คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 25 สิงหาคม 2019 เรื่อง “จงมีใจถ่อม” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  25  สิงหาคม  2019

เรื่อง “จงมีใจถ่อม”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            เมื่อเช้าตอนแต่งตัวมาโบสถ์มีใครดูกระจกบ้าง? ที่ไม่ได้ยก ไม่ได้ดูเหรอ แล้วมีใครดูกระจก แล้วพูดกับตัวเองว่า …

“ทำไมเราดูดีจัง?”

มีใครคิดอย่างนั้นไหม?  มีใครมองกระจก แล้วบอกตัวเองว่า …

“เรายังไม่แก่เลยนะเนี้ย?  ดูอ่อนกว่าอายุจริงตั้งเยอะ?”

เคยมีประสบการณ์แบบนี้ไหมครับ ที่เวลามองคนอื่น ที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับเรา แล้วรู้สึกว่า …

“เอ๊ะ! ทำไมคนนี้ดูแก่จัง ดูโทรมจัง เราว่าเราดูหนุ่ม ดูสาวกว่าเยอะเลยเนอะ”

เคยคิดอย่างนั้นไหม? ไม่ต้องตะโกนดังๆ ก็ได้ ลองฟังเรื่องนี้ดูว่าคุ้นๆ บ้างไหม?

ชัยมีนัดครั้งแรกกับหมอฟันคนใหม่ ระหว่างนั่งรอ ก็มองเห็นใบปริญญาที่ติดอยู่ เห็นชื่อกับนามสกุล ก็จำได้ว่าเป็นเพื่อนนักเรียนที่เคยเรียนมัธยมปลายห้องเดียวกัน ยังจำถึงภาพเพื่อนคนนี้ เป็นหนุ่มหล่อ เป็นนักกีฬาของโรงเรียนด้วย นึกดีใจว่าจะได้พบเพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอกันตั้ง 40 ปีแล้ว

ปรากฏว่าพอถึงคิวเข้าห้องทำฟัน หน้าของหมอฟันที่เห็น กลายเป็นชายสูงอายุ ศีรษะเกือบล้าน ผมที่เหลืออยู่น้อยนิด ก็กลายเป็นสีขาวโพลน ชัยทำฟันไป ก็คิดในใจว่า …

“ไม่น่าจะใช่เพื่อนเรา คงชื่อซ้ำกันมั้ง เพื่อนเราไม่น่าจะดูแก่กว่าเราเยอะขนาดนี้เลยนะ”

และหลังจากที่ทำฟันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ยังสงสัยในใจ ก็ถามหมอว่า …

“หมอ หมอเรียนม.6 ที่โรงเรียนบางแสนหรือเปล่าครับ?”

หมอก็ตอบว่า “ใช่ครับ”

ชัยก็ถามต่อว่า “หมอจบปีไหนครับ?”

หมอก็ตอบว่า “ปี 2508” หมอก็ตอบแบบงง ถามทำไม?

แล้วหมอก็ถามต่อว่า “ทำไมหรือครับ ถามทำไม?”

ชัยก็ตอบว่า “ถ้าอย่างนั้น ก็เรียนห้องเดียวกับผมสิ ผมจำชื่อหมอได้”

คราวนี้ หมอก็เริ่มค่อยๆ จ้องหน้าชัย แบบพยายามทบทวนความจำ แล้วหมอก็ถามออกมาว่า … “ขอประทานโทษเถอะครับ ผมยังไงก็ยังนึกไม่ออกจริงๆ อาจารย์สอนวิชาอะไรครับ?”

สรุปว่านิทานเรื่องนี้ ใครดูแก่กว่า หมอหรือชัย? หมอดูหัวล้าน ผมขาว รูปร่างเปลี่ยนไปเยอะจากนักกีฬา แต่หมอมาดูชัยใกล้ๆ

“สวัสดีครับ อาจารย์”

อาจารย์กับศิษย์ ท่านลองคิดดูใครแก่กว่า เพราะฉะนั้น ใครที่ดูกระจก เมื่อเช้านี้ ลองถามคนข้างๆ สิว่าดูเป็นอย่างไร? เป็นไปตามที่เราดูในกระจกเมื่อเช้าหรือเปล่า? เราอาจจะดูตัวเอง แล้วหลงตัวเองหรือเปล่า?  คนข้างๆ เขาจะเป็นคนบอกเราเองว่าเราเหมือนหมอหรือเหมือนชัย

หัวข้อในการบรรยายวันนี้ ก็จะมีชื่อว่า “จงมีใจถ่อม” ซึ่งตรงกันข้ามกับความเย่อหยิ่ง ความโอ้อวด ความอวดดีนั่นเอง การมีใจถ่อม ซึ่งมันยาก เรารู้ว่ามันยาก ยอมรับความจริงว่ามันยาก เราจะได้รู้ จะได้เตือนตัวเองอยู่เรื่อยๆ ว่าสิ่งนี้มันมีโอกาสผิดพลาดได้เสมอ ซึ่งอย่างที่เราได้เรียนรู้กันมาตลอด ย้ำกันไปย้ำกันมา ในซีรี่ย์ต่างๆ แล้วว่าหลังจากที่เรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว เชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์แล้ว วิญญาณข้างในของเรา ซึ่งเป็นตัวตนแท้ๆ ตัวตนจริงๆ ของเรา ใน 2 โครินธ์ 5:17 ได้ถูกสร้างขึ้นใหม่ ทุกอย่างเปลี่ยนไปหมดเรียบร้อยแล้ว ทั้งวิญญาณและใจของเรา พระเจ้าให้ใหม่เอี่ยมเลย หลังจากที่เราเชื่อพระเจ้าแล้ว เหมือนพระเยซูเลย เราเข้ามาอยู่ในอาณาจักรหนึ่ง เรียกว่าอาณาจักรในสวรรค์ของพระเยซูคริสต์แล้ว ธรรมชาติ หรือเนเจอร์ หรือสันดานของเรา ตัวจริงของเรามันเปลี่ยนไปแล้ว บริสุทธิ์สะอาดเรียบร้อยแล้ว เราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว ตัวตนใหม่ของเรา เป็นวิญญาณที่สะอาด เหมือนพระเจ้า บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า  เพราะฉะนั้น เราจึงสมควรที่จะประพฤติตน ให้เหมาะสมกับการเป็นลูกของพระเจ้า ทำอะไรก็ตามให้เป็นไปตามวิญญาณข้างในของเรา

ซึ่งในตัววิญญาณของเรา รักพระเจ้า เชื่อฟังพระเจ้า ผู้เป็นพ่อของเรา และพยายามฝึกฝนตัวเองให้ประพฤติตามที่พ่อพอใจ พ่อสบายใจ หรือที่พ่ออยากให้เราทำ ก็คือสิ่งที่เป็นน้ำพระทัยของพระเจ้า ไม่อยากจะทำอะไรก็ตามที่ไม่ใช่เนเจอร์ของเราอีกต่อไป ไม่ใช่ธรรมชาติของเราอีกต่อไป ซึ่งหนึ่งในจำนวนนั้น ที่บังเกิดใหม่ ที่เป็นเนเจอร์ หรือเป็นธรรมชาติ หรือเป็นสันดานที่เกิดใหม่ในวิญญาณของเรา คือการมีใจถ่อมเหมือนพระเจ้าเลย เราต้องทำบุคลิกลักษณะข้างนอก ในโลกใบนี้ ให้มันเหมือนกันกับ หรือสอดคล้องไปกับวิญญาณที่อยู่ข้างในเรา ใจที่อยู่ข้างใน ซึ่งเป็นใจถ่อม แค่นั้นเอง

เพราะฉะนั้น มันยากไง ที่จะประพฤติปฏิบัติตามให้เป็นเหมือนใจ ซึ่งตัวนี้ เดี๋ยวเราจะเรียนรู้ต่อไป เราร้องเพลงกันก่อน

พระเจ้า มันยาก  ที่จะให้ถ่อม                     เมื่อข้า  ดูดี  ในทุกทาง

ข้าชอบ  ดูตัวเอง ในกระจก                        เพราะข้านั้น  ดูดีขึ้น  ทุกวัน

ใครได้ พบข้า ต้องชื่นชม                            เพราะข้ามี  ราศี  สุดสง่า

พระเจ้า  มันยาก ที่จะให้ถ่อม                     แต่ข้า จะทำให้ ดีที่สุด

เอาไปร้องเป็นประจำเลยนะครับ เพราะในเนื้อ มันก็เป็นการยาก เพราะวิญญาณข้างในของเรา อันนี้เป็นความรักแล้ว เป็นวิญญาณที่เป็นเหมือนพระเจ้า พระเจ้ามีใจถ่อมมากๆ พระเจ้าไม่อวดดี วิญญาณใหม่ของเรา ใจใหม่ของเรา เป็นความรัก เหมือนพระเจ้าเลย ความรักอดทนนาน ไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่เย่อหยิ่งผยอง ไม่หยาบคาย ไม่เห็นแก่ตัว เป็นความถ่อมใจทั้งสิ้น

ฉะนั้น การดำเนินชีวิตในขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เราพยายามจะควบคุม ต้องฝึกฝน และดูแลความประพฤติของตัวเอง ให้อยู่ในเส้นทางที่เป็นเหมือนในวิญญาณของเรา บางคนได้มาก บางคนได้น้อย ก็แล้วแต่จะฝึกฝน แต่ละคนไม่เหมือนกัน และไม่มีหน้าที่ที่จะไปเปรียบเทียบกัน ที่ผมยกตัวอย่างอยู่เสมอๆ ก็คือเหมือนเรื่องทาร์ซาน ตัวตนแท้ๆ ของเขา เป็นลูกมนุษย์ แต่หลงพลัดไปอยู่กับลิงนาน ทำตัวเหมือนลิงมานาน พอกลับมาอยู่บ้านพ่อ ก็ต้องฝึกฝน ควบคุม ปฏิบัติตัวใหม่ ให้สมกับที่เป็นลูกมนุษย์ ไม่ใช่ลูกลิงอีกต่อไป ผมพยายามยกตัวอย่างนี้ เพราะตัวอย่างนี้ทำให้เราได้เห็นชัดมากเลย เขาต้องมาฝึกจริงๆ เพราะมันชิน

พวกเราเมื่อมาเป็นลูกของพระเจ้า ถึงแม้ตัวตนที่แท้จริงจะเป็นเหมือนพระเจ้าแล้ว สะอาดบริสุทธิ์แล้ว แต่ความประพฤติข้างนอก ก็ควรที่จะฝึกฝน พยายามที่จะควบคุมให้เป็นไปตามวิญญาณเราด้วย  พยายามควบคุมตัวเอง  ไม่ทำในสิ่งที่พระเจ้าเกลียด ก็คือสิ่งที่ตรงกันข้ามกับธรรมชาติ หรือเนเจอร์ชีวิตของพระเจ้า แล้วเราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว เป็นเหมือนพระเจ้าแล้ว สิ่งที่พระเจ้าเกลียด ก็คือสิ่งที่เราเกลียดด้วยนั่นเอง  สิ่งที่ไม่ตรงกับในวิญญาณของเรา เราต้องควบคุมการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ให้เป็นไปด้วยกันกับเนเจอร์ของพระเจ้า ซึ่งเป็นเนเจอร์ เป็นธรรมชาติของเราด้วยนั่นเอง

คนที่เชื่อพระเจ้าจริงๆ และได้บังเกิดใหม่แล้วจริงๆ วิญญาณได้เปลี่ยนใหม่แล้วจริงๆ ไม่มีใครอยากจะทำอะไรก็ตามที่มันตรงกันข้ามกับวิญญาณที่อยู่ข้างใน หรือใจใหม่ที่อยู่ข้างใน ที่พระเจ้าให้แล้ว ส่วนใหญ่ไม่ได้ตั้งใจทำหรอก ไม่อยากโกหก แต่มันเผลอ เผลอมาก เผลอน้อย บางคนบอกเขาตั้งใจโกหก ใช่เขาอาจจะดูเหมือนตั้งใจโกหก แต่พอเขาโกหกไปแล้ว เขาจะรู้สึกไม่น่าเลย คือหลงไปเชื่อหรือหลงไปกระทำตามกิเลสตัณหาของมารที่ส่งเข้ามา ผ่านทางเนื้อหนังร่างกายเรา ผ่านทางความคิด ให้เราเชื่อมัน ไม่อยากอิจฉาเลย แต่มันก็เผลอ ไม่อยากจะคิดร้าย แต่มันก็เผลอ เมื่อวานผมขับรถไปธุระแล้วผมเผลอไปฆ่าคนตาย จริง ขับไปอยู่ดีๆ รถบรรทุกใหญ่ เขาแซง เบียดมา เกือบชน ผมหันไป ทำท่าเอาปืนยิง ยิ้มๆ นะ เหมือนจะอภัย ยิ้ม

“ฉันอภัยให้”

ผมทำท่าเอาปืนยิง ผมกำลังฆ่าคนตายในสายพระเนตรพระเจ้านะ พระเยซูบอกแค่คิด ก็เท่ากับทำ ผมฆ่าคนตายนะเมื่อวานนี้ เขาเรียกว่าเผลอ เพราะฉะนั้น อาการเผลอ มันฝึกฝนได้ ครั้งต่อไป เวลาเขาเบียดเรา เราก็จะไม่ยิง เพราะเรานึกขึ้นได้ นึกขึ้นได้เมื่อไร? ทันทีทันใดที่ยิงไปแล้ว ทันทีทันใดที่หันไปยิ้ม อุตส่าห์ เขาเรียกอะไรนะ Holy Angry คือความโกรธ ความเกลียดแบบบริสุทธิ์ ทั้งที่หน้ายังยิ้มๆ อยู่ มันโมโห มันตกใจ หันมายิ้มๆ ยิงไปเลย ปืนยิงเขาไปแล้ว ความรู้สึกข้างใน อย่างนี้เรียกว่าเผลอ

ซึ่งในบรรดาสิ่งเหล่านี้ ตัวที่เผลอง่ายที่สุด ก็คือความเย่อหยิ่ง ความจองหอง ความอวดดี ก็คือความไม่ถ่อมใจ อันนี้เผลอง่ายที่สุด ซึ่งเรื่องอื่นๆ ที่เผลอทำไปแล้ว ยังรู้ตัวทีหลัง อย่างเช่นเมื่อตะกี้นี้ ผมได้ฆ่าคนตาย เมื่อวานนี้ ยังรู้ตัวทีหลัง จะเร็วหรือช้า ก็รู้ตัวได้ง่าย เช่นเผลอไปด่าเขา ไปโกรธใคร ก็ยังรู้ตัว ไปนั่งนึกเสียใจทีหลัง แล้วพยายามฝึกฝน ควบคุม พยายามสู้ใหม่ วันหลังเราจะอภัยได้มากขึ้นกว่านี้ เราจะไม่เผลอ หรือเผลอไปอิจฉาใคร เผลอไปทะเลาะกับใคร ก็รู้ตัว เผลอไปโลภ ไปโกง ไปเอาเปรียบ ใครก็รู้ตัวเหมือนกันว่าทำอะไรลงไป แต่ความเย่อหยิ่ง ความอวดดี ความไม่ถ่อมใจ เป็นสิ่งที่เราอาจเผลอ โดยไม่รู้ตัวเลย เมื่อวานที่ผมเผลอไปฆ่าคน รู้ตัวทันทีเลย ภายในเสี้ยววินาที แต่เมื่อวานนี้ ผมอาจจะทำอะไรเย่อหยิ่งเยอะแยะ ทั้งความคิด ทั้งคำพูด ไม่รู้  ทำไปเมื่อไร วันไหน? น่าสงสาร อะไรที่มันสังเกตยาก

ตัวอย่างเรื่องหมอฟันเมื่อตะกี้นี้ เขาก็คิดแบบบริสุทธิ์ใจว่าหมอดูหน้าแก่กว่า ก็คือเขาไม่รู้เลย เขาคิดแบบธรรมชาติ นึกว่าจะเจอหมอเหมือนที่เขาคิดในจินตนาการ  ตอน ม.6 เป็นอย่างไร? พอเจอหมอ หมอแก่ลงไปเยอะ ความคิดเขาสบายเลย แล้วอิสระแบบธรรมชาติ หลงตัวเอง แบบธรรมชาติเลย หมอดูแก่กว่าเยอะ ลืมชะโงกดูเงาตัวเองว่าเราเป็นเช่นไร? เขาไม่รู้เรื่องเลย อย่างนี้เป็นต้น เหมือนเนื้อเพลงที่เราร้องว่า “ข้าชอบดูตัวเองในกระจก เพราะข้านั้นดูดีขึ้นทุกวัน ใครได้พบข้า ต้องชื่นชม เพราะข้ามีราศีสุดสง่า” แม้กระทั่งเอาความจริง ในเรื่องโลกวิญญาณ เราได้รับสง่าราศีจากพระเจ้า เราเป็นลูกของพระเจ้า ก็อดไม่ได้ ที่จะมาใช้ในทางติดลบว่าเราเหนือกว่าคนอื่นเขา เรามีสง่าราศีมากกว่าคนอื่นเขา ท่านพอมองออกไหม?

พอบังเกิดใหม่แล้ว มาเป็นลูกพระเจ้าแล้ว มองกระจกทีไร รู้สึกตัวเองมีสง่าราศี มีราศีเหมือนพระเจ้า  ก็หลงตัวเอง เผลอคิดว่าดีกว่าคนอื่น หนักๆ เขาก็ติดเป็นนิสัย ยกตนข่มท่าน ซึ่งส่วนใหญ่ก็ไม่รู้ตัวว่าเรากำลังยกตนข่มท่าน พระเจ้าจึงมาเตือนเราอยู่บ่อยๆ สำหรับพระเจ้าแล้ว มนุษย์ทุกคนเท่าเทียบกันหมด ทุกคนเป็นคนบาป เหมือนกันหมด ไม่มีใครหนักกว่ากัน ไม่มีใครดีกว่ากัน พระเยซูยอมเสียสละ ยอมตาย เพื่อมนุษย์ทุกคนเท่ากันหมด ไม่มีใครดีกว่าใคร? ไม่ใช่ว่าเรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว เราจะดีกว่าคนอื่น ไม่ใช่ ไปดูถูกคนอื่น ไปดูหมิ่นคนอื่น โดยเฉพาะกับพี่น้องคริสเตียนที่เชื่อด้วยกันแล้ว ยิ่งไม่ได้ใหญ่ ไม่มีใครมีศักดิ์ศรีสูงกว่ากัน ไม่ใช่ว่าคนนี้มีความเชื่อเยอะ เชื่อนานแล้ว  เขาจะมีศักดิ์ศรีมากกว่าคนที่เชื่อเมื่อวาน เท่ากัน ไม่ใช่ว่าคนนี้ เขารับใช้พระเจ้าด้วย พระเจ้าจึงรักเขามากกว่า ไม่มี มันเท่ากันหมด ไม่ใช่ว่าคนนี้ อดอาหารอธิษฐานเยอะ อ่านพระคัมภีร์เยอะ เขาจะมีสง่าราศีมากกว่า ไม่มี เท่ากันหมด ทุกคนเป็นลูกพระเจ้าเท่ากันหมด ได้รับสิทธิการเป็นบุตรพระเจ้าเท่าเทียมกันหมด ไม่มีใครดีกว่ากัน

ถ้าตามหลักการในพระคัมภีร์แล้ว มี 100% กับมี 0% มารจะพยายามทำให้เรามัวๆ กลายเป็นว่าคนนี้เป็นคนชอบธรรมในพระเยซูคริสต์ ทำได้ 90% คนนี้ดีกว่าได้ 100% ไม่มี ถ้าทำความชอบธรรมได้ 90% คนนั้นก็ยังอยู่ในความพินาศอยู่ ถ้าเชื่อพระเยซูจริงๆ เชื่อว่าพระเยซูไถ่บาปที่ไม้กางเขน เขาจะเป็นผู้ชอบธรรม 100% ไม่มี 99.99 ไม่ว่าเขาจะเป็นโจร หรือทำผิดอะไรก็ตาม เขาเป็นผู้ชอบธรรมในพระคริสต์ 100%

สำหรับคนที่ไม่เชื่อพระเยซูเลย ไม่รับพระเยซูเป็นผู้ไถ่บาป ต่อให้เขาทำดีขนาดไหนก็ตาม ไม่มีวันที่จะได้ครบ 100% มันแยกกันอย่างนี้ ไม่ว่าจะเกิดใหม่วันนี้ ในพระเยซู หรือเกิดใหม่มาแล้ว 30 ปี ทั้งสองท่านนี้  เป็นผู้ชอบธรรม 100% เท่ากัน

เรากลับมาดูคำว่า “เย่อหยิ่ง, จองหอง, อวดดี” ในภาษาอังกฤษเขาใช้คำว่า “PRIDE” ซึ่งเรามักจะแปลเป็นภาษาไทยว่า “ความภาคภูมิใจ” ก็กลายเป็นสิ่งดี มันตรงกันข้ามกับความหมายจริง พอภาษาไทยบอกภาคภูมิใจปุ๊บ ในความรู้สึก มันก็ดีนะ แต่พระคัมภีร์ Pride หรือความรู้สึกภาคภูมิใจ ก็คือความรู้สึกเย่อหยิ่ง อวดดี ผยองนั่นเอง  ภาษาไทยเราต้องคิดให้ดีๆ น่าจะใช้คำว่า Pride นี้ แปลเป็นภาษาไทยว่าอวดดี ผยอง เย่อหยิ่ง มากกว่า โดยเฉพาะข้อความในพระคัมภีร์ เอาเรื่องเล็กๆ เช่น แม่ครัวทำอาหารอร่อย ดูว่า Pride ตัวนี้มันเกิดขึ้นอย่างไร? คือคำไทยที่บอกว่าภูมิใจ มันติดลบได้อย่างไร? เอาเรื่องเล็กๆ ก่อน เช่นแม่ครัวทำอาหารอร่อย มีแต่คนชม ก็รู้สึกภูมิใจในฝีมือทำอาหารของตัวเอง พอคนชมเยอะๆ ใครจะติ ใครจะวิจารณ์ จะแนะนำ ก็ไม่ยอมฟังแล้ว  นี่ก็คือความเย่อหยิ่ง ซึ่งแม่ครัวก็ไม่รู้ตัวว่าตัวเองกำลังเย่อหยิ่ง แต่นึกว่ากำลังภูมิใจ

หรืออย่างนักธุรกิจที่ทำงานเก่งๆ เป็นผู้บริหารระดับสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ใครที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่ตอนอายุน้อยๆ มีคนชื่นชมเยอะๆ เป็นอย่างไรครับ? ภูมิใจทุกคน ภูมิใจในความสำเร็จ พอภูมิใจแล้วเป็นอย่างไร? เหมือนกัน ใครจะว่า ใครจะเตือน ไม่ฟัง คราวนี้รั้น เราจะเห็นอยู่บ่อยๆ ในสังคม

สังเกตไหมคำว่า “ภูมิใจ” “เย่อหยิ่ง” หลายครั้งมันแยกกันไม่ออกจริงๆ โดยที่เราก็ไม่รู้ตัวด้วยว่าเรากำลังภูมิใจ แบบถ่อมใจ หรือภูมิใจ แบบเย่อหยิ่งจองหองกันแน่ ซึ่งส่วนใหญ่มันออกมาทางเย่อหยิ่งมากกว่า เดี๋ยวเรียนต่อไป ก็จะรู้ว่าทำไมเป็นอย่างนั้น

ทราบไหมครับว่าบาป เรื่องความเย่อหยิ่ง โผล่ขึ้นมาครั้งแรกจากไหน? ที่มาของความเย่อหยิ่งบนโลกใบนี้ ที่มาของความอวดดี ที่มาของความผยอง ที่มีอยู่ในตัวมนุษย์ทุกคน มาจากมาร มันเป็นบาปแรกเลย ที่เกิดขึ้น ที่มารหรือซาตาน สร้างขึ้นมาเอง พระเจ้าไม่ได้สร้างนะ พระคัมภีร์บอกอย่างนั้น มันสร้างขึ้นมาเป็นธรรมชาติในตัวของมันเอง คืออยู่ดีๆ มันเกิดขึ้นมาในตัวของมาร ที่มีชื่อว่าลูซีเฟอร์ หรือซาตาน แล้วมารก็เอาบาปชนิดนี้ ความเย่อหยิ่ง ความผยอง ความไม่ถ่อมใจ มาให้กับมนุษย์คู่แรก ก็คืออาดัมกับเอวา

พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่ามีทูตสวรรค์ตนหนึ่ง ชื่อลูซีเฟอร์ เป็นทูตสวรรค์ชั้นสูง มีรูปลักษณ์สง่างามมาก และเพราะลูซีเฟอร์ลำพองว่าตัวเองเก่ง มีอำนาจเหนือทูตสวรรค์อื่นๆ เพราะเป็น 1 ในหัวหน้าทูตสวรรค์ ที่เก่งมาก และสวยงามมาก รูปร่างดี อะไรทุกอย่าง มันก็รู้ตัวมันเอง มันก็เริ่มจากภูมิใจ พระเจ้าก็ชม พระเยซูก็ชม พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ชม ทูตสวรรค์ทุกตนก็ชม ลูซีเฟอร์ยอดเยี่ยม เก่ง ก็เกิดความหยิ่งยโส ภูมิใจเกินเหตุ เกิดความ Pride ก็คือความเย่อหยิ่งจองหอง และพยายามที่จะครอบครอง ควบคุมอำนาจความยิ่งใหญ่นั้น ด้วยตัวเอง แทนพระเจ้า คิดยกตนเองขึ้นมาเทียบพระบุตร คือเทียบพระเยซูเลย เป็นพระเจ้าเองเลย ก็เลยกบฎต่อพระเจ้า คือทำบาป เป็นปฏิปักษ์ต่อพระเจ้า แล้วก็ชักชวน 1 ใน 3 ของทูตสวรรค์ทั้งหมด ร่วมก่อการกบฏ เกิดสงครามในสวรรค์สถาน เพราะตอนเป็นทูตสวรรค์มันสง่างาม และเก่งมาก ใครๆ ก็ชื่นชม ใครๆ ก็ยกย่องสรรเสริญ พอได้รับความชื่นชมเยอะๆ ได้รับการสรรเสริญมากๆ ความลำพองใจ ความเย่อหยิ่งก็ตามมา ก็เลยเกิดความคิดที่อยากจะเป็นพระเจ้าเสียเอง ในที่สุด ลูซีเฟอร์กับเหล่าสมุนของมันที่คิดกบฏต่อพระเจ้า ก็ถูกปราบลง และถูกขับไล่ออกจากสวรรค์ลงมาอยู่ในแผ่นดินโลก เปลี่ยนสถานะจากทูตสวรรค์ มาเป็นมารซาตาน ซึ่งแปลว่าเจ้าแห่งความชั่วร้าย

เมื่อความเย่อหยิ่งเกิดขึ้น มันก็ทำบาป เป็นศัตรูกับพระเจ้าทันที และเจ้าซาตาน ก็ได้ถ่ายทอดเชื้อบาป ความเย่อหยิ่งนี้ มาสู่มนุษย์ โดยผ่านทางอาดัมกับเอวาที่สวนเอเดน  ตอนที่พระเจ้าสร้างมนุษย์คู่แรก และสั่งว่า …

“เจ้ามีอิสระที่จะกินผลจากต้นไม้ในสวนนี้ใดๆ ก็ได้ แต่ต้องไม่กินผลจากต้นแห่งความรู้ดี รู้ชั่ว”

สั่งไว้อย่างนั้นใช่ไหม? ทำได้ทั้งหมด ยกเว้นอันเดียว แล้วเกิดอะไรขึ้น  เจ้าซาตานที่มาในร่างของงู ก็มาล่อลวงเอวา ให้ขัดคำสั่งพระเจ้า และกินผลไม้นั้น ปฐมกาล 3:4-5 บันทึกไว้อย่างนี้

ปฐมกาล 3:4-5 “4 งูบอกหญิงนั้นว่า “เจ้าจะไม่ตายแน่นอน 5 เพราะพระเจ้าทรงทราบว่าเมื่อใดที่เจ้ากินผลไม้นั้น เจ้าจะตาสว่างขึ้น และจะเป็นเหมือนพระเจ้า คือรู้ผิดชอบชั่วดี”

 

เพราะความเย่อหยิ่งที่ต้องการจะเทียมพระเจ้า มนุษย์คู่แรกจึงกบฏต่อพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้าด้วย ไม่เชื่อฟังพระเจ้า แต่ไปเชื่อมารแทน ซึ่งพระคัมภีร์เรียกว่าตกลงไปในการล่อลวงให้ทำบาป คือเป็นศัตรูกันกับพระเจ้า แล้วเชื้อบาปนี้ ก็ถูกส่งต่อมายังมนุษย์ทุกคน มนุษย์ทุกคนก็เลยมีเชื้อบาปแห่งความเย่อหยิ่งจองหองติดตัวมาตลอด จะเห็นว่าบาป หรือการเป็นศัตรูกับพระเจ้า กับความเย่อหยิ่ง มันแยกกันไม่ออกว่าอะไรเกิดก่อน มันใกล้กันมากเลย ไม่ใช่ เพราะมีบาป จึงเย่อหยิ่งนะ แต่เพราะเย่อหยิ่งก่อน แล้วจึงตกลงไปในความบาปทันที เย่อหยิ่ง ก็คือบาปอันหนึ่ง ก็คือไม่ตรงตามธรรมชาติของพระเจ้า แล้วก็ทำอะไรบางอย่างที่กบฏต่อพระเจ้า ตรงกันข้ามกับพระเจ้า และมีเชื้อแห่งความเย่อหยิ่ง ความไม่ถ่อมใจอยู่แล้ว มนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป

คนบาป ก็คือคนที่กบฏต่อพระเจ้า คือคนที่เป็นศัตรูต่อพระเจ้า อยู่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า  คนที่มีเนเจอร์ที่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า ก็จะมีความเย่อหยิ่งจองหอง คือไม่มีความถ่อมใจ ใครที่กำลังคิดว่าตัวเองไม่มีความเย่อหยิ่งเลย ฟังให้ดีๆ นะ ยิ่งเป็นความคิดที่น่ากลัวมากๆ เพราะเราไม่รู้เลยว่าศัตรูอยู่ในตัวเรา มันก็คือหยิ่งเกินกว่าจะยอมรับว่าตัวเองหยิ่ง

“ฉันถ่อมใจแล้ว” แต่อาจจะไม่ถ่อมใจ ไม่มีคนใดทำได้ 100% หมายถึงการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้นะ

เบนจามิน แฟรงคลิน  บุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ของประเทศอเมริกา นักปราชญ์และ นักวิทยาศาสตร์ ผู้คิดประดิษฐ์สายล่อฟ้า เขาเป็นคริสเตียนและเป็นผู้เชื่อที่เข้มแข็งมาก ได้กล่าวไว้ว่า …

“คงไม่มีเชื้อธรรมชาติอะไรอีกแล้วในตัวเรา ที่จะเข้มแข็งได้มากเท่ากับเชื้อแห่งความเย่อหยิ่ง  เราไม่มีทางที่จะต่อสู้กับมันได้เลย  ล้มมันลง  กำจัดมันออกไป  ไม่ว่าเราจะจัดการกับมันอย่างไรก็ตาม  เจ้าเชื้อนี้ก็จะคงอยู่กับเรา  ถ้าเราจะพูดว่าเราสามารถเอาชนะความเย่อหยิ่งได้แล้ว นั่นคงเป็นเพราะว่าเรากำลังภาคภูมิใจ หยิ่งผยอง อวดดีในความถ่อมใจของเรานั่นเอง”

น่ากลัวๆ การไม่เชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ไม่ยอมรับว่าพระเจ้าส่งพระบุตร พระเยซูคริสต์มา เพื่อช่วยทุกคนให้รอด และรวมทั้งฉันด้วย นั่นคือความเย่อหยิ่ง ความอวดดีของมนุษย์ที่อยากจะทำด้วยตัวเอง อยากจะชดใช้บาปด้วยตัวเอง คิดว่าตัวเองทำได้ ไม่เชื่อพระเจ้า พระผู้สร้าง และในทางกลับกัน ผู้ที่มาเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูได้ ก็ต้องเป็นผู้ที่มีใจถ่อมเท่านั้น ไม่มีทางอื่นเลย ถ้าเราไม่ถ่อมใจว่าเราเป็นคนบาป ถ้าเราไม่ยอมลดตัวเราเองลงว่าเราเป็นคนบาป เราเป็นคนไม่ดี เราต้องการความช่วยเหลือ เราก็จะไม่มีโอกาสได้พบพระเจ้าจริงๆ เลย ไม่ได้โอกาสที่จะได้รับความรอดในพระเยซูเลย แม้แต่นิดเดียว ไม่ว่าคุณจะคิดว่าคุณไปเรียนพระคัมภีร์ขนาดไหน มีสติปัญญาขนาดไหน ตรงนี้เป็นจุดเริ่มต้น

ถามว่าเราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว เราควรจะมีความภูมิใจไหม ไม่ควร เพราะบอกแล้วไงว่าความภูมิใจ มันออกมาทางลบ มันออกมาทางความเสียหาย ไม่ใช่ศัพท์ที่ดี แต่เนื่องจากภาษาไทยมันเป็นอย่างนี้ เราควรจะมีความชื่นชมยินดี ในฐานะเป็นลูกพระเจ้า มันควรจะเป็นอย่างนี้มากกว่า เราควรจะมีความชื่นชมยินดี ในการมีสง่าราศีของพระเจ้า อยู่ในวิญญาณของเรา ชื่นชมยินดีกับภูมิใจมันต่างกันเยอะนะ แต่เรามักจะพูดกันเสมอ

เราควรภูมิใจว่าเราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว ก็เลยเละเลย ซึ่งแน่นอน เราควรจะมีความชื่นชมยินดี มีความปิติยินดี ในธรรมชาติใหม่ที่เราได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ เป็นลูกพระเจ้า เราเป็นผู้ชอบธรรมที่สะอาดบริสุทธิ์ เหมือนพระเจ้า ซึ่งเราก็ควรจะใช้ความปิติยินดี ความชื่นชมยินดีนี้ในลักษณะ การขอบพระคุณ กตัญญูต่อพระเจ้า ที่ทำให้เรา และฝึกฝนตัวเองไป พยายามปฏิบัติตัวเองให้สอดคล้องกับวิญญาณที่เกิดใหม่ ที่เป็นลูกพระเจ้าแล้ว เหมือนที่ยกตัวอย่าง เรื่องทาร์ซานนั่นแหละ ตอนนี้เราเข้ามาอยู่ในบ้านพระเจ้าแล้ว ปฏิบัติตัวใหม่ให้มันสมเกียรติ สมศักดิ์ศรีลูกของพระเจ้า

ไม่ใช่ภูมิใจ ซึ่งมันจะกลายเป็นอย่างอื่นไปในที่สุด  ตัวตน แท้จริงของเรา เป็นความรัก เป็นเหมือนพระเจ้า ปิติยินดีในพระคริสต์ เราระลึกถึงพระคุณพระเจ้าอยู่เสมอ ก็คือถ่อมใจอยู่เสมอ ในพระคัมภีร์บอกให้ขอบคุณพระเจ้าอยู่เสมอๆ การขอบคุณพระเจ้า คือการถ่อมใจ ถ้าเราขอบคุณพระเจ้าอยู่บ่อยๆ โอกาสที่เราจะเย่อหยิ่งจองหองแทบจะไม่มีเลย ทุกเรื่องมาขอบคุณพระเจ้า ใครจะมาชม ขอบคุณพระเจ้า เอเมน โอกาสที่เราจะถูกล่อลวง ไม่ใช่ไม่มี มันมีน้อยลง ถ้าเราไม่ทำอย่างนี้ มันก็เกิดตาละปัด แม้ว่าเราจะเชื่อพระเจ้าแล้ว เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว มีวิญญาณแห่งความรักอยู่ในตัวเรา แทนที่เราจะปิติยินดี ชื่นชมยินดีในฐานะเป็นลูกพระเจ้า เรากลับไปภูมิใจ (แบบไม่ดีนะ) ตะกี้นี้บอกแล้ว เรากลับไปหยิ่งผยอง โอ้อวดว่าเราเป็นใคร ฉันเป็นใครรู้ไหม? เพราะฉะนั้น ฉันเลยยกตนเองขึ้นข่มท่านทั้งหลาย ใครก็ตาม มนุษย์หน้าไหนก็ตาม ไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อ เราก็เริ่มยกตนเองสูงกว่าเขา เริ่มรังเกียจคนอื่น ที่ยังไม่ได้เชื่อพระเจ้า พระคัมภีร์ไม่ได้บอกว่าให้เราหนีออกจากโลกไป อย่าไปคบคนที่ไม่รู้จักพระเจ้า ไม่ใช่ พระคัมภีร์บอกว่าให้เราออกไปประกาศหาเขา ด้วยความรัก และถ้าเผื่อเชื่อพระเจ้าด้วยกันแล้ว ยังทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องเยอะๆ บางครั้งเราตัด เราไม่คบ เพราะเดี๋ยวทำให้สถาบันผู้ที่เชื่อพระเจ้าเข้าใจผิด อย่างนี้มันคนละเรื่องกับความเย่อหยิ่ง เข้าใจใช่ไหมครับ หลายคนก็ทำอย่างนี้ โดยไม่รู้ตัวว่าเรากำลังเย่อหยิ่งในความเป็นคริสเตียนของเรา

“ฉันเป็นคริสเตียน ฉันเป็นใคร ฉันสะอาดหมดจดแล้ว ฉัน …”

คิดเหมือนฟาริสีเลย คนอื่นเขาตีอกชกหัว

“ลูกแย่ ลูกไม่เชื่อพระเจ้า ทำไมลูกบาปอย่างนี้”

“ฉันเป็นคริสเตียนแล้ว ฉันเชื่อพระเจ้า พระเจ้าล้างชำระฉันสะอาดหมดจด บริสุทธิ์ คนละรุ่นกัน คนละชั้นกัน”

ไม่ใช่เลย ไม่ใช่ท่าทีที่ถูกต้อง ท่าทีที่ถูกต้อง ก็คือ …

“ขอบคุณพระเจ้า ลูกก็เป็นอย่างนั้นแหละ สกปรกเหมือนเขาเลย แต่พระองค์เมตตาชำระบาปให้ลูก ลูกไม่มีอะไรดีเลย แล้วลูกขอพระองค์ทรงช่วยเขา เหมือนที่พระองค์ทรงช่วยลูก ลูกเห็นใจ ลูกเข้าใจเขา เหมือนที่ครั้งหนึ่ง มีคนอื่นเขาเห็นใจลูก”

อย่างนี้ เป็นต้น นี่คือท่าทีที่ถูกต้องของความถ่อมใจ ของความไม่เย่อหยิ่ง เมื่อความภาคภูมิใจแบบมนุษย์ ก็คือความเย่อหยิ่งผยองเกิดขึ้น มันก็ล้นออกมา จนกลายเป็นความอาฆาต ความทุกข์ใจ เมื่อไรก็ตาม ที่เรารู้สึกว่าเราภูมิใจอะไรเป็นพิเศษ เกินกว่าปกติ ให้ระวังตัวให้ดีๆ เพราะว่าเรื่องเล็กๆ ก็จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้ เพราะเราไม่รู้ตัวว่าเรากำลังอยู่ในอันตราย ให้รู้ตัวเลยว่าเมื่อไร เรารู้สึกภูมิใจในตัวเอง เตรียมตัวไว้เลย ไม่ว่าจะเรื่องเล็ก เรื่องใหญ่ พูดในใจไว้เลยว่า …

“อันตรายๆ”

มีใครมาชมเราเยอะๆ อันตรายๆ  วันนี้รู้สึกเชิดหน้าชูตา ถวายเกียรติแด่พระเจ้า อันตรายๆ ส่วนใหญ่เราจะพูดอย่างนี้เสมอ เราจะแก้ตัว เรากำลังถวายเกียรติแด่พระเจ้า  แต่มันอดไม่ได้หรอก รับมันไว้จริงๆ ลองไปคิดดูให้ดีๆ เดี๋ยวมันก็โผล่ออกมาอีก ต้องไม่รับมันเลย มันอันตรายที่จะก้าวจากความภูมิใจ และกลายเป็นความเย่อหยิ่งจองหอง ซึ่งเป็นบาปที่ซ่อนเร้นอยู่ในใจของมนุษย์ทุกคน และจะทำลายผู้นั้น ที่ไม่ระวังตน ถ้าเราปล่อยมันไปเรื่อยๆ ก็จะกลายเป็นแผลลึกขึ้น เป็นเชื้อมากขึ้น

พระคัมภีร์บอกว่าเมื่อไรที่ความเย่อหยิ่งจองหอง คือความไม่ถ่อมใจเกิดขึ้น ความพินาศก็จะตามมาทันที ยกตัวอย่างให้ 2 ข้อ สุภาษิต บทที่ 11 และบทที่ 16

สุภาษิต 11:2 “เมื่อความเย่อหยิ่งมา ความอัปยศก็ตามมา ส่วนปัญญามากับความถ่อมสุภาพ”

สุภาษิต 16:18 “ความยโสโอหัง จะทำให้พินาศ และใจหยิ่งผยอง จะทำให้ล้มคว่ำ”

 

จะเห็นว่าคนส่วนใหญ่ ไม่ว่ายุคสมัยไหนก็ตาม ปกติแล้ว พอพระเจ้าอวยพรอะไรให้ หรือประทานความสามารถพิเศษอะไรให้ แรกๆ …

“ขอบคุณพระเจ้าทุกสิ่งที่ลูกมี ที่ลูกเป็น ล้วนมาจากพระองค์ทั้งสิ้น พระองค์เป็นผู้ประทานทุกอย่าง ขอถวายเกียรติแด่พระองค์ผู้เดียว”

อันนี้แทบจะท่องได้ แต่พอนานๆ เข้า ความสำเร็จมันเยอะขึ้นเรื่อยๆ ความคิด มันก็เริ่มเปลี่ยนไปแล้ว ที่เคยบอกว่าทุกอย่างมาจากพระเจ้า คราวนี้เริ่มคิดว่าตัวเองเก่ง เริ่มเปรียบเทียบกับผู้อื่น ลองเช็ดดูว่าเราเป็นอย่างนั้นไหม? เริ่มโอ้อวด เย่อหยิ่ง กลายเป็น …

“ตัวเราแน่ ตัวเราดีกว่าคนอื่น”

ความหยิ่งผยองมักเกิดขึ้น เมื่อเรารู้สึกว่าเราเหนือกว่าคนอื่น จากที่เคยเชื่อฟังคำสอน คำแนะนำของผู้อื่น ก็กลายเป็นไม่ฟังใครๆ ทั้งสิ้น สอนไม่ได้ เตือนไม่ได้ แนะนำไม่ได้  ตรงนี้อันตรายที่สุด

ในพระคัมภีร์มีตัวอย่างเยอะ และตัวอย่างที่น่าประพฤติ ปฏิบัติตาม คืออาจารย์เปาโลเก่งขนาดไหน? อาจารย์เปาโลถ้าทางโลก เป็นนักปราชญ์ ทางพระคัมภีร์เป็นนักปราชญ์เหมือนกัน เรียนสูง รู้เรื่องเยอะในพระคัมภีร์ รู้เรื่องพระเจ้าเยอะ รู้เรื่องประวัติศาสตร์เยอะ อาจารย์เปาโลบอกทั้งหมดนั้น เป็นหยากเยื่อ ไร้สาระ แล้วอาจารย์เปาโลเป็นอัครทูต เขียนไปหาผู้เชื่อใหม่ที่กรุงโรม ตอนหนึ่งในนั้นบอกว่า …

“ข้าพเจ้าวิงวอนพระเจ้า ข้าพเจ้าเตรียมตัวที่จะไปหาท่านอยู่เสมอๆ คิดถึงท่านอยู่หลายครั้งเลย เตรียมตัว แพ็คของแล้ว จะไปหาท่าน วันหนึ่งไปพบท่านแน่นอน”

ไปพบ เพื่อ …  “เพื่อข้าพเจ้าจะได้มีส่วนในการแบ่งปันคำพยานชีวิตดีๆ ส่งเสริมให้ท่านดีขึ้น และท่านก็จะได้เป็นพยานเล่าเหตุการณ์ ประสบการณ์ให้กับข้าพเจ้า หนุนใจข้าพเจ้าโตขึ้นเช่นเดียวกัน เท่ากันเลย”

อาจารย์เปาโลไม่ได้ตั้งใจจะไปสอนอย่างเดียว แต่ตั้งใจจะไปแบ่งปัน อาจารย์เปาโลใช้คำว่า “แบ่งปัน” เราจะไปแบ่งปันสิ่งที่เราได้ของประทานจากพระเจ้ามา เรื่องอะไรที่พระเจ้าประทานให้ ให้เห็นถึงความจริง เป็นการเล่าเรื่องพระคริสต์ให้ฟัง ในประสบการณ์ของฉัน และฉันก็จะได้รับอย่างนี้เหมือนกันจากพวกคุณ … พวกคุณ คือผู้เชื่อใหม่ เขาก็มีคำพยาน ที่พระเจ้าใช้ผ่านชีวิตของเขา เอามาเล่าสู่กันฟัง เอามาเสริมกำลัง เสริมจิตวิญญาณของเปาโลให้สูงขึ้น เช่นเดียวกัน นี่คือถ่อมไหม? ไม่ใช่อาจารย์เปาโลบอกว่า …

“ฉันเป็นใคร? ฉันจะเอาไปให้อย่างเดียว ใครไม่มีกำลังมาเลย เดี๋ยวฉันจะวางมือให้ กำลังมาทันทีเลย”

ทุกคนก็ต้องวิ่งเข้าไปหาคนๆ นี้ พระคัมภีร์สอนเราอย่างนี้เหรอ หรือมนุษย์ทุกคนเท่ากัน ท่านคิดว่าอะไร? ท่านลองไปคิดเองแล้วกันว่าพระคัมภีร์บอกว่ามนุษย์เราทุกคนเท่ากันใช่ไหม? พระเจ้าไม่มีลำเอียง โดยเฉพาะอย่างนี้ สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้กับผู้นำเยอะ ผู้นำในทางโลก ที่เห็นๆ อย่างเช่น ผู้มีอำนาจ ผู้นำ นักแสดง ศิลปิน ที่มีของประทานที่ได้รับจากพระเจ้า หรือแม้แต่ผู้รับใช้พระเจ้า ที่รับใช้ ที่เรียกว่าศิษยาภิบาล หรืออะไรก็ตาม ผู้สอน ผู้ประกาศข่าวประเสริฐที่ของประทานโดดเด่นมากๆ โดดเด่นในสายตามนุษย์ ซึ่งจริงๆ แล้วทุกคนมีของประทานเท่ากันหมดแหละ แต่บางครั้ง บางคนอาจจะมีบางส่วนที่โดดเด่นกว่าคนอื่นเขา ซึ่งเป็นสิ่งที่มนุษย์อยากจะได้ เห็นชัดๆ ซึ่งคนกลุ่มนี้แหละ มีโอกาสเสี่ยงสูงมากที่จะเกิดความเย่อหยิ่งจองหอง แล้วก็พินาศในที่สุด ก็คือตามพระคัมภีร์แล้ว ทุกคนบาปและหยิ่งอยู่ในกมลสันดานทั้งนั้น และทุกคนที่หยิ่ง ก็จะได้รับความพินาศกันหมด เพียงแต่ว่าพวกที่โดดเด่นมากๆ ในสังคมมนุษย์ที่ตามองเห็น เวลาพินาศก็จะเห็นได้ชัดกว่าคนอื่นๆ เท่านั้นเอง เป็นคนธรรมดา เป็นแม่บ้าน เป็นนักเรียน เป็นพนักงาน เป็นลูกจ้าง ถ้าเมื่อใดหยิ่งผยอง ก็เจอความพินาศเหมือนกันหมด เพียงแต่ความเสียหายไม่เท่ากัน และไม่มีใครเขาสนใจ ความเย่อหยิ่งเป็นศัตรูที่ร้ายกาจ ที่สามารถทำลายชีวิตของเรา อย่างเงียบๆ

เคยได้ยินไหมครับ มีคำพูดที่บอกว่า “ความสำเร็จ สามารถฆ่าคนได้”

หมายความว่าคนที่ประสบความสำเร็จ มักถูกฆ่าตายด้วยความเย่อหยิ่ง ด้วยความภูมิใจตนเองจนเกินไป เพราะโอกาสที่จะเกิดความรู้สึกภูมิใจเกินกว่าเหตุ มันเยอะ มีคนเชียร์เยอะ มีคนคอยชื่นชมสรรเสริญ ยกย่องเยอะ จึงมีโอกาสที่จะขโมยจากพระเจ้าไปนิดหนึ่ง ในความชื่นชมยินดีในการที่เขาชมนั้น แทนที่จะส่งไปให้พระเจ้าเลย

เขาว่าเคล็ดลับอันหนึ่งที่ดี คือไม่ว่าคนจะนินทาหรือสรรเสริญ ส่งไปให้พระเจ้าหมดเลย ไม่รับอะไรทั้งสิ้น อันนี้มีความสุขและปลอดภัย แต่มันทำยาก ทำได้หรือเปล่า? ไม่ว่าดีหรือร้าย ส่งไปให้พระเจ้าหมด เขาด่ามา โดนใคร โดนพระเจ้า เขาชมมาล่ะ รับเอง ไม่ใช่ เขาด่ามารับไหม? ไม่รับ เขาชมมารับไหม? อย่ารับเหมือนกันสิ ถูกไหม? เพราะฉะนั้น ไม่รับทั้งสิ้น ส่งต่อให้พระเจ้าหมดเลย ถ้าเขาชมมา ส่งต่อให้พระเจ้า ขอบคุณพระเจ้า ถ้าเขาว่ามา ก็โยนให้พระเจ้า แล้ว …

“พระเจ้า ลูกเป็นอย่างนั้น จริงไหม? ขอทรงช่วยลูกด้วยเถิด” ก็ว่าไป ไม่รับอะไรทั้งสิ้นเลย ก็ปลอดภัย

ความภาคภูมิใจเยอะ โอกาสที่จะกลายเป็นความเย่อหยิ่งก็เยอะ ซึ่งพอมันเยอะ โอกาสที่จะพินาศตามพระคัมภีร์ มันก็เยอะ โอกาสพัง ไม่เป็นท่า มันก็มีเยอะ ลองฟังเรื่องนี้ดู …

มีกบตัวหนึ่ง  อาศัยอยู่ในหนองน้ำแห่งหนึ่ง  ร่วมกับห่านอีก 2 ตัว … สัตว์ทั้ง 3 ตัว  เป็นเพื่อนรัก  เพื่อนเล่น  ที่คอยดูแลกันและกันเป็นอย่างดี … จนกระทั่ง ฤดูร้อนมาถึง … อากาศที่อบอ้าว  และแสงแดดที่ร้อนจัด  ได้แผดเผาหนองน้ำแห่งนั้น จนกลายเป็นดินแห้งแตกระแหง … ทำให้สัตว์ทั้ง 3 ตัว  ไม่สามารถอาศัยอยู่ได้ต่อไป ต้องอพยพ … สำหรับห่านทั้ง 2 ตัว  มันไม่มีปัญหาอยู่แล้ว เพราะมันสามารถบินไปหาที่อยู่ใหม่ ได้อย่างง่ายดาย … แต่เจ้ากบ ไม่มีหนทางที่จะไป

หลังจากช่วยกันคิดหาทางออก ประชุมกัน … แผนการอพยพก็เริ่มขึ้น โดยเจ้ากบได้ไปหาเศษไม้เล็กๆ มาให้ห่านทั้ง 2  ตัว คาบไว้ที่ปลายข้างละตัว แล้วเจ้ากบก็ใช้ปากของมันคาบไม้ตรงกลางเอาไว้ เพื่อให้ห่านทั้ง 2 ตัว ช่วยกันบินพามันไปด้วย เพื่อนรักกัน ห่าน 2 ตัวมันทำให้อยู่แล้วล่ะ มันเป็นห่วงเป็นใยเพื่อนนะ คงพูดในใจว่าให้เพื่อนคาบดีๆ เดี๋ยวเราไปด้วยกัน ทนอีกสักนิดหนึ่ง แต่กบตรงกลางตา มันมองข้างหน้าอย่างเดียว

ระหว่างที่กำลังบินอยู่บนฟ้า ผู้คนที่เห็นเหตุการณ์ ก็พากันชื่นชมในความคิดที่ฉลาด แหลมคม มีชาวนาคนหนึ่งตะโกนขึ้นมาว่า …

“โอ้!  มันยอดมากเลย  ใครกันนะ  ที่เป็นเจ้าของความคิดที่วิเศษเช่นนี้”

เจ้ากบ ซึ่งกำลังคาบไม้อยู่บนท้องฟ้า  ก็ตะโกนขึ้นมาว่า  … “มันเป็นความคิดของข้าเอง”

ท่านลองคิดดูว่ามันเกิดอะไรขึ้น คิดเอาเองก็แล้วกัน

สรุปว่าที่กบต้องตาย เพราะการโอ้อวด ความคิด ความสามารถของตัวเอง จริงๆ แล้วตอนแรก มันแค่คิดหาวิธีที่จะอพยพ ให้ห่านช่วยเท่านั้นเอง ไม่ได้คิดอะไรมากมายเลย แรกๆ มันไม่ได้คิดว่ามันเก่งนะ มันก็แค่คิดออกแค่นี้เอง แต่พอมีคนเห็น และชื่นชมในความคิด มีคนชม คราวนี้ก็อดไม่ได้ที่จะภูมิใจ อดไม่ได้ที่จะโอ้อวดตัวเอง พอเริ่มโอ้อวดตัวเอง หยิ่งผยอง ก็พบกับความพินาศ ในนิทานใช้กบกับห่าน เราก็เลยรู้สึกไม่ใกล้ตัวเท่าไร แต่ในชีวิตจริง คนที่เป็นเหมือนกบ มีเยอะมาก บางทีเราทำอะไร หรือคิดอะไรขึ้นมา แรกๆ ก็ไม่รู้สึกอะไรในสิ่งที่เราคิดหรอก แต่อย่าให้มีคนชมนะ พอมีคนชื่นชม ได้รับคำชมมากๆ ก็เริ่มเขวจากความคิดธรรมดา กลายเป็นเราก็หนึ่งในตองอู จากที่ให้คนอื่นชม คราวนี้ก็เริ่มชมตัวเอง โอ้อวดตัวเอง

พระเจ้า มันยาก  ที่จะให้ถ่อม                     เมื่อข้า  ดูดี  ในทุกทาง

ข้าชอบ  ดูตัวเอง ในกระจก                        เพราะข้านั้น  ดูดีขึ้น  ทุกวัน

ใครได้ พบข้า ต้องชื่นชม                            เพราะข้ามี  ราศี  สุดสง่า

พระเจ้า  มันยาก ที่จะให้ถ่อม                     แต่ข้า จะทำให้ ดีที่สุด

ดูเหมือนมันไม่มีอะไร? แต่มันมีอะไรอยู่ในตัว มันคือความจริงในชีวิตคริสเตียนว่าจะเป็นอย่างนี้ อย่าไปล้อเล่นกับมัน จงยอมรับว่าเราเป็นอย่างนั้น และเตือนตัวเอง และบอกพระเจ้าว่า …

“มันยากจริงๆ เลยพระเจ้า (คือพูดง่ายๆ) พระเจ้า สิ้นชีวิตนี้ไป คงไม่ได้หมดหรอก แต่ขอให้ลูกทำให้มันดีที่สุด  ให้ลูกทำได้มากที่สุด”

พระคัมภีร์จึงเตือนเราว่าให้คนอื่นเป็นคนยกย่องเราก็พอ อย่าโอ้อวดตัวเอง สุภาษิต 27:2 ท่องจำไว้เลย

สุภาษิต 27:2 “อย่ายกย่องตัวเอง ด้วยปากของเจ้าเอง ให้คนอื่นเป็นผู้ยกย่อง ไม่ใช่ด้วยริมฝีปากของเจ้าเอง”

 

อันนี้ไม่ต้องแปลเลย “อย่ายกย่องตัวเอง ด้วยปากของเจ้าเอง ให้คนอื่นเป็นผู้ยกย่อง ไม่ใช่ด้วยริมฝีปากของเจ้าเอง”

แต่มันยากนะ ยิ่งมีคนชมมากๆ ปิดปากเงียบไปเลย พระเจ้ายากมาก แต่เราก็จะทำให้ดีที่สุด

นี่คือสิ่งที่เรียกว่าการถ่อมใจ ซึ่งตรงกันข้ามกับความเย่อหยิ่งจองหอง วิธีเดียวที่จะหลีกพ้นจากความพินาศ ที่เกิดขึ้น จากความเย่อหยิ่งจองหอง การยกตนข่มท่าน ก็คือการมีใจถ่อม พระคัมภีร์เตือนสติเราอยู่เสมอ การเดินกับพระเจ้า ต้องมีความถ่อมใจและเชื่อฟัง สุภาษิต 3:5-6 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ อ่านชัดเลยนะ

สุภาษิต 3:5-6 “5 จงวางใจในองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างหมดใจ อย่าพึ่งความเข้าใจของตนเอง 6 จงยอมรับพระองค์ในทุกวิถีทางของเจ้า แล้วพระองค์จะทรงทำทางของเจ้าให้ราบเรียบ”

 

ในทางพระเจ้า ผู้ที่มีใจถ่อมต่อพระเจ้า ก็คือผู้ที่เชื่อฟังพระเจ้าอย่างสุดจิตสุดใจ ไม่พึ่งพาความรอบรู้ของตนเอง คือไม่พึ่งพาความคิด สติปัญญาของเราเอง คือแปลว่า …

“ต่อให้ตามองเห็นมันตรงกันข้ามกับสิ่งที่พระเจ้าพูด ฉันก็จะเชื่อพระเจ้า ตามองเห็นเป็นสีดำ พระเจ้าบอกว่าเป็นสีขาว ฉันก็จะเชื่อพระเจ้าว่าเป็นสีขาว” เอเมน

ไม่พึ่งพาความรอบรู้ของตัวเอง จะฉลาด จะเรียนอะไรมา เราเก่งขนาดไหน ก็ตาม เราก็ไม่สามารถช่วยตัวเราเองได้ เราพึ่งพระเจ้าดีกว่า และเรียนรู้ว่าทุกสิ่งในชีวิตนั้น มาจากพระเจ้าทั้งสิ้น วางใจในพระเจ้า แปลว่าอย่างนี้

ในพระคัมภีร์ที่เราอ่านเมื่อตะกี้บอกว่า “จงวางใจในพระเจ้า อย่างหมดใจ” หมดใจ คือเกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ สิ่งที่พระเจ้าพอใจที่สุด คือการยอมรับว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระบุตร ที่พระเจ้าส่งมา เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ไถ่บาปให้กับมนุษย์ทุกคน รวมทั้งฉันด้วย อันนี้เป็นความถ่อมใจอย่างสุดๆ เป็นการเชื่อพระเจ้าอย่างหมดใจจริงๆ สำคัญมากอันนี้ ซึ่งเราทำไปแล้ว อย่าพึ่งพาความคิด ความรอบรู้ของตนเอง ไม่พึ่งพาสติปัญญามนุษย์

จงยอมรับพระองค์ในทุกทาง ยอมรับว่าพระองค์ถูก จงยอมรับว่าใช่ แม้ลูกจะมองไม่เห็น ลูกก็ว่าใช่ เพราะสิ่งที่ตามองไม่เห็น  หูไม่ได้ยิน คือสิ่งที่พระองค์ได้ทรงจัดเตรียมไว้กับผู้ที่รักพระองค์ พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น แล้วพระองค์จะทำทางของเจ้าให้ราบรื่น เห็นไหม?

อันใหญ่ราบรื่นไปแล้ว คือเราเชื่อในพระบุตรของพระเจ้าว่าพระเยซูเป็นใคร? เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระผู้ไถ่บาป ที่พระเจ้าส่งมาให้มนุษย์ทุกคน รวมทั้งฉันด้วย อันนี้เราได้รับความรอด ไม่พินาศแล้ว  ตายจากโลกนี้ไป วิญญาณออกจากร่างนี้ไป เราอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้านิรันดร์กาลแล้ว ขอบคุณพระเจ้า อันนี้สำคัญที่สุด แต่นอกเหนือจากนั้น ยังมี คือตอนที่กำลังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ที่วิญญาณยังไม่ออกจากร่างกาย ที่จะต้องตายในวันหนึ่งข้างหน้า ถ้าเราวางใจในพระเจ้า  เชื่อในพระเจ้า ในหนทางที่พระองค์บอกทั้งหมด โดยไม่คิดว่าตนเองฉลาด พระเจ้าก็จะทำทางของเราให้ราบรื่นเหมือนกัน ชีวิตเราก็จะไม่ทุกข์มากเกินกว่าเหตุ เราก็จะไม่ต้องไปสวรรค์แบบคนวิ่งผ่านไฟ เราก็จะใช้ชีวิตบนโลกใบนี้ แบบสงบ มีสันติสุข และมีความสุขมากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ พอมองเห็นไหม?

เพราะฉะนั้น จงวางใจในพระเจ้าในทุกสิ่ง ถ้าพระเจ้าบอกอะไร จงเชื่อฟังอย่างนั้นแหละ และอดทนฝึกฝน ปฏิบัติตามในความถ่อมใจ เพราะต้องอาศัยการฝึกฝนปฏิบัติตาม มันถึงจะได้รับ  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

**********************

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 28 กรกฎาคม 2019 เรื่อง “สำเร็จแล้ว … จงให้ความคิดของท่านจดจ่อ กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก” ตอน 8.2 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  28  กรกฎาคม  2019

เรื่อง “สำเร็จแล้ว … จงให้ความคิดของท่านจดจ่อกับสิ่งเบื้องบน  ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก” ตอน 8.2

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

วันนี้จะเป็นการบรรยายต่อจากสัปดาห์ที่แล้ว เป็นเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ ที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า จึงต้องมาเรียนรู้กัน พระเจ้าจึงบอกลายแทงอยู่ที่ไหน? หน้าตาเป็นอย่างไร? และมนุษย์ทุกคนสามารถอยู่ในสวรรค์ได้อย่างไร? โดยผ่านทางหนังสือพระคัมภีร์ไบเบิ้ล นี่แหละคือสิ่งที่เราเรียนรู้กัน ตั้งแต่หน้าแรก จนหน้าสุดท้าย ตั้งแต่พระคัมภีร์เดิมเลย  และหัวข้อการบรรยายในวันนี้ ก็คือหัวข้อเดิมจากสัปดาห์ที่แล้ว “จงให้ความคิดของท่านจดจ่อกับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก” ตอนที่ 2 พระเจ้าจะช่วยเรา ให้เราจดจ่อตรงนี้แหละ เราเองแหละ คอยจะหนีไป แต่พระเจ้าพยายามนำพาเรากลับมาตรงนี้ให้ได้ เพราะตรงนี้คือเวทีของเรา เวทีที่เราได้รับชัยชนะนิรันดร์ ตรงนี้แหละที่พระเยซูประกาศว่าเราชนะแล้ว แม้ว่าท่านอยู่บนโลกนี้จะประสบกับความทุกข์ยากลำบาก แต่เราชนะโลกนี้แล้ว ชนะตรงเวทีตรงนี้

สัปดาห์ที่แล้วเราเริ่มที่โคโลสี บทที่ 3 ซึ่งเป็นถ้อยคำที่ย้ำยืนยันกับเราว่าตัวตนที่แท้จริงของเรา ที่เราเชื่อพระเยซูเป็นใคร? แล้วผลจากการกระทำที่พระเยซูบอกว่าสำเร็จแล้ว ที่ไม้กางเขนทำให้เกิดอะไรขึ้นบ้างในโลกวิญญาณ โลกวัตถุไม่ต้องบอกนะ เห็นๆ อยู่แล้วว่าเป็นอย่างไร? แต่ในโลกวิญญาณ มันเกิดอะไรขึ้นบ้าง ตัวเก่า คือวิญญาณเก่าของเราได้ตายไปแล้ว พร้อมกับพระเยซูคริสต์ เราเป็นขึ้นมาใหม่ร่วมกับพระเยซูคริสต์แล้ว เป็นแล้วนะ วิญญาณใหม่ของเรา จิตใจใหม่ที่พระเจ้าประทานให้กับเรา ที่เป็นขึ้นมาใหม่นั้น ลักษณะหน้าตาเป็นอย่างไร? ธรรมชาติของวิญญาณใหม่ของเรา จิตใจใหม่ของเรา ที่เกิดใหม่นั้น หรือเรียกว่าวิสัย หรือเรียกว่าสันดานใหม่ของเรา เป็นลักษณะอย่างไร? เราเรียนไปแล้ว

หลังจากที่เราได้รับรู้ และเชื่อในสิ่งทั้งหลายทั้งปวงนี้แล้ว ในพระคัมภีร์บอกว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเรา ในตัวตนใหม่ของเรานั้น พระคัมภีร์ได้สอนเราอย่างไรในเรื่องแนวทางในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้บ้าง เพื่อให้เราได้สงบ ได้รับผลประโยชน์ มีสันติสุข มีความสุขมากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้บนโลกใบนี้ ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ 100% แต่อย่างน้อย ก็ยังได้เยอะกว่าไม่รู้เรื่องเลย เยอะกว่าคนตาบอดมองไม่เห็นเลย เยอะกว่าคนที่ไม่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์มาชี้ทางให้ เพราะว่าการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ถ้าเรารู้ว่ามันมีอะไรเป็นจริงฝ่ายวิญญาณบ้าง ก็จะทำให้เรามีสันติสุข มีความสุขมากขึ้น ในระหว่างการที่ต้องดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้อยู่ ในระหว่างที่ยังรอคอยวันเวลาที่เราจะได้กลับไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถานถาวรนิรันดร์ เห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า ซึ่งเราก็รู้อยู่แล้วว่าทุกวันนี้เราก็อยู่ในสวรรค์แล้วล่ะ เราเรียนรู้ตามพระคัมภีร์บอก เรานั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า นั่งอยู่ในสวรรค์สถานเดี๋ยวนี้แล้ว แต่มันยังเห็นลางๆ เห็นไม่ชัด เห็นจากถ้อยคำพระเจ้าที่บอกเรา เห็นจากความเชื่อที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ประทานให้กับเรา อยู่ในจิตใจเรา … เรารู้ เหมือนที่บทเพลงที่เราร้อง …

“ข้ารู้ เพราะอยู่ในใจ”

มันเกิดขึ้นที่ถ้อยคำก่อน เกิดขึ้นที่ตาดู หูฟัง และปากพูดถ้อยคำพระเจ้า มันออกมาจากใจ นั่นแหละ ตรงนั้นมันรู้ มันเห็นไหม? ไม่เห็น แต่มีไหม? มี พระคัมภีร์เขาเรียกว่าเห็นแบบลางๆ แต่พระคัมภีร์สัญญาไว้ว่าวันหนึ่งที่เราออกจากร่างนี้ ตัวตนที่แท้จริงของเรา คือวิญญาณของเราออกจากร่างนี้เมื่อไร? เราก็อยู่ที่เดิม แต่คราวนี้จะไม่มีอะไรบังเราอีกแล้ว เราจะเห็นพระองค์หน้าต่อหน้า ชัดเจนแจ่มใส เหมือนที่ผมเห็นท่าน หรือท่านเห็นผมในตอนนี้เลย นี่คือความหวังใจนิรันดร์ของผู้ที่เชื่อในพระเยซู ว่าโลกที่มองไม่เห็นนั้น เป็นจริง ตามที่พระคัมภีร์ได้บอกไว้ ตามที่พระเจ้าได้ชี้แจงเอาไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล เป็นตัวอักษร และพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นผู้ยืนยันให้กับเรา ในวิญญาณข้างในของเรา

หัวใจที่สำคัญที่สุด ที่จะทำให้เราได้พบกับความสุข ความสงบ  และสันติสุขที่แท้จริงบนโลกใบนี้ ท่ามกลางโลกที่สับสนวุ่นวายวิปริตวิปลาส ที่เรียกว่าโลกบาป โลกที่ถูกสาปแช่งไปแล้ว พระเจ้ารอวันเวลาของพระองค์ที่จะฟื้นฟูใหม่ แต่ตอนนี้ยังไม่ฟื้นฟู เมื่อยัง ก็วุ่นวายอย่างนี้ จะเอาแน่เอานอนกับมันไม่ได้ แล้วมันก็เป็นโลกแห่งความชั่วร้าย ทำอย่างไรเราจะอยู่บนโลกแห่งความชั่วร้ายนี้ได้ โดยมีความทุกข์น้อยที่สุดเท่าที่ทำได้ มีความสุข มีสันติสุข มีความสงบสุขมากที่สุดเท่าที่ทำได้ คือจงให้ความคิดของท่านจดจ่อกับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก

“สิ่งเบื้องบน” ก็คือโลกที่มองไม่เห็น  โลกวิญญาณ ซึ่งมันเหนือกว่า เขาจึงใช้คำว่าเบื้องบน มิได้หมายถึงให้มองไปที่ข้างบน แต่ให้มองทะลุไปที่โลกวิญญาณ มิติหนึ่งที่อยู่ในโลกวิญญาณ ตามหลักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน มีคำว่า “มิติ” ซึ่งสมัยก่อนไม่มี สมัยก่อนเขาบอกมองไปที่เบื้องบน หมายถึงมองไปอีกมิติหนึ่ง แต่เดี๋ยวนี้นักวิทยาศาสตร์คิดค้น รู้ว่ามี 3 มิติ, 4 มิติ ให้มองไปอีกมิติหนึ่ง มิตินั้น เรียกว่ามิติโลกวิญญาณที่ตามนุษย์ธรรมดามองไม่เห็น จับต้องไม่ได้ ดมกลิ่นก็ไม่มี แต่มันมีอยู่จริงๆ พระคัมภีร์บอก และที่นั่นแหละที่พระเจ้าสถิตอยู่ เรียกว่าสวรรค์สถาน และที่นั่นแหละ ไม่มีการเปลี่ยนแปลง และที่นั่นไม่มีทั้งอดีต ไม่ทั้งปัจจุบัน และไม่มีทั้งอนาคต เป็นอยู่อย่างไร? เป็นอย่างนั้น เหมือนที่พระคัมภีร์บอก พระเยซูเป็นอยู่อย่างไรในอดีต พระองค์จะเป็นอยู่ในปัจจุบัน และจะเป็นอย่างนี้ตลอดไปเป็นนิตย์ มันหมายถึงว่าที่นั่น มันเป็นอย่างนั้นเอง ไม่มีอดีต … อดีตคือโลกใบนี้เราคิดกัน เราคิดตัวเลขกันว่า 2,000 ปีผ่านไปแล้ว วันนี้หนึ่งวัน ดวงอาทิตย์ขึ้น จดไว้ แต่ในโลกวิญญาณ มันไม่มีวันเวลาใดๆ ทั้งสิ้น ถึงเรียกว่านิรันดร์ … นิรันดร์อยู่กับพระเจ้า ดังนั้น ทุกวันนี้เราก็อยู่แล้ว เพียงแต่เรายังอยู่ในร่างกายที่เต็มไปด้วยความบาป และยังต้องดำเนินชีวิตอยู่ ซึ่งมันก็ต้องใช้วิธีการที่ทำอย่างไร ถึงจะฉลาดในการอยู่

เคยได้ยินคำนี้ไหม? เวลาคนทำอะไร แล้วรู้จักประจบประแจง อะไรต่างๆ สมมติอยู่ในบ้าน รู้ว่าคนนี้ มีอิทธิพลสูงสุด มีอำนาจสูงสุด ทำอะไรก็ประจบคนนี้  เพื่อว่าจะได้สิ่งที่ดีๆ จากคนนี้ เขาเรียกว่า “อยู่เป็น” อยู่บ้านอยู่เป็นไหม?  อยู่เมืองไทย อยู่เป็นไหม? รู้จักเส้นสายไหมว่าให้อยู่เมืองไทย ต้องอย่างนี้ จึงจะอยู่ดี อยู่เมืองนอก อยู่อเมริกาอยู่อย่างไร?  เขาเรียกว่าอยู่เป็น ไม่ใช่ไปที่ไหน ไปฝืนเขาหมด อย่างนี้เขาเรียกว่าอยู่ไม่เป็น ทำให้เกิดทุกข์ สุภาษิตโบราณไทยบอกว่า …

“อยู่บ้านท่านอย่านิ่งดูดาย ปั้นวัว ปั้นควายให้ลูกท่านเล่น”

นั่นแหละ เขาเรียกว่าอยู่เป็น เจ้าของบ้านเขาจะได้รักเรา ในทำนองเดียวกัน ถ้ามาเชื่อในพระเจ้าแล้ว รู้ว่ามีโลกวิญญาณแล้ว ต้องอยู่เป็นด้วย วิธีอยู่เป็น ก็คือให้เอาความคิดของเราไปจดจ่ออยู่ที่โลกวิญญาณว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้างในโลกวิญญาณ เพื่อจะได้ดำเนินชีวิตได้ถูกต้อง เหมือนลายแทง เหมือนพระคัมภีร์บอกว่า …

“ถ้อยคำของพระองค์ เป็นโคมส่องเท้าให้ข้าพระองค์เดินไป”

มีโคมตลอดเลยว่าจะเดินซ้ายกี่องศา ขวากี่องศา จะได้สะดุดมันน้อยหน่อย โลกใบนี้มันมืดมาก มันเดินไม่ไหวหรอก ถ้าเราไม่มีโคม เราก็เดินแบบคนหลับตา ทุกข์ตลอด เจ็บปวดตลอด แต่ถ้ามีโคมมันชนไหม? ชน บางทีเราไม่เชื่อ เขาบอกเราอย่างนี้ เราทดลองดูอย่างนี้ มันคุ้นๆ เคยเดินอย่างนี้ เที่ยวนี้เดินไป เจอก้อนหิน เจอตะปู จำไว้ให้ดี อย่าเดินตรงนี้อีก อันใหม่แล้ว ให้เดินทางนี้ 40 องศา เอียงซ้ายนิดหนึ่ง ขวานิดหนึ่ง โอเค ผ่านพ้น ไม่เจ็บ มันเคยชิน ขอลองสักที ลองไปทีไร มันเจ็บทุกที พอเจ็บนานๆ ชักชิน นี่แหละ คือการมองทะลุในโลกวิญญาณ มองไปที่เบื้องบน มันก็ค่อยๆ ฝึกฝนไปทีละนิดๆ มันก็จะเดินถูกมากขึ้นเรื่อยๆ ก็จะทุกข์น้อยลงเรื่อยๆ  ถูกน้อยลงเรื่อยๆ ก็บาดเจ็บมากขึ้น มันก็ทุกข์มาก จะเอาอย่างไร? นี่พระคัมภีร์ พระเจ้าสอนเราหมด เพื่อจะให้เราเชื่อพระเจ้า แล้วก็เกิดใหม่ รอคอยวันเวลาในการไปอยู่บนสวรรค์อย่างเดียว แล้วพระเจ้าบอกตัวใครตัวมัน รออย่างเดียว ไม่ใช่ บอกเรา สอนเราว่าอะไรเหมาะสม อะไรดีงาม อะไรที่เราควรทำ และหัวใจในการที่จะสอนเรา อันดับแรก ก็คือการต้องผ่านตรงนี้ก่อน คือให้ความคิดของเราจดจ่อกับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่ฝ่ายโลก ก็คือไม่ใช่ที่ตามองเห็น ตามองเห็น มันเป็นจริงเลย  แต่ในโลกวิญญาณเขาว่าอย่างไร? ตรงนั้นมากกว่า

เราจะมาทบทวนข้อพระคัมภีร์ที่เราเรียนรู้เรื่องนี้ โคโลสี 3:1-6 “1 ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลายเป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว ก็จงให้ใจของท่านจดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า 2 จงให้ความคิดของท่านจดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก 3 เพราะท่านตายแล้ว และบัดนี้ ชีวิตของท่านถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ ในพระเจ้า 4 เมื่อพระคริสต์ผู้ทรงเป็นชีวิตของท่านปรากฏ เมื่อนั้น ท่านก็จะปรากฏพร้อมกับพระองค์ ในพระเกียรติสิริด้วย 5 เหตุฉะนั้น จงประหารโลกียวิสัยของท่าน คือการผิดศีลธรรมทางเพศ ความโสมม ราคะตัณหา ความปรารถนาชั่ว และความโลภ ซึ่งเป็นการบูชารูปเคารพ 6 เนื่องด้วย สิ่งเหล่านี้ พระพิโรธของพระเจ้ากำลังจะมาถึง”

 

นี่คือสิ่งที่เราเรียนรู้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หวังว่าทุกคนคงเข้าใจหมด นี่เป็นการทบทวนสั้นๆ เฉยๆ เห็นไหม? บอกว่าเราเป็นขึ้นมากับพระคริสต์แล้ว เป็นขึ้นมาเมื่อไร? โน้น 2,000 ปีเราก็เป็นขึ้นมาแล้ว ในโลกวิญญาณ เขาบอกอย่างนี้ว่าเราเป็นพร้อมกับพระองค์ อย่างที่ผมบอก ไม่มีอดีต ไม่มีปัจจุบัน ไม่มีอนาคต ไม่มีวันเวลา สำหรับโลกวิญญาณ ใครมาเชื่อในพระเยซู ยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เขาเป็นขึ้นมาใหม่พร้อมพระองค์ ณ เดี๋ยวนั้นแหละ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว  แต่ในโลกวิญญาณ เป็นจริงๆ มันเป็นเดี๋ยวนี้ เป็นอยู่เลย

ผมนึกตรงนี้ได้ ยกตัวอย่างให้ท่านดู ตอนไปต่างประเทศ ได้เห็นภาพตรงนี้จริงๆ ว่าเมื่อเราคิดอะไรบางอย่าง ความเป็นจริง มันไม่เหมือนที่เรามองเห็น  ผมเคยไปนั่งรถไฟฟ้าความเร็วสูง ประมาณ 300 กว่ากิโลเมตรต่อชั่วโมง รถมันวิ่งเร็วมาก จนเรามีความรู้สึกว่าเรานั่งเฉยๆ ถ้าเผื่อช้ากว่านี้ เราอาจจะรู้สึกว่าเรากำลังวิ่งอยู่ เรากำลังนั่งอยู่ นี่มันเร็วมาก จนกระทั่ง เรารู้สึกเหมือนกับเราผ่านไป เหมือนเราลอยๆ มันเร็วมาก มันนิ่งมาก จนกระทั่ง แก้วน้ำบนโต๊ะไม่สะเทือนเลย น้ำที่อยู่ในนั้นไม่ขยับ มันอยู่นิ่งเลย ผมก็มองดู ถ้าแก้วน้ำพูดได้ หรือขวดน้ำพูดได้ มันไม่ได้เดินทางอะไรเลย มันอยู่เฉยๆ แต่ในขณะเดียวกัน เรารู้อยู่ว่าเรานั่งอยู่ที่ไหน?  เรามองดูอยู่ รถไฟฟ้ากำลังพาแก้วน้ำวิ่งด้วยความเร็ว 300 กว่ากิโลเมตรต่อชั่วโมง ตามภาษามนุษย์ มันเร็วมาก แต่มองดูแล้ว สำหรับแก้วน้ำ แก้วน้ำบอก …

“ฉันไม่ได้ไปไหนเลย ฉันอยู่ที่เดิม ฉันไม่ได้ขยับขาเลยแม้แต่นิดหนึ่ง”

มันก็จริง ผมก็ไม่ได้ขยับอะไรเลย แต่มันกำลังวิ่ง เร็วมาก รู้เรื่องไหมเนี้ย ผมยังไม่รู้เรื่องเลยเล่าอะไรให้ท่านฟัง แต่อยากจะบอกว่าอะไรบางอย่าง มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ  แต่พระคัมภีร์บอก เราก็เชื่อฟัง บางอย่าง นักวิทยาศาสตร์ยังค้นพบไปไม่ถึง แต่เรารู้ เราเชื่อฟังพระเจ้า เป็นหลักการ ถ้อยคำพระเจ้าในนี้ บอกว่าในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลาย เป็นขึ้นกับพระเยซูแล้ว เป็นขึ้นอะไรล่ะ ฉันเพิ่งจะเกิด พระเยซูเป็นขึ้นใหม่ตั้ง 2,000 ปีผ่านไปแล้ว นี่ปัญญามนุษย์จะคิดอย่างนั้น

ฝ่ายโลก คือฝ่ายปัญญาของโลก บอกเป็นไปได้อย่างไร? ฉันเพิ่งจะเกิดมา ไม่ถึง 80 ปี แล้วพระเยซูเป็นขึ้นมาใหม่ตั้ง 2,000 ปี ในนี้บอกว่าเมื่อทรงให้ท่านเป็นขึ้นมาใหม่ พร้อมกับพระเยซู ร่วมกับพระเยซูเลย พระเยซูเป็น เราเป็นด้วย เป็นอย่างไร? ฉันยังไม่เกิดเลย เห็นไหม? เราก็เชื่อตามนั้นว่าเราเป็นขึ้นมาใหม่แล้ว ก็จงให้จิตใจท่านจดจ่ออยู่ที่เบื้องบน ที่พระคริสต์ประทับอยู่ ณ เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า จงให้ความคิดของท่านจดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก อันนี้ชัดเลย

จดจ่อสิ่งเบื้องบน คืออะไร?  สิ่งที่เบื้องบน ที่พระเยซูเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน มีสิทธิทั้งหมดอยู่กับพระเจ้า ทั้งสิ้น ให้เราจดจ่ออยู่ตรงนั้น  เพราะว่าเรานั่งกับพระองค์แล้วตรงนั้น เรามองไป เพ่งไป เราก็นั่งอยู่ที่นั่นด้วย มันก็ยากนะ แต่เชื่อไปเรื่อย ตามถ้อยคำพระเจ้าไปเรื่อยๆ คิดอยู่เรื่อยๆ มันก็จะเป็นจริง เป็นจังขึ้นมา เหมือนถ้อยคำพระเจ้า ในหนังสือฮีบรู บทที่ 11 บอกว่าความเชื่อ คือร่องรอยหลักฐาน และสิ่งที่จับต้องมองเห็นได้ในสิ่งที่มองไม่เห็น งงไหม? พูดง่ายๆ ว่าพอเราคิดไปเรื่อยๆ และเชื่อในถ้อยคำพระเจ้าไปเรื่อยๆ ความเชื่อในถ้อยคำพระเจ้า ทำให้สิ่งที่มองไม่เห็นในโลกวิญญาณ มันกลายเป็นสิ่งที่มองเห็น จับต้องได้ทันที มีร่องรอยหลักฐานว่าใช่ ตรงนี้มีหนังสือเล่มหนึ่งสีดำ เห็นชัด อย่างนี้ไม่ต้องใช้ความเชื่อ

“ตรงนี้ในพระคริสต์ ฉันนั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระเจ้า ในพระเยซูคริสต์ อยู่ในสวรรค์สถานแล้วตอนนี้”

เห็นไหม? จับต้องได้ไหม? มีหลักฐานไหม? ไม่มี แต่ผมเชื่อ เพราะว่าพระวิญญาณสถิตอยู่กับผม และสอนผมให้เชื่อว่าถ้อยคำพระเจ้าเป็นจริง พอผมเชื่อปุ๊บ เรานั่งอยู่ที่นี่ พระเยซูยิ้มหน่อย เราก็ยิ้ม โอเค อยู่ด้วยกันนะ เป็นหนึ่งเดียวกัน สำหรับในฝ่ายโลก เขาบอกคนนี้บ้า แต่ทางเราเรียกว่าความเชื่อ นี่คือถ้อยคำพระเจ้า นี่คือความจริง เราบอกว่าฮาเลลูยา ไม่ใช่บ้า จะเอาอะไรล่ะ จะเอาโลก หรือจะเอาเบื้องบน จะเอาโลก หรือเอาทางฝ่ายวิญญาณทางพระเจ้า  มันไม่สามารถมาผสมกันได้  คุณต้องเอาอย่างหนึ่ง ถ้าคุณคิดว่าคุณเชื่อในถ้อยคำพระเจ้า คุณไม่มีทางคุยกับผู้คนบนโลกใบนี้รู้เรื่องหรอก มันไม่รู้เรื่องแน่นอน คุณเตรียมตัวไว้เลย เป็นศัตรูกันแน่นอน เพราะถ้าคุณเชื่อ แสดงว่าคุณอยู่ในทางพระเจ้า อยู่ฝ่ายพระเจ้า พระเจ้ากับความมืดจะอยู่ด้วยกันได้อย่างไร? คนละขั้วกันอยู่แล้ว เอเมน นี่คือสิ่งที่เอามาเสริมกับสัปดาห์ที่แล้ว

สัปดาห์ที่แล้ว ที่ข้อ 5, 6 บอกว่า “5 เหตุฉะนั้น จงประหารโลกียวิสัยของท่าน คือการผิดศีลธรรมทางเพศ ความโสมม ราคะตัณหา ความปรารถนาชั่ว และความโลภ ซึ่งเป็นการบูชารูปเคารพ 6 เนื่องด้วย สิ่งเหล่านี้ พระพิโรธของพระเจ้ากำลังจะมาถึง”

ตรงนี้ที่ผมบอกว่าอยู่เฉยๆ หมายถึงความบาป ที่ก่อให้เกิดการกระทำสิ่งที่ชั่วร้าย มันไม่ใช่มีแค่ 1, 2, 3, 4, 5 อย่างเท่านั้น มันรวมถึงความโกรธ ความเกลียด ความอาฆาต ความชั่วร้ายต่างๆ ทุกอย่าง  ซึ่งเป็นการบูชารูปเคารพ ทำไมเขาใช้คำนี้ว่า “ซึ่งเป็นการบูชารูปเคารพ” เขาเปรียบเทียบกับคนยิวในสมัยนั้น คนยิวจะรู้ทันทีเลย เชื่อพระเจ้ากับรูปเคารพ หมายถึงอยู่ด้วยกันไม่ได้ บูชารูปเคารพ คืออยู่คนละขั้วกับพระเจ้า เข้ากันไม่ได้ เป็นศัตรูกับพระเจ้า กบฏต่อพระเจ้า จะเจอพระพิโรธของพระเจ้า เพราะว่าอยู่คนละขั้วกัน เข้ากันไม่ได้ คนจะรู้ทันทีว่าเป็นการบูชารูปเคารพ คือพระเจ้ารังเกียจ ถามว่าอยู่ดีๆ พระเจ้าไปรังเกียจคนเหรอ ไม่ใช่ มันเข้ากันไม่ได้ เวลาอ่านพระคัมภีร์ พระเจ้าลงโทษ พระเจ้าพิโรธ พระเจ้ารังเกียจ ให้จำไว้เลยว่าเป็นธรรมชาติของพระเจ้า ที่บริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ ปราศจากบาป ไม่สามารถเข้ากับความสกปรกได้เลย แม้แต่นิดเดียว เป็นธรรมชาติ มีนิสัยเกลียด ไม่ใช่ เข้าใจนะ ครั้งที่แล้วเรายกตัวอย่างไฟฟ้าแรงสูง ใช่ไหม? ถ้าคนไม่มีชนวนเอามือเปล่าๆ ไปจับ ไฟฟ้ามันก็วิ่งมาสู่เรา จริงๆ ไฟฟ้าไม่ได้เกลียดเราหรอก แต่เราไม่รู้เรื่อง อะไรประมาณนั้นแหละ

คราวนี้ เนื่องด้วยสิ่งเหล่านี้ พระพิโรธของพระเจ้ากำลังจะมาถึง อย่างที่บอกว่ากำลังพูดถึงคนที่ไม่เชื่อ อยู่ในรูปเคารพอย่างนี้  มิได้หมายถึงคนที่ไม่ได้เชื่อ ต้องไปไหว้รูปเคารพ ไม่ใช่ อันนั้น เป็นเงา เป็นตัวสำแดงให้เราเห็นว่าในอดีต ก่อนพระเยซูจะเป็นขึ้นจากความตาย มันเป็นอย่างนั้น เป็นภาพรางๆ พระเจ้าวาดให้เห็นว่านี่คือสิ่งที่พระเจ้ารังเกียจ มันอยู่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า ปัจจุบันไม่ต้อง ไหว้รูปเคารพ คือการไม่เชื่อในถ้อยคำพระเจ้า ไม่เชื่อพระเยซู นี่ไหว้รูปเคารพแล้ว ไม่เชื่อพระเยซูว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระผู้ไถ่บาป ไม่ต้องเอาอะไรมาไหว้เลย ก็เป็นคนไหว้รูปเคารพแล้ว มันหมายถึงอย่างนั้น โปรดเข้าใจ

และถ้ายังเป็นอย่างนั้นอยู่เกิดอะไรขึ้น เมื่อไม่เชื่อในพระเยซู พระพิโรธของพระเจ้า ก็มาถึง หนังสือยอห์น 3:16 ก็เขียนไว้ว่าพระเจ้าทรงรักโลกยิ่งนัก  คือรักมนุษย์ยิ่งนัก จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ลงมา คือพระเยซูคริสต์ เพื่อผู้คนเหล่านั้น มนุษย์เหล่านั้น ที่เชื่อวางใจในพระเยซู จะไม่พินาศ และได้รับชีวิตนิรันดร์ ก็ได้ไปอยู่ในสวรรค์

และข้อต่อมา บอกว่าพระเยซูไม่ได้มา เพื่อตัดสิน เพราะว่าเขาอยู่ในความพินาศอยู่แล้ว แต่พระเยซูมา เพื่อเป็นพระผู้ช่วย ไม่ใช่พระผู้พิพากษา พระองค์มา เพื่อช่วยให้รอด พระองค์ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต เพื่อมาช่วยคนที่อยู่ในความพินาศ ให้ได้รับความรอด เห็นไหม? มันต่างกันเยอะเลย  เพราะฉะนั้น คนที่ไม่เชื่อในพระเยซู ก็อยู่ในความพินาศอยู่แล้ว อยู่ในการไหว้รูปเคารพอยู่แล้ว  มันเป็นอย่างนั้น มันไม่ได้หมายถึงการกระทำ

วันนี้เรามาต่อข้อ 7 …

โคโลสี 3:7-9 “7 ครั้งหนึ่ง ท่านเคยดำเนินชีวิตในทางเหล่านี้ 8 แต่บัดนี้ ท่านจงกำจัดสิ่งทั้งปวงต่อไปนี้ ให้หมดจากตัวท่าน คือความโกรธ ความเกรี้ยวกราด การคิดปองร้าย การกล่าวร้าย และวาจาหยาบช้า จากปากของท่าน 9 อย่าโกหกกัน ในเมื่อท่านสลัดทิ้งตัวตนเก่าๆ พร้อมกับความประพฤติเดิมๆ แล้ว”

 

“ครั้งหนึ่ง ท่านเคยดำเนินชีวิตในทางเหล่านี้ แต่บัดนี้ ท่านจงกำจัดสิ่งทั้งปวงต่อไปนี้ ให้หมดจากตัวท่าน”

ก็คือเมื่อก่อนนี้ เมื่อสมัยที่ท่านยังไม่ได้ตายกับพระคริสต์ ก็คือตอนสมัยที่ท่านยังไม่เชื่อ หรือไม่รู้ว่าพระเจ้าประทานพระเยซูคริสต์มา เพื่อเป็นหัวหน้ามนุษย์ มาช่วยเหลือมนุษย์ให้หลุดพ้นจากความบาป ท่านยังไม่เชื่อ ตอนนั้นท่านเคยดำเนินชีวิตอยู่กับสิ่งสกปรกเหล่านั้น ก็คือวิญญาณท่าน มันสกปรก วิญญาณเต็มไปด้วยความบาป เนเจอร์ ธรรมชาติในวิญญาณ เป็นความบาป เป็นนะ ไม่ใช่มีความบาป … มีความบาป นั่นเป็นผลจากการเป็นนั่นแหละ เพราะวิญญาณข้างใน ใจข้างใน เป็นใจบาป ตรงกันข้ามกับเนเจอร์ของพระเจ้า เพราะฉะนั้น เลยออกมาทำบาปข้างนอก เช่น มีความโกรธ มีความเกรี้ยวกราด คิดปองร้าย มีการกล่าวร้าย และพูดจาหยาบช้า การโกหก แต่ตอนนี้ ท่านรับเชื่อแล้ว พระเจ้าประทานวิญญาณใหม่ และใจใหม่ให้กับท่านเรียบร้อยไปแล้ว

“ใช่ๆ ฉันจะรับสิทธิของฉัน ฉันจะรับผลประโยชน์ที่พระเยซูทำให้กับฉัน ที่ไม้กางเขน … (นี่เขาเรียกกลับใจใหม่) … ตอนนี้ ฉันเป็นลูกพระเจ้าแล้ว  มีวิญญาณใหม่ที่เป็นเหมือนพระเยซู เหมือนพระเจ้าเลย”

พระคัมภีร์พูดอย่างนั้นเลยนะ ไม่รู้กี่ครั้งแล้ว ที่เอาพระคัมภีร์ให้ท่านดู เพราะฉะนั้น ก็จงประพฤติตัวให้เหมาะสมกับการเป็นลูกพระเจ้าหน่อยสิ แค่นี้เอง ตะกี้นี้บอกว่าเราได้เป็นขึ้นมาใหม่พร้อมกับพระเยซูอย่างไร? ขอบคุณพระเจ้า จงให้ความคิดของท่านจดจ่อกับเบื้องบน

ตอนนี้มาบอกว่าเราเกิดใหม่แล้วนะ วิญญาณเรา เนเจอร์ข้างใน ธรรมชาติข้างใน สันดานเป็นใหม่หมด เพราะฉะนั้น การกระทำข้างนอก ให้มันเป็นไปด้วยกันกับข้างในหน่อย อย่าให้มันฝืนมากนัก อะไรต่างๆ เหล่านี้ พระเจ้าต้องการให้เราได้เห็นภาพตรงนี้ จริงๆ ว่าอะไรเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ

โคโลสี 3:10 “ในเมื่อท่านสลัดทิ้งตัวตนเก่าๆ พร้อมกับความประพฤติเดิมๆ แล้ว และสวมตัวตนใหม่ ซึ่งกำลังทรงสร้างขึ้นใหม่ ตามพระฉายขององค์พระผู้สร้าง ขณะที่ท่านเรียนรู้จักพระองค์มากขึ้น”

 

ในเมื่อท่านสลัดทิ้งตัวตนเก่าๆ สลัดไปแล้ว เมื่อตอนที่ท่านเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด แล้วท่านรับเชื่อ ท่านได้ประหารตัวเก่าไปแล้ว คือสลัดทิ้งตัวเก่า สิ่งทั้งหมดนี้ กำลังพูดถึงโลกวิญญาณ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเนื้อหนังร่างกาย แล้วสวมตัวตนใหม่ ซึ่งกำลังทรงสร้างขึ้น มองไปก็หน้าเดิมทั้งนั้น ไม่เห็นตัวตนใหม่เลย แล้วในนี้บอกตัวตนใหม่ เจริญเติบโตขึ้นทุกวัน ผมเห็นทุกคนก็แก่ลงทุกวัน ไม่เห็นมีใหม่ขึ้นเลย มีแต่เก่าลงๆ แก่ลง เพราะกำลังพูดถึงโลกวิญญาณ จงให้ใจจดจ่อ ความคิดไปที่เบื้องบน ในโลกวิญญาณ  มันจะเห็นชัดขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งตัววิญญาณของเรา ที่เรามองไม่เห็น มันเจริญเติบโตใหม่ขึ้นทุกวัน เหมือนพระฉายขององค์พระผู้สร้าง พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น ตัวตนเก่าที่เต็มไปด้วยความบาป ความชั่วร้าย เต็มไปด้วยความประพฤติเดิมๆ ได้ถูกประหารเรียบร้อยไปแล้ว โดยผ่านความเชื่อในพระเยซูคริสต์ว่าพระเยซูคริสต์ตายที่ไม้กางเขน มนุษย์ทุกคน ก็มีสิทธิ์ตายพร้อมกับพระเยซูที่ไม้กางเขนด้วย เอเมน

ตายอย่างไร? ถูกประหารอย่างไร? คราวนี้เอาแบบสายตามนุษย์ก็ได้ แบบที่ตามองเห็นบ้าง? เช่น แต่ก่อนนี้ ก่อนที่เราจะรับเชื่อ วิญญาณเราเป็นวิญญาณแห่งความเกลียดชัง วิญญาณแห่งการฆ่าทำลาย วิญญาณของมาร เราไม่มีวิญญาณแห่งความรักเลย แต่พอเรามาเชื่อพระเจ้า  เรามีพระฉายพระเจ้า เป็นลูกพระเจ้า เราเป็นวิญญาณแห่งความรัก แต่ก่อนนี้เราไม่ได้เป็นวิญญาณแห่งความรัก เราเป็นทุกอย่างที่ตรงกันข้ามกับความรัก จะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม เช่น ขี้ทั้งหลาย เป็นคนขี้อิจฉา ไม่เคยกระทำคุณให้ใคร? เป็นคนไม่รักใคร? เป็นคนอวดตัว หยิ่งผยอง พูดง่ายๆ ตรงกันข้ามกับ 1 โครินธ์ 13:4 …

“ความรักก็อดทนนาน กระทำคุณให้ ไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ไม่หยาบคาย”

แต่ก่อนนี้ เราเป็นความเกลียดชัง ไม่อดทนนาน ไม่กระทำคุณให้ อิจฉา อวดตัว หยิ่งผยอง แต่ตอนนี้เราประหารตัวตนเก่านี้ทิ้งไปแล้ว ตัวตนที่มันอิจฉาริษยาเขา น้อยใจเขา โกงเขา  เอาเปรียบเขา เห็นแก่ตัว ทนไม่ได้ โมโหง่าย ตัวนี้มันตายไปแล้ว มันได้ถูกประหารทิ้งไปแล้ว แล้วเราได้รับวิญญาณใหม่ หรือตัวตนใหม่เข้ามาแล้ว ตัวตนใหม่ของเรา เป็นวิญญาณเหมือนพระเจ้า สะอาดบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า เป็นวิญญาณแห่งความรัก อดทนนาน เหมือนพระเจ้าไม่มีผิดเลย อินโนเซ้นต์กับเรื่องของความบาปเลย ไม่รู้เลย ความบาป เหมือนที่อาดัมและเอวาถูกสร้างขึ้นมาใหม่  สมัยที่ยังไม่ล้มลงไปในความบาป แก้ผ้ายังไม่รู้เลย ต้องอายใคร? มันอินโนเซ้นต์ในความบาป ท่านเข้าใจไหม? เราก็ไม่เข้าใจหรอก พระคัมภีร์บอกอย่างนั้น เราก็ว่าตามนั้น ผมก็ไม่เข้าใจ ไม่ใช่ว่าผมพูด แล้วผมเข้าใจ นี่ผมพูดตามถ้อยคำพระเจ้า ตัวตนใหม่ของเรา เป็นเหมือนพระเจ้า สะอาดบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า เป็นวิญญาณแห่งความรัก

“ฉันเป็นวิญญาณ วิญญาณฉันเป็นความรัก วิญญาณฉันเป็นความสว่าง วิญญาณฉันสะอาดบริสุทธิ์ ไร้บาป อินโนเซ้นต์ต่อบาปทั้งปวง”

นี่ตัวตนเราจริงๆ เป็นอย่างนี้ มองทะลุให้เห็น ใครที่ชอบหงุดหงิดยกมือขึ้น พูดอย่างนี้แล้วหายหงุดหงิดไหม? ไม่หายหรอก มันอาจจะค่อยๆ หาย แต่มันไม่หายไปหมดหรอก ถามว่าตัวหงุดหงิด ใครหงุดหงิด ตัวจริงๆ ท่านหงุดหงิดไหม? ไม่เลย เห็นหรือยัง?

ใครชอบขี้โกรธบ้าง อารมณ์เสียๆ ตะกี้ที่บอกว่า … “วิญญาณฉันเป็นความรัก วิญญาณฉันบริสุทธิ์” พูดด้วยจริงใจหรือเปล่า? จริงใจ เพราะฉันรู้ว่านั่นคือวิญญาณของฉัน แต่ที่ฉันหงุดหงิด มันอยู่ในร่างกายนี้ เราค่อยว่ากันไปเรื่อยๆ ว่าจะสู้กับมันอย่างไร?

เพราะฉะนั้น พระคัมภีร์จึงเตือนว่าจงฝึกฝน ประพฤติตัว ภายนอก ให้เป็นไปกับตัวแท้จริงข้างในของเรา ข้างในเรามีธรรมชาติอย่างนี้ แล้วเราจะไปทำทำไม? วิญญาณเราเป็นความรัก แล้วเราไปโกรธ มันไม่น่าดูเลย แค่นั้นเอง แล้วถามว่าเราทำได้ครบไหมตอนนี้ เป็นไปไม่ได้เลย เพราะเป็นไปไม่ได้ พระเยซูจึงต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน เพื่อเรา ช่วยเราทางวิญญาณ ที่เป็นตัวจริงๆ ของเรา  ให้มันสะอาดหมดจด ผุดผ่องไปเลย แต่ยังไงก็ตาม ถ้าเราทำตามถ้อยคำพระเจ้า เราจะมีความสุขมากขึ้น มันจะค่อยๆ เปลี่ยนนิสัยเราข้างนอก ถ้าเราจดจ่ออยู่ที่มัน ไม่ใช่จดจ่อฝ่ายโลก คือวันนี้ชอบหงุดหงิด แล้วคนมาเตือน แทนที่จะเราเป็นวิญญาณแห่งความรัก ค่อยๆ ฝึกฝน มองไปที่โลกวิญญาณ ในเบื้องบน เราเป็นวิญญาณแห่งความรัก เราควรจะฝึกฝนตนเอง ให้อภัยและอดทนนานขึ้น เปล่า กลับไปจดจ่อฝ่ายโลก ให้อภัยได้อย่างไร 30 ครั้งแล้ว มัวแต่จดจ่อที่ฝ่ายโลก มันก็ไม่มีวันที่จะดีขึ้น แต่ถ้าฝ่ายวิญญาณ มันไม่มีข้อยุติเลยว่าจะเถียงอะไรกับพระเจ้า เพราะว่ามันเป็นเนเจอร์ เป็นธรรมชาติ เราไม่ได้เป็นอย่างนั้น เราต้องจดจ่ออยู่ที่ธรรมชาติ ไม่อย่างนั้น เราก็จะปกป้องตัวเราเอง ไม่ได้ บางคนก็บอกไม่ได้  อย่างนี้ต้องปกป้องศักดิ์ศรี … ศักดิ์ศรีอะไร? ศักดิ์ศรีฝ่ายโลก ไม่ใช่ศักดิ์ศรีฝ่ายพระเจ้า … ศักดิ์ศรีของพระเจ้าใหญ่กว่าตั้งเยอะ ศักดิ์ศรีฝ่ายพระเจ้า ก็คือเราเป็นลูกพระเจ้า แต่ศักดิ์ศรีฝ่ายโลก เขากล่าวหาเรา เราไม่ได้เป็นจริงตามนั้น บอกทุกคนว่าฉันไม่ได้เป็น เรากำลังอยู่บนเวทีโลก กำลังป้องกันตัวเอง แบบโลก เราถูกล่อไปแล้ว ถ้าเราไม่สนใจ เรามองไปที่โลกวิญญาณอย่างเดียว  เราก็จะสงบ เห็นไหม? ความทุกข์ก็จะน้อย ปัญหาที่จะเกิดขึ้นตามมา ก็จะน้อยลง นี่คือความสุขที่พระเจ้าสามารถให้เราได้ โดยแค่เราเราจดจ่อที่เบื้องบน จดจ่อที่โลกวิญญาณ มันจะไม่เหมือนกับฝ่ายโลก แล้วถ้าเราทำอย่างนี้บ่อยๆ นิสัยข้างนอก เราก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป จากคนที่หงุดหงิดมากๆ ก็หงุดหงิดน้อยลง จากคนที่ไม่ค่อยให้อภัยใคร ก็สามารถให้อภัยได้ จากคนที่ทนอะไรไม่ค่อยได้ ก็สามารถทนได้มากขึ้น นี่แหละ คือความสุข

เราถูกรับตัวจากอาณาจักรของความมืด มาอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่าง ตัวตนที่แท้จริงของเรา เปลี่ยนไปแล้ว จากลูกสมุนแห่งความชั่วร้าย คือมาร กลายมาเป็นลูกของพระเจ้า อยู่ในบ้านพระเจ้า แล้วเรายังจะคงทำตัวเหมือนเดิมอีกหรือ? เรามีวิญญาณใหม่ เป็นวิญญาณที่เรียกว่าวิญญาณแห่งความรัก พระวิญญาณก็จะค่อยๆ สอนเรา ให้ประพฤติปฏิบัติตัวภายนอก ให้มันสอดคล้องกับภายใน ให้มันเป็นความรักด้วย มันจะไม่ได้ 100% หรอก แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้เลย แต่เป็นประโยชน์ มันทำให้ชีวิตเราดีขึ้น บนโลกใบนี้ ทำให้ท่านมีความสุขมากขึ้น มีสันติสุขมากขึ้นในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพระองค์เลย บางคนบอก เพื่อจะได้ถวายเกียรติพระองค์ พระองค์บอก ..

“ไม่ใช่ อันนั้นถวายเกียรติ เดี๋ยวฉันทำเองได้ ฉันห่วงเธอมากกว่า ฉันอยากให้เธอมีความสุขในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ฉันจะใช้เธอเป็นตัวอย่าง เป็นคำพยานในชีวิตต่อไป” อย่างนี้มากกว่า

ความรักตามพระคัมภีร์ คืออดทนนาน กระทำคุณให้ มีเมตตา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ไม่หยาบคาย ไม่เห็นแก่ตัว ไม่ฉุนเฉียว ไม่ช่างจดจำความผิด ไม่ชื่นชมยินดี เมื่อประพฤติชั่ว แต่ชื่นชมยินดีในความจริง ไว้วางใจเสมอ มีความหวังอยู่เสมอ อดทนบากบั่นอยู่เสมอ วันนี้ยังทำไม่ได้ ไม่เป็นไร ก็ค่อยๆ ฝึกฝนไป พระวิญญาณก็จะนำพาเราไปทีละนิดทีละหน่อย ได้มากเท่าไรก็เป็นประโยชน์ต่อตัวเองมากเท่านั้น  ไม่ได้เป็นประโยชน์ต่ออะไรอย่างอื่นเลย นึกถึงเวลาเราเลี้ยงลูก เราอยากให้ลูกมีความสุข เพราะเราจะมีความสุขหรือ? เปล่า เราคิดอย่างเดียว ให้เขา เขาจะได้ดีๆ ใช่ไหม? มีใครมานั่งเลี้ยงลูก เขาจะได้มาเลี้ยงเรา  อันนั้นมันลงทุนแล้ว ใช่ไหม?

นี่คือความหมายที่บอกว่า “จงสวมตัวตนใหม่ ที่พระเจ้าได้ทรงสร้างขึ้นใหม่ ตามพระฉายของพระองค์ ในขณะที่ท่านเรียนรู้จักพระองค์มากขึ้น”

นี่คือความหมายรวม สวมตัวตนใหม่ ก็คือฝึกฝน ทำตามที่ธรรมชาติในวิญญาณของเรา ที่เป็นขึ้นมาใหม่แล้ว ธรรมชาติวิญญาณของเราที่เป็นแบบสวรรค์ เป็นของสวรรค์ ไม่ได้เป็นฝ่ายโลก พระคัมภีร์จึงเตือนย้ำให้เราจดจ่อไปยังสิ่งที่อยู่เบื้องบน คือสวรรค์ มันก็จะเป็นผลดีต่อตัวเราก่อนเลย ในระหว่างที่เรายังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เพราะจะทำให้เราได้เห็นความชัดเจนเลยทีเดียวว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ มันไม่ได้จีรังยั่งยืนเลย แต่ที่ยั่งยืนถาวรนั้น คือในสวรรค์ ในโลกวิญญาณต่างหาก พระเจ้ากำลังพาเรามาถูกทางแล้ว อะไรอย่างนี้เป็นต้น และถ้าเราไปยึดติดอยู่กับอะไรที่เกี่ยวกับโลกใบนี้อยู่ วันหนึ่งก็จะมีการเปลี่ยนแปลง สูญสิ้นไป ดับสูญไป แล้วชีวิตเราก็จะไม่มีวันที่จะพบกับความสงบสุข สันติสุขได้เลย เพราะเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย แต่ถ้าเรามองไปในสิ่งที่อยู่เบื้องบน สิ่งที่ตามองไม่เห็น แต่เรามีความหวังใจอยู่ตรงโน้น และความหวังใจตรงนั้น มันไม่มีการเปลี่ยนแปลง มันนิ่งเลย มันถาวรนิรันดร์ แล้วมันก็เป็นของเราจริงๆ ด้วย แค่พูดแค่นี้ ท่านคิดดู ท่านจะมีความสุขขนาดไหน? ถ้าใครจดจ่ออย่างนั้นได้ ตลอด 24 ชั่วโมง มันจะมีความสุขมาก จดจ่อได้แค่ 1 ชั่วโมง ก็จะมีความทุกข์อยู่อีก 23 ชั่วโมง ท่านไปคิดคำนวณดูแล้วกัน 2 โครินธ์ บทที่ 4 เกี่ยวกับเรื่องนี้ ซึ่งสอดคล้องกัน เรื่องเกี่ยวกับการจดจ่อ ชัดเจนมากเลยว่ามันเกิดประโยชน์อะไรกับชีวิตของเรา

2 โครินธ์ 4:16-18 “16 เพราะฉะนั้น เราจึงไม่ท้อใจ ถึงแม้กายภายนอกของเรากำลังทรุดโทรมไป แต่จิตใจภายในของเรา กำลังฟื้นขึ้นใหม่ทุกวัน 17 เพราะความทุกข์ลำบากเล็กๆ น้อยๆ เพียงชั่วคราวของเรา  ทำให้เราได้รับศักดิ์ศรีนิรันดร์  ซึ่งเหนือกว่าสิ่งเหล่านั้นทั้งหมดมากมายนัก 18 ดังนั้น เราจึงไม่จับจ้องอยู่กับสิ่งที่มองเห็น แต่อยู่กับสิ่งที่มองไม่เห็น เพราะสิ่งที่เรามองเห็นนั้นไม่จีรังยั่งยืน แต่สิ่งที่เรามองไม่เห็นนั้น ถาวรนิรันดร์”

 

นี่คือความหมายที่บอกว่าการจดจ่อความคิดของเราไปยังสิ่งที่อยู่เบื้องบน จะเป็นผลดีต่อตัวเราเอง ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เพราะจะทำให้เราไม่ท้อใจ ไม่กังวล ไม่กลัว ไม่เครียด ท่านคิดว่าชีวิตคนเราที่มีความทุกข์เกิดจากอะไร?

ต้นเหตุที่แท้จริงในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ที่ทำให้เกิดทุกข์ ไม่ได้อยู่ที่ปัญหานั้นๆ แต่อยู่ที่ … ในพระคัมภีร์ 2 โครินธ์ 10:3-5 บอกว่าเพราะศาสตราอาวุธของเรา ผู้ที่เชื่อในพระเจ้า ไม่ใช่เป็นวัตถุสิ่งของที่จับต้องมองเห็นได้ แต่เป็นโลกฝ่ายวิญญาณ ที่จะทำลายป้อมปราการ ข้อต่อมาบอกว่าจงจับความคิดทั้งหมด ให้มันเชื่อฟังต่อพระคริสต์ ต้นเหตุของปัญหาทั้งหมด ความทุกข์ทั้งหมด มันอยู่ที่ความคิด ถ้าคิดถูกมันก็มีสุข ถ้าคิดไม่ถูก ก็มีทุกข์  คิดไม่ถูกยิ่งหนักใหญ่ หนักเข้าไปเรื่อยๆ ความท้อใจ ความกังวล ความกลัว วันนี้ไม่มีเงิน เป็นทุกข์ เพราะกลัวจะไม่มีกิน ถูกไหม? ใช่ความคิดไหม?

ฟังให้ดี วันนี้ไม่มีเงิน ก็เป็นทุกข์ เพราะกลัวจะไม่มีกิน  กลัว คือคิดกลัวแล้ว

วันนี้มีเงินเยอะ ก็เป็นทุกข์ เพราะกลัวว่าเงินมันจะหมด  มันจะลดลง เพราะกลัวว่าใครจะมาขโมยไป หรือกลัวว่าที่มีอยู่มันไม่พอ เดี๋ยวมันไม่พอ จะทำอย่างไร?

วันนี้เจ็บป่วย ก็ท้อใจ กลัวเจ็บมากขึ้น กลัวตาย

วันนี้มีปัญหาเรื่องงาน ก็ทุกข์ เพราะกังวลว่าเดี๋ยวจะตกงานหรือเปล่า? ตอนนี้ทำงานอยู่นะ แต่ไปคิดล่วงหน้าว่าพรุ่งนี้เขาจะไล่เราออก

อย่างนี้เป็นต้น นี่คือผลของการจดจ่ออยู่กับสิ่งฝ่ายโลก คือสิ่งที่ตามองเห็น จับต้องได้ ซึ่งจะทำให้เราเป็นทุกข์แน่นอน เพียงแต่จะทุกข์มาก หรือทุกข์น้อยเท่านั้น แต่ถ้าเราจดจ่ออยู่กับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ในโลกวิญญาณ ความกลัว กังวล ความท้อใจ ก็น้อยลง ความทุกข์ก็จะน้อยลงไป สันติสุข ความสุขมันก็เข้ามาแทนที่ได้มากขึ้น จะบอกว่าสุขเลยนะ ไม่ใช่สันติสุขอย่างเดียว  นี่แหละ คือที่เรียกว่าเป็นการถวายเกียรติแด่พระเจ้า และเป็นประโยชน์ต่อตัวเราเอง พระเจ้าต้องการให้เราได้รับอย่างนี้ มันไม่ง่าย แต่มันก็ไม่ยาก เพราะว่ามีแสงสว่างให้เราเดิน

ไม่กลัวความลำบากอีกแล้ว แม้ว่ากายภายนอกของเราจะทรุดโทรมไป แม้ว่า … ก็แสดงว่าต่อให้มันเป็น  ฉันก็ไม่ท้อใจ

เหตุฉะนั้น เราจึงไม่ท้อใจ

เหตุฉะนั้น เราจึงไม่กลัว

เหตุฉะนั้น เราจึงไม่กังวล

เหตุฉะนั้น เราจึงไม่เครียด

เหตุฉะนั้น เราจึงไม่ซึมเศร้า

ถึงแม้ว่ากายภายนอก นี่พูดถึงกายจริงๆ แล้วนะ มันจะทรุดโทรมลงไปทุกวันๆ แก่แล้ว เหี่ยวแล้ว มันเดินทางไปสู่ความตาย ตามธรรมชาติของมัน ซึ่งมันต้องตาย เพราะบาป แต่ถ้าเราจดจ่อ จดจ้องไปที่โลกวิญญาณ และเรารู้ว่าวิญญาณข้างในเราเจริญเติบโตใหม่ขึ้นทุกวัน มันก็จะมีความสุข มีชีวิตที่เป็นสุขบนโลกใบนี้ เพราะความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ มันเปรียบอะไรไม่ได้เลยกับศักดิ์ศรีถาวรนิรันดร์ ที่เราได้รับจากพระเจ้าในโลกวิญญาณ ถ้าเราเปรียบตรงนี้มันจะเห็นชัด มันก็ยิ้มแย้มแจ่มใสได้ จดจ่อได้มาก ก็ยิ้มแย้มแจ่มใสได้มาก จดจ่อได้น้อย ก็ยิ้มแย้มแจ่มใสได้น้อย ต้องจดจ่อ เอาเรื่องนี้ ไปท่องทุกวัน ตามที่ผมเคยแนะนำไปครั้งที่แล้ว ให้ใช้การใคร่ครวญถ้อยคำพระเจ้า

อย่างถ้อยคำนี้ “เพราะฉะนั้น ฉันจึงไม่ท้อถอย ไม่ท้อแท้ แม้ว่าตอนนี้เป็นไมเกรนอยู่ แม้ว่าตอนนี้แก่แล้ว เดินไม่ไหว แม้ว่าตอนนี้ เป็นโรคภูมิแพ้ รักษาไม่หาย แม้ว่าตอนนี้เป็นอะไรก็แล้วแต่ ทุกข์ยากลำบากเหลือเกิน เดี๋ยวก็โน่น เดี๋ยวก็นี่ กำลังทรุดโทรมไป แต่ว่าวิญญาณใหม่ข้างใน ที่ฉันได้รับจากพระเจ้า วิญญาณใหม่ที่เหมือนพระเยซู ใจใหม่ที่สะอาด บริสุทธิ์ ที่อยู่กับพระเจ้าแล้ว มันกำลังเจริญเติบโตใหม่ขึ้นทุกวันๆ เพราะฉันเห็นแล้วว่าความทุกข์ลำบากในร่างกายที่เจ็บป่วย เดินเหินลำบาก มันเพียงชั่วคราว เดี๋ยวไม่กี่ปี มันก็ต้องจบ แต่ศักดิ์ศรีถาวรนิรันดร์ที่ฉันจะได้รับในโลกวิญญาณ ฉันเป็นลูกพระเจ้า ฉันจะไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถาน และพระเจ้าเตรียมร่างกายใหม่ ร่างกายสวรรค์ให้กับฉัน ที่ไม่ต้องมีน้ำตาอีกต่อไป ไม่ต้องมีความทุกข์อีกต่อไป ไม่ต้องเป็นไมเกรนอีกต่อไป ไม่ต้องกังวลอีกต่อไป นั่นถาวรนิรันดร์เลย  อีกไม่นาน ก็จะได้รับแล้ว”

แบบนี้มีกำลังขึ้นมาเยอะเลย “ฉันไม่ต้องหาเช้ากินค่ำ ลำบากลำบนต่างๆ ทุกวันเหนื่อยเหลือเกิน แต่มีวันหยุด มีวันสิ้นสุด แต่สิ่งที่ฉันหวังไว้ในชีวิตนิรันดร์ มันไม่มีสิ้นสุด ฉันจะครอบครองร่วมกับพระเยซูคริสต์นิรันดร์ ร่างกายใหม่ฉันจะอยู่อย่างนั้นนิรันดร์ ไม่มีน้ำตา พระองค์จะเช็ดน้ำตาทุกหยด ไม่มีโรคอีกแล้ว ตลอดไป นิรันดร์”

ความหมายมันแปลอย่างนี้เมื่อเทียบกับความทุกข์ลำบากบนโลกใบนี้ พรุ่งนี้จะต้องไปทำมาหากินเหน็ดเหนื่อยเหลือเกิน เงินก็ไม่พอใช้ อะไรก็ว่ากันไป แต่มาเทียบกับชีวิตนิรันดร์ที่ฉันหวังไว้ มันขี้ประติ๋ว ก็ทำให้มีพลังอยู่ต่อ

และนี่คือน้ำพระทัยพระเจ้าที่ให้เราดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้อย่างมีสันติสุข มีความสุขที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้ สำหรับทุกคน พระเจ้าวางแผนไว้ให้เสร็จเรียบร้อย ผมจะจบลงที่ 1 เปโตร 1:3-4

“เราจึงสรรเสริญพระเจ้าตลอดเวลา ขอบคุณพระเจ้าตลอดเวลา ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ มันไม่สามารถเทียบกับสิ่งที่ฉันได้รับเรียบร้อยไปแล้ว ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้กับฉันในสวรรค์สถาน และสัญญาว่าจะให้ร่างกายใหม่กับฉันในสวรรค์สถาน ไม่มีอะไรเทียบแล้ว”

1 เปโตร 1:3-4 “3 สรรเสริญพระเจ้า พระบิดาขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา ด้วยพระเมตตายิ่งใหญ่ พระองค์ทรงให้เราทั้งหลายบังเกิดใหม่ เข้าในความหวังอันยืนยง โดยการเป็นขึ้นจากตายของพระเยซูคริสต์ 4 และเข้าในมรดก อันไม่มีวันเสื่อมสลาย เน่าเสีย หรือเลือนหายไป ซึ่งทรงเตรียมไว้ในสวรรค์ เพื่อพวกท่าน”

 

พระเจ้าได้ทรงประทานของประทานทางฝ่ายวิญญาณ พระพรทางฝ่ายวิญญาณ นานัปการ ไม่มีวันหมดสิ้นเลยจริงๆ เยอะแยะไปเลย ให้กับเราทั้งหลายที่เชื่อในพระเยซู เรียบร้อยไปแล้ว จบหมดแล้ว ในพระเยซูคริสต์ ในโลกวิญญาณ ไม่ใช่โลกวัตถุนี้

ให้เราฝึกฝนใคร่ครวญถ้อยคำนี้ เพื่อเราจะได้รู้จริงๆ ว่าอะไร คือความจริงที่เรามองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน จับต้องไม่ได้ แต่มันมีอยู่จริงๆ ให้พูดตามผมนะครับ

“เหตุฉะนั้น ฉันจะไม่ท้อใจ ไม่กังวล ไม่เครียด ไม่วิตก แม้ว่าร่างกายนี้ จะทรุดโทรมไปทุกวัน จะเจ็บปวด เจ็บป่วย แก่ลงทุกวัน แต่วิญญาณของฉัน วิญญาณใหม่ ที่พระเจ้าได้ให้บังเกิดใหม่ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์และใจใหม่ที่ทรงประทานให้ ที่เป็นใจที่เหมือนพระเยซู บริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ เป็นลูกของพระเจ้า ที่ไร้มลทิน ไร้บาปทุกชนิด กำลังเจริญเติบโตใหม่ขึ้นทุกวันและทุกวัน และฉันเห็นว่าความทุกข์ลำบาก ปัญหาต่างๆ ในการดำเนินชีวิตในร่างกายบนโลกใบนี้ ในขณะนี้ มันเล็กน้อยมาก เมื่อเทียบกับศักดิ์ศรีถาวรนิรันดร์ ที่ฉันจะได้รับ จากพระเจ้า คือร่างกายใหม่ ร่างกายสวรรค์ที่ไม่ต้องเจ็บปวด เจ็บป่วย ไม่มีน้ำตา ไม่มีความทุกข์เศร้าโศก ที่ทรงจดเตรียมไว้ให้กับฉันวันหนึ่งข้างหน้า และนี่คือความหวังใจของฉันที่จะอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถาน ครอบครองร่วมกับพระเยซูคริสต์ ในสวรรค์นี้ ไม่ใช่ 100 ปี ไม่ใช่ 200 ปี และไม่ใช่ 1,000 ปี แต่จะมีความสุขอย่างนี้นิรันดร์ นี่คือความหวังใจของฉัน”

ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

************************

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 21 กรกฎาคม 2019 เรื่อง “สำเร็จแล้ว … จงให้ความคิดของท่านจดจ่อกับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก” ตอน 8.1 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  21  กรกฎาคม  2019

 เรื่อง “สำเร็จแล้ว … จงให้ความคิดของท่านจดจ่อกับสิ่งเบื้องบน  ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก” ตอน 8.1

โดย นคร  เวชสุภาพร

            เราเรียนรู้โลกวิญญาณ ความจริงในถ้อยคำพระเจ้ากันมามากเลยนะ จริงๆ อยากให้ทุกคน ถ้ามีโอกาสกลับไปฟังเยอะๆ การฟังบ่อยๆ มากๆ จดจ่อที่เรื่องโลกวิญญาณ ซึ่งไม่รู้จะไปหาที่ไหน มันมีแต่ความรู้บนโลกใบนี้ เกือบ 100% โลกวิญญาณไม่ค่อยมีใครพูดถึงเลย จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องเรียนรู้สิ่งเหล่านี้  ถ้าเราคิดว่าเราจะอยู่บนโลกใบนี้อย่างมีความสงบ มีความสุขมากที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้ มีความทุกข์น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก็ต้องรู้เรื่องความจริงเหล่านี้ มันเหมือนแผนที่ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ซึ่งมันมีที่เดียว แล้วเรามั่นใจว่ามันเป็นความจริง เพราะว่าเป็นคำพูดของพระเยซูเอง เป็นคำพูดของพระเจ้าเอง และบันทึกในพระคัมภีร์ สามารถไปเปิดดู ค้นดู ค้นคว้าว่ามันใช่ไหม? มันถูกไหม? แล้วดูชีวิตของเรา มันเป็นจริงตามนั้นจริงๆ ไหม?

นี่แหละคือเคล็ดลับในการดำเนินชีวิตที่มาเชื่อพระเจ้าแล้วจะถวายเกียรติพระเจ้า หลายคนเข้าใจผิดคิดว่าการถวายเกียรติพระเจ้า ต้องทำอะไรเยอะแยะมากมายไปหมด แต่การถวายเกียรติพระเจ้า คือการได้รับรู้เรื่องจริงๆ ว่าอะไรเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ พูดง่ายๆ ว่ารู้ลึกซึ้งในเรื่องข่าวประเสริฐ ข่าวดีของพระเยซู และนำมาใช้ในชีวิตให้ถูกต้อง นั่นแหละ พระเจ้าได้รับเกียรติสูงสุด วันนี้ เราจะมาต่อ จริงๆ ก็ต่อทุกวัน ผมต่อมา 30 ปีแล้ว ก็ต่อเรื่องเดียวกันนั่นแหละ เรื่องพระคัมภีร์ เรื่องความจริงในโลกวิญญาณ ซึ่งลึกซึ้งเข้าไปเรื่อยๆ

สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจ คือเราจะต้องติดตามคำบรรยายสดใหม่เสมอๆ ไม่ใช่ไปติดอยู่ที่อันเก่า เมื่อ 2 ปีที่แล้ว 3 ปีที่แล้ว 10 ปีที่แล้ว 20 ปีที่แล้ว ไม่ใช่ แต่เราต้องติดตามใหม่ว่าสัปดาห์ที่แล้วพูดถึงอะไร? สัปดาห์ก่อนนี้ พูดถึงอะไร? วันนี้จะพูดถึงอะไร? มันจะต่อเนื่องกันมาเรื่อยๆ นี่คือการเรียนเรื่องโลกวิญญาณ หรือการเรียนพระคัมภีร์ที่ถูกต้อง เจริญเติบโตไปเรื่อยๆ ถ้าเป็นจริงตามถ้อยคำพระเจ้า ถ้าเป็นพระเจ้าจริง มันจะมีมาใหม่เสมอ ในทุกๆ วันใหม่ เอเมน พระเจ้าจะบอก จะสอนเรา ถ้าเราสนใจ พระเยซูบอกว่า …

“จงเคาะแล้วจะเปิด จงหาแล้วจะพบ จงขอแล้วจะได้”

ในพระคัมภีร์ภาษาเดิม เขาจะพูดถึงรายละเอียดในคำนั้นมากกว่าภาษาไทยที่เราอ่านกัน ตรงนี้พระเยซูพูดอย่างนี้ว่า …

“จงขอและขออย่างต่อเนื่องเรื่อยๆ แล้วท่านจะได้รับอย่างต่อเนื่องเรื่อยๆ จงเคาะแล้วเคาะต่อไปเรื่อยๆ แล้วมันจะถูกเปิดเรื่อยๆ จงหาและหาต่อเนื่องไปเรื่อยๆ แล้วท่านจะพบเรื่อยๆ และได้มาพบความจริงนั้นเรื่อยๆ นี่แหละ”

ไม่ใช่ รู้แล้ว รู้ข่าวประเสริฐ คืออะไร? จบ ก็ได้แล้วไง ได้แค่นั้น ก็จบอยู่แค่นั้น ไม่เจริญเติบโตต่อไป ก็ไม่เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า ถ้าท่านรู้ความจริงในเรื่องข่าวประเสริฐของพระเยซูมากขึ้น ท่านก็จะถวายเกียรติต่อพระเจ้าได้มากขึ้น ถ้าท่านรู้ในเรื่องโลกวิญญาณมากขึ้น ท่านก็ทำให้พระเจ้าพอใจมากขึ้น พระเจ้าพอใจที่ชีวิตท่านมีความสุข มีสันติสุขมากยิ่งขึ้น หลายครั้งเราอธิษฐาน เราอยากขอให้หายป่วย พระเจ้าพยายามตอบเราๆ แต่เราจะได้รับพระพรนั้นหรือไม่ ขึ้นอยู่กับความรู้ในโลกวิญญาณว่าเรารู้อะไรไหม? ถ้าเรามาฝังอยู่ในโลกวัตถุ ในโลกใบนี้ว่า …

“ฉันต้องหายๆ”

แล้วคิดดู ชีวิตจะมีความสุขได้อย่างไร? ในเมื่อโลกนี้ มันไม่ได้เป็นอย่างนั้น แล้วมันคืออะไรล่ะ? ก็แสวงหาในโลกวิญญาณว่าพระเจ้าตอบเราว่าอย่างไร? นี่แหละ พอท่านรู้ พระเจ้าก็ยิ้ม คำว่ายิ้มไม่ได้หมายถึงว่าท่านหายโรค หรือไม่หาย แต่ท่านมีสันติสุข มีความสุข สามารถเผชิญได้กับทุกสิ่ง ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ ตามน้ำพระทัย เอเมน

เราเพิ่งจะเรียนรู้เรื่องซีรี่ย์ชุด “Tetelestai” จ่ายหมดแล้ว สำเร็จแล้ว ที่เป็นผลจากสิ่งที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำสำเร็จแล้ว บนไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว เราเรียนกันมา 7 ตอน

–  No Condemnation in Christ – ได้สำเร็จแล้ว

–  ได้สำเร็จแล้ว

–  สำเร็จแล้ว … เราได้ตายไปแล้วกับพระคริสต์

–  สำเร็จแล้ว … ไม่มีการลงโทษใดๆ อีกแล้ว

–  สำเร็จแล้ว … เราได้รับชีวิตใหม่แล้ว

–  สำเร็จแล้ว … เราได้รับวิญญาณและความคิดจิตใจใหม่แล้ว

–  สำเร็จแล้ว … เราได้กลับมาเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว

เราได้เรียนในซีรี่ย์นี้ สิ่งที่บอกว่า “แล้วๆ” ทั้งหมดนี้ มันเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ ที่ตามองไม่เห็นทั้งสิ้น จึงต้องมาเรียนรู้ จึงต้องมาเฝ้าดูบ่อยๆ เพราะมันไม่เห็น สิ่งที่ตามองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน คือสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้สำหรับคนที่รักพระองค์ แสวงหาพระองค์

วันนี้เราจะมาดูกันต่อว่าจากสิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่พระเยซูได้กระทำสำเร็จแล้ว พระคัมภีร์สอนให้เรานำมาใช้ หรือนำมายึดถือ ปฏิบัติตัวอย่างไร? ในระหว่างที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ซึ่งเป็นโลกวัตถุ ที่ตามองเห็น จับต้องได้ จะอยู่แค่ชั่วคราวเท่านั้น ความจริงในโลกวิญญาณที่พระเยซูสอนเราว่า “สำเร็จแล้ว” มันเกี่ยวเนื่องกับการดำเนินชีวิตของเราอย่างไร? เอามาใช้อย่างไร? ผมใช้หัวข้อเรื่องวันนี้ว่า “จงให้ความคิดของท่านจดจ่อกับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก”

จงให้ความคิดจิตใจของท่านจดจ่อ แปลว่าตั้งมั่นอยู่ที่เบื้องบน คือโลกวิญญาณ ไม่ใช่ฝ่ายโลก คือโลกวัตถุที่ตามองเห็นจับต้องได้ ไม่ใช่ แต่ในโลกวิญญาณ เราตายไปแล้วกับพระคริสต์ ไม่มีการลงโทษอีกแล้ว ได้รับชีวิตนิรันดร์แล้ว ได้รับวิญญาณใหม่แล้ว นี่คือความจริงในโลกวิญญาณที่เราได้เรียนรู้กัน จากพระคัมภีร์ ตอนนี้ควรจะดูแลชีวิตอย่างไร? ควรดูแลตัวเองอย่างไรดี ควรจะระวังเรื่องอะไรในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  เอาความจริงนั้นมาใช้อย่างไร? เป็นลูกพระเจ้า แล้วจะทำตัวอย่างไรในโลกใบนี้

พระคัมภีร์ในหนังสือโคโลสี บทที่ 3 จะเป็นบทสรุปของลักษณะวิสัย หรือธรรมชาติวิสัย ก็คือสันดานของผู้ที่เชื่อพระเจ้าแล้ว มีสันดานอย่างไร? มีธรรมชาติวิสัยในตัวเขาจริงๆ ในวิญญาณเขาจริงๆ อย่างไร? โลกวัตถุยังมีเหมือนเดิม อยู่บ้านเดิม กินข้าวเหมือนเดิม ทำอะไรเหมือนเดิม มีปัญหาอะไรต่างๆ ก็เหมือนเดิม แต่ในโลกวิญญาณ เมื่อมาเชื่อพระเจ้าแล้ว มันเปลี่ยนไป

โคโลสี 3:1-2 “1 ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลายเป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว ก็จงให้ใจของท่านจดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า 2 จงให้ความคิดของท่านจดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก”

 

จงให้ความคิดของท่านจดจ่อกับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก ก็คือจงให้ความคิดของท่านจดจ่ออยู่กับสิ่งที่มองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลกที่มองเห็นได้ และจับต้องได้ ตรงนี้เป็นหัวใจที่สำคัญที่สุดของการดำเนินชีวิตคริสเตียน หรือผู้เชื่อในข่าวดี เป็นกระดุมเม็ดแรกเลย ถ้ากลัดกระดุมเม็ดแรกนี้ผิด ต่อไปผิดหมดเลย เละเลย กระดุมเม็ดแรก คืออะไร ศูนย์รวมทางความคิดของผู้เชื่อทั้งหมด ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม ไม่ว่าเป็นเรื่องเล็ก เรื่องใหญ่ ให้มองทะลุว่าเรา ฉันอยู่เบื้องบน อยู่ในสวรรค์เรียบร้อยแล้ว เบื้องบน คือที่มันดีกว่า ในโลกวิญญาณ ฉันอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าแล้ว ให้มองทะลุไปให้เห็นว่ากำลังเดินอยู่ กำลังนั่งอยู่ขณะนี้ ท่านนั่งอยู่ในโลกฝ่ายวิญญาณ ที่เรียกว่าสวรรค์กับพระเจ้าแล้ว ท่านนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูในสวรรค์สถานเรียบร้อยไปแล้ว บันทึกอยู่ในพระคัมภีร์ทั้งเล่ม เยอะแยะไปหมดเลย บ้านถาวรของเราอยู่ที่สวรรค์ อยู่ที่โลกวิญญาณนี้ พ่อถาวรของเรา คือพระเจ้า ทรัพย์สมบัติถาวรของเรา เก็บไว้ที่สวรรค์ ท่านจะเห็นภาพชัด ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเห็น ที่เรามี ที่เราเป็นบนโลกใบนี้ ล้วนเป็นของไม่เที่ยง ล้วนเป็นอนิจจัง ล้วนเป็นสิ่งชั่วคราวทั้งสิ้น ไม่ว่าวันนี้ จะมั่งมี หรือยากจน มันก็แค่ชั่วคราว สุขภาพวันนี้จะแข็งแรงหรือเจ็บป่วย มันก็แค่ชั่วคราว ชีวิตวันนี้ จะสุขสบาย หรือทุกข์ลำบาก มันก็แค่ชั่วคราว ทุกสิ่งมันเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน ที่เขาบอกว่าความแน่นอน คือความเปลี่ยนแปลง ทุกสิ่งเป็นอนิจจัง มีขึ้น มีลง มีเกิดขึ้นและดับไป เกิดขึ้นแล้วหายไป เกิดขึ้นแล้วสิ้นไป

แต่สิ่งที่อยู่เบื้องบน คือในโลกวิญญาณ ทุกอย่างเป็นนิรันดร์ และมันจะเป็นอย่างนั้นตลอดไป และถ้าศึกษาลึกเข้าไป ท่านจะเห็น แล้วว่ามันเป็นแค่นั้นไม่พอ มันเป็นเดี๋ยวนี้เลย ท่านอยู่ในนั้น เดี๋ยวนี้ ไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต เข้าใจยาก แต่พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น ขอบคุณพระเจ้า เคยฟังเพลงนี้ไหม?

“สักวันแล้วมันก็จะผ่านไป ไม่มีเรื่องอะไรใหม่ เกิดขึ้นแล้ว ก็ผ่านไป

สักวันน้ำตาจะหยุดไหล สุขทุกข์ร้ายดีเท่าไร แค่ไหน ก็ผ่านไป”

นี่คือพระคัมภีร์บอกเรา  เพราะฉะนั้น เราควรจดจ่อตามที่พระคัมภีร์สอนเรา ให้เราฉลาด จดจ่อในอะไรก็ตามที่มันไม่เปลี่ยน ก็คือโลกวิญญาณ ในเบื้องบนนั่นเอง แล้วถ้าเรายึดทางความคิดได้แบบนี้ การดำเนินชีวิตของเราบนโลกใบนี้  การประพฤติปฏิบัติของเราบนโลกใบนี้ มันก็จะเปลี่ยนแปลงไปทันทีเลย มันขึ้นอยู่กับเราตั้งเป้าหมายในความคิด

โคโลสี 3:3-4 “3 เพราะท่านตายแล้ว และบัดนี้ ชีวิตของท่าน ถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ ในพระเจ้า 4 เมื่อพระคริสต์ผู้ทรงเป็นชีวิตของท่านปรากฏ เมื่อนั้น ท่านก็จะปรากฏพร้อมกับพระองค์ ในพระเกียรติสิริด้วย”

 

เข้าใจยากมากเลย  เพราะท่านตายแล้ว เฮ้! ยังหายใจอยู่เลย บอกว่าตายได้อย่างไร?  เห็นได้ชัดไหม? ถ้าเราไม่เรียนรู้ ไม่เคาะต่อพระเจ้าว่าคืออะไร? เราก็จะไม่เอาแล้ว เพราะว่าท่านตายแล้ว ไม่ตายนิ ตายที่ไหน? ท่านรู้แล้ว ตายที่โลกวิญญาณ ตายเมื่อไร? ตายพร้อมกับพระคริสต์บนไม้กางเขน ทางวิญญาณ ตายอย่างไร? ไม่รู้ รู้แต่ว่ามันเป็นความจริง รู้แต่ว่าพระคัมภีร์บอกว่าตัวเก่าของเราได้ตายไปแล้ว ก็คือวิญญาณเก่าของเราได้ตายไปแล้ว บัดนี้ เราได้รับชีวิตใหม่ ทั้งวิญญาณ จิตใจใหม่หมด ที่วิญญาณของเรา

โรม 8:11 “และถ้าพระวิญญาณของพระองค์ ผู้ทรงให้พระเยซูเป็นขึ้นจากตาย สถิตในท่าน พระองค์ผู้ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย จะประทานชีวิตแก่กาย ซึ่งต้องตายของท่านด้วย พระองค์ประทานชีวิตนั้น โดยทางพระวิญญาณของพระองค์ ผู้สถิตในท่าน”

 

และวิญญาณจิตใจใหม่ของเรา  ที่พระเจ้าประทานให้ มีลักษณะเหมือนพระเจ้า เหมือนพระเยซูทุกประการเลย พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น  มีชีวิตที่ถูกซ่อนอยู่ในพระคริสต์ ในพระเจ้า ซ่อนอยู่ แอบอยู่ เพราะมันมองไม่เห็น แต่อยู่ที่นั่น อยู่ในพระคริสต์ อยู่ร่วมกับพระเยซู อยู่ร่วมกับพระเจ้า

ข้อ 4 บอกว่า “เมื่อพระคริสต์ ผู้ทรงเป็นชีวิตของท่านปรากฎ เมื่อนั้น ท่านก็จะปรากฏพร้อมกับพระองค์ ในพระเกียรติสิริด้วย”

ที่บอกว่าเมื่อพระคริสต์ผู้เป็นชีวิตของท่านปรากฏ คำว่า “ปรากฏ” ตรงนี้ พระคัมภีร์บางฉบับมีอธิบายว่าหมายถึงการเสด็จกลับมาอีกครั้งหนึ่งของพระเยซูคริสต์ พวกเราที่เชื่อพระเยซูแล้ว ที่เชื่อในข่าวดีนี้แล้ว ก็จะปรากฏพร้อมกับพระองค์ พระเยซูมีสภาพอย่างไร? มีลักษณะเป็นอย่างไร? เราทั้งหลายก็จะมีสภาพ มีลักษณะเดียวกันกับพระองค์เป๊ะเลย วันใดก็ตามที่จบโปรแกรมที่พระเจ้าวางไว้ สำหรับโลกใบนี้ เมื่อนั้น พระคริสต์จะกลับมาใหม่ ถ้าก่อนหน้าที่พระคริสต์กลับมา เราตายก่อนหมายถึงตายทางโลก วิญญาณเราก็ออกไปจากร่าง ไปอยู่ที่สวรรค์เหมือนกัน ไปรอที่นั่น มันมีความสุขไหมล่ะ

ถ้าเรามองเห็นภาพความจริงอย่างนี้ โลกวิญญาณมีความสุขไหม? ไม่ว่าพระคริสต์จะกลับมาพรุ่งนี้หรือไม่? หรือเราตายไปก่อน เราก็ไปรออยู่ในสวรรค์ ไม่ต้องไปไหนเลย อยู่ที่นั่นแหละ และมีสภาพเหมือนพระคริสต์เลย เหมือนที่เราอยู่ทุกวันนี้ แต่ทุกวันนี้เราอยู่ในร่างกาย ที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของบาปบนโลกใบนี้อยู่ มันเลยทำอะไรลำบากลำบน นั่นเป็นแผนการของพระเจ้าที่จะใช้เราบนโลกใบนี้

โคโลสี 3:5-6 “5 เหตุฉะนั้น จงประหารโลกียวิสัยของท่าน คือการผิดศีลธรรมทางเพศ ความโสมม ราคะตัณหา ความปรารถนาชั่ว และความโลภ ซึ่งเป็นการบูชารูปเคารพ 6 เนื่องด้วยสิ่งเหล่านี้ พระพิโรธของพระเจ้ากำลังจะมาถึง”

 

ตรงนี้ตั้งใจฟังเป็นพิเศษ ขอพระวิญญาณที่สถิตอยู่กับท่าน ให้ปัญญาท่านในการฟังด้วย พระคัมภีร์ตรงนี้ มีหลายคนเข้าใจผิด ข้อ 5 บอกว่า “จงประหารโลกียวิสัยของท่าน” โลกียวิสัย ก็คือสันดานบาป จงประหารสันดานบาปของท่าน สันดานบาปมองไม่เห็น แต่ยกตัวอย่าง คือการผิดศีลธรรมทางเพศ ความปรารถนาชั่ว ความโลภ มาถึงข้อที่ 6 บอกว่า “เนื่องด้วยสิ่งเหล่านี้ พระพิโรธของพระเจ้ากำลังจะมาถึง” ตะกี้นี้บอกวิสัยบาป โลกียวิสัย ยกตัวอย่างให้แค่ไม่กี่อัน แต่ผมอยากให้เห็นภาพชัดขึ้น คือความปรารถนาชั่ว ความโกรธ ความอิจฉาริษยา  และๆๆๆๆ เต็มเลย นี่เขายกตัวอย่างให้นิดเดียวเอง

ท่านมองภาพนะว่าทำไมผมถึงพาท่านมาตรงนี้ บางคนก็เลยตีความตรงนี้ว่าเป็นเรื่องของการกระทำ แล้วก็สอนต่อๆ กันมาว่าเมื่อมาเชื่อพระเจ้าแล้ว เมื่อมาเป็นคริสเตียนแล้ว เมื่อได้เกิดใหม่ในวิญญาณแล้ว ต้องละเว้นจากการทำชั่วเหล่านี้ เพราะถ้าใครยังกระทำชั่ว พระพิโรธของพระเจ้าก็จะมาถึงผู้นั้น คิดให้ดีๆ กับความจริงที่เราได้รับรู้มา มันแย้งกันไหม?

ถามว่าสอนอย่างนี้ สอนไม่ให้กระทำชั่ว แบบนี้ มันผิดไหม? มันไม่ได้ผิดในเชิงการสอนศีลธรรม เพราะใครๆ ก็สอนอย่างนี้ทั้งนั้น ไม่ว่าศาสนาใด ที่ใด และใครๆ ก็รู้ว่านี่คือสิ่งที่ต้องทำ สิ่งที่ถูกต้อง แต่พระเยซูถามกลับว่า แล้วทำได้ไหม? ทำครบไหม? บางคนก็เถียงพระเยซูว่า …

“ครบ ทำหมดเลย เราได้ขายอันโน้นอันนี้ เราได้รักษาศีลต่างๆ เยอะแยะมากมาย”

พระเยซูบอกเศรษฐีหนุ่มคนนั้นว่า “ไปขายทรัพย์สมบัติทั้งหมดเลย แล้วตามเรามา”

เศรษฐีหนุ่มนั้นไม่ไปนะ นี่คือเรื่องหนึ่งในจำนวนหลายๆ เรื่องที่พระเยซูแย้งกลับ

พระเยซูกำลังสอนว่า … “ทำดี ถูกต้อง แต่เราไม่ได้มาสอนให้ทำดี เพราะเจ้าทำดีอย่างไร?” ก็ไม่ครบ

จะมีคนเถียงไหม? เพราะเศรษฐีหนุ่มคนนี้ ยังเถียงพระเยซูเลยว่าครบๆ พระเยซูรู้ว่าในใจเขาขาดอะไรอยู่ ไปขายทรัพย์สมบัติ เพราะได้ทรัพย์สมบัติเยอะ เป็นเศรษฐี และตามเรามา ร้องไห้ ไม่ไปแล้ว พระเยซูบอกว่าถ้าท่านโกรธ ด่าพี่น้องว่าไอ้บ้า เท่ากับฆ่าเขาตาย ท่านบอก ฉันไม่เคยฆ่าคนเลย สัตว์ยังไม่ฆ่าเลย เคยโกรธใครไหม? ไม่เคยเลยเหรอ เคยด่าใครว่าไอ้บ้าหรือเปล่า? เคยด่าใครว่าไอ้สันดาน (วงเล็บ ไม่ได้พูดธรรมดานะ ในใจเกลียดชัง) แค่นั้นนิดเดียวพอ มีค่าเท่ากับฆ่าคนตาย เห็นหรือยัง? แสดงว่าไม่ใช่ ไม่ได้มาสอนศีลธรรมตรงนี้ เพราะว่าทำไม่ได้ครบถ้วน 100% อยู่แล้ว แล้วก็ไม่ต้องสอนด้วย เพราะว่าใครๆ เขาก็รู้หมดแล้ว ใครๆ เขาก็สอนอย่างนี้ ทั้งนั้นแหละว่าสิ่งเหล่านี้ มันไม่ดี แต่การสอนเหล่านี้ มันไม่ผิดทางด้านเชิงศีลธรรม แต่มันผิด ไม่ถูกต้องตามหลักข้อความเป็นจริงในพระคัมภีร์ ซึ่งเรียกว่าข่าวประเสริฐของพระเยซู  มันแย้งกับข่าวประเสริฐของพระเยซู เพราะข่าวประเสริฐไม่ได้พูดถึงเรื่องเหล่านี้ อันนี้ไม่ใช่ เอาข้อความที่พระเยซูพูด เอาข้อความในข่าวประเสริฐ แล้วมาพูดทางด้านนี้ มันก็ผิด มันไม่ใช่บริบท

บริบทนี้ สอนเรื่องนี้ว่าในโลกวิญญาณ เป็นอย่างนี้ ก็เหมือนที่ผมพูดแล้วพูดอีก และย้ำแล้วย้ำอีกว่าพระคุณของพระเจ้าไม่ได้เกี่ยวกับการกระทำเลยทั้งสิ้น และข่าวประเสริฐของพระเจ้า  มันเกี่ยวกับพระคุณอย่างเดียวเลย  และถ้อยคำของพระเจ้า มันเกี่ยวกับพระคุณของพระเจ้าทั้งเล่มเลย  ไม่ได้เกี่ยวกับการมาสอนคนให้ทำดี ทำดี ดีไหม? ดี คนก็รู้อยู่แล้ว แต่ได้ 100% ไหม? ไม่ได้ ทุกคนก็รู้ แล้วใครช่วยล่ะ นี่มาถึงข่าวดีแล้ว มาถึงข่าวประเสริฐแล้ว ถ้าเราสอนผิดๆ ไป ก็ไม่มีคนมาหาพระเยซู เพราะเขาทำดี ก็ทำได้แล้ว ช่วยเหลือตัวเอง ก็ไปทำให้มันมากขึ้น ทำปีนี้ไม่พอ ปีหน้าทำเพิ่ม ชีวิตนี้ทำไม่พอ ชาติต่อไปทำเพิ่ม แล้วมันใช่ข่าวประเสริฐไหม? ท่านเห็นไหม?

นี่เป็นหัวใจ ทำไมต้องมาจี้จุดตรงนี้บ่อยๆ แล้วดูเหมือนดี แต่มันไม่ถูก ไม่ถูกก็คือไม่ถูก ดูเหมือนดี ก็ไม่เอา แต่ถ้าถูก ดูเหมือนไม่ดี ก็เอา  อย่างเช่นที่บอกว่า …

“อย่างนี้ก็ดีสิ เชื่อพระเยซู ทำบาปอะไรก็ไปสวรรค์”

จริงหรือไม่จริง? จริง แต่คนทั่วไปรับได้ไหม? คริสเตียนบางคนยังรับไม่ได้เลย ทั้งๆ ที่ตัวเองก็ทำไม่ได้จริงๆ มาเชื่อพระเจ้าแล้ว ไม่โกรธใครเลย ทำได้ไหมล่ะ มาเชื่อพระเจ้าแล้ว ทำตัวเป๊ะ เหมือนพระเยซู 100% เลย ทำได้ไหม? ไม่ได้ แล้วเป็นอย่างไร? ตกนรกเหมือนเดิมเหรอ แล้วข่าวประเสริฐ คืออะไร? พระคุณพระเจ้าให้เรารอด คืออะไร?  นี่แหละ คือสิ่งสำคัญที่บอกว่าเล็กๆ น้อยๆ แต่ผมพยายามจะเน้น เน้นมากๆ เลย แล้วจะไม่สอนสิ่งที่ไม่ใช่ข่าวประเสริฐ ไม่สอนคำสละสลวย แบบที่เปาโลบอกคำสละสลวย ปัญญาของโลกนี้ ไม่สอน สอนตรงๆ พระคัมภีร์บอกอย่างนี้ ผมก็บอกอย่างนี้ ไม่เข้าใจ เดี๋ยวไปให้พระวิญญาณสอนเอง นำพาท่านไป

ผมจะอธิบายความหมายของถ้อยคำตรงนี้ ฟังให้ดีว่าในโลกวิญญาณ ในบริบทนี้ มันแปลว่าอะไร ตะกี้นี้เราอ่าน คือเราต้องไปอ่านที่ต้นฉบับภาษาเดิม อย่างที่เคยบอกอยู่เรื่อยๆ มันละเอียดกว่า ความหมายมันมากกว่า ซึ่งบันทึกไว้อย่างชัดเจนแล้วในพระคัมภีร์ ความหมายของข้อนี้ ไม่ได้พูดถึงเรื่องการกระทำเลย แต่หมายถึงวิญญาณ ตัวตนที่แท้จริงของเรา ก็คือวิญญาณของเรา

คำว่า “ชีวิตใหม่” หลังจากที่วิญญาณเก่าได้ตายไปแล้วกับพระคริสต์ มันหมายถึงอย่างนี้ ชีวิตก็ ท่านเป็นวิญญาณใหม่ ที่มีจิตใจใหม่ ที่พระเจ้าประทานให้ ที่เป็นเหมือนพระเจ้า พระเยซูคริสต์ทุกประการ ตามพระคัมภีร์บอก มันหมายถึงอย่างนั้น …

“ที่วิญญาณ ตัวตนที่แท้จริงของฉัน และใจใหม่ ที่พระเจ้าทำให้ ประทานให้ มากับวิญญาณนี้ที่เกิดใหม่ในพระคริสต์ โดยความเชื่อในข่าวดี”

เขากำลังพูดถึงตรงนี้ มันถึงได้ 100% ไง มันสะอาดหมดจด บริสุทธิ์เลย มันดี 100% ดีที่ไหน? ที่ข้างใน ที่วิญญาณ หัวข้อเรื่องนี้ ก็คือจดจ่อที่เบื้องบน จดจ่อที่โลกวิญญาณ โลกวิญญาณเกิดอะไรขึ้น อย่าถูกหลอกไปดูเอาโลกวัตถุ เพราะว่าโลกวัตถุมันเปลี่ยนแปลงไป ไม่ใช่โลกของจริง โลกของจริงอยู่ที่โลกวิญญาณ อยู่นิรันดร์

ข้อนี้ในภาษาเดิมแปลได้ดังนี้ ต่อเนื่องจากข้อก่อน วิญญาณเก่าของเรา ถูกตรึงตาย พร้อมกับพระเยซูคริสต์ไปแล้ว เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ซึ่งวิญญาณเก่าของเรา ก็คือวิญญาณที่เป็นของโลกนี้ ซึ่งเป็นวิญญาณที่เต็มไปด้วยความบาป ความชั่วร้าย 100% ทำอย่างไร? ก็เป็นวิญญาณบาป 100% เป็นโลกียวิสัย เป็นสันดานบาป ซึ่งเป็นศัตรูกับพระเจ้า เข้ากับพระเจ้าไม่ได้ เป็นกบฏกับพระเจ้า อยู่กับพระเจ้าไม่ได้  อยู่ตรงข้ามกัน 100% ตามธรรมชาติ ไม่ใช่ตามความอยากของเราเอง

การยอมรับให้ตัวตนเก่าของเรา หรือให้วิญญาณเก่าเราตายไป ต้องทำอย่างนี้ ก็คือต้องกลับใจใหม่ มายอมรับเชื่อในข่าวดีของพระเยซูว่าพระเยซู คือพระผู้ช่วยให้รอด ที่พระเจ้าส่งมาตายที่ไม้กางเขน เพื่อรับโทษบาป 100% ของมนุษย์ และรวมถึงตัวของเราด้วย ต้องรับตรงนี้ก่อน พอยอมรับตรงนี้ พูดง่ายๆ คือยอมรับเชื่อพระเยซูคริสต์แล้ว  จึงสามารถรับวิญญาณใหม่เข้ามาแทนที่ มันแปลว่าอย่างนี้

ส่วนข้อที่ 6 ที่บอกว่า “เนื่องด้วยสิ่งเหล่านี้ พระพิโรธของพระเจ้ากำลังจะมาถึง”

หลายคนก็สามารถตอบได้แล้วนะตอนนี้ พอเข้าใจตรงนี้ปุ๊บ เนื่องด้วยสิ่งเหล่านี้ พระพิโรธของพระเจ้ากำลังจะมาถึง ในภาษาเดิมก็อธิบายเพิ่มอีกว่าก็หมายถึงพระพิโรธของพระเจ้ากำลังจะมาถึง บรรดาผู้ที่ยังไม่เชื่อในข่าวประเสริฐ ยังไม่ยอมรับในพระเยซู ยังไม่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระมาซีฮาห์ ที่พระเจ้าประทานให้มนุษย์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ยังไม่เชื่อว่าพระเยซูตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต เพื่อชำระบาปให้กับมนุษย์ทุกคน รวมทั้งเราด้วย ผู้นั้นแหละ เขาได้โดยพระพิโรธของพระเจ้า  เมื่อวันนั้น วันสุดท้าย จะไปสุดท้ายพระเยซูมาใหม่ หรือเป็นสุดท้ายของชีวิตเขา คือเขาต้องทิ้งร่างแล้ว ต้องตายไป เขาต้องไปเจอกับอะไร? คนที่เชื่อ ก็ไปเจอกับสวรรค์ในโลกวิญญาณ  คนไม่เชื่อก็จะไปเจอกับพระพิโรธหมด

ทำไมต้องพิโรธ ก็เพราะมันคนละขั้วกัน ไม่ใช่พระเจ้าโกรธอย่างนั้น มันเหมือนไฟช็อต ไฟไม่ได้ตั้งใจจะช็อตเรา อยากให้เราเอาไปเปิดไฟสว่าง เปิดพัดลม ตู้เย็น แอร์ได้ ไม่ได้ตั้งใจช็อตเรา เรารู้วิธีใช้งาน เขาบอกให้เอาชนวนหุ้มไว้ เพื่อมันจะไม่ดูดเรา แล้วเราก็ไม่เชื่อ เอาชนวนทิ้งไป แล้วก็เอามือเปล่าๆ ไปจับ ไฟฟ้าแรงสูง เราตายไหม? เราตาย เพราะพระพิโรธของไฟฟ้าแรงสูง  ผมแนะนำท่าน ถ้าเผื่อฝนตกหนักๆ พายุหนัก อย่าไปอยู่ใต้เสาไฟฟ้าแรงสูง มันอันตราย โดยเฉพาะในเมืองไทย แล้วถ้าท่านไปยืน ท่านอาจจะโดนพระพิโรธลงมา เพราะว่าท่านไม่เชื่อในสิ่งที่เขาแนะนำ เรื่องความรู้ ความจริง แม้ท่านเป็นคนดีมากเลย เป็นคนมีศีลธรรม มีเมตตา รู้จักทำบุญทำทานมาก ไฟมันจะดูดท่านไหม? คนนี้ไปฆ่าคนตายมา เป็นฆาตกร เพิ่งออกจากเรือนจำ แต่อยู่ในเรือนจำไปอ่านเจอข้อความหนึ่งที่เขาเขียนเตือน ถ้าเผื่อฝนตกหนัก อย่าอยู่ใต้เสาไฟฟ้า จำได้ ก็เลยเดินหนีไป เขารอด เขาสมควรรอดไหม? เทียบกับเมื่อตะกี้นี้ คนดีมากเลย ท่านจะมองเห็นภาพ มันไม่ได้เกี่ยวกันกับอะไรที่มนุษย์คิดเลย ไม่ใช่ปัญญาของมนุษย์เลย แต่มันเกี่ยวกับการรู้ความจริง พระคัมภีร์จึงบอกว่าความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท เป็นอิสระ ไม่ใช่ ความดี จะทำให้ท่านเป็นอิสระ ไม่ใช่ความดีจะทำให้ท่านเป็นไท

โอกาสที่จะพูดอย่างนี้มีเยอะไหม? น้อยมาก นี่แหละคือข่าวดี แต่ปัญญามนุษย์ฟังไม่ได้ อะไร คนทำดียังต้องมารับกรรม อันนี้ทำชั่ว ไม่สมควรเลย อย่างนี้ เห็นไหม? มันเกิดขึ้น ต้องยอมรับความจริงเหล่านี้ จึงจะสามารถพบกับความจริงในโลกวิญญาณของพระเจ้าได้เช่นเดียวกัน แล้วท่านจะสามารถอธิบายในพระคัมภีร์หมดเลย

เพราะฉะนั้น สิ่งเดียวเท่านั้น คือยอมรับ ถามว่ายอมรับเชื่อ คือยอมรับว่าพระเยซูพูด พระเจ้าพูดมันเป็นความจริง มาเชื่อพระเยซูแล้ว ไม่ต้องทำดีเลย ไม่ใช่ ทุกคนก็อยากจะให้ทำดีอยู่แล้ว พระเยซูก็สอนให้ทำดีอยู่แล้ว แต่ทำดีจากข้างใน ด้วยความรอดในโลกนิรันดร์ มันคนละเรื่องกัน เอเมน

ความหมายทั้งหมด ก็แค่นี้ พอแปลผิดปุ๊บ ไปไหนก็ไม่รู้ แล้วก็แย้งกับข่าวประเสริฐไปหมด กลายเป็นทำลายข่าวประเสริฐไปในตัว เรากำลังพูดว่าพระเยซูบอกว่าสำเร็จแล้ว โกหก เรากำลังบอกว่าพระเจ้าไม่จริง เราไปไหนก็ไม่รู้ ความหมายตรงนี้ ก็มีอยู่แค่นี้ กำลังจะบอกว่าท่านมาเชื่อ ความลับในข่าวดี ซึ่งเป็นความจริงของพระเยซูแล้ว ก็เท่ากับว่าวิญญาณเดิมของท่าน ที่เป็นวิญญาณเก่าสกปรก ได้ถูกตรึงตายไปพร้อมกับพระเยซูแล้ว ไม่ว่าจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจ นี่คือความจริง ตายไปพร้อมกันแล้ว วิญญาณเก่านะ และท่านได้รับวิญญาณใหม่แล้ว เป็นวิญญาณที่มีจิตใจใหม่ เหมือนพระเยซู ไม่มีผิด สะอาด บริสุทธิ์ ผุดผ่อง ไร้ที่ติ ไร้มลทิน ไร้สิ่งโสโครกใดๆ ทั้งสิ้น 100% ไม่ใช่ 99%  … 99% ก็เข้าสวรรค์ไม่ได้ ต้อง 100% มันถึงเข้ากันได้ มีแค่นี้เอง

เพราะฉะนั้น ถ้าแปลให้ถูก มันง่ายมากเลย แทบจะไม่มีอะไรเลย แต่ต้องใช้ปัญญาของพระเจ้า ปัญญาที่ถูกซ่อนไว้ในพระเยซูคริสต์ ปัญญาทางโลกฝ่ายวิญญาณ ไม่ใช่ปัญญาที่เป็นนักปราชญ์หรืออะไรต่างๆ ทางโลก เขาเหล่านั้น ฟังเราพูดอย่างนี้  ตามพระคัมภีร์เขาจะหัวเราะ เป็นไปได้อย่างนี้เหรอ ไม่มีทาง ถ้าท่านเอาสติปัญญามนุษย์มาเทียบเคียงตามเหตุผลของมนุษย์ ไม่มีทางที่จะเข้าใจ สิ่งที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้กับท่านหรอก ไม่มีทางเลย ความหมายเมื่อตะกี้ก็เท่ากับว่าวิญญาณเดิมที่เต็มไปด้วยความบาปของท่าน ได้ถูกประหารไปเรียบร้อยแล้ว ตามที่ตะกี้นี้อ่าน โลกียวิสัย ก็คือสันดานบาปได้ถูกประหารเรียบร้อยแล้ว  โดยเชื่อในพระเยซูคริสต์ถึงจะได้ถูกประหาร ไม่ใช่วันๆ หนึ่ง อยากได้รับความรอด อันแรกบอกว่าเอามีดฆ่าตัวตายเลย ไม่ใช่ ไม่เกี่ยวกับการกระทำของเราเลย แต่เกี่ยวกับการกระทำของพระเยซูคริสต์ เราทำแค่เชื่อ เรารับเอา ซึ่งเกิดอะไรขึ้น ในนั้นบอกว่า “บัดนี้ ท่านมีชีวิตที่สะอาดบริสุทธิ์แล้ว” ก็คือท่านมีวิญญาณที่สะอาดบริสุทธิ์แล้ว เมื่อถูกประหาร ตัวเก่าตายไปแล้ว ตัวใหม่เป็นขึ้นมาใหม่ โดยเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ใครที่ยังไม่ได้ถูกประหารวิญญาณเดิม ใครที่ยังไม่ได้ถูกตรึงวิญญาณเดิมร่วมกับพระเยซูคริสต์ ก็จงระวังให้ดี แปลว่าอย่างนี้ พระพิโรธของพระเจ้าจะมาถึงผู้นั้น

ผู้นั้นคือผู้ไหน? คือผู้ที่วิญญาณเก่ายังสกปรกอยู่ ไม่ได้ถูกประหารไปพร้อมกับพระเยซูที่ไม้กางเขน เขาจะต้องระวังตัวให้ดี เพราะเขากำลังจะเผชิญกับพระพิโรธของพระเจ้า ที่กำลังจะมาถึง ไม่ว่าเขาตายก่อน แล้วไปเจอ หรือไม่ก็พระเยซูกลับมาใหม่ ตอนที่เขายังเป็นๆ อยู่ เขาจะเจอแน่ กับไฟฟ้าแรงสูงช็อต พระพิโรธพระเจ้า

ท่านจะได้เห็นว่าพระเจ้าเป็นอย่างนั้น ก็เป็นอย่างนั้น พระเจ้าไม่ได้โหดร้าย ไม่ได้อะไรเลย แต่กฎ ระเบียบ กฎธรรมชาติเป็นอย่างไร ก็เป็นอย่างนั้น กฎแรงดึงดูดของโลก อย่างที่ผมบอกว่าคนเลว ถ้าเขานั่งเครื่องบิน เขาก็ไม่ตกลงมา เขานั่งจรวด เขาก็ไม่ตกลงมา แล้วเขาก็ไม่เดินออกไปที่ที่มันไม่มีที่รองรับ แต่คนจะดีอย่างไร? เดินออกไปบนชั้น 3 ของตึก ไม่มีที่รองรับ มันก็ตกลงมาเหมือนกันหมด อย่างนี้ มันไม่ได้เกี่ยวกับสิ่งที่สติปัญญาของมนุษย์ว่าอะไรทำดี อะไรคือน่าจะได้ นั่นคือความคิดของมนุษย์ที่คิด  แต่พระคัมภีร์พูดเฉพาะกฎ

กฎ คือสิ่งที่ถูกตั้งขึ้น และมันต้องเป็นอย่างนั้น ยกตัวอย่าง น้ำมาจาก H2O มันก็เป็นอย่างนั้น ยกตัวอย่างแรงดึงดูดของโลก  อย่างไรก็เป็นอย่างนั้น อยากชนะแรงดึงดูดของโลกทำอย่างไร? ไปหากฎอื่นมา ที่มันชนะอยู่ แต่ตอนที่เครื่องบินยังบินอยู่ กฎแรงดึงดูดของโลกยังมีอยู่ มันก็มีกฎของมัน ไม่ได้หนีไปไหน เหมือนกัน กฎพระพิโรธของพระเจ้าก็เหมือนกัน พระพิโรธของพระเจ้ายังอยู่ไหม? อยู่ พระคุณพระเจ้าในพระเยซูคริสต์ยังอยู่ไหม? อยู่ ทำไมอยู่พร้อมกันล่ะ ก็เป็นจริง เป็นกฎธรรมชาติ ขึ้นอยู่กับท่านรู้ไหม รู้วิธีใช้กฎเหล่านี้ไหม? ถ้ารู้วิธีใช้ มันก็เป็นประโยชน์ต่อชีวิตท่าน แต่ถ้าไม่รู้วิธีใช้ ตายอย่างเดียว ถ้ารู้วิธีใช้ ก็มีความสุข นี่ยกตัวอย่างให้ฟัง

ทุกอย่างในพระคัมภีร์ที่กำลังพูดทั้งหมด มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับพระคุณพระเจ้าทั้งสิ้น เป็นการกระทำของพระเยซูคริสต์ ที่พระเจ้าวางแผนให้มาทำอย่างนี้ เพื่อช่วยมนุษย์ให้รอด เพราะมนุษย์ไม่สามารถช่วยตัวเองได้ ให้สะอาดบริสุทธิ์หมดจด 100% ทำอย่างไรก็ไม่ถึงเกณฑ์ของพระเจ้า  จะเข้าสวรรค์ได้มันต้อง 100% จะเข้าสวรรค์ได้ เหมือนเราไปต่างประเทศตอนนี้ มันต้องผ่านด่าน ท่านมีเศษกระดุมเม็ดหนึ่ง เครื่องมันก็ดัง เขาก็ไล่ท่านออกไป ขึ้นเครื่องไม่ได้ ไม่ว่าท่านจะเป็นใครด้วย ไม่ว่าท่านจะเป็นคนดีหรือไม่ดี ท่านทำบุญทำทานมากมาย มีชื่อเสียงใหญ่โต ท่านเดินไปถึงปุ๊บ มีกระดุมเม็ดเดียว มีเหรียญบาทเหรียญหนึ่งอยู่ในนั้น เครื่องบอกว่าคนนี้เป็นคนดี ยอมหยวนๆ เขาน่า เป็นไหม? เครื่องมันก็ดัง ขณะที่อีกคนเดินตามหลังมา เป็นฆาตกร เป็นคนเลว ทั้งโลกเขารู้ดี แต่ไม่มีอะไรเลย ไม่มีเหรียญบาท ไม่มีกระดุม ผ่านไหม? ผ่าน ฉันใดฉันนั้น นี่แหละ เขาเรียกว่าพระคุณพระเจ้า ความจริงทำให้เราเป็นไท ความรู้ในความจริง ในพระเยซูคริสต์ ทำให้เราเป็นอิสระ มันขึ้นอยู่กับพระคุณของพระเจ้า ไม่มีอะไรเกี่ยวกับการกระทำของเราเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่มีเลย มีเพียงอย่างเดียว ท่านเชื่อไหมว่านี่พระเจ้าส่งมา เพื่อชำระบาปท่าน ท่านเชื่อจริงๆ ไหม? แค่นี้เอง สนเกี่ยวกับความเชื่อ ไม่ได้เกี่ยวกับการกระทำอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*********************

 

 

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 23 มิถุนายน 2019 เรื่อง “สำเร็จแล้ว … เราได้รับชีวิตใหม่ วิญญาณใหม่ ความคิดจิตใจใหม่เรียบร้อยแล้ว” ตอน 7 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  23  มิถุนายน  2019

เรื่อง “สำเร็จแล้ว … เราได้รับชีวิตใหม่  วิญญาณใหม่

ความคิดจิตใจใหม่เรียบร้อยแล้ว” ตอน 7

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีครับ เรายังคงอยู่ในซีรี่ย์ของเรื่องเกี่ยวกับวันอีสเตอร์อยู่ เพิ่งจะเลยมาไม่กี่อาทิตย์ เดี๋ยวจะลืมไปเปล่าๆ ซึ่งเป็นความจริงที่สำคัญมากๆ เทศกาลอีสเตอร์จะจบลงที่ความยิ่งใหญ่ วันที่ยิ่งใหญ่ที่สุด วันสำคัญที่สุดของประวัติศาสตร์ทางวิญญาณของโลกนี้เลย คือวันเพ็นเทคอส วันที่ 50 หลังจากที่พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย วันเพ็นเทคอสเป็นวันที่สำคัญที่สุดในข่าวประเสริฐของพระเจ้า และซีรี่ส์นี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับวันเพ็นเทคอส ที่พึ่งผ่านมาเมื่อ 2 สัปดาห์ที่แล้ว ปีนี้ซึ่งตรงกับวันที่ 9 มิถุนายน

เป็นวันที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้ามาสถิตอยู่กับมนุษย์ เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ไม่รู้กี่พันกี่หมื่นปี? หลังจากที่มนุษย์ตกลงไปในความบาป พระเจ้าต้องออกไปจากมนุษย์ มนุษย์ให้มารมาอยู่แทน อยู่ในวิญญาณของเขา วิญญาณของเขาเสียหายไป และวันเพ็นเทคอส คือวันที่รื้อฟื้นกลับคืนมา พระเจ้าล้างบาง พระเจ้าลงมาสถิตอยู่กับมนุษย์ได้เรียบร้อยแล้ว โดยการกระทำให้สำเร็จ โดยพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน นี่คือข่าวดีที่ประกาศมา 2,000 ปีแล้ว แล้วจะประกาศต่อไป

สัปดาห์ที่แล้วใช้ชื่อยาวมาก เรื่อง “เราได้รับชีวิตใหม่ วิญญาณใหม่ ความคิดจิตใจใหม่เรียบร้อยแล้ว”

นี่คือความจริง พระคัมภีร์บอกว่าจงระวังพวกมาร พวกมารพยายามจะมาขโมยเรื่องราวแห่งความจริงนี้ไป ขณะที่เราที่รู้ความจริงแล้ว พยายามจะประกาศข่าวดี พูดข่าวดี มารก็พยายามประกาศข่าวร้าย ลบข่าวดีออก ต่อต้านกัน เป็นศัตรูกัน มารมีหน้าที่แค่นั้นเอง มันทำอะไรไม่ได้เลย ถ้ามันไม่ขโมยความจริงไป และวิธีการที่มารถนัดที่สุด ในการขโมยความจริง ก็คือทำให้ความจริงของพระเจ้า หรือข่าวดีของพระเจ้าที่สำคัญๆ มันผิดไปเลย หรือไม่ก็เพี้ยนไปมากที่สุด เท่าที่มันจะทำได้

เพ็นเทคอสวันที่พระเจ้าลงมาสถิตอยู่กับมนุษย์ ใครๆ ก็อยากได้  แต่ทำไม 2,000 ปีที่ผ่านมา มีหลายคนที่ไม่รู้ความจริง แล้วก็ไม่เอา เพราะความจริงถูกทำให้เสียหาย เพี้ยนไป แต่พระเจ้าก็ยังทำงานของพระองค์อยู่ เราจึงจดจำเอาความจริงนี้ ความจริงที่พวกมารจ้องที่จะขโมยจากเรา คือความจริงเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ ที่พระเยซูประกาศนั่นเอง ก็คือข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ที่พระองค์เป็นผู้ประกาศ เป็นผู้แรก สรุปโดยรวมว่าข่าวดีนี้ คือมีเหตุอะไรเกิดขึ้น เมื่อประมาณ 2,000 ปีที่แล้ว ที่นอกเมืองเยรูซาเล็ม ที่มีชื่อว่าหุบเขาโกละโกธา ข่าวคือมนุษย์บอกๆ กัน เมื่อวานนี้เกิดอะไรขึ้น เมื่อวานซืนเกิดอะไรขึ้น เมื่อ 2,000 ปีเกิดอะไรขึ้น

ตอนที่มันเกิดขึ้นใหม่ๆ เขาบอกเมื่อ 2 เดือนที่แล้ว เกิดอะไรขึ้น ผ่านมา 5 ปี เมื่อ 5 ปีที่แล้วเกิดอะไรขึ้นที่เยรูซาเล็ม ที่โกละโกธา ผ่านมา 2,000 ปี เราก็กำลังเล่าเหตุการณ์เหมือนเดิม มันเกิดอะไรขึ้นในโลกวิญญาณ มันเกี่ยวพันอะไรกับมนุษย์ เมื่อ 2,000 ปีที่เกิดขึ้น ที่นอกเมืองเยรูซาเล็ม ที่โกละโกธา มนุษย์สามารถเกิดใหม่ในวิญญาณ สามารถได้รับชีวิตใหม่ วิญญาณใหม่ ความคิดจิตใจใหม่เลย  ไม่ต้องทำอะไรเลย แค่ความเชื่ออย่างเดียว ซึ่งพระเจ้าได้วางแผนการ ที่จะช่วยเหลือมนุษย์ หลายๆ พันปีแล้ว  ตั้งแต่ปฐมกาลจนกระทั่งพระเยซูมาเกิดจริงๆ พระองค์บอกเป็นคำเผยพระวจนะ บอกล่วงหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้น ครั้งที่แล้ว เราใช้ข้อพระคัมภีร์ในเอเสเคียล 36:26-27 นี่เป็นการบอกล่วงหน้า ถึงแผนการของพระเจ้าว่าพระองค์จะทำอะไร ผ่านทางพระบุตรของพระองค์ที่ไม้กางเขน ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิด ก่อนเหตุการณ์จะเกิดขึ้นจริงที่โกละโกธา ประมาณ 500 กว่าปี

เอเสเคียล 36:26-27  “26 เราจะให้จิตใจใหม่แก่เจ้า และใส่วิญญาณใหม่ในเจ้า เราจะขจัดใจหินออกจากเจ้า และให้เจ้ามีใจเนื้อ 27 เราจะใส่วิญญาณของเราไว้ในเจ้า โน้มนำเจ้า ให้ปฏิบัติตามกฎหมายของเรา และใส่ใจ รักษาบทบัญญัติของเรา”

 

เพราะฉะนั้น เมื่อเราเชื่อในข่าวดีของพระเจ้าแล้ว และเราได้รับการบังเกิดใหม่ในวิญญาณ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าแล้ว เราจึงมีสภาพ เป็นวิญญาณ ตามข้อพระคัมภีร์เมื่อสักครู่นี้ พระเยซูทำให้สำเร็จแล้ว พอเราเชื่อในข่าวดีนี้ว่าเป็นอย่างนั้น เราก็บังเกิดใหม่ในวิญญาณ มีวิญญาณที่บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า เราจึงมีสภาพเป็นวิญญาณ และมีจิตใจที่เหมือนพระเยซู และมีพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาสถิตอยู่กับเราด้วย ซึ่งพระวิญญาณนี้ก็จะคอยเป็นพี่เลี้ยง เป็นที่ปรึกษา เป็นสติปัญญา เป็นผู้คอยนำพาเรา ให้ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ตามพระประสงค์ของพระเจ้า ตามความต้องการของพระเจ้า ซึ่งเป็นธรรมชาติของวิญญาณ และจิตใจใหม่ภายในเรา ที่พระเจ้าทรงประทานให้ตามข้อพระคัมภีร์เมื่อสักครู่ที่เราได้อ่าน คือพระองค์ขจัดเอาใจหินออกไป ใจหิน คือใจที่ดื้อด้าน กบฏต่อพระเจ้า เป็นศัตรูต่อพระเจ้า ไม่เชื่อฟังพระเจ้า ไม่รู้จักพระเจ้า ต่อต้านพระเจ้า นี่เขาเรียกว่าใจหิน แต่พระเจ้าเอาใจหินออกไป ใส่ใจเนื้อเข้ามาแทนที่ ใจเนื้อ ก็คือใจที่เข้ากับพระเจ้าได้ กลับคืนดีกับพระเจ้า พระเจ้าประทานวิญญาณใหม่ และความคิดจิตใจใหม่ให้กับมนุษย์ทุกคนได้แล้ว ถ้าพูดถึงผู้ที่ฟังอยู่ตอนนี้ ที่ยังไม่เชื่อนะ อยากจะบอกว่าพระเจ้าสามารถประทานวิญญาณใหม่ ชีวิตจิตใจใหม่ ให้กับท่านได้แล้ว และทำไปแล้วด้วย ที่ไม้กางเขน ถ้าท่านต้องการ เดี๋ยวนี้ได้ทันที เหมือนท่านที่นั่งอยู่ที่นี่ คือมนุษย์สามารถเกิดใหม่ เป็นวิญญาณใหม่ มีความคิดจิตใจใหม่เหมือนพระเจ้าได้ทันทีเลย ไม่ต้องรอตาย ไปสวรรค์ แล้วถึงจะได้รับ ได้รับทันทีตอนนี้เลย

เมื่อเราเชื่อแล้วพระเจ้าต้องการให้เราตั้งความคิดจิตใจ จดจ่อความคิดไปที่ความจริงตรงนี้ ตรงโลกวิญญาณที่เกิดขึ้นนี้ เพื่อที่เราจะไม่ถูกขโมยเอาความจริงนี้ไป จากชีวิตของเรา 2 โครินธ์ 4:16-18

2 โครินธ์ 4:16-18 “16 เพราะฉะนั้น เราจึงไม่ท้อใจ ถึงแม้กายภายนอกของเรา กำลังทรุดโทรมไป แต่จิตใจภายในของเรากำลังฟื้นขึ้นใหม่ทุกวัน 17 เพราะความทุกข์ลำบากเล็กๆ น้อยๆ เพียงชัวคราวของเรา ทำให้เราได้รับศักดิ์ศรีนิรันดร์ ซึ่งเหนือกว่าสิ่งเหล่านั้นทั้งหมดมากมายนัก 18 ดังนั้น เราจึงไม่จับจ้องอยู่กับสิ่งที่มองเห็น แต่อยู่กับสิ่งที่มองไม่เห็น เพราะสิ่งที่เรามองเห็นนั้น ไม่จีรังยั่งยืน แต่สิ่งที่เรามองไม่เห็นนั้น ถาวรนิรันดร์”

 

เพราะฉะนั้น เราจึงไม่ท้อใจ แม้ร่างกายที่เราเห็นนี้จะต้องทรุดโทรมไป ต้องเจ็บป่วย จะต้องเหนื่อยยากลำบาก ต้องกลัว ต้องวิตกกังวลอะไรต่างๆ ซึ่งเป็นผลมาจากบาปในร่างกายนี้ แต่เราได้รับจิตใจใหม่ วิญญาณใหม่ เหมือนพระเจ้า เหมือนพระเยซู เราได้รับแล้ว แล้วมันเจริญเติบโตขึ้นทุกวัน  เพราะฉะนั้น เมื่อเอามาเทียบกันกับวิญญาณข้างในเรา ที่อยู่กับพระเจ้าแล้ว ที่เหมือนพระเยซู มาเทียบกับภายนอก ที่ยังทนทุกข์ลำบากบนโลกใบนี้อยู่ ในนี้บอกว่าให้เราจดจ่อความคิดไปที่ความจริง คือไปที่โลกวิญญาณ ที่มองไม่เห็น คือวิญญาณของเรา เป็นตัวจริงๆ ของเรา

โลกใบนี้ ถูกทำให้เสียหาย เนื่องจากมนุษย์ตกลงไปในความบาป และถูกสาปแช่งไปถึงดินด้วย ดังนั้น ร่างกายมนุษย์จึงถูกสาปแช่งไปด้วยเช่นเดียวกัน เราจึงต้องตาย ปกติไม่ตาย สร้างเซลใหม่ไปเรื่อยๆ อยู่นิรันดร์เหมือนกับพระเจ้า แต่พอมนุษย์ตกลงไปในความบาป เริ่มเจ็บป่วย เริ่มต้องตาย เริ่มต้องนับหนึ่ง เริ่มมีการแก่ เริ่มมีการเหี่ยว เริ่มมีตีนกา เริ่มมีรอยย่น เริ่มคิดมาก เริ่มมีความกลัว เริ่มมะเร็ง … มะเร็งเกิดมาตั้งแต่โน้น สมัยที่อาดัมทำบาปใหม่ๆ ถ้าพูดอย่างนี้ คนไม่เข้าใจ นึกว่าเราบ้าแล้วนะ มะเร็งเกิดจากเอวา เกิดมาได้อย่างไร? ก็เอวาไม่เชื่อฟังพระเจ้า เลยไปเรียกอาดัมมา ไม่เชื่อด้วย สองคนช่วยกันไม่เชื่อ พอไม่เชื่อก็กบฏต่อพระเจ้า พระพรออกไป พระเจ้าออกไปจากวิญญาณของมนุษย์ และคำสาป ก็ลงมาอยู่ที่โลกใบนี้ ก็คือร่างกายของเขา ซึ่งมาจากดิน ก็ไปด้วย

ตอนที่พระเยซูมาฟื้นฟู มาตายที่ไม้กางเขน แล้วทำให้เราได้เกิดใหม่ แค่วิญญาณและความคิดจิตใจเท่านั้น เพราะฉะนั้น นี่คือความจริงที่เราต้องเรียนรู้ด้วย พระเจ้ากำลังบอกว่าให้เรา จดจ่อความคิดไปที่โลกวิญญาณ เราย้อนกลับมาถึงตัวเราเองว่าเราควรจะจดจ่อไปที่โลกวิญญาณตรงไหน? ในเมื่อเรารู้จักข่าวประเสริฐ เราต้อนรับข่าวดีแล้ว อาจจะได้รับข่าวดีไปร้อยหนึ่ง บางคนอาจจะได้รับแค่แปดสิบ บางคนได้รับแค่เจ็ดสิบ แต่ทุกวันนี้ เจริญเติบโต ได้รับข่าวดีไปเรื่อยๆ ตอนนี้รู้แล้วว่าควรจะทำอย่างไร? ควรจดจ่อ หมายถึงความคิด หมายถึงใคร่ครวญ พิจารณาในโลกวิญญาณตลอดเวลา เพราะว่ามองไม่เห็น สัมผัสไม่ได้ มันจึงต้องใช้จดจ่อความคิด ให้ใส่เข้าไปทุกวันๆ ผมก็เลยคิดว่าเอาความจริงเหล่านี้มา บอกท่านว่าท่านควรจดจ่อตรงนี้อย่างไร ให้ชีวิตท่านมีสันติสุขมากขึ้น มีความสุขมากขึ้นด้วย คือมีความทุกข์น้อยลงนั่นเอง ในขณะที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ อยู่ในร่างกายที่มันต้องตายได้ ที่อยู่ใต้อิทธิพลของบาป แต่วิญญาณเกิดใหม่ ความคิดจิตใจเกิดใหม่ เหมือนพระเจ้าแล้ว แล้วทำอย่างไร?

วิธีทำ ก็คือพิจารณาใคร่ครวญ ภาวนา ตามความจริงนี้ ผมเอามาให้ท่านเป็นตัวอย่างนิดหนึ่ง ลองใส่ชื่อท่านลงไปในนี้ ถ้าผมพูดชื่อผม ท่านพูดชื่อท่าน แล้วพูดตามผมทั้งหมด ตามความจริงต่อไปนี้

“นครเป็นวิญญาณที่ได้บังเกิดใหม่ในพระคริสต์ และพระเจ้าได้ประทานจิตใจใหม่ ให้กับนคร

นครจึงเป็นวิญญาณที่มีความคิดจิตใจ ที่ใหม่สะอาดบริสุทธิ์ เหมือนพระเยซูเป็นวิญญาณแห่งความรัก  เป็นวิญญาณแห่งความสว่างเหมือนพระเยซู ไร้มลทิน และไร้ความบาปใดใดทั้งสิ้น เป็นผู้ชอบธรรมอย่างแท้จริง  …   วิญญาณและความคิดจิตใจใหม่นี้ เป็นตัวจริงจริงของนครที่จะอยู่ตลอดไป  ในสวรรค์กับพระเจ้า

นครได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า ในขณะนี้แล้ว ชีวิตของนคร คือวิญญาณ ...  และความคิดจิตใจนี้ ซ่อนอยู่ในพระคริสต์กับพระเจ้า … พระวิญญาณบริสุทธิ์ ได้จุ่มนครลงไปในความเป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณของพระเจ้าพระบิดา พระบุตรพระเยซู และพระวิญญาณ”

ทำอย่างนี้ ทำบ่อยๆ กลางคืนก็คิด ก่อนนอนก็คิด  ตื่นมาก็คิด กินข้าวก็คิด คิดไปเรื่อยๆ คิดไปครึ่งหนึ่งก็คิด มีเวลานนิดหนึ่งก็คิดนิดหนึ่ง คิดได้ 2 บรรทัดก็หลับไป คือการต้องจดจ่อกับโลกวิญญาณอย่างนี้ เพื่อไม่ให้มันหลอกเรา อะไรที่เกิดขึ้นในโลกวัตถุ เรื่องสำคัญๆ เราลืมคิดไป สิ่งที่สำคัญกว่า คือโลกวิญญาณตรงนี้ต่างหาก เพราะฉะนั้น ในขณะนี้ วิญญาณใหม่ของเราอยู่กับพระเจ้า และความคิดจิตใจที่ติดกับวิญญาณนั้น เป็นของพระเจ้าใส่ลงมาเลย นี่คือความจริง เพียงแต่อาศัยในร่างกายภายนอก เพียงชั่วคราว นี่คือความจริง ทั้งหมดนี้มาจากพระคัมภีร์ ผมสรุปมารวมให้ท่าน ได้เห็น และได้สามารถเอาไปภาวนา ง่ายๆ รวมหมดเลย ซึ่งร่างกายนี้ต้องตายลง และหมดลมหายใจเน่าเปื่อยไปในที่สุด ร่างกายนี้ยังคงได้รับอิทธิพลจากระบบของโลก ร่างกายที่เราอาศัยอยู่ทุกวันนี้ จากสิ่งต่างๆ ภายนอก ฟังให้ดีๆ ถ้าเรารับเชื่อแล้ว เราได้บังเกิดใหม่แล้ว วิญญาณและความคิดจิตใจของเราใหม่เอี่ยมเหมือนพระเจ้า ไม่มีบาปเลย แต่ร่างกายนี้ยังได้รับอิทธิพลจากโลกภายนอก จากสื่อต่างๆ ภายนอก ที่มันเป็นศัตรูกับพระเจ้า ต่อต้านพระเจ้า ไม่สามารถเข้ากับพระเจ้าได้ ซึ่งมันก็พยายามที่จะล่อลวง หลอกลวง ส่งสัญญาณชักจูงให้ร่างกายที่เราอาศัยอยู่นี้ ปฏิบัติในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับทางของพระเจ้า ตรงกันข้ามกับธรรมชาติลักษณะที่เป็นเหมือนพระเจ้า ภายในวิญญาณและจิตใจใหม่ของเรา

ท่านเห็นหรือยังเกิดสงครามอะไรขึ้น ตะกี้นี้เราพูดกัน เราภาวนา เราเกิดใหม่ในวิญญาณ  เหมือนพระเจ้า แต่เราอยู่ในร่างกายที่ยังอ่อนแอ ยังรับอิทธิพลที่เต็มไปด้วยกระแสของโลกนี้อยู่ พูดง่ายๆ ซึ่งวันหนึ่งข้างหน้า ร่างกายนี้ จะเปื่อยเน่าและตายไป และพระเจ้าได้จัดเตรียมร่างกายใหม่ ซึ่งเรียกว่าร่างกายสวรรค์ ที่ไม่อยู่ภายใต้อิทธิพลของบาป เป็นร่างกายที่บริสุทธิ์ ไม่มีคำว่าเจ็บป่วย ปวดร้าว ไม่มีน้ำตา ไม่มีความทุกข์ตลอดไปนิรันดร์กาล ขอบคุณพระเจ้า นี่คือความหวังของเรา เพราะฉะนั้น ในนี้จึงบอกว่าเมื่อเราภาวนาอย่างนี้ จดจ่ออย่างนี้ ความทุกข์ยากลำบาก ความยากจนเอ่ย ปัญหาโน้นปัญหานี้ วุ่นวายไปหมดบนโลกใบนี้ มันเป็นเรื่องธรรมดา มันต้องเกิดขึ้น แต่วันหนึ่งข้างหน้า เราไม่ต้องเผชิญสิ่งเหล่านี้อีก เรามีความหวังว่ามันจะสิ้นสุดลง มันจบ แล้วไม่ใช่จบแค่ 500 ปี ไม่ใช่ไปเสวยสุขอีก 200 ปี แต่ไปเสวยสุขนิรันดร์กาล

นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ และเป็นความหวังใจอันเดียวในโลกวิญญาณเท่านั้น ของมนุษย์คนใดก็ตามที่ใช้สิทธิของเขา เชื่อในข่าวดีของพระเยซู ทุกคนควรจะมีความหวังใจ ตรงนี้ อันเดียวเท่านั้นเอง อย่าหวังว่าจะมีความร่ำรวยบนโลกใบนี้ อย่าหวังว่าจะไม่มีปัญหาเลย  เพราะโลกใบนี้เสียหายไปแล้ว แต่ขอบคุณพระเจ้า พระเยซูบอกท่านอยู่บนโลกใบนี้ ท่านก็ประสบกับความทุกข์ยากลำบากต่างๆ นานา แต่เราชนะโลกนี้แล้วนะ เอเมน มันทำเราได้แค่นี้เอง จบแล้ว เหลืออีกไม่กี่ปีเอง บางคนก็เหมือนไม่กี่ปี นี่พูดถึงเฉพาะเท่าที่เป็นไปได้นะ อาจจะ 30 ปี 20 ปี 10 ปี เมื่อเทียบกับนิรันดร์ มันเทียบกันไม่ติดเลย

ซึ่งสิ่งเหล่านี้ มารพยายามจะขโมยออกจากเราให้ได้ เราพยายามจะบอกพระเจ้าว่ามาเป็นคริสเตียนแล้ว เอาความทุกข์เราออกไปจากโลกนี้เถิด เราจะได้ไม่เป็นอันนั้น เราไม่อยากป่วย เราไม่อยากอะไร มันไม่ได้ มันเป็นจริงตามนั้น กฎของมันเป็นอย่างนั้น ก็ต้องรอ แต่ถ้าเราฝืนมัน ก็ไม่มีความสุข

แล้วก็มีความจริงอีกเรื่องหนึ่ง  ที่เป็นประเด็นฮิตฮอทอันดับต้นๆ ที่มารพยายามมาขโมยเหมือนกัน ที่พยายามบิดเบือนความจริงเรื่องนี้ บ่อยมาก คือเรื่องเกี่ยวกับการเชื่อฟังพระเจ้า โรม 6:16

โรม 6:16 “ท่านไม่รู้หรือว่าเมื่อท่านยอมตัวเชื่อฟังเยี่ยงทาสต่อผู้ใด ท่านก็เป็นทาสของผู้ที่ท่านเชื่อฟังนั้น ไม่ว่าท่านจะเป็นทาสของบาป ซึ่งนำไปสู่ความตาย หรือเป็นทาสของการเชื่อฟัง  ซึ่งนำไปสู่ความชอบธรรมก็ตาม”

 

ถ้าอ่านข้อนี้ข้อเดียว ถ้าท่านยังทำบาปอยู่ ก็แปลว่าท่านเป็นทาสของบาป ถูกไหม? ถ้าแปลง่ายๆ ก็คือถ้าท่านเชื่อฟังหัวหน้าบาป คือมาร แต่ถ้าท่านเชื่อฟังพระเจ้า ท่านก็ต้องทำตามคำสอนของพระเจ้า และไม่ทำบาป ถูกหรือเปล่า? ถ้าฟังข้อนี้ข้อเดียว ก็เลยต้องถามคำถามเดิมๆ ซ้ำๆ อีกว่าแล้วเป็นไปได้ไหม? เมื่อมาเชื่อพระเจ้าแล้ว จะไม่ทำบาปอีกเลย? ก็เป็นไปไม่ได้ สรุปแล้ว ท่านก็เริ่มคิด เอาอย่างไร? ก็ไม่ยาก อย่าเอาข้อเดียวมาตีความ อยากรู้ก็ไปอ่านต่อว่าบริบททั้งหมดว่าอย่างไร? ข้อ 17 กับ 18

โรม 6:17-18 “17 แต่ขอบพระคุณพระเจ้าที่แม้ท่านเคยเป็นทาสของบาป ท่านก็เชื่อฟังคำสอน ซึ่งทรงมอบหมายแก่ท่านนั้นอย่างสุดใจ 18 ท่านได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระจากบาปและได้กลายเป็นทาสของความชอบธรรมแล้ว”

 

อันนี้ต้องตั้งใจฟังนิดหนึ่ง เนื่องจากมันลึกซึ้งทางโลกวิญญาณ และภาษาไทยแปลออกมา แล้วเข้าใจยากนิดหนึ่ง ในนี้บอก แต่ขอบคุณพระเจ้า  แต่แสดงว่ามันไม่เป็นไปตามที่เราคิดเมื่อตะกี้นี้หรอก ถูกไหม? แต่ขอบคุณพระเจ้า เพราะแม้ท่านเคยเป็นทาสของบาป ท่านก็เชื่อฟังคำสอน ซึ่งทรงมอบหมายไว้ให้ท่านสุดใจ อันนี้ผมแปลให้นิดหนึ่ง จากภาษาเดิม หมายถึงท่านเคยเป็นคนบาป แต่เดี๋ยวนี้ ท่านก็ยังเชื่อฟังคำสอน ซึ่งพระเจ้าได้ใส่ไว้ในจิตใจของท่าน แค่นี้เอง จำได้ไหมตะกี้นี้อ่านเอเสเคียลอันเดียวกันนี้แหละ คือจิตใจใหม่ พระเจ้าใส่ความเชื่อฟังลงไปแล้ว ใส่ความเหมือนพระเจ้า เหมือนพระเยซูลงไปแล้ว ใส่ความเป็นมิตรกับพระเจ้า เข้ากันกับพระเจ้าไปแล้ว เอาศัตรู เอาใจหินออกไปแล้ว แค่นี้เอง พอแปลอย่างนี้ ท่านก็เข้าใจง่ายขึ้นแล้ว

ข้อ 18 แปลต่อมาอีกว่าท่านได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระจากบาปแล้ว และได้กลายเป็นทาสของความชอบธรรมแล้ว

ก็คือวิญญาณและความคิดจิตใจที่ได้บังเกิดใหม่แล้วนั้น มันกลายเป็นทาส ก็คือติดสนิทกับพระเจ้าแล้ว เป็นทาสของพระเจ้า แต่ก่อนนี้ บาปครอบงำเราอย่างไร? ตอนนี้พระเจ้าครอบงำเราอย่างนั้น ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเราทำอะไรเลยนะ ในขณะเดียวกัน ในอดีตก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเราทำเลย อาดัมทำ โดนเรา ตอนนี้พระเยซูทำ โดนถึงเราเหมือนกัน เห็นภาพอะไรบางอย่างไหม?

สังเกตไหมครับคำว่า “เคยเป็นทาสของบาป” ก็คือในอดีตเคยเป็น แต่ปัจจุบันไม่ได้เป็นแล้ว  ภาษาอังกฤษเรียกว่าเป็น Past tense เป็นอดีตไปแล้ว จบไปเรียบร้อยแล้ว

คำว่า “ทาสของความชอบธรรม” ที่ประโยคต่อมา ใช้คำว่า “ได้กลายเป็น (แล้ว)” มันเป็นอดีตเหมือนกัน แต่เป็นอดีตที่ยืดยาว เขาเรียกว่าได้รับแล้ว และปัจจุบันก็ยังเป็นอย่างนั้นอยู่ เขาเรียกว่า Present Perfect Tense  มันต่อเนื่องกันมา

ข้อที่ 17 “แต่ขอบคุณพระเจ้าที่แต่ก่อนนี้ เรายังไม่เกิดใหม่ เราเป็นทาสของความบาป มารครอบเราอยู่ แต่ในขณะนี้ ท่านก็เชื่อฟัง หมายถึงในขณะนี้ พระเจ้าได้ทำให้ท่านกลายเป็นวิญญาณใหม่ จิตใจใหม่ ที่พระเจ้าใส่ลงไป ให้เป็นวิญญาณและจิตใจที่เชื่อฟังพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว”

นี่คือความอัศจรรย์ของพระคุณพระเจ้า ที่เรียกว่า Amazing Grace เคยเป็นทาสของความบาป แต่ด้วยความเชื่อในข่าวดีของพระเยซูแค่นั้นเอง ไม่ได้ทำอะไรเลย เราได้กลายเป็นผู้มีจิตใจใหม่เอี่ยมในพระเจ้า และได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระจากทาสบาปทั้งปวง แค่ด้วยความเชื่อเท่านั้นเอง เกิดใหม่ทางวิญญาณ และความคิดจิตใจที่ใหม่เอี่ยม ขอบคุณพระเจ้า ที่พระเจ้าได้ผ่าตัด เปลี่ยนใจหินกับเปลี่ยนวิญญาณของเราใหม่ ให้เป็นวิญญาณเหมือนพระเจ้า เปลี่ยนความคิดจิตใจของเราใหม่ ให้เป็นเหมือนพระเจ้า เป็นทาส เชื่อฟังพระเจ้า เราไม่ได้ทำอะไรเลย พระเจ้าผ่าตัดหัวใจให้ใหม่ เอาของใหม่ใส่มา ตามที่พระองค์ทรงสัญญาไว้ และใส่วิญญาณใหม่ในเจ้า เราจะขจัดใจหินออกไปจากเจ้า และให้ใจเนื้อ เราจะใส่วิญญาณของเราไว้ในใจ ก็คือพระวิญญาณ โน้มนำเจ้า ก็คือนำพาเจ้าให้ปฏิบัติตามกฎหมายของเรา คือทางของพระเจ้า และใส่ใจในการรักษาบทบัญญัติของเรา บทบัญญัติของพระเจ้า คือความรัก ความถูกต้อง ความดีงาม ความชอบธรรม หัวใจใหม่ที่พระเจ้าประทานให้เรา ก็คือหัวใจที่เชื่อฟังพระเจ้าอย่างสุดใจ 100% มีธรรมชาติ มีเนเจอร์ที่เป็นของพระเจ้า เชื่อฟังพระเจ้า หัวใจที่ต้องการทำทุกอย่าง ตามพระประสงค์ของพระเจ้า หัวใจที่ต้องการมอบถวายทุกสิ่งแด่พระเจ้า หัวใจที่มีความรักเหมือนพระเจ้า นี่คือธรรมชาติ ลักษณะของหัวใจ หรือความคิดจิตใจของผู้เชื่อทุกคนในพระเยซูคริสต์ในวิญญาณ เอเมน เราไม่ได้ทำอะไรเลย พระเจ้าทำให้เราทุกอย่าง

เรามีคุณสมบัติอย่างนี้ ถ้าท่านเอาไปนั่งคิดอย่างนี้ แล้วภาวนาอย่างนี้อยู่บ่อยๆ จนท่านรู้ว่าตัวจริงๆ ท่านเป็นใคร? ท่านจะยืดอกเลยว่าขอบคุณพระเจ้า ท่านจะไม่รู้สึกห่อเหี่ยว หดหู่เลย แล้วถามว่าท่านจะเย่อหยิ่งไหมเมื่อรู้ความจริงนี้? ไม่เย่อหยิ่งเลย เพราะท่านรู้ว่าพระเจ้าทำ ไม่เกี่ยวอะไรกับฉันเลย แม้แต่นิดเดียว แต่อย่างที่พูดเสมอว่าเรายังวนเวียนอยู่กับอิทธิพล และอยู่ใต้กระแสของโลกนี้ เพราะฉะนั้น เรายังมีโอกาสพลาดพลั้ง ถูกล่อลวง ให้ทำผิดบาป ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ได้ และทำอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะมากหรือน้อยก็ตาม แต่การกระทำผิดบาป ที่เกิดขึ้นจากภายนอก ไม่ใช่ในวิญญาณของเรา

ท่านพอจะเห็นภาพแล้วนะ วิญญาณและความคิดจิตใจเราใหม่เอี่ยมเลย ยังอาศัยอยู่ในร่างกายนี้เท่านั้นเอง ร่างกายนี้ไม่ใช่ตัวจริงของเรา วันหนึ่งเราต้องทิ้งมันไป เหมือนที่เปาโลพูดถึงการต่อสู้ ในการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ว่าในใจเขาคิดอย่างไร? ในใจเขามีความรู้สึกอย่างไร? ซึ่งผู้เชื่อทุกคนก็เป็นเหมือนกัน เปาโลพูดว่าอย่างไร? ในโรม 7:15-17 มาเชื่อพระเจ้าแล้ว วิญญาณก็ใหม่ จิตใจก็ใหม่ เหมือนพระเยซูเลย เต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ เป็นวิญญาณแห่งความรัก เป็นความสว่าง เปาโลบอกว่า …

“ข้าพเจ้าไม่เข้าใจ สิ่งที่ตนเองทำ เพราะสิ่งที่ข้าพเจ้าต้องการจะทำ ข้าพเจ้าไม่ทำ แต่ข้าพเจ้ากลับทำสิ่งที่ตนเองเกลียด และถ้าข้าพเจ้าทำสิ่งที่ตนเองไม่ต้องการจะทำ ข้าพเจ้าก็เห็นด้วยว่าบทบัญญัตินั้นดี ดังที่เป็นอยู่ จึงไม่ใช่ตัวข้าพเจ้าเองที่เป็นผู้กระทำสิ่งนี้อีกต่อไป แต่เป็นเพราะบาปที่อยู่ในข้าพเจ้า”

“ข้าพเจ้า” หมายถึงใคร? “ข้าพเจ้าไม่เข้าใจในสิ่งที่ตนเองทำ เพราะสิ่งที่ข้าพเจ้าต้องการจะทำ ข้าพเจ้าไม่ได้ทำ เพราะข้างในข้าพเจ้าต้องการจะทำให้เหมือนพระเจ้าเป๊ะเลย แต่ข้างนอก มันได้รับสื่อ  อิทธิพล ความคุ้นเคย ความชินกับชีวิตเก่าๆ มันทนไม่ไหว”

ยกตัวอย่างง่ายๆ ชัดๆ เปาโล ข้างในได้รับการบังเกิดใหม่ วิญญาณใหม่ มีความคิดจิตใจใหม่ เหมือนพระเจ้าเลย เต็มไปด้วยความรัก วิญญาณของเปาโลเป็นความรัก  มีความคิดจิตใจที่เป็นความรัก ความรัก คือการอดทนนาน กระทำคุณให้ ไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ให้อภัยเสมอ แต่ปรากฏว่าเปาโลไปเจอคนที่ต่อต้านข่าวประเสริฐของพระเจ้าอย่างรุนแรงและดื้อด้านมากเลย ทำให้ผู้เชื่อใหม่ หลงหาย เปาโลทนไม่ไหว โกรธขึ้นมา ด่าสุดๆ เลย ถามว่าที่ด่านั้น กับวิญญาณตรงกันไหม? วิญญาณบริสุทธิ์ เต็มไปด้วยความรัก เป็นความรัก ไม่ด่า ไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่เย่อหยิ่งผยอง ไม่โกรธเกลียดใครแล้ว แต่ทนไม่ไหว เปาโลเป็นคนทำเหรอ? เปาโลบอกว่าตัวจริงๆ ฉันไม่ได้เป็นคนทำ แต่บาปที่อยู่ในตัวข้าพเจ้าต่างหากที่ทำ  ที่โกรธนั้น ที่โมโหนั้น มันอยู่ในเนื้อหนังร่างกายนี้ แต่วิญญาณไม่มี ความคิดจิตใจไม่มี มันเป็นเนเจอร์ เหมือนพระเจ้าไปแล้ว พระเจ้าบอกว่าพระองค์ทรงประทานชีวิตใหม่ วิญญาณใหม่ หัวใจใหม่ให้กับเราแล้ว เป็นหัวใจที่สะอาด บริสุทธิ์ ไร้มลทิน ปราศจากบาป เพื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์จะสามารถเข้ามาสถิตได้ เพราะถ้าข้างในเราไม่สะอาด พระวิญญาณพระเจ้าก็เข้ามาอยู่กับเราไม่ได้ มีสิ่งสกปรกเพียงนิดเดียว ก็อยู่ไม่ได้แล้ว เพราะว่าพระเจ้าจะสถิตที่ใด? ที่นั่นต้องสะอาดมากๆ เลย

พระเจ้ายกตัวอย่างให้ในพระคัมภีร์เดิม บอกให้รู้เลย การทรงสถิตของพระองค์ เป็นฤทธิ์เดชอำนาจ บริสุทธิ์ขนาดไหน?  ทำให้มนุษย์ได้เห็นแล้ว พระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าทรงชำระล้างเราให้บริสุทธิ์ เพื่อพร้อมที่จะเป็นวิหารของพระเจ้า พลับพลาของพระเจ้า พระคัมภีร์เดิมวิหารของพระเจ้า หรือพลับพลาของพระเจ้า เป็นที่นมัสการที่มนุษย์ หรือเรียกว่าปุโรหิต เป็นผู้สร้างขึ้น ซึ่งครั้งแรกเลย พระเจ้าให้โมเสสสร้าง แล้วบอกว่านี่คือวิหารที่เราจะสถิตอยู่ แต่ทำด้วยมือนะ เลียนแบบ จำลองมาจากสวรรค์ จะเป็นวิหารที่ใช้สำหรับการนมัสการ ก็คือใช้ติดต่อกับพระเจ้า สมัยโมเสส มีเพียงปุโรหิตเข้าไปได้ แค่คนเดียว และได้ปีละครั้ง ก่อนจะเข้าไป ก็ต้องทำตัวให้สะอาดบริสุทธิ์ เพราะอันตรายมากๆ นึกออกใช่ไหมว่าพระเจ้าต้องการให้มนุษย์ได้เห็นว่าความบริสุทธิ์ของพระองค์ขนาดไหน? ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเหตุและผลเลย เกี่ยวกับความเป็นจริงของลักษณะวิญญาณพระเจ้าว่าสะอาด บริสุทธิ์มากๆ มนุษย์สกปรกนิดเดียวก็ไม่ได้เลย เข้าไปได้ปีละครั้ง  ถ้าคนนั้นเข้าไป เตรียมตัวไม่พร้อม ทำอะไรพลาดนิดเดียว ตาย ต้องดึงเชือกออกมา เขาถึงให้ใส่ลูกกระพรวน หมายถึงชุดเขาใส่ลูกกระพรวน กรุ๊งกริ๊งๆ ถ้าเสียงเงียบไปเมื่อไร ไม่มีโต้ตอบ ดึงลากออกมา ตายแล้ว เพราะไปทำอะไรบางอย่างที่ผิดจากที่พระเจ้าสั่งให้ทำ

นี่คือฤทธิ์อำนาจของความบริสุทธิ์ของพระเจ้า แล้วถ้าพระเจ้ามาสถิตอยู่กับเรา ตามพระคัมภีร์ใหม่ที่บอกไว้ มันอัศจรรย์ยิ่งใหญ่ขนาดไหน? เมื่อร่างกายเราที่บอกชำระจนสะอาดหมดจดเรียบร้อยแล้ว พระเจ้าจึงเข้ามาอยู่ได้ เอเมน มันถึงเป็นข่าวดีมากๆ ในขณะเดียวกันคนที่ถูกล่อลวงด้วยมาร ไม่เชื่อในข่าวดีนี้ จะมีความรู้สึกว่า …

“มันจะเป็นไปได้อย่างไร? ฉันสกปรก ฉันทำไม่ดีเลย ฉันจะมาอยู่กับพระเจ้าได้อย่างไร?”

พระเจ้าบอก “Noๆๆๆ เจ้าไม่ต้องทำอะไรเลย เพราะเราเป็นคนทำให้เจ้าแล้ว ทำให้เอง เพียงแต่เจ้าเข้ามาใช้สิทธิ์เท่านั้นเอง”

พอมาถึงยุคพันธสัญญาใหม่ วิหารของพระเจ้า อยู่ในร่างกายของมนุษย์ “ในเรา” หมายถึงในผู้เชื่อทุกคน แล้วถ้าบอกว่าวันนี้ พระเจ้าชำระเราจนสะอาดบริสุทธิ์แล้ว พระวิญญาณมาสถิตอยู่ด้วยกันกับเราแล้ว แล้วเกิดวันหนึ่งข้างหน้า เราเผลอไปทำบาป ทำอันโน้นอันนี้ สกปรกอย่างโน้นอย่างนี้ แล้วเราไม่ตายเหรอ พอเราโกหกทีหนึ่ง พระวิญญาณต้องออกไปแป๊บหนึ่ง เมื่อเช้านี้ เราขับรถมา เราหงุดหงิด ไปว่าคนตัดหน้าปุ๊บ พระวิญญาณออกไปแป๊บหนึ่ง พอเราขอโทษปุ๊บ พระวิญญาณเข้ามา พอเราเข้ามาในโบสถ์ปุ๊บ เรารำคาญคนๆ นี้ พระวิญญาณออกไป พอเราเกิดเข้ามาในโบสถ์ อธิษฐาน พระวิญญาณเข้ามา แล้ววันหนึ่งจะกี่ครั้ง พระวิญญาณเข้าๆ ออกๆ ตัวเรา

ท่านจะรู้แล้ว มันไม่ใช่แน่ วิญญาณก็วิญญาณ วัตถุก็วัตถุ คนละเรื่องกัน อย่างที่ผมบอกเสมอ การตีความพระคัมภีร์ ต้องดูบริบท โดยรวม ภาพรวม ต้องยึดตามพื้นฐานข้อเชื่อในพระคัมภีร์เป็นหลักว่ามันรวมกันแล้ว เป็นลักษณะอย่างไร? ไม่อย่างนั้นมันจะตลกๆ

วิหารสมัยโมเสส ที่พระเจ้าบอกให้ทำ ก็คือวิหารที่ทำด้วยมือ จำลองว่าเป็นอย่างนั้น เพื่อเป็นเงาของวันเพ็นเทคอสว่าพระเจ้าจะมาสถิตอยู่กับมนุษย์ พระเจ้าบอกทำเลียนแบบที่อยู่ในสวรรค์ แล้วท่านดูนะว่ามันจริงไหม? ผมกำลังยกตัวอย่างให้ท่านดูสุดท้าย

วิหารสมัยโมเสส พระเจ้าให้ทำอย่างไร? มีลานชั้นนอก ไม่มีอะไรให้ดูเลย เดินผ่านลานชั้นนอกปุ๊บ มีประตูเข้าห้อง เรียกว่าห้องชั้นใน ในห้องชั้นในมีม่านกั้น หลังม่านเรียกว่าห้องบริสุทธิ์ที่สุด ห้องที่พระเจ้าสถิตอยู่  ถ้าพูดภาษาอังกฤษ ก็คือข้างนอก เรียกเอ๊าคอร์ด เรียกว่าลานวิหาร อันที่สอง ก็คือ Holy place คือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ พอผ่านม่านข้างใน อันที่สามเรียกว่า The most Holy place หรือเรียกว่า Holy of Holies แปลว่าสถานที่บริสุทธิ์ที่สุด ซึ่งจะมีหีบพันธสัญญา ซึ่งเล็งถึงการทรงสถิตของพระเจ้าอยู่ที่นั่น  แล้วถ้าเทียบกับมนุษย์ในปัจจุบันล่ะ ที่พระเยซูทำให้สำเร็จแล้ว ที่ไม้กางเขนแล้ว เมื่อมนุษย์คนใดคนหนึ่งเชื่อในพระเจ้า เกิดอะไรขึ้น พระเจ้าจะเข้ามาสถิตกับเขา ที่ในวิญญาณ และจิตใจของเขา พระเจ้าจะผ่าตัดใจใหม่ ให้วิญญาณใหม่กับเขา แล้วพระองค์ก็เข้าไปอยู่กับเขาเลย ที่วิญญาณและจิตใจของเขา แต่ร่างกายของเขายังเป็นเหมือนเดิม ท่านเห็นไหม?

เพราะฉะนั้น ร่างกาย จิตใจ และวิญญาณของเรา คือวิหารของพระเจ้า มันแปลว่าอย่างนี้ พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ข้างในตัวเรานั่นแหละ และเราจะอยู่กับพระเจ้าอย่างนี้ตลอดไป ซึ่งยังมีข้อพระคัมภีร์อื่นๆ ที่ยืนยันว่าพระเจ้าได้ประทานวิญญาณให้อยู่กับเรา จิตใจใหม่ให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว เมื่อเราเชื่อในข่าวดีของพระเจ้า ผมจะยกตัวอย่างให้สักนิดหนึ่ง เพื่อยืนยันให้ท่านเห็น โรม 5:5

โรม 5:5 “ความหวังไม่ทำให้เราผิดหวัง เพราะพระเจ้าทรงเทความรักของพระองค์ เข้ามาในจิตใจของเรา โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้ซึ่งพระเจ้าได้ประทานแก่เรา”

 

เอเฟซัส 3:7 “ข้าพเจ้าได้เป็นผู้รับใช้แห่งข่าวประเสริฐนี้ โดยพระคุณ ซึ่งพระเจ้าประทานแก่ข้าพเจ้า ผ่านทางการทำงานของฤทธิ์อำนาจของพระองค์”

 

ท่านสังเกตดู 2 ข้อที่ผ่านมา ไม่มีการกระทำของมนุษย์เกี่ยวข้องเลย พระเจ้าเป็นผู้ทำหมดเลย ให้ฟรีๆ หมด จึงเรียกว่าพระคุณ พระองค์ทรงกระทำทั้งสิ้น วิญญาณที่พระเจ้าประทานให้อยู่กับเรา คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า จะอยู่กับเราได้ คือเราต้องสะอาดหมดจด บริสุทธิ์มากๆ ที่สุด  พระองค์ก็ทรงชำระให้เรา โดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย  พระองค์ทรงกระทำให้ ผ่านทางพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน ที่เรียกว่าข่าวดี ถ้าเราต้องทำเอง เรียกว่าข่าวร้ายเลย เพราะไม่มีใครทำได้ ไม่มีใคร ทำตัวเองให้สะอาดบริสุทธิ์ เหมาะที่พระเจ้าจะมาสถิตอยู่ด้วย เป็นไปไม่ได้เลย

ก่อนที่พระเยซูจะทำให้สำเร็จ แม้กระทั่งผิดนิดเดียว วันนี้อาบน้ำน้อยไปหน่อย จะต้องเข้าเฝ้าพระเจ้าปีละหนึ่งครั้ง สมมติมหาปุโรหิต แต่งตัวผิดนิดหนึ่ง ตาย เข้าไปแกว่งเครื่องหอม ซึ่งเรียกว่าการทรงสถิตของพระเจ้า ใส่ผงกำยาน ใส่ผิดไปนิดหนึ่ง ตาย  เพราะความบริสุทธิ์ของพระเจ้า มันไม่ได้เกี่ยวกันกับว่าในใจคุณคิดอะไร? คุณตั้งความหวังว่าอะไร? ไม่เกี่ยว อย่างที่ผมบอก มันเป็นกฎ มันเป็นธรรมชาติ พระเจ้าเป็นความบริสุทธิ์ ความบริสุทธิ์ของพระเจ้าเป็นฤทธิ์เดชอำนาจในตัว ซึ่งอยู่ตรงกันข้ามกับความบาป เหมือนกับแรงดึงดูดของโลก ไม่ว่าคุณจะเป็นคนดี หรือไม่ดี หรือเป็นคนเลวอย่างไร? คุณเดินออกไปจากดาดฟ้า คุณก็ตกลงไป

2 โครินธ์ 1:22 “ทรงประทับตรา แสดงความเป็นเจ้าของบนเรา และประทานพระวิญญาณของพระองค์ไว้ในใจเรา เป็นมัดจำค้ำประกัน ในสิ่งที่จะมาถึง”

 

พอท่านเชื่อในข่าวดีของพระเยซูว่าเป็นจริง พระเจ้าเปลี่ยนหัวใจท่านใหม่ เป็นหัวใจที่เหมือนพระเยซู เปลี่ยนวิญญาณท่านใหม่ เป็นวิญญาณที่เหมือนพระเยซู และในนี้บอกและทรงประทับตรา … “ประทับตรา” แปลว่าปิดห้อง ต่อจากนี้ไม่มีใครเอาเราออกไปจากมือของพระเจ้าได้แล้ว ต่อให้เป็นมารหรือตัวเราเอง ก็ออกไม่ได้ เมื่อเราได้ถูกเปลี่ยนแปลง เป็นเหมือนพระเจ้าแล้ว มันก็เป็นอย่างนั้น มันจะเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นไม่ได้แล้ว ไม่ต้องห่วง

กาลาเทีย 4:6 “ในเมื่อท่านเป็นบุตร พระเจ้าจึงทรงให้พระวิญญาณของพระบุตรของพระองค์เข้ามาในใจเรา พระวิญญาณผู้ทรงร้องเรียกว่า “อับบา พ่อ””

 

“ในเมื่อท่านเป็นบุตร” เป็นบุตร เพราะท่านทำดี ไม่ใช่ เป็นบุตร เพราะท่านได้เกิดมาเป็นบุตร เกิดใหม่ พอท่านเชื่อในข่าวดีของพระเยซูว่าพระองค์ทรงชำระบาปให้กับท่านบนไม้กางเขน ท่านใช้สิทธิของท่าน ทันทีทันใดนั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเข้ามา เขาเรียกว่าบัพติศมาท่านด้วยไฟ คือจุ่มวิญญาณและจิตใจท่าน ลงไปในฤทธิ์เดชอำนาจแห่งความบริสุทธิ์ของพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่สูงสุดนั้น และทำให้บังเกิดใหม่ในวิญญาณและความคิดจิตใจ เป็นไปตามที่พระเจ้าวางแผนมาตั้งนานแล้ว ในนี้จึงบอกว่าพระเจ้าจึงทรงให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์เข้ามาอยู่ในใจของเรา วิญญาณก็เปลี่ยนใหม่ จิตใจก็มีพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ และพระวิญญาณผู้นี้ ก็จะค่อยๆ สอนเราในทางของพระเจ้าทั้งหมด ในทางของความรัก ความสว่าง และสอนเราในทางของความคุ้นเคย ความสัมพันธ์ในครอบครัว ก็คือให้เราเรียกพระเจ้าว่าพ่อ ให้เราเรียกพระเยซูว่าพี่ ให้เราเรียกพี่น้องคนอื่นๆ ที่เป็นคริสเตียนว่าพี่น้อง พระวิญญาณจะนำเรา นี่คือตัวอย่าง แล้วจะนำเราไปเรื่อยๆ ทุกอย่างทุกเรื่องแหละ เพียงแต่เราได้ยินพระองค์หรือเปล่า? ต่อไปนี้ เวลาจะอธิษฐาน ภาวนา หาความจริงอะไรต่างๆ ให้วิ่งไปที่พระคัมภีร์ อันนี้ก็มีส่วน แต่ท่านต้องตั้งความคิดจิตใจไว้ที่วิญญาณตลอด ถ้าอธิษฐาน ให้อธิษฐานด้วยใจ ด้วยวิญญาณ ถ้าจะถวาย ให้คิดถวายด้วยความประสงค์จากใจ มันหมายถึงตรงนี้  ทุกอย่างทำจากข้างในออกมาข้างนอก นั่นแหละ คือคริสเตียน

เวลาจะคิดอะไรก็ตาม คิดจากข้างใน คือฝ่ายวิญญาณของเรา ไม่ต้องออกไปข้างนอก ถ้าเมื่อไรก็ตามท่านทำอย่างนี้ เท่ากับเรากำลังลากมาร สมมติว่าเป็นการต่อสู้กันบนโลกใบนี้ เรากำลังลากมารขึ้นมาบนเวทีของเรา เวทีของเราที่เราจะชนะ 100% หมัดหนักที่สุด ก็คือเวทีทางโลกวิญญาณ เราแค่ฮุ๊กทีเดียวกระเด็นไปไกลเลย แต่ถ้าเราถูกมันลากลงจากวิญญาณ ลงไปอยู่บนโลกใบนี้ แล้วให้เราไปชกกับมัน ตายลูกเดียว ต่อให้เป็นคริสเตียน อย่างไรก็ตาย ต่อให้มีตำแหน่งในคริสเตียนก็ตาย เพราะว่าในทางคริสเตียน ตำแหน่งเท่ากันหมด เพราะฉะนั้นเราต้องลากมันเข้ามาตรงนี้ พยายามฝึกฝนที่จะทำอะไรก็ตาม ผลักออกจากใจ

พระคัมภีร์บอกจะนมัสการพระเจ้า จงนมัสการด้วยวิญญาณและความจริง ถ้าจะให้ ก็ต้องให้จากใจ รักพี่น้อง รักจากใจ ทุกอย่างจากใจหมด เพราะในใจนั้นบริสุทธิ์สะอาด เป็นลูกของพระเจ้า และมีพระเจ้าเป็นพี่เลี้ยงของเราอยู่ เอเมน

คำว่า “ภาวนา” “อธิษฐาน” “pray” อย่าไปนั่งคิด เราชอบนั่งคิดว่าการภาวนา คือต้องไปนั่งเงียบๆ นั่งในห้องคนเดียว อธิษฐาน คำว่า “อธิษฐาน” คือการติดต่อกับพระเจ้า ถามว่าติดต่อกับพระเจ้า ต้องติดต่อทางไหน? ทางวิญญาณ การภาวนา ก็คือการทำอะไรก็ตามที่จะติดต่อกับพระเจ้าทางวิญญาณ คิดไปถึงโลกวิญญาณ เขาเรียกว่าภาวนา เรียกว่า Pray  พระคัมภีร์จึงบอกให้เราอธิษฐานเสมอๆ อธิษฐานตลอด 24 ชั่วโมง แล้วใครไปนั่งอธิษฐานอย่างนั้นได้ มันไม่ได้แปลว่าอย่างนั้น อธิษฐาน 24 ชั่วโมง ท่านสามารถทำได้แล้วตอนนี้ คือในใจท่านจดจ่ออยู่กับเรื่องของโลกวิญญาณตลอด ท่านสามารถภาวนาได้ตลอด 24 ชั่วโมง ท่านสามารถอธิษฐานได้ตลอด 24 ชั่วโมงเลย เพียงแต่ส่วนหนึ่งเท่านั้น ในบางวันเท่านั้น ที่ท่านมานมัสการพระเจ้า ในวิญญาณและมีเพลงประกอบ อาจเป็นเพลงไทย เพลงฝรั่ง เพลงจีนประกอบเท่านั้น แต่ท่านร้องเพลงจากวิญญาณของท่าน ท่านไม่ต้องมาที่โบสถ์ แล้วก็มาร้องด้วยวิญญาณตรงนี้ ท่านอยู่ที่ไหน ท่านก็ร้องได้ เพราะวิญญาณอยู่ในตัวท่านนั่นเอง  เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

****************************

 

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 16 มิถุนายน 2019 เรื่อง “สำเร็จแล้ว … เราได้รับชีวิตใหม่ วิญญาณใหม่ ความคิดจิตใจใหม่เรียบร้อยแล้ว” ตอน 6 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  16  มิถุนายน  2019

 เรื่อง “สำเร็จแล้ว … เราได้รับชีวิตใหม่  วิญญาณใหม่

ความคิดจิตใจใหม่เรียบร้อยแล้ว” ตอน 6

โดย นคร  เวชสุภาพร

            วันนี้ผมใช้หัวข้อเรื่องว่า “เราได้รับชีวิตใหม่ วิญญาณใหม่ ความคิดจิตใจใหม่เรียบร้อยแล้ว” นี่คือข่าวดี มาพูดถึงวันกำเนิดคริสตจักรใหม่ เมื่อสัปดาห์ที่แล้วได้พูดไปแล้ว เป็นวันเพ็นเทคอส เป็นวันก่อตั้งของ 2 คริสตจักรนี้ ทางโลกวิญญาณและโลกวัตถุ เผอิญมันเป็นวันเดียวกันพอดี แต่ห่างกัน วันเพ็นเทคอส ของเราครบรอบ 26 ปีกับของพระเจ้าฉลองไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ครบรอบประมาณ 2,000 ปี

พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าหลังจากเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์ ในวันอีสเตอร์แล้ว พระองค์ก็ได้ทรงปรากฎพระองค์ และอยู่กับเหล่าสาวกอีก 40 วัน จากนั้น ก็ทรงถูกรับ ลอยเข้าไปอยู่ในสวรรค์ ทางโลกวิญญาณ ต่อหน้าต่อตาผู้คนจำนวนมาก ซึ่งเป็นพยานในวันนั้น บันทึกเอาไว้ในหนังสือกิจการ

และในมาระโก บทที่ 16 บันทึกเหตุการณ์อย่างนี้ว่าพระเยซูคริสต์ถูกรับขึ้นสู่สวรรค์ ประทับที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า  … ลอยขึ้นไปนั่งในสวรรค์ ที่แห่งหนึ่งในโลกวิญญาณ ที่มองไม่เห็น เรียกว่าสวรรค์ ซึ่งก่อนที่พระเยซูจะถูกรับไปอยู่บนสวรรค์กับพระเจ้า คือในช่วง 40 วันที่อยู่กับเหล่าสาวก ที่เดินสอนกับเหล่าสาวก หลังจากเป็นขึ้นจากความตายแล้ว พระองค์ก็ได้ทรงบอกไว้ก่อนล่วงหน้าแล้วว่าพระองค์จะต้องจากไปเร็วๆ นี้ และได้ทรงสัญญาว่าเมื่อจากไป จะทรงประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ ให้มาสถิตอยู่ด้วยกันกับพวกเธอ หรือกับมนุษย์นั่นเอง ตอนพูดตอนนั้น ไม่มีใครเข้าใจ แต่มีคนจดว่าพระองค์พูดอะไร? แล้วค่อยมาเข้าใจทีหลัง

เคยมีใครตั้งคำถามไหมครับว่าทำไมพระเยซูต้องถูกรับขึ้นไปบนสวรรค์ด้วย? ทำไมพระเจ้าถึงไม่ให้พระเยซูอยู่กับมนุษย์ เดินอยู่บนโลกใบนี้ หลังจากเป็นขึ้นจากความตายตลอดไปเลย บางคนบอกว่าพระเจ้าให้พระเยซูอยู่กับมนุษย์อย่างนั้นนะ รับรองป่านนี้คนทั้งโลกเชื่อพระเจ้าหมดแล้ว นี่คิดแบบมนุษย์

เรื่องราวข่าวประเสริฐของพระเยซู มักจะมีคนตั้งคำถามว่าทำไมอย่างนั้น ทำไมอย่างนี้ คิดตามภาษาปัญญามนุษย์ เรื่อยเปื่อย เราจะมาดูคำตอบกัน พระองค์เป็นคนตอบว่าทำไมพระองค์ต้องจากไป เพื่ออะไร? ยอห์น 16:7

ยอห์น 16:7 “เราบอกความจริงแก่พวกท่านว่าการที่เราจะจากพวกท่านไป ก็เพื่อผลดีของพวกท่าน ถ้าเราไม่ไป องค์ที่ปรึกษาก็จะไม่มาหาพวกท่าน แต่ถ้าเราไป เราจะส่งพระองค์มาหาพวกท่าน”

 

พระเยซูตอบเองเลยว่าเหตุผลที่พระองค์ถูกรับขึ้นไปอยู่บนสวรรค์กับพระเจ้า ก็เพื่อมนุษย์จะได้มีโอกาส มีองค์ที่ปรึกษามาอยู่ด้วย องค์ที่ปรึกษาในนี้ ก็คือพระวิญญาณ คือพระเจ้านั่นเอง ในรูปแบบของพระวิญญาณ 1 ใน 3 พระภาค พระเจ้า พระบิดา พระเจ้า พระบุตร พระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ คือพระเจ้ามาสถิตอยู่กับมนุษย์นั่นเอง ถ้าพระเยซูไม่เข้าไปอยู่ในโลกวิญญาณ พระเจ้าก็ไม่สามารถมาอยู่ในร่างกายของมนุษย์ได้ พูดง่ายๆ อย่างนี้

วันเพ็นเทคอสที่เราได้ฉลองกันไป เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ก็คือวันที่องค์ที่ปรึกษา หรือองค์พระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็คือพระเจ้าได้มาอยู่กับมนุษย์เป็นครั้งแรก ในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ มาจนถึงทุกวันนี้ ประมาณ 2,000 ปี เราจึงฉลองเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

ถ้าพระเยซูยังคงเป็นมนุษย์ เดินอยู่กับพวกเราบนโลกใบนี้ คิดให้ดีๆ แล้วที่บอกว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับผู้เชื่อทุกคน มันก็เป็นไปไม่ได้ เพราะพระเยซูต้องอยู่ทีละแห่งๆ แล้วอยู่กับทุกคน ทำอย่างไร? ประชากรโลกมีจำนวนมากมาย หลายพันล้าน มันเป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้น พระเจ้าต้องมาในรูปแบบของวิญญาณ เพราะว่าพระเยซูไม่ใช่วิญญาณอีกต่อไป พระเจ้า พระบิดาเป็นวิญญาณ พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นวิญญาณ แต่พระเยซูเป็นมนุษย์ และเป็นวิญญาณด้วย คือเป็นมนุษย์และเป็นพระเจ้าพร้อมกัน

ถ้าพระเยซูเป็นวิญญาณ ก็ไม่เป็นประโยชน์อะไรกับเราเลย แต่ถ้าเป็นมนุษย์ ก็คือเป็นต้นพันธุ์ เป็นเผ่าพันธุ์  เป็นหัวหน้าเราอีกทีหนึ่ง และหัวหน้าของเราชนะแล้ว เอเมน อาดัมก็เป็นหัวหน้าเราในอดีต แต่อาดัมแพ้

เพราะฉะนั้น แผนการของพระเจ้า ก็คือส่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้มาเป็นตัวแทนของพระเยซู มาอยู่กับพวกเราทุกคน ทุกวันนี้นั่นเอง แผนการนี้วางไว้ตั้งแต่ก่อนสร้างโลกแล้ว ถ้ามนุษย์ตกลงไปในความบาป จะทำอย่างนี้  คือสรุปสุดท้ายให้พระวิญญาณพระเจ้าลงมาสถิตอยู่กับมนุษย์ทุกคนอีกครั้งหนึ่ง แต่พระเยซูต้องเข้ามาทำงาน ก็ว่ากันไป เอเมน ยอห์น 16:13-15 ลองอ่านดูว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์อธิบายอย่างไรว่าพระองค์จะมาทำอะไร? อย่างไร? ในร่างกายเรา

ยอห์น 16:13-15 “13 เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมา พระองค์จะทรงนำพวกท่าน ไปสู่ความจริงทั้งมวล พระองค์จะไม่ตรัส โดยลำพังพระองค์เอง แต่จะตรัสเฉพาะสิ่งที่ทรงได้ยิน และจะทรงแจ้งแก่พวกท่าน ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น 14 พระองค์จะทรงนำเกียรติสิริมาให้เรา โดยการนำสิ่งที่เป็นของเรา มาสำแดงแก่พวกท่าน 15 ทุกสิ่งที่เป็นของพระบิดา ก็เป็นของเรา ฉะนั้น เราจึงกล่าวว่าพระวิญญาณจะทรงนำสิ่งที่เป็นของเรา มาสำแดงแก่พวกท่าน”

 

“เรา” คือพระเยซู เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริง คือพระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จมา พระองค์จะทรงนำพวกท่าน

“พวกท่าน” ก็คือใครก็ตาม มนุษย์คนใดก็ตาม ที่เชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ เชื่อในการกระทำของพระเยซูบนไม้กางเขน เชื่อว่าพระองค์เป็นพระเจ้า มาช่วยเหลือ เป็นผู้ช่วยให้รอด คนนั้นแหละ

พระองค์จะทรงนำพวกท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล ความจริงที่พระเยซูกำลังพูดตรงนี้ ทำให้เราเป็นไท แล้วอะไรคือความจริงทั้งมวล คำตอบก็ต้องมาจากพระคัมภีร์ อ่านดูต่อ ยอห์น 14:26 พระองค์ตอบเอง

ยอห์น 14:26 “องค์ที่ปรึกษา คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งพระบิดาจะทรงส่งมาในนามของเรา จะทรงสอนสิ่งทั้งปวงแก่พวกท่าน และจะให้พวกท่านระลึกถึงทุกสิ่งที่เราได้กล่าวกับพวกท่าน”

 

เอเมน พระบิดาจะส่งพระวิญญาณมาในนามของพระเยซู เพราะเราเริ่มต้นเชื่อที่องค์พระเยซู เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน ไถ่บาปให้กับเรา  ทางพระเยซูนั่นเอง พอใครเชื่อแบบนี้ปุ๊บ พระเจ้าก็จะทำให้คนนั้นเกิดใหม่ แล้วส่งพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาอยู่ในร่างกายของเขา นั่นคือความจริง และพระวิญญาณผู้นี้ จะทรงสอนสิ่งทั้งปวงแก่พวกท่าน และจะให้พวกท่านระลึกถึงทุกสิ่งที่เราได้กล่าวกับท่าน

“เรา” คือพระเยซู และจะให้พระวิญญาณบริสุทธิ์สอนท่าน และระลึกถึงคำพูดต่างๆ คำสอนต่างๆ อุปมาต่างๆ ที่เราไม่เข้าใจ ฟังแล้วงงไปงงมานั้น สอนเราอย่างละเอียดและเข้าใจดี โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์จะบอกกับท่านที่ในวิญญาณของท่าน เอเมน ขณะที่เราฟังคำบรรยายจากผู้บรรยาย หรือฟังคำพยานจากผู้ที่เป็นพยานเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้า พระวิญญาณจะเป็นผู้อยู่ข้างในตัวเรา คอยเสริมให้กับเรา คอยบวกๆ ลบๆ อะไรที่ไม่ใช่ ก็บอกไม่ใช่ อะไรที่ใช่ ก็บอกใช่ บางครั้งอะไรที่ไม่ใช่ พระองค์บอกไม่ใช่ ในความคิดเราเคยบอกใช่ แต่ความตั้งใจของพระวิญญาณ คือกำลังสอนเราเกี่ยวกับเรื่องความจริง ที่พระเยซูบอกเราในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล ซึ่งมันมีนิดเดียว ความจริงทั้งมวล ที่พระคัมภีร์จะมาสอน และมานำพวกเรา ก็คือความจริงทั้งมวลที่พระเยซูได้ตระเวนสั่งสอน ประกาศแค่ 3 ปีเอง ไม่เยอะเลย นิดเดียว ตอนที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ก่อนที่จะทำงานสำเร็จ ที่ไม้กางเขน

พระเยซูดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ 33 ปี แต่สอนจริงๆ แค่ 3 ปีสุดท้าย พระองค์ไม่ได้มาสอนศีลธรรม ไม่ได้มาสอนวิธีการทำความดี แต่มาสอนเรื่องเดียว 3 ปี ขมวดปมเลย สอนเรื่องสวรรค์ … สวรรค์กำลังมา จะเข้าสวรรค์ทำอย่างไร? สวรรค์เป็นอย่างไร? แค่นั้นเอง แล้วทำไมสอน 3 ปี แค่นั้นพอแล้ว พอท่านเข้าสวรรค์จริงๆ ปุ๊บ พระวิญญาณจะเสด็จมาอยู่กับท่าน ข้างในตัวท่าน และพระองค์ก็จะทรงสอนท่านเอง เรื่องอื่น เรื่องศีลธรรม เรื่องความรักในโลกใบนี้ เรื่องอะไรก็ว่ากันไป พระวิญญาณก็จะเป็นพี่เลี้ยง เป็นสติปัญญา เป็นที่ปรึกษา พาท่านเดินไปด้วยกัน เอเมน

แต่ถึงแม้ว่าเราจะได้รับการสอน การทรงนำจากพระวิญญาณไปสู่ความจริงทั้งมวลแล้ว ในขณะเดียวกัน เหล่าวิญญาณชั่วทั้งหลายที่ยังคงวนเวียนอยู่บนแผ่นดินโลกนี้ มันยังคงทำงานอยู่ ก็คือพวกมารซาตานและสมุนของมัน คือกลุ่มทูตสวรรค์ที่ถูกขับไล่ออกจากสวรรค์ สมุนของมาร พวกวิญญาณชั่วเหล่านี้ มันก็พยายามแยกย้ายกันทำหน้าที่ งานหลักของมารซาตาน ก็คือหลอกล่อมนุษย์ให้ต่อต้านพระเจ้า ให้กบฏต่อพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า ไม่เชื่อข่าวดีของพระเจ้าเหมือนเดิม แล้ววิธีการของพวกมาร มันใช้ในการล่อลวงมนุษย์ ก็คือทำให้ความจริงของพระเจ้าผิดเพี้ยนไป นี่คือหน้าที่ของมันเท่านั้นเอง มันไม่ได้มาหลอกเราแบบในหนัง ผีหลอก ไม่มี ไม่ต้องห่วง ว่ากันตามจริง มันมีน้อยกว่าพวกเราอีก ถ้าพระคัมภีร์บอกว่ามารและสมุนของมัน 1 ใน 3 ของทูตสวรรค์ของพระเจ้า ตกกระป๋อง กลายเป็นมาร แล้วก็วิญญาณชั่วต่างๆ ที่คอยหลอกล่อเรา ให้ไม่รู้ความจริงของพระเจ้า 1 ใน 3 ก็แสดงว่ามีพวกเราเหลือ 2 ใน 3 ยังไม่นับแม่ทัพใหญ่ คือพระเยซูคริสต์อีก ชัยชนะเหลือล้นแล้ว ไม่ต้องห่วง มันทำอะไรไม่ได้เลย หลอกไม่ได้ ตอนกลางคืนกระตุกขาเราไม่ได้ ที่บอกกระตุกขา บางทีเราเครียด ไม่ต้องไปฟังเลย ไม่มีหลอก ถ้ามันกระตุกได้ เรามีอีก 2 ใน 3 เขามี 1 ใน 3 สมมติเขามี 100 คน เรามี 200 ถ้ามันกระตุกนะ  พวกเราตบกระโหลกเลย หมายถึงพวกเราทางโลกวิญญาณ ถ้าเกิดมีอย่างนั้นจริงๆ ท่านไม่ต้องห่วง แต่ที่น่าห่วงที่สุด  ที่มันทำได้ ก็คือมันบิดพลิ้วความจริง ทำให้ความจริงไม่มาถึงมนุษย์ ตรงนี้ แค่นี้เอง เมื่อไรก็ตามที่ความจริงในข่าวดีของพระเยซูไม่มาถึงมนุษย์คนใด คนนั้นก็ยังอยู่ที่เดิม ก็ยังต่อต้านพระเจ้า ก็ยังเป็นทาสมารอยู่เหมือนเดิม เพราะฉะนั้น วิธีการของมาร ก็คือทำอย่างไรก็ตามให้มนุษย์หลุดออกไปจากความรู้เรื่องความจริงของพระเจ้า เพื่อจะได้เป็นศัตรูกับพระเจ้าต่อไป ไม่ได้รับสิทธิอะไรต่างๆ ที่พระเจ้าทำไว้เลย

แล้ววิธีการที่พวกมารใช้หลอกมนุษย์ ที่ดีที่สุด ก็คือการขโมย พระเยซูบอกว่ามารมาเพื่อขโมย ฆ่า และทำลาย มันจะทำลายเราไม่ได้เลย ถ้ามันไม่เริ่มต้นด้วยขโมย ถ้ามันขโมยเงินเราไปได้   สมมติเรามีเงินในบ้าน   ใส่เชฟไว้    มารมันส่งวิญญาณชั่วมา    มองไม่เห็นเลย ทะลุเชฟได้ ไปเอาเงินได้ พระเจ้าส่งทูตสวรรค์มาอีก 2 เท่า เอาเงินมาใส่ให้เราเยอะขึ้นกว่าเก่า ไม่ต้องทำงานทำการแล้วตอนนี้ เข้าใจใช่ไหมครับ? มันเป็นไปไม่ได้ ไม่ต้องห่วง สิ่งที่มันทำได้ ก็คือขโมยความจริง … ความจริงที่จะทำให้เราเป็นไท

ยอห์น 10:9-10 บันทึกไว้อย่างนี้ “9 เราเป็นประตูนั้น ผู้ใดเข้ามาทางเราจะรอด เขาจะเข้าออก และพบทุ่งหญ้า 10 ขโมยนั้นมาเพียงเพื่อลัก ฆ่า และทำลาย เราได้มา เพื่อเขาทั้งหลายจะมีชีวิตและมีชีวิตอย่างครบบริบูรณ์”

 

พระคัมภีร์บอกว่าความจริง คือพระเจ้าได้ประทานชีวิตใหม่ วิญญาณใหม่ ความคิดจิตใจใหม่ ให้กับท่านแล้ว ให้กับมนุษย์แล้ว ไปรับสิทธิได้ทันทีในพระเยซูคริสต์ 2,000 ปีมาแล้ว แปลว่าตอนนี้ท่านได้รับชีวิตใหม่จากพระเจ้าแล้ว ไม่ต้องรอ ตอนนี้ท่านได้รับวิญญาณใหม่แล้ว

ตอนนี้ ท่านได้รับจิตใจใหม่ ที่ติดกับวิญญาณท่านแล้ว

ตอนนี้ ท่านอยู่ในสวรรค์แล้ว

ขอบคุณพระเจ้า ท่านรู้ไหมกว่าเราจะมาอย่างนี้ได้ เราใช้เวลาคุยเรื่องนี้ไปกี่ปี? มันไม่ง่ายเลยนะ ท่านลองไปถามใครก็ได้ ที่เชื่อพระเจ้าแล้ว ท่านอาจจะไม่ได้คำตอบแบบนี้ ท่านจะเห็นมันง่ายๆ แต่มันไม่ง่าย เวลามารมันจะขโมย มันจะขโมยสิ่งเหล่านี้ไปก่อน ทำให้ข่าวดี กลายเป็นข่าวค่อนข้างดี พระเจ้าทำให้เราบริสุทธิ์สะอาดเรียบร้อยแล้ว 100% กลายเป็นพระเจ้าทำให้เราบริสุทธิ์สะอาดแล้ว 60% 50% ไม่มี ของพระเจ้า คือ 0 %  หรือ 100% ไม่มีตรงกลางๆ ฉันเป็นคนชอบธรรม กลางๆ คือฉันทำดีบ้าง ทำชั่วบ้าง เพราะฉะนั้น ฉันอยู่กลางๆ อยู่ประมาณ 50, 60% ไม่มี มีแต่ท่านเป็นศูนย์หรือท่านเป็นร้อย ท่านเป็นร้อยก็อยู่ในสวรรค์ ท่านเป็นศูนย์ก็อยู่ในสถานที่ที่ไม่มีพระเจ้าเหมือนเดิม เหมือนตอนที่พระเยซูยังไม่มาทำอะไรที่ไม้กางเขน นี่คือความจริงทั้งมวลในพระคัมภีร์ ที่พระเยซูบอกว่าความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท แต่พวกมารไม่ต้องการให้มนุษย์เป็นไท เพราะมันต้องการควบคุมโลกใบนี้เหมือนเดิม มันต้องการให้มนุษย์เป็นพวกมัน คือเป็นศัตรูกับพระเจ้า

เพราะฉะนั้น วิธีการของมัน ก็คือทำให้ความจริงทั้งมวลเหล่านั้น เสียหาย ด้อยลง ถ้ามันเอาไปได้หมดเลย มันเอาไปหมด แต่ถ้ามันเอาไปไม่ได้ สมมติว่าเราได้รับข่าวดีมา 100%  ถ้าเป็นไปได้ มันคิดในใจเลย มันไม่เคยสงสารเราเลย มันจะขโมยทั้งร้อยนั้นไป แต่ถ้าเผื่อมีคนช่วยเรา พระวิญญาณช่วยเรา เราสนใจอะไรต่างๆ ศิษยาภิบาลมาช่วยกัน พี่เลี้ยงมาช่วยกัน ท่าทางช่วยได้ มันแค่มากที่สุด อาจจะได้ 30% คนๆ นั้นก็อยู่แบบกระท่อนกระแท่น เอาไป 70% ท่านพอเข้าใจไหม? แล้วเขาก็ไปประกาศข่าวดีกับคนอื่นต่อไป ประกาศไปได้แค่ 70 ไม่สามารถประกาศร้อยได้ เพราะเขารู้แค่ 70 เอง ก็ถูกขโมยไปแล้ว แล้วถ้าไปเรื่อยๆ ลูกเขาได้ 70 แล้วมาขโมยต่อ ไปถึงหลานได้ 50 ไปถึงเหลนได้เท่าไร? คิดในใจ ถึงเหลนน่าจะเหลือ 20 ไปถึงโหลนเหลือแค่นับถือศาสนาคริสต์ ก็ตามปู่ย่าตาทวดนั่นแหละ ไม่มีโบสถ์ ไม่อะไรทั้งสิ้น แต่ตามสำมะโนครัวเขียนว่าเป็นคริสต์ศาสนา ท่านพอเข้าใจไหม? ท่านพอมองเห็นภาพไหม? คนถามไม่รู้เรื่องเลย

แต่ท่านนั่งอยู่ขณะนี้ ท่านกำลังบอกว่าท่าน คือต้นพันธุ์ใหม่ที่เกิดและเรียนรู้จากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ท่านกำลังตอบเมื่อตะกี้มันเป็นความจริงที่รุนแรงมาก ท่านตอบขณะนี้ท่านอยู่ในสวรรค์แล้ว แค่ประโยคเดียว มารดิ้นพาดๆ เลย เพราะมันไม่อยากให้ใครรู้เลยว่าการเข้าสู่สวรรค์ มันเดี๋ยวนี้เลย ไม่ใช่ต้องรอตายไปก่อน มันเดี๋ยวนี้ทันทีเลย มันพิสูจน์ได้ทันทีเลย  ท่านจะได้เห็นภาพสงครามฝ่ายวิญญาณมันสู้กันแค่นี้ ไม่ต้องกลัวผีอีกต่อไป แต่เรากลัวความมืด มันชิน ไม่ได้ชินกับความมืดนะ ชินกับความกลัว เพราะเรากลัวความมืด ลองไม่เคยดูหนังผีเลยสิ เราไม่เคยฟังเรื่องผีเลย  มาหลอกเรา มันก็ไม่มี ข้อมูลมาให้เรากลัว จริงหรือไม่จริง อยู่เมืองจีน ผีก็เป็นแบบนี้ เดินตัวตรง ยื่นมือออกมา แล้วกระโดด อยู่เมืองฝรั่ง อยู่อเมริกา ผีก็แต่งตัวสวย แต่งเป็นแด๊กคูล่า มีผ้าคลุม เพราะมันหนาว มาผีไทย เปิดหมดเลย ใส่สไบอย่างเดียว บ้านอยู่สูง มือต้องยาว อะไรอย่างนี้ เราจะได้เห็นภาพไงว่าความจริงในโลกฝ่ายวิญญาณนั้น คืออะไร?

เพราะฉะนั้น พวกมารคอยจ้อง และพยายามที่จะเอาข่าวดีนี้ออกไป ตะกี้นี้เราอ่าน ขโมย มาเพื่อลัก ฆ่า และทำลาย แต่พระเยซูบอกว่าเรามาเพื่อเขาทั้งหลายจะได้ชีวิต และมีชีวิตอย่างครบบริบูรณ์ มันตรงกันข้าม ความจริง ก็คือเรื่องข่าวดีของพระเยซูคริสต์ น่าจะเป็นเรื่องเล่าวันนี้ เล่าทุกวันเลยว่าเมื่อ 2,000 ปีเกิดอะไรขึ้นที่โกละโกธา ในโลกวิญญาณมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง และมีเหตุอะไรบ้าง ทุกวันเป็นใหม่ทั้งนั้น สามารถพูดได้ตลอด เพราะมันเกิดขึ้นแล้ว จึงเรียกว่าข่าวเล่า แสดงว่ามันเกิดขึ้นแล้ว ไม่ใช่ข่าวเดาเอา มนุษย์สามารถเกิดใหม่ เป็นวิญญาณใหม่ เป็นความคิดจิตใจใหม่ เหมือนพระเจ้า บริสุทธิ์ผุดผ่อง เหมือนพระเจ้าเลย เหมือนพระเยซูเลย ทันทีเลย บนโลกใบนี้ ไม่ต้องรอให้ตายก่อน ไม่ต้องรอหมดลมหายใจ พระเจ้าได้วางแผนการนี้ไว้หลายพันปี ก่อนที่จะส่งพระบุตร คือพระเยซูคริสต์มากระทำให้สำเร็จบนไม้กางเขน โกละโกธา

ผมยกตัวอย่างข้อพระคัมภีร์ที่พูดถึงเรื่องเกี่ยวกับการที่พระเยซูกระทำที่ไม้กางเขน อย่างชัดเจนว่าเป็นแผนการของพระเจ้าอย่างไร? ที่พระเจ้าบอกล่วงหน้า ในแผนการที่พระคัมภีร์บอกว่าการเผยวจนะ ในพระคัมภีร์เดิมทั้งหมดเลย นี่คือตอนหนึ่งในนั้น ที่ชัดเจนมาก เอเสเคียล 36:26-27 อันนี้บอกถึงเรื่องเพ็นเทคอส บอกถึงเรื่องพระเยซูทำสำเร็จที่ไม้กางเขน เกิดอะไรขึ้นอย่างไร? บอกก่อนล่วงหน้า ก่อนที่พระเยซูจะทำบนไม้กางเขน ประมาณพันปี

เอเสเคียล 36:26-27  “26 เราจะให้จิตใจใหม่แก่เจ้า และใส่วิญญาณใหม่ในเจ้า เราจะขจัดใจหินออกจากเจ้า และให้เจ้ามีใจเนื้อ 27 เราจะใส่วิญญาณของเราไว้ในเจ้า โน้มนำเจ้า ให้ปฏิบัติตามกฎหมายของเรา และใส่ใจ รักษาบทบัญญัติของเรา”

 

พระเจ้าตรัสว่า “เราจะให้จิตใจใหม่แก่เจ้า” พูดมาก่อนพระเยซูคริสต์จะมาเกิด ประมาณพันปี จิตใจ คือความคิดจิตใจที่ติดกับวิญญาณ

นี่คือแผนการที่พระเจ้าเปิดเผยไว้ผ่านทางผู้เผยพระวจนะเอเสเคียล ตั้งแต่ก่อนที่พระเยซูจะมาเกิดเป็นมนุษย์ บอกว่า “จะ” จะให้จิตใจใหม่ จะให้วิญญาณใหม่ จะให้ชีวิตใหม่ และให้การดำเนินชีวิตแบบใหม่ ทั้งหมดนี้ จะให้เมื่อพระเยซูได้ทรงกระทำตามแผนการของพระองค์สำเร็จ แล้วพระเยซูก็ทำสำเร็จแล้ว ที่บนไม้กางเขน วันศุกร์ ตอนบ่าย 3 โมง  พระองค์ประกาศว่า “สำเร็จแล้ว” ภาษากรีกว่า “Telelestai” แปลว่า “สำเร็จแล้ว” หรือแปลได้อีกคำหนึ่งว่า “จ่ายหมดแล้ว” จ่ายหนี้ของมวลมนุษยชาติหมดแล้ว

“เธอสามารถมาสวรรค์ได้เดี๋ยวนี้เลย ทันทีเลย พิสูจน์ได้เลย ร่างกายของเธอจะเป็นวิหารของพระเจ้า พระเจ้าจะสถิตอยู่ด้วย ภาษาไทยเขาเรียกว่ามีองค์ เข้าใจคำว่ามีองค์ไหม? ไม่ใช่องค์ธรรมดา องค์ใหญ่สูงสุดเลย ไปที่ไหนองค์อยู่กับเธอเลย”

มันเป็นจริงตามนั้น มันน่าตื่นเต้น แผนการสำเร็จแล้ว Telelestai แล้ว ตามที่เราอ่านในเอเสเคียล บอกล่วงหน้าว่ามันจะเป็นอย่างนั้น พอสำเร็จแล้ว มันก็เป็นตามที่เขียน นี่คือความจริง ที่จะทำให้มนุษย์เป็นไท แต่น่าเสียดาย ความจริงต่างๆ นี้ ถูกบิดเบือนไปเยอะ มีทั้งบิดเบือน เพราะไม่รู้ ไม่เข้าใจ จนถึงเป็นการทำงานของพวกมาร สมุนของมัน  พยายามปิดบังตา พยายามหลอกล่อต่างๆ ที่จะเอาความจริงนี้ไปจากมนุษย์ และบิดเบือนโดยความเย่อหยิ่งของมนุษย์เองว่า …

“ฉันรู้ๆ”

แทนที่จะพึ่งพระวิญญาณ แทนที่จะค่อยๆ อธิษฐาน แล้วค่อยๆ สังเกตดูในพระคัมภีร์มันคืออะไร? พระคัมภีร์บันทึกไว้ชัดเจนว่าเราได้รับชีวิตใหม่ จิตใจใหม่ วิญญาณใหม่เรียบร้อยไปแล้ว ผมพยายามพูดเรื่อยนี้บ่อยมาก หลายปีนี้ พยายามเน้นคำหลังๆ ที่เขาไม่เน้น คือคำว่า “เรียบร้อยไปแล้ว” “ได้แล้ว” พยายามเน้น เพราะว่าตรงนี้ คือหัวใจของข่าวดีของพระเจ้า ข่าวประเสริฐของพระเจ้า เพราะก่อนพระเยซูมา มีแต่คนรอ เพราะรู้ว่าพระเจ้าจะประทานผู้ช่วยให้รอด มาช่วยเหลือมนุษย์ ทุกคนรู้ … รู้ระแคะระคายว่าวันหนึ่งจะมีคนมาช่วยมนุษย์ให้รอดพ้นจากหนี้บาป เวรกรรม ความทุกข์ทรมานของมนุษย์ ลำบากลำบนไม่มีใครช่วยได้ เราต้องรอให้คนๆ หนึ่งที่มีบารมีมาเกิด รอ อันนี้รู้หมด แต่พอมาเกิดแล้ว เฉย ไม่รู้ว่าคนนี้มาเกิดแล้ว คือพระเยซูคริสต์นั่นเอง พระคัมภีร์บันทึกไว้ชัดเจนว่าได้รับชีวิตใหม่เรียบร้อยแล้ว ได้รับวิญญาณใหม่เรียบร้อยแล้ว แต่ยังมีคน มีคริสเตียนเรา มีผู้เชื่อ สอนกันว่าตอนนี้เรายังเป็นคนเดิม เป็นเหมือนเดิมอยู่ ต้องรอจนกว่าตายไปแล้ว ถึงจะได้รับการสร้างใหม่ ถึงจะได้ไปสวรรค์หรือเปล่า? ฟังให้ดีๆ นะ ถึงจะได้ของใหม่ ต้องรอให้จากโลกนี้ไปก่อน

บางคำสอน ฟังให้ดีๆ แม้จะมาเชื่อพระเจ้าแล้วก็ตาม ก็ยังต้องระวังตัวในการดำเนินชีวิต ต้องละเว้นจากการทำบาป ต้องคอยระวังไม่ให้สูญเสียความเชื่อ ต้องรักษาความเชื่อเอาไว้ และถ้าเรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว ยังต้องคอยระวังรักษาความเชื่ออีก ยังต้องลุ้นว่ามีการกระทำอะไรบ้างที่เป็นบวกหรือเป็นลบอยู่ แล้วอย่างนี้จะเรียกว่าพระคุณ Amazing Grace ได้อย่างไร? มันขัดกันมาก Amazing Grace คือฟรี เข้าใจไหมครับ เราก็ไม่มั่นใจเลยว่าตกลงเรารอดไหม? เชื่อพระเจ้าแล้ว ไหนบอกรอดแล้ว ไปอยู่สวรรค์แล้ว วันดีคืนดีมีบอกอยู่สวรรค์แล้วก็จริง แต่ต้องระวังตัวนะ อยู่บนโลกใบนี้ สุดท้ายต้องไปอยู่ต่อหน้า พิพากษาพระเจ้าอีก พระเจ้าจะดูว่าทำสมควรไหม?

“อ้าว ตกลง ฉันจะได้ไปสวรรค์ไหม?”

ไม่รู้ กลับมาที่เดิม เห็นไหม? ข่าวประเสริฐพระเจ้าเสียหายไปแล้ว ตะกี้บอกได้รับ สรุปตอนนี้ไม่ได้ ยังไม่แน่ใจว่าจะได้ เห็นไหม? สิ่งนี้เกิดขึ้นไหม? เกิดขึ้น แล้วเกิดขึ้นบ่อยด้วย เกิดขึ้นเยอะด้วย เราต้องเรียนรู้จักถ้อยคำพระเจ้าจริงๆ และอธิษฐานกับพระวิญญาณว่ามันคืออะไร? อยากรู้ๆ เดี๋ยวพระวิญญาณจะค่อยๆ สอนเราทีละนิดทีละหน่อย เวลาผมสอน ก็อย่าปักใจว่าอย่างนี้ใช่ ถูก ไปคิดดูว่าถูกไหม? ไปคิดตามเหตุผล ไปเปิดพระคัมภีร์ดูว่ามันจริงไหม? ว่ามันใช่ไหม? คุณนครพูดตามพระคัมภีร์หรือเปล่า? หรือพูดเอง แล้วตอนที่พูดพระคัมภีร์เหล่านั้น ไปศึกษาเองว่ามันใช่ไหม? มันคืออะไร? เรียนภาพรวมของข่าวประเสริฐ เรียนภาพรวมในพระคัมภีร์ 1 เล่ม ไม่ใช่เอาแค่เศษนิดๆ หน่อยๆ มาเรียน แล้วก็มาเดาเอาว่ามันเป็นอย่างนี้ แต่เอาภาพรวมว่าพระเจ้าคือใคร? ข่าวประเสริฐ คืออะไร? เหมือนเอาภาพรวมของช้างมารวมกัน แล้วเห็นว่าเป็นช้าง ไม่ใช่ไปจับ คลำงา แล้วก็บอกว่าช้าง จับคลำหาง แล้วบอกว่าช้าง จับแตะตัว แล้วบอกว่าช้าง มันถูกหมดแหละ แต่มันใช่ความจริงไหม?  ถามว่ามันถูกไหม?  ก็ช้างจริงๆ แต่ช้างไม่ใช่งา มีส่วนประกอบอีกต่างๆ ที่เป็นความจริง ที่จำเป็นต้องเรียนรู้ นี่แหละคือการงานของพวกเราทุกคนบนโลกใบนี้ 1 เปโตร 2:24 บันทึกไว้อย่างนี้ ลองอ่านดู นำมาให้ท่านเห็น เพื่อแยกแยะว่าอะไรเสร็จเรียบร้อยแล้วบ้าง?

1 เปโตร 2:24 “พระองค์เอง ทรงรับแบกบาปของเราทั้งหลายไว้ที่พระกายบนไม้กางเขนนั้น เพื่อเราจะได้ตายต่อบาป และมีชีวิตอยู่เพื่อความชอบธรรม และด้วยบาดแผลของพระองค์ พวกท่านได้รับการรักษาให้หาย”

 

โดยรอยแผลเฆี่ยนของพระเยซู เราได้รับการรักษาให้หาย คำว่า “ได้รับการรักษาให้หาย” ตรงนี้หมายถึงได้รับการรักษาให้หาย ทางวิญญาณ จากโรคบาป ซึ่งก็มีหลายคนเอามาใช้ผิด หมายถึงว่าโดยพระเยซูแล้ว เราจะต้องหายโรคภัยไข้เจ็บทางร่างกาย ทางวัตถุ ทุกอย่าง โดยรอยแผลเฆี่ยนของพระเยซูรักษาทุกโรค คำว่า “รักษาให้หาย” ในบริบทนี้ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับโรคภัยไข้เจ็บทางร่างกายเลยแม้แต่นิดเดียว  เห็นไหม? ภาพรวมมันไม่ใช่เลย แต่เราเอาแค่นั้น แล้วเราก็ไปคิดของเราเอง

“รักษาให้หาย” คือหายจากโรคบาป เพราะวิญญาณเดิมของมนุษย์ ก่อนที่พระเยซูจะมาตายที่ไม้กางเขน ก่อนที่คนนั้นจะรับเชื่อในข่าวดีของพระเยซู วิญญาณเดิมของมนุษย์ก่อนที่จะได้รับการบังเกิดใหม่นั้น เป็นวิญญาณบาป เป็นวิญญาณที่สกปรก ไม่สามารถอยู่กับพระเจ้าได้ เป็นศัตรู เป็นปฏิปักษ์ พระเจ้าบอกขาว เขาบอกดำ พระเจ้าบอกไป ฉันไม่ไป อะไรก็ตามตรงข้ามกับพระเจ้าหมด พระเจ้าบอกรัก บอกฉันเกลียด ฆ่า ทำลาย อะไรอย่างนี้ เพราะฉะนั้น ถ้าพระเจ้าต้องการจะประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าให้มาสถิตกับมนุษย์ คิดให้ดีๆ พระองค์ก็ต้องทำให้วิญญาณของมนุษย์เป็นวิญญาณที่สะอาดบริสุทธิ์ ปราศจากบาปสะก่อน เช็ด ทำความสะอาดที่อยู่นี้ก่อน เพราะมันสกปรกอยู่ แล้วพระองค์จึงจะมาสถิตอยู่กับเราได้  ถูกไหม?

และวิธีทำให้มนุษย์สะอาด ก็คือโดยรอยแผลเฆี่ยนของพระเยซู ได้รักษาเราให้หายจากความสกปรกโสมม หายจากเชื้อโรค ไวรัสบาป หลุดออกไปเลย จากวิญญาณและความคิดจิตใจของเรา ที่เป็นตัวตนจริงๆ ของเรา เอาออกไปเลย และในการทำให้วิญญาณของมนุษย์สะอาดบริสุทธิ์ปราศจากบาปได้นั้น พระเจ้าจำเป็นต้องใช้วิธีการผ่าตัดเปลี่ยนใหม่ ไม่ใช่ซ่อมแซม เพราะมันเสียหายมาก เสียหายยับเยิน มันซ่อมไม่ได้แล้ว มันเป็นหัวใจที่เละแล้ว มีทางเดียว คือจะอยู่ต่อ ต้องเปลี่ยนหัวใจใหม่เลย  ต้องเปลี่ยนทั้งวิญญาณ ทั้งความคิดจิตใจเราใหม่  การรักษาของพระเจ้าไม่สามารถเปลี่ยนแค่บางส่วนได้ เปลี่ยนอะไหล่ได้ไหม? ไม่ได้ ถ้าเป็นรถ เขาก็เรียกว่าเปลี่ยนทั้งยวงเลย คือทั้งวิญญาณและความคิดจิตใจ ที่เป็นตัวตนของมนุษย์จริงๆ ตัวตนของเราที่จะอยู่ไปตลอด คือวิญญาณของเราและความคิดจิตใจของเรา ไม่สามารถมาเปลี่ยนอะไหล่ตรงนี้ได้ แต่ต้องเปลี่ยนหมด เปลี่ยนของจริง ของใหม่เลย ซึ่งฟังดูแล้ว ก็เหมือนว่าน่าจะเข้าใจได้ง่ายๆ แต่ในความเป็นจริง อย่างที่บอกไว้ มารมันจะพยายามบิดพลิ้ว ทำอะไรก็ได้ที่ให้เสียหายกับข่าวประเสริฐของพระเจ้า ในการที่จะขโมยความจริงนี้ไปจากมนุษย์ พยายามที่จะทำทุกวิถีทางที่จะทำให้มนุษย์ไม่ได้เป็นไทสักทีหนึ่ง ไม่ได้รับความจริงสักทีหนึ่ง การทำงานของมาร มีทั้งการทำงานผ่านทางกระแสของโลกใบนี้ ที่เขาดำเนินกัน อันนี้เรียกสติปัญญาของโลก อันนี้เรียกความรู้วิชาการของโลก ซึ่งทั้งหมดนี้ มันต่อต้านกับพระเจ้า ต่อต้านข่าวดีของพระเจ้าทั้งสิ้น ผ่านทางกระแสของโลกนี้ ผ่านทางข้อมูลข่าวสาร และกิเลสตัณหาของเราเอง ของมนุษย์ ของร่างกายที่เป็นวิหารนี้ มันยังมีกิเลสตัณหาอยู่ ผ่านทางคำสอนเท็จ จากผู้คนทั้งหลายที่ไม่รู้ไม่เข้าใจ หรือจงใจก็ไม่รู้นะ สิ่งเหล่านี้ค่อยๆ คืบคลานเข้ามา เพื่อขโมยเอาความจริงไปก่อน ค่อยๆ ขโมยความจริงไปทีละนิด แล้วค่อยๆ ฆ่าและทำลายแผนการของพระเจ้า ที่จะให้ชีวิตใหม่กับมวลมนุษยชาติ และให้ไปแล้วด้วย  แค่นี้เอง มารมันจ้องทำลาย โดยการฆ่า ขโมยความจริงไป แล้วฆ่าชีวิตนิรันดร์เสีย ไม่ได้แล้ว กลับไปอยู่ที่เดิม กลับไปตายเหมือนเดิม ไม่ได้รับชีวิตนิรันดร์ ไม่ได้เป็นลูกพระเจ้า เพราะความจริง ถูกขโมยไปแล้ว

วิธีการของมัน ก็คือขโมยเอาความจริง และหลอกล่อด้วยความเท็จทั้งหลาย เอามาใส่เรา ถ้าเผื่อขโมยไปหมด ดี ถ้าเผื่อไม่หมด เอาครึ่งหนึ่งก็ยังดี ถ้าไม่ได้ครึ่งหนึ่ง เอา 10% ก็ยังดี พยายามดิ้น สุดท้าย ไม่ให้ข่าวประเสริฐ 100% กับมนุษย์เด็ดขาด  เพราะกลัว เพราะนี่คืออาวุธสำคัญที่สุดของพระเจ้า และทำสำเร็จแล้ว ที่พระเยซูคริสต์มีชัยชนะ อยู่ที่ไม้กางเขน

โรม 2:5 ผมยกมาให้ท่านดู ท่านจะได้เห็นว่าวิญญาณเก่าของเราก่อนที่จะรับเชื่อในพระเจ้า ก่อนจะได้ข่าวดีของพระเจ้า มันเป็นลักษณะอย่างไร?

โรม 2:5 “แต่เพราะท่านใจแข็ง ดื้อด้าน และไม่ยอมกลับใจ ท่านจึงส่ำสมพระพิโรธให้แก่ตนเองไว้ สำหรับวันแห่งพระพิโรธของพระเจ้า เมื่อพระองค์ทรงสำแดงการพิพากษา อันชอบธรรม”

 

เห็นไหม ใจแข็ง จิตใจที่อยู่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า เข้ากับพระเจ้าไม่ได้ เป็นศัตรูกับพระเจ้า ดื้อด้าน ไม่กลับใจเลย ฟังอะไรก็ไม่รู้เรื่องเลย เพราะจิตใจนั้นมันเป็นทาสมาร มันยังอยู่ในความบาป

กิจการ  7:51 “ท่านเหล่าประชากรผู้หัวแข็ง ผู้มีจิตใจและหูที่ไม่ได้เข้าสุหนัต ท่านก็เป็นเหมือนบรรพบุรุษของท่าน พวกท่านต่อต้านพระวิญญาณบริสุทธิ์เสมอ”

 

เหล่าประชากรผู้หัวแข็ง หมายถึงชาวอิสราเอล ผู้หัวแข็ง เขาประกาศข่าวดี ข่าวประเสริฐแล้ว แต่ได้บอกถึงลักษณะของวิญญาณพวกเขาว่าเป็นวิญญาณที่แข็งกระด้างต่อพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า พูดถึงสภาพลักษณ์วิญญาณเขาเป็นอย่างนั้น ผู้มีจิตใจและหูไม่ได้เข้าสุหนัต ก็คือหูทางฝ่ายวิญญาณไม่ได้อยู่ในทางพระเจ้า เข้าสุหนัต คือการทำพันธสัญญากับพระเจ้า การคืนดีกับพระเจ้า พูดง่ายๆ คือไม่ได้คืนดี การเข้าสุหนัตเป็นสัญลักษณะอันหนึ่งที่เล็งให้เห็นว่าเราต้องการคืนดีกับพระเจ้า ยื่นมือมา อันนี้ไม่ใช่ ไม่รู้เรื่อง ไม่รู้จักพระเจ้า ก็คือเป็นศัตรูกับพระเจ้า ท่านก็เป็นเหมือนบรรพบุรุษของท่าน ก็คือเหมือนชาวยิว สมัยก่อนพระเยซูจะมาเกิดนั่นแหละ พวกเขาเหล่านั้นทั้งหมดเลยนะ ก่อนหน้าพระเยซูคริสต์จะมาเกิดทั้งหมด รวมถึงกษัตริย์ดาวิด รวมถึงโมเสส อาโรนทั้งหมดเลย เป็นอย่างนี้หมด เป็นศัตรู เพราะวิญญาณเขาเป็นศัตรู พระเจ้าไม่ได้เข้าไปสถิตอยู่ข้างใน พระเจ้านำเขาอยู่ข้างนอก พระเจ้าต้องไปอยู่ในอภิสุทธิสถานที่ทำด้วยมือ คือพลับพลา ต้องมีสัญลักษณ์เป็นหีบพันธสัญญาว่าพระเจ้าอยู่ที่นี่ แต่บัดนี้ พระเยซูทำให้สำเร็จแล้ว คือพระเจ้าสามารถมาสถิตอยู่กับมนุษย์ได้แล้ว

นี่พูดถึงในอดีตก่อนที่จะเชื่อพระเจ้า ก่อนที่จะรับเชื่อในข่าวดีของพระเจ้า ก่อนที่วิญญาณจะเกิดใหม่ จิตใจของมนุษย์สกปรกอย่างนี้แหละ พระเจ้าจึงจำเป็นต้องชำระวิญญาณและความคิดจิตใจของมนุษย์เสียใหม่ ให้เอี่ยมเลย เพื่อพระองค์จะได้มาอยู่ได้ วิธีการทำให้สะอาดบริสุทธิ์ ก็คือการส่งพระบุตรมาทำให้สำเร็จ คือ Telelestai ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต ชำระบาปให้กับเรา แล้วเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 และประกาศว่าสำเร็จแล้ว นั่นแหละ พระเจ้าทำสำเร็จแล้ว  ให้มนุษย์สะอาดแล้ว พร้อมที่พระองค์จะเข้ามาอยู่แล้ว คราวนี้รอมนุษย์คนนั้น จะรู้ข่าวดีนี้ แล้วก็เปิดใจว่าเอาด้วยคน อยากได้ๆ แสดงความต้องการออกมาแค่นั้นเอง ใช้สิทธิของเขา ในพระเยซูคริสต์เท่านั้นเอง

เพราะฉะนั้น เมื่อเราเชื่อในข่าวดีของพระเจ้า เราจะเกิดการเกิดใหม่ในวิญญาณ ก็คือพระเจ้ามาประทานวิญญาณใหม่ ความคิดจิตใจใหม่ให้กับเรา โดยเดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เราจึงมีสภาพที่เป็นวิญญาณ และมีความคิดจิตใจที่สะอาดบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า  ถ้าเราต้อนรับข่าวดี และเรายังมีพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ซึ่งคือตัวพระเจ้าเอง มาในรูปแบบพระวิญญาณบริสุทธิ์ มาสถิตอยู่กับเรา อยู่ข้างๆ วิญญาณของเรา เป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา ในร่างกายนี้ด้วย ในขณะที่กำลังเดินบนโลกใบนี้แหละ เอเมน ในขณะที่เรายังป่วยเป็นมะเร็งอยู่เลย มาเชื่อพระเจ้าแล้ว ได้เกิดใหม่แล้ว วิญญาณเปลี่ยนใหม่ ความคิดจิตใจเปลี่ยนใหม่ พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้เข้ามาสถิตอยู่แล้ว เราก็ยังเป็นมะเร็งอยู่เลย แต่ข้างในมันสะอาดหมดจดแล้ว เดี๋ยวพระวิญญาณจะนำเราต่อไปในการเผชิญกับปัญหามะเร็งนั่นแหละ แต่จะเผชิญแบบไหน? ผ่านอย่างไรไม่รู้ แต่มันผ่านแน่นอน เพราะความหวังเราไม่ได้อยู่ตรงนี้ ร่างกายเรา 80, 90, 100 ปี มันก็ต้องลงโลง มันต้องจบ สุดท้าย เพราะว่ามนุษย์บาป และความบาปนี้ ทำให้ร่างกายนี้ต้องตาย แต่วิญญาณเกิดใหม่แล้ว พระเจ้าเตรียมร่างกายใหม่ให้กับเราเรียบร้อยแล้ว

พระวิญญาณคอยเป็นพี่เลี้ยง เป็นที่ปรึกษา เป็นสติปัญญานำพาชีวิตเรา เขาเรียกว่าหนทางของพระเจ้า แนวทางของพระเจ้า ก็คือความรัก ความปลาบปลื้มใจ ความชื่นชมยินดี ความรักอดทนนาน กระทำคุณให้ พระวิญญาณจะนำเราไป นำเราตรงไหน? วิญญาณของเรา ความคิดจิตใจของเรา ที่เปลี่ยนแล้ว นี่คือข่าวดี  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

**************************

 

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 9 มิถุนายน 2019 เรื่อง “Celebrating 26 years of God’s Faithfulness” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  9  มิถุนายน  2019

 เรื่อง “Celebrating 26 years of God’s Faithfulness”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

สุขสันต์วันเกิดครับ 2 วันเกิดเลย วันเกิดแรก คือวันเกิดคริสตจักร หรือภาษาไทย เราพูดกันแบบง่ายๆ คริสเตียนไทย เรียกว่า “โบสถ์” วันเกิดโบสถ์ แต่เป็นคริสตจักรสากล คำว่า “สากล” หมายถึงทั้งโลก เป็นโบสถ์เดียว คริสตจักรเดียว วันนี้เป็นวันเกิดครบรอบ 2,000 กว่าปีของคริสตจักรสากล หรือโบสถ์สากล

โบสถ์หรือคริสตจักร หมายถึงสถานที่ที่พระเจ้าสถิตอยู่ ต้องเข้าใจตรงนี้นะ เพราะเราอยู่ไปนานๆ เป็นคริสเตียนไปนานๆ ชักงง พอบอกโบสถ์หรือคริสตจักร เราจะไปนึกถึงสถานที่ นึกถึงเก้าอี้ที่เรานั่ง นึกถึงทุกวันอาทิตย์เรานมัสการร่วมกัน อันนั้น ยังไม่ใช่โบสถ์จริงๆ อันนั้นเป็นสมมติว่าเป็นโบสถ์ มันเป็นสถานที่ที่เรียกว่าสถานที่ชุมนุม สถานที่ประชุม ไม่ต่างอะไรกันกับพารากอนฮอลล์ ไม่ต่างอะไรกับศูนย์วัฒนธรรม ไม่ต่างอะไรกับศูนย์วัฒนธรรมไทยญี่ปุ่นดินแดง ไม่ต่างอะไรกับโรงหนังใหญ่ๆ โรงหนึ่ง ที่สามารถรวบรวมคนมาชุมนุมกันได้ ไม่ว่าจะทำกิจกรรมอะไรก็ตาม เราเรียกว่าที่ประชุม

เพราะฉะนั้น โบสถ์ในลักษณะนี้ เขาเรียกว่าโบสถ์สมมติ ก็คือที่ชุมนุมชนของคนที่รู้จักพระเจ้า จะมาศึกษาเรื่องพระเจ้า จะมาพูดคุยเรื่องพระเจ้า จะมาทำกิจกรรมของพระเจ้าร่วมกัน เรียกว่าโบสถ์อีกแบบหนึ่ง ไม่ใช่โบสถ์สากล

โบสถ์สากล คือโบสถ์ทางโลกฝ่ายวิญญาณ ที่พระเจ้าได้สถาปนาโบสถ์ทางโลกฝ่ายวิญญาณนี้เรียบร้อยไปแล้ว 2,000 กว่าปีผ่านมาแล้ว วันที่สามหลังจากพระเยซูสิ้นพระชนม์ พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ … การเป็นขึ้นมาใหม่ เป็นการสถาปนาทั้งหมดเลยว่ามีโบสถ์ขึ้น โบสถ์สากล พระเจ้าลงมาสถิตกับมนุษย์ได้แล้ว รอวันฤกษ์ดีเท่านั้นเอง และฤกษ์ดีนั้น ก็คือหลังจากพระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย นับมา 50 วัน เรียกว่าวันเพ็นเทคอส ย้อนกลับไป 2,000 ปีที่แล้ว วันนี้แหละเป็นวันครบรอบที่พระเจ้าลงมาสถิตอยู่กับมนุษย์ มนุษย์ทุกคนก็เลยเป็นสถานที่ที่พระเจ้าสถิตอยู่ด้วยได้ ถ้าเขาต้องการ ถ้าเขายินยอม ถ้าเขาไม่ต้องการ พระองค์ก็ทำอะไรไม่ได้ เขาก็ยังอยู่เหมือนเดิม แต่ถ้าเขาต้องการให้พระเจ้ามาสถิตอยู่กับเขา เขาทำได้โดยการเชื่อ ในการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูว่าเป็นการกระทำ เพื่อชำระบาปให้กับมนุษย์ทุกคน เตรียมมนุษย์ทุกคนให้พร้อม บริสุทธิ์ สะอาดทางฝ่ายวิญญาณ เพื่อเป็นสถานที่ที่อาศัยของพระเจ้า ผู้บริสุทธิ์สูงสุด ยิ่งใหญ่สูงสุดได้

เมื่อเขาเชื่อว่าพระเยซูทำได้ ทำสำเร็จแล้ว เขาก็จะได้รับการชำระให้บริสุทธิ์สะอาดผุดผ่องตามนั้น พอสะอาดบริสุทธิ์แล้ว พระเจ้าก็สามารถที่จะเข้ามาอยู่กับเขาได้ ไม่อย่างนั้นอยู่ไม่ได้ มนุษย์เข้ามาสัมผัสพระเจ้า ตายเลย แต่ด้วยความเชื่อในการกระทำของพระเยซูคริสต์ที่ได้ตาย และได้เป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ทำให้มนุษย์ทุกคนสะอาดบริสุทธิ์ ผุดผ่อง ในพระคัมภีร์บอกสะอาดเท่ากับพระบุตร คือสะอาดเท่ากับพระเยซูเลย จึงสามารถให้พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่กับเขาได้ และครั้งแรกที่เกิดขึ้น คือเมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว หลังจากเป็นขึ้นจากความตาย 50 วัน พระเจ้าลงมาสถิตอยู่ด้วย เรากำลังมาฉลองกัน ตอนนี้เขาฉลองกันทั่วโลก ครบรอบ 2,000 ปี พระเจ้าสถิตอยู่ เพราะฉะนั้น ขณะที่ท่านรู้จักพระเจ้าตอนนี้ ท่านเชื่อในพระเจ้าตอนนี้แล้ว ท่านรู้ไหมว่าใครอยู่กับท่าน? พระเจ้า ท่านเชื่อไหม? เมื่อเช้ายังหงุดหงิดอยู่เลย แต่ขณะเดียวกัน …

“ฉันผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ ฉันเป็นลูกพระเจ้า พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ในฉัน”

เดี๋ยวนี้ในร่างกายนี้ ที่เรามองในกระจกนี้ พระเจ้าอยู่กับเราตรงนี้แล้ว พระเจ้าผู้นี้ยิ่งใหญ่ขนาดไหน? เอาแค่ง่ายๆ โมเสสยกไม้เท้าขึ้น พระเจ้าทำลมพัดอย่างแรง ทำทะเลแดงให้แยกออกเป็นสองข้าง ให้คนอิสราเอลเดินข้ามไป เอาแค่นี้ ใหญ่ไม่พอใช่ไหม? ในพระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้า ผู้ทรงเคลื่อนไหว เรียกสิ่งที่ไม่มี ให้มีขึ้น สร้างมหาจักรวาลทั้งหมด ที่เรามองขึ้นไป ทั้งโลก ดวงอาทิตย์ ดวงดาว ดวงจันทร์และอะไรอื่นๆ อีกมากมายที่เรามองไม่เห็น ลึกลงไปในท้องฟ้า ในอวกาศ ในจักรวาลทั้งหมด พระเจ้าผู้นี้แหละ ผู้ที่แยกทะเลแดงนั่นแหละ เป็นผู้สร้างสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดเลย

พระเจ้าผู้นี้ ยิ่งใหญ่ที่สุด ตอนนี้อยู่ในตัวเราแล้ว อยู่ในร่างกายเราแล้ว นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด ที่จะต้องมีการประกาศ ที่ต้องมีการพูดออกไปในวันเพ็นเทคอสของทุกๆ ปี มากๆ ไม่อย่างนั้นเราจะลืม พอเรามาเป็นคริสเตียนนานๆ เข้า เรานึกว่าเรากำลังนับถือศาสนาคริสต์ ข่าวดีก็จะไปไม่ถึงลูกถึงหลานเรา พอถึงลูกถึงหลานเรา ก็จะกลายเป็นนับถือตามพ่อแม่ นับถือศาสนาคริสต์ ถามว่าเป็นอะไร? ไม่รู้ … เป็นใคร? ไม่รู้  …พระเจ้าทำอะไร? ไม่รู้  … ตัวเองเป็นใคร? เป็นลูกพระเจ้า? ไม่รู้ … ทำอย่างไรถึงเป็นลูกพระเจ้า? ไม่รู้ ข่าวดีของพระเจ้า ก็จะเสื่อมถอยไปเรื่อยๆ ฤทธิ์เดชของพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่สูงสุด ก็ทำงานผ่านมนุษย์ไม่ได้ เพราะว่ามนุษย์ไม่ได้เชื่อตามนั้น ก็คือไม่ยอมนั่นเอง ไม่ยอมกับไม่เชื่อ ก็มีค่าเท่ากัน พระคัมภีร์จะใช้คำนี้เสมอ ท่านจะได้ยินบ่อยๆ  คือการยอมรับ ที่เขาเรียกว่า “รับเชื่อไหม?” จริงๆ มันแปลว่า “ยอมรับไหม?” แปลเป็นภาษาไทย เหมือนยอมรับสารภาพ คล้ายๆ ในทางไทย เราเอาคำนี้มาใช้กับในทางลบ ไม่ค่อยจะดี

ยกตัวอย่างเช่น …

“ยอมรับไหมว่าเธอไปขโมยเขา”

“ยอมรับไหมว่าเธอฆ่าเขาตาย”

“ยอมรับไหม?” … ก็คือยอมรับสารภาพไหม? ในพระคัมภีร์ใช้คำเดียวกัน แต่เป็นคำที่ดี คือยอมรับไหมว่าพระเจ้าช่วยเธอให้รอดแล้ว  โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์ ตายที่ไม้กางเขน เธอได้บริสุทธิ์สะอาด เธอสามารถเป็นลูกของพระเจ้า สะอาดบริสุทธิ์เหมือนพระเยซูเลย เธอจะยอมรับไหม? มันแปลว่าอย่างนี้ ถ้าเธอยอมรับ พระเจ้ายิ่งใหญ่ สามารถทำงานผ่านชีวิตของเธอได้ ทำอัศจรรย์ใหญ่กว่าแยกทะเลแดงออกเป็น 2 ข้างก็ได้ ใหญ่กว่านั้น ก็ได้ ใหญ่กว่าสร้างมหาจักรวาลนี้ ก็ได้ ผ่านทางชีวิตของเธอ เธอยอมรับไหม? ทุกวันนี้ เรามานมัสการอะไรต่างๆ เรามาร้องเพลง หรืออธิษฐานก็ตาม เราขอพูดคำเดียว คือเราขอยอม เราบอกว่าเป็นไปตามน้ำพระทัย ก็คือเรากำลังบอกว่ายอม ไม่มีอะไรเลย วันแรกที่ก้าวเข้ามาหาพระเยซู ก้าวเข้ามารับเชื่อพระเจ้า ก้าวเข้ามารู้จักพระเจ้า ก็คือการยอมแล้ว ยอมสารภาพแล้วว่าตัวเองเอาตัวไม่รอด ขอพึ่งในพระเจ้า ยอมทุกอย่าง พระเจ้าใช้ชีวิตเราเลย พระเจ้าก็จะใช้ชีวิตเราต่อไป

นี่พูดถึงแง่มุมหนึ่งของวันเกิดของคริสตจักรสากล ตอนนี้ มีคริสตจักรสากลอยู่เต็มบ้านเต็มเมือง เต็มโลกใบนี้ทั้งหมด ตามที่พระเจ้าบอกไว้ล่วงหน้าแล้ว ตั้งแต่หนังสือพระคัมภีร์เดิม ตั้งแต่ 2,000 ปีก่อน ตั้งแต่ 4,000 ปีก่อนแล้ว บอกไว้ล่วงหน้าแล้วว่าวันหนึ่ง อาณาจักรของพระคริสต์ อาณาจักรของพระเจ้าจะปกคลุมอยู่เหนือโลกใบนี้ทั้งหมดเลย วันนั้นมาถึงแล้ว คือวันที่พระเยซูทำสำเร็จแล้วที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 พระเจ้าปกคลุมไปหมดทั้งโลกแล้ว โดยผ่านทางมนุษย์ที่ยอมให้พระเจ้าใช้ ยอมจำนนต่อพระเจ้า ยอมเชื่อว่าพระเจ้าทำได้จริง และอยู่ในทุกหนทุกแห่ง ตอนนี้ที่ไหนๆ ก็มี นั่นแหละ คือวันเกิดของคริสตจักร หรือโบสถ์สากล ซึ่งเราทั้งหลาย ก็เป็นหนึ่งในนั้น

เขาถึงมีคำ “เราเป็นหนึ่งเดียวกัน” หมายถึงเราเป็นสถานที่ที่พระเจ้าสถิตอยู่ และเรากับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน แล้วเราต่างฝ่ายต่างก็เป็นหนึ่งเดียวกันด้วย เพราะเราอยู่ในที่เดียวกัน อยู่ที่สวรรค์ในพระเจ้าเหมือนกัน ไม่ว่าจะอยู่ประเทศไหนก็ตาม เราก็เป็นหนึ่งในวิญญาณเดียวกัน เอเมน

แล้วอันที่สองเป็นคริสตจักรสมมติ คือเป็นคริสตจักรที่เรียกว่าคริสตจักร แต่ไม่ใช่สถานที่ที่พระเจ้าสถิตอยู่ เป็นแค่สถานที่ทางวัตถุ หรือเรียกกันว่าพลับพลา หรือคริสตจักรที่ทำด้วยมือของมนุษย์ แต่ร่างกายของเราที่บอกว่าเป็นคริสตจักรสากล ในพระเยซูคริสต์ นั่นคือพระหัตถ์พระเจ้าทำ ทางโลกวิญญาณ แต่คริสตจักรที่เรากำลังพูดถึงอันที่สอง คือคริสตจักรที่เป็นสมมติ คือสถานที่ที่เราเรียกว่าโบสถ์ คริสตจักรทั่วโลกที่มีอยู่ ตั้งอยู่ เป็นแค่สมมติ ถูกสร้างโดยมนุษย์ ที่พระเจ้าทำงานผ่านเขา ให้ช่วยดูแล ช่วยนำที่ดินมาให้ ช่วยนำมาจ้างคนงานมาก่อสร้าง นี่แหละคือฝีมือมนุษย์ทั้งนั้น ที่พระเจ้าสามารถใช้เขาได้ ให้เขาลงไม้ลงมือ ก่อสร้างสถานที่นี้ขึ้นมา แต่ไม่ใช่สถานที่ที่พระเจ้าสถิตอยู่

ฟังอีกทีหนึ่ง ทำไมผมต้องเน้นตรงนี้บ่อยๆ เพราะว่าอยากให้ข่าวประเสริฐจริงๆ ไปถึงลูกหลานเรา พระเจ้าไม่ได้สถิตอยู่ ณ คริสตจักรที่ทำด้วยมือ เราแต่งให้สวย เราทำให้ดี เพื่อประโยชน์ในการใช้สอยของพี่น้องที่มาชุมนุมด้วยกัน เรามีห้องน้ำที่ดี เรามีอะไรต่างๆ เหล่านั้น เพื่อประโยชน์ในการอยู่ด้วยกัน อยู่ร่วมกัน ใช้สถานที่นี้เป็นที่ชุมนุม เรียนรู้เรื่องพระคัมภีร์ หนุนใจกัน สอนกันในเรื่องข่าวดีของพระเจ้า ให้รู้จักพระเจ้ามากขึ้น แต่ไม่ใช่สถานที่ที่ศักดิ์สิทธิ์ว่าพระเจ้าจะอยู่ที่นี่ เพราะพระเจ้าอยู่ในเรา อยู่ในมนุษย์ นี่คือข่าวดี

ถ้าเราไม่พูดอย่างนี้บ่อยๆ พอนานๆ ไป ก็เลอะเทอะไปเรื่อยเปื่อย ไปหาพระเจ้าที่ไหน? ที่โบสถ์  … โบสถ์ไหน? ที่ศรีนครินทร์ หรือที่แพรกษาที่เรากำลังจะไป ไม่ใช่ สถานที่นั้นเป็นสถานที่ชุมนุมชนของผู้ที่เชื่อ ที่พระเจ้าเรียกเขามาชุมนุมกัน เพื่อจะใช้งานเขา ในลักษณะใดลักษณะหนึ่ง ในวิถีใดวิถีหนึ่ง ในทางใดทางหนึ่ง โดยเฉพาะมารวมกัน เอเมนไหม? และมันเกิดขึ้นได้ โดยพระเจ้าเข้าไปทำงานในชีวิตของเขาแล้ว สถิตอยู่กับเขาแล้ว แล้วก็กล่อมเกลาเขา นำพาเขา ให้เขาเข้ามาลงไม้ลงมือสร้าง มันไม่เหมือนกับคริสตจักรสากลที่พระเจ้าลงมือสร้าง เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ไม่เกี่ยวอะไรกับมนุษย์ เพราะมนุษย์ทำอะไรไม่ได้เลย พระองค์ลงมือด้วยตัวเองเลย ก็คือพระองค์ทรงตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 คือพระเยซูคริสต์เท่านั้น เราไม่ต้องเกี่ยวข้อง แต่หลังจากนั้น มาทำคริสตจักรที่ทำด้วยมือ เราต้องเกี่ยวข้อง เพราะเราเป็นมนุษย์ เราต้องลงไม้ลงมือ พระเจ้าจะไม่มาใส่ชฎา ลอยลงมา …

“วันนี้เราจะมาประชุมที่แพรกษา เพราะฉะนั้น จงเกิดอาคารขึ้น”

ไม่ทำอย่างนั้นนะ แต่พระองค์ทรงเตรียมประชากรของพระองค์ ผู้ที่ยอมให้พระเจ้าใช้ คือพระเจ้าสถิตอยู่กับเขาแล้ว แล้วก็ยอมต่อไปเรื่อยๆ พระเจ้าก็จะนำเขามาร่วมกัน คนนี้เป็นช่าง คนนี้เป็นวิศวกร คนนี้เป็นนักการค้า คนนี้เป็นนักธุรกิจ คนนี้เป็นแม่บ้าน คนนี้เป็นคนธรรมดา ไม่ได้เป็นแม่บ้านด้วย เป็นพ่อบ้าน  อยู่บ้านเฉยๆ ทุกคนมีส่วนร่วม แล้วพระเจ้าก็ทำงานผ่านในวิญญาณของเขา ให้เขายอมที่จะให้พระองค์ใช้ ทำอะไรก็แล้วแต่ เราก็จะเห็นภาพคริสตจักรของพระเจ้าก่อร่างสร้างขึ้นมา แต่ให้รู้ความจริงว่าเป็นคริสตจักรสมมติ แต่จริงๆ เรียกว่าสถานที่ชุมนุมชนของคนที่รู้จักพระเจ้ามาร่วมกัน

ฉะนั้น เราจะได้รู้ว่าเราควรจะให้เกียรติตรงไหน? อย่างไร? ขนาดไหน? ให้ถูกต้อง เพื่อจะได้รักษาข่าวประเสริฐนี้ต่อไป  เพราะฉะนั้น ต่อไปนี้ ถ้าบอกว่าจะไปหาพระเจ้า … พระเจ้าอยู่ที่ไหน? ไปมองกระจกเลย พระเจ้าอยู่ในตัวเรา เราต้องพูดให้ลูกหลานฟังอยู่เรื่อยๆ แต่มิได้หมายถึงที่ชุมนุมชนไม่สำคัญ … ที่ชุมนุมชนก็สำคัญ เพราะว่าพระเจ้าทรงตั้งขึ้น  สถาปนาขึ้น แม้จะเป็นแหล่งสมมติว่าพระเจ้าสถิตอยู่ก็จริง แต่เป็นสถานที่ที่เราจะมาเรียนรู้จักพระเจ้า เราจะมาร่วมกันรับใช้พระเจ้า เราจะมาร่วมกันอยู่ในแผนการของพระเจ้า ที่พระเจ้าจะทรงนำต่อไป ให้ข่าวดีของพระเจ้า ให้ความรักของพระองค์ผ่านทางพระเยซูคริสต์ไปถึงบรรดาผู้คนอีกมากมายเยอะแยะ ที่เขายังไม่รู้ความจริงในอดีตที่เราไม่รู้ ไม่มีความหวัง ตายลูกเดียว ให้เรามีความรักอย่างนั้น หนุนใจกัน  ดูแลซึ่งกันและกัน และจับมือกัน ช่วยคนอื่นเขาต่อไป

ถามว่าช่วยอย่างไร? ช่วยตามน้ำพระทัยพระองค์ ตามแต่พระองค์จะทรงนำไป เราไม่รู้หรอกอนาคตจะเป็นอย่างไร? แต่เรารู้อย่างเดียว มีความหวังชัดเจนแน่วแน่ว่าพระเจ้ากำลังนำเราอยู่เดี๋ยวนี้ เรามีชีวิตอยู่ ไม่ใช่มีชีวิตอยู่เพื่ออนาคตอย่างเดียว เรามีชีวิตอยู่ เรามีความหวังแน่นอน ความหวังของเรา คืออนาคตสุดท้ายเลย คือเราไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์นิรันดร์ เราสบายแล้ว แต่การอยู่บนโลกนี้ เราต้องหวังเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่ รอหวังว่าปีหน้าจะทำอันโน้น ปีหน้าจะทำอันนี้ ไม่ใช่วางแผนไม่ได้ วางแผนได้ แต่เราไม่รู้ พระคัมภีร์บอกว่าอย่าบอกนะว่าพรุ่งนี้จะไปทำอะไร? เพราะไม่มีใครรู้ว่าพรุ่งนี้ ท่านยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า? แต่ทำวันนี้ ให้ดีที่สุด วันนี้ท่านจะทำอะไร? ทำเดี๋ยวนี้ ท่านจะรับใช้พระเจ้า ท่านจะยอมรับใช้พระเจ้า ท่านจะมีส่วนในการดูแลที่ชุมนุมชนของพระเจ้า อย่างไรบ้าง ให้พระเจ้าเปิดตา ให้พระเจ้าเสริมกำลัง และทำมันเดี๋ยวนี้เลย ไม่ต้องมาบอกพระเจ้า …

“พระเจ้า ลูกหวังว่าอีก 3 ปีข้างหน้า ลูกจะอย่างนั้น”

ไม่ต้องสัญญากับพระเจ้าเลย เอาวันนี้ ทำวันนี้ เท่าที่วันนี้ทำได้ สมมติวันนี้ มีอยู่พันหนึ่ง เหลือจากสิ่งจำเป็นต้องใช้สอยจริงๆ ในชีวิตประจำวันแล้ว พันหนึ่งนั้น จะทำอะไรก็ทำ ไม่ต้องบอกพระเจ้าว่า …

“พ่อ ตอนนี้มีอยู่พันหนึ่ง ถ้าเผื่อมีล้านหนึ่งเมื่อไรนะ ลูกจะทำอันโน้นอันนี้”

ไม่ได้ทำหรอก ทำมันเดี๋ยวนี้ ทันที พรุ่งนี้ก็ไม่รู้จะมีโอกาสหรือเปล่า? เราจะเปลี่ยน หรือพระเจ้าหมดหน้าที่การงานบนโลกใบนี้แล้ว จบแล้ว พระเยซูกลับมาใหม่ หรือเราจบชีวิตเราก็ตาม เราไม่มีโอกาส เพราะฉะนั้น ตอนนี้ เรามีโอกาสของเรา ก็ทำอย่างนั้นแหละ วันนี้เลยถือโอกาสมา Happy birthday ที่ชุมนุมชนที่เราอยู่ร่วมกันที่นี่ คือคริสตจักรสมมติ ที่เป็นชื่อเดียวกันกับในพระคัมภีร์ คืออภิสุทธิสถาน หรือ Holy of Holies ครบรอบ 26 ปี ใครอยู่มา 26 ปียกมือขึ้น เยอะแยะไปหมดเลย บางคนอยู่ 27 ปี คืออยู่ตั้งแต่ก่อนจะมาเป็นคริสตจักร หลายคน ที่ไม่ยกมือ หลายคน 27, 28 ปี เห็นหน้ากันมาตลอด

ก็ขอบคุณพระเจ้า ที่เราได้เห็นการเจริญเติบโต อย่างที่ผมบอก การเจริญเติบโตที่สำคัญที่สุด คือการเจริญเติบโตของสมาชิกหรือผู้เชื่อในพระเจ้า ไม่ใช่ การเจริญเติบโตของคริสตจักรสมมติ ที่เรามองกัน แต่การเจริญเติบโตทางวิญญาณ คุณภาพทางวิญญาณของคนนั้นที่เชื่อในที่ชุมนุมชนนี้ มันเป็นที่หนุนจิตชูใจเราอย่างมาก ใน 26 ปีนี้ เราเห็นเยอแยะมากมาย มีผู้คนได้เปลี่ยนชีวิต และเป็นเครื่องมือของพระเจ้า ในการใช้สอยในชีวิตของเขามากมาย ยิ่งกว่าอัศจรรย์ เราได้เห็นหลายคน ได้รับอัศจรรย์แบบวัตถุ แต่เราได้เห็นหลายคนที่อัศจรรย์กว่านั้น ก็คือไม่ได้เกี่ยวกับวัตถุ แต่เกี่ยวกับชีวิตเปลี่ยนแปลง ครอบครัวเปลี่ยนแปลง สิ่งรอบข้างเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี อย่างไม่น่าเชื่อ อย่างไม่น่าเป็นไปได้ ก็เป็นไปได้ หรือหลายคน ที่ไม่น่าจะมาถึงวันนี้เลยนะ เพราะอุปสรรค ปัญหามันเยอะเหลือเกิน แต่ในที่สุด เขาก็ผ่านพ้นอุปสรรคปัญหา จนทุกวันนี้เขาก็เจริญเติบโต เข้มแข็งในทางวิญญาณอย่างมาก และยังเป็นที่พึ่งให้กับคนอื่นได้อีกด้วย ตรงนี้เป็นสิ่งสำคัญมาก

วันนี้ จึงขอบคุณพระเจ้า ในโอกาสฉลองครบรอบ 26 ปีด้วยกัน  … 26 ปีนี้ เราย้ายมาหลายแห่ง แล้วเราก็ไม่ได้คิด ไม่ได้คาดหวังว่าวันหนึ่งจะต้องมีที่ดินของตนเอง ถามว่าอยากได้ไหม? ก็อยากได้ แต่ก็แล้วแต่พระเจ้า อย่างที่บอกว่าเมื่อเรารู้ความจริงแล้ว ทุกอย่างก็อยู่ที่พระเจ้า ก็อธิษฐานต่อไป

มาถึงปีนี้ 26 ปี ขอบคุณพระเจ้าอย่างมากๆ เลยว่าสิ่งที่น่าดีใจมากกว่านั้น ไม่ใช่ที่ดินที่เราจะได้มาก่อสร้างสถานที่ชุมนุมชน สำหรับลูกหลานเรานะ เราใช้ได้แน่ๆ อยู่แล้ว แต่ลูกหลานเราจะได้ใช้ด้วย เพราะว่าคราวนี้เราจะไม่ต้องย้ายไปไหน? ลูกหลานก็จะอยู่ที่แพรกษานี้ ไปจนตลอด จนพระเยซูกลับมานั่นแหละ

สิ่งที่น่ายินดี ไม่ใช่สถานที่ที่ได้รับ ท่านลองคิดดู ที่ยินดี ก็เพราะว่าเราได้คุยกันบ่อยๆ ในพระคัมภีร์ ผมได้ย้ำอยู่เรื่อยๆ แล้วย้ำมากๆ บ่อยๆ ทุกครั้งที่มีการเอ่ยถึงการถวายทรัพย์ ซึ่งผมไม่ค่อยได้พูดถึงเรื่องเหล่านี้ นานๆ จะถูกทีหนึ่ง พอพูดทีไร ผมก็จะบอกเสมอว่าความรักในทางพระเจ้า คือการให้ … ให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ให้มือซ้าย มือขวาไม่รู้ ให้มือขวา มือซ้ายไม่รู้ ให้โดยไม่ต้องการอะไรทั้งสิ้น ไม่ต้องการเกียรติ ไม่ต้องการคำชม ที่ผมบอก นั่นแหละ คือการให้จริงๆ เราต้องฝึกใช่ไหม? ทุกครั้งที่ผมมีโอกาสพูด ผมก็จะบอกมาถึงเวลาฝึกฝนในการถวายทรัพย์ ฝึกฝนในการรู้จักให้ แล้วมันก็เกิดผล … เกิดผลตรงไหน? ตรงที่ 2 โครินธ์ 9:6 ที่ผมบอกอยู่บ่อยๆ จงจำไว้ว่าผู้ที่หว่านอย่างตะหนี่ ก็จะเก็บเกี่ยวได้น้อย ผู้ที่หว่านด้วยใจกว้างขวาง ก็จะเก็บเกี่ยวได้มาก แต่ละคนที่เขาควรจะเป็น ที่เขาคิดหมายไว้ในใจ ไม่ใช่อย่างลังเล หรือเพราะถูกผลักดัน เพราะพระเจ้าทรงรักผู้ที่ให้ด้วยใจยินดี และพระเจ้าทรงสามารถประทานพระคุณทุกประการอย่างล้นเหลือ แก่ท่าน เพื่อว่าท่านจะได้มีทุกอย่างที่จำเป็น อยู่ทุกเวลา และท่านจะมีล้นเหลือ สำหรับการดีทุกอย่าง เหมือนที่เขียนไว้ว่าเขาได้แจกจ่ายให้คนยากจน ความชอบธรรมของเขาจะดำรงอยู่เป็นนิจ

ถามว่าตรงนี้ ดีใจตรงไหน? ดีใจตรงที่สถานที่ที่เราได้ จะไปสร้างสถานชุมนุม ที่นมัสการของเรา อีก 3 ปีข้างหน้า ผู้ที่ให้ ได้แสดงเจตจำนงค์ตั้งแต่แรกแล้ว … เคยได้ยินไหม แต่ก่อนเขามีบริจาคน้ำท่วม ที่ออกทีวี  แล้วมีคนโทรศัพท์เข้ามาบริจาค เราจะได้ยินว่าคนนี้บริจาคเท่าไร? ผู้ไม่ประสงค์ออกนาม เท่าไร? ก็ย้อนกลับไปที่บอกพี่น้องของเรา ผู้นี้ยืนยันบอกว่าผมขอ 2 อย่างเท่านั้น …

อย่างแรก คือให้เอาไปเร็วๆ หมายถึงให้รับโอนเร็วๆ เอาไปใช้เลย รีบๆ

อย่างที่สอง คือผมขออยู่อย่างเงียบๆ ไม่ต้องบอกว่าใครเป็นคนให้เลย

สิ่งนี้มันน่ายินดีกว่าที่ดินอีก ที่ดินเมื่อไรได้ ก็ได้ เมื่อพระเจ้าจะให้ แต่ตรงนี้ พระเจ้าทำก็ไม่ได้ ต้องคนๆ นั้นยินยอมให้พระเจ้าค่อยๆ สร้างเขาขึ้นมาในความเชื่อ ต้องค่อยๆ ได้รับการสอน ได้รับถ้อยคำพระเจ้าในแต่ละครั้ง แต่ละวัน แต่ละคำบรรยาย ที่เขาฟัง ฟังเพื่อให้โลภมากขึ้น ฟังเพื่อให้ลด ให้ละมากขึ้น ฟังให้เกิดความเบียดเบียน หรือเห็นแก่ตัวมากขึ้น หรือฟัง เพื่อให้เกิดความเสียสละมากขึ้น  เขาได้ตรงไหนไป? แล้วถามว่าพระเจ้าต้องการอะไร? พระเจ้าต้องการกล่อมเกลาจิตวิญญาณของเรา โดยคำบรรยาย โดยคำเทศนาของศิษยาภิบาล หรืออาจารย์ต่างๆ ตลอดเวลา ทุกอาทิตย์ๆ หรือวันธรรมดาเอาไปฟัง เพื่อให้ความคิดเขาเปลี่ยนแปลง ให้เหมือนน้ำพระทัยพระเจ้า ให้เขาดำเนินชีวิตเหมือนวิญญาณเขาได้เกิดใหม่ เหมือนพระเจ้า วิญญาณที่เรียกว่าวิญญาณแห่งความรัก กระทำคุณให้ ไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่เย่อหยิ่งผยอง เป็นคนที่เสียสละ ให้เขาฝึกฝนที่จะใช้ความรักนั้น ที่อยู่ข้างในตัวเขาออกมาข้างนอก ซึ่งโลกนี้กำลังต้องการ และนี่คือผลของมัน ที่ได้แล้ว ไม่ใช่ อธิษฐานเมื่อวานแล้วได้ มันต้องค่อยๆ ใช้เวลาฝึกฝนทีละนิดทีละหน่อย

นี่คือสิ่งที่น่ายินดีมาก และผมก็ลืมไป เพราะว่าได้คุยกันเมื่อปลายปีที่แล้วว่าเจตจำนงค์ของพี่น้องท่านนี้ต้องการอะไร? ก็รับรู้ไว้ แล้วก็บอกว่าโอเค ผมกับคณะกรรมการจะรีบจดทะเบียนมูลนิธิฯ ก็ไปปรึกษาทางฝ่ายกฎหมายว่าจะทำอย่างไร? ถึงจะปลอดภัยที่สุด สำหรับการบริหารที่ดินนี้ เขาก็บอกว่าใช้ในนามมูลนิธิดีที่สุด ก็ไปจดทะเบียนมูลนิธิ ก็คิดว่าเมื่อมันเสร็จแล้ว จด เพื่อที่จะโอนที่ดินเข้ามูลนิธิ แรกๆ เขาบอกใช้เวลา 2, 3 เดือน ก็เสร็จแล้ว ปรากฏว่าเลยมา 7, 8 เดือนแล้วมั้ง เนื่องจากมูลนิธิเก่าที่มีอยู่ มันเยอะมาก แล้วใช้เส้นสายไปจดกันเละไปหมด จนกระทั่งมั่วบ้าง มีของปลอมบ้าง เขาจึงต้องการสังคยาณา เอาของเก่าให้มันเรียบร้อยไปก่อน อันไหนไม่ใช่ก็ตัดทิ้ง ไปตรวจสอบอันเก่าให้เรียบร้อยก่อน แล้วอันใหม่ เขาก็ค้างไว้ เขาว่านะ ก็อยู่ในคำอธิษฐานต่อไป

กลับมาเมื่อตะกี้นี้ ปรากฏว่าก็รอ ไม่ได้สักที พี่น้องท่านนี้ก็ถามอยู่เรื่อย เมื่อไรจะมารับไปสักที ก็มันยังจดไม่ได้ จนกระทั่งถึงเวลาที่ผมสัญญากับที่ประชุมไว้หลายปีแล้วว่า 3 ปีสุดท้ายของสัญญาที่เช่าที่นี่ ผมต้องประกาศแล้วว่าเราจะไปไหน? ทุกคนจะได้เตรียมตัวว่าใครจะไปไหน? อธิษฐานร่วมกันอย่างไร? เพราะว่ามีเวลาอยู่ 3 ปีเท่านั้น ก่อนหน้านี้จะไม่พูดเลย เพียงแต่บอกว่ามันเหลืออีกกี่ปีเท่านั้น แต่บอกแล้วว่าถ้าภายใน 3 ปี จะบอกหมดว่าจะทำอะไรอย่างไร? จะได้มีเวลาเพียงพอ ก็ครบรอบวันนี้ คือเหลืออีกประมาณ 3 ปี ก็ต้องบอกวันนี้ว่าแผนการเราจะไปที่ไหน? ก็เลยต้องแจ้ง โดยที่ยังไม่โอนที่ดินมา และมูลนิธิก็ยังไม่เสร็จ อยู่ในการจดทะเบียนอยู่ ก็เลยจัดงานนี้ขึ้นมา เพื่อบอกกล่าวกันทุกคนแล้วว่าทุบหม้อข้าวแล้วนะครับตอนนี้ ตัวใครตัวฉันแล้วนะ เรากำลังจะไปที่ไหน? เมื่อไร? อย่างไร? เพื่อทุกคนจะได้ตื่นตัว ก็เลยบอกล่วงหน้า วันนี้จะบอกความคืบหน้าว่าเราจะย้ายไปไหน? หลายคนก็ถามตลอด เราจะไปอย่างไร? อย่างที่อาจารย์นำบอก อยากอยู่ที่เดิม เพราะแน่นอนความสบาย มันขี้เกียจ ไม่อยากไปไหนแล้ว แต่นั่นแค่เศษๆ เพราะเราไม่ได้อยู่ด้วยตัวเราเอง เราอยู่ด้วยน้ำพระทัยพระเจ้า พระเจ้าต้องการให้เราไป เราก็ไป

วิธีที่รู้ว่าพระเจ้าต้องการให้เราไป คือพระเจ้าไม่ให้เราอยู่ เขาก็ไม่ให้เราอยู่ เราก็ต้องไป

ก็เลยต้องมาบอกในวันนี้ วันเริ่มต้นของแคมเปญการย้ายสถานที่ รู้แล้วตอนนี้ชัดเจน ขับรถไปดูกันเอง ไปอธิษฐานกันเอง

พี่น้องเราท่านนี้ที่ได้ถวายที่ดิน ใช้สถานที่แพรกษาเป็นที่ชุมชน ใช้ประโยชน์ในการประกาศข่าวดี แล้วให้พี่น้องศึกษาเรื่องพระเจ้า ได้ย้ำยืนยันแล้วว่าเจตนารมณ์ไม่ต้องการให้ใครรู้ว่าเขาถวาย ผมก็ลืมไป นึกว่าวันนี้ว่าจะติดต่อเชิญมา เพื่อทำพิธีให้ทุกคนได้รู้ว่านี่คือโฉนด? นี่คืออะไร? นิดเดียวๆ เลยให้ทางคณะกรรมการเขาติดต่อไป พี่น้องท่านนี้ก็พูดและยืนยันกลับมาเหมือนเดิม ผมดีใจมากเลย ยืนยันมาบอกว่า …

“ขออภัยด้วยนะครับ ถ้าให้ขึ้นไปเป็นพยานเรื่องพระเจ้า โอเค พูดได้ แต่ถ้าให้ขึ้นไปแสดงตนว่าเป็นผู้ให้ ขออยู่เงียบๆ นะครับ”

มันชื่นใจ บางทีทำอะไรเยอะแยะ ก็ลืม ลืมไปว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่เราบอกตั้งแต่แรกแล้ว ฝึกฝนตัวเอง ไม่ว่าจะมากหรือน้อย ให้มือขวา อย่าให้มือซ้ายรู้ ให้ไป ไม่ต้องมีใครรู้เลย เงียบๆ ยิ่งเงียบยิ่งดี เอเมนไหม?

นี่คือตัวอย่างอันหนึ่งที่ได้เอามาหนุนจิตชูใจกัน สำหรับผมแล้ว ผมถือว่าอัศจรรย์มากกว่าที่ดินที่เราจะได้ไปอยู่ร่วมกัน และใช้สถานที่ที่เป็นของเราจริงๆ แล้วจะไม่ต้องถูกเขาไล่ไปไหนอีกแล้ว ผมว่าตรงนี้อัศจรรย์กว่า มันมีโอกาสเป็นอย่างนี้ได้น้อยมาก สำหรับผู้คน ไม่ใช่คริสเตียนอย่างเดียว แต่ผู้คนในปัจจุบันนี้ มันเป็นได้น้อยมาก ทำดี แล้วไม่เอาหน้า ผมว่ามันยากมากจริงๆ บางทีเราไม่อยากได้หน้า แต่คนอื่นเขาเผลอชมนิดหนึ่ง เราก็เผลอสวมกอดเลยนะ เราก็รับเลย พอรับไปนานๆ มันก็จะเหลิงไป นึกออกใช่ไหม? สมมติว่าย้อนกลับมาที่พี่น้องคนนี้อาจจะปล่อยเลยตามเลย

“อ้าว! ก็อาจารย์เขาเชิญแล้ว”

ก็ไปเลย แต่เขายังรักษาเหมือนเดิม เหมือนเมื่อหลายเดือนที่แล้วว่าไม่ต้องการให้ใครรู้ มันตรงพระคัมภีร์ ให้ด้วยใจ ไม่ตะหนี่ มีความคิดในใจ ให้ คือให้ ไม่ใช่ลงทุน การให้ แล้วหวังว่าเราจะได้เกียรติกลับมา คือการลงทุน  การให้ เพื่อหวังว่าพระเจ้าจะอวยพรเรากลับมาเยอะแยะ คือการลงทุน แต่การให้ เพราะรัก … ความรัก คือเห็นผู้คนเขาลำบาก เขายังไม่รู้จักพระเจ้า ไปแถวไหน? อาจเป็นพระพร สำหรับเขา เด็กแถวนั้นอาจไม่มีที่เรียน อาจจะสร้างเป็นโรงเรียน เราคิดล่วงหน้าไว้แล้วนะ แต่ก่อนหน้านี้ ก็เคยคิดว่าอยากจะเป็นโรงเรียน เด็กแถวนั้นจะได้มาเรียนหนังสือ อะไรแบบนั้น แต่เราไม่รู้หรอกว่าพระเจ้าจะทำอะไร? การให้ คืออย่างนี้

เพราะฉะนั้น เลยอยากหนุนใจพวกเราทุกคนที่มีส่วนในที่ประชุมแห่งนี้ ในอนาคตอันใกล้นี้ เริ่มตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป ให้ตั้งใจอย่างนี้ พระคัมภีร์ก็บอกว่าพระเจ้าพอพระทัยมาก คือพอพระทัยให้เราทำตามที่เราเป็น คือวิญญาณเราเป็นลูกพระเจ้า เต็มไปด้วยความรัก เหมือนพระเยซู เพราะฉะนั้น เราทำเหมือนพระเยซู ฝึกฝนเหมือนที่พระวิญญาณสอนและนำพาในชีวิตเราแต่ละวัน และพระองค์พอใจมากที่สุด อยากให้ทุกคนมีส่วนร่วมแบบนี้แหละ ร่วมเท่าที่เราเป็นอยู่ ผมบอกเลยนะว่าถ้าพูดถึงวัตถุสิ่งของ ไม่ต้องพึ่งเลย พระเจ้าผู้เดียวทำได้ทุกอย่าง แต่พึ่งเรา เพื่อที่จะสร้างเราแต่ละคนขึ้นมา เพื่อจะใช้เราต่อไป ในการประกาศข่าวดีของพระองค์ ไม่ใช่สร้างเรา เพื่อเราจะมีเงิน เอาของมาให้ ไม่ใช่ สร้างเรา เพื่อให้เรามีคุณภาพ ในชีวิต ที่จะเป็นพยานด้วยชีวิตของเรา ให้กับผู้อื่น รอบข้างเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกหลาน เหลนโหลนเรา สำคัญที่สุด

บางทีเราดู เราคิด เหมือนใกล้ๆ นะ แต่จริงๆ มันไม่ใช่ มันเป็นแผนการยาว ไกลมาก พระเจ้าไม่ได้มองชีวิตเราแค่นี้ พระเจ้ามองไปทะลุถึงลูกหลาน เหลนโหลนเรา ไปถึงครอบครัว ต่อเนื่องกันเยอะแยะไปหมดเลย นี่คือสายพระเนตรพระเจ้า ไม่ใช่มองดูแค่สั้นๆ ว่าเราได้ เราให้ พรุ่งนี้ มะรืนนี้ เราอยู่ในโลกใบนี้ เราคงจะได้ดี ต่างๆ เหล่านั้น ไม่ใช่วิธีนั้น ในทางพระเจ้า คือดูแลเราด้วยความรักและวางแผนไว้สำหรับความรักนั้น จะได้เผื่อแผ่ไปยังบรรดาผู้คน ที่เขาตกทุกข์ได้ยาก ลำบากที่สุด ก็คือไม่รู้จักพระเจ้า ไม่รู้จักข่าวดี ไม่มีความหวังในชีวิตนิรันดร์ ไม่มีความหวังในสวรรค์เลย ไม่รู้จักอะไรเลยแม้แต่นิดหนึ่ง ก็คนตาบอดนั่นเอง เราที่รู้แล้ว ตาสว่างแล้ว อย่างไรก็ไปรอดแล้ว เราควรจะนึกถึงคนที่เขาตาบอด เราควรจะทำทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำได้ เพื่อให้ความรักนี้ ไปถึงพวกเขา เหมือนพวกเราในที่นี้

นี่คือสิ่งที่พระเจ้าอยากให้มันเกิดขึ้น ในวิญญาณของเรา โดยไม่ถูกบังคับ โดยสบายๆ ถ้ายังทำไม่ได้ ไม่เป็นไร ไม่ต้องรู้สึกฟ้องผิด เดี๋ยวพระวิญญาณจะค่อยๆ กล่อมเกลาท่านทีละนิด ทีละหน่อย ให้เปลี่ยนแปลง ค่อยๆ มีความรักอย่างนี้แน่นอน เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเจ้าให้มาสถิตกับเรา เพื่อการนี้โดยเฉพาะ ไม่ใช่ เพื่อแค่ทำการอัศจรรย์ร่างกายเราอย่างเดียว แต่ทำการอัศจรรย์กว่านั้น คือเปลี่ยนแปลงนิสัยใจคอของเรา ให้เป็นเหมือนพระเยซู ซึ่งคือวิญญาณข้างในนั่นเอง เอเมน

เราไม่ได้หวัง แค่พระวิญญาณอยู่กับเรา แล้วอัศจรรย์เกิดขึ้น อาจจะมี หรือไม่มี ไม่ได้เป็นสิ่งสำคัญ แต่สิ่งสำคัญควรจะมี ก็คือชีวิตเราควรจะเปลี่ยนแปลงนะ ไม่ใช่ บอกเชื่อพระเจ้ามาตั้งนานแล้ว  ไม่มีอะไรเปลี่ยนเลยสักนิดหนึ่ง ผมว่ามันไม่น่าใช่ มันต้องมีเปลี่ยนแหละ แล้วใครรู้ ตัวเราเองแหละรู้ มากน้อยเพียงใด

นี่ก็เอามาเป็นสิ่งที่ได้คุยกันในวันนี้ เพราะฉะนั้น ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เราก็จะเริ่มรณรงค์ ให้ทุกคนมีส่วนเข้ามาอยู่ในนี้ จำไว้เลยนะ ไม่ใช่รณรงค์ เพื่อที่จะขอความช่วยเหลือจากทุกคน เข้ามาช่วยพระเจ้า ในการสร้างอาคารไม่ใช่ ถ้าเป็นเช่นนั้น เพลงเมื่อตะกี้เราร้อง ก็ร้องผิดหมดเลย ที่ร้องว่า พระเจ้ายิ่งใหญ่  มันก็ไม่ยิ่งใหญ่จริง  พระเจ้ายังต้องการให้เราช่วยเลย แล้วเราจะให้พระองค์ช่วยอะไรเรา แล้วพระเจ้าจะใหญ่ได้อย่างไร? ไม่จำเป็น เพราะอย่างไรมันก็เสร็จอยู่แล้วล่ะ เอเมนไหม? สถานที่ประชุมที่แพรกษา มันเกิดขึ้นในวิญญาณตั้งนานแล้ว ถ้าเป็นน้ำพระทัย วางแผนไว้พระเยซูจะมาตายที่ไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว มันเกิดขึ้นก่อนหน้า 2,000 ปีแล้ว พระองค์บอกไว้ล่วงหน้าก่อนว่ามันจะเป็นอย่างนั้น และพอถึงวันจริงๆ มันก็เกิดขึ้นตามที่เป็น แล้วเรามีส่วนเกี่ยวข้องอะไร? ก็คือพระเจ้ากำลังทำงานของพระองค์ … พระองค์ต้องการให้พวกเรามีส่วนเข้ามาร่วม เพื่อจะใช้ชีวิตเราให้เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นรอบข้างเรา โดยเฉพาะลูกหลาน เหลนโหลน เรายินยอมไหม? แค่นั้นเอง  อย่าไปคิดนะว่าท่านต้องกลับไปทำงานให้หนักขึ้น เพื่อจะเอาเงินมาช่วยพระเจ้า  อย่าไปคิดว่าท่านจะกลับไปเทกระปุกให้หมดเลย มันเหลือเท่าไร จะเอามาให้หมด อย่าไปคิดอย่างนั้น  แต่ถ้าพระเจ้านำท่าน ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งของใครของเขา แล้วแต่ แต่กำลังจะบอกให้ว่าอย่าใช้ความรู้สึก เข้าใจใช่ไหมครับ

ขนาดพี่น้องที่มอบที่ดินนี้ ครั้งแรกมา ผมบอกให้กลับไปคิดดูก่อน คิดดีๆ ไม่ได้บอกดีใจ เอามาเลย กำลังอยากได้พอดีเลย คิดดูก่อน ไม่เป็นไรนะ ไปประชุมทั้งครอบครัวเลย ไม่ให้ก็ไม่เป็นไรนะ อย่ามีความรู้สึกว่าตอนนี้จะให้ เราต้องการของจริงๆ ไม่ใช่รู้สึกว่ามา เราดีใจ เราก็จะสร้างบาปให้กับครอบครัวนั้น เพราะมันไม่ใช่ เมื่อไม่ใช่ ความรู้สึกโลภ อยากได้ด้วย ก็เลยทั้งสองฝั่งรู้สึกไม่ใช่การนำ ในที่สุด ก็จบด้วย อวสานด้วยโศกนาฎกรรม ไม่มีใครผิดนะ แต่โศกนาฎกรรม มันไม่สวยงาม

เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นไปได้ เมื่อกี้บอกว่าให้สบายใจกันทั้งคู่ ทั้งสองฝั่ง คนรับก็สบายใจ ไม่ต้องเร่งรับ แล้วก็ไม่ต้องบอกมาแล้ว ฉันต้องรีบเอา เดี๋ยวเขาไม่ให้ ที่นี่รับรองได้ว่าไม่มีอย่างนั้นเลย บอกแล้วว่าได้ทำอย่างนี้มาตลอด แล้วครั้งนี้ก็ยังทำอยู่นะ ที่บอกว่ารอให้มูลนิธิจดเรียบร้อย แล้วประกาศ ก็เป็นส่วนหนึ่ง ในวิธีการรับของถวาย จากพี่น้องที่จะมาร่วมกันสร้าง เหมือนกัน ก็คือไม่อยากจะบีบบังคับว่าในขณะที่รอการจดทะเบียน พี่น้องสามารถเปลี่ยนใจได้นะ ก็รอจนกว่าวันสุดท้าย  เมื่อไปโอน อันนั้นมันจบแล้ว

ให้เราทุกคนมีความรู้สึกอย่างนี้เหมือนกัน ส่วนท่านจะไปสัญญากับพระเจ้าอย่างไร? ไปอธิษฐานกับพระเจ้า เป็นแบบกันเองอย่างไร? เป็นอีกเรื่องหนึ่ง นี่ยกตัวอย่างให้ฟัง มีหลายคนก็ทำอย่างนี้ ผมก็เคยทำอย่างนี้ คือเหมือนสัญญาพ่อลูก ไม่ใช่สัญญาแบบติดสินบน บางทีผมใช้วิธีนี้

“พระเจ้า ฟังดูแล้ว โครงการนี้ (ครั้งที่แล้ว ที่ย้ายมาที่นี่) ลูกอยากมีส่วนร่วมมากเลย  ลูกตั้งใจไว้ว่าจะมีส่วนสักเท่านี้ๆ ถ้าเป็นไปได้ …”

อย่างนี้ได้ ส่วนตัว แล้วไม่ต้องเอาตรงนี้มาบอกผม บอกศิษยาภิบาล ผมอธิษฐานแล้ว ผมอยากจะให้ส่วนนี้ ไม่ต้อง คุยกับพระเจ้าเป็นส่วนตัวเลย ให้ก็ให้ ไม่ให้ก็ไม่ให้  ไม่เป็นไร?  ไม่ต้องมาบอกคริสตจักรว่า …

“ผมตั้งใจจะสร้างอาคารให้ 10 ล้านบาทเลย ถ้าผมกำไรจากตรงนี้”

ไม่ต้อง ไม่มีก็ไม่มี มี 10 บาท ก็เอา 10 บาทมา พอแล้ว นั่นแหละ มีความสุข เข้าใจใช่ไหมครับ ผมไม่รู้จะอธิบายให้ฟังอย่างไร? เรื่องเหล่านี้ ต้องค่อยๆ เล่าสู่กันฟัง เพราะว่าเงินทองของบาดใจ พูดอะไรมากไม่ได้ มันเรื่องธรรมดา เพราะฉะนั้น ให้มีความรู้สึกสบาย แล้วก็สงบ แล้วก็ไม่ทำลายความเชื่อของตัวเอง การทำลายความเชื่อของตัวเอง คือเราคาดหวังไว้สูง แล้วเราใช้ความรู้สึก แล้วมันทำไม่ได้ เพราะเราใช้ความรู้สึก ไม่ใช่ความเชื่อ ความรู้สึกวันนั้น มันเป็นอย่างนี้ สิ่งแวดล้อมเป็นอย่างนี้ ทำให้เกิดรู้สึกอย่างนี้ แต่มันไม่ใช่ความจริง แล้วมันเป็นไปไม่ได้ แล้วเรามานั่งฟ้องผิด วุ่นวายไปหมด บางคนบางทีไปแอบเอาเงินลูกมาถวาย เพื่อจะสร้างโบสถ์ แล้วในที่สุด ลูกรู้เข้าทีหลัง สมมติลูกยังไม่เชื่อ แล้วเกิดอะไรขึ้น โศกนาฎกรรมไหม? เห็นภาพเลยนะ คนไปเอามา คือแม่นะ แต่เป็นเงินของลูก แล้วคุณมีสิทธิ์อะไรไปเอาเงินของเขา ต่อให้เป็นเงินของคุณเอง คุณก็ไม่ต้องให้ ถ้าเผื่อคุณไม่พร้อมที่จะให้ นี่เงินของลูกนะ หรือเงินของสามีก็ตาม หรือภรรยาก็ตาม จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม อย่างนี้เป็นต้น ถ้าไม่มีสันติสุข ไม่เป็นหนึ่งเดียวกัน ถ้ามาจากพระเจ้า ต้องมีสันติสุข ต้องพร้อมๆ กัน สามีภรรยา ใช่ นี่เป็นเงินของเรา สิทธิของเรา ไม่ใช่เงินลูก ไม่ต้องถามลูก เราก็ตัดสินใจได้เลย แต่ถ้าเป็นเงินของลูก ลูกให้เราแล้ว ก็เป็นของเราแล้ว อย่างนี้ได้ แต่ไม่ใช่ เป็นเงินบัญชีของลูก ลูกถวาย ตื้อลูกทุกวัน แล้วลูกก็ไม่ได้เชื่อพระเจ้าสักทีหนึ่ง เพราะพ่อแม่ทำอย่างนี้ จึงไม่เชื่อ  ลูกก็คงคิดว่า …

“ไงแม่ร้องอยู่บ่อยว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่ๆ ให้ลูกไปช่วยพระเจ้า ดูสิ”

อย่างนี้ คือสิ่งที่ผมว่ามันไร้สาระ คิดให้ดีๆ เรามาเชื่อพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด เรากำลังเชื่อว่าพระเจ้าเป็นจริง พระเจ้าช่วยเราได้ เสร็จแล้ว เราก็มาบอกว่าเรากำลังจะช่วยพระเจ้า เราให้พระเจ้าทำอย่างนี้ดีกว่า ให้พระเจ้าทำการงานผ่านชีวิตเรา ถ้ามันเป็นไปตามนั้นได้ ก็ดี ถ้าเป็นไปไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร ไม่ต้องรู้สึกฟ้องผิด แสดงว่าพระเจ้าต้องการใช้เราแค่นี้เอง ถ้าเรามีส่วนในการสร้างอาคารได้ ตามที่เราเคยคิดก็ดี แต่ถ้าไม่ได้ ก็แสดงว่าพระเจ้าต้องการให้เรามีส่วนร่วมในงานนี้เท่านี้ พอแล้ว เอเมนไหม? ถ้าพระเจ้านำพาเราผ่านทางการอธิษฐาน เราสามารถอธิษฐานให้ทุกคืนเลย เรื่องเกี่ยวกับอาคารที่จะก่อสร้างที่นี่ ทุกคืนเลย คืนละ 10 นาที 5 นาที ถ้าเราทำได้ ทำไป ถ้าคนข้างๆ เขาทำได้แค่นั้น เขาหลับ เขาลืมไป ก็ไม่ต้องไปว่าเขา พระเจ้าก็ใช้เขาอย่างนั้น เข้าใจใช่ไหมครับ ไม่ใช่เอามาเปรียบเทียบว่า …

“ฉันอธิษฐานทุกคืน เธอไม่อธิษฐานเลย ทำไมอย่างนี้”

แค่พูดแค่นั้น คนที่อธิษฐาน ก็สอบตกแล้ว

“ฉันมีส่วนร่วมอธิษฐาน ไม่เห็นมีใครอธิษฐานเลย”

มนุษย์เราจะเป็นอย่างนี้ ทำๆ ไป แล้วเพลิน

“ฉันทำงานจนเหนื่อยจะตาย ไม่เห็นมีใครทำอะไรเลย”

มันจะเป็นเพลิน ไปดูสถานที่ใหม่สิ ทุกคนช่วยกันอย่างนั้น คนนี้ไม่ช่วยเลย มันเรื่องของเขา  ไม่ใช่เรื่องเรา เราได้แค่ไหน ก็แค่นั้น ถ้าเราเอามาเปรียบเทียบกัน เราก็จะกลับกลายเป็นคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า ถ้าเราเชื่อพระเจ้า เราต้องมั่นใจว่าวันนี้วันเกิดของพระเจ้า พระเจ้าลงมาสถิตอยู่กับมนุษย์แล้ว  พระองค์จะเป็นผู้นำพาเขาเอง  ถ้าเขาทำได้แค่นั้น แสดงว่าพระเจ้านำพาเขาแค่นั้น พระวิญญาณบอกเหมาะสมแล้ว พระวิญญาณที่อยู่กับเรา ให้เราทำเหมือนเยอะกว่า ก็เพราะว่าเราเหมาะสมอยู่อย่างนั้น และถ้าเราเอาตัวเราไปเปรียบเทียบกับเขา  เขาทำน้อยกว่า แล้วเราเอาตัวเราไปเปรียบเทียบกับคนที่ทำได้เยอะกว่า เราก็ตายลูกเดียว เราก็เครียด รับใช้ไปเครียดไป ไม่ใช่ วิธีรับใช้พระเจ้า คือยอม แค่นั้นเอง ไม่ใช่วิธีรับใช้พระเจ้า คือพยายามๆ ทำด้วยตัวเอง  ไม่ใช่ ไม่ต้องพยายาม วิธีรับใช้พระเจ้า คือยอมให้พระวิญญาณทำงานผ่านชีวิตของเรา เอเมน มันต่างกันกับว่าวิธีรับใช้พระเจ้า ต้องพยายามทำนะ อันนี้ไม่ใช่วิธีรับใช้พระเจ้า เราไม่ได้เป็นทาสอย่างนั้นต่อไปแล้ว เราเป็นลูกของพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์จะสถิตอยู่กับเรา ต่อให้เราไม่ทำอะไรเลยแม้แต่นิดหนึ่ง ไม่อธิษฐานด้วย สำหรับโครงการนี้ พระวิญญาณบริสุทธิ์ยังสถิตอยู่กับเราไหม? อยู่ แล้วพระวิญญาณยังทำงานอยู่ในชีวิตเราไหม? ทำ แล้วพระวิญญาณทำเหมือนกับคนอื่นๆ ไหม? ทำ

ก็วางใจ ยอมรับว่าจะเป็นอย่างนั้น วางใจในพระองค์ไว้ ถึงเวลา พระองค์จะทรงกระทำอย่างอื่นเอง มันจะได้มีความสุข เราก็มีคุณค่าเท่าคนอื่น ไม่ใช่ คนอื่นเขาทำเยอะ เราทำน้อย เราก็เศร้าใจ

“ทำไมฉันทำได้แค่นี้ ฉันเป็นคนด้อย”

ด้อยอะไร? เราเป็นลูกพระเจ้าเท่ากันเลย ไม่ต่างอะไรกันเลย ไม่ว่าจะเป็นศิษยาภิบาล คนมอบที่ดินที่นี่ หรือจะเป็นคนมอบอาคาร หรือเป็นแค่อธิษฐานให้ มีค่าเท่ากัน ไม่ได้ต่างอะไรกันเลย แม้แต่นิดเดียว เราต้องทำความเข้าใจตั้งแต่วันแรกนี้ เรากำลังเริ่มแคมเปญนี้ด้วยวิธีการที่ถูกต้องในทางของพระเจ้าอย่างไร? ทุกสิ่งที่พูดมานี้ อยู่ในพระคัมภีร์ทั้งสิ้น แล้วเราได้เรียนรู้กันมาตลอด ให้ฝึกฝนกันมาตลอด นี่แหละคือความรัก นี่แหละคือความจริง นี่แหละคือข่าวประเสริฐของพระเจ้า ที่ออกมาเป็นความรัก ที่สำแดงแล้ว ที่ออกมาในพระเยซูคริสต์ แล้วเราทุกคนต้องมีส่วนอย่างนี้แหละ

และเราถือโอกาสอย่างนี้ ซึ่งเป็นวันดี ที่เป็นวันที่เราระลึกถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์ คือพระเจ้า เข้ามาสถิตอยู่กับมนุษย์ เป็นครั้งแรก โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์  เป็นผู้ดำเนินการ เคลื่อนไหวในชีวิตของเรา ร่างกายของมนุษย์ที่ยินยอมให้พระองค์เข้ามา คือเปิดใจต้อนรับพระเยซู ยอมรับว่าพระองค์เป็นผู้ช่วยให้รอด ตายที่ไม้กางเขน เพื่อชำระบาปและเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 แล้ว 2,000 ปีมาแล้ว รับสิทธินี้ไว้ ทันทีทันใด พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็เข้ามาบัพติศมา คือจุ่มเราเข้าไปในฤทธิ์เดช หรือเรียกว่าไฟแห่งพระวิญญาณ ทำให้เราได้บังเกิดใหม่ กลายเป็นลูกของพระเจ้าทันที ทำอย่างนี้มาแล้ว เริ่มทำมาแล้ว 2,000 ปีแล้ว ทุกวันนี้กำลังทำอยู่ ทุกวันนี้เกิดอย่างนี้ขึ้นในทั่วหัวระแหงในโลกใบนี้  ทุกประเทศมีอย่างนี้เกิดขึ้นตลอด เราพูดอยู่นี้ ก็มี พระวิญญาณบริสุทธิ์กำลังเจิมใครด้วยไฟ และกำลังชุบให้เขาเป็นขึ้นมาใหม่ เหมือนพระเยซู ตอนนี้ก็ยังเป็นอยู่ แต่ไม่รู้อยู่ที่ไหน? แต่ละนาทีมีอย่างนี้ตลอด และจะมีไปเรื่อยๆ จนกระทั่งจบแผนการของพระเจ้า คือพระเยซูกลับมาอีกครั้งหนึ่ง มาชำระทุกอย่างให้เรียบร้อย ทุกอย่างจบ เอเมน นี่คือข่าวดี

และสิ่งเหล่านี้ ควรจะมีการพูดต่อไป พูดให้ลูกหลาน เหลนโหลนฟังว่านี่คือข่าวดี ข่าวประเสริฐ วันนี้เป็นวันอะไร? มันเกิดอะไรขึ้น ฟังดูแรกๆ อาจจะดูเหมือนเพ้อเจ้อ แต่ทั้งหมดนี้ มาจากพระคัมภีร์ทั้งสิ้น ขอให้ท่านพูดความจริงนี้ไปเรื่อยๆ ลูกหลาน เหลนโหลนจะค่อยๆ ได้ อินเข้าไปทีละนิดทีละหน่อย พระคัมภีร์ เปาโลบอกไว้อย่างไร? ข่าวประเสริฐ สำหรับคนที่ยังไม่รู้จัก เขานึกว่าเป็นข่าวของคนโง่ พระคัมภีร์บอกว่าแต่ข่าวประเสริฐสำหรับเรานั้น ผู้เชื่อ  คือ Power คือฤทธิ์เดชอำนาจ คือบางอย่างที่สามารถทำสิ่งที่เกินกว่ามนุษย์จะเห็น มนุษย์จะเข้าใจ มนุษย์จะใช้ความรู้สึก  เกินกว่าเหตุผลของเขา เขาถึงเรียกว่าฤทธิ์เดช เขาถึงเรียกว่า Power สำหรับคนที่เชื่อ  คือเราทั้งหลายที่เชื่อแล้ว ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า ที่มาสถิตอยู่กับเรา ที่เรียกว่าข่าวดีนี้ เป็นฤทธิ์อำนาจที่ทำอะไรบางอย่างที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรงมาก คือทำให้มนุษย์บาปอย่างเรา กลายเป็นลูกพระเจ้าได้ มันอัศจรรย์ขนาดไหน? และสามารถเกิดขึ้นได้ทุกหนทุกแห่ง ตอนนี้พร้อมกันเลย ทั่วโลกเลย ตรงนี้ก็เกิด ตรงนั้นก็เกิด ทำงานพร้อมกันหมดได้ นี่แหละคือสิ่งที่คนที่เชื่อแล้วได้สัมผัสฤทธิ์เดชอำนาจนี้ แต่สำหรับคนที่ไม่เชื่อ เขาก็นึกว่าเป็นเรื่องงมงาย ก็แน่นอน เพราะว่าเขาไม่มีทางที่จะเข้าใจ เพราะฤทธิ์เดชอำนาจนี้ มันเกินความเข้าใจของมนุษย์ เกินสติปัญญาของมนุษย์ แล้วต้องอาศัยอะไร? พระคัมภีร์บอกอาศัยการฟังถ้อยคำแห่งความจริงบ่อยๆ แล้วคนนั้น ที่ยังไม่เข้าใจ ก็จะเริ่มเข้าใจ เริ่มรู้ และยอมรับว่าข่าวดีนี้ เป็นจริง

ในหนังสือโรมบอกแล้วเขาจะได้ยินได้อย่างไร ถ้าไม่มีคนพูดว่าเพ็นเทคอสคืออะไร? มันเกิดอะไรขึ้น เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งของมนุษยชาติมันเกิดอะไรขึ้น ในโลกวิญญาณ มันไม่ใช่หนึ่งในศาสนาต่างๆ ที่มนุษย์สร้างขึ้น  เพื่อจะยึดเหนี่ยวจิตใจ หรือเป็นกฎหมายทางด้านศีลธรรมที่จะมาอยู่ร่วมกันด้วยความดีงาม มันไม่ใช่แค่นั้น มันเป็นความเป็นจริง แห่งประวัติศาสตร์มนุษยชาติที่เกิดขึ้นแล้ว ก่อนหน้านี้ ประวัติศาสตร์มนุษยชาติได้บันทึกไว้แล้ว มนุษย์ตกลงไปในความบาป เมื่อ 2,000 ปีที่แล้วพระเจ้าได้ส่งพระเยซูมาตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม และพิสูจน์แล้ว และเกิดอะไรขึ้นตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา จนถึงวันนี้ สิ่งที่คาดไม่ถึง คือมนุษย์สามารถเป็นที่อยู่อาศัยของพระเจ้า สามารถเป็นลูกพระเจ้า พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่กับเขาได้ เต็มหัวระแหงเยอะแยะ มากขึ้นทุกวันๆ ไม่ใช่ศาสนาคริสต์มากขึ้นทุกวัน แต่คนที่เชื่อในพระเจ้า และเป็นสถานที่ที่พระเจ้าสถิตอยู่ในตัวเขา มากขึ้นทุกวันๆ เดินไปที่ไหน คนนี้ ข้างในวิญญาณเขา ก็เป็นวิญญาณของพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย มากขึ้นทุกวันๆ มันตื่นเต้นตรงนี้

ถ้าเราไม่พูดตรงนี้ ในวันอย่างนี้ ก็ไม่มีโอกาสพูดให้เขาฟัง อาจจะเป็นคริสตมาสบ้าง แต่มันก็ไม่ชัดเจน อย่างวันอีสเตอร์กับวันเพ็นเทคอสอย่างนี้ ผมพยายามเล่า วันนี้ไม่ได้จดพระคัมภีร์มาให้ เพราะไม่อยากเอาข้อพระคัมภีร์มาขวางในการที่เราจะจำ อยากให้ท่านจำเป็นสตอรี่ จำเป็นเรื่องเฉยๆ  แล้วไปเล่าต่อ ในอดีตเมื่อหลายพันปี มันก็เป็นแค่นี้ มันไม่มีหนังสือพระคัมภีร์ … พระคัมภีร์เพิ่งจะแปล พึ่งจะเขียนมา ประมาณ 500 ปีนี่เอง มันไม่มีพระคัมภีร์อย่างนี้ให้อ่าน ก็เล่าต่อกันมา เล่าให้ลูกหลานเหลนโหลนฟัง เปาโลจึงเล่าและบอก ย้ำยืนยันอยู่เรื่อยๆ ว่าโมโหมากที่สุด อย่าให้ใครมาทำให้ข่าวดีของพระเจ้าลดน้อยถอยลงไป อย่าให้ใครมาบิดเบือนข่าวดีของพระเจ้า โมโหมาก เพราะเปาโลทราบดีว่าถ้าเกิดข่าวดีมันบิดเบือน มันจะเสียหายหมดเลย  สิ่งเดียวที่มารต้องการทำทุกวันนี้ คือต้องการบิดเบือนข่าวดี  พยายามให้ไปไกลๆ ให้มันเป็นศาสนาไปก็ดี ให้เป็นอะไรอะไรปะรำปะราก็ดี แต่ไม่ใช่ มันเป็นอะไรที่ทันสมัยที่สุด  เกิดขึ้นได้ทันที เกิดขึ้นเดี๋ยวนี้ พิสูจน์ได้ รับรู้ได้ และเกิดขึ้นทุกหัวระแหงเท่ากัน ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ในป่า ในเขา ที่ไหนก็ตาม เกิดขึ้นเหมือนกัน คือมนุษย์ทุกคนสามารถเป็นลูกของพระเจ้า ที่พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่กับเขา ในร่างกายเขาได้ทันที ไม่ต้องรอตายไป เดี๋ยวนี้ทันทีได้เลย นั่นแหละคือวันสำคัญ วันเพ็นเทคอส ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

***********************

 

 

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 26 พฤษภาคม 2019 เรื่อง “สำเร็จแล้ว … เราได้เป็นลูกพระเจ้าแล้ว” ตอน 5 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  26  พฤษภาคม  2019

 เรื่อง “สำเร็จแล้ว … เราได้เป็นลูกพระเจ้าแล้ว”  ตอน 5

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

สวัสดีครับ อีก 2 อาทิตย์เรามีนัดกันนะครับ ฉลองอีกแล้ว เป็นคริสเตียนดีเนอะ ฉลองบ่อยเหลือเกิน วันอาทิตย์ที่ 9 มิถุนายน เป็นวันครบรอบของโฮลี่ ออฟ โฮลี่ส์ อภิสุทธิสถาน ผมหมายถึงในโลกวิญญาณนะ “Holy  of  Holies” หรือภาษาไทย “อภิสุทธิสถาน” แปลว่าบริสุทธิ์สะอาดที่สุด ที่พระเจ้าประทับอยู่ เราฉลองสถานที่ที่พระเจ้าประทับอยู่ ไม่ใช่หมายถึงอาคารหลังนี้ แต่ทางโลกวิญญาณ หมายถึงร่างกายของมนุษย์ได้กลายเป็นสถานที่ที่บริสุทธิ์ที่สุด ที่มีชื่อว่า “โฮลี่ ออฟ โฮลี่ส์” หรือ “อภิสุทธิสถาน” ที่พระเจ้าลงมาประทับอยู่ เราระลึกถึงครั้งแรกที่พระเจ้าลงมาประทับอยู่กับมนุษย์ ในร่างกายของมนุษย์ ที่สะอาดหมดจด เป็นอภิสุทธิสถาน เป็นโฮลี่ ออฟ โฮลี่ส์ของพระองค์ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว เราระลึกถึงวันนั้น มีชื่อว่า “วันเพนเตคอส” วันที่ 50 หลังจากที่พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย วันที่ 50 หลังจากวันอีสเตอร์ ปีนี้ก็ตรงกับวันที่ 9 มิถุนายน เพราะฉะนั้น เราจึงมีนัดกันที่จะมาฉลอง ระลึกถึงวันเกิดของโฮลี่ ออฟ โฮลี่ส์ แต่อย่าไปนึกถึงโบสถ์เรานะ

วันเกิดของอภิสุทธิสถาน ซึ่งแปลว่าสถานที่ที่บริสุทธิ์ที่สุด ที่พระเจ้าประทับอยู่ เป็นวันที่ในโลกวิญญาณ เกิดอัศจรรย์มากมาย เกิดความยิ่งใหญ่มาก ทั้งหลายทั้งปวง ถ้าเกิดมีใครทำหนัง ที่มองทะลุ ถ่ายภาพทางโลกวิญญาณได้ วันนั้นเป็นวันที่เกิดปรากฏการณ์ที่ยิ่งใหญ่มหาศาลมาก และมีผลยิ่งกว่าระเบิดปรมาณูอีก เพราะว่าระเบิดปรมาณู หลังจากระเบิดแล้ว มีความรุนแรงแล้ว อาจจะมีเชื้อกำมันตภาพรังสีอีกสัก (สมมตินะ) ร้อยปี สองร้อยปี แต่อันนี้มีผลไปตลอด นิรันดร์เลย เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว วันเพนเตคอส มันเกิดผลในโลกวิญญาณ และมันเกิดผลตลอดต่อเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้ และตลอดไป จนนิรันดร์เลย คือพระเจ้ามาสถิตอยู่กับมนุษย์ได้แล้ว นิรันดร์แล้ว โดยพระเยซูคริสต์เป็นผู้กระทำให้แผนการของพระเจ้าที่จะมาสถิตอยู่กับมนุษย์นั้น สำเร็จแล้ว เป็นวันที่ยิ่งใหญ่ ที่พระเจ้าวางแผนการไว้ตั้งนานว่าจะมาสถิตกับมนุษย์ กลับมาคืนดีกับมนุษย์ เหมือนเดิม แต่ก่อนโน้น เหมือนสมัยสวนเอเดน แล้วก็วางแผนไว้เรียบร้อยว่าพระเยซูจะมาเป็นผู้กระทำ เขียนไว้ในหนังสือตั้งแต่ปฐมกาล ที่เราเรียกกันว่าพระคัมภีร์ไบเบิ้ลเดิม กระทั่งมาถึงเมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว พระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ แล้วได้ถูกจับไปตรึงตายที่ไม้กางเขน แผนการทั้งหมด พระเยซูจึงได้กระทำให้สำเร็จแล้ว

สำเร็จแล้ว วันนี้เป็นตอนสุดท้ายของซีรี่ส์ในปีนี้ ถ้าว่ากันตามจริง จะว่ากันเรื่องพระคัมภีร์ เรื่องพระเจ้า หรือมาบรรยาย ประกาศ ก็เรื่องเดียวกันหมด พระคัมภีร์ทั้งหมดทั้งเล่มก็พูดเรื่องนี้เรื่องเดียว ไม่ได้พูดเรื่องอื่นเลย ฟังดูเหมือนเรื่องอื่น แต่จริงๆ เล็งมาถึงเรื่องนี้ เรื่องเดียว คือเรื่องพระเยซูได้ทำสำเร็จแล้ว

เรามาร่วมระลึกถึงสิ่งที่พระเยซูทรงกระทำให้สำเร็จแล้ว ในวันศุกร์ประเสริฐ วันอีสเตอร์ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ในหนังสือโรม บทที่ 8 ที่เราได้เรียนกันไป 3 ตอนที่ผ่านมาว่าจะเป็นเรื่องราวที่ผมยกขึ้นมาให้ท่านเห็นชัดๆ สรุปให้เราได้เข้าใจว่าก่อนที่พระเยซูจะสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว พระองค์พูดคำสุดท้ายว่า …

“สำเร็จแล้ว” ภาษากรีกพูดว่า “Tetelestai”

หลังจากนั้น ได้เกิดเป็นปรากฏการณ์ยิ่งใหญ่ทางโลกวิญญาณ มหาศาลจนมาถึงทุกวันนี้

สิ่งที่เราเรียนรู้ไปเมื่อ 3 ตอนที่แล้ว คำว่า “สำเร็จแล้ว” ทำให้เกิดอะไรขึ้นบ้าง? …

(1) สำเร็จแล้ว … เราได้ย้ายสำมะโนครัว เข้ามาอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้าเข้ามาอยู่ในสวรรค์ร่วมกับพระเยซูคริสต์แล้ว

(2) สำเร็จแล้ว … ไม่มีการลงโทษใดๆ อีกแล้ว แก่บรรดาผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ หรืออยู่ในอาณาจักรแห่งแสงสว่างนี้ เพราะฉะนั้น ใครที่อยู่ในอาณาจักรของพระคริสต์ เชื่อในข่าวประเสริฐ มาอยู่ในอาณาจักรแห่งแสงสว่างนี้ ก็จะไม่มีการลงโทษใดๆ อีกแล้ว

(3) สำเร็จแล้ว … เราได้ตายไปแล้ว ร่วมกับพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน คำว่า “ตายที่ไม้กางเขน” คือเราได้ชดใช้หนี้ของเราไปแล้ว พร้อมกับพระเยซูที่ไม้กางเขนนั้น ที่พระเยซูตายที่ไม้กางเขน เราได้ตายไปด้วย เป็นการชดใช้หนี้ เป็นพยานกับพระเยซู บอกว่า “จบแล้ว” เอเมน ไม่มีหนี้สินที่ต้องชดใช้อีกต่อไปแล้ว

(4) สำเร็จแล้ว … พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เข้ามาสถิตอยู่กับเราได้แล้ว หรือเราเรียกนัยหนึ่งว่าเข้ามาเจิมเราด้วยไฟ คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเจ้าเจิมเราด้วยไฟ พระเยซูเจิมเราด้วยไฟ บัพติศมาเราด้วยไฟ คือจุ่มเราลงไปในไฟ … ไฟ คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ … พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ขมวดปม แล้วก็ทำปรากฏการณ์ชุบเราให้เป็นขึ้นมาใหม่แล้ว เมื่อเราเชื่อในข่าวดีนี้ ทั้งหมดนี้เราได้รับมาหมดแล้ว ไม่ว่าท่านจะรู้สึกหรือไม่รู้สึกก็ตาม ความจริงได้รับไปแล้ว ท่านอาจจะไม่รู้สึก อาจจะมองไม่เห็น จับต้องไม่ได้ ไม่มีกลิ่น ไม่มีอะไรต่างๆ ไม่มีความคิดจะเชื่อด้วยซ้ำ แต่วิญญาณที่ท่านเคยเชื่อแล้วจริงๆ ในพระเยซูคริสต์ในข่าวดีนั้น มันเกิดอย่างนี้แล้วในโลกฝ่ายวิญญาณ เอเมน

เราจึงต้องดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ เชื่อในถ้อยคำ ไม่ใช่เชื่อด้วยความรู้สึก สิ่งต่างๆ เหล่านี้ เราได้ลองหมดแล้ว ซึ่งเป็นผลจากสิ่งที่พระเยซูได้ทรงกระทำให้สำเร็จแล้ว ที่ไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว วันศุกร์ พระองค์ตะโกนลั่นว่าสำเร็จแล้ว เขาจึงเรียกว่าศุกร์ประเสริฐ ศุกร์แห่งข่าวดี ศุกร์แห่งสิ่งที่ดีๆ สำหรับมวลมนุษยชาติ ข่าวร้ายของมาร

จากคนที่อยู่ในสภาพชั่วร้าย เลวทราม สกปรกสิ้นดี เป็นคนบาป ตอนนี้กลายเป็นลูกพระเจ้าแล้ว ไม่ได้ทำอะไรเลย แค่เชื่อในข่าวดีของพระเยซู ที่บอกพระองค์ทรงทำสำเร็จแล้ว ก็เป็นลูกพระเจ้าได้แล้ว

โรม 8:14 “เพราะพระวิญญาณของพระเจ้าทรงนำผู้ใด ผู้นั้นเป็นบุตรของพระเจ้า

 

“พระวิญญาณของพระเจ้าทรงนำผู้ใด ผู้นั้นเป็นบุตรของพระเจ้า” ชัดเจนเลย ที่เราเรียนกันมาทั้งหมด ก็เพื่อให้เห็นตรงนี้

ที่บอกว่า “ได้ย้ายเข้ามาอยู่ในอาณาจักรสวรรค์แล้ว” เราได้ตายไปแล้วกับพระคริสต์ เรามีพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ด้วยกับเรา เราได้เกิดใหม่แล้ว ข้อ 14 ตรงนี้ กำลังบอกว่าถ้าเป็นอย่างนั้น ทั้งหมดนี้ มันเกิดขึ้นกับเราแล้ว ก็แปลว่าท่านเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ไม่ต้องรอให้ตาย แล้วท่านค่อยเป็น แต่ท่านเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ทั้งหมดนั้น มันเกิดขึ้นแล้ว

โรม 8:15 “ท่านไม่ได้รับวิญญาณ ซึ่งทำให้ท่านเป็นทาสของความกลัวอีก แต่ท่านได้รับพระวิญญาณ ผู้ทำให้ท่านเป็นบุตรของพระเจ้า และโดยพระองค์ เราร้องว่า “อับบา พ่อ

 

อาจารย์เปาโลกำลังแบ่งแยกให้เราเห็นถึงความแตกต่าง ระหว่างสภาพในวิญญาณของคนที่เชื่อในพระเจ้ากับคนที่ไม่เชื่อในพระเจ้า คนที่เชื่อตามข่าวดีบอกว่าสำเร็จแล้ว ฉันเชื่อตามนั้น อีกคนหนึ่งบอกว่าไม่เชื่อ ฉันก็อยู่ของฉันอย่างนี้ ฉันไม่รู้เรื่อง สำเร็จแล้ว อะไรไม่สนใจ อาจารย์เปาโลกำลังให้เห็นสภาพของวิญญาณของทั้งสองฝั่งว่ามันเป็นเช่นไร?  ก่อนที่เราจะมาเชื่อพระเจ้า คือก่อนที่เราจะย้ายสำมะโนครัวในโลกวิญญาณ ก่อนที่เราจะมีพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้เราเกิดใหม่ สถิตอยู่กับเรา ก่อนหน้านั้น วิญญาณเราเคยอยู่ภายใต้การควบคุมของวิญญาณแห่งความชั่วร้าย ซึ่งภาษาไทยแปลจากความหมายของภาษาเดิมว่ามาร … มาร คือวิญญาณชั่วร้าย ที่อยู่ตรงข้ามกับพระเจ้า เราอยู่ใต้การควบคุมของมัน ซึ่งควบคุมเราด้วยการข่มขู่ ให้เราเป็นทาสมัน มันจึงเกิดความกลัว ต้องทำอย่างนั้น ต้องทำอย่างนี้ ต้องอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ที่กำหนดไว้ ถ้าไม่ทำต้องได้รับการลงโทษ ซึ่งมันเป็นจริงตามนั้น เพราะเราอยู่ในบาป

นี่คือสภาพที่พระคัมภีร์ใช้คำว่า “ทาสของความกลัว” เป็นสภาพของคนที่ยังอยู่ในอาณาจักรของความมืด อาณาจักรของมาร อาณาจักรของความชั่วร้าย ยังไม่ได้ย้ายเข้ามาอยู่ในอาณาจักรแห่งแสงสว่างของพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ ยังไม่เชื่อในข่าวดีว่าเขามีสิทธิ์ที่จะย้ายมา เขายังอยู่ในอาณาจักรเดิม อาณาจักรแห่งความมืด ภายใต้การควบคุม และกดขี่ข่มเหง โดยมาร ทำให้เขาพยายามที่จะทำสิ่งที่ดี เหมือนเราในอดีต ก่อนจะเชื่อพระเจ้า เราตั้งใจ พยายามทำสิ่งที่เรียกว่าดี เพื่อหวังจะชดเชยหนี้บาปเวรกรรม เพราะเรากลัว กลัวนรก กลัวผลของมัน กลัวมาก เราจึงตั้งใจให้มันดีที่สุด ในอดีตเป็นอย่างนั้น ซึ่งพอเรามาเชื่อพระเจ้าปุ๊บ เราไม่ได้เป็นอย่างนั้นแล้ว วิญญาณแห่งความกลัวไม่ได้อยู่ในเรา เราก็ยังคงทำดี พยายามทำดีเหมือนกัน แต่เราไม่ได้พยายามทำดี ทำสิ่งที่ถูกต้อง เพราะกลัว  แต่เราทำ เพราะมันเป็นธรรมชาติ อยู่ในวิญญาณของเรา มันอยากทำดี เพราะข้างในมันอยากดี และเราไม่ได้ทำดี เพราะจะได้ไปสวรรค์ ฉันอยู่ในสวรรค์แล้ว พระเยซูทำให้แล้ว เพราะฉะนั้น ฉันตั้งใจจะทำสิ่งที่ดี เพราะว่าฉันสมควรทำสิ่งดี

ความหมายตรงนี้ อาจารย์เปาโลกำลังพูดถึงคนบางกลุ่มที่เป็นผู้เชื่อแล้ว ย้ายสำมะโนครัวเข้ามาอยู่ในอาณาจักรสวรรค์แล้ว แต่ยังคงประพฤติ ปฏิบัติตัวเสมือนว่ายังคงเป็นทาสแห่งความกลัวอยู่ คือแม้จะเชื่อข่าวดีแล้ว แต่ยังถูกล่อลวงด้วยผู้คนรอบข้าง ให้พยายามทำดี เพื่อไปสวรรค์อยู่ เหมือนเดิม ฟังให้ดีๆ ตั้งใจหน่อย ยังเตือนคนเหล่านั้นว่า …

“นายเชื่อแล้ว นายรอดแล้ว นายอยู่ในสวรรค์แล้วตอนนี้ นายเป็นลูกของพระเจ้าแล้วนะ ตอนนี้ นายไม่ได้ทำดี เพื่อที่จะไปสวรรค์อีกแล้ว เพื่อจะชดใช้หนี้อีกต่อไป พระเยซูทำสำเร็จแล้ว แต่นายตั้งใจทำดี เพื่อพระเจ้า เห็นแก่พระคุณพระเจ้า”

และเป็นสิ่งที่เป็นธรรมชาติของชีวิตใหม่ของท่าน มันเป็นอย่างนั้น เปาโลเอาตรงนี้นิดหนึ่งมาพยายามเตือน สอนความจริงให้กับผู้เชื่อแล้ว ให้เขารู้ว่าเขาควรจะปฏิบัติอย่างไรในความเชื่อที่ถูกต้อง เพื่อไม่ให้ข่าวประเสริฐมันเสียหาย

เปาโลจึงบอกว่า “ท่านไม่รู้หรอกหรือว่าท่านได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เข้ามาสถิตอยู่ในตัวแล้ว ทำให้ท่านได้เกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว และผู้ที่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์มาสถิตอยู่กับเขานั้น ที่ได้เกิดใหม่แล้วนั้น ได้ถูกเรียกว่าเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว”

มันหมายถึงอย่างนั้น และเมื่อเราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ทำไมยังทำตัวอย่างนั้นอยู่ มันหมายถึงแค่นี้ ทำตัวอย่างนั้นทำไม? หมือนก่อนนี้ที่ยังไม่เชื่อ เราทำสิ่งที่ดี เพื่อจะชดใช้หนี้สินของตัวเอง เพื่อชดใช้หนี้บาปของตัวเอง เพื่อไปสวรรค์ใช่ไหม? ทำอย่างนั้นอยู่อีกเหรอ ไหนบอกเชื่อข่าวดี พระเยซูทำสำเร็จแล้ว ทำไมทุกวันนี้ทำดี เพื่อจะไปชดใช้หนี้อีกล่ะ ไม่ควรคิดอย่างนั้น เปาโลกำลังเตือนเขา เพราะไม่อย่างนั้น ข่าวดีจะเสีย

เพราะฉะนั้น คำว่าพระวิญญาณผู้ทำให้ท่านเป็นบุตรของพระเจ้า ตามพระคัมภีร์เมื่อตะกี้นี้ ในพระคัมภีร์ภาษาเดิมใช้คำว่า “You have received the Spirit of adoption as sons.” ซึ่งถ้าแปลตรงตัว ก็จะได้ความหมายว่า “พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่รับท่านเป็นบุตร” ทำไมเขาต้องใช้คำว่าบุตรบุญธรรม เพราะว่าพื้นเพ เบื้องหลังของพระคัมภีร์ที่เรากำลังอ่านอยู่นี้ เขียนเมื่ออาณาจักรโรมันรุ่งเรือง ตอนนั้น วัฒนธรรมเป็นเช่นไร? เขาจะใช้คำนั้น เพื่อว่าคนอ่านในตอนนั้นจะได้เข้าใจว่า …

“อ๋อ! ฉันเป็นลูกพระเจ้ามีสิทธิ์อะไรบ้าง”

กฎหมายที่ใหญ่ที่สุด และเข้มแข็งที่สุด ยิ่งใหญ่ที่สุดในเวลานั้น ก็คือกฎหมายของโรมันนั่นเอง เพราะเป็นประเทศมหาอำนาจ ในสมัยกรีกและโรมัน เรื่องการรับรองเป็นบุตรบุญธรรม ตามกฎหมายเขา เป็นเรื่องปกติทั่วไปมาก ทำกันเยอแยะมาก เป็นกฎหมายที่ระบุให้บุตรบุญธรรมมีสถานะ และสิทธิเท่าเทียมกับบุตรทางสายเลือดทุกประการ รวมทั้งสิทธิ์ในการรับมรดก ก็ได้รับเท่ากันทุกอย่าง เขาถึงใช้คำนี้ไง แต่เดี๋ยวนี้เขาอาจจะไม่ได้ใช้แล้ว

ในพระคัมภีร์เดิม เมื่อพูดถึงพระบุตรหรือคำว่าพระเยซูคริสต์ ก็จะใช้คำว่า “Natural Son of God” พูดง่ายๆ ว่าเมื่อพูดถึงพระเยซู พระบุตร เป็นบุตรของพระเจ้าโดยธรรมชาติกำเนิด โดยทางสายเลือดนั่นเอง  ส่วนผู้ที่เชื่อข่าวดี ก็จะเป็น “Adopted sons by Grace” ก็คือเป็นบุตรบุญธรรมที่รับเข้ามาเป็นลูก โดยพระคุณ คือได้ฟรีๆ ให้เปล่าๆ เพราะฉะนั้น คนที่รับมาเป็นลูก ก็จะได้รับสถานะและสิทธิ์ทุกอย่าง รวมทั้งมรดกทุกประการของพระเจ้า เทียบเท่ากับพระบุตรของพระองค์ คือพระเยซู

เขาเขียนอย่างนี้ เข้าใจเลย ถ้าอ่านตอนนี้ อาจจะไม่เข้าใจมากนัก แต่กำลังอธิบายให้ท่านเข้าใจขึ้น และในนี้บอกว่า “และโดยพระองค์ เราร้องเรียกว่า “อับบา … พ่อ” อับบา แปลว่าพ่อ ก็คือเมื่อเราได้รับการรับรองให้มีสถานะเป็นลูกของพระเจ้า เทียบเท่ากับพระบุตร คือพระเยซูแล้ว พระวิญญาณที่เข้ามาสถิตอยู่กับเรา ก็จะสอนเราให้เรียกพระเจ้า ที่เราเคยกลัว จะลงโทษเรา  ที่เรารู้ว่าเป็นพระเจ้าที่สะอาดบริสุทธิ์ ยิ่งใหญ่ เข้าใกล้นิดหนึ่งก็ไม่ได้ เข้าใกล้นิดหนึ่ง ก็ตายแน่เลย พระวิญญาณผู้นี้ ก็จะค่อยๆ สอนเรา  บอกเราว่าให้เรียกพระเจ้า ผู้บริสุทธิ์ สูงสุด ผู้นี้แหละว่าเป็นปาป๊า อับบา แปลว่าป๊า สนิทมากนะ  ไม่ใช่เป็นพระราชบิดาอย่างที่เขียนไว้ เป็นป๊า เป็นพ่อ แล้วค่อยๆ สอนเราให้เรียกอย่างเต็มปากว่าพ่อ โดยไม่ต้องรู้สึกเขิน ซึ่งใหม่ๆ เราก็จะรู้สึกเขิน เพราะว่ามันยังไม่ชิน แล้วใครทำให้เราชิน พระวิญญาณที่อยู่ในเรา ค่อยๆ สอนเรา

ถามท่าน ท่านนึกถึงวันแรกที่ท่านเข้ามารับข่าวประเสริฐของพระเจ้า และเริ่มต้นดำเนินตามพระวิญญาณ เริ่มต้นอธิษฐานกับพระเจ้า มีใครเรียกพระเจ้าว่าพระบิดาบ้าง? มีใครเรียกพระเจ้าว่าพ่อ ส่วนใหญ่ก็เรียกพระบิดา เพราะตามเขามา ไม่กล้าเรียกว่าพ่อ ถูกไหม? บางทีเรียกพระบิดา ยังเขินๆ เลย มันเหมือนลิเก เพราะยังไม่เคยชิน แต่ขณะที่ยังไม่เคยชินนั้น พระวิญญาณค่อยๆ สอน จนทุกวันนี้ บางคนเชื่อมา 30, 40 ปี พ่อกินข้าวนะ  แต่ก่อนนี้แรกๆ อาทิตย์แรก …

“โอ้ … ข้าแต่พระบิดา ขอบคุณพระบิดาสำหรับอาหารมื้อนี้มากเลย”

พูดเยอะแยะ แต่เดี๋ยวนี้ “พ่อกินแล้วนะ”

เพราะพระวิญญาณสอนเราว่านี่พ่อเรา หิวก็กินสิ ไม่ใช่สอนเราไม่ให้อธิษฐานนะ ไม่ใช่นะ เข้าใจใช่ไหม? หมายถึงสนิทสนม ไม่มีอะไรเลย นอกนั้นเป็นวิธีของมนุษย์ ก็ว่ากันไป ส่วนใหญ่เราจะเรียนมามากกว่า มีพี่เลี้ยงสอนเรา เราก็จดจำมา เผลอๆ จำไม่ได้ จดใส่กระดาษเลย

“พระบิดาผู้สถิตในสวรรค์ ข้าพระองค์ขอบคุณพระองค์ สำหรับอาหารมื้อนี้”

อะไรก็ว่าไป ท่องจนจำได้ แล้วก็ติด จำในสมองมาจนถึงทุกวันนี้ จนวันหนึ่ง สนิทกับพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ ธรรมชาติในวิญญาณ จึงออกมาจากปากของเรา พ่ออย่างนี้ไม่ไหวแล้วไม่ไหว แต่ก่อนเราไม่กล้าพูด นี่แหละคือสิ่งที่เปาโลกำลังพยายามที่จะอธิบายให้เราฟังว่ามันเกิดอะไรขึ้น เมื่อเราเชื่อในข่าวดีของพระเจ้า เมื่อเรารับเชื่อแล้ว เกิดอะไรขึ้นในโลกฝ่ายวิญญาณบ้าง เราได้เป็นลูกของพระเจ้า เรียกพระเจ้าว่าพ่อ โดยไม่ต้องเขิน เราสามารถพูดกับพ่อ เหมือนพูดกับพ่อที่สนิทกันบนโลกใบนี้ เป็นคนที่โคตรดีเลย  เพราะพ่อเราคนนี้ เป็นพ่อที่มีบุคลิกลักษณะแห่งความรัก 100% เลย อดทนนาน กระทำคุณให้ ไม่อิจฉา ไม่หยิ่งผยอง ไม่เห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว พ่อเราเป็นอย่างนี้ ท่านลองคิดดู ไม่สนิทได้อย่างไร? ทุกอย่างสวยงามเลย เราชอบนึกถึงพ่อปุ๊บ ต้องทำเหมือนพ่อเราที่เป็นมนุษย์  พ่อเราที่เป็นมนุษย์ ยังเป็นมนุษย์อยู่ ไม่เพอร์เฟคไง เขาอาจจะรักเรามาก แต่เขาทำไม่ได้ เขาอาจจะรักเราเยอะ แต่เขาทำได้แค่นี้ ไม่ใช่เขาไม่รัก อย่างนี้เป็นต้น

โรม 8:16 “พระวิญญาณเอง ทรงยืนยันร่วมกับวิญญาณจิตของเรา ว่าเราเป็นบุตรของพระเจ้า

 

หลายครั้งเรานึกว่าประสบการณ์ การมาคริสตจักรของเรา ประสบการณ์การเรียนรู้คำอธิษฐาน อย่างอ่านพระคัมภีร์ต่างๆ เป็นตัวทำให้เรารู้สึกสนิทสนมกับพระเจ้า แต่เดี๋ยวนี้ตรงกันข้ามเลย ไม่ใช่ไม่มีประโยชน์ แต่สิ่งสำคัญกว่านั้น คือพระวิญญาณเอง เป็นส่วนสำคัญที่สุด ส่วนอื่นเป็นส่วนประกอบ ไม่มีก็ได้ มีก็ดี แต่สิ่งสำคัญอยู่ที่พระวิญญาณ ถ้าไม่มีพระวิญญาณ ต่อให้ท่านไปเรียนโรงเรียนพระคัมภีร์เลย ศึกษา ค้นคว้าประวัติศาสตร์ลึกซึ้งมาก ท่านก็ไม่สามารถเรียกพระเจ้าว่าพ่อได้ เป็นไปไม่ได้ เพราะพระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น

ในทำนองเดียวกัน ในทางตรงกันข้าม คือแม้ท่านจะเป็นลูกชาวนา และเป็นชาวนาที่ไม่ได้เรียนหนังสือเลย ไม่เคยรู้เรื่องอะไรเลย ในสิ่งต่างๆ แต่ท่านเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเจ้า ท่านรับเชื่อในพระเยซูปุ๊บ ทันทีทันใดนั้น พระวิญญาณจะสอนให้ท่านสามารถเรียกพระเจ้าว่าพ่อ หรือพระบิดาก็ได้ เขาจึงบอกทำไมคนเชื่อเหมือนง่ายๆ แต่บางทีเรียนรู้เยอะๆ กลับไม่เชื่ออะไรอย่างนี้

พระวิญญาณของพระเจ้าที่อยู่ในเรา ก็จะเป็นพยาน ยืนยันให้กับเราว่าเราเป็นลูกของพระเจ้า ยืนยันตลอดเลย เธอเป็นลูกพระเจ้านะๆ ก็คือพระวิญญาณจะคอยชี้นำเรา สอนเรา ตักเตือนเรา คอยนำทาง ให้เรารู้ตัวอยู่เสมอว่าเราเป็นลูกของพระเจ้า เพราะบางทีเราเผลอ พอเจอปัญหาหน่อย เจออะไรบางอย่างที่มันไขว้เขว สับสน หรือไม่มั่นใจว่าเอ๊ะ เราใช่ลูกพระเจ้าหรือเปล่านะ พระวิญญาณก็จะยืนยันกับเราว่าใช่

โรม 8:17 “บัดนี้ ถ้าเราเป็นบุตรของพระองค์แล้ว เราก็เป็นทายาท คือเป็นทายาทของพระเจ้า และเป็นทายาทร่วมกับพระคริสต์ ถ้าเราร่วมทนทุกข์อย่างแท้จริงกับพระองค์ เราก็จะร่วมในพระเกียรติสิริของพระองค์ด้วย”

 

เมื่อพระวิญญาณได้ทำให้เราเป็นบุตรของพระเจ้าแล้ว ให้เราเกิดใหม่ เป็นบุตรของพระเจ้า เราก็ได้เป็นทายาทโดยสมบูรณ์ของพระเจ้าด้วย และเมื่อเราได้ชื่อว่าเป็นทายาทโดยสมบูรณ์ของพระเจ้าแล้ว เราก็มีสิทธิในมรดกของพระเจ้าด้วย อย่างที่ตะกี้นี้บอก ตามกฎหมายเป๊ะเลยในสมัยโน้น ในข้อนี้บอกว่าเป็นทายาทของพระเจ้า และเป็นทายาทร่วมกับพระเยซู … พระเยซูที่เราเรียกว่าพระองค์เป็นเจ้านาย เป็นพระเจ้า ตอนนี้เรามีสิทธิเท่ากับพระองค์เลย เราไม่ได้พูดเอง ในนี้เขียนไว้ พระเจ้าให้บันทึกไว้เลยว่าพวกเธอมีสิทธิเท่ากับพระบุตร มีลายลักษณ์อักษรเสร็จ เหมือนมีพินัยกรรมเสร็จ พระคัมภีร์ มันสามารถแปลได้ด้วยว่าหนังสือพินัยกรรม คือหนังสือมรดก เขียนไว้เสร็จเลย  ไม่มีการเปลี่ยนแปลง

เราเป็นทายาทร่วมกับพระคริสต์ พูดง่ายๆ คือพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นพระบุตรของพระเจ้า โดยสายเลือด อยู่กับพระเจ้ามาตั้งแต่ก่อนจะสร้างทุกสิ่งเลย พระองค์ได้รับมรดกอะไรจากพระเจ้า เราก็ได้รับสิ่งนั้นด้วย เหมือนกัน เอเมน และเมื่อเป็นทายาทโดยสมบูรณ์แล้ว ได้รับมรดกทุกอย่างร่วมกันแล้ว ก็ต้องได้รับบางสิ่งบางอย่างที่ไม่อยากได้เหมือนกัน ใช่ไหม? เหมือนร่วมหัวจมท้าย เป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว ทุกอย่างในนี้ คืออะไร? ในข้อ 17 ตอนท้ายๆ ที่เราไม่ค่อยอยากอ่าน ในนี้บอกว่า …

“ถ้าเราร่วมทนทุกข์อย่างแท้จริงกับพระองค์ เราก็จะร่วมในพระเกียรติสิริของพระองค์ด้วย”

“ร่วมทนทุกข์อย่างแท้จริงกับพระองค์” หลายคนคิดใหญ่ ทุกข์อย่างไร? ก็คือขณะที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทำงานอยู่ในตัวเรา ในขณะเดียวกัน เรากำลังดำเนินชีวิตอยู่ในร่างกายนี้ ยังอยู่บนโลกของความชั่วร้ายนี้อยู่ พระเจ้ายังไม่ได้ตกแต่งโลกนี้ใหม่ ไม่ได้ทำโลกใหม่ โลกยังโลกเก่า ซึ่งตกอยู่ในความบาป

เพราะฉะนั้น ระบบของโลกนี้ ซึ่งเป็นระบบของบาป มันก็มีอิทธิพลส่งกระแสเข้ามาในชีวิตเราได้ มันก็เกิดการต่อสู้ ขัดแย้ง เป็นสงครามฝ่ายวิญญาณ ที่ผมบอกท่านไงว่ามันส่งผ่านเข้ามาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ความคิดของเรา สู้กันใหญ่เลย  พระวิญญาณที่ทรงนำเราอยู่บอกว่าให้เราทำทุกสิ่งผ่านทางพระวิญญาณ  เพราะเราเป็นลูกพระเจ้า เป็นความรัก วิญญาณเราเป็นความรัก ไม่ใช่พระเจ้าเป็นความรักอย่างเดียว ตัวเราเอง วิญญาณตัวจริงๆ ข้างใน ที่เกิดใหม่ เป็นความรัก เพราะฉะนั้น พระวิญญาณสอนเรา เราต้องดำเนินชีวิตเป็นความรัก ความรักอดทนนาน มีความเมตตา ไม่โกรธ ให้อภัย ไม่โลภ แต่ขณะที่เราเดินอยู่บนโลกใบนี้ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และความคิดเรา กระแสภายนอกที่ผ่านเข้ามาทางสัมผัสเหล่านี้ มันพยายามที่จะล่อลวงเราไปในทางตรงกันข้าม พระเจ้าบอกอดทนนาน มันบอกว่าทนไม่ได้แล้ว … กระทำคุณให้ ใครเคยกระทำความเสียหายให้คนอื่นบ้าง ไปด่าเขา มีไหม? ไม่มี ดีมาก … ไม่อิจฉา ไม่มีใครอิจฉาเลยใช่ไหม? ถูก เห็นไหม? อย่างนี้ทำตามพระวิญญาณ แต่โลกมันพยายามบอกให้เรา อย่างนี้มันดูมากไม่ได้หรอก มันร้อนตา อิจฉาตาร้อนไง คืออย่างนี้

นี่คือความทุกข์ลำบาก ไม่ทุกข์เหรอ อ่านต่อไป ในข้อเมื่อกี้ มันทุกข์จริงๆ พระคัมภีร์ชั้นหนึ่งเลยนะ มันเป็นความขัดแย้งที่จำเป็น เพราะท่านเลือกข้างไปแล้ว เลือกที่จะอยู่ข้างข่าวประเสริฐ ข่าวดี คือเลือกที่จะอยู่กับพระเยซู เพราะฉะนั้น ท่านไม่ตามโลกนี้ พอไม่ตามโลกนี้ โลกนี้ ก็จะเป็นศัตรูกับท่าน สู้กับท่าน แต่ถ้าท่านยอมโลกนี้ ท่านก็ไม่ต้องสู้กับโลกใบนี้ แต่ท่านต้องสู้กับความสำนึกในใจ ที่พระเจ้าบอกท่านเป็นคนบาป จะเอาอย่างไร?

พระวิญญาณที่นำเราอยู่ จะบอกเราเสมอ ในทางของพระเจ้า ในวิญญาณ ในธรรมชาติของเรา ให้ทำอย่างไร? ตรงนี้แหละสัจจธรรมความจริง ที่พระคัมภีร์บอกว่าอยู่บนโลกนี้ เราก็ต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากต่างๆ นานาๆ แต่เราชนะโลกนี้แล้ว เราอยู่บนโลกนี้แป๊บเดียว มันไม่ใช่ความทุกข์ยากลำบากทางกาย ไม่ใช่เรื่องของความยากจน ปัญหาปากท้อง สุขภาพร่างกายเท่านั้น แต่เป็นความยากลำบากของการต่อสู้ในด้านจิตวิญญาณ และความคิดจิตใจข้างใน ที่เรียกว่าทำดี ทำไม่ดี ทำอะไรถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง ซึ่งมันทุกข์ทรมาน ใครก็ตามที่มาเชื่อพระเจ้า มาเป็นลูกพระเจ้า มีพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ด้วยข้างใน ก็จะต้องเป็นแบบนี้ทุกคน ก็จะเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากในลักษณะอย่างนี้กันทั้งนั้นทุกคน ไม่อยากทำ แต่ก็ทำ ทำเสร็จแล้ว อยากจะเลิก เข้าไปหาพระเจ้า

เมื่อเราเชื่อในข่าวดี ตัวตนที่แท้จริงของเราข้างใน เราไม่อยาก และไม่ต้องการทำอะไรที่ไม่ใช่ทางของพระเจ้า ไม่ใช่ธรรมชาติของตัวเรา ธรรมชาติตัวเราที่เกิดใหม่ เหมือนพระเจ้าเป๊ะเลย เป็นวิญญาณแห่งความรัก เป็นอากาเป้ ไม่รู้จักโกรธ เกลียด อิจฉาริษยา ไม่รู้จักเลย เพราะฉะนั้น ร่างกายที่ทำอะไรตรงกันข้าม มันจะทรมาน สู้กันเอง เราไม่อยากทำอะไรที่เป็นตามโลกใบนี้  ซึ่งเรียกว่าความชั่วร้าย ตรงกันข้ามกับพระเจ้า ตรงกันข้ามกับธรรมชาติที่อยู่ในวิญญาณเรา เราไม่อยากโลภ ไม่อยากโกรธ ไม่อยากโกหก นี่คือสิ่งที่พระวิญญาณบริสุทธิ์นำเรา ให้ทำแบบนี้ แต่ในขณะเดียวกันกระแสของโลกนี้ ที่อยู่รอบข้างเราเต็มไปหมด ก็ผ่านเข้ามา ล่อลวงเรา ผ่านทางเนื้อหนัง วิสัยบาป ถึงเราไม่ได้เป็นทาสมันแล้วนะ แต่เราอยู่ในสิ่งแวดล้อมเหล่านี้ ตา หู จมูก ลิ้น กายเรายังอยู่ ความคิดเรายังอยู่  มันส่งเข้ามา เราก็มีโอกาสที่จะทำสิ่งเหล่านั้นได้ ถ้าเราไม่ระมัดระวัง ก็ทำเยอะ ถ้าระมัดระวัง ก็ทำน้อยหน่อย มันพยายามจะล่อลวงเราให้ทำตามมัน ตามกระแสของโลกนี้  พยายามหลอกลวงให้เราทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับทางของพระเจ้า พยายามชักชวนเราให้หลงในทางของโลก มันก็จะต่อสู้กันอย่างนี้ตลอดชีวิตของเรา ซึ่งมันก็ชนะบ้างแพ้บ้าง

ถามว่าคนที่เชื่อพระเจ้าแล้ว  เชื่อในข่าวดีแล้ว ยังคงทำผิด ยังคงทำบาปอยู่ไหม? ทำ แน่นอน แต่ทำไป เพราะมันต้านไม่ไหว แต่ก่อนทำไม่มีต้านเลย แต่ตอนนี้ต้านไม่ไหว บางครั้งมันอ่อนแอเกินไป แต่ตัวตนที่แท้จริงของเรา ไม่ได้อยากทำอย่างนั้นเลย เปาโลจึงบอกว่า …

“โอ๊ย! ข้าพเจ้าเป็นคนน่าสมเพช”

แต่ต่อด้วยอะไร? “แต่ข้าพเจ้าขอบคุณพระเจ้า ข้าพเจ้าได้รับความรอด โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า  พระเยซูคริสต์”

นึกภาพออกไหม? ข้างในมันรอดแล้ว คนอื่นทำผิดทำบาปแล้ว อาจจะรู้สึกเฉยๆ แต่พวกเรามันไม่ปกติแล้ว เมื่อมาเชื่อแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่กับตัวแล้ว เราไม่สามารถทำเหมือนคนที่ไม่เชื่อ คือทำผิดทำบาปเฉยๆ ไม่เดือดร้อนอะไร เป็นเรื่องปกติของโลกใบนี้เขาทำกัน โลภแบบนี้ก็ธรรมดา โกรธแบบนี้มันธรรมดา แค้นนี้ต้องชำระ ธรรมดา แต่ลูกของพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ด้วยในตัว และได้เกิดใหม่แล้ว เมื่อพลาดไปแล้ว ถ้าเป็นลูกพระเจ้าจะไม่กลัว ทำบาปไปแล้ว ไม่มีตกนรกแล้ว แต่เราเสียใจ ไม่อยากทำให้พระเจ้าเสียใจ และเราก็ไม่ได้เข้าไปหาพระเจ้า ให้ยกโทษ ไม่มีโทษแล้ว แต่เราเข้าไปหาพระเจ้า ขอพระเจ้าช่วยด้วย ลูกเสียใจ ลูกไม่อยากทำเลย ให้กำลังลูกด้วย แบบนี้มันถูก แล้วมันจะไปดี แต่ถ้าเราไปถึงบอก …

“พระเจ้ายกโทษให้ลูกด้วย”

อ้าว! แล้วพระเยซูบอกทำสำเร็จแล้ว แปลว่าอะไร? มันก็แย้งกันอยู่เรื่อยๆ มันไม่จบสักที แล้วเราก็ไม่สามารถบอกลูกหลานและคนต่อๆ ไป ให้รู้จักข่าวประเสริฐ 100% ได้ มันก็จะเอียงๆ

“พ่อ ไหนขออภัยจากพระเจ้าอยู่เลย แล้วไหนพ่อบอกว่าพระเยซูทำสำเร็จแล้ว เมื่อวันอีสเตอร์”

ลูกก็จะงง ลูกก็ไปบอกหลานต่อ สรุปแล้ว ไปถึงเหลน ไม่รู้ข่าวประเสริฐ คืออะไร? นับเป็นศาสนาไปแล้วกัน ในที่สุดไปถึงโหลน ก็เลิกเชื่อ  เพราะไม่มีผลเลย เปาโลจึงพยายามอย่างยิ่งที่จะพูดเรื่องนี้ให้ชัดๆ แล้วต่อว่าอย่างรุนแรงเลย สำหรับคนที่เฉียงออกไป ทำให้ข่าวประเสริฐด้อยลง เวลาเราทำผิดอะไร ก็แค่ …

“พ่อจ๋า ลูกเสียใจ”

นี่แสดงว่าคนนี้เชื่อถูกต้องจริงๆ ว่าพระเยซูทำสำเร็จแล้ว ข่าวประเสริฐเขารักษาไว้จริงๆ ข่าวดีที่พระเยซูบอก เราทำสำเร็จแล้ว ใช้หนี้บาปเรียบร้อย จบ ไม่มีการมาขอโทษ อภัยบาปอีกแล้ว มีแต่ …

“ลูกเสียใจมากเลย ลูกไม่อยากทำมากเลย ขอประทานสติปัญญาให้กับลูก ที่จะรู้ว่าจะสู้กับมันอย่างไร? จะทำอย่างไร? ด้วยเถิด เอเมน”

แล้วก็หัวเราะต่อไป ไม่ใช่หมกมุนอยู่แต่กับ “ยกโทษให้ลูกด้วยๆ” ไม่ใช่ ถ้าจะอดอาหาร อดอาหาร เพื่อจะชนะกับกิเลสตัณหาตัวนี้ เสียใจกับสิ่งนี้ ลูกจึงอดอาหาร เพื่อจะสู้กับมันตรงนี้ ไม่ใช่อดอาหาร เพื่อพระเจ้าจะได้ยกโทษให้ลูก นี่บาปกี่ครั้งแล้ว ไม่ใช่ นี่เขาเรียกว่าเป้าหมายมันผิดไป การกระทำเหมือนกัน แต่เป้าหมายในใจผิดไป ทำให้ข่าวประเสริฐเสีย แล้วมันไม่ได้ผลเท่าที่ควร

เพราะฉะนั้น นี่คือสิ่งหนึ่งที่เปาโลกอยากให้ข่าวประเสริฐมันชัดเจนอย่างนั้น เราไม่อยากกระทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ไม่ใช่เพราะเรากลัวถูกลงโทษ เพราะเรามั่นใจแล้วว่าไม่มีการลงโทษใดๆ เกิดขึ้นกับเราอีกแล้ว เมื่อเราอยู่ในพระเยซูคริสต์

ดังนั้น ไม่มีที่จะลงโทษใดๆ แก่ผู้ที่อาศัยในพระเยซู

ถูกหรือเปล่า? ร้องวันนั้น ตกเย็นมา “พระเจ้าช่วยด้วย ขออภัยให้ลูก แล้วลงโทษได้อย่างไร?” ก็ไหนบอกไม่มีแล้วไง ไม่มี ก็ไม่มี “ไม่มีการลงโทษใดๆ แล้ว ท่านแค่เสียใจเท่านั้น” นี่หมายถึงโลกวิญญาณ ที่มีผลต่อการควบคุมของพระเจ้าที่ดูแลเรื่องโลกวิญญาณทั้งหมดเลย แต่ในกฎของโลกวัตถุ มันก็มีของมันนะ ท่านไปตีหัวชาวบ้านเขา พระเจ้าก็ไม่ได้โกรธอะไรท่านหรอก ท่านมาเสียใจ ไปตีหัวเขาแล้ว เผลอไป ไม่ได้ควบคุมสติ แทนที่จะรักเขา เขาก็เรียกตำรวจมาจับท่าน ท่านก็ถูกปรับหรือท่านก็ไปติดคุก ไม่ใช่เดินไปหาตำรวจ …

ดังนั้นไม่มี ที่จะลงโทษใด

เขาก็จับท่านไป นี่ยกตัวอย่างให้ท่านเห็นชัดๆ มันอีกเยอะ เรื่องจะเป็นอย่างนี้ทั้งหมด ไม่ใช่ท่านไปทำความโลภ

“พระเจ้ายกโทษให้ลูกด้วย ที่ลูกโลภ ไปโกงเขา”

ไม่ต้อง ทำอย่างไร? “พระเจ้าลูกเสียใจ ลูกไม่น่าไปทำอย่างนั้นเลย แทนที่ลูกจะเชื่อในพระองค์ ประทานสติปัญญาให้ลูกในครั้งต่อไป ที่ลูกจะมีความมั่นคงกว่านี้ ที่จะไม่โลภด้วยเถิด”

เดินไปอีกข้างหนึ่ง ตำรวจเดินมา เอาสร้อยข้อมือมาให้ฟรีๆ ท่านก็บอก … “ขอบคุณพระเจ้า พระเจ้าช่วยดูแลลูกด้วย”

พระเจ้าก็ดูแล อาจจะไม่ติดคุก แต่ท่านก็ต้องโดนอะไรบางอย่าง พระเจ้าอาจจะดูแลอะไรบางอย่าง ตามระบบ ระเบียบ กฎของโลกวัตถุที่มันมีอยู่ ยกตัวอย่างเช่น พระคัมภีร์บอกให้ท่านมีสติ ท่านบอกท่านไม่มีสติ ท่านเดินออกไปชั้น 3 แล้วหล่นตุ๊บลงไป ไม่ต้องหล่นสิ ลูกอธิษฐานสม่ำเสมอเลย ลูกไม่ควรหล่น .. หล่นไหม? หล่น เพราะมันมีกฎอยู่บนโลกใบนี้ กฎแรงดึงดูดของโลก ก็ว่ากันไปตามนั้น แต่ในโลกวิญญาณ ไม่เกี่ยวกันเลย คนละเรื่องกัน ค่อยๆ เรียนรู้ไป เพราะฉะนั้น คำว่า “ไม่ต้องลงโทษใดๆ” คือเรื่องของโลกฝ่ายวิญญาณ คือโทษของความบาป คือความตาย ท่านไม่ต้องรับอีกต่อไปแล้ว โทษที่จะทำให้ท่านหลุดออกไปจากสวรรค์ ท่านไม่ต้องกลัวอีกแล้ว แต่โทษบนโลกใบนี้ ที่มันมีกฎระเบียบของมันอยู่ ท่านก็ต้องรับ เพราะฉะนั้น ใครที่มีความรู้สึกว่าตัวเองกำลังเผชิญกับสงครามทางจิตใจ หรือกำลังต่อสู้อย่างหนักว่าจะเลือกฝั่งไหนดี มันส่งเข้ามา อันนี้ก็ดี อันนั้นก็ดี แต่พระเจ้าบอกอย่า จงดีใจเถิดว่าท่านมาถูกทางแล้ว มันมีการต่อต้านอยู่ข้างในว่าที่เราทำไปนั้นมันโลภ มันไม่ดี เราเอาเปรียบชาวบ้านเขาอยู่เหรือเปล่า อย่างนี้ เป็นสิ่งที่ดี พระวิญญาณกำลังนำพาท่าน เป็นลูกพระเจ้า กล่อมเกลาจิตใจของท่านให้เข้มแข็งและมีกำลังพอที่จะต่อสู้กับสิ่งต่างๆ บนโลกนี้ ที่จะมาล่อลวงให้เราทำตามมัน

นี่คือความหมายของคำว่า “เราต้องทุกข์ร่วมกับพระเยซูคริสต์” ถ้าเราคิดว่าเราเชื่อในข่าวดีของพระเยซูแล้ว เราได้รับสิทธิ รับมรดกในทางพระเจ้ามากมาย สิ่งนี้มันจะเกิดขึ้นออโต้ คือความทุกข์ยากลำบาก เหมือนเราอยู่ในฝั่งขาว แล้วมันต้องต่อต้านกับฝั่งดำ มันเป็นธรรมชาติ กำลังพูดถึงอย่างนี้ ถ้าท่านเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซู พระเจ้าสถิตอยู่ในท่านแล้ว วิญญาณท่านเปลี่ยนไปแล้ว เป็นลูกพระเจ้า สะอาด บริสุทธิ์ เต็มไปด้วยความรักแล้ว ท่านอยู่บนโลกใบนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยความเกลียดชัง ตรงกันข้ามกับพระเจ้า ต่อต้านกับพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า มันเกิดเหตุอย่างนี้ขึ้น ท่านจะเหมือนปลาที่อยู่บนบก แต่ไม่ใช่ตายนะ มันยังมีชีวิตอยู่ แต่มันกระเสือกกระสน มันมีความสุขไหม? เอาปลาช่อนวางไว้บนบก มันดิ้นๆ ไปหาธรรมชาติของเขา ธรรมชาติของเขาต้องอยู่ในน้ำ ธรรมชาติลูกของพระเจ้าจะต้องอยู่ในพระวิญญาณ ต้องอยู่กับความรักของพระเจ้า มันก็ดิ้นเข้าไปหาน้ำ น้ำคือความรักของพระเจ้า มันก็จะดิ้นอยู่อย่างนั้นแหละ เพราะฉะนั้น นี่คือความทุกข์ทรมานของคนที่เชื่อแล้ว จะเป็นอย่างนี้ วันทั้งวันท่านจะเห็นอันนั้นอันนี้ ในใจเขาสู้กันไปสู้กันมา

เพราะฉะนั้น เปาโลจึงบอกว่า “ถ้าข้าพเจ้าเลือกได้นะ ข้าพเจ้าขอเข้าไปอยู่ในน้ำตลอดไป ไม่อยู่แล้วบนบกนี้  ไม่ไหว”

เปาโลก็จะบอกว่า “ถ้าข้าพเจ้าเลือกได้ ข้าพเจ้าขอไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์ จากโลกนี้ ไปเลยดีกว่า”

เห็นไหม? เปาโลยังพูดอย่างนี้ แล้วเราจะพูดอย่างไร? “แต่ข้าพเจ้าต้องอยู่ เพราะอยู่เพื่อท่าน พระเจ้าใช้ทำงานต่อ อยู่ก็อยู่เพื่อพระคริสต์ เพื่ออาณาจักรของพระคริสต์จะได้เจริญรุ่งเรือง เพื่อผู้คนในอาณาจักรพระคริสต์จะได้รู้ความจริงมากขึ้น เพื่อผู้คนที่ยังไม่ได้เข้ามาในอาณาจักรนี้ จะได้เริ่มเข้ามาเยอะขึ้น”

อยู่เพื่อพระคริสต์ ก็คือทำงาน แต่ถ้าตาย ก็กำไรมหาศาลเลย สู้ไปดีกว่า เห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า สบายแล้ว … ถ้าคิดอย่างนี้ได้ มันก็จะรู้วิธีว่าเราควรจะทำตัวอย่างไร? เพราะฉะนั้น ใครที่เผลอไปโมโหใคร? เผลอไปด่าใคร? แล้วกลับมานั่งเสียใจว่าเราไม่น่าทำอะไรเมื่อตะกี้นี้เลย เราไม่ควรตะโกนด่าเขาไปเลย ขณะที่เขาขับรถตัดหน้าเรา เราน่าจะใจเย็นกว่านี้ ขณะที่เขาโกงเราไป เราแค้นเขามาก เราทำอะไรที่ไม่ถูกต้อง เราไม่ควรพูดจาอย่างนี้กับเขาเลย กลับไปเสียใจมาก

นี่คือข่าวดีสำหรับท่าน ท่านทำถูกแล้ว นี่แหละคือความทุกข์ทรมานที่พระคัมภีร์บอกท่านต้องร่วมทุกข์กับพระเยซู นี่ไม่ได้ยกตัวอย่างอย่างอื่นอีก หลายอย่างที่จะต้องฝึกฝน นี่พยายามพูด พยายามหาอะไร? หลายคนก็คงเจอว่ามันมีอะไรหลายอย่างที่มันฝืนกับข้างในมาก ทำไม่ได้ ก็เสียใจ แล้วก็ดีใจเถิดว่าเรามาถูกทางแล้ว มันต้องมีอย่างนี้ขึ้น เราต้องเสียใจ และรู้ในใจดีว่าพระวิญญาณกำลังทำงานในเรา ค่อยๆ ฝึกเราให้ดีขึ้น เสียใจอยู่พักหนึ่ง แล้วจบ เข้ามาหาพระวิญญาณต่อ มั่นคงในความเชื่อ มั่นคงในความรอด มั่นคงในความบริสุทธิ์สะอาดแห่งวิญญาณของเรา มั่นคงในความชอบธรรมที่วิญญาณของเราได้รับ โดยผ่านทางพระเยซูกระทำที่ไม้กางเขน มั่นคงในความเชื่อเหล่านี้ แล้วก็เดินต่อไป ล้มอะไรก็กลับมาใหม่ พระคัมภีร์เดิมจึงได้พูดเป็นเงาไว้ว่าคนชอบธรรมล้มแล้ว เขาจะลุกขึ้นมาใหม่ พระวิญญาณก็จะปลุกเขาให้ลุกขึ้นมาใหม่

เพราะฉะนั้น อยากให้ท่านทั้งหลายตัดสินใจเชื่อในข่าวดี และก็ย้ายสำมะโนครัว ย้ายอาณาจักรจากความมืด สำมะโนครัวจากในอาดัม ซึ่งเต็มไปด้วยความบาป กลับมาอยู่ในพระเยซูคริสต์ มาเป็นลูกของพระเจ้า มาเป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์ มาร่วมกันครอบครองมรดกในสวรรค์นิรันดร์กาล ร่วมกับผู้ที่เชื่อแล้ว

หน้าที่ของเราผู้ที่เชื่อแล้ว ก็คือเอาข่าวดีนี้ ไปบอกคนอื่นเขา ไม่ต้องทำอะไรเลย ถามไปสวรรค์ต้องทำอะไร? ไม่ต้องทำอะไรเลย เพราะว่าพระเยซูทำสำเร็จแล้ว ทำให้มนุษย์ทุกคนเข้าสวรรค์ได้ พระเยซูทำสำเร็จแล้ว เพราะฉะนั้น ไม่ต้องทำอะไรเลย มารับสิทธิของท่านเท่านั้นเอง ท่านสามารถเป็นลูกของพระเจ้าได้ โดยไม่ต้องทำอะไรเลย ท่านสามารถเข้ามาเป็นทายาทของพระเจ้า รับมรดกต่างๆ เท่ากับพระเยซูคริสต์เลย โดยไม่ต้องทำอะไรเลย เพราะพระเยซูได้ทำสำเร็จแล้ว เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

**************************

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 12 พฤษภาคม 2019 เรื่อง “สำเร็จแล้ว … เราได้ตายไปแล้วกับพระคริสต์” ตอน 4 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  12  พฤษภาคม  2019

 เรื่อง “สำเร็จแล้ว … เราได้ตายไปแล้วกับพระคริสต์”  ตอน 4

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

วันนี้หัวข้อเรื่องนี้นะ “สำเร็จแล้ว … เราได้ตายไปแล้วกับพระคริสต์”

“สำเร็จแล้ว” คือแผนการของพระเจ้าที่ช่วยกู้มวลมนุษยชาติ ให้พ้นจากโทษของความบาปและความตาย และถูกกระทำให้สำเร็จแล้ว โทษของความบาปและความตาย คือการตายในวิญญาณ สำคัญมากๆ คือการไม่รู้จักพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า ตาบอด ไม่เห็นพระเจ้า ในวิญญาณตาบอด กระเด็นจากพระเจ้าไป ออกไปจากสวนเอเดน อยู่คนละขั้วกัน นั่นเขาเรียกว่าโทษของความบาป ความตาย  ดังนั้น “สำเร็จแล้ว” คือบัดนี้ เรากับพระเจ้าคืนดีกันได้แล้ว นี่กำลังพูดถึงมวลมนุษยชาติ ไม่ใช่ผู้เชื่อเท่านั้น

เมื่อ 2,000 ปีก่อน มวลมนุษยชาติมีตัวแทนผู้หนึ่ง ชื่อ เยซู ชาวนาซาเร็ธ เป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ ได้ไปชำระหนี้ให้กับมวลมนุษยชาติแล้ว ใครเชื่อ ไปใช้สิทธิ์ เขาก็ได้รับสิทธิ์นี้ไปทันที เอเมน อันนี้แถม วันนี้ไม่ได้พูดเรื่องนี้

และสิ่งที่ได้เกิดขึ้น หลังจากสำเร็จแล้ว ก็คืออาณาจักรสวรรค์ของพระเจ้าลงมาตั้งอยู่บนโลกใบนี้แล้ว ซึ่งพระคัมภีร์มีเรียกอาณาจักรสวรรค์นี้ว่าอาณาจักรพระคริสต์ หรืออาณาจักรของพระเยซู หรืออาณาจักรแห่งแสงสว่าง ในโรม บทที่ 8 เป็นบทสรุปที่เราได้เรียนแล้วว่าหลังจากแผนการของพระเจ้าได้ถูกกระทำให้สำเร็จแล้ว หลังจากที่อาณาจักรสวรรค์ หรืออาณาจักรพระคริสต์ได้ถูกตั้งขึ้นบนโลกใบนี้ สำเร็จแล้ว หลังจากนั้น เกิดอะไรขึ้น หัวใจสำคัญที่สุด ก็คือ โรม 8:1 ที่บอกว่า … “ไม่มีการลงโทษใดๆ สำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์”  คนที่จะได้อย่างนี้ ต้องเชื่อในข่าวดี แล้วมาต่อที่ข้อ 2 ที่ เป็นการขยายความเหตุและผลว่าทำไมบรรดาผู้ที่ได้ย้ายสำมะโนครัว ได้ย้ายเข้ามาอยู่ในอาณาจักรของพระคริสต์ด้วยความเชื่อ จึงไม่มีการลงโทษใดๆ อีกต่อไป เพราะอะไร? และบรรยายว่าคุณลักษณะหรือตัวตนที่แท้จริง หรือธรรมชาติ หรือเราใช้คำให้ชัดๆ ว่า “สันดาน” ของผู้ที่อาศัยอยู่ในพระคริสต์ จะมีหน้าตาเป็นอย่างไร? แตกต่างจากพวกที่อยู่ในอาณาจักรเดิมอย่างไร?

แล้ววันนี้ เราจะมาต่อกัน ข้อ 11 ซึ่งยังคงเป็นเรื่องเดียวกัน ผลจากความสำเร็จแล้ว พระเยซูบอก ผลจากการตายของพระเยซูที่ไม้กางเขน แล้วบอกสำเร็จแล้ว เมื่อ 2,000 ปีก่อน ไม่มีการลงโทษใดๆ อีกแล้ว แก่ผู้ที่อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ หรือผู้ที่ได้ย้ายเข้ามาอยู่ในอาณาจักพระคริสต์แล้ว ผู้ที่ได้เชื่อแล้ว เกิดใหม่ในวิญญาณแล้ว โรม 8:11 เราเริ่มต้นเลย

โรม 8:11 “และถ้าพระวิญญาณของพระองค์ ผู้ทรงให้พระเยซูเป็นขึ้นจากตาย สถิตในท่าน   พระองค์ผู้ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย จะประทานชีวิตแก่กาย ซึ่งต้องตายของท่านด้วย พระองค์ประทานชีวิตนั้น โดยทางพระวิญญาณของพระองค์ ผู้สถิตในท่าน”

 

ผมจะไปช้ามากๆ เพราะว่าช่วงประมาณไม่กี่ข้อ เป็นข้อที่เกี่ยวกับโลกวิญญาณ ที่ผมบอกว่าถ้าท่านจะเรียนพระคัมภีร์ จะอ่านพระคัมภีร์ ศึกษาพระคัมภีร์ มองไปที่โลกฝ่ายวิญญาณ ถ้าใครไม่มองไปที่นั่นจะไม่มีทางเจอ เพราะฉะนั้น ผมจะไปช้าๆ

“ถ้าพระวิญญาณของพระองค์ ผู้ทรงให้พระเยซู เป็นขึ้นจากความตาย สถิตในท่าน” “ท่าน” ในที่นี้หมายถึงผู้ที่เชื่อในข่าวดีแล้ว  ย้ายสำมะโนครัว เข้ามาอยู่ในอาณาจักรพระคริสต์ที่เรียกว่าสวรรค์แล้ว ซึ่งใครก็ตามที่ได้ย้ายเข้ามาอยู่ในอาณาจักรพระคริสต์แล้ว พระวิญญาณของพระเจ้า ก็จะเข้ามาสถิตอยู่ในตัวของเขา เป็นหนึ่งเดียวกับวิญญาณของเขา มาอยู่ด้วยกันกับวิญญาณของเขา ที่ได้เกิดใหม่ และตรงนี้บอกว่าเมื่อพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตในท่านแล้ว พระองค์ผู้ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย  คือพระบิดาผู้ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากความตาย จะประทานชีวิตแก่กาย ซึ่งต้องตายของท่านด้วย พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาอยู่กับเราผู้เชื่อ จะให้ชีวิตกับกายนี้ด้วย

ส่วนใหญ่จะตีความว่าประทานชีวิตแก่กาย ซึ่งต้องตาย หมายถึงร่างกายใหม่ ที่พระคัมภีร์พูดถึงในหนังสือวิวรณ์ ที่เราต้องคอยรอรับ หลังจากที่พระเจ้าได้สร้างโลกใหม่แล้ว หลังจากที่พระเจ้าได้สำเร็จการงานทั้งหมด พระเยซูเสด็จกลับมาอีกครั้งหนึ่งแล้ว ส่วนใหญ่จะคิดอย่างนี้ แต่จริงๆ แล้ว เหตุการณ์ทั้งหมด ที่อาจารย์เปาโลพูดถึงในหนังสือโรม ในขณะนี้ ที่เราเรียน ล้วนเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วทั้งสิ้น เพราะสำเร็จแล้ว

–  อาณาจักรสวรรค์จึงมาตั้งอยู่แล้ว

–  บัดนี้ จึงไม่มีการลงโทษใดๆ แล้ว

–  พระเยซูเอาชนะโทษของความบาปและความตายแล้ว

–  เราได้อยู่ในพระคริสต์แล้ว

–  เราได้นั่งในสวรรค์สถานร่วมกับพระเยซูคริสต์ ที่เบื้องขวาแล้ว

–  พระวิญญาณของพระเจ้าก็สถิตอยู่กับเราแล้ว

–  ตัวเก่าที่เป็นบาปของเราได้ตายแล้ว

–  ตัวใหม่ได้เกิดใหม่แล้ว

“พระองค์ผู้ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย ได้ประทานชีวิตแก่กาย ซึ่งต้องตายของท่านด้วย (แล้ว)”

อันนี้ท่านเริ่มเข้าใจแล้ว ท่านไม่ต้องรอให้ได้ร่างกายใหม่ มันคือร่างกายนี้ เพราะฉะนั้น เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าสถิตอยู่ในท่าน พระเจ้า ผู้ทรงเป็นพระบิดา ผู้ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากความตาย โดยเดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ก็จะประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์นี้ ให้มาสถิตอยู่กับท่าน พระวิญญาณนี้ก็จะให้ชีวิตแก่ท่านแล้ว ด้วย  มันไปพร้อมกันเลย กายที่ต้องตาย ก็คือร่างกายของเรา ที่ยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ที่วันหนึ่ง จะต้องสิ้นอายุขัย เน่าเปื่อย กลายเป็นดิน แต่วิญญาณเราจะอยู่นิรันดร์กับพระเจ้า ซึ่งคำว่า “นิรันดร์” นี้ ไม่ใช่คนที่เชื่อ คนไม่เชื่อ ก็นิรันดร์เหมือนกัน นรกนิรันดร์ อยู่คนละข้างกับพระเจ้านิรันดร์ ถ้าเป็นผู้เชื่อ รับสิทธิ์เขา อยู่ในสวรรค์ ที่เดิม แล้วที่บอกว่าพระเจ้าได้ประทานชีวิตให้แก่กายของเรา ซึ่งต้องตายด้วย หมายความว่าพระคัมภีร์ไม่ได้บอกว่าพระเจ้าจะให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกับร่างกายของท่าน  ไม่ใช่ว่าจะเปลี่ยนแปลงรูปร่างหน้าตา ผิวพรรณของท่าน ให้เป็นรูปร่างหน้าตาเก๋ไก๋ บางคนบอก ถ้าให้ชีวิตกับร่างกาย ที่เป็นอยู่นี้  มะเร็งมันควรหายสิ อ้าว! มาแล้ว ตื่นมาหน้าตายังโทรมอยู่เหมือนเดิมเลย ทำไมเป็นอย่างนั้น ลองคิดดู มันไม่ได้หมายถึงอย่างนั้น แต่คำว่า “ประทานชีวิตให้แก่กายของท่านที่ต้องตายด้วยแล้ว” ความหมายคือเมื่อท่านได้ย้ายเข้ามาอยู่ในอาณาจักรพระคริสต์ ในสวรรค์แล้ว วิญญาณของท่าน  ก็จะเป็นเหมือนพระคริสต์ เมื่อวิญญาณของท่าน เข้าสนิทอยู่กับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน วิญญาณท่านมีลักษณะเหมือนพระคริสต์ เป็นวิญญาณแห่งความดีงาม มีพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาเป็นพี่เลี้ยง

พระเจ้าก็จะทำให้ร่างกายของท่าน เป็นเครื่องมือของพระองค์ ที่พระองค์จะใช้ได้ ในการสำแดงพระสิริของพระองค์ สง่าราศีของพระองค์ ความดีงามของพระองค์ ร่างกายที่ตายของท่าน นี่แหละคือชีวิตที่พระเจ้าสัญญาว่าเมื่อพระวิญญาณสถิตอยู่กับเรา พระวิญญาณจะให้ชีวิตของพระเจ้ากับเรา ในร่างกายนี้ ร่างกายที่มันต้องตาย ร่างกายที่ต้องอยู่ 80, 90 ปี ร่างกายที่เคยขี้โกรธ ขี้งอน หลายขี้เลย พระเจ้าจะใช้ให้เป็นประโยชน์เลย โดยให้พระวิญญาณบริสุทธิ์มาเป็นพี่เลี้ยง ให้สติปัญญา ค่อยๆ ฝึกฝนเราไป ให้สำแดง ลักษณะความดีงามของพระเจ้า เหมือนถ้อยคำพระเจ้า บอกว่ากายของเรา ก็คืออวัยวะของพระคริสต์ พระเจ้าสามารถใช้เรา เป็นเครื่องมือในการแสดงความรัก ความเมตตาของพระองค์ ทุกอย่าง ตา หู จมูก ลิ้น กาย สามารถที่จะสำแดงความรักของพระเจ้าออกมาได้ทั้งสิ้น จากวิญญาณของเรา ที่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์กับเราวิญญาณที่เกิดใหม่ เอเมน สิ่งเหล่านี้ สามารถเป็นเครื่องมือของพระเจ้าที่จะใช้ได้  ในร่างกายนี้ทั้งหมด  มันหมายความว่าอย่างนี้

นี่คือความหมายที่ว่าพระเจ้าประทานชีวิตของพระองค์แก่กายที่ต้องตายของเราด้วย เดี๋ยวนี้ กายนี้ ถึงแม้ว่าวันหนึ่งข้างหน้า น่าจะต้องตาย แต่พระเจ้ามาใช้ตรงนี้ มีประโยชน์ในทางของพระองค์ ให้มีชีวิตของพระองค์ อยู่ในนี้ ขณะที่ตามองไป ก็มองในสายพระเนตรของพระเจ้า มันหมายถึงอย่างนี้ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่กับเราแล้ว สอนเรามองแบบพระเจ้า คิดแบบพระเจ้า เคยได้ยินเพลงนี้ไหม?

“ฉันเห็นภายในคุณ ราศีของพระเป็นเจ้า”

ชื่อเพลง “ฉันรักคุณด้วยความรักของพระเจ้า”  เห็นได้อย่างไร? เพราะคุณใช้เครื่องมือต่างๆ ในร่างกายนี้ ทำอะไรหลายอย่าง ฉันเห็นราศีของพระเป็นเจ้า ผ่านทางการกระทำของคุณ  คุณเป็นคนอดทนนาน คุณเป็นคนกระทำคุณให้ เป็นคนไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่เย่อหยิ่ง คุณยอมเขาได้ทุกอย่าง คุณไม่โลภ คุณมีแต่ให้เขา นี่ไง ถามว่าใครเป็นคนทำ? เราเหรอ มีส่วนนิดหนึ่ง แต่ใคร? พระเจ้าถูกครึ่งหนึ่ง ในนี้บอกว่าพระเจ้าประทานพระวิญญาณของพระองค์เข้ามา เพื่อให้พระวิญญาณนี้ให้ชีวิตกับเรา ชีวิตของพระเจ้า

โรม 8:12-13 “12 เหตุฉะนั้น พี่น้องทั้งหลาย เราจึงมีพันธะ แต่ไม่ใช่พันธะต่อวิสัยบาปที่จะต้องดำเนินชีวิตตามนั้น 13 เพราะถ้าท่านดำเนินชีวิตตามวิสัยบาป ท่านก็จะตาย แต่ถ้าท่านได้ประหารการกระทำอันชั่วร้ายของกายของท่าน โดยพระวิญญาณ ท่านก็จะมีชีวิตอยู่”

 

“เหตุฉะนั้น พี่น้องทั้งหลาย เราจึงมีพันธะ แต่ไม่ใช่พันธะต่อวิสัยบาปที่จะต้องดำเนินชีวิตตามนั้น”

วิสัยบาป ก็คือเนเจอร์ของความบาป สันดานบาป

คำว่า “พันธะ” ตรงนี้ ภาษาเดิม หมายความว่าเหมือนเรามีพันธะต่อแบงค์ เราต้องจ่ายหนี้เขา พูดง่ายๆ พันธะตรงนี้ คือหนี้

ตรงนี้บอกว่าเรายังมีหนี้อยู่ แต่ไม่ใช่หนี้บาป เพราะว่าหนี้บาปได้ถูกชำระไปเสร็จสิ้นหมดแล้ว จ่ายหมดแล้ว ที่ไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีก่อน เพราะฉะนั้น ในนี้บอกว่าหนี้นี้ ไม่ใช่หนี้บาป แต่หนี้ที่เรายังมีอยู่ คือหนี้บุญคุณ หรือหนี้แห่งพระคุณของพระเจ้า เพราะฉะนั้น เมื่อเราไม่ได้เป็นหนี้แห่งบาปแล้ว เราก็ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของบาปอีกต่อไป ไม่ได้เป็นทาสมันอีกต่อไป แต่เราเป็นหนี้แห่งพระคุณพระเจ้า เราจึงอยู่ภายใต้การควบคุมของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า

ข้อ 13 บอกว่า “เพราะถ้าท่านดำเนินชีวิตตามวิสัยบาป ท่านก็จะตาย แต่ถ้าท่านได้ประหารการกระทำอันชั่วร้ายของกายของท่าน โดยพระวิญญาณ ท่านก็จะมีชีวิตอยู่”

ภาษาเดิมบอกว่า … “เพราะถ้าท่านดำเนินชีวิตอยู่ในบาป เป็นทาสบาปอยู่ ยังอยู่ในอาณาจักรเดิมอยู่ ยังอยู่ในอาดัมอยู่”

ท่านไม่เปลี่ยน ท่านไม่เชื่อในข่าวดีของพระเยซู ท่านยังอยู่ในความบาป ถ้าอยากจะหลุดออกมา ท่านจำเป็นต้องตาย ไม่ใช่ร่างกายตาย แต่วิญญาณท่านต้องตาย ร่วมกับพระเยซูที่ไม้กางเขน พระเยซูทำให้ท่านแล้ว ถ้าท่านไม่ทำอย่างนั้น ท่านไม่มีวันได้หลุดพ้นจากการเป็นทาสของวิสัยบาปนี้ได้เลย แต่ถ้าท่านเชื่อในข่าวดีของพระเยซู ท่านได้ประหารการกระทำชั่วร้ายของกายของท่าน โดยพระวิญญาณ ฆ่ามัน โดยเชื่อในพระเจ้า  เชื่อในข่าวดีของพระเยซู พอเชื่อในข่าวดีของพระเยซูปุ๊บ พระองค์จะบัพติศมาเราด้วยไฟ หรือพระวิญญาณบริสุทธิ์ ไฟ ก็คือสัญลักษณ์ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเสด็จเข้ามาชุบเราให้เป็นขึ้นจากความตาย กายอันชั่วร้ายนั้น ก็จะจบไป บาปทำอะไรเราไม่ได้ ตรงนี้ ภาษาพระคัมภีร์เขาใช้คำว่า “เราก็จะตายร่วมกับพระเยซู” และ “ตายต่อบาป” หมายถึงต่อไปนี้ บาปทำอะไรท่านไม่ได้แล้ว ท่านตายแล้ว เตะท่านก็ไม่ได้  บังคับท่านก็ไม่ได้  เพราะตายแล้ว

ในข้อ 12 อาจารย์เปาโลกำลังกล่าวเตือนไปถึงกลุ่มคนที่เชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์แล้ว อยู่ในพระคริสต์แล้ว อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าแล้ว มีพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่กับตัวแล้ว ที่ยังทำตัวเหมือนกลุ่มที่ยังไม่เชื่อ ยังปฏิบัติตัวเหมือนกลุ่มที่ยังไม่เชื่อ ยังขุ่นเคือง ยังโมโห ยังยกคนนั้นใหญ่ คนนี้ใหญ่ ยังอิจฉาริษยา ยังทำตัวแบบเดิมๆ ยังปล่อยให้ตัวเอง เป็นไปตามกระแสของโลกนี้ เป็นไปตามเชื้อบาปของโลกนี้ ยังดำเนินอยู่บนโลกใบนี้ เปาโลกำลังบอกว่าท่านเป็นคนใหม่แล้ว ท่านมีพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ด้วยแล้ว ไม่ได้เป็นหนี้ใครแล้ว ไม่ได้เป็นทาสมันอีกต่อไป ทำไมไปยอมมันอีกล่ะ เราไม่จำเป็นต้องติดยานี้ตลอดชีวิตของเราได้นะ มาสิ มาหาพระวิญญาณบริสุทธิ์ หาวิธี อธิษฐาน คือเข้ามาปรึกษากับพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะสอนเรา จะบอกเรา จะสู้กับมันเพื่อเรา  เราก็จะได้มีผลของพระวิญญาณออกมา เต็มไปด้วยความรัก ความอดทนนาน ไม่ขี้โกรธ ขี้อิจฉา ความรักของพระเจ้าก็จะขึ้นมาในเรา  มาแทนที่ จะมากหรือน้อยก็ตาม มันหมายถึงอย่างนั้น

แล้วที่บอกว่าถ้าท่านดำเนินชีวิตตามวิสัยบาป ท่านก็จะตาย ก็คือถ้าท่านยังอยู่ในโลกวิญญาณ ที่เรียกว่าสันดานบาป อาณาจักรนรก อาณาจักรความมืด  ท่านต้องเชื่อและต้องตายพร้อมกับพระเยซู คือตายต่อบาป เพื่อท่านจะได้เกิดใหม่ได้ คนที่ดำเนินชีวิตตามวิสัยบาป ก็คือคนที่ยังไม่ได้ย้ายเข้ามาอยู่ในอาณาจักรพระคริสต์ และยังไม่ได้เกิดใหม่นั่นเอง และคนเหล่านี้ เมื่อยังไม่เกิดใหม่ เขาอยากเกิดใหม่ เขาจำเป็นต้องไปตายเสียก่อน ถ้าไม่ตาย ก็ไม่เกิดใหม่

สำหรับผู้ที่อยู่ในอาณาจักรพระคริสต์แล้ว ท่านได้ตายต่อบาปไปแล้ว บาปทำอะไรท่านไม่ได้แล้ว … แล้วตอนนี้ ท่านได้รับชีวิตใหม่แล้ว ท่านมีพระวิญญาณอยู่ด้วยแล้ว เพราะฉะนั้น จงดำเนินชีวิตของท่าน ภายใต้พระวิญญาณเถิด ขอร้อง ไม่ควรดำเนินชีวิตตามการควบคุม หรือเป็นทาสวิสัยบาป อีกต่อไปแล้ว เพราะมันไม่ได้เป็นเจ้านายเราอีกต่อไปแล้ว เพราะหนี้สินต่างๆ เราจ่ายหมดแล้ว เราเป็นอิสระหมดแล้ว ประกาศอิสรภาพสิ อย่าไปยอมมัน มันหมายถึงแค่นี้

ข้อที่ 13 บอกว่า “ถ้าท่านได้ประหารการกระทำอันชั่วร้ายของกายของท่าน โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ท่านก็จะมีชีวิตอยู่”

คำว่า “ประหารการกระทำอันชั่วร้ายของกายของท่าน” ตรงนี้หมายถึงการตายร่วมกับพระเยซู พอเราเชื่อในข่าวดีปุ๊บ เราได้ตายพร้อมกับพระเยซูคริสต์ไปแล้ว เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว พระวิญญาณจะสอนท่านเอง ท่านฟังไปก่อน การตายร่วมกับพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน คือการประหารการกระทำอันชั่วร้ายของกาย คือการประหารตัวเก่าของเรา ที่เป็นตัวบาป ฆ่ามันให้ตาย โดยการเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ พอเชื่อปุ๊บ ในโลกวิญญาณ เราได้สิทธิ์ทันที ก็คือพระเยซูตายที่ไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว เราอยู่ตรงนั้นแหละ เราอยู่ในนั้น  เราอยู่ในพระเยซู พอเราเชื่อพระเยซู มันเกิดผลทันทีเลย เราย้อนกลับไป 2,000 ปีก่อน เราได้ตายพร้อมกับพระเยซู

เพราะฉะนั้น พอเราตายพร้อมกับพระเยซูปุ๊บ วันที่ 3 พระเยซูเป็นขึ้นมาใหม่ เราก็จะเป็นขึ้นมาใหม่ด้วย  การตายร่วมกับพระคริสต์ที่ไม้กางเขน กายเดิมของเราที่อยู่ภายใต้เชื้อบาป เป็นทาสของวิสัยบาป เป็นทาสของสันดานบาป ได้ถูกตรึงตายไปแล้ว เมื่อ 2,000 ปีก่อน ที่ไม้กางเขน พร้อมกับพระเยซู ไม่ใช่ตายไปเมื่อตอนที่เรารับเชื่อ เมื่อ 10 ปีก่อน มันเกิดขึ้นเมื่อ 2,000 ปีแล้ว แต่เราพึ่งรู้ เราพึ่งใช้สิทธิของเรา

กาลาเทีย 2:20  “ข้าพเจ้าถูกตรึงไว้กับพระคริสต์แล้ว ข้าพเจ้าจึงไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป พระคริสต์ต่างหาก ทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า ชีวิตที่ข้าพเจ้าดำเนินอยู่ในกายนี้ ข้าพเจ้าดำเนินด้วยความเชื่อในพระบุตรของพระเจ้า ผู้ทรงรักข้าพเจ้า และประทานพระองค์เอง เพื่อข้าพเจ้า”

 

“ข้าพเจ้าได้ถูกตรึงไว้กับพระคริสต์แล้ว”

“ข้าพเจ้า” คือผู้ที่เชื่อ หมายถึงเปาโล … เปาโลกำลังบอกเขาเชื่อแล้ว เขาถูกตรึงไว้กับพระคริสต์แล้ว เมื่อหลายสิบปีก่อน ตอนที่พระคริสต์ถูกตรึงที่ไม้กางเขน เขาก็ถูกตรึงแล้ว “ข้าพเจ้าไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป” เราตายไปแล้ว “พระคริสต์ต่างหากที่ทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า” พระคริสต์ ก็คืออาณาจักรพระคริสต์ที่เราได้เป็นขึ้นมาอยู่ในพระคริสต์ ที่เรามีวิญญาณเหมือนพระคริสต์ “ชีวิตที่ข้าพเจ้าดำเนินอยู่ในกายนี้ ในขณะนี้ ข้าพเจ้าดำเนินด้วยความเชื่อในพระบุตร” เห็นหรือเปล่า พอเราเชื่อในพระบุตร เราก็ได้สิทธิ เราที่ทำมาแล้วเมื่อ 2,000 ปี ที่เปาโลพูดนี้ แค่หลายสิบปีเท่านั้นเอง มาอีกข้อหนึ่ง โรม 6:6 ในพระคัมภีร์ใหม่ ซึ่งเกี่ยวกับข่าวประเสริฐของพระเยซู จะใช้ Tense นี้ทั้งหมด ใช้คำว่า “ได้” และ “แล้ว”

โรม 6:6 “เพราะเรารู้ว่าตัวเก่าของเราถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว เพื่อกายบาปนั้น จะถูกขจัดไป เพื่อเราจะไม่เป็นทาสบาป อีกต่อไปแล้ว”

 

ท่านจะยิ่งชัดขึ้น เมื่อเติมคำว่า “แล้ว”

“เพราะเรารู้ว่าตัวเก่าของเราถูกตรึงไว้กับพระเยซูคริสต์แล้ว” เมื่อ 2,000 ปีแล้ว “เพื่อกายบาป” ตัวที่ตายไป มันเป็นตัวบาป “จะได้ถูกขจัดไป เพื่อเราจะไม่เป็นทาสของมันอีกต่อไปแล้ว” เราไม่เป็นทาสมันแล้ว

ถ้าเป็นเช่นนั้น คนที่ยังไม่ได้เชื่อในข่าวดี เหมือนกับเรา เขาก็เป็นทาสของความบาป ต้องใช้หนี้อีกต่อไปหรือไม่? ตอบ  “ไม่”  ภาพมันเป็นอย่างนี้ เขาไม่ได้เป็นแล้ว แต่ที่เขายังไม่รู้ เพราะว่าเขาถูก god of this world ก็คือผู้ควบคุมระบบเสียหายของโลกนี้ มันปิดบังตาเขาไว้ เขาไม่เห็น ถ้าเขาเห็น เขาจะรับแน่นอน เหมือนอย่างเราทั้งหลายที่เห็นแล้ว เราจะมองคนที่ไม่เชื่ออีกสภาพหนึ่ง ไม่มีอะไรเลย พระเยซูจึงบอกว่า The truth has make you free อะไรทำให้ท่านเป็นอิสระ พระเยซูไม่ได้บอกว่าพระองค์ได้ทำให้เราเป็นอิสระ พระองค์บอกว่าความจริง เพราะพระเยซูทำเสร็จไปแล้ว ไม่ต้องพึ่งพระเยซูแล้วตอนนี้ พึ่งความจริง ความจริงจะทำให้เราเป็นไท พอรู้สิทธิ์ ก็จบแล้ว พระเยซูไม่ได้ทำอะไรเพิ่มเติมเลย  พระองค์ไม่ต้องมาตายอีกครั้งหนึ่ง พระองค์ไม่ต้องถูกเขาทรมานอีกครั้งหนึ่ง ไม่ต้องเลย พระองค์ไม่ต้องรีบมาช่วยเราชำระบาป เพราะชำระให้หมดเลยมวลมนุษยชาติ ไม่ว่าจะมีอีกเท่าไร? อีกพัน อีกหมื่นล้านคน ถูกไหม?

สิ่งที่เราต้องพึ่ง คือความจริง … ความจริงจะทำให้เราเป็นไท ความจริงทำให้มนุษย์เป็นอิสระ เขาเป็นอิสระแล้ว เขาถูกหลอก มารจึงมีชื่อหนึ่งในขณะนี้ว่าไอ้ตัวหลอกลวง มันหลอกตลอด เพื่อไม่ให้คนไปรับสิทธิของเขาที่ตัวแทนของมนุษยชาติผู้หนึ่ง ได้มาทำให้มันสำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ผู้นี้มีชื่อว่า “เยซูคริสต์” เขาได้สร้างอาณาจักรหนึ่งขึ้นมา เรียกว่า “สวรรค์” แล้ว แล้วก็พามนุษย์ทั้งหมดทั้งมวล เข้ามาหาพระองค์ ย้ายมาจนหมดแล้ว ไม่มีอะไรย้ายมาแล้ว แต่ถ้าคนนั้นไม่เชื่อในสิทธิของเขา เขาไม่รับ เขาก็ไม่ยอมมา แค่นั้นเอง แล้วถ้าเขาเข้ามา เขาต้องไปสู้กับมารไหม? ไม่ต้อง เดินเข้ามาเฉยๆ ไม่มีอะไรเลย อาวุธอย่างเดียวของมาร ก็คือการหลอกลวง ปิดบัง ไม่ให้เขาคนนั้น รู้ความจริง เพราะความจริงจะทำให้เขาเป็นอิสระ แค่นั้นเอง  ข่าวดีของพระเจ้าจึงจะแถไปแถมา ไม่ได้พูดเจาะตรงนี้เลย เพราะว่ามันถูกมารล่อลวงหลายอย่างหลายประการ ก็คือเกือบดี จะให้เป็นสีขาว มันก็ทำให้เป็นสีเทาๆ อะไรประมาณนี้ ผู้คนก็เลยไม่เข้าใจ ทำไมมันรับยากรับเย็น จริงๆ มันไม่มีอะไร? รับง่ายมาก แต่ฟังแล้วดูเหมือนยาก เพราะเราถูกหลอกมาเยอะ พอโผล่มาได้ทีหนึ่ง เหนื่อยๆ ไม่ได้เกี่ยวกับการกระทำ สำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว พระเยซูทุกวันนี้ นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า สถิตในสวรรค์สถาน ไม่ได้ยืนอยู่ ถ้ายืนอยู่ แปลว่าต้องทำอะไรสำเร็จแล้ว นั่งอยู่เท่านั้น แล้วก็มอง คอยลุ้น …

“เชื่อทีสิๆ เชื่อหน่อย เชื่อมารอีกแล้ว ง่ายขนาดนี้ เอาหน่อยน่า”

ลุ้นมากเลย พอคนหนึ่งรับเชื่อ ดีใจทั้งสวรรค์หมดเลย โคโลสี 2:12 ซ้ำไปที่เดิมอีกจะได้จำแม่นๆ นึกในใจนะ ใส่คำว่า “ได้” เข้าไปในใจ ใส่คำว่า “แล้ว” เข้าไปในใจ หรือจะตะโกนออกมาก็ได้

โคโลสี 2:12  “ท่านถูกฝังไว้กับพระองค์ในพิธีบัพติศมา และทรงให้ท่านเป็นขึ้นจากตายกับพระองค์ ผ่านทางความเชื่อของท่าน ในฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า ผู้ทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตาย”

 

“ท่านถูกฝังไว้กับพระองค์ในพิธีบัพติศมา” นึกถึงลงน้ำใช่ไหม? ยอห์น บัพติศโต ผู้เผยพระวจนะคนสุดท้าย ตอนที่พระเยซูบังเกิดเป็นมนุษย์ และทำสำเร็จแล้วบนไม้กางเขน ได้เผยพระวจนะไว้ว่าพระเจ้าให้เขามา เพื่อเตรียมงานไว้สำหรับพระเยซู โดยหลักการของเขา คือกำลังบอกว่าถึงเวลาแล้ว ที่คนเขารอมาตั้งนาน ตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์ หลายพันปีก่อนที่พระเจ้าสัญญาไว้ว่าจะส่งมาซีฮาห์และได้มาเกิดแล้ว อีกไม่นานจบแล้ว ให้เขาเตรียมใจของคนในชาติหรือ มนุษย์ตอนนั้น ให้เป็นเงา เหมือนกับที่โมเสสสร้างวิหารที่ทำด้วยมือ คือพลับพลา ซึ่งเล็งถึงสวรรค์ของพระเจ้าในโลกวิญญาณ ที่จะมาบังเกิดขึ้น  ตอนที่พระเยซูตายที่ไม้กางเขน แล้วเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 และมาถึงวันเพ็นเตคอส มันคือเงา

คนที่เชื่อในพระเจ้า สมัยก่อน เขาต้องเชื่อในผู้เผยพระวจนะ งานรับใช้ของยอห์น ก็คือให้บอกคนที่เชื่อในพระเจ้าว่าพระเจ้าเป็นอย่างนี้จริงๆ เป็นข่าวดี คนที่กลับใจว่าจะเชื่อพระเจ้า จะรักพระเจ้า จะไม่ดำเนินตามทางของโลกนี้แล้ว อยากจะชำระบาป ให้มาหายอห์น บัพติศโตจะจุ่มเขาลงไปในน้ำ เป็นการประกาศว่ากลับใจใหม่ เป็นการสำแดงออกว่ากลับใจใหม่ มีคนไปถามยอห์นว่าเขาคือพระคริสต์ใช่ไหม?  ยอห์นตอบว่าที่เขารอคอยมาแล้ว คนๆ นี้จะไม่มาทำอย่างนี้แล้วนะ ที่ฉันทำเป็นเงาให้ดู แต่คนที่มาใหม่ คือพระเยซู เขาจะมาบัพติศมาท่านด้วยไฟ ก็คือโดยเดชแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ แล้วมันก็เป็นจริงตามนั้น

ท่านถูกฝังไว้กับพระองค์ในบัพติศมา พอเราอ่านอย่างนี้ เราไม่เข้าใจ เรานึกว่าบัพติศมา เป็นภาษา เท่ห์ คงเป็นภาษาศาสนา อะไรบางอย่างที่มันลึกซึ้ง ไม่มีอะไรเลย ท่านถูกฝังไว้กับพระองค์ในพิธีจุ่มลงไปในน้ำ หรือจุ่มลงไปในอะไรก็ได้ ไม่ใช่ในน้ำอย่างเดียว ยอห์น บัพติศโตใช้น้ำ เพื่อเล็งให้เห็นถึงน้ำ คือพระวิญญาณ บัพติศมาจริงๆ แปลว่าจุ่มลงไปเฉยๆ เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันเฉยๆ รวมกันเป็นหนึ่งเดียวกันเฉยๆ อากาศกับอากาศเข้ากันได้ น้ำกับน้ำ ก็เข้ากันได้ น้ำมันกับน้ำมันเข้าได้ น้ำกับน้ำมันเข้ากันไม่ได้ อะไรอย่างนี้

เพราะฉะนั้น ท่านถูกฝังไว้กับพระองค์ในพิธีบัพติศมา ก็หมายความว่าเมื่อท่านเชื่อในข่าวดีของพระเยซู ท่านได้ถูกฝังไว้กับพระเยซู ก็คือตาย ในพิธีบัพติศมา คือตอนที่พระวิญญาณจุ่มท่านลงไปในโลกฝ่ายวิญญาณ ให้ท่านได้เกิดใหม่ ก่อนเกิดใหม่ ท่านก็ต้องตาย ตัวเก่าท่านตาย วิญญาณท่านตายหมดเลย ปิ๊งขึ้นมาเกิดใหม่ สัญลักษณ์ที่ยอห์น บัพติศโตทำ ก็คือจับคนกดลงไปในน้ำ พอขึ้นมาจากน้ำ ถือว่าเกิดใหม่ เล็งให้เห็นถึงสิ่งที่พระเยซูกำลังจะมาทำ อีกไม่กี่วันข้างหน้านั่นเอง

ต่อไปบอก “และทำให้ท่านเป็นขึ้นจากตายกับพระองค์” “กับพระองค์” ท่านตายไปพร้อมกับพระเยซู แล้วท่านก็เป็นขึ้นมาใหม่พร้อมกับพระเยซู เมื่อ 2,000 ปี

“และทรงให้ท่านเป็นขึ้นจากตายกับพระเยซูคริสต์ ผ่านทางความเชื่อในข่าวดี” พอท่านเชื่อข่าวดีปุ๊บ โดดลงไป 2,000 ปีเลย ใครก็ตามวันนี้ ที่ยังไม่เชื่อ พอเชื่อในข่าวดีปุ๊บ เขาโดด ไทม์แมชีนวิ่งไปที่ 2,000 ปีที่แล้ว เขาตายกับพระเยซู ไปพร้อมกับพระเยซูเมื่อวันศุกร์ ตอนบ่ายสามโมง และเขาเป็นขึ้นมาใหม่พร้อมกับพระเยซูเมื่อวันอาทิตย์ทันที รับปุ๊บ เป็นแพตเกจ ผ่านทางความเชื่อในสิทธิของเขา ที่พระเยซูทำให้กับเขา เป็นข่าวดี ในนี้บอกว่าผ่านทางความเชื่อของท่าน ในฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า ผู้ทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตาย คือเชื่อมั่นเลยว่าพระเยซูเป็นขึ้นจากความตายจริงๆ ดังนั้นสิ่งที่พระเยซูพูดที่ไม้กางเขน ที่บอกว่าสำเร็จแล้ว จ่ายหมดแล้ว มันจริงๆ สวรรค์ลงมาตั้งอยู่แล้ว ฉันเชื่อแล้ว ทันทีทันใด ไทม์แมชีนวิ่ง ชีวิตท่านวิ่งไปที่อดีต 2,000 ปีที่แล้ว

กลับมาถึงปัจจุบัน  ท่านก็เป็นอย่างที่เขาบอกในพระคัมภีร์ว่าวิญญาณท่านใหม่เอี่ยมเป็นลูกของพระเจ้า สะอาดบริสุทธิ์หมดจดไร้ที่ติ มีความคิดจิตใจที่เหมือนพระเยซู คิดเหมือนพระเยซูเลย แต่ว่ายังอยู่บนโลกนี้อยู่ ยังมีปัญหาอยู่ จริงๆ จบงานแล้วล่ะ เอาวิญญาณที่บังเกิดใหม่ เอาความคิดจิตใจที่เป็นเหมือนพระเยซูแล้ว ไปอยู่สวรรค์เลย จริงๆ ไปอยู่สวรรค์แล้ว ไม่ต้องมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ถามว่าทำไมไม่ให้เรากลับไป เพราะต้องใช้งานเราไง เหมือนที่เปาโลบอก ข้าพเจ้าอยู่ ก็เพื่อพระคริสต์ รับใช้ไป  แต่ถ้าตาย ก็ได้กำไร ไปดีกว่าเยอะ แต่จำเป็นต้องอยู่ เพื่อท่านทั้งหลาย ซึ่งรวมทั้งเราด้วย เปาโลบอก เพื่อท่านทั้งหลาย ถ้าผมไป ใครจะมาพูดล่ะ พระเจ้าก็ใช้ผม ซึ่งเป็นคนชอบศึกษา ชอบค้นคว้า ผมก็ไปค้น ถามว่าใครทำ พระเจ้าทำหมด ผมไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วย  ใครมีอะไรก็ทำ ในส่วนของเรา ถ้าตราบใดที่เรายังมีลมหายใจอยู่

ถ้าเราเชื่อในข่าวดีนี้แล้ว บังเกิดใหม่ในพระเยซูแล้ว อยู่ในสวรรค์สถานกับพระเจ้าแล้ว วิญญาณเราความคิดจิตใจเราอยู่กับพระเจ้าแล้ว แล้วเรายังอยู่บนโลกใบนี้ ยังหายใจอยู่ ตราบนั้น พระเจ้ามีงานใช้เราแน่นอน เพราะถ้าไม่มี พระองค์เอากลับไปแล้ว

เมื่อเรายังอยู่บนโลกนี้ ในโรม บทที่ 12 ข้อ 1 จึงบอกอย่างนี้ เมื่อฟังมาอย่างนี้ พี่น้องเอ๋ย ข้าพเจ้าขอร้อง เพื่อเห็นแก่พระคุณพระเจ้า ให้ท่านทั้งหลาย เปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจเสียใหม่ ก็คือให้มาจดจ่ออยู่ที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่อยู่ในตัวเรา แล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะค่อยๆ เตือนเรา ปลอบใจ ปลอบโยนเรา ไม้อ้อซ้ำแล้ว พระองค์ก็จะไม่หัก ไม่ทำลาย ไม่ใช่จะตีสอน จะทำโน่นนี่ ไม่ใช่ เป็นพี่เลี้ยง เป็นที่ปรึกษา ลูกเอ่ย อย่างนี้ไม่ดีๆ ค่อยๆ ทีละนิดๆ แล้วก็ให้เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า

นี่เป็นภาพของพระคุณ ของข่าวประเสริฐ ของข่าวดีของพระเจ้า  ซึ่งเป็นข่าวดีแท้ๆ 100% แล้วถ้าท่านรู้อย่างนี้แล้ว พอท่านไปอ่านเองต่อไปในหนังสือโรม บทที่ 8 ท่านจะเห็นชัดเลย ไล่ต่อไปเรื่อยๆ เปาโลกำลังจะให้เห็นชัดๆ ถ้ามาเชื่อแล้ว มาอยู่ที่ไหน? ถ้าไม่เชื่อ มาอยู่ที่ไหน? ถ้าเชื่อในข่าวประเสริฐ ถ้าไม่เชื่อ แล้วเป็นอย่างไร? ถ้าเชื่อแล้ว ก็ไม่ควรที่จะไปทำเหมือนคนไม่เชื่อ เราไม่จำเป็นต้องไปทำอย่างนั้นแล้ว แต่ถ้าทำ มันก็เป็นโทษสำหรับชีวิตของเรา วิญญาณเราได้รับความรอด มันก็จะรอด เหมือนรอดในไฟ มันทุกข์ทรมาน ก็บอกแล้วอย่าทำ อย่าโลภ โลภแล้วเจ็บตัว ก็บอกแล้วอย่ากิน เตือนตั้งหลายครั้งแล้ว อย่ากินๆ กิน แล้วเป็นมะเร็ง เดี๋ยวก็จะมาโอดครวญกับพระเจ้า ก็บอกอย่ากินไง แต่ไม่ฟัง ปากอยาก ลิ้นไปแตะ อดไม่ไหว น้ำตาล แป้ง ไปกิน แล้วผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ หนึ่งในนั้น คือรู้จักบังคับตนเอง ผมไม่ได้พูด ไม่ได้บังคับนะ แต่ผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ อันหนึ่ง คือเราสามารถบังคับตัวเองได้ อ้วนไป ก็กินให้มันน้อยหน่อยสิ เข้าใจไหม? แล้วมันไม่ได้สำคัญอะไร? ต่อให้ไม่เชื่อพระวิญญาณ รับโทษไป มันทุกข์ทรมาน  เป็นโรค เป็นอะไร? ก็ทุกข์ทรมานไป แต่วิญญาณเขาก็ไปสู่สวรรค์เหมือนเดิม มันคนละเรื่องกัน แต่มันไม่ถวายเกียรติต่อพระเจ้าเท่าที่ควร แล้วถามว่ามีคนทำได้ 100% ไหม? ไม่มีครับ ไม่มีทำถูกต้องตามพระวิญญาณหมด  100% ทุกอย่างดีหมดเลย เป็นไปไม่ได้ เพราะว่าร่างกายมันอ่อนแอ พระเจ้าจึงส่งพระบุตรของพระองค์มาทำ แล้วไม่ใช่เพราะพระเยซูทำให้ แล้วเราก็เลิกทำเลย ต่อไปนี้ ฉันจะทำอะไรก็ได้ทุกอย่าง อะไรที่เป็นประโยชน์ก็ทำไป อะไรที่ไม่เป็นประโยชน์ก็อย่าไปทำ  อะไรที่เป็นการเสริมสร้าง ก็ทำไป อะไรที่ไม่เสริมสร้าง ก็อย่าทำ จบ ทำ ก็เดือดร้อนคุณเองแหละ มันเห็นชัดๆ เลย ไม่มีอะไร ที่ยกตัวอย่างนี้ มันเห็นชัดสุด มองเห็น เพราะเป็นวัตถุที่จับต้องมองเห็นได้ เรื่องการกิน

สูบบุหรี่ดีไหม? เป็นบาปไหม? กินเหล้าดีไหม? เป็นบาปไหม? เห็นไหม? พระวิญญาณสอนไหม อย่ากินเลย กินนิดๆ หน่อยๆ ไม่เป็นไร อย่ากินจนเมา พระวิญญาณสอนไหม คนนี้ต้องเลิกเหล้าแล้ว ตอนมาเริ่มเชื่อนั้น กินไปเยอะแล้ว ตับมันจะแข็งอยู่แล้ว แล้วพระวิญญาณจะอยู่เฉยๆ เหรอ ตับแข็ง พระวิญญาณพยายามที่จะกล่อมเกลา ให้ความรู้กับเขา ไม่ใช่พระวิญญาณเข้ามาตบ หยุด ไม่ใช่ ค่อยๆ นะ วิธีใด …

ยกตัวอย่าง เขามาโบสถ์ เขาอาจจะฟังเทศนา คนเขาเทศนาเรื่องสำเร็จแล้ว ฟังไปฟังมาได้อยู่คำเดียวเองว่าให้เลิกเหล้า ขับรถออกไป ไปเจอรถเมล์ ข้างหลังเขาเขียนว่า “เลิกเหล้าดีกว่า” พระวิญญาณบริสุทธิ์จะใช้วิธีนี้ กลับไปเล่นเปิดเฟสบุ๊คจะชวนเพื่อนไปกินเหล้า เปิดมาหน้าแรก เขียนว่า “ให้เหล้าเท่ากับแช่ง” บ่อยๆ ชักจะเริ่มสำนึกได้ พระวิญญาณจะทำอย่างนี้

เรื่องอื่นๆ อีกมากมาย เต็มไปหมด ถามว่าพระวิญญาณทำงานเต็ม 24 ชั่วโมงไหม? เต็มตลอด แต่เราก็ดื้อตลอด เพราะเป็นธรรมชาติบนโลกใบนี้ มันทารุณ พระเยซูจึงบอกว่ามันต้องทุกข์ยากลำบาก เมื่ออยู่บนโลกใบนี้ เพราะว่ามันคนละขั้วกัน ขั้วที่เราเกิดใหม่แล้ว เราไม่อยากจะทำอย่างนั้นอีกแล้ว แต่ขั้วในโลกใบนี้ ที่เรายังอยู่ มันพยายามดึงใจเราให้พยายามทำสิ่งที่เหมือนเดิม มันเลยตีกันไง เดินอยู่บนโลกนี้ ที่มันตีกันกับวิญญาณของเราข้างใน สนุกไหมล่ะ เปาโลจึงบอกไม่สนุกเลย อยากกลับบ้านไปหาพระเจ้าดีกว่า มันเหนื่อยเหลือเกิน คนอื่นไม่รู้จักพระเจ้ายังสบายกว่าเลย แม้เขาทำอะไรไม่ดี เขาก็ไม่รู้สึกฟ้องผิดมากมายนัก แต่เราทำนิดหนึ่ง ก็โห้ พระเจ้าอภัยสิ เพราะข้างในเราไม่อยากทำไง นี่คือความเป็นจริง เพราะฉะนั้น เราค่อยๆ ฟังพระวิญญาณบริสุทธิ์ไป แล้วก็ค่อยๆ ไปทีละนิดทีละหน่อย ได้เท่าไร ก็เอาเท่านั้น ก็ว่ากันไป อดทน จนถึงวันที่พระเจ้าสัญญาไว้ว่ามันจบ ก็คือเรากลับไปอยู่ในโลกวิญญาณ หรือไม่พระเยซูก็กลับมาใหม่ ก็คือโลกใบนี้จบแล้ว อันใดอันหนึ่ง เกิดขึ้น เราก็รอถึงวันนั้นแล้วกัน  วันที่จบ ด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง แต่จบดีแน่นอน เพราะเรามีความหวัง 100%

เปาโลจึงพูดไว้ในหนังสือฟีลิปปี 1:6 บอกว่า “ข้าพเจ้ามั่นใจว่าพระเจ้าผู้ทรงเริ่มต้นการงานดีในพวกท่านทั้งหลาย เชื่อแล้ว พระองค์จะทรงกระทำต่อไป จนกระทั่งสำเร็จ เป็นไปตามน้ำพระทัย จนกว่าจะถึงวันของพระเยซูคริสต์ คือมันสำเร็จไปแล้ว”

            ปล่อยไปตามน้ำ คือพูดง่ายๆ ข้าพเจ้ามั่นใจเลย ยังไง พระเจ้าก็พาท่านไปรอด ไม่ว่าจะเป็นมะเร็ง เบาหวาน เป็นอะไรก็แล้วแต่ ไปรอดแน่ แต่ถ้าท่านเงี่ยหูฟังมากๆ ท่านก็ทุกข์น้อยหน่อย ถ้าท่านควบคุม มีการบังคับตนเองเยอะๆ ท่านก็ทุกข์น้อยหน่อย ถ้าท่านมุ่งไปทางพระวิญญาณบริสุทธิ์เยอะๆ ท่านก็ทุกข์น้อยหน่อย แต่จำไว้ ไม่มีใครทำได้ 100%  เพียงแต่ทุกข์น้อย หรือทุกข์เยอะ ถ้าท่านโลภ ท่านก็ทุกข์มากหน่อย ถ้าท่านกินไม่เป็นเรื่องเป็นราว ท่านก็ทุกข์มากขึ้น เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

***********************