คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 21 กรกฎาคม 2019 เรื่อง “สำเร็จแล้ว … จงให้ความคิดของท่านจดจ่อกับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก” ตอน 8.1 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  21  กรกฎาคม  2019

 เรื่อง “สำเร็จแล้ว … จงให้ความคิดของท่านจดจ่อกับสิ่งเบื้องบน  ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก” ตอน 8.1

โดย นคร  เวชสุภาพร

            เราเรียนรู้โลกวิญญาณ ความจริงในถ้อยคำพระเจ้ากันมามากเลยนะ จริงๆ อยากให้ทุกคน ถ้ามีโอกาสกลับไปฟังเยอะๆ การฟังบ่อยๆ มากๆ จดจ่อที่เรื่องโลกวิญญาณ ซึ่งไม่รู้จะไปหาที่ไหน มันมีแต่ความรู้บนโลกใบนี้ เกือบ 100% โลกวิญญาณไม่ค่อยมีใครพูดถึงเลย จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องเรียนรู้สิ่งเหล่านี้  ถ้าเราคิดว่าเราจะอยู่บนโลกใบนี้อย่างมีความสงบ มีความสุขมากที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้ มีความทุกข์น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก็ต้องรู้เรื่องความจริงเหล่านี้ มันเหมือนแผนที่ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ซึ่งมันมีที่เดียว แล้วเรามั่นใจว่ามันเป็นความจริง เพราะว่าเป็นคำพูดของพระเยซูเอง เป็นคำพูดของพระเจ้าเอง และบันทึกในพระคัมภีร์ สามารถไปเปิดดู ค้นดู ค้นคว้าว่ามันใช่ไหม? มันถูกไหม? แล้วดูชีวิตของเรา มันเป็นจริงตามนั้นจริงๆ ไหม?

นี่แหละคือเคล็ดลับในการดำเนินชีวิตที่มาเชื่อพระเจ้าแล้วจะถวายเกียรติพระเจ้า หลายคนเข้าใจผิดคิดว่าการถวายเกียรติพระเจ้า ต้องทำอะไรเยอะแยะมากมายไปหมด แต่การถวายเกียรติพระเจ้า คือการได้รับรู้เรื่องจริงๆ ว่าอะไรเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ พูดง่ายๆ ว่ารู้ลึกซึ้งในเรื่องข่าวประเสริฐ ข่าวดีของพระเยซู และนำมาใช้ในชีวิตให้ถูกต้อง นั่นแหละ พระเจ้าได้รับเกียรติสูงสุด วันนี้ เราจะมาต่อ จริงๆ ก็ต่อทุกวัน ผมต่อมา 30 ปีแล้ว ก็ต่อเรื่องเดียวกันนั่นแหละ เรื่องพระคัมภีร์ เรื่องความจริงในโลกวิญญาณ ซึ่งลึกซึ้งเข้าไปเรื่อยๆ

สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจ คือเราจะต้องติดตามคำบรรยายสดใหม่เสมอๆ ไม่ใช่ไปติดอยู่ที่อันเก่า เมื่อ 2 ปีที่แล้ว 3 ปีที่แล้ว 10 ปีที่แล้ว 20 ปีที่แล้ว ไม่ใช่ แต่เราต้องติดตามใหม่ว่าสัปดาห์ที่แล้วพูดถึงอะไร? สัปดาห์ก่อนนี้ พูดถึงอะไร? วันนี้จะพูดถึงอะไร? มันจะต่อเนื่องกันมาเรื่อยๆ นี่คือการเรียนเรื่องโลกวิญญาณ หรือการเรียนพระคัมภีร์ที่ถูกต้อง เจริญเติบโตไปเรื่อยๆ ถ้าเป็นจริงตามถ้อยคำพระเจ้า ถ้าเป็นพระเจ้าจริง มันจะมีมาใหม่เสมอ ในทุกๆ วันใหม่ เอเมน พระเจ้าจะบอก จะสอนเรา ถ้าเราสนใจ พระเยซูบอกว่า …

“จงเคาะแล้วจะเปิด จงหาแล้วจะพบ จงขอแล้วจะได้”

ในพระคัมภีร์ภาษาเดิม เขาจะพูดถึงรายละเอียดในคำนั้นมากกว่าภาษาไทยที่เราอ่านกัน ตรงนี้พระเยซูพูดอย่างนี้ว่า …

“จงขอและขออย่างต่อเนื่องเรื่อยๆ แล้วท่านจะได้รับอย่างต่อเนื่องเรื่อยๆ จงเคาะแล้วเคาะต่อไปเรื่อยๆ แล้วมันจะถูกเปิดเรื่อยๆ จงหาและหาต่อเนื่องไปเรื่อยๆ แล้วท่านจะพบเรื่อยๆ และได้มาพบความจริงนั้นเรื่อยๆ นี่แหละ”

ไม่ใช่ รู้แล้ว รู้ข่าวประเสริฐ คืออะไร? จบ ก็ได้แล้วไง ได้แค่นั้น ก็จบอยู่แค่นั้น ไม่เจริญเติบโตต่อไป ก็ไม่เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า ถ้าท่านรู้ความจริงในเรื่องข่าวประเสริฐของพระเยซูมากขึ้น ท่านก็จะถวายเกียรติต่อพระเจ้าได้มากขึ้น ถ้าท่านรู้ในเรื่องโลกวิญญาณมากขึ้น ท่านก็ทำให้พระเจ้าพอใจมากขึ้น พระเจ้าพอใจที่ชีวิตท่านมีความสุข มีสันติสุขมากยิ่งขึ้น หลายครั้งเราอธิษฐาน เราอยากขอให้หายป่วย พระเจ้าพยายามตอบเราๆ แต่เราจะได้รับพระพรนั้นหรือไม่ ขึ้นอยู่กับความรู้ในโลกวิญญาณว่าเรารู้อะไรไหม? ถ้าเรามาฝังอยู่ในโลกวัตถุ ในโลกใบนี้ว่า …

“ฉันต้องหายๆ”

แล้วคิดดู ชีวิตจะมีความสุขได้อย่างไร? ในเมื่อโลกนี้ มันไม่ได้เป็นอย่างนั้น แล้วมันคืออะไรล่ะ? ก็แสวงหาในโลกวิญญาณว่าพระเจ้าตอบเราว่าอย่างไร? นี่แหละ พอท่านรู้ พระเจ้าก็ยิ้ม คำว่ายิ้มไม่ได้หมายถึงว่าท่านหายโรค หรือไม่หาย แต่ท่านมีสันติสุข มีความสุข สามารถเผชิญได้กับทุกสิ่ง ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ ตามน้ำพระทัย เอเมน

เราเพิ่งจะเรียนรู้เรื่องซีรี่ย์ชุด “Tetelestai” จ่ายหมดแล้ว สำเร็จแล้ว ที่เป็นผลจากสิ่งที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำสำเร็จแล้ว บนไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว เราเรียนกันมา 7 ตอน

–  No Condemnation in Christ – ได้สำเร็จแล้ว

–  ได้สำเร็จแล้ว

–  สำเร็จแล้ว … เราได้ตายไปแล้วกับพระคริสต์

–  สำเร็จแล้ว … ไม่มีการลงโทษใดๆ อีกแล้ว

–  สำเร็จแล้ว … เราได้รับชีวิตใหม่แล้ว

–  สำเร็จแล้ว … เราได้รับวิญญาณและความคิดจิตใจใหม่แล้ว

–  สำเร็จแล้ว … เราได้กลับมาเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว

เราได้เรียนในซีรี่ย์นี้ สิ่งที่บอกว่า “แล้วๆ” ทั้งหมดนี้ มันเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ ที่ตามองไม่เห็นทั้งสิ้น จึงต้องมาเรียนรู้ จึงต้องมาเฝ้าดูบ่อยๆ เพราะมันไม่เห็น สิ่งที่ตามองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน คือสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้สำหรับคนที่รักพระองค์ แสวงหาพระองค์

วันนี้เราจะมาดูกันต่อว่าจากสิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่พระเยซูได้กระทำสำเร็จแล้ว พระคัมภีร์สอนให้เรานำมาใช้ หรือนำมายึดถือ ปฏิบัติตัวอย่างไร? ในระหว่างที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ซึ่งเป็นโลกวัตถุ ที่ตามองเห็น จับต้องได้ จะอยู่แค่ชั่วคราวเท่านั้น ความจริงในโลกวิญญาณที่พระเยซูสอนเราว่า “สำเร็จแล้ว” มันเกี่ยวเนื่องกับการดำเนินชีวิตของเราอย่างไร? เอามาใช้อย่างไร? ผมใช้หัวข้อเรื่องวันนี้ว่า “จงให้ความคิดของท่านจดจ่อกับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก”

จงให้ความคิดจิตใจของท่านจดจ่อ แปลว่าตั้งมั่นอยู่ที่เบื้องบน คือโลกวิญญาณ ไม่ใช่ฝ่ายโลก คือโลกวัตถุที่ตามองเห็นจับต้องได้ ไม่ใช่ แต่ในโลกวิญญาณ เราตายไปแล้วกับพระคริสต์ ไม่มีการลงโทษอีกแล้ว ได้รับชีวิตนิรันดร์แล้ว ได้รับวิญญาณใหม่แล้ว นี่คือความจริงในโลกวิญญาณที่เราได้เรียนรู้กัน จากพระคัมภีร์ ตอนนี้ควรจะดูแลชีวิตอย่างไร? ควรดูแลตัวเองอย่างไรดี ควรจะระวังเรื่องอะไรในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  เอาความจริงนั้นมาใช้อย่างไร? เป็นลูกพระเจ้า แล้วจะทำตัวอย่างไรในโลกใบนี้

พระคัมภีร์ในหนังสือโคโลสี บทที่ 3 จะเป็นบทสรุปของลักษณะวิสัย หรือธรรมชาติวิสัย ก็คือสันดานของผู้ที่เชื่อพระเจ้าแล้ว มีสันดานอย่างไร? มีธรรมชาติวิสัยในตัวเขาจริงๆ ในวิญญาณเขาจริงๆ อย่างไร? โลกวัตถุยังมีเหมือนเดิม อยู่บ้านเดิม กินข้าวเหมือนเดิม ทำอะไรเหมือนเดิม มีปัญหาอะไรต่างๆ ก็เหมือนเดิม แต่ในโลกวิญญาณ เมื่อมาเชื่อพระเจ้าแล้ว มันเปลี่ยนไป

โคโลสี 3:1-2 “1 ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลายเป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว ก็จงให้ใจของท่านจดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า 2 จงให้ความคิดของท่านจดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก”

 

จงให้ความคิดของท่านจดจ่อกับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก ก็คือจงให้ความคิดของท่านจดจ่ออยู่กับสิ่งที่มองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลกที่มองเห็นได้ และจับต้องได้ ตรงนี้เป็นหัวใจที่สำคัญที่สุดของการดำเนินชีวิตคริสเตียน หรือผู้เชื่อในข่าวดี เป็นกระดุมเม็ดแรกเลย ถ้ากลัดกระดุมเม็ดแรกนี้ผิด ต่อไปผิดหมดเลย เละเลย กระดุมเม็ดแรก คืออะไร ศูนย์รวมทางความคิดของผู้เชื่อทั้งหมด ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม ไม่ว่าเป็นเรื่องเล็ก เรื่องใหญ่ ให้มองทะลุว่าเรา ฉันอยู่เบื้องบน อยู่ในสวรรค์เรียบร้อยแล้ว เบื้องบน คือที่มันดีกว่า ในโลกวิญญาณ ฉันอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าแล้ว ให้มองทะลุไปให้เห็นว่ากำลังเดินอยู่ กำลังนั่งอยู่ขณะนี้ ท่านนั่งอยู่ในโลกฝ่ายวิญญาณ ที่เรียกว่าสวรรค์กับพระเจ้าแล้ว ท่านนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูในสวรรค์สถานเรียบร้อยไปแล้ว บันทึกอยู่ในพระคัมภีร์ทั้งเล่ม เยอะแยะไปหมดเลย บ้านถาวรของเราอยู่ที่สวรรค์ อยู่ที่โลกวิญญาณนี้ พ่อถาวรของเรา คือพระเจ้า ทรัพย์สมบัติถาวรของเรา เก็บไว้ที่สวรรค์ ท่านจะเห็นภาพชัด ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเห็น ที่เรามี ที่เราเป็นบนโลกใบนี้ ล้วนเป็นของไม่เที่ยง ล้วนเป็นอนิจจัง ล้วนเป็นสิ่งชั่วคราวทั้งสิ้น ไม่ว่าวันนี้ จะมั่งมี หรือยากจน มันก็แค่ชั่วคราว สุขภาพวันนี้จะแข็งแรงหรือเจ็บป่วย มันก็แค่ชั่วคราว ชีวิตวันนี้ จะสุขสบาย หรือทุกข์ลำบาก มันก็แค่ชั่วคราว ทุกสิ่งมันเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน ที่เขาบอกว่าความแน่นอน คือความเปลี่ยนแปลง ทุกสิ่งเป็นอนิจจัง มีขึ้น มีลง มีเกิดขึ้นและดับไป เกิดขึ้นแล้วหายไป เกิดขึ้นแล้วสิ้นไป

แต่สิ่งที่อยู่เบื้องบน คือในโลกวิญญาณ ทุกอย่างเป็นนิรันดร์ และมันจะเป็นอย่างนั้นตลอดไป และถ้าศึกษาลึกเข้าไป ท่านจะเห็น แล้วว่ามันเป็นแค่นั้นไม่พอ มันเป็นเดี๋ยวนี้เลย ท่านอยู่ในนั้น เดี๋ยวนี้ ไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต เข้าใจยาก แต่พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น ขอบคุณพระเจ้า เคยฟังเพลงนี้ไหม?

“สักวันแล้วมันก็จะผ่านไป ไม่มีเรื่องอะไรใหม่ เกิดขึ้นแล้ว ก็ผ่านไป

สักวันน้ำตาจะหยุดไหล สุขทุกข์ร้ายดีเท่าไร แค่ไหน ก็ผ่านไป”

นี่คือพระคัมภีร์บอกเรา  เพราะฉะนั้น เราควรจดจ่อตามที่พระคัมภีร์สอนเรา ให้เราฉลาด จดจ่อในอะไรก็ตามที่มันไม่เปลี่ยน ก็คือโลกวิญญาณ ในเบื้องบนนั่นเอง แล้วถ้าเรายึดทางความคิดได้แบบนี้ การดำเนินชีวิตของเราบนโลกใบนี้  การประพฤติปฏิบัติของเราบนโลกใบนี้ มันก็จะเปลี่ยนแปลงไปทันทีเลย มันขึ้นอยู่กับเราตั้งเป้าหมายในความคิด

โคโลสี 3:3-4 “3 เพราะท่านตายแล้ว และบัดนี้ ชีวิตของท่าน ถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ ในพระเจ้า 4 เมื่อพระคริสต์ผู้ทรงเป็นชีวิตของท่านปรากฏ เมื่อนั้น ท่านก็จะปรากฏพร้อมกับพระองค์ ในพระเกียรติสิริด้วย”

 

เข้าใจยากมากเลย  เพราะท่านตายแล้ว เฮ้! ยังหายใจอยู่เลย บอกว่าตายได้อย่างไร?  เห็นได้ชัดไหม? ถ้าเราไม่เรียนรู้ ไม่เคาะต่อพระเจ้าว่าคืออะไร? เราก็จะไม่เอาแล้ว เพราะว่าท่านตายแล้ว ไม่ตายนิ ตายที่ไหน? ท่านรู้แล้ว ตายที่โลกวิญญาณ ตายเมื่อไร? ตายพร้อมกับพระคริสต์บนไม้กางเขน ทางวิญญาณ ตายอย่างไร? ไม่รู้ รู้แต่ว่ามันเป็นความจริง รู้แต่ว่าพระคัมภีร์บอกว่าตัวเก่าของเราได้ตายไปแล้ว ก็คือวิญญาณเก่าของเราได้ตายไปแล้ว บัดนี้ เราได้รับชีวิตใหม่ ทั้งวิญญาณ จิตใจใหม่หมด ที่วิญญาณของเรา

โรม 8:11 “และถ้าพระวิญญาณของพระองค์ ผู้ทรงให้พระเยซูเป็นขึ้นจากตาย สถิตในท่าน พระองค์ผู้ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย จะประทานชีวิตแก่กาย ซึ่งต้องตายของท่านด้วย พระองค์ประทานชีวิตนั้น โดยทางพระวิญญาณของพระองค์ ผู้สถิตในท่าน”

 

และวิญญาณจิตใจใหม่ของเรา  ที่พระเจ้าประทานให้ มีลักษณะเหมือนพระเจ้า เหมือนพระเยซูทุกประการเลย พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น  มีชีวิตที่ถูกซ่อนอยู่ในพระคริสต์ ในพระเจ้า ซ่อนอยู่ แอบอยู่ เพราะมันมองไม่เห็น แต่อยู่ที่นั่น อยู่ในพระคริสต์ อยู่ร่วมกับพระเยซู อยู่ร่วมกับพระเจ้า

ข้อ 4 บอกว่า “เมื่อพระคริสต์ ผู้ทรงเป็นชีวิตของท่านปรากฎ เมื่อนั้น ท่านก็จะปรากฏพร้อมกับพระองค์ ในพระเกียรติสิริด้วย”

ที่บอกว่าเมื่อพระคริสต์ผู้เป็นชีวิตของท่านปรากฏ คำว่า “ปรากฏ” ตรงนี้ พระคัมภีร์บางฉบับมีอธิบายว่าหมายถึงการเสด็จกลับมาอีกครั้งหนึ่งของพระเยซูคริสต์ พวกเราที่เชื่อพระเยซูแล้ว ที่เชื่อในข่าวดีนี้แล้ว ก็จะปรากฏพร้อมกับพระองค์ พระเยซูมีสภาพอย่างไร? มีลักษณะเป็นอย่างไร? เราทั้งหลายก็จะมีสภาพ มีลักษณะเดียวกันกับพระองค์เป๊ะเลย วันใดก็ตามที่จบโปรแกรมที่พระเจ้าวางไว้ สำหรับโลกใบนี้ เมื่อนั้น พระคริสต์จะกลับมาใหม่ ถ้าก่อนหน้าที่พระคริสต์กลับมา เราตายก่อนหมายถึงตายทางโลก วิญญาณเราก็ออกไปจากร่าง ไปอยู่ที่สวรรค์เหมือนกัน ไปรอที่นั่น มันมีความสุขไหมล่ะ

ถ้าเรามองเห็นภาพความจริงอย่างนี้ โลกวิญญาณมีความสุขไหม? ไม่ว่าพระคริสต์จะกลับมาพรุ่งนี้หรือไม่? หรือเราตายไปก่อน เราก็ไปรออยู่ในสวรรค์ ไม่ต้องไปไหนเลย อยู่ที่นั่นแหละ และมีสภาพเหมือนพระคริสต์เลย เหมือนที่เราอยู่ทุกวันนี้ แต่ทุกวันนี้เราอยู่ในร่างกาย ที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของบาปบนโลกใบนี้อยู่ มันเลยทำอะไรลำบากลำบน นั่นเป็นแผนการของพระเจ้าที่จะใช้เราบนโลกใบนี้

โคโลสี 3:5-6 “5 เหตุฉะนั้น จงประหารโลกียวิสัยของท่าน คือการผิดศีลธรรมทางเพศ ความโสมม ราคะตัณหา ความปรารถนาชั่ว และความโลภ ซึ่งเป็นการบูชารูปเคารพ 6 เนื่องด้วยสิ่งเหล่านี้ พระพิโรธของพระเจ้ากำลังจะมาถึง”

 

ตรงนี้ตั้งใจฟังเป็นพิเศษ ขอพระวิญญาณที่สถิตอยู่กับท่าน ให้ปัญญาท่านในการฟังด้วย พระคัมภีร์ตรงนี้ มีหลายคนเข้าใจผิด ข้อ 5 บอกว่า “จงประหารโลกียวิสัยของท่าน” โลกียวิสัย ก็คือสันดานบาป จงประหารสันดานบาปของท่าน สันดานบาปมองไม่เห็น แต่ยกตัวอย่าง คือการผิดศีลธรรมทางเพศ ความปรารถนาชั่ว ความโลภ มาถึงข้อที่ 6 บอกว่า “เนื่องด้วยสิ่งเหล่านี้ พระพิโรธของพระเจ้ากำลังจะมาถึง” ตะกี้นี้บอกวิสัยบาป โลกียวิสัย ยกตัวอย่างให้แค่ไม่กี่อัน แต่ผมอยากให้เห็นภาพชัดขึ้น คือความปรารถนาชั่ว ความโกรธ ความอิจฉาริษยา  และๆๆๆๆ เต็มเลย นี่เขายกตัวอย่างให้นิดเดียวเอง

ท่านมองภาพนะว่าทำไมผมถึงพาท่านมาตรงนี้ บางคนก็เลยตีความตรงนี้ว่าเป็นเรื่องของการกระทำ แล้วก็สอนต่อๆ กันมาว่าเมื่อมาเชื่อพระเจ้าแล้ว เมื่อมาเป็นคริสเตียนแล้ว เมื่อได้เกิดใหม่ในวิญญาณแล้ว ต้องละเว้นจากการทำชั่วเหล่านี้ เพราะถ้าใครยังกระทำชั่ว พระพิโรธของพระเจ้าก็จะมาถึงผู้นั้น คิดให้ดีๆ กับความจริงที่เราได้รับรู้มา มันแย้งกันไหม?

ถามว่าสอนอย่างนี้ สอนไม่ให้กระทำชั่ว แบบนี้ มันผิดไหม? มันไม่ได้ผิดในเชิงการสอนศีลธรรม เพราะใครๆ ก็สอนอย่างนี้ทั้งนั้น ไม่ว่าศาสนาใด ที่ใด และใครๆ ก็รู้ว่านี่คือสิ่งที่ต้องทำ สิ่งที่ถูกต้อง แต่พระเยซูถามกลับว่า แล้วทำได้ไหม? ทำครบไหม? บางคนก็เถียงพระเยซูว่า …

“ครบ ทำหมดเลย เราได้ขายอันโน้นอันนี้ เราได้รักษาศีลต่างๆ เยอะแยะมากมาย”

พระเยซูบอกเศรษฐีหนุ่มคนนั้นว่า “ไปขายทรัพย์สมบัติทั้งหมดเลย แล้วตามเรามา”

เศรษฐีหนุ่มนั้นไม่ไปนะ นี่คือเรื่องหนึ่งในจำนวนหลายๆ เรื่องที่พระเยซูแย้งกลับ

พระเยซูกำลังสอนว่า … “ทำดี ถูกต้อง แต่เราไม่ได้มาสอนให้ทำดี เพราะเจ้าทำดีอย่างไร?” ก็ไม่ครบ

จะมีคนเถียงไหม? เพราะเศรษฐีหนุ่มคนนี้ ยังเถียงพระเยซูเลยว่าครบๆ พระเยซูรู้ว่าในใจเขาขาดอะไรอยู่ ไปขายทรัพย์สมบัติ เพราะได้ทรัพย์สมบัติเยอะ เป็นเศรษฐี และตามเรามา ร้องไห้ ไม่ไปแล้ว พระเยซูบอกว่าถ้าท่านโกรธ ด่าพี่น้องว่าไอ้บ้า เท่ากับฆ่าเขาตาย ท่านบอก ฉันไม่เคยฆ่าคนเลย สัตว์ยังไม่ฆ่าเลย เคยโกรธใครไหม? ไม่เคยเลยเหรอ เคยด่าใครว่าไอ้บ้าหรือเปล่า? เคยด่าใครว่าไอ้สันดาน (วงเล็บ ไม่ได้พูดธรรมดานะ ในใจเกลียดชัง) แค่นั้นนิดเดียวพอ มีค่าเท่ากับฆ่าคนตาย เห็นหรือยัง? แสดงว่าไม่ใช่ ไม่ได้มาสอนศีลธรรมตรงนี้ เพราะว่าทำไม่ได้ครบถ้วน 100% อยู่แล้ว แล้วก็ไม่ต้องสอนด้วย เพราะว่าใครๆ เขาก็รู้หมดแล้ว ใครๆ เขาก็สอนอย่างนี้ ทั้งนั้นแหละว่าสิ่งเหล่านี้ มันไม่ดี แต่การสอนเหล่านี้ มันไม่ผิดทางด้านเชิงศีลธรรม แต่มันผิด ไม่ถูกต้องตามหลักข้อความเป็นจริงในพระคัมภีร์ ซึ่งเรียกว่าข่าวประเสริฐของพระเยซู  มันแย้งกับข่าวประเสริฐของพระเยซู เพราะข่าวประเสริฐไม่ได้พูดถึงเรื่องเหล่านี้ อันนี้ไม่ใช่ เอาข้อความที่พระเยซูพูด เอาข้อความในข่าวประเสริฐ แล้วมาพูดทางด้านนี้ มันก็ผิด มันไม่ใช่บริบท

บริบทนี้ สอนเรื่องนี้ว่าในโลกวิญญาณ เป็นอย่างนี้ ก็เหมือนที่ผมพูดแล้วพูดอีก และย้ำแล้วย้ำอีกว่าพระคุณของพระเจ้าไม่ได้เกี่ยวกับการกระทำเลยทั้งสิ้น และข่าวประเสริฐของพระเจ้า  มันเกี่ยวกับพระคุณอย่างเดียวเลย  และถ้อยคำของพระเจ้า มันเกี่ยวกับพระคุณของพระเจ้าทั้งเล่มเลย  ไม่ได้เกี่ยวกับการมาสอนคนให้ทำดี ทำดี ดีไหม? ดี คนก็รู้อยู่แล้ว แต่ได้ 100% ไหม? ไม่ได้ ทุกคนก็รู้ แล้วใครช่วยล่ะ นี่มาถึงข่าวดีแล้ว มาถึงข่าวประเสริฐแล้ว ถ้าเราสอนผิดๆ ไป ก็ไม่มีคนมาหาพระเยซู เพราะเขาทำดี ก็ทำได้แล้ว ช่วยเหลือตัวเอง ก็ไปทำให้มันมากขึ้น ทำปีนี้ไม่พอ ปีหน้าทำเพิ่ม ชีวิตนี้ทำไม่พอ ชาติต่อไปทำเพิ่ม แล้วมันใช่ข่าวประเสริฐไหม? ท่านเห็นไหม?

นี่เป็นหัวใจ ทำไมต้องมาจี้จุดตรงนี้บ่อยๆ แล้วดูเหมือนดี แต่มันไม่ถูก ไม่ถูกก็คือไม่ถูก ดูเหมือนดี ก็ไม่เอา แต่ถ้าถูก ดูเหมือนไม่ดี ก็เอา  อย่างเช่นที่บอกว่า …

“อย่างนี้ก็ดีสิ เชื่อพระเยซู ทำบาปอะไรก็ไปสวรรค์”

จริงหรือไม่จริง? จริง แต่คนทั่วไปรับได้ไหม? คริสเตียนบางคนยังรับไม่ได้เลย ทั้งๆ ที่ตัวเองก็ทำไม่ได้จริงๆ มาเชื่อพระเจ้าแล้ว ไม่โกรธใครเลย ทำได้ไหมล่ะ มาเชื่อพระเจ้าแล้ว ทำตัวเป๊ะ เหมือนพระเยซู 100% เลย ทำได้ไหม? ไม่ได้ แล้วเป็นอย่างไร? ตกนรกเหมือนเดิมเหรอ แล้วข่าวประเสริฐ คืออะไร? พระคุณพระเจ้าให้เรารอด คืออะไร?  นี่แหละ คือสิ่งสำคัญที่บอกว่าเล็กๆ น้อยๆ แต่ผมพยายามจะเน้น เน้นมากๆ เลย แล้วจะไม่สอนสิ่งที่ไม่ใช่ข่าวประเสริฐ ไม่สอนคำสละสลวย แบบที่เปาโลบอกคำสละสลวย ปัญญาของโลกนี้ ไม่สอน สอนตรงๆ พระคัมภีร์บอกอย่างนี้ ผมก็บอกอย่างนี้ ไม่เข้าใจ เดี๋ยวไปให้พระวิญญาณสอนเอง นำพาท่านไป

ผมจะอธิบายความหมายของถ้อยคำตรงนี้ ฟังให้ดีว่าในโลกวิญญาณ ในบริบทนี้ มันแปลว่าอะไร ตะกี้นี้เราอ่าน คือเราต้องไปอ่านที่ต้นฉบับภาษาเดิม อย่างที่เคยบอกอยู่เรื่อยๆ มันละเอียดกว่า ความหมายมันมากกว่า ซึ่งบันทึกไว้อย่างชัดเจนแล้วในพระคัมภีร์ ความหมายของข้อนี้ ไม่ได้พูดถึงเรื่องการกระทำเลย แต่หมายถึงวิญญาณ ตัวตนที่แท้จริงของเรา ก็คือวิญญาณของเรา

คำว่า “ชีวิตใหม่” หลังจากที่วิญญาณเก่าได้ตายไปแล้วกับพระคริสต์ มันหมายถึงอย่างนี้ ชีวิตก็ ท่านเป็นวิญญาณใหม่ ที่มีจิตใจใหม่ ที่พระเจ้าประทานให้ ที่เป็นเหมือนพระเจ้า พระเยซูคริสต์ทุกประการ ตามพระคัมภีร์บอก มันหมายถึงอย่างนั้น …

“ที่วิญญาณ ตัวตนที่แท้จริงของฉัน และใจใหม่ ที่พระเจ้าทำให้ ประทานให้ มากับวิญญาณนี้ที่เกิดใหม่ในพระคริสต์ โดยความเชื่อในข่าวดี”

เขากำลังพูดถึงตรงนี้ มันถึงได้ 100% ไง มันสะอาดหมดจด บริสุทธิ์เลย มันดี 100% ดีที่ไหน? ที่ข้างใน ที่วิญญาณ หัวข้อเรื่องนี้ ก็คือจดจ่อที่เบื้องบน จดจ่อที่โลกวิญญาณ โลกวิญญาณเกิดอะไรขึ้น อย่าถูกหลอกไปดูเอาโลกวัตถุ เพราะว่าโลกวัตถุมันเปลี่ยนแปลงไป ไม่ใช่โลกของจริง โลกของจริงอยู่ที่โลกวิญญาณ อยู่นิรันดร์

ข้อนี้ในภาษาเดิมแปลได้ดังนี้ ต่อเนื่องจากข้อก่อน วิญญาณเก่าของเรา ถูกตรึงตาย พร้อมกับพระเยซูคริสต์ไปแล้ว เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ซึ่งวิญญาณเก่าของเรา ก็คือวิญญาณที่เป็นของโลกนี้ ซึ่งเป็นวิญญาณที่เต็มไปด้วยความบาป ความชั่วร้าย 100% ทำอย่างไร? ก็เป็นวิญญาณบาป 100% เป็นโลกียวิสัย เป็นสันดานบาป ซึ่งเป็นศัตรูกับพระเจ้า เข้ากับพระเจ้าไม่ได้ เป็นกบฏกับพระเจ้า อยู่กับพระเจ้าไม่ได้  อยู่ตรงข้ามกัน 100% ตามธรรมชาติ ไม่ใช่ตามความอยากของเราเอง

การยอมรับให้ตัวตนเก่าของเรา หรือให้วิญญาณเก่าเราตายไป ต้องทำอย่างนี้ ก็คือต้องกลับใจใหม่ มายอมรับเชื่อในข่าวดีของพระเยซูว่าพระเยซู คือพระผู้ช่วยให้รอด ที่พระเจ้าส่งมาตายที่ไม้กางเขน เพื่อรับโทษบาป 100% ของมนุษย์ และรวมถึงตัวของเราด้วย ต้องรับตรงนี้ก่อน พอยอมรับตรงนี้ พูดง่ายๆ คือยอมรับเชื่อพระเยซูคริสต์แล้ว  จึงสามารถรับวิญญาณใหม่เข้ามาแทนที่ มันแปลว่าอย่างนี้

ส่วนข้อที่ 6 ที่บอกว่า “เนื่องด้วยสิ่งเหล่านี้ พระพิโรธของพระเจ้ากำลังจะมาถึง”

หลายคนก็สามารถตอบได้แล้วนะตอนนี้ พอเข้าใจตรงนี้ปุ๊บ เนื่องด้วยสิ่งเหล่านี้ พระพิโรธของพระเจ้ากำลังจะมาถึง ในภาษาเดิมก็อธิบายเพิ่มอีกว่าก็หมายถึงพระพิโรธของพระเจ้ากำลังจะมาถึง บรรดาผู้ที่ยังไม่เชื่อในข่าวประเสริฐ ยังไม่ยอมรับในพระเยซู ยังไม่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระมาซีฮาห์ ที่พระเจ้าประทานให้มนุษย์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ยังไม่เชื่อว่าพระเยซูตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต เพื่อชำระบาปให้กับมนุษย์ทุกคน รวมทั้งเราด้วย ผู้นั้นแหละ เขาได้โดยพระพิโรธของพระเจ้า  เมื่อวันนั้น วันสุดท้าย จะไปสุดท้ายพระเยซูมาใหม่ หรือเป็นสุดท้ายของชีวิตเขา คือเขาต้องทิ้งร่างแล้ว ต้องตายไป เขาต้องไปเจอกับอะไร? คนที่เชื่อ ก็ไปเจอกับสวรรค์ในโลกวิญญาณ  คนไม่เชื่อก็จะไปเจอกับพระพิโรธหมด

ทำไมต้องพิโรธ ก็เพราะมันคนละขั้วกัน ไม่ใช่พระเจ้าโกรธอย่างนั้น มันเหมือนไฟช็อต ไฟไม่ได้ตั้งใจจะช็อตเรา อยากให้เราเอาไปเปิดไฟสว่าง เปิดพัดลม ตู้เย็น แอร์ได้ ไม่ได้ตั้งใจช็อตเรา เรารู้วิธีใช้งาน เขาบอกให้เอาชนวนหุ้มไว้ เพื่อมันจะไม่ดูดเรา แล้วเราก็ไม่เชื่อ เอาชนวนทิ้งไป แล้วก็เอามือเปล่าๆ ไปจับ ไฟฟ้าแรงสูง เราตายไหม? เราตาย เพราะพระพิโรธของไฟฟ้าแรงสูง  ผมแนะนำท่าน ถ้าเผื่อฝนตกหนักๆ พายุหนัก อย่าไปอยู่ใต้เสาไฟฟ้าแรงสูง มันอันตราย โดยเฉพาะในเมืองไทย แล้วถ้าท่านไปยืน ท่านอาจจะโดนพระพิโรธลงมา เพราะว่าท่านไม่เชื่อในสิ่งที่เขาแนะนำ เรื่องความรู้ ความจริง แม้ท่านเป็นคนดีมากเลย เป็นคนมีศีลธรรม มีเมตตา รู้จักทำบุญทำทานมาก ไฟมันจะดูดท่านไหม? คนนี้ไปฆ่าคนตายมา เป็นฆาตกร เพิ่งออกจากเรือนจำ แต่อยู่ในเรือนจำไปอ่านเจอข้อความหนึ่งที่เขาเขียนเตือน ถ้าเผื่อฝนตกหนัก อย่าอยู่ใต้เสาไฟฟ้า จำได้ ก็เลยเดินหนีไป เขารอด เขาสมควรรอดไหม? เทียบกับเมื่อตะกี้นี้ คนดีมากเลย ท่านจะมองเห็นภาพ มันไม่ได้เกี่ยวกันกับอะไรที่มนุษย์คิดเลย ไม่ใช่ปัญญาของมนุษย์เลย แต่มันเกี่ยวกับการรู้ความจริง พระคัมภีร์จึงบอกว่าความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท เป็นอิสระ ไม่ใช่ ความดี จะทำให้ท่านเป็นอิสระ ไม่ใช่ความดีจะทำให้ท่านเป็นไท

โอกาสที่จะพูดอย่างนี้มีเยอะไหม? น้อยมาก นี่แหละคือข่าวดี แต่ปัญญามนุษย์ฟังไม่ได้ อะไร คนทำดียังต้องมารับกรรม อันนี้ทำชั่ว ไม่สมควรเลย อย่างนี้ เห็นไหม? มันเกิดขึ้น ต้องยอมรับความจริงเหล่านี้ จึงจะสามารถพบกับความจริงในโลกวิญญาณของพระเจ้าได้เช่นเดียวกัน แล้วท่านจะสามารถอธิบายในพระคัมภีร์หมดเลย

เพราะฉะนั้น สิ่งเดียวเท่านั้น คือยอมรับ ถามว่ายอมรับเชื่อ คือยอมรับว่าพระเยซูพูด พระเจ้าพูดมันเป็นความจริง มาเชื่อพระเยซูแล้ว ไม่ต้องทำดีเลย ไม่ใช่ ทุกคนก็อยากจะให้ทำดีอยู่แล้ว พระเยซูก็สอนให้ทำดีอยู่แล้ว แต่ทำดีจากข้างใน ด้วยความรอดในโลกนิรันดร์ มันคนละเรื่องกัน เอเมน

ความหมายทั้งหมด ก็แค่นี้ พอแปลผิดปุ๊บ ไปไหนก็ไม่รู้ แล้วก็แย้งกับข่าวประเสริฐไปหมด กลายเป็นทำลายข่าวประเสริฐไปในตัว เรากำลังพูดว่าพระเยซูบอกว่าสำเร็จแล้ว โกหก เรากำลังบอกว่าพระเจ้าไม่จริง เราไปไหนก็ไม่รู้ ความหมายตรงนี้ ก็มีอยู่แค่นี้ กำลังจะบอกว่าท่านมาเชื่อ ความลับในข่าวดี ซึ่งเป็นความจริงของพระเยซูแล้ว ก็เท่ากับว่าวิญญาณเดิมของท่าน ที่เป็นวิญญาณเก่าสกปรก ได้ถูกตรึงตายไปพร้อมกับพระเยซูแล้ว ไม่ว่าจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจ นี่คือความจริง ตายไปพร้อมกันแล้ว วิญญาณเก่านะ และท่านได้รับวิญญาณใหม่แล้ว เป็นวิญญาณที่มีจิตใจใหม่ เหมือนพระเยซู ไม่มีผิด สะอาด บริสุทธิ์ ผุดผ่อง ไร้ที่ติ ไร้มลทิน ไร้สิ่งโสโครกใดๆ ทั้งสิ้น 100% ไม่ใช่ 99%  … 99% ก็เข้าสวรรค์ไม่ได้ ต้อง 100% มันถึงเข้ากันได้ มีแค่นี้เอง

เพราะฉะนั้น ถ้าแปลให้ถูก มันง่ายมากเลย แทบจะไม่มีอะไรเลย แต่ต้องใช้ปัญญาของพระเจ้า ปัญญาที่ถูกซ่อนไว้ในพระเยซูคริสต์ ปัญญาทางโลกฝ่ายวิญญาณ ไม่ใช่ปัญญาที่เป็นนักปราชญ์หรืออะไรต่างๆ ทางโลก เขาเหล่านั้น ฟังเราพูดอย่างนี้  ตามพระคัมภีร์เขาจะหัวเราะ เป็นไปได้อย่างนี้เหรอ ไม่มีทาง ถ้าท่านเอาสติปัญญามนุษย์มาเทียบเคียงตามเหตุผลของมนุษย์ ไม่มีทางที่จะเข้าใจ สิ่งที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้กับท่านหรอก ไม่มีทางเลย ความหมายเมื่อตะกี้ก็เท่ากับว่าวิญญาณเดิมที่เต็มไปด้วยความบาปของท่าน ได้ถูกประหารไปเรียบร้อยแล้ว ตามที่ตะกี้นี้อ่าน โลกียวิสัย ก็คือสันดานบาปได้ถูกประหารเรียบร้อยแล้ว  โดยเชื่อในพระเยซูคริสต์ถึงจะได้ถูกประหาร ไม่ใช่วันๆ หนึ่ง อยากได้รับความรอด อันแรกบอกว่าเอามีดฆ่าตัวตายเลย ไม่ใช่ ไม่เกี่ยวกับการกระทำของเราเลย แต่เกี่ยวกับการกระทำของพระเยซูคริสต์ เราทำแค่เชื่อ เรารับเอา ซึ่งเกิดอะไรขึ้น ในนั้นบอกว่า “บัดนี้ ท่านมีชีวิตที่สะอาดบริสุทธิ์แล้ว” ก็คือท่านมีวิญญาณที่สะอาดบริสุทธิ์แล้ว เมื่อถูกประหาร ตัวเก่าตายไปแล้ว ตัวใหม่เป็นขึ้นมาใหม่ โดยเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ใครที่ยังไม่ได้ถูกประหารวิญญาณเดิม ใครที่ยังไม่ได้ถูกตรึงวิญญาณเดิมร่วมกับพระเยซูคริสต์ ก็จงระวังให้ดี แปลว่าอย่างนี้ พระพิโรธของพระเจ้าจะมาถึงผู้นั้น

ผู้นั้นคือผู้ไหน? คือผู้ที่วิญญาณเก่ายังสกปรกอยู่ ไม่ได้ถูกประหารไปพร้อมกับพระเยซูที่ไม้กางเขน เขาจะต้องระวังตัวให้ดี เพราะเขากำลังจะเผชิญกับพระพิโรธของพระเจ้า ที่กำลังจะมาถึง ไม่ว่าเขาตายก่อน แล้วไปเจอ หรือไม่ก็พระเยซูกลับมาใหม่ ตอนที่เขายังเป็นๆ อยู่ เขาจะเจอแน่ กับไฟฟ้าแรงสูงช็อต พระพิโรธพระเจ้า

ท่านจะได้เห็นว่าพระเจ้าเป็นอย่างนั้น ก็เป็นอย่างนั้น พระเจ้าไม่ได้โหดร้าย ไม่ได้อะไรเลย แต่กฎ ระเบียบ กฎธรรมชาติเป็นอย่างไร ก็เป็นอย่างนั้น กฎแรงดึงดูดของโลก อย่างที่ผมบอกว่าคนเลว ถ้าเขานั่งเครื่องบิน เขาก็ไม่ตกลงมา เขานั่งจรวด เขาก็ไม่ตกลงมา แล้วเขาก็ไม่เดินออกไปที่ที่มันไม่มีที่รองรับ แต่คนจะดีอย่างไร? เดินออกไปบนชั้น 3 ของตึก ไม่มีที่รองรับ มันก็ตกลงมาเหมือนกันหมด อย่างนี้ มันไม่ได้เกี่ยวกับสิ่งที่สติปัญญาของมนุษย์ว่าอะไรทำดี อะไรคือน่าจะได้ นั่นคือความคิดของมนุษย์ที่คิด  แต่พระคัมภีร์พูดเฉพาะกฎ

กฎ คือสิ่งที่ถูกตั้งขึ้น และมันต้องเป็นอย่างนั้น ยกตัวอย่าง น้ำมาจาก H2O มันก็เป็นอย่างนั้น ยกตัวอย่างแรงดึงดูดของโลก  อย่างไรก็เป็นอย่างนั้น อยากชนะแรงดึงดูดของโลกทำอย่างไร? ไปหากฎอื่นมา ที่มันชนะอยู่ แต่ตอนที่เครื่องบินยังบินอยู่ กฎแรงดึงดูดของโลกยังมีอยู่ มันก็มีกฎของมัน ไม่ได้หนีไปไหน เหมือนกัน กฎพระพิโรธของพระเจ้าก็เหมือนกัน พระพิโรธของพระเจ้ายังอยู่ไหม? อยู่ พระคุณพระเจ้าในพระเยซูคริสต์ยังอยู่ไหม? อยู่ ทำไมอยู่พร้อมกันล่ะ ก็เป็นจริง เป็นกฎธรรมชาติ ขึ้นอยู่กับท่านรู้ไหม รู้วิธีใช้กฎเหล่านี้ไหม? ถ้ารู้วิธีใช้ มันก็เป็นประโยชน์ต่อชีวิตท่าน แต่ถ้าไม่รู้วิธีใช้ ตายอย่างเดียว ถ้ารู้วิธีใช้ ก็มีความสุข นี่ยกตัวอย่างให้ฟัง

ทุกอย่างในพระคัมภีร์ที่กำลังพูดทั้งหมด มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับพระคุณพระเจ้าทั้งสิ้น เป็นการกระทำของพระเยซูคริสต์ ที่พระเจ้าวางแผนให้มาทำอย่างนี้ เพื่อช่วยมนุษย์ให้รอด เพราะมนุษย์ไม่สามารถช่วยตัวเองได้ ให้สะอาดบริสุทธิ์หมดจด 100% ทำอย่างไรก็ไม่ถึงเกณฑ์ของพระเจ้า  จะเข้าสวรรค์ได้มันต้อง 100% จะเข้าสวรรค์ได้ เหมือนเราไปต่างประเทศตอนนี้ มันต้องผ่านด่าน ท่านมีเศษกระดุมเม็ดหนึ่ง เครื่องมันก็ดัง เขาก็ไล่ท่านออกไป ขึ้นเครื่องไม่ได้ ไม่ว่าท่านจะเป็นใครด้วย ไม่ว่าท่านจะเป็นคนดีหรือไม่ดี ท่านทำบุญทำทานมากมาย มีชื่อเสียงใหญ่โต ท่านเดินไปถึงปุ๊บ มีกระดุมเม็ดเดียว มีเหรียญบาทเหรียญหนึ่งอยู่ในนั้น เครื่องบอกว่าคนนี้เป็นคนดี ยอมหยวนๆ เขาน่า เป็นไหม? เครื่องมันก็ดัง ขณะที่อีกคนเดินตามหลังมา เป็นฆาตกร เป็นคนเลว ทั้งโลกเขารู้ดี แต่ไม่มีอะไรเลย ไม่มีเหรียญบาท ไม่มีกระดุม ผ่านไหม? ผ่าน ฉันใดฉันนั้น นี่แหละ เขาเรียกว่าพระคุณพระเจ้า ความจริงทำให้เราเป็นไท ความรู้ในความจริง ในพระเยซูคริสต์ ทำให้เราเป็นอิสระ มันขึ้นอยู่กับพระคุณของพระเจ้า ไม่มีอะไรเกี่ยวกับการกระทำของเราเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่มีเลย มีเพียงอย่างเดียว ท่านเชื่อไหมว่านี่พระเจ้าส่งมา เพื่อชำระบาปท่าน ท่านเชื่อจริงๆ ไหม? แค่นี้เอง สนเกี่ยวกับความเชื่อ ไม่ได้เกี่ยวกับการกระทำอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*********************