คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 10 กันยายน 2023
เรื่อง “มนุษย์ได้เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าตรีเอกานุภาพแล้ว” ตอน 1
โดย นคร เวชสุภาพร
วันนี้เราจะมาเรียนเรื่อง “มนุษย์ได้เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าตรีเอกานุภาพแล้ว” ท่านเชื่อหรือไม่? เรานั่งอยู่ที่นี่ เราเชื่อนะ แต่เราลองคิดดูสิ มนุษย์เราเชื่อไหมว่านี่เรื่องจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คำว่า “แล้ว” ยิ่งทำให้เกิดความสงสัย แคลงใจ แล้วก็ไม่ค่อยอยากจะเชื่อว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆ อะไรนะ มนุษย์ได้เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า ตรีเอกานุภาพแล้ว ได้เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์แล้ว ก็หมายถึงมนุษยชาติตอนนี้ทั้งหมด ได้เข้าไปอยู่ในตรีเอกานุภาพของพระเจ้าแล้ว ถึงถามว่าท่านรู้หรือไม่? เพราะมันเป็นความจริงที่เกิดขึ้นแล้ว เขาถึงใช้คำนี้ …
“ท่านรู้หรือไม่?”
และนี่คือภารกิจหลักของพระเยซูคริสต์คือการช่วยเหลือมวลมนุษยชาติ ให้พร้อมเข้าสู่การเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตรพระเยซู พระเจ้าพระวิญญาณ พระเจ้าตรีเอกานุภาพ แล้วทำไมเป็นภารกิจของพระเยซูคริสต์ที่ต้องกระทำบนโลกนี้ ก็เพราะว่ามนุษย์กำลังอยู่ในที่ๆ ไม่ใช่ตรงนี้ คือไม่ได้เข้ากันกับพระเจ้าตรีเอกานุภาพ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ไม่ได้เข้าอยู่ เรียกว่าตายจากพระเจ้าไป เริ่มต้นมนุษย์อยู่กับพระเจ้า แต่ตอนนี้ มนุษย์ได้หลุดออกจากพระสิริของพระเจ้า เรียกว่าพินาศ ตายในวิญญาณ ไม่มีพระเจ้าอยู่ในชีวิตของเขานั่นเอง จึงเป็นภาระของพระเจ้าพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ มาช่วยเหลือมนุษย์ให้รอดพ้นจากความพินาศนี้ แล้วความพินาศนี้ ส่งผลอย่างไร? ก็คือความตายในฝ่ายวิญญาณ และถ้าไม่มีใครมาช่วย เกิดอะไรขึ้น ความตายฝ่ายวิญญาณนี้ ร่างกายสิ้นสุดลง ที่ร่างกายตาย วิญญาณก็ไม่มีพระเจ้าอยู่ ก็ไปอยู่ในโลกวิญญาณ ที่ไม่มีร่างกายเรียกว่าวิญญาณพเนจร ไม่มีพระเจ้าอยู่ พระเจ้าเป็นเจ้าของสวรรค์ พระเจ้าอยู่ในสวรรค์ ก็ไปอยู่ในที่ที่ไม่มีพระเจ้า และอยู่ถึงเมื่อไร? วิญญาณไม่มีการสูญสิ้น ก็อยู่ตลอดไป อยู่โดยไม่มีพระเจ้า และไม่มีร่างกาย ร่างกายลงไปสู่ดิน สูญสิ้นไปแล้ว วิญญาณเร่ร่อน พระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และเป็นขึ้นจากความตายในวันที่ 3 เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว พระองค์คือพระเมสิยาห์ หรือแปลว่าพระคริสต์ ภาษากรีก หรือแปลภาษาไทยว่าพระผู้ช่วยให้รอด
รอดจากความพินาศที่ตะกี้นี้ผมบอก มันสำคัญมาก มันอันตรายมาก มันน่าหวาดเสียว น่ากลัวมากๆ เลย สำหรับถ้อยคำพระเจ้าที่พูดถึงวิญญาณ เกี่ยวกับความพินาศของมนุษย์ ถ้าไม่มีใครมาช่วย เป็นอย่างไร? เรานึกว่าตายแล้ว สูญสิ้นกัน มันไม่ใช่ ถ้าตายแล้วสูญสิ้นกัน ไม่ยาก มนุษย์ต้องพยายามแสวงหาสวรรค์ เพราะมนุษย์รู้ลึกๆ ข้างในใจของตัวเองว่าตายแล้ว มันไม่สูญสิ้น ตายแล้วมันต้องไปที่ไหนสักแห่ง แล้วรู้ว่าไม่ได้ไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรคสถาน ทั้งๆ ที่รู้ว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุด อยู่เพียงผู้เดียว คือพระเจ้า แต่ไม่รู้จะทำอย่างไรถึงจะไปหาพระองค์ได้ พระเยซูจึงเป็นผู้ที่พระเจ้า ทรงกำหนดแต่งตั้งไว้ การแต่งตั้ง ถึงเรียกว่าพระคริสต์
พระคริสต์ หมายถึงพระเจ้าทรงแต่งตั้งบุคคลนี้ไว้ พระเมสิยาห์ แปลว่าพระคริสต์ พระเมสิยาห์ แปลว่าผู้ที่พระเจ้าเลือกสรรเอาไว้แต่งตั้ง กำหนดภารกิจหน้าที่นี้ไว้ เพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอด ตามสัญญาที่ให้ไว้กับบรรพบุรุษของมนุษย์ตั้งแต่โบราณมา ตั้งแต่สมัยอดีต หลายยุคหลายสมัย หลายพันปีมาแล้วว่าจะประทานพระบุตรของพระองค์มาเกิดเป็นมนุษย์ ประทานเด็กคนหนึ่งมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ให้หลุดรอดพ้นจากความพินาศ จากการถูกลงโทษ จากความบาป ความตายนี้แหละ คือเนื่องจากความพินาศนิรันดร์ให้มนุษย์กลับมาคืนดีกับพระเจ้า กลับเข้ามาอยู่ในสวรรค์ เรากับพระเจ้า ตามหัวข้อเรื่องบอกไว้วันนี้ พระเยซูจึงมารับภาระตรงนี้ สำคัญมากอย่างเดียวเลย
ในหนังสือโคโลสี 1:25-27 ได้บอกว่าสิ่งเหล่านี้เป็นแผนการอันลึกลับ อันล้ำลึก ที่พระเจ้าวางไว้หลายๆ พันปี ตั้งแต่เริ่มต้นที่มนุษย์ตกลงไปในคำสาปแช่ง ถูกหลอกให้หลุดออกจากพระสิริของพระเจ้าไป ตกอยู่ในความพินาศ โคโลสี 1:25-27 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …
โคโลสี 1:25-27 “25 ข้าพเจ้ามาเป็นผู้รับใช้ของคริสตจักร (ธรรมมิกชนผู้เชื่อ) ตามภารกิจที่พระเจ้าได้ทรงมอบหมายให้ข้าพเจ้าทำในหมู่พวกท่าน (ชนต่างชาติที่ไม่ใช่ชาวยิว) คือการให้พระวจนะของพระเจ้า (ข่าวดีของพระเยซูคริสต์) ประจักษ์แจ้งอย่างสมบูรณ์ 26 พระวจนะนี้ คือข้อล้ำลึก ซึ่งถูกปิดบังไว้ (จากเหล่าทูตสวรรค์และมวลมนุษย์) ตลอดหลายยุค หลายชั่วอายุ แต่บัดนี้ ทรงสำแดงแก่พวกธรรมมิกชนของพระองค์แล้ว 27 พระเจ้าทรงประสงค์ที่จะให้พวกเขารู้ว่าความมั่งคั่งยิ่งใหญ่แห่งเกียรติสิริของความล้ำลึกนี้ ในหมู่คนต่างชาตินั้นคืออะไร? คือพระคริสต์สถิตในท่านเป็นความหวังแห่งเกียรติสิริ (ที่จะได้รับเกียรติสิริร่วมกับพระเยซูคริสต์)”
“ข้าพเจ้า” หมายถึงอัครทูตเปาโลที่เป็นคนยิว ที่เคร่งศาสนายิว รู้จักบัญญัติยิวดี ศึกษา เรื่องพันธสัญญาของพระเจ้าที่สัญญาไว้ รู้เรื่องพระเมสิยาห์ดี “ข้าพเจ้ามาเป็นผู้รับใช้ของคริสตจักร” คริสตจักร หมายถึงธรรมิกชน ผู้เชื่อทั้งหลาย ที่พระเจ้าทรงมอบหมายให้ข้าพเจ้าทำ ในหมู่พวกท่าน … “หมู่พวกท่าน” คืออาจารย์เปาโลเป็นอัครทูตของพระเจ้า ที่พระเจ้าพระเยซูคริสต์ได้ใช้มาประกาศข่าวดีเรื่องความรอดในพระเยซูคริสต์ ให้กับคนที่ไม่ใช่ยิว ทั้งโลกเลย รวมถึงเราด้วย คนที่ไม่ใช่ยิวทั้งโลกเลย คือการให้พระวจนะของพระเจ้า พระวจนะของพระเจ้าตรงนี้หมายถึงถ้อยคำของพระเจ้า ที่พูดถึงเรื่องข่าวดีของพระเยซูคริสต์ว่าพระองค์มาทำอะไรบนโลกนี้ พระองค์คือพระมาซีฮาห์ มาบนโลกใบนี้อย่างไร? นี่คือพระวจนะ คือถ้อยคำของพระเจ้า ถ้อยคำพระเจ้าที่สัญญาให้กับมนุษย์ว่าเราจะส่งบุตรของเรามาช่วย เราจะส่งเด็กของเราคนหนึ่งมาเกิดในท่ามกลางมนุษย์ทั้งหลาย เพื่อช่วยพวกเจ้าให้รอด นี่คือพระวจนะ คือถ้อยคำ
พระวจนะนี้ ก็คือข่าวดีของพระเยซูคริสต์อันนี้ เป็นข้อล้ำลึก เป็นเรื่องลี้ลับ มีแต่คนรู้ระแคะระคายว่าพระเจ้าบอกไว้อย่างนี้ๆ แต่ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร? จะมาเมื่อไร? เป็นเด็กคนนี้ใช่หรือเปล่า? รอตั้งแต่เด็กคนแรกของโลก ตั้งแต่อาดัมกับเอวามีลูกคนแรก คือคาอินกับอาแบล แล้วก็รอ น่าจะใช่คนนี้ รอลูกชายที่จะเกิดมา แล้วก็รอกันมาตลอด ใช่ คนนี้แน่เลย พอโมเสสเกิด สงสัยคนนี้แน่ ไม่ใช่ ตายแล้ว ก็ตายเลย ไม่เห็นเกิดใหม่ตามที่พระคัมภีร์สัญญาไว้ในสมัยโบราณ ที่เขาบอกกันมาว่าเด็กคนนี้จะมาช่วย ก็ตายเหมือนกับเราทั้งหลาย แล้วจะช่วยเราได้อย่างไร? กษัตริย์ดาวิดมา มีความยิ่งใหญ่ สร้างอาณาจักรบนโลกใบนี้ สงสัยคนนี้แน่เลย ก็ไม่ใช่ ตายแล้วก็ตายเลย ไม่ได้บังเกิดใหม่ จนกระทั่งพระเยซูมาเกิด พระเมสิยาห์มาเกิด บางคนก็บอกใช่แน่ๆ ใช่จริงๆ บางคนก็บอกก็เหมือนกับที่แล้วๆ มา คนโน้นคนนี้มาเกิด แล้วก็ตาย แล้วอ้างว่าเป็นพระเมสิยาห์ ไม่ใช่หรอก นี่มันเป็นอย่างนั้น
เพราะฉะนั้น พระวจนะ คือข่าวประเสริฐเรื่องพระเยซูคริสต์เป็นข้อล้ำลึกที่ถูกปิดบังไว้จากเหล่าทูตสวรรค์และมวลมนุษย์ทั้งหลาย ตั้งแต่อดีตมา อย่างที่บอก สงสัยจะคนนี้มั้ง โธ่เอ๋ย พระคัมภีร์บอกว่าแม้ทูตสวรรค์ยังไม่รู้เลยว่าเป็นคนไหน? เป็นอย่างไร? ยกเว้นว่าพระเจ้าจะบอกใบ้ให้ แค่นั้นเอง เพราะเป็นความลับที่พระองค์ทรง เก็บซ่อนเอาไว้ ตลอดหลายชั่วอายุ แต่บัดนี้ ทรงสำแดงแก่ธรรมิกชนของพระองค์แล้ว
“บัดนี้” คือเมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว สำแดงแล้ว ก็คือพระเยซูคริสต์ พระเมสิยาห์ที่สัญญาไว้ว่าจะมาเกิด มาช่วยเหลือมนุษย์ ให้มนุษย์ได้เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า ตรีเอกานุภาพได้แล้ว พอเกิดจริงๆ แล้ว สำแดงออกมาแล้ว โดยตัวของพระองค์เองเลย คือโดยพระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ เดินอยู่บนโลกใบนี้ 33 ปี และ 3 ปีหลังประกาศสิ่งนี้เลยว่าพระองค์ คือผู้นั้นแหละ ที่พระเจ้าสัญญาไว้ ที่มวลมนุษยชาติได้รอคอย มาแล้วจริงๆ และได้สำแดงอัศจรรย์อีกหลายๆ อย่าง แล้วก็สอนเยอะแยะ หลายๆ อย่าง พระองค์เองมาเป็นผู้ประกาศตรงนี้แหละ สำแดงแก่ธรรมิกชน 2,000 ปีมาแล้ว
พระเจ้าทรงประสงค์ที่จะให้เขารู้ว่าความมั่งคั่งยิ่งใหญ่ แห่งเกียรติสิริและความล้ำลึกของแผนการนี้ ในหมู่คนต่างชาตินั้น คืออะไร? พระเจ้าประสงค์ ก็คือพระเจ้าต้องการให้พวกเขา … พวกเขา คือชาวยิว ที่รู้ลึกซึ้งเรื่องนี้มาตั้งแต่สมัยอาดัมแล้ว เขาติดตามเรื่องนี้มาตลอด ไม่เหมือนเราที่ไม่ใช่ชาวยิว เราไม่รู้เรื่องเลย บรรพบุรุษของเรา ที่เป็นชาวอะไรก็ตาม ที่ไม่ใช่ชาวยิว ไม่รู้เรื่องพันธสัญญาที่พระเจ้าสัญญาว่าจะส่งเด็กมา อาจจะได้ยินระแคะระคายแว่วๆ มา แต่ไม่ละเอียด เหมือนกับชาวยิวเขา พระเจ้าทรงประสงค์ที่จะให้ชาวยิวได้รู้ว่าอย่าคิดเองว่าฉันเลือก แต่เฉพาะชาวยิวเท่านั้น ชาวยิวเขาไม่รู้เรื่อง อย่างที่บอก เป็นความล้ำลึก เป็นแผนการของพระเจ้าที่ซ่อนไว้ว่าจะช่วยคนทั้งโลกเลย ไม่ใช่ช่วยเฉพาะชาวยิวเท่านั้น อย่าเข้าใจผิด สำแดงให้เลยว่าช่วยคนทั้งโลก คือชาวที่ไม่ใช่ยิวด้วย ก็คือมนุษย์ทั้งหมดบนโลกใบนี้
เลือกมนุษย์ทั้งหมดบนโลกใบนี้ ให้เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ในพระคริสต์นั่นเอง ซึ่งตรงนี้ ก็คือความล้ำลึกในหมู่คนต่างชาติ ก็คือแผนการอันล้ำลึกที่ถูกซ่อนไว้ในพระเจ้า ที่ไม่มีใครรู้เลย แผนการนี้ คือสำหรับมนุษย์ทั้งหลายบนโลกใบนี้ ที่เรียกว่าคนต่างชาติ นั่นคือพระคริสต์สถิตในท่าน เป็นความหวังแห่งเกียรติสิริ ที่ท่านจะได้รับเกียรติสิริร่วมกับพระเยซูคริสต์ ก็คือเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ เมื่อเราพูดถึงพระเจ้าพระเยซูคริสต์ … พระเยซูคริสต์ที่เต็มด้วยสง่าราศี บังเกิดใหม่ เป็นขึ้นจากความตาย เราเข้าไปมีส่วนร่วมในพระสิริ ในพระเกียรติ ในความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ผ่านทางพระเยซูคริสต์ด้วยเช่นเดียวกัน
นี่คือความหวังอันเลิศประเสริฐศรีของมนุษยชาติ ทั้งโลกเลย เมื่อใครก็ตามได้เข้ามาอยู่ในพรคริสต์ คือพระคริสต์สถิตอยู่ในเขาคนนั้นทันที เป็นความหวังแห่งเกียรติสิริ ที่เขาจะได้รับเกียรติสิรินี้ ร่วมกับพระเยซูคริสต์ตั้งแต่บัดนี้ เดี๋ยวนี้ ขณะที่มีลมหายใจอยู่บนโลกนี้ ขณะที่กำลังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้ เมื่อเขาใช้สิทธิของเขา ในพระเยซูคริสต์ เขาเชื่อในข่าวดีนี้ ทันทีทันใด เขาเข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์ … พระเยซูคริสต์ก็มาสถิตอยู่กับเขา เป็นหนึ่งเดียวกันเลย เริ่มต้นทันที แล้วเขาก็จะเริ่มต้นชีวิตด้วยพระสิรินี้ไปกับพระองค์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ บนโลกใบนี้ ไปจนกระทั่งถึงโลกหน้า หลังความตาย วิญญาณเขาก็จะเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ และเขาจะได้รับร่างกายใหม่ มาแทนที่ร่างกายที่ต้องตาย และสูญสิ้นไปนั้น เขาจะได้รับร่างกายใหม่ ที่พระเจ้าสัญญาไว้ เป็นร่างกายที่เรียกว่าร่างกายสวรรค์ ร่างกายฝ่ายวิญญาณ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลย เต็มด้วยสง่าราศี สิริเหมือนพระเยซูคริสต์ และจะร่วมครอบครองอยู่ในสวรรค์ อยู่ในโลกใหม่ที่พระเจ้าสร้างขึ้นแทนที่โลกเดิมที่จะสูญสิ้นไป ชั่วนิรันดร์กับพระองค์ เอเมน
พระเยซูคริสต์ ก็คือพระเมสิยาห์ เป็นผู้ช่วยให้รอด ซึ่งมวลมนุษย์ที่เฝ้ารอคอยมาเป็นเวลานานนั้น ได้พบได้เห็น และพระองค์ได้เสด็จมาเรียบร้อยแล้ว เมื่อ 2,000 ปีก่อนนี้ เรารู้แล้ว และข้อสำคัญ ก็คือ 2,000 ปีก่อนนี้ ที่พระองค์เสด็จมา พระองค์ได้ทำการงานของพระบิดา ที่กำหนดไว้ สำเร็จเรียบร้อยแล้ว บนไม้กางเขนนั้น ก็คือการไถ่บาป ให้กับมวลมนุษย์ ทำให้มนุษย์ได้เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าตรีเอกานุภาพแล้ว
มนุษย์ได้เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า ตรีเอกานุภาพแล้ว โดยการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน และการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ท่านเชื่อหรือไม่? ท่านรู้หรือไม่? นี่คือถามมนุษย์ทั้งหลายบนโลกใบนี้ ท่านที่นั่งอยู่ที่นี่ เรารู้แล้ว เราขอบคุณพระเจ้าที่เรารู้จริงๆ เลย เราจึงตัดสินใจต้อนรับข่าวประเสริฐนี้
ข้อล้ำลึกที่ถูกปิดบังไว้ ได้ถูกเปิดเผยมา 2,000 ปีแล้ว แผนการลับของพระเจ้า ที่จะช่วยเหลือทั้งชาวยิวและไม่ใช่ยิว คือมนุษย์ทั้งหลายบนโลกใบนี้ ให้ได้เข้ามาอยู่ในสวรรค์ทันทีบนโลกใบนี้เลย ในขณะที่กำลังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้เลย ให้เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ พระเจ้าตรีเอกานุภาพ ได้นั้น มันได้ถูกเปิดเผยตั้งแต่วันแรกที่พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย เมื่อ 2,000 ปีที่แล้วแล้ว
มนุษย์ทั้งปวง คนใดคนหนึ่ง ที่ได้ยินข่าวดีนี้ ตัดสินใจใช้สิทธิของตน เปิดใจต้อนรับสิทธิของเขา แล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะเสด็จเข้ามา ทำขบวนการการบังเกิดใหม่ ในร่างกายในวิญญาณของเขา ทำให้เขาบริสุทธิ์ สะอาด ดีพร้อม แล้วพระเจ้า พระบิดา พระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์ ทั้ง 3 พระภาค ก็จะเสด็จเข้ามาอาศัยอยู่ในร่างกายนั้นทันที ขณะดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ไม่ต้องรอตาย แล้วค่อยพิสูจน์ ทันที เดี๋ยวนี้เลย ท่านก็จะเดินกับพระเยซูคริสต์ และพระเจ้า 3 พระภาค ไปด้วยกันบนโลกใบนี้ทันที และไม่ใช่โลกนี้อย่างเดียว อย่างที่ตะกี้นี้บอก ไปถึงโลกหน้านิรันดร์เลย เอเมน
ดูตอนพระเยซูเดินอยู่บนโลกใบนี้ 3 ปี เป้าหมายของพระองค์ ก็คืออันนี้แหละ ที่พระองค์ทรงถูกพระเจ้าส่งมาทำ ก่อนที่จะถูกตรึงที่ไม้กางเขน ทำให้สำเร็จนั้น ไม่กี่ชั่วโมง พระองค์อธิษฐานตรงนี้ ยอห์น 17:20 …
ยอห์น 17:20 “แต่ลูกไม่ได้อธิษฐานให้คนพวกนี้ (คืออัครสาวกตอนเริ่มต้น 12 คน) เท่านั้น ลูกยังอธิษฐานให้คนที่จะเชื่อในตัวลูก โดยผ่านทางคำประกาศของพวกเขาด้วย”
“ลูกไม่ได้อธิษฐานให้กับคนพวกนี้” คนพวกนี้ คือสาวก 12 คนที่เดินติดตามพระองค์ อัครสาวก 12 คน ตอนก่อนที่จะถูกตรึงที่ไม้กางเขน “ลูกไม่ได้แค่อธิษฐานให้ 12 คนนี้เท่านั้น แต่ลูกยังอธิษฐานให้กับคนที่จะเชื่อในตัวลูก” ลูก คือพระเยซูคริสต์ คนที่จะเชื่อในคำพูดของพระเยซูคริสต์ว่าใครจะเข้าสวรรค์ได้ ใครจะผ่านไปหาพระบิดาได้ มีทางเดียวเท่านั้น คือต้องเชื่อและผ่านทางเราเท่านั้น ไม่ใช่ความประพฤติ ไม่ใช่การกระทำดี รักษาบทบัญญัติ รักษาศีลธรรม ไม่ใช่ วางใจในเราเท่านั้น โดยผ่านทางคำประกาศ คำสอนของพวกเขา ก็คือข่าวดีที่ประกาศกันต่อๆ มานั่นเอง
พูดง่ายๆ ก็คือมนุษย์คนใดก็ได้ที่เชื่อในข่าวดีนี้ ประกาศกันมา 2,000 ปีแล้ว พระเยซูกำลังบอก มนุษย์คนใด ก็ได้ที่เชื่อในข่าวดี ที่ได้ยิน เหมือนเราทั้งหลายที่นั่งอยู่ที่นี่ ส่วนใหญ่ในที่นี้ ก็ได้ยินข่าวดีนี้ แล้วก็เชื่อในข่าวดีนี้ เปิดใจต้อนรับสิทธิในข่าวดีนี้ เราก็ได้รับสิ่งนี้ สิ่งนี้ คือยอห์น 17:21 ข้อต่อมา …
ยอห์น 17:21 “ลูกขอให้พวกเขาทั้งหมด เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เหมือนกับพระองค์ พระบิดาอยู่ในตัวลูก และลูกอยู่ในพระองค์ ขอให้พวกเขาอยู่ในพวกเราด้วย เพื่อโลกจะได้เชื่อว่าพระองค์ส่งลูกมา”
“ลูกขอให้พวกเขาทั้งหมด” เขาทั้งหมด คือพวกชาวยิว และพวกที่เชื่อในคำประกาศข่าวดีของชาวยิวมาถึง 2,000 ปีแล้ว คริสเตียนทั้งหลาย ทั้งชาวยิวและไม่ใช่ยิว ขอให้เขาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ก็คือให้เขารวมกันเป็นหนึ่งเดียวกัน ในพระคริสต์ วิญญาณของเขา สะอาด บริสุทธิ์ อยู่ในพระคริสต์เหมือนๆ กัน ไม่ว่าจะเป็นชาวยิวหรือไม่ใช่ยิว ไม่ว่าจะเป็นคนไทย หรือคนจีน คนอเมริกัน หรือเอสกิโมอยู่ทางขั้วโลกเหนือ ขั้วโลกใต้ เมื่อเชื่อในข่าวดี ในพระเยซูคริสต์แล้ว รวมเป็นหนึ่งเดียวกันในวิญญาณ ซึ่งเขาจะไปครอบครองอยู่ในสวรรค์ร่วมกัน เป็นครอบครัวของพระเจ้าร่วมกัน เป็นพี่น้องกันนั่นเอง
“เป็นหนึ่งเดียวกัน เหมือนกับพระองค์ พระบิดาอยู่ในตัวลูก” พระเจ้าพระบิดา อยู่ในพระเยซูคริสต์ และลูกอยู่ในพระองค์ ลูกก็อยู่ในพระบิดา เป็นหนึ่งเดียวกันอยู่แล้ว เห็นไหม? เราทั้งหลายผู้เชื่อ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม เป็นหนึ่งเดียวกัน เหมือนกันกับพระเจ้ากับพระบุตร พระเยซูคริสต์เป็นหนึ่งเดียวกัน และลูกอยู่ในพระองค์ ขอให้พวกเขา ขอให้ผู้เชื่อทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นชาวยิวหรือไม่ยิวก็ตาม ขอให้พวกเขาอยู่ในพวกเราด้วย
พวกเรา ก็หมายถึงพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็คือพระเจ้าตรีเอกานุภาพ อย่างที่เราคุ้นหูกัน ยิ่งใหญ่สูงสุดแล้ว พวกเขาผู้เชื่อทั้งหลายทั้งหมด เข้าไปอยู่ในตรีเอกานุภาพ หมายถึงการเข้าส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับตรีเอกานุภาพ เป็นหนึ่งเดียวกันเลย ทันที บนโลกใบนี้เลย แล้วจะเป็นอย่างนี้ ไปจนถึงนิรันดร์ จึงใช้หัวข้อเรื่องนี้แหละ มนุษย์ได้เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าตรีเอกานุภาพแล้ว
เพราะฉะนั้น เป้าหมายของการประกาศข่าวดีของพระเยซู ก็คือเวลาพระองค์จะพูด จะสอน จะประกาศ เป้าหมายเดียวของพระองค์ ก็คือการได้เป็นหนึ่งเดียวกันทางวิญญาณกับตรีเอกานุภาพ ท่านจะได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา … “เรา” หมายถึงพระเยซูคริสต์ นี่คือหัวกะทิสำคัญของข่าวดี ประกาศตั้งแต่พระเยซูประกาศเอง 3 ปีก่อนที่จะถูกตรึง ก่อนที่จะทำให้สำเร็จ และเมื่อทำสำเร็จแล้ว ก็ให้สาวกประกาศกันต่อๆ มา จนถึงเราทุกวันนี้ 2,000 ปีแล้ว
เราจึงเห็นได้ชัดเจนว่าพระองค์ประกาศ ตอนเดินอยู่บนโลกใบนี้ ยกคำอุปมา ตัวอย่าง ชี้ให้เห็นโลกวิญญาณ ให้เข้าใจได้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ เพราะรู้ว่ามนุษย์ไม่สามารถที่จะรับรู้และเข้าใจในโลกฝ่ายวิญญาณได้ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในขณะที่พระองค์เดินอยู่บนโลกใบนี้นั้น ยังทำการงานนี้ไม่สำเร็จ ยังไม่ได้สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน มนุษย์ตกอยู่ในความตาย ไม่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในตัว จึงไม่สามารถเข้าใจโลกฝ่ายวิญญาณได้ พระองค์จึงพยายามยกอุปมา ยกตัวอย่างอะไรต่างๆ เพื่อชี้ให้เห็นเป้าหมายเดียว คือการที่จะได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้านั่นเอง การเข้ามาสู่ความเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า ตรีเอกานุภาพนั่นเอง เหมือนคนอธิษฐานเมื่อตะกี้นี้
ไม่ว่าจะเป็นพิธีมหาสนิท ที่พระองค์ทรงกระทำก่อนที่จะถูกตรึงที่ไม้กางเขน ที่วันนี้เราจะทำร่วมกัน มหาสนิทก็เหมือนกัน ทำเพื่อให้เล็งเห็นถึงการเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณของพระเจ้า ตรีเอกานุภาพ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ในทางด้านวิญญาณ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการบัพติศมาในนามของพระองค์ หรือเรื่องที่พระองค์ทรงยกตัวอย่าง เรื่องท่านต้องเข้ามาอาศัยอยู่ในเรา
ยกตัวอย่างว่าพระองค์เป็นลำต้นของเถาองุ่น ท่านเป็นกิ่งก้านที่อยู่ในต้นไม้อื่น ท่านจำเป็นต้องให้พระเจ้าถอนท่านจากต้นไม้อื่น มาเสียมเข้า มาต่อเข้ากับเถาองุ่นของพระองค์ ก็คือต้นองุ่นของพระองค์ แล้วท่านถึงจะเกิดผล เป็นความรอดนิรันดร์ จากความพินาศ ถ้าท่านยังอยู่ในต้นเก่า คือต้นอาดัม ต้นแห่งความพินาศอยู่นั้น กิ่งก้านนั้น จะถูกตัดเอาไปเผาไฟ อย่างนี้เป็นต้น
แล้วก็พูดถึงเรื่องอะไร? พูดถึงเรื่องเกี่ยวกับการเข้ามาอาศัยอยู่ เข้ามาต่อติดอยู่ เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ เข้ามาต่อกับลำต้นของพระองค์ ก็คือวิญญาณของเราเล็กๆ เข้ามาต่อกับวิญญาณใหญ่ๆ ของพระเจ้า ก็คือลำต้น
หรือแม้กระทั่งพระองค์ทรงยกตัวอย่าง เรื่องเกี่ยวกับการกินเนื้อและดื่มเลือดของพระองค์ พระองค์พูดอย่างนี้ …
“ท่านทั้งหลายต้องกินเนื้อของเรา และดื่มเลือดของเรา ท่านถึงจะมีส่วนเข้าสวรรค์”
เข้าใจได้อย่างไร? ก็เหมือนมหาสนิทเลย กินขนมปัง ซึ่งเป็นร่างกายของเรา ดื่มน้ำองุ่น ซึ่งเล็งถึงโลหิตของเรา ให้เราดื่มเลือดของพระองค์ กินเนื้อของพระองค์ จะได้มีส่วนในสวรรค์ ก็หมายถึงการเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกัน ก็คือมนุษย์เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า ตรีเอกานุภาพนั่นเอง และพระองค์ทรงกระทำสำเร็จแล้ว ที่ไม้กางเขน ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้ทั้งหมด ล้วนเป็นภาพอุปมาของคำอธิษฐานในยอห์น บทที่ 17 ที่ตะกี้เราอ่าน เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงๆ ในโลกวิญญาณ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เมื่อพระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 มันเป็นไปตามที่พระองค์ทรงอธิบาย ยกอุปมาไว้นั่นแหละ และทั้งหมดนี้ พระองค์ได้ทำสำเร็จแล้วบนไม้กางเขน มา 2,000 ปีแล้ว ขอบคุณพระเจ้า
“สำเร็จแล้ว” คำนี้สำคัญมากๆ พระเจ้าพระเยซูคริสต์ ได้ประกาศที่ไม้กางเขน ลมหายใจสุดท้ายของพระองค์ว่าภารกิจที่พระองค์ถูกกำหนดให้มาทำบนโลกใบนี้ เพื่อมาช่วยมนุษย์ให้เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าตรีเอกานุภาพนั้น ที่รอคอยกันมาเป็นเวลาพันๆ ปี ตั้งแต่บรรพบุรุษนั้น บัดนี้ในอีก 1 นาทีข้างหน้านี้ ไม่ถึงเสี้ยววินาทีข้างหน้านี้ ทำสำเร็จแล้ว และพระองค์ก็สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน นั่นแหละ คือการกระทำภารกิจของพระองค์สำเร็จแล้ว
ข่าวดี ก็คือการได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า ตรีเอกานุภาพนั้น ก็สำเร็จแล้วด้วย เอเมน ขอบคุณพระเจ้า
“การได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าตรีเอกานุภาพสำเร็จแล้ว”
สำเร็จแล้ว สำหรับมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ทั้งชาวยิวและไม่ใช่ยิวทั้งหลาย พระองค์จึงสั่งสาวกให้ออกไปประกาศข่าวดีนี้ว่ามันสำเร็จแล้ว ข่าวดีนี้ได้ถูกประกาศออกไปให้กับมนุษย์ทุกคน ให้มนุษย์ทุกคนได้รับทราบข่าวดี แล้วก็ตัดสินใจเข้ามาอาศัยอยู่ในสวรรค์ อยู่กับพระเยซูคริสต์ เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า ตรีเอกานุภาพได้แล้ว ตัดสินใจเข้ามาเลย เป็นสิทธิ์ของคุณ ยอห์น 12:32 จึงบันทึกไว้อย่างนี้ว่า …
ยอห์น 12:32 “แต่เมื่อเราถูกยกขึ้นจากแผ่นดิน ตรึงบนไม้กางเขนแล้ว เราจะชักนำคนทั้งปวงมาหาเรา”
นี่คือพระเยซูประกาศตอนยังกระทำไม่สำเร็จ ตอนเดินอยู่บนโลกใบนี้ 3 ปี กำลังจะไปทำให้สำเร็จ อีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ “เมื่อเราถูกยกขึ้นจากแผ่นดิน คือถูกตรึงบนกางเขนแล้ว เราจะชักนำคนทั้งปวงมาหาเรา” ก็คือเราเป็นตัวแทนของมวลมนุษยชาติ พันธุ์ใหม่ ที่จะตายบนไม้กางเขน และถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และเป็นขึ้นจากความตาย เราจะนำพามวลมนุษยชาติบนโลกใบนี้ เข้ามาหาเรา เข้ามาเป็นขึ้นจากความตาย พร้อมกับเรา ก่อนจะเป็นขึ้นจากความตาย เข้ามาอยู่กับเรา เมื่อเราถูกตรึงที่ไม้กางเขน แล้วตาย สิ้นพระชนม์ ท่านก็จะได้ตายไปกับเรา เราถูกฝังไว้ในอุโมงค์ ท่านก็จะได้ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ร่วมกับเรา เมื่อเราถูกชุบให้เป็นขึ้นจากความตาย เต็มไปด้วยสง่าราศี พระสิริของพระเจ้า ท่านก็จะได้เป็นขึ้นจากความตาย ร่วมกับสง่าราศีและพระสิริของพระเจ้าเหมือนกับเรา เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า ตรีเอกานุภาพ หมายถึงเกิดขึ้นแล้วกับมนุษย์ทั้งโลก มนุษย์ทั้งโลกได้ถูกยกขึ้น ถูกตรึงที่ไม้กางเขน โดยตัวแทน คือพระเยซูคริสต์ มนุษย์ทั้งหลายได้ถูกฝังไว้ในอุโมงค์แล้ว แล้วมนุษย์ทั้งหลาย ก็ได้ถูกชุบให้เป็นขึ้นมาจากความตายร่วมกับพระเยซูคริสต์ ไปเรียบร้อย 2,000 ปีแล้ว “แล้ว” จึงสำคัญมาก มันสำเร็จแล้ว
ฉะนั้น มนุษย์ที่เดินอยู่บนโลกใบนี้ เมื่อได้ยินข่าวดี ข่าวประเสริฐ ถามว่าเขาได้เป็นขึ้นจากความตายร่วมกับพระเยซูคริสต์แล้วหรือยัง? ตอบ แล้ว ถูกไหมครับ?
ถ้าท่านไม่เห็น ผมจะยกตัวอย่างนี้ ให้เห็นชัดเลย การประกาศเลิกทาสของรัชกาลที่ 5 พระปิยะมหาราช ประกาศที่กรุงเทพ ประกาศยกเลิกกฎหมายทาส ทั่วราชอาณาจักรไทย คนที่เป็นทาสทั่วราชอาณาจักรไทย ทันทีทันใด เมื่อประกาศ ปั๊บ สำเร็จเรียบร้อยแล้ว เขาเป็นไทหรือยัง? เป็นอิสระแล้วหรือยัง? เห็นไหมครับ? แต่เขาใช้สิทธิของเขาหรือยัง? อาจจะยังไม่ใช้ เพราะเขาไม่ได้ยินข่าวดีนี้ จากกรุงเทพยังไปไม่ถึง หรือเขาได้ยินข่าวดีนี้แล้ว แต่เขาไม่เอา เขาอยู่เป็นทาสต่อไปดีกว่า หรือไม่รู้สิทธิว่าเป็นไท แล้วมันดีอย่างไร? หรือพูดง่ายๆ ว่าไม่เชื่อนั่นเอง เขาก็ไม่ใช้สิทธิของเขานั่นเอง
เพราะฉะนั้น สามารถเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าตรีเอกานุภาพ อยู่ในสวรรค์กับพระองค์ได้แล้วทันที เมื่อใช้สิทธิของเขา ท่านเชื่อหรือไม่? ท่านเชื่อก็ได้รับ ท่านไม่เชื่อ ท่านก็อยู่ที่เดิมของท่าน ทั้งๆ ที่ท่านได้ถูกทำให้เป็นอิสระเรียบร้อยแล้ว
วันนี้เราก็จะมาทำสิ่งนี้แหละ ซึ่งพระเยซูบอกว่าพิธีมหาสนิทนี้ ให้เราทำอยู่เสมอๆ บ่อยๆ เพื่อระลึกถึงสิ่งที่พระองค์ทรงมากระทำ ภารกิจของพระองค์ ที่ตะกี้เราเรียนรู้กันทั้งหมด ภารกิจของพระองค์ ก็คือมาทำให้มนุษย์พร้อมที่จะเข้าเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าตรีเอกานุภาพ ไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ คือเข้าไปอยู่กับพระองค์ และพระองค์เข้ามาอยู่ในเรา และพระเจ้าตรีเอกานุภาพ ก็เข้ามาอยู่ในเรา และเราก็อยู่ในพระองค์ เป็นหนึ่งเดียวกัน นี่คือเป้าหมาย เป็นภาพที่พระองค์ให้เราทำ เพื่อระลึกถึงสิ่งที่พระองค์ได้ทรงกระทำ และพระองค์ทรงกระทำสำเร็จเรียบร้อยแล้วบนไม้กางเขน
เพราะฉะนั้น การทำพิธีมหาสนิท จึงเป็นการฉลองด้วยความยินดี รำลึกถึงการกระทำของพระเยซูบนไม้กางเขน ที่สำเร็จแล้ว ได้รับเรียบร้อยแล้ว และเล็งถึงสิ่งที่มันเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ คือวิญญาณของมวลมนุษยชาติ ได้สามารถเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณพระเจ้าตรีเอกานุภาพได้แล้ว เกิดขึ้นแล้วในโลกวิญญาณจริงๆ เป็นภาพที่เล็งให้เห็นถึงการเข้าส่วนร่วมในทางวิญญาณ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าตรีเอกานุภาพ เพราะฉะนั้น สิ่งที่เราทำนี้ ไม่ได้ทำเพื่อจะให้มันเกิดอะไรขึ้น แต่มาทำเพื่อระลึกถึงสิ่งที่มันเกิดขึ้นแล้ว
“เราไม่ได้ทำ เพื่อจะมีสิ่งอะไรเกิดขึ้น แต่เราทำ เพื่อระลึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว เอเมน”
สิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว ที่พระเยซูคริสต์ทำให้กับเราในโลกวิญญาณ แล้วมันเกิดขึ้น ก็คือวิญญาณของเราได้เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า นี่เป็นการเล็งให้เห็นถึงภาพ แปลว่าอย่างนี้ พูดง่ายๆ เหมือนกับการมาฉลองการเกิดใหม่
ขนมปังที่เรากำลังจะกินอยู่นี้ เล็งถึงพระกายของพระองค์ นึกถึงพระกาย ก็คือร่างกายของพระเยซู และเราเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายพระเยซู เพราะขนมปังที่เรากำลังถืออยู่ในมือนี้ เป็นชิ้นเล็กๆ ชิ้นหนึ่งในก้อนใหญ่ๆ นึกภาพออกใช่ไหม? เราถือกันคนละชิ้นเล็กๆ ชิ้นเล็กๆ เหล่านี้มาจากก้อนใหญ่ๆ คือร่างกายของพระเยซู มันเล็งถึงตรงนั้น ก็หมายถึงว่าวิญญาณที่อยู่ในตัวเรา ที่เราใช้สิทธิของเรา ได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ ได้เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์แล้วตอนนี้ วิญญาณของเราเข้าไปต่อติดอยู่กับวิญญาณใหญ่ๆ เรียกว่าพระคริสต์ เราเป็นชิ้นหนึ่งเล็กๆ ที่เข้าไปอยู่ในพระคริสต์ แต่ชิ้นเล็กๆ จะเข้าไปอยู่ในนั้นได้ ต้องสะอาด บริสุทธิ์ ดีพร้อม เป็นเซลล์ชนิดเดียวกันกับก้อนใหญ่ ถึงจะเข้าอยู่กันได้ ซึ่งเราได้รับเรียบร้อยแล้ว โดยการชำระ โดยการไถ่บาป โดยการเป็นขึ้นจากความตาย ที่พระเยซูคริสต์ทำให้กับเรา เมื่อระลึกถึงอย่างนี้แล้ว ก็จะไม่ลืม ให้เรากินขนมปังพร้อมกัน
น้ำองุ่นนี้ก็เช่นเดียวกัน น้ำองุ่นเล็งถึงเลือดของพระเยซูคริสต์ที่หลั่งที่ไม้กางเขน พระคัมภีร์บอกว่าเลือดนี้ชำระบาปให้กับเราทั้งหลาย ทำให้เราทั้งหลายสะอาด บริสุทธิ์ หนังสือฮีบรูบอกว่าเราได้ถูกชำระด้วยโลหิตพระเยซูคริสต์ ที่หลั่งที่ไม้กางเขน ครั้งเดียวเป็นพอ หลั่งครั้งเดียว ก็ชำระเราพ้นจากบาปผิดทั้งหมด ทั้งสิ้น ตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน จนถึงอนาคตนิรันดร์เลย เล็งให้เห็น หมายถึงว่าเลือดของพระเยซูที่หลั่งที่ไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีที่แล้วนั้น นี่เป็นการเล็งให้เห็น ให้เราดื่มน้ำองุ่นนี้ ก็เล็งให้เห็นว่าเราไม่ได้เป็นคนบาปอีกต่อไป แม้กระทั่งบาปในอนาคตเรายังถูกลบล้างหมดสิ้นเลย ด้วยน้ำองุ่นนี้ ด้วยเลือดของพระเยซูคริสต์ ตามพระคัมภีร์เลย ให้เราดื่มน้ำองุ่นพร้อมกัน
พระเยซูได้กระทำสำเร็จแล้ว ก็คือการตายและเป็นขึ้นจากความตาย ก็คือการนำบรรดามนุษย์ทั้งหลายบนโลกใบนี้ เข้ามาอยู่ในพระองค์ ดึงมนุษย์ทั้งหลายเข้ามาอยู่ในพระองค์ พระองค์ทรงกระทำสำเร็จเรียบร้อยแล้ว เพียงแค่มนุษย์คนนั้น เมื่อได้ยินความจริงนี้ เรียกว่าข่าวดีนี้ เรื่องราวนี้ เรื่องของพระเยซูคริสต์นี้ที่กำลังกระทำบนไม้กางเขน แล้วก็ยอมรับ เปิดใจ ใช้สิทธิของตนเอง ที่พระเยซูทรงกระทำให้ แค่นั้นพอแล้ว ไม่ต้องทำอะไรเพิ่ม ที่จะได้รับสิทธินี้ เพราะสิทธินี้ เป็นของท่านแล้ว 2,000 ปีแล้ว ท่านมาใช้สิทธิ์ ก็ใช้สิทธิ์ ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเลยแม้แต่นิดเดียว เหมือนกับตะกี้นี้ที่ผมบอกว่ารัชกาลที่ 5 ประกาศเลิกทาสแล้ว ท่านเลิกทาสเรียบร้อยแล้ว ท่านไม่ได้เป็นทาสแล้ว ท่านไม่ต้องไปทำอะไรเพิ่ม ท่านไม่ต้องไปจ่ายค่าสินไหมเพิ่มให้กับใครก็ตามที่จะมาเรียกร้องกับท่าน ท่านไม่ต้องจ่ายอะไรให้กับเขาอีกแล้ว ท่านไม่ต้องทำอะไรให้กับเขาอีกแล้ว ท่านไม่ต้องไปถูบ้าน เช็ดบ้านให้กับเขาอีก ก่อนที่จะเป็นอิสระ อีก 5 วันถึงจะเลิกได้ ถึงจะเป็นอิสระได้ ท่านสามารถเดินออกจากบ้านเขาได้ทันทีเลย ตามกฎหมายที่ได้ประกาศแล้วใช่หรือไม่?
เช่นเดียวกัน ในทางวิญญาณที่พระเยซูปลดปล่อยให้เราเป็นอิสรภาพแล้ว เช่นเดียวกัน เหมือนกันไม่มีผิดเลย เพราะฉะนั้น สิ่งเดียวที่ท่านควรทำ คือเดินออกจากการเป็นทาสออกมา แล้วก็ไชโยโห่ฮิ้ว แล้วขอบคุณพระปิยะมหาราช กฎหมายใหม่นั้น ขอบคุณในกฎหมายเลิกทาส แล้วก็ฮาเลลูยา แล้วก็เอ็นจอย ชีวิต ชื่นชมยินดีกับชีวิตใหม่ เรียกว่าชีวิตที่เป็นอิสรภาพแล้ว ไม่ต้องไปมองข้างหลังแล้วว่า …
“ฉันต้องทำอันโน้นอันนี้ ทำอย่างนั้นอย่างนี้ ตื่นมาต้องทำอย่างโน้นอย่างนี้ ทำตามสั่ง มีเจ้านายรออยู่ ไม่ใช่ ฉันเป็นอิสระแล้ว”
แล้วก็เรียนรู้ว่าอิสรภาพนั้น เขาอยู่กันอย่างไร? เพราะเราไม่เคยอยู่มาก่อน เราเป็นทาสเขามาตลอด อยู่ในที่มืดตลอด อยู่ที่กักขังมาตลอด อยู่ในบ้านมืดๆ ทำงานเช้าเย็น เป็นหนูถีบจักรมาตลอดเลย ทำดี ตอนนี้ฉันเป็นอิสระแล้ว ฉันทำดีได้มากกว่าเดิมอีก ทำอย่างไร? เรียนรู้จากการทำ โดยมีพระเจ้า 3 พระภาคสถิตอยู่ในตัวฉัน เป็นผู้นำพาฉันเดินทางไปทุกวัน ทุกคืน ทุกแห่ง ทุกหน ไม่ใช่เป็นอิสระอย่างเดียว แต่เป็นอิสระ โดยมีพระเจ้านำทางอยู่ตลอดเวลา นี่คือสิ่งที่เราควรรำลึกถึง ในขณะที่เราทำมหาสนิท
เพราะฉะนั้น ไม่ใช่มานั่งนึกถึงว่าเราทำอันนั้นไม่ดี อันนี้ไม่ดี นึกถึงอดีตกันหมด ไม่ว่าเราทำอะไรในอดีต ทั้งหมดเลย เมื่อสักครู่นี้ หรือจะไปคิดถึงอนาคตว่าเราอาจจะทำ มันได้ถูกยกเลิกหมดเรียบร้อยแล้ว ด้วยพระโลหิตพระเยซูคริสต์ และการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ด้วยขนมปังที่เรากินนั้น และน้ำองุ่นที่เราดื่มนั้น เราจะได้ระลึกถึงสิ่งที่พระเยซูได้กระทำให้เรา จะได้ไม่เสียเปล่า พระเยซูคริสต์กำชับเราเรื่องนี้ ให้เรารำลึกถึงพระองค์ ไม่ใช่ระลึกถึงตัวเองว่าเราไปทำอะไรมา และชีวิตมอบให้พระเยซูซะเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้น ในอดีต เขาทำกันตามบ้าน เขาไม่ได้ทำตามคริสตจักรอย่างนี้ ในอดีต ตอนสมัยเริ่มต้น 2,000 ปีที่แล้ว คริสตจักรจัดกันตามบ้าน การทำมหาสนิท คืออาหารมื้อหนึ่งจริงๆ เลี้ยง
เหมือนเราจะไปกินข้าวเที่ยงร่วมกัน คล้ายๆ อย่างนั้น เขาทำเพื่ออะไร? เพื่อฉลอง เหมือนมีงานปาร์ตี้ ปาร์ตี้อะไร? ปาร์ตี้ได้เกิดใหม่ ได้เข้ามีส่วนร่วมในพระเยซูคริสต์ ได้เป็นไทแล้ว เป็นอิสรภาพจากการเป็นทาสของความบาปและความตาย ไชโยโห่ฮิ้ว จบด้วยเพลงแฮปปี้เบิร์ดเดย์ทูยู สรรเสริญพระเจ้า
พระเจ้าอวยพรครับ
********************
จากใจคณะศิษยาภิบาล
คริสเตียน ท่านรู้หรือไม่ว่า … “ท่านกำลังนมัสการพระเจ้าด้วยวิญญาณ และความจริงอยู่แล้ว
ท่านไม่ต้องแสวงหาแล้ว ท่านพบแล้ว”
ยอห์น 4:23-24 … “พระเยซูพูดกับคนที่ยังไม่เป็นคริสเตียนยังไม่ได้บังเกิดใหม่ว่า … 23 แต่วาระนั้นใกล้เข้ามาแล้ว และบัดนี้ก็ถึงแล้ว คือเมื่อผู้ที่นมัสการอย่างถูกต้อง จะนมัสการพระบิดา ด้วยจิตวิญญาณและความจริง เพราะว่าพระบิดาทรงแสวงหาคนเช่นนั้น นมัสการพระองค์ 24 พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ และผู้ที่นมัสการพระองค์ ต้องนมัสการด้วยวิญญาณ และความจริง”
คำว่า “นมัสการ” หมายถึงยอมจำนน ถ่อมใจ มอบชีวิต เชื่อฟังอย่างไม่มีเงื่อนไข เหมือนดังทาส อาการที่แสดงออก คือเห็นด้วยกันกับความจริงคือถ้อยคำพระเจ้า ที่ได้บอกเรา คือเราพูดตามถ้อยคำพระเจ้า หรือเมื่อได้ยินได้ฟังถ้อยคำของพระเจ้า เราเห็นด้วย และกล่าวว่าเอเมนอย่างไม่มีเงื่อนไข ไม่ว่าเราจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจก็ตาม เช่น…
– จงวางใจในพระบุตร แล้วจะได้รับชีวิตนิรันดร์บังเกิดใหม่ เมื่อพระองค์บอกว่า …
“เราได้บังเกิดใหม่ในวิญญาณ เป็นลูกของพระองค์ อยู่ในสวรรค์กับพระองค์แล้ว”
ในวิญญาณเราก็บอกว่าเอเมน คือเห็นด้วย ใช่ จริง แม้ว่าเราจะไม่เข้าใจ จับต้องมองไม่เห็นก็ตาม และเราก็แสดงออกในการเห็นด้วยนี้ ด้วยการพูดตามถ้อยคำของพระเจ้า ที่เป็นความจริงนี้คิดตามถ้อยคำนี้
– ร้องเพลงนมัสการขอบคุณตามถ้อยคำพระเจ้าที่เป็นความจริงนี้
– อธิฐานในวิญญาณขอบคุณ พูด ให้คนอื่นฟังถึงอัศจรรย์ ที่เราได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า ที่พระองค์ทรงประทานให้นี้
– ปฏิบัติตัวด้วยความประพฤติ ที่เป็นไปด้วยกันกับถ้อยคำนี้ คือประพฤติตัว สมกับที่ได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เหล่านี้เป็นต้น
มนุษย์เราไม่สามารถเป็นข้า (ทาส) สองเจ้า บ่าวสองนายได้ ต้องเลือกข้างใดข้างหนึ่ง …
1. บูชานมัสการตัวเอง ตามระบบของโลก ที่มองเห็นจับต้องได้ (ต้องพึ่งการกระทำของตนเอง)
2. บูชานมัสการพระเจ้า ผู้สถิตอยู่ในสวรรค์ ในโลกวิญญาณที่มองไม่เห็น (ต้องพึ่งการกระทำของพระเยซูเท่านั้น)
ความจริง คือพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เชื่อวางใจและพึ่งพาพระองค์เท่านั้น เช่น …
– พระเจ้าบอกว่า “เมื่อเราบังเกิดใหม่แล้ว พระเจ้าได้ย้ายเรา จากวิญญาณเก่าที่อยู่ภายใต้ความบาป และความตาย มาสู่วิญญาณใหม่ที่เป็นเหมือนพระเจ้า”
แล้วในวิญญาณเราก็จะบอกว่าอาเมน แม้ความคิดและความรู้สึกจะไม่เข้าใจ
– พระเจ้าย้ายเรา จากความมืด มาสู่ความสว่างแห่งพระบุตรของพระเจ้าแล้ว อาเมน
– พระเจ้าย้ายเราจากคนบาป มาเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว อาเมน
– พระเจ้าย้ายเรา จากการเป็นทาสของมาร มาเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว อาเมน
– พระเจ้าย้ายเรา จากความตาย มาสู่ชีวิตแล้วอาเมน
– พระเจ้าบอกว่า “ในขณะนี้ ขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้ ในโลกฝ่ายวิญญาณเราเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว เราสะอาด บริสุทธิ์หมดจดแล้ว เราได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าในสวรรค์สถาน ร่วมกับพระเยซูคริสต์แล้ว เราเป็นวิหารของพระเจ้า เป็นที่สถิตของพระเจ้าพระบิดา พระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์แล้ว เราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าแล้ว อาเมน”
พระเจ้าพูดอย่างไร เราก็อาเมนตามนั้น แม้เราจะไม่เข้าใจก็ตาม แต่เราสามารถเชื่อตามที่พระเจ้าบอกด้วยความเต็มใจ โดยไม่มีข้อแม้ใดๆ ทั้งสิ้น เพราะวิญญาณของเราได้รับการบังเกิดใหม่แล้ว เป็นวิญญาณที่เป็นลูกแห่งการเชื่อฟังพระเจ้า เป็นธรรมชาติใหม่ในวิญญาณของเรา
นี่แหละ คือการนมัสการพระเจ้า ด้วยจิตวิญญาณและความจริง
ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานี้ … ไม่มีใคร หรือมนุษย์ผู้ใดสามารถนมัสการพระเจ้าได้อย่างนี้ เพราะว่าเป็นคนบาป วิญญาณตายจากพระเจ้า นอกจากการได้รับการบังเกิดใหม่ในวิญญาณ ผ่านทางความจริง คือพระเยซูคริสต์เท่านั้น
พระเจ้าอวยพรครับ