ถูกใช้ไปหมดเรียบร้อยแล้ว แต่ทำไมทุกวันนี้ไม่หมด เพราะคนที่ได้รับการชำระหนี้ไปเรียบร้อยแล้ว เขาไม่เชื่อ

“เกิดมาต้องใช้เวรใช้กรรมเป็นเรื่องธรรมดา จะมีใครมาชดใช้แทนเราได้”

ก็คิดแบบนี้ เหมือนกับเราเป็นหนี้เขาสักห้าล้านบาท เยอะมาก ไม่มีวันใช้หมดอยู่แล้ว ตายก็ไม่หมด  ได้เงินวันละ 150, 300 บาท ไม่มีทางใช้หมด มีอยู่วันหนึ่ง มีคนข้างบ้าน เขามาถึงบอกว่าห้าล้านบาทใช้ให้หมดเรียบร้อยแล้ว

“ใครจะมาช่วยเรา อยู่ข้างบ้าน ไม่มีอะไรสัมพันธ์กันมากมาย พวกเราใช้หนี้กันต่อไปเถอะ”

พอไม่เชื่อ ก็มีค่าเท่ากับเป็นหนี้เหมือนเดิม ใช้ชีวิตเหมือนเดิม

ข้อที่ 4 พูดถึงความแตกต่างของผู้ที่อาศัยอยู่ใน 2 อาณาจักรนี้ว่าลักษณะชีวิต คุณภาพมันแตกต่างกันอย่างไร? ถ้าจะพูดให้เข้าใจง่ายๆ กำลังบอกถึงธรรมชาติสันดานของทั้งสองอาณาจักรนี้ อยู่ในอาณาจักรนี้สันดานเป็นอย่างไร? อยู่ในอาณาจักรนั้นสันดานเป็นอย่างไร?

ผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ ก็คืออยู่ในสวรรค์ก็จะมีสันดาน วิญญาณที่เป็นเหมือนพระเจ้า เป็นความรัก เป็นความสัตย์ซื่อ มีเมตตา

ผู้ที่อยู่ในอาดัม อยู่ตรงข้าม ก็จะมีสันดานทางวิญญาณ มีลักษณะที่เป็นฝ่ายตรงข้ามกับทางพระเจ้า ถ้าพระเจ้าเป็นความรัก เขาก็เป็นความเกลียดชัง ถ้าพระเจ้าสัตย์ซื่อ เขาก็เป็นคนคดโกง โกหก ถ้าพระเจ้ามีเมตตา เขาก็เป็นคนโหดร้ายทารุณ

มาถึงข้อ 5 อธิบายเพิ่มเติมว่าธรรมชาติของผู้เชื่อ ซึ่งอยู่กับพระเจ้า สะอาด บริสุทธิ์แล้วก็จริง แต่บ่อยครั้งที่อาจจะยังคงกระทำบาป หรือกระทำสิ่งที่ตรงข้ามกับความดีงามของพระเจ้า ในขณะที่ธรรมชาติของวิญญาณของผู้ไม่เชื่อ ยังคงตรงกันข้ามกับพระเจ้า แต่บ่อยครั้งที่อาจกระทำความดี เหมือนพระเจ้า ถูกหรือไม่ถูก? สังเกตให้ดีๆ ตรงนี้กำลังบอกว่าคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า เราดูข้างนอกบางครั้งเขาก็กระทำสิ่งที่ดีๆ เหมือนพระเจ้าทำ คนที่เชื่อพระเจ้าบางทีก็ทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า ทำไมเป็นอย่างนี้ ไม่เห็นเหมือนพระเจ้าเลย

พูดง่ายๆ ก็คือในทางภายนอก อาจทำสิ่งที่เหมือนหรือสิ่งที่ตรงกันข้ามกับพระเจ้าก็ได้ แต่วิญญาณ ซึ่งเป็นตัวตนที่แท้จริง ภายในอยู่ที่อาณาจักรไหน? อาณาจักรใหม่หรือเก่า อยู่ในธรรมชาติลักษณะไหน? มันก็เป็นอย่างนั้น เหมือนที่พระเยซูพูดอยู่บ่อยๆ ยกตัวอย่างให้ใช่ไหม? ต้นไม้ดี ก็จะให้ผลดี ต้นไม้เลวก็จะให้ผลเลว ถ้ามันดี ก็ดีที่ต้นมัน ไม่ใช่ดีที่ปลาย  มาดูข้อต่อไป

โรม 8:6-7 “6 จิตใจของคนบาป  นำไปสู่ความตาย  แต่จิตใจที่พระวิญญาณทรงควบคุมนำไปสู่ชีวิตและสันติสุข  7 จิตใจที่เต็มไปด้วยบาป  ก็เป็นศัตรูกับพระเจ้า  ไม่ยอมอยู่ใต้บทบัญญัติของพระเจ้า  ทั้งไม่สามารถอยู่ได้ด้วย”

 

จิตใจตรงนี้ หมายถึงจิตใต้สำนึกก็ได้ หมายถึงความคิดข้างในลึกๆ ของเรา เป็นจิตใต้สำนึกที่อยู่ติดๆ กับวิญญาณ พระคัมภีร์บอกแล้วว่ามนุษย์เป็นวิญญาณ และมีความคิดจิตใจ  หมายถึงความคิดจิตใจตรงนี้

“ฉันเป็นวิญญาณ ฉันมีความคิดจิตใจ ฉันอาศัยอยู่ในร่างกายนี้ชั่วคราว”

เพราะฉะนั้น 2 อันแรก เรามองไม่เห็น แต่อันสุดท้ายเราเห็นร่างกายนี้ เฉพาะบริบทนี้ พออ่านถึง “จิตใจ” จงนึกถึงเลยว่ามันอยู่ติดกับตัวตนแท้จริงของเรา ก็คือวิญญาณ ไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อนะ มันหมายถึงอย่างนั้น  คนไม่เชื่อพระเจ้าก็เป็นวิญญาณและมีความคิดจิตใจ และอาศัยอยู่ในร่างกายนี้ เหมือนกับเรา แต่ไม่เหมือนกัน

ที่ผ่านๆ มา มีคนพยายามที่จะตีความในถ้อยคำโรม บทที่ 8 นี้ว่าหมายถึงผู้เชื่อ 2 กลุ่ม คือผู้เชื่อตามวิสัยบาป กับผู้เชื่อที่ดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ แล้วก็สอนแบบขัดแย้งกันไปๆ มาๆ เมื่อมาเชื่อพระเจ้าแล้ว เราได้รับการชำระบาปแล้ว เราเป็นอิสระจากโทษของความบาปแล้ว เพราะฉะนั้น เราต้องเปลี่ยนแปลงการดำเนินชีวิต ต้องดำเนินชีวิตให้เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า ต้องไม่ทำบาปอีกต่อไป ส่วนใหญ่เขาจะตีความและสอนกันอย่างนี้

คำถาม ก็คือเราทุกคนรู้ตัวดีว่าแม้จะมาเชื่อพระเจ้าแล้ว ชีวิตข้างในวิญญาณเปลี่ยนแปลงหมด เหมือนพระเจ้าแล้ว เราก็ยังมีโอกาส 100% ที่ยังคงทำบาปอยู่ ตรงกันข้ามกับพระเจ้าอยู่ แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับเรา เมื่อเรามาเชื่อ เราจะรอดไหม? แล้วจะรอดกี่ครั้ง แล้วที่พระคัมภีร์ไบเบิ้ลบอกว่าเราทั้งหลายรอด โดยพระคุณพระเจ้า ได้มาฟรีๆ โดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย หมายความว่าอย่างไร? ถ้ายังมีข้อกังขา หรือข้อแม้ว่าเมื่อมาเชื่อแล้ว เรา “ต้อง” ทำทุกอย่างให้ครบถ้วนบริบูรณ์ ต้องไม่ทำบาป แล้วในนี้บอกว่าเราไม่ต้องทำอะไร ได้มาฟรีๆ มันหมายความว่าอย่างไร? มันแย้งกันไหม

สาเหตุที่ทำให้หลายๆ คนเข้าใจความหมายตรงนี้ผิด ก็เพราะไปตีความคำว่า “ผู้ไม่ดำเนินชีวิต ตามวิสัยบาป” ก็ไปแปลผิดว่าหมายถึงผู้ที่ไม่กระทำบาป บนโลกนี้อีกเลย ซึ่งไม่มีมนุษย์คนไหนทำได้ ไม่มีมนุษย์คนไหนเลยที่จะเลิกทำบาปได้เลย และในสายพระเนตรของพระเจ้า มาตรฐานของพระเจ้า แค่คิด ก็บาปแล้ว นึกโกรธในใจ ก็เท่ากับทำบาปแล้ว  แค่ไม่ให้อภัยเขา พระเจ้าก็ไม่อภัยให้เราแล้ว แล้วเราจะไปทำอะไรได้ เราพึ่งตัวเองได้หรือ?

ข้อที่ 6 ที่เราอ่าน “จิตใจของคนบาป  นำไปสู่ความตาย  แต่จิตใจที่พระวิญญาณทรงควบคุม นำไปสู่ชีวิตและสันติสุข”

จิตใจตรงนี้ หมายถึงจิตใต้สำนึกลึกๆ ที่มันติดกับวิญญาณตัวจริงๆ ของเรา “เรา” ในที่นี้หมายถึงมนุษย์ที่ทั้งเชื่อและไม่เชื่อ เหมือนกัน นี่เป็นลักษณะ สรีระร่างกายของมนุษย์ทุกคน คือเป็นวิญญาณ มีความคิดจิตใจ และอาศัยในร่างกายนี้ชั่วคราว

มาถึงตรงนี้ อธิบายได้ว่าอย่างไร? จิตใจของคนบาป  ก็คือจิตใต้สำนึกที่ติดอยู่กับวิญญาณของคนบาป คนบาปอยู่ในอาณาจักร นำไปสู่ความตาย  “ตาย” ในที่นี้หมายถึงตัดขาดออกจากพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า ต่อต้านพระเจ้า  ไม่รู้จักพระเจ้า ไม่เห็นพระเจ้า เกลียดพระเจ้า ท่านเริ่มเข้าใจนะ

แต่จิตใจที่พระวิญญาณทรงควบคุม นำไปสู่ชีวิต คือจิตใจที่อยู่ติดกับวิญญาณ ซึ่งมีพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าอยู่ด้วย ท่านก็รู้แล้วว่าอยู่ที่ไหน? ตรงกันข้ามกับเมื่อตะกี้นี้ นำไปสู่ชีวิต

“ชีวิต” นี้หมายถึงชีวิตที่เป็นเหมือนพระเจ้านิรันดร์ ซึ่งแปลสั้นๆ ว่าชีวิตนิรันดร์ พูดง่ายๆ ก็คือจิตใต้สำนึกลึกๆ ของคนที่เชื่อพระเจ้าแล้ว ที่ได้เกิดใหม่แล้ว อยู่กับพระเจ้า เขาได้รับชีวิตนิรันดร์เหมือนพระเจ้า แปลแค่นี้เอง

มาถึงตรงนี้ คิดว่าทุกคนคงเข้าใจว่าทุกครั้งที่เราได้เห็นคำว่า “คนบาป” นั้น หมายถึงผู้ที่ยังไม่เชื่อ แล้วถ้าเป็นจิตใจของผู้ที่เชื่อแล้ว อยู่ในพระคริสต์แล้ว แต่ยังเผลอไปทำบาป เรียกว่าจิตใจที่พระวิญญาณทรงควบคุม พระคัมภีร์บอกนะ ผมไม่ได้พูดเอง เรียกเขาว่า “จิตใจที่พระวิญญาณทรงควบคุม”

เพราะผู้ที่เชื่อ ได้ย้ายสำมะโนครัวมาอยู่ในพระคริสต์แล้ว ทางโลกฝ่ายวิญญาณ เขาจะไม่มีคำว่า “ตาย” อีกต่อไปแล้ว เพราะคำว่า “ตาย” แปลว่าเป็นศัตรูกับพระเจ้า ต่อต้านพระเจ้า เข้ากับพระเจ้าไม่ได้ แต่เข้าไปอยู่กับพระเจ้าแล้ว บัพติศมาเป็นหนึ่งเดียวกันไปเรียบร้อยแล้ว เขาเชื่อแล้ว เพราะความรอดที่ได้รับมานั้น  เป็นความรอดนิรันดร์ การคืนดีกับพระเจ้าตอนที่เรารับเชื่อ ตอนที่เราเกิดใหม่แล้ว มันเป็นนิรันดร์ มันเป็นอย่างไรเป็นอย่างนั้นเลย เกิดใหม่แล้ว เกิดการเปลี่ยนแปลงในวิญญาณ เราไม่ได้เป็นศัตรูกับพระเจ้าอีกต่อไป ไม่มีทางได้เป็นเลย  เพราะวิญญาณเปลี่ยนไปแล้ว ธรรมชาติ ตัวตนแท้ๆ ของเราได้เปลี่ยนไปแล้ว

ข้อที่ 7 บอกว่าจิตใจที่เต็มไปด้วยบาป ก็เป็นศัตรูกับพระเจ้า จิตใจที่ติดอยู่กับคนที่ยังไม่เชื่อพระเจ้า ซึ่งเรียกว่าเป็นคนบาปอยู่นั้น เขาก็จะเป็นศัตรูกับพระเจ้า ต่อต้านพระเจ้า พระเจ้าคิดอย่างนี้ เขาก็คิดอย่างนั้น พระเจ้าบอกขาว เขาบอกดำ พระเจ้าบอกอย่า เขาบอกจะทำ ไม่ยอมอยู่ใต้บทบัญญัติของพระเจ้า มันดื้อ โดยสันดาน โดยธรรมชาติ จิตใจก็คิด พยายามที่จะทำอะไรก็ตามที่ธรรมชาติมันเป็นอย่างนั้น  เข้ากับพระเจ้าไม่ได้

โรม บทที่ 8 ที่เราได้เรียนกันมา ได้แบ่งคนเป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่มที่เชื่อพระเจ้าแล้ว ที่เรียกว่าอยู่ในพระคริสต์แล้ว อยู่ในอาณาจักรแห่งแสงสว่างแล้ว  กับกลุ่มที่ยังไม่ได้เชื่อ และใช้สิทธิของเขาในพระเจ้า ซึ่งในนี้เรียกว่าอาณาจักรอาดัม อยู่ในความมืด แบ่งกันแบบนี้ ไม่ใช่แบ่งโดยวิธีการดำเนินชีวิต เพราะถ้าท่านเห็นความจริงเหล่านี้ ท่านจะเห็นชัดเจนขึ้นว่าข่าวดีนี้ เป็นข่าวดีอย่างแท้จริง ไม่อย่างนั้นท่านจะสับสนมาก วุ่นวายไปหมด

พระคัมภีร์บอกว่าผู้ที่เชื่อในข่าวดีของพระเยซูว่าสำเร็จแล้ว สวรรค์มาตั้งอยู่แล้ว สำมะโนครัวใหม่ได้เกิดขึ้นแล้ว เขาจะได้รับการย้ายสำมะโนครัวทางโลกวิญญาณ เข้ามาสู่อาณาจักรสวรรค์ อยู่ในอาณาจักรพระคริสต์ ถูกย้ายออกจากอาณาจักรของความมืดมาสู่อาณาจักรของความสว่าง

“ท่านไม่รู้เหรอ ท่านได้ถูกย้ายออกจากอาณาจักรของความมืด เข้ามาสู่อาณาจักรของความสว่างแล้ว” เอเมน

เรายังอยู่ประเทศไทยเหมือนเดิมเลย ไม่ได้ย้ายบ้าน เขากำลังพูดถึงเรื่องโลกวิญญาณทั้งสิ้น ท่านถูกย้าย ท่านไม่ได้ย้ายเองด้วย พระเจ้าย้าย เพราะเคารพสิทธิของท่าน ท่านบอกไม่เอาแล้ว ไม่อยากอยู่สำมะโนครัวเดิม อาดัมไม่ไหวแล้ว ไม่อยากจะชดใช้บาปด้วยตัวเอง ไม่อยากจะพึ่งตัวเองแล้ว พึ่งพระเยซูดีกว่า แค่นั้นเอง ขอเชื่อในข่าวดีที่พระเยซูตายที่ไม้กางเขน เพื่อฉัน ทันทีทันใด ท่านก็ถูกย้ายสำมะโนครัว และวิญญาณของท่านเข้ามาอยู่ในอาณาจักรหนึ่งที่เรียกว่าอาณาจักรพระคริสต์ ในโลกวิญญาณ

ส่วนผู้ที่ไม่เชื่อในข่าวดี ก็ยังคงอยู่ในสำมะโนครัวเดิม คืออยู่ในอาณาจักรเดิม ซึ่งมีชื่อว่าอาณาจักรแห่งความบาปและความตาย  และความสาปแช่ง ซึ่งในพระคัมภีร์เรียกว่าอยู่ในอาณาจักรของอาดัม อยู่ในความมืด เหมือนเดิม  พระเยซูไม่ได้มาทำให้เขาอยู่ในความมืด แต่เขาอยู่ในความมืดเหมือนเดิม เพราะเขาไม่ใช้สิทธิของเขาเท่านั้นเอง

พระคัมภีร์จึงบอกว่าพระเยซูไม่ได้มา เพื่อตัดสินมนุษย์ ไม่ได้มา เพื่อพิพากษามนุษย์ แต่มาเพื่อช่วยให้รอด ใครต้องการความช่วยเหลือ ก็ได้รับความรอด ใครที่ไม่ต้องการความช่วยเหลือ ก็อยู่ที่เดิม พระเยซูไม่ได้ทำอะไรเลย สักนิดหนึ่ง มาช่วยให้รอด ไม่ได้มาซ้ำเติม ไม้อ้อช้ำแล้ว ก็ไม่ซ้ำเติม มาช่วย แต่ถ้าไม่เชื่อ พระองค์ก็เสียพระทัย เพราะว่าช่วยไปแล้ว  เธอไม่ใช้สิทธิของเธอเอง

ในโลกวิญญาณมีอยู่ 2 แห่งเท่านั้น ขอบคุณพระเจ้า ที่เรามีสิทธิ์ที่จะเลือกอยู่อาศัยได้ในอาณาจักรใดอาณาจักรหนึ่ง ไม่ว่าจะอยู่ในพระคริสต์ หรืออยู่ในอาดัมเหมือนเดิมก็ได้ อยู่ในความมืดเหมือนเดิม หรืออยู่ในความสว่างก็ได้  อยู่กับพระเจ้าก็ได้ อยู่กับมารก็ได้ ถ้าเราตัดสินใจเลือกที่จะอยู่ในพระคริสต์ พระคัมภีร์ก็เรียกว่า “อยู่ในพระวิญญาณ” ถ้าไม่ใช้สิทธิ์ ท่านก็อยู่ในอาดัม อยู่ในวิสัยบาป แปลว่าเนเจอร์ แปลว่าธรรมชาติบาป แปลว่าสันดานบาป ฉันก็อยู่ในอาดัม อยู่ในมาร แต่ถ้าย้ายมาอยู่ในพระคริสต์ ฉันก็อยู่ในพระวิญญาณ อยู่ในเนเจอร์ อยู่ในสันดานวิญญาณพระเจ้า  เหมือนพระเจ้า พูดอย่างนี้ เพื่อให้ท่านเห็นคำว่า “สันดาน” ไม่ได้ร้ายแรง ไม่ได้เป็นคำด่า แต่เป็นคำละเอียดภาษาไทยเราดีมากๆ ที่ให้เห็นชัดๆ ว่าสันดาน หมายถึงอะไร? สมัยก่อนโดนด่าอยู่บ่อยๆ ผู้ใหญ่ชอบว่า …

“แกนิสัยเนี้ย สันดรยังแก้ได้ แต่สันดานแก้ไม่ได้แล้ว”

เรารู้แล้วว่าสันดานเป็นสิ่งธรรมชาติ แก้ไม่ได้

เลือกอยู่ในพระคริสต์ ก็คือในพระคัมภีร์ใช้คำว่าถ้าท่านอยู่ในพระคริสต์ ก็คือเลือกที่จะคืนดีกับพระเจ้า คืนดีกัน เข้ากันได้ แต่ถ้าท่านอยู่ในอาดัม ก็ยังคงเป็นศัตรูกับพระเจ้า ต่อต้านพระเจ้า เป็นตรงกันข้ามกับพระเจ้า เข้ากันไม่ได้

อยู่ในพระคริสต์ ก็เป็นประชากรของพระเจ้า ในพระคัมภีร์บอกว่าท่านไม่รู้หรือ! ท่านเป็นประชากรของพระเจ้า  ท่านไม่ได้เป็นคนแปลกหน้าอีกต่อไปแล้ว แต่ถ้าท่านไม่เลือกเปลี่ยนมาอยู่ในพระคริสต์ ท่านอยู่ในอาดัม ก็เป็นประชากรของโลกนี้ ซึ่งวิปริตไปแล้ว ซึ่งตกในความบาปไปแล้ว โลกนี้มันชั่วร้าย เพราะความบาปปกคลุมอยู่ ถ้าอยู่ในพระคริสต์ ก็เป็นผู้ชอบธรรม พระคัมภีร์ใช้คำว่า “ธรรมิกชน” ถ้ายังอยู่ในอาดัม ก็เรียกว่าเป็นคนบาป ที่จะต้องถูกพิพากษาลงโทษ เพราะใช้หนี้ไม่หมด

พระคัมภีร์ใช้คำว่า “อยู่ในพระคริสต์” จิตใจที่ลึกๆ ที่ติดอยู่กับวิญญาณของท่านนั้น ก็จะถูกควบคุมด้วยพระวิญญาณของพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณของพระเจ้า … พระเจ้า ซึ่งสมัยอดีต ก่อนที่พระเยซูจะถูกตรึงที่ไม้กางเขน แค่มองยังไม่ได้เลย แต่ตอนนี้วิญญาณของฉัน ตัวจริงๆ ของฉันกับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน มันหมายถึงอย่างนั้น  แต่ถ้าท่านยังอยู่ในอาดัม จิตใจตรงนี้ มันจะเป็นเหมือนกันทั้งหมดเลย มันจะเป็นความบาป ซึ่งบังคับโดยมาร ให้ท่านเห็นภาพมันตรงกันข้ามกันสุดขั้ว ทรมานมากเลย

เวลาคนประกาศข่าวประเสริฐ รู้ลึกๆ อย่างนี้ ถึงทุ่มเทชีวิตประกาศๆ เปาโลจึงประกาศ ใครมาขวางทางเรื่องประกาศข่าวดี เปาโลต่อว่าแรงเลย ไม่ว่าจะเป็นพวกเดียวกันหรือไม่ใช่พวกเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นชาวยิว ซึ่งเชื่อแล้วก็ตาม เพราะเปาโลไม่อยากให้ข่าวดีของพระเจ้าเสียหาย กลายเป็นข่าวเกือบดี … เกือบดี มันก็คือไม่ดี หรือกลายเป็นข่าวท่าทางจะดี ก็คือยังไม่สำเร็จ หรือเป็นข่าวน่าจะดี ก็ยังไม่สำเร็จ แต่เปาโลบอกมันเป็นข่าวดีแล้ว สำเร็จแล้ว พระคัมภีร์ต้องการให้ข่าวดี เป็นข่าวดีจริงๆ

สรุป ก็คือถ้าเผื่อท่านเลือกที่จะอยู่ในพระคริสต์ ก็เท่ากับท่านเลือกที่จะมาอยู่กับแสงสว่าง มองทุกอย่างเห็นหมดเลย  เข้าใจหมด ชีวิตไปโลด แต่ถ้าท่านไม่เลือก จะอยู่ที่เดิม วิญญาณของท่านอยู่ในอาณาจักรหนึ่งที่เรียกว่าความมืด มืดสนิท มีการขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน มีความทรมานนิรันดร์ มันหมายถึงอย่างนั้น แต่ถ้าท่านย้ายมาอยู่ในอาณาจักรของพระคริสต์ อยู่ในความสว่าง มันสว่างนิรันดร์ คำว่า “นิรันดร์” เหมือนกัน แต่จะสว่างนิรันดร์ หรือจะมืดนิรันดร์เท่านั้นเอง โรม 8:8-9 อันนี้จะทำให้เราเห็นชัดขึ้นอีก

โรม 8:8-9 “8 บรรดาผู้ที่วิสัยบาปควบคุมอยู่ ไม่อาจเป็นที่ชอบพระทัยของพระเจ้าได้ 9 อย่างไรก็ตาม ถ้าพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตในท่าน ท่านก็ไม่ได้ถูกควบคุมโดยวิสัยบาปแต่โดยพระวิญญาณ และถ้าผู้ใด ไม่มีพระวิญญาณของพระคริสต์ ผู้นั้นก็ไม่ได้เป็นของพระคริสต์”

 

“บรรดาผู้ที่วิสัยบาปควบคุมอยู่” คือวิญญาณของคนบาป วิญญาณเขาเป็นศัตรูกับพระเจ้า ไม่อาจเป็นที่ชอบพอพระทัยของพระเจ้าได้ ไม่ใช่พระเจ้าเกลียดเขา แต่มันเข้ากันไม่ได้ พระเจ้าพูดหนึ่ง เขาไปสอง พระเจ้าบอกขาว เขาไปดำ โดยเนเจอร์มันไม่ได้เลย อย่างไรก็ตามถ้าพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตในท่าน ท่านก็ไม่ได้ถูกควบคุมโดยวิสัยบาปนะ ถ้าเราเชื่อ พระเจ้าเข้ามาควบคุม พระวิญญาณอยู่ในเรา ก็ไม่มีวิสัยบาป มันมีวิสัยอันเดียว คือวิสัยของความบริสุทธิ์ของพระเจ้าอยู่ในเรา เราเป็นความรัก อดทน ไม่อิจฉา ไม่อวดตัว เราอภัยได้ เราอินโนเซนต์ เราไร้เดียงสาในเรื่องกระทำสิ่งที่ชั่วร้าย เพราะเราเป็นลูกพระเจ้า นี่พูดถึงในวิญญาณ แต่ถ้าผู้ใดไม่มีพระวิญญาณของพระคริสต์ ผู้นั้นก็ไม่ได้เป็นของพระคริสต์

ถ้าเราเชื่อ เราเป็นของพระคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกัน ถ้าไม่เชื่อ ก็ไม่ได้เป็นของพระเจ้าเลย ไม่ได้อยู่ในพระเจ้า คนละเรื่อง คนละขั้วเลย พระคัมภีร์บริบทนี้ต้องการให้เราเห็นชัดเจน เด็ดขาดของคน 2 กลุ่ม ลักษณะของคน 2 กลุ่ม คุณภาพของคน 2 กลุ่ม คือกลุ่มที่อยู่ในสำมะโนครัวใหม่ ที่มีชื่อว่า “พระคริสต์” ที่เรียกว่า “สวรรค์” กับกลุ่มเดิมที่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงไม่ยอมเชื่อในข่าวดี ยังอยู่ที่เดิม เรียกว่าในอาดัม อยู่ในความมืด มันต่างกันอย่างไร? เพื่อจะบอกคนเหล่านั้นว่านี่คือข่าวดี มาเถอะ ง่ายนิดเดียว คือเชื่อในสิ่งที่พระเยซูทำ ที่ไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ซึ่งถ้าเป็นเปาโล ก็อาจจะบอกว่าเชื่อในสิ่งที่พระเยซูทำ แล้วประกาศที่ไม้กางเขนแล้ว เมื่อหลายปีก่อน

“บังเกิดใหม่” หมายถึงมาเชื่อพระเจ้าแล้ว ย้ายเข้ามาสู่อาณาจักรใหม่ เข้ามาสู่สำมะโนครัวใหม่ เกิดใหม่จริงๆ ไม่ใช่ย้ายเข้ามาเฉยๆ คือเกิดจากคนบาปมากลายเป็นคนชอบธรรม เกิดจากอยู่ในอาณาจักรแห่งความมืด ย้ายเข้ามาสู่อาณาจักรแห่งแสงสว่าง

ที่ตะกี้บอกมนุษย์เป็นวิญญาณ และมีความคิดจิตใจ ทั้งวิญญาณก็เกิดใหม่เหมือนพระเจ้า ทั้งความคิดจิตใจก็เหมือนพระเจ้า ติดมาเลย เพียงแต่ยังอาศัยอยู่ในร่างกายนี้เหมือนเดิมเท่านั้นเอง ตอนที่เราเชื่อพระเจ้ามี 2 สิ่งที่เปลี่ยนทันที รุนแรงในโลกวิญญาณที่เรามองไม่เห็น ก็คือวิญญาณและความคิดจิตใจลึกๆ ตรงนี้ ที่มันติดอยู่ในวิญญาณ เปลี่ยนใหม่ ได้ถูกชำระ โดยฤทธิ์เดชอำนาจของพระโลหิตพระเยซู

มนุษย์เรา เมื่อบังเกิดใหม่แล้ว ก็จะมีความคิดจิตใจที่สะอาดบริสุทธิ์ เป็นวิญญาณที่เหมือนพระเจ้า มีความคิดจิตใจที่เหมือนพระเจ้าเลย จิตใต้สำนึกเราเหมือนพระเจ้า สะอาดบริสุทธิ์ ขณะเดียวกันเรายังอาศัยอยู่ในร่างกายนี้อยู่ ร่างกายนี้ มีสมอง แล้วมันก็มีความคิดของมันด้วย ความคิดอาจพอจะจับได้ แต่ไม่ชัดเจน  แต่สมองชัดเจนแน่ เวลาเราคิดอะไรใช้สมอง และความคิดในสมอง พอคิดอะไรปุ๊บ จะสั่งให้ร่างกายกระทำ นี่คือเรื่องจริงๆ ของธรรมชาติของร่างกาย ไม่ว่าท่านจะเดิน สมองต้องเป็นคนสั่ง ซึ่งบางคนที่บอกเป็นอัมพาต เพราะบางแห่งของสมองเสียหายไป เขาก็บังคับมือขวาไม่ได้ บังคับมือซ้ายไม่ได้ ก็แล้วแต่

สมองตัวนี้ หรือความคิดในสมองตรงนี้ ยังคงรับอิทธิพล จากโลกใบนี้ ที่มันตกลงไปในความบาป ยังคงรับอิทธิพลจากบาป หรืออะไรก็ตามที่ตรงกันข้ามกับทางของพระเจ้า ที่มันพยายามส่งกระแส จะกระตุ้นตา หู จมูก ลิ้น กาย และความคิดของเรา กระตุ้นไปในทิศทางที่อยู่ตรงข้ามกับพระเจ้า ให้ความคิดและสมอง สั่งการ ให้ทำตามอิทธิพลของมัน  พูดง่ายๆ มันก็ส่งไวไฟ ส่งสัญญาณกระตุ้น …

“อย่างนี้มันอภัยไม่ได้แล้ว อภัยไป 3, 4 ครั้งแล้ว อย่างนี้ต้องอัดแล้ว” อะไรอย่างนี้

นี่คือสิ่งที่ส่งเข้ามา แล้วความคิดก็คิด สมองก็เริ่มกลั่นกรอง ความเคยชินต่างๆ ไม่เกี่ยวกับโลกวิญญาณตอนนี้  ส่วนขณะเดียวกัน ทางโลกวิญญาณ … วิญญาณของเราที่ได้เกิดใหม่แล้ว อยู่กับพระเจ้าแล้ว ความคิดจิตใจที่อยู่ติดกับวิญญาณเลย สะอาดบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้าแล้ว เต็มไปด้วยความรัก พระวิญญาณก็ส่งกระแสมา

“เราเกิดมาเป็นลูกพระเจ้า เต็มไปด้วยความรัก อดทนนาน กระทำคุณให้ อย่างนี้ อภัยเขาเถอะ อย่าไปคิดมากเลย  เขาทำอย่างนี้ เพราะเขาจำเป็นต้องทำ อภัยให้เขาเถอะ แต่ก่อนนี้เราก็เป็นอย่างนี้เหมือนกันใช่ไหม? แต่ตอนนี้เราดีขึ้นแล้ว เรารู้ เราเข้าใจ เราอภัยให้เขานะ เราไม่ใช่มีเนเจอร์ สันดานเป็นอย่างนั้นนะ เนเจอร์ สันดานเราเป็นของดี”

เห็นไหม? มันก็ตีกัน ในขณะเดียวกันที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ในตัวของเราพยายามส่งกระแสแบบนี้ เพื่อจะเปลี่ยนแปลงความคิดของเราเสียใหม่ และพระวิญญาณก็ส่งความคิดนี้เข้ามา ซึ่งพระคัมภีร์ภาษาอังกฤษใช้คำว่า “Mine of Christ” แปลว่าความคิดของพระคริสต์ ความคิดในลักษณะของคนที่อยู่ในพระคริสต์ ความคิดของลักษณะคนที่อยู่ในสวรรค์ เขาคิดกันอย่างนี้  เรามีอยู่ในตัวของเรา อยู่ในความคิดของเรา เป็นอย่างนั้น ความคิดจิตใจอย่างนี้ มันก็จะสู้กัน เป็นเหมือนที่ปรึกษาเรา ความคิดจิตใจตรงนี้ก็จะช่วยเราในการเปลี่ยนแปลงความคิดเคยชินของเรา ให้เป็นไปด้วยกันกับพระเจ้า ผ่านทางสื่อของพระเจ้า เช่นถ้อยคำของพระเจ้าในพระคัมภีร์พูดถึงเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้า คุยเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้า พูดง่ายๆ อะไรก็เกี่ยวกับพระเจ้าทั้งหมด เพื่อมาสั่งการสมองอีกที

“สมอง ฉันจะสั่งแก อภัยให้เขาสะ แทนที่จะยกมือตบ แกยกมือไหว้เขาเลย”

บางทีมันเร็วมากเลยนะ ยกมือตบกับยกมือสวัสดี มันต่างกันนะ เกิดโมโห กำลังทะเลาะกัน ตบเลย เรื่องกลายเป็นใหญ่โตเลย ถ้ามีอะไรฉันทำผิด ขอโทษด้วยนะ คนนั้นเงียบ อีกคนสยบทันที เกิดความรัก เขาเรียกว่าลบความบาปออกไปเยอะเลย ถ้าตบเลย คนนั้นตบกลับ ตำรวจมา เป็นเรื่องใหญ่โต เขาเรียกว่าบาปทั้งนั้น แต่พอเปลี่ยนจากตบ เป็นสวัสดีปุ๊บ ทุกอย่างสงบ เต็มไปด้วยความรัก ทุกอย่างเป็นดีหมด กระจกในร้านก็ยังดีอยู่ โต๊ะข้างๆ เขาก็ไม่หัวแตก เพราะเราตีกัน โดนลูกหลงไป ท่านเห็นภาพไหม? มันเป็นอย่างนี้ นี่พูดให้เห็นชัดๆ บางเรื่องเท่านั้นเอง เพื่อเราจะได้เห็นว่าสมองเป็นคนสั่งการ แต่ก่อนที่มันจะสั่งการ ต้องมีข้อมูลให้มันว่า …

“ฉันจะทำอย่างนี้แหละ”

แล้วใครเป็นคนสั่งให้ทำอย่างนี้ ก็มี 2 พวก รับจากที่ปรึกษาคนไหน? ถ้ารับจากที่ปรึกษาที่เป็นวิญญาณของเราที่เกิดใหม่แล้วจากพระเจ้า มันก็อีกอย่างหนึ่ง แต่ถ้ารับจากโลกใบนี้ ตาต่อตา ฟันต่อฟัน ผลประโยชน์ฉัน ฉันไม่ยอมเด็ดขาด อันนี้ก็เป็นอีกแบบหนึ่ง ผลของการกระทำก็จะถูกสมองสั่งให้เป็นแบบนั้น

สมองหรือความคิดของเราตัวนี้แหละที่พระคัมภีร์ใช้คำว่า “เป็นป้อมปราการ” มันสำคัญที่สุด ที่จะเกิดการต่อสู้ที่เรียกว่า “Spiritual Warfare” ไม่ได้หมายถึงว่าอธิษฐานสู้กับมาร วิญญาณสู้กัน ส่งทูตสวรรค์ไปตีกับมาร รบกัน ส่งระเบิดปรมณูทางฝ่ายวิญญาณ ไม่ใช่ “Spiritual Warfare” ตรงนั้นในโลกวิญญาณไม่ต้องห่วง พระเจ้าเรายิ่งใหญ่มาก พระเยซูนั่งอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถาน ครอบครองควบคุมทั้งหมด พระเจ้ามอบให้พระเยซูทั้งหมดแล้ว ไม่ต้องกลัวเลย แต่มากลัวตรงนี้มากกว่า ตรง …

“ฉันเอง มีที่ปรึกษาผิดหรือเปล่า? ที่ปรึกษาฉันถูกไหม?”

จริงๆ มันสู้รบกันตรงนี้ “Spiritual Warfare” ตรงสมองและความคิดของเรา ระหว่างสื่อที่ส่งผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เรียกว่า “Mine of Christ” ความคิดของพระเยซูคริสต์ ความคิดแบบพระเยซูคริสต์ ที่ส่งผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ กับสื่อที่ส่งผ่านมาทางโลกนี้ เจ้าแห่งโลกนี้ ก็ตัวนั้นแหละ พระคัมภีร์บอก มารกระทำการงานในคนที่ไม่เชื่อทั้งหลาย  คนไม่เชื่อทั้งหลายอยู่ใต้อำนาจของมัน เห็นแก่ตัวบ้างอะไรต่างๆ ทำให้เราวุ่นวายไปหมด และมาแยงให้เราทำอะไรก็ได้ ในสิ่งที่มันตรงกันข้ามกับวิญญาณของเรา มันก็ทุกข์ทรมานนะ โกงเรา แกล้งเรา แล้วในวิญญาณบอกว่าให้เราอดทน ให้เราให้ความรักเขา ให้เราอธิษฐานให้เขา ให้เราอภัยให้เขา  มันก็ทุกข์ทรมาน

ใครสามารถยึดป้อมปราการตรงนี้ได้ สมองหรือความคิดตรงนี้ได้ ก็สามารถควบคุมการสั่งการได้ อวัยวะร่างกาย มี 2 พวกเอง ขาวหรือดำ สมองที่เคยชิน ยึดความคิดเราว่า …

“ถ้าใครขับรถตัดหน้า ด่าเลย”

นี่คือสมอง พระคัมภีร์บอกไปเปลี่ยนแปลงเสียใหม่ โดยการไปอธิษฐานกับพระเจ้า ไปอ่านถ้อยคำพระเจ้า อยู่กับพระเจ้าไปเรื่อยๆ Set your mine หมายถึงจงเอาความคิดจิตใจนี้ ไปจดจ่ออยู่ที่เบื้องบน ที่มันอยู่นิรันดร์ อย่ามาสนใจบนโลกใบนี้ ที่มันอยู่ชั่วคราว มันหมายถึงอย่างนั้น และถ้าเราจดจ่อกับเบื้องบน จดจ่อกับพระเจ้า  เช่นอย่างที่บอก เรื่องถ้อยคำพระเจ้าอะไรต่างๆ ถ้อยคำพระเจ้า จะมีอิทธิพลอยู่ในความคิด อยู่ในสมองของเรา เคยชินกับเรื่องถ้อยคำพระเจ้า เราก็จะมีกำลังพอ ที่จะทำให้อวัยวะมันทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า เราจะได้รู้ว่าน้ำพระทัยพระเจ้าที่ดีที่สุด คืออะไร?

แต่ทั้งหมดนี้ ก็ต้องกลับมาที่เดิมว่าไม่เกี่ยวกับความรอดทางวิญญาณเลย เพราะวิญญาณของเราถูกควบคุม 100% โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เกิดใหม่แล้ว เกิดแล้วก็เกิดเลย ไม่มีตายอีกแล้ว ไม่ใช่ เกิดๆ  ตายๆ ตายๆ เกิดๆ เมื่อไรมันจะเสร็จ มันไม่ใช่ เกิดแล้วก็เกิดเลย ถ้าเกิดแล้วตายได้ พระเจ้าไม่เก่งแล้ว พระเยซูทำไม่สำเร็จแล้ว พระเยซูทำสำเร็จแล้ว พอเราเชื่อแล้ว นั่นแหละ คือเกิดใหม่ ได้แล้ว จบ

มันไม่เกี่ยวกับโลกวิญญาณที่เราพูดเมื่อตะกี้ “Spiritual Warfare” ทางสมอง ความคิด เพราะวิญญาณของเราได้เกิดใหม่แล้ว โดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ วิญญาณของเราตอนนี้ถูกควบคุม ติดสนิท เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เป็นวิญญาณที่เหมือนพระเจ้า 100% เขาเรียกกันว่าบัพติศซึม เป็นหนึ่งเดียวกัน เขาเรียกว่าวิญญาณสามัคคีธรรมกับพระวิญญาณบริสุทธิ์กับวิญญาณของพระเจ้า พระบิดา พระบุตร กับพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นหนึ่งเดียวกัน สามัคคีธรรมแปลว่าการรวมกันเป็นหนึ่ง เหมือนเอาน้ำกับน้ำใส่ลงไป มันเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว เขาเรียกว่าการบัพติศมาในไฟ พลังแห่งอำนาจของพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกัน ฤทธิ์อำนาจพระเจ้าอยู่กับเราแล้ว เปลี่ยนแปลงเราเป็นหนึ่ง เหมือนพระองค์แล้ว ใครจะมาเอาเราออกไปจากพระเจ้าได้ พระเจ้าบอก มันใหญ่ขนาดไหนที่จะมาเอาคนนี้ออกจากมือเรา พระเยซูบอกไม่มีใครเอาแกะออกไปจากคอกของเราได้ ถ้าเขาเข้ามาในคอกแล้ว มีใครบ้าง ไม่ว่าฤทธิ์อำนาจใด ความยิ่งใหญ่ขนาดไหน? ลึกหรือกว้างขนาดไหน? ไม่มีทางที่จะมาเอาเราออกไปจากความรักของพระเจ้าได้เลย ในพระเยซูคริสต์ โรม บท 8 ตอนท้าย สรุปไว้อย่างนี้

เมื่อท่านเชื่อในข่าวดีของพระเยซู วิญญาณของท่านจะเกิดใหม่ และเป็นวิญญาณที่มีคุณลักษณะเป็นอากาเป้เลย โรม 8:10-11 สุดท้าย

โรม 8:10-11 “10 แต่ถ้าพระคริสต์อยู่ในท่าน กายของท่านก็ตายไป เพราะบาป ถึงกระนั้นจิตวิญญาณของท่าน ก็มีชีวิตอยู่เพราะความชอบธรรม 11 และถ้าพระวิญญาณของพระองค์ ผู้ทรงให้พระเยซูเป็นขึ้นจากตายสถิตในท่าน พระองค์ผู้ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย จะประทานชีวิตแก่กาย ซึ่งต้องตายของท่านด้วย พระองค์ประทานชีวิตนั้น โดยทางพระวิญญาณของพระองค์ ผู้สถิตในท่าน”

 

ถ้าพระคริสต์อยู่ในท่าน ก็หมายถึงถ้าท่านเชื่อในพระเยซู กายของท่านก็ตายไปเพราะบาป ตรงนี้คือหลักข้อเชื่อที่เราได้เรียนกันมา ตั้งแต่เริ่มต้น ตอนเชื่อพระเจ้าใหม่ๆ ว่ามนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป ที่ต้องได้รับโทษของความบาป คือความตายและตาย  ก็คือตายทั้งร่างกาย และตายทั้งวิญญาณ ร่างกายตาย ก็แปลว่าร่างกายต้องมีวันที่จะหมดอายุขัย คือตายแบบมนุษย์ แต่ตายครั้งที่สอง ก็คือตายทางวิญญาณ อันนี้ไม่มี 80 ปี 100 ปี อันนี้นิรันดร์ ตายอันที่สองทางวิญญาณ คือไม่รู้จักพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า ต้องชดใช้หนี้สิน  อยู่กับพระเจ้าไม่ได้ และต้องอยู่ในความมืด อยู่ในนรกนิรันดร์

ตายแรก คือตายทางร่างกาย ที่ทุกคนต้องเจอ จะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อพระเจ้า ก็ต้องเจอ วันหนึ่งต้องจากโลกนี้ไป ในนี้เขาถึงบอกว่าถ้าพระคริสต์อยู่ในท่าน กายท่านต้องตายไปในความบาป ถึงแม้ว่าเรามาเชื่อพระเจ้า  เราได้บังเกิดใหม่ในวิญญาณแล้ว ความคิดจิตใจสะอาดเหมือนพระเจ้าเลย แม้ว่าเป็นอย่างนั้นก็จริง แต่กายเรายังต้องตาย เพราะบาป แต่จิตวิญญาณของท่าน ก็ยังมีอยู่ เพราะความชอบธรรม คือวิญญาณของท่านยังมีชีวิตอยู่ เพราะเป็นผู้ชอบธรรม เพราะพระเยซูไถ่ท่านแล้ว มันแปลว่าอย่างนี้

แต่ถ้าพระคริสต์อยู่ในท่าน พูดง่ายๆ แต่ถ้าท่านเชื่อในข่าวดี และวิญญาณของท่านได้ย้ายเข้ามาอยู่ในอาณาจักรของพระคริสต์ ย้ายมาอยู่ในสำมะโนครัวของพระคริสต์ อยู่ในสวรรค์แล้ว แม้ถึงวันที่ร่างกายต้องตายจากโลกนี้ไป อันนี้พูดถึงเราชัดๆ เลยนะ แต่วิญญาณที่เกิดใหม่ ที่อยู่กับพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกัน ซึ่งเป็นตัวตนแท้ๆ ของพวกเราจริงๆ และจะอยู่ตลอดไป ที่ในสวรรค์กับพระเจ้านิรันดร์ นี่คือความหวังใจ นี่คือสันติสุข ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม เรารู้แล้ว รู้ล่วงหน้า รู้อนาคตหมดแล้วว่าชีวิตเราจะไปอยู่ที่ไหน? เอเมน

ทั้งสองอาณาจักรในโลกวิญญาณนี้ ให้ประโยชน์และให้โทษ เขาเรียกว่าต่างสุดขั้วกันเลย และมนุษย์ทุกคน มีสิทธิ์ที่จะเลือกเอาว่าจะอยู่ในอาณาจักรไหน? ในพระคริสต์ ซึ่งไม่มีการลงโทษใดๆ เนื่องจากบาปอีกต่อไป ที่เรียกว่าสวรรค์ หรือยังคงอยากจะอยู่ในอาดัม ในความมืด ที่จะต้องรับโทษของความบาปและการสาปแช่งอีกต่อไป นิรันดร์เช่นเดียวกัน และในพระคัมภีร์บอกว่าเลือกไม่ยากเลย ต้องใช้เงินเหรอ? ใช้สติปัญญาเหรอ? เปล่าเลย เลือกโดยใช้ความเชื่อเท่านั้น พระคัมภีร์บอกว่าพูดด้วยปาก และเชื่อด้วยใจ พูดว่า …

“พระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตของพระองค์ เพื่อชำระบาปให้กับฉันไปแล้ว และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม”

พูดด้วยปาก เชื่อด้วยใจ จบแล้ว ไม่ได้ทำอะไรเลย และเมื่อท่านพูดด้วยปาก และเชื่อด้วยใจว่าฉันยอมรับข่าวดีนี้ ฉันยอมรับว่าข่าวดีนี้เป็นจริง ทันทีทันใด ในโรม บท 8 ที่เราเรียนกันมา มันเกิดขึ้นออโตเมติก เกิดขึ้นในวิญญาณท่านก่อน แล้วก็เกิดขึ้นรอบวิญญาณของท่าน เป็นอาณาจักรวิญญาณ และท่านจะถูกย้ายมาอย่างนั้นจริงๆ เอเมน ขอให้ท่านเลือกที่จะอยู่กับพระคริสต์ โดยใช้สิทธิของท่าน เชื่อในข่าวดีที่พระเยซูทำให้กับท่านที่ไม้กางเขน  เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว เรียบร้อยไปแล้ว มารับไปเถิด มันเป็นของท่านไปแล้ว เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

****************************

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 21 เมษายน 2019 เรื่อง “สำเร็จแล้ว … ได้สำเร็จแล้ว” ตอน 2 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  21  เมษายน  2019

 เรื่อง “สำเร็จแล้ว … ได้สำเร็จแล้ว”  ตอน 2

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

สุขสันต์วันอีสเตอร์ครับ สุขสันต์วันเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซู วันนี้ผมให้ชื่อเรื่องว่า “ได้สำเร็จแล้ว”

ปีนี้ วันอีสเตอร์มาค่อยข้างช้า ปกติจะอยู่ก่อนวันสงกรานต์ บ้านเรา บางท่านอาจจะสงสัยว่า แล้วกำหนดกันอย่างไรว่าวันที่เท่าไรเป็นวันอีสเตอร์ จริงๆ แล้ว คำว่า “อีสเตอร์” หรือ “เทศกาลอีสเตอร์” ไม่อยู่ในพระคัมภีร์นะ แต่เป็นการตั้งขึ้น เพื่อเฉลิมฉลองการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์

คำว่า “อีสเตอร์” มาจากชื่อของเทพเจ้าแห่งฤดูใบไม้ผลิ ที่เขานับถือกันในสมัยโน้น ตั้งแต่ก่อนที่พระเยซูจะมาเกิด เพราะฤดูใบไม้ผลิเป็นสัญลักษณ์ของชีวิตใหม่ หรือการเกิดใหม่ ต้นไม้ใบหญ้า ดูเหมือนตายไปแล้ว ในช่วงฤดูหนาว  มันก็โผล่ต้นอ่อนๆ ขึ้นมา เริ่มเขียวชะอุ่มมีชีวิตชีวา ออกดอก ออกผลในฤดูใบไม้ผลินี่แหละ   ก็เลยมีการกำหนดให้วันอีสเตอร์อยู่ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ  การกำหนดวัน อีสเตอร์จะใช้ปฏิทินจันทระคติ คือปฏิทินที่นับตามการโคจรของดวงจันทร์ โดยดูจากปรากฏการข้างขึ้น ข้างแรมของดวงจันทร์ ซึ่งวันอีสเตอร์ของทุกปี จะตรงกับวันอาทิตย์แรก หลังวันเพ็ญแรกของฤดูใบไม้ผลิ

วันเริ่มต้นของฤดูใบไม้ผลิ คือวันที่ 21 มีนาคม เพราะฉะนั้น นับว่าวันที่ 21 มีนาคมเป็นต้นไป ถ้ามีวันไหนเป็นคืนวันเพ็ญ ก็คือวันที่ดวงจันทร์เต็มดวง วันอาทิตย์หลังจากดวงจันทร์เต็มดวง ก็คือวันอีสเตอร์   และวันอีสเตอร์ของทุกปี   ก็จะอยู่ระหว่างวันที่ 21 มีนาคม  ไปจนกระทั่งถึงวันที่ 25 เมษายน ไม่เร็วกว่า 21 มีนาฯ และไม่ช้ากว่า 25 เมษาฯ  เพราะฉะนั้น นับจากวันนี้ย้อนกลับไป 5-6 วัน  ต้องมีวันเพ็ญวันหนึ่ง  ไม่รู้วันไหน  ก่อนจะมีวันอีสเตอร์ แน่นอน ก็ต้องมีวันศุกร์ประเสริฐ หรือทั่วโลกเขาใช้ชื่อว่า “Good Friday” ก็คือ “วันศุกร์ที่ดี” ถามว่าดีสำหรับใคร? ดีสำหรับมวลมนุษยชาติ

หัวใจของข่าวดี หรือข่าวประเสริฐ หัวใจของความรอด หัวใจของชีวิตนิรันดร์ทั้งหลายทั้งปวง คือสิ่งที่ได้เกิดขึ้น ในวัน Good Friday หรือศุกร์ประเสริฐ หรือศุกร์ดี เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว และวันอีสเตอร์ก็เปรียบเสมือนใบเสร็จที่จะมายืนยันข่าวดี หรือ Good Friday นั้นว่ามันเป็นจริง

วันศุกร์ประเสริฐ หรือวัน Good Friday เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ตอนบ่าย 3 โมง นี่เริ่มต้น Good Friday 2,000 ปีที่แล้ว ก่อนพระเยซูจะเกิด และสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนตอนบ่าย 3 โมง พระองค์ได้พูด หรือตรัสคำสุดท้ายว่าสำเร็จแล้ว ภาษากรีก ใช้คำว่า “Tetelestai” หรือสำเร็จแล้ว  แปลได้ว่า “จ่ายหมดแล้ว” Good Friday ก่อนที่พระเยซูสิ้นพระชนม์ บนไม้กางเขน ตอนบ่าย 3 โมง พระองค์ตะโกนว่า “สำเร็จแล้ว” หรือ “จ่ายหมดแล้ว” ยังฟังดูเหมือนกำลังสำเร็จ เริ่มต้นสำเร็จแล้ว อะไรประมาณนั้นนะ นึกย้อนกลับไป 2,000 ปีที่แล้ว ที่ไม้กางเขน แต่พอพระเยซูสิ้นพระชนม์ปุ๊บจะกี่นาทีก็ไม่รู้ หลังจากที่พระเยซูพูดคำว่า “สำเร็จแล้ว” แล้วก็สิ้นพระชนม์ พอพระเยซูสิ้นพระชนม์ทันที คำว่า “สำเร็จแล้ว” ก็เลยกลายเป็นได้จ่ายหมดแล้ว ได้สำเร็จแล้ว นี่คือชื่อเรื่องในวันนี้

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ก็มีการประกาศอย่างนี้ บอกข่าวอย่างนี้ต่อกันไปเรื่อยๆ ว่า “ได้สำเร็จแล้ว” “ได้จ่ายหมดแล้ว” เปโตรได้ประกาศครั้งแรก ก็ประกาศว่าได้สำเร็จแล้ว ได้จ่ายให้หมดแล้ว เปาโลมาประกาศต่อ ก็ประกาศบอกว่าได้สำเร็จแล้ว ได้จ่ายหมดแล้ว จนทุกวันนี้ พวกเราก็ได้ประกาศกันต่อไปว่าได้สำเร็จแล้ว ได้จ่ายหมดแล้ว

พระเจ้าได้บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ เพื่อบอกล่วงหน้า ตั้งแต่ปฐมกาล จนกระทั่งถึงหนังสือวิวรณ์ เป็นแผนการที่พระเจ้าบอกมนุษย์ ทั้งทางตรงบ้าง ทางอ้อมบ้าง ผ่านทางการเผยพระวจนะของผู้คนบ้าง ผ่านทางเหตุการณ์บ้าง ผ่านทางพิธีกรรมต่างๆ ทั้งหลายทั้งปวง บอกเป็นเงาว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร? เพื่อจะบอกมนุษย์ว่าพระองค์มีแผนการ ที่จะช่วยเหลือมนุษย์ทุกคนให้รอดพ้นจากหนี้บาป และจะมาสถาปนาอาณาจักรของพระองค์บนโลกใบนี้อีกครั้งหนึ่ง พูดง่ายๆ ว่าจะกลับมาอยู่กับมนุษย์อย่างใกล้ชิดสนิทสนมกัน คืนดีกันอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่แยกกันไป ทะเลาะกันไป เพราะว่ามนุษย์เป็นหนี้บาป เพราะทำบาป จึงต้องชดใช้บาป ต้องไปสู่ความตาย อยู่กับพระเจ้าไม่ได้ ต่างคนต่างอยู่ พระเจ้าเสียพระทัยมาก ต้องการกลับมาอยู่กับมนุษย์เหมือนเดิม ก็ต้องช่วยเหลือ วางแผนไว้ และบัดนี้ มันสำเร็จแล้ว เมื่อวันศุกร์ประเสริฐ ศุกร์ดี ก็คือพระเยซูบอกว่า “สำเร็จแล้ว” ผ่านมา 2,000 ปีเรียบร้อยแล้ว

และนับตั้งแต่บ่าย 3 โมงของวันศุกร์ประเสริฐ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว แผนการช่วยกู้มนุษย์ ที่ได้บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ทั้งเล่ม ได้ถูกทำให้สำเร็จแล้ว โดยการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ บนไม้กางเขน และเป็นการประกาศว่ามันจริงๆ ว่าพระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตาย ก็คือวันอีสเตอร์ ที่เราเฉลิมฉลองกันนั่นเอง

ทั้งวันศุกร์ประเสริฐ และวันอีสเตอร์ที่เรามาร่วมประชุม เฉลิมฉลองกันนี้ ก็เป็นไปเพื่อจุดประสงค์เดียว เพื่อระลึกถึงสิ่งที่พระเยซูทำ พระเยซูกำชับให้พวกเราที่เชื่อในพระองค์ ตั้งแต่วันแรก 2,000 ปีก่อน ให้พวกเราระลึกถึงสิ่งที่พระองค์ทรงทำ อย่าลืมข่าวดีนี้นะ กำชับบอกพวกเราให้ทำการระลึกถึงสิ่งที่พระองค์ทรงทำ ซึ่งการระลึกถึงวันอีสเตอร์ วันศุกร์ประเสริฐปีละ 1 ครั้ง แต่จริงๆ พระเยซูให้เราทำแทบทุกวันเลย ก็คือพิธีมหาสนิทไง ที่เราหักขนมปัง ดื่มน้ำองุ่นนั้น

พิธีมหาสนิท เราทำกันทุกเดือน เดือนละครั้ง จริงๆ พระเยซูให้เราทำทุกวัน ทานข้าวเมื่อไร ก็มาระลึกถึงสิ่งเหล่านี้ คือสิ่งที่พระเยซูได้กระทำสำเร็จแล้ว เพื่อเล่าให้ลูกหลานฟัง เตือนตัวเองด้วย บอกครอบครัวด้วย บอกเพื่อนฝูง มากินข้าวกัน มาหักขนมปัง ดื่มน้ำองุ่น แล้วระลึกถึงการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ว่าเพื่ออะไร? พระองค์สอนคำอุปมาตั้งเยอะแยะมากมาย ตั้งแต่วันนั้น เป็นต้นมา ข่าวดีของพระเยซูจึงสามารถมาถึงพวกเราทุกวันนี้ได้ ก็เพราะอย่างนี้แหละ ดังนั้น เราต้องรู้ความหมายว่าเราหักขนมปังและดื่มน้ำองุ่น แปลว่าอะไร?

มหาสนิท แปลว่าเข้าไปสนิทกันมากๆ เป็นหนึ่งเดียวกันเลย วิญญาณเรากับวิญญาณพระเจ้าคืนดีกัน เป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว มันแปลว่าอย่างนั้น ระลึกถึงสิ่งเหล่านี้นั่นเอง

ตั้งแต่ตอนที่พระเยซูตระเวนสั่งสอนผู้คน 3 ปีก่อนที่จะถูกตรึง ไม่ว่าจะเป็นคำสอน คำเทศนา หรือคำอุปมาต่างๆ ที่พระองค์ทรงพูด ก็พุ่งตรงไปที่เรื่องเดียวเลย คือเรื่องของอาณาจักรสวรรค์ การบังเกิดใหม่ เข้าไปอยู่ในสวรรค์เขาทำอย่างไร? ระบบสวรรค์เป็นอย่างไร? สวรรค์กำลังมา ไม่ว่าจะเป็นอุปมาเรื่องถุงหนังเก่า ถุงหนังใหม่ เหล้าองุ่น แกะหาย เหรียญเงินหาย บุตรน้อยหลงหาย ทุกเรื่องก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ ที่กำลังมาตั้งอยู่ เพราะพระเยซูยังไม่ได้ถูกตรึงที่ไม้กางเขน  พอปีที่ 2 ก็บอกใกล้แล้วๆ พอปีสุดท้ายบอกเร็วๆ นี้แหละ สวรรค์มาแล้ว มนุษย์กับพระเจ้าอยู่ด้วยกันสักที

มนุษย์อยู่กับพระเจ้าได้ ก็คือเรียกว่าสวรรค์ อาณาจักรสวรรค์ใกล้เข้ามาแล้ว พอพระองค์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน บ่าย 3 โมง พระองค์ก็เลยบอกว่าที่พูดมา 3 ปี ได้สำเร็จแล้ว สวรรค์ลงมาตั้งอยู่แล้ว สถาปนาแล้ว วันศุกร์ประเสริฐ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว เป็นการสถาปนาสวรรค์ โดยพระเยซูได้ทำให้สำเร็จ  และตะโกนว่า …

“สำเร็จแล้ว สวรรค์มาอยู่แล้ว จ่ายหมดแล้ว”

บรรดาหนี้บาปของมนุษยชาติทั้งหมด ได้ถูกจ่ายให้หมดเรียบร้อยแล้ว สวรรค์มาแล้ว อาณาจักรสวรรค์มาตั้งอยู่ที่นี่แล้ว พระเจ้ากับมนุษย์ได้คืนดีกันแล้ว เย้ๆ แล้วตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ก็ประกาศไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงทุกวันนี้ และจะประกาศต่อไป จนกระทั่งจบวางไว้ว่าใครเป็นคนสุดท้าย เราก็ไม่รู้

คำว่า “สำเร็จแล้ว” เป็นคำสุดท้ายที่พระเยซูประกาศบนไม้กางเขน ก่อนสิ้นพระชนม์ แต่เป็นการเริ่มต้นของการประกาศข่าวดีว่าแผนการของพระเจ้าที่จะช่วยกู้มนุษย์ให้รอดพ้น ได้ถูกกระทำให้สำเร็จแล้ว โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์ เป็นครั้งแรกที่พระองค์ทรงประกาศบนไม้กางเขน  และหลังจากนั้นมนุษย์คนอื่นๆ ก็ประกาศต่อ พระเจ้าได้ตั้งอาณาจักรสวรรค์บนโลกใบนี้สำเร็จแล้ว โดยผ่านทางการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน อาณาจักรสวรรค์นี้ จึงมีชื่อว่า “อาณาจักรพระเยซู” ซึ่งภาษาเดิมเรียกว่า “อาณาจักรพระคริสต์” หรือ “อาณาจักรไคร์ซ” คนไทยเราเคารพอะไร เราก็จะใส่คำว่า “พระ” ลงไป เพราะฉะนั้น อาณาจักรสวรรค์ตรงนี้ จึงมีชื่อว่า “อาณาจักรพระคริสต์” ที่เราได้ยินกันบ่อยๆ

มาดูพระคัมภีร์ว่าหลังจากที่แผนการของพระเจ้าทั้งหมด ที่วางไว้ ถูกกระทำให้สำเร็จแล้ว คืออาณาจักรของพระคริสต์ได้มาตั้งอยู่ บนโลกใบนี้แล้ว เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว หลังจากนั้น เกิดอะไรขึ้น? โรม บทที่ 8 คือถ้อยคำที่ยืนยันของผลวันศุกร์ประเสริฐ และวันอีสเตอร์

โรม 8:1 “เหตุฉะนั้น บัดนี้จึงไม่มีการลงโทษแก่บรรดาผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์”

 

พระคัมภีร์บอกว่ามนุษย์มีแค่ 2 พวกเท่านั้น คือพวกที่อยู่ในพระคริสต์ กับพวกที่ไม่ได้อยู่ในพระคริสต์ พวกที่อยู่ในพระคริสต์ ก็จะไม่มีการลงโทษใดๆ อีกต่อไป แต่อีกพวกหนึ่งที่ไม่ได้อยู่ในพระคริสต์ ก็ยังคงถูกลงโทษเหมือนเดิม นี่ความจริงในโลกวิญญาณ มีอยู่แค่นี้ มีอยู่ 2 สถานที่สำหรับมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ไม่ว่าคนนั้นจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ความจริงก็เป็นความจริงวันยังค่ำ

แผนการของพระเจ้าได้ถูกกระทำให้สำเร็จแล้ว อาณาจักรสวรรค์ หรืออาณาจักรของพระคริสต์ได้มาตั้งอยู่บนโลกนี้แล้ว  สวรรค์ได้มาแล้ว บรรดาผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ คือผู้ที่ยอมเชื่อว่าพระเยซูพูดความจริง และพระเยซูทำที่ไม้กางเขนนั้น มันเรื่องจริง เขาจึงใช้สิทธิของเขา ย้ายสำมะโนครัวเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ ที่เราเรียกกันว่า “รับเชื่อ” แปลว่าเชื่อความจริง … ความจริงของพระเยซู บอกว่าอย่างนี้ เราเชื่อ พอรับเชื่อปุ๊บ เขาก็ได้ถูกย้ายจากอาณาจักรหนึ่งในอดีต ที่ต้องรับโทษ มาอยู่ในอาณาจักรของพระเยซู หรือเรียกว่าพระคริสต์

พระคัมภีร์ใช้หลายคำที่บ่งบอกถึงผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ ยกตัวอย่างเช่น คนนั้นอยู่ในพระคริสต์ อยู่ในอาณาจักรสวรรค์ อยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่าง และคนนั้นเป็นประชากรของพระเจ้า มีพระวิญญาณอยู่กับเขา จากสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ท่านจะได้รู้ว่าพูดถึงเหล่านี้เมื่อไร? ก็คือกำลังพูดถึงบรรดาผู้ที่เชื่อ และได้ย้ายเข้ามาอยู่ในสำมะโนครัวของพระเยซูคริสต์แล้ว เอเมน

ส่วนผู้ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ผู้ที่อยู่ในอาณาจักรอีกอาณาจักรหนึ่ง  อาณาจักรเดิม ก่อนที่พระเยซูจะสถาปนาอาณาจักรสวรรค์บนโลกใบนี้  อาณาจักรนั้นยังอยู่ถึงทุกวันนี้ พระคัมภีร์บอกว่าอยู่ในอาดัม คนที่อยู่ในอาดัม เรียกอีกชื่อหนึ่งว่าอยู่ในเนื้อหนัง หรือวิสัยบาป หรือเรียกอีกอันหนึ่งว่าอยู่ในอาณาจักรของความมืด หรือเรียกว่าเขาเป็นประชากรของโลกนี้ อีกพวกหนึ่งเป็นประชากรของพระเจ้า อีกพวกหนึ่งเป็นประชากรของโลกนี้ อยู่ใต้อิทธิพลการควบคุมของมาร

มนุษย์ทุกคนจึงมีแค่ 2 พวกเท่านั้นเอง นี่คือความจริงในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล สอนลูกสอนหลานด้วยนะ ไม่ว่าจะไปเห็นบรรดามนุษยชาติพันธุ์ใด ผิวใด ต่างๆ ที่ไหน อย่างไร แตกต่างกันประเพณี ศาสนาอย่างไร? พระคัมภีร์บอกว่ามนุษย์มีเพียงแค่ 2 พวกเท่านั้น ทางโลกฝ่ายวิญญาณ สั้นๆ ก็คือพวกที่อยู่ในพระคริสต์กับพวกที่อยู่ในอาดัม อยู่ในพระคริสต์ ก็จะไม่มีการลงโทษใดๆ อีกแล้ว อยู่ในอาดัมก็ยังมีการลงโทษอยู่ เรามาดูต่อ ข้อ 2 ซึ่งจะเป็นคำตอบว่าเพราะเหตุใด จึงไม่มีการลงโทษ แก่บรรดาผู้ที่อาศัยอยู่ในพระคริสต์ อยู่ในสวรรค์ของพระเจ้า อยู่ในพระเยซูนี้ โรม 8:2

โรม 8:2 “เพราะว่าโดยทางพระเยซูคริสต์ กฎของพระวิญญาณแห่งชีวิต ได้ปลดปล่อยท่านให้เป็นอิสระ จากกฎแห่งบาปและความตาย”

 

“เพราะว่าโดยทางพระเยซูคริสต์” ท่านรู้ไหมว่าแปลไม่ชัดแค่นิดเดียว ความหมายก็ผิดไปเลย แต่พอแปลตรงๆ จากภาษาเดิม จะขยายความชัดมากเลย

ในนี้บอกว่า “เพราะว่าโดยทางพระเยซู กฎของพระวิญญาณแห่งชีวิต ได้ปลดปล่อยท่านให้เป็นอิสระ” แต่จริงๆ มันคือเพราะว่าโดยในพระคริสต์ ตาสว่างเลย “โดยทางพระเยซูคริสต์” เรายังต้องทำงานอยู่มั้ง เราต้องไปทางพระเยซู แต่นี่ไม่ใช่ นี่หมายถึง “ในพระคริสต์” ที่เราคุยกัน เมื่อเราเชื่อปุ๊บ เราย้ายสำมะโนครัวไปอยู่ในพระเยซู พอคุณเข้ามา กฎของวิญญาณแห่งชีวิต ปลดปล่อยคุณ ให้เป็นอิสระ จากกฎของความบาปและความตายไปแล้ว เอเมน

ก็แปลว่าก่อนที่เราจะเข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ แต่เดิมนั้น เราเคยอยู่ใต้กฎแห่งบาปและความตาย ก็คืออยู่ในอาณาจักรหนึ่งที่เราเรียกว่าอาณาจักรแห่งความมืด ในอาดัม ง่ายๆ ก็คือถ้ายังมีบาปอยู่ หรือเคยทำบาป ก็ต้องรับโทษ และพระคัมภีร์บอกว่าโทษของความบาป ก็คือความตายทางวิญญาณ ไม่ใช่ทำบาปตอนนี้ เดี๋ยวพรุ่งนี้หายใจไม่ออก ตาย ไม่ใช่นะ วิญญาณตาย ไม่สามารถอยู่กับพระเจ้าได้ อยู่ตรงข้ามกับพระเจ้า เหมือนที่ผมเคยยกตัวอย่างบ่อยๆ ว่าเรื่องกฎแรงโน้มถ่วงของโลก เราโยนสิ่งของขึ้นไปในอากาศ มันก็จะตกลงมา จะโยนกี่ครั้ง? มันก็ตกลงมา จะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ มันก็ตกลงมา ไม่อยากตั้งใจให้มันตกนะ มันก็ตก จนกว่าจะมีการค้นคิดการเอาชนะกฎแรงโน้มถ่วงมันได้ จึงจะชนะมันได้ ยกตัวอย่างเช่น เครื่องบินหรือร่มชูชีพ เป็นต้นว่ามันดูดเราไม่ได้

เช่นเดียวกัน กฎแห่งความบาปและความตาย ที่บอกว่าเมื่อมีบาปเมื่อไร? ก็ต้องรับโทษเมื่อนั้น ไม่มีแต่ ไม่มีอธิบาย มนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป และทำบาป พระคัมภีร์บอกไว้ เพราะฉะนั้น ด้วยกฎนี้ มนุษย์ทุกคน ก็ต้องได้รับโทษแห่งความบาป คือความตาย ต้องไปอยู่ในสถานที่ที่ไม่มีพระเจ้า ที่เรียกว่าขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ทุกข์ทรมาน ซึ่งภาษาไทย ให้คำจำกัดความตรงนี้ว่านรก ทรมานมาก

โทษของความบาป คือความตาย ก็คือไม่ได้อยู่กับพระเจ้า ไปอยู่ในที่ที่มันทรมานมาก แต่เพราะการเสียสละของพระเยซูคริสต์ในวันศุกร์ประเสริฐ เมื่อประมาณ 2,000 ปีที่แล้ว ได้เอาชนะเหนือกฎแห่งความบาปและความตาย ก็เหมือนกฎแห่งการยกขึ้น ที่ได้เอาชนะกฎของการดึงดูดของโลก ทำให้เครื่องบิน บินขึ้นได้

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันศุกร์ประเสริฐ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ได้ทำให้เกิดกฎใหม่ขึ้นมา ซึ่งพระคัมภีร์ใช้ชื่อกฎนี้ว่ากฎของพระวิญญาณแห่งชีวิต กฎนี้ ได้ปลดปล่อยมนุษย์ให้เป็นอิสระ จากกฎแห่งบาปและความตาย

โรม 8:3 “เพราะสิ่งที่บทบัญญัติทำไม่ได้ เนื่องจากวิสัยบาป ทำให้อ่อนแอนั้น  พระเจ้าทรงกระทำแล้ว โดยส่งพระบุตรของพระองค์เอง  มาในสภาพเช่นเดียวกับมนุษย์ที่เป็นคนบาป เพื่อเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป และโดยการกระทำเช่นนี้  พระองค์ได้ตัดสินลงโทษบาปในมนุษย์ที่เป็นคนบาป”

 

“เพราะสิ่งที่บทบัญญัติทำไม่ได้ เนื่องจากวิสัยบาป ทำให้อ่อนแอนั้น พระเจ้าได้ทรงกระทำแล้ว”

สิ่งที่บทบัญญัติทำไม่ได้ ก็คือการทำให้มนุษย์เป็นผู้ชอบธรรม พ้นจากบาป ไม่มีมนุษย์คนใดเลย ที่สามารถที่จะทำให้ตัวเองสะอาด บริสุทธิ์ ปราศจากบาปได้ โดยการประพฤติ หรือทำตามบทบัญญัติที่สั่งไว้ เป็นไปไม่ได้เลย  เดี๋ยวก็ผิดๆ เพราะข้างใน มันผิด เพราะวิญญาณหรือธรรมชาติมันเป็นบาป เดี๋ยวมันก็ทำบาป มันจึงทำไม่ได้

ในพระคัมภีร์ฮีบรู ก็มีบันทึกไว้ว่าบทบัญญัติ หรือกฎระเบียบเดิมๆ สมัยก่อนที่พระเยซูจะมาเกิด ไม่มีประโยชน์อะไรเลย เพราะไม่สามารถช่วยเหลืออะไรมนุษย์ได้เลย ฮีบรู 7:18-19 บันทึกไว้อย่างนี้ …

ฮีบรู 7:18-19 “18 กฎระเบียบเดิม ถูกล้มเลิกไป เนื่องจากไม่มีประสิทธิภาพ และเปล่าประโยชน์ 19 เพราะบทบัญญัติ ไม่ได้ทำให้สิ่งใด  ครบถ้วนสมบูรณ์ได้เลย”

 

และในหนังสือโรมบอกไว้ว่ากฎระเบียบมีไว้ เพื่อประจาน หรือสำแดงให้มนุษย์รู้ว่ามนุษย์เป็นคนบาป  เพราะว่ากฎบอกว่าอย่าทำๆ ทำอย่างนี้เรียกว่าบาป ทำอย่างนี้เรียกว่าไม่ใช่น้ำพระทัยพระเจ้า และมนุษย์ก็ทนไม่ไหว ก็ทำอยู่ดี มนุษย์จึงรู้ว่าตัวเองอ่อนแอ สู้ไม่ไหว อยากจะรักษาอย่างไร? เผลอก็ต้องทำ เพราะข้างในมันไม่ได้รับการเปลี่ยนแปลง ข้างในเป็นธรรมชาติของความสกปรก แต่สิ่งที่บทบัญญัติ หรือกฎระเบียบไม่สามารถทำได้นั้น พระเจ้าได้ทรงกระทำแล้ว แปลว่าทำสำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว เป็นการกระทำที่สมบูรณ์เรียบร้อยไปแล้ว ตั้งแต่ในอดีต จบแล้ว โดยพระเยซูคริสต์ บนไม้กางเขน พระคัมภีร์ตรงนี้ สรุปง่ายๆ คือ …

“เพราะเธอทำไม่ได้ ฉันจึงทำให้ จบ โอเคไหม? เธอเป็นหนี้สินเขาทั้งหมดเลย เธอไม่มีทางช่วยเหลือตัวเองได้หรอก ฉันเอาเงินไปจ่ายให้ โอเคไหม?”

พระเจ้าได้ส่งพระบุตร คือพระเยซูคริสต์มาเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป มาเป็นแพะรับบาป ก็คือตัวแทน การกระทำเช่นนี้ ก็เปรียบเสมือนว่ามนุษย์ทั้งหลาย ที่เป็นคนบาป ที่ต้องใช้หนี้บาปนั้น ได้รับการตัดสินลงโทษเรียบร้อยไปแล้ว จบไปแล้ว พ้นโทษแล้ว โดยพระเยซูมารับโทษแทน

อันนี้ลึกซึ้งมาก โดยส่งพระเยซูลงมาเกิดในมนุษย์ เพื่อให้พระเยซูมีส่วนร่วมใน DNA ที่เป็นมนุษย์ ฟังให้ดีๆ พระคัมภีร์บอกว่ามนุษย์ทุกคนมาจากอาดัม มี DNA ของอาดัม พระเยซูถูกส่งเข้ามาเกิดในหญิงพรหมจารี แต่ยังคงเป็นมนุษย์ เดินเหมือนมนุษย์ แต่วิญญาณไม่ใช่มนุษย์ วิญญาณไม่ได้บาปเหมือนมนุษย์ แล้วไปตายที่ไม้กางเขน เพื่อบอกว่า …

“มนุษย์ได้จ่ายค่าชดใช้บาป ที่เขาทำมาเรียบร้อยไปแล้ว ฉันเป็นมนุษย์ ฉันขอเดินก้าวออกมา”

ในพระคัมภีร์บอกว่ามนุษย์ทำ มนุษย์ก็ต้องเป็นผู้ชดใช้ อาดัมทำ เผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งหมด ลูก หลาน เหลน โหลนก็ต้องลงไปในความบาปหมด พระเยซูมาบอกว่า …

“ฉันบริสุทธิ์ ฉันจะชดใช้หนี้ทั้งหมดของมนุษย์ให้”

ถามว่า “เธอเป็นใคร? เธอเป็นวิญญาณเหรอ เป็นวิญญาณ มาไม่ได้นะ ต้องเป็นมนุษย์”

“ฉันเป็นมนุษย์”

“เป็นได้อย่างไร?”

“ฉันเกิดในมนุษย์ ฉันเดินเหมือนมนุษย์ กินเหมือนมนุษย์ รับอาหารจากสายสะดือของมนุษย์ เกิดเป็นตัวเป็นตนเหมือนมนุษย์ ฉันเป็นมนุษย์หนึ่งคน”

พอเข้าใจไหม? เพราะฉะนั้น เมื่อจ่ายค่าบาปเรียบร้อยไปแล้ว พระองค์จึงสถาปนาว่า …

“ฉันเป็นมนุษย์ที่ชำระบาปให้กับญาติพี่น้อง วงศ์ตระกูลของมนุษย์ นามสกุลมนุษย์เนี้ยได้ถูกจ่ายไปแล้ว ทุกคนจงรับรู้”

มนุษย์ทุกคนจงรับรู้นะ บัดนี้ มีพวกเราคนหนึ่ง ได้ไปใช้หนี้หมดเรียบร้อยแล้ว เราเป็นอิสระแล้วนะ จบ แค่นี้เอง เพราะฉะนั้น มนุษย์ทุกคนมีหน้าที่ที่จะรับรู้ว่าเราเป็นอิสระแล้ว แล้วเราไปใช้สิทธิของเรา แค่นั่นเอง ไม่ได้เกี่ยวกับการกระทำอะไรเลย โรม 8:4 จึงบันทึกไว้อย่างนี้ …

โรม 8:4 “เพื่อข้อกำหนดอันชอบธรรมของบทบัญญัติ จะได้สำเร็จครบถ้วนในตัวเราทั้งหลาย ผู้ไม่ดำเนินชีวิตตามวิสัยบาป แต่ดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ”

 

ส่งพระเยซูมาทำไม? มาเป็นตัวแทน มาเป็นแพะรับบาป เพื่อข้อกำหนดอันชอบธรรมของบทบัญญัติ จะได้สำเร็จครบถ้วนในตัวเราทั้งหลาย  เพราะกระทำตามบทบัญญัติ มันไม่สามารถทำให้เกิดผลได้ พระเจ้าจึงต้องส่งพระเยซูมา ทำให้มันเกิดผล และบัดนี้ ก็ทำแล้ว และเกิดผลแล้ว คือเราทั้งหลาย จึงกลายเป็นผู้ที่ไม่มีบาป เพราะพระเยซูมาทำให้แทน คือชดใช้หนี้บาปนั้น ถ้าข้อนี้จบ แค่คำว่า “สำเร็จครบถ้วนในตัวเราทั้งหลาย” ฟังให้ดีนะ เราคงเข้าใจได้แล้ว แต่บังเอิญมีคำขยายต่อไปว่า “เราทั้งหลายผู้ไม่ดำเนินชิวตตามวิสัยบาป” ทุกคนตกใจ …

“อ้าว! ตกลงไหนบอกได้ฟรีๆ ไง”

มาเจอคำว่า  “ดำเนินชีวิตตามวิสัยบาป” เขาต้องดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณจึงจะได้ เหรอ! ใช่ไหม? พอเจอคำว่า “ดำเนินชีวิต” คนส่วนใหญ่ก็มักไปผูกกับการกระทำที่ต้องทำ มาดูความหมายจริงๆ มันแปลว่าอะไร?

การไม่ดำเนินชีวิตตามวิสัยบาป ก็แปลว่าไม่กระทำบาปอีกต่อไปสิ อ้าว! กลับมาที่เดิมอีกสิ ซึ่งในชีวิตจริง เมื่อเรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว เราได้ถูกย้ายเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ อยู่ในสวรรค์แล้ว เรายังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เรายังทำบาปไหม? ทำ ยังมีความโกรธไหม? มี … มีโมโหไหม? มี อิจฉาไหม? เชื่อพระเจ้าแล้วนะ ยังโกหกหรือเปล่า? ยังโลภไหม?

สมมติว่าแปลอย่างนี้นะ แต่ในชีวิตจริง เราก็ยังคงทำบาปอยู่ แล้วจะอย่างไร? ทำไมมันแย้งกันอย่างนี้ ในใจคนมักแย้งกันอย่างนี้ อดีตผมก็แย้งกันอย่างนี้ ก็อธิษฐานกับพระเจ้า

“พ่อ ลูกไม่เข้าใจเลย ทำไมมันอย่างนี้อย่างนั้น อ้าว! ไหนบอกไม่ต้องพึ่งการกระทำ เชื่อแล้วก็ต้องพึ่งอยู่ดีแหละ แล้วตกลงรอดไหมเนี้ย”

ก็อธิษฐานกับพระเจ้าไปเรื่อยๆ เคาะไปเรื่อยๆ มันก็จะถูกเปิดให้กับเรา ขอไปเรื่อยๆ มันก็ถูกให้กับเรา แสวงหาไปเรื่อยๆ ก็จะพบเรื่อยๆ พบความรู้ เรื่องความจริงในโลกวิญญาณ ในพระคัมภีร์คืออะไร? ซึ่งการตีความแบบเมื่อตะกี้ เป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง และไม่ตรงตามประเด็นสำคัญของข่าวดีของพระเจ้าทั้งเล่มที่บอกว่า …

“เรารอด โดยพระคุณ โดยผ่านทางความเชื่อในสิ่งที่พระเยซูกระทำ ในวันศุกร์ประเสริฐและวันอีสเตอร์เท่านั้น ไม่เกี่ยวกับการกระทำใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นการกระทำก่อนหรือหลังที่มาเชื่อพระเจ้าแล้วก็ตาม”

“เราทั้งหลายผู้ไม่ดำเนินชีวิตตามวิสัยบาป แต่ดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ” เราคิดว่าคือการประพฤติ คือการดำเนินชีวิต การทำ แต่ภาษาเดิมจริงๆ ความหมายมันไม่ได้แปลอย่างนั้น ประโยคนี้เป็นคำอธิบายเรื่องเกี่ยวกับสรรพคุณ คุณลักษณะของคนที่ย้ายเข้ามาอยู่ในพระคริสต์แล้ว คือผู้ที่ดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ ตามพระเจ้า หรือผู้ที่มีพระวิญญาณพระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ในตัวแล้ว มันหมายถึงอย่างนั้น ไม่ได้เกี่ยวกับการกระทำ การดำเนินชีวิตบนโลกนี้เลยแม้แต่นิดเดียว ข้อที่ 5 อธิบายต่อ

โรม 8:5 “ผู้ที่ดำเนินชีวิตตามวิสัยบาป  ก็ปักใจในสิ่งที่วิสัยบาปต้องการ  แต่ผู้ที่ดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ ก็ปักใจในสิ่งที่พระวิญญาณทรงประสงค์”

 

คำว่า “ดำเนินชีวิต” ตรงนี้ จะอธิบายข้อนี้ให้ฟัง ต้องไปหาภาษาเดิม ที่แปลมาจากต้นฉบับอีกทีเป็นภาษาอังกฤษ มันก็จะอธิบายได้ชัดขึ้นกว่าภาษาไทย ถ้าภาษาเดิม จากภาษากรีก ยิ่งลึกซึ้งใหญ่เลย ภาษาอังกฤษใช้เขียนอย่างนี้ว่า “For those who are according to the flesh set their minds on the things of the flesh, but those who are according to the Spirit, the things of the Spirit”

ภาษาอังกฤษ คือ “For those who are according to the flesh” ภาษาไทยบอก “ผู้ที่ดำเนินชีวิตตามวิสัยบาป” ภาษาอังกฤษใช้คำว่า “For those who are” คำว่า “ARE” แปลว่า “เป็น อยู่ คือ” จะเห็นว่ามันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการกระทำเลย มันเกี่ยวกับลักษณะ สภาพ ว่าอยู่ที่ไหน? เป็นอย่างไร? นี่เป็นตัวสำคัญมากๆ “ผู้ที่ดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ” ก็คือผู้ที่อยู่ในพระวิญญาณนั่นเอง อยู่ในพระคริสต์นั่นเอง อันเดียวกัน ตั้งแต่เริ่มต้นบท 8 ข้อ 1 “ผู้ที่ดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ” ก็คือผู้ที่อยู่ในพระวิญญาณนั่นเอง

คำว่า “ดำเนินชีวิต” ในข้อนี้ ไม่ได้หมายถึงวิถีการใช้ชีวิต หรือการกระทำบนโลกใบนี้ แต่หมายถึงสถานที่ที่เขาอยู่ในโลกวิญญาณเขาอยู่ที่ไหน? วิญญาณเขาอยู่ที่ไหน? ไม่ใช่เขาทำอะไร? เขาอยู่ในอาณาจักรพระคริสต์หรือในอาณาจักรของอาดัม ก็มีแค่ 2 อันเอง  ท่านเห็นชัดขึ้นแล้วนะ

ผู้ที่ดำเนินชีวิตตามวิสัยบาป ก็ปักใจในสิ่งที่เป็นวิสัยบาป หมายถึงผู้ที่อาศัยอยู่ในบ้านของคนบาป ก็คือบ้านอาดัม ครอบครัว สำมะโนครัวที่ชื่ออาดัม ซึ่งเป็นสำมะโนครัวบาป ก็จะมีธรรมชาติของวิญญาณเป็นวิสัยบาป หรือใช้คำว่า “สันดาน” พูดง่ายๆ มีสันดานบาป ธรรมชาติบาป ต่อให้หน้าตาดูดีอย่างไร ข้างในก็เป็นบาปอยู่นั่นแหละ

ปักใจอยู่ในวิสัยบาป ก็คือโดยธรรมชาติทางวิญญาณของผู้มีสันดานบาป ก็จะต้องการทำตามสันดานบาปที่อยู่ในตัววิญญาณของตนเอง เรียกว่าความบาป … ความบาป ก็คือกบฏต่อพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า ศัตรูต่อความดีงาม  อยู่ตรงกันข้ามกับพระลักษณะของพระเจ้า มันหมายถึงอย่างนี้ทั้งหมด มันไม่ได้หมายถึงการกระทำ ต่างคนต่างกระทำ ไม่ใช่ แต่พูดถึงสันดาน ธรรมชาติข้างในว่ามันเป็นอย่างไร?

ผู้ที่ดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ ก็คือผู้ที่เชื่อแล้ว แล้วก็ย้ายมาอยู่ในพระคริสต์ อยู่ในสวรรค์แล้ว เขาจะเป็นไปตามธรรมชาติที่ชีวิตเขา ปักใจในพระวิญญาณ ก็คือจะมีธรรมชาติทางวิญญาณที่เป็นเหมือนพระเจ้า เหมือนพระเยซู โดยวิสัยที่แท้จริง ก็จะต้องทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า เพราะเขาเป็นลูก เขามีสันดานเหมือนพระเจ้าเป๊ะเลย เขามีสันดานเหมือนพระเยซูเป๊ะเลย  เขาต้องการทำเหมือนพระเยซูเป๊ะเลย เขาไร้เดียงสาต่อบาป ไม่รู้จักว่าบาปเป็นอย่างไร? ไม่รู้เรื่องเลย เขาเกิดมาสะอาด บริสุทธิ์เป๊ะเลย วิญญาณเขาเป็นความรักแบบพระเจ้า อากาเป้ ไม่ใช่ มี ทุกคนบอกพยายามทำนะ 1 โครินธ์ 13:4-7 ให้ทุกคนพยายามปฏิบัติตาม พยายามอย่างไรก็ไม่ได้ ทำได้อย่างเดียว คือเขาต้องย้ายจากอาณาจักรของอาดัม มาอยู่ในอาณาจักรสวรรค์ของพระเยซูคริสต์ เขาจึงเป็นเลย ไม่ต้องทำ ก็เป็นเลย เอเมน 1 โครินธ์ 13:4-7 บันทึกไว้อย่างไร? ตัวท่านเป็นอย่างนี้

1 โครินธิ์ 13:4-7 “4 ความรักย่อมอดทนนาน  ความรักคือความเมตตา ไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง 5 ไม่หยาบคาย ไม่เห็นแก่ตัว ไม่ฉุนเฉียว ไม่จดจำความผิด 6 ความรักไม่ปีติยินดีในความชั่ว แต่ชื่นชมยินดีในความจริง 7 ความรักปกป้องคุ้มครองเสมอ ไว้วางใจเสมอ มีความหวังอยู่เสมอ และอดทนบากบั่นอยู่เสมอ”

 

ท่านเชื่อไหมว่าท่านเป็นอย่างนี้แล้ว ท่านไม่ต้องฝึก มันเป็นอยู่ นี่คือความแตกต่าง ถ้าแปลผิดว่าชีวิต คือการกระทำปุ๊บ ไม่ใช่คุณลักษณะปุ๊บ มันจึงผิด นี่คือคุณลักษณะของคนที่อยู่ในพระคริสต์ คนที่เชื่อพระเยซูแล้ว มันจะเป็นอย่างนี้ ไม่ว่าท่านจะรู้หรือไม่รู้ ข้างในท่านเป็นอย่างนี้แล้ว ท่านลองอ่านดูว่าท่านจะกระดากปากไหม?  อ่านตามผมนะ 1 โครินธ์ 13:4-7

“ฉันเป็นความรัก ฉันอดทนนาน ฉันมีความเมตตา ฉันไม่อิจฉา ฉันไม่อวดตัว ฉันไม่หยิ่งผยอง ฉันไม่หยาบคาย ฉันไม่เห็นแก่ตัว ฉันไม่ฉุนเฉียว ฉันไม่เคยจดจำความผิด ฉันไม่มีความปีติยินดีในความชั่วเลย ไม่ชอบทำชั่วเลย แต่ฉันชื่นชมยินดีในความจริง ฉันมีความหวังอยู่เสมอ ฉันอดทนบากบั่นได้ทุกอย่าง ฉันเหมือนพระเยซู ฉันเป็นลูกพระเยซู”

พอใจไหม? เชื่อไหม? บอกแล้ว มันง่ายมาก และอยากจะเป็นทั้งหมดนี้ไหม? แล้วต้องพยายามทำไหม? ทำอย่างไร? ถึงจะได้ พระเยซูทำตั้งแต่ 2,000 ปีก่อนที่ไม้กางเขนแล้ว เชื่อเท่านั้นเอง แล้วก็ใช้สิทธิ ย้ายมาอยู่ในนี้ปุ๊บ วิญญาณเป็นอย่างนี้ทันทีเลย เมื่อเราเข้ามาอยู่ในอาณาจักรของพระคริสต์ โดยธรรมชาติของเราแล้ว โดยวิญญาณของเราแล้ว จะเป็นเหมือนพระเจ้า แต่ว่าในขณะที่เรามีชีวิตอยู่ในร่างกายนี้ ในโลกนี้อยู่ ก็ยังตกอยู่ใต้อิทธิพลของวิสัยบาป ซึ่งยังอยู่ แม้ว่าตัวเราไม่มีวิสัยบาปแล้วก็ตาม อิทธิพลคืออะไร? มันยังรับสื่อ สัญญาณมันยังเข้ามาอยู่ เพราะเรายังอยู่ในร่างกายนี้ ร่างกายเราไม่มีวิสัยบาปแล้ว แต่มันสื่อเข้ามา คือมันมาแยงเรา

“เอาไหม? เอาน๊า”

มันโฆษณาทุกวัน ส่วนพระวิญญาณที่อยู่ข้างในเราก็บอก “มันโกหก มันไม่ใช่” ก็พยายามฝึกฝนเราไปเรื่อยๆ ร่างกายเราสะอาดแล้ว บริสุทธิ์แล้ว เราไม่สกปรก เราไม่เป็นคนบาปอีกต่อไป ไม่ใช่บาปทางวิญญาณ และไม่ใช่บาปทั้งร่างกายด้วย ร่างกายบริสุทธิ์ พระเจ้าชำระเรียบร้อยแล้ว เป็นของถวายบริสุทธิ์ แยกเป็นส่วนตัว สำหรับพระเจ้า คือร่างกายนี้ ท่านไม่รู้เหรอ ร่างกายท่านเป็นวิหารของพระเจ้า พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น วิหารของพระเจ้าจะมาเป็นบาปได้อย่างไร? มันเป็นไปไม่ได้ มันไม่ได้เป็นบาป แต่ว่ามันยังอยู่ในโลกนี้ มันยังรับสื่อ สื่อที่แยงๆ พอแยงมากๆ มันเผลอไปทำ แต่มันไม่ได้เกี่ยวกับวิญญาณเราอยากจะทำ เพราะฉะนั้น คนที่เป็นอย่างนี้ จึงไม่มีความสุขเลยที่จะอยู่บนโลกใบนี้  เพราะโลกไม่ใช่บ้านของเราอีกแล้ว เราไม่อยากอยู่ ไม่ใช่ เพราะเซ็งกับการเงินไม่ใช่ ไม่อยากอยู่ เพราะวิญญาณเราไม่อยากทำสิ่งต่างๆ เหล่านี้ แต่บางครั้งเราเผลอ อิทธิพลมันแยงเข้ามา แค่อากาศร้อนหน่อย เราก็หงุดหงิดแล้ว เราจึงไม่มีความสุขใจเลยในการกระทำสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ที่ตรงกันข้ามกับวิญญาณของเรา มันก็เลยอยากจะออกจากร่างนี้ ไปอยู่กับพระเจ้า ไม่ต้องมาอยู่บนโลกใบนี้ แล้วก็รอคอยวันที่พระเจ้าจะสร้างโลกนี้ใหม่ ปรับปรุงโลกนี้ใหม่ จัดการโลกใบนี้ใหม่ ให้มันไม่มีวิสัยบาปอีกต่อไป

เพราะฉะนั้น อย่าเกลียดเนื้อหนังร่างกายของเราเอง ร่างกายของเราพระเจ้าชำระแล้ว เมื่อวันที่เราเชื่อ พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาสถิตอยู่ พระวิญญาณบริสุทธิ์ชำระความคิดจิตใจ ร่างกายเราสะอาดหมดจดแล้ว แต่ว่าอย่างที่บอก เรายังอยู่บนโลกใบนี้อยู่ อิทธิพลการสื่อสาร ยังคงกระซิบข้างหูเราอยู่ แต่ต่อให้ทำอย่างไร? มันก็ไม่เกี่ยวกับวิญญาณตัวจริงๆ ของเรา ตัวจริงๆ ของเราเป็นวิญญาณและมีความคิดจิตใจ  อาศัยอยู่ในร่างกายนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้น ต้องเอาความจริงนี้ใส่เข้าไป ซึ่งเมื่อเรารู้จักความจริงเหล่านี้แล้ว มันถูกต้องชัดเจนอย่างนี้แล้ว เราจึงรู้ว่าถึงแม้เราเป็นอิสระเป็นไทจริงๆ ตามที่พระคัมภีร์บอกว่าความจริงจะทำให้เราเป็นไท ถึงแม้เรารู้แล้วว่าเป็นความจริง แต่หลายครั้ง สื่อที่จากรอบข้างเรา ส่งเข้ามา ถ้าเราไปรับสื่อเหล่านั้นมากๆ เราก็จะเผลอไปคิดตามสื่อ ซึ่งถามว่าคิดตามสื่อ มันเป็นความจริงไหม? มันไม่จริง พระคัมภีร์จึงบอกว่ามารมีแต่หลอกลวง อย่าไปเชื่อมัน แสดงว่ามันหลอกลวงเราตลอด มันยิงศรเพลิงแห่งความโกหกมาตลอด แล้วเราต้องปกป้องอย่างไร? ปกป้องด้วยความเชื่อ ความเชื่อเกิดขึ้นได้อย่างไร? จากการได้ยินถ้อยคำพระเจ้า ฟังข้อมูลของพระเจ้าบ่อยๆ สิ อย่างที่ผมบอกเอาพระคัมภีร์คำสอนเหล่านี้ไปฟังเยอะๆ ฟังว่ามันคืออะไร? ตัวจริงๆ ฉันเป็นใคร? ตื่นเช้ามาเห็นหน้ากระจก สวยขึ้น หล่อขึ้นเยอะเลย หน้าตาดูดีขึ้นเยอะเลย เพราะฉันรู้แล้ว ฉันเป็นใคร? ฉันเคยถล่มตัวว่าฉันเป็นคนที่แย่มาก มีความคิดอิจฉาเขา น้อยใจ อันนั้นไม่ดี อันนี้ไม่ดีต่างๆ มามองไป โอ้โห! ฉันเป็นความรัก อดทนนาน กระทำคุณให้ ฉันไม่อิจฉา ฉันไม่อวดตัว ไม่โกรธใครเลย แล้วเมื่อวานล่ะ ไม่ใช่ตัวฉัน นั่นเผลอไป จากมันกระซิบมา ฉันไม่เชื่อแกอีกต่อไปแล้ว ฉันไม่สนใจแกอยู่แล้ว มันเป็นเชื้อโรค มันเป็นพยาธิ มันไม่ใช่ตัวจริงๆ ของเรา น็น็ป

พระคัมภีร์จึงบอกว่าความจริงจะทำให้เราเป็นไท สิ่งเหล่านี้คือความจริง เพราะเหตุนี้ วันศุกร์ประเสริฐ วันอีสเตอร์จึงมีความสำคัญมากจริงๆ เพราะว่าความจริงวันศุกร์ประเสริฐ วันอีสเตอร์ได้ทำให้

มนุษย์เข้ามาอยู่ในพระคริสต์ อยู่ในสวรรค์แล้ว เพียงแต่เขาไม่รู้เท่านั้นเอง พวกเราที่อยู่ในสวรรค์เรารู้ เราใช้สิทธิ์ของเรา ถามว่าคนเหล่านั้นที่ไม่เข้ามาอยู่ในสวรรค์ เขาอยู่ในสวรรค์แล้วหรือยัง? แต่เขาได้รับข้อมูลที่ผิด เขาไม่รู้ว่าเขาอยู่ในนั้นแล้ว เพียงแต่ยอมรับว่ามันเป็นอย่างนั้น แล้วใช้สิทธิ์ของเขาเท่านั้นเอง ไม่อย่างนั้น มารก็มาหลอกลวง ยังไม่ใช้หนี้ บาป เมื่อไรจะใช้หมดสักที เขาก็พูดตามมา เมื่อไรบาปจะหมดสักที กี่ปีกี่ชาติ ทั้งๆ ที่มันได้ถูกชำระเรียบร้อยไปแล้ว โดยพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน พระคัมภีร์จึงบอกอย่างนี้ชัดเจน ไม่มีการลงโทษใดๆ อีกแล้ว ไม่ว่าอะไรก็ตาม สำหรับมนุษย์เหล่านั้นที่ได้ย้ายสำมะโนครัว เข้ามาอยู่ในพระคริสต์ ไม่มีการลงโทษอีกแล้ว สำหรับผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ เพราะเขาอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า ไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็ตาม เขาอยู่ในพระเจ้าแล้ว เอเมน เหมือนที่เราร้องกันบ่อยๆ …

ดังนั้นไม่มี ที่จะลงโทษใดๆ แก่ฉันที่อาศัยในพระเยซู

ดังนั้นไม่มี ที่จะลงโทษใดๆ แก่ฉันที่อาศัยในพระเยซู

เพราะว่ากฎของพระวิญญาณ  แห่งชีวิตในเยซู

ได้ทำให้ฉันพ้นจากบาปและความตาย

ดังนั้นไม่มี ที่จะลงโทษใดๆ แก่ฉันที่อาศัยในพระเยซู

นี่คือผลของวันศุกร์ประเสริฐ อีสเตอร์ ผ่านมา 2,000 ปีแล้ว ง่ายๆ ใครเชื่อและใช้สิทธิของเขาก็ได้ จบ ไม่มีอะไรทั้งสิ้น ไม่ต้องอธิบายเลย  ใครเชื่อก็ได้ทันที เพราะมันทำสำเร็จไปแล้ว 2,000 ปีมาแล้ว นี่คือข่าวดี ที่จะต้องบอกกันต่อๆ ไป ที่จะต้องช้ำกันอยู่เรื่อยๆ ไม่อย่างนั้นเราก็จะแถไป ถูกมารหลอกไปเรื่อยๆ ให้เป็นข่าวกึ่งๆ ดี ข่าวค่อนข้างดี ข่าวเกือบดี ข่าวดูเหมือนดี แต่ไม่ใช่ข่าวดี เพราะมันเกือบเหมือน ของพระเจ้าพระเยซูมีอย่างเดียว คือข่าวดี เราไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้นเลย เพียงแค่เชื่อเท่านั้น ใช้สิทธิของเราเท่านั้นเอง เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

**************************

 

 

 

คำบรรยายวันศุกร์ที่ 19 เมษายน 2019 เรื่อง “สำเร็จแล้ว … No Condemnation in Christ – ได้สำเร็จแล้ว” ตอน 1 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันศุกร์ที่  19  เมษายน  2019

 เรื่อง “สำเร็จแล้ว … No Condemnation in Christ – ได้สำเร็จแล้ว” ตอน 1

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีครับ สุขสันต์วันศุกร์ประเสริฐ ทักทายกันหน่อย ภาษาอังกฤษ เขาใช้ชื่อ Good Friday “Good” แปลว่าดี เป็นวันศุกร์ที่ดีมาก  เขาตั้งเทศกาลนี้มา เพื่อบอกว่ามันดี วันศุกร์เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ตอนบ่ายสามโมง พระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ก่อนสิ้นพระชนม์วินาทีสุดท้าย พระองค์ตะโกนคำว่า “ได้สำเร็จแล้ว”

ทุกปีผมมาบรรยาย ก็จะมีหัวข้อเรื่อง คือ “สำเร็จแล้ว” ปีนี้มาคิดเบื่อเหลือเกิน ทุกปีก็ใช้หัวข้อเดิม ปีนี้เปลี่ยนใหม่ “ได้สำเร็จแล้ว” ไม่รู้ว่าจะพูดว่าอย่างไร?

เพราะตั้งแต่วันนั้น บ่ายสามโมงวันศุกร์ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว หลังจากวันนั้น 1 นาที มันก็คือได้สำเร็จแล้ว พระเยซูประกาศว่าสำเร็จแล้ว ปุ๊บ หลังจากนั้น 1 ชั่วโมง ก็ได้สำเร็จแล้ว ตอนเปาโลมาประกาศข่าวดี ก็บอกว่าสิ่งที่พระเยซูทำที่ไม้กางเขน ได้สำเร็จมาหลายปีแล้ว พวกเราก็บอกว่าพระเยซูได้ทำสำเร็จ 2,000 ปีมาแล้ว

แผนการการช่วยกู้มนุษย์ให้พ้นจากความตายทางวิญญาณและร่างกายด้วย เนื่องจากโทษของความบาป โดยการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีมาแล้ว จึงเป็นความชื่นชมยินดี เป็นเรื่องราวยินดี เขาถึงเรียกว่า Good Friday มาฉลองกัน ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ ถ้าไม่ใช่ Good Friday แบบมาฉลองเป็นปี แบบเทศกาลอีสเตอร์แบบนี้ แบบธรรมดา เราก็เรียกข้อมูลนี้ว่า “ข่าวดี”

ถามว่า “ข่าวดี” สำหรับใคร? สำหรับมนุษย์ทุกคน พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น

การเฉลิมฉลอง   ระลึกถึงวันศุกร์ประเสริฐ   ที่พระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน    และวันอีสเตอร์ คือวันที่พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย แต่ละปี เขาตั้งขึ้นมา เพื่อเป็นการระลึกถึงสิ่งที่พระเยซูได้ทรงกระทำบนไม้กางเขน และการเป็นขึ้นจากตายของพระองค์ ระลึกถึงสิ่งที่พระเยซูได้ทรงกระทำสำเร็จแล้ว

เพราะฉะนั้น เทศกาลอีสเตอร์ ให้เราระลึกถึงสิ่งที่พระเยซูได้ทรงกระทำสำเร็จแล้ว เหมือนกับที่พระเยซูกำชับให้พวกสาวก ให้ระลึกถึงสิ่งที่พระองค์ได้ทรงกระทำให้สำเร็จแล้ว บนไม้กางเขน ด้วยการทำพิธีเมื่อตะกี้นี้ ที่กินน้ำองุ่นและกินขนมปังรวมกัน ให้ทำบ่อยๆ รู้ไหมกินน้ำองุ่นและขนมปัง ก็คืออาหารการกินของคนสมัยเริ่มต้นนั่นแหละ คนกินข้าวทุกวัน ระลึกถึงพระองค์ว่าพระองค์ได้ทำสิ่งใด ส่วนใหญ่ ตอนที่เราทำมหาสนิท เราระลึกถึงสิ่งที่พระเยซูได้ทรงกระทำ แต่บางคนไม่ใช่อย่างนั้น ทำมหาสนิทระลึกถึงสิ่งที่ฉันได้กระทำ

“เมื่อวานฉัน อธิษฐานน้อยไป ฉันทำไม่ดี ฉันไม่สมควรเป็นคริสเตียนเลย”

ไม่ใช่ พระเยซูไม่ได้ต้องการให้เราทำตรงนั้น พระเยซูให้เราชื่นชมยินดีในสิ่งที่พระองค์ได้ทรงกระทำสำเร็จไปแล้ว โดยระลึกถึงข่าวดี เพื่อเราจะได้ไปเล่าให้ลูกฟังต่อไป ไม่ใช่ทำมหาสนิท แล้วต่างคนต่างเศร้า

“ฉันมันแย่ ฉันเป็นคนบาป ฉันไม่สมควรได้รับความรอดเลย”

ไม่ใช่อย่างนั้น พระองค์ทำสิ่งเหล่านี้ แล้วกำชับให้เราทำ เพื่อเป็นหนึ่งในการประกาศข่าวดีออกไป จะได้มาถึงพวกเราทุกคน สองพันปี ไม่อย่างนั้นหายหมดเลย หนีหมดเลย ข่าวดีนี้มันหายไปว่าพระองค์ได้ทรงกระทำสำเร็จแล้ว ต้องพูด ต้องย้ำอยู่เรื่อยๆ เพราะพระเยซูก็พูดแค่นี้ ไม่ได้พูดอะไรเยอะกว่านี้เลย ต้องการให้เราระลึกถึงสิ่งที่พระองค์ได้ทรงกระทำสำเร็จแล้ว

“พวกเธอไม่ต้องทำอะไร? ฉันทำให้สำเร็จแล้ว พวกเธอมีหน้าที่อย่างเดียว คือเอาสิ่งที่ฉันทำสำเร็จแล้ว ไปบอกต่อเท่านั้นเอง”

บอกต่อว่าพระเยซูได้ทำสำเร็จแล้ว คุณไม่ต้องทำอะไรเลย คุณมารับความรอดไปฟรีๆ เลย นี่คือเป้าหมายของเทศกาลศุกร์ประเสริฐและอีสเตอร์ ระลึกถึงสิ่งที่พระเยซูได้ทรงกระทำ และพูดอยู่เสมอๆ ก่อนที่จะกระทำสำเร็จ พูดเป็นอุปมา 3 ปี สอนวนเวียนอยู่นั่นแหละ ในสิ่งที่พระองค์จะทรงกระทำให้สำเร็จ หลังจาก 3 ปีนี้ พูดอุปมาตลอดเวลา ถึงเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์จะมาตั้งอยู่ พอวันศุกร์ประเสริฐ พระเยซูบอก “สำเร็จแล้ว” แสดงว่าสวรรค์มาตั้งอยู่แล้ว ก่อนหน้านั้น บอกว่า “จะมา” พูดอุปมานั้น อุปมานี้ พูดเกี่ยวกับเรื่ององุ่น เกี่ยวกับเรื่องตะลันต์อะไรต่างๆ ที่พระเจ้าพูดถึงเสมอ พูดถึงสวรรค์ทั้งหมด เข้าสวรรค์ทำอย่างไร? เพราะว่าสวรรค์กำลังมา พอพระองค์อยู่บนไม้กางเขน สิ้นพระชนม์ พระองค์บอกมาแล้ว พระวิญญาณเข้ามาปุ๊บ เปิดตาฝ่ายวิญญาณ รู้ เข้าใจแล้วว่าหมายถึงอะไร? เมล็ดที่หว่านลงไป มันเกิดเป็นผลแล้ว สวรรค์มาแล้ว

เมื่อวันศุกร์ตอนบ่ายสามโมง พระองค์ประกาศว่าสำเร็จแล้ว แล้วสิ้นพระชนม์ นั่นแหละเป็นคำแรกของการประกาศว่าแผนการของพระเจ้าที่จะช่วยมนุษย์ให้รอด สำเร็จแล้ว ตั้งแต่วันแรก เขาประกาศกันมาถึงวันนี้ คือพระเจ้าต้องการช่วยมนุษย์ให้รอด สำเร็จแล้ว

เรามาดูกันว่า “อะไรสำเร็จ” พระเจ้าได้ตั้งอาณาจักรสวรรค์บนโลกใบนี้ สำเร็จแล้ว โดยผ่านทางพระบุตร ที่สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน คือพระเยซูคริสต์ อาณาจักรสวรรค์นี้ จึงมีชื่อว่า “คริสต์” หรือ “ไคร์ซ” ถ้าเป็นภาษาไทย เรายกย่องผู้ที่นับถือ เราจึงใส่คำว่า “พระ” เข้าไป ก็เลยกลายเป็น “พระคริสต์” หมายถึงพระเยซูนั่นแหละ อาณาจักรสวรรค์ มีชื่อว่า “พระคริสต์”

เรามาดูข้อพระคัมภีร์บางข้อที่บอกว่าอาณาจักรเหล่านี้ ได้สำเร็จแล้ว เมื่อพระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน แล้วบอก “สำเร็จแล้ว” พระคัมภีร์จะบอกถึงเรื่องเหตุการณ์ต่างๆ สถานที่ต่างๆ ในโลกวิญญาณว่ามันเกิดอะไรขึ้น? เพราะมนุษย์มองไม่เห็นในโลกวิญญาณ พระเจ้าเป็นวิญญาณ สิ่งต่างๆ ที่บอกได้สำเร็จแล้ว ก็เกิดขึ้นในโลกวิญญาณทั้งสิ้น  มนุษย์ก็เป็นวิญญาณ และวิญญาณเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เป็นสิ่งที่จะอยู่ถาวร มากกว่าสิ่งที่ตามองเห็นอีก พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น เพราะฉะนั้น พระคัมภีร์จึงต้องอธิบายทางฝ่ายวิญญาณให้มนุษย์ได้ยิน ได้ฟัง ใครมีตา จงเปิดออก ใครมีหู จงได้ยิน ไม่มีหู ไม่มีตาเหรอ มี แต่มีฝ่ายวิญญาณ ให้เปิดออก จะได้รู้ว่าในโลกวิญญาณ อันนี้ คือเป็นจริงๆ นะ พระเจ้ามีจริงๆ อาณาจักรสวรรค์มีจริงๆ อาณาจักรพระคริสต์ตามองไม่เห็น แต่มีจริงๆ พระคัมภีร์จึงอธิษฐาน เรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้นเลย เพื่อให้มนุษย์ได้รู้ว่าโลกที่ซ้อนอยู่บนโลกใบนี้ สถานที่ที่เรียกว่าโลกวิญญาณ มันมีอยู่จริงๆ แล้วมันเป็นสิ่งที่อยู่ถาวรนิรันดร์ด้วย

เรามาดูสิว่า “ได้สำเร็จแล้ว” ในโลกวิญญาณ พระคัมภีร์พูดถึงว่ามันมีอะไรเกิดขึ้นตรงนั้นบ้าง มีอะไรสำเร็จบ้าง สวรรค์ลงมาตั้งอยู่ เรามาดูโรม บทที่ 8 กัน

โรม 8:1 “เหตุฉะนั้น บัดนี้จึงไม่มีการลงโทษแก่บรรดาผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์”

 

พระเยซูบอกว่า “สำเร็จแล้ว” ตั้งแต่วินาทีนั้นเป็นต้นมา เหตุการณ์เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ เมื่อบ่ายสามโมง 2,000 ปีที่พระเยซูประกาศ สำเร็จแล้ว บัดนี้ จึงไม่มีการลงโทษแก่บรรดาผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ หรืออยู่ในพระคริสต์

พระคริสต์ เป็นสถานที่ที่หนึ่งในโลกวิญญาณที่เรียกว่าพระคริสต์ พระเจ้าสถาปนาอาณาจักรหนึ่งขึ้นมา เรียกว่าพระคริสต์ และในนี้บอกว่าไม่มีการลงโทษใดๆ อีกแล้ว เพราะว่าเขาอยู่ในสวรรค์ ที่มีชื่อว่า “พระคริสต์” สำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ในสถานที่หนึ่ง ในโลกวิญญาณ ที่เรียกว่า “พระคริสต์” แสดงว่าใครที่ไม่ได้อยู่ในพระคริสต์ ยังถูกลงโทษอยู่ สำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ในอาณาจักรในโลกวิญญาณเหมือนกัน ที่เรียกว่า “ในอาดัม” เพราะฉะนั้น ใครอยู่ในอาดัมยังถูกลงโทษเหมือนเดิม ยังต้องชดใช้บาปตัวเองเหมือนเดิม เมื่อตายแล้ว ก็ยังต้องไปอยู่ในนรกเหมือนเดิม อยู่กับพระเจ้าไม่ได้

ในพระคริสต์ เขาเรียกกันว่า “ในวิญญาณ” นอกพระคริสต์ ในอาดัม เขาเรียกว่า “ในเนื้อหนัง” ในกิเลสตัณหา ไม่เกี่ยวกับการกระทำของคน เกี่ยวกับว่าคนนั้นอยู่ในตำแหน่งไหน? ไม่ได้เกี่ยวกับว่าเขาทำดีทำชั่ว เกี่ยวกับว่าเขาอยู่ที่ไหนตอนนั้น พอเราเชื่อพระเยซู เราถูกย้ายเข้ามาอยู่ในสวรรค์ อยู่ในพระคริสต์ เราไม่ได้ทำอะไรเลย เราเชื่ออย่างเดียว คนที่ไม่ได้ย้ายมา เขาก็ยังอยู่ที่เดิม อยู่ในอาดัม ก็เรียกว่าอยู่ในเนื้อหนัง อยู่ในพระคริสต์ เขาเรียกว่าอยู่ในพระวิญญาณ

มี 2 อาณาจักร ตามที่พระคัมภีร์บันทึกไว้ อาณาจักรหนึ่งเรียกว่าพระคริสต์ ถ้าเป็นอาณาจักรพระคริสต์  คนนั้นในพระคัมภีร์ถูกเรียกว่าเป็นเดอะเซนต์ เป็นธรรมิกชน เป็นประชากรของพระเจ้า อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า ซึ่งอยู่ในตำแหน่งใหญ่โตมาก ซึ่งเรียกว่าอยู่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน ร่วมกับพระเยซู คนนั้นที่เชื่อในข่าวดีที่พระเยซูบอกสำเร็จแล้ว พอเชื่อปุ๊บ เข้าไปนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถานพร้อมกับพระเยซูเลย

เบื้องขวาหมายถึงมีสิทธิอำนาจที่พระเจ้ามอบให้เลย ดูแลอาณาจักรสวรรค์ทั้งหมด ผู้เชื่อจึงเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์เป็นหนึ่งเดียวกันในการครอบครองอาณาจักรนี้ นี่คือมรดกของเรา

นี่คือโลกวิญญาณที่พระคัมภีร์อธิบายให้เราได้เห็นว่าคำว่า “ในพระคริสต์” เป็นอย่างไร? คนนั้นเป็นธรรมิกชนของพระเจ้า อยู่ในสวรรค์เรียบร้อยไปแล้ว ขณะที่เดินบนโลกใบนี้ แต่วิญญาณเขาอยู่ในสวรรค์ เรียกว่าพระคริสต์ เป็นประชากรของพระเจ้า หรือเขาไม่เชื่อ แล้วยังคงอยู่ที่โลกใบนี้  เป็นประชากรของโลกใบนี้ อยู่ใต้อำนาจของมารและความบาป ซึ่งส่งผลถึงความตาย ต้องรับโทษต่อไป เขาจะอยากอยู่ที่ไหน? นี่คือความจริงที่พระคัมภีร์ได้อธิบายให้เราได้เห็นภาพชัดเจนว่าโลกวิญญาณเป็นอย่างไร? มาดูต่อไปในโรม 8:2 ว่าข่าวดี Good Friday ศุกร์ประเสริฐ มันประเสริฐอย่างไร?

โรม 8:2 “เพราะว่าโดยทางพระเยซูคริสต์ กฎของพระวิญญาณแห่งชีวิต ได้ปลดปล่อยท่านให้เป็นอิสระ จากกฎแห่งบาปและความตาย”

 

เขาอธิบายต่อว่าในโลกวิญญาณนี้ กฎของความบาปและความตาย คือทำบาป ก็ต้องได้รับโทษถึงตาย บาป 1 ครั้ง ก็มีค่าเท่ากับทำบาปล้านครั้ง ทำบาปหนึ่งครั้ง ก็ได้รับโทษถึงตายเหมือนกัน แต่พระวิญญาณ ที่ทำให้เราได้บังเกิดใหม่ เนื่องจากเชื่อในสิ่งที่พระเยซูได้กระทำให้สำเร็จแล้ว พอเราเชื่อปุ๊บ พระวิญญาณเข้ามาสถิตอยู่กับเรา วิญญาณที่ตายอยู่ได้รับการสร้างใหม่ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นลูกของพระเจ้าที่สะอาดหมดจด โดยผ่านทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์เท่านั้นเอง และการเกิดใหม่ตรงนี้ มันจึงทำให้เราเป็นอิสระ จากโทษของความบาปและความตาย เราไม่ต้องรับโทษของความบาปและความตายอีกแล้ว จบกันไปเลย ในโลกวิญญาณ มันมีสองอัน ถ้าเราไม่เชื่อ เราต้องอยู่ในกฎเดิม กฎของความบาปและความตาย เราทำบาป เราก็ต้องรับ ทำบาปครั้งหนึ่งก็ตกนรก ทำบาปล้านครั้งก็ตกนรก รวมความคือตกนรกลูกเดียว เราจะเอาอย่างไร? เลือกข้างให้ถูก เลือกสถานที่จะไปให้ถูก เลือกคนให้ถูกเท่านั้นเอง มองให้ดีๆ (ในโลกวิญญาณที่มองไม่เห็น) ในโรม 8:3 บอกต่อไปว่าอย่างไร? เมื่อพระเยซูบอกว่าได้สำเร็จแล้ว  มันเกิดอะไรขึ้น

โรม 8:3 “เพราะสิ่งที่บทบัญญัติทำไม่ได้ เนื่องจากวิสัยบาป ทำให้อ่อนแอนั้น  พระเจ้าทรงกระทำแล้ว โดยส่งพระบุตรของพระองค์เอง  มาในสภาพเช่นเดียวกับมนุษย์ที่เป็นคนบาป เพื่อเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป และโดยการกระทำเช่นนี้  พระองค์ได้ตัดสินลงโทษบาปในมนุษย์ที่เป็นคนบาป”

 

“เพราะสิ่งที่บทบัญญัติทำไม่ได้ เนื่องจากวิสัยบาป ทำให้อ่อนแอนั้น” ในหนังสือฮีบรูบอกว่ากฎหรือบัญญัติต่างๆ ไม่สามารถทำให้มนุษย์เป็นผู้ชอบธรรมได้ แต่กฎบัญญัติต่างๆ เหล่านั้น ทำไว้เพื่อมนุษย์จะได้รู้ว่าตัวเองเป็นคนบาปและอ่อนแอ ถ้าไม่มีกฎ เราจะทำอะไร เราก็ไม่ผิด ถ้ามีกฎ เราทำปุ๊บ ผิดเลย

ยกตัวอย่าง ถ้าเขาบอกว่าให้ขับรถไปที่นี่ แล้วมันไม่มีป้ายบอก ไฟเขียว ไฟแดง เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา เราขับไปเรื่อยๆ ไม่ผิด ขับอย่างไรก็ไม่ผิด แต่พอเขามีกฎแล้ว มีไฟแดง ไฟเขียว พอไฟแดง เราต้องหยุด ถ้าเราไม่หยุด ถือว่าผิด นี่เรียกว่ากฎ ปรากฏว่ามนุษย์ก็มีบาปอยู่ในตัว พอเจอไฟแดง ก็อยากจะฝ่าไฟแดง ที่ไม่ฝ่า เพราะว่าตำรวจอยู่ แต่ (สันดาน) ชอบทำ ฝ่าอยู่แล้ว นี่แหละคือมนุษย์อ่อนแอ แปลว่าอย่างนี้  พอมีกฎแสดงว่ามนุษย์จะรู้ทันทีว่า …

“ฉันเป็นคนบาป ฉันไม่อยากทำอันนี้ เขาบอกว่าไม่ดี เขาบอกว่าการโกรธ การไม่ให้อภัยคน ไม่ดี การอิจฉาคน ไม่ดี ฉันพยายาม ไม่อิจฉา แต่ฉันทำไม่ได้ ฉันเป็นคนบาป”

เพราะฉะนั้น ในนี้กำลังจะบอกเราว่าต่อให้มนุษย์พยายามทำให้ถูกต้อง แต่ข้างในใจ มันไม่สะอาดจริง มันไม่สามารถทำให้เธอชอบธรรม ก็คือสะอาดหมดจด ตามมาตรฐานของพระเจ้าได้เลย เพราะฉะนั้น ก็รู้อยู่แล้วว่าต้องโดนลงโทษแน่ๆ

เมื่อมนุษย์ทำไม่ได้ พระเจ้าได้ทรงกระทำแล้ว  ผ่านทางพระบุตร โดยส่งพระบุตรของพระองค์เองมา ในสภาพเช่นเดียวกับมนุษย์ คือมาเกิดเป็นมนุษย์ที่เป็นคนบาป เพื่อเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปให้กับมนุษยชาติทั้งปวง พระองค์ได้ตัดสินลงโทษมนุษย์ ที่เป็นคนบาปไปแล้ว ตั้งแต่วันนั้น จนถึงวันนี้จนต่อไปในอนาคต ที่ยังไม่เกิดมา บาปทั้งหมดได้ถูกจัดการ ชำระ ถูกตัดสินว่ามนุษย์รับบาปไปหมดแล้ว สมมติ โทษจำคุก 100 ปี ถูกย้ายไปอยู่ที่พระเยซูหมดแล้ว พระเยซูบอกสำเร็จแล้ว รับไปแล้ว 100 ปี พวกเราก็ไม่ต้องรับแล้วไง ถือว่าเราอยู่ในพระคริสต์แล้ว เราอยู่ในพระเยซู เราตายพร้อมกับพระเยซู เรารับโทษพร้อมกับพระเยซู … พระเยซูรับโทษ 100 ปี เราก็รับโทษ 100 ปี  พระเยซูตายที่ไม้กางเขน เราก็ตายที่ไม้กางเขนในวันนั้นด้วย ศุกร์ประเสริฐนั้น พอพระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย เราก็เป็นด้วย เพราะจบไปแล้ว บาปได้ถูกชำระไปเรียบร้อยแล้ว เมื่อถูกชำระบาป เราก็ไม่มีบาปแล้ว ทุกวันนี้ วิญญาณเราสะอาดหมดจด เพราะเราได้รับการชำระแล้ว เราจ่ายเงินไปแล้ว จ่ายค่าจ้างของความบาป ซึ่งคือความตาย ที่ไม้กางเขนพร้อมกับพระเยซูแล้ว พระคัมภีร์บอกอย่างนี้ เราได้ตายพร้อมกับพระองค์  พระเยซูกำลังจะบอกเราว่าให้เราเห็นภาพว่า …

“เรารวมกันเป็นหนึ่งเดียวกัน เมื่อฉันรับโทษ พวกเธอก็รับไปพร้อมๆ กัน เหมือนตอนเธอรับโทษ สมัยอาดัม เธอก็รับโทษพร้อมกับบรรพบุรุษ ตอนนี้ฉันจ่ายโทษให้แล้ว จ่ายหนี้ให้แล้ว เธอก็อยู่กับฉัน จ่ายไปพร้อมๆ กัน จำไว้ เตือนกัน ต่อๆ ไป หมดแล้ว จบแล้ว ไม่ต้องมีใครมาทวงหนี้อีกแล้ว อย่าไปหลงเชื่อมาร”

แค่นั้นเอง ในพระคัมภีร์จะพูดวนเวียนตรงนี้ตลอดเวลาว่าจ่ายไปหมดแล้ว พระเยซูมาทำเพื่อเรา มีค่าเท่ากับว่าเราทำเองตรงนั้น ไม่เข้าใจใช่ไหม? ให้ใช้ความเชื่อเอา กฎบัญญัติต่างๆ บอกว่ามนุษย์ทำไม่ได้ อ่อนแอ พระเจ้ารู้ จึงได้ส่งพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ลงมา  เพื่อไถ่บาปให้กับมนุษย์ เหมือนหนังสือยอห์น 3:16 บอกไว้ว่า …

ยอห์น 3:16 “พระเจ้าทรงรักโลกนี้ยิ่งนัก จึงได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ลงมา เพื่อมนุษย์จะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์”

 

อันเดียวกัน ได้ทำแล้ว ส่งมาแล้ว เพราะฉะนั้น มนุษย์ได้รับชีวิตนิรันดร์แล้ว ขึ้นอยู่กับเขาจะเลือกไหม? เขาจะเอาไหม?  ถ้าเขาเอา ก็คือเชื่อ ก็ย้ายข้างมา จบ ไม่ได้ทำอะไรเลย ไม่ได้เกี่ยวกับจะทำดี ทำชั่ว แต่เกี่ยวกับการย้ายสถานที่อยู่ในโลกวิญญาณเท่านั้น จากดำมาขาว จากโลกวิญญาณที่เรียกว่าอาดัม มาสู่พระคริสต์ จากโลกวิญญาณที่เรียกว่านรก มาอยู่ในความสว่างเรียกว่าสวรรค์ของพระเจ้า จากประชากรของโลก เนื้อหนัง มาเป็นประชากรที่เรียกว่าธรรมิกชนของพระเจ้า ในพระคริสต์ ไม่ได้เกี่ยวกับคนที่ทำดี ทำชั่วเลย เกี่ยวกับว่าเขาอยู่ไหน? ขณะที่อยู่ในอาดัม เขาไม่ย้ายเข้ามา ยังอยู่ที่เดิม อยู่ในเนื้อหนัง ก็จะมีทั้งคนดี คนไม่ดี ที่เรามองเห็นว่าคนนี้ทำดี คนนี้ทำไม่ดี บวกไปบวกมา ในทำนองเดียวกัน เมื่อย้ายเข้ามาอยู่ในสวรรค์ของพระเจ้า อยู่ในอาณาจักรของพระคริสต์ ก็เหมือนเดิมนั่นแหละ ก็จะมีผสมกัน มองดูคนนั้นนิสัยไม่ดี คนนั้นยังไม่ดีอยู่ แต่มันคนละเรื่องของโลกวิญญาณ วิญญาณสะอาดหมดจด อยู่ในสวรรค์แล้ว  ไม่ต้องรับโทษอะไรอีกต่อไปแล้ว เอเมน มันเป็นแค่นี้เอง

ข้อสุดท้าย โรม 8:4 บอกว่าได้สำเร็จแล้ว แล้วมันเกิดอะไรขึ้น เมื่อพระเจ้าส่งพระเยซูมา ถามว่าส่งมาเพื่ออะไร? โรม 8:4 ได้บอกไว้อย่างนี้

โรม 8:4 “เพื่อข้อกำหนดอันชอบธรรมของบทบัญญัติ จะได้สำเร็จครบถ้วนในตัวเราทั้งหลาย ผู้ไม่ดำเนินชีวิตตามวิสัยบาป แต่ดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ”

 

พระเจ้าได้ส่งพระเยซูมาทำ และได้ทำสำเร็จแล้ว เพื่อข้อกำหนดอันชอบธรรมของบทบัญญัติจะได้ชอบธรรมครบถ้วนในตัวเราทั้งหลาย ก็คือในตัวมนุษย์ทั้งหลาย ก็เพื่อสิ่งที่มนุษย์ทั้งหลายทำไม่ได้ เพราะอ่อนแอ รักษาบัญญัติครบถ้วนสมบูรณ์ไม่ได้ เดี๋ยวก็ทำผิดๆ ตั้งใจจะทำถูกอย่างไร? พระเยซูบอกแค่โกหก ก็ไม่ซื่อ ไปขโมยของเขา ไปโกรธเขา เกลียดเขา ก็เท่ากับฆ่าเขาตาย ไปมองผู้หญิงด้วยใจกำหนัด ก็เท่ากับล่วงประเวณีแล้ว ทำอะไรก็ผิดหมด ไม่มีทางช่วยเหลือตัวเองได้ พระเยซูกำลังจะบอกมนุษย์ว่าพวกเธอช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เมื่อช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ พระเจ้าก็เลยส่งพระเยซูมาช่วยมนุษย์ให้รอดพ้น โดยการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูบนไม้กางเขน ในนี้บอกว่า …

“เพื่อข้อกำหนดอันชอบธรรมของบัญญัติจะได้สำเร็จ ครบถ้วนบริบูรณ์ในตัวเราทั้งหลาย”

คือในตัวมนุษย์ทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เชื่อจะได้รับผลเลย ได้สำเร็จครบถ้วนในตัวเราทั้งหลาย ผู้ไม่ดำเนินชีวิตตามวิสัยบาป แต่ดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ แปลว่า …

“เพื่อว่าเราจะได้กลายเป็นผู้ชอบธรรม โดยไม่ต้องทำอะไรเลย”

พระเยซูมาตายที่ไม้กางเขน เพื่อว่าเราจะได้รับการชำระบาป ให้เป็นผู้ชอบธรรมได้ โดยได้ถูกย้ายออกจากการดำเนินชีวิต อยู่ในอาณาจักรนี้ มามีชีวิตอยู่ในพระวิญญาณ ได้เกิดใหม่ อยู่ในสวรรค์

ตอนที่พระเยซูกำลังจะเดินทางเข้าไปสู่การถูกตรึงที่ไม้กางเขน สาวกก็ห้ามปราม พระเยซูบอกว่า …

“ฉันต้องไป ฉันต้องทำ”

คือตายและถูกตรึงที่ไม้กางเขน และบอกว่า …

“เมื่อเราถูกยกขึ้น ก็คือถูกตรึงที่ไม้กางเขน เราจะดึงเอาผู้คนมากมาย มาสู่เรา”

หมายถึงเราจะเอาเผ่าพันธุ์มนุษย์ผ่านทางเรา ไปอยู่กับพระเจ้า และทุกวันนี้ ไปอยู่กับพระเจ้าเท่าไรแล้ว ผ่านทางพระเยซูคนเดียว มนุษย์หลั่งไหลเข้าสู่ ง่ายๆ เลย  โดยยกมือเท่านั้นเอง 2,000  ปีมาแล้ว นี่คือข่าวดี ที่สมควรที่จะถูกประกาศออกไป  ไม่ต้องพึ่งการกระทำของใคร ของคนโน้นคนนี้ ของตัวท่านเอง หรือใครมาช่วยท่านเลย แม้กระทั่งไม่ต้องพึ่งพระเยซูเลย เพราะพระเยซูได้ ทำสำเร็จแล้ว พระองค์ไม่ได้เหนื่อยขึ้นเลย ที่จะมาช่วยอีกคนหนึ่งให้รอด เพราะช่วยทีเดียว ไปทั้งหมดเลย นี่คือความดีของคำว่า “Good Friday”  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

***************************

 

 

 

 

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 24 มีนาคม 2019 เรื่อง “อุปมาคำสอนของพระเยซู” ตอน 14 “การลงทุนที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุด” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  24  มีนาคม  2019

 เรื่อง “อุปมาคำสอนของพระเยซู”

ตอน 14 “การลงทุนที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุด”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            เรายังอยู่ในซีรี่ย์ชุด “อุปมาคำสอนของพระเยซู” ตอน 14 มีชื่อตอนว่า “การลงทุนที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุด” เมื่อพูดถึงการลงทุน เราต้องนึกถึงประโยคนี้ก่อนเลย เคยได้ยินไหม?

“การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรตัดสินใจก่อนการลงทุน”

เป็นประโยคเด็ด ที่ถูกบังคับให้ใส่ไว้ในการโฆษณาเกี่ยวกับการลงทุนทุกตัว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องหุ้น เรื่องกองทุนต่างๆ เพื่อให้ประชาชนเรียนรู้ รับรู้ และเข้าใจก่อนการเอาเงินไปลงทุนว่าการลงทุนมีความเสี่ยง และอะไรที่ได้รับผลตอบแทนสูงๆ ก็ยิ่งต้องเสี่ยงมาก โอกาสได้รับผลตอบแทนน้อยๆ ก็เสี่ยงน้อย เป็นเรื่องธรรมดา

ความเสี่ยง ก็คือการผันผวนที่เป็นไปได้ ทั้งกำไรและขาดทุน เช่น การลงทุนทำการค้าหรือธุรกิจ อะไรก็ตามที่ทำลงไป แล้วได้เยอะแยะ อันนั้นเสี่ยงมาก แต่ถ้าลงทุนอะไรตั้งนาน กว่าจะได้ ได้มาทีหนึ่งไม่เยอะ  ค่อยๆ ได้ทีละนิดทีละหน่อย อย่างนี้เสี่ยงไม่สูง หรือคนไม่อยากเสี่ยง เอาเงินไปฝากแบงค์ อย่างนั้นไม่เรียกว่าลงทุนนะ เรียกว่าเอาเงินไปฝาก กินดอก เงินอยู่ ยกเว้นแบงค์เจ๊ง อันนั้นเป็นอุบัติเหตุ

สิ่งที่เราจะเรียนรู้กันในวันนี้ เป็นอุปมาคำสอนของพระเยซู ที่เปรียบให้เห็นถึงทางเลือกในการลงทุน ซึ่งแน่นอน ไม่ใช่การลงทุนในเรื่องทรัพย์สินเงินทองบนโลกใบนี้ แต่เป็นการลงทุนด้วยชีวิตของเรา  และผลตอบแทนที่จะได้รับ จะเป็นอะไรน๊า คำอุปมาของพระเยซู เกี่ยวกับการบังเกิดใหม่ การไปสวรรค์ เกี่ยวกับอาณาจักรสวรรค์ พระเยซูสอนจะไปสวรรค์ ต้องลงทุนอย่างไร?

เริ่มต้นคำอุปมา เรื่องเงินตะลันต์ ในมัทธิว 25:14-18 บันทึกไว้อย่างนี้

มัทธิว 25:14-18 “14 อาณาจักรสวรรค์ยังเปรียบเหมือนชายคนหนึ่งจะออกเดินทาง จึงเรียกคนรับใช้มามอบหมายทรัพย์สินให้ดูแล 15 เขาให้เงินคนหนึ่งห้าตะลันต์ คนหนึ่งสองตะลันต์และอีกคนหนึ่งตะลันต์เดียว ตามความสามารถของแต่ละคน แล้วเขาก็ไป 16 คนที่ได้รับห้าตะลันต์ นำเงินไปลงทุนทันที และได้กำไรมาอีกห้าตะลันต์ 17 คนที่รับสองตะลันต์ ก็เช่นกัน ได้กำไรมาอีกสองตะลันต์ 18 ส่วนคนที่ได้รับตะลันต์เดียว ไปขุดหลุมเอาเงินของนายซ่อนไว้”

 

เจ้านายคนหนึ่ง มีเงินทองเยอะแยะมากมาย กำลังจะออกเดินทางไปต่างเมือง ก็เลยเรียกคนรับใช้มา 3 คน เพื่อมอบหมายให้ดูแลเงินของตัวเอง ในนี้บอกว่ามอบหมายให้ตามความสามารถของแต่ละคน มองดูแล้วว่าใครควรจะเป็นอย่างไร? คนแรกให้ดูแลเงิน 5 ตะลันต์ คนที่สอง 2 ตะลันต์ คนที่สาม 1 ตะลันต์ เพื่อให้เห็นภาพว่าเงินตะลันต์ในสมัยนั้น มันมีค่าประมาณไหน?

มีบันทึกไว้อย่างนี้ว่าเงินจำนวน 1 ตะลันต์ จะมีค่าเท่ากับค่าจ้างแรงงาน 1 คน เป็นเวลาประมาณ 15 – 20 ปี ถ้าเทียบเงินปัจจุบันนะ เอาวันนี้นะ ค่าแรงขั้นต่ำต่อปี คร่าวๆ ก็ประมาณ 100,000 บาทต่อปี ประมาณนะ เพราะฉะนั้น  1 ตะลันต์ในยุคนั้น ก็น่าจะประมาณ 1,500,000 – 2,000,000 ในยุคนี้ เพื่อท่านจะได้เห็นภาพว่าเงินที่เจ้านายฝากให้คนรับใช้ดูแล มันไม่ใช่น้อยๆ นะ มันเป็นเงินก้อนใหญ่พอสมควร พอได้รับมอบหมายให้ดูแลเงินของเจ้านาย

คนรับใช้คนที่หนึ่ง ได้มา 5 ตะลันต์ปุ๊บ ได้มา 10 ล้าน  คนรับใช้คนนี้ ก็นำไปลงทุน และได้กำไรเท่าตัว ในนี้เขียนไว้ใช่ไหม? คือได้เพิ่มมาอีก 5 ตะลันต์ ได้เพิ่มมาอีก 10 ล้าน = 20 ล้าน

คนรับใช้คนที่สอง ก็ทำเหมือนกัน  คือได้มา 2 ตะลันต์ ก็เอา 2 ตะลันต์ไปลงทุน ก็ได้มาอีก 2 ตะลันต์ ก็เท่ากับ 8 ล้าน

ส่วนคนที่สาม ได้รับมอบหมายให้ดูแล 1 ตะลันต์ ประมาณ 2 ล้าน ไม่ได้นำเงินไปลงทุนเลย แต่ไปขุดหลุมซ่อนไว้ ซ่อนเงินเจ้านายไว้ … มาดูต่อว่าพอเจ้านายกลับมา อะไรเกิดขึ้นบ้าง

มัทธิว 25:19-30 “19 อีกนาน หลังจากนั้น นายก็กลับมา และสะสางบัญชีกับคนรับใช้ 20 คนที่ได้รับห้าตะลันต์ นำอีกห้าตะลันต์ มาเรียนว่า ‘นายเจ้าข้า ท่านให้ไว้ห้าตะลันต์ ดูเถิด  ข้าพเจ้าได้กำไรมาอีกห้าตะลันต์’ 21 “เจ้านายของเขาตอบว่า ‘ดีมาก เจ้าเป็นบ่าวที่ดีและสัตย์ซื่อ! เจ้าสัตย์ซื่อในของเล็กน้อย เราจะตั้งเจ้าให้ดูแลของมาก มาร่วมยินดีในความสุขกับนายของเจ้าเถิด’ 22 “คนที่ได้รับสองตะลันต์ก็มาเรียนว่า ‘นายเจ้าข้า ท่านให้ไว้สองตะลันต์ ดูเถิด ข้าพเจ้าได้กำไรมาอีกสองตะลันต์’ 23 “เจ้านายของเขาตอบว่า ‘ดีมาก เจ้าเป็นบ่าวที่ดีและสัตย์ซื่อ! เจ้าสัตย์ซื่อในของเล็กน้อย เราจะตั้งเจ้าให้ดูแลของมาก มาร่วมยินดีในความสุขกับนายของเจ้าเถิด!’ 24 “แล้วคนที่ได้รับตะลันต์เดียวมาเรียนว่า ‘นายเจ้าข้า ข้าพเจ้ารู้ว่าท่านเป็นคนใจแข็ง ซึ่งเก็บเกี่ยวสิ่งที่ท่านไม่ได้เพาะปลูก และรวบรวมผลที่ท่านไม่ได้หว่าน 25 ข้าพเจ้ากลัว จึงเอาเงินไปซ่อนไว้ในดิน ดูเถิด นี่คือเงินของท่าน 26 “เจ้านายของเขาตอบว่า ‘ไอ้บ่าวเลวแสนขี้เกียจ เจ้าก็รู้ว่าเราเก็บเกี่ยวสิ่งที่เราไม่ได้เพาะปลูก และรวบรวมผลที่เราไม่ได้หว่าน 27 เช่นนั้นแล้ว ก็น่าจะเอาเงินของเราไปฝากธนาคารไว้ เพื่อเวลาที่เรากลับมา เราจะได้เงินคืนพร้อมดอกเบี้ยด้วย 28 “ ‘จงริบเงินหนึ่งตะลันต์นี้ ไปให้คนที่มีสิบตะลันต์  29 เพราะทุกคนที่มี จะได้รับเพิ่ม และเขาจะมีเหลือเฟือ   ส่วนผู้ที่ไม่มี แม้ที่เขามีอยู่ ก็จะถูกริบไปจากเขา 30 โยนไอ้บ่าวไร้ค่าคนนั้นออกไปที่มืดข้างนอก  ที่ซึ่งจะมีการร่ำไห้ และขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน”

 

“อีกนาน” เจ้านายไปนาน พิสูจน์ว่าคนรับใช้เอาเงินไปทำอะไร? ในนี้บอกว่าคนที่ได้ 5 ตะลันต์ เจ้านายกลับมาบอกว่า “ดีมาก” เพราะเขาได้กำไรมาอีก 5 ตะลันต์ คนที่ได้มา 2 ก็ได้กำไรมาอีก 2 เจ้านายก็บอกว่า “ดีมาก” ไม่มีใครได้มากกว่ากัน ในทางรางวัลที่เจ้านายบอก “ดีมากๆ” ทั้งๆ ที่ตามตาเรามองเห็น  คนแรกได้ตั้ง 5 ตะลันต์ เยอะกว่าตั้งเยอะ คนที่สองได้ 2 เอง แต่เจ้านายบอก “ดีมาก” ฟังตรงนี้ไว้ก่อน

หลายคนเวลาศึกษาเรื่องอุปมาคำสอนของพระเยซู แล้วก็ตีความว่าพระเยซูกำลังพูดถึงคริสเตียนผู้ที่เชื่อแล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว แต่จริงๆ แล้ว ตอนที่พระเยซูตระเวนสั่งสอนผู้คน พระองค์ไม่ได้สอนเฉพาะผู้ที่ติดตามพระองค์เท่านั้น ส่วนใหญ่พระองค์จะพูดถึงมนุษย์ทั้งหมดเลย บนโลกใบนี้ว่าจะมีผลตอบสนองต่อการไปสวรรค์อย่างไร? เขามีความคิดอย่างไร? ในข้อมูลที่พระเยซูสอน ข่าวดีที่พระเยซูบอกว่าเข้าสวรรค์ต้องเป็นอย่างนี้ เขาเข้าใจได้อย่างไร แล้วเขาปฏิบัติต่อ หรือฟังและเชื่อขนาดไหน? มากกว่า

ตัวอย่างในอุปมาเรื่องเงินตะลันต์ที่เรากำลังอ่านอยู่นี้ ความเข้าใจส่วนใหญ่ไปตีความว่าพระเยซูกำลังพูดถึงผู้ที่เชื่อแล้ว หรือเป็นคริสเตียนแล้ว แล้วก็บอกว่าเป็นคริสเตียน จะต้องพยายามใช้ของประทานที่พระเจ้าให้มา ไม่ว่า 5 ตะลันต์ก็ตาม 2 ตะลันต์ก็ตาม 1 ตะลันต์ก็ตาม เพื่อให้เกิดประโยชน์มากที่สุดในอาณาจักรพระเจ้า ถวายเกียรติแด่พระเจ้าให้มากที่สุด  เกิดผลในกิจการของพระเจ้ามากที่สุด  ต้องพยายามให้ถึงที่สุดเลย ดูรายการหน้าโบสถ์สิ มีอะไรให้เราทำบ้าง? ตั้งแต่กวาดโบสถ์ ถวายทรัพย์ จนออกไปประกาศข่าวดี ต้องพยายามผลักดันให้ผู้คนออกไปทำ เพื่อที่จะเอาข้อนี้มาอ้าง

ซึ่งถ้าเราตีความถ้อยคำตรงนี้  ในลักษณะอย่างนี้ แล้วตอนท้ายของอุปมานี้ ที่บอกว่าคนรับใช้ที่ได้รับเงินมา 1 ตะลันต์ แต่ไม่ได้ทำประโยชน์อะไรให้เกิดผลงอกงามขึ้นมา คนรับใช้คนนี้ถูกลงโทษอย่างหนัก คือถูกโยนออกไปในที่มืดข้างนอก ที่ซึ่งมีการร่ำไห้ และขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ซึ่งหมายถึงนรกนั่นเอง แล้วมันแย้งกันไหมล่ะ ลูกพระเจ้าถูกจับโยนออกมาจากบ้านพระเจ้า กลับมาอยู่ในนรก มันไม่ใช่ถ้อยคำพระเจ้าเลย ถ้อยคำพระเจ้าบอก เมื่อใครมาเชื่อพระเจ้าแล้ว เป็นลูกพระเจ้าแล้ว เป็นคริสเตียนแล้ว เราจดชื่อเขาอยู่ในฝ่ามือของเรา ไม่มีใครเอาเขาออกไปจากคอกของเราได้อีกแล้ว พระเยซูบอก

ถ้าเราตีความว่าตรงนี้ หมายถึงคริสเตียน หรือคนที่เป็นลูกพระเจ้า แล้วที่พระคัมภีร์สอนมาทั้งหมด ที่เราได้เรียนมา ข้ออื่นๆ ที่บอกว่าพระเยซูตาย เพื่อไถ่บาปเรา ชดใช้ความผิดบาปของเราแล้ว เราเป็นไทแล้วจริงๆ เราได้รับอิสรภาพแล้ว เราได้รับความรอดนิรันดร์แล้ว โดยพระคุณพระเจ้า ไม่ใช่ด้วยการกระทำของเราเอง แล้วมันคืออะไร? มันแย้งกันใหญ่เลย โดยเฉพาะที่บอกว่าเราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว ยิ่งแย้งใหญ่เลย  มันก็ไปไม่รอด

เปาโลบอกว่าดังนั้น จึงไม่มีการลงโทษใดๆ สำหรับผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ ไม่มีการลงโทษเขาอีกแล้ว ถ้าเขาเชื่อในพระเยซู แต่ตรงนี้บอกว่าคนรับใช้นี้ ดูแลเงินเจ้านายไม่ดี จึงถูกลงโทษ อย่างหนัก และยังแถมในข้อตะกี้ เจ้านายเรียกคนนี้ว่าชาติชั่ว คือผมจะบอกให้ทำไมเรียกชาติชั่ว พระคัมภีร์บอกมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ชั่วหมด คนที่ไม่ชั่ว คือคนที่พระเยซูไถ่บาปให้เขาแล้ว เขามารับสิทธิของพระเยซู ที่ไถ่บาปให้เขาแล้ว มารับสิทธิของเขาจากความชั่วกลายเป็นความดี ไม่ใช่เขา พระเยซูเป็นผู้ทำ แต่ถ้าเขาไม่มารับสิทธิ เขายังเป็นคนชั่วเหมือนเดิม ยอห์น 3:16-17  พระเยซู คือผู้ที่พระเจ้าประทานให้ ใครที่เชื่อในพระบุตรจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์ แต่พระบุตรไม่ได้มาตัดสิน พิพากษาคนบนโลกใบนี้ แต่เขาถูกตัดสินอยู่แล้ว ไม่เชื่อพระเยซู ก็เป็นคนบาปอยู่แล้ว ไม่ต้องไปเพิ่มกว่านั้น  คนบาป ก็คือคนชั่วนั่นเอง แต่ถ้ามาเชื่อพระเยซูบาปนั้น พระเยซูเอาไปแล้ว เขาก็หลุดพ้นจากบาป ก็แค่นั้นเอง

เพราะฉะนั้น ก่อนที่เราจะเรียนรู้กันต่อไปว่าคำอุปมาพระเยซูตรงนี้ หมายความว่าอะไร? ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่าพระองค์พูดถึงมนุษย์บนโลกใบนี้ ที่ยังไม่เป็นคริสเตียน ยังไม่เชื่อในข่าวดี ยังไม่ได้เป็นลูกของพระเจ้า ยังเป็นคนที่ชั่วอยู่ รู้แล้วนะ

ตัวอย่างอุปมาอีกเรื่องหนึ่ง การหว่านเมล็ดพืช ที่เราได้เรียนแล้ว ที่บอกว่าพืชผลที่จะได้รับนั้น ก็ขึ้นอยู่กับว่าเมล็ดที่หว่านออกไป ไปตกที่ไหน? ดินเป็นอย่างไร? เปรียบได้กับการประกาศข่าวประเสริฐ ข่าวดีของพระเจ้าเรื่องสวรรค์ ว่าประกาศไปให้กับมนุษย์บนโลกนี้ทั้งหมดเลย และมนุษย์บนโลกนี้ ก็ถูกแบ่งออกเป็น 4 ประเภท

(1)  เมล็ดที่ตกตามทางนกจิกกินไปหมด เปรียบได้กับคนที่ได้ยินการประกาศแล้ว แต่ยังไม่เกิดความเข้าใจ ไม่เกิดความเชื่อ แล้วมารมาฉวยเอาไป

นี่คือหนึ่งในจำนวนผู้ที่ไม่เชื่อ ได้ยินข่าวดีเรื่องสวรรค์ พระเยซูมาประกาศให้ได้ยิน เขามีการตอบรับอย่างนี้

(2)  ประเภทที่สอง เมล็ดพืชที่ตกบนพื้นกรวดหิน คือผู้ที่ได้ยินพระวจนะแล้ว ได้รับไว้ทันที ด้วยความตื่นเต้น แต่เพราะไม่ได้หยั่งรากลึก จึงอยู่ได้แค่ชั่วคราว ยังไม่ใช่ของจริง ในที่สุด ก็ทิ้งไป  จบ

นี่ก็อีกพวกหนึ่งที่ได้ยิน ได้ฟังข่าวดี

(3)  พวกที่สาม เมล็ดที่ตกกลางพงหนาม มีแต่หนามปกคลุม ก็เปรียบได้กับผู้ที่ได้ยินพระวจนะ คือได้ยินถ้อยคำข่าวดี เรื่องของพระเจ้า ได้ยินเกี่ยวกับสวรรค์ เกี่ยวกับอุปมาที่พระเยซูพูด แต่ไม่ผ่านการล่อลวงของโลก ความเชื่อไม่สามารถดิ่งลงไปในจิตใจเขาได้ เพราะเขาไม่ลงทุน ไม่เอา ไปทำอย่างอื่นดีกว่า คิดว่ามันได้กำไรมาก รอพระเจ้าไม่ไหว ก็ทิ้งไป

(4) ประเภทสุดท้าย เมล็ดที่ตกบนดินดี ก็คือผู้ที่ได้ยินพระวจนะ หรือได้ยินถ้อยคำพระเจ้า เรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ และมีความเข้าใจ และเก็บรักษาไว้ด้วยความเชื่อ ก็คือลงทุน จนกระทั่งความเชื่อนั้นมันหยั่งรากลึกเข้าไปในใจเรื่อยๆ กลายเป็นบังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้า

ดินทั้งสี่ประเภทนี้ ก็หมายถึงคนที่ยังไม่ได้เชื่อพระเจ้า คนที่ยังไม่ได้เป็นคริสเตียน คนที่ยังไม่ได้เป็นลูกพระเจ้า คนทั่วไปบนโลกใบนี้แหละ เมื่อได้รับฟังเรื่องราวของพระเยซูคริสต์เกี่ยวกับข่าวดีของสวรรค์ มาถึงแล้ว เมื่อได้รับการประกาศข่าวประเสริฐแล้ว มีผลในการดำเนินชีวิต โต้ตอบ เขาสนใจขนาดไหน ลงทุนขนาดไหน? ทำหรือไม่ทำ? นี่มันเป็นอย่างนี้

เพราะฉะนั้น วันนี้เราจะมาเรียนรู้คำอุปมาเรื่องเงินตะลันต์นี้ ในมุมมองใหม่ เป็นมุมมองของผู้ที่ได้เข้าใจถ้อยคำพระเจ้าอย่างถ่องแท้ และลึกซึ้งในความหมายของคำว่า “พระคุณพระเจ้า” คือข่าวดี หรือสลับกัน ก็คือข่าวดี คือพระคุณพระเจ้ามาถึงเรา

ในคำอุปมาเรื่องตะลันต์ตรงนี้ พระเยซูกำลังเปรียบเทียบมูลค่าเงินตะลันต์กับข่าวประเสริฐ ที่ตะกี้เราคุยกันว่าเงิน 5 ล้าน 10 ล้าน พระเยซูยกขึ้นมา เป็นจำนวนเงินที่มีค่า เปรียบเทียบจากเรื่องที่พระองค์พูด จากสวรรค์ ก็คือข่าวดี เรื่องของสวรรค์ ก็คล้ายๆ เรื่องการหว่านเมล็ดพืชที่เราได้ยกตัวอย่างมา คือบางคนได้ยิน ได้ฟังเรื่องข่าวดี ของพระเยซู เรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ บางคนได้ฟังมานิดเดียว เปรียบเหมือนเงิน 1 ตะลันต์เท่านั้นเอง บางคนได้ฟังมาเยอะหน่อย ได้ 2 ตะลันต์ บางคนญาติพี่น้องเพื่อนฝูงรักมาก ไปหาทุกวัน ไปพูดข่าวประเสริฐ ตัวเองก็รำคาญ ตัวเองก็ได้ยินได้ฟังไป เปรียบเหมือนคนที่ได้รับ 5 ตะลันต์ ฟังเยอะๆ พอเชื่อปั๊บ ไปเร็วเลย เพราะมีคนไปบอก ไปสอนอยู่เรื่อย ท่านพอมองเห็นไหม?

อย่างผมเป็นคนที่ได้ 5 ตะลันต์ ผมรู้ เพราะมีคนมาพูดกับผมเยอะมากเลย แล้วผมก็ฟังไปอย่างนั้นแหละ ฟังไป เถียงไป พอคนใหม่มา เถียงเขาๆ เหมือนสนทนาธรรมตลอดๆ ก็เหมือนได้ 5 ตะลันต์ได้ฟังเยอะ บางคนได้ฟังข่าวประเสริฐจากการประกาศแป๊บเดียว หรือได้ยินจากเพื่อนนิดเดียว หายไปแล้ว แต่ในที่สุด เขาก็มาเชื่อข่าวประเสริฐของพระเจ้าจริงๆ ได้เกิดใหม่จริงๆ ก็มีนะ นี่เป็นประสบการณ์

แต่ไม่ว่าจะได้รับมาเท่าไร? ได้ยินข่าวดีของพระเยซูเกี่ยวกับสวรรค์เยอะแค่ไหนก็ตาม ผลที่จะได้รับนั้น ขึ้นอยู่กับว่าคนๆ นั้น นำไปลงทุนต่อหรือเปล่า? พูดง่ายๆ ว่าเชื่อไหม? เชื่อก็คือลงทุน ไม่เชื่อ ก็คือไม่เอา  ไม่ลงทุน ไม่เสี่ยง ซึ่งการลงทุนในที่นี้ ก็คือลงทุนด้วยชีวิตของตนเอง หลังจากที่เราได้ฟังข่าวประเสริฐของพระเยซู มีใครมาเล่าเรื่องข่าวดีของพระเยซูให้เราฟัง เราพร้อมไหมที่จะลงชีวิตให้กับข่าวดีของพระเยซูที่เราได้ยินได้ฟัง หลายครั้งเราจะตัดสินใจ ก็ไม่ใช่ง่ายๆ  ท่านเองอาจจะมีประสบการณ์อย่างนี้ คือไม่ใช่ครั้งแรกที่ท่านได้ฟังข่าวประเสริฐ แล้วท่านกล้าลงทุน อาจเป็นครั้งที่ 40 ครั้งที่ 50 ครั้งที่ 100 ครั้งที่พัน ครั้งที่หมื่น ก็ได้ ใหม่ๆ ท่านฟัง ก็ดีนะ แต่อาจจะฟังครั้งที่ 20 มันดีมากขึ้น แต่ เยอะเลย เอาน่าลงทุน เอาสิ มันเป็นอย่างนี้ คือหมายความว่าเรากล้าเสี่ยงไหม เวลาเราตัดสินใจ เพื่อพระเยซู ถามว่าเชื่อพระเยซูต้องเสี่ยงไหม? เสี่ยง … เสี่ยงหลายอย่าง ยิ่งเราอยู่ในประเทศนี้ ยิ่งเสี่ยงเยอะ ในขณะที่ข่าวประเสริฐของพระเยซูบอกว่าเวลาเราจะเข้าไปอยู่สวรรค์ เข้าไปได้วิธีใด ด้วยความเชื่อ เชื่อข่าวดี เชื่อพระเยซู เชื่อด้วยใจ  พูดด้วยปาก ก็นำมาสู่ความรอดแล้ว มันง่ายไหม?  ง่าย

รับด้วยปาก เชื่อด้วยใจ เชื่ออะไร? เชื่อในข่าวดีของพระเยซูว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา เป็นพระเจ้าที่ตายที่ไม้กางเขน ด้วยความทุกข์ทรมาน หลั่งพระโลหิตชำระบาปของเรา เชื่อยากมากเลย แต่ถ้าคนนั้น รับด้วยปากและเชื่อด้วยใจอย่างนี้ คนนั้นก็สามารถไปอยู่ในสวรรค์ได้ แต่ความเชื่อก่อนหน้านี้ ความเชื่อเดิมบอกว่าอยากไปสวรรค์ใช่ไหม? ต้องทำอย่างไร? ต้องทำดี ทำบุญเยอะๆ สะสมบารมีไว้ ถ้าท่านสะสมเยอะๆ อาจจะได้ขึ้นสวรรค์ชั้นดีขึ้น ค่อยๆ สะสมไปเรื่อยๆ ถูกไหม? อย่างนี้แหละ ท่านว่าเสี่ยงหรือไม่เสี่ยง? ของพระเยซูเหมือนง่ายเกินไป เหมือนไม่ได้ทำอะไรเลย เชื่อพระเยซูอย่างเดียว ไม่มีอะไรให้ทำเลยเหรอ แล้วจะเชื่อได้อย่างไร? อีกอันหนึ่ง ดูเหมือนดีนะ เดินไปไหน รู้สึก …

“ฉันเป็นคนดี สมควรไปสวรรค์”

อันนี้เรามาเชื่อพระเยซู “ฉันสมควรไปสวรรค์ เพราะฉันไม่ได้ทำอะไรเลย”

มันรู้สึกเชื่อยาก นี่แหละ คือความลำบากในการลงทุน เรื่องข่าวประเสริฐของพระเยซู คือความเสี่ยงที่เห็นชัดๆ เหมือนแชร์ลูกโซ่ ลงทุนไปพันหนึ่ง สิ้นเดือนนี้ ได้มา 1,200 เลย ได้ทั้งเงินต้นคืนและได้กำไรอีก 200 ไม่พอถือต่อไปอีก ลงทุนเยอะขึ้น ได้กำไรเยอะขึ้น ทำมา 6 เดือนเป็นเศรษฐีแล้ว ลงทุนไปอีก 2 ปี กลายเป็นยาจก และแถมติดคุกอีก ถูกหรือไม่ถูก? เสี่ยงไหม? แต่ได้เยอะไหม? ได้เยอะ แต่อีกคนหนึ่ง

“ลูกโซ่ ฉันไม่เอา ฝากธนาคาร ได้ดอกเบี้ยนิดหนึ่งๆ”

10 ปีผ่านไป ก็ยัง ได้นิดหนึ่งไปเรื่อยๆ ก็ยังได้อยู่ใช่ไหม? แต่อีกคนหนึ่งติดคุกไปแล้ว นี่ยกตัวอย่างให้ฟังเฉยๆ ว่าความเสี่ยงในการลงทุนมันคืออะไร? พระเยซูกำลังสอนเรื่องนี้ว่าอันหนึ่ง คือความเชื่อ ไม่ต้องทำอะไรเลย อีกอันหนึ่งต้องทำเยอะๆ ทำมากๆ ทำด้วยตัวเอง เพราะฉะนั้น พระเยซูกำลังบอกว่า …

“การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนตัดสินใจให้ดีๆ ก่อนที่จะลงทุน เพราะนี่เป็นการลงทุนชีวิตของท่าน คิดให้ดีๆ”

ย้อนกลับไปดูที่ถ้อยคำเมื่อตะกี้ ที่คนรับใช้ คนสุดท้ายนำเงิน 1 ตะลันต์ไปขุดหลุมฝัง ตอนทีเจ้านายกลับมา คนรับใช้รายงานว่า …

“นายเจ้าข้า ข้าพเจ้ารู้ว่าท่านเป็นคนใจแข็ง (แข็งกระด้าง) ซึ่งเก็บเกี่ยวสิ่งที่ท่านไม่ได้เพาะปลูก และรวบรวมผลที่ท่านไม่ได้หว่าน”

ตรงนี้หมายความว่าอย่างไร? คนที่ได้ 1 ตะลันต์ ในความคิดของเขา เหตุผลของคนๆ นี้ คือไม่อยากเอาเงินนี้ไปลงทุน เพราะลักษณะของเจ้านาย พระลักษณะของพระเจ้า ในความคิดของเขานะ คือเป็นคนใจแข็งกระด้าง โหดร้าย ใครทำผิด ทำไม่ถูกต้อง ต้องถูกลงโทษ คนรับใช้คนนี้ ก็เลยกลัว ไม่กล้าทำอะไรกับเงินที่ได้รับมา ไม่กล้าลงทุน ไม่กล้าเสี่ยงอะไรทั้งนั้น เพราะกลัวถูกลงโทษ

ตรงนี้ ก็เปรียบเทียบให้เห็นคนบางประเภทที่มองพระลักษณะของพระเจ้าผิด คือคิดว่าพระเจ้าคงเป็นพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่จริงๆ มีฤทธิ์อำนาจมากจริงๆ แล้วก็คงเป็นพระเจ้าที่เข้มงวด โหดร้าย สั่งฆ่า ก็ฆ่าทั้งหมู่บ้านเลย น่ากลัวมาก ผมคิดเล่นๆ นะ คนที่คิดถึงพระเจ้าหน้าตาแบบนี้ ก็คือคนที่ในอดีตตอนเด็กๆ มีคนสอนมา ทำดีได้ไปสวรรค์ ทำชั่วตกนรก คิดมาตลอดว่าถ้าไปสวรรค์ทั้งที มันคงจะเจอกฎระเบียบร้ายแรง ไม่ได้คิดถึงแม้แต่นิดเดียวว่าพระเจ้าเป็นความรัก มีพระคุณมหาศาล มีพระเมตตา นี่คือนิสัยจริงๆ ของพระเจ้า  พระลักษณะจริงๆ ของพระเจ้า  ไม่เห็นตรงนี้เลย เห็นพระเจ้าลักษณะแบบคนรับใช้คนสุดท้ายคนนี้ ก็เลยเกิดความกลัว ไม่เสี่ยงดีกว่า เพราะว่ามองไม่เห็นความเมตตา มองไม่เห็นพระลักษณะที่เป็นพระคุณของพระเจ้า เห็นตาต่อตา ฟันต่อฟัน

เพราะฉะนั้น เขากลับไปทำเหมือนเดิมดีกว่า คือทำผิดทำถูกบ้าง อย่างน้อยมีทำดีบ้างล่ะ แต่จะมาบอกว่าพึ่งพระเยซูคนนี้ ไม่ต้องพึ่งการกระทำของตนเอง ไม่กล้า เลยไม่เอาไปลงทุน ซึ่งในความจริงแล้ว เราได้เรียนรู้กันมาตลอดว่าพระเจ้าเป็นพระเจ้าแห่งความรัก พระองค์ทรงรักมนุษย์ทุกคนยิ่งนัก จึงได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ลงมา เกิดบนโลกใบนี้ ตายที่ไม้กางเขน เพื่อมนุษย์จะได้รับชีวิตนิรันดร์ พระบุตรมา ไม่ได้มาเพื่อพิพากษามนุษย์ทั้งโลก แต่มนุษย์ทั้งโลก กำลังถูกพิพากษาอยู่แล้ว เพราะบาปของเขา พระองค์มาเพื่อช่วย เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เยซู แปลว่าผู้ช่วยให้รอด ไม่ใช่มาเพื่อตัดสิน เพราะมนุษย์ถูกตัดสินก่อนหน้านี้แล้ว ตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว ยังไงเขาก็อยู่นรกอยู่แล้ว แต่พระเยซูมาช่วยให้เขาไปสู่สวรรค์อย่างนี้ ซึ่งทั้งหมดนี้ เป็นความรักของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์ การกระทำทั้งหมดที่พระองค์ทรงกระทำผ่านทางพระเยซู เราเรียกว่าข่าวดีแห่งพระคุณไง พระคุณ คือเราไม่ต้องทำอะไร? พระเจ้าทำให้หมดทุกอย่าง

คนรับใช้คนสุดท้าย ก้าวไม่ถึงตรงนี้ ไม่ได้เชื่อในพระลักษณะของพระเจ้า ไม่ว่าเราจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจ เจ้านายเราไม่ได้เป็นคนอย่างนั้น เจ้านายเราเป็นคนมีเมตตา เต็มไปด้วยความรัก ไว้ใจได้

เรามาดูคำอุปมา เรื่องถัดไป ซึ่งมีความหมายใกล้เคียงกัน ต่อๆ กัน มัทธิว 13:31-32 นี่ลักษณะเดียวกันว่าพระเยซูกำลังอุปมาถึงถ้าเราจะลงทุนในลักษณะลงทุนในข่าวดี มันจะเป็นลักษณะอย่างนี้ ถ้าจะลงทุนเกี่ยวกับเรื่องสวรรค์ในแบบข่าวดีของพระเยซู มันจะเป็นลักษณะอย่างนี้

มัทธิว 13:31-32 “31 พระองค์ทรงยกคำอุปมาอีกข้อหนึ่งว่า “อาณาจักรสวรรค์เปรียบเหมือนเมล็ดมัสตาร์ด ซึ่งมีคนเอาไปเพาะในทุ่งของตน 32 แม้เมล็ดนั้นเล็กกว่าเมล็ดทั้งปวง แต่เมื่องอกขึ้น ก็ใหญ่ที่สุดในสวน และกลายเป็นต้น ให้นกในอากาศมาเกาะกิ่ง”

 

พูดถึงเมล็ดมัสตาร์ดบ้านเราไม่ค่อยคุ้นนะ แต่ทางตะวันออกกลางมีปลูกกันเยอะมาก  ทุกคนจะรู้จักเมล็ดมัสตาร์ดว่ามีขนาดเล็กมาก คล้ายๆ เมล็ดงา นิดเดียว แต่เห็นเล็กๆ อย่างนี้ เวลาเอาไปเพาะปลูก เวลามันงอกขึ้นมา มันโตเต็มที่แล้ว มันเต็มทุ่งเลย ใหญ่มาก ให้ผลเยอะมาก อุปมาตรงนี้ พระเยซูกำลังเปรียบกับความเชื่อ ให้เห็นภาพว่าความเชื่อแม้เพียงนิดเดียว เล็กๆ เท่าเมล็ดมัสตาร์ด แต่ถ้าเรายอมลงทุนกับความเชื่อนี้ ลงไปในข่าวดีของพระเยซู ผลที่ได้รับมันยิ่งใหญ่มากมายมหาศาล คือมองไม่เห็นผลที่จะได้รับตอนที่ลงทุนเลย

ยกตัวอย่าง คนหนึ่งเอาไปลงทุนบิตคอยด์ คล้ายๆ แชร์ลูกโซ่ มันได้ผลๆ เราอยู่ที่บ้าน เข้ามาฟังทุกวันๆ ทำไมมันได้ เราเอาเงินจำนวนเดียวกันไปฝากแบงค์ ได้ดอกเบี้ย 1% รัฐบาลประกาศลดดอกเบี้ยอีก ตอนนี้เหลือ 0.75 ตอนนี้ได้น้อยกว่าเดิมอีก แต่เงินเรายังอยู่เหมือนเดิม เมื่อไรมันจะได้ รอไป 15 ปี มันจึงได้อีก 1 เท่า สมมตินะ เอาไปฝากหนึ่งล้าน รอไปอีก 15 ปีได้มาเท่าหนึ่ง … เดี๋ยวนี้ไม่ได้ แต่ก่อนนี้ได้ เอาแต่ก่อนสิ รอไปอีก 15 ปีได้อีก 1 ล้าน รอนานมาก คนที่เล่นแชร์น้ำมัน แป๊บเดียวได้เป็นล้านแล้ว เห็นไหม? แล้วเราอยากลงทุนแบบไหนมากกว่า การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาก่อนการลงทุน มิฉะนั้น จะเจ๊ง ไม่ใช่เจ๊งอย่างเดียว แต่ติดคุกอีกต่างหาก คนติดคุกเหล่านี้ เขาไม่ได้ตั้งใจนะ แต่มันไปเรื่อยๆ พอลงทุนไปเรื่อยๆ มันได้ มันล่อเราไปเรื่อยๆ อีกฝั่งหนึ่งที่จริงๆ หลับแล้ว ตื่นแล้ว วันๆ หนึ่ง คอยนั่งแต่ฟังข่าวดีว่าดอกเบี้ยจะลดลงเมื่อไร? แต่เงินมันอยู่จริงๆ มันเป็นการสะสมทรัพย์ แบบถาวร แบบหยั่งยืน การฝากเงินแบงค์ ไม่ได้พูดถึงปัจจุบัน แนะนำให้ไปฝากแบงค์ อันนี้ให้ไปคิดเอง นี่เปรียบเทียบให้เห็นถึงข่าวประเสริฐของพระเยซูว่ามัสตาร์ดคืออะไร? มันเล็กๆ มองไม่เห็น แต่เวลาเก็บเกี่ยวผล มันโอ้โห อาจจะดูเหมือนใช้เวลานานมาก ตั้งแต่เริ่มหว่านเมล็ดเล็กๆ ลงไปจนถึงว่ามันจะออกผล แต่เมื่อถึงวันที่มันเริ่มออกผล มันจะออกผลยิ่งใหญ่ทวีคูณมากมาย  มันก็คือสวรรค์นั่นเอง ก็เหมือนเราลงทุนในความเชื่อ ในข่าวดีตอนนี้ ทุกวันก็เหมือนกัน ไม่เห็นมีอะไรแปลกใหม่เลย ก็เชื่อพระเยซู แต่วันหนึ่งเกิดท่านตายไป ท่านป่วยตาย ถ้าป่วยตาย แสดงว่าอายุยืน  ถ้าไม่ป่วยตาย เกิดอุบัติเหตุตาย ท่านจะโอ้โห คุ้มค่าอ่ะ ชีวิตบนโลกใบนี้มันสั้นเหลือเกิน แค่ 60 ปี 70 ปี 80 ปี ให้ร้อยหนึ่งด้วยกับชีวิตนิรันดร์ มาอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถาน นั่นแหละ พระเยซูกำลังยกตัวอย่างเมล็ดมัสตาร์ดที่ท่านหว่านลงไป ไม่เห็นอะไรหรอก แต่เมื่อมันโตเต็มไร่แล้ว มันเยอะเก็บเกี่ยวไม่หมดเลย ลักษณะอย่างนั้น

ถ้าผมเปรียบเทียบปลูกเมล็ดมัสตาร์ดขึ้นมา กว่าจะได้ต้นใหญ่ อีกนาน อีกหลายปี คนข้างบ้านเขาปลูกกล้วย  แป๊บเดียว ยังไม่ออกลูกเลย มันขึ้นต้นแล้ว ยังพอเห็นภาพว่ามันออกลูกแน่ แต่เมล็ดมัสตาร์ด ปลูกไปปีหนึ่ง ยังไม่เห็นผลเลย แต่สุดท้ายผลมันเหมือนกัน กล้วยเก็บกินไม่กี่หวี แต่ไม่นาน มันก็ตาย ในสวรรค์มันจะขนาดไหน?

อุปมาเรื่องสุดท้าย เกี่ยวเนื่องกัน ลักษณะเดียวกัน อันนี้ก็ชัดเจน ลงทุนน้อยๆ แต่มันได้เยอะ ไม่ใช่ทางพระเจ้าแน่ ของพระเจ้าต้องใช้ความอดทน ใช้ความเชื่อ วางใจ ไม่ต้องทำอะไร ปล่อยให้มัน โตขึ้นเอง เกี่ยวเนื่องกันในมัทธิว บทที่ 13 ข้อ 33-35 อันนี้ ผู้หญิงรู้จักดี

มัทธิว 13:33-35 “33 แล้วทรงยกคำอุปมาอีกข้อหนึ่งว่า “อาณาจักรสวรรค์เปรียบเหมือนเชื้อขนม ซึ่งผู้หญิงเอาไปผสมในแป้งกองใหญ่ จนแป้งทั้งก้อนฟูขึ้น” 34 ทั้งหมดนี้ พระเยซูตรัสแก่ฝูงชนเป็นคำอุปมา พระองค์ไม่ได้ตรัสสิ่งใดกับพวกเขาเลย นอกจากคำอุปมา 35 ทั้งนี้ เป็นจริงตามที่กล่าวไว้ ผ่านทางผู้เผยพระวจนะว่า “ข้าพเจ้าจะเอื้อนเอ่ยคำอุปมา จะเผยสิ่งที่ซ่อนเร้นไว้ ตั้งแต่ครั้งทรงสร้างโลก”

 

เผยสิ่งที่ทรงซ่อนเร้นไว้ ตั้งแต่ก่อนสร้างโลกว่ามนุษย์ตกลงไปในความบาป พระเจ้าจะประทานพระบุตรมาช่วยมนุษย์อย่างไร? ทุกอย่างเปิดเผยทั้งหมด โดยคำสอนของพระเยซูในอุปมา บอกแล้วไง อุปมาคำสอนของพระเยซูทั้งหมด เกี่ยวกับเรื่องสวรรค์ มนุษย์จะไปสวรรค์ได้อย่างไร? มนุษย์จะได้รับการช่วยเหลืออย่างไร?

เชื้อขนม ก็คือผงฟู หรือเรียกว่ายีสต์ ทับศัพท์ มันเป็นสิ่งมีชีวิตเล็กๆ คล้ายกับเมล็ดมัสตาร์ด คล้ายกันในเชิงยกตัวอย่างเปรียบเทียบ มันเล็กๆ เอง ซึ่งพอผมอ่านตรงนี้ ผมก็ไม่เข้าใจ เพราะไม่เคยทำขนม ไม่เคยรับจ้างไปเป็นคนทำขนมปัง สมัยก่อนอ่านก็ไม่รู้เรื่อง  แต่รู้ว่ามันมีอะไรประมาณนี้  ตอนนี้เห็นชัดเลย  ไปเปิดดูเองก็ได้ เขาเรียกว่าโดรน คือก้อนแป้ง แล้วเขาก็ใส่ยีสต์ลงไปนิดหนึ่ง เสร็จแล้ว สุดท้าย จบ ก็คือมันพองขึ้นมาเต็มไปหมด เขาใส่ยีสต์เพียงช้อนเดียว ลงไปในก้อนแป้ง พอพักไว้ 1-2 ชั่วโมง มันพองขึ้นมาเป็นก้อนเบ่อเริ่ม ใหญ่โตเลย

พระเยซูกำลังยกตัวอย่าง มันเล็กๆ ด้วย แต่เพิ่มเติมจากมัสตาร์ด มันเล็กๆ แล้วมันทำงานจากข้างในออกมาข้างนอก เหมือนคนที่เขาฟังข่าวดี เขาลงทุนชีวิตเขาไป ใช้ความเชื่อเล็กๆ ลงไปในโลกวิญญาณ  แล้วมันก็เกิดพอกออกมา เป็นวิญญาณ เจริญเติบโตขึ้นเรื่อยๆ แล้วครอบครองอาณาจักรสวรรค์ร่วมกับพระเยซูคริสต์ คือนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถานเลยทีเดียว ใหญ่ไหมล่ะ  ไม่ใช่จากข้างนอกเข้าไปข้างใน อย่างที่ผมบอกเสมอ มันต้องจากข้างในไปข้างนอก เพราะมนุษย์บาป และเป็นคนชั่วทั้งโลก พระเยซูบอกว่าเขาชั่วที่วิญญาณของเขา ข้างในเขา พระเยซูบอกว่าเหมือนหลุมศพฉาบปูนขาว ข้างนอกเราจะทำดีอย่างไร  มันก็แค่ฉาบปูนขาว แต่ข้างในมันคือหลุดศพ ข้างในมันตายอยู่ เต็มไปด้วยความบาป จากบรรพบุรุษ เกิดมาก็บาปแล้ว

นี่พระคัมภีร์ล้วนๆ มันตายข้างในแล้ว ฉะนั้น การแก้ มันต้องแก้ที่ข้างใน  เข้าไปแก้ตรงหลุมศพนั่นให้มันมีชีวิตขึ้นมา พระเยซูประทานชีวิตให้  พระเจ้าชุบเราให้เป็นขึ้นมาใหม่ พร้อมกับพระเยซู ชุบที่วิญญาณของเราเกิดใหม่ นั่นแหละคือสวรรค์ บังเกิดใหม่ เข้าไปอยู่ในอาณาจักรสวรรค์ ที่ข้างใน มันเริ่มจากความเชื่อเล็กๆ ที่เราหว่านลงไป ในข่าวดีของพระเยซูที่ประกาศเรื่องสวรรค์ ตอนที่พระองค์เดินอยู่บนโลกใบนี้ และบันทึกเอาไว้ ไม่กี่หน้า สอนแค่ 3 ปีเอง ถ้าพระองค์มาสอนเรื่องเกี่ยวกับศีลธรรม ความดีงาม สอนทั้งชีวิตก็ไม่จบหรอก แต่พระองค์ไม่ได้มาสอนตรงนั้น พระองค์มาสอนวิธีการเปลี่ยนข้างใน จากชั่วเป็นดี เปลี่ยนข้างใน จากหลุมศพ เป็นชีวิต เปลี่ยนข้างในจากความมืด มาเป็นความสว่าง เปลี่ยนข้างในจากลูกมาร มาเป็นลูกพระเจ้า พระเยซูสอนอยู่แค่นี้เอง ไม่ได้สอนอะไรเลย แต่ถ้าเราลงทุนกับพระเยซู มันก็มีแค่นี้ให้เรียน แต่ถ้าเราบอกเราจะเรียนเอง เราจะทำเอง เราจะมีเรื่องเรียนอีกเยอะมากเลย นี่ผมไม่ได้ต่อต้านนะ ผมก็เรียนมาเยอะเหมือนกัน เราต้องไปเรียนในโรงเรียนพระคัมภีร์ เราต้องอ่านพระคัมภีร์ เราต้องอย่างโน้นอย่างนี้ เพื่อจะศึกษา ต้องทำอันนี้ ต้องทำอันนั้น ต้องรับใช้พระเจ้าเยอะๆ อีก แต่มันไม่ใช่  … ไม่ใช่ว่าไม่ดีนะ แต่มันไม่ใช่ที่ดีที่สุด ที่ดีที่สุด คือง่ายๆ ลงทุนความเชื่อนิดเดียว แต่ก็บอกยากมากที่จะตัดสินใจ เพราะฉะนั้น ควรไปศึกษาก่อนการลงทุน เพราะการลงทุนมีความเสี่ยง

เพราะฉะนั้น สรุปในสิ่งที่เราเรียนทั้ง 3 อุปมานี้ และอุปมาอื่นๆ ที่เราเรียนกันมา 14 ตอนนี้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ … สวรรค์กำลังมา พระเยซูพูดอยู่นี้ ตั้งแต่ยังไม่ถูกตรึงกางเขน สวรรค์ยังไม่มา ตอนสวรรค์มา คือตอนที่พระเยซูอยู่บนไม้กางเขน ถูกตรึง และสิ้นพระชนม์ และวันที่สามเป็นขึ้นมาใหม่ นั่นแหละ สถาปนาสวรรค์เรียบร้อยไปแล้ว แต่ก่อนหน้านี้ ตอนพูดอยู่นี้ สวรรค์กำลังจะมาตั้งอยู่ เลยบอกไว้ก่อน ถ้ามาเมื่อไร ท่านจะลงทุนไหม? อุปมาเป็นเรื่องเหล่านี้ทั้งหมด อุปมาวันนี้ ประเด็นที่น่าสนใจ ก็คือ …

(1) การลงทุนกับข่าวดีของพระเยซู ตอนเริ่มต้น มันจะเล็กๆ แต่ท้ายๆ มันจะใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เป็นผลมากขึ้นเรื่อยๆ

(2) มันจะเกิดผล ไม่ใช่จากข้างนอก มันจะเกิดผลจากข้างในเรา ในร่างกายเรา เห็นชัดๆ คือในวิญญาณเรา เป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น

อ่านพระคัมภีร์ พยายามเน้นให้ฟังโดยใช้หูทางฝ่ายวิญญาณฟัง เหมือนที่พระเยซูบอกใครมีหูจงฟังเถิด หมายถึงมีหูทางฝ่ายวิญญาณ ใครมีตาจงดูเถิด หมายถึงตาทางฝ่ายวิญญาณ อ่านให้รู้ว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น เพราะมันทำงานจากข้างในออกมาข้างนอก เริ่มต้นเล็กๆ แต่สุดท้ายมันใหญ่เกินกว่าที่เราสามารถรับได้ เราต้องบอกว่าโอ้โห บางคนบอกโอ้โหตั้งแต่ยังอยู่ในร่างกายนี้อยู่เลย พูดง่ายๆ ตั้งแต่ยังไม่ตาย คนที่เชื่อพระเจ้ามาหลายๆ ปี 30, 40 ปี แม้ว่าเขาจะอยู่บนโลกใบนี้ ดูเหมือนว่ากระท่อนกระแท่น ตามสายตาของคนอื่น ไม่ได้รวยเหมือนคนอื่น แต่เกือบทุกคนถามว่าเชื่อพระเยซูเป็นไง เขาจะบอกมันมีความสุขจริงๆ เลย โอ้โห บางคนโอ้โหก่อนที่จะจากโลกนี้ไป แล้วถามเผื่อคนนั้น วิญญาณที่สะอาดหมดจด บริสุทธิ์เหมือนพระเยซู ออกจากร่างไปปุ๊บ เขาก็ไปอยู่ที่เดิม เขาอยู่ในวิญญาณอยู่แล้ว เพียงแต่เขาไม่ติดขัดอยู่กับเนื้อหนังบนโลกใบนี้  เพราะเนื้อหนังบนโลกใบนี้ มันหยุดทำงาน ไปรอรับร่างกายใหม่ ร่างกายที่เต็มไปด้วยพระสิริของพระเจ้า จากพระเจ้าในสวรรค์สถาน พระคัมภีร์บอกเขาจะเห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า ตาต่อตา เห็นจริงๆ เลย ไม่มีการลางๆ อีกแล้ว ท่านจะตะโกนว่าอย่างไร?  ถ้าตอนที่มีชีวิตอยู่ ท่านบอกเชื่อพระเยซู มีความสุขที่สุดแล้ว ดีแล้ว ถึงวันนั้น ถ้าออกไปแล้วเห็นอย่างนี้ ท่านจะคิดว่าอย่างไร? ท่านจะบอกว่าอย่างไร?

บางทีเจอความทุกข์บนโลกใบนี้ มันเรื่องธรรมดา เรื่องการเจ็บไข้ได้ป่วย เรื่องการกินการอยู่ พระเจ้าก็พาเราไปทีละวันๆ หลายเรื่องเราไม่เข้าใจว่าทำไมต้องทุกข์ พระคัมภีร์บอกเราว่าโลกใบนี้ มันเสียหายไปแล้ว เนื่องจากบาป มันเละไปแล้ว รอจนกว่าพระเจ้าจะฟื้นฟูโลกใบนี้ใหม่ แล้วให้เรากลับมาครอบครอง ซึ่งครอบครองด้วยร่างกายใหม่ ร่างกายที่ไม่ได้อยู่ใต้อำนาจของบาป ไม่ได้อยู่ใต้อิทธิพลของกิเลสตัณหาของเนื้อหนังอีกต่อไป ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บอีกต่อไป ไม่มีน้ำตาอีกต่อไป ไม่มีความทุกข์ยากอีกต่อไป  ไม่มีใครมาทวงหนี้อีกต่อไป ไม่ต้องไปฝากเงินแบงค์อีกต่อไป ไม่ต้องขอเงินแม่อีกต่อไป แล้วยังอีกหลายๆ อย่าง ที่อยู่กับพระเจ้าหน้าต่อหน้า แม้กระทั่งพื้นยังเป็นทองเลย สมัยก่อนเขาไม่รู้จะยกว่าอย่างไร? ก็เลยบอกขนาดพื้นบ้านในสวรรค์ของเรายังเป็นทองเลย ท่านลองคิดดู แค่กรวดหน้าบ้านก้อนนิดหนึ่ง ยังใหญ่เลย ไม่รู้กี่บาท ท่านจะร้องว่าอย่างไร?

เพราะฉะนั้น บางทีเจอความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ จงมองให้เห็น มองข้ามไปตรงโลกวิญญาณ ความเชื่อนี้มันอยู่ที่เกิดขึ้นจากข้างในวิญญาณออกมา ไม่ใช่จากข้างนอกเข้าไป อย่าไปมองหาจากข้างนอก มันไม่มีหรอก ข้างนอกถูกหลอกทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม  ไม่ว่าบางครั้งถูกหลอกโดนการแอบอ้างชื่อพระเจ้าด้วย อย่าไปเชื่อ ต้องจากข้างในออกมา ไม่ใช่ มาเชื่อพระเจ้าแล้วจะร่ำรวย จะแข็งแรง จะประสบความสำเร็จบนโลกใบนี้ทุกอย่าง อย่าไปเชื่อๆ ไม่มีจริง ถ้ามีจริงอย่างนั้น โลกใบนี้มันก็ไม่ได้เสียหายสิ แล้วถ้ามีจริงอย่างนั้น พวกท่านไม่มีโอกาสได้นั่งที่นี่นะ  เพราะท่านต้องเข้าคิวอยู่โน้น อยู่ปากทาง เพราะคนแห่กันมาหมด ผมต้องบอก …

“ให้คนใหม่เข้ามาก่อน คุณเคยมาแล้ว เขาอยากรวย ให้เขามา เขาอยากแข็งแรงเข้ามา”

อย่าไปถูกหลอก เขาบอกแล้วว่าการลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาก่อนลงทุน มิฉะนั้นจะเสียใจ  นี่มันเรื่องจริง เราไม่เข้าใจ บางที ก็ไม่อยากได้ อยากได้จริงๆ แต่มันไม่ใช่ แล้วจะถูกเขาหลอกทำไมต่อไป ก็อยากได้ มันเป๊ะเลยนะ ที่พูดมา

เราต้องฝึกไว้ว่าไม่มองสิ่งที่มองเห็นได้ ไม่มองสิ่งที่จับต้องมองเห็นได้ ในโลกใบนี้ มองไปทางฝ่ายวิญญาณ  เพราะว่าเรื่องผลที่เกิดขึ้นต่างๆ ในโลกวิญญาณนั้น มันเกิดขึ้นจากข้างใน ในวิญญาณของเราออกมา ซึ่งวิญญาณของเราอยู่ในสวรรค์แล้วกับพระเจ้า

สรุปแล้ว คือตอนนี้ถ้าเรามาเชื่อพระเจ้า ลงทุนกับพระเยซูแล้ว อะไรเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ วิญญาณของเราข้างในเกิดใหม่ เป็นวิญญาณที่เหมือนพระเยซู สะอาดหมดจดบริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีบาปแม้แต่นิดเดียว วิญญาณเราพร้อมกับความคิดจิตใจของวิญญาณ เป็นตัวจริงของเรา ซึ่งจะอยู่ตลอดไป อยู่ที่ไหน? อยู่ที่นี่แหละ อยู่เหมือนเดิม เพราะขณะที่พระคัมภีร์พูดตอนนี้ เราเชื่อในพระเจ้า วิญญาณได้ถูกย้ายออกจากอาณาจักรของความมืด ที่เป็นทาสของมาร เข้าไปอยู่ในอาณาจักรแห่งแสงสว่างของพระบุตร คือย้ายเราเข้ามาสู่อาณาจักรวิญญาณที่เป็นสวรรค์ ชีวิตเราถูกซ่อนอยู่ในพระคริสต์ ร่วมกับพระเจ้า พระเจ้าพระบิดา  พระเยซู พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาสถิตอยู่กับเรา เป็นหนึ่งเดียวกัน ในโลกวิญญาณมันเป็นเช่นนี้ ความคิด จิตใจ เราถูกชำระล้างด้วยพระโลหิตของพระเยซู สะอาดหมดจด ไม่มีโทษใดๆ ติดเลยแม้แต่นิดเดียว และเรายังอยู่ในร่างกายเดิมนี้ ยังหายใจได้ ตามองเห็นได้ เพื่อพระเจ้าจะได้ใช้เราต่อไปในการไปประกาศข่าวประเสริฐ โดยที่ท่านไม่ต้องพยายาม เดี๋ยวพระเจ้าพาไปเอง ตามทางของพระองค์ ตามวิถีการของพระองค์ จะประกาศด้วยคำพูด หรือการกระทำ หรือทำอะไรไม่รู้ เดี๋ยวพระเจ้าจัดการท่านเอง ให้พระองค์นำไป อย่าพยายามไปนำพระเจ้า อย่าไปคิดจะทำอันโน้นอันนี้ เดี๋ยวถึงเวลา พระเจ้าจะพาท่านไปเอง แล้วพอทำจนกระทั่งท่านเสร็จงาน พระองค์ก็นำท่านกลับบ้าน จะนำท่านกลับบ้าน จากการเป็นมะเร็ง จะนำท่านกลับบ้าน จากการเป็นโรคอะไร หรือไม่เป็นโรคเลย หรือเป็นอุบัติเหตุ ไม่รู้ ไม่มีสิทธิ์รู้ เพราะว่ามันเป็นเรื่องของโลก ที่ตามองเห็น ไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ เราไม่สนใจ เพราะเรารู้ว่าโลกที่ตามองเห็นนี้ มันวิปริต มันเสียหาย มันอยู่ใต้อำนาจของมาร ซึ่งสามารถจะบิดอะไรต่างๆ แล้วมันหลอกเราได้ ถ้าเราขืนไปมองตรงนั้น มันจะถูกหลอกไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้น หลอกเราไม่ได้ เมื่อเราไม่มอง ไม่สนใจ เอเมน

นี่คือความจริง เพราะฉะนั้น วันนี้เราได้ตรงนี้ไปแล้ว เราก็จะไม่เหมือนทาสคนสุดท้าย ที่ไม่รู้จักเจ้านายของเขา เราก็จะเหมือนคนบนโลกใบนี้ ที่รู้จักพระเจ้า เพราะตอนนี้เรารู้แล้วว่าพระเจ้ามีพระลักษณะอย่างไร? ไม่ได้โหดร้าย ไม่ได้น่ากลัวอย่างนั้น แต่พระเจ้าเป็นความอ่อนน้อม เป็นความนุ่มนวล เป็นความดีงาม ตลอดเวลา 100% ไม่มีสีดำเลย พระเจ้าไม่ได้เป็นคนขี้โกรธ ไม่ได้เป็นคนขี้อาฆาตใคร พระเจ้าเป็นความรักจริงๆ แล้วพระองค์ใส่ความรักของพระองค์เข้ามาในเรา ทำให้เรารักคนอื่นได้ ทำให้เรารักพระเจ้าได้ ไม่ใช่เราพยายามที่จะรัก แต่พระเจ้าใส่ความรักเข้ามาในวิญญาณเรา แล้วเราก็กลายเป็นวิญญาณแห่งความรัก แม้ข้างนอกเราจะชินกับความโกรธ เกลียด อิจฉา ริษยา แต่ No อันนั้น วันหนึ่งมันต้องตายไป แต่วิญญาณเราที่เกิดใหม่ทุกวันๆ เป็นวิญญาณที่มาจากพระเจ้า เป็นวิญญาณแห่งความรัก ซึ่งมีลักษณะ คืออดทนนาน กระทำคุณให้ ไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ไม่อะไรต่างๆ เยอะแยะ เอเมน มาหว่านตรงนี้กันดีกว่า นี่คือพระคุณของพระเจ้า พระเจ้าคือพระคุณ ข่าวดีของพระองค์ คือพระคุณ  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

 

**************************

 

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 3 มีนาคม 2019 เรื่อง “อุปมาคำสอนของพระเยซู” ตอน 13 “บุตรน้อยหลงหาย” ตอน 2 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  3  มีนาคม  2019

 เรื่อง “อุปมาคำสอนของพระเยซู”

ตอน 13 “บุตรน้อยหลงหาย” ตอน 2

โดย นคร  เวชสุภาพร

            อุปมาคำสอนของพระเยซู ทั้งหมดในพระคัมภีร์ ไม่ได้เกี่ยวกับคำสอนแบบจริยธรรมบนโลกใบนี้ว่าต้องทำอย่างไร? แต่พูดเล็งไปถึงเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ว่าสวรรค์มาถึงแล้ว ก่อนหน้าพระเยซูมาโลกนี้ เป็นตรงกันข้ามกับสวรรค์ ก็คือนรก นรกก็คู่กันกับความมืด พอพระเยซูมา พระเยซูบอก พระองค์นำสวรรค์มา พระองค์เป็นความสว่าง มาแล้ว หลังจากนั้น พระองค์ก็เริ่มประกาศว่าสวรรค์ หรือความสว่าง เป็นอย่างไร? อาณาจักรของความสว่าง หรือสวรรค์ของพระเจ้า เป็นอะไรอย่างไร? พระองค์ก็สอนเป็นอุปมา

“อุปมา” แปลว่ายกเรื่องราวขึ้นมา เจออะไรก็เรียกอุปมา เจออะไรก็พูดเป็นอุปมา เห็นเสาไฟ ก็เอาเสาไฟเป็นหลัก มีสายไฟฟ้าวิ่ง สมมตินะ ผมขับรถผ่าน ผมก็ชี้ไปให้พวกเราดู เห็นเสาไฟไหม? นี่คือสายไฟฟ้าแรงสูง เรามองไม่เห็น ถ้าเราเชื่อ ในนั้นมันมีจริงๆ มีพลัง มีกำลังอยู่ ถ้าใครเอามือไปจับ มันดูดตายเลย มันมีพลังแรง ถ้าคนรู้วิธีการ คือรู้จักเอาพลังนั้นมาใช้ประโยชน์ โดยการแตะต้องไม่ให้มันดูด ยกตัวอย่างเช่น มีชนวน มียางหุ้มอยู่ แล้วไปจับ มันแตะต้องได้ อะไรประมาณนี้ ผมกำลังพูดเรื่องเกี่ยวกับไฟฟ้า โดยใช้อุปมาเป็นเครื่องมือในการสอน ให้คนเข้าใจ ถึงเรื่องเกี่ยวกับไฟฟ้า อะไรต่างๆ ที่มองไม่เห็น นึกออกใช่ไหม?

ที่พระเยซูพูดอุปมาทั้งหมด ก็อย่างนี้แหละ เดินไปเจอทุ่งนา ที่กำลังหว่านข้าว เก็บเกี่ยวข้าวอยู่ พระองค์มองปุ๊บ พระองค์บอก …

“สวรรค์เป็นเหมือนทุ่งนานี่แหละ เขากำลังหว่านเมล็ด  เมล็ดเหมือนถ้อยคำพระเจ้าที่มาถึงเรา”

พอพระองค์เดินไปเจอต้นองุ่น เขาปลูกองุ่น ไร่นา กับสวนไม่เหมือนกันนะ ตะกี้เป็นนา อันนี้ เดินผ่านมา ที่นี่เป็นสวนองุ่น พระองค์ก็บอกว่า …

“สวรรค์เปรียบเหมือนสวนองุ่นนี่แหละ พระเจ้าเป็นเจ้าของสวนองุ่น และเรา (พระเยซู) เปรียบเหมือนเถาองุ่น พวกท่านเปรียบเหมือนแขนงขององุ่น ต้องมาต่อกับเราถึงจะออกผลได้”

อย่างนี้เรียกว่าอุปมา เดินไปเจอเปโตร ชาวประมง ก็ต้องจับปลา พระองค์ก็อุปมา บอกว่าเราจะเรียกให้ท่านไปจับคน ท่านเคยจับปลา ต่อไปนี้จะไปจับคนแล้ว อะไรประมาณนั้น ยกตัวอย่างให้ท่านฟัง ท่านจะได้เข้าใจว่าอุปมาคืออะไร?

เพราะฉะนั้น คำอุปมาของพระเยซูยกตัวอย่างทั้งหมดนั้น เพื่อเล็งไปถึงเรื่องเกี่ยวกับไปสวรรค์ เป็นอย่างไร? ซึ่งเราเรียนรู้กันไปบ้างแล้วว่าถ้าไปสวรรค์มันต้องบังเกิดใหม่ บังเกิดใหม่เป็นอย่างไร? ก็ยกตัวอย่างอุปมาพระเยซูขึ้นมา ต่อไปนี้ท่านสามารถตอบได้เลย เปิดพระคัมภีร์ปุ๊บอ่านเจอ พระเยซูยกอุปมา เรื่องนี้ไม่เข้าใจ แปลว่าอะไร? แต่รู้ทันทีว่ามันเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์คืออะไร? จะไปสวรรค์ทำอย่างไร? มันก็ไม่ต่างอะไรกับเรื่องที่เราเรียนมาแล้ว เรื่องเกี่ยวกับหว่านเมล็ด เรื่องเกี่ยวกับถุงหนังเก่า ถุงหนังใหม่ เรื่องเกี่ยวกับเหล้าเก่า เหล้าใหม่ เรื่องนี้ยังไม่เข้าใจ วันอาทิตย์นี้ไปเรียนดีกว่า แต่รู้แล้วล่ะว่าคำตอบคืออะไร? จะได้ไม่ไขว้เขว

อุปมาคำสอนของพระเยซู การบรรยายในวันนี้ มันจะต่อเนื่องกับครั้งที่แล้ว เป็นอุปมาคำสอนของพระเยซูเกี่ยวกับเรื่องของหาย และได้คืน ก็คือหายไปแล้ว ค้นพบ เจอ ซึ่งพระเยซูกำลังเปรียบเทียบ ให้เราเห็นภาพของมีค่าสำหรับเราหายไป ก็เปรียบได้กับลูกๆ ของพระเจ้า ที่มีค่าในสายพระเนตรของพระเจ้า เป็นแก้วตาดวงใจของพระเจ้า ความบาป ทำให้เขาหลงหายไป จากพระเจ้า พระเยซูบอกตรงนี้ ยิ่งของที่หายไปมันมีค่ามากเท่าไร? ตอนที่เราทำหายไป หรือมีเหตุที่ทำให้ของมันศูนย์เสียไป เราก็รู้สึกเสียใจ เสียดายมากเท่านั้น และจะพยายามค้นหา ทำให้มันกลับคืนมาให้ได้ และเวลาที่เราค้นหาเจอ เราก็จะดีใจมากมาย ที่ได้ของนั้นกลับคืนมา เราจะรู้สึกตื่นเต้นดีใจขนาดไหน ก็ขึ้นอยู่กับความรู้สึกของเรา ที่ให้คุณค่ากับของที่หายไปมากเท่าไร?  และความรู้สึกของพระเจ้า ก็เช่นเดียวกัน

พระเยซูกำลังให้เราเห็นความรักของพระเจ้า ความรู้สึกส่วนลึกของพระเจ้า เมื่อลูกๆ มนุษย์ทุกคนของพระองค์ได้หายไปในความบาป พระองค์ไม่เคยลดละความพยายามที่จะออกตามหา และเมื่อพบแล้ว แม้เพียงคนเดียวก็ตาม ก็จะดีใจมาก สั่งให้จัดงานเลี้ยงในสวรรค์ทันที นี่คืออุปมาที่เรียนรู้ไปแล้ว

ในสัปดาห์ที่แล้ว เราค้างไว้ที่เรื่องบุตรน้อยหลงหาย เรื่องของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง เป็นลูกชายเศรษฐี พ่อมีทรัพย์สมบัติไร่นามากมาย แต่เด็กหนุ่มคนนี้ ก็ลุกขึ้นมาเรียกร้องขอแบ่งมรดกจากพ่อ อยากเป็นอิสระจากพ่อ อยากอยู่ด้วยตนเอง พึ่งตนเอง แต่ในที่สุด ก็ไปไม่รอด เอาทรัพย์สินเงินทองที่พ่อแบ่งให้ไปผลาญจนหมด จนต้องไปทำงานเป็นลูกจ้างเลี้ยงหมู ซึ่งถือว่าเป็นอาชีพที่ต่ำมาก ที่สุดๆ ของคนยิวในสมัยนั้น  ชีวิตของเด็กหนุ่มคนนี้ ตกต่ำมาก ถึงขนาดแย่งอาหารหมูกิน หมูน่ารังเกียจไม่พอ ไม่เข้าใกล้ ไม่แตะต้อง นี่ยังไปกินข้าวของหมูแทน ก็แสดงว่าสุดๆ ของเขาแล้ว สุดท้าย เขาก็สำนึกได้ เพราะมันสุดๆ แล้ว ไปไม่รอด พึ่งตัวเองก็ไม่ไหวแล้ว เลยนึกถึงว่ากลับไปหาพ่อเราดีกว่า แต่ก็ไม่กล้ากลับไป เพราะอาย รู้สึกว่าเราทำอะไรผิดมากมาย เยอะแยะเหลือเกิน พ่อจะอภัยให้กับเราหรือ? ก่อนจะกลับไปหาพ่อ เด็กหนุ่มคนนี้ ก็เตรียมตัว รู้ตัวเองว่าทำบาปมากมาย ชดใช้ไม่รู้กี่อะสงค์ไขถึงจะหมดสักที เกิดมาทำไมบาปมันมากขนาดนี้ เมื่อไรจะชดใช้หมดสักที จะกลับไปหาพระเจ้า ก็โอ้โห ชดใช้เราหมดเหรอ เยอะแยะเหลือเกิน ก็เลยเตรียมตัวเตรียมใจว่าฉันจะพูดอย่างไรดี ครั้งที่แล้ว เราได้อ่านกัน ได้บันทึกในพระคัมภีร์บอกว่า …

“บิดาเจ้าข้า พ่อจ๋า ลูกทำบาปต่อสวรรค์ และต่อท่านด้วย ลูกไม่คู่ควรจะได้ชื่อว่าเป็นบุตรของท่านอีกต่อไป ให้ข้าพเจ้าเป็นเหมือนลูกจ้างคนหนึ่งของท่านเถิด”

นึกถึงความบาปของตัวเอง แต่ปรากฏว่าพอถึงวันที่กลับบ้านจริงๆ ไม่มีโอกาสได้พูดตาม สคลิป เพราะพ่อยืนอยู่หน้าบ้าน มองมาเห็นลูกชายแต่ไกล ตื่นเต้น  ดีใจ ไม่ฟังอะไรทั้งนั้น ตะโกนลั่นบ้านด้วยความดีใจ ให้คนรับใช้ว่า …

“เร็วๆ ลูกของเรากลับมาแล้ว ไปเอาเสื้อคลุม ไปเอาแหวนมา ไปเอารองเท้ามา แล้วก็เลือกลูกวัวที่อ้วนที่สุด (หมายถึงความสมบูรณ์ที่สุด) มาฆ่าเตรียมไว้เลย  เราจะจัดงานเลี้ยงฉลอง ต้อนรับลูกของเรา”

และเหตุที่ทำให้เศรษฐีคนนี้ จัดงานลี้ยงฉลองใหญ่โต ในนั้นบันทึกไว้ว่า “เพราะลูกชายคนนี้ของเราได้ตายไปแล้ว แล้วได้กลับคืนมาใหม่ ได้หายไปแล้ว และได้พบกันอีก” ดีใจมาก

พระเยซูกำลังบอกว่าสวรรค์เป็นอย่างนี้ เด็กหนุ่มคนนี้ ก็คือชีวิตของเรา ก่อนที่จะมาเชื่อพระเจ้า เชื่อในข่าวดีของพระเจ้า  พระเจ้าผู้เป็นพ่อของเรา ก็เคยรอคอยเรากลับมาแบบนี้ รอคอยเรากลับมา เชื่อในข่าวดีของพระเจ้าอย่างนี้แหละ รอที่จะให้เรากลับบ้าน ไม่ว่าเราจะเคยทำผิดมากมายขนาดไหนก็ตาม ทันทีที่เรากลับใจใหม่ มาใช้สิทธิของเราในพระเยซู กลับมาหาพระเจ้า ทุกอย่างก็จบบริบูรณ์ เพราะความผิดบาป ถูกลบล้างหมดแล้ว เราได้มีสิทธิในการที่จะเป็นลูกของพระเจ้า กลับคืนมาเรียบร้อยไปแล้ว ตั้งแต่เรายังไม่เกิด พระเยซูทำให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ที่ไม้กางเขน โดยการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ และเป็นขึ้นใหม่ในวันที่สาม ถ้าเราใช้สิทธิของเรา ในสิ่งที่พระเยซูทำให้กับเรา พระเจ้าก็ดีใจมากมายมหาศาลเลย แล้วก็จะเริ่มจัดงานเลี้ยงใหญ่โตให้กับเรา นี่คืออุปมาที่เราได้เรียนครั้งที่แล้ว

ซึ่งอย่างนี้เป็นอุปมาที่น่าจะจบแบบแฮปปี้เอ็นดิ้งนะ แต่มันไม่ใช่อย่างนั้น เพราะเรื่องมันยังไม่จบ ยังมีต่อไป เพราะเด็กหนุ่มคนนี้ ยังมีพี่ชายที่อยู่กับพ่อมาตลอด ไม่เคยจากไปไหนเลย มาดูกันว่าเมื่อน้องชายทำตัวแบบนี้ สำมะเรเทเมาแบบนี้ กลับมาแบบนี้ คนเป็นพี่ชายเขาคิดอย่างไร? เขามีความรู้สึกอย่างไร? ในลูกา 15:25 เป็นต้นไป

ลูกา 15:25-30 “25 ฝ่ายบุตรคนโตอยู่ที่ทุ่งนา  เมื่อกลับมาใกล้ถึงบ้าน  เขาได้ยินเสียงดนตรีและเสียงเต้นรำ 26 ดังนั้น เขาจึงเรียกคนรับใช้คนหนึ่ง มาถามว่ามีอะไร 27 คนรับใช้ตอบว่า ‘น้องชายของท่านกลับมาแล้ว บิดาของท่าน  จึงให้ฆ่าลูกวัวขุน  เพราะท่านได้เขากลับมาโดยสวัสดิภาพ’ 28 “บุตรคนโตก็โกรธ และไม่ยอมเข้าบ้าน  บิดาจึงออกมาขอร้องเขา 29 แต่เขาตอบบิดาว่า ‘ดูเถิด! หลายปีมานี้ ข้าพเจ้าตรากตรำรับใช้ท่าน  และไม่เคยขัดคำสั่งของท่านเลย  แต่ลูกแพะสักตัว ท่านก็ยังไม่เคยยกให้ข้าพเจ้า  เพื่อเลี้ยงฉลองกับเพื่อนๆ 30 แต่เมื่อลูกคนนี้ของท่านกลับมาบ้าน  ทั้งๆ ที่ได้ผลาญสมบัติของท่าน  หมดไปกับหญิงโสเภณี ท่านยังฆ่าลูกวัวขุนให้เขา’”

 

อาการแบบนี้ เรียกว่าน้อยใจใช่ไหม? ทั้งน้อยใจและอิจฉา น้องชายออกจากบ้าน ไปใช้ชีวิตฟุ่มเฟือย ผลาญเงินพ่อจนหมด พอกลับมาถึงบ้าน พ่อกลับเลี้ยงต้อนรับใหญ่โต ไม่ว่าอะไรสักคำ ทีตัวเราเองอยู่กับพ่อมาตลอด คอยดูแลรับใช้ทุกอย่าง พ่อยังไม่เคยจัดงานเลี้ยงให้เลย มันน่าน้อยใจจริงๆ ความน้อยใจก็มาจากความอิจฉา ไม่มีใครหรอกน้อยใจเฉยๆ เล่นๆ มันน้อยใจ เพราะว่าอิจฉาเขา ทุกคนมีโอกาสหนึ่ง จะรับหรือไม่รับ มากหรือน้อยก็ตาม แต่ทุกคนมี แต่ให้รู้ว่าขณะน้อยใจ แปลว่าเรากำลังอิจฉาเขา คิดหนัก โทษแต่ตัวเราเอง

ถ้าเราย้อนกลับไปดูช่วงเวลาที่พระเยซูกำลังสอนอุปมานี้ “พวกฟาริสี” คือชาวยิวที่เคร่งศาสนา พวกนี้ ก็เปรียบเหมือนพี่ชายคนโต ที่พระเยซูกำลังพูดถึงในเรื่องนี้ ที่ถือตัวว่าอยู่ใกล้ชิดพระเจ้า เคร่งศาสนา รักษาบทบัญญัติได้ครบถ้วนบริบูรณ์ ที่สุดเท่าที่ทำได้ แล้วมักชอบดูหมิ่นคนเก็บภาษี เพราะเป็นคนยิวที่ไม่เคร่งศาสนา เป็นพวกที่บาปหนากว่า บาปมากกว่า และทุกครั้งที่เห็นพระเยซูไปเอาใจใส่คนเก็บภาษี หรือคนบาปมากกว่าเหล่านี้ พวกฟาริสีก็จะเกิดอาการแบบพี่ชายคนโต คือเข้ามาต่อว่าพระเยซูทั้งทางตรงและทางอ้อม นินทาว่าร้ายพระองค์ว่าไปยุ่งกับคนบาปเหล่านี้ทำไม? ทำไมไม่เอาเวลามาใส่ใจพวกเรา ซึ่งดีกว่าตั้งเยอะ พูดง่ายๆ ก็คือกำลังน้อยใจ เพราะว่าอิจฉา

ในยุคนั้น คือพวกฟาริสี เป็นเหมือนพี่ชาย ท่านว่าถ้าเป็นคริสเตียนในยุคปัจจุบัน ไม่ได้เกี่ยวกับชาวยิว ในอดีต ในปัจจุบัน ท่านคิดว่าใครคือพี่ชายคนโต?  ใครที่เชื่อพระเจ้ามานานแล้ว อยู่ใกล้ชิดพระเจ้ามาตลอด ก็เปรียบเหมือนเป็นพี่ชายคนโตในเรื่องนี้ ก็เหมือนแกะ 99 ตัวที่อยู่ในคอก ที่พระเจ้าละไว้ แล้วก็รีบไปสนใจ หาแกะ 1 ตัวที่หาย พี่ชายคนโต ก็เหมือนกับเหรียญที่มีค่าสำหรับเหรียญทอง เหรียญเงิน 9 เหรียญ ที่พระเจ้าทิ้งไว้ในเชฟอย่างปลอดภัย และใช้ทั้งชีวิต ทุ่มไปหาเหรียญหนึ่งที่มันหายไป ค้นหาๆ จนกว่าจะพบ ถูกไหม? และผู้เชื่อใหม่ ที่พึ่งมาเชื่อพระเจ้า ก็เปรียบเหมือนน้องที่เคยหลงหายไป และได้ใช้สิทธิของเขา กลับมาหาพระเจ้า อยู่ในครอบครัวสวรรค์

คริสเตียนหลายคนก็อิจฉา เห็นคริสเตียนใหม่ๆ อธิษฐานอะไร แป๊บเดียว พระเจ้าก็ตอบ ทำไมมันง่ายอย่างนี้ ทีเรารับใช้ตั้งเยอะมาตลอด แต่ขออะไร ก็เงียบ ก็ไม่ได้สักที ทำไมตอนมาใหม่ๆ ได้บ่อย ได้ง่ายๆ เดี๋ยวนี้อธิษฐานก็เก่งกว่าแต่ก่อน ก่อนนอนก็อธิษฐาน ก่อนทานข้าวก็อธิษฐาน ถวายทรัพย์ด้วย ร้องเพลงนมัสการก็เก่ง  มาโบสถ์เป็นประจำเลย เคยคิดอย่างนี้ไหม? แต่หลายคนก็ลืมไปว่าก่อนเป็นอย่างนี้ ตัวเองก็เป็นน้องมาก่อน เริ่มต้นเชื่อพระเจ้ามาก่อนนั่นแหละ ไม่รู้กี่ปี ก็แล้วแต่ ถูกไหม? คือช่วงใหม่ๆ เราก็เป็นแบบเขาแหละ มันรู้สึกสดชื่นเหลือเกิน ขออะไรก็ได้ง่าย พระเจ้าก็คุยกับเราตลอด เดี๋ยวตรงนี้ก็หมายสำคัญ ตรงนั้นก็หมายสำคัญ เยอะแยะไปหมดเลย ตอนนี้หาหมายสำคัญไม่ค่อยเจอ แถมศิษยาภิบาลไม่ค่อยดูแลเราอีก ป่วยก็ไม่ค่อยมาเยี่ยม ตอนมาใหม่ๆ ไม่ป่วยก็ยังมาเยี่ยมเลย ถ้าไม่ไปเยี่ยม ท่านจงดีใจเถิด ท่านกำลังเป็นผู้ใหญ่แล้ว และกำลังทำงานให้พระเจ้าอยู่ เป็นพี่ชายคนโตแล้ว  เข้าใจไหม? ไม่เข้าใจ มาเยี่ยมก็ดี พี่ชายคนโตก็อยากให้เยี่ยมอยู่ มันเป็นธรรมดา แต่เราต้องมั่นใจว่าเราโตแล้ว พระเจ้าจึงนำอย่างนี้ แล้วถ้าท่านต้องการจริงๆ พี่ชายคนโตต้องการจริงๆ พระเจ้าก็จะนำท่านไปเอง  แต่ถ้าไม่นำมา อยู่กับพระเจ้าดีแล้ว ไม่ต้องอยู่กับศิษยาภิบาล ศิษยาภิบาลช่วยท่านไม่ได้สักคน ต่อให้ท่านเชื่อใหม่ก็ตาม ศิษยาภิบาลก็แค่ไปให้กำลังใจ คอยดูให้ท่าน แต่ผู้ที่จะนำพาท่านเจริญเติบโตต่อไป ก็คือพระเจ้าต่างหาก พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ต่างหาก พูดเหมือนแก้ตัวนะ ศิษยาภิบาลทุกคนปรบมือยิ้ม ดีจัง เข้าใจไหม?

ถ้าเผื่อดูท่านตลอด 2 ปีผ่านไป 3 ปีผ่านไป ก็ไปหาท่านเหมือนเดิม ท่านเตรียมตัวอันตรายแล้วนะ ท่านมีอะไรผิดปกติต่างหาก เป็นโรคอะไรบางอย่างที่ไม่โต ก็เหมือนๆ เด็กทารกที่เราเลี้ยง เป็นทารกอยู่ ถึงเวลาก็ป้อนๆ อันนั้นก็ทำให้ อันนี้ก็ทำให้ ทำให้หมดทุกอย่าง แต่ถ้ามันเลยไปจนอายุ 10 ขวบ ยังต้องมาป้อนอยู่ แสดงว่าผิดปกติแล้ว จริงไหม? อย่างที่บอก เมื่อสังเกตดู พวกพี่ๆ ชอบอิจฉาน้องว่าทำไมน้องทำอะไรก็ได้ เดี๋ยวเราเป็นพี่ แล้วทำเหมือนน้อง อุแว้ก็แล้ว พ่อไม่เห็นมาชงนมให้เราเลย เราจะใส่รองเท้าก็ไม่ก้มลงไปผูกเชือกรองเท้าให้เรา ปล่อยเราให้ใส่ตั้งนาน ผูกถูกบ้าง ผิดบ้างอะไรต่างๆ พ่อกำลังสอนอยู่ ขืนยังผูกให้ตลอด 20 ก็ยังผูกไม่เป็น นี่ยกตัวอย่างให้ฟัง มันเป็นธรรมชาติ แต่พอมาเรื่องพระเจ้ามันอิจฉามากกว่า เพราะมันเป็นชีวิต มันหนักกว่า มันเห็นว่าทำไมเรายิ่งเข้าใกล้พระเจ้า  เหมือนดูยิ่งห่าง ไม่ห่างหรอก พระเจ้าอยู่ด้วยเสมอ เท่ากัน และมากกว่าด้วย

จริงๆ แล้วไม่ว่าจะเป็นน้องหรือเป็นพี่ พระเจ้าสถิตอยู่ด้วยเท่ากันหมด แต่วิธีการนำเรา มันต่างกัน เพราะตรงนั้นเป็นน้องใหม่ แต่เราเป็นพี่ชายคนโตแล้ว กำลังนำเราอีกแบบหนึ่งเท่านั้นเอง

คำพูดของพี่ชายในเรื่องนี้ ในอุปมาเรื่องนี้ที่บอกว่า “ดูเถิด หลายปีมานี้ ข้าพเจ้าตรากตรำรับใช้ท่าน และไม่เคยขัดคำสั่งของท่านเลย แต่ลูกแพะสักตัว ท่านก็ยังไม่เคยยกให้ข้าพเจ้า เพื่อเลี้ยงฉลองกับเพื่อนๆ เลย”

ตรงนี้ ดูแล้ว อาจกำลังน้อยใจ แต่จริงๆ แล้ว เป็นความรู้สึกของการทวงบุญคุณกับพ่อ

“ฉันทำดีกับพ่อมาตั้งเยอะแล้ว เชื่อฟังมาตลอด ดูแลรับใช้งานอย่างดีมาตลอด เพราะฉะนั้น พ่อควรจะให้อะไร เป็นรางวัลในการตอบแทนฉันบ้างสิ”

เราเคยทวงบุญคุณพ่อไหม? อ้าว! ดูสิว่าใช่หรือไม่ใช่?

“ฉันเชื่อพระเจ้ามาตั้งนาน แล้วก็ทำตามที่พระเจ้าบอกมาตลอด ทำตามที่พระคัมภีร์สอนมาตลอด เชื่อฟังพระเจ้ามาตลอด รับใช้อย่างมุ่งมั่นมาตลอด”

ทุกคนก็บอกว่าเราก็ไม่เคยมาทำงานที่โบสถ์ เรารับใช้เมื่อไร? ก็กิจวัตร อย่างที่ตะกี้ผมบอก บางคนก็ตั้งเวลาอธิษฐานไว้ 3 เวลา บางคนก็ 2 เวลา ตื่นมาต้องอธิษฐาน นอนก็ต้องอธิษฐาน บางคนก็ตื่นมาอธิษฐาน 3 ชั่วโมง ตื่นขึ้นมา 2 ชั่วโมงต้องอธิษฐาน พกพระคัมภีร์ไปด้วย  ท่องพระคัมภีร์อีก ร้องเพลงนมัสการ พยายามทำทุกอย่าง เดี๋ยวฟังต่อไป ก็รู้ว่ามันใช่ตัวเราหรือไม่? พยายามทำสิ่งที่คิดว่ามันควรจะทำมาตลอด ให้พระเจ้าพอพระทัย เพราะฉะนั้น …

“พระเจ้าก็น่าจะตอบคำอธิษฐานของฉันบ้างนะ อวยพรฉันบ้างสิ”

อันนี้อยู่ในใจเราลึกๆ เราไม่รู้หรอก นี่คือความคิดที่เหมือนกับว่าพระเจ้าเป็นหนี้เรา พระเจ้าต้องตอบแทนในสิ่งที่เราได้ทำให้พระเจ้า เรากำลังคิดว่าเราทำให้พระเจ้า ทุกครั้งที่เราอธิษฐาน หรือทำกิจวัตรกับพระเจ้า ถ้าเราคิดว่าเราทำให้พระเจ้าพอพระทัย ก็เท่ากับว่าเราคิดว่าเราทำให้พระเจ้านั่นเอง เราก็เหมือนพี่ชายคนโต ทำงานๆ ออกไปประกาศ ออกไปทำอะไรต่างๆ เราควรที่จะได้ผลตอบแทนจากพระเจ้า จากพ่อของเรา จากเรื่องนี้นะ แล้วไม่ได้ทำธรรมดา ตั้งใจทำอย่างดีงามทุกครั้ง คนเราเวลารักษากฎของพระเจ้ามากๆ ตั้งใจมากๆ ก็คือกฎ … กฎคืออะไร?

“อุ้ย! ลูก ก่อนกินข้าวอธิษฐานสิ เดี๋ยวพ่อพาอธิษฐาน” นี่กฎ แล้วใช่ไหม?

“แล้วก่อนนอนอธิษฐานหรือยัง?” อย่างที่บอก “ให้ท่องถ้อยคำพระเจ้า ก็ยังไม่ท่องอีก ดูสิ วันนี้ท่องหรือยัง?”

นี่กลายเป็นกฎแล้ว บางทีเราไม่รู้ตัว เผลอๆ เราก็ทำ เพราะเราคิดว่าสิ่งที่เราทำ มันถูกต้อง เป็นที่พอพระทัย เราก็เลยอยากให้คนข้างๆ เรา เป็นที่พอพระทัยเหมือนกัน กฎไม่ได้มาจากพระเจ้า กฎมาจากเรา มนุษย์เราเอง ท่องหรือยัง? ร้องเพลงพระเจ้า นมัสการได้กี่เพลงแล้ว ร้องบ้างหรือเปล่า?  นมัสการบ้างหรือเปล่า?  กี่วันแล้วไม่ได้นมัสการ? นี่ประกาศพระเจ้าบ้างหรือเปล่า? เมื่อกี้ลงจากแท๊กซี่ ได้ประกาศหรือเปล่า? ทำไมไม่ประกาศ ในพระคัมภีร์บอกทุกช่วงโอกาสต้องประกาศทั้งหมด อย่างนี้ใช่ไหม? ชักคุ้นๆ แล้ว ชักไปลึกแล้ว เคลียด คิ้วขมวดชนกัน เราพยายามทำให้เป็นกฎ แล้วพยายามทำ ให้มันเป็นกฎขึ้นมา เพราะว่าในใจลึกๆ เราหวังอะไรบางอย่าง เราไม่รู้ตัว คือเราหวังที่เรียกว่าพระพร ไม่ว่าพรอะไรแล้วแต่ เรากำลังหวังพระพร มันดูเหมือนเราทำด้วยใจจริง เรารักพระเจ้า นมัสการพระเจ้า รับใช้พระเจ้า แต่จริงๆ ข้างในลึกๆ เราอยากได้อะไรบางอย่างเป็นการตอบแทน

พระเยซูกำลังสอนอุปมานี้ “พ่อไม่เห็นให้รางวัลเราเลย เราทำงานมาตลอด” งานนี้เราคิดว่ามันเป็นงาน พระเจ้าไม่ได้ใช้เราเลย ในอุปมาเรื่องนี้ มีคนใช้เยอะแยะในบ้าน พระเจ้าเพียงให้ครอบครองในบ้านเท่านั้นเอง จะทำอะไรก็ได้  แต่เราคิดว่าไม่ได้ เราต้องช่วยคนงานทำ ช่วยๆ เสร็จแล้ว ไม่ได้ตั้งใจจะช่วยด้วย ความอิสระในใจ หรือว่าความจริงใจ  แต่ช่วย เพราะว่าเราอยากจะทำโชว์พ่อ พ่อคงชอบ แล้วเราจะได้ความโปรดปรานจากพ่อ เราอธิษฐานๆ ที่พระเยซูบอกเคาะๆ เราก็เคาะใหญ่เลย อธิษฐาน เพื่อเราจะได้รับในสิ่งที่เราอยากได้ลึกๆ ในใจของเรา หรือบางคนไม่ใช่ในใจลึกๆ ออกจากปากเลย  ให้ผู้คนได้รู้เลย

อย่างเช่น เราอยากได้ความมั่นคั่ง ร่ำรวย  ซึ่งมนุษย์ทุกคนอยากได้ เราอธิษฐาน เพื่อให้มันรวย เราอธิษฐานๆ เพื่อให้มันแข็งแรง เพื่อให้มันหายโรค เราอยากให้พระเจ้าตอบคำอธิษฐาน ให้เป็นไปตามความคิดของเรา ซึ่งอาจจะอยู่ในใจ หรืออยู่ข้างนอกก็ตาม นี่แหละ คือสิ่งที่เราบอกพระเจ้า พระเจ้าต้องตอบสิ ทำตั้งเยอะแล้ว เราอดอาหารอธิษฐาน พระเจ้าต้องตอบเราแน่นอน กิจการนี้จะต้องเจริญรุ่งเรือง แล้วพระเจ้าก็ตอบจริงๆ อดอาหารอธิษฐานไป 40 วัน สำหรับกิจการนี้ ในที่สุด มันก็เจ๊ง  เพราะถ้ามันไม่เจ๊ง ทุกวันนี้ โบสถ์เจ๊งแน่เลย เพราะคนมารอคิวยาว เข้ามาขอรับเชื่อ พอรับเชื่อ เข้าโบสถ์ๆ พอทุกคนทำตามกฎนี้ได้หมด รับรองรวยหมดเลย ไม่ต้องไปเรียนแล้วหนังสือ เรื่องวิชาลงทุน มีจรรยาบรรณอะไรต่างๆ ไม่ต้อง มาเชื่อพระเยซูแล้วมาเรียน ตอนนี้โบสถ์ใหญ่ที่สุดในโลกเลย แล้วจริงๆ มันเป็นไหม? มันเป็นการหลอกลวงมากกว่า ไม่ต้องมีโรงพยาบาลแล้ว เคาะไปๆ อธิษฐานไป มันหายโรคเอง เป็นไปได้ไหม? เป็นไปไม่ได้ แต่ในใจลึกๆ ทุกคนอยากได้ เป็นน้องมาใหม่ๆ หายจากมะเร็ง โอกาสจะหายมีจริงๆ นะ มีบางคนหายจากมะเร็ง หายจากโรคจริงๆ กิจการได้รับการช่วยกู้จากพระเจ้า จากล้มละลายปุ๊บกลายเป็นดีเลย นั่นมันตอนเริ่มต้น เป็นน้องใหม่ แล้วถ้าเป็นอย่างนี้ตลอดไปเรื่อยๆ ก็ดีสิ คนก็แห่กันมาเยอะแยะ พระเจ้าก็จะนำเขาต่อไป มันเป็นอะไรก็ไม่รู้แล้ว

จากวันแรกล้มละลาย แล้วกลับมาใหม่ ผ่านไป 10 ปี อาจจะล้มละลายอีกทีหนึ่ง หนักกว่าเก่าอีกก็ได้ จากวันแรกหายจากโรคมะเร็ง อัศจรรย์ 10 ปีต่อมา กลับมาเป็นมะเร็งใหม่ แล้วก็ตายเลย กลับไปอยู่กับพระเจ้าแล้ว ใช่หรือไม่? ไม่กล้าตอบ ท่านเห็นอยู่ทุกวันนี้ ใช่หรือไม่? ใช่ เพราะฉะนั้น เราต้องรู้ความจริง อย่าถูกหลอกอีกต่อไป พรพระเจ้าให้เราหมดเรียบร้อยแล้ว ในโลกวิญญาณ

จากอุปมาเรื่องนี้ เป็นอันตรายของความคิดของคริสเตียน ของวงการคริสเตียนก็ว่าได้ เราถูกหลอก ถูกดึงไป  เพื่อทำอะไรรู้ไหม? มารมันไม่ต้องทำอะไรมากอยู่แล้ว มันทำไม่ได้อยู่แล้ว เมื่อเรารู้ความจริง มันก็พยายามให้เรารู้ความจริง ให้น้อยที่สุด ถ้าเราไม่รู้ความจริงเลย ก็ดีเลย ก็หลงหายไป แต่ถ้าเรากลับมาเป็นน้องใหม่แล้ว เป็นพี่ชายคนโตแล้ว มันพยายามให้เป็นพี่ชายคนโตที่เป็นในอุปมานี้ ซึ่งเราสามารถเป็นพี่ชายคนโตที่พระเจ้าอยากให้เป็นได้ ซึ่งทุกท่านก็อยากจะเป็นเช่นนั้น

ย้อนกลับมาดูเรื่องบุตรน้อยหลงหาย พอพี่ชายรู้สึกอิจฉาน้อง หลังจากที่พูดจาตัดพ้อ น้อยใจพ่อ ทวงบุญคุณพ่อ มาดูสิว่าพ่อตอบว่าอย่างไร?

ลูกา 15:31-32 “31 บิดากล่าวว่าลูกเอ๋ย เจ้าอยู่กับพ่อตลอดมา และทุกสิ่งที่พ่อมี  ก็เป็นของเจ้า 32 แต่ที่เราต้องเฉลิมฉลองและยินดีกัน เพราะน้องคนนี้ของเจ้าได้ตายไปแล้ว และกลับเป็นขึ้นมาอีก เขาหายไปแล้ว และได้พบกันอีก”

 

เมื่อไรก็ตามที่เรารู้สึกว่าเราทำงานรับใช้พระเจ้า ด้วยความตั้งใจ อ่านพระคัมภีร์สม่ำเสมอ อธิษฐานสม่ำเสมอ เชื่อฟังพระเจ้าทุกอย่าง แต่ทำไมเหมือนพระเจ้าไม่สนใจเราเลย มองข้ามเราไป เมื่อเรารู้สึกอิจฉาผู้เชื่อใหม่ น้อยใจพ่อที่ดูเหมือนว่าน้องที่มาเชื่อใหม่ ได้รับการสนใจมากกว่าเรา พระเจ้าก็จะตอบเราแบบนี้ว่า …

“ลูกเอ๋ย เจ้าอยู่กับเราเสมอ และสิ่งของทั้งหมดของเรา ก็เป็นของเจ้า”

นั่นหมายถึงมรดกที่พ่อจัดเตรียมไว้ให้ มันเป็นของเจ้า เจ้าได้รับเรียบร้อยไปแล้ว แล้วเจ้าจะไปอิจฉาน้องเขาทำไม? พูดง่ายๆ ว่าสวรรค์เป็นของเจ้าแล้ว ทุกสิ่งในสวรรค์เป็นของเจ้าแล้ว พระคัมภีร์บันทึกว่าพระพรนานัปประการในสวรรค์ พระเจ้าได้ประทานให้กับท่านผู้เชื่อเรียบร้อยไปแล้ว เอเมน

บางคนพอเชื่อพระเจ้ามานานๆ ก็ได้รับการสอนมาว่าต้องทำอะไรบ้าง? ยกตัวอย่าง ต้องไปโบสถ์ทุกวันอาทิตย์ ห้ามขาดโบสถ์ ต้องอ่านพระคัมภีร์ ห้ามหยุดอ่าน  ต้องจัดเวลาเฝ้าเดี่ยว ต้องออกไปประกาศข่าวดีให้กับคนไม่รู้จัก แล้วก็ต้องถวายสิบลด ต้องถวายเงินพิเศษในการประกาศ และก็ต้อง ต้อง ต้อง อีกเยอะแยะ นี่ยกตัวอย่างให้ดูเฉยๆ ใครที่กระทำตามได้อย่างสม่ำเสมอ รักษาไป เหนื่อยจะตายไม่ไหว แต่อึดขึ้นมา เราต้องประกาศ คราวก่อนเราประกาศ คนนี้ยังมาเชื่อพระเจ้าจริงๆ เลย มันเกิดผลจริงๆ เพราะฉะนั้น เราต้องประกาศ คนนี้จะเชื่อหรือไม่เชื่อ มันขึ้นอยู่กับความรับผิดชอบของเรา หนักเลยคราวนี้ ถ้าเราไม่ไปประกาศ ใครจะไปช่วยเขา ถ้าเขาเกิดไม่เชื่อพระเจ้า จนกระทั่งเขาสิ้นชีวิตไป อาจจะอีกชั่วโมงหนึ่ง เขาถูกรถชนตาย แล้วเราไม่ประกาศให้เขา  เราต้องรับผิดชอบวิญญาณของเขาที่ตกนรก  มันทรมานไหมล่ะ  เคยได้ยินไหม คนประกาศอย่างนี้ ท่านต้องรับผิดชอบนะ ถ้าท่านไม่ประกาศ ก็เกิดความทุกข์ทรมานใจ เราก็ไม่ไหวอยู่แล้ว ต้องไปประกาศ เพราะเรากลัวเขาตกนรก แล้วเราต้องรับผิดชอบ พระเจ้าจะมาด่าเรา

“ทำไมไม่รับผิดชอบ วิญญาณนี้ตกนรก เพราะท่านไม่ไปประกาศให้เขา ก่อนที่เขาจะเสียชีวิตไป เขาเจอท่านพอดี 2 นาทีนั้น ทำไมไม่ประกาศ  … นี่อีกคนหนึ่ง ท่านไปประกาศให้เขา เขาเชื่อแล้ว เขาไปสวรรค์แล้ว ท่านได้รางวัล แต่ตอนนี้ไม่ได้รางวัล ต้องแย่”

สรุปเราต้องรับผิดชอบทั้งหมด ในชีวิต กลับมาเหมือนเดิม ถูกไหม? แปลกนะ พอเราทำอะไรก็ตามที่มันรักษากฎอะไรต่างๆ ที่ต้องๆ อย่างสม่ำเสมอ ดีงาม นานๆ เข้ามัน ก็จะลืมตัว เราไม่ตั้งใจไปสอนคนอื่นต่ออย่างนั้นหรอก แต่มันลืมตัว นี่คืออันตรายมาก เราก็ยังเป็นพี่ชายคนโตอย่างนั้น  แต่เราจะเป็นพี่ชายคนโตที่จะเป็นพิษ เป็นภัยต่อน้องๆ ที่เข้ามาหา เราจะคอยเอาไม้ตะบองตี น้องชายวิ่งมาขอบรั้วตรงโน้น พ่อมองไม่เห็นหรอก ฟาดมันก่อน มันหนีไปแล้ว  พ่อไม่ทันเห็นเลย  ในคำอุปมานี้ พ่อจะเห็นลูกชายเมื่อเดินผ่านรั้วลวดหนาม สมมติว่าทุ่งนาของพ่อกว้างขวางมาก พ่อยืนอยู่นั้น ใครจะกลับมา คนนี้มาแต่ไกล พ่อยังมองไม่เห็น กว่าจะผ่านรั้วลวดหนามมา นี่พอผ่านรั้วลวดหนามมานิดเดียวเอง พี่ชายคนโตเอาไม้ตะบองไล่ฟาด ฟาดด้วยวิธีนี้ หนีไปหมด เพราะพี่ชายคนโตเขาบอกเขารับใช้พระเจ้า เขาทำอย่างนี้ ทำกฎอย่างนี้ จนกระทั่งลืมตัว ทำสิ่งนี้ แล้วเขาจะมีความบริสุทธิ์ผุดผ่องเหมือนพระเจ้า ใกล้ชิดพระเจ้า เป็นที่พอพระทัยพระเจ้าจริงจัง

แล้วคนที่รับใช้พระเจ้าแบบนี้ หนักเข้า ก็จะเริ่มสำรวจคนอื่น สำรวจคนในบ้านที่หลุดเข้ามาในครอบครัวสวรรค์แล้ว

“ทำน้อยไปนะ ทำให้ได้เหมือนฉัน นี่ยังไม่ได้ไปตัดหญ้าเลย ไปตัดหญ้ากับฉัน อันนี้ทำไมไม่ทำ ฉันทำแทนพ่อแล้ว”

ก็ไปชี้นิ้วทุกคนเลย คนนั้นทำน้อย คนนี้ทำไม่พอ ต้องทำอีก เพราะเอาตัวเองเป็นเกณฑ์

“ถ้าฉันอธิษฐานวันละ 5 ชั่วโมงได้ ฉันจะพาทุกคนมาทำ ถ้าฉันเป็นนักประกาศ ฉันจะพาทุกคนเป็นนักประกาศ ถ้าฉันเป็นนักนมัสการ ฉันจะพาทุกคนมานมัสการ ทุกคนต้องทำตามที่ฉันบอก นี่แหละ คือที่พระเจ้าพอพระทัย อยากให้ทุกคนตามฉัน”

ท่านคอยสังเกตมีจริงๆ มีเยอะ แล้วก็คิดไปเองว่า …

“พระเจ้าจะไม่อวยพรคนเหล่านี้ ที่ไม่ได้ทำตามฉัน ไม่ได้โฮลี่เหมือนฉัน ไม่ได้อธิษฐานเหมือนฉัน  ไม่ได้อดอาหารเหมือนฉัน ไม่ได้รับใช้พระเจ้าเหมือนฉัน ไม่ได้มาโบสถ์เป็นประจำเหมือนฉัน เพราะคนเหล่านี้ ที่ไม่ได้ทำเหมือนฉัน เขาต่ำกว่ามาตรฐาน” เอาตัวเองเป็นมาตรฐาน

“ใครจะมาอยู่ในสวรรค์ ฉันเป็นมาตรฐาน เป็นพี่ชายคนโต ฉันทำได้แล้ว”

ถ้าใครก็ตามที่คิดอย่างนั้น  พระเจ้าอาจจะถามกลับว่า …

“มาตรฐานของใครมิทราบ? มาตรฐานของพระเจ้า คือทุกคนเท่ากันหมด ทุกคนเป็นลูกพระเจ้าเหมือนกันหมด ทุกคนมีสิทธิเท่าๆ กันกับพระเยซู”

พอไหม? จบไหม? ท่านไปตัดสินอะไรเขา เขามีความบริสุทธิ์ผุดผ่อง มีสิทธิเป็นลูกพระเจ้า มีค่าเท่าๆ กับพระเยซู แล้วท่านยังชี้นิ้วเขาอีก จบเลย

แต่ว่าสิ่งที่ผมพูดนี้ ไม่ใช่ไม่ส่งเสริม ฟังให้ดีๆ เดี๋ยวคนจะเข้าใจไปอีกด้านหนึ่ง สิ่งที่ผมพูดนี้ ไม่ใช่สิ่งที่ไม่ส่งเสริม ไม่ว่าจะการมาโบสถ์เป็นประจำ การนมัสการ การอ่านพระคัมภีร์ การท่องพระคัมภีร์ การอธิษฐาน มันเป็นสิ่งดีทั้งหมด สำหรับผู้เชื่อ ไม่ว่าจะใหม่หรือเก่า แต่ผมกำลังบอกว่าบุคลิก ลักษณะของคนแต่ละคนนั้น มันไม่เหมือนกัน พระเจ้าสร้างมาอย่างไร ก็อย่างนั้น มันจะไม่เหมือนกัน พระเจ้านำใครทำแค่ไหน? ก็แค่นั้น พระเจ้านำคนนี้ไปแบบนี้ ก็แบบนี้ พระเจ้านำคนนั้นไปแบบนั้น ก็แบบนั้น จะได้มีหลายๆ แบบ อย่าเอาความคิดของเรา ไปตั้งเป็นมาตรฐาน แล้วบอกว่าคนอื่นต่ำกว่ามาตรฐานที่เราวาง ให้วางใจในพระเจ้า เขาอาจจะไม่ทำเหมือนกัน แต่เราวางใจพระเจ้าว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเขาแล้ว ตอนนี้พระคัมภีร์บอกพระเจ้าอยู่กับเขาแล้ว เมื่อเขารับสิทธิของพระเจ้า เขาเชื่อในพระเจ้า เขาบังเกิดใหม่แล้ว  พระเจ้าอยู่กับเขาแล้ว ไม่มีใครเอาเขาออกจากพระเจ้าได้แล้ว แต่ทำไมเขาไม่มาโบสถ์ ไม่เป็นไร วางใจในพระเจ้า ถ้าเป็นห่วงเป็นใยเขา ก็อธิษฐานให้เขา พอ อธิษฐานดีๆ นะ ไม่ใช่อธิษฐานส่งนะ เชื่อและวางใจในพระเจ้าสิ พระเจ้าอยู่กับเขาแล้ว ในพระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น เขาเชื่อเมื่อไร? พระเจ้าลงมาสถิตอยู่กับเขาทันที เอเมน พระเจ้าจะเอาใจหินออกไป เอาใจใหม่ วิญญาณใหม่ให้กับเขา เขาบังเกิดใหม่แล้ว ไม่มีใครเอาเขาออกไปจากคอกของเราได้อีกแล้ว พระเยซูบอก โอเค เดี๋ยวพระเจ้าจะนำเขาไปอีกสไตล์หนึ่ง แล้วแต่

แต่ถามว่าผมสนับสนุนไหม? ให้คนมาโบสถ์เป็นประจำ ทำไมจะไม่สนับสนุนล่ะ ยิ่งเป็นศิษยาภิบาล ยิ่งสนับสนุนให้ทุกคนพยายามถวายทรัพย์ ก็เราดูค่าใช้จ่ายอยู่ทุกวัน ก็มาจากพวกท่านนั่นแหละ แต่เรามองข้ามท่านไปอีกที ถึงพระเจ้า ถ้ามองที่พวกท่าน ผมก็ต้องไปบังคับท่าน ไปพยายามเกลี้ยกล่อม พยายามหาอุบายทุกอย่าง เพื่อให้ท่านถวาย ลืมไปซะ ที่นี่ไม่มี เลิกก็เลิกกัน แต่ศิษยาภิบาลทุกคน ผู้ใหญ่ทุกคนในที่นี้ เขาทำเป็นตัวอย่าง เขาไม่บังคับ เพราะเขาไม่อยากทำ แล้วเอาตัวเองเป็นเกณฑ์ว่าท่านต้องทำให้ได้เหมือนผม ท่านต้องทำให้เหมือนศิษยาภิบาลเขาถวายสิบลด เกินกว่าสิบลดอีก ที่เขาออกไปประกาศเกินกว่าชีวิตของท่าน เขาไม่เอาตัวเองเป็นเกณฑ์ พระเจ้าจะใช้ท่านอย่างไร? ไม่รู้ โบสถ์นี้ ก็เป็นโบสถ์ของพระเจ้า เราวางใจในพระเจ้า ชีวิตอย่างนี้ เป็นชีวิตเกิดใหม่ บังเกิดใหม่ในพระเยซูจริงๆ วางใจพระองค์จริงๆ ไม่ใช่วิธีการมนุษย์ มันมีเหตุ มีผล และสิ่งที่ผมพูดทั้งหมด มันเกิดขึ้นในอดีตเยอะแยะมากมาย กฎระเบียบที่มนุษย์สร้างขึ้นมามากมาย อาจารย์เปาโลก็เจอปัญหาอย่างนี้ มีคนเยอะแยะมากมายถามอะไรแบบนี้กับอาจารย์เปาโล ถามว่าทำอันนั้นได้ไหม? ทำอันนี้ได้ไหม? ยกตัวอย่าง …

เขาบอก มาเชื่อพระเจ้าแล้ว กินอาหารไหว้รูปเคารพไม่ได้?

เขาบอก มาเชื่อพระเจ้าแล้ว ถือวันเหล่านี้ไม่ได้? ทำได้ไม่ได้?

เขาบอก มาเชื่อพระเจ้าแล้ว อย่างโน้นได้ไหม? อย่างนี้ไม่ได้?

มันเยอะเหลือเกิน อาจารย์เปาโลตอบสั้นๆ ตอบเป็นข้อๆ นิดหน่อย ที่เป็นหลักการของคริสเตียน ที่เชื่อในพระเจ้าแล้ว ไม่ว่าจะเก่าหรือไม่? เป็นหลัก ง่ายๆ และบันทึกไว้ในพระคัมภีร์

“ท่านมีอิสรภาพในการทำทุกสิ่งได้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งที่ท่านทำ จะเป็นประโยชน์”

ท่านมีสิทธิเสรีภาพในการทำทุกสิ่งได้ แต่ไม่ใช่ทุกสิ่ง จะเป็นการเสริมสร้าง มันอาจจะเป็นการทำลายก็ได้ แต่ท่านมีอิสรภาพ เมื่อเชื่อพระเจ้าแล้ว

อิสรภาพ แปลว่าไม่มีคำว่า “ต้อง” ถูกไหม? ไม่มีคำว่าห้าม  ถ้าท่านเชื่อพระเจ้าจริงๆ สองคำนี้เอาออกไปจากชีวิตของท่านได้เลย  เพราะท่านมีอิสรภาพในการทำทุกสิ่งได้ ถ้าแปลง่ายๆ ก็คือตอนที่เราเชื่อพระเจ้าแล้ว เราเป็นคริสเตียนแล้ว เรามีอิสรภาพในพระเยซูคริสต์ เราทำอะไรก็ได้ เพราะไม่มีสิ่งใดที่เรียกว่าบาป สำหรับผู้เชื่ออีกแล้ว มีแต่คำว่าเป็นประโยชน์หรือเป็นโทษ สำหรับชีวิตเราและคนรอบข้าง

เปาโลยังบอกว่าไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม โดยปราศจากความเชื่อ ก็เป็นบาปทั้งนั้น ความเชื่อนี้ ก็คือความเชื่อในการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ ที่ไถ่ให้เราเป็นอิสรภาพ ถ้าเราไม่เชื่อ เราก็เป็นทาสอยู่ดี แต่ถ้าเราเป็นไทโดยการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์เรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่ 2,000 ปี เราก็เป็นอิสรภาพ เป็นไทอยู่ดี ไม่ว่าจะทำอะไรก็เป็นไท มันหมายถึงอย่างนั้น  ถ้าเราอยู่ในพระคริสต์ ไม่ว่าทำอะไร ในวิญญาณของเราไม่บาป แต่จะมีความสงบสุขหรือมีสันติสุข บนโลกใบนี้มากหรือน้อย ให้กับตัวเราเองและคนรอบข้าง มันขึ้นอยู่กับสิ่งที่เราทำนั่นแหละว่ามันเป็นอะไร? ไม่มีข้อพระคัมภีร์ไหนที่ห้ามเราไม่ให้โลภ แต่บอกอย่าโลภ เพราะโลภมันทำให้เราเจ็บตัวและผู้คนรอบข้างเจ็บตัวด้วย แต่เราเหมือนเดิม คล้ายๆ อย่างนั้นแหละ เราไม่โลภ ไม่โมโห เราก็ไม่ต้องรับผิดชอบต่อผลของความโลภ ผลของความโมโห ควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ มันเกิดโทษ ทั้งโทษต่อตัวเอง และคนรอบข้างเราด้วย  แต่มันไม่มีผลอะไรต่อความรอดในโลกวิญญาณ ในการอยู่ในสวรรค์ของเรา ไม่มีผลต่อสิทธิความเป็นลูกของเรา ในพระเยซูเลย ซึ่งเราได้รับเรียบร้อยไปแล้ว เมื่อตอนพระเยซูตายที่ไม้กางเขน และได้รับสิทธินี้เรียบร้อยไปแล้ว ตอนที่เรากลับใจมาใช้สิทธิของเรา มาเชื่อในข่าวดีของพระเยซู วันไหนไม่รู้ วันนั้นแหละ เราได้ไปแล้ว และมันได้ตลอด เราอยู่ที่นั่นตลอด อยู่ในวิญญาณเราตลอดไป เอเมน

นี่เขาเรียกว่าอิสรภาพจริงๆ เอาความจริงนี้ใส่เข้าไปในใจของเราให้ได้ มนุษย์ทุกคนมักคิดว่าความดีเท่านั้น ที่ต้องสะสมไปในโลกหน้า จ้องมองไปที่ความดี ไปหลักชัย แต่พระเจ้าบอกว่าความเชื่อในพระเยซูเท่านั้น ที่ต้องสะสมไปในโลกหน้า จงจ้องมองไปที่พระเยซูคริสต์ เป็นหลักชัย ไม่ใช่การกระทำ ไม่ว่าดีหรือเลว

เพราะฉะนั้น ถ้าคิดว่าชีวิตนี้เราคงสะสมความดีไม่พอแน่ๆ สำหรับการอยู่ในสวรรค์ สำหรับโลกหน้า ก็จงหันมาพึ่งพระเยซู ผู้ช่วยให้รอด เชื่อในการไถ่บาปของพระองค์เถิด มนุษย์ทั้งหลาย รวมทั้งเราที่นั่งอยู่ที่นี่ด้วย

ข้อคิดจากอุปมาคำสอนของพระเยซู เรื่องบุตรน้อยหลงหาย สรุปได้อะไรบ้าง? ไม่ว่าเราจะเป็นลูกคนโต หรือลูกคนเล็ก พระเจ้า ซึ่งเป็นพ่อของเรา ก็ได้จัดเตรียมมรดกให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว ทรัพย์สมบัติในสวรรค์ ทุกอย่างเป็นของเรา และเป็นของเราเท่าๆ กันหมด รวมทั้งพี่ชายคนโตของเรา คือพระเยซูด้วย ตอนนี้พวกเราทุกคนที่นี่ ก็มีด้วยกัน 3 กลุ่ม

กลุ่มที่หนึ่ง ลูกที่อยู่ใกล้ชิดพ่อมานานแล้ว ก็คือคริสเตียนเก่า คือพี่ชายคนโต

กลุ่มที่สอง คือบุตรน้อยหลงหาย ที่พึ่งกลับมาพบพ่อ ก็คือผู้เชื่อใหม่

กลุ่มที่สาม คือบุตรน้อยหลงหาย ที่ยังอยู่นอกรั้วลวดหนามอยู่เลย อยู่นอกสวรรค์อยู่ ยังหลงหายอยู่

ซึ่งถ้อยคำของพระเจ้าวันนี้ ก็มาถึงลูกๆ ของพระเจ้าทุกๆ คน ทั้ง 3 กลุ่มนี้ สำหรับคริสเตียนเก่า ที่เปรียบเหมือนพี่ชายคนโต เราควรจะมีความยินดี ต้อนรับน้องใหม่ ที่มาเชื่อใหม่ ด้วยใจชื่นชมยินดี ไปกับพ่อ เราควรจะ เฮ้ๆๆๆๆ ดีใจด้วย ไปฉลองกับเขาด้วยอีกคน

และสำหรับผู้เชื่อใหม่ พระเจ้ายังเลี้ยงดูเราด้วยอาหารอ่อนอยู่ และพระเจ้าจะค่อยๆ ฝึกเราให้โตขึ้น ให้เราเรียนรู้มากขึ้น โดยตัวเราเอง ก็ต้องหมั่นฝึกฝนจิตวิญญาณของเรา ให้เหมาะ ให้สมควรกับการเป็นลูกของพระเจ้า ที่บริสุทธิ์ ไม่ใช่ต้องนะ ให้สมควรและเหมาะสม เท่าที่ทำได้  จากข้างในแท้ๆ ไม่ใช่กฎ เราต้องรู้จักฝึก เพื่อจะเตรียมพร้อมสำหรับอาหารแข็ง  … อาหารแข็ง คือปัญหาไง ปัญหาเข้ามา เราจะผ่านได้

สำหรับกลุ่มที่ 3 คือกลุ่มบุตรน้อยหลงหายของพระเจ้า ที่ยังกลับไม่ถึงบ้าน อาจจะยังไม่ได้ฟังข่าวดี หรือฟังข่าวดีแล้ว ยังไม่ได้ตัดสินใจ ยังอยู่นอกรั้วเลย

ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ถ้อยคำพระเจ้าในวันนี้ ข่าวดีนี้ มาถึงท่านวันนี้เป็นพิเศษ ที่จะบอกกับท่านว่าพระเจ้าหรือพ่อของท่าน ในโลกวิญญาณ ในสวรรค์รอคอยใจจดใจจ่อ เฝ้าตามหาท่าน รอท่านกลับบ้าน รอท่านเมื่อไรจะใช้สิทธิของท่าน ที่พระองค์มอบให้ท่านเรียบร้อยไปแล้ว โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์ ที่ได้ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตชำระท่าน จนหมดบาปหมดเวรหมดกรรม จนสะอาดหมดจด จนเป็นลูกของพระเจ้า เรียบร้อยไปแล้ว ท่านเพียงแต่มาใช้สิทธิของท่านเท่านั้นเอง ไม่มีต้อง ไม่มีอะไรทั้งสิ้น ไม่ต้องมีการแลกเปลี่ยน ไม่ต้องมีอะไรทั้งสิ้น ใช้สิทธิเท่านั้น รับไปฟรีๆ  ไม่ต้องกรอกใบสมัครด้วย ไม่ต้องลงน้ำบัพติศมาก็ได้  ไม่ต้องมาโบสถ์ก็ได้  ไม่ต้องร้องเพลงนมัสการก็ได้ ไม่ต้องถวายทรัพย์ก็ได้ ไม่ต้องอะไรอีก ที่ท่านหงุดหงิดไม่อยากจะทำ ไม่ต้องอธิษฐานก็ได้

ผมกำลังจะบอกให้ท่านใช้สิทธิของท่าน ให้ฟรีๆ ไม่ต้องมีคำว่าต้องอะไร ไม่ต้องทำอะไรเลยทั้งสิ้น แค่นั้นก็พอแล้ว พระเจ้าก็จะจัดงานเลี้ยงให้กับท่าน ท่านได้เป็นบุตรน้อยของพระเจ้าที่ตายไปแล้ว ได้เป็นขึ้นมาใหม่ พระเจ้าดีใจเป็นที่สุด แล้วได้จัดงานเลี้ยงใหญ่โตให้กับท่าน แล้วไม่มีใครเอาท่านออกไปจากบ้านของพระเจ้าได้อีกแล้ว เมื่อครั้งเดียวที่ท่านเข้ามา แล้วใช้สิทธิของท่าน รับสิทธิของท่าน เข้ามาในสวรรค์ของพระเจ้าแล้ว ไม่มีใครพาออกประตูรั้วลวดหนามของพระเจ้าได้อีกเลย ไม่ว่าท่านจะก่อคดีอะไร เวรกรรมอะไรมาก่อน นี่พูดถึงวิญญาณอย่างเดียวนะ ไม่มีใครเอาท่านออกจากพระเจ้า จากโลกวิญญาณ ไม่มีทางเลย ท่านจะได้รับความรอดนี้ตลอดไป เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

**************************

 

 

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2019 เรื่อง “อุปมาคำสอนของพระเยซู” ตอน 12 “บุตรน้อยหลงหาย” ตอน 1 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  24  กุมภาพันธ์  2019

 เรื่อง “อุปมาคำสอนของพระเยซู”

ตอน 12 “บุตรน้อยหลงหาย” ตอน 1

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีครับ อุปมาคำสอนของพระเยซู ตอนที่ 12 ที่เราจะเรียนกันในวันนี้ ก็เป็นเรื่องต่อจากครั้งที่แล้ว ครั้งที่แล้วเราได้เรียนเรื่อง “ของหายแล้วได้คืน” เป็นอุปมาที่เปรียบเทียบให้เห็นภาพว่าเวลาเราทำของที่มีค่าในชีวิตของเราหาย หมายถึงมีค่าจริงๆ ยิ่งมีค่า เรายิ่งอยากได้กลับคืน ถ้ามีค่ากับเรามากเท่าไร? เราจะมีความรู้สึกดีใจ ที่ได้ของนั้นกลับคืนมาเท่านั้น มากกว่านั้นสักเท่าใด ของที่มันหายไป  ถ้าเป็นลูกของเรา แล้วเราไม่รู้ว่าเขาเป็นตายร้ายดีอย่างไร? แล้วจู่ๆ ได้ข่าวดีว่าเขายังอยู่ แล้วได้กลับมาเจอกัน นี่คือความรู้สึก พระเยซูจึงเอาความรู้สึกของมนุษย์ธรรมดา มาเป็นอุปมาให้เราได้เห็นภาพของพระเจ้าว่ารู้สึกอย่างไร?

จำได้ไหมที่ผมยกตัวอย่างครั้งที่แล้วว่าประสบการณ์ของตัวเอง ตอนที่ลูกเล็กๆ แล้วพากันไปเดินห้าง แล้วพลัดหลงกันไป หายไป ยังจำความรู้สึกตอนนั้นได้ว่าทั้งตอนที่ลูกหายไป ไม่รู้ไปไหน? ถูกตัดแขนตัดขาหรือเปล่าก็ไม่รู้ ตอนหายไป เรามานับไม่กี่ชั่วโมงไม่ได้  เพราะมันยังไม่เจอ ท่านเข้าใจไหมครับ? ถ้าตราบใดยังไม่เจอ ก็นับไม่ได้ว่ามันไม่กี่ชั่วโมง ถ้าเจอจึงจะมานับย้อนไป เอ่อ! หายไปกี่ชั่วโมง แต่ตอนหายไป มันคือหายนะ นั่นแหละ ความรู้สึกเดียวกันกับหายไปตลอดเท่ากัน เพราะฉะนั้น มันก็ตกใจ แล้วก็หวาดกลัว แล้วก็เป็นห่วงมากถึงมากที่สุด พอเจอ ดีใจสุดหัวใจเลย จึงมีความรู้สึกดีว่าพระเจ้ารู้สึกอย่างไร เมื่อมีคนใดคนหนึ่ง รับเชื่อในพระเจ้า และกลับมาหาพระองค์ มาบังเกิดใหม่อีกทีหนึ่ง พระองค์ดีใจขนาดไหน?

พระเยซูจึงเอาตรงนี้มาเป็นอุปมาสอนเราว่าในสวรรค์มันเป็นเช่นไร? ความคิดของพระเจ้าเป็นอย่างไร? ความรู้สึกของพระเจ้าเป็นอย่างไร? และความคิดของมนุษย์เป็นอย่างไร?

อุปมาคำสอนของพระเยซู เกี่ยวกับเรื่องของหายได้คืนมีอยู่ 3 เรื่อง ซึ่งอยู่ในหนังสือลูกา บทที่ 15 ที่เราเรียนกันอยู่นี้ ซึ่งหัวใจสำคัญของทั้ง 3 เรื่องนี้ ก็คือมวลมนุษยชาติ ซึ่งเป็นลูกๆ ของพระเจ้า  ทุกคนเหล่านี้ ที่ได้หาย ได้หลงไป พระเจ้าได้ถือว่าเขาได้หลงไป แต่เขายังเป็นลูก ตอนที่ลูกผมหายไป เขายังเป็นลูกผม มวลมนุษยชาติ คือลูกๆ ของพระเจ้าทุกคนหลงหายไปในความบาป พอบาปปุ๊บ เท่ากับหลุดจากพระเจ้าไปเลย เหมือนลูกผมหลุดจากมือผม ไปไหนก็ไม่รู้ จะเป็นตายร้ายดี ก็ไม่รู้ อาจจะตายไปตลอด ก็ได้ ไม่ได้กลับมาเจอกันอีกเลย

พระเยซูกำลังให้เราเห็นภาพว่าเราเป็นสิ่งที่มีค่า ในสายพระเนตรพระเจ้าเท่าไร? มีความหมาย มีความสำคัญขนาดไหน? สำหรับพระเจ้าของเรา เป็นแก้วตาดวงใจของพระองค์ขนาดไหน? เมื่อเราหายไป มนุษย์หายไป พระเจ้าก็ออกตามหา ด้วยความกระตือรือร้นอย่างมาก ห่วงใยอย่างมาก ด้วยความมุ่งมั่นอย่างมาก และเมื่อได้กลับคืนมาสู่อ้อมกอดของพระเจ้า พระองค์ก็ชื่นชมยินดีถึงขนาดไหน? ในอุปมานี้นะ

ครั้งที่แล้ว เราได้เรียนกันไป 2 เรื่อง เรื่องแรกที่เราได้เรียนกันไป ที่เจ้าของมีแกะ 100 ตัว แล้วตัวหนึ่งหายไป พระเยซูบอกว่าเจ้าของก็จะละแกะ 99 ตัว แล้วออกตามหาแกะหนึ่งตัวที่หายไป ทิ้ง 99 ตัวไว้ก่อน ค่อยว่ากันทีหลัง มุ่งเน้นไปแต่ตัวที่มันหายไป  คนไหนที่มาเชื่อพระเจ้าแล้ว พระเจ้าละไว้ก่อน สบายแล้ว อยู่กับเราตลอดแล้ว ตอนนี้มุ่งหาแต่พวกที่ยังไม่เข้ามา ยังไม่เจอ

ส่วนเรื่องที่ 2 ก็คือเรื่องหญิงคนหนึ่งมีเหรียญ 10 เหรียญ แล้วหายไปเหรียญหนึ่ง พระเยซูบอกหญิงจะไม่จุดตะเกียงกวาดเรือน และค้นอย่างถี่ถ้วน จนกว่าจะพบหรือ? พระเยซูบอก หญิงนั้น ก็คือพระเจ้า  … พระเจ้าจะไม่ค้นหาคนบาป ลูกๆ ของพระองค์ที่หายไปเหล่านั้น คนเดียวนะ ในนี้บอกว่าแค่เหรียญเดียว แค่คนเดียวเท่านั้นเอง พระองค์จะทำอะไร?

“จุดตะเกียงกวาดเรือน ค้นหาอย่างถี่ถ้วน จนกว่าจะพบ”

ท่านลองคิดดูสิ หมายความว่าอย่างไร? พระเจ้าจุดตะเกียง … จุดตะเกียงคืออะไร? พระเยซู คือตะเกียงของพระองค์ ส่งพระเยซูมา มาทำอะไร? จุดตะเกียงแล้วกวาดเรือนเลย คือทุกซอกทุกมุม ซอกเล็กๆ ต้องเห็นหมด ละเอียดขนาดไหน? ค้นหาอย่างถี่ถ้วน จนกว่าจะพบ ถ้าไม่พบ ก็ไม่หยุด

คำสั้นๆ เล็กๆ พระเยซูยกมา มีความหมายทั้งนั้นเลย ในคำอุปมาของพระเยซู มันเป็นอย่างนั้น ทั้งหมดเลย ไม่ว่าจะอุปมาเรื่องใดก็ตาม บางครั้งเราอ่านแค่คำเดียว ท่านลองอ่านดู ใคร่ครวญดูคำเหล่านั้นคำเดียว ความหมายมันลึกซึ้งมาก อย่างนี้ แค่ประโยคเดียว “ค้นหาอย่างถี่ถ้วน จนกว่าจะพบ” อย่างถี่ถ้วนด้วยนะ  คือละเอียดยิ๊บ ไม่หยุด จนกว่าจะพบ

ตะกี้บอกเหรียญ 1 เหรียญกับแกะ 1 ตัว หมายถึงคนบาปเพียงคนเดียว มวลมนุษยชาติใช่ พระเจ้าห่วงทุกคน แม้คนๆ เดียวก็ห่วง ห่วงแต่ละคนด้วย ละเอียดถึงขนาดนั้น และพระองค์ต้องการให้คนๆ นั้นคนเดียวกลับมาหาพระองค์ กลับมารอด มาเจอกัน ให้ครบมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่ว่าใครคนใดคนหนึ่งหายไป พระองค์จะออกตามหาจนกว่าจะพบ ถ้าไม่พบ ก็หาต่อไป แสดงถึงความรัก ความห่วงใยของพระเจ้าอย่างมากมาย ที่มีต่อมนุษย์บาปอย่างเรา

และสิ่งที่เหมือนกันใน 2 อุปมานี้ คือในตอนจบ หลังจากที่พบแกะ พบเหรียญที่หายไปแล้ว เจ้าของก็จะจัดงานเลี้ยงรื่นเริงเฉลิมฉลองกันอย่างใหญ่โต พระคัมภีร์บอกว่าในสวรรค์จะมีความชื่นชมยินดีในคนบาปเพียงคนเดียว ที่กลับใจใหม่ มากกว่าในคนชอบธรรม 99 คนที่ไม่จำเป็นต้องการได้รับการกลับใจใหม่ ก็หมายถึงมากกว่าคนที่เชื่อแล้ว ไม่ต้องกลับใจ เพราะเขากลับใจไปแล้ว แต่คนๆ นี้ที่เขากลับใจ พระเจ้าดีใจมาก เพราะคนๆ เดียว จัดงานเลี้ยงใหญ่โตเลย

วันนี้ เราจะมาต่ออุปมาคำสอนของพระเยซู เรื่องของหายได้คืน เรื่องที่ 3 คือเรื่องบุตรน้อยหลงหาย คำอุปมาเรื่องนี้ เป็นเรื่องของชายหนุ่มคนหนึ่ง อยู่ในครอบครัวที่มีฐานะดี พอมีสมบัติ มีไร่นา มีบริวารมากมาย แต่ชายหนุ่มคนนี้ อยู่ๆ วันหนึ่ง ก็อยากเป็นอิสระ เรียกร้องขอสมบัติจากพ่อ อยากไปใช้ชีวิตตัวเอง อยากพึ่งตัวเอง อยากพึ่งการกระทำของตัวเอง อยากจะทำเอง ไม่อยากพึ่งพระเจ้า ไม่อยากพึ่งพ่อ ลูกา 15:11-12

ลูกา 15:11-12 “11 พระเยซูตรัสต่อไปว่า “ชายคนหนึ่งมีบุตรชายสองคน 12 บุตรชายคนเล็กพูดกับบิดาว่า ‘บิดาเจ้าข้า ขอยกสมบัติส่วนของข้าพเจ้าให้ข้าพเจ้าเถิด’ ดังนั้นบิดาจึงแบ่งทรัพย์สมบัติของตน ให้บุตรทั้งสอง”

 

เคยอยู่กับพ่อกับพี่ชาย ดูแลทรัพย์สมบัติไร่นา ก็ดีๆ อยู่แล้ว แต่อยู่ๆ ลุกขึ้นมาขอแบ่งสมบัติ

“พ่อ ฉันอยากจะไปใช้ชีวิตส่วนตัว”

อะไรอย่างนี้ มันเกิดความเย่อหยิ่งขึ้นมา ไม่เชื่อฟังพ่อแล้ว พ่ออาจจะบอกว่า …

“ข้างนอกมันอันตราย อย่าไปเลย”

“ไม่เป็นไร ฉันดูแลตัวเองได้ ฉันจะอยู่ด้วยตัวเอง ไม่ต้องพึ่งพ่อก็ได้  ส่วนของฉันมีอะไร? เอามาให้หมดเลย”

ประมาณนี้  และคิดว่าทรัพย์สมบัติที่พ่อให้เยอะ ก็คงอยู่อย่างอิสระ แล้วก็ไม่ต้องทำงาน อยู่ได้แน่ๆ แต่ปรากฏว่าไปไม่รอด เพราะในนี้บอกว่าใช้ชีวิตแบบนักเลง สำมะเรเทเมา ไม่นานทรัพย์สินที่ได้แบ่งมา ก็หมดลง ลองมาดูสิว่าต่อไปเป็นอย่างไร? ลูกา 15:13-16

ลูกา 15:13-16 “13 ต่อมาไม่นาน  บุตรชายคนเล็กนี้  ก็รวบรวมสมบัติทั้งหมดของตน แล้วไปเมืองไกล และผลาญทรัพย์ของตนด้วยการใช้ชีวิตเสเพล 14 พอเขาหมดตัว  ก็เกิดการกันดารอาหารอย่างหนักทั่วแถบนั้น และเขาเริ่มขัดสน 15 ดังนั้น เขาจึงไปรับจ้างชาวเมืองคนหนึ่ง และคนนั้นใช้เขาออกไปเลี้ยงหมูในทุ่งนา 16 เขาอยากจะอิ่มท้องด้วยฝักถั่วที่หมูกิน  แต่ไม่มีใคร  ให้อะไรเขากิน”

 

พูดง่ายๆ เขาไปรับจ้างเลี้ยงหมู  พอเริ่มต้องเผชิญความทุกข์ยากลำบาก สติก็เริ่มมา จากที่เคยกบฏต่อพ่อ นึกหยิ่งผยองอวดดี อยากใช้ชีวิตตามลำพัง อยากทำด้วยตัวเอง ปรากฏว่าชักไม่ไหว ที่เคยคิดว่าจะอยู่ด้วยตัวเอง จะพึ่งตัวเอง มันพึ่งไม่ไหว มันอ่อนแรงเหลือเกิน พอเริ่มลำบาก เริ่มเอาตัวไม่รอด ก็เริ่มคิดได้ สำหรับคนยิวในสมัยนั้น  อาชีพรับจ้างเลี้ยงหมู ถือเป็นอาชีพที่ต่ำที่สุด เพราะว่าหมูเป็นสัตว์พึงรังเกียจ สัตว์ที่มีมลทินในบัญญัติของพระเจ้าว่าไว้

ฉะนั้น ชายหนุ่มคนนี้  ตามอุปมานี้ ต้องไปขออาศัยอยู่กับชาวบ้าน และแลกด้วยการเลี้ยงหมู ถือว่าต่ำสุดๆ ของชีวิตแล้ว ไปไม่รอดจริงๆ แล้ว ถึงยอมทำ มนุษย์ก็อย่างนี้ มันไปไม่รอดจริงๆ

“ฉันไม่รอดแล้ว ใครก็ได้ช่วยฉันที”

นั่นแหละ มันจะถึงมือพระเจ้า นี่เหมือนกัน พอไปไม่รอด จุดต่ำสุด จึงสำนึกได้ว่าเรากลับไปหาพ่อเราดีกว่า ขณะที่พูดอยู่นี้ พระเยซูกำลังพูดให้ทั้งชาวยิวที่เป็นพวกรักษาบัญญัติ พวกฟาริสี พวกที่เรียนเรื่องบัญญัติของพระเจ้า แล้วเคร่งครัดในศาสนาอย่างมาก และมีชาวยิวที่เลี้ยงหมู รู้สึกตัวเองเป็นชาวยิวชั้น 2 ที่ต่ำต้อยมาก พระเจ้าไม่เอาด้วยเลย เพราะฉันไม่ได้อยู่ในบัญญัติพระเจ้าเลย รักษาไม่ไหว แม้กระทั่ง เลี้ยงหมู คือคนยิวเหล่านี้  เป็นคนยิวที่รับใช้โรมัน ชาวโรมัน ตอนนั้นครอบครองประเทศอิสราเอลอยู่ และจ้างยิวเหล่านี้มาเป็นคนเก็บภาษี เก็บภาษีคนกันเอง รับจ้างคนที่เป็นนายเรา ที่มาครอบครองประเทศเรา มันต่ำสุดแล้ว ฉะนั้น คนยิวจึงรังเกียจคนเก็บภาษีเหล่านี้มาก เวลาพระเยซูไปกินข้าวกับคนเก็บภาษี ไปคุยกับคนเก็บภาษี คนยิวแบบนินทาว่าร้ายพระเยซูใหญ่ เพราะพระเยซูไปกินข้าวบ้านซีโมน  แม้กระทั่งสาวกคนหนึ่งที่ชื่อมัทธิว ก็คือคนเก็บภาษี อีกคนหนึ่งก็ศักเคียส  ก็คนเก็บภาษี แต่พระเยซูไปบ้านเขา ทำให้ฮือฮามากเลย  นี่เหรอผู้เผยพระวจนะของพระเจ้า  ผู้รับใช้พระเจ้าไปทานข้าวกับคนเก็บภาษีได้อย่างไร? นี่ความรู้สึกของคนที่เป็นคนเคร่งในศาสนา  ในสมัยโน้นที่พระเยซูกำลังพูดอยู่ ท่านคิดเอาแล้วกันว่าปัจจุบันมีไหม?

มาลองเปรียบเทียบกับชีวิตของเรา ในนี้ หรือมนุษย์เราปัจจุบัน เราทุกคนเริ่มต้นมาจากการเป็นคนบาป เกิดมาก็บาปแล้ว เริ่มจากการกบฏต่อพระเจ้า กบฏทั้งทางตรงและทางอ้อม ก็คือวิญญาณไม่เชื่อพระเจ้าอยู่แล้ว จะพูดเรื่องอะไรก็ได้ แต่อย่ามาพูดเรื่องพระเจ้ากับฉัน จะพูดสิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไรก็ได้ จะพูดฤทธิ์เดชอะไรก็ได้ จะพูดเข้าเจ้าเข้าทรงอะไรก็ได้ พูดต้นไม้มีฤทธิ์ก็ได้ ฉันจะฟังทั้งหมด  แต่พอพูดเรื่องพระเยซู ไม่ฟัง หยุดๆ คุ้นๆ ไหม? ฟังแล้วมันรำคาญ มันอยู่ข้างใน  กำลังบ่งบอกถึงว่าเราไม่อยากรู้จักพระเจ้า เราไม่ต้องการพระเจ้า เราต้องการพึ่งตัวเอง นี่แหละ

แล้วประสบการณ์ของหลายๆ คน ก็คล้ายๆ ชายคนนี้ คือชีวิตต้องเจออะไรบางอย่าง เจอความทุกข์หนัก เจอมรสุมชีวิต  เหมือนกับต้องไปเลี้ยงหมู ที่ชาวยิวจำเป็นต้องไปเลี้ยง ต่ำสุดแล้ว ก็เริ่มหันมาฟังข่าวประเสริฐของพระเจ้าว่า …

“นี่น่ะ วันนั้นเพื่อนมาคุยให้ฟัง จำไม่ได้ ฟังมาหลายครั้งแล้ว แล้วเราก็ไล่เขาไปแล้ว วันนี้เราคิดว่าเราจำได้ ที่เขาบอกว่าพระเยซูช่วยเธอได้ แล้วเราก็ไปอธิษฐาน ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าอธิษฐานอะไร เพราะเขาบอกว่าให้ไปคุยกับพระเยซูเลย พระเยซูอยู่ทุกหนทุกแห่ง รอเธออยู่ ฉันก็ไม่รู้จะทำอย่างไร? จุดต่ำสุดแล้ว สิ่งที่ฉันไม่เคยทำ สิ่งที่ฉันว่ากล่าว สิ่งที่ฉันต่อต้าน สิ่งที่ฉันว่าเสียๆ หายๆ ฉันยอมคุกเข่าลง และบอกว่าพระเยซูอยู่ไหน สำแดงพระองค์เองให้ลูกได้รู้”

นี่พูดทั่วๆ ไป  บอก … “พระเยซูช่วยด้วย ไม่ไหวแล้ว”

ทันทีทันใดนั้น ชีวิตเขาก็จะเริ่มเปลี่ยนแปลง วันต่อมา ก็จะมีคนค่อยๆ เอาข่าวดีมาบอกเขา เพราะเขาจะเริ่มเปิดรับ จนในที่สุด คือวันสุดท้าย เขาก็จะเปิดใจ แล้วก็ต้อนรับข่าวดี วันนั้นอาจจะเป็นคืนนั้นเลยก็ได้ หรืออาจจะอีกวันหนึ่งก็ได้  แต่ไม่มีวันพลาดสำหรับพระเจ้า เพราะพระเจ้ารออยู่แล้ว รอวันที่เธอจะเปิดใจสักที และไม่มีวันเปิดใจเลย ถ้าเผื่อเธอยังประสบผลสำเร็จอยู่ ตลอดชีวิต เธอยังใช้ทรัพย์สมบัติไม่หมดเลย  ไม่เหมือนชายหนุ่มคนนี้ ใช้หมดแล้ว เกลี้ยงแล้ว ต้องไปเลี้ยงหมู เธอยังไม่ได้เลี้ยงหมู เธอยังเป็นเจ้านายอยู่เลย โอกาสที่จะมาคุกเข่า นึกว่าท่านไปไม่รอดแล้ว มันแทบไม่มี มันยาก พระเยซูจึงบอกว่ามันยากที่คนมั่งมีจะเข้าในแผ่นดินสวรรค์ แต่พระเจ้าทำได้ทุกสิ่ง เอเมน พระเจ้าสามารถทำได้ทุกสิ่ง แม้ร่ำรวยจะเข้ายาก เดี๋ยวพระเจ้าเอาเงินออกไป แป๊บเดี๋ยวง่ายทันที หรือมาทั้งร่ำรวยได้หรือไม่ได้ ได้ สำหรับพระเจ้าได้ แต่มันยากไง พระเยซูบอกเหมือนอูฐรอดรูเข็ม คนบอกอูฐรอดรูเข็มไม่ได้ ไม่มีทาง เป็นไปไม่ได้เลย ไม่ใช่อย่างนั้น อุปมานี้ อูฐรอดรูเข็ม หมายถึงชาวยิวในเมืองอิสราเอล สมัยนั้น เป็นเหมือนสมัยโบราณ ท่านนึกออก เวลาจะเข้าเมือง เขาจะมี 2 ประตู คือประตูใหญ่ เวลามีสงครามเขาจะปิดประตูนี้ แต่ถ้าสมมติว่า 6 โมงเย็น ประตูเมืองปิดแล้ว เขาก็จะมีประตูเล็ก สำหรับคนเดินเข้าเดินออก ประตูเล็กอูฐเข้าไม่ได้ มันเตี้ย ไม่ใช่เข้าไม่ได้ มันเข้าลำบาก อูฐบางตัวมันตัวสูง คอยาว เวลาเข้า เขาจึงพยายามกดศีรษะมัน หรือลดขา ผมไม่รู้ ให้มันพยายามรอดรู ประตูนี้เขาเรียกประตูอูฐ มันหมายความว่าอย่างนั้น ถามว่าได้ไหม? ได้ แต่มันยากหน่อย จัดการมันๆ มันหยิ่งมากใช่ไหม? เข้ารูเข็มไม่ได้ หมายถึงเข้าประตูนี้ไม่ได้ หยิ่งมาก ตีขามัน ก็อ่อนลง กดหัวมันลง ในที่สุดมันเข้าได้ เพราะฉะนั้น คนรวยก็เข้าลำบาก คนจนเข้าง่ายกว่า เพราะมันเจ็บจน ไม่มีศักดิ์ศรีเหลือแล้ว มันไปเลี้ยงหมูแล้ว

ลูกา 15:17-19 “17 เมื่อเขาคิดขึ้นได้ จึงกล่าวว่าบิดาของเรามีลูกจ้างหลายคน พวกเขามีอาหารเหลือเฟือ แต่นี่เรากำลังจะอดตาย 18 เราจะกลับไปหาบิดาของเรา และกล่าวกับท่านว่าบิดาเจ้าข้า ข้าพเจ้าทำบาปต่อสวรรค์และต่อท่านด้วย 19 ข้าพเจ้าไม่คู่ควรจะได้ชื่อว่าเป็นบุตรของท่านอีกต่อไป ให้ข้าพเจ้าเป็นเหมือนลูกจ้างคนหนึ่งของท่านเถิด”

 

ชายหนุ่มคนนี้ เริ่มสำนึกตัวเอง เริ่มรู้ว่าตัวเองไม่ไหวแล้ว เริ่มรู้ว่าตัวเองทำอะไรผิดต่อพ่อไว้เยอะ และรู้ตัวเองว่าเป็นความผิดที่ใหญ่เกินกว่าจะรับการอภัยได้ ความตั้งใจจริงๆ คือจะขอกลับไปหาพ่อ สารภาพผิด แล้วจะขอกลับไปอยู่ด้วย แต่ไม่ใช่ในฐานะลูก เพราะตัวเองรู้สึกคุณค่าไม่พอแล้ว ขออยู่ในฐานะลูกจ้างก็พอแล้ว เป็นลูกของพระองค์ ประชาชนขั้นที่ 2 ขอเพียงอยู่ในบ้านพระองค์พอแล้ว หลายคนเมื่อสุดท้าย ไปไม่รอด พอเชื่อพระเจ้า คิดขอเกาะพระเยซู ไปอยู่สวรรค์พอแล้ว ไม่เหมือนคนรับใช้คนอื่น เขารับใช้เยอะแยะ เขารับใช้พระเจ้ามาตั้งนานแล้ว ให้เขาดีๆ สำหรับฉัน ฉันขอไปอยู่ในสวรรค์พอแล้ว เป็นประชาชนชั้น 2 ลูกของพระองค์ชั้น 2 ในสวรรค์ของพระเจ้า คิดอย่างนั้น นี่เป็นเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ นี่เป็นสิ่งที่คนสำนึกผิดจริงๆ มันไม่ไหวแล้ว คือคิดว่าความผิดที่เคยทำนั้น มันใหญ่เหลือเกิน พ่อคงไม่ให้อภัยแน่ๆ แต่ก็จะกลับไป ขออยู่แบบลูกจ้าง ซึ่งไม่รู้ว่าพ่อจะยอมหรือเปล่าแค่นั้น เป็นลูกจ้างจะยอมไหม? กลับไปเจอไม้ตะพด แกออกไปหรือเปล่า? กลัวไปหมด แต่ถ้าไม่กลับ เลี้ยงหมูต่อไป ตายอย่างเขียด ตายอย่างมีเกียรติยังดี แต่มาตายอย่างไม่มีเกียรติอีกต่างหาก อดอาหารตาย แล้วยังต้องเลี้ยงหมูอีก นี่คือความคิดที่ยุติธรรมที่สุดของบรรดาความคิดของมนุษย์ทั่วไป มันควรจะเป็นอย่างนั้น ทำอะไรผิดมา ก็ควรได้รับโทษสิ ไปทำร้ายเขา ก็ควรได้รับการปรับโทษ ไปติดคุก เรื่องธรรมดา

เด็กหนุ่มคนนี้ ก็คิดแบบนี้ คือคิดว่าอย่างไร? ก็ต้องโดนลงโทษแน่ๆ ไม่มากก็น้อย แต่ก็ทำใจดีสู้เสือ เคยไหม? ลองเป็นมนุษย์เหล่านี้ เราทำอะไรผิด  กลับไปหาพ่อ หรือกลับไปหาใครก็ได้ ที่เราทำผิดต่อเขา เจ้านายของเรา หรือเพื่อน หรือใครก็ตาม ลองคิด จะเตรียมคำพูดอย่างไรดี จะเริ่มทำอะไรดีๆ เรารู้ หมายถึงคนที่สำนึกว่าตัวเองผิดจริงๆ

“ฉันจะไปเริ่มคำแรกกับเขาอย่างไรดี ที่คิดว่าจะทำให้พ่อใจอ่อนมากที่สุด เข้าใจเรามากที่สุด จากคำพูดของเรานั่นแหละ”

ความคิดของเราตอนนั้น ก็คือแค่พ่อยอมรับเราในฐานะลูกจ้างก็พอแล้ว ดีกว่าอยู่ตรงนี้เยอะเลย ก็ถือว่ามีเมตตามากแล้ว เตรียมคำพูดที่ถ่อมใจ เด็กหนุ่มก็อาจจะเตรียมคำพูดอย่างนี้ก็ได้

“พ่อจ๋า ลูกผิดไปแล้ว ลูกไม่สมควรเป็นลูกของพ่อเลย ฮือๆๆๆ ลูกแย่จริงๆ ลูกมันเลว ลูกเลวมากเลยจริงๆ ลูกมันชั่วมาก ลูกไม่ควรทำอย่างนั้นเลย”

พูดอย่างนี้ตลอดเลย ถูกไหม? เขาคงคิดในใจว่าเขาควรพูดอย่างไร ให้พ่อซาบซึ้ง

“พ่อมีพระคุณต่อลูกอย่างมากมาย ลูกไม่ควรทำอย่างนี้เลย ลูกเย่อหยิ่งจองหอง ลูกไม่น่าทำอันนั้นอันนี้”

พูดถึงสิ่งที่เขาเอาเงินไปพลาญนั้น “ลูกไปเที่ยวเสเพล ไปเป็นนักเลง ลูกไม่เชื่อพ่อ”

ต้องคิดในใจ เขาต้องคิดว่าอะไรที่มันแทงใจพ่อ แล้วได้พระคุณ ได้ความเมตตาจากพ่อได้มากที่สุด เพื่อพ่อจะได้อภัยให้เขาได้ นี่คือความเป็นธรรมชาติของมนุษย์ ทุกๆ คนเป็นอย่างนี้ มาดูต่อว่าเกิดอะไรขึ้น

ลูกา 15:20-24 “20 ดังนั้น เขาจึงลุกขึ้น กลับไปหาบิดาของเขา แต่เมื่อเขายังอยู่แต่ไกล บิดาเห็นเขา ก็สงสาร จึงวิ่งมาหาบุตรชาย แล้วสวมกอดและจูบเขา 21 “เขากล่าวกับบิดาว่า ‘บิดาเจ้าข้า ข้าพเจ้าทำบาปต่อสวรรค์และต่อท่านด้วย ข้าพเจ้าไม่คู่ควรจะได้ชื่อว่าเป็นบุตรของท่านอีกต่อไป 22แต่บิดาสั่งคนรับใช้ว่า ‘เร็วเข้า! จงนำเสื้อผ้าที่ดีที่สุดมา ให้เขาสวมใส่ เอาแหวนมาสวมนิ้วของเขา และเอารองเท้ามาสวมให้เขา 23 จงนำลูกวัวขุนมาฆ่า ให้เราจัดงานเลี้ยงฉลอง 24 เพราะบุตรชายคนนี้ของเราได้ตายไปแล้ว และกลับเป็นขึ้นมาอีก เขาหายไปแล้ว และได้พบกันอีก’ ดังนั้น เขาทั้งหลายจึงเริ่มเฉลิมฉลองกัน”

 

เร่งมากเลย เร็วเข้าๆ คำเล็กๆ น้อยๆ พอเรารู้ซึ้งถึงอะไรบางอย่างในถ้อยคำพระเจ้า เมื่อพระวิญญาณเปิดแค่คำเดียว ทำไมแต่ก่อนเราไม่เห็น “เร็วเข้า” แค่คำเดียวนะ ลองนึกภาพตาม ใช้จินตนาการนิดหนึ่ง ท่ามกลางทุ่งนาขนาดใหญ่ เด็กหนุ่มคนหนึ่งมอมแมมมา เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง เหมือนคนขอทาน กำลังเดินคอตก นึกอยู่ในใจ ท่องสคริปใหญ่เลย

และอีกฝั่งหนึ่ง ก็เป็นพ่อยืนอยู่หน้าบ้านไกลๆ มองไป พอเห็นเด็กหนุ่มมอมแมมเดินมาแต่ไกล คลับคล้ายคลับคลา จริงๆ รู้เลยว่าเป็นลูกของตัวเอง ก็ตื่นเต้นดีใจ ทุกอย่างรีบหมด นึกภาพตามนะ รีบวิ่งออกมารับ แล้วก็โอบกอด

ปรากฏว่าพอลูกชายเริ่มพูด ตามสคริปที่ท่องมาทั้งวัน อาจจะหลายวันแล้ว พ่อไม่ได้ฟังเลยสักคำ เราเห็นภาพนะ เพราะมัวแต่วิ่ง ดีใจ โอบกอด ขณะที่โอบกอดไป ผมคิดนะ ในนั้น ลูกก็พูดไป พ่อก็ดีใจไป พร้อมกับสั่งคนงาน รีบไปเอาเสื้อ เอาแหวน เอารองเท้า สั่งจัดงานเลี้ยงใหญ่โต เตรียมรับขวัญลูกชายที่กลับมา พอเห็นภาพอะไรไหม? ในขณะที่ลูกชายกำลังกังวลอยู่ คอตก ท่องสคริปมา แย่แล้ว ทำอย่างไรดี ไม่รู้ว่าพ่อจะยกโทษให้หรือเปล่า? จะลงโทษขนาดไหนก็ไม่รู้ เพราะรู้ตัวเองว่าผิด สำนึกแล้ว แต่คนเป็นพ่อ ทำเหมือนกับไม่มีอะไรเลย ทำเหมือนลูกไม่ได้ทำผิดอะไรเลยสักนิด สั่งจัดงานเลี้ยงใหญ่โต ต้อนรับ เหมือนกับลูกไปทำงานมา แล้วกลับมาบ้าน อย่างไงอย่างงั้น ไม่เจอกันตั้งนาน อะไรประมาณนั้น ผมนึกถึงภาพตามนี้ว่าพ่อรีบหมด ขณะที่พ่อวิ่งไป ลูกเรานี่ ตะโกนตั้งแต่ตอนนั้น

“ไปเอารองเท้า เอาเสื้อ เอาแหวนมาเร็วๆ ลูกมา จัดงานเลี้ยงเลยๆ ใช่แล้ว ใช่แน่ๆ ฉันรู้ ฉันคิดถึงเขามากเลย”

ลูกมาถึงปุ๊บ กอดหน่อย  เรากอด ลูกก็จะพูด “ลูกผิดไปแล้ว ลูกไม่ดี”

“หยุดๆ ไม่ต้องพูดอะไร? ไปเอามาเร็ว”

แต่ก่อนนี้ผมก็ไม่เห็นภาพนี้ แต่ตอนนี้ ผมเห็นเป็นอย่างนี้จริงๆ คำเล็กๆ น้อยๆ ทำให้ผมเห็นภาพชัดเจน บวกกับถ้อยคำพระเจ้า ในพระคัมภีร์เยอะแยะมากมาย ที่บอกว่าพระเจ้ารักเราขนาดไหน? ขอบคุณพระเจ้า

จริงๆ ข้อพระคัมภีร์ตรงนี้ เป็นข้อพระคัมภีร์ที่ทำให้ผมมาเชื่อพระเจ้านะ ที่ผมเล่ามาทั้งหมดนี้ ไม่ถึงขนาดผมไปเลี้ยงหมู ส่วนหนึ่ง คือความรู้สึกผมตอนนั้น เมื่อคืนวันนั้น คืนวันที่ 18 มิถุนายน ปี 1988 ผมรู้สึกอย่างนี้ในห้องส่วนตัว มีคนมาพูดเรื่องพระเยซูเยอะมากมาย แต่คืนนั้น เป็นคืนที่บางอย่างไม่ไหวแล้ว ชีวิตทำไมมันเหนื่อยอย่างนี้ มันเหนื่อยเหลือเกิน  หลายเรื่องเหลือเกิน ลำบากลำบนเหลือเกิน เหมือนชาวยิวเลี้ยงหมูเลย พระเยซูอยู่ไหน? ไหนมีจริง ปรากฏพระองค์เอง ให้ลูกได้ลูกจักสิ สั้นๆ เริ่มจากวันนั้นแหละ ได้รู้จักจริงๆ

มีหลายคนที่ไม่กล้าเข้าหาพระเจ้า  เพราะคิดว่าทำผิดทำบาปไปเยอะ คิดว่าคงไม่มีใครให้อภัย เหมือนเด็ก เวลาทำผิด ทะเลาะกับพ่อแม่ หนีออกจากบ้านไป ด้วยอารมณ์ชั่ววูบ เมื่อออกไป ไม่กล้ากลับเข้ามา เพราะกลัวว่าพ่อแม่จะโกรธ ในสิ่งที่เราทำไม่ดี ไปเถียง ไปว่าพ่อแม่ ตวาดพ่อแม่ หรือทำอะไรไม่ดี หนีออกไปเลย ไม่กล้ากลับมา เขาไม่รู้ว่าพ่อแม่กำลังตามหาเขามากกว่า เพราะว่าพ่อแม่ไม่เคยที่จะไปโกรธเขาเลย อภัยให้อยู่แล้ว ดั่งที่เราได้เห็นอยู่บ่อย ตามหน้าหนังสือพิมพ์ เรื่องตามหาเด็กหาย ส่วนใหญ่จะขึ้นต้นด้วย หรือลงท้ายด้วย

“เด็กชาย … กลับบ้านด่วน เรื่องทั้งหมด พ่อแม่ได้อภัยให้แล้ว” ไม่ได้คิดอะไรเลย

“นาย .., นาง .. กลับบ้านด่วน พ่อแม่ได้ให้อภัยทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว” ประกาศก็จะเป็นอย่างนี้

เหมือนคำอุปมาเรื่องนี้ สิ่งที่คนเป็นพ่อแสดงออกมา ก็คือชัดเจนว่าพ่ออภัยให้หมดแล้ว อภัยก่อนแกจะพูดอีก อภัยตั้งแต่แกอยู่เลี้ยงหมู เขาเลี้ยงหมู เขาเป็นลูกของพ่อหรือยัง?  เป็นแล้ว เพียงแต่เขาเป็นลูกที่หลงหายไป ท่านพอเห็นภาพไหม? และเมื่อเขากลับมา เขาก็เป็นลูกเหมือนเดิม สิทธิอำนาจในการเป็นลูก ก็คงได้รับอยู่เหมือนเดิม เป็นสิ่งที่เกินความคาดฝันของลูกอย่างมาก

ในความคิดของคนเป็นพ่อ คือลูกของเราคนนี้ ได้ตายแล้ว และกลับเป็นอีก หายไปแล้ว และได้พบกันอีก เขาทั้งหลายต่างมีความชื่นชมยินดี สำหรับพ่อคิดแค่นี้ เหมือนตายไปแล้ว ได้กลับมาอีก แค่นี้ก็ดีใจจะตายแล้ว เราผู้ซึ่งเป็นมนุษย์ อาจจะคิดว่าบาปนี้ใหญ่ บาปนั้นเล็ก บาปนี้น้อย บาปนั้นมาก บาปอย่างนี้ร้ายแรงกว่าบาปอย่างนี้ บาปนี้ร้ายแรงกว่าบาปอย่างโน้น พระเจ้าคงรับไม่ได้สำหรับบาปนี้ แต่บาปโน้นอาจจะรับได้หน่อยหนึ่ง เพราะมันเบากว่า นี่คือมนุษย์คิด ถ้าบาปอย่างนี้ พระเจ้าไม่มีทางให้อภัยเลย

หลายครั้งที่เราทำผิดซ้ำๆ ในการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เรามักคิดอยู่ในใจว่าอย่างนี้พระเจ้ารับเราไม่ได้ อย่างนี้แย่มาก พระเจ้าตัดหางปล่อยวัด ไม่แหย่เสเราแล้ว ลงโทษเรารุนแรงเลย  ใช่หรือไม่? พระเจ้าจะตีสอนเรา อัดเรา แต่พระเจ้าไม่ได้คิดอย่างนั้นเลย พระเจ้าเป็นความรัก ซึ่งจริงๆ แล้ว สำหรับพระเจ้าแล้ว ไม่ว่าบาปเล็กหรือบาปใหญ่ ในสายตาของมนุษย์ แต่ในสายตาของพระเจ้า คือบาปใหญ่ทั้งนั้น เพราะบาป มันทำให้มนุษย์ตายจากพระองค์ หลุดหลงหายไปนั่นแหละ เหมือนที่พระเยซูได้ตรัสสอนว่าแค่คิดในใจ ก็มีค่าเท่ากับทำบาปนั้นแล้ว แค่คิดอาฆาตเขา ก็เท่ากับฆ่าเขาตายแล้ว คิดโกรธก็เท่ากับฆ่าเขาตายแล้ว คิดว่าผู้หญิงคนนี้สวย ผู้ชายคนนี้หล่อ ก็เท่ากับล่วงประเวณีแล้ว เท่ากันเลย คิดโลภนิดหนึ่ง ก็เท่ากับขโมยของเขาแล้ว แค่คิด ก็เป็นแล้ว ในสายตาพระเจ้า จึงไม่มีใครสักคนหนึ่งบนโลกนี้เลย ที่เป็นคนดี ทุกคนต่างเป็นคนชั่วทั้งสิ้น พระคัมภีร์พูดไว้ชัดเจน จึงไม่มีคนไหน ดีกว่าคนไหน? ไม่มีคนนี้ชั่วกว่าคนอื่น คนนี้เลวกว่าคนอื่น ในสายพระเนตรพระเจ้าไม่มีเลย ทุกคนบาปเท่ากัน

ฟาริสีเขาคิดว่าตัวเขาเองบาป แต่น้อยกว่าคนเก็บภาษี ชาวยิวที่เก็บภาษี ไม่รักษาบัญญัติของพระเจ้าเลย ไม่สนใจพระเจ้าเลย แล้วยังทำงานอย่างนี้อีก มันฝืนบัญญัติของพระเจ้ามาก พวกนี้บาปหนา แต่สำหรับเรา อดอาหารอาทิตย์ละหนึ่งครั้ง ถวายสิบลดเป็นประจำ เข้าอธิษฐานทุกเมื่อ พยายามรักษาบัญญัติของพระเจ้าทุกอย่าง ไม่เหมือนคนเก็บภาษี เหมือนชายหนุ่มคนนี้ สำมะเรเทเมา ไปเที่ยวโสเภณีด้วย นี่เรารักษาได้ ไม่ล่วงประเวณี ไม่ไปเที่ยวโสเภณีเลย แต่พระเยซูกำลังฉีกหน้า จี้เข้าไปในใจเขา ให้เขาเห็นภาพว่าสำหรับพระเจ้าแล้ว ทุกคนล้วนอยู่ในความบาปทั้งสิ้น บาปหมด  และเมื่ออยู่ในความบาป ทุกคนก็อยู่ในความตาย คือตายจากพระเจ้า หลงหายไปจากพระเจ้า เมื่อมีบาปอยู่กับพระเจ้าไม่ได้ บาป แปลว่าเป็นปฏิปักษ์ บาป แปลว่า Miss the target พลาดจากเป้าหมายที่พระเจ้าวางไว้ให้อยู่กับเรา ตอนนี้พลาดเป้าหมายไว้ กลายเป็นอยู่กับศัตรู ไม่ฟังพระเจ้า ไม่เห็นพระองค์ ไม่รู้จักพระองค์ ต่อต้านพระองค์ ไม่ว่าจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม เขาอยู่ในความพินาศทั้งสิ้น อยู่ในความพินาศนิรันดร์ เขาต้องอยู่ในที่มืด อยู่ในที่เขาต้องอยู่ ไม่มีพระเจ้าเช่นกัน ทุกข์ทรมานนิรันดร์ และพระเจ้ารู้อย่างนั้น ทำอะไร?  ก็จัดการ พระเจ้าได้อภัยให้กับมนุษย์ทุกคนเรียบร้อยแล้ว  ด้วยการส่งพระบุตร คือพระเยซูคริสต์มาเป็นผู้ไถ่บาป ช่วยให้มนุษย์รอดพ้นจากโทษของความบาป คือความตายได้ และได้สามารถบังเกิดใหม่ มีชีวิตใหม่ ในพระองค์ สามารถกลับเข้ามาเป็นลูกของพระองค์เหมือนเดิม และกลับมาอยู่ในสวรรค์เท่าเทียมกันหมด ทุกคน เป็นลูกๆ ทั้งนั้น เอเมน

“ได้” แปลว่าทำมาแล้ว ถามว่าเมื่อไร? ได้อภัยให้เรา 2,000 ปีแล้ว ก่อนที่เราจะเกิดด้วยซ้ำ ก่อนที่เราจะคิดว่าเราทำบาปเล็ก บาปใหญ่ บาปน้อย ก่อนที่เราจะทำด้วยซ้ำ  อภัยก่อนเลย  พระเยซูคริสต์ ที่ไม้กางเขน แม้ว่าการงาน การไถ่บาป จะสำเร็จ 2,000 ปี แต่ก็ยังมีผู้คนอีกมากมาย  ที่ยังไม่ได้รับข่าวดี หรืออาจจะไม่ได้ยินข่าวดีจริงๆ บางทีอาจจะเป็นข่าวที่ไม่ดีจริง หรือดีครึ่งๆ  กลางๆ ยังไม่ได้ฟังข่าวดีจริงๆ ว่ามันรับกันง่ายๆ อย่างนี้ ฉันใช้สิทธิแค่นี้เอง หรือได้ยินได้ฟังแล้ว ยังไม่เชื่อ อาจจะเป็นเพราะอะไร เราก็ไม่รู้ ไม่ได้ใช้สิทธิของเขา ที่พระเยซูได้กระทำให้กับเขา เรียบร้อยไปแล้วที่ไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว แล้วทำอย่างไร? พระเจ้าผู้เป็นพ่อ ก็รอคอยวันนั้น วันที่เขาจะกลับมาหาพระองค์ กลับมาหาพ่อสักทีสิ ไม่เหนื่อยอีกเหรอ ผู้ใดแบกภาระหนักและเหน็ดเหนื่อยจงมาหาเรา เราจะให้เขาหายเหนื่อยและเป็นสุข ไม่พออีกเหรอ ยังค่ะ ยังครับ ยังสู้ต่อได้ ไม่เหนื่อยอีกเหรอ พระเจ้าพูดอยู่ตลอด คอยเงี่ยหู ตอนกลางคืนกลับมา พระเจ้าถาม ไม่เหนื่อยอีกเหรอ ยังสู้ต่อเหรอ

“ฉันสู้ต่อ ฉันสู้ด้วยตัวเองได้”

“ยังสู้ต่อเหรอ ไปไม่รอดแล้ว”

“ฉันอยู่ ฉันจะหาต่อไป”

พระเยซูก็ไล่ตามตลอดเวลา เคาะตลอดเวลา ในใจที่หลงหายไป แม้คนๆ เดียว พระองค์ก็จะทำ   จนสุดความสามารถ พระเจ้าพระบิดาก็รอคอยวันนั้น วันที่คนๆ นั้น หรือเขาคนนั้น จะกลับมาหาพระองค์ กลับมาทำอะไร? ไม่ต้องทำอะไรเลย  กลับมา ก็คือใช้สิทธิ์ ด้วยความเชื่อในสิ่งที่พระเยซูกระทำให้กับเขา เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว เพื่อเขาจะได้กลับมาเป็นลูกของพระองค์ มาเป็นลูกที่อยู่ในสวรรค์กับพระองค์ ทันที และไปกระทั่งถึงนิรันดร์กาล นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นทุกวันนี้ พระเจ้ามีความรู้สึกอย่างนี้

และอย่างที่อุปมานี้ เราเรียนรู้กัน พระเยซูเน้นคำนี้ แม้เหรียญๆ เดียว แม้แกะตัวเดียว แม้เพียงคนเดียว ใช้สิทธิของเขา  … การใช้สิทธิ ภาษาพระคัมภีร์ไบเบิ้ล คือการกลับใจใหม่  มิได้หมายถึงการกลับใจ ไม่ทำบาป ไม่ใช่ การกลับใจใหม่ หมายถึงการกลับใจจากการไม่เชื่อในพระเจ้ากลับมาเชื่อ กลับใจจากบาป คือกลับใจจากสภาพวิญญาณที่เป็นบาป เป็นวิญญาณที่บริสุทธิ์ มันหมายความว่าอย่างนี้ มันไม่เกี่ยวกับการกระทำว่าพอกลับใจใหม่แล้ว ฉันจะไม่กระทำอันนี้ ไม่ใช่ เพราะถ้าท่านคิดว่ากลับใจแล้ว ต่อไปนี้ ฉันจะไม่ขโมย ท่านมาหาพระเยซู เดี๋ยวก็ขโมยอีก มันก็เละเลย กลับใจใหม่ ต่อไปนี้ ฉันจะเลิกสูบบุหรี่แล้ว  มาหาพระเยซูอดไม่ได้ มันก็เละไปหมดเลย

การกลับใจใหม่ หมายถึงหันมาหาพระเจ้า มาอยู่กับพระเจ้าแล้ว จบ การกลับใจใหม่ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล มันแปลว่าอย่างนี้ หันหลังกลับจากอาณาจักรหนึ่ง จากดำมาสู่ขาว แค่นี้คือกลับใจใหม่  ตอนนี้ผมอยู่อย่างนี้ มาร ดำ บาป ผมกลับใจใหม่ ผมเชื่อแล้ว พระเยซูบอก มีอีกอาณาจักรหนึ่ง ผมหันหลังให้เขา ผมเดินมาตรงนี้แล้ว นี่แค่นี้เอง กลับใจใหม่ มาเชื่อพระเจ้า เป็นลูกพระเจ้าทันที นี่คือการกลับใจใหม่ เมื่อมีคนกลับใจใหม่สักคนเดียวก็พอ พระเจ้าก็จะเปรมปรีดิ์ ยินดีมาก ถึงขนาดมีการจัดเลี้ยงใหญ่โตในสวรรค์ทีเดียว แค่คนๆ เดียวเท่านั้น ที่ได้กลับใจใหม่ หันกลับมาใช้สิทธิของเขา ที่พระเยซูคริสต์ทำให้เขา ที่ไม้กางเขนเท่านั้นเอง เอเมน

พระเจ้าเฝ้ารอคอยทั้งวันทั้งคืน ไม่ได้หยุด ไม่ได้หย่อนเลย พระคัมภีร์บอกไว้ พระเยซูอธิษฐานให้เราทั้งวันทั้งคืน รอที่จะรับเรากลับบ้าน กลับบ้านสักทีลูก อภัยให้เราหมดแล้ว ไม่ว่าเราหรือใครก็ตามจะเคยทำผิดบาปมากมายขนาดไหนก็ตาม ทันทีที่เราหันกลับมาใช้สิทธิของเรา ที่พระเยซูคริสต์ได้ทำให้กับเราเรียบร้อยไปแล้วนั้น ความบริสุทธิ์ผุดผ่อง เหมือนพระเยซูเลย พ้นจากมลทินบาปทั้งปวง ก็จะเป็นของเราทันที ไม่ต้องทำอะไรเลย เพราะพระเยซูทำให้แล้ว เราจะได้รับสิทธิ เป็นลูกของพระเจ้า ได้เกิดใหม่ ในครอบครัวพระเจ้า และพระเจ้าก็จะสั่งงาน จัดเลี้ยงใหญ่โตบนสวรรค์ ต้อนรับการกลับใจใหม่ การเกิดใหม่ของเรา ด้วยความชื่นชมยินดี

นี่คือเรื่องจริงๆ กับประสบการณ์ การเรียนรู้กับพระเจ้า และสิ่งที่เรียนรู้มาในอดีต มนุษย์มักคิดว่าความดีเท่านั้น ที่จะต้องสะสมไปในโลกหน้า จึงจ้องมองไปที่ความดี ทำความดี สะสมความดี เป็นหลักชัยในชีวิต พระเจ้าตรัสในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล สอนเราว่าความเชื่อในพระเยซูคริสต์เท่านั้น ที่จะต้องสะสมไปสำหรับโลกหน้า จงจ้องมองไปที่พระเยซูคริสต์เป็นหลักชัย เอเมน

เหมือนเพลงที่โต๋ร้อง “ไม่ใช่ความดีที่ข้าเคยทำ แต่เป็นความงามในรักพระองค์”

ไม่ใช่ความดีที่เราเคยทำ ถ้าเราบอกว่าเราจะพึ่งความดี สะสมความดี แล้วเราไม่สะสมความชั่วเหรอ ถ้าเราจะรับแต่ความดี มันไม่ได้ ถ้าจะเอาตัวเองเข้ามา ก็ต้องเอาตัวเองเข้ามารับผิดชอบ เพราะฉะนั้น เมื่อชอบจะรับ ก็ต้องผิดรับด้วย แต่มาเชื่อพระเยซู ฉันไม่รับผิดชอบ เชื่อพระเยซูอย่างเดียว ดูเหมือนตลกแปลกนะครับ ไปเรียนรู้มาก เรื่องบุตรน้อยหลงหาย น่าจะจบ Happy ending งานเลี้ยงใหญ่โตใช่ไหมครับ แต่เรื่องนี้มันยังไม่จบ อุปมานี้ยังไม่จบ ยังมีลูกชายอีกคนหนึ่งที่เป็นพี่ชาย ยังไม่ได้ฟังเลยว่าเมื่อน้องชายกลับมา พ่อดีใจถึงขนาดนั้น ต้อนรับน้องชาย พี่ชายที่อยู่ด้วยกัน จะคิดอย่างไร? จะมีความรู้สึกอย่างไร? พี่ชายจะมีปฏิกิริยาอย่างไรบ้าง? เอาไว้ต่อสัปดาห์ต่อไป ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

****************************

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2019 เรื่อง “อุปมาคำสอนของพระเยซู” ตอน 11 “ของหายได้คืน” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  3  กุมภาพันธ์  2019

 เรื่อง “อุปมาคำสอนของพระเยซู”

ตอน 11 “ของหายได้คืน”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

วันนี้เรายังอยู่ในเรื่องอุปมา คำสอนของพระเยซูคริสต์ ตอนที่ 11 สรุปประเด็นสั้นๆ ของตอนที่แล้วก่อน อุปมาคำสอนของพระเยซู ที่เราเรียนกันไปครั้งที่แล้ว เป็นเรื่องคนงานที่รับจ้างทำงานที่สวนองุ่น และได้รับค่าแรง 1 เหรียญเท่ากันหมด ทำงานตั้งแต่เช้ายันเย็น ก็ได้ 1 เหรียญ ทำงานตั้งแต่บ่าย ทำ 4 ชั่วโมง ก็ได้ 1 เหรียญ เริ่มทำงาน 5 โมงเย็น ทำงานชั่วโมงเดียว ก็ได้ 1 เหรียญ แล้วพระเยซูก็ตรัสสรุปสุดท้ายว่าคนสุดท้ายจะเป็นคนต้น และคนต้นจะเป็นคำสุดท้าย หมายความว่าอย่างไร? หมายความว่าไม่มีใครเป็นคนสุดท้าย และไม่มีใครเป็นคนต้น ทุกคนเท่ากันหมด ไม่มีใครดีกว่าใคร

ความหมายของคำว่า “คนสุดท้ายจะเป็นคนต้น คนต้นจะเป็นคนสุดท้าย” ก็คือพระเยซูกำลังเล่าให้เราฟัง ถึงสภาพของสวรรค์ว่าสวรรค์เป็นอย่างนี้ ไม่ใช่ความคิดแบบมนุษย์ที่อยู่บนโลกใบนี้ ซึ่งคิดว่าเป็นอย่างนี้ นั่นเป็นระบบของโลก สวรรค์เป็นอย่างนี้แหละ บนสวรรค์ทุกคนเท่ากันหมด เป็นลูก ก็เป็นลูกเท่ากัน ไม่มีใครเป็นคนแรก ไม่มีใครเป็นคนสุดท้าย  ทุกคนจะได้รับรางวัลเหมือนกันหมดในสวรรค์ เพราะพระเยซูจะให้รางวัลแบบเดียวกันกับเจ้าของสวนองุ่น ในเรื่องอุปมาครั้งที่แล้ว ที่จ่ายค่าจ้างให้ทุกคนเท่ากันหมด ไม่ว่าคนนั้น จะทำดีเยอะขนาดไหน? ทำมากขนาดไหน? ก็จะได้รับเท่ากัน ไม่ว่าคนนี้จะทำขนาดไหน? คนนี้จะรักษาบัญญัติ เคร่งศาสนาขนาดไหน? ถ้าเชื่อพระเยซูก็จะได้รับเท่ากันหมด เหมือนกัน จะเชื่อมานานขนาดไหน? หรือเชื่อในวินาทีสุดท้ายของชีวิต พอขึ้นสวรรค์ได้รับรางวัลจากพระเจ้า ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ทั้งหมด ทุกคนก็จะได้เท่ากัน เพราะฉะนั้นต้องรู้ตรงนี้ไว้ จะได้ไม่เอ๋อ คิดว่าขึ้นสวรรค์จะได้มากกว่าคนอื่น ตกใจ เอ๋อเลยไม่อยากเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง บางคนกะว่าได้แน่ กลายเป็นได้น้อย จริงๆ แล้วไม่มีใครได้มากกว่ากัน หรือได้น้อยกว่ากัน เพราะว่าทุกคน ไม่ว่าจะทำดีขนาดไหน? หรือทำชั่วขนาดไหน? ก็ต้องเชื่อพระเยซูและบังเกิดใหม่ทั้งนั้น ถ้าไม่เชื่อ ก็เข้าสวรรค์ไม่ได้ ต้องเชื่อพระเยซูทั้งนั้น ไม่ว่าจะชั่วมากหรือชั่วน้อย ก็ต้องพึ่งพระเยซูเท่าๆ กัน คือต้องเกิดใหม่เท่าๆ กัน เพราะฉะนั้น จึงไม่มีใครดีกว่าใครเลย ทุกคนจึงได้รับเท่ากันหมด เอเมน

เทียบได้กับมนุษย์ที่เกิดมาบนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเกิดจากครอบครัวเศรษฐี ครอบครัวยาจก เกิดมา ก็เท่ากัน เสื้อผ้ายังไม่มีเลย  เหมือนกัน

เพราะฉะนั้น ไม่มีอีกแล้ว ที่บอกว่า …

“ฉันเชื่อพระเจ้ามานาน”

หรือไม่มีคนที่รับใช้พระเจ้ามาเยอะๆ เป็นนักประกาศเยอะ พอไปสวรรค์จะได้รับรางวัลเยอะกว่า ได้ห้องที่อยู่บนสวรรค์ใหญ่กว่า ได้เสื้อผ้าที่ดีกว่า ได้นั่งใกล้พระเจ้ามากกว่า (เราหรือใครก็ตามที่คิดว่าเขาทำน้อยกว่าเรา) ใครที่เคยคิดอย่างนี้ แบบนี้ เปลี่ยนความคิดได้แล้ว พระเยซูเตือนว่าอย่าไปคิดอย่างนั้นเลย ทุกคนเท่ากันหมด ส่วนจะทำอะไรนั้น พระวิญญาณจะนำท่านไปเองว่าจะเป็นนักประกาศ จะเป็นนักบรรยาย จะเป็นนักเทศน์ หรือเป็นนักฟัง หรือมาทำงานที่โบสถ์ ช่วยโบสถ์ หรืออะไรก็ตาม พระวิญญาณจะนำท่านเอง จะพาท่านไปทีละวันๆ เอเมนไหม? สบายใจหรือยัง? เพราะที่นั่งที่นี่ ส่วนใหญ่ไม่ได้ทำอะไรเลย ทำหรือเปล่า? ทำ ทำตามหน้าที่ของเรา พระเจ้าสั่งให้เราทำอะไร? เราก็ทำตามนั้นแหละ ไม่ใช่ทุกคนจะเป็นนักเทศน์หมด ไม่ใช่ทุกคนจะเป็นนักประกาศหมด ไม่ใช่ แต่ประกาศทั้งหมดในชีวิตของเรา คือความเชื่อในพระเยซูคริสต์ ที่เราเชื่อ 100% นั่นเอง

มาเข้าเรื่องการบรรยายวันนี้ ซีรี่ย์ชุด “อุปมาคำสอนของพระเยซู” ตอนที่ 11 มีชื่อตอนว่า “ของหาย แล้วได้คืน”  เหมือนเวลาเราไปเดินตามห้างต่างๆ เขาจะมีแผนกประกาศของหาย Lost and Found ท่านใดที่ทำกุญแจหาย มารับได้ที่ประชาสัมพันธ์ด่วน ใครเคยทำลูกหาย แหวนเพชรก็ได้ ที่เป็นดั่งแก้วตาดวงใจ  ผมเคยทำลูกหาย ผมจึงเข้าใจตรงนี้ดีว่าแทนที่ประชาสัมพันธ์ของห้างเขาจะตะโกนดังๆ เขากลับพูดเบาๆ เราเงี่ยหูฟัง ประกาศอะไรๆ เพราะคนที่หาย ทุกข์ใจจริงๆ เพราะว่าตอนที่คุยให้ฟังผมเจอแล้ว แต่ตอนที่หายไป เราไม่รู้ มีค่าเท่ากับเขาตายไปแล้ว เหมือนเขาหายไปเลย เราจะไม่เจอเขาอีกแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมองของมนุษย์คิดใหญ่ คิดในทางที่เป็นบวกหรือเป็นลบ เป็นลบ ไปแล้วแน่นอน

เราไปห้าง คนเยอะ แน่นมาก ที่ราชดำริ พาลูกไปสองคน คนโตประมาณ 4 ขวบกว่าๆ มีพี่เลี้ยง 1 คน แล้วก็ช่วยกันอุ้ม เราผู้ใหญ่มี 3 คน มีเด็ก 2 คน คนหนึ่งอุ้มอยู่กับตัว คือคนเล็ก ชื่อเต๋ เพราะยังเล็กอยู่ คนโต๋ พอเดินได้ คนโน้นรู้จัก ก็อุ้มบ้าง คนนี้มาทักทายบ้าง พอจะกลับ หายไปคนหนึ่ง แล้วเผอิญช่วงนั้น สำคัญที่สุด มีข่าวจริงๆ ที่เกิดขึ้นในหน้าหนังสือพิมพ์ คือมีคนมาขโมยเด็ก เอาไปตัดแขนตัดขา แล้วเอาไปช่วยขอทาน บางรายก็หาลูกเจอ บางรายก็ไม่เจอ ก็ยิ่งตกใจ ยิ่งระวังๆ อยู่ ตะกี้บอกอยู่ที่นี่ไง หากันใหญ่เลย ไม่รู้ว่าใครเอาไป

ท่านลองคิดดู ถ้าเป็นท่าน ท่านคิดอย่างไร? ผู้ใหญ่ 3 คนมาเจอกัน ไม่รู้เลยว่าเขาไปไหน? หายไปในฝูงชน 4, 5 ชั้นของห้างสรรพสินค้า ลองคิดดู หาไม่เจอเลย ถามว่าในหัวใจของพ่อแม่ คิดว่า …

“ประเดี๋ยวเจอเหรอ ไม่เป็นไรหรอก ไปช้อปปิ้งต่อ เดี๋ยวก็มา”

ไม่มีใครคิดอย่างนี้หรอก อย่างที่บอก แล้วยังมีข่าวกำลังแพร่สะพัดว่าเรื่องนี้กำลังเป็นที่จับตามองของตำรวจ เรื่องลักเด็กไปขายบ้าง ไปทำอะไรก็ตาม ความรู้สึกในใจ จึงเข้าใจ รู้เลยว่าคนที่สูญเสียอะไรไป ที่ตัวเองรัก แก้วตาดวงใจ มันทรมานขนาดไหน? หนึ่งนาที มันเหมือนหนึ่งปี มันมีความรู้สึกว่าหายไปจริงๆ เขาตายไปจริงๆ เราจะไม่ได้เจอเขาอีกแล้ว สงสัยถูกตัดแขนตัดขา ดีนะไม่ตัด ไม่อย่างนั้น เล่นเปียโนไม่ได้เลย ตื่นเต้นมาก วิ่งไปหาตรงโน้น คอยจะเอียงหูฟังประชาสัมพันธ์ประกาศอย่างไร? เด็กอายุเท่านี้? หน้าตาอย่างนี้หายไป ให้เขาประกาศ ให้เขาร้องข่าวดีไง รอข่าวดีเมื่อไร ประชาสัมพันธ์จะประกาศสักที เขาก็เบาๆ เราก็เงี่ยหูฟังว่าเมื่อไรจะเจอสักที จนในที่สุด ก็เจอ ดีใจมาก เข้าไปกอด อย่างกับไม่ได้เจอกันเป็นปี แต่จริงๆ ไม่เจอกันแค่ไม่กี่ชั่วโมง อาจจะไม่ถึงชั่วโมงด้วยซ้ำไป แต่เราดีใจมากเลย เพราะว่าสำหรับเราพ่อแม่ เขาก็ได้หายไป ได้ตายไปแล้ว แล้วก็ได้เกิดใหม่ ได้เจอกันอีกที

เรื่องที่เราจะเรียนรู้กันในอุปมาครั้งนี้ ก็เป็นลักษณะอย่างนี้ พระเยซูกำลังยกตัวอย่างเหล่านี้มาให้เราฟัง ใครที่ไม่เคยสูญเสียอะไรที่ตัวเองรัก จะไม่รู้หรอกว่าเวลาพระเจ้าส่งพระเยซูมาช่วยเรา มาในลักษณะอย่างไร? มาในสภาพแตกสลายอย่างไร? มากกว่าที่ผมเล่าให้ฟังเยอะเลย

คำสอนของพระเยซู ซึ่งเราจะเรียนกันในวันนี้ อยู่ในหนังสือลูกา ซึ่งพระเยซูกล่าวเป็นคำอุปมา 3 เรื่อง ใน 3 เรื่อง ทุกเรื่องเป็นเรื่องเกี่ยวกับของที่มีค่า หายไป แล้วได้กลับคืนมา ความรู้สึกของคนที่ของหาย แล้วได้กลับคืนมา เป็นเช่นไร? ซึ่งหัวใจสำคัญของทั้ง 3 เรื่องนี้ คือมนุษย์ซึ่งเป็นลูกของพระเจ้า ที่ได้หลงหายไป ที่ได้ตายไป มีค่า มีความหมาย และมีความสำคัญมากมายมหาศาลขนาดไหนในสายพระเนตรพระเจ้า ผู้เป็นพ่อ รักขนาดไหน? ตกใจขนาดไหน? เสียใจขนาดไหน? เป็นห่วงขนาดไหน? รอคอยขนาดไหน? ที่ลูกหายไป เหมือนตายไปแล้ว ซึ่งตายจริงๆ ทางวิญญาณ ลูกา 15:1-2

ลูกา 15:1-2  “1 ครั้งนั้น คนเก็บภาษีและ “คนบาป” มาชุมนุมกันเพื่อฟังพระเยซู 2 แต่พวกฟาริสีและธรรมาจารย์บ่นพึมพำว่า “ชายคนนี้ต้อนรับคนบาป และร่วมรับประทานกับพวกเขา”

 

นี่คือเหตุผลและที่มาของอุปมาคำสอนของพระเยซู ที่เราจะเรียนกันในวันนี้ ก็คือเริ่มจากช่วงที่พระเยซูตระเวณประกาศสั่งสอนผู้คน เรื่องเกี่ยวกับการไปสวรรค์ ไปอย่างไร? บังเกิดใหม่อย่างไร? สวรรค์เขาทำกันอย่างไร? เขามีระบบ เขาคิดกันอย่างไร? แล้วในบรรดาผู้คนเหล่านั้น ที่มาร่วมชุมนุมกัน ที่ฟังพระเยซูก็มีทั้งคนเก็บภาษี ที่เรียกว่าคนบาปและคนอื่นๆ จำนวนมาก ซึ่งในสายตาพวกฟาริสี พวกยิวที่เคร่งศาสนา มองว่าคนเหล่านี้เป็นคนบาปหนา เขาก็รู้ตัวเองว่าเขาบาปนะ แต่พวกนี้หนากว่า พวกที่ไม่ใช่ยิว  แถมเป็นพวกที่ไม่เคร่งศาสนา บาปหนา ชั่วมาก พูดง่ายๆ ซึ่งไม่ควรที่จะไปคบหาสมาคมด้วย เพราะเราบริสุทธิ์กว่า แต่พระเยซูกลับต้อนรับ ดูแลเอาใจใส่คนเหล่านี้อย่างดี แถมร่วมรับประทานอาหารกับเขาด้วย ให้เกียรติมากกว่าพวกฟาริสี พวกยิวอีก เขาคิดอย่างนี้ ก็รวมหัวกันบ่นพึมพำและนินทาว่า …

“ชายคนนี้  (หมายถึงพระเยซู)  ต้อนรับคนบาป และร่วมรับประทานอาหารกับพวกเขา”

คิดในใจ บ่นพึมพำ เหมือนครั้งที่แล้ว เรื่องผู้หญิงคนนั้นว่าเป็นอย่างนี้ ไม่พอใจ พอพระเยซูได้ยินพวกฟาริสีพากันบ่มพึมพำ ก็ตรัสเป็นคำอุปมา 3 เรื่องนี้ เพื่อท่านจะได้รู้ว่า 3 เรื่องนี้มาจากเรื่องใด เราจะได้เรียนรู้จากพระคัมภีร์จากบริบทของมัน ทุกเรื่องจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับของหาย แล้วได้คืน ความรู้สึกของพระเจ้าของหาย แล้วได้คืน ซึ่งความรู้สึกเกี่ยวกับเรื่องของสวรรค์ทั้งสิ้น สวรรค์ที่มาถึง เมื่อพระเยซูตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ ในวันที่สาม ในสวรรค์เป็นอย่างไร? ระบบสวรรค์เป็นอย่างไร? เริ่มที่คำอุปมาเรื่องแรก เรื่องแกะหลงหาย อยู่ในข้อ 3 – 4

ลูกา 15:3-4 “3 พระเยซูจึงตรัสคำอุปมาให้พวกเขาฟังว่า 4 “สมมุติว่าพวกท่านคนหนึ่ง มีแกะหนึ่งร้อยตัว และตัวหนึ่งหายไป เขาจะไม่ละแกะทั้งเก้าสิบเก้าตัวไว้กลางทุ่ง แล้วไปตามหาแกะตัวที่หายไปนั้น  จนกว่าจะพบหรือ”

 

“แกะ” ในคำอุปมาตรงนี้ ก็คือมนุษย์ทุกคนที่เป็นลูกๆ ของพระเจ้า ไม่ใช่ยิว ไม่ใช่ผู้เชื่อ ไม่ใช่คนดี แต่มนุษย์ทุกคนที่เป็นลูกๆ ของพระเจ้า และพระองค์ต้องการที่จะตามกลับมา ให้ได้ครบ (มากที่สุด) ไม่ว่าใครคนใดคนหนึ่งหายไป พระองค์ก็จะออกตามหาอย่างใจจดใจจ่อ

คำว่า “ละแกะทั้ง 99 ตัวไว้กลางทุ่ง แล้วไปตามหาแกะตัวที่หายไปนั้น จนกว่าจะพบ” ตรงนี้ไม่ได้หมายความว่าไม่เห็นความสำคัญของลูกๆ คนอื่นๆ แต่พระเยซูกำลังให้เราเห็นภาพว่าในขณะที่มีลูกหายไปนั้น พระองค์เสียใจขนาดไหน? เป็นห่วงขนาดไหน? และมีความพยายามตั้งใจขนาดไหนที่จะค้นหาให้พบ ส่วนลูกคนอื่นๆ ไม่ใช่ว่าไม่รัก หรือไม่สนใจ แต่พระองค์ทราบดีว่าลูกคนอื่นๆ ทุกคนอยู่กับพระองค์ปลอดภัยดีแล้ว ไม่มีอะไรต้องห่วงทั้งสิ้น

ที่ผมยกประสบการณ์ให้ฟัง ไม่ใช่ไม่รักเต๋ แต่ตอนนั้นคิดถึงโต๋คนเดียว เขาอยู่ไหน? เหมือนเขาตายไปแล้ว เต๋อยู่ในอ้อมกอดของเราอยู่แล้ว พอมองเห็นภาพนะ เหมือนกันเลย ละทุกอย่าง ออกไปหา เพราะทุกอย่างอยู่ในที่ปกป้องเรียบร้อยแล้ว แต่คนนี้ยังไม่มารับเชื่อเลย เพราะฉะนั้น พุ่งตรงไปที่เขาตายอยู่ เขาหลงไปอยู่ ไปพาเขากลับมา อย่างนี้เป็นต้น

ลูกา 15:5-7 “5 เมื่อเขาพบแล้ว ก็แบกแกะนั้นใส่บ่า ด้วยความชื่นชมยินดี 6 และกลับบ้าน จากนั้น เขาก็เรียกมิตรสหายและเพื่อนบ้านมาพร้อมกัน และกล่าวว่า ‘มาร่วมยินดีกับเราเถิด เราได้พบแกะตัวที่หายไปนั้นแล้ว’ 7 เราบอกท่านว่าทำนองเดียวกัน ในสวรรค์จะมีความชื่นชมยินดี  ในคนบาปคนหนึ่งซึ่งกลับใจใหม่ มากยิ่งกว่า ในคนชอบธรรมเก้าสิบเก้าคน ซึ่งไม่ต้องการกลับใจใหม่”

 

เมื่อเขาพบสิ่งที่หายไป สิ่งที่มีค่าดั่งแก้วตาดวงใจ ก็แบกแกะนั้นใส่บ่า ด้วยความชื่นชมยินดีและกลับบ้าน เป็นภาพที่เราคุ้นชินกันบ่อยๆ ที่เขาวาดภาพพระเยซู แล้วก็มีแกะอยู่บนบ่า จับสองเท้าหน้า สองเท้าหลัง พาดไว้ แล้วก็เดิน ในขณะที่รูปภาพนั้น ข้างล่างก็จะมีฝูงแกะอยู่ บางคนก็บอก …

“ฉันอยากจะเป็นแกะตัวนั้น”

อยากเป็นไหม?  อย่าเป็นเลยดีกว่า แสดงว่าเพิ่งหาเจอ ขอให้ฉันเป็นแกะตรงที่ทุ่งหญ้านั้นดีแล้ว เพราะว่าอยู่นานแล้ว รอดมานานแล้ว นึกภาพนี้ออกใช่ไหม? เป็นความรู้สึกของคนที่สูญเสียสิ่งที่รักไปมากๆ แล้วได้กลับคืนมา มันเป็นอย่างนั้น เมื่อเขาพบแล้ว ก็แบกแกะใส่บ่ามาด้วยความชื่นชมยินดีและกลับบ้าน

พระเยซูแบกใคร? แบกคนที่เหมือนตายไปแล้ว แต่ตอนนี้ได้กลับใจใหม่ ได้เป็นขึ้นมาใหม่ ได้เกิดใหม่ เข้ามาอยู่ในครอบครัวของพระเจ้า ดีใจมาก ชื่นชมยินดี จัดงานเลี้ยงเลย อะไรประมาณนั้น

จะเห็นว่าพระองค์แบกอย่างทนุถนอม และด้วยความรักสุดหัวใจ และตัวอื่นๆ ก็มองขึ้นมาด้วยความอิจฉา เป็นเรื่องธรรมดา เพราะตัวอื่นๆ ยังอยู่บนโลกใบนี้ แต่ถ้าตัวอื่นๆ จากไปอยู่ในสวรรค์ เขาจะไม่อิจฉาแล้ว จากนั้น เขาก็เรียกมิตรสหาย เพื่อนบ้านมาพร้อมกัน

“ร่วมยินดีกับเราเถิด เราได้พบแกะที่หายไปแล้วนั้น”

สำหรับพระเจ้าแล้ว คำว่า “หาย” ตรงนี้ คือตายนั่นแหละ วิญญาณเราตายไปเลย สำหรับพระเจ้าแล้ว การที่ได้พบลูก สามารถกลับคืนดี เป็นขึ้นมาใหม่ได้สักคนหนึ่ง ซึ่งเคยตายไปแล้ว กลับมาพบหน้ากันได้อีก เกิดใหม่ เป็นเรื่องที่น่ายินดีของพระเจ้ามากมาย เป็นเรื่องที่ทำให้มีการฉลอง เลี้ยง รื่นเริง ไม่ใช่เลี้ยงธรรมดา เลี้ยงใหญ่โตเลย ซึ่งทำนองเดียวกัน ในสวรรค์ จะมีเรื่องยินดีในคนบาป คนหนึ่ง ซึ่งกลับใจใหม่ มากกว่าคนชอบธรรม 99 คน ซึ่งไม่จำเป็น หรือไม่ต้องการการกลับใจใหม่ หมายถึงใคร ไม่ต้องการกลับใจใหม่ ก็คือแกะที่อยู่บนทุ่งหญ้า ไม่ต้องการกลับใจ เพราะเป็นลูกไปแล้ว อยู่กับพระเจ้าอยู่แล้ว

พระคัมภีร์บันทึกไว้หลายแห่งว่าทุกครั้งที่มีคนกลับใจใหม่ หมายถึงคนใช้สิทธิของเขา รับเชื่อในพระเยซู เชื่อว่าพระเยซูไถ่บาปให้กับเขา แล้วก็ได้บังเกิดใหม่ เข้ามาสู่อาณาจักรของพระเจ้า ในสวรรค์จะมีการจัดเลี้ยงฉลองใหญ่โต เพราะพระเจ้าดีใจมาก เพราะเปรียบเหมือนกับคนสูญเสียของมีค่ามากมายมหาศาล แล้วได้กลับคืน ตะโกนดีใจมากเลย  พระเยซูกำลังจะบอกเราอย่างนี้ว่าเรามีค่าขนาดไหน? ในสวรรค์เป็นอย่างไร?

ลูกา 15:8-9 “8 หรือสมมุติว่าหญิงคนหนึ่งมีเหรียญเงินสิบเหรียญ และหายไปเหรียญหนึ่ง หญิงนั้นจะไม่จุดตะเกียงกวาดเรือน และค้นหาอย่างถี่ถ้วนจนกว่าจะพบหรือ 9 และเมื่อพบแล้ว นางก็เรียกมิตรสหายและเพื่อนบ้านมาพร้อมหน้ากัน และกล่าวว่า ‘มาร่วมยินดีกับเราเถิด เราได้พบเหรียญที่หายไปนั้นแล้ว”

 

มาถึงคำอุปมานี้ เปรียบเทียบเหมือนเหรียญที่มีค่าหายไป ซึ่งก็เช่นเดียวกัน หมายถึงมนุษย์ ที่เป็นลูกของพระเจ้า ที่ได้หลงหายไป ซึ่งมีค่ามากมาย เพราะพระเจ้าทรงรักมาก มากขนาดไหน? เหรียญเดียวนะ คนๆ เดียว ที่ยังไม่เชื่อพระเจ้า ความรู้สึกของพระเจ้าเป็นอย่างไร? และหายไปเหรียญหนึ่ง พระเยซูบอกว่าหญิงคนนั้นจะไม่จุดตะเกียงกวาดเรือนเลยเหรอ เหรียญเดียวเองนะ ท่านเข้าใจคำว่าจุดตะเกียงไหม? สมัยก่อนไม่ใช่กดสวิทส์ไฟ จุดตะเกียง มันใช้เงินนะ ไม่ใช่ทุกบ้านมีตะเกียงหมด ทำอย่างไร? กวาดเรือนเลย สมมติ 2 ชั้น กวาดเรือนหมดเลยเพื่อหาเหรียญ ส่องไปทั่วเลย เรานึกถึงภาพมีไฟฉายอันหนึ่ง อยู่ไหน? เมื่อไรจะเจอ ขึ้นไปชั้นบน ต่ออีกนะ และค้นหาอย่างถี่ถ้วน แปลว่าถ้ามีใต้ถุน มีซอก มีมุม เจอหรือยัง ไม่เจอๆ ถามว่านานเท่าไร? จนกว่าจะพบ นี่ความรู้สึกของสวรรค์ต่อคนที่หลงหายไป ข่าวดีของพระเยซูมีค่าเท่าไร? เมื่อเจอแล้ว ก็จัดงานเลี้ยงใหญ่โต พระเยซูมาด้วยความตั้งใจ และค้นให้พบจริงๆ และยอมสละทุกอย่าง

ในนี้บอกว่าทั้งหมด 10 เหรียญ 9 เหรียญยังอยู่ ไม่สนใจเลย 9 เหรียญยังเก็บไว้ในเชฟ แกะมี 100 ตัว 99 ตัวไม่ยุ่ง อยู่ในทุ่งหญ้าแล้ว อยู่ในคอกเรียบร้อยแล้ว พระเยซูบอก …

“ไม่มีใครเอาแกะของเราออกไปจากคอกของเราได้ ไม่มีทาง พระองค์มีฤทธิ์อำนาจดูแลได้”

แต่มีตัวที่อยู่ข้างนอก พระองค์ละ 99 ตัว ละเหรียญ 9 เหรียญ แล้วก็วิ่งออกไปหาตลอดเวลา   จนกว่าจะพบ ไม่พบก็ต้องหาต่อ พระองค์สละ 99 ตัว หมายถึงแกะบนทุ่งหญ้าเท่านั้น ในพระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าประทานพระบุตร คือพระเยซู ในหนังสือฟิลิปปีบอกว่าพระเจ้ายอมรับการงานนี้ ในการมาช่วยมนุษย์ที่หลงหายไป ให้กลับคืนสู่พระเจ้า ด้วยการสละสภาพการเป็นพระเจ้าของพระองค์ ยอมลงมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อตามหาแกะที่หลงหาย  นี่หมายถึงอย่างนี้  ไม่ใช่เอาไฟฉายส่องธรรมดา ไม่ใช่จุดตะเกียงเฉยๆ ทำสุดความสามารถ ลดตัวลงมา ใต้ถุนก็จะมุดลงไป อยู่บนโลก ลงมาเกิดเป็นมนุษย์เลย เพื่อคนๆ เดียวจะรอด ก็จะมา

ความหมายตรงนี้ แปลว่าเพื่อคนๆ เดียว สมมติว่ามาแล้ว ไม่มีใครเชื่อข่าวดีเลย มีคนเดียวที่เชื่อ ก็จะมา ก็จะยอมตายที่ไม้กางเขน ยอมทำทุกอย่าง เพื่อคนๆ นั้นคนเดียวที่จะได้รับความรอด นี่ความหมายของอุปมานี้ เป็นเช่นนี้  เราจะได้เห็นว่าพระเจ้ารักเราขนาดไหน? และทำอะไรให้เราขนาดไหน? พระเยซูยอมสละสภาพพระเจ้า เป็นผู้ควบคุมจักรวาลทั้งหมด ควบคุมทั้งหมดในสวรรค์ ใหญ่ที่สุดในสวรรค์ รองจากพระเจ้า แล้วลงมาช่วยน้องๆ ที่หลงหายไป

แล้วสังเกตนะ ทุกครั้งที่ของหาย แล้วได้คืนกลับมา จะจบตรงที่มีการเลี้ยงรื่นเริง เฉลิมฉลองกันใหญ่โต ดีใจ เดี๋ยวเรื่องต่อไป ก็จะมีเรื่องการฉลองอีกเหมือนกัน เรื่องที่ 3 แสดงว่าความดีใจของพระเจ้า มีมากขนาดไหน? ทุกครั้งที่พระองค์ได้ตาม และได้พบลูก แม้กระทั่งคนเดียว ที่หลงหายไป แล้วได้กลับมาใหม่ ลูกา 15:10 ต่อไปนะ

ลูกา 15:10 “เราบอกท่านว่าในทำนองเดียวกัน จะมีความชื่นชมยินดี ท่ามกลางเหล่าทูตสวรรค์ของพระเจ้า ในคนบาปคนเดียว ซึ่งกลับใจใหม่”

 

แม้เพียงคนเดียว ที่ได้ตัดสินใจใช้สิทธิของเขา ที่พระเยซูทำให้กับเขาที่ไม้กางเขน ได้ตายที่ไม้กางเขน เพื่อรับบาปแทนเขา คนนั้นแหละ ได้ยอมทนทุกข์ทรมาน สละสภาพเป็นพระเจ้า ให้เขาย่ำยี ให้เขาทรมาน เพื่อคนๆ นั้นคนเดียว จะได้ใช้สิทธิของเขา เมื่อเขาใช้สิทธิของเขา จะมีความชื่นชมยินดีอย่างมากมาย ถึงขนาดมีการจัดเลี้ยงใหญ่โตบนสวรรค์เลย

ลองย้อนกลับไปคิดว่าที่มาของทั้งหมด มันเป็นอย่างไร? ที่ให้พระเจ้าต้องออกมาตามหาเราขนาดนั้น นึกภาพว่าสาเหตุมาจากไหน? พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนี้ว่าพระเจ้าทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายบนโลก ในมหาจักรวาล ทั้งหมดเลย ทั้งสวรรค์ ทั้งบนโลก โลกวิญญาณทั้งหมด รวมทั้งทูตสวรรค์ ทั้งโลกมนุษย์ ทั้งตัวมนุษย์เอง รวมถึงสรรพสิ่งทั้งหลาย ทั้งหมดเลย ทั้งที่มองเห็น และมองไม่เห็น พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น พระองค์ทรงเป็นผู้สร้าง ให้มีขึ้นทั้งนั้น แล้ววันหนึ่ง สิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง ก็เกิดกบฏกับพระองค์ คิดดูสิ ฟังดูความรักของพระองค์มีมากขนาดไหน?

กบฏพวกแรก คือที่พระองค์ทรงสร้าง เหมือนทหารเอก คนสนิทกัน อย่าลืมว่าเรารู้แล้วว่าพระเจ้าทรงเป็นความรัก ความรักอดทนนาน กระทำคุณให้ ไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง พระองค์เป็นความรัก พระเยซูก็เป็นความรัก แต่คนที่กบฏต่อพระองค์ คือทูตสวรรค์ชั้นหัวหน้า ที่มีชื่อว่าลูซีเฟอร์ คิดดูสิ เราให้ความสนิทสนมกับเขามากเลย เราไม่เคยคิดเลยว่าเขาเป็นทูตสวรรค์เราสร้างขึ้นมาเอง ให้เป็นผู้รับใช้ ให้เป็นทหารเอก ห้เกียรติเขา เป็นหัวหน้านำนมัสการที่ดีมาก ลูซีเฟอร์พอตกสวรรค์ ก็เปลี่ยนชื่อเป็นซาตาน แปลว่าความชั่วร้าย  ลูซีเฟอร์ แปลว่าดาวรุ่งอรุณ ยกย่องมาก เราให้เกียรติกับสิ่งที่เราสร้างมาก เราเป็นพระเจ้าแห่งความรัก ท่านเข้าใจไหมครับ? ยกย่อง ทุกอย่างดีหมด อยู่ดีๆ วันดีคืนดี มันโผล่ขึ้นมาเอง ในพระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น เราก็ไม่ต้องไปสนใจว่าทำไมมันถึงโผล่ ในพระคัมภีร์ไม่ได้อธิบายมากกว่านั้น พระคัมภีร์บอกแค่ว่าอยู่ดีๆ ลูซีเฟอร์ก็เกิดผยองตัวขึ้นมา เย่อหยิ่งเกินกว่าเหตุ เขายกย่องๆ มากๆ พระเจ้าก็ยกย่อง พระเยซูก็ยกย่อง อยากจะเป็นพระเยซูเอง อยากจะเป็นพระบุตรเอง ก็เลยกบฏ พอกบฏก็ถูกขับออกจากสวรรค์ ถามว่าพระเจ้าโมโหเหรอ พระเจ้าเป็นความรัก ถามว่าพระเจ้าโมโหได้ไหม? พระเจ้าเป็นความรัก มีโมโหไหม? อันนี้ผมคิดเอง ไม่มี พระเยซูบอกพระเจ้าเป็นความรัก พระเยซูยืนยันพระเจ้าเป็นความรัก แล้วคนที่มาเชื่อพระเจ้าแล้ว อย่างเราทั้งหลาย เราได้รับการบังเกิดใหม่แล้ว เรารู้ว่าพระเจ้าเป็นความรัก วิญญาณเราเมื่อเกิดใหม่ ก็เป็นความรัก พระเจ้าเป็นความรัก แต่ทำไมพระเจ้าต้องลงโทษ มันเป็นกฎ เป็นระเบียบของมหาจักรวาล เมื่อทำผิด ก็ต้องได้อย่างนี้ เมื่อจับไฟฟ้าแรงสูง ก็ถูกช๊อต ถ้าจับไฟฟ้าแรงสูงมีชนวนอยู่ มันก็ไม่โดน อะไรอย่างนี้ ไม่ใช่พระเจ้าทำ แต่กฎระเบียบ ทำ คำพิพากษาวางไว้ก่อนแล้ว

เพราะฉะนั้น เมื่อกบฏ ไม่เชื่อฟังต่อพระเจ้า ก็ถูกขับออกจากสวรรค์ ไปอยู่คนละฟากกัน แค่นั้นเอง ท่านคิดหัวใจของพระเยซูเสียใจนะ ลูซีเฟอร์ทำไมเป็น ไม่น่าเลยๆ แค่นั้นไม่พอ พระคัมภีร์บอก มันเป็นตัวกลาง เป็นสาเหตุล่อลวงน้องๆ ของพระเยซู ซึ่งเป็นครอบครัวเดียวกันมา ก็คือลูกของพระเจ้า  ก็คือมนุษย์ทั้งหลาย  ไปล่อลวง ให้กบฏตามมันด้วย แล้วปรากฏว่ามนุษย์ก็กบฏตามมัน เมื่อกบฏตามมัน ก็โดนเหมือนเดิม ไม่ใช่ เพราะพระเจ้าเกลียด ไม่ใช่ เพราะพระเจ้าโมโห พระเจ้าหัวใจแตกสลายเลย บอกลูกแล้วอย่าเอามือแยงลงไปที่ปลั๊กไฟ แยงแล้วมันจะช็อต ตายไป พระเจ้าดีใจเหรอ ฉันจะลงโทษแกให้ตายเหรอ ไม่ใช่ แต่พระเจ้าเสียใจ ท่านเห็นภาพไหม?

เราเรียนสิ่งเหล่านี้ เราจะเห็นภาพชัดเจนว่าพระเยซูมา บนโลกใบนี้ เพื่อเล่าถึงอุปมาต่างๆ เล่าถึงสวรรค์ว่ามันเป็นอย่างไร? ความรู้สึกของพระเจ้าที่มีต่อเรา เป็นอย่างไร? ระบบมันเป็นอย่างไร?  มันไม่ใช่เหมือนที่เราคิดแบบมนุษย์ เอามาเทียบเคียงกับมนุษย์ มันไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น ความรู้สึกของพระเจ้าเป็นอย่างไร? เสียใจ เจ็บแค้น ไม่ใช่โกรธใครนะ เจ็บแค้น คือมันเจ็บ บอกอย่าทำ ไม่น่าทำเลย ไม่ใช่โกรธ เกลียดมนุษย์เลย สงสารต่างหาก ห่วงใยต่างหาก โธ่ ลูกเรา ไม่น่าเลย ท่านเห็นภาพแล้วนะ ว่าสิ่งที่มันเกิดขึ้น เหตุมันมาจากตรงนี้

ดังนั้น การที่พระเยซูยอมลงมาเกิดเป็นมนุษย์ ก็เพราะความรักตรงนี้ พระเจ้าจึงไม่ได้ดูมนุษย์เป็นคนแย่มากมายอะไรต่างๆ เป็นคนบาปชั่วร้ายอะไรต่างๆ เขาถูกล่อให้หลง ได้รับโทษ ตามบทบัญญัติที่ผู้พิพากษามหาจักรวาลวางไว้ตั้งแต่ก่อนสร้างโลกแล้ว มันต้องเป็นอย่างนี้ ถ้าใครกบฎต่อพระเจ้า ไม่เชื่อฟังพระเจ้า  มันต้องได้รับโทษอย่างนี้ไง ซึ่งเราเรียกว่าคำสาปแช่ง ท่านเห็นภาพหรือยัง? ตอนนี้ผมสามารถระบายสีพระเจ้า ให้ท่านเห็นชัด ดูสิว่าพระเจ้าเราเป็นพระเจ้าที่ดีงาม น่ารัก นุ่มนวลมากๆ ไม่ใช่พระเจ้าโหดร้ายเลยแม้แต่นิดเดียว แต่ในขณะเดียวกัน พระองค์ทรงเป็นผู้พิพากษาของมหาจักรวาล ต้องดูแลความยุติธรรม มิฉะนั้น ดวงอาทิตย์วันดีคืนดี มันไม่ขึ้นทางทิศตะวันออก มันมาออกทางทิศตะวันตกอย่างนี้ มันจะยุ่งวุ่นวายกันไปหมดใช่ไหม? พระคัมภีร์พูดเสมอว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงยุติธรรม เป็นผู้พิพากษาของมหาจักรวาล ควบคุมทุกอย่างอยู่ เพราะว่าความรักของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์ ที่เป็นลูกของพระองค์ ที่ตายไปแล้ว ขณะที่ตายไป ก็ยังเป็นลูกของพระองค์ เพราะว่าพระองค์ทรงรักเขาดั่งแก้วตาดวงใจของพระองค์ ในพระคัมภีร์ก็บันทึกไว้อย่างนี้นะ เป็นแก้วตาของพระองค์เลย  รักมาก  แม้เขาหลงหายไป ตายจากพระเจ้าไป พระองค์ก็ไม่เคยลดละความรักเลย ไม่มีน้อยลงเลย ยังคงวางแผน ตามหา จุดตะเกียง คอยดู ไม่เจอก็หาอีกๆ หาจนกว่าจะพบ เป็นห่วงมาก

มาพูดถึงตรงนี้ ผมว่าพระเจ้าน่าจะมีหนังสือไปถึงบรรดาผู้คนที่ยังไม่เชื่อข่าวดีนี้ ยังไม่ได้มารับสิทธิของเขา เขียนสั้นๆ ว่า …

“กลับมาเถิด พระเจ้ารักเธอ และห่วงใยเธอมาก”

แค่นี้ พระเจ้าเป็นห่วงมาก กลับมาเถอะ พระเจ้าจะพูดอย่างนี้ตลอดเวลา พระเยซูบอกไปเคาะประตูของทุกคน เคาะ แล้วพูดว่า …

“เป็นห่วงมาก กลับมาเถอะ”

ถ้ายังไม่กลับ ก็ตามหาอยู่ ตามหาตลอด ให้เขากลับมา ซึ่งตรงนี้ พระคัมภีร์ใช้ตรงนี้ และมนุษย์ทุกคนก็ใช้คำนี้ แต่มนุษย์ทุกคนไม่สามารถจะเข้าใจคำนี้ ได้ลึกซึ้ง คือคำว่า “พระคุณ” ไม่รู้จะพูดคำอะไร? ไม่ใช่อภัยให้เราอย่างเดียว มันเป็นพระคุณ ไม่ถือโทษ โกรธอะไรเลย เพราะรู้สาเหตุมันมาจากอะไร?

พระคุณของพระเจ้าตรงนี้ ได้บันทึกไว้ในพระคัมภีร์เยอะมาก หลายแห่ง แบบยิ่งใหญ่และลึกซึ้ง ซึ่งเกินกว่าที่จะบรรยายเป็นถ้อยคำของมนุษย์ได้ เราจึงมักใช้คำว่า “Amazing grace” Amazing แปลว่าพระคุณที่อัศจรรย์ใจ เราก็ได้แค่พูดตรงนี้ แต่พระเยซูกำลังระบายสีให้เราเห็นว่าพระคุณตรงนี้ มันคืออะไร? ความรู้สึกของพระเจ้าที่มีต่อเรา มนุษย์ทุกคนมันเป็นเช่นไร? ในบุตรน้อยหลงหาย ที่เรากำลังเรียนอุปมานี้อยู่

หลายคนฟังอุปมา 2 เรื่องนี้แล้ว อาจกำลังคิดว่าทั้งสองเรื่องนี้ ฟังดูแล้ว เหมือนเราจะให้ความสำคัญกับผู้เชื่อใหม่ หรือผู้ที่เพิ่งกลับใจใหม่ คือคนที่หลงหายไป ตายไปแล้ว และเพิ่งได้รับเชื่อ ได้กลับคืนมา พระเยซูดีใจ บนสวรรค์จัดเลี้ยง งานใหญ่โตให้ ซึ่งเราทุกคนก็เคยได้รับตรงนี้เหมือนกัน ก็คือวันแรกที่เรารับเชื่อ ก็คือหลงหาย แล้วได้กลับมาใหม่ คือพระเจ้าได้ทำกับเรา แบบนี้เหมือนกัน แต่มาถึงวันนี้ พระเจ้าไม่ทำกับเราเหมือนเดิม ก็เพราะท่านเป็นผู้ที่ไม่ต้องการจะกลับใจแล้ว ท่านได้ไปแล้วไง บางคนเชื่อมาหลายสิบปีแล้ว อาจจะคิดว่าอุปมาเรื่องของได้คืน ที่ฟังมาทั้งหมดนี้ จะเกี่ยวกับเราตรงไหน? ที่เรียนมามันเกี่ยวกับคนใหม่ทั้งหมดเลย คนใหม่มา พระเจ้าดีใจ แล้วเราคนเก่า ไม่เห็นจะเกี่ยวอะไรกับเราเลย แล้วเราฟัง จะมีประโยชน์อะไร? หลายคนอาจจะคิดอย่างนี้ ก็อยากจะบอกว่าถ้าอยากรู้นะ รอติดตามตอนต่อไป เพราะวันนี้เล่าเรื่องที่สาม  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*******************************

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 27 มกราคม 2019 เรื่อง “อุปมาคำสอนของพระเยซู” ตอน 10 “ในสวรรค์ ทุกคนได้รับรางวัลเท่ากัน” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  27  มกราคม  2019

 เรื่อง “อุปมาคำสอนของพระเยซู”

ตอน 10 “ในสวรรค์ ทุกคนได้รับรางวัลเท่ากัน”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีครับ ถ้อยคำของพระเยซูประโยคนี้ ลึกซึ้งมาก ยิ่งเราไปใคร่ครวญข้อความนี้ มันลึกซึ้งเข้าไปทุกวันๆ พระเยซูตรัสไว้ว่าความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท แรกๆ ผมคิดว่าความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท หมายถึงว่าถ้าเรารู้เรื่องข่าวประเสริฐของพระเยซูว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ช่วยให้รอด จะทำให้เราได้ไปสวรรค์ ได้บังเกิดใหม่ อะไรต่างๆ เหล่านี้ มันก็ถูกนะ แต่พอเราเรียนรู้จากพระเจ้าไปเรื่อยๆ พระเจ้าจะสอนเราไปเรื่อยๆ พระองค์บอกว่าความจริงจะทำให้เราเป็นไท หรือความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท มันลึกซึ้งกว่านั้นอีก มันหมายถึงอย่างนั้นจริงๆ ไม่ได้หมายถึงเฉพาะว่าถ้าเรารู้ในวิญญาณว่าพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด  และรับเชื่อในการช่วยให้รอดของพระองค์ ท่านจะได้บังเกิดใหม่ เข้าไปสู่สวรรค์ ไม่ใช่แค่นั้น แต่มันหมายถึงทั้งหมดเลย ทั้งมหาจักรวาล ทุกเรื่องเลย ความจริงอะไรก็ตามที่ท่านรู้ มันทำให้ท่านเป็นไท เพราะฉะนั้น ตรงกันข้าม ก็คือความไม่จริง ก็ทำให้ท่านติดบ่วง เอาไปใช้ได้หมด ทุกเรื่องเลย เพราะพระองค์เปี่ยมด้วยสติปัญญา

ยกตัวอย่างเช่นความจริงเกี่ยวกับเรื่องสุขภาพของท่าน ร่างกายของท่าน พระเจ้าสร้างมาอย่างไร? จะต้องกินอะไร? จะต้องอยู่อย่างไร จึงจะมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ อย่างมีสุขภาพดีที่สุด เท่าที่จะทำได้ ถ้าใครรู้ความจริง … ความจริงจะทำให้คนนั้นเป็นไท เป็นอิสรภาพ ถ้าใครไม่รู้ความจริง ถูกหลอกลวง เขาก็จะไม่ได้รับประโยชน์เต็มที่ เขาก็จะทุกข์มากขึ้น จากการถูกหลอกนั้น มันใช้ได้ทุกเรื่องเลย ใครที่โลภ หาเงิน หาทอง หาทรัพย์สมบัติในโลกนี้ ด้วยวิถีที่ผิด ถูกหลอกไป ไม่รู้ความจริงเกี่ยวกับทรัพย์สมบัติ หรือการอยู่บนโลกใบนี้ การใช้เงิน ใช้ทอง ใช้ทรัพยากรบนโลกนี้ อย่างไร? ถ้ารู้ความจริงเกี่ยวกับถ้อยคำพระเจ้า เขาก็จะเป็นอิสระจากการขัดสน หมายถึงขัดสนแบบทนทุกข์ทรมาน เขาก็จะอยู่อย่างสบายบนโลกใบนี้ นี่ยกตัวอย่างให้ฟัง ถึงบอกว่าเรียนรู้จักเรื่องพระเจ้า มันไม่ใช่แค่ที่เราได้ยินเท่านั้นเอง แต่มันลึกเข้าไปทุกวันๆ

เรากลับมาต่อเรื่องอุปมาคำสอนของพระเยซู ตอนที่ 10 แต่ก่อนเริ่มของวันนี้ เราจะมาทบทวนที่ได้เรียนรู้ไปเมื่อครั้งที่แล้วสักนิดหนึ่ง เพราะว่ามันจะมีประเด็นที่เกี่ยวเนื่องกับเรื่องเนื้อหาในวันนี้ด้วย คล้ายๆ กัน

ครั้งที่แล้ว ตอนที่ 9 เราได้เรียนอุปมาคำสอนของพระเยซูในหนังสือลูกา บทที่ 7 ที่พระเยซูได้รับเชิญให้ไปทานอาหารที่บ้านของซีโมน … ซีโมนคนนี้  ไม่ใช่ซีโมนเปโตร  อัครสาวก   แต่เป็นฟาริสีคนหนึ่ง แล้วก็มีหญิงคนหนึ่ง ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในเมืองนั้นว่าเป็นหญิงชั่วมาก เป็นคนบาปมาก ผู้หญิงคนนี้เขาก็มาหาพระเยซู แล้วก็เอาน้ำมันหอม มาชโลมที่พระบาท ที่เท้าของพระองค์ แล้วก็ใช้ผมของเธอเช็ดที่พระบาทพระเยซู แล้วก็จูบที่พระบาทนั้น พอพวกฟาริสีที่นั่งรับประทานอาหารด้วยกัน เห็นพระเยซูยอมให้ผู้หญิงคนนี้ ซึ่งเป็นคนชั่วคนบาปหนามาเข้าใกล้ ก็ตกใจ คิดในใจว่า …

“ถ้าพระเยซูเป็นผู้เผยพระวจนะ หรือมาจากพระเจ้าจริง พระองค์ต้องรู้สิว่าคนนี้เป็นคนบาปชั่วมากเลย เข้าใกล้ไม่ได้” อะไรประมาณนี้

พวกฟาริสีก็ถือตัว เมื่อเห็นอย่างนั้น พระเยซูน่าจะทำเหมือนอย่างที่เราคิดกัน คือมันอยู่คนละชั้น เราฟาริสี พวกที่เคร่งในศาสนา เคร่งในบัญญัติของพระเจ้า จะไม่ไปยุ่งด้วยกับคนชั่วมากกว่าเรา พูดง่ายๆ คนเหมือนกัน ชั่วมากกว่า เพราะตัวเองมีความมั่นใจในการรักษาบทบัญญัติของพระเจ้า เป็นถึงขนาดฟาริสี คือเคร่งในบัญญัติ เคร่งในศาสนามาก จะไปอยู่ใกล้ชิดกับคนบาปหนา ผู้หญิงอย่างนี้ ไม่ได้ ต้องอยู่ห่างๆ ไว้ แบ่งชั้นวรรณะคนด้วยศีลธรรม พูดง่ายๆ

พระเยซูก็อ่านในใจออก พระองค์รู้ว่าพวกนี้คิดอะไรอยู่ แม้กระทั่งสาวกของพระองค์เอง เปโตรนั่งอยู่ตรงนั้น คิดอะไรอยู่ พระองค์เลยตรัสสอนคำอุปมาที่เราได้เรียนรู้กันไปครั้งที่แล้ว

พระองค์บอกว่าคนปล่อยเงินกู้ มีลูกหนี้ 2 ราย รายหนึ่งเป็นหนี้ 500 บาท อีกรายหนึ่งเป็นหนี้ 50 บาท แล้วเจ้าหนี้ ก็ยกหนี้ให้ทั้งหมดเลย ถามว่าในสองคนนี้ คนไหนรักเจ้าหนี้มากกว่ากัน ทุกคนก็ตอบกันหมดว่าคนที่มีหนี้มากกว่า แน่นอน คนที่มีหนี้มากกว่า ต้องรักเจ้าหนี้มากกว่า

“ปลดหนี้ฉันหมดเลย ฉันแบกรับหนี้ไม่ไหว 50 ล้าน ใช้ไม่หมดแน่ๆ”

อีกคนหนึ่งเป็นหนี้ 500 บาทเอง ถึงพระองค์ไม่ช่วย ฉันผ่อนไปในชีวิตนี้ ฉันก็มีสิทธิ์ที่จะผ่อนหมดเหมือนกัน เพราะฉะนั้น โอเค มายกหนี้ให้ก็ขอบคุณเฉยๆ ไม่ค่อยซึ้งเท่าไร? แต่อีกคนหนึ่ง ชีวิตนี้ทั้งชีวิต ไม่มีทางใช้หนี้เขาหมด ตลอดไปเลยแน่นอน 50 ล้านบาท ไม่มีทางเลย แต่พระเยซูบอกเจ้าหนี้คนนี้ยกให้ ซึ้งมาก เห็นชัดๆ พระเยซูยกอุปมาเรื่องนี้ เพื่ออธิบายว่าเพราะผู้หญิงคนนี้ รู้ตัวดีว่าตัวเองทำอะไรมาบ้าง เป็นหนี้เยอะเท่าไร? มีบาปหนาติดตัวมากเท่าไร? มากมายขนาดไหน? ตัวเองช่วยตัวเองไม่ได้แน่นอน จำเป็นต้องพึ่งใครสักคนหนึ่งมาช่วย เพราะตัวเองช่วยไม่ได้แล้ว เปรียบเทียบในเรื่องอุปมานี้ ก็คือเหมือนกับคนที่เป็นหนี้เขามากมายมหาศาล ไม่มีวันที่จะใช้ด้วยกำลังของตัวเองได้ ก็จะรักเจ้าหนี้ที่ยกหนี้ให้มาก เพราะว่าเหมือนชุบชีวิตใหม่ขึ้นมาเลย

นี่ยกตัวอย่างพวกฟาริสีหรือพวกยิว ที่รักษาบทบัญญัติ ที่ไม่ใช่ฟาริสี เป็นชาวบ้านธรรมดา แต่รักษาบทบัญญัติมาก ก็รู้สึกว่าตัวเองยังทำได้ ยังผ่อนได้  พอเขายกหนี้ให้ ไม่ใช่ไม่รับนะ รับ ขอบคุณครับ คนนี้มีบุญคุณกับฉัน เท่านั้นเอง จบ ในความเป็นจริงเป็นอย่างนั้น พวกนี้รู้หมด คิดอะไร ก็เลยอุปมานี้มาให้เห็นชัดๆ ว่ามันคืออะไร? เมื่อเทียบในปัจจุบัน เรื่องธรรมดาเลยเป็นอย่างนี้ มันไม่ใช่ผิดหรือถูก แต่มนุษย์คิดอย่างนี้แหละ

พระเยซูบอกว่า “เหตุฉะนั้น เราบอกท่านว่าบาปมากมายของนางได้รับการอภัยแล้ว ตามที่ได้เห็นตามความรักมากมายของนาง แต่ผู้ที่ได้รับการอภัยน้อย ก็รักน้อย” เป๊ะ

และพระเยซูก็ได้ตรัสกับหญิงชั่วคนนั้นว่า “ความเชื่อของเจ้า ได้ทำให้เจ้ารอด จงไปเป็นสุขเถิด”

“ความเชื่อของเจ้า ได้ทำให้เจ้ารอด” ซึ่งพวกเราในยุคปัจจุบันนี้  หรือตั้งแต่อดีตมาถึงปัจจุบัน ก็เหมือนกับที่พระเยซูได้ยกอุปมาอันนี้  ที่ได้เรียนรู้กันไปเมื่อครั้งที่แล้ว ก็คือมีอยู่ 2 พวก

พวกหนึ่ง คือพวกที่เป็นเหมือนกับผู้หญิงคนนี้ คือรู้ว่าตัวเองช่วยตัวเองไม่ได้ เป็นหนี้เขาเยอะเหลือเกิน เมื่อไรจะใช้บาป เวรกรรมหมดสักที ไม่ไหวแล้ว เดี๋ยวก็ทำผิด เดี๋ยวก็ทำพลาด เดี๋ยวก็ผิดศีลธรรม เดี๋ยวก็ควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ มันทำไมเลวอย่างนี้ นี่ในใจพูดนะ

“ทำไมฉันเป็นคนแย่แบบนี้ๆ”

พอเจอพระเยซูเข้าไป พระเยซูยกหนี้ให้หมด พระเยซูตายที่ไม้กางเขน เพื่อเราได้รับความรอด น้ำหูน้ำตาไหล พระองค์เป็นผู้ไถ่บาปฉันทั้งหมดทั้งสิ้นแล้ว ที่ฉันทำไม่ได้ นี่แหละพวกแรก ท่านก็ไปคิดดูแล้วกันว่าท่านเป็นพวกไหน?

พวกที่สอง คือฉันก็เป็นคนมีบาป มีกรรมเหมือนกัน เกิดมาก็ติดหนี้ ใช้บาปเวรกรรม แต่ว่าฉันเป็นคนเอาจริงเอาจัง ในเรื่องของชีวิต ในเรื่องของศาสนาที่ฉันนับถืออยู่ เคร่งครัดในจริยธรรม ศีลธรรม อะไรก็แล้วแต่ พยายามทำที่สุดเลย แล้วพยายามกัดฟันทนกับความบาปผิดอะไรที่ทำ ผิดแล้วผิดเล่า ก็พยายามสู้กับมัน สู้ด้วยตัวเอง พอมาเชื่อพระเยซู อาจจะเฉยๆ ด้วยซ้ำไป เพราะมีความรู้สึกว่าสู้ด้วยตัวเองได้  เผื่อจะสะสมบารมีไปอีกหลายชาติ จะได้หมดหนี้ได้

อย่างนี้ไง  พอเห็นไหม 2 พวก นี่คือตามภาษามนุษย์ พระองค์สอนอุปมาเรื่องนี้มา 2,000 ปีเลยนะ เอามาพูดในยุคปัจจุบัน ก็เป็นอย่างนี้อยู่เหมือนเดิม จะมีอยู่ 2 พวก แม้คนที่มาเชื่อพระเจ้าแล้ว ได้รับความรอดแล้ว ก็จะมี 2 พวกนี้นี่แหละ ก็ยังแบบนี้ ลองถามสิว่าที่นั่งอยู่ที่นี่ ท่านรับเชื่อในพระเจ้าแล้ว รอดแล้ว ได้รับการยกหนี้แล้ว ท่านอยู่ในประเภทไหน? อยู่ในประเภทแรก รักพระเยซูสุดใจ อย่างไรฉันก็ไม่สามารถช่วยตัวเองได้ หรือท่านกำลังคิดว่าท่านสมควรได้รับความรอดจากพระเจ้าแล้ว

“เพราะก่อนที่จะเชื่อพระเจ้า ฉันเป็นคนทำดีมาก สังคมยกย่องว่าฉันเป็นคนดี มีความยุติธรรม มีความเมตตาต่อผู้คน อะไรต่างๆ เหล่านั้น เป็นคนใจบุญ ฉันไม่เหมือนอีกคนหนึ่ง ก่อนมาเชื่อพระเจ้าขี้เหล้าเมายา หยำเป คดโกงคนอื่นมาเยอะแยะ ก่อนตาย ถึงมารับเชื่อ”

เราอยู่ในประเภทไหน? พระเยซูบอกเท่ากัน นี่คืออุปมาที่ทำให้เราได้เห็นชัดเจนว่ามันมีอย่างนี้ตลอดเวลา ซึ่งไม่ใช่ข่าวประเสริฐของพระเจ้า ไม่ใช่วิธีการคิดของพระเจ้า

และสำหรับคนกลุ่มที่สองที่บอกว่าตัวเองสมควรได้รับความรอด ส่วนใหญ่แล้วคนเหล่านี้ ชอบไปตัดสินคนอื่นว่าคนนี้ไม่สมควรได้รับความรอด จะไปสมควรได้อย่างไร? ทำตัวอย่างนี้ แต่พระเจ้าไม่ได้คิดอย่างนั้น คนก็คิดแบบคนกลุ่มที่ 2 คือพวกฟาริสี แม้ว่าจะเชื่อเรื่องพระเจ้า แล้วก็เป็น ไม่เชื่อก็เป็น คือมองคนอื่นตามสายตาของมนุษย์ว่าเขาเป็นอะไรตอนนี้ เขาขี้เหล้าเมายา เขาสมควรได้รับไหม? ไม่สมควร

คนที่เป็นคริสเตียนแล้ว ทุกวันนี้ยังมีแบบกลุ่มที่ 2 คือกลุ่มฟาริสีกับสาวก ชาวยิวในขณะนั้นที่ฟังอยู่ไหม? ที่พระเยซูยกตัวอย่าง มีไหม? เช่น …

ไม่เห็นรับใช้เลย ฉันรับใช้ทั้งวันทั้งคืน ตื่นขึ้นมา จิตใจฉันมีแต่รับใช้ อธิษฐานทั้งวันทั้งคืน เธอไม่เคยประกาศเลย เธอไม่เคยอธิษฐานเลย เธอไม่เคยอันโน้นอันนี้ คนนี้ลำบากแล้ว ต้องอธิษฐานให้เขามากขึ้น เขาเหมือนสะดุดแล้ว เพราะเขาอธิษฐานน้อย อดอาหารไม่เห็นอด ประกาศ ก็ไม่เห็นประกาศเลย เขามีงานประกาศ ก็ไม่เห็นไปร่วมกับเขาเลย เคยได้ยินไหม? ที่พูดไม่ได้ว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ดี แต่ว่าความคิดเหล่านี้มันไม่ถูกต้อง สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ดีหมด แต่ไม่ใช่เอาสิ่งเหล่านี้มา เพื่อเสริมบารมีให้ตัวเองว่าฉันสมควรได้รับความรัก ความเมตตาจากพระเจ้ามากกว่าอีกคนที่เขาไม่ได้ทำ

เข้าใจใช่ไหมครับว่ามันมีอย่างนี้จริงๆ บางคนก็บอกว่ามีความรู้สึกว่า …

“ดูสิ อย่างนี้ได้รับความรอดเหรอ”

“ทำไม”

“เป็นคริสเตียนมา 30 ปี ยังโกหกอยู่เลย ยังติดเหล้า ติดบุหรี่อีก เป็นคริสเตียนได้อย่างไร?”

แล้วก็ดูถูกเขา เหยียดเขาเป็นเหมือนคริสเตียนชั้น 2 หรือไม่อย่างนั้น ก็ขับออกจากโบสถ์ไปเลย อะไรต่างๆ เหล่านี้ ในขณะที่ขับออกจากโบสถ์ไป กรรมการที่ประชุม อาจจะเป็นผู้ใหญ่ในที่ประชุม อาจจะลงมติว่าขับคนนี้ออกไป  สูบบุหรี่เป็นประจำ ไม่ยอมทิ้งนิสัยนี้ 30 ปีแล้ว ให้เขาขับออกจากโบสถ์ไปเลย สมมตินะ มีหรือเปล่าไม่รู้ นี่ยกตัวอย่างให้เห็นชัดๆ คณะกรรมการอาจจะมี 6 คน … 6 คนในนั้น มี 3 คน อ้วนมาก หมอสั่งให้ลดอาหาร ประมาณ 40 ปี ลดไม่ได้สักที ผมอยากทราบว่าคนที่ติดบุหรี่

กับคนที่อ้วนมาก จะเป็นโรคอย่างนั้น ถวายเกียรติพระเจ้าหรือไม่ถวายเกียรติเท่ากันไหม? เท่ากัน แต่คนชอบไปมองคนสูบบุหรี่ แต่คนอ้วนไม่มองเขา ไม่ได้ว่าคนอ้วนนะ ยกตัวอย่างชัดๆ เลยว่ากินๆ ไม่ยอมหยุด จนอ้วนมาก ถวายเกียรติพระเจ้าไหม? ไม่ถวาย หมอสั่งห้ามหรือยัง? สั่ง สั่งมานานเท่าไรแล้ว? 40 ปี แต่คนก็ไม่เห็นจะขับเขาออกจากโบสถ์ นี่พยายามพูดให้แรงๆ เพื่อจะได้เห็นภาพความแตกต่างชัดเจนว่าบางคนบอกว่า ….

“โบสถ์นี้ไม่ดีเลย โกหกและโกงพี่น้อง มาบอกพี่น้องยืมเงินเขา 5,000 บาท จะคืน แล้วหายไปเลย ไม่ยอมมาคืนเขา” ว่าเขาใหญ่เลย

อีกคนหนึ่งเป็นนักธุรกิจใหญ่โต อาจเป็นมัคนายกของโบสถ์ก็ได้ แต่ไปโกงข้างนอกมา โดยที่ตัวเองก็รู้ เขาเรียกอะไร? บาปบริสุทธิ์ กินตามน้ำ  อย่างนี้ ถามว่าแล้วมันต่างกันตรงไหน? เห็นไหม? พระเจ้าไม่ได้บอกอย่างมนุษย์มอง มนุษย์เรามองข้างนอก เป็นอย่างนี้ๆ แต่พระเจ้ามองดูข้างในลึกๆ พูดง่ายๆ มันก็เลวพอๆ กัน และดีพอๆ กัน ถ้าเกิดใหม่ในพระเจ้า ก็ดีเท่าๆ กันหมดเลย เป็นลูกของพระเจ้า แต่ถ้าไม่เกิดใหม่ ก็เลวเท่ากันหมด เพราะในพระคัมภีร์บอกมนุษย์ทุกคนเป็นบาป

พระองค์พูดกับหญิงคนนี้ว่า … “ความเชื่อของเจ้า ทำให้เจ้าได้รับความรอด หลุดพ้นจากโทษของความบาป” ไม่ใช่พระองค์ด้วยซ้ำ

พระองค์น่าจะพูดว่า “เพราะฉันไถ่บาปเธอ เธอจึงได้รับความรอด”

ไม่ใช่ พระองค์บอกว่า “ความเชื่อของเธอ ทำให้เธอได้รับความรอด”

ไม่ใช่พระเยซูด้วยซ้ำ อย่างนี้น่าคิด เป็นส่วนหนึ่งที่น่าจะเอามาพูดให้เห็นชัดเจน ทุกวันนี้ คนมาเชื่อพระเจ้า และได้รับความรอดจากบาป ถามว่าใครช่วยเขาให้ได้รับความรอด ตอบว่าพระเยซู ถูกไหม? แต่ยังไม่ถูกเจ๋งเลย แต่ถ้าอยากให้ถูกเป๊ะ เหมือนพระเยซูเลย ต้องบอกว่าตัวเขาเอง พอเราบอกตัวเขาเองปุ๊บ ข่าวประเสริฐของพระเจ้า ครบบริบูรณ์เลย มันต่างกันอย่างไร?  พอเราบอกเราปุ๊บ แสดงว่าพระเยซูทำเสร็จไปแล้ว แต่ถ้าเราบอกพระเยซู แสดงว่าพระเยซูยังทำไม่เสร็จ เพิ่งมาทำตอนนี้

เข้าใจไหม? สมมติเราบอกว่าเรารอดตอนนี้ รอด เพราะพระเยซู มันก็ถูกแค่ครึ่งเดียว ทำให้ข่าวประเสริฐตุปัดตุเป๋ไป ถ้าผมบอกว่าผมรอด เพราะพระเยซูมาช่วยผม แสดงว่าพระเยซูเพิ่งมาช่วยผม ถูกหรือเปล่า? แต่พระคัมภีร์บอกว่าพระเยซูช่วยเราตั้งแต่เรายังไม่เกิด ตั้งแต่เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว บนไม้กางเขน พระเยซูเอาบาปของมนุษย์ทั้งหมดออกไปแล้ว ถูกไหม? ผมเพิ่งเกิดมา ผมเพิ่งรู้ข่าวประเสริฐ ผมยังไม่เชื่อข่าวประเสริฐนั้นเป็นเวลา 30, 40 ปี ไม่เชื่อๆ จนอายุ 30 กว่าปี ฟังข่าวประเสริฐอีกที ผมรับสิทธิของผม ผมรับเชื่อปุ๊บ ถามว่าผมรอด เพราะอะไร? เพราะตัวผมเอง (ไม่เชื่อมาตั้งนาน) ถ้าผมเกิดมา อุแว้ ผมเชื่อเลย ผมก็ได้รับความรอดมาตั้งนานแล้ว ผมได้รับความรอดตั้งแต่อยู่ใน DNA ของพ่อแม่ ตั้งนานแล้ว ผมได้รับความรอดตั้งแต่ DNA ของใครไม่รู้ บรรพบุรุษของผม ตั้งแต่เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ตั้งแต่ที่ไม้กางเขน ผมได้รับความรอดแล้ว เอเมน เหมือนกับผมไม่ได้รับความรอด ผมเป็นคนบาป ตั้งแต่สมัยอยู่ในอาดัม เมื่อหลายพันปีก่อนโน้น ตั้งแต่อาดัมล้มลงไปในความบาป ผมหล่นไปด้วยเลย  เพราะผมอยู่ใน DNA ของอาดัม เห็นภาพไหม?  นี่คือข่าวประเสริฐ นี่คือข่าวดี พระเยซูสอนลึกซึ้งมาก เวลาท่านไปอ่าน ค่อยๆ ทีละนิดทีละหน่อย ทุกคำในนั้นเลย สามารถเป็นสติปัญญาให้เราเห็นว่าพระองค์กำลังสอนเรื่องอะไร?

ผมบอกแล้วใช่ไหมว่าอุปมาของพระเยซูไม่ได้สอนเรื่องจริยธรรม ศีลธรรม แต่สอนเรื่องเกี่ยวกับแผ่นดินสวรรค์  เกี่ยวกับการบังเกิดใหม่ เข้าไปในสวรรค์ได้อย่างไร? แค่นี้เอง สวรรค์เขาคิดกันอย่างไร?  เขาทำกันอย่างไร?  ทำอย่างไรถึงไปอยู่ในสวรรค์ได้ คำอุปมาคำสอนของพระเยซูที่เราได้เรียนกันไป ทำให้เราได้เห็นถึงความรักของพระเจ้า ที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งเรียกว่าพระคุณ

อุปมาเหล่านี้ ทำให้เห็นถึงพระคุณของพระเจ้า ความรักของพระเจ้าที่มาถึงมนุษย์ทุกคนเท่ากันหมด เทลงมาเลย ไม่สามารถบอกได้ว่าเทให้คนนี้มากกว่าคนนี้ เทลงมาเท่ากันหมด เหมือนที่คนไทยชอบพูดว่าฝนตกทั่วฟ้า ผู้หญิงคนนี้ทำบาปมาก ดูไม่มีค่าในสายตามนุษย์ โดยเฉพาะตามสายตาของผู้คนรอบข้างที่คิดว่าตัวเองนั้นบริสุทธิ์กว่า ทำได้ดีกว่า หรือรับใช้พระเจ้า อยู่ใกล้ชิดพระเจ้ามากกว่า ซึ่งอาจจะมองเธอเป็นคนอีกชั้นหนึ่ง แต่จริงๆ แล้วพระคุณพระเจ้าเทลงมาเท่ากันหมด พระเยซูกำลังสอนสาวกและพวกเราทุกคนว่าอย่าคิดอย่างนี้ ถ้าคิดอย่างนี้มันผิดหมด มันไม่ใช่เลย  มันไม่ถูกต้องเลย ในความรักของพระเจ้า ให้ทุกคนได้รับความรอดเท่ากัน ไม่ใช่ด้วยการกระทำของตนเอง แต่รอดในพระคุณ ตรงนี้เป็นหัวใจ เป็นน้ำหนักสำคัญของเรื่องข่าวประเสริฐของพระเจ้า จำเป็นมากที่จะพูดเรื่องนี้ รอดโดยพระคุณ ไม่ใช่การกระทำ  ท่องเป็นพันเป็นล้าน เดี๋ยวมันก็กลับมาที่ตัวเรา ขอเติมสักนิดหนึ่งไม่ได้เหรอ มันทำให้ข่าวประเสริฐของพระเจ้าเจือจางลงไป ถ้าเต็มร้อย มันต้องรอดโดยพระคุณอย่างเดียว ไม่เกี่ยวกับการกระทำเลย ไม่ว่าจะกรณีไหนที่นำมาเกี่ยวกับความรอด ต้องคิดอย่างนี้

ไม่ว่าจะบาปเล็ก บาปน้อย บาปใหญ่ บาปหนา บาปบางเท่าไร พระเจ้าก็ถือว่าเป็นบาป ไม่มีเล็ก ไม่มีใหญ่ แล้วไม่มีการว่าเกิดใหม่ แล้วเป็นเล็ก เป็นน้อย เป็นใหญ่ เกิดใหม่ ก็คือเกิดใหม่ในวิญญาณเท่ากันหมด ทุกคนบาปเท่ากัน และให้รับความเมตตาจากพระเจ้าเท่ากัน ไม่มีใครเด่นกว่าใคร? นี่คือสิ่งที่พระเยซูพยายามจะสื่อให้พวกเราได้เห็นว่าสวรรค์ของพระเจ้า เป็นอย่างนี้ การบังเกิดใหม่ ก็บังเกิดเลย มีสิทธิเท่ากันหมดเลย ไม่ใช่ว่าบังเกิดใหม่แล้ว คนนี้ดีกว่าคนนี้ คนนี้เท่ห์กว่าคนนี้ คนนี้ใหญ่กว่าคนนี้ คนนี้นั่งเบื้องซ้าย คนนี้นั่งเบื้องขวา แต่พระคัมภีร์บอกทุกคนเกิดใหม่ แล้วก็ไปนั่งที่เบื้องขวาของพระเจ้าเท่ากันหมดเลย บางคนสงสัยมากว่า นั่งเท่ากันหมด แล้วเก้าอี้จะใหญ่ขนาดไหน? อันนี้เกินเหตุไปนิดหนึ่ง เราคิดไม่ออกหรอก แต่พระเจ้าบอกอย่างนั้น ก็คืออย่างนั้นแหละ

พระคัมภีร์บอกเราได้ถูกบังเกิดใหม่แล้ว เราได้ถูกแต่งตั้งให้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า ร่วมกับพระเยซูคริสต์

“เรา” คือผู้ที่เชื่อในข่าวประเสริฐ ได้รับความรอดแล้ว ตั้ง 2,000 กว่าปีมานี้ มีกี่คน? รวมทั้งเราที่นั่งอยู่ที่นี่ มีทั้งหมดรวมกี่คนไม่รู้ แล้วเก้าอี้มันจะใหญ่ขนาดไหน? ฝากคิดดู สัปดาห์หน้ามาตอบ และทุกคนมีสิทธิเท่ากันหมด  พระเจ้ารักเราเท่ากันหมด เพราะทุกคนเป็นลูกของพระเจ้า เอเมน ขอบคุณพระเจ้า ไม่ว่าท่านจะเป็นใคร? รับเชื่อเมื่อไร? ทำอะไรมาก่อน แม้ว่าเชื่อแล้ว จะทำอะไรๆ ก็ไม่สำคัญ ท่านเกิดเป็นลูก ก็เป็นลูกเลย รักในฐานะเป็นลูก

อุปมาคำสอนของพระเยซู เรื่องต่อไป ที่วันนี้เราจะมาคุยกัน ก็ยังอยู่ในประเด็นนี้ ความรักของพระเจ้า ที่ให้กับมนุษย์เท่าเทียมกัน ในเรื่องผู้หญิงที่เราได้เรียนกันไป มันเป็นเรื่องเท่าเทียมกัน ในการอภัยในความบาป ไม่ว่าบาปเล็ก บาปใหญ่ ก็อภัยเหมือนกันหมด เกิดใหม่ ก็เกิดใหม่เหมือนๆ กันหมด แล้วเรื่องที่เราจะเรียนกันต่อวันนี้ อยู่ในหนังสือมัทธิว บทที่ 20 เป็นเรื่องของการเท่าเทียมกันในรางวัลที่จะได้รับ จากพระเจ้าในสวรรค์ (สวรรค์ไม่ต้องรอข้างหน้านะ เราเรียนเลยกันมานานแล้ว สอนมาตั้งนานแล้วว่าพอเชื่อพระเจ้าปุ๊บ ท่านอยู่ในสวรรค์แล้ว ตอนนี้นั่งอยู่ในสวรรค์แล้ว)

มัทธิว 20:1-16 “1 ด้วยว่าอาณาจักรสวรรค์ เป็นเช่นเจ้าของสวน ซึ่งออกไปแต่เช้า เพื่อจ้างคนมาทำงานในสวนองุ่นของตน 2 เมื่อเขาตกลงว่าจะจ่ายค่าจ้างวันละหนึ่งเดนาริอัน แล้วก็ให้พวกเขา มาทำงานในสวนองุ่น 3 “ราวสามโมงเช้า เขาออกไปเห็นหลายคนยืนอยู่ว่างๆ ที่ตลาด 4 จึงชวนว่า ‘มาทำงานในสวนองุ่นของเราสิ เราจะให้ค่าจ้างตามสมควร’ 5 พวกเขาก็มา “ตอนเที่ยงวัน และบ่ายสามโมง เจ้าของสวนออกไปทำเช่นเดิมอีก 6 ราวห้าโมงเย็น เขาออกไปพบคนยืนอยู่ จึงถามว่า ‘ทำไมมายืนอยู่ว่างๆ ทั้งวันที่นี่?’ 7 “พวกนั้นตอบว่า ‘เพราะไม่มีใครจ้างเรา’ “เขาจึงพูดว่า ‘มาทำงานที่สวนของเราสิ’ 8 “พอพลบค่ำ เจ้าของสวนองุ่น ก็สั่งหัวหน้าคนงานว่า ‘ไปเรียกคนงานมารับค่าจ้าง ตั้งแต่คนหลังสุด ไปจนถึงคนแรกสุด’ 9 “ลูกจ้างที่มาเริ่มทำงานตอนประมาณห้าโมงเย็น รับเงินไปคนละหนึ่งเดนาริอัน 10 ฝ่ายคนที่มาก่อน นึกว่าตนจะได้มากกว่านั้น แต่ก็ได้คนละหนึ่งเดนาริอันเหมือนกัน 11 เมื่อพวกเขารับเงินแล้ว จึงบ่นต่อว่าเจ้าของสวน 12 ‘คนมาทีหลังทำงานแค่ชั่วโมงเดียว กลับได้เท่าๆ กับเรา ที่ตรากตรำกรำแดดมาทั้งวัน’ 13 “แต่เจ้าของสวนตอบคนหนึ่งในพวกนั้นว่า ‘เพื่อนเอ๋ย เราไม่ได้โกงนะ ก็ตกลงกันไว้ว่าหนึ่งเดนาริอันไม่ใช่หรือ? 14 รับค่าจ้างและไปเถิด เราพอใจจะให้คนมาทีหลังได้เท่าๆ กันกับท่าน 15 เงินของเรา เราไม่มีสิทธิ์ใช้ตามใจชอบหรือ? หรือว่าท่านอิจฉา เพราะเห็นเราใจกว้าง?’ 16 “ดังนั้น คนสุดท้ายจะเป็นคนต้น และคนต้นจะเป็นคนสุดท้าย

 

อุปมาของพระเยซูเรื่องนี้ ประโยคที่เราคุ้นๆ กันอยู่ ได้ยินบ่อยมาก ก็คือถ้อยคำตอนท้าย ที่บอกว่าคนสุดท้ายจะเป็นคนต้น และคนต้นจะเป็นคนสุดท้าย ใครอยากเป็นคนสุดท้าย ยกมือขึ้น ไม่มี ใครอยากเป็นคนต้น ยกมือขึ้น ดีแล้วที่ไม่ทำ คิดในใจก่อนตรงนี้แปลว่าอะไร? แต่ดีแล้วที่ไม่ยก ยกหรือไม่ยก ก็เหมือนกันหมด ผมว่าถ้าไม่ยก แสดงว่าท่านเข้าใจอุปมาของพระเยซู ที่เรียนมา 9 ตอน ตอนนี้เป็นตอนที่ 10 ถ้าเป็นสมัยก่อนอาจจะยก

ประโยคนี้มีคนพยายามที่จะตีความหมายกันเยอะมาก ถูกบ้าง ผิดบ้าง แต่พูดเสมอว่าการศึกษาพระคัมภีร์ เราไม่ควรหยิบยกประโยคใด ประโยคหนึ่งขึ้นมา หรือถ้อยคำใด ถ้อยคำหนึ่งขึ้นมา และก็ตีความเช่นนั้น โดยไม่ได้คำนึงถึงบริบท ในเนื้อหาของสิ่งที่บันทึกไว้ในนั้น การตีความแบบนั้น อันตรายมากๆ แล้วก็มีผิดแบบตั้งใจก็มี แล้วก็แบบไม่ตั้งใจ ก็มี

แบบในอุปมาคำสอนเรื่องนี้ เจ้าของสวนองุ่น ต้องการจ้างคนมาทำงานในสวนองุ่น แล้วก็ออกไปหาคนงานตั้งแต่เช้า ได้คนมากลุ่มหนึ่ง โดยตกลงกับคนที่มาตั้งแต่เช้าว่าจะให้ค่าจ้าง 1 เดนาริอัน ตอนเที่ยงก็ออกไปหาคนงานมาเพิ่มอีก ตอนบ่ายสามโมงก็ออกไปหาคนงานเพิ่มอีก  3 กลุ่ม จนกระทั่งห้าโมงเย็น ก็ยังออกไปหาคนงานชุดสุดท้าย ตอนนี้มี 4 กลุ่ม เข้ามาทำงานในสวนเพิ่มอีก ในนี้บอกว่าคนที่มาทีหลังสุด ทำงานแค่ 1 ชั่วโมง แสดงว่า 6 โมงเลิก

สมมติว่าเราเป็นคนหนึ่งในคนงานที่เริ่มมาทำงานตั้งแต่เช้า นับไปประมาณ 10 ชั่วโมง และระหว่างทำงานทั้งวัน เราก็อดไม่ได้ ตามภาษามนุษย์ เราก็เห็นคนงานมาใหม่ เข้ามาสมทบ เป็นระยะๆ แต่ในใจเราคิด มากี่โมง? จะได้เท่าเราไหมเนี้ย เราก็ต้องคิดเป็นธรรมดา มนุษย์คิดอย่างนี้ เพราะเรามองเห็นตอนเขาเข้ามา เราได้ 1 เดนาริอัน แล้วเขาจะได้เท่าไร? ซึ่งบางคนก็ทำงานแค่บางช่วง ก็ 6 ชั่วโมงบ้าง? 3 ชั่วโมงบ้าง? อะไรประมาณนี้ น้อยที่สุด ก็คือ 1 ชั่วโมง ตามหลักความยุติธรรมของมนุษย์ ค่าจ้างของแต่ละคน ก็ไม่ควรที่จะเท่ากัน อันนี้ถูกหรือไม่ถูก? ถูกนะ มนุษย์ที่อยู่ในความบาป ก็คิดอย่างนี้ทุกคน แน่นอน มันถูกต้องเลย ตามเหตุและผล ถูกหมด

อ่านให้ดีๆ แต่ในนี้ อุปมาในสวรรค์เขาคิดกันอย่างนี้ บรรทัดแรกขึ้นมา บอกในสวรรค์เขาเป็นอย่างนี้ ไม่เห็นความคิดแบบมนุษย์เลย  พระเยซูกำลังสอนเราในอันดับแรก คือสวรรค์กับมนุษย์ไม่เหมือนกัน อย่าเอามาเทียบว่ามนุษย์เป็นอย่างนี้ สวรรค์ก็ต้องเป็นอย่างนี้ ไม่ใช่ บางคนบอกว่าพระเจ้าตีสอน มนุษย์ยังตีสอน รักลูก เรายังเฆี่ยนเลย  เอาหวายฟาด พระเจ้ารักเรา ก็ต้องเฆี่ยนเรา พระเจ้าอยู่ในสวรรค์นะ อย่าไปคิดอย่างนั้น พระเจ้าไม่ปล่อยเราอย่างนี้หรอก ปล่อยอย่างไร? ไม่รู้ แต่ก่อนผมก็คิดอย่างนี้  ถ้ามนุษย์ทำอย่างนี้ พระเจ้าคงจะทำอย่างนี้ คิดไม่ได้แล้ว ไม่ใช่เลย ความรักพระเจ้าเกินล้นมากเลย พระเจ้าดูแลเรา พระคัมภีร์พูดอย่างไร? เราก็พูดอย่างนั้น พูดตามนั้น

แต่ปรากฏว่าพอเลิกงาน ถึงเวลาจ่ายค่าจ้างแล้ว เจ้าของสวนองุ่น ก็เรียกคนงานมารับค่าจ้างตั้งแต่คนหลังสุด ไปจนถึงคนแรกสุด มันน่าโมโหไหมล่ะ เรามาแต่เช้านะ พอรับค่าจ้าง ให้คนมาสุดท้ายได้ก่อน ลูกจ้างที่เริ่มทำงานตอน 5 โมงเย็น รับคนละ 1 เดนาริอัน ตามสัญญา ทำไปแค่ชั่วโมงเดียวเอง ได้รับก่อน มาทีหลังด้วย ฝ่ายคนที่มาก่อน นึกว่าตนเองจะได้รับมากกว่านั้น แต่ก็ได้คนละ 1 เดนาริอันเหมือนกัน ไม่ได้รับก่อน คงนึกว่าเราคงได้รับรางวัลพิเศษ เลยเอาไว้ทีหลัง ถูกไหม? ถึงเวลารับ ไม่พอใจมากเลย  อะไรอ่ะ ไม่ได้รับรางวัล ยังให้มารับทีหลังอีกต่างหาก แต่นี่ระบบสวรรค์ พระเยซูกำลังบอกว่านี่ระบบสวรรค์ใช่ไหม? ตอนเริ่มต้นบอกใช่ไหมว่านี่เป็นระบบสวรรค์ มันน่าเจ็บใช่ไหม? ถ้าเราเป็นคนงานที่มาเริ่มทำงานตั้งแต่เช้า แล้วทำงานมาเป็น 10 ชั่วโมง แต่เวลาจ่ายเงิน ไปเรียกคนที่ทำงานสุดท้าย มาเข้าแถวก่อนเลย รับเสร็จ ก็ไปกินเฮฮาก่อนเราอีก เราจะคิดอย่างไร? เราอาจจะคิดใจชื้น อย่างที่บอก เดี๋ยวเราจะมีรางวัลมากกว่านั้น แต่ปรากฏว่ารางวัลก็ไม่ได้ อะไรก็ไม่ได้ ได้เท่ากัน ซึ่งเสียเปรียบ เพราะว่าไม่ได้รางวัลจากสิ่งที่เราคาดหวัง ตามภาษามนุษย์ว่าเราทำอย่างนี้ เราควรจะได้ แล้วเรายอมไหม? เรายอมในความไม่ยุติธรรมไหม? ไม่มีทางยอมหรอก ตราบใดที่เรายังไม่สามารถนำเอาความรักของพระเจ้า ที่เราได้บังเกิดใหม่เข้ามาอยู่ในใจเรา เราไม่มีทางตัดสินอะไรบนโลกใบนี้ได้ถูกต้องเลย มันจะไปคนละทิศคนละทางหมด

พระเยซูกำลังจะสอนเราอย่างนี้แหละว่าอย่างไรเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ เรื่องเกี่ยวกับพระเจ้า มันเป็นอย่างนั้น อย่าเอาความคิดของมนุษย์ ประเพณี ธรรมเนียม ความยุติธรรม อะไรต่างๆ ของมนุษย์ใส่เข้าไปเด็ดขาด เมื่อบอกว่าจุดๆ หนึ่ง ขีดๆ หนึ่ง จะไม่หายไป มันก็เป็นอย่างนั้นแหละ ไม่ต้องพยายามไปช่วย เขียนไว้ว่ายาโคบเรารัก เอซาวเราชัง ตั้งแต่เขายังไม่เกิดเลย พอเกิดมา นิสัยข้างนอกยาโคบสู้เอซาวไม่ได้ ทั้งโกง ทั้งโกหก โกหกพ่อ ขี้เกียจอีกต่างหาก เอซาวเป็นพี่ชายคนโตที่ดีมาก เขาเป็นฝาแฝด คลานออกมาก่อน ทำงานได้ดีมากเลย แล้วในพระคัมภีร์พูดว่า …

“คุณมีสิทธิ์อะไรไปตัดสินว่าพระเจ้าเป็นคนไม่ยุติธรรม คุณรู้เหรอว่าพระเจ้าไม่ยุติธรรม”

เพราะว่านี่ บันทึกไว้อย่างนี้ ไม่รู้ คุณเป็นใคร? คุณจะไปตัดสินพระเจ้าเหรอ คุณเป็นดินนะ พระเจ้าเป็นคนปั้นคุณนะ คุณจะมาบอกคนปั้นว่าปั้นฉันอย่างนี้ อย่างนั้นทำไม? คนปั้นก็จะบอกมันเรื่องของฉัน

เจ้าของสวน คือพระเจ้า บอกว่า … “มันเรื่องของฉัน เงินของฉัน ฉันตกลงกับเธอว่าอย่างนี้ 1 เดนาริอันใช่ไหม?  ก็โอเคแล้วไง?”

เห็นไหม? เรากำลังมองให้ทะลุไปถึงเรื่องระบบสวรรค์และของโลกไม่เหมือนกัน พระเจ้าพูดอย่างไร? เราก็เชื่อตามนั้น แม้ว่าเราจะไม่เข้าใจ เราก็เชื่อ ที่หลายๆ ครั้งที่ผมแกล้งพูดให้ท่านฟัง พอบรรยายไป ผมบอกเข้าใจไหมๆๆ ไม่เข้าใจใช่ไหม? ไม่เป็นไร ไม่เข้าใจดีแล้ว ใช้ความเชื่อ เพราะนี่เป็นพระคัมภีร์เอามาอ่านให้ฟัง

พระเจ้าตรัสอย่างนี้ “เพื่อนเอ๋ย เราไม่ได้โกงนะ ก็ตกลงกันไว้ว่า 1 เดนาริอันมิใช่หรือ? รับค่าจ้างไปเถิด เราพอใจจะให้คนมาทีหลังได้เท่าๆ กันกับท่าน เงินของเรา เราไม่มีสิทธิ์ใช้ตามใจชอบของเราหรือ? หรือว่าท่านอิจฉา เพราะเห็นว่าเราใจกว้าง”

นี่คือสิ่งที่พระเยซูกำลังใช้คำอุปมานี้ สอนให้เราเห็นภาพรวมว่าพระเจ้าประทานให้กับมนุษย์ทุกคนเท่าเทียบกันหมด มนุษย์เองไปคิดแบบมนุษย์ว่าคนนี้ต้องใหญ่กว่าคนนั้น คนนั้นก็ต้องต่ำกว่าคนนั้นมั้ง ใครทำเยอะได้เยอะ ใครทำน้อยได้น้อย แต่พระเจ้าไม่ได้เห็นอย่างนี้เลย พระเจ้าเห็นว่าทุกคนเป็นคนบาปเท่ากัน เมื่อได้บังเกิดใหม่ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ก็จะเท่าๆ กันหมด พระเยซูตายที่ไม้กางเขนให้กับทุกคนเท่ากัน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 และให้ทุกคนเป็นขึ้นมาใหม่ บังเกิดใหม่เท่าๆ กันหมด เช่นเดียวกัน และได้ทำไปแล้วด้วย

พวกชาวยิวชอบคิดอย่างนี้ว่าใครทำดีมาก ใครเคร่งศาสนามาก ก็จะได้รับรางวัลในสวรรค์เยอะ ใครที่ทำน้อย ก็ได้รับน้อย ซึ่งมันไม่ถูก มันไม่ใช่ อย่าว่าแต่ชาวยิวเลย เราก็คิดแบบนั้น คนนี้ทำมากได้มาก คนนี้ทำน้อยได้น้อย ไม่ใช่ แม้กระทั่งเหล่าสาวกที่เดินกับพระเยซู เปโตร ยอห์น ยากอบ คนเหล่านี้ใกล้ชิดพระเยซูมาก สาวกเอก ตอนที่พระเยซูยังเดินอยู่บนโลกใบนี้ ก็คิดอย่างนี้ แอบกระซิบพระเยซู เล่นเส้น

“ลูกพี่ๆ ทำอย่างไร ในสวรรค์ ฉันจะได้เป็นข้างขวา ทำอย่างไร ฉันจะได้เป็นศิษย์เอก ทำอย่างไร ฉันจะได้เป็นโน่นเป็นนี่ เป็นใหญ่ในสวรรค์”

ใช่ไหม? พวกนี้เขาคิดอย่างนี้ เขาคิดแบบมนุษย์ ก็คือมันต้องมีสิ ขึ้นไปถึงปุ๊บ ในพระคัมภีร์บอกว่าทุกคนจะได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน คิดตามความคิดมนุษย์ นั่งอยู่เบื้องขวา มันก็ต้องมีคนนั่งอยู่ใกล้ที่สุด ขวานั้น ไปอยู่สุด นี่คิดแบบมนุษย์ ถูกหมดแหละ แต่พระคัมภีร์พลิกไปเลย คิดไม่ถึงหรอก ไม่ต้องคิด ในนี้บอกนั่งอยู่เบื้องขวา เท่ากันหมดเลย นั่งอย่างไร? ไม่รู้สิ จบ เชื่อเอา  เข้าใจไหม? ถ้าท่านพยายามไปคิด ท่านก็จะหลง พอหลง ตัวเนื้อหนังออกมา ก็จะลดความเข้มข้น ความจริงจังของข่าวดีของพระเจ้า ข่าวดีของพระเจ้า พระเจ้าว่าอย่างไร? ก็ว่าตามนั้น  อย่าใส่อะไรลงไปเพิ่ม ไม่ใช่ “ถ้า” ไม่ต้องมีถ้า พระเจ้าบอกเชื่อพระเยซู ได้รับความรอด จบ เชื่อ แต่ถ้าเผื่อเขาทำชั่วมาตลอดชีวิต จนกระทั่งวินาทีสุดท้าย อยู่ที่ห้อง ICU แล้วมารับเชื่อตอนนั้น รอดไหม?  เราต้องตอบว่ารอด ไม่ต้องมาบอกว่าถ้าเป็นอย่างนั้น  ถ้าเผื่ออย่างนี้ เธอได้รับความรอด ไม่มี รอดก็คือรอด รอดเมื่อไร? ไม่รู้ แล้วไม่มีคำว่ายุติธรรม หรือไม่ยุติธรรม เขาจะรอดวันสุดท้าย คนนี้สบายเลย ทำชั่วมาตลอดชีวิต มาถึงวินาทีสุดท้าย รับเชื่อพอดี ได้รับความรอด ได้รับรางวัลเหมือนกับเรา ในสวรรค์เลย  รับไม่ได้ คนรับไม่ได้นั้น ก็ไปสวรรค์แบบไฟลนก้น เพราะได้ไปสวรรค์เหมือนกัน

จบอุปมาในนี้ ถามว่าคนต้นไปเป็นคนปลาย ในที่สุด คนที่มาทำงานตั้งแต่เช้า ได้รับ 1 เดนาริอันหรือเปล่า? ได้รับ แสดงว่าทุกคนได้รับความรอดหมด

ลองมาคิดสิ ตอนแรกที่ผมให้ท่านคิด ท่านคิดว่ามันแปลว่าอะไร? หลายคนก็ไปตีความว่าคนต้นเป็นคนปลาย ก็คือชาวยิวที่มารู้จักพระเจ้าก่อนใครเพื่อนเลย พอถึงวันจริงๆ ชาวยิวไม่ได้รับความรอด แต่คนต่างชาติ ที่ไม่ใช่ยิว กลับเป็นคนที่ได้รับความรอด คนชอบคิดอย่างนี้ แต่มันไม่ใช่ สำนวนนี้ ในพระคัมภีร์ที่เราอ่านไปเมื่อตะกี้ คนต้นเป็นคนปลาย คนปลายเป็นคนต้น มันแปลว่าไม่มีเลย  ไม่มีทั้งต้นทั้งปลาย

ตรงนี้ เป็นสำนวนแปลว่าทุกคนเสมอกัน ไม่มีคนต้นและคนปลาย ก็คือทุกคนเท่ากัน ได้รับความรอดเหมือนกัน บางคนรอด อย่างมีสันติสุข สงบๆ แต่บางคนรอดด้วยไฟ รอดด้วยความอิจฉา หงุดหงิดๆ รอดไหม? รอด เป็นไปได้ไหม? หรือว่าคนรอดต้องสงบ ดีตลอดเลย รอดก็ต้องรักษาจิตให้สงบ รอด ฉันไม่โกรธใครๆ รอดๆ ไม่ใช่ครับ ข่าวประเสริฐไม่ใช่อย่างนั้น ข่าวประเสริฐไม่มีคำว่า “ถ้า” ไม่มีคำว่า “แต่” แต่ถ้าท่านโกรธคนอยู่ รอดไหม? รอด เพราะรอดด้วยพระคุณ นี่แหละ คุณไปทำให้ข่าวประเสริฐของพระเจ้าอ่อนลง เขาบอกสีขาว คุณบอกว่าเทา เกือบๆ ขาว ขาวขุ่นๆ ไม่มี ขาวก็คือขาว ดำก็คือดำ ในข่าวประเสริฐของพระเจ้า ไม่มีคำว่าสีเทา สีขาวอ่อน ขาวแก่ มีแต่ดำ หรือไม่ก็ขาว เวลาท่านบอกว่าเขาเชื่อพระเจ้าแล้ว วินาทีสุดท้าย เขายังโกรธมาก เขาไม่ได้รับความรอดหรอก คนเชื่อพระเจ้าไม่ได้รับความรอด ใครบอกท่าน? ปัญญาแบบมนุษย์ใช่ไหม? ถ้าทำอย่างนี้ แล้วจะไม่ได้รับความรอด แต่พระคัมภีร์บอกเขาเกิดใหม่ วิญญาณเขาเป็นลูกของพระเจ้า เขาอยู่ในพระเจ้าแล้ว ตั้งแต่เขารับเชื่อ เขาอยู่ในสวรรค์ เขายังไม่ออกจากร่างนี้เลย เขาอยู่ในสวรรค์แล้ว แค่นี้ท่านก็แปลไม่ออก ไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร?

นี่แหละโลกวิญญาณในข่าวประเสริฐของพระเจ้า ก็เป็นอย่างนี้ พระเยซูไม่ได้สอนเรื่องศีลธรรม แต่สอนว่าวิธีความคิดในทางพระเจ้า ในทางสวรรค์ มันต่างกับมนุษย์อย่างไร? เพื่อว่าเราจะได้ช่วยกัน รักษาความแข็งแรง แข็งแกร่ง ความจริงของถ้อยคำพระเจ้า ในเรื่องเกี่ยวกับข่าวประเสริฐ ไม่ละเลย คือถูกต้องหมด พระคัมภีร์พูดจะไม่ยอมให้ประเพณีของมนุษย์ ความคิดแบบมนุษย์มาทำให้ถ้อยคำพระเจ้าเฉไปเฉมา จุดๆ หนึ่ง หรือขีดๆ หนึ่งจะไม่ลบเลือนหายไป  มันต้องเป็นไปตามนั้น ไม่ว่าฉันจะเข้าใจหรือไม่ก็ตาม เอเมน

เวลาเราอ่านอุปมา หลายสิ่งหลายอย่างในอดีตเราไม่ได้อ่านเลย เราไม่สนใจเลย แต่ตอนนี้เราเห็นชัด มิน่าพระเยซูจึงบอกว่าความเชื่อจะทำให้เจ้ารอด ความเชื่อ ไม่ใช่จริยธรรมทำให้เจ้ารอด แต่ความเชื่อต่างหาก

มีคนเคยตั้งคำถามนี้ รู้จักฮิตเลอร์ไหม? เด็กสมัยนี้ รู้จักหรือเปล่าไม่รู้ ฮิตเลอร์ คือเผด็จการนาซี ที่ทำสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เป็นคนโหดร้ายมาก เพราะว่าสั่งฆ่าคนยิว เป็นล้านๆ คน ใช้รมแก๊ส คนยิวนะ ไม่ใช่คนธรรมดา มนุษย์คิดอีกแล้ว คนยิว คือประชากรของพระเจ้า พระเจ้ารักยิวมากนะ อดคิดไม่ได้  แต่พระเจ้ามองลงมา ในสวรรค์บอกว่ายิว ก็คือคนๆ หนึ่ง คนไทย ก็เป็นคน แต่แสดงบทในโลกใบนี้ ก็คือคนไทย เรียกว่าชาวต่างชาติ สำหรับยิว ก็คือคนๆ หนึ่งที่มีเชื้อสายเป็นอิสราเอล แค่นั่นเอง แต่เราแบ่งของเราเอง

คนนี้ฆ่าคนของพระเจ้าไปตั้งเยอะเลยนะ  เป็นล้านๆ คน แล้วคนอื่นๆ ฆ่าคนอื่น ไม่ชั่วมากเลยนะ นี่ชั่วมาก ก็ชั่วเท่ากันแหละ สมมติเจ็งกิสข่านฆ่าคนมากกว่าฮิตเลอร์ ไม่เห็นมีใครพูด เจ็งกิสข่านมาเชื่อพระเจ้าได้อย่างไร? ฆ่าคนไปตั้งเยอะ ไม่พูด แต่พอฮิตเลอร์ฆ่าชาวยิว นี่ฆ่าประชากรของพระเจ้าเลยหรือ? เพราะฉะนั้น พระเจ้าโกรธมาก ใส่เองอีก เห็นไหม? ในสายตาพระเจ้าเท่ากันหมดแหละ มนุษย์ก็คือมนุษย์

มีหลายคนตั้งคำถามว่าถ้าเผื่อวินาทีสุดท้ายของฮิตเลอร์ ซึ่งในประวัติศาสตร์เขาหลบหนีไปไหน?  บ้างก็ว่าไปโน่น บ้างก็ว่าไปอยู่ที่เกาะอะไรต่างๆ  ถ้าเผื่อนาทีสุดท้ายเขารับเชื่อล่ะ เขาจะไปสวรรค์ไหม? ท่านว่าไปไหม? ไป แต่ท่านอาจจะไปข้างนอก คุยกับคนอื่นเรื่อยๆ คุยกับนักศาสนาศาสตร์ ท่านก็เริ่มเขว แต่ตราบใดที่ท่านบอกว่าไป แล้วรักษาคำตอบนี้ไว้ในใจเสมออย่างนี้ ท่านกำลังรักษาถ้อยคำพระเจ้า ซึ่งพระเจ้าทรงดีใจมาก รักษาความจริงแห่งข่าวประเสริฐของพระเจ้า  ที่บอกว่าความจริงจะทำให้มนุษย์เป็นไท เอเมน ถ้าท่านแบ่งไปนิดหนึ่ง มันก็จะเขว กลัดกระดุมผิดเม็ดแรก เดี๋ยวก็ไปเรื่อยๆ ถ้าท่านลังเลเมื่อไร? มันก็ไปเรื่อย ยิ่งไปฟังตรรกะ เหตุผลของมนุษย์เยอะๆ ที่เป็นนักปราชญ์ต่างๆ เถียงว่าอย่างนี้ๆ ฮิตเลอร์ฆ่าคนไปตั้งเท่าไร? ฆ่าคนด้วยความทุกข์ทรมาน ฆ่าทั้งเด็ก ท่านจะบอกว่าไม่แน่ใจแล้ว ถูกไม่ถูก? ผมพูดตรงนี้ชัดๆ พระคัมภีร์กำลังสอนเรื่องโลกสวรรค์ ในสวรรค์เป็นอย่างไร? ท่านก็ฟังไปฝั่งเดียว เต็มที่เลย ท่านตัดสินใจเต็มที่เลย รอดแน่นอนฮิตเลอร์ แต่พอไปอยู่ฝั่งโลก เขาก็บอกมีเหรอ ฆ่าอย่างเลือดเย็น เด็กๆ เต็มไปหมด ในล้านคน เป็นเด็กๆ สามแสนคน แล้วเขาฆ่าอย่างโหด ไม่สนใจเลย ก่อนฆ่าก็เอาเสื้อผ้าออกมาหมดเลย แล้วให้เดินเข้าไปด้วยความทุกข์ทรมาน พอท่านฟังมากๆ ท่านก็เลยบอกว่าไม่น่าจะรอด นี่แหละ นี่ยกตัวอย่างให้เห็นชัดๆ เรื่องเดียว แต่ชีวิตมันเป็นแบบนี้แหละ ให้ท่านเลือกตลอดเลย ตลอดเวลา ไม่ใช่เรื่องนี้เรื่องเดียว

เพราะฉะนั้น สรุป ความหมายในถ้อยคำพระเจ้าตรงนี้ บอกว่าคนสุดท้ายจะเป็นคนต้น และคนต้นจะเป็นคนสุดท้าย ความหมายง่ายๆ ก็คือไม่มีใครเป็นคนต้นและไม่มีใครเป็นคนสุดท้าย ในสวรรค์ หรือบนสวรรค์ก็ตาม ทุกคนเป็นมีสิทธิ์เท่ากันหมดเลย ได้รับรางวัลเท่ากัน  เพราะพระองค์ให้รางวัลแบบเดียวกันกับเจ้าของสวนองุ่น พระองค์บอกในสวรรค์เป็นอย่างนี้ ที่จ่ายค่าจ้างเท่ากันหมด ทำมากี่ชั่วโมง ก็ได้เท่ากัน 1 เดนาริอันเหมือนกัน ฉันใดก็ฉันนั้น จะทำดีมากขนาดไหน? จะรักษาธรรมบัญญัติมากขนาดไหน? ในสวรรค์ รางวัลจากพระเจ้าที่เตรียมไว้ให้กับทุกคน ก็เท่ากัน หลายคนเริ่มแล้ว …

“เทศน์แบบนี้ คนก็ไม่ทำดีสิ คนก็ไม่พยายามไปประกาศ คนก็ไม่พยายามจะถวายทรัพย์ คนก็ไม่พยายามมาช่วยงานโบสถ์สิ ไม่พยายามจะอธิษฐานสิ”

ท่านคิดอย่างนี้ใช่ไหม? รู้น่า ไม่คิด ก็เริ่มจะคิด ก็ปล่อยให้ท่านคิดไป แล้วท่านจะเชื่อความคิดนั้น หรือจะเชื่อถ้อยคำพระเจ้าตรงนี้  ถ้าท่านเชื่อความคิดท่าน แสดงว่าท่านใส่คำว่า “ถ้า” ลงไปอีกแล้ว ในสวรรค์เขาบอกอย่างนี้ ท่านก็บอกอย่างนี้ ไม่รู้ๆ ท่านก็ตอบเขาไปสิ แต่ถ้าท่านใส่ข้อมูลที่ท่านคิด แปลว่าท่านใส่คำว่าถ้า ในพระคัมภีร์บอกว่าความรักของพระเจ้าเป็นพระคุณของพระเจ้าเทลงมาผ่านทางพระเยซูคริสต์ไม่มีเงื่อนไข แปลว่าไม่มีคำว่า “ถ้า” เอเมน เอาถ้าออกไปเลย ไม่รู้ ฉันส่ายหัวอย่างเดียว ถ้าคิดไม่ออกไม่มี พระคัมภีร์บอกไปอย่างนี้ จบแล้ว ไม่รู้ อันนี้ไม่ถูกต้องตามหลักการ ไม่รู้แหละ หลักการอะไร ฉันไม่รู้ แต่ว่าหลักการพระคัมภีร์ในสวรรค์เขาเป็นอย่างนี้แหละ ท่านไปคิดกับพระเจ้าเองแล้วกัน อย่ามาทะเลาะกับฉันเลย ไปทะเลาะกับพระเจ้าเอง

บนสวรรค์ รางวัลที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับพวกเรา เหมือนกันหมด สบายใจหลายคน เป็นอิสรภาพหลายคน นี่แหละคือความจริงทำให้เราเป็นไท ไม่ใช่มาเชื่อพระเจ้า อันนี้ก็ไม่ได้ อันนั้นก็ไม่ได้ ปล่อยให้พระเจ้านำไป พระเจ้าไม่ได้พูดอะไร เราก็ไม่ต้องเติมลงไป พระเจ้าบอกรอดแล้ว เราก็บอกรอดแล้ว ทำไมไม่ไปประกาศ เอ้อ! อยากประกาศ ก็ประกาศ ไม่อยากประกาศ ก็ไม่ต้องประกาศ อยู่เฉยๆ เธอก็ยังเป็นลูกพระเจ้าอยู่ เอเมนไหม?

ซึ่งการกระทำอย่างนี้ กำลังรักษาข่าวดีไว้ บนโลกใบนี้ไม่ให้จางลง ซึ่งพระเยซูสั่งอันเดียวเท่านั้น  คำว่าประกาศของพระเยซูให้รักษาไว้ นี่คือการประกาศ การประกาศไม่ใช่ท่านมีนิสัยดีๆ คือประกาศ ไม่ใช่ ไม่รู้จะบอกว่าอย่างไร?  ถ้าการทำดี คือการประกาศ ป่านนี้คนที่ไม่เชื่อพระเจ้าก็ประกาศเยอะแยะไปหมดเลย เพราะเขาทำดีกว่าเราตั้งเยอะ อย่างนี้ เขาก็กำลังประกาศสิ ที่ผมพูดนี้ ไม่ได้พูดส่งให้ท่านไปทำสิ่งที่ชั่วร้าย ไม่ใช่ ท่านเข้าใจไหม? ผมกำลังพูดให้ท่านเกี่ยวกับว่าข่าวดีของพระเจ้า คืออะไร? พระเยซูกำลังสอนอะไรในอุปมาทั้งหมดในเรื่องระบบสวรรค์ ท่านต้องรักษาความจริงนี้ไว้ เพื่อลูกหลานเหลนโหลนของมนุษย์ต่อไปภายภาคหน้าจะได้อยู่กับข่าวประเสริฐนี้  จะได้ยิน ได้ฟังข่าวประเสริฐ แบบเต็มๆ ร้อย เหมือนที่เปาโลประกาศ ตั้งแต่เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว พระเยซูให้เปาโลเป็นตัวแทน แล้วเปาโลก็จะหงุดหงิด มากเลยเรื่องเหล่านี้ เรื่องเดียว ก็คือมีใครมาทำข่าวประเสริฐของพระเยซูให้จางลง ไปอ่านดูได้เลย ทุกเล่มที่เปาโลเขียน เขียนอย่างนี้ทั้งหมด คือโมโห โกรธมาก สำหรับใครก็ตาม ที่มาทำให้ข่าวประเสริฐของพระเจ้าด้อยลงไป ไปเติมของตัวเองลงไป

นี่คือสิ่งที่เราควรจะรับรู้ไว้ และควรจะรู้ว่าพระเจ้าพอพระทัยอะไร? พอพระทัยเชื่อพระเจ้าเต็มร้อย อย่าให้มันอ่อนแอลง อย่าทำให้มันเป็นเทาๆ จริงก็ว่าจริง ไม่จริงก็ว่าไม่จริง ไม่มี การจริง แต่ว่า .. ไม่จริง แต่ว่า … เป็นถ้อยคำพระเจ้าจริงๆ ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร? ก็ไม่รู้สิ เพราะไม่ใช่หน้าที่ของฉัน หน้าที่ของฉันมีอย่างเดียว คือเชื่อ เห็นไหม? พระคัมภีร์บอกว่าผู้ชอบธรรมของพระเจ้าเขาจะดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ด้วยความเชื่อ จากความเชื่อ ไปถึงความเชื่อ และจบสุดท้ายด้วยความเชื่อ ไม่มีอะไรเลย ไม่ต้องใช้ความคิด และความเชื่อพระเจ้ามันง่ายนิดเดียว มันไม่มีอะไร คือไม่ใช่เป็นการกระทำของฉัน พระเจ้าเทมาให้ฉันฟรีๆ ทุกคนได้เท่ากันหมด นี่คือข่าวดีของพระเจ้า ที่เราต้องรักษาไว้ นี่คือการประกาศ ชีวิตเราคือการประกาศ คือตรงนี้ต่างหาก กับการที่มนุษย์พยายามไปคิดใส่เข้าไปใหญ่ ชีวิต คือการประกาศ เข้าร่วมกลุ่ม หาทางประกาศ  เขาไม่ฟัง พยายามยัดเหยียดให้เขาฟัง เขาไม่รับ พยายามยัดเหยียดให้เขารับ กาลเทศะก็ไม่มี ทุกอย่างไม่รู้ จะประกาศลูกเดียว ใช่หรือไม่?

ท่านลองไปคิดดู เทียบกับที่พระเยซูสอนในอุปมาต่างๆ มันใช่ไหม? มันเป็นระบบสวรรค์ไหม?  หรือเป็นระบบที่มนุษย์คิดขึ้นมา แล้วก็ใส่เข้าไปเอง ผมไม่ได้ตัดสิน ผมลองให้ท่านเอาไปคิดดู เพราะผมทำมาทั้งสองอย่างแล้ว และผมศึกษาถ้อยคำพระเจ้า ผมเชื่อว่าใช่แน่ เพราะถ้อยคำพระเจ้าบันทึกไว้อย่างนี้  ถ้าท่านสงสัย ท่านไปอ่านถ้อยคำพระเจ้าว่ามีอย่างอื่นอีกไหม? มีคำว่า “ถ้า” ไหม? มีไหมเปาโล เปโตรพยายามบอกให้มนุษย์ บอกให้ผู้เชื่อออกไปประกาศ มีไหม? ออกไปรับใช้ๆ มีไหม? ออกไปถวายทรัพย์ๆ มีไหม? หรือว่าเขาพูดแต่ข่าวประเสริฐของพระเจ้าเป็นอย่างนั้น ข่าวประเสริฐของพระเจ้าเป็นอย่างนี้ อย่าหนีออกไปจากข่าวประเสริฐ แล้วก็จะพูดย้ำอยู่เรื่องเดียว คือพระเยซูไถ่บาปเราแล้ว เราเป็นอิสรภาพแล้ว ไม่มีอะไรทำเราได้แล้ว

จบด้วยฮีบรู 10:10 บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ จุดๆ หนึ่ง และขีดๆ หนึ่งจะไม่ถูกลบเลือนหายไป มันจะต้องเป็นไปตามนี้ ไม่มีคำว่า “ถ้า” นี่ยกมาเพียงข้อเดียว แต่ในพระคัมภีร์จะเป็นอย่างนี้หมดเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจดหมายฝาก คือจดหมายแห่งการรักษาข่าวประเสริฐของพระเจ้าเขียนอย่างนี้ตลอดเวลา อยู่ในความหมายนี้ตลอดเวลา นี่ยกตัวอย่างให้อันเดียว เพื่อจะได้ง่ายขึ้น

ฮีบรู 10:10 “… เราทั้งหลายจึงได้รับการทรงชำระให้บริสุทธิ์  โดยการถวายพระกายของพระเยซูคริสต์ เป็นเครื่องบูชา  เพียงครั้งเดียวเป็นพอ

 

คิดตามนะ เห็นภาพไหม? เราทั้งหลาย ก็คือผู้ที่เชื่อ พระเยซูทำเสร็จตั้งนาน แต่คนที่จะช่วยให้ท่านรอด ก็คือคุณเอง คุณเองต้องตัดสินใจเชื่อ นั่นแหละ เราจึงรอด  “เราทั้งหลาย” ตัดสินใจ ช่วยตัวเอง ก็คือใช้ความเชื่อว่าพระเยซูเป็นใคร? เราทั้งหลายจึงได้รับการทรงชำระให้บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้าเลย เหมือนพระเยซูเลย สะอาดหมดจด ไม่มีบาปแม้แต่นิดเดียว ไม่มีอะไรเลย รักษาคำนี้ไว้ตลอด ไม่ว่าตาจะมองเห็นคนนี้จะโกหกอย่างไร? คนนี้นิสัยไม่ดีอย่างไร? ขี้โกงอย่างไร? หงุดหงิดเขาอย่างไร? ด่าว่าเขาอย่างไร? ไม่รู้ ในนี้ไม่มี ในนี้บอกว่าเราทั้งหลายที่เชื่อแล้ว จึงได้รับการชำระให้บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้าเลย โดยการถวายพระกายของพระเยซูคริสต์ เป็นเครื่องบูชา ครั้งเดียว เป็นพอแล้ว ไม่ต้องการการกระทำของเราเพิ่มไปอีก ไม่ต้อง เอเมน นี่จบอย่างนี้ นี่คือสวรรค์ ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

************************