คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 23 เมษายน 2023
เรื่อง “หนังสือเอเฟซัส” ตอน 24
โดย วราพร คงล้วน
วันนี้เราก็มาต่อในหนังสือเอเฟซัส 3:16 บอกว่า …
เอเฟซัส 3:16 “ข้าพเจ้าอธิษฐานว่าจากความไพบูลย์อันทรงเกียรติสิริของพระองค์ ขอให้พระองค์ทรงทำให้ท่านเข้มแข็งขึ้นด้วยฤทธานุภาพ ผ่านทางพระวิญญาณของพระองค์ที่อยู่ภายในท่าน”
อาจารย์เปาโลกำลังคุยกับชาวเอเฟซัส ซึ่งในยุคนั้น ก็จะมีการข่มเหงผู้เชื่อที่ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ไม่เพียงแต่พวกชาวยิวเท่านั้น ชาวต่างชาติก็โดนเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาจารย์เปาโลจะโดนหนักสุดเลย เพราะว่าเป็นผู้ประกาศความจริงในเรื่องเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ให้กับคนต่างชาติ ได้สามารถรับรู้ความจริงว่าบัดนี้พระเยซูคริสต์ได้กระทำแผนการที่พระเจ้าได้วางไว้ ตั้งแต่มนุษย์เริ่มต้นล้มลงในความบาป สำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว บนไม้กางเขน เมื่อคำประกาศนี้ออกไป กลุ่มที่ไม่สามารถยอมรับคำประกาศของอาจารย์เปาโล กลุ่มแรก คือชาวยิว ที่เขายังคงยึดถือกฎระเบียบต่างๆ ที่พระเจ้าได้วางไว้ ตั้งแต่สมัยโมเสส ให้คนยิวประพฤติ ปฏิบัติ
คนยิวเหล่านี้ เขายึดถือในกฎบัญญัติ พยายามทำบัญญัติที่พระเจ้าสั่งไว้ ให้ดีที่สุด เท่าที่จะดีได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกฟาริสี พวกธรรมาจารย์ ก็ยิ่งเคร่งครัดในกฎบัญญัติมากๆ เลย ซึ่งเมื่ออาจารย์เปาโลมาประกาศว่าผ่านทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์ มนุษย์ไม่ต้องทำอะไรเลย ทำอย่างเดียว ก่อนที่จะเชื่อ คือเปิดใจต้อนรับความช่วยเหลือ ยอมรับความจริงที่พระเยซูคริสต์บอกว่าพระองค์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระองค์ทรงเป็นพระมาซีฮาห์ และพระองค์ได้มา กระทำการงานของพระองค์สำเร็จแล้ว วันที่พระองค์ได้เดินไปที่ไม้กางเขน และสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน และวันที่พระองค์ได้ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย เป็นความยิ่งใหญ่ เป็นความอัศจรรย์ ที่พระเจ้าได้ทรงกระทำท่ามกลางมนุษยชาติ บนโลกใบนี้ เป็นการเปิดศักราชใหม่ ให้กับมนุษยชาติบนโลกใบนี้ว่า บัดนี้ มนุษย์สามารถมีทางเลือก อีกทางหนึ่ง เลือกที่จะย้ายบ้านของตัวเอง จากบ้านที่อยู่ในอาดัม เข้าไปอยู่บ้านในพระคริสต์ หรือเป็นสิ่งที่พระเจ้าประกาศว่ามนุษย์สามารถกลับบ้านได้แล้ว กลับบ้านสวรรค์ พระเจ้าได้ทรงเตรียมไว้ให้กับมนุษยชาติ ทุกคนบนโลกใบนี้ เรียบร้อยไปแล้ว
นี่คือสิ่งที่อาจารย์เปาโลประกาศอยู่ตลอดเวลา เนื่องจากอาจารย์เปาโลได้ประกาศความจริงของพระเจ้าเหล่านี้ อาจารย์เปาโลต้องถูกข่มเหง จากพวกยิวนี่แหละ จับอาจารย์เปาโลไปติดคุกบ้าง ไปโบยตีบ้าง ไปทำอะไรอีกเยอะแยะมากมาย อาจารย์เปาโลก็ไม่ลดละ แม้ว่าจะผ่านความทุกข์ยากลำบาก ขนาดไหน อาจารย์เปาโลก็ยังยืนยันในความเชื่อศรัทธาที่เขาได้มี และประกาศความเชื่อนี้ ให้กับคนต่างชาติ เพราะรู้ว่าตัวเองถูกเรียกมาให้ประกาศกับคนต่างชาติ ฉะนั้น ตอนที่อาจารย์เปาโลเขียนจดหมายฉบับนี้ ก็ไม่แน่ใจว่าอาจารย์เปาโลติดคุกอยู่หรือเปล่า? อาจจะติดคุกอยู่ และเขียนจดหมายฉบับนี้ แล้วก็ส่งออกมา หนุนใจผู้เชื่อ ดังนั้น การหนุนใจผู้เชื่อในสมัยนั้น อาจารย์เปาโลก็ไม่ได้หนุนใจอะไรมากมาย ไม่ได้อธิษฐานอวยพรให้ผู้เชื่อมีชัยชนะ ในความทุกข์ยากลำบาก แต่สิ่งที่อาจารย์เปาโลพูดตลอดเวลา คือให้ท่านอดทน ต่อความทุกข์ยากลำบาก ที่กำลังเผชิญอยู่ แล้วให้ท่านรับรู้ความจริงว่า ณ เวลานี้ ท่านได้รับอะไรบ้าง? สิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำสำเร็จแล้วบนไม้กางเขน แล้วท่านมั่นใจเถิดว่าท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว ผลปลายทางจะเป็นอย่างไร?
มนุษย์ทุกผู้ทุกนาม ตั้งแต่ยุคสมัยไหนก็ตาม พยายามแสวงหาที่จะได้เข้าสู่สวรรค์ คนยิวก็ยิ่งแสวงหาใหญ่เลย ที่จะได้เข้าสู่สวรรค์ ไม่อย่างนั้น เขาคงไม่ประพฤติ ปฏิบัติตามกฎต่างๆ ที่พระเจ้าตั้งไว้
กฎเหล่านั้น ที่พระเจ้าตั้งไว้ เป็นเพียงเงา ที่พระเจ้าบอกว่าอนาคตข้างหน้า พระองค์จะส่งพระบุตรของพระองค์ลงมา เพื่อกระทำกฎที่พระเจ้าตั้งไว้ 600 ข้อ 700 ข้อ 800 ข้อ พระเยซูคริสต์เป็นผู้เดียวเท่านั้น ที่สามารถทำกฎเหล่านี้ให้สำเร็จลุล่วงไปได้ แล้วพระเยซูคริสต์ก็รับภาระที่ยิ่งใหญ่ ที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียนไว้ คือทิ้งสภาพของพระเจ้า แล้วมาเกิดเป็นมนุษย์ แล้วในขณะเดียวกันต้องรับภาระหนัก โดยที่ต้องตัดสินใจที่จะเดินไปที่ไม้กางเขน พระเจ้าไม่ได้บังคับพระเยซูคริสต์ว่าต้องทำ แต่พระเยซูคริสต์เต็มใจทำ เต็มใจเดินไปที่ไม้กางเขน
แต่คำว่า “เต็มใจ” ในความเป็นมนุษย์ พี่น้องจำได้ใช่ไหม วันศุกร์ประเสริฐ เพิ่งจะผ่านไป ก็คือแม้พระองค์จะเต็มใจ แล้วรู้อยู่เต็มอกว่าถูกส่งมา เพื่ออะไร? แต่พอถึงวาระนั้นจริงๆ คือใกล้เวลาที่พระองค์จะถูกเฆี่ยนตี ถูกโบยตี ถูกนำไปที่ไม้กางเขน ถูกตรึงจนเลือดหยดทุกท้ายหยดลงมา แล้วยอมสิ้นพระชนม์ คือยอมละวิญญาณของพระองค์ พระองค์รู้หมดเลยว่าสเต็ปเหล่านี้ ที่จำเป็นจะต้องเดินไป มันทรมานมากเลย เพราะ ณ เวลานั้นพระเยซูคริสต์อยู่ในสภาพของมนุษย์ มนุษย์แท้ๆ เลย มีเลือด มีเนื้อ กลัวเป็น เจ็บเป็น เลือดออกเป็น ทุกอย่างเหมือนมนุษย์หมดเลย สิ่งเดียวที่ไม่เหมือน คือพระเยซูคริสต์ทรงเป็นทั้งมนุษย์และพระเจ้า นี่คือความแตกต่าง
พระเยซูคริสต์เป็นมนุษย์ผู้เดียวบนโลกใบนี้ที่สะอาด บริสุทธิ์ หมดจด ไม่มีบาปเลย ไม่ได้อยู่ในเชื้อของอาดัม ฉะนั้น พระองค์จึงสามารถที่จะมาช่วยมนุษย์ได้ แล้วจากที่เราฟังมาตลอด เรารับรู้ความจริงเกี่ยวกับความรัก ที่ยิ่งใหญ่ ที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำให้กับพวกเราบนไม้กางเขน ก็คือพระเยซูคริสต์ยอมเป็นคนบาป ซึ่งตรงนี้ พระองค์จะไม่ยอมก็ได้ พระเจ้าไม่ได้บังคับ เหมือนทุกวันนี้ เราผู้เชื่อ ที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว พระองค์ก็ไม่เคยบังคับเราว่าต้องทำอะไร? ไม่ให้ทำอะไร? แต่พระองค์จะหนุนใจพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ภายในเรา จะบอกเราว่าควรทำอะไร? ไม่ควรทำอะไร? คำว่า “ต้อง” กับ “ควร” คนละเรื่องเลยเนอะ
“ควร” เหมือนพระองค์แนะนำว่าตอนนี้เป็นลูกพระเจ้าแล้วน๊า เรามีชีวิตใหม่แล้วนะ เรามีวิญญาณใหม่เหมือนพระเจ้าแล้วนะ เราเป็นความรักนะ เราควรจะสำแดงความรักที่อยู่ภายใน คือมันมีอยู่แล้ว ควรจะสำแดงมันออกมา ให้กับผู้คนรอบข้างได้สัมผัสถึงความรักของพระเจ้า พระองค์ไม่ได้สั่งว่าต้องรักคนโน้นคนนี้ทั่วโลกเลยให้ได้ เปล่า ไม่ได้สั่งอย่างนั้น แต่พระองค์ให้สิทธิ์ผู้เชื่อทุกคนให้สามารถตัดสินใจว่าเราจะยอม เชื่อตามที่พระเยซูบอกไหม? ยอมว่าให้เราประพฤติ หรือทำตัวให้สมกับที่เราได้รับพระคุณจากพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว นี่คือข้อแนะนำ พระเยซูจะโน้มน้าว
แล้วเมื่อพระเยซูโน้มน้าวในจิตใจของเราปุ๊บ ข้างในวิญญาณของเราจริงๆ วิญญาณของมนุษย์ทุกคนที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว พูดถึงคริสเตียนที่เปิดใจแล้ว วิญญาณของเราสะอาด บริสุทธิ์ หมดจด ถูกเปลี่ยนใหม่เหมือนพระเจ้าเลย วิญญาณข้างในเราไม่มีบาปแล้ว เหมือนพระเจ้าเลย ฉะนั้น วิญญาณตัวตนจริงๆ ของผู้เชื่อทุกคน คือไม่มีความปรารถนาที่จะทำบาปเลย นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ
ฉะนั้น เวลาเราทำผิดพลาดไป คือเราถูกหลอก เราแพ้การล่อลวงของระบบบนโลกใบนี้ ในขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เรายังอยู่ภายใต้กฎของความบาป และความตาย และร่างกายเรายังอยู่ในเนื้อหนังเก่าอยู่ โอกาสที่เราจะถูกหลอกมี แต่ว่าไม่ว่าเราจะถูกหลอก หรือไม่ว่าเราจะเดินตามพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ตาม ตรงนี้ไม่ได้เป็นสิ่งสำคัญ สิ่งสำคัญอยู่ที่ว่าเราเป็นใคร? ตอนนี้ ณ เวลานี้เราอยู่ในไหน? ผู้เชื่อ ณ เวลานี้ เราเป็นลูกของพระเจ้า เป็นผู้ชอบธรรม เป็นผู้สะอาด บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้าเลย วิญญาณเราได้รับการเปลี่ยนใหม่ ชีวิต จิตใจเราได้รับการเปลี่ยนใหม่เรียบร้อยไปแล้ว และในขณะนี้ พอเราเป็นปุ๊บ คำว่า “เป็น” มันเปลี่ยนแปลงไม่ได้แล้ว เป็นลูกของพระเจ้า
อย่างที่บอก พี่น้องต้องจำให้ได้ว่า “เป็นแล้ว เป็นเลย” ไม่ได้ หมายความว่าวันนี้เป็นลูกของพระเจ้า วันนี้เกิดเราออกจากโบสถ์ปุ๊บ เราไปโดนคนชนหกล้ม แล้วเราก็ลุกขึ้นมาด่าเขาเลย ความคิดเรา หรือโลกนี้ เขาส่งข้อมูลมา …
“เห็นไหม? เธอนิสัยไม่ดี เธอจะสะอาดบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้าได้อย่างไร? ไม่จริงหรอก เธอยังสกปรกอยู่เลย เธอยังบาปอยู่เลย”
ความคิดนี้มันจะเข้ามา แต่เราต้องยอมรับความจริง ต้องยืนกรานความจริงในโลกวิญญาณว่า …
“ไม่ พระเจ้าบอกฉันว่าวิญญาณฉันสะอาด บริสุทธิ์ หมดจดเหมือนพระเจ้าแล้ว พระเจ้าได้เปลี่ยนวิญญาณใหม่ให้ฉันแล้ว ฉันไม่ได้เป็นคนบาปแล้ว ฉันเป็นผู้ชอบธรรม ฉันเป็นลูกของพระเจ้า ฉันเป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์ ฉันได้เข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว ชีวิตของฉัน ณ เวลานี้ที่ดำเนินอยู่ทุกวันๆ ฉันดำเนินโดยพระเยซูคริสต์ พระวิญญาณที่อยู่ในฉัน พระองค์จะนำฉันในแต่ละวัน ฉันจะค่อยๆ พัฒนาเป็นเหมือนพระเจ้ามากขึ้นทุกวันๆ ค่อยๆ พัฒนา”
“ความเชื่อ” “การเป็นลูกพระเจ้า” ไม่ต้องพัฒนา คือเปิดใจต้อนรับพระเจ้าปุ๊บ เป็นลูกเลย ไม่ใช่ต้องค่อยๆ พัฒนา ทำความดี เพื่อเราจะได้เป็นลูก ไม่ใช่ เราเป็นลูกแล้ว เป็นแล้วเป็นเลย แต่หลังจากที่เป็นลูกของพระเจ้า เราก็ค่อยๆ พัฒนาบุคลิกใหม่ ที่พระเจ้าให้กับเรา ให้เจริญเติบโตมากขึ้น สำแดงความรักที่อยู่ในเราแล้ว ไม่ต้องไปหาที่ไหน? ไม่ต้องพยายามที่จะทำให้มันเกิด เพราะว่าอย่างไร เราก็ไม่มีความสามารถที่จะทำให้มันเกิดหรอก พระเจ้าทำให้มันเกิดขึ้นแล้ว ความรักที่พระเจ้าใส่เข้ามาในวิญญาณของเรา มันมีเรียบร้อยแล้ว แค่เรารู้ไหมว่าข้างในเราเป็นความรัก ถ้าเรารู้ว่าข้างในเราเป็นความรัก เรามีสมบัติอยู่ในร่างกายของเรา อยู่ในวิญญาณของเรา พระพรนานับประการที่พระเจ้าได้ทำให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว พอเรารับรู้ความจริงปุ๊บ เราก็ค่อยๆ เปิดตู้คลังสมบัติของเรา ค่อยๆ หยิบสมบัติทีละชิ้น ที่พระเจ้าให้เราเรียบร้อยไปแล้ว ออกมาแจกจ่าย สมบัติที่พระเจ้าให้กับเรา คือความรัก ออกมาแจกจ่าย ความดีงามออกมาแจกจ่าย ผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ทั้ง 9 อย่างออกมา ค่อยๆ แจกจ่าย แล้วผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ มีอันหนึ่ง คือการรู้จักบังคับตนเอง เพราะฉะนั้น พอเราเชื่อ วางใจในพระเจ้า เราจะมีผลตรงนี้อยู่ พอเราเชื่อใหม่ๆ เราอาจจะไม่สามารถบังคับตนเองได้ดีเท่าไร? เราก็ค่อยๆ รับรู้ความจริงว่าตรงนี้มีอยู่ในเรา เราก็ไปหยิบมันออกมาใช้ เรียนรู้ที่จะบังคับตนเองให้เพิ่มพูนมากขึ้น เรียนรู้ที่จะอดทนมากขึ้น
ฉะนั้น ในยุคของอาจารย์เปาโล อาจารย์เปาโลไม่ได้หนุนใจอะไร? หนุนใจผู้เชื่อในยุคนั้นว่าให้อดทน รอคอย เฝ้ามองดูพระเจ้า รับรู้ความจริงว่าสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว มันเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มาก ซึ่งมันเป็นอภิอัครสมบัติที่มหาศาลยิ่งใหญ่เหลือเกิน ที่พระเจ้าได้กระทำให้กับมนุษยชาติเรียบร้อยไปแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้เชื่อ คือพวกเราทุกคนได้เปิดใจรับเอาสมบัตินี้เข้ามาอยู่ในตัวเราเรียบร้อยไปแล้ว ตรงนี้แหละ คือสิ่งที่สำคัญที่ผู้เชื่อจำเป็นจะต้องรับรู้ เรามาดูว่าอาจารย์เปาโลอธิษฐานอย่างไร? …
เอเฟซัส 3:17-18 “17 เพื่อพระคริสต์จะสถิตในใจของท่านโดยทางความเชื่อ และข้าพเจ้าอธิษฐานว่าเมื่อท่านหยั่งรากและตั้งมั่นคงในความรักแล้ว 18 ตัวท่านพร้อมกับประชากรทั้งหมดของพระเจ้า จะได้สามารถหยั่งถึงความรักของพระคริสต์ว่ากว้างยาวสูงลึกปานใด”
เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์เข้ามาอยู่ในเรา พระองค์จะทรงเปิดให้เราเห็นถึงความรักที่ยิ่งใหญ่ ที่พระเจ้าได้กระทำการงานของพระองค์ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ที่ทำให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว และโดยความรักนี้ เมื่อพระเยซูตรัสว่าสำเร็จแล้ว หมายความว่าแผนการทั้งหมดที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้ สำหรับมนุษยชาตินั้น ได้กระทำเรียบร้อยไปแล้ว แล้วเราผู้เชื่อ ก็ได้เข้าสู่ศักราชใหม่ของพระเจ้า คือเข้ามาสู่ปีแห่งความโปรดปรานของพระเจ้า เข้ามารับพระคุณจากพระเจ้า โดยที่เราไม่ได้กระทำดีใดๆ เพื่อรับพระพรนี้
ในพระคัมภีร์เอเฟซัส 2:8-9 บอกว่าเรารอด โดยความเชื่อ ไม่ใช่เป็นการประพฤติของผู้หนึ่งผู้ใด ที่จะพยายามกระทำความดี เพื่อที่จะได้รับความรอด แต่ความรอดนี้ เป็นของประทานซึ่งมาจากพระเจ้า เป็นของประทานที่เกิดขึ้น ในวิญญาณของพวกเราผู้เชื่อ ใครก็ตามที่ได้ยินได้ฟังเรื่องราวของพระเจ้า แล้วตัดสินใจ เราทุกคนต้องการการตัดสินใจ ซึ่งพวกเราที่นั่งอยู่ตรงนี้ เราได้ตัดสินใจเรียบร้อยไปแล้ว ที่จะยอมรับความช่วยเหลือ จากพระเจ้า พระเยซูคริสต์ เมื่อคนหนึ่งคนใดยอมรับความช่วยเหลือ ตัดสินใจ แล้วก็บอกพระเจ้าว่า …
“พระองค์เจ้าข้า ช่วยลูกด้วย ลูกอยากได้รับความรอด ลูกอยากเข้าสวรรค์ ลูกอยากเป็นลูกของพระองค์ ลูกไม่อยากอยู่ในทางเดิมอีกแล้ว ลูกไม่อยากอยู่ในอาดัมอีกแล้ว ลูกรู้ตัวว่าเป็นคนบาป ลูกต้องการความช่วยเหลือ”
แล้วใครก็ตามเปิดใจ บอกพระเจ้าอย่างนี้ ทันทีทันใด พระเจ้าก็เข้ามาบัพติศมา ผ่าตัดวิญญาณเรา เปลี่ยนวิญญาณใหม่ให้กับเรา ความคิดจิตใจใหม่ให้กับเรา ชำระร่างกายของผู้เชื่อทุกคนให้สะอาดบริสุทธิ์ พร้อมให้พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคเข้ามาสถิตอยู่ในเรา และบัดนี้ พวกเราทุกคนที่นั่งอยู่ตรงนี้ ในโลกวิญญาณ พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทั้ง 3 พระภาคเข้ามาสถิตอยู่ในเรา เรากับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่ว่าเราทำอะไร พระเจ้าเป็นผู้นำเราทำ แต่การที่พระเจ้านำเราไปทำ พระเจ้าไม่บังคับ อย่างที่บอก เราอยากให้พระเจ้าบังคับมากๆ เลย เพื่อเราจะได้ไม่ต้องออกนอกลู่นอกทาง เอาโซ่มาล่ามเราไว้ก็ได้ เราจะได้เชื่อฟังพระองค์ แต่พระเจ้าไม่ได้เลี้ยงเราเหมือนวัวเหมือนควาย ไม่ใช่ เอาโซ่มาล่าม เอากรงมาขัง เอาไม้มาตี เพื่อจะได้กำหลาบเราให้อยู่มือ นั่นไม่ใช่ลักษณะของพระเจ้า พระเจ้าเป็นความรัก พระองค์ทรงเมตตา ทรงรักเราดั่งแก้วตาดวงใจ เป็นลูกที่พระองค์ทรงรักมาก ฉะนั้น พระองค์ก็ให้อิสรภาพกับเรา ในการตัดสินใจ แม้ว่า ณ เวลานี้เราเชื่อพระเจ้าแล้ว ชีวิตของเราไม่ได้เป็นของเราเองแล้ว ชีวิตเก่าของเราได้ตายไปพร้อมกับพระเยซูคริสต์แล้ว แล้วชีวิตใหม่ที่เราดำรงอยู่ ณ ขณะนี้ พระเจ้าซื้อเราด้วยชีวิตของพระเยซูคริสต์ ฉะนั้น เมื่อซื้อเราด้วยชีวิตของพระเยซูคริสต์ ในพระคัมภีร์บอกว่าเราไม่ใช่เจ้าของตัวเราเองอีกต่อไป แต่พระเยซูคริสต์ทรงเป็นเจ้าของชีวิตของเรา แต่เราขอบคุณพระเจ้า แม้พระเยซูคริสต์ พระเจ้าพระบิดาเป็นเจ้าของชีวิตของเรา พระองค์ก็ยังไม่บังคับเราเหมือนเดิม เป็นลักษณะของพระองค์ พระองค์ก็ยังคงให้อิสรภาพกับผู้เชื่อ ลูกของพระองค์ ให้เขาตัดสินใจด้วยตัวเขาเอง ตัดสินใจว่าเขาจะดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ โดยการเชื่อฟังพระวิญญาณ หรือตัดสินใจจะดื้อกับพระเจ้า ไม่ยอมเชื่อฟังพระวิญญาณ เป็นคริสเตียนดื้อได้อยู่นะ แต่ถ้าดื้อ เราก็เจ็บตัว พระคัมภีร์บอก เจ็บตัวตรงไหน? เจ็บตัวแค่บนโลกใบนี้เท่านั้น แต่วิญญาณเราก็ยังอยู่กับพระเจ้าเหมือนเดิม นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ
ฉะนั้น ถ้าเราดื้อปุ๊บ พระเจ้าก็ลุ้น พี่น้องนึกออกไหม? เหมือนกับพ่อแม่ทุกคน ถ้าลูกเราเป็นเด็กดี เชื่อฟัง เป็นเด็กน่ารัก ไปถึงไหนใครก็รัก พ่อแม่ก็ปลื้ม ปลื้มทำไม ไม่เกี่ยวอะไรกับเราเลย แต่ทำไมเราปลื้ม เพราะเขาเป็นลูกเราไง พอคนมาชมลูกให้เราฟัง ปลื้มอ่ะ ปลื้มมากเลย …
“ลูกน่ารักนะ ลูกเป็นเด็กดี มีสัมมาคารวะ”
ปลื้มมาก ยิ้มแก้มปริกเลย นี่คือความรู้สึกของพ่อแม่ แต่ถ้าลูกเราไม่ดี ลูกเราดื้อ ลูกเราเป็นอันตพาล ชอบไปหาเรื่องชาวบ้าน แล้วคนอื่นเขาก็มาฟ้องเรา มาบอกเรา …
“ทำไมลูกเธอเป็นอย่างนี้ นิสัยไม่ดี เรียนก็ไม่เรียน เกเร ไปคบพวกอันตพาลอีก”
เรารู้สึกอย่างไร? เศร้าเนอะ เรารู้สึกเสียใจ ที่ลูกเราทำไมถึงเป็นแบบนั้น แล้วเราอยากให้ลูกเราเป็นแบบนั้นไหม? ไม่อยาก แต่ลูกเราเป็นแล้ว เป็นแล้วทำไง เราก็ต้องค่อยๆ ให้กำลังใจเขา บอกเขาว่าเรารักเขาขนาดไหน? นี่คือวิธีเดียวที่สามารถทำให้เด็กที่ดื้อ เด็กที่ออกนอกลู่นอกทาง สามารถกลับเข้าสู่ร่องสู่รอย ที่เป็นเด็กดีได้ วิธีเดียวเท่านั้น คือบอกเขาว่าเรารักเขาขนาดไหน? อย่าไปด่าเขา อย่าไปไล่เขา เพราะว่าการด่า การไล่ เท่ากับเราผลักเขาออกจากชีวิตของเรา แต่ถ้าเราบอกเขาตลอดเวลา …
“ลูก พ่อแม่รักลูกมากเลยนะ ลูกทำอย่างนี้ พ่อแม่เสียใจ ลูกทำอย่างนี้ พ่อแม่ก็วิตกกังวล เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไร วันไหนลูกจะไปหัวร้างข้างแตกอยู่ตรงไหน? อย่างไร? แต่ต่อให้ลูกหัวร้างข้างแตก ลูกก็ยังเป็นลูกที่รักของพ่อแม่อยู่นะ”
นี่คือความจริง เป็นความจริงที่เราเลี่ยงไม่ได้ เพราะว่าเขาเป็นลูกของเรา เขาเป็นเชื้อสายของเรา เขาเป็นเลือด เป็นเนื้อของเรา เรามองภาพ นี่แค่มนุษย์ธรรมดาที่พระเจ้าบอกว่ามนุษย์ที่เป็นคนบาป ยังรู้จักที่จะรักลูกของตัวเอง ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด พระเจ้าพระบิดาผู้ทรงสถิตอยู่ในสวรรค์ จะไม่รักเรามากกว่านั้นอีกหรือ? พระเจ้าเป็นผู้ให้กำเนิดมนุษย์ ทุกๆ คนบนโลกใบนี้ ด้วยวิญญาณของพระองค์ เมื่อลูกของพระองค์ทำผิดทำบาป ไม่เชื่อฟัง ดื้อกับพระเจ้า ก็คืออาดัม เอวาดื้อกับพระเจ้า พระเจ้าเสียใจ พระเจ้าไม่อยากให้เขาต้องรับทุกข์ทรมาน แต่กฎก็คือกฎ พระเจ้าก็ต้องปล่อยมือ ปล่อยมือแล้วทำอย่างไร? พระเจ้าก็วางแผนการช่วยกู้ ให้ลูกเราได้มีโอกาสกลับคืนดีกับพระองค์ กลับเข้ามาอยู่สวรรค์เหมือนเดิมกับวันแรกที่พระเจ้าทรงสร้างเขามา นี่คือแผนการทั้งหมดที่พระเจ้าวางไว้ ถ้าเราเห็นภาพนี้ ที่พระเจ้าทรงรักเราขนาดนี้ เราจะสามารถที่จะยอมจำนนกับพระเจ้า พี่น้องนึกออกไหม? พระเจ้าต้องการให้เรายอมจำนน โดยตัวเราเอง ไม่ใช่ถูกบังคับ ไม่ใช่ว่าพระเจ้าบอกต้องๆ จริงๆ แล้วหลังจากที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำการงานของพระองค์สำเร็จ คำว่า “ต้อง” ไม่มีอีกแล้วในพจนานุกรมของพระเจ้า มีแต่ …
“ควรทำ, ทำเถิดลูก ทำอย่างนี้ลูกจะได้ดีนะ ถ้าลูกทำตามพระวิญญาณ ลูกจะได้ดีนะ ถ้าลูกทำตามเนื้อหนัง หรือทำตามความต้องการของตัวเอง ลูกจะได้รับความไม่สุขสบาย ไม่สุขกาย ไม่สุขใจ คืออย่างไรก็ต้องรับผลตามที่พระเจ้าได้กำหนดไว้ แต่เป็นผลของโลกใบนี้เท่านั้น”
เราขอบคุณพระเจ้า สำหรับความรักที่ยิ่งใหญ่ ที่พระเจ้าได้ทรงกระทำการงานผ่านทางพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ดังนั้น อาจารย์เปาโลอธิษฐานว่าเพื่อเราทั้งหลายจะได้สามารถหยั่งรากลึกลงไปในความรักของพระเจ้า รับรู้ว่าพระเจ้ารักเราขนาดไหน? ขนาดที่ยอมสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เพื่อเรา พระเยซูยอม ต้องยอม ถ้าพระเยซูไม่ยอม ไม่มีใครทำอะไรพระองค์ได้ เหมือนพวกเราทุกวันนี้ เราก็ต้องยอม ถ้าเราไม่ยอม ก็ไม่มีใครทำอะไรเราได้เหมือนกัน พระเจ้าก็ทำอะไรเราไม่ได้เลย เพราะพระเจ้าให้สิทธิ เสรีภาพ ให้กับมนุษยชาติ ให้มีสิทธิที่จะเลือกทางเดินของตัวเอง แต่พระเจ้าลุ้นไหม? ลุ้นตัวโก่งเลย …
“ลูกๆ นี่เหวนะ ลูกๆ อย่าเดินไปนะ ตกเหวนะ เจ็บนะลูก”
มันลักษณะแบบนี้เลย อาจารย์เปาโลจึงอธิษฐาน ให้ตาฝ่ายวิญญาณสว่าง เพื่อผู้เชื่อจะได้สามารถรับรู้ถึงความรักของพระเยซูคริสต์ว่ากว้าง ยาว สูง ลึกปานใด มันมีมิติ ที่มันอัศจรรย์มาก
เราขอบคุณพระเจ้า ที่พอเรารับรู้ความจริงเกี่ยวกับเรื่องราวในคืนวันศุกร์ประเสริฐ ที่พระเยซูคริสต์ยอมพระองค์ยอมนะ พระองค์ไปอธิษฐาน 3 ครั้ง ทำไมต้องอธิษฐานถึง 3 ครั้ง เพราะว่า ณ เวลานั้น พระองค์ยังเป็นมนุษย์อยู่ มีเนื้อหนังเหมือนมนุษย์ พระองค์กลัว อธิษฐานถามพระเจ้าว่าได้ไหม? ที่ถาม รู้ทั้งรู้ว่ายังไงก็ไม่ได้ นึกออกไหม? เหมือนพวกเราแหละ ทุกวันนี้ ผู้เชื่อ บางทีเราก็อธิษฐานถามพระเจ้าว่าทำอย่างนี้ได้ไหม? ซึ่งข้างในใจเรามีคำตอบอยู่แล้วแหละว่ามันไม่ได้อยู่แล้ว แต่เราก็อยากอธิษฐานถามพระเจ้า เผื่อพระเจ้าจะใจอ่อน
บอก … “โอเคๆ ลูกไปทำเถอะ”
หรือบางครั้งก็มาถามศิษยาภิบาลอีก “ทำอย่างนี้ได้ไหม?”
รู้คำตอบอยู่แล้วว่ายังไง ก็ไม่ได้ เป็นเรื่องที่มันผิดกฎหมาย สมมติ มาถามศิษยาภิบาลว่า …
“ตอนนี้ร้อนเงินมาก ขอไปขายยาบ้าได้ไหม?”
ท่านคิดว่าศิษยาภิบาลจะตอบท่านว่า … “ไปทำเถอะ ไปขายเถอะ จะได้เงินมาใช้”
มีไหม? ไม่มีแน่นอน เราก็ต้องแนะแนวให้กับท่านว่า … “อย่าไปทำเลย อธิษฐานกับพระเจ้าให้พระเจ้าประทานสติปัญญา ประทานหนทางว่าเราน่าจะ หรือควรจะทำอะไรอย่างไร? ในการทำมาหากินที่สุจริต จะทำให้เราสบายใจนะ เราทำอย่างนี้ มันไม่โอเค”
ซึ่งพระเจ้าก็จะคุยกับเราแบบนี้แหละ เหมือนกัน ซึ่งตอนที่เราไปถาม เรารู้ไหมว่ามันไม่ได้ รู้แหละ เผื่อฟลุ๊ค เผื่อศบ.ลืมตัว
“โอเคๆ เดี๋ยวจะช่วยอธิษฐานให้นะว่าผ่านไปด้วยดี แล้วปิดตาของตำรวจที่จะไม่จับเรา”
ถ้าเป็นดิฉัน ดิฉันจะอธิษฐานให้ตำรวจจับท่านไป ใจร้ายไหม? ใจร้ายเนอะ จับท่านไป เพื่อท่านจะได้รู้ว่าอันนี้ไม่ดี วันหลังจะได้ไม่ทำ นึกออกไหม?
ฉะนั้น เป็นอะไรที่ง่ายๆ ซึ่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในเรา พระองค์จะทรงเปิดให้เราเห็น ให้เรารับรู้ความจริงว่า ณ เวลานี้ เราเป็นเหมือนพระเจ้าแล้ว เป็นความดีงาม สะอาด บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้าเลย ไม่ว่าเราตัดสินใจอะไร? หรือผิดพลาดอย่างไร? ล้มลง ไปทำสิ่งที่ไม่ได้ตรงตามความเป็นจริง ในตัวตนใหม่ของเราก็ตาม พระเจ้าก็ยังเห็นเราสะอาด บริสุทธิ์ หมดจด ดีพร้อม เป็นทายาทของพระเจ้า เป็นผู้ชอบธรรมของพระองค์ในโลกวิญญาณเหมือนเดิม อย่าให้มารหลอกเรา ให้ทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง พอหลังจากที่เราทำแล้ว มันก็เอาไม้มาตีหัวเรา …
“เห็นไหม? ทำสิ่งที่ไม่ดี พระเจ้าไม่รักเธอแล้ว เธอเป็นคนบาป” อะไรต่อมิอะไร?
มันจะเป็นแบบนี้อยู่ตลอดเวลา ฉะนั้น ผู้เชื่อจำเป็นจะต้องรู้กลของมาร แล้วจำเป็นจะต้องรู้ความจริงในโลกวิญญาณ ที่พระเจ้าบอกว่าอะไรบ้างที่พระเยซูคริสต์ทำสำเร็จแล้ว ให้กับพวกเราทั้งหลาย ยืนกรานความสำเร็จที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำ เพื่อเราบนไม้กางเขนเรียบร้อยไปแล้ว นี่คือสิ่งที่ผู้เชื่อจะทำ ในขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ แล้วเราจะได้สามารถอยู่แบบหายเหนื่อยและเป็นสุข ตามที่พระเยซูคริสต์บอก
ทำไมมนุษย์เหนื่อย มนุษย์ดิ้นรน พยายามไขว่คว้า พยายามแสวงหาอะไรก็ตาม พยายามทำสิ่งดีงาม เพื่อเราจะได้หลุดพ้นจากความบาป เพราะเรารู้ว่าเราบาป เพื่อเราจะได้มีโอกาสเข้าสู่สวรรค์บ้าง แต่ไม่มีหลักประกัน สมัยก่อนไม่ว่าเราจะแสวงหาอะไร? ทำดีขนาดไหน? เราก็ไม่เคยมีความรู้สึกข้างในว่าเราดีพอที่จะขึ้นสวรรค์ได้ แต่ ณ บัดนี้ เราไม่ต้องทำเอง
พระเยซูบอก … “ฉันทำให้เธอเสร็จแล้ว เธอแค่เชื่อ เธอก็จะดีพร้อม พระเจ้ารับเธอได้ เธอขึ้นสวรรค์ได้ เข้าไปอยู่ในสวรรค์กับฉันได้”
และ ณ ปัจจุบัน พวกเราทุกคนก็ไปนั่งอยู่ในที่เดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ที่สวรรคสถาน ณ เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว ในโลกวิญญาณ พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น
ฉะนั้น ผู้ชอบธรรมจำเป็นจะต้องดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ เชื่ออะไร? เชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์บอกเราว่าพระองค์ทำสำเร็จแล้ว แล้วเข้ามารับ แค่นั้นเอง รับแบบรู้เรื่องบ้าง? ไม่รู้เรื่องบ้าง? ไม่รู้ล่ะ พระองค์ว่าอย่างไร? ลูกว่าตามนั้นแหละ นั่นคือความเชื่อศรัทธา ที่เราจะดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ จนถึงวินาทีสุดท้าย ลมหายใจออกจากร่าง เราก็ยังคงเชื่อและเรามั่นใจว่าเมื่อเราเชื่อแล้ว พระเจ้าจะดูแลวิญญาณจิต ที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด จนกว่าวินาทีสุดท้ายของชีวิต อย่างไรเราก็ไม่หลุดออกจากความรักของพระเจ้าได้ ไม่ว่าเราจะไปทำอะไรก็ตาม พระเจ้าบอกไม่มีทางหลุดออกจากความรักของพระเจ้าได้เลย พระเจ้าได้รักเราเรียบร้อยไปแล้ว รับเราเป็นบุตรแล้ว เป็นทายาทของพระเยซูคริสต์แล้ว แค่เป็นทายาทที่ไม่รับรู้ความจริง แล้วเป็นทายาทที่เกเร ชอบทำตัวไม่ดี แล้วก็ทำให้ตัวเองเดือดร้อน ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อน ทำให้ตัวเองไม่มีความสุขพอ หรือเพียงพอในขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้เท่านั้น เราเคยเห็นไหม? ทายาทที่เกเร แทนที่จะมีความสุข
พระเจ้าบอก … “เธอเป็นลูกฉัน ดีพร้อม สะอาด ทุกอย่างพระเจ้าทำให้เสร็จแล้ว”
แล้วถ้าเราเกเรเราเป็นทายาทอยู่ไหม? เป็นเหมือนเดิมนะพี่น้อง ยังเป็นลูกที่พระองค์ทรงรักไหม? เหมือนเดิม ไม่มีเปลี่ยนแปลง เพียงแต่ว่าพระองค์รัก แต่พระองค์ลุ้น พอเราทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เรารับผลมัน พระเจ้าบอก พระองค์ทรงเป็นผู้ครอบครอง ควบคุมกัลปจักรวาลนี้ กฎทุกอย่าง พระองค์เป็นผู้สร้าง ทั้งกฎฝ่ายวิญญาณ และกฎฝ่ายร่างกาย ที่อยู่บนโลกใบนี้ กฎเหล่านี้มันจะมีผล สำหรับชีวิตของทุกคน ไม่ว่าคนนั้นจะเชื่อหรือไม่เชื่อพระเจ้าก็ตาม
ฉะนั้น ผู้เชื่อ เมื่อทำผิดกฎ ก็รับผลของมัน แต่พระเจ้าอยากให้เราทำไหม? พระองค์ไม่อยาก แน่นอน ไม่อยากให้ลูกของพระองค์ต้องเจ็บตัว แต่พระองค์ก็ให้อิสรภาพเราในการตัดสินใจว่าจะเชื่อพระองค์หรือไม่เชื่อ แล้วพระองค์ก็ลุ้นเราทุกวันนั่นแหละ ทุกวินาทีด้วยซ้ำไป พี่น้องเคยรู้สึกไหมว่าทุกวินาทีความคิดของเราเปลี่ยนไปเรื่อยๆ คิดอย่างนี้ คิดปุ๊บ ไม่เอา คิดใหม่ ไม่เอา คิดใหม่ อยากจะช่วยคนนั้น ไม่เอาแล้ว ไม่ช่วยแล้ว อะไรอย่างนี้ นั่นคือความคิดที่เรายังอยู่บนโลกใบนี้อยู่ เรายังถูกควบคุมอยู่ แต่เราสามารถจดจ่อ รับรู้ความจริงว่าตอนนี้เราเป็นแบบนี้นะ แล้วโน้มนำความคิดของเรา เข้าไปอยู่ในการเชื่อฟังพระเจ้า เรามีสิทธิ์ตัดสินใจว่า …
“คิดอย่างนี้ มันไม่ใช่ มันไม่ได้มาจากพระเจ้า ฉันไม่เอา … ความคิดนี้ มาจากพระเจ้า ฉันเอา”
พี่น้องนึกภาพนะ เมื่อเราคิดอะไร สมองมันจะสั่งการให้ร่างกายเราทำตามความคิดของเรา แล้วทำไมพระเจ้าถึงให้เรายอมมอบถวายความคิด สติปัญญา ทั้งร่างกาย ตา หู จมูก ลิ้น กายของเรา ให้พระเจ้าใช้ เพราะว่าพระเจ้าไม่บังคับเราไง เราต้องยอมไง มอบให้พระเจ้าใช้ เมื่อพระเจ้าใช้ ความคิดเราก็ไปแปะอยู่ที่ความคิดของพระเจ้า ตามน้ำพระทัยของพระเจ้า
เมื่อคิดตามพระเจ้าปุ๊บ ผลมันจะออกมาเป็นการกระทำ ที่เป็นเหมือนพระเจ้า แต่ถ้าความคิดเราไปแปะอยู่ที่โลกนี้ การส่งข้อมูลเข้ามา ตรงกันข้ามกับความเป็นจริง ในโลกวิญญาณ ความคิดนี้ ก็จะส่งมา ให้เราประพฤติปฏิบัติตามมัน มันมาหลอกเรา พอคนเหยียบขาปุ๊บ ความคิดสั่ง …
“เขาเหยียบเธอ หันไปด่าเลย”
หันไปด่าไม่พอ ยังไม่สะใจ เหยียบเขาคืนเลย นั่นแหละ คือความคิดของโลกใบนี้ แต่ความคิดของพระเจ้า คืออะไร? ถ้าเขามาเหยียบขาเรา แล้วเขาขอโทษเรา หรือแม้แต่เขาไม่ขอโทษ พระเจ้าจะโน้มนำเราว่า …
“เขาไม่ได้ตั้งใจหรอก ยกโทษให้เขาเถอะลูก อย่าไปเอาเรื่องเอาราวเลย”
ในความเป็นเนื้อหนัง เราไม่ยอมนะ แต่บางทีเราก็ยอม มันเป็นอย่างนั้น
ฉะนั้น ให้เราขอบคุณพระเจ้าสำหรับสิ่งที่พระเยซูคริสต์ยอมเสียสละ เพื่อพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว พระองค์ยอมมาเป็นคนบาป เพื่อจะได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา ยอมเป็นคนบาป วิญญาณบาปของเราจะได้สามารถเข้าไปอยู่ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์บนไม้กางเขน ถ้าพระองค์ไม่ยอมเป็นคนบาป ไม่ยอมรับเอาความบาปของมนุษยชาติมาไว้ที่พระองค์ พระองค์เป็นมนุษย์คนเดียวที่ไม่มีบาป สะอาด บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้าเลย ถ้าพระองค์ไม่ยอมปุ๊บ ความสะอาดบริสุทธิ์ของพระเจ้า มนุษย์เข้ามาอยู่ด้วยไม่ได้ ด้วยประการทั้งปวง ไม่ว่าด้วยวิธีอะไร มนุษย์ก็ไม่สามารถเข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ได้ เพราะว่าเป็นคนละพวกกัน แต่เนื่องจากความรักที่พระเจ้าพระบิดาทรงมีต่อมนุษย์ ก็เลยทรงให้พระเยซูคริสต์ยอมที่จะเป็นคนบาป ยอมที่จะรับเอาความบาปของมนุษยชาติ มาไว้ที่ตัวพระองค์เอง แล้วเมื่อพระองค์ทรงเป็นคนบาปปุ๊บ ก็เลยสามารถดูดเอาคนบาป เข้ามาอยู่ที่ตัวพระองค์
พระเยซูคริสต์ตรัสว่าเมื่อเราถูกยกขึ้น เราจะนำพาคนทั้งหลายเข้ามาหาเรา ถูกยกขึ้นบนไม้กางเขน ยอมเป็นคนบาป เพื่อดูดเอามนุษยชาติที่เป็นคนบาปด้วยกันเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ เมื่อเราเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ในความเป็นคนบาปแล้ว เราจะได้ตายพร้อมกับพระองค์บนไม้กางเขน ตายพร้อมกันนะ ที่พูดทั้งหมดนี้ เป็นเรื่องของโลกวิญญาณหมดเลย พี่น้องลำดับภาพ แล้วก็มองให้เห็น ในพระคัมภีร์ชอบใช้คำว่า …
“จงมองให้เห็นเถิด”
“คนที่มีตา จงดูเถิด”
“คนที่มีหู จงฟังเถิด”
พระเยซูไม่ได้บอกว่าเราไม่มีหูนะ เรามีหู 2 ข้าง หูเนื้อไม่เกี่ยวกัน หูเนื้อ เราไม่สามารถรับรู้เรื่องราวของโลกวิญญาณได้ ตาเนื้อเราไม่สามารถมองเห็นเรื่องในโลกวิญญาณได้ ฉะนั้น ตาและหูฝ่ายวิญญาณ ให้พระเจ้าเป็นผู้เปิดให้เราเห็น เมื่อเราเชื่อวางใจในพระเจ้าแล้ว พระองค์จะค่อยๆ เปิดให้เราเห็นภาพชัดเจนว่าพระองค์ทำอะไรเพื่อเราแล้ว เมื่อเราถูกดูดเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกัน ถูกตรึงบนไม้กางเขน ตายพร้อมกับพระเยซูคริสต์ปุ๊บ พระองค์ก็นำเราไปฝังพร้อมกับพระองค์อีก เพื่อว่าตัวบาปของเราจะได้ตายไปพร้อมกับพระเยซูคริสต์ เพื่อเราจะได้หลุดพ้นจากกฎของโลกใบนี้ กฎของความดีและความชั่ว กฎบัญญัติที่พยายามบังคับ เราว่าต้องทำอย่างนั้น ไม่ให้ทำอย่างนี้ กฎตรงนี้เราหลุดไปแล้ว เมื่อวิญญาณเราตายไปพร้อมกับพระองค์ แล้วเมื่อเราเป็นขึ้นมาจากความตาย ร่วมกับพระเยซูคริสต์ เป็นวิญญาณใหม่ที่สะอาดบริสุทธิ์ เราไม่ได้อยู่ภายใต้กฎอีกแล้ว
ในพระธรรมโรม บทที่ 8 บอกว่า … “เหตุฉะนั้น จึงไม่มีการลงโทษใดๆ สำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ (ใช้คำว่า “อาศัยอยู่” นะ เข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์) เพราะว่ากฎของพระวิญญาณแห่งชีวิตในพระเยซูคริสต์ได้ทำให้ท่านพ้นกฎของความบาปและความตาย”
นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ ฉะนั้น ณ เวลานี้เราอยู่ภายใต้กฎของวิญญาณแห่งชีวิตแล้ว กฎของความบาปความตาย ไม่มีอิทธิพล ไม่มีผลกับชีวิตของผู้เชื่อเลย แม้แต่นิดเดียว อย่าให้มันหลอกเราได้ …
เอเฟซัส 3:19-21 “19 และซาบซึ้งในความรักนี้ซึ่งเหนือกว่าความรู้ เพื่อท่านจะบริบูรณ์ด้วยความสมบูรณ์ทั้งสิ้นของพระเจ้า 20 บัดนี้ ขอเทิดพระเกียรติพระองค์ผู้ทรงสามารถกระทำเกินกว่าที่เราจะทูลขอหรือคาดคิด ได้ตามฤทธานุภาพของพระองค์ ซึ่งกระทำการอยู่ภายในเรา 21 ขอพระเกียรติสิริมีแด่พระองค์ในคริสตจักร และในพระเยซูคริสต์ตลอดทุกชั่วอายุสืบๆ ไปเป็นนิตย์! อาเมน”
พระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเจ้าทั้ง 3 พระภาค ผู้ประกอบกิจอยู่ในเรา ฉะนั้น ทุกวันนี้ เราทำอะไร ก็เท่ากับพระเยซูทำ เอาเป็นอย่างนี้ พระเยซูทำอะไร ก็เท่ากับเราทำ เพราะว่าเราเป็นวิหารของพระเจ้า เมื่อพระเยซูนำเราทำอะไร เราก็ทำตามพระองค์ เพราะว่าตอนนี้ เราไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป เพราะว่าชีวิตเราซ่อนอยู่ในพระเยซูคริสต์ เราขอบคุณพระเจ้ามากๆ สำหรับศักราชใหม่ที่พระเจ้าให้กับพวกเรา ให้เราสามารถหายเหนื่อยและเป็นสุข ให้เราไม่ต้องพยายามดิ้นรน ที่จะทำความดี เพื่อเราจะได้รับความรอด เหนื่อยนะ การพยายามทำความดี ทำแล้วทำอีก ทำทุกบ่อยๆ แต่ข้างในวิญญาณเราไม่เคยรู้สึกว่าเราได้รับความรอด เราไม่พอๆ เราต้องทำเพิ่ม แล้วก็เหนื่อย เหนื่อยแทบจะตาย จนเราตายจากไป เราก็ยังไม่รู้สึกว่าเราหลุดพ้น จากความบาปสักที ซึ่งพระเจ้าบอกชัดเจนอยู่แล้ว ไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถทำได้ ต้องมาพึ่งพระเยซูคริสต์เท่านั้น แล้วสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทำ ก็ทำสำเร็จแล้ว สำหรับมนุษยชาติทั้งหมดเลยนะพี่น้อง ไม่ใช่เฉพาะคริสเตียน ทั้งหมด เรียบร้อยไปแล้ว บนโลกใบนี้ อยู่ตรงว่าคนนั้นได้ยินไหม? แล้วได้ยิน เขาตัดสินใจอย่างไร? ได้ยินแล้ว เขาไม่สนใจ …
“ฉันไม่เห็นต้องพึ่งพระเจ้าเลย ฉันก็ดีออกขนาดนี้ ฉันทำแต่ความดี ฉันส่ำสมความดีไว้ตั้งเยอะ ฉันไม่ต้องพึ่งพระเจ้าหรอก คนนั้น เขาก็ไม่เอาพระเจ้า”
ดังนั้น ในพระคัมภีร์ พระเยซูคริสต์บอกว่ามีบาปเดียวที่พระเจ้ายกโทษให้ไม่ได้ บาปเดียวนั้น คือไม่เชื่อ วางใจคนที่พระเจ้าส่งมา คือไม่เชื่อคนที่จะช่วยท่าน พระองค์จะมาช่วยท่าน แล้วท่านไม่รับความช่วยเหลือ ก็เท่ากับจบกัน ใครก็ช่วยท่านไม่ได้ เพราะว่าพระเจ้าก็บีบคอให้ท่านมาเชื่อ วางใจในพระเจ้าไม่ได้ ก็เท่ากับจบกัน เมื่อคนนั้นไม่ยอมเชื่อ วางใจในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ เพื่อเขาบนไม้กางเขน ไม่ยอมเข้ามารับความช่วยเหลือ คนนั้นก็ยังอยู่ที่เดิม ที่เดิม คืออยู่ในอาดัม อยู่ในความบาป อยู่ในคำสาปแช่งนิรันดร์ เมื่อวิญญาณเขาออกจากร่าง เขาก็อยู่ที่เดิม ก็คือในที่ที่ไม่มีพระเจ้า พระคัมภีร์เขียนว่าที่ที่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน แล้วพระเจ้าก็จะโยนเขาไปในที่ที่อยู่ในความมืดนิรันดร์กาล
นี่คือความรักของพระเจ้าที่บอกว่าพระองค์พยายามบอก …
“กลับมาเถิด กลับมาคืนดีกับพระเจ้าเถิด เปิดใจต้อนรับเราเถิด เราทำให้แล้ว แค่มารับก็ได้ไปเลย อย่าดื้อเลย อย่าเย่อหยิ่งเลย อย่าคิดว่าตัวเองสามารถทำได้ มันไม่มีทางอยู่แล้ว พระเจ้าบอกไม่มีทาง”
แต่เราก็จะเถียงพระเจ้า … “ยังไง ฉันก็ว่ามีทาง”
แต่พอถึงวินาทีสุดท้ายของชีวิต เหมือนเศรษฐีกับลาซารัส เชื่อว่าตอนที่ลาซารัสมีชีวิตอยู่ ลาซารัสคงคุยเรื่องพระเจ้าให้เศรษฐีฟัง แต่ว่าเศรษฐีไม่สนใจ เพราะว่า …
“ฉันรวยแล้ว ฉันมีทุกอย่างแล้ว ฉันไม่เห็นต้องพึ่งพระเจ้าเลย”
นี่เป็นการยกตัวอย่าง ที่พระเยซูยกให้ฟังนะ เพราะว่า ณ เวลานั้น พระเยซูยังทำอะไรไม่สำเร็จ พระเยซูยกว่าเมื่อลาซารัสตาย ลาซารัสไปอยู่ที่อกของอับราฮัม ณ เวลานั้น ผู้ที่เชื่อเหมือนอับราฮัม เขาก็ได้รับความรอด ในกฎเก่า เขาเรียกว่าพันธสัญญาเดิม ที่พระเจ้าทำไว้กับคนยิว ซึ่งคนต่างชาติไม่เกี่ยวเลยนะ มีคนยิวเท่านั้น ถ้าคนยิวคนไหนยังเชื่อฟังสิ่งที่โมเสสบอก ที่พระเจ้าบอกโมเสสว่าปีต่อปีให้เอาแกะมาถวาย เอาเลือดมาถวาย ถ้าทำผิดอะไร ก็มาสารภาพบาปกับพระเจ้า แล้วให้เชื่อว่าพระองค์เป็นพระเจ้าผู้เดียวสามารถช่วยให้รอดได้ ถ้าใครเชื่อ เขาก็ได้รับความรอดเหมือนกัน แต่พอถึงยุคพระคัมภีร์ใหม่ พระเจ้าบอกว่ากฎพระองค์เปลี่ยนแล้วนะ ตอนนี้กฎเดิม ยกเลิกไปแล้ว ถ้าคนยิวยังไปถวายเครื่องบูชาเหมือนเดิมอีก เขาก็ไม่ได้รับความรอดนะ เพราะพระเจ้าบอกว่ากฎใหม่มาแล้ว อันนั้นจบแล้ว เครื่องบูชาเดิมๆ จบแล้ว มีเครื่องบูชาใหม่ คือแกะปัสกาที่พระเยซูคริสต์ได้มาสิ้นพระชนม์ เพื่อเราบนไม้กางเขน ตอนนี้คนยิวหรือไม่ยิว หรือคนต่างชาติ หรือใครก็ตาม จำเป็นจะต้องเดินมาอยู่จุดนี้ คือมาเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์เท่านั้น เขาจะได้รับความรอด พระเจ้าอวยพรค่ะ
************************
จากใจคณะศิษยาภิบาล
คำสัญญาและสาบานที่พระเจ้าให้ สำเร็จแล้ว โดยพระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน
คำสัญญาและสาบานนั้น คือ …
เอเสเคียล 36:25-27 … “25 เราจะปะพรมน้ำ ชำระลงบนเจ้า แล้วเจ้าจะสะอาด เราจะชำระล้างเจ้าจากมลทินโสโครกทั้งปวง และจากรูปเคารพทั้งปวงของเจ้า 26 จะให้จิตใจใหม่แก่เจ้า และใส่วิญญาณใหม่ในเจ้า เราจะขจัดใจหินออกจากเจ้า และให้เจ้ามีใจเนื้อ 27 เราจะใส่วิญญาณของเรา ไว้ในเจ้า โน้มนำเจ้าให้ปฏิบัติตามกฎหมายของเรา และใส่ใจรักษาบทบัญญัติของเรา”
เมื่อมนุษย์ผู้ใดเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด และได้บังเกิดใหม่แล้ว พระเจ้ามิได้ให้พระวิญญาณของพระองค์สถิตอยู่กับเราเท่านั้น
แต่พระองค์ได้ทรงให้วิญญาณใหม่กับเราด้วย เพราะมนุษย์ถูกสร้างประกอบไปด้วยร่างกายจิตใจและวิญญาณตัวตนจริงๆ ของเรา คือวิญญาณและใจที่อาศัยอยู่ในเรือนดิน คือร่างกายนี้
มนุษย์ที่เกิดมาในโลกนี้ เป็นวิญญาณที่ตายจากพระเจ้า ดำเนินชีวิตอยู่ในบาป อยู่ใต้อำนาจบังคับของบาป
เมื่อเราต้อนรับพระเยซูคริสต์ พระเจ้าก็เข้ามาผ่าตัดวิญญาณของเรา บัพติศมาเข้าส่วนร่วมในพระเยซูคริสต์ เพื่อตายพร้อมพระองค์ และเป็นขึ้นจากความตาย บังเกิดใหม่ร่วมกับพระองค์ ด้วยวิญญาณใหม่และใจใหม่ที่เป็นเหมือนพระองค์ ความต้องการภายในจิตใจ แรงจูงใจภายในจิตใจใหม่ทั้งสิ้นเหมือนพระเจ้า
วิญญาณและใจใหม่ของเรามีการเปลี่ยนแปลงอย่างอัศจรรย์จากเดิม กลายเป็นเหมือนพระเจ้า พระเยซูคริสต์มีความต้องการ มีความดีงาม มีความบริสุทธิ์เหมือนพระเยซู เมื่อสะอาดบริสุทธิ์ไร้ตำหนิแล้ว พระวิญญาณของพระองค์ก็สามารถเข้ามาสถิตอยู่ในร่างกายของเรา รวมเป็นหนึ่งกับวิญญาณของเราที่เกิดใหม่นั้น ได้ทันที
เราจึงกลายเป็นอภิสุทธิสถานของพระเจ้า และเป็นวิหารของพระเจ้า แม้กระทั่งร่างกายของเราก็ได้รับการชำระด้วยโลหิตของพระเยซูคริสต์ให้บริสุทธิ์ ที่พระเจ้าสามารถรับได้แล้วเดี๋ยวนี้ จึงสามารถเข้ามาสถิตอยู่กับเรา
พระเจ้าอวยพรครับ