คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 22 กรกฎาคม 2018 เรื่อง “ตรึงไว้กับพระคริสต์” โดย นคร เวชสุภาพร

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 22 กรกฎาคม 2018

เรื่อง “ตรึงไว้กับพระคริสต์”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีครับ เวลาเราจะไปไหน?  เราจะได้ยินเสียงตั้งแต่ 2,000 ปีมาถึงทุกวันนี้ เราจะได้ยินเสียงทางวิญญาณ  เสียงของใครรู้ไหมครับ? เสียงของพระเยซู พระเยซูจะว่าตะโกนก็ได้นะ บอกว่า ..

ใครบ้างที่อยากจะหายเหนื่อยและเป็นสุข พระองค์พูดตั้งแต่ตอนที่ถึงเวลากำหนด เวลาที่พระเจ้ากำหนดไว้ว่าจะมาไถ่ถอนมนุษย์ พระเยซูก็ถูกส่งมา บังเกิดเป็นมนุษย์ พอเป็นมนุษย์ปุ๊บ เดินอยู่บนโลกใบนี้ พระองค์ก็ได้เริ่มเชื้อเชิญคน และท้าทาย และคำถามให้ทุกคนทราบว่า …

“ใครอยากจะหายเหนื่อยและเป็นสุขบ้าง”

พูดมาตลอด จนกระทั่ง ถูกตรึงที่ไม้กางเขน ทำงานสำเร็จแล้ว  จนถึงทุกวันนี้ โลกวิญญาณก็จะพูดผ่านทางคริสตจักร ผ่านทางคนที่เชื่อในพระองค์ว่าใครอยากจะหายเหนื่อยและเป็นสุขบ้าง

การหายเหนื่อยและเป็นสุข คือการหายเหนื่อยทางวิญญาณ คือหมดเวรหมดกรรมเสียทีหนึ่ง นั่นแหละ คนไทยเราจะรู้จักกันดีเลย หายเหนื่อยและเป็นสุข คือหายจากอาการเหนื่อยทางวิญญาณ ต้องแสวงหาการหลุดพ้น ต้องชดใช้หนี้บาปเวรกรรม เมื่อไรมันจะหมดสักที เจ้ากรรมนายเวรตามล่าตลอดเวลา เมื่อไรมันจะหมดสักที มันเหนื่อย พระเยซูบอกใครที่เหนื่อยอย่างนี้ ทั้งโลกเลย มนุษย์ทุกคน ใครเหนื่อยจงมาหาพระองค์ พระองค์จะทำให้หายเหนื่อยและเป็นสุข หายเหนื่อยหรือยัง? เพราะว่าเราได้เชื่อในพระเยซูแล้ว

คราวนี้พระเยซูก็บอกว่าใครอยากจะหายเหนื่อยเป็นสุขบ้าง? บางคนก็เฉยๆ  บางคนก็อยากจะหายเหนื่อย  พระองค์เลยบอกวิธีการทำอย่างไรถึงจะหายเหนื่อยและเป็นสุข พระเยซูบอกประโยคเดียว ตอนเดินอยู่ ขณะนั้น ใครอยากหายเหนื่อยและเป็นสุขบ้าง? จงมาหาเรา แล้วแบกกางเขน แล้วตามเรามา นี่คือพระเยซูจะบอก …

“ใครอยากจะหายเหนื่อยและเป็นสุขบ้าง ยกมือขึ้น?”

“ต้องทำอย่างไร?”

“แบกกางเขน”

อ้าว! แบกกางเขน มันหนักขึ้น แล้วจะหายได้อย่างไร? และตามพระองค์ไป  ถามว่าพระเยซูตอนพูดนี้ เดินอยู่ พระองค์บอกตามพระองค์ไป ถามว่าตามไปไหน? แบกตามไปไหน?  พระองค์พูดไปไม่ถึงประมาณไม่เกิน 3 ปี ตามพระองค์ไป ตามพระองค์ไปไหน?  พระองค์ก็สูงขึ้นไปเรื่อยๆ  ออกจากกรุงเยรูซาเล็มไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงเนินเขา ที่เรียกว่าเนินเขาหัวกะโหลก หรือในภาษาสมัยนั้น เขาเรียกว่าโกละโกธา ไปทำอะไร? แบกไปทำอะไร? แบกไป เพื่อให้เขาตรึงพระองค์ เพื่อพระองค์จะได้ตาย  คนที่ตามมาทำอะไร? แบกตามมา เพื่ออะไร? ตามเราไป ก็ต้องตามถึงที่สุดเลย คือพระองค์ตาย เราก็ตายด้วย  แบกตามไป  พระองค์ตาย เราก็ตายด้วย  พอพระองค์ 3 วันเป็นขึ้นมาใหม่ เราก็เลยเป็นด้วย หายเหนื่อยและเป็นสุข มันแปลว่าอย่างนี้

หนังสือกาลาเทีย 2:20-21 อธิบายเรื่องนี้ไว้ มันชัดมาก นึกภาพตะกี้นี้ถูก ผมแสดงให้ดูนะ กาลาเทีย 2:20-21 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

กาลาเทีย 2:20-21 “20 ข้าพเจ้าถูกตรึงไว้กับพระคริสต์แล้ว ข้าพเจ้าจึงไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป พระคริสต์ต่างหากทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า ชีวิตที่ข้าพเจ้าดำเนินอยู่ในกายนี้  ข้าพเจ้าดำเนินด้วยความเชื่อในพระบุตรของพระเจ้า ผู้ทรงรักข้าพเจ้า และประทานพระองค์เองเพื่อข้าพเจ้า 21 ข้าพเจ้าไม่ได้ปัดพระคุณของพระเจ้าทิ้ง เพราะถ้าความชอบธรรมสามารถได้มา โดยทางบทบัญญัติ  พระคริสต์ก็วายพระชนม์ โดยเปล่าประโยชน์”

 

“แล้ว” แปลว่าทำไปแล้ว เป็นอดีตแล้ว

“ข้าพเจ้า” ตรงนี้หมายถึงวิญญาณ

ตรงนี้สามารถเอามาพูดเป็นตัวเราเองได้ เพราะตรงนี้ เปาโลพูดในลักษณะของเป็นผู้ที่เชื่อในพระเยซู เป็นคริสเตียน เราเป็นหรือเปล่า? ถ้าเป็นใช้อันนี้ได้

วิญญาณของผมถูกตรึงไว้กับพระเยซูคริสต์แล้ว … แล้ว แปลว่าได้ถูกตรึงไปแล้ว

“ข้าพเจ้าจึงไม่มีชีวิตอยู่อีกต่อไป” วิญญาณนะ วิญญาณของนคร วิญญาณของเปาโล วิญญาณของท่าน วิญญาณตัวเก่าไม่มีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว เพราะมันถูกตรึงพร้อมกับพระเยซูไปแล้ว

“พระคริสต์ต่างหากมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า” พระคริสต์ คือวิญญาณบริสุทธิ์ต่างหากที่มีชีวิตอยู่ในนคร อยู่ในเปาโล อยู่ในพวกท่านที่เชื่อในเรื่องนี้

“ชีวิตที่ข้าพเจ้าดำเนินอยู่ในกลายนี้” หมายถึงชีวิตที่ข้าพเจ้าดำเนินอยู่ในความบริสุทธิ์ ที่มันเกิดใหม่นี้ ในกายนี้ หมายถึงวิญญาณนี้ มันไม่ได้หมายถึงร่างกาย หมายถึงในวิญญาณนี้ ชีวิตที่ข้าพเจ้าที่บริสุทธิ์ ที่อยู่ในกาย ที่ท่านเห็น วิญญาณข้างในตัวจริง ที่มันบริสุทธิ์แล้ว ข้าพเจ้าดำเนินด้วยความเชื่อในพระบุตรของพระเจ้า คือเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ เห็นไหม? ผู้ทรงรักข้าพเจ้า และประทานพระองค์เอง เพื่อข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่ได้ปัดพระคุณของพระเจ้าทิ้ง

“ปัด” แปลว่าข้าพเจ้าไม่ได้ปฏิเสธพระคุณของพระเจ้าทิ้งไป ไม่ได้ปฏิเสธข่าวดีของพระเยซูทิ้งไป  แต่ข้าพเจ้ารับไว้ด้วยความเชื่อ

“เพราะถ้าความชอบธรรมสามารถได้มาโดยทางบทบัญญัติ” แปลว่าเพราะว่าถ้าเผื่อความบริสุทธิ์ ไร้มลทิน พ้นจากบาป ในวิญญาณของข้าพเจ้า หมดเวรหมดกรรมนี้  ถ้ามันหมดเวรหมดกรรมได้ โดยมาทางการกระทำของข้าพเจ้าเอง  การกระทำดีของข้าพเจ้าเอง ถ้าเป็นอย่างนั้น การตายของพระเยซูที่ไม้กางเขน ก็ไม่เป็นประโยชน์อะไรเลย  แต่มันไม่ใช่อย่างนั้นใช่ไหม?  เพราะการตายของพระเยซูคริสต์มีประโยชน์ คือทำให้ข้าพเจ้ากลายเป็นผู้ชอบธรรม ผู้ชอบธรรม คืออะไร?  วิญญาณบริสุทธิ์ สะอาดหมดจด ไร้มลทิน ไม่มีตำหนิ เหมือนลูกพระเจ้า เป็นลูกพระเจ้า เป็นวิญญาณแห่งความรัก สะอาดหมดจดเลย บริสุทธิ์ ตลอดเวลา เอเมน

นี่พูดถึงใคร? พูดถึงเรา ผู้เชื่อทั้งหลาย อย่างนี้เขาเรียกว่าหายเหนื่อย และเป็นสุข แต่ต้องทำอะไร? แบกกางเขน และตามพระองค์ไป

ในโรม 6:5-6 ก็บอกอย่างนี้ไว้ ชัดเจนเลย …

โรม 6:5-6  “5 ถ้าเราได้มีส่วนร่วมกับพระองค์ ในการตายเหมือนพระองค์ แน่นอน เราจะมีส่วนร่วมในการเป็นขึ้นจากตายเหมือนพระองค์ 6 เพราะเรารู้ว่าตัวเก่าของเรา ถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว  เพื่อกายบาปนั้น  จะถูกขจัดไป  เพื่อเราจะไม่เป็นทาสบาปอีกต่อไป”

 

ถ้าเราร่วมเดิน แบกกางเขนไปกับพระองค์ แล้วก็ตายที่โกละโกธาพร้อมกับพระองค์เลย แน่นอนเราจะมีส่วนร่วมในการเป็นขึ้นจากความตายเหมือนพระองค์ด้วย วันที่ 3 พระองค์เป็นขึ้นจากความตาย เราก็เป็นด้วย ถ้าเราไม่ยอมไปตายกับพระองค์ ก็ไม่ต้องเป็นขึ้นมากับพระองค์ด้วยสิ เอ้อ! ใช่ ง่ายๆ อยากจะเป็นขึ้นมากับพระเยซู ก็ต้องตาย อยู่ดีๆ มาเป็นขึ้นมาใหม่ได้อย่างไร? มันต้องตายก่อน  เหมือนเมล็ดพืช ก่อนที่จะเป็นต้นใหม่ มันต้องเน่า ต้องทิ้งลงไปในดิน ให้มันเน่า มันก็ขึ้นรากใหม่ขึ้นมา เป็นต้นใหม่

“เพราะเรารู้ว่า” ถามว่าเพราะเรารู้ว่าอะไร? เพราะเรารู้ว่าตัวเก่าของเราถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว ถามว่าตัวเก่าของเราคือใคร? ตัวเก่าของท่านคือใคร? วิญญาณเก่าของท่าน ที่เป็นวิญญาณบาป ที่แบกภาระและเหน็ดเหนื่อยตลอดเวลา ตั้งแต่เกิดตลอดเวลา นั้นแหละที่แบกกางเขน เหน็ดเหนื่อยตามพระองค์ไปๆ จนตายร่วมกับพระองค์ และเป็นขึ้นมาใหม่แล้ว ตัวเก่ามันถูกตรึงไว้ที่กางเขน พร้อมกับพระเยซูไปแล้ว เมื่อ 2,000 ปีก่อนนั้น พอมองเห็นภาพไหม? ไม่น่าเห็นหรอก

ถามว่าตรึงเพื่ออะไร? เพื่อกายบาปนั้น มันจะได้ตายต่อบาป ถูกขจัดออกไป บาปทำอะไรมันไม่ได้อีกแล้ว เพื่อเราจะไม่เป็นทาสบาปอีกต่อไป ไม่ใช่เป็นคนบาปอีกต่อไป เอเมน เห็นภาพไหม? นี่อย่างนี้เรียกว่าหายเหนื่อยและเป็นสุข เพราะฉะนั้น หน้าที่ของเราทุกวันนี้ ต้องทำอะไร? ต้องแบกกางเขนตามพระเยซูไปไหม? ต้องไหม? ไม่ต้อง เราแบกไปแล้ว ถ้าท่านยังไม่แบกตาม นั้นหมายถึงท่านยังไม่เชื่อ ถ้าท่านเชื่อ แสดงว่าท่านแบกตามไปแล้ว ท่านเชื่อจนกระทั่งพระเยซูตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต ชำระบาปให้กับท่าน นั่นแหละ คือท่านร่วมตายไปกับพระองค์ และเชื่อว่าพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่  คือท่านเป็นขึ้นมาใหม่กับพระองค์ เสร็จแล้ว

ถามอีกที ตอนนี้ท่านต้องแบกอีกไหม? ต้องไหม? ไม่ต้อง ถ้าใครบอกว่าต้อง ก็ไม่เป็นไร แสดงว่ายังไม่เชื่อ ก็เรียนรู้ต่อไป เดี๋ยววันหนึ่งท่านจะได้รู้ ไม่ต้องแล้ว ไม่ต้องแบก มันจึงหายเหนื่อยและเป็นสุข ถ้าแบกอยู่จะหายเหนื่อยและเป็นสุขได้อย่างไรเล่า ไม่เข้าใจเลย พระคัมภีร์บอกว่าคนไหนแบกภาระหนักและเหน็ดเหนื่อยจงมาหาเรา เราจะให้เขาหายเหนื่อยและเป็นสุข แบกกางเขน และตามเรามา ตามเพื่ออะไร? เพื่อจะไม่ต้องแบกอีกต่อไป เดี๋ยวพระองค์จัดการให้เรียบร้อย พร้อมกับเราเลย เป็นหัวหน้าเรา

สรุปอีกครั้ง จะต้องแบกกางเขนอีกต่อไปไหม? ไม่ต้อง แต่ต้องทำอะไรทุกวัน? อยู่เฉยๆ แล้วมองไปให้เห็นเถิดว่ามันเกิดขึ้นอย่างนี้ทุกวันเช้าตื่นขึ้นมาปุ๊บบนที่นอน เห็นอะไร? เห็นกางเขนนั้น เพื่อจะได้รู้ว่าฉันได้แบกกางเขนตามพระเยซูไปแล้ว ฉันได้แบกกางเขนไปที่โกละโกธาร่วมกับพระเยซู ประวัติศาสตร์บันทึกไว้อย่างชัดเจนว่าพระองค์ทรงตรึงตายที่ไม้กางเขน อย่างนั้นแน่นอน หลั่งพระโลหิตออกมา ฉันถูกตรึงร่วมกับพระเยซูแล้ว วันที่ 3 พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย ฉันเป็นขึ้นมาใหม่ด้วย ฉันมีอิสระ เสรีภาพ ฉันได้บังเกิดใหม่ วิญญาณฉันใสกริ๊ง เป็นลูกของพระเจ้า วิญญาณที่บริสุทธิ์ สะอาด ไร้ที่ตำหนิใดๆ ที่ปวง ไม่ต้องมีบาป มีเวรกรรมที่ต้องชดใช้อีกต่อไป ฉันเป็นอิสระแล้ว หายเหนื่อยและเป็นสุขแล้ว จากนี้ต่อไป ก็ลุกขึ้นมา ทำหน้าที่ประจำวันไป แต่ในใจนึกตลอดเวลาว่าฉันเป็นขึ้นจากความตายแล้ว ฉันหายเหนื่อยและเป็นสุขแล้ว พูดให้ตัวเองฟัง นี่แหละ คือหน้าที่ของคริสเตียนทั้งหลาย รับพระคุณ ไม่ต้องทำอะไรแล้ว แล้วจากนั้น ให้พระเจ้านำพาชีวิตเราไปแต่ละวัน จะทำอะไร เดี๋ยวพระองค์ก็พาไปเอง ไม่ต้องห่วงว่าจะไม่ได้ทำ ส่วนใหญ่ เราจะทำเกินมากกว่า ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้ทำ ที่เราทำเกิน เพราะอะไร? เพราะเราอยากจะหายเหนื่อยและเป็นสุขอีก

ทั้งๆ ที่มันหายเหนื่อยแล้ว เพราะเราไม่รู้ ถ้าเรารู้ เราก็ไม่ต้องทำแล้ว แล้วทำไม? ก็เฉยๆ ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ เดี๋ยววิญญาณข้างในที่บริสุทธิ์ สะอาด ผุดผ่อง ที่เป็นลูกพระเจ้า เดี๋ยวมันจะออกไปเอง มันเป็นแสงสว่าง ที่พระเยซูบอกมันจะฉายออกไปเอง ไม่ต้องพยายามฉาย  เขาจุดตะเกียง มันต้องสว่างของมันเองเลย เดินไปที่ไหนมันสว่าง ไม่ใช่ เดินไปที่ไหน ต้องไขลาน สว่าง ให้มันสว่าง ไม่ต้อง เดี๋ยวมันสว่างเอง เพราะว่าข้างในมันสว่าง มันเป็นดวงสว่าง พระเยซูไม่ได้บอกว่าจงออกไป ทำตัวเองให้สว่าง ไม่ใช่ พระเยซูบอกจงออกให้แสงสว่างในตัวท่านฉายไป  คือตัวท่านไม่ต้องทำอะไร ท่านออกไป มันก็ฉายแล้ว

ไม่ได้บอกว่าจงออกไป แล้วทำตัวเองให้เป็นแสงสว่าง อย่างนั้นเหนื่อย  จงออกไปเถอะ พระเจ้าจุดตะเกียงไว้แล้ว  ไม่มีใครเอามาครอบหรอก เดี๋ยวมันก็สว่าง ถ้ามันเป็นของจริงนะ มันสว่างเอง แต่ถามว่ามันจริงไหม? เราเชื่อจริงไหม? ถ้าเราเชื่อจริง มันอยู่ในนี้ เดินไปที่ไหน มันก็เป็นแสงสว่าง เอเมน

 

************************

 

 

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 15 กรกฎาคม 2018 เรื่อง “การให้ที่แท้จริง” โดย นคร เวชสุภาพร

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 15 กรกฎาคม 2018

เรื่อง “การให้ที่แท้จริง”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีครับ เราเป็นคริสเตียน เรามักติดปาก พูดกันอยู่เสมอว่าชีวิตคริสเตียน คือชีวิตที่เป็นความรัก เพราะว่าพระเจ้าเป็นความรัก เราเป็นลูกพระเจ้า เพราะฉะนั้น เราจึงมีลักษณะเหมือนพระเจ้าของเรา คือเราก็เลยเป็นความรักเหมือนพระเจ้า อ้าว! แล้วทำไมเมื่อเช้าโกรธเขาอยู่เลย เมื่อตะกี้นี้เห็น ขึ้นรถเมล์มายังรู้สึกหงุดหงิดอยู่เลย  คนขับรถมาก็เหมือนกัน แต่อย่างไรก็ตาม เราเป็นลูกของพระเจ้า เราก็เป็นเหมือนพ่อของเรา  พระเจ้าเป็นความรัก เราก็เลยเป็นหรือเปล่า? “เป็น” ไม่เปลี่ยนแปลง แต่ถ้ามี หายไปหมด  เราเป็น ไม่มีวันเปลี่ยน และการสำแดงออกถึงความรัก ก็คือการให้ การสำแดงออก บางที บางคนฟัง งง การสำแดงออกของความรัก คืออะไร? การสำแดงออก ก็คือธรรมชาติของความรักจริงๆ คืออาการในการให้  เขาเรียกว่าธรรมชาติ เหมือนประโยคที่เรานำมาพูดกันบ่อยๆ …

          “ท่านสามารถที่จะให้ โดยปราศจากความรัก แต่ท่านไม่สามารถที่จะรัก (อย่างแท้จริง) โดยปราศจากการให้”

นึกออกใช่ไหม? เพราะมันธรรมชาติของความรัก คือการให้ ท่านไม่สามารถบอกว่าท่านเป็นความรัก แต่ฉันไม่ให้ มันเป็นไปได้อย่างไร? ไม่ใช่แล้ว

พระคัมภีร์บอกว่าอย่างนี้ การให้ เป็นเหตุให้มีความสุขมากยิ่งกว่าการรับ เอเมนไหม? อ้าว! ทำไมทุกคนรอที่จะรับอย่างเดียว การให้ เป็นเหตุให้มีความสุขมากยิ่งกว่าการรับ คำพูดของใคร? คำพูดของพระเยซูเอง และการให้ที่แท้จริง ก็คือการให้แบบเสียสละ คือไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆ รู้ไหม? ถามใคร? ถามตัวเองนั่นแหละ รู้ไหม? รู้ แล้วยังหวังไหม? ยังหวัง

เพราะว่าถ้าเราหวังสิ่งตอบแทนจากการให้ออกไป ฟังให้ดีๆ นะ ถ้าเราให้ออกไป แล้วเราหวังสิ่งตอบแทน เขาเรียกกันว่าลงทุน  มีการลงทุนแบบธรรมดา ก็มี แล้วก็มีการลงทุนแบบพิเศษ หวังผลประโยชน์ทับซ้อน เคยได้ยินไหม? ผลประโยชน์ทับซ้อน คือผลประโยชน์ที่มันมีอะไรลับลมคมใน มองไม่เห็น แต่ในที่สุดก็ได้ผลประโยชน์ แบบธรรมดาชัด หวังนี้เลย  แบบพิเศษ ก็คือหวัง แต่ไม่ให้คนอื่นเห็น แต่ข้างในวางแผนไว้เรียบร้อยแล้ว ในที่สุด ก็คือหวังผลประโยชน์ ถ้าเป็นอย่างนี้ เขาไม่เรียกว่าการให้ เขาเรียกว่าการลงทุน  ในลูกา 14:12-14 พระเยซูได้สอนพวกเราอย่างนี้นะ ถึงเรื่องเกี่ยวกับเรื่องนี้ พระเยซูได้ตรัสดังนี้ …

ลูกา 14:12-14 “12 จากนั้นพระเยซูตรัสกับผู้ที่ทูลเชิญพระองค์ว่า “เมื่อท่านจะจัดเลี้ยงมื้อกลางวันหรือมื้อค่ำ อย่าเชิญมิตรสหาย ญาติ พี่น้องหรือเพื่อนบ้านที่ร่ำรวย ถ้าท่านทำอย่างนั้น พวกเขาอาจจะเชิญท่านกลับคืนบ้าง เป็นอันว่าท่านได้รับการตอบแทนแล้ว 13 แต่เมื่อท่านจัดงานเลี้ยง จงเชิญคนจน คนพิการ คนง่อยและคนตาบอด 14 แล้วท่านจะเป็นสุข ถึงแม้พวกเขาไม่อาจตอบแทนท่าน แต่ท่านจะได้รับผลตอบแทน เมื่อผู้ชอบธรรมเป็นขึ้นจากตาย”

 

เอเมนไหม? เพราะฉะนั้น ตอนนี้ มีงานเลี้ยงอะไร? เชิญใคร? เชิญคนมั่งมี เพราะหวังว่าวันหลังเขาจะให้อะไรเราตอบแทน บางคนให้ ไม่ใช่เรื่องทรัพย์สินเงินทองอย่างเดียว แต่มันหมายถึงอะไรเยอะแยะ ลองเชิญคนที่เราคิดว่าเขาให้อะไรเราไม่ได้ ไม่สามารถให้อะไรเราได้อีกแล้ว เป็นประโยชน์กับชีวิตเรามากกว่า พระเยซูสอนเรา

ถ้าเราให้โดยไม่หวัง ไม่คาดหวังสิ่งตอบแทน ให้ด้วยความรักแท้จริง เราก็จะเปี่ยมไปด้วยความสุข ถ้าลงทุน หวังจะได้สิ่งตอบแทน แม้บางครั้ง มันจะได้กลับมาบ้าง มีความสุขบ้าง ให้ไป แล้วหวัง มันมีความสุขบ้าง เขาชมเรา อะไรต่างๆ หรือเราได้อะไรกลับมาบ้าง แต่มันไม่หยั่งยืน  และในที่สุด ผลมันจะกลายเป็นความทุกข์ เพราะเราให้ไปด้วยความเห็นแก่ตัว ถ้าเราไม่ให้จริง มันก็คือการเห็นแก่ตัว เพราะการให้ของเรา ก็คือเราให้ เพราะความต้องการจะเอากลับมา มากขึ้นๆ เอาอีกๆ

“เอาอีก ฉันจะเอาอีก”

คุ้นไหม? คุ้นๆ นะ ในใจชอบพูดอย่างนี้ เอาอีก ไม่พอ เขาเรียกภาษาพระคัมภีร์และภาษาทั่วโลก เขาเรียกว่า “โลภ” คือจะเอา ฉันจะเอา สังเกตดูนะ เพราะพระเยซูสอนเราสิ่งเดียวนี้  เราต้องละเอียดกับสิ่งเหล่านี้ นี่คือหัวใจของการมาเชื่อพระเจ้า  พระเยซูจะสอนเราเสมอว่าจงระวังเรื่องความโลภทุกชนิด เมื่อเราถวายพระเจ้า และอธิษฐานหวังสิ่งตอบแทน อยากได้กลับมามากขึ้นๆ อธิษฐานกับพระเจ้านะ เราบอกถวายให้กับพระเจ้า แล้วอธิษฐาน หวังจากพระเจ้าว่าจะให้เรากลับคืน ตอบแทนเรามากขึ้นๆ กว่าที่เราให้ออกไปอีก นั่นแหละ เขาเรียกว่าโลภ ไม่ใช่ความเชื่อนะ เขาเรียกว่าโลภ

ซึ่งมันไม่ใช่วิถีทางของพระเจ้า เรียกว่าวิถีทางแห่งความรักเลย ที่จะนำเราไปสู่สันติสุข ความสงบสุข ล้นสุข เปี่ยมสุข  แบบตลอดไปเลย มันไม่ใช่ ถ้าวิธีนั้น มันผิดหมด มันต้องไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆ เลย มันถึงจะเปี่ยมสุข ล้นสุขตลอดไป มัทธิว 6:1-4 บันทึกไว้อย่างนี้ พระเยซูสอน ..

มัทธิว 6:1-4 “1 “จงระวัง อย่าทำดี เพื่อเอาหน้า ถ้าทำเช่นนั้น ท่านจะไม่ได้รับบำเหน็จจากพระบิดาของท่านในสวรรค์ 2 “ดังนั้น เมื่อท่านให้ทานแก่คนขัดสน อย่าตีฆ้องร้องป่าวเหมือนที่คนหน้าซื่อใจคดทำในธรรมศาลา และตามถนนหนทางเพื่อให้ผู้คนยกย่องชมเชย เราบอกความจริงแก่ท่านว่าเขาได้รับบำเหน็จของตนเต็มที่แล้ว 3 แต่เมื่อท่านหยิบยื่นแก่คนขัดสน อย่าให้มือซ้ายรู้สิ่งที่มือขวาทำ 4 เพื่อการให้ของท่านเป็นความลับ แล้วพระบิดาของท่านผู้ทรงเห็นสิ่งที่ทำเป็นการลับจะประทานบำเหน็จแก่ท่าน” เอเมน

 

ทำดี การให้เหมือนกับทำดี อะไรแล้วแต่ ไม่ใช่ทรัพย์สมบัติอย่างเดียว ให้ความช่วยเหลือ ให้ความเมตตา ให้อะไรสักอย่าง แต่ข้างในใจเราคิดอะไร? ดูข้างนอกเหมือนกันหมด ให้เหมือนกัน ดูข้างนอก ก็ให้เหมือนกัน แต่ข้างในใจ คิดอะไรอยู่ หวังอะไรไหม?  บางคนอาจจะหวังชื่อเสียง เราไม่รู้ว่าเขาหวังอะไร? ดูข้างนอก เหมือนกันหมด แต่บางคนเขาไม่ได้หวังอะไรเลย  ทำด้วยใจจริง ก็ไม่เห็น แต่ข้างนอก ดูเหมือนกัน พระเยซูบอกจงระวัง ให้เราดูแลตัวเอง ไม่ใช่ไประวังคนข้างๆ นะ ระวังตัวเราเอง

อย่าให้รู้ ไม่ให้ใครรู้ แม้แต่ตัวเราเองยังไม่ให้รู้เลย อย่าให้รู้ ลืมซะ ให้ไป แล้วก็ให้ไปเลย ถือว่าให้ไป เพราะว่าธรรมชาติของฉัน ตัวฉันจริงๆ เป็นความรัก ความรักต้องคู่มากับการให้ ถ้าเราถวายพระเจ้า โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน แล้วอะไร หวังอะไร? ทำเพื่ออะไร? ก็เพราะเราทำ เพื่อ แสดงออกถึงความไว้วางใจ ความเชื่อฟังต่อพ่อของเรา พระเจ้าของเราว่าให้เราให้ออกไป แล้วเราจะมีสุขมากกว่าการรับ ให้ออกไป แล้วทำไม? ไม่หวังสิ่งตอบแทน แต่วางใจในพระเจ้า เชื่อในคำสัญญาของพระเจ้าว่าจะเลี้ยงดูเรา จะจัดหาทุกสิ่งทุกอย่างให้กับเรา จากคลังทรัพย์อันมั่งคั่งของพระองค์ในพระยซูคริสต์ เพราะเราเป็นลูกของพระองค์แล้ว พระองค์จะให้สิ่งดีกับเราเสมอ และเราจะมีพร้อมทุกอย่างในการสนับสนุนเรา ในการกระทำดีต่อๆ ไป ตามน้ำพระทัยพระเจ้าที่จัดเตรียมไว้ให้กับเรา ชีวิตแต่ละคนไม่เหมือนกัน เอเมน

มันไม่ใช่เงินอย่างเดียวนะ ที่เวลาพร้อม มันต้องพร้อมทุกอย่าง เรี่ยวแรง สติปัญญา ทุกอย่าง พระเจ้าจะจัดเตรียมให้กับเรา เมื่อถึงเวลานั้น เพื่อจะได้ทำดี เพื่อจะถวายเกียรติต่อพระเจ้าต่อไป ตามน้ำพระทัยพระเจ้า ไม่ใช่ตามตัวเราเองคิด 2 โครินธ์ 9:7-8 ได้บันทึกอย่างนี้ว่า …

2 โครินธ์ 9:7-8 “7 ทุกคนจงให้ตามที่เขาได้คิดหมายไว้ในใจ ไม่ใช่ให้ด้วยนึกเสียดาย ไม่ใช่ให้ด้วยการจำใจ เพราะว่าพระเจ้าทรงรักคนนั้นที่ให้ด้วยใจยินดี 8 และพระเจ้าสามารถประทานพรทุกอย่าง แก่ท่านทั้งหลายอย่างเหลือล้น”

 

ทุกอย่าง ไม่ได้หมายถึงทรัพย์สินเงินทองอย่างเดียว  อาจจะไม่มีทรัพย์เลย  เพราะฉะนั้น อย่าหวังว่าจะได้ทรัพย์เยอะแยะมากมาย  อาจจะไม่มีทรัพย์เลย แต่มีอย่างอื่น พร้อมทุกอย่าง มันดีกว่าทรัพย์มาก ดีกว่าตั้งเยอะ ทรัพย์ซื้อทุกอย่างไม่ได้ แต่พระองค์ให้ทุกอย่างกับเราได้ ยกเว้นทรัพย์อย่างเดียว เอาอย่างไหนดี? เป็นท่าน ท่านจะตัดสินใจอย่างไรดี? เป็นท่าน ท่านก็เอาทรัพย์ก่อนอยู่แล้วล่ะ เพราะเราเป็นคน พระเจ้าสอนเรา อะไรดีกว่า ในเมื่อทรัพย์เราก็รู้แล้ว ซื้ออะไรไม่ได้บนโลกใบนี้ หลายอย่างซื้อไม่ได้ ยกตัวอย่าง ซื้อความสุข ก็ไม่ได้ ซื้อความสุขใจก็ไม่ได้ ซื้อความรัก ความสามัคคีกัน ในกลุ่ม ในครอบครัว ก็ไม่ได้ แต่พระเจ้าสามารถให้เราทุกสิ่งได้ โดยไม่มีเงินนะ เอาอะไรดี? เอาไม่มีเงินดีกว่า แต่มีพร้อม เมื่อต้องการจำเป็นต้องใช้เงิน  มันก็มา ทีอย่างนี้ พูดกันได้ทุกคน  เมื่อจำเป็นต้องใช้เงิน เงินก็มา เมื่อจำเป็นต้องใช้คน คนก็มา เมื่อจำเป็นต้องใช้สุขภาพ สุขภาพก็มา เมื่อจำเป็นจะต้องใช้อะไรบางอย่างที่ไม่ใช่เงิน แต่สำคัญ สติปัญญา มันก็มา เมื่อจำเป็นต้องหาคนมาเข็นรถ เพราะอยู่สี่แยก รถมันตายพอดี  คนก็มา มาพร้อมรถลาก มันจะพร้อมทุกอย่างไง เงินซื้อไม่ได้ตอนนั้น  เป็นเศรษฐีก็ไม่ได้ ถูกไหม?

เราจึงเห็นว่าพระคัมภีร์พูดไว้ชัดเจนว่าเพื่อว่าเราจะได้มีพร้อม มีเหลือล้น เพื่อว่ามีทุกอย่างเพียงพออยู่เสมอ ท่านจะมีเหลือล้น สำหรับการดีทุกอย่างด้วย ในนี้เขียนไว้อย่างนั้น มีทำการดีได้ทุกอย่าง  เพราะบางทีมีเงินทำการดีไม่ได้บางครั้ง มันไม่ได้อาศัยเงินในช่วง ในขณะนั้น แต่ท่านสามารถที่จะทำสิ่งที่ดีได้ เอเมนนะ

เพราะฉะนั้น เราเชื่อและวางใจอย่างนี้ ซึ่งเราไม่เรียกความเชื่ออย่างนี้ว่าความคาดหวังสิ่งตอบแทน จากการให้ออกไป เราไม่คาดหวัง เราฝากไว้ที่พระเจ้า แล้วแต่พระองค์จะให้ อะไรก็ได้ พระองค์ทรงรู้ว่าตอนนั้น เราจำเป็นต้องได้อะไร? เราจำเป็นต้องใช้อะไร? จำเป็นไหม? ไม่ใช่ให้ไป ก็ตั้งใจ หวังจะรวยอย่างเดียว ในที่สุด ก็ซวย ชีวิตตกทุกข์ลำบาก คิดอยู่แค่นั้น ไม่หลุดอยู่อย่างนั้น กลายเป็นเกาะกินชีวิตไป ทุกข์ทรมาน เห็นมาหลายรายแล้วอย่างนี้

การฝึกฝนให้ออกไป มันไม่ใช่วิธีนั้น ไม่ใช่วิถีทางของพระเจ้า ของพระเจ้าต้องไม่หวัง บางคนบอกไม่หวังได้อย่างไร? หวังพระพร ไม่ใช่หวังทรัพย์สินเงินทองตามที่เราคิด พระพรอาจไม่ใช่สิ่งที่เราคิด ก็ได้ หมายถึงไม่ใช่สิ่งที่เราคิดอย่างเดียว มันเป็นอย่างอื่น ก็ได้ ก็เป็นพระพร แต่พระเจ้ารู้ว่าอะไรที่เป็นดี สำหรับเรา เมื่อเรามี อะไรที่ให้เรา แล้วมันดีสำหรับเรา อย่างนั้นแหละ เขาเรียกพระพร คิดเองว่านี่ดีสำหรับเรา  มันอาจจะเป็นผลร้ายสำหรับชีวิตของเรา ก็ได้ ยกตัวอย่างเช่นชื่อเสียง ดีไหมชื่อเสียง? เราก็คิดว่ามีชื่อเสียงทำไมไม่ดี พระเจ้าบอก ไม่ใช่ขณะนี้ ขณะนี้เอาไปตายแน่เลย แล้วเรารู้ไหมว่าขณะนี้ ขณะนี้ คือขณะไหน? ก็ไม่รู้ เราอาจจะแบกชื่อเสียงนั้นไม่ได้  สถานการณ์อย่างนั้น ถ้าเราเอาชื่อเสียงนี้ไป เราก็เย่อหยิ่งจองหอง เราก็หลงไป ทุกข์หนัก เจ็บตัว ตอนนี้ อยากได้เงิน มองดู พระเจ้าบอกเด็กไป ถ้าเอาเงินไปตายแน่ เราก็บอกไม่ตายหรอกทำได้ แต่พอให้ แล้วเกิดอะไรขึ้น ให้เราไปจริงๆ  เราก็ดูแลไม่ได้ เราเจ็บตัว เพราะทรัพย์สมบัติเหล่านั้น ให้พระเจ้าดูแลเราดีกว่า เอเมนไหม?

ซึ่งแน่นอน ในสายตาของคนภายนอก ที่ไม่ใช่คริสเตียน ที่ไม่รู้จักพระเจ้า เขาดูเรา เขาอาจจะว่าเราขาดแคลน เป็นคริสเตียน ดูทำไมขาดแคลน เขาดู แบบมนุษย์ไง ขาดแคลนอะไร? ก็คือเงิน รู้สึกไม่ค่อยมีเงิน รถก็เก่าๆ บ้านก็ยังเช่าเขาอยู่ พระเจ้าให้เรามากกว่านั้น  เรามีเยอะกว่านั้นอีก แต่เขามองไม่เห็น ในพระพระเหล่านั้น เพราะฉะนั้น ไม่ต้องสนใจ เพราะเรารู้ว่าเราไม่เคยขาดอยู่แล้ว เอเมน ถามท่านวันนี้ บางท่านยังผ่อนบ้าน ผ่อนรถอยู่ ถามว่าท่านขาดอะไร?  ณ วันนี้ มาถึงวันนี้ ท่านรู้จักพระเจ้ามา ท่านขาดอะไร? มีไหม อดอาหารไป 3 วัน ไม่มีข้าวจะกิน อย่างนี้ มันไม่ขาดอยู่แล้ว เพียงแต่มันไม่สะใจเรา เราอยากได้อีกแบบหนึ่ง ใช่ไหม? แต่ไม่ขาด วางใจในพระเจ้า ให้พระองค์นำไปดีกว่า เพราะเราจะไม่ขาดของดีใดๆ เลยในชีวิต เพราะพระเจ้าสัญญาไว้อย่างนั้น มันเป็นสัญญา และไม่ใช่สัญญาธรรมดา แต่มันเป็นกฎของพระเจ้าที่พูดออกจากเลย มันจะเป็นอย่างนี้ ใครหว่านออกไป เขาจะได้อย่างนี้ แต่ต้องหว่านจริงๆ นะ

หว่านจริงๆ ก็คือให้จริงๆ คือให้ด้วยไม่หวังสิ่งตอบแทน เขาเรียกว่าให้ หวังสิ่งตอบแทน เขาเรียกว่าลงทุน พระเจ้าบอกให้ ถึงจะได้รับสันติสุข ความสงบสุขในชีวิตตลอดไป ไม่ใช่ลงทุนแล้วจึงจะได้ เอเมนไหม?

เพราะฉะนั้น ต้องฝึกฝน สิ่งเหล่านี้ฝึกฝนได้ คริสตจักรจึงมีหน้าที่ให้เราฝึกฝน ไม่ใช่ว่าถึงวันอาทิตย์มาเปิด เดินถุงถวาย เราลำบากมากแล้ว เราแย่มาก ต้องช่วยกันถวายหน่อย โบสถ์จะไม่มีเงินใช้ ไม่ใช่ ให้โอกาสท่านฝึกฝน ท่านจะไม่ฝึกก็ได้ เรื่องของท่าน ท่านคุยกับพระเจ้าเอง ไม่เกี่ยวอะไรกับเราเลย เราต้องให้ท่านมีโอกาสได้ฝึกฝน เพราะสิ่งเหล่านี้มันฝึกได้ เริ่มต้นจากการให้ออกไป ตามวิธีการของพระเจ้า เมื่อตะกี้นี้ ให้ด้วย ตั้งใจไว้เลย คำว่าตั้งใจ แปลว่าอะไร? ไม่ใช่ตั้งใจจะเอาอีก จะเอาอีก จะเอาเยอะๆ ไม่ใช่ตั้งใจ ตั้งใจหมายถึงฉันจะฝึกในการที่ให้ แล้วไม่สนใจเลย ฉันให้ไปแล้วจริงๆ พระเจ้าจะให้ลูกกลับคืนเท่าไร? อะไร ไม่สนใจ ลูกจะให้ด้วยความรัก และให้ออกไปจริงๆ นี่คือธรรมชาติของลูก ลูกเป็นความรัก ให้ออกไป วันนี้ทำได้แค่นี้ ก็ทำไป ให้ออกไปบาทหนึ่ง ก็ยังมีดีกว่าให้ไปร้อยหนึ่ง แล้วหวังอีกพันหนึ่งกลับคืน หมื่นกลับคืน แต่ให้ไปบาทหนึ่ง ทำใจไปเลย  แล้วก็ค่อยๆ ฝึกมากขึ้นไปเรื่อยๆ  รู้สึกสละ อย่างนี้เรียกว่าเสียสละ ให้ของแท้ ฝึกฝนนะ

เริ่มต้นตั้งใจไว้เลยว่าตัวเราเองสามารถทำได้เท่าไร? ไม่ต้องฝืนใจ ทำได้เท่าไร? ก็เท่านั้นแหละ ไม่จำเป็นต้องไปเปรียบเทียบกับคนอื่น คนอื่นเขาต้องเท่านั้นเท่านี้ ไม่ต้องสนใจ เราดูตัวเราเองนั้นแหละ แล้วตัดสินใจให้ออกไปจริงๆ ให้จริงๆ คิดในใจให้ดีๆ ให้ลงทุน พอถุงเดินมาปุ๊บ ใส่ลงไปเลย ลงทุน ไม่ใช่ ควักขึ้นมาใหม่ ให้ๆๆๆๆๆ โอเค ให้หมายถึงอะไร? ให้ หมายถึงเสียสละ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับมันอีกเลย ไม่ใช่ให้ แล้วก็ตาม โบสถ์เอาไปทำอะไรบ้าง? นี่ให้ไหม? ไม่ใช่ให้ จะลงทุน แล้วตามไปดูอีกว่าเขาทำอะไร? ให้กับองค์กรนี้ องค์กรนี้ไปทำอะไรบ้าง? เงินของฉันทั้งนั้น อะไรอย่างนี้  เงินของฉัน ให้ไป ก็คือให้เขาไปแล้ว แล้วเราจะบอกว่าเป็นเงินของเราได้อย่างไร? ยกตัวอย่างให้ฟัง

ให้ โดยไม่คิดว่าจะได้อะไรกลับคืน คิดในใจไว้เลย ตั้งใจไว้เลย …

“ฉันไม่ได้ให้ เพื่อฉันจะหวังว่าจะได้ร่ำรวย หรือต้องมีอะไรมาชดใช้ให้ฉัน ฉันให้ออกไป ฉันไม่หวังเลย ฉันให้ เพราะเชื่อฟังพระเจ้า วางใจในพระเจ้า ไม่หวังสิ่งตอบแทน ไม่หวัง แม้กระทั่งชื่อเสียง ทรัพย์สินเงินทอง คำชมต่างๆ ฉันให้ด้วยความรักที่อยู่ในใจ ไม่มีใครรู้”

แล้วถ้าท่านฝึกอย่างนี้ ผมจะบอกให้ท่านฟัง มันจะมีบททดสอบชีวิตท่านเข้ามา จะทดสอบว่าตรงนี้ท่านจะได้รับคำชม ถ้าเผื่อท่านเปิดเผยนิดหนึ่ง ท่านจะเอาไหม? ท่านจะเปิดเผยไหมว่าท่านเป็นคนทำ เพราะบางทีให้ออกไป ไม่ได้เป็นทรัพย์อย่างเดียว  ทรัพย์เป็นส่วนประกอบเท่านั้นเอง แต่ในชีวิตท่านสามารถให้อะไรเยอะแยะมากมาย ให้ความรัก เมตตา การให้อภัย การช่วยเหลือ แรงกายแรงใจทุกอย่าง มันจะมีบททดสอบมาว่าถ้าท่านประกาศออกไป ท่านจะได้รางวัล ท่านจะได้ชื่อเสียง แต่ถ้าท่านเงียบๆ ไว้ จะไม่มีใครรู้เลย ท่านจะเอาอะไร ท่านจะเชื่อพระเจ้า หรือจะเชื่อมนุษย์ดี ถ้าท่านเปิดเผยมา ท่านก็จะเป็นฮีโร่เลย ดังเลย แต่ถ้าท่านเงียบๆ  เฉยๆ ท่านก็มีสุขใจ แต่ถ้าพระเจ้าจะเปิดเผย โดยที่ท่านไม่ได้พูดอะไรเลย อันนั้นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะอันนั้นเกินกว่าที่เราจะควบคุมแล้ว มันจะมีทดสอบเข้ามาอยู่เรื่อยๆ ในการฝึกฝนแต่ละครั้ง แต่ละตอน เอเมน

 

******************************

 

 

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 1 กรกฎาคม 2018 เรื่อง “เป็นลูกพระเจ้า แต่ยังไม่เชื่อในการไถ่” โดย นคร เวชสุภาพร

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 1 กรกฎาคม 2018

เรื่อง “เป็นลูกพระเจ้า แต่ยังไม่เชื่อในการไถ่”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีครับ ลองฟังเรื่องนี้ดูว่านึกถึงใคร? ลูกชายของเศรษฐีนักธุรกิจรายหนึ่ง อยากออกมาใช้ชีวิตส่วนตัว ไม่อยากช่วยงานธุรกิจของครอบครัว เหมือนทายาทเศรษฐีทั้งหลายทั่วโลก เป็นอย่างนี้ ก็เลยลุกขึ้นมา ขอเงินแบ่งจากพ่อ แล้วก็ออกจากบ้านไป ใช้ชีวิตอิสระเป็นตัวของตัวเอง ปรากฎว่าชายหนุ่มคนนี้ ก็ใช้เวลาเพียงไม่นาน ก็ประสบผลไม่สำเร็จ ก็ล้างผลาญทรัพย์สมบัติที่ได้มา จนหมด ไม่ใช่แค่หมดเท่านั้น แถมยังเป็นหนี้เป็นสินอีกมากมาย ทั้งจากการสุรุ่ยสุร่าย เล่นการพนัน และการใช้เงินเกินตัวด้วย มั่นใจตัวเองมาก พอเงินหมด ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร? เจ้าหนี้ก็มาทวงทุกวันๆ ไม่ใช่มาทวงธรรมดา ทั้งทวง ทั้งข่มขู่ ข่มเหง รังแกด้วย บ้านที่เอาไปวาง ที่ดินที่เอาไปวางเป็นหลักประกันก็จะโดนยึด คราวนี้จะทำอย่างไรดี?

เมื่อตอนอยู่กับพ่อก็ซ่าส์ เย่อหยิ่ง อยากจะมีชีวิตที่เป็นอิสระ อยากออกจากบ้าน เป็นตัวของตัวเอง อยากจะคิดเอง ทำเองทุกอย่าง แต่พอออกไปแล้ว เป็นไง เจอตอเข้า เจอปัญหา  เจอความทุกข์ยากลำบาก เจอของจริงเข้า ก็นึกถึงใคร? นึกถึงบ้าน นึกถึงพ่อ ชายหนุ่มคนนี้ พอเจอการทวงนี้ การข่มขู่ที่รุนแรงเข้า ก็เลยต้องกลับไปขอการช่วยเหลือจากพ่อ พอไปถึงพ่อ พ่อช่วยไหม? ช่วยอยู่แล้ว

ความรักของพ่อที่มีต่อลูก ก็แน่นอน มันจะขนาดไหนก็ตาม จะผิดหรือจะถูกอย่างไรก็ตาม เมื่อลูกกลับมา เราช่วยอะไรได้ เราช่วยเต็มที่ นี่เป็นมหาเศรษฐี ทำไมจะช่วยไม่ได้ เมื่อลูกกลับมา ก็ดีใจ พ่อพร้อมที่จะอ้าแขนรับ และช่วยเหลือ พ่อก็เลยไปช่วยเจรจากับเจ้าหนี้ แล้วก็ไถ่หนี้ให้ทั้งหมด จนครบหมด หมดเกลี้ยงเลย พ่อก็เลยกลับมาบอกลูกชายว่าพ่อทำการไถ่หนี้ให้หมดแล้ว หนี้ที่ไปสร้างไว้เยอะแยะ ตอนนี้ไถ่หมดแล้ว  จ่ายหมดแล้วๆ ลูกเป็นอิสระแล้ว ลูกก็พยักหน้า ดีใจ เชื่อ ดีใจ แต่ปรากฏว่าดีใจ สบายใจอยู่ไม่นาน สิ้นเดือน เจ้าหนี้มาทวงเหมือนเดิม ยังมาข่มขู่อีก มาทวงเหมือนเดิมอีก ส่งคนมาทวง ข่มขู่ ก็เลยชักไม่แน่ใจ ก็จ่ายให้ไป กลัว ก็จ่ายให้ไป จ่ายหนี้ เดือนต่อไป ก็มาข่มขู่อีก ชักไม่แน่ใจแล้ว คราวนี้ก็เลยไปถามพ่อ พ่อก็ยืนยันว่าจ่ายหมดแล้ว แถมยังเอาใบเสร็จมาให้ดู ไปจ่ายมาเอง เรียบร้อยแล้ว และก็บอกลูกชายว่าคราวหน้า ถ้ามันมาทวงอีก เอานี้ให้มันดูเลย ใบเสร็จ รู้ไหม? รู้ครับ

แล้วเจ้าหนี้ก็กลับมาอีก สิ้นเดือนมาแล้ว  คราวนี้ขู่หนักเลยว่าถ้าไม่ผ่อนหนี้ต่อไป คราวนี้จะทำให้รุนแรงขึ้น  อาจเจ็บตัวได้นะ ปัญหาหนักขึ้นนะ ข่มขู่ร้ายแรงเลยคราวนี้ ลูกชายก็ทำตามที่พ่อบอก ก็รีบไปเอาใบเสร็จมา โชว์ให้เจ้าหนี้ดูเลยนะครับ พูดเสียงแข็งเลยนะ …

“นี่คือหลักฐานการใช้หนี้หมดแล้ว พ่อฉันจ่ายหมดแล้ว”

แต่ว่าเจ้าหนี้ก็ยังทำไม? ขู่ต่อไปว่า … “ดูให้ดีๆ ใบเสร็จนี้มันไม่ใช่ของจริง มันเป็นของปลอม ถ้าพ่อแกมีเงินจริง ไถ่บ้าน ไถ่ที่ดินอย่างนี้นะ คงไม่ปล่อยให้แกอยู่อย่างนี้หรอก”

ฟังให้ดีๆ “ถ้าพ่อแกมีเงินเยอะจริงๆ ขนาดมาไถ่หนี้  ถึงขนาดในใบเสร็จนี้  เป็นหลายร้อย หลายสิบล้านอย่างนี้จริงๆ แล้วทำไมปล่อยให้แกอยู่บ้านโทรมๆ อย่างนี้ ดูสิปลวกยังขึ้นอยู่เลย สีก็ไม่ได้ทา ถ้ามีเงินขนาดนี้จริงๆ บ้านแกมันต้องสวยกว่านี้ตั้งเยอะนะ มันไม่กี่ตังค์เอง ถ้าทำใหม่”

ชักน่าคิด ลูกก็หันกลับไปดูที่บ้าน มันก็จริงนะ คิดตามภาษามนุษย์ธรรมดาว่ามันมีเหตุผล แล้วก็บอกตัวเองว่าที่เจ้าหนี้พูด มันก็น่าจะเป็นจริง งั้นแสดงว่าพ่อคงยังไม่ได้ไถ่หนี้ให้เราแน่ๆ เลย คิดไปคิดมา เลยเถิดไปว่าพ่อเราจริงหรือเปล่า? หรือเราถูกหลอก หลอกเราเล่นหรือเปล่า? ใช่พ่อเราไหมเนี้ย ชักไม่ค่อยแน่ใจ ก็ทำอย่างไร? ผ่อนต่อ จ่ายต่อ

แล้วก็คิดต่อไป … “ถ้าเป็นพ่อของเราจริงๆ มีเงินขนาดนี้เยอะแยะ ไถ่หนี้ให้กับเรา บอกว่าที่ดินทั้งหมดนี้ หนี้สินไปจ่ายเขาหมดเรียบร้อยแล้ว ป่านนี้บ้านเราคงไม่อยู่อย่างนี้หรอก จะมาปล่อยให้เราอยู่บ้านหลังเก่าอย่างนี้ทำไม? ซื้อหลังใหม่ให้เราก็ได้ ถ้าไม่ซื้อหลังใหม่ให้เรา แสดงว่าไม่มีจริง ถ้าเป็นพ่อเราจริง ไถ่ให้เราอย่างนี้จริงๆ น่าจะให้เราอยู่ดี กินดีกว่านี้ ไม่ใช่ให้มาขัดสนลำบากลำบนอย่างนี้ ปล่อยให้เราอยู่อย่างทุรักทุเลตามมีตามเกิดแบบนี้ คงไม่ปล่อยให้เราอยู่บ้านโทรมๆ อย่างนี้ ลำบากอย่างนี้หรอก เพราะฉะนั้น ไม่น่าใช่ ที่ไถ่อะไรให้เราทั้งหมดแล้ว คงไม่จริง”

พอคิดแบบนี้  ก็สรุปเลยว่าพ่อยังไม่ได้ไถ่ให้เราจริงๆ เราอาจถูกหลอก เรายังไม่ได้มีอิสรภาพจากหนี้สินจริงๆ ตามที่พ่อบอก ถ้าขืนเรายังไม่จ่ายหนี้ต่อไป อาจเจ็บตัว เจ้าหนี้คงมาทวงอีก อาจเจ็บตัว เดี๋ยวหนักๆ เข้า คราวนี้ รุนแรงถึงชีวิตได้ เดือดร้อนใหญ่เลย ก็เลยจำใจต้องก้มหน้าก้มตาใช้หนี้ต่อไปเหมือนเดิม

คิดให้ดีๆ นะ ใช้หนี้ต่อไปเหมือนเดิม ขณะที่ใบเสร็จอยู่ในมือแล้วนะ  คุ้นๆ นะ

เรื่องลูกชายเศรษฐีคนนี้ ถามว่าเหมือนใครครับ? เหมือนคนที่มาเชื่อพระเจ้า มาเป็นลูกพระเจ้าแล้ว พระเจ้าบอกว่าไถ่หนี้ให้หมดแล้ว พระเยซูไถ่บาปให้แล้ว ปลดเราให้เป็นอิสรภาพจากหนี้บาป เวรกรรมแล้ว แต่พอมีเจ้าหนี้มาเริ่มทวงอีก เราก็ทำไร? เมื่อเจ้าหนี้มาทวง เจ้าหนี้บอกว่าอะไร?

“แกต้องชดใช้บาปเวรกรรม ที่แกมีอยู่ในใจนั้นต่อไปนะ”

บอกทำไม บอกเมื่อไร ทุกเดือนเหรอ ไม่ใช่ ทุกวัน เผลอๆ ทุกชั่วโมง เดี๋ยวเผลอนิดหนึ่ง อาบน้ำอยู่ เดินไป กินข้าวอยู่ เดี๋ยวแว๊บมาแล้ว โดยแว๊บ ผ่านทางโน้น ผ่านทางนี้  ผ่านทางความคิดเรา มันใช่เหรอเนี้ย เราหมดบาปเวรกรรมแล้วจริงๆ ตามที่พระเจ้าบอกหรือ? หรือเราจะต้องจ่ายหนี้ของเราอยู่เหมือนเดิมทุกวัน เพราะอะไร? เพราะเราไม่มีความมั่นใจในการไถ่ของพระเยซูคริสต์เท่านั้นเอง เพราะถ้ามั่นใจ เราคงไม่คิดและไม่ทำอะไรแบบนี้  เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังต่อไป ความไม่มั่นใจนี้ ทำให้เกิดอะไรขึ้น ไม่มั่นใจ เพราะอะไร? เพราะเราใช้ความคิด ตรรกะแบบเหตุและผล แบบมนุษย์ ใช้ตามอง ใช้สิ่งที่สามารถจับต้องมองเห็นได้ มาเป็นเครื่องพิสูจน์ วัดว่าพ่อเราไถ่เรา โดยพระเยซูคริสต์จริงไหม? พระเจ้าไถ่บาปเราโดยพระเยซูคริสต์จริงไหม? เหมือนเรื่องเมื่อตะกี้นี้ คิดตามเหตุผลเลย

ถ้าพ่อเรา หรือพระเจ้าประทานพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระองค์องค์เดียว มาไถ่บาปให้เราจริงๆ ตามที่พระองค์ทรงพูดไว้ตามพระคัมภีร์นั้น ทำให้เรามากมายถึงขนาดนี้จริงๆ ถ้าเราได้ชื่อว่าเป็นลูกของพระเจ้าจริงๆ แล้ว เราก็ควรจะอยู่ดี กินดีกว่านี้นี่น่า จริงหรือเปล่า? หรือไม่มีใครเคยคิดบ้าง แล้วเราก็ควรจะอยู่ดีกว่านี้ เป็นลูกพระเจ้า ทำไมมันโทรมอย่างนี้ ถูกไหม?  ก็เหมือนเรื่องเมื่อตะกี้ ก็ในเมื่อพ่อของเรา คือพระเจ้าผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ผู้ทรงควบคุมและครอบครองสรรพสิ่งทั้งหลายทั่วจักรวาล ถ้าเราเป็นลูกของพระเจ้าที่กล่าวมานี้ เราก็ไม่ควรจะมีชีวิตแบบนี้เลย นี่คือการทวงนี้แบบเข้ามาในสมองเรา แล้วเราก็ชอบคิดแบบนี้ มันก็เลยตามไป บางทีคิดตอนอาบน้ำ คิดตอนกินข้าว บางทีคิดก่อนนอน บางคิดตอนทำงาน บางทีคิดตอนไม่สบาย บางทีคิดตอนมีปัญหา บางทีคิดตอนอะไรแล้วแต่ อะไรเยอะแยะ คิดตอนโลภ เยอะแยะไปหมดเลย คิดไปเรื่อย เพราะเรามีชีวิตที่ไม่มั่นใจในความรอดในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าให้กับเรา

“มีที่ไหน ลูกพระเจ้าต้องไปติดหนี้ ยืมสินเขา มีเหรอ?”

มีไหม? เราเป็นลูกพระเจ้าไปติดหนี้ยืมสินเขาเหรอ? หัวเราะตายเลย มีที่ไหน ลูกพระเจ้าต้องมาทุกข์ทรมาน จากโรคภัยไข้เจ็บ ไหนบอกพระเจ้าเป็นแพทย์ผู้ประเสริฐ มีที่ไหนลูกพระเจ้าต้องมาแบกปัญหาภาระ 108 1009 บนโลกใบนี้ ยุ่งวุ่นวายไปหมด เผลอๆ หนักกว่าคนอื่นเขาอีก เคยคิดบ้างไหม? ต้องเคยล่ะ มากหรือน้อยก็ตาม

“ลูกพระเจ้า ทำไมยังกังวล ยังกลัว ยังวิตกอยู่เลย”

บางคนหนักกว่านั้น … “ทำไมลูกพระเจ้ายังเป็นโรคซึมเศร้าอยู่เลย ทำไมลูกพระเจ้าคนนี้ฆ่าตัวตายได้ ทำไมลูกพระเจ้าคนนี้ ทำอย่างนี้ได้ สงสัยไม่ใช่ลูกพระเจ้ามั้ง”

สงสัยไปกันใหญ่ สิ่งเหล่านี้ ที่ทำทั้งหมด คือไม่เชื่อ กำลังบอกว่าเรากำลังผ่อนหนี้เขาต่อ เขามาทวง เราก็ผ่อนหนี้เขาต่อ นี่คือผ่อนหนี้  การผ่อนนี้ คือเราไม่เชื่อพระเจ้า กำลังผ่อนหนี้ ยอมรับง่ายๆ ว่าเราเป็นหนี้จริง พอเราเป็นหนี้จริง เราก็จะคิดแบบนี้ เราเป็นลูกพระเจ้า ลูกพระเจ้าอะไร ทำไมยังโกรธ ยังเกลียด ยังอิจฉาริษยา ยังโลภอยู่เลย ลูกพระเจ้าได้อย่างไรอย่างนี้ มันเป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้น เรากำลังบอกว่าเราไม่สมควรเป็นลูกพระเจ้า ทั้งๆ ที่พระคัมภีร์พระเจ้า พ่อเราบอกว่า …

“แกบริสุทธิ์สะอาด ไร้ที่ตำหนิ เหมือนพระเยซูคริสต์เลย”

เราบอก … “ไม่ใช่ ลูกพระเจ้าจะเป็นอย่างนี้ได้อย่างไร? ลูกพระเจ้าจะโกรธได้อย่างไร? เมื่อเช้าฉันก็หงุดหงิด ลูกพระเจ้าจะหงุดหงิดอย่างนี้ได้อย่างไร?”

เป็นไหม? นี่แหละ คือการผ่อนหนี้อยู่ … “มันเป็นไปไม่ได้” … เรากำลังผ่อนหนี้อยู่ “เป็นไปไม่ได้” ก็คือเราไม่ได้รับอิสรภาพ เรายังเป็นหนี้สินอยู่ เรายังเป็นหนี้สินอยู่

“ใช่ แกพูดถูกแล้ว”

เรายังเป็นหนี้ เราผ่อนวิธีการนั้น ก็คืออย่าหนี ถ้าปล่อยไปเรื่อยๆ มันก็จะไปเรื่อยๆ

เพราะฉะนั้น ในความคิด เราก็จะสรุปว่ามันเป็นไปไม่ได้แน่ๆ ที่พระเจ้าองค์นี้จะเป็นพ่อของเรา และยิ่งพอเจอปัญหา เจอความทุกข์ยากลำบากหนักๆ เข้า ก็เลยคิดเลยไปใหญ่ว่าพระเจ้าที่ได้ยินมา ได้ฟังมา ได้เรียนรู้มานั้น ไม่มีจริงด้วยซ้ำไป เป็นความอยากได้ของมนุษย์มากกว่า พระเจ้าไม่มีจริง หรือมี ก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่อย่างที่พระคัมภีร์พูดจริงๆ หรอก นั่นคือจินตนาการของมนุษย์ อยากให้พระเจ้ายิ่งใหญ่ แต่จริงๆ ไม่มีหรอก อะไรคนเราทำผิดทำบาปเยอะแยะ อยู่ดีๆ มาเชื่อพระเยซูจะไปรอด สมควรไปอยู่สวรรค์ เป็นไปไม่ได้ ใครๆ ก็บอกเป็นไปไม่ได้ คนข้างบ้านก็บอก เพื่อนก็บอก รวมทั้งตัวฉันเอง ในที่สุด ฉันก็เลยบอกด้วยคนว่าไม่จริงหรอก ก็จบข่าวประเสริฐตรงนั้น

เห็นไหม? นี่คือวิธีการที่มารจะมาขโมยข่าวประเสริฐจากเรา การที่เราใช้หนี้ทุกวัน ที่เราบอกว่าพระเจ้าใช้หนี้เราหมดแล้ว แต่พอแต่ละเดือนแต่ละวันเขามาทวง เราก็ยังจ่ายอยู่ จ่ายก็คือวิธีนี้ ยังจ่ายอยู่ ยังคิดอย่างนี้อยู่ พอคิดอย่างนี้อยู่ ก็จ่าย วิธีจ่ายของเรา ก็คือจะทำอะไรก็ตาม เป็นพิธีกรรมอะไรก็ตามที่เป็นแรงจูงใจจากจิตใจ คือต้องการจะเป็นอิสระ นั่นแหละ คือการใช้หนี้เขา

ยกตัวอย่างเช่น ง่ายๆ เช่นท่านมาโบสถ์ เพราะอะไร? ท่านคิดว่าท่านมาโบสถ์ เพราะว่ามันจะได้สมควรที่จะไปสวรรค์เหรอ? เสร็จแล้ว ท่านกำลังผ่อนให้เขาอยู่ ถ้าท่านมาโบสถ์ เพราะว่าเราจะได้มาหนุนจิตชูใจกัน สรรเสริญพระเจ้า ขอบคุณพระเจ้าที่เป็นอิสรภาพแล้ว อย่างนี้คนละจิตใจ มาเหมือนกันนะ แต่คนละแรงจูงใจไม่เหมือนกัน ท่านต้องเป็นอย่างนี้ ฉันต้องอดอาหารอธิษฐาน ไม่ใช่ไม่ดี ดี แต่ฉันอดอาหารอธิษฐาน เพื่อแสวงหาอะไรบางอย่าง ในเรื่องความจริงแห่งถ้อยคำพระเจ้า ไม่ใช่อดอาหารอธิษฐาน เพราะว่าฉันจะได้บริสุทธิ์ ฉันจะได้บังคับตัวเอง ฉันจะได้บังคับตัวเอง ไม่ใช่อันนั้นเป็นการบังคับตัวเอง เหมือนถวายเหมือนกัน ท่านให้เงินไป ท่านให้เพราะอะไร? เพราะพระเจ้าให้มา อยากจะให้ต่อ คนให้มีความสุข คนรับมีความสุข พอแล้วแค่นั้น ไม่ใช่ให้เพราะว่าฉันจะได้สมควรไปสวรรค์ พระเจ้าจะได้รักฉันเยอะๆ เสร็จเลย

นี่คือการผ่อนไง และอื่นๆ อีกมากมาย เยอะแยะไปหมด ตลอดทั้งวันทั้งคืนที่เราทำ ไปพิสูจน์กันเองแล้วกัน ของใครของเขาว่าอะไรที่เราทำในทุกวันนี้ เป็นการยังผ่อนอยู่ไหม? พระเจ้าบอกเป็นอิสระแล้ว ตื่นขึ้นมา มีคนมาทวง ผ่อนอีกไหม? หรือเราบอกมันว่า …

“ไปให้พ้นนะ ฉันเป็นอิสระแล้ว ไปไกลๆ เลย”

หรืออย่างไร? ท่าทีไหนของเราที่เป็นไปตามถ้อยคำพระเจ้า ให้ท่านกลับไปคิดเอาเอง ตัวใครตัวเขาแล้วกัน เอเมน

 

**********************

 

 

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 17 มิถุนายน 2018 เรื่อง “จงนิ่งเสียและรับรู้ว่าเราคือพระเจ้า” โดย นคร เวชสุภาพร

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 17 มิถุนายน 2018

เรื่อง “จงนิ่งเสียและรับรู้ว่าเราคือพระเจ้า”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีครับ อีกไม่กี่สัปดาห์เราก็จะมีค่ายครอบครัว คือวันที่ 5-7 ตุลาคม 2018 ปีนี้พิเศษมาก ได้หัวข้อเรื่องปีนี้แล้ว  ชื่อหัวข้อค่าย เรื่อง “จงนิ่งเสีย และรู้ว่าเราคือพระเจ้า” หรือ “จงนิ่งเสียและรับรู้ว่าเราคือพระเจ้า”

เป็นหัวใจของคริสเตียนก็ว่าได้ ว่าตามจริงไม่ได้เป็นหัวใจของคริสเตียนอย่างเดียว เป็นหัวใจของผู้ที่แสวงหาพระเจ้า เป็นหัวใจที่พระเจ้าจะนำประชากรของพระองค์ คือมนุษย์ทั้งหลายบนโลกใบนี้ ซึ่งเป็นมนุษย์บาป เข้ามารู้จักพระองค์ ตั้งแต่เริ่มแรกเลย ตั้งแต่ปฐมกาลเลย ตั้งแต่พระคัมภีร์เดิมเลย จนพระคัมภีร์ใหม่ จงนิ่งเสียและรับรู้ว่าเราคือพระเจ้า ตัวนี้สำคัญที่สุด เรามาถึงยุคปัจจุบัน ยุคของคริสเตียน ตรงนี้ ยิ่งจำเป็นสำหรับเรามากขึ้น และเรามีโอกาสได้มากขึ้นกว่าคนสมัยก่อน เพราะว่าทุกวันนี้ พระเจ้ามาสถิตอยู่กับเราตามพระคัมภีร์บอก พระคัมภีร์ทั้งเล่ม หมายถึงพันธสัญญาใหม่ทั้งเล่ม พระเจ้าได้บอกตลอดเวลาว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเราแล้ว พระเยซูสถิตอยู่กับเราแล้ว พระเยซูคริสต์ได้กระทำสำเร็จแล้วที่ไม้กางเขน

สำเร็จ นี่คืออะไร? คือทำให้พระเจ้าสามารถลงมาสถิตอยู่กับมนุษย์ได้ ทำให้ร่างกายมนุษย์ที่สกปรกโสโครก เป็นคนบาปนั้น กลายเป็นวิหารของพระเจ้าสถิตอยู่ในวิญญาณของเขา ทำได้แล้ว แล้วเรารู้ได้อย่างไร? วิธีรู้ ก็คือจงนิ่งเสียและรับรู้เถิดว่าเราคือพระเจ้า พระองค์คือพระเจ้า พระองค์มาสถิตอยู่กับเราแล้ว จงนิ่งเสียและรับรู้ สมัยก่อนนี้นิ่ง แล้วรับรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า เคลื่อนไหวอยู่แถวๆ ท่ามกลางอิสราเอล ท่ามกลางผู้คนของพระองค์ แต่เดี๋ยวนี้สมัยพระเยซู คือสมัยคริสเตียน สมัยเรา จงนิ่งและรับรู้เถิดว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเรา

เพราะฉะนั้น ค่ายครั้งนี้จะพิเศษ จะสอนน้อย แต่ปฏิบัติเยอะ จะพาท่านไปปฏิบัติ เพราะเรื่องราวของพระเจ้าต้องใช้ปฏิบัติ มาตั้งแต่สมัยพระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย แล้วเข้าไปอยู่ในสวรรค์ใหม่ๆ สิ่งนี้คือสิ่งที่พระเจ้าต้องการให้เราทำมากที่สุด คือให้เรารู้ว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเรา และมันก็เป็นจริงๆ ตามนั้นด้วย ถ้อยคำก็เป็นอย่างนั้น ความจริงก็เป็นอย่างนั้น เราเองคิดไปไม่ถึง เกินกว่าความคิดของมนุษย์จะเข้าใจ ถึงต้องอาศัยตรงนี้แหละ จงนิ่งเสีย

จงนิ่งเสีย คืออะไร? พูดคร่าวๆ ให้ฟังก่อน  จะได้ตื่นเต้น ใครที่ลงทะเบียนไปค่าย ท่านจะได้ตื่นเต้นว่าเที่ยวนี้ท่านไป ท่านจะได้รับอะไรบางอย่างที่เป็นอาวุธของท่าน ในการดำรงชีวิตอยู่บนโลกใบนี้อย่างสันติสุขและสงบสุข และรู้ว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับท่าน (ตลอดเวลา)  โดยการฝึกฝนวิธี จะสอนทฤษฎีด้วย แต่ปฏิบัติเยอะ ปฏิบัติในการรับรู้ พอบอกว่าจงรับรู้ จงนิ่งเสีย ท่านก็อาจจะไม่เข้าใจ นิ่งเสียคืออะไร?

จะพูดคร่าวๆ ให้ฟัง นิ่งเสีย ก็คือการจดจ่อไปที่วิญญาณ เหมือนคำพูดในพระคัมภีร์ใหม่ที่พูดคำว่าจดจ่อ เมื่อไร ในนั้นพูดคำว่าจดจ่อ นี่แหละคือจงนิ่งเสีย จดจ่อเข้าไปในวิญญาณ

เมื่อไรที่ท่านอ่านพระคัมภีร์ใหม่ ที่บันทึกคำว่า “จงมองให้เห็นเถิด” นั่นแหละคือคำว่า “จงนิ่งเสีย” มันมองด้วยตาไม่เห็น ถ้าไม่นิ่งไม่เห็น ถ้านิ่งเมื่อไร มันมองทะลุไปในโลกวิญญาณได้ว่านี่มันจริง พระเจ้าสถิตอยู่เราจริงๆ มีจริงๆ เป็นจริงๆ

จะสอนเคล็ดลับตรงนี้ให้ เอาหรือไม่เอา? รับรองได้ว่าตื่นเต้น ใครได้ไปขนาดไหน? อย่างไร? แต่มันตื่นเต้น ตะกี้เราพูดถึง เมื่อแปลเป็นภาษาไทย จงจดจ่อ จงมองให้เห็นเถิด  แล้วแปลเป็นอะไรได้อีกไหม? นี่ใช้ภาษาไทยคำนี้มาตั้งแต่สมัยโน้นปฐมกาล พระเจ้าให้มนุษย์ที่เต็มไปด้วยความบาป ให้รู้ว่าพระองค์เป็นพระเจ้า โดยการ … ถ้าใช้พูดภาษาไทย คำนี้ทุกคนจะเข้าใจเลย  คือคำว่าภาวนา บางทีเราคิดว่าภาวนา คืออธิษฐาน ไม่ใช่ ภาวนา คือการมองทะลุเข้าไปในโลกวิญญาณ ค่อยๆ ผลักดันตัวเองเข้าไปในโลกวิญญาณ ทะลุเข้าไปได้ แล้วแถมผมมีเครื่องมือพิเศษ เครื่องมือพิเศษ คือเอาวัสดุ เอาสิ่งต่างๆ ของวัตถุ ของสิ่งของบนโลกใบนี้มาช่วยเราในการภาวนา ทะลุเข้าไปในโลกวิญญาณให้ได้ง่ายขึ้น

ยกตัวอย่างเช่น การอยู่เงียบๆ เป็นส่วนหนึ่ง เป็นส่วนประกอบที่ช่วยเราให้ทะลุ ภาวนาได้ง่ายขึ้น กับการที่นั่งบนรถเมล์ ใครง่ายกว่ากัน อยู่ในห้องง่ายกว่าใช่ไหม? ถ้าอยู่ในห้องและอยู่ในโบสถ์ยิ่งง่ายขึ้น เพราะว่าอยู่ในโบสถ์มีความรู้สึกว่ามันศักดิ์สิทธิ์ มันช่วยเรา จริงๆ มันเหมือนกัน นั่งรถเมล์ กับนั่งที่โบสถ์ ก็เหมือนกัน แต่ไม่เหมือน ตรงที่สิ่งแวดล้อมช่วยเรา อะไรต่างๆ ที่ช่วยเรา กินอิ่มเกินไป มันก็ไม่ได้ช่วยเรา หิวเกินไป ก็ไม่ช่วยเราอีก มันต้องพอดีๆ ใช่ไหม? บรรยายกาศดีๆ นั่นแหละสิ่งเหล่านี้เป็นตัวช่วย

และตัวช่วยอีกอันหนึ่งในสมัยอดีต  บอกเคล็ดลับให้ ตัวช่วยอีกอันหนึ่งในอดีต ที่ช่วยมาตลอด จนถึงยุคพระคัมภีร์ใหม่ ก็ยังช่วยอยู่ ตัวนี้ ก็คือเขาเรียกว่าอโรมา คือกลิ่น ทำให้มีความรู้สึกไวและสัมผัสในโลกฝ่ายวิญญาณได้มากขึ้น อันนี้เรื่องจริงนะ ไม่ได้พูดขายของนะ กลิ่น ปัจจุบันเรารู้กันในนามของอโรมาเธอราฟี่ หรือการบำบัด การรักษา การเอาประโยชน์จากการดมกลิ่น  กลิ่นดีๆ ทำให้เราสามารถคลายเครียดได้ ปลดปล่อยเราจากความซึมเศร้าได้ ทำให้เรายิ้มแย้มแจ่มใสได้ และสามารถทำให้เราทะลุเข้าไปในอีกมิติหนึ่งที่เรียกว่าโลกวิญญาณได้ ช่วยเรา ผมกำลังจะพูดถึงสิ่งที่พระเจ้าวางไว้บนโลกใบนี้เรียบร้อยแล้ว ถ้าเราเอามาใช้ให้เป็นประโยชน์ มันก็เป็นประโยชน์ต่อเรา เรากำลังต้องการทำอะไร? เรากำลังต้องการทำความสงบ ทำความนิ่งให้กับวิญญาณของเรา แล้วจะทะลุเข้าไป ภาวนาเข้าไปในโลกวิญญาณ เขาไปหาว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเราอย่างไร? ให้เห็นชัดๆ ขึ้นกับการไม่นิ่ง ตอนนี้เราจะพยายามให้นิ่ง วิธีช่วยให้นิ่ง หนึ่งอัน คือการใช้สมุนไพรที่พระเจ้าวางไว้ สำหรับมนุษย์บนโลกใบนี้ ช่วยเราในการที่จะค่อยๆ สงบลง

และหนึ่งในจำนวนนั้น ที่พระเจ้าใช้ เรารู้จักกันดีในปัจจุบัน อดีตเขารู้จักกันมานานแล้ว พระเจ้าบอกอิสราเอลบอกว่าปุโรหิต จะเข้าไปหาพระเจ้า หนึ่งอันในนั้น ต้องทำพิธีหลายอย่าง มีความหมายหมด แต่หนึ่งอันในนั้น ต้องทำแน่ๆ คือก่อนที่จะเข้าสู่พระนิเวศน์ของพระเจ้า ผ่านด่านมาทีละหนึ่งด่าน ทั้งหมดมี 7 ด่าน ตั้งแต่นอกพลับพลา จนเดินผ่านพลับพลาเข้ามา มาจนกระทั่งถึงภายใน  จนถึงที่พระเจ้าสถิตอยู่ จะเข้าไปก่อนพระเจ้าสถิตอยู่ ด่านที่ 6 กับด่านที่ 7 และด่านที่ 7 พระเจ้าสถิตอยู่ ด่านที่ 6 ก่อนจะเข้าไป ทำอะไร? จะมีเครื่องเผากำยาน ต้องเผากำยานก่อนนะ แล้วถึงเข้าไป เคยได้ยินใช่ไหม?

กำยานตัวนั้น ภาษาอังกฤษเขาเรียก Frankincense ภาษาไทยแปลว่ากำยาน … กำยานตัวนี้ปุโรหิตเอา อาโรนหรือปุโรหิตก่อนจะเข้าไปในอภิสุทธิสถาน คือเข้าไปในการทรงสถิตของพระเจ้า ซึ่งรุนแรงมาก เต็มไปด้วยฤทธิ์เดชและบริสุทธิ์ เขาต้องชำระตัวกับพระเจ้า หนึ่งในจำนวนนั้น ก็คือเขาต้องเผาเครื่องกำยาน ให้ควันมันฟุ้งไปหมดเลย ท่านรู้ไหมกำยานนี้ ฆ่าเชื้อโรคได้ดียิ่งกว่าสารเคมีที่เข้าไปอยู่ในห้องผ่าตัดอีก กำยานตัวนี้ทุกวันนี้เอามารักษาโรคมะเร็ง รักษาโรคอะไรเยอะแยะ กำยานตัวนี้เอามาใช้ในการสวดมนต์  และแสวงหาโลกวิญญาณในทางศาสนาต่างๆ เยอะแยะเลย กำยานตัวนี้เอามาใช้เยอะแยะมากมายไปหมด แต่พระคัมภีร์บอกไว้ตั้งนาน และให้ควันคุ้งเลย  และเปิดม่านเข้าไปสู่อภิสุทธิสถาน พอผลักม่านเข้าไปปุ๊บ ให้เผาเยอะขึ้นเลย คุ้งไปหมดเลย

ท่านคิดดูที่พระเจ้าสถิตอยู่ในอดีต ที่พลับพลา เข้าไปห้องสุดท้าย ในพระคัมภีร์บันทึกว่าห้องนั้นปิดม่านทึบหมด ทุกอย่างไม่มีแสงเข้า ไม่มีคนเข้าไปเลย ปีหนึ่งมีคนเข้าไปครั้งเดียว ไม่มีการทำความสะอาด แล้วมันจะสะอาดได้อย่างไร? มันคงเหม็นอับมากเลย แต่ไม่หรอก พระเจ้ามีกลิ่นกำยาน ให้เผาทุกวัน เผาข้างหน้าทุกวัน กลิ่นมันก็หอมอบอวลอยู่ในนั้น กลิ่นนี้เรียกว่ากลิ่นกำยาน จบแค่นี้

ค่ายครั้งนี้เราจะไปนิ่งสงบในพระเจ้า คือจดจ่อเข้าไปในโลกวิญญาณ ภาวนาในโลกวิญญาณว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเรานั้น หมายความว่าอย่างไร? ที่พระเยซูบอกว่าสำเร็จแล้ว สถิตอยู่กับเรานั้น หมายความว่าอย่างไร? ที่พระคัมภีร์บอกเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า เราเป็นลูกของพระเจ้า พระเจ้าสถิตอยู่ในร่างกายนี้ มันคืออย่างไร? มันชัดขนาดไหน? เอาสิ่งเหล่านี้มาช่วยกัน

และคำหนึ่งที่แปลตรงตัว ก็คือเราจะไปภาวนาด้วยกัน ทำสมาธิ จดจ่อเรื่องถ้อยคำพระเจ้า โดยใช้สิ่งแวดล้อมต่างๆ ประกอบกัน ก็คือหนึ่งในนั้น ก็คือการใช้กำยาน และใช้การเข้ามาอยู่ร่วมกัน ใช้ถ้อยคำพระเจ้าที่ผมจะคัดให้ท่าน ถ้อยคำพระเจ้าที่เราจะใช้ในการเพ่งมองดู ภาวนา เกี่ยวกับการทรงสถิตของพระเจ้า คืออะไร? และการนมัสการพระเจ้าก่อนหน้า ที่เราจะฝึกฝนร่วมกัน และสถานที่ที่เราจะใช้ร่วมกัน ชายทะเล อะไรมันก็ดูสุขไปหมด ไม่ใช่เดินออกมารถติด เสียงรถ เสียงแตร วุ่นวาย ที่ภาวนาเมื่อตะกี้หายหมด อันนี้เรื่องธรรมดา

สิ่งที่กำลังพูดเหล่านี้ คืออยากให้ท่านได้จริงๆ เพราะตอนที่ผมได้มา ผมก็ดีใจเลย รีบไปบอกทีมงาน … ทีมงานก็ดีใจบอกพี่รีบพูดเลย อาทิตย์นี้รีบพูดเลย พูดให้ประชากรพระเจ้าฟังเลย เขาจะได้เตรียมตัว จะได้เก็บเงินค่าค่ายทัน ตื่นเต้น ผมก็ตื่นเต้น ยังไม่รู้ว่าจะทำอะไรนะ แต่รู้ว่าไม่มีการสอน มีแต่ปฏิบัติ แนะนำให้นิดหนึ่ง แล้วก็ปฏิบัติกันเลย เดี๋ยวนั้นเลย จบค่าย กลับไปที่บ้าน ท่านก็จะสามารถปฏิบัติต่อไปเองได้เลย จะได้รู้ว่าที่พระเจ้าพูดเสมอว่า …

“จงรับรู้เถิดว่าเรา คือพระเจ้า เราสถิตอยู่กับเจ้าแล้ว” … แปลว่าอะไร? เอเมน

พอได้สิ่งนี้ ก็เท่ากับได้ทุกสิ่งบนโลกใบนี้แล้ว ท่านได้สิ่งนี้ ก็ได้เท่ากับทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ และโลกวิญญาณ และนิรันดร์ เราได้รับหมดแล้ว ท่านได้สิ่งนี้เท่านั้นเอง จึงมีค่ามากยิ่งกว่าอะไรทั้งปวง เอเมนไหมครับ เอเมน

 

************************

 

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 27 พฤษภาคม 2018 เรื่อง “พระเยซูทำสำเร็จแล้วที่ไม้กางเขน” โดย นคร เวชสุภาพร

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 27 พฤษภาคม 2018

เรื่อง “พระเยซูทำสำเร็จแล้วที่ไม้กางเขน”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีครับ อาทิตย์นี้เป็นสัปดาห์แรกของคริสตจักรในปีที่ 26 เขาเรียกว่า Time fly when we have fun. เวลามันผ่านไปรวดเร็ว 10 ปีๆ แป๊บเดียว ตอนอยู่ รู้สึกมันนาน แต่พอเลยไปแล้ว หันกลับไปดู แป๊บเดียวนะ พระคัมภีร์บอกว่า 1,000 ปี เท่ากับ 1 วันของพระเจ้า นี่มันผ่านไปเสี้ยววินาทีเท่านั้นเอง แป๊บเดียว เป็นไปตามพระคัมภีร์บอก อะไรที่เรามองเห็นบนโลกใบนี้ ที่ดำเนินอยู่บนโลกใบนี้ มันอยู่เพียงชั่วคราว และมันอยู่แค่แป๊บเดียวเอง เมื่อเทียบกับชีวิตนิรันดร์ในสวรรค์สถาน ที่พระเยซูคริสต์จัดเตรียมให้กับเรา ผู้เชื่อทั้งหลาย ตรงนั้นอยู่นิรันดร์ อะไรที่อยู่ที่นั่นอยู่นิรันดร์ แต่อะไรที่อยู่บนโลกนี้ มันอยู่แป๊บเดียว  ไปแล้ว

ใครเคยดูหนังเรื่องนี้บ้าง?  จะได้รู้ว่าอายุเท่าไร? “เรื่องอภินิหารขนแกะทองคำ” หลายคน รุ่นเดียวกัน แต่เขาเอามาทำใหม่นะ อภินิหารขนแกะทองคำ และอีกเรื่องหนึ่ง “ซินแบต” ใครเคยดูซินแบต ดูหมด คือหนังเหล่านี้ คืออะไรบางอย่างที่มนุษย์ทุกคนทั่วโลก ไม่ว่ารุ่นไหนก็ชอบนะ ปัจจุบันเขาเอามาทำใหม่ ผมชอบฉากหนึ่งมาก ผมเชื่อว่าหลายๆ คนก็ประทับตรา ประทับใจอยู่นี้ คือฉากที่พระเอก หนังประเภทนี้มันต้องลงเรือเนอะ แล้วก็ไปติดเกาะไหนสักอัน เกาะแรกไปถึงปุ๊บ ถูกจับ ใครจับไป? ยักษ์ตาเดียว ยักษ์จับมาใส่กรง จะมากินพรุ่งนี้ ในที่สุด พระเอกก็หลุดออกจากกรงได้ แล้วทำอะไร? ทำอาวุธ ขณะที่ยักษ์นอนหลับอยู่ ยักษ์ตาเดียว ไปแทงที่ตรงตา ตาบอด แต่มันไม่ตาย มันตาบอด มันก็โกรธ แต่มันจับพวกพระเอกไม่เจอ พวกพระเอกก็หลุดออกจากกรงหนีออกไป หนีไปไหน? ก็ต้องไปลงเรือ รีบออกจากเกาะไป พอลงเรือปุ๊บ เรือก็เคลื่อนออกจากเกาะไปปุ๊บ

ยักษ์พอรู้ว่าเรือออกปุ๊บ มันโมโหใหญ่ มันก็คลำ เจอหินก้อนหนึ่ง ก็ยกขึ้นมา กะจะทุ่มเรือไง มันก็ทุ่มไป โดนเรือไหม? ไม่โดน ถ้าโดนพระเอกก็ตายสิ แต่ถ้าไม่โดน แล้วมันอยู่ห่างๆ เรือ มันไม่สนุกนะ ในหนัง ทุ่มไปไม่โดนเรือ แต่มันลงที่ท้ายเรือ เรือเลยพุ่งไปใหญ่เลย กำลังพายๆ อยู่ ใครมา  (ถีบ)  เรือมันไปเร็วขึ้นอีก หนีได้เร็วขึ้นอีก ยักษ์มันโกรธมาก คลำๆ ทุ่มไป รู้ว่าพระเอกยังไม่โดนเรือ ก็คลำอีก คราวนี้ ก้อนหินใหญ่ขึ้นอีก คราวนี้เสร็จแน่ ทุ่มไป ใช่กำลังเต็มที่เลย สูงที่สุด โดนเรือไหม? ไม่โดน โดนตรงไหน? ตรงท้ายเรือ คราวนี้ก้อนมันใหญ่ขึ้น เกิดการผลักดันแรงขึ้น คราวนี้พุ่งไปไกลกว่าเดิม รอดพ้นเลย

ชีวิตคริสเตียนก็เป็นอย่างนี้ มารมันยังไม่ตาย เพียงแต่มันตาบอด และพระเจ้าคุ้มครองเรา ทุกครั้ง เราจะเห็นว่าถ้าปัญหามันมา ถ้าก้อนเล็กๆ เรือชีวิตเรา ที่มีพระเยซูอยู่ มันก็จะไปได้ พุ่งขึ้นไปเป็นธรรมดา แต่เร็วแบบธรรมดา ถ้าจะให้พุ่งเร็วๆ ไปกับพระเจ้าไกลๆ ต้องทำไม? ต้องหินก้อนใหญ่ๆ ยิ่งใหญ่ยิ่งไปไกลใหญ่เลย มองกลับมาตายแน่ ลูกนี้ลูกเบ้อเริ่มเลย รัศมีมันลงกลางลำเลย แต่มันจะเฉี่ยวนิดเดียว ยิ่งเฉี่ยวมากเท่าไร? ใกล้เรือมากเท่าไร? ใกล้ท้ายเรือมากเท่าไร? ก้อนใหญ่เท่าไร? ก็ทำให้เรือมันไปไกลเท่านั้น ความเชื่อเรากับพระเจ้าเดินไปด้วยกัน สนิทกันมากขึ้นเท่านั้น

แล้วเขามีคำกล่าวว่าเมื่อชีวิตเราดำเนินกับพระเจ้า ไม่ว่าจะ 26 ปีเหมือนคริสตจักรเรา หรือกี่ปีก็ตาม ในตลอด 26 ปีหรือกี่ปีก็ตาม พระเจ้าจะนำพาชีวิตเราอย่างนี้ คือวนเวียนอยู่กับวงแหวนอย่างนี้ คือพระองค์จะพาเราไปที่หน้าผาสูงชัน ไปที่หุบผาสูงชัน พอไปถึงหุบผา จะมี 2 อย่างเกิดขึ้น ที่พระองค์จะสอนเราว่าความยิ่งใหญ่ของพระองค์ยิ่งใหญ่ขนาดไหน? ทุกวงจรความเชื่อของคริสเตียน ไม่ว่าจะปีไหนก็ตาม ก็จะมีอยู่เรื่อยๆ พระเจ้าก็จะพาเราไปที่หุบผาเขาชัน พอไปถึงหุบผาสูงปุ๊บ เตรียมไว้เลย จะมี 2 สิ่งที่พระเจ้าจะสอนเราว่าพระองค์ยิ่งใหญ่อย่างไร?

อันดับแรก พระองค์จะสอนเราอย่างนี้ พอพาเราไปปุ๊บ จะให้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระองค์ พระองค์ก็พาเราเกาะปีกของพระองค์ แล้วพระองค์ก็บินไปเลย เรามองไปเสียวมาก แต่นี้บินไป อยู่บนหลังปีกของพระเจ้า เราก็จะตะโกนว่าฮาเลลูยา แล้วเราก็ร้องเพลง บินไปกับพระองค์

“I saw with you ลูกบินไปกับพระองค์ ไม่ว่าคลื่นลมแรงขนาดไหน ลูกไม่กลัวอยู่แล้ว ลูกบินไปกับพระองค์ บินไปกับพระเจ้า พระเจ้ายิ่งใหญ่มาก สรรเสริญพระเจ้า ลูกบินไปกับพระองค์”

อันดับที่สอง และแล้วมันก็จะมีวันหนึ่งที่พระเจ้าพาเราขึ้นมาที่เดิมนั้นแหละ เราก็คิดว่าเที่ยวนี้จะบินไปกับพระองค์อย่างนี้อีกแล้ว พระเจ้ายิ่งใหญ่ ปรากฏว่าพระเจ้าเขี่ยเราลงมา  เข้าใจไหม? เรากำลังจะรอขึ้นปีก พระเจ้าเอาขาเขี่ย เราตกจากหน้าผาลงมา  แล้วเราก็ทำอะไร? จะพยายามด้วยตัวเอง จะบิน มันก็ร่วงลงมาเรื่อยๆ เพราะเราไม่เคยบิน มันลงมาเรื่อยๆ เราก็ตะโกนแหกปากสุดเสียงว่า …

“พระเจ้าช่วยด้วย ครั้งที่แล้วก็บินอย่างนี้ ตายแล้วๆ”

แล้วพระเจ้าก็จะปล่อยเราตะโกนไป อดอาหาร 40 วัน แล้วก็ตะโกนสุดเสียงไป ก็ยังไม่มา จนกระทั่งร่างเราร่วงลงไปเรื่อยๆ เห็นพื้นดินอยู่อีกไม่ไกล เรารู้ว่ามันใกล้ขนาดไหน? มันลงมาทุกวันๆ ทุกทีๆ พระเจ้าก็ยังไม่มา ในที่สุด ร่างเราก็จะอีกประมาณ 1 มิลฯ จะกระแทกถูกพื้น พอถึง 1 มิลฯ ปุ๊บ พระเจ้าเอาขาเหยียบจับเราขึ้นมา แล้วก็บินไปกับพระองค์ต่อ แล้วก็โยนเราขึ้นไป แล้วก็ช้อนเรา ให้เราไปนั่งที่ปีกของพระองค์เหมือนเดิม คราวนี้เราก็จะตะโกนว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่จริงๆ ตะกี้นี้ไม่มีจริง ตอนแรกๆ พระเจ้ายิ่งใหญ่เฉยๆ แต่ตอนนี้บอกพระเจ้ายิ่งใหญ่จริงๆ เลย เชื่อสิ ตอนที่บิน พระองค์ตอนแรก ไม่เห็นพูดอย่างนี้เลย พูดพระเจ้ายิ่งใหญ่เฉยๆ แต่ตอนนี้ใส่คำว่าจริงๆ เชื่อเถอะ ไปเจอใครก็ …

“จริงๆ ฉันจะเล่าให้ฟัง เล่าถึงตอนบินกับพระองค์ เล่าตอนที่เกือบจะกระแทกนั้นแหละ มันตื่นเต้นมาก”

นี่แหละ ชีวิตคริสเตียนมันเป็นอย่างนี้ไม่ว่าจะ 26 ปีหรือกี่ปี มันก็เป็นอย่างนี้ มันก็จะวนอยู่อย่างนี้ เอเมนไหม?

เพราะฉะนั้น ทุกครั้งที่มีปัญหา จงรู้ไว้ว่าเรากำลังเจริญเติบโตไปกับพระองค์ เห็นความยิ่งใหญ่ของพระองค์ ไม่ใช่เพื่อเราหรอก เพื่อผู้คนรอบข้างจะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าในชีวิตของเราด้วยต่างหาก เรานึกว่าเพื่อเรา ไม่ใช่เพื่อเรา เพื่อคนรอบข้างมากกว่า เพื่อแผนการของพระองค์จะได้สำเร็จ

แผนการของพระองค์มีอันเดียว คือมนุษย์รอด โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์ที่ตายที่ไม้กางเขนไปแล้ว 2,000 ปีแล้ว ช่วยมนุษย์ไปแล้ว ข่าวประเสริฐนี้ต้องไปถึงมนุษย์ทุกคน และช่วยเขาให้รอด ด้วยข่าวประเสริฐนี้ นี่คือแผนการ เพราะฉะนั้น ชีวิตเราจะดิ่งลงเหว ขึ้นไป ทั้งหมดนั้น เพื่อคำว่าสำเร็จแล้วของพระเยซูที่ประกาศบนไม้กางเขนเท่านั้น สำเร็จแล้วๆ นี่ส่วนประกอบส่วนหนึ่งในชีวิตเรา คือสำเร็จแล้ว ที่เราเกือบกระแทกนั้น เพราะพระเยซูทำสำเร็จแล้วที่ไม้กางเขน ที่ยักษ์ไม่สามารถทุ่มเรือชีวิตเราได้ ก็เพราะว่าพระเยซูทำสำเร็จแล้วที่ไม้กางเขน เอเมน

 

*********************

 

 

 

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 22 เมษายน 2018 เรื่อง “พระเจ้าสถิตอยู่ด้วยตลอดเวลา” โดย นคร เวชสุภาพร

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 22 เมษายน 2018

เรื่อง “พระเจ้าสถิตอยู่ด้วยตลอดเวลา”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีครับ แป๊บเดี๋ยวผ่านไปอีกแล้ววันครอบครัว วันสงกรานต์ ปีใหม่ไทย ก็ผ่านไปอีกแล้วนะ วันเวลาผ่านไปรวดเร็ว ภาษาอังกฤษเขาบอกว่า Time fly when we have fun. เมื่อชีวิตมีความหวัง มีสันติสุข มีความสงบสุข มันสนุกกับชีวิต เวลามันผ่านไปรวดเร็ว ถูกไหม? พอเรามีพระเยซู เรามีความหวังในชีวิต เรารู้ว่าเราดำเนินไปไหน? เรารู้จักความตายดี เรารู้จักเกิด แก่ เจ็บ ตายเป็นเรื่องธรรมดา และการเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นชัยชนะของเรา เห็นหนทางของเราที่จะนำเราไปสู่ความหวังนิรันดร์ในสวรรค์สถานที่เราจะอยู่กับพระเจ้าหลังชีวิตบนโลกใบนี้ เอเมน

พอมีความหวังอย่างนี้ อะไรก็รับได้หมด มันได้เปรียบนะ คนที่มาเชื่อพระเจ้า มันได้เปรียบมากเลย คือ …

(1) เรามีความหวังในชีวิตข้างหน้า แม้เราอาจจะกลัวความเจ็บป่วย กลัวความตายบ้าง แต่จะกลัวอย่างไร ก็มีความหวังหลังจากนั้น มันก็เลยกลัวไม่เยอะ ไม่มาก นี่อันหนึ่ง ซึ่งสำคัญมากอยู่แล้ว

(2) ขณะที่อยู่บนโลกใบนี้ เมื่อเราเชื่อพระเจ้า เรามีตัวช่วย พระเจ้ามาสถิตอยู่กับเราตลอด ทุกหนทุกแห่ง เราจะรู้หรือไม่รู้ เราจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจ เมื่อเราเชื่อพระเยซู พระเยซูและพระเจ้ามาสถิตอยู่กับเรา ไปไหนกับเราอยู่ตลอดเวลา แม้เราจะไม่เข้าใจว่าทำไมบางครั้ง ปล่อยอย่างนี้ๆ แต่พระองค์บอกสถิตอยู่ด้วย และหลายครั้ง เราก็ได้รับการอัศจรรย์ ไม่ว่าเล็กหรือน้อย ทุกคนได้หมด บางก็นิดเดียว บางทีก็ใหญ่บ้าง บางทีก็น้อยบ้าง แต่เราก็ไม่เข้าใจ อะไรบางอย่างเราอยากได้ ทำไมไม่ได้ แต่ในที่สุด เราก็จะรู้ว่ามีหลายครั้ง เรายิ้มแย้ม พระเจ้าอยู่กับเรา เห็นไหม? ตัวช่วยพิเศษ อยู่บนโลกใบนี้ พระเยซูบอกจงดูนกในอากาศ

กลัวว่าเศรษฐกิจจะแย่ ไม่มีอะไรจะกิน พระเจ้าบอกว่าดูนกในอากาศสิ พระเจ้ายังเลี้ยงเลย แล้วเธอล่ะ ลูกพระเจ้า พระเจ้าอยู่กับเธอ จะอดตายไหม? ตอบว่าไม่ตาย แต่ดูเหมือนอดตาย เรานึกว่าอด จริงๆ ไม่อด มันยังมีอยู่เยอะแยะ แต่เราอยากได้เยอะกว่านั้น ใช่ไหม? แล้วพระเจ้าบอกอะไร? เราจะอยู่กับเธอตลอดเวลา ไม่ทิ้งไปไหนเลย ไม่ต้องกลัว เห็นไหม?

เราก็บอก … “พระเจ้าอยู่ไหน?”

พระเจ้าก็บอก … “อยู่ตลอดเวลา ไม่ทิ้งไปไหน จะอยู่กับเธอตลอดเวลา ปกป้องดูแลเธอ”

อย่างนี้ คือความได้เปรียบของคนที่มาเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ 2 อย่างนี้ ก็พอแล้วนะ ชีวิตบนโลกใบนี้  มีตัวช่วยอยู่ตลอดเวลา ไปไหน พระเจ้าไปด้วย คุ้มครองป้องกันภัยให้เราตลอดเวลา ไม่ว่าเราจะอธิษฐานหรือไม่อธิษฐาน ก็ป้องกันเราตลอดเลย  พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น ไม่ไปไหนเลย

เมื่อจากโลกนี้ไป เตรียมพร้อมเลย จบข่าวซะที จบทุกอย่างแล้ว ไปสู่การพักนิรันดร์ การพักสงบนิรันดร์ กลับบ้านของเรา อยู่ในสวรรค์สถานนิรันดร์ จบแล้ว มันก็มีความหวังไง  Time fly when we have fun. เมื่อชีวิตมีความหวัง มีความสนุกสนานอย่างนี้ มันก็เลย เวลาผ่านไปเร็ว แป๊บเดียว นี่จะเดือนที่ 5 แล้ว    อีก 4-5 เดือน  เราก็จะไปค่ายกันอีกแล้ว  อะไรจะขนาดนี้  เที่ยวกันทั้งปีเลยเหรอ  อะไรเดี๋ยวจะเที่ยวกันอีกเหรอ  เดี๋ยวก็ฉลองตรุษจีน  เดี๋ยวก็ฉลองอีสเตอร์ เดี๋ยวก็ฉลองสงกรานต์  เดี๋ยวก็ไปค่ายอีกแล้ว กลับมาจากค่าย  เดี๋ยวฉลองขอบคุณพระเจ้าอีกแล้ว  เดี๋ยวจะฉลอง คริสตมาส  เดี๋ยวก็ฉลองปีใหม่อีกแล้ว วนเวียนอยู่อย่างนั้น เร็วเหลือเกินเวลาของเรา  Time จึง Fly เวลาจึงบินไป  เอเมน

ทั้งหมดนี้ พระเยซูทำให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว ที่ไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว พระองค์บอกสำเร็จแล้ว จบแล้ว พระเยซูบอกว่าด้วยฤทธิ์เดชอำนาจพระโลหิตพระเยซูที่หลั่งที่ไม้กางเขน เราคือมนุษย์ทั้งปวง ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ สะอาด ปราศจากตำหนิใดๆ บริสุทธิ์ ใช้คำเดียวกับคำว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าผู้บริสุทธิ์ ใช้คำเดียวกันเลยนะ ศัพท์เดียวกันเลย ด้วยฤทธิ์อำนาจแห่งพระโลหิตพระเยซู ที่ได้หลั่งที่ไม้กางเขน ได้ชำระล้างมนุษย์ เผ่าพันธุ์มนุษย์ทุกคนให้สะอาดบริสุทธิ์ปราศจากตำหนิใดๆ พ้นจากบาปทั้งปวง เป็นผู้ชอบธรรม สามารถมาอยู่ในแผ่นดินของพระเจ้า อาณาจักรสวรรค์ของพระเจ้าร่วมกับพระเจ้าได้ เพราะต่างฝ่ายต่างสะอาด

พระเจ้าบอกว่า … “เราบริสุทธิ์ เจ้าต้องบริสุทธิ์ บัดนี้ เจ้าบริสุทธิ์แล้ว”

พระเจ้าไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่บอกว่า … “เราบริสุทธิ์ ถ้าเจ้าจะอยู่กับเราได้ เจ้าต้องบริสุทธิ์ และเราจะทำให้เจ้าบริสุทธิ์เอง เจ้าไม่สามารถทำตัวเองให้บริสุทธิ์ได้เหมือนเราหรอก เราจะเป็นผู้ช่วยเจ้า โดยส่งพระเยซูคริสต์มาตายที่ไม้กางเขน ให้หลั่งพระโลหิต พระโลหิตมีฤทธิ์เดชอำนาจ พระคัมภีร์บอกว่าพระโลหิตพระเยซู มีฤทธิ์เดชอำนาจที่จะชำระล้างวิญญาณ หรือจิตใจมนุษย์ให้บริสุทธิ์ เหมือนพระเจ้า”

เมื่อเราเหมือนพระเจ้า พระเจ้าบอก เราบริสุทธิ์ เจ้าต้องบริสุทธิ์ ก็สำเร็จเสร็จสิ้น เมื่อต่างฝ่ายต่างบริสุทธิ์ ก็อยู่ด้วยกันได้ เป็นครอบครัวเดียวกันในสวรรค์สถานนั่นเอง  เอเมน

เพราะฉะนั้น ใครบริสุทธิ์แล้วยกมือขึ้น?  แสดงว่าผู้คนเหล่านี้ใช้สิทธิของเขา ใช้ความเชื่อในฤทธิ์เดชอำนาจแห่งพระโลหิตพระเยซูคริสต์ไปแล้ว สำหรับคนที่ไม่ยก ไม่ผิดนะ แสดงว่าเขายังไม่ได้สิทธิเท่านั้นเอง ไม่มีอะไร ไม่ได้ต่างกันตรงไหนเลย เขาก็ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า โดยพระเยซูคริสต์ไปแล้ว แต่เขายังไม่ได้ใช้สิทธิของเขา เมื่อไม่ใช้ เขาก็เลยบอกว่าเขายังไม่ได้ ก็ถูกในอีกแง่มุมหนึ่ง เพราะฉะนั้น คนที่ยกมือ ก็คือคนที่มั่นใจและเชื่อในฤทธิ์เดชอำนาจแห่งพระโลหิตแห่งพระเยซูคริสต์ไปแล้ว จึงได้รับการชำระในวิญญาณ สะอาดหมดจด ใช้คำว่า “บริสุทธิ์” คือ “Holy” เหมือนใคร? เหมือนพระเจ้า ปราศจากตำหนิใดๆ ปราศจากตำหนิเลย เหมือนที่เราบอกว่าพระเจ้าทรงบริสุทธิ์ ปราศจากตำหนิ มนุษย์บริสุทธิ์ปราศจากตำหนิได้ ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจแห่งพระโลหิตของพระเยซู ซึ่งมีฤทธิ์เดชอำนาจเป็นอัศจรรย์ตั้งแต่สมัย 2,000 ปีที่แล้วที่ไม้กางเขน จนถึงทุกวันนี้ ก็ยังมีฤทธิ์อำนาจอยู่ และจะมีฤทธิ์อำนาจอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ตลอดกาล เหมือนเพลงนี้

“ฤทธิ์อำนาจมีในโลหิตพระคริสต์             อัศจรรย์ ฤทธิ์อนันต์

ฤทธิ์อำนาจมีในโลหิตพระคริสต์            อัศจรรย์มีฤทธิ์ล้างบาปนั้น”

นี่เขาร้องมา 2,000 ปี แล้วจะร้องต่อไปจนสุดสิ้น จนกระทั่งไปสู่ชีวิตใหม่ในโลกหน้า ก็ยังร้องอยู่ เพราะว่ามีฤทธิ์อำนาจตลอดเวลา

“ฤทธิ์อำนาจมีในโลหิตพระคริสต์             อัศจรรย์ ฤทธิ์อนันต์

ฤทธิ์อำนาจมีในโลหิตพระคริสต์            อัศจรรย์มีฤทธิ์ล้างบาปนั้น”

ฤทธิ์อำนาจ อำนาจ อำนาจ อำนาจ ในโลหิตพระคริสต์  อัศจรรย์  ฤทธิ์อนันต์

ฤทธิ์อำนาจมีในโลหิตพระคริสต์            อัศจรรย์มีฤทธิ์ล้างบาปนั้น”

ขอบคุณพระเยซู เอเมน

 

*********************

 

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 25 มีนาคม 2018 เรื่อง “อีสเตอร์” โดย นคร เวชสุภาพร

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 25 มีนาคม 2018

เรื่อง “อีสเตอร์”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            ผมอยากให้ทุกคนได้ระลึกถึงตรงนี้มากกว่าวันคริสตมาสด้วยซ้ำไป คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยพูดถึง และก็ไม่พูดถึงรายละเอียดลึกซึ้ง ที่เกี่ยวข้อง เกี่ยวพันกับพวกเราทุกคน และมนุษย์ทุกคน เราจำเป็นต้องเรียนรู้ เพราะเรามีหน้าที่ประกาศข่าวดี ทุกคนมีหน้าที่ประกาศข่าวดี

ประกาศข่าวดีของพระเยซูคริสต์ สรุปสั้นๆ คือวันศุกร์ประเสริฐกับวันอีสเตอร์ 2 วันคือข่าวดีมาถึงมนุษย์ทุกคน เราจะได้มาย้อนกันว่าพระเยซูทำอะไรให้กับเราในวันนั้น

ผมจะเล่าให้ฟังว่าทุกวันนี้ คนเป็นอย่างนี้กันเยอะเลย คือวางแผนการในชีวิตว่าจะทำอะไรบางอย่าง แล้วก็จะทำให้มันสำเร็จ แล้วก็มุ่งมั่น ทำมันต่อไป ผมเองในอดีต ตอนแรกทำมาหากินได้ ก็ว่าเป้าแล้ว ยกตัวอย่างเช่น ทุกคนในที่นี่ อยากจะมีรถสัก 1 คัน มีบ้านสักหลังหนึ่ง ส่วนใหญ่รถ ไม่ค่อยสำคัญเท่ากับบ้าน  อยากจะมีบ้านของตัวเองสักหลังหนึ่งใช่ไหม? นี่คือความฝันใช่ไหม? เล็กๆ ก็ยังดี ไม่มีบ้าน ก็อยากจะมีบ้านสักหลังหนึ่ง เช่าเขาอยู่ ก็อยากจะมีบ้านสักหลังหนึ่ง ก็ทำทุกสิ่งทุกอย่าง ช่วยกันทุกสิ่งทุกอย่าง ไปดาว์นบ้านสักหลังหนึ่ง ถูกไหม? ส่วนใหญ่จะเป็นอย่างนี้

ดาว์น เพื่อจะเป็นเจ้าของบ้านในวันหนึ่งข้างหน้า เพื่อลูกหลานและตัวเราเองจะได้อยู่อย่างมีความสุขสักที ความคิด เป็นอย่างนั้น เพื่อเผื่อลูกหลานด้วย เราก็ทำ แล้วก็ตั้งมั่น ตั้งใจ ทำมาหากิน อดทนทุกอย่าง เพื่อจะเงินไปผ่อนบ้าน  ผ่อนทุกเดือนๆ ไม่มีก็ต้องผ่อน กินน้อยลงนิดหนึ่ง ก็ต้องผ่อน เพื่อแผนการจะได้สำเร็จ เราจะได้เป็นเจ้าของบ้าน  จะได้เป็นอิสระสักที เป็นหนี้เขาอยู่ตอนนี้ ไปซื้อบ้านมา 1 ล้าน จ่ายเงินค่าดาว์นไป แล้วต้องจ่ายไปเรื่อยๆ ทุกเดือนๆ จ่ายไป หวังว่าเมื่อไรหนอ ทุกเดือนก็จะมาดูบิล ไปจ่ายก็มาดู เงินต้นเหลืออยู่อีก 7 แสน สมมติว่าผ่อนเดือนละ 5,000 บาท จ่ายไป 5,000 บาท ลบเงินต้นจาก 7 แสน เหลือ 695,500 บาท หายไป 500 เอง เมื่อไรจะหมดสักที คิดในใจ ไม่เป็นไร โอเค ถึงไม่หมด เดี๋ยวลูกหลานเราก็ผ่อนต่อ ในที่สุด บ้านก็เป็นของเราแล้ว เราก็คิดอย่างนั้นแหละเนอะ

นี่คือความสุขใจ ความหวังใจว่าเมื่อไรมันจะหมดสักที? เมื่อไรมันจะเสร็จสักที? แผนการนี้ แผนการความหวังของเรา พระเจ้าก็คิดอย่างนั้นแหละ พระคัมภีร์บอกมนุษย์ตกลงไปในความบาป มนุษย์ตกลงไป ไม่มีบ้านจะอยู่แล้ว บ้านแตกสาแหลกขาด แล้วต้องทำอะไร? ก็ต้องผ่อนหนี้ ผ่อนทุกวันๆ ทุกเดือน ทุกปี  พระคัมภีร์เดิม ก็คือมนุษย์ผ่อนนี้ ผ่อนบาป ปีละครั้ง ผ่อนอยู่นั้นแหละ แล้วก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าลูกหลานเมื่อไรหนอ ไปถึงลูกหลาน ลูกหลานจะผ่อนได้หมด ไปถึงลูกหลาน ลูกหลานก็บอกว่าเมื่อไรจะผ่อนหมดสักที ไม่หมดสักที

จนกระทั่ง วันหนึ่ง แผนการที่จะให้บ้านเป็นอิสระ มนุษย์เป็นอิสระเมื่อไร? เมื่อนั้น เป็นแผนการของพระเจ้า และแผนการของมนุษย์ทุกคน ก็มีลูกหลานของมนุษย์ผู้หนึ่งมาทำการผ่อน จบหมดสิ้น เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว คนนี้ชื่อเยซู มาเกิด  แล้วก็เมื่อ 2,000 ปีได้บันทึกไว้ว่าเขาได้เดินทางมาตามแผนการให้มันสำเร็จ ก็คือมาผ่อน แต่เที่ยวนี้ผ่อนสุดท้ายแล้ว ก็คือเขาเอาตัวของเขาเอง ไปตายที่ไม้กางเขน  และหลั่งพระโลหิต ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลบอกว่าตอนที่เขาทำสำเร็จเรียบร้อย เขากางแขน ตายที่ไม้กางเขน แล้วก็พูดคำว่า …

“สำเร็จแล้ว”

ในนั้น ไม่ได้บอกว่าพูดดังขนาดไหน? แต่ผมว่าในใจคงเต็มไปด้วยพลังมากเลย ก็เหมือนเราผ่อนบ้านงวดสุดท้าย จบแล้ว ผ่อนมาตั้งแต่สมัยพ่อแม่เรา จนมาถึงเราแล้ว งวดสุดท้าย สมมติเหลืออยู่ประมาณ 3 แสน เราเผอิญโชคดี มีเงินเยอแยะมาตอนนั้น ได้เงินมา 3 แสน ไปที่ธนาคาร เอาเงิน 3 แสนไปจ่ายหมด กลับมาที่บ้านบอกว่าเสร็จแล้ว จบแล้วนะ เราไม่ต้องผ่อนใครแล้ว เราเป็นอิสระแล้ว

พระเยซูก็ทำอย่างนั้น  วันนั้น วันที่ไม้กางเขน พระคัมภีร์บันทึกไว้ ยอห์น 19:30 ในวันนั้น  วันที่พระองค์ผ่อนชำระหมด ให้กับมนุษย์ทั้งปวง เราจ่ายหนี้ให้หมดแล้วนะ ในนั้นบันทึกว่า …

ยอห์น 19:30 “เมื่อทรงรับน้ำนั้นแล้ว พระเยซูก็ตรัสว่า “สำเร็จแล้ว” จากนั้นพระองค์ก้มพระเศียรลง และสิ้นพระชนม์”

 

ตอนนี้ถูกตรึงอยู่ที่ไม้กางเขนนะ ประมาณสักบ่าย 3 โมง ในวันศุกร์นั้น พระเยซูอยู่บนไม้กางเขน รับน้ำที่คนเขาชูขึ้นมาให้ น้ำที่อยู่ในฟองน้ำ  เสร็จแล้วก็พูดว่า … “สำเร็จแล้ว” จะดังหรือเบาไม่รู้ จากนั้นพระองค์ก้มศีรษะลง และสิ้นพระชนม์ ก็คือจ่ายงวดสุดท้าย จบสักที

ชีวิตพระองค์ คือราคาที่จ่ายเพื่อเรา มนุษย์ทั้งปวงจะได้เป็นอิสรภาพสักที ไม่ต้องชดใช้บาปเวรกรรม  ไม่ต้องผ่อนหนี้เวรกรรมอีกต่อไปแล้ว เอเมน

เพราะฉะนั้น คำนี้ แล้วแต่คนจะคิดนะ ผมเอง ผมมีความรู้สึกในใจ สำหรับร่างกายพระเยซูทุกข์ทรมานมาก หมดแรง คงจะพูดแบบเบาๆ เพราะกำลังจะหายใจไม่ออกแล้ว กำลังจะสิ้นพระชนม์ เพราะถูกตรึงอยู่ที่ไม้กางเขน ตั้งแต่ 9 โมงเช้าจนถึงตอนนี้ 6 ชั่วโมงแล้ว หายใจไม่ได้ ทรุดลงไปทุกที คงจะพูดเบาๆ แต่คิดว่าในใจคงจะตะโกนดังลั่นเลย เหมือนเราทั้งหลายที่ไม่ได้อยู่บนไม้กางเขน แต่เราได้รับข่าวดี รู้จักพระเจ้า โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์ บนไม้กางเขนนั้น เรารู้ว่าคำนี้ ในใจพระองค์คงพูดดีใจมากๆ พูดอย่างไร?

“สำเร็จแล้ว” (พูดแบบอ่อนแรง)

ถูกล๊อตเตอร์รี่ รางวัลที่ 1 พูดว่าอย่างไร?  … “ถูกแล้ว วันนี้ถูกล๊อตเตอร์รี่รางวัลที่ 1 เลยนะเนี้ย”

ถ้าถูกหมดทุกใบ ได้เท่าไร? ประมาณกี่บาท  180 ล้าน ดีใจไหม? นี่ 180 ล้าน ยังวิ่งไปทั่วบ้านทั่วเมือง จากปากซอยถึงก้นซอย ตะโกนลั่นเลย  แล้วนี่มันมากกว่าเท่าไร? ที่เราไม่ต้องใช้หนี้ ใช้กรรมแล้ว ทั้งหมดเลยนะ มวลมนุษยชาติ ทั้งหมด ทั้งในอนาคต ในอดีต ทั้งหมดเลย มาถึงพวกเราด้วย ไม่ต้องใช้หนี้ ใช้บาป ใช้เวร ใช้กรรมอีกต่อไปแล้ว

เพราะฉะนั้น ควรจะตะโกนว่าอย่างไร? พระเยซูอยู่บนไม้กางเขน ก่อนสิ้นพระชนม์ พระองค์รู้ว่าจบสิ้นกันสักที พวกเราทั้งหลาย พระองค์เป็นตัวแทนของมนุษย์ พวกเราเผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งหลาย ต่อไปนี้ ไม่ต้องชดใช้เวรกรรมอีกต่อไปแล้ว พระองค์กำลังพูดคำนี้ว่าจ่ายครั้งสุดท้าย บอกว่า … “สำเร็จแล้ว” … ตะโกนสุดเสียงเลย วิ่งตั้งแต่ปากซอยถึงท้ายซอย นี่แหละคือข่าวดีไง เขาให้ออกไปประกาศข่าวดี คืออย่างนี้ เหมือนท่านถูกล๊อตเตอร์รี่ ท่านออกไปประกาศข่าวดี ถ้าท่านถูกกิน ท่านก็ไม่พูดกับใคร?  ถ้าถูกถึงไปพูด พอถูกกิน …

“ฉันถูกกิน”

แต่ตอนถูกล๊อตเตอร์รี่พูดมากกว่าตั้งเยอะ

สมัยก่อนไม่รู้จักพระเยซู เราพูดทุกวัน พูดบ่อยๆ … “เมื่อไรจะหมดเวรหมดกรรมสักที”

ทีทุกวันนี้ หมดเวรหมดกรรมแล้ว เมื่อเชื่อพระเยซู ไม่เห็นพูดสักคำหนึ่งเลย พูดหรือเปล่า? พูดน้อยกว่าแต่ก่อนตั้งเยอะ จริงหรือไม่จริง? จริง

เมื่อก่อน “เมื่อไรจะหมดเวรหมดกรรมสักทีหนึ่ง”

ทำไมเดี๋ยวนี้ไม่ทุบดินไป ทำงานเหนื่อย แล้วก็บอกว่า “หมดเวรแล้ว หมดกรรมแล้ว โอ๊ย! เหนื่อยจริง หมดเวรหมดกรรมสักทีหนึ่ง จบแล้ว”

ทำไมไม่พูดล่ะ ทีแต่ก่อนนี้ทำงานหนักไป “เมื่อไรหมดเวรหมดกรรมสักที”

คนเรานี่ก็แปลก

นี่เอาความจริงมาให้ท่านเห็นว่าเราก็แปลก พระเยซูจึงบอกให้พวกเราออกไปประกาศข่าวดี นี่คือข่าวดี ประกาศอย่างไร? เคยประกาศข่าวร้ายอย่างไร? เดี๋ยวนี้ก็ทำเหมือนกันแหละ ไม่ต้องไปหาใครก็ได้ อยู่ว่างๆ บ่นกับตัวเองว่า …

“เมื่อไรหมดเวรหมดกรรม”

คราวนี้ก็บ่นกับตัวเองบ้างสิ … “เดี๋ยวนี้เป็นอิสระแล้ว ขอบคุณพระเจ้า เป็นอิสระแล้วในพระเยซู เป็นอิสระแล้ว”

นี่แหละ ประกาศข่าวดี คนก็แอบได้ยิน ทำงานอย่างไร ทำไมยิ้มแย้มแจ่มใส เหนื่อยจะตาย  เจอปัญหามากมาย  หน้าตาบู้บี้ ปากยังพูดเลยว่า …

“หมดเวรหมดกรรมแล้ว”

เอเมน นี่คือข่าวดี

พระเยซูอยู่บนไม้กางเขน จึงประกาศว่าสำเร็จแล้ว

“สำเร็จแล้ว” ภาษาเดิมสมัยนั้น  พระเยซูพูดคำนี้ เป็นภาษากรีกในสมัยนั้น ตะกี้เราพูดภาษาไทย ภาษากรีกอ่านเป็นภาษาไทยว่า “เทสเทเรสสไตล์” แปลว่า “จ่ายหมดแล้ว” ไม่ใช่สำเร็จแล้วนะ  เขาเอาไว้สำหรับเป็นชื่อที่ปั้มลงไปในเอกสารของชาวกรีกในสมัยนั้น เมื่อเราไปธนาคารหรือไปที่ไหน? ซื้อของเขาเรียบร้อย เอาบิลเรียบร้อย แล้วเราจ่ายเงินเรียบร้อย บิลเขาจะพิมพ์คำว่าเทสเทเรสสไตล์ แปลว่าจ่ายหมดแล้ว ท่านไปซื้อของ 1,150 บาท ปุ๊บ ท่านจ่ายเงิน 1,150 บาท เขาก็เขียนบิลให้ท่าน แล้วก็ปั้มคำว่าเทสเทเรสสไตล์ แปลว่าท่านไม่ได้เป็นหนี้เขาอีกแล้ว ท่านก็เดินออกมาฟรีๆ

เอเมน ตอนนี้ ชีวิตเราได้ถูกปั้มแล้วว่าเทสเทเรสสไตล์ แปลว่าจ่ายหนี้หมดแล้ว

เพราะฉะนั้น จำตรงนี้ไว้ ทั้งวันทั้งคืน อยากจะบ่น บ่นตรงนี้ไปเลย รู้สึกเซ็งในชีวิต บ่นตรงนี้ไปเลย เหมือนแต่ก่อนนี้

“เมื่อไรจะหมดเวรหมดกรรม”

กลายเป็น พออยากจะบ่น อยากจะเหนื่อย อยากจะพูดอะไร ก็พูดไปเลยว่า …

“เทสเทเรสสไตล์แล้ว หมดเวรหมดกรรมแล้ว ฉันเหนื่อยอีกแป๊บเดียวเอง เพราะว่ามันหมดเวรหมดกรรมไปแล้ว จะเหนื่อยอีกแป๊บหนึ่ง ก็โอเค เพราะว่ามันหมดเวรหมดกรรมไปแล้ว”

แต่ก่อนนี้มันไม่มีความหวัง เหนื่อยก็เหนื่อย แถมยังเมื่อไรจะหมดเวรหมดกรรม ชาติหน้าหนักกว่านี้อีก แต่เดี๋ยวนี้เหนื่อยอย่างไร? ประสบปัญหา อุปสรรคอย่างไร? ก็พูดว่าเทสเทเรสสไตล์ มันจ่ายหมดแล้ว ทนอีกนิดเดียว มันจบแล้ว เราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว เราจะอยู่สวรรค์กับพระเจ้านิรันดร์กาลตลอดไป เอเมน

พูดอีกครั้งหนึ่งว่า … “เทสเทเรสสไตล์” แปลเป็นภาษาไทยว่า … “จ่ายหมดแล้ว”

แต่นี่หมายถึงโลกวิญญาณนะ ทุกวันนี้ ใครเป็นหนี้ธนาคารอยู่ ไปจ่ายเหมือนเดิมนะ ไม่ใช่บอกว่า …

“อ้าว! เห็นคุณนครบอกว่าจ่ายหมดแล้ว ฉันเลยไม่ได้มาผ่อน”

มันคนละเรื่องกันนะ แต่ว่าในทางวิญญาณ หมดแล้ว มันไม่มีหนี้แล้ว เอเมน

 

****************************

 

 

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 4 มีนาคม 2018 เรื่อง “เราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งจะเป็นประโยชน์” โดย นคร เวชสุภาพร

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 4 มีนาคม 2018

เรื่อง “เราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้  แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งจะเป็นประโยชน์

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีครับ สัปดาห์ที่แล้วผมบรรยายเรื่อง “เราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้  แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งจะเป็นประโยชน์” ซึ่งเป็นถ้อยคำพระเจ้าในหนังสือ 1 โครินธ์ บทที่ 10 พอดีวันนั้นเวลาน้อย ก็เลยไม่ได้อธิบายละเอียด ก็เกรงว่าบางท่าน จะถือโอกาส ไม่ละเอียดนั้น ก็เลยอาจจะตัดสินใจทำอะไรบางอย่างไป ตามที่ได้ฟัง แล้วก็สนองกิเลสตัณหาของตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงนี้ด้วย กลัวจะตีความไม่ถูกกัน ก็เลยถือโอกาสวันนี้มาอธิบายให้ละเอียดขึ้นอีกนิดหนึ่ง ลงไปชัดๆ เลย เรามาอ่านกันก่อนว่าถ้อยคำพระเจ้าที่ผมกำลังพูดถึงนี้ บันทึกไว้ว่าอย่างไร? 1 โครินธ์ 10:23-31

1 โครินธิ์ 10:23-31 “23 เราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่ง จะเป็นประโยชน์   เราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่ง จะเป็นการเสริมสร้างขึ้น 24 ทุกคนไม่ควรเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว แต่จงเห็นแก่ประโยชน์ของผู้อื่น 25 สิ่งใดที่วางขายตามตลาดเนื้อ ก็ให้รับประทานไปเถิด โดยไม่ต้องถามตนเองว่าผิดหรือไม่ 26 เพราะแผ่นดินโลกและทุกสิ่งในโลก เป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้า 27 หากผู้ไม่เชื่อบางคนเชิญท่านไปร่วมรับประทานอาหาร และท่านประสงค์จะไป จงรับประทานสิ่งที่วางอยู่ตรงหน้าท่านไปเถิด โดยไม่ต้องถามว่าผิดหรือไม่ 28 แต่ถ้ามีใครมาบอกว่าของนี้ได้นำไปเซ่นไหว้แล้ว ก็อย่ารับประทาน เพื่อเห็นแก่ทั้งคนที่บอกและจิตสำนึกผิดชอบ 29 ข้าพเจ้าหมายถึงจิตสำนึกของคนนั้น ไม่ใช่ของท่าน ทำไมเสรีภาพของข้าพเจ้า จึงถูกตัดสินโดยจิตสำนึกของคนอื่นเล่า 30 ถ้าข้าพเจ้ารับประทานโดยขอบพระคุณพระเจ้า ทำไมข้าพเจ้าจึงถูกตำหนิเพราะสิ่งที่ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระเจ้าแล้ว 31 ดังนั้น ไม่ว่าท่านจะกินหรือดื่ม หรือทำอะไรก็ตาม จงทำทุกสิ่ง เพื่อพระเกียรติสิริของพระเจ้า”

 

สัปดาห์ที่แล้ว เราจบตรงนี้ว่าจะทำอะไร ก็ทำเพื่อพระสิริพระเกียรติ แด่พระเจ้า เห็นแก่พระเกียรติ พระสิริของพระเจ้า ถ้อยคำตรงนี้ เปาโลกำลังพูดถึงบรรดาผู้ที่เชื่อในยุคโน้น ยุคที่พระเยซูเพิ่งเป็นขึ้นมาจากความตายใหม่ๆ และเข้าไปอยู่ในโลกวิญญาณ เข้าไปอยู่ในสวรรค์ และมนุษย์ก็ออกไปประกาศ ตามที่พระเยซูสั่ง

บรรดาผู้เชื่อในยุคนั้น พอพระเยซูไปแล้ว ไม่อยู่แล้ว ไปอยู่ในสวรรค์แล้ว ผู้เชื่อเหล่านั้น ก็ไปวางกฎเกณฑ์ข้อบังคับต่างๆ เยอะแยะ มากมายไปหมดเลย พอจะทำอะไรทีหนึ่ง ก็จะคอยมาถามว่าทำได้ไหม?  ทำอย่างนี้ได้ไหม? ทำอย่างนั้นได้ไหม? ทั้งๆ ที่พระเยซูบอกเป็นอิสระแล้ว มาเชื่อพระเจ้า เป็นอิสระแล้ว ก็ยังไม่วาย เพราะว่าบรรดาคนที่สอน … สอน เติมในสิ่งที่ตัวเองอยากจะให้ทำลงไปในนั้น ทำอย่างนี้ได้ไหม? ทำอย่างนั้นได้ไหม?

ยกตัวอย่างเช่น ล้างมือก่อนรับประทานทานผิดไหมเนี้ย ตกลง ต้องล้างหรือไม่ล้างดี?  ไปทานข้าวกับคนอื่นที่ไม่เชื่อพระเจ้าได้ไหม? เขาไม่เชื่อ เราไปทานกับเขาได้ไหม?

ทานอาหารที่ไหว้รูปเคารพได้ไหม?

บางเรื่องไปถามผู้เชื่อคนหนึ่งบอกว่าไปถามอาจารย์คนหนึ่ง อาจารย์คนหนึ่งบอกว่าได้ ไปถามอาจารย์อีกคนหนึ่งบอกไม่ได้ ไปถามพี่เลี้ยงคนหนึ่งบอกได้ สรุปได้หรือไม่ได้ มันยุ่งไปหมดเลย อาจารย์เปาโลก็เลยต้องมาแก้ความวุ่นวายตรงนี้ ด้วยข้อพระคัมภีร์เมื่อตะกี้นี้ แล้วก็อธิบายต่อไป อาจารย์เปาโลก็เลยพูดคำนี้ว่าเราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งจะเป็นประโยชน์ เราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้ แต่ไม่ใช่ทุกสิ่งจะเป็นการเสริมสร้างขึ้น พูดง่ายๆ คือเราได้รับอิสรภาพให้ทำอะไรก็ได้ แต่ไม่ใช่สิ่งที่เราทำนั้น มันจะเป็นประโยชน์ ถ้ามันไม่เป็นประโยชน์ มันก็เป็นโทษ มันมีอยู่ 2 ฝั่ง ไม่เป็นประโยชน์ มันก็เป็นโทษ มันเกิดประโยชน์หรือเกิดโทษล่ะ

ความหมายตรงนี้ ก็คือในทางวิญญาณนะ ในทางโลกวิญญาณ เมื่อเราได้รับการชำระ เมื่อเราเชื่อพระเยซูคริสต์แล้ว เราก็ได้ถูกย้ายออกมาจากอาณาจักรของความมืด อาณาจักรของความสาปแช่งมาอยู่ในอาณาจักรแห่งแสงสว่างของพระบุตรอันเป็นที่รักของพระองค์ในพระเยซูคริสต์ เราอยู่ในพระเยซูคริสต์ เราได้รับการชำระให้สะอาด หมดจด บริสุทธิ์ เหมือนพระเจ้า สมกับที่เป็นลูกของพระเจ้า 100% ทันทีทันใดเลย ณ บนโลกนั้นแหละ ณ เวลาที่เชื่อนั่นแหละ ไม่ต้องรอไปอยู่ในสวรรค์ถึงได้รับการชำระ ได้ชำระเดี๋ยวนั้นเลย เมื่อเขาพูดด้วยปาก และเชื่อด้วยใจว่าพระเยซู เป็นพระบุตรของพระเจ้า มาไถ่บาปให้กับเรา พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ ในวันที่ 3 ภาพมันเป็นอย่างนี้จริงๆ เกิดขึ้นอย่างนี้ คือเขาได้ถูกย้ายมาสู่อาณาจักรแห่งแสงสว่าง บริสุทธิ์ สะอาด เป็นผ้าขาวสะอาดทันทีทันใดเลย

เพราะฉะนั้น เมื่อไม่สกปรกแล้ว ก็ไม่ต้องอยู่ใต้กฎระเบียบอีกต่อไป หลุดพ้นจากกฎระเบียบ … กฎระเบียบมีไว้ใช้ สำหรับอาณาจักรแห่งความมืด ก่อนหน้านั้น  ที่เรายังไม่เชื่อ ต้องมีกฎ พอมาอยู่ในพระเจ้า ไม่มีกฎแล้ว ไม่มีระเบียบแล้ว ใช้กฎเดียว คือกฎแห่งความเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์ เพราะฉะนั้น เมื่อไม่มีกฎ เราก็ได้รับอิสรภาพ ก็คือได้รับอนุญาตที่เปาโลพูดถึง ได้รับอนุญาตจากพระเจ้า เพราะเราเป็นลูกพระเจ้า สะอาดหมดจดแล้ว เราจึงได้รับอนุญาต เป็นอิสระให้ทำทุกสิ่งได้ โดยไม่ต้องกลัวเรื่องกฎระเบียบแล้ว เพราะไม่มีกฎระเบียบแล้ว ไม่ต้องกลัวเรื่องบาป ไม่ต้องกลัวเรื่องผิดอีกต่อไป นี่ความจริงมันเป็นอย่างนี้นะ

แต่ถึงแม้ว่าเราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้ ก็จริงอยู่ แต่อาจารย์ก็ยังบอกว่าแต่จำไว้นะ เรายังอยู่บนโลกใบนี้นะ  ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งที่ได้รับอนุญาต มันจะทำ แล้วมีประโยชน์ คิดเอาเองแล้วกันว่ามันมีประโยชน์ไหม?  ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งที่ทำแล้วมีประโยชน์ หรือทุกสิ่งทำแล้วมันจะเป็นการเสริมสร้าง เป็นสิ่งที่ดี เกิดความดีงามขึ้น  ไม่ใช่อย่างนั้น มันจะมีสิ่งที่ทำได้ด้วย แต่ไม่มีประโยชน์ ไม่ได้เสริมสร้าง เป็นการทำลายด้วย ก็มี

แล้วก็เลยจบด้วยคำนี้ ชัดเจน ว่า … “ดังนั้น ไม่ว่าท่านจะกิน ดื่ม หรือทำอะไรก็ตาม จงทำ เพื่อพระเกียรติสิริ ถวายแด่พระเจ้า”

พูดง่ายๆ ให้คิดถึงพระเจ้า คิดถึงว่าเราอยู่ในโลกวิญญาณ คิดถึงว่าจะทำอะไรก็ได้ แต่ให้คิดให้ดีๆ ก่อนทำ เพราะว่าเดี๋ยวนี้ เราเป็นลูกพระเจ้า บริสุทธิ์ สะอาด เหมือนพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว เราไม่เหมือนแต่ก่อนนี้นะ อย่าไปทำตัวเหมือนแต่ก่อนนี้ ถึงแม้ไม่มีกฎระเบียบมาบังคับเราว่า … “อย่าทำ” … แต่จะไปทำทำไมมันมีประโยชน์ไหมล่ะ เดี๋ยวนี้เราเป็นลูกพระเจ้าแล้วนะ

คำว่า “นึกถึงพระเกียรติสิริของพระเจ้า” หมายถึงนึกถึงว่าเราเป็นใคร แล้วพระเจ้าเป็นใคร รับเราเป็นลูก เราสะอาดหมดจดแล้ว อย่าไปคลุกคลีกับสิ่งสกปรกโสโครก ไม่ได้บังคับ แต่คิดเอาเองนะ เป็นอย่างนี้

นี่คือพระคุณของพระเจ้า  เขาเรียกว่ากฎแห่งพระคุณ ถ้าพูดแบบเข้าใจง่ายๆ สำหรับผู้เชื่อแล้ว ไม่มีสิ่งใดที่ห้ามทำ และไม่มีสิ่งใด ที่บังคับให้ผู้เชื่อทำ แต่จงทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ และทำในสิ่งที่เป็นการเสริมสร้างขึ้น เป็นบวก

แล้วเราจะทราบได้อย่างไรว่าสิ่งไหนที่เป็นประโยชน์? และสิ่งไหนที่เป็นการเสริมสร้างขึ้น? ท่านก็อาจจะคิดอย่างนี้ บอกให้ฟัง อันไหน? ไม่มีกฎเกณฑ์ พระคัมภีร์จึงบอกให้เราทำตามพระวิญญาณนำ เดี๋ยวผมอธิบายให้ท่านฟัง ท่านจะได้เข้าใจ ไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัวว่าต้องทำอย่างนั้น   ต้องทำอย่างนี้  ถ้า “ต้อง” เมื่อไร? มันก็เป็นกฎเกณฑ์ ถ้าไม่มีกฎเกณฑ์ ก็แล้วแต่สถานการณ์นั้นๆ ต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อม และโดยเฉพาะขึ้นอยู่กับพระเจ้าประทานให้แต่ละคน ไม่เหมือนกัน ในขณะนั้นๆ พระคัมภีร์เรียกว่า “ของประทาน” แล้วแต่ของประทานแต่ละคนไม่เหมือนกัน เลียนแบบกันก็ไม่ได้ด้วย

ยกตัวอย่างให้ อันนี้ชัดแล้ว ยกตัวอย่างให้ท่านเห็น ช่วงนี้ใกล้มาแล้ว ช่วงเวลาเช้งเม้ง ก็คือการระลึกถึงบรรพบุรุษ ประเพณีจีน ซึ่งเราก็อยู่ในประเทศไทย ก็คุ้นเคยกับประเพณี หนึ่งในคำถามยอดฮิตที่สุดของผู้เชื่อ คือคริสเตียนในบ้านเรา ก็คือ …

“ไปเช้งเม้ง ไปร่วมงานเช้งเม้ง ไปร่วมพิธีเช้งเม้งได้ไหม?”

คราวนี้ตอบสบาย ท่านจะรู้ในใจแล้ว คำตอบ ก็คือว่า … “ได้”

เป็นอิสระ อนุญาตแล้ว โดยใครอนุญาต? Ps.นครอนุญาต ใครอนุญาต? อย่าบอกว่าผมอนุญาต ใครอนุญาต? พระเจ้า ไม่มีกฎบังคับแล้ว ท่านได้รับอนุญาตให้ไปก็ได้ ถ้าเราหรือท่านไปแล้ว เป็นประโยชน์ คิดเอาเอง เป็นประโยชน์หรือเปล่านะ ท่านบอกท่านไปได้ อนุญาตให้ท่านไปได้ ท่านจะไปไหม? คิดดูว่าเป็นประโยชน์ไหม?

สมมติ ต้องขับรถให้กับคุณแม่ ที่ยังไม่เชื่อ คุณแม่ต้องไปทำพิธีนี้ สมมตินะ แล้วให้ท่านขับรถพาไป  หรือไปแล้วเป็นกำลังให้กับคนอื่นๆ ให้กับญาติพี่น้องคนอื่นๆ ไปแล้ว เขาสบายใจ หรือไปเพื่อรักษาความสัมพันธ์ การติดต่อ ความสัมพันธ์กันดีในครอบครัวของเรา ครอบครัวของเรา ญาติพี่น้องทุกคน ไม่ใช่กลายเป็นตัวประหลาดของเขา อย่างนี้เสริมสร้างไหม? ที่พูดมาทั้งหมด เสริมสร้างหรือเปล่า? เป็นประโยชน์ไหม?

แต่ในขณะที่เราไป หรือขณะที่เราร่วมทำพิธีกรรม หรือกิจกรรมอะไรต่างๆ ก็ตาม ในพิธีเช้งเม้งนั้น ในใจเรารู้ดีว่าในใจเรากำลังถวายเกียรติสิริแด่พระเจ้า เรากำลังทำตามที่พระเจ้าบอกว่าสิ่งเหล่านี้ถวายเกียรติแด่พระเจ้า เรากำลังนึกถึงพระองค์อยู่ เรารู้ตัวอยู่เสมอ ขณะที่เราไปร่วม เห็นไหม? เกิดประโยชน์หรือเกิดโทษ? คิดแค่นี้ก็รู้แล้ว  เกิดประโยชน์หรือเกิดโทษ? เกิดประโยชน์ เสริมสร้างขึ้น  ซึ่งอย่างที่ผมบอกไปแล้วว่าการจะทำอะไรได้แค่ไหนนั้น ไม่ได้คำตอบที่ตายตัว ไม่ใช่ทุกคนต้องทำอย่างนี้หมด แต่ขึ้นอยู่กับสภาวะของแต่ละคน  เช่น บางคนบอกว่า …

“แค่ขับรถไปให้ โดยไม่ต้องเข้าร่วมพิธีกรรม ก็ได้ แค่นี้คุณพ่อคุณแม่ก็สบายใจแหละ”

อย่างนี้ บางคนก็เป็นอย่างนี้  แต่บางคนไม่ใช่อย่างนั้น บางคนหนักกว่านั้น พ่อแม่ต้องการมากกว่านั้น คือไม่ใช่ขับรถไปอย่างเดียว ให้ร่วมพิธีด้วย บังคับเราเลย พ่อแม่บังคับเรานะ ไม่ใช่พระเจ้าบังคับ ให้เราร่วมพิธีเลย ก็มี เพราะฉะนั้น ตัดสินใจไม่ถูก แล้วแต่ว่าสถานการณ์ของคนนั้นจะเป็นเช่นไร?

เคยมีสมาชิกถามว่าที่บ้าน แค่อยากให้เขาไป เพื่อให้ญาติคนอื่นเห็นหน้า ก็พอแล้ว ไม่ต้องทำอะไรเลย แค่โผล่หน้าไปให้เห็น ก็พอแล้วว่ามาด้วย  อย่างนี้เป็นต้น  อย่างนี้สบายใจแล้ว  ถ้าไม่ไป โอโห้? มันไม่ได้สร้างสรรค์อะไรเลย  เกิดขึ้นมาเลย  อย่างนี้เป็นต้น

ผมเป็นพยานให้ท่าน ตอนสมัยผม ผมมาเชื่อใหม่ๆ คุณแม่ยังไม่เชื่อ  ผมไปตลอดเลยครับ ไม่ให้ไป ผมก็ไป เพราะผมอยากไปทำไมรู้ไหม? มีความรู้สึกตอนนั้น ส่วนตัวนะ อย่ามาลอกเลียนแบบ ส่วนตัวเรามีความรู้สึก ตอนนั้นเอง ส่วนตัวมีความรู้สึกว่าต้องไปสิ เราไปกลัวอะไร โลกใบนี้ เรามีชัยชนะ พระเยซูคริสต์สถิตอยู่กับเรา เราไปกลัวอะไร ไม่ต้องกลัวอะไรเลย ไปเลย  ไปเพื่ออะไร? ไปเพื่อติดสนิทอยู่กับแม่เรา แล้วก็ไปอธิษฐานให้เขา เขาทำอะไรไป เราก็ทำด้วย แล้วเราก็อธิษฐานไป เราจะทำอะไร ใครจะรู้ในใจเราคิดอะไรอยู่ ข้างนอก เราก็ทำให้เขาเห็น ก็ดูดี เห็นไหม? ทำไปตั้งหลายปี จนในที่สุด คุณแม่ก็มาเชื่อพระเจ้าอย่างนี้ แต่ทุกคนไม่ใช่ทำอย่างนี้นะ ทุกคนไม่จำเป็นต้องทำแบบที่ผมทำ เพราะว่าของประทานไม่เหมือนกัน พระเจ้าประทานให้คุณอีกอย่างหนึ่ง สถานการณ์อีกอย่างหนึ่ง  สิ่งแวดล้อมอีกอย่างหนึ่ง ก็ทำไปที่ท่านเองข้างในคิดในใจว่าถวายเกียรติสิริแด่พระเจ้า น่าจะเป็นประโยชน์ และก็ทำเลย จบ เอเมนไหม?

ผมนึกถึงหนังเรื่องหนึ่ง ที่เคยไปดูมาเมื่อปีที่แล้ว หนังเรื่องนี้ดีมาก สอนคนได้ดีมาก มีคนไปดูไม่กี่คนเท่านั้นเอง เพราะผมอยากจะรู้ว่ามันคืออะไร? หนังเรื่องนี้ชื่อ “Silence” ไปหาดู หาวีดีโอเก่าๆ ก็ได้ ซึ่งภาษาไทย เขาใช้ชื่อว่า “ศรัทธาและความอยู่รอด” นี่เป็นเรื่องจริงๆ นะ เป็นหนังที่มาจากเรื่องจริง เป็นเรื่องที่เกี่ยวมิชชั่นนารี  ที่เดินทางไปประกาศข่าวประเสริฐในประเทศญี่ปุ่น ในช่วงสมัยโน้น สมัยที่ยังมีการข่มเหงคริสเตียนอย่างรุนแรง ในประเทศญี่ปุ่น ทางการญี่ปุ่นในสมัยนั้น ทำการกวาดล้างบรรดาผู้เชื่ออย่างหนัก ทำลายใครก็ตามที่เชื่อ และรวมพยายามตามจับใครก็ตาม ที่เป็นมิชชั่นนารีที่มาประกาศข่าวประเสริฐ พอจับได้ ก็จะจับไปทรมาน จนกว่าจะยอมเลิกเชื่อ วิธีการของทหารญี่ปุ่น ก็คือพอจับผู้ต้องสงสัยว่าเป็นผู้เชื่อ

วิธีที่จะพิสูจน์ว่าเขาเป็นคริสเตียนหรือไม่? ก็จะบังคับให้เขาถ่มน้ำลายบ้าง? เหยียบที่ไม้กางเขนบ้าง? เหยียบพระคัมภีร์บ้าง? ใครไม่ยอมทำตาม ก็ถูกจับไปทรมาน นึกภาพออกไหม? นี่คือการพิสูจน์ของเขาว่าคุณเป็นคริสเตียนไหม? ถามใครเป็นคริสเตียน? เงียบ ไม่มีใครพูด เขาเลยเอาพระคัมภีร์วางไว้ แล้วเรียงแถวเข้าไปเลย ทุกคนต้องทำหน้าที่เดียวกัน ก็คือไปบ้วนน้ำลายใส่ แล้วก็เหยียบลงไปที่ไม้กางเขน แล้วก็เดินผ่าน ถือว่าคนนี้ไม่ใช่คริสเตียน รอดไป ซึ่งก็มีทั้ง 2 กลุ่ม คือกลุ่มที่ทนการทรมานไม่ไหว กลัวตาย ก็เลยต้องยอมทำตาม ถ่มน้ำลาย แล้วก็เหยียบ แล้วก็วิ่งไป  กับกลุ่มที่ยังไงๆ ก็ไม่ยอมทำ จนในที่สุด ถูกทรมานและถูกฆ่าตาย

และพวกมิชชั่นนารีที่อยู่ในญี่ปุ่น ในช่วงนั้น พวกมิชชั่นนารีที่ถูกจับได้ ก็ต้องเจอกับการทดลอง ซึ่งหนักกว่าอีก คือไม่ใช่แค่ตัวเองถูกทรมานแบบนั้น ทรมานมากนะ อย่างเช่น เอาเชือกผูกขาสองข้าง แล้วห้อยหัวลง แล้วให้เลือดออกทางหัว กรีดให้เลือดหยด ให้ได้ยินเสียงเลือดตัวเองหยดติ๋งๆ อย่างนี้ ถูกทรมาน มิชชั่นนารีเหล่านี้ไม่ใช่ได้รับการทรมานตนเองแค่นั้น  แต่พวกทหารยังจับเอาผู้เชื่อต่างๆ ที่มิชชั่นนารีไปประกาศให้เขาเชื่อ พูดง่ายๆ ลูกแกะทั้งหลาย ซึ่งเป็นชาวญี่ปุ่น  มาทรมานต่อหน้าต่อตามิชชั่นนารี และบังคับให้มิชชั่นนารีเหยียบพระคัมภีร์ แล้วเลิกเชื่อพระเยซู ถ้าเลิกเชื่อ ก็จะปล่อยบรรดาคนที่เป็นลูกแกะ ที่เชื่อพระเยซู เหล่านั้นเสีย แล้วให้อยู่อย่างสบายเลย เปรียบเทียบ 2 อย่างเลย

ถ้าใครยอมก็จะปล่อยไปเลย แล้วก็เลิกเชื่อไปเลย จะให้บ้านอย่างดีอยู่ อยู่ดี กินดีเลย ถ้าไม่ยอมทำตาม ก็จะถูกฆ่า รวมทั้งผู้ที่เชื่อ ก็จะถูกฆ่าด้วย  และจะทดลองด้วยวิธีการฆ่าทีละคนๆ ยอมไหม? ไม่ยอม ฆ่าไป 1 คน ถามและทำไปเรื่อยๆ

ถามว่าถ้าเราเป็นผู้เชื่อในขณะนั้น หรือเราเป็นผู้รับใช้ เป็นมิชชั่นนารี เป็นผู้ประกาศในขณะนั้น  เราจะทำอย่างไร?

ท่านนึกถึงภาพนะ ทุกคนก็จะตอบใหญ่เลย  ถ้าเชื่อพระเจ้าจริง ก็ต้องสู้ให้ถึงที่สุด ท่านทำอย่างนั้นได้หรือ?  ทำอย่างนั้นได้ไหม? ถูกหรือไม่ถูก?

นี่คือสิ่งที่พิสูจน์ได้ว่าพระคัมภีร์นั้นบอกเราในเรื่องสติปัญญาของพระเจ้าที่ยอดเยี่ยม เฉลียวฉลาดมากที่สุดเลย เราจะทำอย่างไร? ในหนังก็สะท้อนให้เห็น 2 กลุ่ม นี่เรื่องจริง คือ …

(1) มุมของคนที่ทนรับการทรมานไม่ไหว สู้ไม่ไหว ทรมานมาก ไม่ไหว จนในที่สุด ต้องยอมทำตาม ปฏิเสธพระเยซูทุกอย่าง ไม่ใช่กลัวตายอย่างเดียว กลัว สงสาร เห็นใจบรรดาผู้เชื่อที่ต้องตายด้วย

(2) มุมของผู้ที่เชื่อและมิชชั่นนารีที่เด็ดเดียว ในเรื่องของพระเยซูคริสต์ …

“ฉันยอมตายเพื่อพระเยซู ใครจะตายไม่เป็นไร ช่างมัน ฉันจะยอมตาย เพื่อพระเยซู”

ปรากฏว่าเขาก็ตายจริงๆ ไม่ได้ตายคนเดียว คนที่เป็นสาวก คนที่เป็นผู้เชื่อที่เขาไปประกาศ ก็ต้องตายด้วย เพราะเขาไม่ยอม

มี 2 มุม แล้วหนังก็จบอย่างนี้ แต่ตอนจบ สุดท้ายให้เห็นอะไรรู้ไหม? คนที่ปฏิเสธพระเยซู ที่ยอมทำตามที่ทหารญี่ปุ่นบังคับให้ทำ เหยียบพระคัมภีร์ ถ่มน้ำลายรด แล้วก็บอกว่าเลิกเชื่อแล้ว แล้วเลิกเชื่อจริงๆ นะ เลิกเลย แล้วทหารญี่ปุ่น ก็ให้เขาอยู่เป็นที่ปรึกษาทางศาสนาคริสต์ของญี่ปุ่น ปรึกษาอย่างไรรู้ไหม? ให้เป็นคนไปตรวจค้นบรรดาเครื่องมือต่างๆ ว่าแอบซ่อนที่ไหน? ให้เอาไปทำลายเสีย เป็นที่ปรึกษา ปรากฏว่าราชการญี่ปุ่น ก็ให้เขามีตำแหน่งอะไรต่างๆ เหล่านั้น เพราะเขาเลิกเชื่อแล้ว ก็ประกาศยกย่องเขาให้ประชาชนญี่ปุ่นเห็นว่าคนนี้ เป็นนักประกาศ เป็นครูนะ เขายังเลิกเชื่อเลย แล้วพวกคุณไปเชื่อทำไม? ถึงขนาดนั้นเลยนะ

แต่ตอนจบ ท่านรู้ไหมว่าอะไร? ปรากฏว่าขณะที่เขาอยู่มาตลอด เขาแอบอธิษฐาน และก็แอบประกาศมาตลอด รวมทั้งครอบครัวเขาที่ทางราชการญี่ปุ่นมอบผู้หญิงให้เขา เพื่อมีครอบครัวเป็นญี่ปุ่น มีลูก มีหลานเป็นคริสเตียนหมดเลย แต่เป็นคริสเตียนอยู่ใต้ดินหมดเลย ตอนเขาตาย หนังได้บอกว่าตอนเขาตาย จึงได้พูดถึงสิ่งต่างๆ ที่เขาทำ ซึ่งเรามองไม่เห็น ทั้งหมดเลย เกิดการฟื้นฟูขึ้นในประเทศญี่ปุ่น มิชชั่นนารีหน่วยงานทางเมืองนอก ส่งคนมาสืบเสาะประวัติชีวิตของเขาว่าเป็นไปได้อย่างไร คนนี้ เป็นมิชชั่นนารีที่รักพระเจ้ามากๆ ทำไมปฏิเสธพระเจ้าได้อย่างไร? ไม่น่าเชื่อ เป็นไปไม่ได้ ก็มีคนที่ยอมเสียสละเวลา และชีวิตตัวเองเขามาศึกษาเรื่องของเขา จนมาพบความจริงตรงที่ผมเล่าให้ท่านฟังว่าเขาทำให้มีการฟื้นฟูใหญ่ขึ้นในญี่ปุ่น เหตุเพราะตะกี้นี้ที่บอก เหตุเพราะโดยต่อหน้าแล้ว เหมือนเขาปฏิเสธ ไม่มีความเชื่อ  ปฏิเสธพระเจ้า ปฏิเสธพระเยซู ไปช่วยบรรดาสาวกที่เป็นคริสเตียนเหล่านั้น ให้รอดชีวิต และตัวเขาเอง ก็รอดชีวิต รอดเพื่อไปประกาศต่อ งานใหญ่ของพระเจ้า

เห็นไหม? พระเจ้าทำอะไร เราไม่รู้เลย ท่านกล้าตอบไหมว่าถ้าเป็นท่าน อยู่ในการทดลองอย่างนี้ ท่านจะทำแบบหนึ่งหรือแบบสอง ท่านต้องตอบว่าไม่รู้ ท่านมีอิสระจะทำอะไรก็ได้ แต่ไม่ว่าจะแบบหนึ่งหรือแบบสอง ทั้งสองฝ่ายก็เป็นผู้ที่ได้รับความรอดจากบาป ไปอยู่ในสวรรค์เหมือนกันทั้งคู่ ไม่มีใครได้รางวัลเลยสักคนหนึ่ง ได้ทั้งคู่ แล้วแต่พระวิญญาณจะให้เขาทำตรงไหน? ท่านเห็นหรือยัง? เหมือนกัน

เพราะฉะนั้น จะไปเช้งเม้งหรือไม่ไป ก็ขึ้นอยู่กับพระเจ้าจะนำท่านไปเอง ทั้งสองฝั่งก็ไปถึงความรอดทั้งคู่ ขึ้นอยู่กับว่าอะไรที่ท่านเห็นตอนนั้น พระเจ้าประทานสติปัญญาให้ท่าน ได้เห็นว่ามันมีประโยชน์ไหม?  ถ้ามีประโยชน์ก็ทำไปเถิด  เอเมน

 

*********************