วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1456

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  11  กุมภาพันธ์  2024

เรื่อง “หนังสือเอเฟซัส” ตอน 34

โดย วราพร  คงล้วน

            วันนี้เรามาดูในหนังสือเอเฟซัส บทที่ 6 เรามาถึงบทสุดท้าย เราได้เรียนรู้ถึงความล้ำลึก ในถ้อยคำของพระเจ้า  ซึ่งความเป็นจริงแล้ว เราเรียนพระคัมภีร์ทั้งเล่ม วนไปวนมา ก็อยู่ในจุดเดียว ก็คือการไถ่ถอนของพระเยซูคริสต์ แผนการที่พระเจ้าเตรียมไว้ สำหรับมนุษยชาติ คือวนไปเวียนมา เราจะเจาะลึกลงไปตรงนี้ เพื่อสถาปนาความจริงในข่าวดีของพระเจ้า  เพื่อพวกเราผู้ที่เชื่อวางใจในพระองค์ จะไม่สั่นคลอน ไม่หวั่นไหว เราจะได้หนักแน่น มั่นคง ในขณะที่บางครั้งเราอาจจะเจอการทดลอง หรือข้อมูลต่างๆ ที่ถูกส่งเข้ามาในสมองของเรา  ทำให้เราเกิดความสงสัยในถ้อยคำของพระเจ้า  เกิดความสงสัยในความรอดที่พระเจ้าได้กระทำให้กับพวกเราสำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว ฉะนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่พวกเราจะต้องเรียนรู้ สถาปนา ฟังแล้วฟังอีกในเรื่องข่าวดีของพระองค์ วันนี้เรามาดูหนังสือเอเฟซัส บทที่ 6 กัน

        เอเฟซัส 6:1-3 “1 ผู้ที่เป็นบุตรจงเชื่อฟังบิดามารดา ในองค์พระผู้เป็นเจ้า  เพราะนี่เป็นสิ่งที่ถูกต้อง 2 “จงให้เกียรติบิดามารดาของเจ้า”  นี่เป็นพระบัญญัติข้อแรกที่มีพระสัญญาไว้ด้วย 3 “เพื่อเจ้าจะอยู่เย็นเป็นสุข  และมีชีวิตยืนยาวในโลก”

            สมัยก่อน เราก็เรียนรู้ในขนาดของสมองของมนุษย์ เรียนรู้ว่าเป็นคำสั่งที่พระเจ้าสั่งพวกเราผู้เชื่อว่าให้เราเชื่อฟังบิดามารดา ในองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะอันนี้เป็นสิ่งที่ถูกต้อง แล้วก็ให้เราให้เกียรติคุณพ่อคุณแม่

            ในถ้อยคำตรงนี้ส่วนใหญ่ ผู้รับใช้พระเจ้าก็จะยกมาสอนหรือเทศน์ ในช่วงเทศกาล ไม่ว่าจะเป็นวันพ่อวันแม่ จะสอนเราว่าเราควรจะประพฤติปฏิบัติอย่างไรกับพ่อแม่ของเรา  หรือคุณพ่อคุณแม่ควรจะมีท่าทีแบบไหนกับลูก ซึ่งความเป็นจริงในบริบทที่ถ้อยคำพระเจ้าบอกไว้ มันลึกซึ้งกว่านั้น ถ้อยคำตรงนี้ อาจารย์เปาโลยกมาจากพระคัมภีร์เดิม ในหนังสืออพยพที่พระเจ้าให้บัญญัติ 10 ประการ ให้กับโมเสส ให้ไปประกาศกับอิสราเอลว่าให้ยึดถือข้อความเหล่านี้ ให้ยึดถือแบบเอาจริงเอาจังเลย ต้องเป็นแบบนั้น

            ในยุคพระเดช ก็คือพระคัมภีร์เดิม ถ้าคนอิสราเอลไม่ทำตามนี้ จะได้รับโทษ  ถ้าเราอ่านพระคัมภีร์เดิม มันจะมีโทษฐานที่สาหัสมาก สำหรับคนอิสราเอล บอกว่าถ้าคนหนึ่งคนใดได้ยินลูกคนไหน ด่าว่าพ่อแม่ หรือไม่เชื่อฟัง หรือดื้อ แล้วมีพยาน 2 คน เอาลูกคนนั้นมาที่กลางแจ้ง เอาหินขว้างให้ตายเลย  นั่นคือกฎบัญญัติเดิม ที่พระเจ้าตั้งขึ้น เป็นกฎที่มนุษย์ทำไม่ได้อยู่แล้ว มีลูกคนไหนที่ไม่ดื้อกับพ่อแม่ ไม่มี แล้วมีพ่อแม่คนไหนที่ไม่ทำให้ลูกโกรธ ก็ไม่มีอีก บางครั้งเราไม่ได้ตั้งใจ หรือบางครั้งคุณพ่อคุณแม่พูดอะไร? ที่ไม่ได้ตั้งใจ ทำร้ายจิตใจลูกมาก หรือบางครั้งลูกพูดอะไรบางอย่าง ซึ่งไม่ได้ตั้งใจเหมือนกัน ทำร้ายจิตใจของพ่อแม่เช่นเดียวกัน

            ฉะนั้น บทบัญญัติตรงนี้ พระเจ้าตั้งไว้ไม่ได้หมายความว่าเป็นพระสัญญา พระองค์ไม่ได้สัญญาว่าถ้าลูกคนไหนเชื่อฟังพ่อแม่แล้ว เขาจะไปดีมาดีบนแผ่นดินโลก และมีชีวิตยืนยาว ถ้าข้อนี้เป็นคำที่พระเจ้าสัญญา แปลว่าถ้าลูกคนไหนกตัญญู คนนั้นจะอายุยืนใช่ไหม?  แต่พี่น้องเคยสังเกตไหมว่ามีลูกที่กตัญญูมากๆ อายุสั้นก็มี จริงไหม? แล้วก็ลูกที่กตัญญูกับพ่อแม่ไม่ได้ไปดีมาดีบนแผ่นดินโลกด้วย บางทีเจออะไรไม่รู้เยอะแยะมากมาย เจ็บป่วยบ้าง อะไรบ้าง แปลว่าข้อพระคัมภีร์ข้อนี้ ไม่ได้เป็นพระสัญญาของพระเจ้า พระเจ้าไม่ได้สัญญาว่าถ้าทำอย่างนี้ เราจะได้รับอย่างนี้  แต่ที่พระเจ้าเขียนให้คนอิสราเอลทำ ถ้าเป็นสมัยก่อน ไม่ใช่แนะนำนะ  เป็นคำสั่งว่าให้ทำแบบนี้เพื่อประโยชน์ของคนอิสราเอล ถ้าเป็น ณ ปัจจุบัน ที่เราเชื่อวางใจในพระเจ้าแล้ว ถ้าเจอข้อพระคัมภีร์ข้อนี้ พระเจ้ากำลังบอกเราว่าอันนี้เป็นสิ่งที่ดี สมควรทำ  ให้ทำเถิด  ทำแล้วเป็นประโยชน์กับเรา  เหมือนอาจารย์เปาโลบอกว่าอะไรที่ดี ก็ทำ  อะไรที่ไม่ดี ก็ไม่ต้องทำ ในลักษณะเหมือนกัน

            ฉะนั้น พอถึงพระคัมภีร์ใหม่ปุ๊บ เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว เราได้เข้ามาเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เข้ามาเป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์แล้ว  เราได้บังเกิดใหม่ มีวิญญาณใหม่ที่เป็นเหมือนพระเจ้าแล้ว วิญญาณใหม่ของพวกเราทุกๆ คน คือเป็นวิญญาณที่เชื่อฟัง นึกออกไหม? เชื่อฟังเลย เชื่อฟังพระเจ้า 100% ไม่มีการดื้อ ไม่มีการกบฏ ไม่มีอะไรเลย  แต่ในขณะเดียวกัน  ขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  บางครั้งเราก็ดื้อ  ไม่เชื่อฟังพระเจ้า  เป็นไหม?   เราถูกล่อลวง ด้วยโลกใบนี้ ส่งข้อมูลมา ลากจูงเราไปทำตามระบบของโลกนี้ แต่ว่าหลังจากที่เราเชื่อวางใจในพระเจ้าแล้ว ไม่ว่าเราจะเชื่อฟังพระองค์ หรือไม่เชื่อฟังพระองค์ ก็ไม่เป็นไร? ฟังดีๆ นะ

            ไม่ว่าเราจะเชื่อฟังพระองค์หรือไม่เชื่อพระองค์ ก็ไม่เป็นไร?  เพราะเราได้เป็นลูกของพระองค์แล้ว

            ขอถามพวกเราซึ่งมีครอบครัวแล้ว มีลูกเต้าแล้วว่าเคยไหมที่เราเลี้ยงลูกตั้งแต่เด็กจนโต แล้วลูกเราเชื่อฟังทุกประการ โดยไม่เคยดื้อกับเรา ไม่มี ก็คือดื้อบ้าง เชื่อบ้าง แต่ไม่ว่าลูกเราจะดื้อหรือเชื่อฟัง เรารักเขาเหมือนเดิมไหม? เหมือนเดิม เรารักเขานะ  เราไม่เคยมีความรู้สึกว่าลูกคนนี้ทำไมดื้ออย่างนี้ ตัดขาดออกจากการเป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นลูกแล้วกัน ไม่มี มันเป็นภาพ ที่พระเจ้าให้เราเห็นว่าหลังจากที่เราเชื่อวางใจในพระเจ้าแล้ว บางครั้ง เราอาจจะดื้อกับพระเจ้า  ก็ไม่เป็นไรเลย เราก็ยังคงเป็นลูกของพระองค์อยู่ พระองค์ไม่ได้รักเราน้อยลง ทำไมเรารู้ว่าพระเจ้าไม่รักเราน้อยลง  เพราะว่ารักจนถึงที่สุดแล้ว  รักโดยขนาดที่ยอมสิ้นพระชนม์ เพื่อเราบนไม้กางเขนเรียบร้อยไปแล้ว ก็คือรักสุดๆ แล้ว จะขอว่าพระเจ้ารักลูกเพิ่มขึ้นได้ไหม? พระเจ้าบอกมันหมดแล้ว  คือให้หมดแล้ว  ไม่ต้องขอแล้ว ฉันให้เธอหมดหน้าตักเลย  คือยอมให้ชีวิตกับเธอเรียบร้อยไปแล้ว

            ฉะนั้น เราอย่าให้ระบบของโลกนี้  หรือข้อมูลอะไรต่างๆ บนโลกใบนี้ ใส่เข้ามาในความคิดของเราว่าเราทำอย่างนี้ พระเจ้าต้องรักเราน้อยลงแน่ๆ เลย พระเจ้าต้องไม่รักเราแล้วล่ะ อะไรอย่างนี้ อย่าให้การโกหก หลอกลวงนี้ เข้ามาครอบครองความคิดของเรา  ทำให้เรารู้สึกท้อใจ ทำให้เรารู้สึกไม่กล้าที่จะสู้หน้าพระเจ้า

            สิ่งที่สำคัญที่สุด เราจำเป็นจะต้องรู้ว่าพระเจ้ารักเรามากขนาดไหน? มากแบบสุดๆ แล้ว ฉะนั้น ตรงนี้เป็นข้อที่อาจารย์เปาโลยกขึ้นมา พูดถึงลักษณะของลูกที่สมควรเชื่อฟังพ่อแม่ เป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าทำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ก็ไม่เป็นไรเลย ในขณะที่เราเชื่อพระเจ้าแล้ว  พอมาถึงข้อที่ 4 …

        เอเฟซัส 6:4 “ผู้ที่เป็นบิดาอย่ายั่วโทสะบุตรของตน แต่จงอบรมเลี้ยงดู โดยการฝึกฝนและสั่งสอนตามแนวขององค์พระผู้เป็นเจ้า”

            ภาพนี้ อาจารย์เปาโลกำลังให้เราเห็นสิ่งที่พระเจ้าสื่อมา ให้เราเห็นในภาพของพ่อ แบบมนุษย์ว่าพระเจ้ารักเราขนาดไหน? พระองค์รักเราแบบสุดๆ แล้ว แล้วลักษณะในความรักของพระเจ้าที่มีต่อพวกเรา ลูกๆ ของพระองค์ ก็คือพระองค์จะอบรม เลี้ยงดู ฝึกฝน สั่งสอน

            คำว่า “ฝึกฝน, สั่งสอน” คือไม่มีพ่อคนไหนที่ไม่สอนลูกเลย มันเป็นไปไม่ได้ ถ้าลูกทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เราก็จะสอนลูกว่า …

            “อันนี้ไม่ถูกนะลูก หนูทำอันนี้ไม่ได้ หนูต้องเปลี่ยนความคิดใหม่นะ หนูต้องปรับปรุง”

            นั่นคือความรักที่พระเจ้ามีต่อเรา เมื่อผู้เชื่อทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง พระเจ้าไม่ตีเรานะ หลายครั้ง คนชอบเอาข้อพระคัมภีร์ตรงนี้  ที่บอกว่าพระเจ้าทรงตีสอน พอเราเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา ที่มันไม่คาดคิด  เราก็จะถูกข้อมูลบนโลกใบนี้ใส่เข้ามาในความคิดเราว่า …

            “นี่เห็นไหม ตอนนี้พระเจ้ากำลังตีสอนเธออยู่”

            ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ กำลังต่อว่าพระเจ้า  ซึ่งมันไม่เป็นความจริง พระเจ้าไม่ได้ตีสอนเรา แบบดุร้าย ตีสอนเราลักษณะเหมือนกับ …

            “เห็นไหม เธอไม่เชื่อฟัง ป่วยแล้ว ป่วย เพราะเธอไม่เชื่อฟังพระเจ้า เห็นไหม พระเจ้าก็เลยส่งโรคภัยไข้เจ็บมาให้เธอ จะได้เข็ดหลาบ เธอจะได้ทำตัวให้มันดีๆ”

            พี่น้องลองคิดตามว่าพ่อของเรา  เป็นแบบนั้นหรือ? พระเจ้าผู้ทรงบอกว่าพระองค์ทรงเป็นความรัก และพระองค์ผู้ทรงยอมสละพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์มาตายแทนเราบนไม้กางเขน พระเจ้าองค์นี้จะส่งโรคภัยไข้เจ็บมาทำให้เราเข็ดหลาบหรือ? มาตีสอนเราหรือ?  ไม่จริงแน่นอน

            พวกเราจำเป็นจะต้องรู้ตรงนี้มากๆ อย่าให้มารใช้ระบบของโลกนี้ การโกหก หลอกลวงทุกรูปแบบ ส่งเข้ามาในความคิดของเรา ทำให้เราคล้อยตามมัน พอเกิดปัญหา ความทุกข์ยากลำบากปุ๊บ

            เขาก็บอก … “เห็นไหมๆ พระเจ้ากำลังตีสอนเธออยู่ เห็นไหม? เพราะเธอไม่เชื่อฟัง พระเจ้าก็เลยทำให้เรื่องนี้เกิดขึ้น เห็นไหม?”

            เห็นตลอดแหละ คือจะถามว่า “เธอเห็นไหม?” ถ้าเรารู้ความจริงในความรักของพระเจ้า

            เราก็จะสวนกลับไปว่า … “ไม่เห็นโว้ย ฉันเห็นแต่ความดีงามของพระเจ้า ฉันเห็นแต่ความรักของพระเจ้า  ฉันเห็นแต่ความเมตตา ความกรุณา ความละมุนละม่อมของพระเจ้า ฉันไม่เห็นเลยว่าพระเจ้าฉันดุร้าย  ถึงขนาดส่งอะไรมาทำให้ฉันลำบาก ยากเข็ญ แต่ทำไมเรายังเจอความทุกข์ยากลำบากอยู่ นั่นคือความจริงอีกอันหนึ่งที่เราจำเป็นต้องรู้ บรรพบุรุษของเรา ล้มลงในความบาป  เมื่อล้มลงในความบาป ทำให้มนุษย์ทั้งหมดเข้ามาสู่ความสาปแช่ง

            สาปแช่ง ไม่เฉพาะร่างกายของเราเท่านั้น แต่ถูกสาปแช่งทั้งหมดทั้งมวลบนโลกใบนี้  สรรพสิ่งทั้งหมดบนโลกใบนี้  ได้ถูกสาปแช่งไป เรียบร้อยแล้ว หมายความว่าโลกนี้กำลังเสื่อมโทรมไปเรื่อยๆ ซึ่งหลายครั้งคริสเตียนหลายคนยังเข้าใจว่าเขามีความสามารถที่จะอธิษฐาน ให้โลกนี้กลับคืนสู่สภาพดี ซึ่งมันเป็นไปได้ไหม?  เป็นไปไม่ได้  เพราะพระเจ้าบอกแล้ว ถ้าผู้เชื่อคนไหนสามารถอธิษฐานให้โลกกลับคืนมาดีเหมือนเดิม แปลว่าพระเจ้าโกหก จริงไหม?  พระเจ้าโกหก พระเจ้าพูดไม่จริง โลกนี้สามารถกลับคืนสู่สภาพดีได้ เราอธิษฐานสิ ใช้ความเชื่อ  เราเป็นผู้เชื่อไง พระเจ้าบอกว่าคำอธิษฐานของผู้ชอบธรรม มีพลังทำให้เกิดผล เราต้องอธิษฐาน เราต้องขอแล้วขออีก แล้วพระเจ้าจะทำตามคำขอของเรา พระเจ้าจะตอบคำอธิษฐานของเรา  พระเจ้าจะทำให้โลกนี้กลับคืนสู่สภาพดีเหมือนเดิม ซึ่งมันเป็นการโกหก หลอกลวงที่สาหัสมาก  แล้วมีหลายคนก็เชื่อตามนั้นด้วย แล้วพยายามๆ ที่จะอธิษฐานๆ เขย่าบัลลังก์ของพระเจ้า

            พี่น้องเคยได้ยินคำนี้ไหม? สมัยก่อนเราพูดบ่อย  เราต้องอธิษฐานให้เยอะๆ วันละ 10 หรือ 20 ชั่วโมง เขย่าบัลลังก์ของพระเจ้า เพื่อให้พระเจ้าตอบคำอธิษฐาน ตามความปรารถนาของเรา  ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว  ถ้าเราอธิษฐาน ขอพระเจ้าเมตตา เราสามารถอธิษฐานได้ทุกอย่างเลยนะ เราอธิษฐาน … “พระองค์เจ้าข้าอย่างโน้น อย่างนี้ อย่างนั้น” ทั้งหมด สรุปจบ ก็คือแต่อย่างไรก็ตาม ให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ ที่ลูกต้องการ ลูกต้องการสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง ใครๆ ก็อยากได้ มีใครอยากป่วยไหม? ไม่มี ทุกคนอยากแข็งแรง เราอธิษฐานขอได้ แต่เรารับรู้ความจริงอันหนึ่ง ที่เราขอ ก็คือเราขอตามความอยากของเรา แต่เราก็รู้ว่าแล้วแต่พระเจ้า  พระเจ้าสามารถที่จะให้เราแข็งแรง จนเราจากไปอยู่กับพระเจ้าได้ไหม? พระเจ้าทำได้นะ แล้วแต่น้ำพระทัย

            แต่ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุด คือร่างกายเราเดินทางสู่ความตายแน่นอน เราจะอยู่ค้ำฟ้า ไม่มีทาง เพราะพระเจ้าบอกว่าร่างกายเราถูกสาปแช่งเรียบร้อยไปแล้ว บนโลกใบนี้ ในร่างกายเรือนดินของเรา  แต่สิ่งที่สำคัญ คือพระเจ้าเตรียมร่างกายใหม่  ร่างกายที่เต็มไปด้วยสง่าราศี ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ตอนที่พระองค์ได้เป็นขึ้นมาจากความตาย  ให้กับผู้เชื่อทุกคนเรียบร้อยไปแล้ว หมายความว่าไม่ว่าเราจะอยู่บนโลกใบนี้ เราจะแก่ลงทุกวันๆ ผมหงอกทุกวัน หน้าเหี่ยวไปทุกวัน เม็ดสีขึ้นมาแล้วเยอะแยะเลย ก็ไม่ทำให้เรารู้สึกท้อใจว่าทำไมเราถึงเป็นแบบนี้ มองกระจกทีไร กลุ้มใจทุกทีเลย ทำไมแก่ลงๆ  เราก็ไม่ได้รู้สึก เพราะว่ามันเป็นไปตามที่มันควรจะเป็น

            แต่สิ่งที่เราชื่นชมยินดี คือเรารู้ว่าวิญญาณข้างในใหม่ขึ้นทุกวัน เจริญเติบโตขึ้นทุกวัน  เรามีความชื่นชมยินดีกับสิ่งที่พระเจ้าบอกเรา แล้วเรามีความหวังใจ ยิ่งแก่มากเท่าไร ยิ่งขอบคุณพระเจ้า  แก่แล้ว เดี๋ยวเราก็ได้จากโลกนี้ไปแล้ว   มีใครคิดแบบนี้ไหม?  ดิฉันคิดนะ  เราแก่ลงแล้ว แปลว่าเวลาบนโลกใบนี้ เราเริ่มน้อยลงแล้ว  เวลาที่เราจะได้ไปพบพระเจ้าหน้าต่อหน้าเลยนะ มันใกล้เข้ามาแล้ว  มีสันติสุข มีความชื่นชมยินดี  เราเลยไม่กลัวว่าจะแก่ ไม่เป็นไรหรอก ใครบอกว่าไม่สวยแล้ว ก็ไม่เป็นไร ไม่ต้องสวยมากก็ได้ แต่เรารู้ว่าอนาคตข้างหน้า ร่างกายใหม่ที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้เราสวยที่สุดเลย

            นี่คือภาพที่เราจำเป็นจะต้องรับรู้ความจริงตรงนี้ ฉะนั้น ให้เราขอบพระคุณพระเจ้า อย่าให้โดนหลอก ให้เอาถ้อยคำของพระเจ้ามาใช้  เพื่อเอื้ออำนวยประโยชน์ ให้กับพวกเราเอง

            ภาพของพระเจ้าจริงๆ พระองค์เป็นผู้ที่อ่อนโยน  พระองค์เป็นผู้ที่สอนเราด้วยความรัก  ดังแก้วตาดวงใจ พระองค์ไม่เคยบังคับเราเลย พระองค์ไม่เคยที่จะบีบคอเราว่าต้องทำตามที่พระองค์สั่ง ต้องเชื่อฟังนะ ถ้าไม่เชื่อฟัง ฉันเขี่ยเธอออกจากสวรรค์เลย  ไม่มีภาพนี้ในพระเจ้าเลย

            ฉะนั้น ภาพที่พระเจ้าใส่เข้ามาในวิญญาณของคุณพ่อทุกๆ คน ต้องวงเล็บว่าพ่อปกติ ไม่ใช่พ่อประหลาด พี่น้องรู้ไหมพ่อประหลาด ก็คือไม่รักลูก รังแกลูก ตีลูกตลอดเวลา  ไม่มีเหตุผล เขาเรียกว่าพ่อประหลาด  แต่พ่อที่เป็นพ่อจริงๆ  ตามแบบที่พระเจ้าสร้างไว้  เป็นคุณพ่อที่รักครอบครัว รักลูก เป็นคุณพ่อที่ให้อภัยลูกตลอดเวลา เป็นคุณพ่อที่พร้อมที่จะอ้าแขนรับลูกเข้ามา โอบกอดลูกเอาไว้ ในขณะที่ลูกดื้อ ลูกทำผิด ลูกล้มลง พ่อไม่เคยทับถม  ไม่เคยเหยียบซ้ำ  แต่พ่อจะจูงมือลูก แล้วก็เดินไปด้วยกัน  ปลอบโยนลูก เล้าโลมจิตใจลูก …

            “ไม่เป็นไรนะลูก ล้มลง ลุกขึ้น เริ่มต้นใหม่นะลูก”

            นี่คือพ่อปกติ ฉะนั้น ภาพนี้แหละที่พระเจ้าให้เราเห็นลักษณะของพระองค์เอง ในลักษณะแบบนี้ เราเป็นมนุษย์ เราไม่สามารถอยู่แล้ว ที่จะทำได้แบบที่พระเจ้าทำ แต่ว่ามันเป็นแค่นิดๆ หน่อยๆ ที่พระเจ้าสื่อให้เราเห็นถึงความรักที่ยิ่งใหญ่ ที่พระองค์มีต่อเรา  พอถึงข้อที่ 5 …

        เอเฟซัส 6:5 “ผู้ที่เป็นทาสจงเชื่อฟังเจ้านายฝ่ายโลก ด้วยความเคารพยำเกรงและด้วยความจริงใจ เหมือนที่ท่านเชื่อฟังพระคริสต์”

            ถ้อยคำตรงนี้ที่อาจารย์เปาโลได้บอกกับผู้เชื่อคนต่างชาติ สมัยก่อน เรามีทาสใช่ไหม?  เหมือนยุคหนึ่งที่ประเทศไทยก็มีทาส ฉะนั้น พอมีการเลิกทาสขึ้นมา ทุกคนก็ได้ยินข่าวดีตรงนี้ ก็ชื่นชมยินดี  ได้เป็นอิสระ มันเป็นภาพเดียวกันกับที่พระเจ้าได้ปลดปล่อยเราได้เป็นอิสระ พ้นจากการเป็นทาส (ฝ่ายวิญญาณ) เราเป็นอิสระในวิญญาณเรียบร้อยไปแล้ว

            แต่ตรงนี้ที่อาจารย์เปาโลพูดถึง คือการดำเนินชีวิต ถ้าคนนั้นเป็นทาสอยู่ แล้วบังเอิญมาเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ทาสคนนั้น  เขาเป็นอิสระในวิญญาณเลย แต่ในร่างกายของเขา ก็ยังคงเป็นทาสอยู่ จริงไหม? ยังดำเนินชีวิตเหมือนเดิม ภาพตรงนี้ อาจารย์เปาโลกำลังบอกว่าในขณะที่ท่านมาหาพระเจ้า อยู่ในสภาพไหน ก็ให้อยู่สภาพนั้น  ด้วยความชื่นชมยินดี

            ถ้าท่านเป็นทาส ท่านก็ทำหน้าที่ของการเป็นทาสให้ดีที่สุด ในนามของพระเยซูคริสต์ เพราะว่า ณ เวลานี้  พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคเข้ามาอยู่ในตัวของทาสคนนี้ เรียบร้อยไปแล้ว เขาเป็นอิสระในวิญญาณ แต่เขายังคงเป็นทาสในร่างกายนี้  โดยพระเจ้า ต้องบอกว่าโดยพระเจ้า  เพราะว่าจากนี้ไป ไม่ว่าพระเจ้าจะนำเขาแบบไหน? พระเจ้าอาจจะนำเขาให้สามารถออกจากการเป็นทาส เป็นอิสระ มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น พระเจ้าก็ทำได้  แต่ถ้าสมมติว่าพระเจ้ายังคงให้เขาอยู่ในสภาวะตรงนั้นอยู่ ก็ให้เขาอยู่ด้วยความชื่นชมยินดี ไม่ใช่ว่า …

            “พอฉันเชื่อพระเจ้าแล้ว ฉันเป็นทาส ฉันต้องพยายาม ให้หลุดจากการเป็นทาสให้ได้ แล้วก็ทุกข์ใจทุกวัน ทำไมฉันไม่หลุดสักที ฉันยังเป็นทาสอยู่ ทุกข์ใจทุกวัน” ไม่ใช่

            พระเจ้าบอกว่าให้อยู่อย่างชื่นชมยินดี ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด แล้วแต่พระเจ้า ถ้าเกิดพระเจ้าจะให้คนๆ นั้น หลุดจากการเป็นทาสพระเจ้ามีวิธีการที่จะให้เขาหลุดตรงนั้นได้ แล้วแต่น้ำพระทัย ไม่เกี่ยวอะไรกับทาสคนนั้นเลย ในข้อที่ 6 …

        เอเฟซัส 6:6 “ไม่เพียงแต่เชื่อฟังเจ้านายต่อหน้า  เพื่อให้เขาพึงพอใจ แต่ให้เป็นเหมือนทาสของพระคริสต์ คือทำตามพระประสงค์ของพระเจ้าจากใจของท่าน”

            พี่น้องนึกถึงคำว่า “จากใจ” เมื่อเรามาเชื่อพระเจ้า  เราทำทุกอย่างจากใจ  เรารักคนรอบข้างจากใจ ใจข้างในที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่แล้ว  ใจที่เป็นความรัก  เป็นลักษณะชีวิตใหม่ที่พระเจ้าได้ประทานให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว ดังนั้น ทุกอย่างที่เราทำ หลังจากที่เราบังเกิดใหม่แล้ว เราทำในนามของพระเยซูคริสต์

            คำว่า “ในนามของพระเยซูคริสต์” แปลว่าไม่ได้ทำด้วยตัวเราเอง จริงหรือไม่จริง? ในพระคัมภีร์ อาจารย์เปาโลบอกว่าข้าพเจ้าไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป แต่พระคริสต์ต่างหากที่มีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า เพราะว่าข้าพเจ้าได้ถูกซื้อด้วยชีวิตของพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว

            ฉะนั้น ณ เวลานี้ พระเยซูคริสต์สถิตอยู่ในพวกเรา ไม่ว่าผู้เชื่อจะทำอะไรก็ตาม เราทำในนามของพระเยซูคริสต์ เราเป็นตัวแทนของพระองค์ เป็นทูตของพระองค์ที่จะออกไป ไม่ว่าเราทำอะไรก็ตาม เป็นทูตของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์ ฉะนั้น ให้เรารับรู้ความจริงตรงนี้ เมื่อเราทำอะไร เรานึกถึงการเป็นตัวแทนของพระเยซูคริสต์ เราต้องคิดใช่ไหม?

            “เอ๊ะ! ถ้าเราทำแบบนี้ พระเยซูโอเคไหม?  เหมือนกับเราเป็นลูกน้อง แล้วเจ้านายมอบอำนาจให้เราเป็นตัวแทนของเจ้านาย  ที่จะไปคุยเรื่องอะไรก็ได้  ที่ไปคุย เราระลึกอยู่เสมอว่าเราแค่เป็นตัวแทนของเจ้านายของเรา เจ้านายเขากำหนดมาแล้วว่ามันเป็นแบบนี้ เราก็ทำตามนี้ ไม่ใช่อยู่ดีๆ  เราเป็นทูตของเจ้านาย เจ้านายสั่งว่าให้อย่างนี้นะ พอไปถึง เราไม่เอาแล้ว ความคิดเจ้านายไม่โอเค เราเปลี่ยนดีกว่า ความคิดของเราดีกว่า  แล้วเราก็ทำตามความคิดของเรา ซึ่งถ้าทำแบบนั้น  เราก็ไม่ได้เป็นทูตของเจ้านาย เราเป็นตัวของเราเอง ที่ออกไปทำภารกิจตรงนั้น ซึ่งมันไม่ใช่  เราขอบคุณพระเจ้า ที่พระองค์ทรงสถิตอยู่ในเรา แล้วระลึกว่าทุกอย่างที่เราทำ พระเจ้าเป็นผู้นำเราอยู่

            ทีนี้ คนจะถามเราว่าอ้าวเวลาเราทำบาปล่ะ พระเจ้ายังนำเราอยู่ไหม?  พี่น้องว่าพระเจ้ายังนำเราอยู่ไหม?  พระเจ้านำนะ เพราะว่าพระเจ้าอยู่ในเรา  แต่พระเจ้านำแบบ …

            “ลูกเอ๋ย กลับมาเถอะๆ ลูกๆ ก้าวขาออกไปแล้ว  เดี๋ยวตกเหวนะ กลับมาเถอะๆ”

            ประมาณนั้นแหละ  คือเหตุที่มันเป็นอย่างนั้น เพราะพระเจ้าไม่บังคับเราไง พระเจ้าให้อิสระเราในการเลือก ที่จะตัดสินใจว่าเราจะเชื่อฟังพระวิญญาณ หรือเราจะเชื่อฟังเนื้อหนังที่ระบบของโลกใบนี้ส่งเข้ามาล่อลวงเราให้เดินตามมัน  เพราะว่าเรายังมีโปรแกรมหรือมีความเคยชินเก่าๆ ที่มันติดตัวเราอยู่ ความเคยชินตรงนี้ บางทีเราเผลอ เราก็ทำตามมัน แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น ให้เรารับรู้ความจริงว่าเราอยู่ได้ไม่นานหรอก นึกออกไหม? เพราะว่าธรรมชาติใหม่ของเรา เป็นเหมือนพระเจ้า บริสุทธิ์ สะอาด หมดจด ทำบาปไม่เป็น พอเราไปทำบาปปุ๊บ เราอยู่ได้ไม่นานหรอก ไม่มีใคร พอเป็นคริสเตียนแล้ว บังเกิดใหม่แล้ว ทำบาปไป ยิ้มไป  มีความสุขมากเลย ฉันทำบาปแล้ว อะไรแบบนี้  มันไม่มีทาง  เราจะรู้สึกทุกข์ ข้างในเราทุกข์

            เหมือนภาพที่เราแพ้อาหาร หรือแพ้อะไรบางอย่าง บางคนแพ้ฝุ่น พอเดินไปที่ฝุ่นเยอะๆ ก็จะเกิดอาการ ไม่สบายตัว บางทีก็ไอ บางทีก็จาม  บางทีก็อึดอัด หรือบางคนแพ้อาหาร กินอาหารที่มันผิดสำแดงปุ๊บ มาเลย ตัวคัน หรือตัวเป็นจ้ำ แล้วเราก็ต้องทำอะไร? หยุดไง หยุดกิน แล้วก็หาเครื่องป้องกัน พอหยุด มันยังคันอยู่ เราก็ต้องไปหายาแก้แพ้มากิน  เพื่อดักให้มันหายไป ภาพเดียวกัน

            เมื่อเราเข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ เราเป็นผู้ชอบธรรม เราสะอาดบริสุทธิ์  เราทำบาปไม่เป็น  ถ้าเราเผลอไปทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ตรงกันข้ามกับธรรมชาติใหม่ของเราปุ๊บ เราจะมีอาการทันที อาการแบบไม่ไหวแล้ว คัน เราแพ้ เราแพ้ความบาป  แล้วเราก็ต้องรีบกลับมาแก้ไข โดยวิธีหายากิน  ยาที่ดีที่สุด คือถ้อยคำพระเจ้าใช่ไหม? จะเป็นเกราะป้องกันภัยให้กับพวกเรา รับรู้ว่า …

            “ตอนนี้  ฉันเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้าแล้ว  ฉันเป็นความดี ฉันเป็นความรัก ฉันเป็นอะไรทั้งหลายที่พระเจ้าได้เปลี่ยนวิญญาณใหม่ให้กับฉันเรียบร้อยไปแล้ว”

            แล้วเราก็เริ่มฝึกฝน ลักษณะอย่างนี้แหละ ที่พระเจ้าฝึกฝนเรา …

            ฝึกฝนอันแรก คือที่จะปฏิเสธ คริสเตียนปฏิเสธคนไม่ค่อยเป็น ถ้าเราปฏิเสธ เหมือนเราไม่มีความรักหรือเปล่า? เราเหมือนถูกเอาอะไรครอบสมองไว้ว่าถ้าเราปฏิเสธ คนที่ถูกปฏิเสธ เขาก็จะว่าเรา อะไรเป็นคริสเตียน ทำไมถึงไม่มีความรัก เราก็ใช่ๆ เราเป็นคริสเตียน ทำไมเราไม่มีความรัก  เราปฏิเสธไม่ได้ เราต้องทำทุกอย่างที่เขาขอมา หรือเสนอมา ซึ่งมันไม่ใช่ เราต้องเรียนรู้ที่จะปฏิเสธเป็น ปฏิเสธว่าอันนี้โอเคไหม? ถ้าสมมติว่ามีคนมาขอความช่วยเหลือ จากเรา แล้วเราบวก ลบ คูณ หารแล้ว เราช่วยเขาได้ แล้วข้างในวิญญาณเราโอเคเลย เราเต็มใจช่วย พี่น้องทำไปเถอะ เพราะพระเจ้านำท่าน  แต่ถ้ามีคนมาขอความช่วยเหลือเรา ข้างในเราไม่โอเค อึดอัด เราปฏิเสธได้นะ …

            “ขอโทษนะคะ อันนี้มันเกินกำลังของเรา เราคงช่วยท่านไม่ได้ ไม่ได้จริงๆ”  อะไรแบบนี้

            ไม่ใช่ ใครขอ ไปหมด คนที่ตายคือใคร? คนที่ถูกขอ ไม่ใช่คนที่ขอ ทำให้ทุกอย่าง เพื่อเธอ มันไม่ใช่ มันเป็นไปไม่ได้

            ฉะนั้น เราสามารถที่จะปฏิเสธได้ แล้วการปฏิเสธไม่เกี่ยวอะไรกับว่าเราไม่มีความรัก เพราะว่าพระเจ้าให้สติปัญญากับเรา สามารถที่จะแยกแยะว่าอะไรโอเค อะไรไม่โอเค อะไรถูกต้อง อะไรไม่ถูกต้อง อะไรที่เราควรทำ อะไรที่เราไม่ควรทำ  ถ้าอะไรก็ตามที่ทำ แล้วมันหนักเกิน สำหรับเรา  เราปฏิเสธไปเลย ไม่ใช่เอาทุกเรื่อง ไม่ใช่ การปฏิเสธเป็นอันหนึ่งที่เราต้องเรียนรู้ ในขณะที่เรามาบังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้า พอบังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้าปุ๊บ ถูกบล๊อคเลย โลกใบนี้มันก็ส่งข้อมูลมาเลย …

            “เธอเป็นลูกพระเจ้าไง เธอบอกว่าเธอเป็นความรัก ใครขออะไร เธอต้องให้นะ ถ้ามีคนมาขอยืมเงินเธอ ขอมา 1 ล้าน  2 ล้าน 3 ล้าน เธอต้องให้นะ แม้แต่เธอไม่มีเงิน เธอก็ยังต้องไปกู้หนี้ ยืมสิน เพื่อสำแดงความรัก”

            พี่น้องว่าใช่ไหม?  มันไม่ใช่นะ อะไรที่ทำให้เราเดือดร้อน  ไม่ใช่แน่นอน ถ้าสมมติว่ามีคนมายืมเงินเรา  แล้วเรามีกำลังพอที่จะให้  กำลังพอนะ ไม่ใช่เกินกำลัง แล้วต้องคิดถึงตัวเองด้วย ไม่ใช่ให้หมดหน้าตักเลย แล้วตัวเองมาเดือดร้อน เอาเงินค่าเทอมลูก คนนี้มาขอ  สำแดงความรักของพระเจ้าหน่อย ให้ไปหมดเลย  แล้วพอจะจ่ายค่าเทอมลูก ไม่มีเงิน ทำอย่างไร? ก็ไปกู้หนี้ ยืมสิน อันนั้น ไม่ใช่เลยนะพี่น้อง ต้องรู้ว่าเราหลงกลของมารที่ส่งเข้ามา โดยใช้ความรักของพระเจ้า เพื่อที่จะมาบีบบังคับให้เราทำตามมัน ซึ่งมันไม่ใช่

            ฉะนั้น คริสเตียนควรจะมีสติสัมปรัชญะ มีการแยกแยะผิดถูก มีการรับรู้ว่าอันนี้ได้ อันนี้ไม่ได้  ไม่ได้ ก็คือไม่ได้ ไม่ได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าเราไม่มีความรัก

            ความรักหลายๆ ครั้ง คือต้องไม่ยอมมัน  เพื่อว่าเราจะได้สำแดงให้เขารู้ว่าอันนี้ไม่โอเคนะ สมมติว่ามีคนที่วันๆ งานการไม่ทำ แล้วก็ขอเงินเราอย่างเดียว  ปฏิเสธไปเลย ถ้อยคำพระเจ้าบอกคนไม่ทำงาน ไม่ต้องให้กิน  แล้วพอบอกไม่ให้กิน เราไม่มีความรักหรือเรามีความรักมากเลย เพื่อฝึกฝนเขา เพื่อให้เขาเรียนรู้ที่จะไปทำงานด้วยมือของเขาเอง

            นั่นคือภาพทั้งหมด มันเป็นเรื่องที่เล็กๆ น้อยๆ บางครั้งเราก็ถูกหลอกให้ทำให้ตัวเองเดือดร้อน เพราะคำว่าเป็นคริสเตียน ทำไมถึงไม่มีความรัก  ให้รับรู้ความจริงอันหนึ่ง ก็คือวิญญาณของเรา เป็นวิญญาณแห่งความรัก  เรารักเรียบร้อยไปแล้ว เรามีความรักแบบเหมือนพระเจ้าเลย แต่ในขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ บางครั้งเราก็ไม่มีความรักจริงๆ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพฤติกรรมอะไรทั้งหมด  หรือการตัดสินใจทั้งหมด  บางทีเราไม่มีความรักจริงๆ  บางทีเราใจดำด้วย ใจดำกับสิ่งที่ไม่ควรใจดำด้วย มีโอกาสเป็นใช่ไหม? แต่ว่าไม่เป็นไร เพราะว่าไม่ว่าเราจะทำอย่างไร พระเจ้าก็ยังรักเราเหมือนเดิม แต่ว่าถ้าเราใจดำมากๆ  พระเจ้าก็จะสอนเรา  พระองค์ก็จะฝึกฝนเรา …

            “ลูกเอ๋ย อย่าใจดำขนาดนั้นเลย เรียนรู้ที่จะให้ออกไปบ้างนะ อย่าขี้เหนียวขนาดนั้นเลย สลึงหนึ่งไม่ให้กระเด็น” … นั่นก็เยอะไป

            ฉะนั้น ขอพระเจ้าประทานสติปัญญาให้กับพวกเรา ที่พวกเราจะสามารถรับรู้ความจริงในถ้อยคำของพระเจ้าว่าวิญญาณเราได้เป็นอิสระแล้ว แต่ขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ พระเจ้าให้เราทำทุกอย่าง อะไรที่ดี ก็ทำ อะไรที่ไม่ดี ก็ไม่ต้องทำ ก็แค่นั้นเอง ในข้อที่ 7 และข้อที่ 8 …

        เอเฟซัส 6:7-8 “7 จงรับใช้ด้วยความเต็มใจราวกับกำลังรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ใช่มนุษย์ 8 เพราะท่านรู้ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้า   จะทรงปูนบำเหน็จความดี ความชอบแก่ทุกคนที่ทำดี ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นทาสหรือเป็นไท”

            อันนี้เป็นผล ไม่เกี่ยวกับวิญญาณเลย  เป็นผลที่เราทำบนโลกใบนี้  อย่างที่บอกอะไรที่คิดว่าดี ก็ให้ทำ อะไรที่คิดว่าไม่ดีก็ไม่ต้องทำ

            ในนี้บอกว่า “พระเจ้าจะเป็นผู้ปูนบำเหน็จความดี ความชอบแก่ทุกคนที่ทำดี” ปกติมันก็เป็นกฎที่พระเจ้าตั้งไว้อยู่แล้ว เรียกว่าอาจจะดีในสายตาของพระเจ้า แต่อาจจะไม่ดีในสายตาของเรา ก็ได้ นึกภาพออกไหม?  เราอย่าคาดหวังว่าเราทำดีกับคนนี้ แล้วคนนี้ต้องทำดีตอบเรา อย่าไปคาดหวังอย่างนั้น ถ้าเราจะทำดีให้กับใคร? อันแรกเลยในพระคัมภีร์บอก ก็คือให้ทำเสมือนหนึ่งทำให้พระเจ้า แล้วจบตรงนั้นเลยนะ  ไม่ต้องมานั่งคิดว่าเขาต้องมาตอบแทนเรา  หรือพระเจ้าต้องมาตอบแทนเรา ไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย

            ฉะนั้น ภาพของการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ พระเจ้าก็จะค่อยๆ สอนเรา ถ้าเราประพฤติ ปฏิบัติตาม เลียนแบบที่พระเจ้าบอกเรา ให้เราเลียนแบบพระเจ้าพ่อของเรา เราก็จะทุกข์น้อยลง มีความสุขมากขึ้น คำว่า “ทุกข์น้อยลง” ยังทุกข์อยู่ไหม?  ทุกข์อยู่นะ พระเจ้าไม่ได้สัญญาว่าพอเราทำอย่างนี้ เราจะสุขตลอดชีวิต ไม่มีความทุกข์ ไม่ใช่นะ เราจะทุกข์น้อยลง เราจะสุขมากขึ้น นี่คือความจริงในขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ พระเจ้าอวยพรค่ะ

*********************

จากศิษยาภิบาล

            พระเจ้าทั้งสัญญา และสาบานด้วยตัวของพระองค์เอง … ถึงขนาดนี้! ท่านจะเชื่อและวางใจในพระองค์หรือไม่?

            ฮีบรู 6:18-19 … “18 ดังนั้น พระเจ้าได้ประทานให้เรา ทั้งจากคำสัญญาและคำสาบาน ที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง เพราะเป็นไปไม่ได้ ที่พระเจ้าจะพูดโกหก 19 ด้วยเหตุนี้ พวกเรา ที่ได้หนีมาพึ่งในพระองค์   จึงมีกำลัง และมีกำลังใจอย่างเข้มแข็ง ที่จะยึดมั่นในความหวัง  ที่อยู่เบื้องหน้าเรา ความหวังและความมั่นใจของเรานี้ เป็นเหมือนสมอเรือ  ที่มั่นคงและติดแน่น ในความคิดจิตใจ และความหวังนี้  ได้นำพาเรา เข้าไปสู่ หลังม่านสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในสวรรค์ คืออภิสุทธิสถาน ซึ่งเป็นสถานที่ทรงสถิตของพระเจ้า”

            ถ้าเราหยั่งรากของหลัก  คือสมอของความคิดจิตใจ   ลงไปในความหวังอันแท้จริง    ที่พระเจ้าสัญญา และสาบานไว้ คือความรอดจากความพินาศจากการถูกพิพากษาลงโทษ เนื่องจากบาปหลังความตาย

            การได้อยู่ในสวรรคสถานกับพระองค์ การบังเกิดใหม่เป็นลูกของพระองค์ การได้อยู่ที่เบื้องขวาของพระองค์   ในสวรรคสถานเรียบร้อยแล้ว และจะอยู่อย่างนี้ตลอดไป

            พระเจ้าสถิตอยู่กับเราแล้ว   และจะอยู่ตลอดไป พระองค์ไม่เคยทอดทิ้งเราเลย เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว   ความคิดจิตใจของเรา   ก็จะมั่นคง    ไม่หวั่นไหวโคลงเคลง แม้ว่าจะต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก  นานัปการในการดำเนินชีวิตบนโลกนี้

            ฮีบรู 10:17 … “พระเจ้าได้สัญญาและสาบานว่า … “บาปและการอธรรมของพวกเขา เราจะไม่จดจำอีกต่อไป”

            สดุดี 103:12 … “พระเจ้าได้สัญญาและสาบานว่า … “ตะวันออกไกลจากตะวันตกเพียงใด   พระองค์ก็ทรงยกเอาการล่วงละเมิดของเรา  ออกไปไกลเพียงนั้น”

            โรม 4:8 … “พระเจ้าได้สัญญาและสาบานว่า … “ความสุขมีแก่ผู้ที่องค์พระผู้เป็นเจ้า  จะไม่ถือโทษบาปของเขาอีก”

            ตอนที่พระเยซู  สิ้นพระชนม์บนไม้การเขน  พระองค์ได้ตรัสว่า  “สำเร็จแล้ว”  คำสัญญาและสาบานของพระเจ้าได้ถูกทำให้สำเร็จแล้วนั่นเอง