คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 28 มกราคม 2018 เรื่อง “ข่าวดีของพระเยซู” โดย นคร เวชสุภาพร

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 28 มกราคม 2018

เรื่อง “ข่าวดีของพระเยซู”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            เมื่อสมัยรัชกาลที่ 5 ส่งข้าราชการออกมาประกาศข่าวดีให้คนไทย และคนที่เป็นทาสเขา ประกาศว่า …

“มีข่าวดีมาบอก ใครที่เป็นทาส เป็นอิสระแล้ว ประกาศแล้ว เป็นอิสรภาพแล้ว”

หลายคนก็เชื่อ ออกมาเป็นอิสรภาพ หลายคนก็ไม่เชื่อ ก็ยังเป็นทาสเขาอยู่ คนที่เป็นเจ้านาย ก็ทำเป็นหูทวนลม ไม่จริงหรอกๆ ไม่กล้าออกไป จริงๆ คือมันคือจริงๆ

เมื่อ 2,000 ปีที่แล้วก็เหมือนกัน พระเยซูก็ประกาศ …

“มีข่าวดีมาบอก”

ข่าวดีของพระเยซูคืออะไร? สิ่งที่มนุษย์ต้องการ คืออยากไปสวรรค์

“ใครอยากไปสวรรค์บ้างยกมือขึ้น   เดี๋ยวนี้ไปสวรรค์ได้ทุกคนแล้ว  ไม่ต้องทำเองแล้ว  ทำเองก็ไปไม่รอด ทำเองก็ไปไม่ได้ วิธีง่ายนิดเดียว มาเชื่อเราเลย”

นี่คือข่าวดี สมัยพระเยซู

“ใครอยากไปสวรรค์บ้าง ยกมือขึ้น”

เพราะมนุษย์ทุกคนอยากไปสวรรค์ทั้งนั้น มีใครบ้าง เกิดมาบอก …

“ฉันอยากไปนรก”

พระเยซูบอก … “ง่ายนิดเดียว ทำด้วยตัวเอง ทำไม่ได้หรอก เหนื่อยเปล่าๆ แค่โกรธคน ก็ตกนรกแล้ว  โกรธครั้งเดียวตกนรกแล้ว”

มานั่งคิด ตกนรกแน่ เราโกรธคนแค่นี้ ก็ตกนรกแล้วใช่ไหม? แค่ว่าคนว่าโง่ ก็ตกนรกแล้ว ไม่ได้ไปสวรรค์แล้ว มานั่งคิดอีกที ตลอดชีวิตเราจะไม่โกรธใครสักคนจะได้ไหม? และยังมีอย่างอื่นอีกเยอะแยะมากมาย ไม่เอาดีกว่า มาเชื่อพระเยซูดีกว่า ก็เลยได้ไปสวรรค์ พระเยซูบอกทางพระเยซูเป็นทางใหม่  ทางเก่าๆ ที่มนุษย์หามาตลอด มันไม่มีทางไปหรอก เพราะต้องทำด้วยตัวเอง  ทำด้วยตัวเองก็ไม่ได้ ไม่มีทางไป  ทำด้วยตัวเองไม่ได้ ก็มาพึ่งเราสิ เราให้ฟรีๆ เลย  ไม่ต้องทำอะไรเลย แค่เชื่อในสิ่งที่เราทำเท่านั้นเอง นายไม่ต้องทำ เชื่อแค่สิ่งที่เราทำให้ จบ โอเคไหม? สมัยปัจจุบัน ที่เป็นวัยรุ่น ก็ต้องบอกว่า …

“นายไม่ต้องทำอีกต่อไปแล้ว นายเชื่อในสิ่งที่เราทำ โอเคไหม?”

ถ้าโอเค ก็จบ นี่ไปสวรรค์ง่ายๆ ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นที่โลกวิญญาณทั้งสิ้น  มนุษย์ไม่มีทางทำให้ตัวเองบริสุทธิ์ สะอาดได้ ซึ่งมนุษย์ทุกคนพยายามตั้งใจทำอยู่แล้ว ก่อนพระเยซูมาเกิด มนุษย์ก็ตั้งใจ รู้ว่าตัวเองเป็นคนบาป จะรู้แบบจริงๆ หรือไม่รู้จริงๆ แต่ข้างในสำนึกในวิญญาณ เขาบอกตัวเองว่าเขาเป็นคนบาป เขาอยากบริสุทธิ์ เขาอยากจะสะอาด และเขาก็พยายามทำด้วย ทำทุกวิถีทางเลย มันก็ได้ระดับหนึ่ง ประมาณหนึ่ง แต่น้อยมากเลย พอพระเยซูมาประกาศทำแค่นั้น เราต้องทำอีกเยอะ ไม่ไหวหรอก เหนื่อยเปล่าๆ เพราะฉะนั้น ถ้าทำไม่ได้ ก็มาพึ่งเราสิ ดีกว่า เราทำให้ฟรีเลย พระเจ้าให้มาฟรีๆ เลย ไปสวรรค์ฟรีๆ แล้วเธอจะได้หายเหนื่อยและเป็นสุข จะได้ไม่ต้องทุกข์ทรมาน พยายามทำตัวเองให้บริสุทธิ์อยู่แล้ว เพราะว่าพระเจ้าบอกว่าใครก็ตามที่อยากไปอยู่ในสวรรค์ เพราะว่าสวรรค์เป็นของพระเจ้า เพราะว่าใครก็ตามที่อยู่ในสวรรค์ได้ คนนั้นต้องเป็นเหมือนพระเจ้า ต้องบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า ต้องดีพร้อมเหมือนพระเจ้า ว่าใครคำหนึ่งว่าไอ้โง่ก็ไม่ได้ คิดสกปรกลามกก็ไม่ได้ แค่คิดก็ไม่ได้แล้ว คิดเกลียดใครก็ไม่ได้แล้ว

นี่คือลักษณะของพระเจ้า เต็มไปด้วยความรัก ใครทำได้บ้าง สามารถอยู่กับพระเจ้าได้ มีใครทำได้? ไม่มีเลย ใช่ไหม? พระเยซูบอกเนี้ย กฎง่ายนิดเดียว ใครอยากไปอยู่ในสวรรค์ ก็ต้องทำเหมือนกับเจ้าของบ้าน  … เจ้าของบ้าน คือพระเจ้า เป็นเจ้าของสวรรค์ พระเจ้าบริสุทธิ์ เพราะฉะนั้น ท่านจงบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า ดีพร้อมเหมือนพระเจ้า เพอร์เฟคเหมือนพระเจ้า สมบูรณ์แบบเหมือนพระเจ้า แล้วจึงไปสวรรค์ได้ และใครทำได้? ไม่ได้ เพราะฉะนั้น ไม่ได้ ทำอย่างไรล่ะ พึ่งในพระเยซูดีกว่า แค่นี้เอง พึ่งในพระเยซู

พอพึ่งในพระเยซู ในโลกวิญญาณ เราก็ถูกย้ายมา ถูกชำระด้วยฤทธิ์อำนาจของพระโลหิตพระเยซูที่ได้ไถ่บาปแทนเรา เป็นแพะผู้รับบาป เอาบาปของเราไปแล้ว เราก็ถูกฟอกจนสะอาดหมดจด ก็ย้ายวิญญาณเราเข้ามาอยู่ที่พระเจ้า บริสุทธิ์ สะอาดเหมือนพระเจ้าเลย เหมือนหรือยัง? เหมือนแล้ว ในพระเยซูเราสะอาด ขาวหมดจด ไม่มีมัวๆ ไม่ใช่มาอยู่ในพระคริสต์ แล้วยังเป็นเทาๆ ไม่มีเทา มีแต่ขาว … ขาวเหมือนใคร? ไม่กล้าพูดเลย ขาวเหมือนพระเจ้า พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น เราบริสุทธิ์ดีพร้อมในพระเยซู ทำให้เราบริสุทธิ์ดีพร้อมแล้ว โดยที่พระองค์ทรงตายแทนเราที่ไม้กางเขน รับเชื่อแค่นี้ เราก็ดีพร้อม เป็นลูกของพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า ในครอบครัวของพระเจ้าได้แล้ว แค่นี้ เรียกว่าข่าวดี … ข่าวดีมีแค่นี้

มองให้ชัดๆ เวลามอง มองตรงนี้ให้ชัดๆ ในโลกวิญญาณ ในโลกนี้มี 2 อาณาจักร อาณาจักรหนึ่งเรียกว่าอาณาจักรของความมืด  ซึ่งไม่มีพระเจ้าอยู่ ไม่ได้เรียกว่าสวรรค์ เรียกว่าอาณาจักรของความมืด  อีกอาณาจักรหนึ่ง คืออาณาจักรของพระเจ้า เรียกว่าอาณาจักรแห่งแสงสว่าง อาณาจักรที่บริสุทธิ์ เรียกว่าสวรรค์ อยากอยู่ที่ใดล่ะ? ถ้าอยากอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า ต้องบริสุทธิ์ สะอาด สีขาวนี้ เป็นสีแห่งตัวแทนของความบริสุทธิ์ สะอาด ไม่มีจดดำด่างพร้อย แม้แต่จุดเดียว ก็ไม่มี ทำได้ไหม?  ทำไม่ได้ ก็มาพึ่งพระเยซู ทำไม่ได้ ก็มาพึ่งซะ  ถ้าเราทำด้วยตัวเอง อย่างไรมันก็ด่างพร้อยอยู่อย่างนั้นแหละ มันก็มีดำๆ อยู่นั้นแหละ ซึ่งอยู่กับพระเจ้าไม่ได้ นิดหนึ่งก็ไม่ได้ เพราะว่าพระเยซูบอกต้องดีพร้อม บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า  คล้ายๆ พระเจ้าก็ไม่ได้ ใกล้เคียงพระเจ้าก็ไม่ได้ ต้องเหมือนพระเจ้า บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า พระเจ้าบริสุทธิ์ขนาดไหน? ที่เราร้องเพลง เราต้องบริสุทธิ้อย่างนั้น แล้วเราทำได้ไหม?  ไม่ได้ เพราะฉะนั้น พึ่งในพระเยซู นี่คือข่าวดีที่มาถึงมนุษย์ทุกคน 2,000 ปีมาแล้ว และจะพูดต่อไป จนกระทั่งสิ้นโลกนี้ เอเมน

 

*********************

 

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 21 มกราคม 2018 เรื่อง “ความชอบธรรม โดยพระคุณ ไม่ใช่การกระทำ” โดย นคร เวชสุภาพร

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 21 มกราคม 2018

เรื่อง “ความชอบธรรม โดยพระคุณ ไม่ใช่การกระทำ”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            พระเยซูบอกไว้ในหนังสือมัทธิวบทที่ 11 ข้อ 28 ว่า …

มัทธิว 11:28 “บรรดาผู้เหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนักจงมาหาเรา และเราจะทำให้ท่านหายเหนื่อยและเป็นสุข”

 

ผมยกข้อพระคัมภีร์ข้อนี้ มาอ่านให้ฟังเช้านี้ เพราะได้ฟังจากนักประกาศท่านหนึ่งบอกว่ามี คริสเตียนเขียนไปถามอย่างนี้า …

“ชีวิตคริสเตียน  คือชีวิตที่ต้องทำตามข้อบังคับ และกฎระเบียบต่างๆ มากมาย ที่สอนไว้ในพระคัมภีร์ ตั้งแต่ห้ามพูดโกหก  ห้ามมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงาน ห้ามดูหนัง Harry Potter ห้ามเล่นเกมส์  ห้ามกินเหล้า    ห้ามไปเกี่ยวข้องกับความเชื่ออื่นหรือศาสนาอื่น   ….  มีอีกเยอะแยะ ที่ทั้งห้ามทำ และอีกเยอะแยะที่ต้องทำ ซึ่งใครที่ไม่สามารถทำได้ตามกฎข้อบังคับเหล่านี้ พระเยซูก็จะพูดว่าไม่รู้จักท่าน  และท่านจะต้องถูกส่งไปยังบึงไฟนรก

เมื่อเราตอบเรื่องทางโลกวิญญาณหรือทางวัตถุ ถ้าทางวัตถุ มันทำไม? มันเหนื่อยอยู่แล้ว  มีใครไม่เหนื่อยบนโลกใบนี้ ก็เป็นการพิสูจน์แล้ว ถ้อยคำพระเจ้าจริง ถ้าถ้อยคำพระเจ้าเป็นจริงทั้งหมด  การเป็นอยู่บนโลกใบนี้ เหนื่อย แสนยาก แสนทุกข์ มันเป็นเรื่องจริงด้วยเช่นเดียวกัน  ถูกหรือเปล่า? ถ้าตรงนี้เป็นเรื่องจริง ทางวิญญาณพระเยซูบอกว่าใครมาเชื่อพระเยซู ทางวิญญาณเขาจะหายเหนื่อยและเป็นสุข ก็เป็นจริงด้วย เอเมน

เพราะฉะนั้น เวลาถามสวัสดีปีใหม่ ทำตามธรรมชาติ ทางโลกวัตถุ

“สวัสดีปีใหม่ครับ เป็นอย่างไร? เมื่อปีที่แล้วเหนื่อยไหม?”

ต้องตอบว่า … “เหนื่อย” มันจริง

ชีวิตอะไรบนโลกใบนี้ อะไรบ้างที่ไม่เหนื่อย  ปัญหามันยุ่งยาก เอาแค่ทานอาหารอย่างเดียว ก็ยุ่งแล้ว  ปวดหัว ตัวร้อน เป็นหวัด วุ่นวายไปหมด เรื่องโน้นเรื่องนี้ มันยุ่งไปหมดเลย  มันต้องเหนื่อยอยู่แล้วล่ะ เพราะฉะนั้น ปีที่แล้วเป็นอย่างไร? เรียนหนังสือเป็นอย่างไร เหนื่อยไหม? เหนื่อย ดูแลลูกเป็นอย่างไร เหนื่อยไหม? เหนื่อย ทำมาหากินเป็นอย่างไร เหนื่อยไหม? เหนื่อย ตอบไปเถอะ เหนื่อย

บางคนเขาไม่เข้าใจ เขาบอกว่าเป็นคริสเตียนแล้ว จะพยายามสอนคริสเตียนบอกว่า “ไม่เหนื่อย”  … “ดีมาก” … “ยอดเยี่ยม” มันไปฝืนความเป็นจริง พระเจ้าไม่ได้สอนเราให้ฝืนความเป็นจริง พระเยซูบอก อะไรจริง ก็บอกว่าจริง อะไรใช่ ก็บอกว่าใช่ เหนื่อยไหม? เหนื่อยสิ แต่วิญญาณไม่เหนื่อยครับ ตอบเป็นจริงหมดใช่ไหม? ไม่ใช่คริสเตียนเป็นคนที่ขวางโลก

ทำไมวันนี้ผมจึงยกข้อพระคัมภีร์นี้ขึ้นมา ที่พระเยซูบอกมัทธิว 11:28 ว่า …

มัทธิว 11:28 “บรรดาผู้เหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนักจงมาหาเรา และเราจะทำให้ท่านหายเหนื่อยและเป็นสุข”

 

มันจริงๆ ทางโลกวิญญาณนะเนี้ย ที่ยกข้อนี้มาให้ฟังเช้านี้ เพราะได้ฟังจากนักประกาศคนหนึ่ง มีคริสเตียนเขียนไปถามอย่างนี้ว่า …

“ชีวิตคริสเตียน  คือชีวิตที่ต้องทำตามข้อบังคับ และกฎระเบียบต่างๆ มากมาย ที่สอนไว้ในพระคัมภีร์ ตั้งแต่ห้ามพูดโกหก  ห้ามมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงาน ห้ามดูหนังผี ห้ามดูหนังไสยศาสตร์ ห้ามดู Harry Potter ห้ามดูทีวี ห้ามเล่นเกมส์  ห้ามกินเหล้า ห้ามไปเกี่ยวข้องกับความเชื่ออื่นหรือศาสนาอื่น มีอีกเยอะแยะ ที่ถูกถามว่าต้องทำ หรือต้องไม่ทำ ซึ่งใครที่ไม่สามารถทำได้ตามกฎข้อบังคับเหล่านี้ พระเยซูก็จะพูดว่าไม่รู้จักท่าน  และท่านจะต้องถูกส่งไปยังบึงไฟนรก”

อย่างนี้ใช่ไหมครับที่เรียกว่าชีวิตที่เต็มไปด้วยสันติสุขและหายเหนื่อย

อย่างนี้หายเหนื่อยไหม? ท่านลองฟังอย่างนี้ มันจริงไหม? หายเหนื่อยไหมถ้าเป็นอย่างนั้น ชีวิตแบบนี้หรือที่เรียกว่าชีวิตที่หายเหนื่อยและเป็นสุข คริสเตียนคนนี้เขาถามนักประกาศ

ผมเลยอยากจะถามท่านในใจ ขณะนี้ว่าท่านเป็นคริสเตียนหรือยัง? และท่านเคยถามปัญหาข้อนี้ไหม? แบบนี้ไหม? เคยไหม? ในใจท่านคิดแบบนี้ไหม? เพียงแต่ไม่มาถามผม เพราะไม่กล้า แต่ถ้าเจอจริงๆ คงกล้าถาม …

“ไหนอาจารย์บอกเป็นสุข ไม่เห็นเลย อันนั้นก็ทำไม่ได้ อันนี้ก็ทำไม่ได้ ทำไมมันยุ่งไปหมดเลย ไม่เห็นแตกต่างอะไรกับก่อนที่จะมาเชื่อพระเยซูเลยนะ ตอนที่อยู่ในความเชื่ออื่นๆ แต่ก่อนนี้ เขาก็บังคับมาตลอด แต่พอมาหาพระเยซู ก็บังคับ ไม่ใช่บังคับธรรมดา เพิ่มขึ้นอีก เพราะสมัยก่อนวันอาทิตย์ยังไปดูหนังได้ เดี๋ยวนี้วันอาทิตย์ถูกบังคับให้มาโบสถ์อีกต่างหาก หนักขึ้นไปอีก นี่เฉพาะข้อเดียวนะ แต่ก่อนวันอาทิตย์ไม่ไปสถานที่เรามีความเชื่อกัน ก็ไม่เห็นมีใครเขามาว่าอะไร? เดี๋ยวนี้เรามาเป็นคริสเตียน มีความสุขมากเลย พอวันอาทิตย์มีธุระหรือไม่ค่อยอยากจะมา มีคนบอกว่าขาดโบสถ์พระเจ้าไม่ชอบนะ ตายแล้ว ทำอย่างไร?”

อย่างนี้เรียกว่าชีวิตที่หายเหนื่อยและเป็นสุขหรือ? ท่านก็อาจจะคิดอย่างนี้เหมือนกัน

ถามว่าพระคัมภีร์มีคำสอนเรื่องเกี่ยวกับข้อห้ามและกฎต่างๆ ที่ตะกี้นี้บอกมาทั้งหมดนั้น กฎบังคับต่างๆ ถามว่าในข้อพระคัมภีร์ได้สอนเป็นข้อห้ามจริงหรือไม่?  คิดให้ดีๆ ก่อนตอบ ข้อบังคับที่ตะกี้นี้บอก วันอาทิตย์ต้องมา วันสะบาโตต้องมาโบสถ์ อย่าไปยุ่งเกี่ยวกับลัทธิอื่นๆ ห้ามโกหก มีหรือไม่มี นึกในใจ ผมจะตอบให้ท่าน ท่านจะตกใจเลย  มีจริงๆ และไม่ใช่มีธรรมดา จะยกตัวอย่างให้ มีอย่างที่พระเยซูสอนเลย พระเยซูบอกเลยว่าต้องทำอย่างนี้ เอาล่ะสิ

มัทธิว บทที่ 5 ใครๆ ก็รู้ดี เขาเรียกว่าคำสอนบนภูเขา ที่พระเยซูสอนเองว่าถ้าอยากจะเป็นคริสเตียน อยากจะเป็นลูกพระเจ้า จะติดตามพระองค์ ต้องทำนี้ ในข้อ 21-47 ผมเอามารวมๆ กัน ยกตัวอย่าง เพื่อจะได้สั้นๆ ยกตัวอย่าง พระเยซูสอนเองเลย เช่น

–  ห้ามฆ่าคน   พระเยซูสอนคนตอนนั้นว่าห้ามฆ่าคน    ไม่ใช่สอนแค่นั้น  พระเยซูบอกไม่ใช่ห้ามฆ่าคนอย่างเดียวนะ เพราะรู้ในนั้น มีพวกชาวยิวมากมาย ที่เชื่อพระเจ้าแล้วสมัยนั้น เขาไม่ฆ่าคนอยู่แล้ว แต่พระเยซูบอกถ้าจะให้บริสุทธิ์จริงๆ ตามกฎของพระเจ้าจริงๆ คือห้ามฆ่าคนไม่พอ ยังห้ามโกรธพี่น้องอีก

–  อย่าโกรธเคืองพี่น้อง โกรธก็ไม่ได้ โกรธ ก็เท่ากับฆ่าคนแล้ว อย่าพูดดูหมิ่นพี่น้อง  ดูหมิ่นก็ไม่ได้ ก็เท่ากับฆ่าคนแล้ว

–  ห้ามแม้กระทั่งว่าด่าเขาว่าไอ้โง่ เราก็ตกนรกแล้ว

ฟาริสีตกใจ … “ฉันว่าฉันไม่ฆ่าคน ฉันก็ดีแล้ว รักษาดี นี่ว่าเขาก็ไม่ได้เหรอ”

–  จงปรองดองกับศัตรู  รักศัตรูเหมือนเพื่อนบ้าน  ใครตบแก้มขวา  ยื่นแก้มซ้ายให้ตบด้วย เจ็บแสบเข้าไปในทรวง

“ฉันว่าฉันทำตั้งเยอะได้แล้วนะ ฉันก็อภัยให้เขาได้นะ แต่จะให้ฉันยื่นหน้าอีกทีให้เขาตบนั้น มันทารุณจิตใจนะ มันจะทำได้ไหม?”

พระเยซูบอกต้องทำอย่างนี้ ถ้าอยากเป็นลูกของพระเจ้า ต้องบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า ต้องทำอย่างนี้

–  อย่าล่วงประเวณี เพราะพระเยซูรู้ พวกนี้ไม่ล่วงประเวณีอยู่แล้ว เพราะรักษาตามกฎระเบียบพระเจ้าอยู่แล้ว ได้แค่นั้นก็เท่ห์แล้ว พระเยซูบอกแค่นั้นยังไม่พอ ถ้าอยากเป็นลูกพระเจ้า อยากอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า ล่วงประเวณีแค่นั้นไม่พอ เพราะว่าแค่มองหญิงด้วยใจกำหนัดก็เท่ากับล่วงประเวณีไปแล้ว  พวกนั้นสะดุ้งตกใจเลย  เป็นอย่างนั้นจริงๆ หรือ! นี่พระเยซูพูดเอง แค่มอง ก็คิด ก็เท่ากับล่วงประเวณีไปแล้ว

“อย่างนี้ที่ฉันเท่ห์ๆ มา ฉันนึกว่าฉันเท่ห์ รักษากฎระเบียบเหล่านี้ได้ รักษาศีลเหล่านี้ได้ มันก็ไม่ได้เรื่องเลยสิ”

เขาคิดในใจ บางคนก็โกรธพระเยซูนะ เหมือนพูดแทงใจดำ บางคนได้ยินพระเยซูไม่โกรธ แถมทุบอกตีหัวตัวเอง

“พระเยซูช่วยฉันด้วย  ฉันทำไม่ได้จริงๆ ช่วยฉันด้วย อย่างนี้ใครจะทำได้ล่ะ”

คือยอมรับเลยว่าทำไมไม่ได้ อีกพวกหนึ่งโกรธ เห็นไหม พระเยซูสอนเอง

พวกฟาริสีรักษากฎระเบียบ รักษาศีลเขาบอกว่า …

–  ห้ามหย่าร้างภรรยา ยกเว้นมีเหตุผล ค่อยหย่าได้  เขาเขียนกฎของเขาไว้อย่างนั้น  ซึ่งจริงไหม? จริง แต่เขาบอกว่าท่านมีเหตุผลพอ ก็หย่าได้ ยกตัวอย่างเช่น ภรรยาไปมีคนอื่น เราก็ไปแต่งงานกับคนอื่นได้ พระเยซูแค่นั้นยังไม่พอ ถ้าจะดีพร้อมเหมือนพระเจ้า เพอร์เฟค สมบูรณ์ บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า แต่งงานแล้วต้องไม่มีหย่า หย่าไม่ได้เลย  ไม่ว่าจะเป็นอะไร ต้องรับตลอด เพราะว่าพระเยซูบอกว่าพระเจ้าเป็นความรัก อดทนนาน  ยอมหมดทุกอย่าง อภัยให้ทุกอย่าง เพราะฉะนั้น หย่าก็ไม่ได้

พวกนั้นบอก แล้วจะทำได้อย่างไร? เห็นไหม? พระเยซูสอนหมดว่าสิ่งเหล่านี้ต้องทำ

–  อย่าสาบาน

–  จงให้แก่ผู้ที่ขอ  เขาขอเสื้อ ให้อะไรกับเขาด้วย เขาขอเสื้อตัวหนึ่ง ให้เสื้อไม่พอ เอาเสื้อคลุมไปให้ด้วย  เขาบอกช่วยยกของให้ 1 กิโลฯ เขาบอกยกให้ 10 กิโลฯ เขาบอกช่วยเดินไปตรงนั้นกับเขา 1 กิโลฯ เราเดินไปกับเขา 20 กิโลฯ อะไรประมาณนั้น

นี่คือสิ่งที่เป็นกฎข้อบังคับที่พระเจ้าต้องการจากมนุษย์ นี่เห็นไหม? มนุษย์คิดว่าเขาเองทำได้ พระเยซูเลยบอกเขาว่านี่ทำได้ไหม? อย่างนี้ มันจะเป็นอย่างนี้ มีข้อ มีกฎระเบียบจริงๆ ทุกวันนี้ก็ยังมีอยู่ แล้วพระเยซูก็จบคำสอนเหล่านี้ด้วย แสบไปถึงทรวง มัทธิว 5:48 บอกว่า

มัทธิว 5:48 “เหตุฉะนั้น พวกท่านจงดีพร้อม เหมือนพระบิดา คือพระเจ้าของท่านในสวรรค์ ทรงดีพร้อม”

 

“เหมือน” นะ ท่านต้องดีเหมือนพระเจ้าเลย บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า คำว่า “ดีพร้อม” มาจากภาษาอังกฤษว่า “เพอร์เฟค” แปลว่าสมบูรณ์แบบ ท่านต้องสมบูรณ์แบบ แบบพระเจ้าเลย ท่านถึงจะไปอยู่ในสวรรค์ได้ พระเยซูบอกอย่างนั้น  เห็นไหม? สอนไหม? สอน บังคับไหม? บังคับ คือถ้าท่านต้องการไปสวรรค์ ท่านก็ต้องทำให้เพอร์เฟค ดีพร้อม  เหมือนพระบิดา ผู้อยู่ในสวรรค์ คือต้องไม่มีบาปเลย

เหล่านี้  คือบทบัญญัติ ที่พระเจ้าวางไว้ตั้งนานแล้ว ตั้งแต่สมัยพระคัมภีร์เดิม วางไว้ตั้งแต่ตอนโน้นเลย ตั้งแต่สมัยมนุษย์ตกลงไปในความบาปใหม่ๆ วางมาตลอด ซึ่งเราก็รู้ว่าทำไมได้ไหมมนุษย์? ทำไม่ได้ แล้วในพระคัมภีร์ใหม่ ถามว่าในพระคัมภีร์เมื่อพระเยซูมา พระเยซูมายกเลิกข้อบังคับเหล่านี้หรือ?  จึงทำให้เราหายเหนื่อยและเป็นสุข ยกเลิกไหม? คิดให้ดีๆ พระเยซูมายกเลิกไหม? ฟังต่อไปว่าพระเยซูมายกเลิกไหม?

พระเยซูมายกเลิกหรือ? จึงได้บอกว่ามาหาพระเยซู แล้วหายเหนื่อย ไม่ได้อยู่ใต้กฎข้อบังคับเหล่านี้แล้ว แสดงว่าพระเยซูมายกเลิกหรือ?

ตอบว่า … “เปล่าเลย”

พระองค์ไม่ได้มายกเลิกกฎเหล่านี้ กฎทั้งหมดเหล่านี้ยังคงอยู่ และทุกวันนี้ยังคงอยู่ และยังคงอยู่ตลอดไป พระองค์อธิบายให้เราฟังในพระคัมภีร์ บันทึกไว้อย่างนี้  พระเยซูพูดเองนะ มัทธิว 5:17-20 บอกไว้อย่างนี้ว่า …

มัทธิว 5:17-20 “17 อย่าคิดว่าเรามาเพื่อล้มล้างหนังสือบทบัญญัติหรือหนังสือผู้เผยพระวจนะ  เราไม่ได้มาล้มล้าง แต่มาเพื่อทำให้สำเร็จครบถ้วน  18 เราบอกความจริงแก่ท่านว่าตราบจนฟ้าและดินสูญสิ้นไป แม้อักษรที่เล็กที่สุดสักตัวหนึ่ง หรือขีดๆ หนึ่งก็จะไม่มีทางสูญหาย จากหนังสือบทบัญญัติ จนกว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะสำเร็จครบถ้วน 19 ผู้ใดฝ่าฝืนบทบัญญัติเหล่านี้ แม้ข้อเล็กน้อยที่สุด และสอนคนอื่นให้ทำเช่นเดียวกัน ผู้นั้นจะได้ชื่อว่าเป็นผู้เล็กน้อยที่สุดในอาณาจักรสวรรค์ ส่วนผู้ที่ปฏิบัติและสั่งสอนตามคำบัญชาเหล่านี้ จะได้ชื่อว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในอาณาจักรสวรรค์ 20 เพราะเราบอกท่านว่าหากความชอบธรรมของท่าน  ไม่มากกว่าของพวกฟาริสีและเหล่าธรรมาจารย์แล้ว   ท่านจะไม่ได้เข้าอาณาจักรสวรรค์อย่างแน่นอน”

 

ครบถ้วนบริบูรณ์ สำเร็จครบถ้วนคืออะไร?  ก็คือดีพร้อม คือเพอร์เฟคเหมือนพระเจ้า

ในนี้บอกว่าหนังสือบทบัญญัติ จนกว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะสำเร็จครบถ้วนบริบูรณ์ จะไม่มีสูญหายเลย ก่อนหน้านั้น แม้คำว่าด่าเพื่อนๆ ว่าไอ้โง่ แค่นี้ก็ยังอยู่ เราเคยด่าเพื่อนว่าไอ้โง่ไหม? มีใครเคยด่า ยกมือขึ้น ตกนรกหมด  ตามพระคัมภีร์บอก พระเยซูบอกไม่สูญหายไปไหน? จากหนังสือเลย ผู้ใดฝ่าฝืน แม้กระทั่ง ข้อเล็กน้อยที่สุด เล็กน้อยไหมด่าเพื่อนว่าไอ้ไง่เอ่ย เล็กน้อยไหม?  เล็กน้อย อยู่ในนรกไหม? อยู่ ก็บอกแล้วพระเยซูพูดเอง แล้วยังไปสอนคนอื่นอีกบอกว่าด่าไปเถอะ ไม่เป็นไรหรอก เราไม่ได้ตั้งใจด่าเขาจริงๆ โดนไหม? โดน คราวนี้ยุ่งแล้ว จบตอนนี้ไม่ได้ ทุกคนกลับไปงง นอนไม่หลับ ไปอยู่ในสวรรค์หรืออยู่ในนรก ก็ไม่รู้

แล้วในนี้บอกว่าเพราะเราบอกความจริงว่าหากความชอบธรรมของท่าน ไม่มากกว่าของฟาริสีและเหล่าธรรมาจารย์ ท่านจะเข้าอาณาจักรสวรรค์ไม่ได้ เพราะเหล่าฟาริสีและธรรมาจารย์ เขาพึ่งในการกระทำของเขา เขาบอกเขาไม่ฆ่าคนแค่นี้ เขารักษาศีล ไม่ฆ่าคน เขาก็ได้ความดีงาม เขานึกว่าเขาไปสวรรค์แล้ว แต่พระเยซูบอกยังไม่พอ ความชอบธรรมที่เราจะไปอยู่ในสวรรค์ในนี้บอกว่าต้องมากกว่าการไม่ฆ่าคนอีก …

“ตายแล้ว ฉันจะเอาแก้มขวาให้เขาตบยังไม่ไหวเลย ฉันจะทำได้หรือ?”

ลองฟังต่อไป พระเยซูสอนอย่างนี้  กฎทั้งหมดยังอยู่ครบถ้วน ถูกไหม? อย่างที่บอก ไม่มีวันสูญสิ้นไปเลย  ตราบจนโลกนี้สูญสิ้น มันถึงจบไป จบเลยบริบูรณ์อยู่ตลอดเวลา

แต่พระเจ้าก็ทรงทราบดีว่ามนุษย์ไม่สามารถทำตามกฎบัญญัติเหล่านี้ได้หรอก พระเยซูก็ทราบ พระเจ้าก็ทราบ จึงแทงใจดำไปเลยว่าทำไม่ได้หรอก พวกท่านทำไม่ได้ พระองค์จึงส่งพระเยซู คือพระบุตรของพระองค์มาเป็นตัวแทนให้มนุษย์ทุกคน ทำแทนมนุษย์ทุกคน ฟังให้ดีๆ นะ บทบัญญัติทั้งหมดยังอยู่ครบถ้วน ใครที่ต้องการไปสวรรค์จะต้องมีชีวิตที่เพอร์เฟค สมบูรณ์แบบ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้า คือไม่มีบาปเลยนะ ถ้าทำได้ตามบทบัญญัติที่บอกไว้ทั้งหมด หลายพันข้อที่บันทึกไว้ ก็ได้ชื่อว่าเป็นคนดีพร้อมเหมือนพระเจ้าเลย ใครตบหน้า เอาไปอีกข้างหนึ่ง ตบอีกข้างหนึ่ง เอาไปอีกข้างหนึ่ง ใครขออะไร? ให้ไปหมดเลยทุกอย่าง ไม่เคยคิดสกปรกเลย ไม่เคยคิดดูว่าผู้หญิงหรือผู้ชาย แล้วเกิดการกำหนัดเลย ไม่เคยเลย ไม่เคยคิดเลย เป็นคนตายด้านอะไรอย่างนี้ ไม่เคยโกรธใคร ไม่เคยด่าใคร ไม่เคยหงุดหงิดใคร ไม่เคยเลยนะ คนเหล่านั้น ได้ไปสวรรค์ พระเยซูบอก ถ้ารักษาได้ครบ คำว่าเพอร์เฟค สมบูรณ์ ครบ จุดหนึ่งก็ไม่ได้ ขีดเล็กๆ น้อยๆ ขีดหนึ่งก็ไม่ได้

คราวนี้พระเยซู ในพระคัมภีร์บอกว่าแต่มีอีกทางหนึ่งนะ เขาเรียกกันในพระคัมภีร์ว่าทางใหม่ เคยได้ยินไหม? ทางใหม่ มีอีกทางที่จะไปสวรรค์ ไปอยู่กับพระเจ้าได้ มีอีกทางหนึ่ง ทางใหม่ ซึ่งพระคัมภีร์ใช้คำว่าทางใหม่  หรือพันธสัญญาใหม่ คุ้นไหม? หรือทางนั้น หรือทางพระเยซู คือสิ่งที่พระเยซูได้กระทำให้มนุษย์แล้วที่ไม้กางเขน ได้ทำให้เกิดผลเช่นเดียวกันกับการรักษาบทบัญญัตินั้นให้ได้ครบถ้วน คือทำให้เราเป็นคนดีพร้อม เพอร์เฟค สมบูรณ์แบบ บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า ไม่มีบาปเลย และสามารถไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์ได้นั่นเอง นี่มีอีกทางหนึ่งมาให้เลือก ไม่บังคับ อยากไปทางไหน?

สรุป ก็คือมนุษย์มีทางเลือกอยู่ 2 ทาง ในการดำเนินชีวิตให้ดีพร้อม บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า ขณะที่อยู่บนโลกใบนี้ ทั้งๆ ที่เป็นคนบาป มีอยู่ 2 ทางพระเยซูให้เลือก …

(1) รักษาบทบัญญัติที่ตะกี้นี้บอกไว้นะ ที่ตะกี้อธิบายให้ฟังนะ ตบแก้มซ้าย เอาแก้มขวาให้เขาตบ มองเห็นความกำหนัด ก็ตกนรก ว่าเพื่อนว่าไอ้โง่ ตกนรกนะ … รักษาบทบัญญัติหลายพันกว่าข้อ อย่างครบถ้วนบริบูรณ์

(2) เชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงกระทำให้เราเรียบร้อยแล้วที่ไม้กางเขน    ชำระเราให้บริสุทธิ์ สะอาด ครบถ้วนบริบูรณ์

จะเอาอย่างไหน? อย่างหนึ่งทำด้วยตัวเอง ด้วยกำลังของตัวเอง ทำได้ไหม? ไม่ด่าเพื่อนได้ไหม? ไม่หงุดหงิดไหวไหม? ถ้าคิดว่าไหว ก็ทำไป ถ้าไม่ไหว พระเจ้าบอกมีทางเลือกที่ 2 ให้

และเมื่อใครก็ตามที่เชื่อพระเยซู เป็นคริสเตียนแล้ว ก็แปลว่าเขาได้เลือกทางที่ 2 แล้ว ตอนใครเลือกทางที่ 2 แล้ว ยกมือขึ้น ผมก็เลือกทางที่ 2 เพราะผมรู้ว่าผมทำไม่ไหว ผมให้เขาตบอีกแก้มหนึ่งไม่ไหวจริงๆ เอาแค่ตบแก้มหนึ่ง ผมก็จะมองหน้าแล้วนะ ถ้าตบผมจะสู้แล้วนะ แต่วิญญาณผมให้อภัยแล้วไง แต่เนื้อหนัง มันทนไม่ไหว มันพยายามอยู่ แต่มันได้แค่นี้ สมัยก่อนไม่ด่าตอบ เดี๋ยวนี้ ทนไม่ไหว จริงๆ ก็ด่าตอบ พยายามไม่ด่าตอบ บางทีมันแรงมาก ต้องด่าตอบ หงุดหงิด สมัยก่อนหงุดหงิดไป 1 อาทิตย์ เดี๋ยวนี้ดีขึ้น หงุดหงิดไปแค่ 2-3 วันเอง แต่ก็หงุดหงิด อย่าว่าแต่ด่าเขาว่าไม่โง่เลย ด่ามากกว่านี้อีก ถ้าจะตกนรก ต้องหลุมไหนก็ไม่รู้ ผมมาเชื่อพระเจ้า พระเยซูดีกว่า มันหายเหนื่อยดี ก็คือใครที่เป็นคริสเตียน ก็คือมาเชื่อ เลือกเอาข้อ 2 คือเชื่อในสิ่งที่พระเยซูได้ทรงกระทำให้เราแล้ว และเราก็ได้รับผลจากความเชื่อนั้น คือขณะนี้ ผมและท่านที่ได้รับเชื่อในพระเยซู เลือกทางที่ 2 แล้ว มีชีวิตที่เพอร์เฟค ดีพร้อม สมบูรณ์แบบ เหมือนพระเจ้า และมั่นใจในตัวเองเลยว่าขณะนี้ ผมอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์แล้ว แล้วจะอยู่ในพระเยซูตลอดไปเลย เอเมน

เพราะฉะนั้น โลกนี้ทั้งโลก เมื่อใครรู้อย่างนี้ และใครเลือกทางที่ 2 แล้ว ทุกปีเขาจึงฉลอง และร้องเพลงนี้ว่า …

“ชาวโลกทั้งหลายชื่นใจยินดี   มีพระราชาประสูติ

คือพระเยซู เสด็จลง ให้เราร้องเพลงสรรเสริญ ให้เราร้องเพลงสรรเสริญ

ให้เรา ให้เรา ร้องเพลงสรรเสริญ”

ใช่หรือเปล่า? แล้วถ้าเราเลือกทางที่ 1 เราก็คงร้องว่า …

“ชาวโลกทั้งหลายทุกข์ทรมานกันดีกว่า”

มันทรมาน ที่ถามมันเรื่องจริง อยู่บนโลกนี้มันทรมาน พระเยซูจึงบอกว่าอยู่บนโลกนี้ ท่านจะได้พบกับความทุกข์ยากลำบากต่างๆ นานา แต่จงยินดีเถิด  เพราะว่าเราชนะโลกแล้ว เพราะพระเยซูชนะโลกแล้ว เราเชื่อพระเยซู เราจึงชนะไปด้วย ท่านเลือกเอาแล้วกัน ผมตั้งใจจริงและอธิษฐานให้ท่านมาตลอด และใครก็ตามบนโลกใบนี้ ที่ยังไม่ได้เลือก ให้เลือกทางที่ 2 คือเลือกพระเยซู เอเมน

 

*********************

 

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 5 พฤศจิกายน 2017 เรื่อง “หนังสือฮักกัย บทที่ 2 นิเวศน์พระเจ้า” โดย นคร เวชสุภาพร

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 5 พฤศจิกายน 2017

เรื่อง “หนังสือฮักกัย บทที่ 2 นิเวศน์พระเจ้า”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            ช่วงนี้เราย่ำกันอยู่เรื่อยๆ ถึงเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ ต้องย่ำกันอยู่เรื่อยๆ อย่างที่ผมพูดอยู่บ่อยๆ ว่าถ้อยคำทั้งหมดในพระคัมภีร์ทั้งเล่ม เป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น  เล็งไปถึงโลกวิญญาณทั้งสิ้น  ตั้งแต่คำแรกจนถึงคำสุดท้าย คำแรก ก็คือคำว่า “พระเจ้าสร้างโลก” นั่นแหละ ตอนนั้น ในปฐมกาล จนถึงหน้าสุดท้ายวิวรณ์ ต้องมองไปที่โลกวิญญาณทั้งสิ้น ล้วนเล็งถึงโลกวิญญาณ

การเล็งถึงโลกวิญญาณหมายถึงอะไร? หมายถึงพระเจ้ากำลังบอกถึงแผนการล่วงหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้น  พระองค์จะทำอะไรเกิดขึ้น ในโลกวิญญาณจะเกิดอะไรขึ้น ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่าอาพกกะลิฟ ก็คือนิมิต คือเรื่องราวที่บอกถึงโลกวิญญาณ คือการนำเอาเหตุการณ์ต่างๆ ในโลกวัตถุมาเป็นเหมือนตัวแสดงให้เห็นว่ามันเล็งถึงอะไรเกิดขึ้น ค่อยๆ เรียนรู้กันต่อไป

เพราะฉะนั้น เวลาเราอ่านพระคัมภีร์ ไม่ว่าจะเป็นพระคัมภีร์เดิมหรือพระคัมภีร์ใหม่ก็ตาม แล้วโยงมาถึงเรื่องราวทางโลก เรื่องทางกายภาพทางโลก เรื่องทางวัตถุทางโลก แล้วเราก็นึกว่ามันเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ทางโลก  เราก็มีความรู้สึกมันขัดแย้งกัน ข้อนี้ไปแย้งกับข้อนั้น  ข้อนั้นจะไปแย้งกับข้อนี้ ยุ่งไปหมดเลย มันจะไม่เข้าใจ มันจะไม่เป็นเรื่องเดียว จะเป็นแปดสิบ ร้อยพันเรื่อง ยุ่งวุ่นวายไปหมดว่าทำไมมันแย้งกันเต็มไปหมด

ยกตัวอย่างเช่นทำไมพระเจ้าเป็นความรัก แล้วทำไมพระเจ้าโหดร้ายอย่างนี้  มันจะยุ่งไปหมด ทำไมพระเจ้าสั่งให้ฆ่าไปหมดเลย มันไม่เข้าใจ เล็งไปถึงโลกวิญญาณ มันจะอ๋อๆๆๆ ทุกคำตลอดไปเลย  นี่คือเคล็ดลับ

พระคัมภีร์บอกนี้คือตัวอย่าง ถ้าท่านเล็งไปถึงโลกวัตถุ เล็งไปถึงสิ่งที่ตามองเห็น ไม่ใช่พระคัมภีร์ ท่านจะงงไปหมดเลย  ยกตัวอย่างเช่นอะไร อันนี้ชัดเจน พระคัมภีร์บอกว่าอะไร?

“โดยรอยแผลเฆี่ยนของพระเยซู เราได้รับการรักษาให้หาย”

ถูกไหม? แล้วเราก็ไปเชื่อว่าอ๋อ! หมายถึงเราเชื่อพระเยซู เราจะได้รับการรักษาให้หายโรค พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน  ถูกเฆี่ยน รอยแผลเฆี่ยนของพระองค์ ทำให้เราหายโรค จากโรคมะเร็ง โรคหวัด โรคเจ็บคอ โรคอะไรแล้วแต่ สมมติ เราคิดว่ามันเป็นเรื่องวัตถุ เสร็จเลย

“เอ๊ะ ทำไมคนนี้ป่วยตาย เป็นคริสเตียน ทำไมป่วยเป็นมะเร็งตาย”

มันยุ่งวุ่นวายไปหมดเลย แต่ถ้าท่านเล็งไปถึงโลกวิญญาณว่าตรงนี้ พระคัมภีร์เขียนไว้ กำลังบอกเราล่วงหน้าถึงโลกฝ่ายวิญญาณว่ามันจะเกิดขึ้นอย่างนี้  รอยแผลเฆี่ยนของพระเยซู พระเยซูมารับบาปของเรา เอาบาปของเราออกไป เราหายจากโรคบาปทางวิญญาณแล้ว  จบเลย  วิญญาณเราใสปิ้ง ไปอยู่ในสวรรค์แน่นอน ส่วนร่างกายก็ว่ากันไป ตามที่พระเจ้าจะนำพาเราต่อไป เอเมน อย่างนี้มันเป๊ะเลย มันไม่ยาก

อีกอันหนึ่ง พระคัมภีร์บอก พระเยซูตรัสเองนะ … “จงขอแล้วจะได้ จงเคาะแล้วจะเปิด” พระเยซูตรัสเองเลย  จงขอแล้วจะได้ ปรากฏว่าเราขอมาตั้งนานแล้ว  ทั้งอดอาหาร ก็อดแล้ว อธิษฐานโต้รุ่งก็ทำมาแล้ว แต่ทั้งหมด ก็ยังไม่ได้ตามที่ขอเลย ถูกไหม?  เราก็ฟุ้งซ่านไปหมด พระเยซูกำลังบอกว่าถ้าเราแสวงหาจริงจัง ในทางวิญญาณ เราจะได้พระพรตรงโน้น  เอเมน เห็นแล้วมันจะโอ้โห วิญญาณทั้งสิ้น

ยกตัวอย่างอีกอันหนึ่ง พระคัมภีร์บอกว่าจงให้ออกไป แล้วเจ้าจะได้กลับมา 100 เท่า 1000 ทวี บางคนเอาไปใช้ 100 เท่า ให้ไป 100 เพราะฉะนั้น คูณ 100 เท่า ก็เป็นเท่าไร? 100000 หรือ? โอ้โห ไม่มีหุ้นไหนดีกว่านี้แล้ว มาลงทุนกับพระเจ้าดีกว่า เขาประกาศกันอย่างนี้  มาลงทุนกับพระเจ้า 1 ได้ 100 ถ้าความเชื่อน้อยที่สุด ได้ 30 เท่า แค่นี้ก็รวยแล้ว  ปรากฏว่าเราลงไปจริงๆ เลย  ความเชื่อมั่นคงเลยว่าถ้อยคำนี้เป็นจริง ปรากฏว่าแล้วได้ไหม?  ถ้าได้ผมไม่เห็น ผมไม่เห็นท่านนั่งรถเมล์มา  แต่นี่หลายคนก็ยังนั่งรถเมล์มาอยู่นะ  ให้ไปตั้งนานแล้ว ควรจะซื้อรถไปได้แล้ว จริงไหม? แต่ตรงนั้นมันหมายถึงท่านให้ไปด้วยความเชื่อศรัทธาในนี้  ด้วยวิญญาณของท่าน ไม่ต้องการจะได้รับสิ่งกลับคืนเลย  เป็นความรักแท้จริงในการให้ออกไปเลย ไม่ต้องการหวังสิ่งกลับคืน ท่านจะได้รับพระพรเป็นหมื่นๆ ทวี ทางวิญญาณ

ถ้าพระเจ้าจะให้ฉันอยู่อย่างขัดๆ สนๆ อยู่บนโลกใบนี้  ใช้ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง อะไรประมาณนั้น ก็ว่ากันไปตามที่พระเจ้านำพา เอเมน แต่ไม่ขาด ก็แล้วกัน พระเจ้าสัญญาว่าไม่ขาด แต่ไม่ใช่โวยวายจะเอา 100 เท่า ป่านนี้ คริสเตียนรวยที่สุดแล้ว  ไม่จนอย่างนี้หรอก (จนทางกายภาพ) หมายถึงจนทางร่างกายวัตถุ การเงิน แต่ทางวิญญาณรวยมหารวยเลย คนที่เป็นคริสเตียน

นี่คือ 1 ในเหตุผลว่าทำไมผมถึงพยายามย่ำเรื่องโลกวิญญาณให้ท่าน มันเป็นเคล็ดลับอันหนึ่งที่ทำให้ท่านเป็นอิสระจากการถูกหลอกทั้งปวง ถ้ามาบอกท่านว่าระวัง  เดี๋ยวถูกหลอกเรื่องนี้  ระวังถูกหลอกเรื่องนี้ ต้องพูดไปอีก 8 หมื่นล้านครั้ง เพราะมันจะมีหลอกล่อมาหลายๆ เรื่อง  เยอะแยะไปหมด ตามไม่ทัน แต่ถ้าบอกเคล็ดลับท่านรู้ปุ๊บ ท่านอ๋อวันนี้  ต่อไปนี้ท่านจะไม่ถูกหลอกแล้ว เพราะท่านจะแปลไปทางโลกวิญญาณ ซึ่งเป็นไปตามถ้อยคำพระเจ้าจริงๆ เสียทีหนึ่ง  จะได้ไม่ถูกหลอก เลยต้องพูดวนไปวนมา  ถึงโลกวิญญาณว่าโลกวิญญาณมีจริง เรื่องทั้งหมด ในพระคัมภีร์ เป็นเรื่องโลกวิญญาณจริงๆ นะ ทั้งสิ้นเลย  ทั้งหมดเลย  ไม่ว่าท่านจะเข้าใจตอนนี้ หรือไม่เข้าใจ พระเจ้าเปิดเผยให้ท่านอย่างไรก็ตาม แต่มันเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น

เพราะผมรู้ว่าตรงนี้เป็นสิ่งที่สำคัญมาก และทุกครั้งที่ท่านอ่านพระคัมภีร์ ท่านก็จะสามารถมองทะลุไปทางโลกฝ่ายวิญญาณว่าที่กำลังอ่าน มันเกี่ยวข้องอะไรกับทางโลกฝ่ายวิญญาณ เกี่ยวข้องอะไรกับพระเยซูคริสต์จะมาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน  มาไถ่บาปให้กับมนุษย์ทั้งปวง เกี่ยวข้องอะไรกับแผนการใหญ่ที่เรียกว่าข่าวดีของพระเจ้า ท่านจะมองทะลุหมดเลย  เกี่ยวข้องหมดเลย

ผมจะยกตัวอย่างให้ท่านดูอีกข้อหนึ่ง เอาพระคัมภีร์ขึ้นมาเลย สมมติว่าท่านอ่านข้อพระคัมภีร์นี้  แล้วดูสิถ้าท่านคิดไปในทางโลก แปลไปในทางวัตถุ ซึ่งไม่ตรงกับถ้อยคำพระเจ้า ซึ่งแปลไปทางโลกวิญญาณ มันจะเกิดอะไรขึ้น ยกตัวอย่างนะครับ ฮักกัย 2:7-9 ท่านอ่านพระคัมภีร์ตามผมนะ ตรงนี้พระเจ้านะ  ตอนนี้เป็นเรื่องราวตอนสมัยอิสราเอล พระเจ้าปลดปล่อย ให้อพยพออกมาจากบาบิโลน จะมาสร้างเยรูซาเล็ม รื้อฟื้นเยรูซาเล็มใหม่

ฮักกัย 2:7-9 “7 เราจะเขย่ามวลประชาชาติ และสิ่งที่ประชาชาติทั้งหลายพึงปรารถนาจะหลั่งไหลมา และเราจะทำให้นิเวศนี้ เปี่ยมด้วยสง่าราศี’ พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสดังนั้น 8 พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ประกาศว่า ‘เงินและทองเป็นของเรา 9 สง่าราศีของนิเวศปัจจุบันจะรุ่งโรจน์กว่าสง่าราศีของนิเวศเดิม’ พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสดังนั้น ‘และเราจะให้สันติสุขแก่สถานที่นี้’ พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ประกาศดังนั้น”

 

ถ้าท่านอ่านเฉยๆ แล้วท่านไม่ได้เล็งไปที่โลกฝ่ายวิญญาณ ท่านจะมีความรู้สึกอย่างไร?  ถ้าเราอ่านข้อพระคัมภีร์นี้ แล้วก็ตีความแบบโลกวัตถุทั่วๆ ไป ตามตามองเห็น  ซึ่งไม่ตรงตามพระคัมภีร์ จะได้ความหมายอย่างไรครับ? นิเวศของพระเจ้าจะต้องเปี่ยมด้วยสง่าราศี  พระเจ้าจะทำให้สง่าราศีของนิเวศน์ปัจจุบัน รุ่งโรจน์กว่าสง่าราศีของนิเวศน์เดิม

เพราะฉะนั้น ถ้าคุยกันแบบโลกวัตถุ นิเวศน์ของพระเจ้า ก็คือคริสตจักรของพระเจ้า ถูกไหม?  คริสตจักรของพระเจ้าจะเปี่ยมด้วยสง่าราศี  ก็มีความหมายว่าคริสตจักรของพระเจ้าจะต้องใหญ่โต สวยงาม โอ่อ่าตระการ ดูภูมิฐาน สมพระเกียรติพระเจ้า ถูกไหม?  ถ้าท่านแปลว่าอย่างนี้ โอ้โห คริสตจักรต้องสวยงามสิ ต้องสมเกียรติพระเจ้า พระเจ้ายิ่งใหญ่

สง่าราศีของนิเวศน์ปัจจุบันจะรุ่งโรจน์กว่าสง่าราศีของนิเวศน์เดิม  พระเจ้าตรัสอย่างนั้น  เพราะฉะนั้น ถ้าพระเจ้าจะให้เราสร้างคริสตจักรใหม่ ก็แปลว่าคริสตจักรใหม่จะต้องดีกว่าคริสตจักรเดิมอย่างแน่นอน เพราะพระเจ้าตรัสไว้อย่างนั้น นี่ไปแล้วๆ เห็นหรือยัง? เห็นอะไรไหม?  ถูกไหม? แล้วท่านเชื่ออย่างนั้นไหม?  พอดีเลย โฮลี่กำลังจะมีคริสตจักรใหม่ในอนาคตอันใกล้นี้  มันจะหมดสัญญาที่นี่แล้ว  เรากำลังอธิษฐานขอการทรงนำจากพระเจ้าว่าจะให้เราดำเนินการอย่างไรต่อไป ซึ่งถ้าเราตีความตามถ้อยคำพระเจ้าที่เราอ่านในฮักกัย เมื่อสักครู่นี้  เราก็ต้องมองไปหาที่ที่ทำไม? ใหญ่กว่านี้ สวยกว่านี้ ดีกว่านี้ โปเจคเตอร์ดีกว่านี้  เก้าอี้ที่นั่งดีกว่านี้  เอเมนไหม? ไม่เอเมน มันไม่ต่างกันกับพระเจ้าเอเมนได้อย่างไร?  เพราะท่านชินกับของเก่ามา ชินกับความรู้เก่าๆ  ชินกับสิ่งที่ท่านคิดว่ามันควรจะเป็น ท่านคิดเองว่าควรจะเป็น แต่พระเจ้าบอกว่าไม่ได้สัญญาไว้อย่างนี้สักหน่อย

ท่านคิดดูสิว่าถ้อยคำพระเจ้า เราเอามาจากไหน? ที่ผมบอกตะกี้นี้ เอามาตั้งแต่สมัยที่พระเจ้าตรัสผ่าน บอกล่วงหน้าถึงโลกฝ่ายวิญญาณ ผ่านทางเรื่องราวที่เกิดขึ้น ในสมัยอิสราเอลอพยพออกจากบาบิโลน มาสู่เยรูซาเล็ม แล้วก็ได้รื้อฟื้นสร้างเยรูซาเล็มใหม่  จากนั้นมา เยรูซาเล็มก็ถูกสร้างขึ้นมาใหม่  มาสุดท้ายจนจบ  อีกประมาณสักหลายร้อยปีต่อมา  สร้างจบตอนไหน?  จบตอนกษัตริย์เฮโรด ตอนที่พระเยซูเกิดนั้น  สร้างสวยงามเลย สวยงามจริงๆ  หล่อเป็นทอง เอาทองใส่เรียบร้อยเลย  คนเขานึกว่าแสดงว่าพระคัมภีร์บอกจริง แล้วจริงไหม? ปรากฏว่าสวยงามมากใช่ไหม? พระเยซูเดินผ่าน พระเยซูบอกแม้หินสักก้อน ก็จะไม่เหลือ ในอนาคตอีกไม่ช้า ปรากฏตอนนี้พระเยซูตายไปแล้ว และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม ไปอยู่ในสวรรค์แล้ว  กรุงโรมส่งทหารมา จัดการกับอิสราเอลเรียบวุธ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วิหารหลังนี้ถูกเผา ถูกเอาทอง ลอกเอาทองไป แม้แต่หินก้อนหนึ่ง ก็ไม่ให้เหลือตามที่พระเยซูบอกล่วงหน้าไว้แล้ว ไหนล่ะ สง่าราศีกว่าเดิมไง

แล้วจากวันนี้ต่อมา จนถึงทุกวันนี้  ก็ยังเป็นซากปรักหักพังอยู่ถึงทุกวันนี้เลย  ไหนสง่าราศีดีกว่าเดิม ไหนล่ะ ท่านก็จะแย้งกันแล้ว แล้วท่านก็จะเก็บไว้ในใจ ช่างมันๆ มันจะไม่เกิด มันก็ไม่เกิด แล้วแต่น้ำพระทัย ไม่ใช่น้ำพระทัย แต่เพราะท่านแปลผิด  เห็นหรือยัง? เห็นภาพหรือยัง? เพราะฉะนั้น ในโลกฝ่ายวิญญาณ มันเป็นอีกคนละเรื่องกัน  ท่านจะมองเห็นภาพแล้ว

เพราะฉะนั้น นี่คือตัวอย่างการอ่านพระคัมภีร์และตีความแบบผิดๆ  ซึ่งในความหมายที่แท้จริงของพระคัมภีร์ตรงนี้ เรามาดูกันนะ เราต้องอ่านและทำความเข้าใจในเนื้อหา บริบท และเล็งไปถึงโลกวิญญาณว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นในโลกวิญญาณ โลกวิญญาณอะไรที่เกิด พระเจ้ากำลังทำอะไร?  ซึ่งเราเรียกว่านิมิต เรากำลังเข้าไปหาการสำแดงความรู้ทางโลกวิญญาณว่าเปิดตาวิญญาณให้ลูกที ลูกจะได้เข้าใจตรงนี้ว่าพระองค์กำลังทำอะไรในโลกวิญญาณ

แล้วดูนะว่าความหมายในโลกวิญญาณเป็นอย่างไร? เราลองมาอ่านถ้อยคำเมื่อตะกี้นี้  แล้วก็เติมก่อนหน้านี้อีกสักนิดหนึ่ง  เพื่อท่านจะได้เห็นภาพชัดเจน ซึ่งก่อนหน้านี้ พระองค์ตรัสไว้ว่าอย่างไร? ในฮักกัย 2:4-9 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ …

ฮักกัย 2:4-9 “4 แต่บัดนี้ จงเข้มแข็งเถิด เศรุบบาเบลเอ๋ย’ องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า ‘จงเข้มแข็งเถิด มหาปุโรหิตโยชูวาบุตรเยโฮซาดักเอ๋ย จงเข้มแข็งเถิด ประชาชนทั้งปวงในดินแดนนี้’ องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น ‘และจงทำงานไปเถิด เพราะเราอยู่กับเจ้า’ พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ประกาศดังนั้น 5 ‘ตามที่เราได้ทำพันธสัญญาไว้กับเจ้า เมื่อเจ้าออกมาจากอียิปต์ และจิตวิญญาณของเรายังคงอยู่ท่ามกลางพวกเจ้า อย่ากลัวเลย6 “พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสว่า ‘อีกสักหน่อยหนึ่ง เราจะเขย่าฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ทะเล และผืนแผ่นดินอีกครั้ง 7 เราจะเขย่ามวลประชาชาติ และสิ่งที่ประชาชาติทั้งหลายพึงปรารถนาจะหลั่งไหลมา และเราจะทำให้นิเวศนี้ เปี่ยมด้วยสง่าราศี’ พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสดังนั้น 8 พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ประกาศว่า ‘เงินและทองเป็นของเรา 9 สง่าราศีของนิเวศปัจจุบันจะรุ่งโรจน์กว่าสง่าราศีของนิเวศเดิม’ พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสดังนั้น ‘และเราจะให้สันติสุขแก่สถานที่นี้’ พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ประกาศดังนั้น”

 

มันหมายถึงสิ่งที่พระเจ้าจะทำตอนที่พระเยซูตายที่ไม้กางเขน  และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 และสร้างอาณาจักรหนึ่งขึ้นมา  ที่เราเรียกว่าโลกวิญญาณ อาณาจักรแห่งแสงสว่างลงมาบนโลกใบนี้ ที่เรียกว่าสวรรค์ พระองค์กำลังพูดถึงนี้ นี่คือคริสตจักร นี่คือพระนิเวศน์ของพระเจ้า

สมัยก่อนนี้ ก่อนที่พระเยซูจะเกิด พระนิเวศน์เดิม คืออะไร? คือพระเจ้ามาอยู่บนโลกใบนี้ ต้องอยู่กับมนุษย์ อยู่กับอาดัม อยู่กับมนุษย์ อยู่ท่ามกลางมนุษย์ แต่พอพระเยซูมา พระนิเวศน์ที่พระเยซูสร้างขึ้นในโลกวิญญาณนั้น พระเจ้ามาอยู่กับมนุษย์หรือเปล่า? มาอยู่กับเราหรือเปล่า? ใครบอกยกมือขึ้น? มาอยู่ในเราแล้ว  ดีกว่าเก่าตั้งเยอะ แต่ก่อนนี้อยู่ข้างๆ  อยู่ท่ามกลาง แต่ตอนนี้อยู่ในวิญญาณของเราแล้ว สง่าราศีตรงนี้ใหญ่กว่าเก่าตั้งเยอะ นี่เขาเรียกว่าการสำแดงความรู้ การเปิดตาฝ่ายวิญญาณ เข้าใจในโลกวิญญาณเห็นไหม?  ผิดไปเลยไหม? ผิดกับตะกี้เราแปลผิดปุ๊บ  ไปโลดเลย

เห็นไหม? พอท่านเข้าใจโลกวิญญาณ สมัยก่อนเดินกับอาดัม เดินกับมนุษย์ เดินกับโมเสส เดินกับโมเสส เดินกับอิสราเอล แต่ตอนนี้ เดินในผู้เชื่อในพระเยซู อยู่ในพระคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกันเลย  ไม่ใช่อยู่ข้างๆ ร่วมกันเป็นหนึ่ง เอเมน

นี่คือประโยชน์ของการเรียนรู้โลกวิญญาณ พูดถึงโลกวิญญาณ พูดถึงถ้อยคำพระเจ้า ต้องเป็นหนึ่งเดียวกันตลอด ทิ้งไว้ก่อน อย่าไปแปลมัน อย่าพยายามมันทางโลก  ไม่รู้ช่างมัน  อย่าไปยุ่งกับมัน ถ้าจะแปลนึกถึงโลกวิญญาณและในโลกวิญญาณมีเรื่องเดียวที่เป็นพล่อยสำคัญที่สุด คือพระเยซูมาตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต เพื่อชำระบาปให้กับมนุษย์ สร้างคริสตจักรขึ้นมาใหม่ เอาอาณาจักรสวรรค์ เอาอาณาจักรแห่งแสงสว่างลงมาบนโลกใบนี้

นี่คือเมนของเรื่องเท่านั้น จบแล้ว ใครๆ ก็เรียนได้ และที่ยังไม่รู้ ก็อธิษฐานขอพระเจ้าเปิดตาฝ่ายวิญญาณให้เราได้รับวิญญาณแห่งสติปัญญา วิญญาณแห่งการสำแดงความรู้ เปิดตาวิญญาณเรา ให้เราเข้าใจโลกวิญญาณว่ามันเกิดอะไรขึ้น  มันเกี่ยวข้องอะไรกับโลกวิญญาณบ้าง? เอเมน

 

********************

 

 

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 24 กันยายน 2017 เรื่อง “ความจริง จะทำให้เราเป็นไท” โดย นคร เวชสุภาพร

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 24 กันยายน 2017

เรื่อง “ความจริง จะทำให้เราเป็นไท”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีครับพี่น้อง เรากำลังเรียนรู้เรื่องโลกวิญญาณใช่ไหม? ถูกไหม? จำได้หรือเปล่าท่านเป็นอะไร? คุยกันได้ วันนี้จะสาธิตให้ต่อ ถ้าตอบไม่ถูก ก็จะไม่สาธิตให้ ท่านเป็นวิญญาณ ใช่ไหม? วิญญาณก็ต้องอาศัยในโลกของวิญญาณ สิ่งที่เรามองเห็นอยู่นี้ หน้าตาเรา คือวัตถุใช่ไหม? เพราะเราเห็น คือโลกวัตถุ เก้าอี้ อะไรต่างๆ นี่เรียกว่าโลกฝ่ายวัตถุใช่ไหม? นี่คือที่เราได้เรียนรู้กันในพระคัมภีร์สอนเราอย่างนั้น

พระคัมภีร์เป็นเรื่องความจริง ความจริงจะทำให้เราเป็นไท แค่รู้ความจริงนิดหนึ่ง ก็เป็นไทนิดหนึ่ง รู้มากขึ้น ก็เป็นไทมากขึ้นนิดหนึ่ง ความจริงรู้เยอะๆ ก็เป็นไทมากขึ้นเยอะๆ นี่คือเคล็ดลับเท่านั้นเอง และอันดับแรกที่เราควรรู้ความจริงนี้ ทำให้เราเป็นไท ก็คือรู้ว่ามันมีโลกฝ่ายวิญญาณจริงๆ มีจริงๆ พอในใจเรารู้ความจริงๆ ทำให้เรารู้ว่ามันมีจริงๆ เห็นไหม? มันตื่นเต้น

ซึ่งพระคัมภีร์ก็ได้บอกตั้งแต่หน้าแรกมาตั้งนานแล้ว บอกเป็นหลายพันปีแล้วว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เหมือนโลกกลม คล้ายๆ อย่างนั้น

เรามาเรียนรู้เรื่องโลกวิญญาณ ตกลงเชื่อไหมว่ามีโลกวิญญาณจริงๆ โลกที่เรามองไม่เห็น มันมีจริงๆ เชื่อไหม? ที่เรามองไม่เห็น จับต้องมองไม่เห็น จับต้องก็ไม่ได้ มองก็ไม่เห็น มันมีโลกนั้นจริงๆ เชื่อไหม? เชื่อ แล้วโลกนั้น เป็นโลกที่อยู่นิรันดร์ แต่โลกที่เรามองเห็นได้ วัตถุสิ่งของ มันอยู่แค่ชั่วคราว เดี๋ยวมันก็ไปแล้ว นึกออกใช่ไหม?

แล้วเอาเก้าอี้มาทำไม? เอาเก้าอี้มา เพื่อจะพิสูจน์ว่าข้อพระคัมภีร์นี้ เป็นจริง และอธิบายข้อพระคัมภีร์นี้ให้ท่านได้รู้ คืออยู่ในหนังสือเอเฟซัส 2:1-6 เดี๋ยวลองอ่านดู ท่านจะรู้ซึ้งมากขึ้น เมื่อผมสาธิตให้ท่านเห็นว่าพอท่านรู้เรื่องโลกฝ่ายวิญญาณ ท่านอ่านถ้อยคำนี้ ซึ่งอาจจะเคยอ่านมาก่อนหน้านี้ หลายครั้งแล้ว ในชีวิตคริสเตียน แต่ตอนนี้ ท่านรู้ว่าเข้าใจมากขึ้น? หมายถึงอย่างนี้เอง? เรื่องเป็นอย่างนี้เองหรือ?  เข้าใจแล้ว

นี่เป็นอย่างนี้นะ อันนี้สีดำ อันนี้สีขาว  แสดงว่าถูกต้องตาไม่บอดสี

สีขาว สัญลักษณ์ เราก็รู้อยู่แล้ว บริสุทธิ์ สะอาด ก็ต้องเป็นพระเจ้า ถูกไหม?

สีดำ ตรงกันข้าม ก็คือมาร มันหนีไม่พ้น

นี่ (สีขาว) ก็คือสว่าง  … นี่ (สีดำ) ก็คือมืด เราเรียนรู้มาตลอด ในโลกฝ่ายวิญญาณว่าในโลกฝ่ายวิญญาณ พระเจ้าสอนเราว่ามี 2 อาณาจักรเท่านั้นเอง โลกฝ่ายวิญญาณ มีอยู่ 2 อาณาจักร โลกทางวัตถุมีหลายอาณาจักรมาเลย มีทวีปโน้น ทวีปนี้ ประเทศโน้น ประเทศนี้  แต่โลกฝ่ายวิญญาณมีแค่ 2 อาณาจักร ยังไงก็มี 2 เชื่อหรือไม่เชื่อ? เราไม่เชื่อเรื่องพระเจ้า เราไม่ได้เป็นคริสเตียน ในโลกฝ่ายวิญญาณมีกี่อาณาจักร ก็มี 2 เราไม่เชื่อ เราไม่สนใจเลย เรื่องโลกวิญญาณมีกี่อาณจักร ก็มี 2 เราไม่เชื่อเลยว่าโลกมันกลม โลกมันกลมไหม? กลม ถูกไหม? เราไม่เชื่อ เราไม่ได้เป็นคริสเตียน ในโลกฝ่ายวิญญาณ มีไหม? มี … มีกี่อาณาจักร? มี 2 นี่คือความจริง ต่อให้จะเชื่อหรือไม่เชื่อ มันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ

ในโลกฝ่ายวิญญาณ มี 2 อาณาจักร เราเรียนรู้แล้ว อาณาจักรหนึ่งเรียกว่าอาณาจักรของความสว่าง อีกอาณาจักรหนึ่งเรียกว่าอาณาจักรของความมืด อาณาจักรแห่งแสงสว่างเป็นของพระเจ้า อาณาจักรแห่งความมืดมารครอบครอง เห็นไหม? จบแล้ว กลับบ้านได้  เราต้องการเรียนรู้แค่นี้เอง  แล้วเราไปเรียนอะไรมันมากมาย จนกระทั่งเรางงไปหมด อะไรไม่รู้เรื่องเลย  ยิ่งภาษายากๆ อันนี้มันง่ายๆ

นี่สิ่งที่พระเจ้าต้องการให้มนุษย์เรียนรู้ อันดับแรกเลย ไม่ต้องมีศาสนา ไม่ต้องมีอะไรมาเกี่ยวข้องเลย ก็คือรู้แค่นี้ก่อน มันมีจริงๆ นะโลกฝ่ายวิญญาณ  มีแค่ 2 อันเอง บอกมาตลอดทั้งเล่ม มีอยู่แค่นี้

คราวนี้เราก็มารู้ว่าในข้อพระคัมภีร์ที่ผมบอกเมื่อสักครู่นี้ จะพูดถึงว่าเจ้า 2 อาณาจักรนี้เราไปเกี่ยวข้องตรงไหน? คนที่เชื่อพระเจ้า หรือคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า มันเกี่ยวข้องตรงไหน? เราอยู่ในตำแหน่งไหน? ในอดีต หรือในปัจจุบัน เราอยู่ที่ไหน? เราต้องอยู่ในที่ใดที่หนึ่งแน่นอน ถ้าตรงนี้มันเป็นจริง ถูกไหม? มันจะบอกว่าเราไม่เชื่อหรอก ไม่อยู่ทั้งสองแห่ง เป็นไปได้ไหม? ก็เหมือนกับคนที่บอกว่า …

“ผมไม่เชื่อว่าโลกกลมหรอก  ผมจะเดินทางไปให้มันตกขอบโลกให้ได้”

แล้วตกไหม? ไม่ตก เพราะมันโค้งไปเรื่อยๆ เดินกลับมาที่เดิม ถูกไหม? เหมือนกัน

“ผมไม่เชื่อหรอก ไม่สนใจหรอก”

แต่จะสนใจหรือไม่สนใจ มันก็มี 2 อาณาจักร  คนที่บอกไม่สน เขาก็อยู่ในที่แห่งใดแห่งหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นอันนี้ หรืออันนั้น ถูกหรือเปล่า?  ถูกไหม? เขาจะต้องอยู่ในนี้ แห่งหนึ่งใดแห่งหนึ่งเหมือนกัน

เพราะฉะนั้น ถามตัวเราเอง ในขณะนี้ว่าท่านอยู่ที่ไหน? ท่านอยู่ที่ไหน? จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม สมมติว่าท่านเชื่อก่อนเลยว่าตรงนี้มีจริงๆ แล้วท่านอยู่ที่ไหน?  และเดี๋ยวไม่เชื่อค่อยว่ากัน ท่านต้องอยู่ที่ไหนที่หนี่งแน่ในนี้ ท่านแน่ใจไหมว่าท่านอยู่ที่ไหน? คนในนี้ท่านแน่ใจไหมว่าท่านอยู่ที่ไหน? ถามว่าคนที่นั่งอยู่ที่นี่ มั่นใจว่าท่านอยู่ที่ไหน? อยู่ในความสว่าง ตั้งแต่เกิดหรือเปล่า? ไม่อยู่ แล้วก่อนหน้านี้ ท่านอยู่ที่ไหน? ตอนนี้ท่านอยู่ที่ไหน? ในความสว่าง แน่ใจ เพราะอะไร?  เพราะว่าถ้อยคำพระเจ้าบอกไว้อย่างนั้น

บอกว่าพอเรามรับเชื่อในสิทธิในพระเยซูที่ได้ไถ่บาปให้กับเรา เรามาอยู่ตรงนี้แล้ว  เรามาอยู่ตรงนี้แล้ว อยู่ด้วยวิธีอะไร? พระเยซูทำให้ อยู่ด้วยวิธีอะไร? ในพระคัมภีร์บอกตอนนี้นะ เมื่อเรารับเชื่อพระเยซูคริสต์ แต่ก่อนเราอยู่อย่างนี้ เราบอก …

“พระเยซูลูกเชื่อในการไถ่บาปของพระองค์แล้ว”

อันนี้เอาง่ายๆ ก่อนนะ ไม่อธิบายอย่างละเอียด

“ลูกเชื่อว่าพระองค์มีจริงๆ แล้วส่งพระเยซูมาไถ่บาปให้ลูก ลูกเชื่อ เอาบาปลูกไปแล้ว ลูกสะอาดหมดจดแล้ว”

ไม่ใช่แค่นี้อย่างเดียว ไม่ใช่ยืนอย่างนี้ เราสะอาดหมดจดแล้ว  เราไม่ได้เดินเอง พอเราบอก เราเชื่อพระเจ้า แล้วพระเจ้าไถ่บาปเราแล้ว โดยพระเยซูคริสต์ พอเราพูดจบด้วยความเชื่อปุ๊บ สมมตินะพระเจ้าพาเราย้าย นี่พระเจ้าพาเรามานะ สบาย  … สบายไหมอย่างนี้  สบายกว่าที่เมื่อกี้ไหม? อย่างนี้เรียกว่าหายเหนื่อยและเป็นสุข สบายไหม? อยู่กับใคร? นั่งอยู่กับใคร? ความสะอาดทั้งหมดเลย ความบริสุทธิ์ทั้งหมดเลย พระเจ้า พระบิดา พระเจ้า พระบุตร พระเยซูคริสต์ พระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ ทั้งหมด ทั้งผืนนี้ แล้วยังทูตสวรรค์ล้อมรอบ ทูตสวรรค์ไม่ได้มาเกี่ยวกับผ้านี้หรอก ทูตสวรรค์อยู่ล้อมรอบ คอยเป็นเหมือนคนรับใช้เรา เป็นผู้รับใช้เรา รับใช้ครอบครัวพระเจ้า  เราเข้ามาเป็นลูกของพระเจ้า เป็นครอบครัวพระเจ้า

เพราะฉะนั้น เราสามารถทำอย่างนี้ได้ กระดิ๊กขาก็ได้  แต่ก่อนนี้เราอยู่ที่นี่ เรากระดิ๊กขาไม่ได้เลยนะ นี่คือเมื่อเรารับเชื่อในพระเยซูคริสต์ เราเป็นอย่างนี้ ใครคลุมเราอยู่? พระเจ้า พระเจ้า 3 พระภาคคลุมเราอยู่ ไม่คุมนะ  ทั้งคลุมและคุม คลุมไม่เท่าไร? แต่คุมเรา ก็คือควบคุมเราเลย จับเราเลย  อยู่กับพระองค์เลย กลัวอะไรไหม?  อยู่กับเราเลย พระคัมภีร์ใช้คำว่าครอบงำเรา  ใช้คำเดียวกันกับตะกี้นี้ก่อนหน้านี้ ที่เราอยู่ทางนี้ ยึดตัวเรา สนิทอยู่กับเราเลย นำพาเราตลอดไป แต่ตอนที่เรายังไม่จากโลกนี้ไป ตัวนี้  ไม่ใช่ตัวจริงที่ท่านเห็นผม มันไม่ใช่ตัวจริงของผม ตัวจริงของผมมองเห็นไหมตะกี้นี้บอกแล้ว โลกฝ่ายวิญญาณมองเห็นไหม? ไม่เห็น ตัวผมท่านมองไม่เห็น แต่ตัวที่ท่านเห็นอยู่นั้น เป็นร่างกายที่ไม่ใช่ตัวจริงของผม วันหนึ่งมันต้องลงไปเป็นดิน มันต้องเสื่อมสลายไป แต่ตัวจริงผมเป็นวิญญาณนั่งอยู่ตรงนี้เหมือนกัน ท่านมองไม่เห็น เห็นไหม? ไม่เห็น ก็มันเป็นวิญญาณจะเห็นได้อย่างไร? เห็นไหม? ไม่เห็น แต่ร่างกายที่ท่านอยู่ เป็นโลกฝ่ายวัตถุ ซึ่งมันต้องเสื่อมละลายไป วันหนึ่ง นึกออกหรือยัง? มันต้องแก่ไป มันต้องตายไป แต่วิญญาณผมทำไม? นั่งยิ้มแป้นตลอด เป็นลูกพระเจ้า เจริญเติบโตขึ้นทุกวัน คุยกับพระเจ้ากระหนุงกระหนิง นึกออกใช่ไหม?

เรามาดูว่าแต่ก่อนเราอยู่ที่นี้ หน้าตามันเป็นอย่างไร?  ดูจากอะไรรู้ไหม? ดูจากพระคัมภีร์ เพราะพระคัมภีร์บอก พ่อเราสอนความจริงให้กับเราว่า …

“ลูกเอ๋ย มันเกิดอะไรขึ้นบนโลกใบนี้  โลกฝ่ายวิญญาณมันเป็นอย่างไร?”

ลองดูนะ ตะกี้นี้ที่บอก เอเฟซัส 2:1-2 บอกว่าอย่างไร? อ่านข้อแรกก่อน

เอเฟซัส 2:1-2 “1 ส่วนท่านทั้งหลายได้ตายแล้วในการล่วงละเมิด และในบาปทั้งหลาย 2 ซึ่งท่านเคยทำ เมื่อดำเนินชีวิตตามวิถีของโลกนี้ และวิถีของเจ้าแห่งย่านฟ้าอากาศ ซึ่งเป็นวิญญาณที่บัดนี้ทำการอยู่ในบรรดาผู้ที่ไม่เชื่อฟัง”

 

ผมจะแปลภาษาเดิมให้ท่านได้เห็นชัด

“ท่านทั้งหลาย แต่ก่อนนี้ ท่านตายแล้ว”

แต่ท่านเห็นผมไหม? ยังอยู่ไหม? นครยังอยู่ไหม? อยู่ แล้วบอกตายได้อย่างไร?  ตายในที่นี่ คือวิญญาณผมไม่ได้อยู่กับพระเจ้า ไม่ได้อยู่ตรงนี้ นี่แปลว่าตาย มิได้หมายถึงแต่ก่อนผมตาย ไม่ใช่ ผมยังเป็นคนเดิมอยู่ ร่างกายผมก็เหมือนเดิม อาจจะหนุ่มกว่านี้นิดหนึ่ง หนุ่มกว่า 30 ปี แต่ก็ยังเป็นนครที่สามารถจับต้องมองเห็นได้ด้วยตา ทุกคนสามารถจับต้องมองเห็นได้ มองเห็นผมได้ด้วยตา แต่วิญญาณของผมเห็นไหม? ไม่เห็น

ในนั้นบอกว่าวิญญาณของผมอยู่ในการล่วงละเมิด คือบาป เพราะฉะนั้น อยู่กับพระเจ้าไม่ได้ ตาย เราเรียกว่าตาย

คราวนี้ท่านจะเข้าใจคำว่าตาย … คำว่า “ตาย” ในที่นี่ หมายถึงวิญญาณมันตาย วิญญาณที่ท่านมองไม่เห็นข้างในผม มันตาย ตายคือถูกตัดขาดออกจากพระเจ้า มีกำแพงกั้นตรงนี้ ไม่เห็นความสว่าง มีแต่ความมืด คุยกับพระเจ้าไม่ได้ ไม่รู้เรื่องอะไรทั้งสิ้น

แล้วดูนะ ในนั้นบอกว่า … “ท่านเคยดำเนินชีวิต”

ผมกำลังดำเนินชีวิตตามวิถีของโลกนี้ โลกของวัตถุนิยม  วัตถุต่างๆ บนโลกใบนี้ ตามเนื้อหนังที่ผมเห็น วิญญาณผมก็ไม่เชื่อ เชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง แต่ไม่สนใจเลย สนใจแต่เนื้อหนังข้างนอก เท่าที่เห็น

“และวิถีของจ้าวแห่งย่านฟ้าอากาศ ซึ่งเป็นวิญญาณที่บัดนี้ทำการอยู่ในบรรดาผู้ที่ไม่เชื่อฟัง”

ภาษาเดิมตรงนี้ ก็คือมาร … มารซาตาน ผมดำเนินชีวิตอยู่ใต้จ้าวแห่งย่านอากาศ ก็คือโลกฝ่ายวิญญาณที่คลุมโลกนี้อยู่ ที่เรียกว่าความมืด นำโดยมารซาตาน ผมกำลังอยู่ในการครอบครองของมัน และมันก็คลุมผมเลย ดำหมด มันไม่ได้คลุมผมอย่างเดียว มันคุมผม บังคับผม ทุกอย่างผมเป็นทาสมันทุกอย่าง ผมไม่มีสิทธิ์ทำอะไรเลย อย่างไรผมก็ดำตลอด เห็นหรือยัง? ผมดำอย่างนี้ มันคุมผมอยู่ตลอด ผมเป็นทาสมัน มาร ตามองเห็นเนื้อหนัง ร่างกายผมยังเป็นเหมือนเดิม ไม่เห็นมีอะไรแตกต่างกันปัจจุบัน แต่วิญญาณผมเป็นอย่างนี้

เอเฟซัส 2:3 “ครั้งหนึ่งเราเคยใช้ชีวิตร่วมกับพวกนั้น บำเรอตัณหาแห่งวิสัยบาปของเรา สนองความอยากกับความคิดของมันตามวิสัย เราจึงควรแก่พระพิโรธเหมือนคนอื่น”

 

“ครั้งหนึ่ง ก็คือครั้งนี้ อดีตนครเคยใช้ชีวิตร่วมกับพวกนั้น (คือพวกมาร) บำเรอตัณหาแห่งวิสัยบาปของเรา (การกระทำบาปสบายๆ) สนองความยากของกิเลสตัณหาเนื้อหนัง ตามวิสัย (ภาษาเดิม ภาษาไทย มีฉบับเดิมๆ เวอร์ชั่นแรกๆ ของเมืองไทย เขาแปล แต่เดี๋ยวนี้เขาเห็นว่ามันหยาบคาย เขาเลยเอาออกไป แต่จริงๆ มันตรงเป๊ะ มันไม่หยาบหรอก มันชัดเจน คือตามสันดาน) ก็คือเนเจอร์ ก็คือธรรมชาติในวิญญาณที่ตาย มันสมควรแก่ความพิโรธ ก็คือมันไม่สามารถเข้ากับพระเจ้าได้ ไม่ใช่พระเจ้าพิโรธเราหรอก หมายถึงเข้ากันไม่ได้ เข้าไปก็เด้งๆ เข้าไปถูกคอนซูม คือถูกเผาผลาญหมดเลย  เพราะว่าพลังความบริสุทธิ์ของพระเจ้ายิ่งใหญ่มาก เข้าใกล้พระเจ้าไม่ได้ มีอะไรบางอย่างกั้นตรงนี้อยู่ มีม่านเหล็กกั้นตรงนี้อยู่ นี่แปลว่าพระพิโรธ คือเราเข้าไปไม่ได้ เพราะโดยเนเจอร์ คือธรรมชาติของวิญญาณของเรา ของผม เป็นบาป คือต่อต้านกับพระเจ้า ไม่ชอบพระเจ้า เป็นทาสของมาร อยู่พวกมาร ทำอะไรพวกมารหมด อะไรที่ตรงข้ามกับพระเจ้า ผมทำหมดทั้งสิ้น (วิญญาณ) ต่อให้ข้างนอกทำดีบ้าง แต่วิญญาณมีสันดานบาป ไม่ได้ด่าตัวเอง พระคัมภีร์บอก”

พูดพร้อมกันนะ “อดีตเรามีสันดานบาป”

ไม่กล้าพูดหรือ? สันดาน พูดเรื่อยๆ มันชักชินปาก ไม่เห็นมีอะไรเลย  สันดาน ก็คือธรรมชาติ นึกออกใช่ไหม?

เอเฟซัส 2:4-5 “4 แต่เนื่องด้วยความรักใหญ่หลวงที่ทรงมีต่อเรา พระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยพระเมตตาอันอุดม 5 จึงทรงให้เรามีชีวิตอยู่กับพระคริสต์ แม้เมื่อเราได้ตายแล้วในบาป คือท่านทั้งหลายได้รับความรอดโดยพระคุณ”

 

ด้วยพระคุณความเมตตาของพระเจ้า ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ทำให้เราที่ตายแล้ว วิญญาณเราตายอยู่ กลับกลายเป็นมีชีวิตขึ้นมา แม้ว่าอดีตเราเคยตายลงในบาปไปแล้ว พระเจ้าพาเราข้ามมาฝั่งนี้  ที่เรารับเชื่อพระเยซูปุ๊บ เราย้ายมาตรงนี้

นี่ไงข้อนี้  ถามว่าที่เขียนว่า “ด้วยความรักใหญ่หลวง และความรักของพระเจ้าที่มีต่อเรา” เพราะเราไม่ได้ทำอะไรเลย  เราไม่ได้ทำอะไรสักนิดหนึ่ง เมตตาช่วยเราฟรีๆ นี่เขาถึงเรียกว่าพระคุณใหญ่หลวง

เอเฟซัส 2:6 “และพระองค์ทรงให้เราเป็นขึ้นมากับพระคริสต์ และในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าทรงให้เรานั่งในสวรรคสถานกับพระคริสต์”

 

ต้องกระดิ๊กขานิดหนึ่ง เพื่อให้ท่านเห็นว่ามันเป็นจริงตามนั้น เมตตาของพระเจ้า  โดยพระคุณ แปลว่าท่านไม่ต้องทำอะไร ให้ฟรีๆ พระองค์ทรงให้เราเป็นขึ้นมา วิญญาณเราเป็นขึ้นมากับพระเยซู และในพระเยซู พระเจ้าได้ให้เรามีสิทธินั่ง ในโลกวิญญาณ นั่งอยู่ที่สวรรคสถานกับพระเยซู … พระเยซูบอกว่าพระองค์เป็นหนึ่งเดียวกับพระบิดา คือพระเจ้า และพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพราะฉะนั้น ทั้ง 3 พระภาค เป็นหนึ่งเดียวกัน เพราะฉะนั้น เรานั่งอยู่กับ 3 พระภาคอยู่อย่างนี้  ตรงพระคัมภีร์เป๊ะ

เพราะฉะนั้น จบตรงที่ท่านรู้ไหมว่าอดีต ย้อนกลับมาอดีตผมนั่งอยู่ตรงนี้ (ฝั่งมืด) ย้อนกลับมาว่าพระคัมภีร์บอกว่าอดีต ผมดำอย่างนี้ ผมนั่งอยู่กับมาร วิญญาณผมมืดตลอด ร่างกายที่ท่านเห็น ผมไปทำดีบ้าง? ทำไม? ทำ ผมอาจจะช่วยคนบ้าง? ทำดีไหม? ดี ทำคิดดีไหม? ดีบ้าง แต่ข้างในวิญญาณที่มองไม่เห็น มันทำไม? มันดำ พระคัมภีร์บอกไม่มีใครดีสักคนหนึ่งเลย  ทุกคนล้วนแต่ชั่ว บาป เพราะข้างนอกอาจจะได้ทำดีบ้าง  แต่วิญญาณมันบาป เข้าใจใช่ไหม? ข้างนอก อาจทำอะไรสิ่งที่เรียกว่าดี มนุษย์เห็นผมทำดี แต่ข้างในมันจะดีอย่างไร? ข้างในมันก็เป็นบาป  ไม่มีใครช่วยผมได้ เพราะมารมันรัดเอาไว้ ผมอาจจะทำดีบ้าง แต่ผมเป็นคน นี่พระคัมภีร์พูดอย่างนี้ ผมอาจจะทำสิ่งที่ดีบ้าง? แต่ผมเป็นคนบาป

พอผมรับเชื่อพระเยซู นี่ข่าวดีเหรอ ข่าวดีเรื่องพระเยซูมาเหรอ พระเยซูไถ่บาปให้กับผมแล้ว ผมไม่ต้องอยู่ตรงนี้แล้ว พระเยซูช่วยผมได้  แค่ผมรับสิทธิของผมในพระเยซู ที่ทำให้ผมเท่านั้น พระเยซูทำให้ผมจริงๆ หรือ? วันนี้ผมตัดสินใจแล้ว  ผมเชื่อเรื่องนี้แล้ว  เชื่อที่ไหนก็ได้  เชื่อในห้องน้ำ  เชื่อที่บ้าน เชื่อที่โน้นที่นี้ก็ได้ ไม่เกี่ยวกับไปรับบัพติศมาในน้ำ ไม่เกี่ยวกับมาโบสถ์ ไม่เกี่ยวกับอะไรทั้งสิ้น  วันนี้ผมได้ยินข่าวดีเรื่องนี้ พระเยซูมาช่วยผมจริงๆ ผมเชื่อแล้วล่ะ

พอเชื่อปุ๊บ พระเจ้า พระเยซูก็ย้ายผมมาฝั่งดี (ฝั่งความสว่าง) พอย้ายมาตรงนี้ปุ๊บ ผมอยู่กับพระเจ้า วิญญาณผมสะอาดขาวบริสุทธิ์อย่างนี้เลย ขาวมากเลย  2 โครินธ์ 5:17 บอกผมขาว ใหม่เอี่ยมเลย ดูสิ จงมองให้เห็นเถิด ทั้งสิ้นใหม่หมดเลย ที่วิญญาณ

พระคัมภีร์จึงบอกว่า … “จงมองให้เห็นเถิด”

เพราะว่ามนุษย์ ตาวิญญาณมองไม่เห็น แต่มองในวิญญาณจะเห็นว่ามันขาวจริง ตามพระคัมภีร์บอก สะอาดหมดจดเลย ตอนนี้วิญญาณผมทำไม? ใสกริ๊งเลย ใสปิ้งเลย  เหมือนพระเจ้า บริสุทธิ์สะอาดเป๊ะ เป็นผู้ชอบธรรมเหมือนพระเจ้า  มีเนเจอร์ มีสันดานที่เปลี่ยนไป สันดานผมไม่ใช่สันดานบาปอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นสันดานที่เป็นเหมือนพระเจ้า มีเนเจอร์ มีธรรมชาติเหมือนพระเจ้าแล้วตอนนี้ ข้างใน มองไม่เห็น แต่มีเนเจอร์เป็นเหมือนพระเจ้า พระเจ้าให้ผมร่วมเนเจอร์เดียวกับพระองค์ มีธรรมชาติเดียวกับพระองค์ เป็นลูกของพระองค์ แต่ข้างนอกผมคนเดียวหรือเปล่า? เปลี่ยนไปไหม? นอกจากดูหนุ่มขึ้นนิดหนึ่ง แล้วมีอะไรเปลี่ยนไปหรือเปล่า? ไม่มีเลย แถมแก่ลงอีก สิวก็ขึ้นเยอะขึ้น ผมก็หงอกมากขึ้น แต่ที่มองไม่เห็นทำไม? พระคัมภีร์บอก โลกฝ่ายวิญญาณผมทำไม? ใสสะอาดกริ๊งเลย สะอาดบริสุทธิ์เลย

ถามว่าตอนนี้ ผมข้างในบริสุทธิ์แล้ว ตัวข้างนอก ออกไปทำอะไรต่างๆ ทำสิ่งที่ชั่วบ้างไหม? ทำ ผมเป็นผู้บริสุทธิ์  สะอาด ที่บางครั้งทำชั่วบ้าง ก็ตะกี้เราก็ใช้คำว่าชั่ว แต่ตอนนี้ไม่กล้าพูด อดีตที่ตะกี้ผมบอกว่าผมเป็นคนทำ บางครั้งผมทำสิ่งที่ดีมาก ถูกไหม? แต่ข้างในผมชั่ว แต่ตอนนี้ข้างในผมสะอาดหมดจดบริสุทธิ์ แต่ผมทำชั่วบ้าง แล้วมันเกี่ยวไหมว่าผมทำชั่ว แล้วผมจะไปลงที่นี่ (ฝั่งมืด) วิญญาณกับร่างกายผมไม่เกี่ยวกัน เข้าใจใช่ไหม? ถ้าเกี่ยวกับเมื่อไร? พระเจ้าก็ไม่ต้องมาช่วยผมแล้ว  ผมนั่งอยู่นี้ ผมดำๆ อยู่ ผมก็ทำความดีๆ แล้วผมก็ย้ายของผมมา ย้ายได้ไหม? ไม่ได้ เพราะข้างในมันเปลี่ยนไม่ได้ มันก็มืดอยู่วันยังค่ำ แต่ในขณะเดียวกัน เมื่อย้ายมาฝั่งนี้ (ฝั่งความสว่าง) คุณจะเป็นใครก็ตาม คุณจะไปคิดอะไรต่างๆ มากมายก็ตาม คุณก็เป็นคุณอยู่นั้น เป็นวิญญาณที่มันเป็นบริสุทธิ์ มันสะอาดแล้ว นี่คือข่าวดีที่มาถึงมนุษย์ทุกคน รับไปเถิด ง่ายๆ แค่นี้ ปรบมือขอบคุณพระเจ้าของเรา เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*********************

 

 

 

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 17 กันยายน 2017 เรื่อง “จงฝักใฝ่ในเรื่องวิญญาณ” โดย นคร เวชสุภาพร

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 17 กันยายน 2017

เรื่อง “จงฝักใฝ่ในเรื่องวิญญาณ”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีครับพี่น้อง

ให้บอกคนข้างๆ สิว่า … “คุณเป็นวิญญาณ”

คราวนี้ให้บอกตัวเอง … “จงฝักใฝ่ในเรื่องวิญญาณเยอะๆ มากๆ ทุกวินาที จงฝักใฝ่ในโลกวิญญาณ เพราะฉันเป็นวิญญาณ”

ไม่อย่างนั้นเราลืมอยู่เรื่อย  เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในยุคปัจจุบัน เราจะเห็นว่าทำให้เราทั้งหลายมันอดไม่ได้ที่จะเริ่มรู้สึกหวั่นไหว ถ้าเราไม่มองไปที่โลกวิญญาณ เราจะหวั่นไหว เราจะเริ่มตั้งคำถามว่า …

“เกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงเป็นแบบนี้”

แบบนี้ ทำไม? มีแต่ข่าวร้ายๆ ข่าวความไม่สงบ ข่าวระเบิด ข่าวก่อการร้าย ตามที่ต่างๆ มีให้เห็นไม่เว้นในแต่ละวัน ในทุกมุมโลกเลย จนทุกวันนี้ แทบจะพื้นที่สงบไม่ได้เลย และยังถูกซ้ำเติมด้วยภัยธรรมชาติอีก ตอนนี้ที่อเมริกาก็ภัยธรรมชาติ ที่ตุรกี มีทุกแห่ง เยอะแยะ ทั้งพายุ น้ำท่วม แผ่นดินไหว อากาศเปลี่ยนแปลง อุณหภูมิเปลี่ยนแปลง วุ่นวายไปหมดเลย มลภาวะ นี่ยังนับไม่หมดนะ ยังไม่นับจำนวนที่ต้องเผชิญกับปัญหาส่วนตัวอีก นี่ยังไม่เกี่ยว เป็นปัญหาข้างนอกนะ และยังมีปัญหาตัวมีอะไร? ท่านลองคิดสิ ท่านมีปัญหาอะไรอยู่ตอนนี้ การเงินมีปัญหาไหม? บางคนมี บางคนไม่มี สุขภาพมีปัญหาไหม? มีทุกคนเลย  ทำไมเดี๋ยวนี้เจ็บป่วยกันเยอะ แล้วโรคก็แปลกๆ ด้วยนะ  ไม่ใช่โรคของเราเองคนเดียว แล้วยังแถมคนที่เรารักยังเป็นโรคอีก โรคแปลกๆ ไปหมอ หมอก็เป็นโรคเหมือนกัน ไม่รู้ใครรักษาใคร ยุ่งไปหมดเลย แล้วรักษาไม่หายด้วย มลพิษแทบจะรอบตัวหมด แทบจะกินอะไรไม่ได้ อันนี้ก็เป็นพิษ อันนั้นก็เป็นพิษ แล้วจะกินอะไร? ก็ไม่รู้เหมือนกัน ทุกคนต้องระวังตัวเสี้ยววินาทีเลย

สรุป คือชีวิตเราบนโลกใบนี้ มันทุกข์ลำบากรายล้อมไปหมดเลย วิกฤตปัญหาเยอะแยะมากมายเต็มไปหมด ทั้งปัญหาระดับโลก ระดับประเทศ ระดับสังคม จนกระทั่งถึงระดับครอบครัว ตัวเราเองด้วย นี่ปัญหาเยอะแยะ

แล้วคำถามที่ตามมากับปัญหาเหล่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เชื่อพระเจ้าทั่วโลก คืออะไรครับ? พอได้เห็นอย่างนี้ปุ๊บ ความรู้สึก อาจจะไม่ตั้งคำถามมาจากคำพูดของตัวเอง  แต่ในใจอาจจะถามว่าแล้วทำไมพระเจ้าจึงปล่อย อนุญาตให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น และมันเกิดขึ้นได้อย่างไร? มีพระเจ้าจริงหรือ?  บางคนก็คิด ยิ่งโดยเฉพาะอย่างยิ่งเกิดขึ้นกับปัญหาตัวเอง มันอดไม่ได้ที่ถาม แล้วมีพระเจ้าจริงหรือ? แล้วทำไมปล่อยให้อย่างนี้ เกิดขึ้นกับเรา หรือกับฉันได้

พระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าทรงรักโลกและมนุษย์ยิ่งนัก ทรงประทานพระเยซูคริสต์ให้กับเรา แล้วทำไมโลกมันเลวร้ายขนาดนี้ รักโลก รักเรา แล้วทำไมปล่อยให้เป็นอย่างนี้ ไม่เว้นแต่ละวัน ที่มีความชั่วร้ายบนโลกใบนี้ ใครที่กำลังเผชิญกับปัญหาอย่างนี้อยู่ หรือใครก็ตามที่กำลังเผชิญปัญหาร้ายแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับส่วนตัว ก็จะคิดอย่างนี้เสมอ ไม่ว่าจะพูดหรือไม่พูดก็ตาม มันอดคิดไม่ได้

ซึ่งวันนี้จะมาหนุนใจท่าน สรุปคำตอบสั้นๆ  อธิบายให้ท่านฟังตามหลักพระคัมภีร์ว่าความชั่วร้ายต่างๆ เหล่านี้ ที่เราพูดกันเมื่อสักครู่นี้ ที่มันเกิดมากขึ้นทุกวันๆ มันมาจากไหน? มาจากพระเจ้าหรือ? แล้วพระเจ้าอนุญาตให้มันเกิดขึ้นหรือ? ทำไมมันต้องเกิดขึ้นกับฉันด้วย? ทำไม? คิดว่าน่าจะเป็นสิ่งที่สรุปพอให้ท่านมีกำลังใจ ที่จะทำในสิ่งต่างๆ เหล่านี้ และสามารถอดทนอยู่บนโลกใบนี้ ด้วยความทุกข์และสันติสุขข้างในได้ โรม 8:18-25 ผมแปลให้ท่านจากภาษาเดิมจริงๆ อธิบายให้ละเอียดขึ้น

โรม 8:18-25 “18 ข้าพเจ้าเห็นว่าความทุกข์ยากของเราในปัจจุบัน เทียบไม่ได้เลยกับพระเกียรติสิริ ซึ่งจะทรงสำแดงในเรา 19 สรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างจดจ่อรอคอยให้บรรดาบุตรของพระเจ้าปรากฏ 20 เพราะสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างได้ถูกทำให้ผิดเพี้ยนไร้ค่าไป ไม่ใช่โดยความสมัครใจของมันเอง แต่โดยความตั้งใจของผู้ที่บังคับให้มันต้องตกอยู่ในภาวะดังกล่าว ด้วยมีความหวัง 21 ว่าสรรพสิ่งเหล่านั้นจะได้รับการปลดปล่อย จากการผูกมัดให้ต้องเสื่อมสลาย และจะถูกนำเข้าสู่เสรีภาพอันรุ่งโรจน์ของบรรดาบุตรของพระเจ้า 22 เรารู้ว่าสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างกำลังคร่ำครวญ ราวกับเจ็บท้องจะคลอดบุตรจนถึงปัจจุบันนี้ 23 ไม่เพียงเท่านั้นแม้แต่เราเอง ผู้มีผลแรกของพระวิญญาณก็ยังคร่ำครวญอยู่ภายใน ขณะที่เราจดจ่อรอคอยการทรงรับเราเป็นบุตร คือการไถ่ร่างกายของเราให้รอด 24 เพราะว่าในความหวังนี้ เราได้รับความรอดแล้ว แต่ความหวังที่เห็นได้นั้น ไม่ใช่ความหวังเลย ใครเล่าหวังในสิ่งที่ตนเองมีอยู่แล้ว? 25 แต่ถ้าเราหวังในสิ่งที่เรายังไม่มี เราย่อมรอคอยสิ่งนั้น ด้วยความอดทน”

 

“ไม่มีความหวัง” คืออะไร? รอดพ้นจากเนื้อหนังร่างกายที่มันต้องตาย มันต้องทุกข์ทรมานนี้ โลกใบนี้นั้นเอง

สังเกตข้อ 20 ที่บอกว่า … “เพราะสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง ได้ถูกทำให้ผิดเพี้ยน ไร้ค่า ไม่ใช่โดยความสมัครใจของมันเอง แต่โดยความตั้งใจของผู้ที่บังคับให้มันต้องตกอยู่ในภาวะดังกล่าว”

โลกใบนี้ทั้งใบ มันมีชีวิตนะ พระเจ้าสร้างให้มันมีชีวิต ทั้งสัตว์ พืช วัตถุต่างๆ มีชีวิต มันไม่อยากจะเป็นอย่างนี้หรอก มันทรมานมาก มันก็อยากจะได้รับการปลดปล่อยเหมือนกัน พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น

ตรงนี้ คำอธิบายความชั่วร้ายทั้งหมดมาจากไหน? อยู่ตรงนี้ เราจะเห็น มันถูกบังคับโดยอะไร? สรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง ก็คือทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าได้สร้าง ตั้งแต่สมัยปฐมกาล ไปฟังดู ไปอ่านดู ล้วนเป็นสิ่งที่พระเจ้าบอกว่าอย่างไร? ตอนสร้างพระองค์บอกว่าดี … ดีหมดเลย  แต่มันถูกทำให้ผิดเพี้ยนไป (แปลจากภาษาเดิม) เสียหายไป เน่าไป เละไป เน่าเละไป ก็ไม่ได้มาจากพระเจ้าเป็นผู้กระทำ พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างชัดเจน แต่ต้นตอของผู้ที่ทำให้มันเกิดความเสียหายนี้ ก็คือมนุษย์ บรรพบุรุษของเรา  มนุษย์คนเดียว คนแรก คนเดียวเท่านั้น ที่มีชื่อว่าอาดัม ซึ่งถูกหลอกโดยมาร

นี่คือแก่นสารของความทุกข์ลำบาก และความชั่วร้ายทั้งหมด ที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ เพราะโลกทั้งใบนี้ ได้ตกอยู่ภายใต้ความชั่วร้าย ที่เรียกว่าความบาป คำสาปแช่ง ผลของความบาป

สาปแช่ง คือไม่มีพรนั่นเอง ไม่ดี เสียหาย อันเป็นผลมาจากการล่วงละเมิดของมนุษย์เพียงคนเดียวที่มีชื่อว่าอาดัม  ต่อพระเจ้าของเขา  อาดัมไปเอาเชื้อบาป เชื้อสกปรก ทำให้โลกนี้เน่าเละไปหมดเลย รวมทั้งมนุษย์ทั้งหลายก็เละไปหมด ถ้าพระเจ้าไม่มาช่วย ประทานพระเยซูคริสต์มาช่วยเรา เราจะอยู่อย่างนี้ ตลอดไปนิรันดร์ ความทุกข์ลำบาก ความเน่าเละ

การที่มนุษย์ล้มลงไปในความบาป  ทำให้ถูกตัดสินพิพากษา คือเป็นศัตรูกับพระเจ้า เข้าสู่ความตาย อนิจจัง ไร้ค่า ไร้ประโยชน์ ไม่แน่นอน ไม่หยั่งยืน ไม่มีจุดหมาย นี่ความหมายเดิมแปลว่าอย่างนี้

มนุษย์ล้มลงในความบาป แล้วเกิดอันนี้ขึ้น รวมความ ก็คือมนุษย์ต้องเป็นความทุกข์ ต้องอยู่กับความทุกข์ยากลำบาก ความชั่วร้าย ความเศร้าโศก ที่มนุษย์ทุกคนต้องเผชิญกับชีวิตของเขาบนโลกใบนี้ และตลอดไป  ถ้าเผื่อไม่มีพระเยซูคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด

เวลาบอกว่าพระเยซูคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด รอดจากที่ผมพูดทั้งหมดนี้ ความเน่าเละ ทั้งวิญญาณก็เละ ทั้งโลกก็เละ ตัวเราก็เละ ข้างนอกก็เละ สิ่งรอบข้างเละหมด ทั้งโลกเละหมดเลย ไปในทางเสื่อมโทรม ไปในทางตาย ไปสู่ภาวะทุกข์ลำบากทั้งนั้น

ในข้อ 23 บอกว่า “ไม่เพียงเท่านั้นแม้แต่เราเอง ผู้มีผลแรกของพระวิญญาณยังคร่ำครวญอยู่ภายใน ขณะที่เราจดจ่อรอคอยการทรงรับเราเป็นบุตร คือการไถ่ร่างกายของเราให้รอด”

ก็คือเราที่เชื่อพระเยซูคริสต์แล้ว เรามีผลแรกของพระวิญญาณ ก็คือพระวิญญาณก็เข้ามาอยู่กับเราเลย ทันทีทันใด ในวินาทีนั้น ที่เรารับเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระผู้ช่วย เป็นพระผู้ไถ่ปุ๊บ พระวิญญาณเข้ามาเป็นผลแรก เราเกิดใหม่ในวิญญาณทันที นั่นแหละ คือตัวเรา ผู้มีผลแรกของพระวิญญาณ ขนาดเราเกิดใหม่แล้วนะ เป็นลูกพระเจ้านะ ก็ยังคร่ำครวญอยู่ภายใน ข้างในมันทุกข์ทรมาน เพราะอึดอัดอยู่ในร่างกายเก่านี้ ที่ต้องเจ็บป่วย ทั้งทุกข์ ต้องลำบาก ต้องกังวล ต้องทำบาปอีก ต้องสู้กับมันทุกอย่าง

นี่แหละ คือความทรมานของมนุษย์ แม้ว่าจะเป็นคริสเตียน ก็เป็นอย่างนี้ นี่เห็นชัดเลยนะ แม้กระทั่ง เราเป็นประชากรของพระเจ้า  เป็นลูกพระเจ้าแล้ว เรายังไม่ได้รับการยกเว้นว่าจะไม่ทุกข์ มันอยู่บนโลกใบนี้ มันเป็นความทุกข์ น่าจะดีใจด้วยว่าถ้าเป็นทุกข์อย่างนั้นจริง แสดงว่าพระคัมภีร์เป็นจริง เพราะพระคัมภีร์บันทึกไว้ตั้งแต่ปฐมกาลแล้วว่าพระเยซูจะมา เชื่อไหม? เชื่อ แต่ก่อนพระเยซูจะมาบอกแล้ว พระเยซูมา เพราะโลกนี้ ตกอยู่ในความบาป ตกอยู่ในความทุกข์ยาก ถ้าเชื่อ ต้องได้ 2 อัน จะได้อันเดียวไม่ได้ เชื่อว่าพระเยซู พระเจ้าส่งมาได้ แต่ก็ต้องเชื่อด้วยว่าส่งมา เพราะว่าโลกมันตกลงไปในความบาป ยังไง เราก็ต้องอยู่ในความทุกข์ หนีไม่พ้น มีวิธีหนีได้อย่างเดียว ก็คือไปอยู่กับพระเจ้า อธิษฐานขอพระเจ้าทุกวัน รับไปเร็วๆ แล้วทำไหมล่ะ ก็ไม่ทำอีกแหละ ใช่ไหม?

เราต้องเผชิญกับความทุกข์ลำบากแน่นอน เพราะฉะนั้น มันมีวิธีการ แม้ว่าเราเป็นคริสเตียนก็ตาม  เราไม่มีสิทธิ์ เราไม่มีอำนาจ พูดง่ายๆ ที่จะหนีจากความทุกข์ยากลำบากที่เราต้องเผชิญบนโลกใบนี้ได้ ไม่มีทาง แต่เรามีความหวัง

ถามว่าเรามีความหวังอย่างไร? ในการรอคอยวันที่ได้รับการปลดปล่อยให้พ้นจากความทุกข์ ความบาปบนโลกใบนี้ เราอยู่ เรารู้ว่ามันแป๊บเดียว เดี๋ยวมันก็ต้องทิ้งร่างนี้ … ทิ้งร่างนี้ แล้วเป็นอย่างไร? เราหลุดรอดพ้นสบายแล้ว เราจบงานจบการเสียทีหนึ่ง เราได้พักเสียทีหนึ่ง เราเห็นชัดเจน เรามีร่างกายใหม่รอเราอยู่ เรามีโลกใหม่รอเราอยู่ เราจึงมีความหวัง คริสเตียนจึงมีความหวัง

แล้วความหวังตรงนี้ ทำให้เกิดความอดทน อยู่ได้ อดทนหน่อย พูดกับกระจก …

“กระจกเอ๋ย อดทนหน่อย อีกไม่นานเลย แป๊บเดียวเอง อดทนนิดหนึ่งๆ”

อย่างนี้แหละ เขาเรียกขอบคุณพระเจ้า พอรู้ความจริง ความจริงจะทำให้เราเป็นไท เราสงบได้ ถ้าเราไม่รู้ความจริง เราก็นึกว่าพระเจ้าทำไมปล่อยให้อันนี้เกิดๆ เราก็จะมัวแต่กังวล ทำไมเป็นอย่างนี้ๆ ความหวังในอนาคตตามถ้อยคำพระเจ้า เราก็แห้งหายไป ไม่ชัดเจน ไม่เห็นชัด มันรางไปทุกที เพราะมัวแต่มามองสิ่งที่มองเห็นได้  ที่เกิดความทุกข์ยากๆ ไม่มองไปที่พระเจ้า พระองค์สัญญาไว้อย่างไร? และเราเกิดใหม่อย่างไร? เราเป็นวิญญาณอย่างไร? วิญญาณเราเกิดใหม่แล้วนะเนี้ย เราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว เราจะเป็นลูกพระเจ้าตลอดไป เอเมน

นี่ก็มาหนุนใจกัน เพราะฉะนั้น โดยวิธีนี้เอง ที่เราจะสามารถอดทนอยู่กับความทุกข์ยากลำบากอยู่บนโลกใบนี้ได้ ซึ่งต่อจากนี้ไป ต่อจากพระคัมภีร์ตะกี้ในโรม บทที่ 8  ข้อที่ 28 เป็นข้อที่เราจำกันได้ ท่องกันได้หมดเลย ในโรม 8:28 จึงรวมที่ตะกี้ ที่เราอ่านเมื่อสักครู่นี้ พอมาถึงข้อ 28 บอกว่า … พระเจ้าทรงกระทำให้ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกนี้ มันไม่ว่าดีหรือเลว ไม่ว่าทุกข์ลำบาก ไม่ว่าน้ำท่วม ทำสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นระเบิดที่เขาระเบิดมา ไม่ว่าจะเป็นภูเขาระเบิด น้ำท่วม เฮอร์ริเคนอะไรต่างๆ พระเจ้าให้เราได้รับรางวัลดีๆ ทำงานประสบผลสำเร็จ ได้เงิน ร่ำรวยมาก มีสุขภาพแข็งแรงมาก  พระเจ้าทำให้สิ่งทั้งหมดนี้ ร่วมกันให้เกิดเป็นผล สำหรับผู้ที่รักพระองค์ ก็คือผู้ที่เชื่อพระองค์ ผู้ที่พระองค์ทรงเรียกมา ตามพระประสงค์ของพระองค์ เรียกมาในพระเยซูคริสต์ เอเมน ก็คือเราทั้งหลาย

เราไม่สามารถรักพระเจ้าได้หรอก จะบอกให้ฟัง คำนี้ มันแปลว่าพระเจ้าให้เราได้รับความรอดแล้ว วิญญาณเราเกิดใหม่ เราจึงรักพระเจ้าได้ ไม่อย่างนั้นคุณไม่มีทางรักพระเจ้าหรอก อย่าดีใจว่าฉันรักพระเจ้า พระเจ้าทำให้คุณรักพระองค์ ถ้าไม่มีวิญญาณเกิดใหม่เหมือนพระเจ้า ไม่มีการรักของแท้ รักใครก็ไม่เป็น อย่าว่าแต่รักพระเจ้าเลย  รักตัวเองยังไม่ได้เลย รักคนข้างๆ ก็ไม่ได้ มันของเทียมทั้งนั้น

ความรักแท้ มีอยู่ที่เดียว คือในวิญญาณพระเจ้า แล้ววิญญาณพระเจ้าได้ใส่เข้ามาในวิญญาณเรา ให้วิญญาณเราใหม่ พระคัมภีร์บอกให้วิญญาณเราใหม่แล้ว โดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ พอวิญญาณเราเกิดใหม่ เราจึงรักเป็น เราจึงมีรักแท้ คราวไม่ใช่รักพระเจ้าแท้ๆ แล้ว แต่รักใครก็ได้ แท้หมดทั้งโลกเลย เอเมน

พอเรารู้ความจริง ก็ว่ากันไป แล้วก็หนุนใจชูใจกันไปแต่ละวันๆ ว่านี่คือความหวังใจของเราทั้งหลาย ที่เรียกว่าผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*************************

 

 

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 27 สิงหาคม 2017 เรื่อง “เราเป็นความสว่าง” โดย นคร เวชสุภาพร

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 27 สิงหาคม 2017

เรื่อง “เราเป็นความสว่าง”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีครับพี่น้อง วันนี้มีเรื่องมาเล่าให้ฟังต่อว่าเมื่อเดือนที่แล้ว พระเจ้ามีโอกาสพาไปดูธรรมชาติในเทือกเขาต่างๆ ในแถบสแกนดิเนเวีย ก็ได้เห็นการทรงสถิตของพระเจ้า และได้เห็นอะไรบางอย่างที่พระเจ้าเปิดตาใจของเราอีกนิดหนึ่ง สอนเราในเรื่องถ้อยคำของพระองค์ ขณะที่นั่งรถไฟความเร็วสูง ประมาณ 300 กิโลเมตร/ชั่วโมง เร็วมาก แต่เรานั่งอยู่ในรถไฟ เหมือนช้าๆ มองออกไปข้างนอกเหมือนช้าๆ มันนิ่งมากเลย ถึงขนาดเขามาเสิร์ฟน้ำ เอาน้ำวางไว้บนโต๊ะ น้ำไม่หกเลย  น้ำแทบจะไม่สั่นเลย มันนิ่งมาก เหมือนเรานั่งอยู่กับที่ นั่งอยู่ในห้อง

พระเจ้าก็สอนเราว่าให้เราดูสิว่านี่คือมิติต่างๆ ที่อะไรบางอย่างที่พอจะอธิบายให้เราได้เข้าใจอีกนิดหนึ่ง ถึงเรื่องสิ่งที่พระเจ้าสอนเรา ให้ผมสังเกตอะไรรู้ไหม? สังเกตดูสิว่าป้ายเขาบอกว่ารถไฟกำลังวิ่ง 300 กิโลเมตร/ชั่วโมง แสดงว่ารถไฟ วัตถุที่เรียกว่ารถไฟ กำลังวิ่งด้วยความเร็วสูง 300 กิโลเมตร/ชั่วโมง แต่เจ้าแก้วน้ำ วัตถุที่มีชื่อเรียกว่าแก้วน้ำ ความรู้สึกของวัตถุนี้ มันอยู่เฉยๆ มันไม่ได้ทำอะไรเลย

ตอนที่ผมเข้าห้องนอน เดินย้อนกลับไป รถไฟไปทางเหนือ ผมไปทางใต้ ผมไปเข้าห้องน้ำ ผมกำลังเดินด้วยความเร็ว 1 กิโลเมตร/ชั่วโมง ช้าๆ ถูกไหมครับ? ผมกำลังเคลื่อนไหว เห็นไหม? เวลาเดียวกัน เวลาที่ผมกำลังพูด ณ เสี้ยววินาทีนั้น เห็นๆ เลย เท่าที่เห็น วัตถุ 3 สิ่งนี้อยู่ในเวลาเดียวกัน แต่คนละมิติ สำหรับรถไฟ กำลังวิ่งลิ้นห้อยเลย สมมตินะ  แต่ในขณะเดียวกัน แก้วน้ำมันบอกไม่มีอะไรเลย มันไม่ได้ไปไหนสักหน่อยเลย  ฉันก็อยู่กับที่ฉันเฉยๆ สำหรับผมที่ลุกขึ้นมาเดิน ถ้าผมนั่งอยู่เฉยๆ ก็เหมือนแก้วน้ำ แต่ผมลุกขึ้นมาเดิน ผมก็เดินก็เคลื่อนไหวอยู่ 1 กิโลเมตร/ชั่วโมง มาถามผม

ผมก็เถียงหัวชนฝา … “ผม 1 กิโลเมตร/ชั่วโมง”

ไปถามแก้วน้ำ แก้วน้ำก็เถียงหัวชนฝา … “ผมไม่ได้ทำอะไรเลย ผมอยู่เฉยๆ”

ขณะเดียว ไปถามรถไฟ … “ใครบอก ฉันวิ่ง 300 กิโลเมตร/ชั่วโมง”

แต่ทั้งหมดนั้น ก็ไปถึงจุดหมายเดียวกันหมดเลย คือปลายทาง ที่สถานีรถไฟ แล้วพระเจ้าสอนอะไร? พระเจ้าสอนหนังสือฮีบรู บทที่ 11 แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฮีบรู บทที่ 11 ตัวหลักใหญ่ ก็คือพระเจ้าพอใจในผู้คนที่เชื่อในพระเจ้าว่ามีชีวิตอยู่ คือเชื่อว่ามีพระเจ้าบนโลกใบนี้ และเชื่ออะไรอีก เชื่อว่ามีพระเจ้า สิ่งทั้งหลายที่มนุษย์มองไม่เห็น ที่เรียกว่าวัตถุ มันเกิดขึ้นจากสิ่งที่มองไม่เห็น สิ่งที่มองไม่เห็น มีอำนาจเหนือสิ่งที่มองเห็น แค่นี้เอง

ข้อความในฮีบรูนี้ขึ้นมา ทำให้ผมเห็น พระเจ้ากำลังจะบอกว่ามันมีโลกวิญญาณจริงๆ นะลูกเอ๋ย ใครก็ตามที่รู้จักพระเจ้า แล้วพระเจ้าพอใจในมนุษย์คนนั้นมาก นี่แค่เริ่มต้นเชื่อว่ามันมีโลกวิญญาณจริงๆ มันมีอีกมิติหนึ่งจริงๆ ซึ่งมิติ ถ้าเราไม่เข้าใจ ที่มองไม่เห็น มันมีอำนาจเหนือกว่ามิติที่เรามองเห็น วัตถุต่างๆ บนโลกใบนี้ มันมีอีกอันหนึ่ง ที่มันใหญ่กว่า เป็นผู้สร้าง เป็นผู้กำหนด มีอิทธิพลเหนือกว่าสิ่งที่เรามองเห็น

พอสอนแค่นี้ปุ๊บ ความกระจ่างในเรื่องถ้อยคำพระเจ้าต่างๆ ในพระคัมภีร์ มันก็โอ้โห เขาเรียกว่าความรู้มันขึ้นมา ความรู้ในทางพระเจ้า พระเจ้าสอนเราให้เห็น มิน่านะ มนุษย์พยายามถูกอะไรบางอย่าง ให้เฝ้ามองแต่สิ่งที่มองเห็นตลอดเวลา เฝ้ามอง จ้องแต่สิ่งที่มองเห็นตลอดเวลา ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม ความต้องการทั้งหมด ไปอยู่ในสิ่งที่มองเห็นตลอดเวลา ในขณะซึ่งสิ่งที่มองไม่เห็นนั้น สำคัญยิ่งกว่ามากนัก

พระคัมภีร์จึงบอกตั้งแต่หน้าแรกเลยว่ามนุษย์เป็นวิญญาณนะ มนุษย์ไม่ใช่วัตถุ มนุษย์เป็นวิญญาณ … วิญญาณ คือในมิติของวิญญาณ  และพระคัมภีร์ทั้งเล่ม เกี่ยวกับเรื่องวิญญาณทั้งหมดเลย อ่านดูต้องอ่านทางวิญญาณทั้งสิ้น  นี่แหละได้เห็น ผมจึงมิน่า พระเยซูพูดในถ้อยคำของพระองค์ว่า …

“ท่านทั้งหลายเป็นความสว่างของโลก”

ในหนังสือมัทธิว 5:14-15 พระเยซูจึงบอกว่า … “ท่านเป็นความสว่างของโลก” … ไม่ใช่มีความสว่าง ท่านเป็นความสว่าง “เป็น” กับ “มี” ไม่เหมือนกันนะ

ในเอเฟซัสบอกไว้ว่าอย่างไร? ในเอเฟซัส 5:8 บอกว่า … “เพราะว่าเมื่อก่อนท่านเป็นความมืด” …  ก่อนที่เราจะรับเชื่อพระเยซู เข้าบัพติศมาเข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์ อยู่ในจริงๆ นะ ตอนนี้เราอยู่ในพระเยซูคริสต์ อยู่กับพระองค์ เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์จริงๆ ก่อนหน้านั้น เราเป็นความมืด

เป็นอย่างไร? พอเราเข้าใจตรงนี้ เราถึงเข้าใจว่า “เป็นความมืด” เป็นอย่างไร? … “เพราะเมื่อก่อนท่านเป็นความมืด แต่เดี๋ยวนี้ท่านเป็นความสว่างในองค์พระผู้เป็นเจ้า จงดำเนินชีวิตของลูกของความสว่าง”

แสดงว่าตอนนี้เราเป็นความสว่างแล้ว แต่ก่อนนี้ ก่อนเราเชื่อพระเยซู เราเป็นความมืด เราไม่ได้มีความมืด แต่เราเป็นความมืด แต่เดี๋ยวนี้เราเป็นความสว่าง ไม่ใช่มีความสว่าง

สมมติว่าถ้าเผื่อ เมื่อก่อนนี้ เรามีความมืด สมมตินะ ถ้าเรามีความมืด เราก็คงจะสามารถช่วยเหลือตัวเองให้ลดความมืดให้มันน้อยลงได้ สั่งสมอะไรบางอย่างให้มันน้อยลง หรือแต่ก่อนนี้ เรามีความสว่าง เราก็ทำสว่างให้มันมากขึ้นได้ แต่ไม่ใช่ นี่เราเป็น เราไม่สามารถทำให้มากขึ้น หรือน้อยลงได้ เพราะเราเป็นอย่างนั้น  เหมือนเราจุดตะเกียง หรือจุดเทียน พอเราจุดเทียนปุ๊บ เทียนมันสว่าง เทียนมันติดสว่างขึ้นมา สว่างเพราะใคร? เพราะผมไปจุดมัน สามารถให้มันลุกโชติช่วงด้วยตัวเองไม่ได้ ผมจุดไว้เท่านี้ มันบอกผมจะเบ่งให้แสงมันเยอะขึ้น มันทำไม? ไม่ทำ มันก็สว่างแล้ว ในทำนองเดียว ผมเป่ามันดับ มันก็ดับแล้ว มันไม่สามารถที่จะบอกว่าผมจะดับน้อยลงหน่อย ดับนิดหนึ่ง ดับน้อย ดับก็คือดับ สว่างก็คือสว่าง ท่านรอดแล้ว ท่านเป็นความสว่าง ก็คือเป็นความสว่าง

แล้วพระเจ้าก็ให้ผมสังเกตเห็นว่าก็เหมือนกับที่มนุษย์เป็นผู้หญิง และเป็นผู้ชาย ท่านพยายามเป็นผู้หญิงได้ไหม? เกิดมาท่านพยายามเป็นผู้หญิงได้ไหม? ได้ มีหลายคนทำ แต่มันเป็นจริงไหม? มันก็ไม่เป็นจริง มันดูเหมือน แต่มันไม่ใช่ของจริง ของจริง คือมันเป็นอย่างไร? มันก็เป็นอย่างนั้น

ผมเกิดมามีผู้ชายนะ ถ้าผมมีผู้ชาย ผมก็พยายามเอาผู้หญิงเข้ามา ทำให้ผู้ชายน้อยลงได้  แต่ผมเกิดมาเป็นผู้ชาย ท่านเกิดมาเป็นผู้หญิง มัน “เป็น”  มันไม่ใช่ “มี” มันเลยทำอะไรไม่ได้ มันต้องเป็นอย่างนั้นแหละ ท่านพอมองเห็นอะไรไหมว่าผมกำลังพูดถึงเรื่อง 2 โลกต่างๆ ที่พระคัมภีร์ทั้งเล่ม ถ้าเผื่อใครจับเคล็ดลับตรงนี้ได้ จะอ่านพระคัมภีร์ได้เห็นชัดเจนมากยิ่งขึ้น ทะลุปรุโปร่งมากยิ่งขึ้น และมันจะมีสันติสุข ถาวรนิรันดร์ เพราะว่าสวรรค์มันอยู่ที่นี่แล้ว อยู่ตอนนี้เลย ณ วินาทีนี้แล้ว สวรรค์เข้ามาตั้งแต่เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ตั้งแต่พระเยซูตายที่ไม้กางเขน เป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 สวรรค์อยู่ที่นี่แล้ว ไม่ต้องไปหาที่ไหนแล้ว อยู่ที่นี่จริงๆ เหมือนที่ตะกี้นี้ที่ผมเล่าตอนแรกใช่ไหม? มันเป็นเพียงแต่เป็นมิติหนึ่งเท่านั้นเอง โคโลสี 1:12-14  ท่านลองอ่านดูนะ  …

โคโลสี 1:12-14 ก็เหมือนกันบอกไว้อย่างนี้ … “12 ในการขอบพระคุณพระบิดา ผู้ทรงทำให้พวกท่านเหมาะสมที่จะมีส่วนในกรรมสิทธิ์ของประชากรของพระเจ้า ในอาณาจักรแห่งความสว่าง 13 เพราะพระองค์ได้ทรงช่วยเราให้พ้นจากอาณาจักรของความมืด     และทรงนำเราเข้ามาสู่อาณาจักรของพระบุตรที่รักของพระองค์ 14 ในพระบุตรนี้เราได้รับการไถ่บาป คือการอภัยโทษบาปของเรา”

 

เข้ามาเป็นลูกของพระเจ้า ถามว่าอยู่ที่ไหน? ในอาณาจักรแห่งความสว่าง  คือมิติหนึ่ง อยู่เดี๋ยวนี้เลย อยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่าง

เพราะพระองค์ได้ช่วยเราแล้ว ให้พ้นจากอาณาจักรของความมืด ขณะที่เรายังอยู่ที่เดิม อยู่ประเทศไทย อยู่เมืองไทย อยู่กรุงเทพ นั่งอยู่ที่นี่เหมือนเดิม แต่เราได้ย้ายเข้ามาอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่างแล้ว แต่ก่อนเราอยู่อาณาจักรของความมืด

เหมือนตะกี้ที่ผมบอกไหม? เหมือนที่รถไฟ แก้วน้ำ และผมเดินบนรถไฟไหม? เหมือนกันเลย ในวินาทีเดียวกัน ตอนที่เรารับเชื่อพระเยซู ตอนนั้น เราได้พ้นจากอาณาจักรของความมืด และพระองค์ทรงนำเราเข้ามาสู่อาณาจักรของพระบุตรที่รักของพระองค์ ในพระบุตรนี้ เราได้รับการไถ่ คือการอภัยโทษบาปของเรา

เห็นไหมเนี้ย ขอบคุณพระเจ้า  มันชัดเจนไหม?  เพราะฉะนั้น พระคัมภีร์จึงบอก เตือนเรา ให้เรามองไปที่เบื้องบน “เบื้องบน” หมายถึงที่พระเยซูคริสต์สถิตอยู่ ณ เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน ที่สวรรค์ ถามว่ามองไปถึงเมื่อไร? รอตายแล้ว ไปมอง ไม่ใช่ มองเดี๋ยวนี้ว่าเราอยู่ที่นั่นแล้วตอนนี้ เราอยู่ที่เบื้องขวา จะเข้าใจหรือไม่เข้าใจ ก็ให้เชื่อว่าพระเจ้าสอนเราในเรื่องที่เป็นโลกวิญญาณ เป็นประโยชน์ต่อชีวิตเราว่า …

“ความจริง ลูกเอ๋ย ข้างนอกมันเป็นอย่างนี้ ในมิติต่างๆ มันเป็นอย่างนี้ ลูกไม่ต้องเข้าใจหรอก ถึงเข้าใจ ก็เข้าใจไม่ได้มาก เชื่อแล้วกัน”

นี่ไง ถึงต้องใช้ความเชื่อ มันหมายถึงอย่างนี้ เอเมน เพราะถ้าเราได้ตรงนี้ เราจะได้ทุกอย่างบนโลกใบนี้เลย คำว่า “ได้ทุกอย่าง” ไม่ใช่เกี่ยวกับวัตถุสิ่งของแล้ว เพราะเราเข้าไปอยู่ในมิติของโลกวิญญาณแล้ว เรารู้แล้ว เราก็ไม่กลัวแม้กระทั่งความตาย เพราะเรารู้ว่าขณะที่เรากำลังเตรียมตัวจะไปนั้น เราก็อยู่ที่นั่นแหละ เรากำลังจะย้ายมิติหนึ่ง ออกจากร่างนี้ เราไม่รู้ไม่เข้าใจ แต่พระคัมภีร์บอกเราว่ามันดีกว่าร่างกายเก่านี้เยอะ เราจะเข้าไปในมิติหนึ่ง อยู่ที่นี่ อยู่ที่เดิม ไม่ได้ไปไหนเลย เอเมน สวรรค์อยู่ที่นี่แล้ว สวรรค์เป็นของเรา สวรรค์อยู่ที่นี่แล้ว พระเยซูประกาศเสมอเลย ตั้งแต่วันแรก เดินมาบนโลกใบนี้ สวรรค์มาแล้ว สวรรค์กำลังมา สวรรค์อยู่ที่นี่ อยู่ที่ไหน? อยู่ในใจของท่าน คืออยู่ในวิญญาณของท่าน ท่านอยู่ในสวรรค์แล้ว เอเมน

พูดมาทั้งหมดนี้ อยากให้ท่านตื่นเต้นไปกับผมเท่านั้นเอง ท่านจะมองเข้าไปในอากาศเหมือนเดิม ท่านจะมองเข้าไปในบ้านเหมือนเดิม มองไปที่ผนังเหมือนเดิม มองออกจากรถเหมือนเดิม มองในสวนเหมือนเดิม แต่ท่านมองทะลุไปอีกอันหนึ่งว่าพระคัมภีร์เป็นจริง เข้าใจแล้ว ท่านจะเป็นอย่างนั้นแหละ คือท่านสามารถมองทะลุอีกมิติ โดยผ่านทางถ้อยคำของพระเจ้า พระเจ้าจะสอนเรา

เปาโลจึงบอกว่าข้าพเจ้าอธิษฐานวิงวอนพระเจ้าอยู่เสมอ ขอพระเจ้าทรงเปิดตาฝ่ายวิญญาณให้กับท่าน ประทานวิญญาณแห่งสติปัญญา ประทานวิญญาณแห่งการสำแดงความรู้ เปิดตาวิญญาณให้กับท่านได้รู้ว่าอะไรยิ่งใหญ่ในอาณาจักรของพระเยซูคริสต์ ที่พระองค์ได้ทรงชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย และนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระองค์ สูงยิ่งกว่าเหนือสิทธิอำนาจใดๆ เทพผู้ครอง ศักดิเทพทุกอย่างบนโลกใบนี้ทั้งหมด สูงส่งมากเลย และให้เรานั่งอยู่กับพระองค์ที่เบื้องขวานั้น เอเมน ขอบพระคุณพระเจ้า ขอบคุณพระเยซูคริสต์ เข้าใจไม่เข้าใจไม่รู้ เชื่อเอา เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*************************

 

 

 

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 13 สิงหาคม 2017 เรื่อง “ควันหลงวันแม่ 2017” โดย นคร เวชสุภาพร

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 13 สิงหาคม 2017

เรื่อง “ควันหลงวันแม่ 2017”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

สวัสดีครับ ยังมีควันหลงของวันแม่อยู่น๊า เมื่อวานเป็นวันแม่ สัปดาห์ที่แล้ว เราทำพิธีไปแล้ว ก็มีควันหลงนิดหนึ่ง

เมื่อพูดถึงความรักของแม่นั้น ท่านนึกถึงใคร? นึกถึงลูก ไม่ใช่  นึกถึงความรักของแม่ นึกถึงพระเจ้านะ พระเจ้าเป็นผู้ใส่ความรักของพระองค์ให้กับแม่ แล้วมีเพศเดียว สถานะเดียวในโลกนี้ ที่มีความรักที่ลึกซึ้ง ที่พระเจ้ามีต่อมนุษย์ เพราะเป็นเพศเดียวที่ให้กำเนิดลูก นึกออกใช่ไหม? คือพ่อให้กำเนิดจริง แต่พ่อไม่เห็นชัดๆ จากต้องตั้งท้องตั้ง 8-9 เดือน เขาเรียกว่าจากเนื้อของเนื้อ จากเลือดของเลือด จากกระดูกของกระดูก คือแม่จะใกล้ชิดมาก เพราะฉะนั้น จะเห็นความรักของพระเจ้าต่อมนุษย์ชัดมาก ในความรักที่อยู่ในเพศแม่

ผมได้เอาความรักของแม่มานิดหนึ่ง เนื่องในเทศกาลวันแม่ ถ้อยคำของพระเจ้าลึกซึ้งมาก แล้วมาเทียบโยงกับวันแม่แล้ว ทำให้บรรยากาศลึกซึ้งขึ้น วันนี้เอามาเล่าให้ท่านเป็นควันหลง แล้วผมได้เอาเพลงหนึ่งมา จำได้ไหมเพลง “ใครหนอ” …

จะเอาโลกมาทำปากกา และเอานภามาแทนกระดาษ

เอาน้ำหมดมหาสมุทรแทนหมึกวาด ประกาศพระคุณไม่พอ

นี่คือความรัก ที่แม่มีให้กับลูก จนผู้คนเห็น ซึ่งตรงนี้ ผมนึกถึงความรู้สึกของคนเป็นพ่อก็ตาม คนเป็นลูกก็ตาม เป็นแม่เองก็ตาม จะรู้เลยว่าถ้อยคำเหล่านี้ มันใช่จริงๆ เอามาใช้กับพ่อ บางทีไม่ค่อยเข้าเท่าไร? ที่ร้องไปตะกี้ เอาโลกมาทำปากกา เพราะความรู้สึกมันห่างไกลนิดหนึ่ง พูดตรงๆ ไม่ใช่เข้าข้างแม่นะ ความเป็นแม่ชัดกว่าเยอะ

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผมได้สนิทกับครูที่แต่งเพลงนี้มาก รู้ว่าท่านเอาความรักของแม่มาทำเป็นเพลงนี้ นั่นคือครูน้อย สุรพล นึกถึงท่าน สนิทกันมาก ช่วงหนึ่ง เมื่อ 20 กว่าปีก่อน ตอนทำเพลง ก็ไปให้ท่านแต่งเพลง สนิทกันมาก หลับตา ยังนึกถึงภาพ ท่านบอกว่าแต่งเพลงนี้มา เพราะว่าเห็นทุกอย่าง เห็นชีวิต เอาชีวิตประจำวัน เอาความรักที่แม่ห่วงใยลูกมากขนาดไหน? เขาเรียกว่าลูกในไส้ พ่อไม่สามารถบอกลูกในไส้ได้ แต่แม่บอกลูกในไส้ ลูกในท้อง  ท่านบอกว่าเอาคำต่างๆ เอามาจากกิริยาบท หรือว่าชีวิตประจำวันของแม่ ความรักของแม่ที่มีต่อลูกทั้งหลาย โดยเฉพาะในยุคสมัยก่อน ถ้าแต่งเพลงนี้ตั้งแต่ 2507 ประมาณนั้น  ตั้งแต่ผมอายุ 10 กว่าขวบ 12-13 ขวบ คิดดูสิ กี่ปีมาแล้ว ได้คุยกับท่าน

ท่านได้บอกว่านึกถึงภาพอย่างนี้ จริงๆ ทั้งเพลง ผมเอาเฉพาะท่อนนี้มาให้ท่านเห็นว่า “จะเอาโลกมาทำปากกา” นึกถึงว่าแม่รักลูกขนาดไหน?  ประกาศพระคุณไม่พอ แม่มีการกางมุ้งนอน ให้ดูหนัง 4 จอ ที่เราคุยกัน ตอนนั้นคือความเป็นจริง แม่เป็นผู้กางมุ้ง แล้วพาลูกไปนอน สมัยก่อนไม่มีมุ้งลวด เหมือนปัจจุบัน นอนต้องกางมุ้งกันยุง แล้วก็ให้ลูกนอน ดูแลยุงไม่ไต่ ไรไม่ให้ตอมอะไรประมาณนั้น

จำได้เลย ท่านอธิบายว่าเพลงนี้ แต่งเป็นอย่างนั้นๆ คืออิน ครูน้อยพูดนิดหนึ่ง ท่านอัจฉริยะในเรื่องแต่งเพลงจริงๆ ยอดมาก สนิทกันมาก นึกภาพท่านได้เลย ท่านเรียกผมว่านคร

“นคร เธอเป็นคนน่ารักจริงๆ นะ พาครูไปกินข้าวมันไก่หน่อยสิ”

ตอนพูดนั้น คือ 5 ทุ่มนะ ข้าวมันไก่ตอนพาไปทานประตูน้ำ 5 ทุ่ม ชีวิตเพิ่งเริ่มต้น ก็ขอบคุณพระเจ้า สำหรับเพลงนี้

ทำไมผมเอาเพลงนี้มาให้ท่านได้เห็น เพราะผมอยากให้ท่านเห็นความรักของพระเจ้าถึงบรรดามนุษย์ทั้งปวง โดยที่ผ่านทางความรักของแม่ที่เราเห็นในปัจจุบัน ที่ครูน้อย สุรพลเห็น แล้วเอามาแต่งเป็นเพลง ที่เราเห็นปัจจุบัน ที่เห็นการกระทำ เขาเรียกว่าเป็นธรรมชาติ ที่พระเจ้าใส่ลงไปในผู้ที่เป็นแม่ทุกคน เป็นอย่างนี้หมดเลย

และในพระคัมภีร์เขียนไว้อย่างไร? ผมเลยไปค้นพระคัมภีร์ที่เทียบความรักของพระเจ้าที่มีต่อบรรดามนุษย์ทั้งปวง โดยผ่านทางเพศแม่ ผมจะอ่านให้ท่านดู ในอพยพ 19:4 บันทึกไว้อย่างนี้

อพยพ 19:4 “‘พวกเจ้าเองได้เห็นสิ่งที่เรากระทำแก่ชาวอียิปต์แล้ว และเห็นวิธีที่เราพาเจ้ามาเหมือนลูกนกอินทรีบนปีกแม่ของมัน และนำเจ้ามาถึงเรา”

 

นี่พระเจ้ากำลังบอกถึงว่าพระองค์ทรงนำพาประชากรของพระองค์อย่างไร? เหมือนลูกนกอินทรีบินบนปีกแม่ของมัน คือแม่กางปีกออก แล้วลูกแปะไว้ข้างหลัง บนปีก แล้วไปเลย ท่านกลัวอะไร พระเจ้ากำลังถามท่านว่าท่านกลัวอะไร ตอนนี้ ท่านอยู่บนปีกของพระเจ้า ท่านกลัวอะไร?

มีอีกอันหนึ่ง  อันนี้สะใจมากเลย อ่านแทบร้องไห้เลยนะ โฮเซยา 13:8 ดูสิ พระเจ้าตรัสไว้อย่างนี้เลยนะ พระเจ้าตรัสว่า …

โฮเซยา 13:8 “เหมือนแม่หมีที่ถูกขโมยลูกไป เราจะเข้าโจมตีและฉีกพวกเขาออก เราจะเป็นดั่งราชสีห์ที่กลืนกินพวกเขา สัตว์ป่าจะฉีกพวกเขาออกเป็นชิ้นๆ”

 

นี่หมายถึงศัตรูของลูกของพระเจ้า พระเจ้าจะปกป้องลูกของพระองค์ จากศัตรูที่มาทำร้ายลูก เป็นเหมือนแม่หมีที่รักลูกมาก แล้วลูกถูกขโมยไป คุณเคยดูสารคดี หมีกริซลี เขาบอกหมีกริซลีดุมาก เวลาไปถ่ายรูป ต้องระวังมากๆ แต่ถ้าบอกว่าถ้ามันตบลูก ขณะที่มันเลี้ยงลูกอยู่นะ ต้องไปไล่ๆ เลย มันจะโกรธ มันจะเกรี้ยวกราดมากๆ มันจะหวงและห่วงลูกของมันมาก มันจะทำร้าย แบบไม่เลือกหน้า

เหมือนแม่หมีที่ถูกขโมยลูกไป เราจะโจมตี และฉีกพวกเขาออก ฉีกศัตรูของลูกออกไป เรากลัวอะไร ตอนนี้เราประสบปัญหาอะไรบ้าง เรากลัวอะไรไหม? ความจนจะมาฉีกเราเหรอ สุขภาพร่างกายจะทำร้ายเราใช่ไหม?  นรกจะมาทำร้ายเราหรือเปล่า? มารซาตานจะทำร้ายเราหรือ? พระเจ้าบอก …

“เราจะปกปักษ์พวกเจ้า เหมือนแม่หมีที่ปกปักษ์ลูก เราจะฉีกศัตรูของเจ้าออกเป็นชิ้นๆ”

พูดอย่างนี้เลย แสดงให้เห็นว่ามาสิ เราดูแลลูกของเราอย่างไร? เวลาเราพูดถึงพระเจ้าๆ บางทีเรากลัวพระเจ้า พระเจ้าไม่เคยตั้งใจมาทำร้ายลูกเลย มีแต่ปกปักษ์คุ้มครองดูแลลูก แต่ทำร้ายศัตรูอย่างเหี้ยมโหด นี่คืออย่างนั้น

สุดท้ายอีกอันหนึ่ง อันนี้ก็เจ็บแสบเหมือนกัน ตอนที่พระเยซูจะถูกตรึงที่ไม้กางเขน ถูกฟาริสีรุมว่ากล่าวพระเยซู ต่อต้านพระเยซู เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง? พระเยซูสงสารมากเลย พระองค์มา เพื่อจะช่วยลูกของพระองค์ ช่วยเขานะ ไม่ใช่ช่วยเขาแค่คนอิสราเอลสมัยนั้นเท่านั้น แต่ช่วยถึงมนุษย์ทั้งหมดในโลกนี้เลย รวมทั้งเราในปัจจุบันและอนาคตอีก เราจะช่วยพวกเขาให้รอดจากความบาปในใจ รู้ว่ามาทำอะไร? แล้วไปเจออย่างนี้ พระเยซูถอดใจและตรัสอย่างนี้ อยากจะมาช่วยเขาใช่ไหม? อยากจะมาช่วยลูกๆ ทุกคน คือมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ให้รอดจากบาป ไม่ต้องลงนรกใช่ไหม?  แล้วเขาไม่เข้าใจ บรรพบุรุษของเราสมัยนั้น คือสมัยอิสราเอล 2,000 ปีก่อนนั้น เขาไม่เข้าใจ พระเยซูจึงระบายอารมณ์ออกมาว่า …

“โอ … เยรูซาเล็มเอ๋ย เจ้าผู้เข็ญฆ่าเหล่าผู้เผยพระวจนะ และเอาหินขว้างบรรดาผู้ทรงส่งมาหาเจ้า เราปรารถนาอยู่เนืองๆ ที่จะรวบรวมลูกๆ ของเจ้ามา เหมือนแม่ไก่ที่กกลูกๆ ไว้ใต้ปีก แต่เจ้าไม่ยอมเลย เราต้องการเข้ามาช่วยมนุษย์ทั้งหลายต่อจากเจ้า รวมทั้งลูกหลานของเจ้าเยอะแยะมากมาย เข้ามาได้รับความรอด แต่เจ้าไม่ยอมเลย”

และพระองค์พูดถึงคนที่จะช่วยเหลือ รวมทั้งเราทั้งหลาย มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ใช้อะไรแทน ลูกๆ ที่เราจะรวบรวมมาเหมือนแม่ไก่ที่จะมาปกไว้ด้วยปีกของไก่ เข้ามาซุกอยู่กับพระองค์ นี่คือความรักของพระเจ้าที่มีต่อเรา  เหมือนไหม? เหมือนเด๊ะ แล้วธรรมชาติเหล่านี้ พออ่านปุ๊บ เรารู้ทันที เพราะว่าเป็นเพศแม่

ฉะนั้น วันนี้เลยอยากให้เราระลึกถึงความรักของพระเจ้า ระลึกถึงความรักของแม่ โอเค ทั่วๆ ไป ก็รู้กันหมด แต่วันนี้เป็นวันพิเศษ เป็นควันหลง เอาความรักของพระเจ้ามาเทียบกับความรักของแม่มาให้เห็นกัน ที่ได้เทิดทูนกัน เอาน้ำหมดมหาสมุทรแทนหมึกวาด ประกาศพระคุณความรักของพระเจ้ายิ่งไม่พอ ต้องใช้คำนี้เลย ยิ่งไม่พอใหญ่

สุดท้าย ข้อความสุดท้าย เรารู้จักกันนี้ ข้อความนี้ ในหนังสือยอห์น 3:16 ซึ่งเป็นพระคัมภีร์ที่ดังมากๆ

ยอห์น 3:16-17 บันทึกว่า “16 เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก (หมายถึงมนุษย์ทุกคน) จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์  เพื่อทุกคนที่เชื่อในพระบุตรนั้น  จะไม่พินาศ  แต่มีชีวิตนิรันดร์” 17 เพราะพระเจ้าไม่ได้ทรงส่งพระบุตร (คือพระเยซู) ของพระองค์มาในโลก เพื่อพิพากษาลงโทษมนุษย์เลย   แต่เพื่อช่วยมนุษย์บนโลกใบนี้ให้รอดจากบาป รอดจากนรก  โดยทางพระเยซู พระบุตรนั้น”

 

ผู้ใดที่เชื่อในพระเยซู ก็ไม่ถูกพิพากษา ไม่ต้องลงไปในนรก แต่ผู้ใดไม่เชื่อ ก็ถูกพิพากษาอยู่แล้ว เพราะว่ามันเป็นโทษอยู่แล้ว ไม่ได้มาเพิ่มเลย เพราะเขาไม่เชื่อในพระนามของพระเยซู พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า จึงต้องรับโทษเหมือนเดิม พระเยซูมาเพื่อไถ่คนที่ได้รับโทษ ให้พ้นโทษ คนที่อยู่บาปอยู่นั้น ให้พ้นบาป ส่วนคนที่ไม่เชื่อ ก็ยังบาปเหมือนเดิม ไม่ได้โทษเพิ่มขึ้นกว่าเดิมเลย

เห็นไหมความรักของพระเจ้ายิ่งใหญ่ มาเพื่อช่วย พูดตลอด ในพระคัมภีร์พูดตลอด ตั้งแต่อดีตที่เราได้ยกถ้อยคำบางคำออกมาอ่านเมื่อตะกี้นี้  พระเจ้ารักเราขนาดไหน? เพราะฉะนั้น ให้เราเห็นสิ่งต่างๆ เหล่านี้ เห็นความรักของแม่ในปัจจุบัน ก็นึกถึงความรักยิ่งใหญ่กว่านั้นอีก คือต้นแบบของความรักที่อยู่ในแม่ ก็คือความรักที่อยู่ในพระเจ้า ที่มีต่อบรรดามนุษย์โลกนี้ทุกคน เอเมน

 

*********************************

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 9 กรกฏาคม 2017 เรื่อง “พระเจ้าทรงควบคุมอยู่เหนือทุกสิ่ง” โดย นคร เวชสุภาพร

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 9 กรกฏาคม 2017

เรื่อง “พระเจ้าทรงควบคุมอยู่เหนือทุกสิ่ง”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีครับ ช่วงนี้เราเน้นเรื่องการบรรยายหนุนใจกันเกี่ยวกับพระเจ้าควบคุมอยู่เหนือทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นผู้บังคับบัญชาทั้งโลกวิญญาณ โลกวัตถุ ใต้โลก ไม่ว่าจะโลกไหนก็ตาม พระเจ้าควบคุม และยิ่งใหญ่สูงสุด แล้วเราก็ได้เรียนรู้กันถึงเรื่องว่าพระองค์ทรงกระทำสำเร็จแล้ว คือนำเรากลับไปหาพระองค์ คือนำมนุษย์ทุกคนกลับไปหาพระองค์ ผ่านทางพระเยซู ที่พระองค์ พระเยซูอยู่บนไม้กางเขนตรัสว่า …

“สำเร็จแล้ว”

สำเร็จ ก็คือเราสามารถกลับไปเป็นครอบครัวของพระเจ้าได้แล้ว เป็นลูกของพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์แล้ว เดี๋ยวนี้เลยนะ ไม่ต้องรอตาย แล้วค่อยไป สามารถไปเดี๋ยวนี้เลย การเปิดใจต้อนรับพระเยซู ต้อนรับความเชื่อตรงนี้ เราก็ได้รับสิทธิของเราทันที เรากำลังเน้นเรื่องนี้อยู่

วันนี้ ก็เลยมีคำพยานมาเล่าสู่กับฟัง หนุนใจเรื่องเล่านี้มากขึ้น เป็นเรื่องที่เกิดทันที เดี๋ยวนี้ อีกเรื่องหนึ่งเกิดเมื่อประมาณสัก 10 ปีที่แล้ว ลองฟังดู คำพยานแรกรู้สึกง่ายๆ แต่มันเกิดขึ้นจริงๆ แต่ต้องการให้ท่านสังเกตเท่านั้นว่าพระเจ้าควบคุมอยู่จริงๆ อย่างไร? และเราอยู่ในพระเยซูแล้ว เราเป็นหนึ่งกับพระองค์ เราเป็นวิญญาณเดียวกัน ไปไหน พระเยซูก็อยู่กับเราตลอด  ไม่ว่าอธิษฐานหรือไม่อธิษฐานก็อยู่กับเรา ไปทุกหนทุกแห่ง มันเป็นเช่นไร? พระเจ้านำเราเช่นไร? อาจจะเรื่องเล็กๆ สำหรับเราทั้งหลายในขณะนี้ว่าเรื่องนี้เล็กๆ แต่ก็ฟังเรื่องนี้ก่อน แล้วเรื่องที่ 2 ใหญ่กว่านี้

เป็นคำพยานของนักท่องเที่ยวคนหนึ่ง เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นเร็วๆ นี้เอง เป็นคำพยานที่ย้ำถึงความจริงที่ว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้ควบคุมและครอบครองอยู่เหนือทุกสิ่ง ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นได้เลย ถ้าพระเจ้าไม่ทรงอนุญาตให้เกิดขึ้น มีนักท่องเที่ยวกลุ่มหนึ่ง เขาเตรียมตัวเดินทางมาเที่ยวเมืองไทย ครั้งแรก จองตั๋วเครื่องบินเรียบร้อยแล้ว จากนั้น ก็เริ่มศึกษาสถานที่ท่องเที่ยว จองตั๋วเครื่องบินล่วงหน้า เริ่มจากค้นหาข้อมูลในอินเตอร์เนต สอบถามข้อมูลจากคนที่เคยไปมาแล้วว่าจะไปเที่ยวไหนดี เพราะการวางแผนล่วงหน้าก่อน จะทำให้เราได้ซื้อได้ในราคาที่ถูก รวมทั้งตั๋วเครื่องบินด้วย

และก็ได้รับข้อมูลว่าการเดินทางด้วยตัวเอง อาจลำบากหน่อย  และอาจจะมีปัญหาเรื่องภาษา เขาก็เลยตัดสินใจที่จะซื้อทัวร์เมืองไทยร่วมด้วย มาซื้อทัวร์ในนี้ มันจะได้ราคาถูก จองล่วงหน้า เขาก็ค้นหาบริษัทต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แล้วก็ที่มีโปรแกรมทัวร์ที่น่าสนใจ จนในที่สุด ก็ได้พบกับโปรแกรมที่ถูกใจ เที่ยวทั่วไทยใน 10 วัน แถมมีโปรโมชั่นพิเศษด้วย ถ้าจองล่วงหน้า 2 เดือน จ่ายเงินทันที จะได้รับส่วนลดทันที 10% ไม่น้อยนะครับ ก็ไม่รอช้า จัดการจองออนไลน์ ผ่านทางอินเตอร์เนต

พอหลังจากจัดการเรื่องโปรแกรมทัวร์ทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว ก็ใจเย็นๆ สบาย รอวันที่จะเดินทางอีกแค่  2 เดือนเท่านั้น ก็จัดเตรียมอะไรต่างๆ ไป ปรากฏว่ามีอยู่วันหนึ่ง ก่อนการเดินทาง มีอยู่วันหนึ่ง ก่อนการเดินทาง 8 วัน  อยู่ๆ ก็บังเอิญ

ให้เราพูดพร้อมกันว่า “บังเอิญ”

มนุษย์เราชอบพูดอย่างนี้ อยู่ๆ ก็บังเอิญไปหยิบรายการทัวร์ที่จองไว้มาอ่านดู ไม่ได้ตั้งใจจะอ่าน บังเอิญ ก็ตกใจ อ้าว! เพราะว่าโปรแกรมทัวร์เมืองไทยที่จองไว้ มันกลายเป็นจองผิดวัน คือเขาจะเดินทางมาถึงเมืองไทย วันที่ 17 และตั้งใจจองทัวร์วันที่ 18 แต่ในใบคอนเฟรม กลายเป็นจองวันที่ 16 ตอนที่จองทางออนไลน์ คงตื่นเต้นมาก กดวันผิดไป ไม่รู้ตัว แล้วที่ทางทัวร์คอนเฟรม เขาไม่ได้ตรวจดูว่ามันตรงกันไหม? เวลาจองเสร็จเขาจะมีคอนเฟรมมาว่าวันที่ 16 ก็โอเค แต่จริงๆ มันไม่ตรงกับคิวที่วางไว้ มันต้องตรงเป๊ะหมด ทั้งการเดินทางด้วยเครื่องบิน โรงแรม ทุกอย่างมันต้องตรงกันหมด ทำอย่างไรดีคราวนี้ อาทิตย์หน้าจะเดินทางแล้ว 8 วัน ถูกไหม อีกอาทิตย์เดียว ยิ่งพออ่านรายละเอียด เงื่อนไขในใบจอง คราวนี้เหงื่อแตกเลย

เงื่อนไขระบุว่าถ้ายกเลิกการเดินทางน้อยกว่า 20 วัน จะได้รับเงินคืน 50% แล้วถ้ายกเลิกน้อยกว่า 7 วัน จะไม่คืนเงินเลย นี่ 8 วัน ซวยแล้วสิ ซวยไหม? จองไว้ 4 คน จ่ายเงินไว้แล้ว แสนกว่า วันนี้ก็บังเอิญเป็นวันสุดท้ายพอดี ถ้าไม่ยกเลิกวันนี้  ก็ได้ศูนย์ ถ้าไม่ยกเลิกภายใน 7 วันเป็นศูนย์ เขาไม่คืนเงินเลย  ถ้ายกเลิกวันนี้ ได้  50% คืน แค่เรื่องต้องเสียเงิน ก็เป็นข่าวร้ายมากพอแล้ว แต่ข่าวนี้ยิ่งร้ายกว่านั้น  ก็คืออาทิตย์หน้าก็จะเดินทางแล้ว อีกอาทิตย์เดียว แล้วจะทำอย่างไร? จะไปไหน? จะพักที่ไหน? จะทำอะไร? ไม่ได้เตรียมอะไรไว้เลย? ทำอย่างไร? ยุ่งแล้วสิ ไม่ใช่เสียเงินไปแสนกว่า แล้วหาอันใหม่ แพงกว่าเก่าอีก เพราะมันใกล้วันแล้ว มันยิ่งแพงขึ้น หาไม่ได้ด้วยซ้ำไป

พอตั้งสติได้ เขาเลยโทรถามทางไกลมาบริษัททัวร์ ที่เมืองไทยเลย โทรทันทีเลยนะ เหลืออยู่ 7 วันกว่า เจรจาขอเลื่อนวันเดินทางจากวันที่ 16 เป็นวันที่ 18 ปรากฏว่าเวลาโทรมาเป็นเวลา 6 โมงเย็น เพราะเวลาไม่ตรงกัน จากเมืองนอก เป็นเวลา 6 โมงเย็นของวันศุกร์ของเมืองไทย ซึ่งบริษัทปิดแล้ว แต่บังเอิญมีพนักงานเหลืออยู่ 1 คนรับโทรศัพท์ บังเอิญอีกแล้ว จริงๆ เขาไม่ได้ตั้งใจอยู่หรอก แต่ยังไม่ได้กลับ เลยได้รับโทรศัพท์พอดี พนักงานก็แจ้งว่าต้องเช็คดูก่อนว่าวันที่ต้องการเดินทาง มีที่ว่างหรือเปล่า? รับได้ แต่ขอเช็คดูว่าว่างหรือเปล่า? แต่ไม่แน่ใจว่าจะเช็คได้หรือไม่ตอนนี้ เพราะตอนนี้ปิดแล้ว และวันนี้ก็เป็นวันศุกร์ ถ้าไม่ทัน จะเช็คให้อีกทีวันจันทร์ ซึ่งวันจันทร์ก็ช้าไปแล้ว เป็นศูนย์ไปแล้ว ถ้าเป็นวันจันทร์ก็แปลว่าเงินแสนกว่าก็ถูกยึดไป และต้องจัดโปรแกรมทัวร์ใหม่ทั้งหมด ไม่รู้จะเสียเงินอีกเท่าไร? ทั้งค่าที่พัก ค่าโรงแรม ค่าเดินทางต่างๆ แค่นึกก็เหงื่อแตกแล้ว ทำอย่างไรดี เก็บหอมรอมริบมาตลอดหลายปี เพื่อมาเที่ยวเมืองไทย

แต่หลังจากนั้นอีกชั่วโมงกว่า บริษัทปิดทำการไปแล้วนะ พนักงานบริษัททัวร์ก็ส่งเมล์มาตอบ อุตส่าห์ทำงานล่วงหน้า เลิกงานแล้ว พนักงานบริษัททัวร์ก็ส่งเมล์มาตอบว่าวันที่ 18 ที่ต้องการเลื่อนไป บังเอิญมีคนยกเลิก 4 คนพอดี เพราะฉะนั้น สามารถเลื่อนได้เดี๋ยวนี้เลย เลื่อนไหม? ตอบ มือสั่นเลย เลื่อนๆ ทันที จอง จบ ถือว่าจบภายในวันนั้น เลื่อนพอดี จบภายในวันที่ 8 สุดท้าย รุ่งขึ้น ก็หมดแล้ว

ที่เอามาเล่าให้ฟัง ก็อย่างที่บอกอยากให้ท่านได้คิดว่าทั้งหมดมีกี่ “บังเอิญ” กี่บังเอิญ?

–  บังเอิญหยิบโปรแกรมขึ้นมาดู 7 วันสุดท้ายก่อนเดินทาง

– โทรศัพท์ตอนบริษัทปิดแล้ว แต่บังเอิญมีพนักงานเหลืออยู่คนหนึ่งพอดี

–  ต่อมาวันที่ต้องการเดินทาง ที่ต้องการเปลี่ยนไป   จริงๆ เต็มแล้ว  เขาบอกแล้วว่ามันเต็ม มันเต็มมาตั้งนานแล้ว  เต็มตั้งแต่ตอนที่เขาโปรโมชั่น จองกันทั่วโลกมาแล้ว หมดแล้ว อย่างไรก็หมด  ใกล้วัน จะถึงงานอยู่แล้ว ตอนนี้ไฮท์ซีซั่น มันเต็มไปหมดแล้วล่ะ แต่บังเอิญมีคนยกเลิก 4 คน ทำไมไม่ 5 คนล่ะ ถ้า 5 คน ก็ไม่ได้มาจากพระเจ้ามั้ง บังเอิญ เพื่อให้เป็น 4 คน มันจะได้เท่าๆ กัน จะได้รู้ว่าพระเจ้าเป๊ะแน่

จากคำพยานตรงนี้ มันบังเอิญแบบแฮปปี้เอ็นดิ้ง เราเลยยิ้มแย้มแจ่มใส เราเลยขอบคุณพระเจ้าด้วยใจจริงของเราว่าพระเจ้าทรงมีชีวิตอยู่จริงๆ พระองค์ทรงควบคุมทุกอย่างจริงๆ ง่ายเนอะ ฮาเลลูยา

แต่ถ้าเราเปลี่ยนเรื่องนี้นิดหนึ่ง สมมติผมเปลี่ยนเรื่องนี้นิดหนึ่ง บอกว่าบังเอิญวันที่ตรวจเจอว่าจองผิดวันนั้น มันเลยกำหนดเวลาที่แจ้งขอยกเลิกแล้ว เจอคืนนั้น มันเลยไปแล้ว เลย 7 วันไปแล้ว ไม่มีการยกเลิก เขาริบเงินไปแล้ว พูดง่ายๆ

หรือไม่เวลาที่โทรศัพท์ไป ก็บังเอิญเป็นเวลาเลิกงานแล้ว พนักงานกลับหมดแล้ว ไม่เหลือแม้แต่คนเดียว ไม่มีคนรับสาย หรือบังเอิญวันที่ต้องการไปจริงๆ มันเต็มหมดแล้ว ไม่มีใครเขายกเลิกสักคนหนึ่งเลย อย่าว่าแต่ 4 คน คนเดียวหนึ่งยังไม่มี สรุปว่าเปลี่ยนวันไม่ได้ ต้องโดนยึดเงินทั้งหมด ต้องเสียเงินอีกเยอะแยะ จองที่พักใหม่ จ่ายค่าเดินทางใหม่ทุกอย่าง

ถามว่าถ้าเป็นการบังเอิญในลักษณะอย่างนี้ เปลี่ยนไปอย่างนี้ เรายังขอบคุณพระเจ้าไหม? เรายังหัวเราะเหมือนตะกี้ไหม? เรายังรู้สึกว่าพระเจ้าอยู่ด้วยไหม? เราอยู่ในพระคริสต์ พระคริสต์อยู่ในเรา เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ พระองค์อยู่ในเรา เราอยู่ในพระองค์ เราเป็นหนึ่งเดียวกัน ฮาเลลูยา เราชนะแล้ว พระเยซูบอกเราทำสำเร็จเรียบร้อยแล้ว เราเป็นครอบครัวเดียวกัน พระเจ้านำพาเราตลอดเวลา เราจะคิดอย่างไรนี้หรือไม่? คิดไหม? คงคิดยาก อาจจะคิดได้ทีหลัง ตอนเกิดใหม่ๆ คงคิดยาก เรื่องจริง

มาอีกเรื่องหนึ่ง จำได้ใช่ไหม? เมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว 911 นี่ก็เรื่องจริงนะ ตึกเวิร์ดเทรล ถูกเครื่องบินชน 2 ตึกล้มลง มาทั้ง 2 ตึกว่ามีผู้ที่เข้าไปช่วย หน่วยกู้ภัยเข้าไปเยอะแยะ เสียชีวิตกันเยอะเลย จำได้ใช่ไหมครั้งนั้น ไปช่วย แล้วตึกมันถล่มมา ขณะที่ช่วยอยู่ ช่วยออกมา ชุดที่ 3 ตึกถล่มพอดี ก็เสียชีวิตไปเยอะแยะ

มีอยู่รายหนึ่งที่จะเล่าให้ฟัง ก็คือเขาเป็นพ่อ … ครอบครัวของลูกเป็นคริสเตียนที่รักพระเจ้ามาก ลูกก็เฝ้าอธิษฐานกับพระเจ้าตลอดเวลาให้กับพ่อ แล้วก็ประกาศให้กับพ่ออยู่บ่อยๆ ว่าให้พ่อ มีโอกาสรับเชื่อ แต่ยังไม่มีโอกาสไปคุยกับพ่อจริงๆ จังๆ สักทีว่าพ่อรับเชื่อเถิด แต่อธิษฐานให้ตลอดเวลา ปรากฏว่าพ่อเป็นหน่วยกู้ภัย และไปเสียชีวิตในเหตุตึกถล่มครั้งนี้ แล้วยังไม่ได้รับเชื่อ ลูกที่อยู่ก็เสียใจมากว่าพ่อเป็นคนดีมาก พ่อช่วยเหลือคนอื่นเยอะแยะมากมาย ตลอดชีวิตของพ่อทำแต่สิ่งที่ดีๆ แล้วทำไมไม่ได้ดี ก็อธิษฐานด้วยความเป็นทุกข์ใจ รู้สึกตัวเองผิด เรารู้จักพระเจ้า เราเป็นผู้ใกล้ชิดพระเจ้ามากขนาดนี้ ทำไมเราไม่สามารถประกาศ หรือเรียกพ่อให้มารู้จักพระเจ้าได้ รู้สึกผิด ปรากฏว่าผิดไป

หลังจากนั้นประมาณ 10 วันหรือหลายวัน มีอยู่วันหนึ่งมีผู้หญิงมากดกริ่งหน้าบ้าน แล้วก็เอาของมาให้ แล้วก็มาขอบคุณ ถามว่ามาขอบคุณเรื่องอะไร? เขาบอกว่าขอบคุณ เขาเป็นหนึ่งในเหยื่อที่ตึกถล่ม เขาอยู่ในนั้น แล้วเขารู้ทีหลังว่าผู้ที่ช่วยเขา คือพ่อของคุณ ตรวจชื่อแล้วว่าเป็นพ่อของคุณ เลยจะมาขอบคุณว่าพ่อของคุณได้ทำสิ่งที่เป็นเหมือนวีรบุรุษ เข้าไปช่วยเขา ออกจากซากที่มันทับลงมาอยู่ใต้ดิน อย่างไม่คิดถึงชีวิตของตนเองเลย

และแค่นั้นไม่พอ ขอบคุณไม่พอ เขายังเล่าต่อว่าพ่อของคุณยังได้มีโอกาสคุยกับเขา  และผู้หญิงที่มีโอกาสได้รับการช่วยให้รอดคนนี้  เป็นคริสเตียนแล้ว  พ่อคนนี้ได้ไปช่วยเขาออกมา ขณะที่ช่วยออกมา เขาได้มีโอกาสประกาศข่าวประเสริฐให้กับพ่อของผู้ชายคนนี้  เข้าใจไหมครับ? ประกาศข่าวประเสริฐให้กับพ่อ แล้วนำพ่อเขารับเชื่อด้วย แล้วพ่อก็รับเชื่อด้วย แล้วก็พาเธอออกมาส่งข้างนอก แล้วก็บอกว่าเดี๋ยวจะกลับเข้าไปช่วยคนอื่นๆ อีกที่หลงเหลืออยู่ในนั้น และขณะที่เข้าไป ก็ไม่ได้ออกมาอีกเลย

เพราะฉะนั้น ดิฉันจึงอยากจะหนุนใจคุณว่าคุณพ่อคุณ ไปอยู่ในสวรรค์แล้ว ขณะนี้ ขอบคุณมากๆ

โดยที่ผู้หญิงคนนี้ไม่รู้นะว่าผู้ชายคนนี้เขาคิดอย่างไรในใจ เห็นหรือยัง? บังเอิญอีกไหม? บังเอิญ ถามว่าเรื่องนี้กลางๆ ไหม? ขอบคุณพระเจ้าได้ไหม? ก็ขอบคุณได้ แต่พ่อก็เสียชีวิตไปแล้ว โอ๋! ขอบคุณพระเจ้า พระเจ้ารู้เสมอว่าอะไรควรจะเป็นอย่างไร? เราไม่รู้

ถ้าตามภาษาพจนานุกรม “บังเอิญ” หมายถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น  โดยไม่รู้ตัว หรือไม่คาดหมาย บังเอิญ แปลว่าอย่างนี้ แต่คริสเตียนไม่มีคำว่าบังเอิญ ถูกไหม? บังเอิญใช้กับผู้อื่น ใช้ในอดีต แต่เดี๋ยวนี้เราอยู่ในพระเยซูคริสต์ เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ เราอยู่ในครอบครัวของพระเจ้า  ไม่มีคำว่า “บังเอิญ” อีกแล้ว เพราะว่าชีวิตเรามอบให้พระองค์แล้ว จะรู้หรือไม่รู้ จะเข้าใจหรือไม่เข้าใจ พระองค์อยู่ในเรา เราก็อยู่ในพระองค์ ไปด้วยกันทุกหนทุกแห่งนั้นแหละ

เพลงคร่ำครวญ 3:37-38 บันทึกไว้อย่างนี้ “37 หากองค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้มีประกาศิตไว้ ผู้ใดเล่าจะสั่งให้มันเกิดขึ้นได้? 38 ทั้งหายนะและสิ่งดีงาม ล้วนมาจากพระโอษฐ์ขององค์ผู้สูงสุดไม่ใช่หรือ?”

 

สุภาษิต 19:21 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า “ในใจของมนุษย์มีแผนงานมากมาย แต่พระประสงค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะสำเร็จ”

 

สุภาษิต 3:5-6 บันทึกไว้ว่า “5 จงวางใจในองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างหมดใจ อย่าพึ่งความเข้าใจของตนเอง 6 จงยอมรับพระองค์ในทุกวิถีทางของเจ้า แล้วพระองค์จะทรงทำทางของเจ้าให้ราบเรียบ”

 

ไม่ว่าเราจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม บัดนี้ เมื่อเราเชื่อในพระเยซูคริสต์ เราอยู่ในพระเยซู เราได้รับบัพติศมา เราได้จุ่มลง เราได้ชุบ มุดลงไป พระเจ้าได้วางเราลงไป  ในพระเจ้า พระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเจ้า พระบิดา พระเจ้า พระบุตร พระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ 3 พระภาคนี้ เราอยู่ในนั้น เราเป็นครอบครัวอยู่ในนั้น ชื่อเราได้ถูกจดอยู่ในสำมะโนครัว ครอบครัวนั้น ที่มีชื่อว่า The book of life หรือหนังสือแห่งชีวิต ชื่อเราอยู่ที่นั้นแล้ว พระองค์นำพาเราไปเป็นครอบครัว รักเรามาก ให้เรารู้สิ่งนี้ว่าเราอยู่ในความรักของพระเจ้า และไม่มีใครเอาเราออกไปจากนี้ได้ เราอยู่ในนั้นแล้ว เขาจึงมีเพลงที่ร้องกัน เขาจึงมีเพลงนี้ว่า …

จะเป็นหรือจะตาย จะหัวเราะหรือร้องไห้

จะอยู่ เพื่อจะรัก จนหมดดวงใจ

จะอยู่ เพื่อจะกล่าว และจะบอกเล่าเรื่องพระองค์

จะอยู่ เพื่อร้องเพลง สรรเสริญพระนามพระองค์

เพราะฉะนั้น ต่อไปนี้ ให้พวกเรามีบทเพลงนี้อยู่ในใจเลยว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราก็ขอบคุณพระเจ้า เราอยู่ในพระองค์ พระองค์อยู่ในเรา ไม่มีสิ่งใดที่เกิดขึ้น โดยพระองค์ไม่รู้ พระองค์จูงมือเราเดินอยู่ตอนนี้ เอเมน เพราะฉะนั้น ร้องเพลงนี้ได้ไหม?

จะเป็นหรือจะตาย จะหัวเราะหรือร้องไห้

จะอยู่ เพื่อจะรัก จนหมดดวงใจ

จะอยู่ เพื่อจะกล่าว และจะบอกเล่าเรื่องพระองค์

จะอยู่ เพื่อร้องเพลง สรรเสริญ พระนามพระองค์

จะอยู่ เพื่อร้องเพลง สรรเสริญ พระนามพระองค์

ปรบมือให้พระเจ้าของเรา ความรักของพระองค์อยู่กับเราตลอดเวลา เอเมน ขอบคุณพระเจ้า ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

********************