คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 3 เมษายน 2022
เรื่อง “หนังสือเอเฟซัส” ตอน 9
โดย วราพร คงล้วน
วันนี้เรามาต่อในหนังสือเอเฟซัส บทที่ 2 วันนี้ต่อข้อที่ 3 เราจะไม่รีบ เราก็ค่อยๆ ช้าๆ เจาะลึกลงไปในโลกวิญญาณ เมื่อเรารับรู้ความจริงในโลกวิญญาณว่าบัดนี้ พระเจ้าได้ทำอะไรให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว และเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ จะทำให้เรามีกำลังในการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ที่พระเจ้าบอกว่าพระองค์ไม่ทิ้งเรา หลายครั้งในชีวิตของพวกเราเจอปัญหา อุปสรรคเยอะแยะมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคปัจจุบันนี้ ที่เราเจอโควิด ลำบากเนอะ
พระเจ้าบอกพระองค์ไม่ทิ้งเราแน่นอน วันแรกที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดปุ๊บ พระเจ้าเริ่มต้น การงานดี จริงๆ พระเจ้าก็เริ่มต้นการงานดี ตั้งแต่อดีตแล้ว แต่ว่าเริ่มต้นการงานดีพิเศษ สำหรับผู้ที่เปิดใจ สำหรับคนที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว เพราะว่าพระเจ้าสามารถเข้ามาทำงานในวิญญาณของเราได้อย่างเต็มที่ เพราะว่าเราเป็นพวกเดียวกัน
ก่อนหน้านั้น ถ้าเราไม่เชื่อพระเจ้า พระเจ้าก็เข้ามาทำงานไม่เต็มที่ เพราะว่าอยู่คนละพวก แล้วพระเจ้าที่เรารู้จัก เป็นพระเจ้าที่อ่อนสุภาพ เป็นพระเจ้าที่น่ารัก เป็นพระเจ้าที่มีความรักมากๆ รักมนุษย์บนโลกใบนี้มากมาย ต้องการให้มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ได้รับความรอด แล้วพระเจ้าไม่เคยบังคับใคร แม้เรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว พระองค์ก็ไม่บังคับเรา พระองค์ให้อิสระเสรีให้กับมนุษย์ เลือกที่จะตัดสินใจ เมื่อข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ถูกประกาศออกไป พระเยซูบอกว่าพระองค์ทำสำเร็จ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ที่ไม้กางเขน จากคำพยากรณ์ ตั้งแต่พระคัมภีร์เดิม จนถึงพระคัมภีร์ใหม่ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว พระเยซูทำสำเร็จครบถ้วนแล้ว หมายความว่าแผนการไถ่ถอน หรือแผนการช่วยเหลือมนุษย์บนโลกใบนี้ ที่ตกลงไปอยู่ในความบาป อยู่ในคำสาปแช่ง ได้ทำเสร็จเรียบร้อยไปแล้ว
ตรงนี้เป็นของขวัญที่มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ สามารถได้รับ เราไม่เคยรู้ตรงนี้เลย เมื่อก่อนเราเข้าใจว่าของขวัญชิ้นนี้ พระเจ้าให้เฉพาะคนที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด แล้วเราเป็นคริสเตียน เราก็เข้ามารับของขวัญ เราได้ คนที่ไม่เชื่อ ไม่ได้ แต่ความเป็นจริง ในโลกวิญญาณ พระเจ้า พระเยซูคริสต์บอกเราว่าพระองค์ทำครั้งเดียว เรียบร้อย สำเร็จ สำหรับมนุษย์ทั้งหมดบนโลกใบนี้ เป็นของขวัญที่พระเจ้าทำสำเร็จแล้ว
ฉะนั้น เมื่อก่อน เราเคยอธิษฐานให้กับคนที่เรารัก ไม่ว่าจะเป็นพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ทวดเรา ลูกหลานเหลนโหลนของเรา หรือเพื่อนฝูงที่เรารัก ที่ยังไม่รู้จักพระเจ้า พอเรารู้จักกับพระเจ้า เรารู้ว่าดีมากเลย เราได้รับการบังเกิดใหม่ เราได้มาเป็นลูกของพระเจ้า เราได้มาเป็นผู้ชอบธรรม เราอยู่ในความสว่าง เราไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตาย ในวิญญาณแล้ว นี่พูดถึงในโลกวิญญาณ เราสามารถสบายใจได้เลย หลังความตายเราได้ไปอยู่กับพระเจ้า ในสวรรคสถานแน่นอน ตามที่พระเจ้าบอกไว้
แล้วพระคัมภีร์ก็บอกเราในหนังสือเอเฟซัส บอกว่าตั้งแต่ที่เราอยู่บนโลกใบนี้ ในโลกวิญญาณ เราก็ได้ไปนั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว ที่สวรรคสถาน ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า คือสิ่งต่างๆ เหล่านี้มันเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ ซึ่งพอบอกโลกวิญญาณปุ๊บ เราต้องใช้ความเชื่อ เชื่อตามที่พระเจ้าบอก เพราะว่าตาเรามองไม่เห็น มือเราสัมผัสไม่ได้ แต่ข้างในลึกๆ ในวิญญาณ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะบอกเรา แล้วเราก็เชื่อตามนั้น เหมือนเพลงที่เมื่อกี้ร้อง ไม่รู้ว่าพระเจ้าให้ความเชื่อเราได้อย่างไร? แต่เมื่อเราอ่านถ้อยคำของพระเจ้า สันติสุขมันเข้ามา เราเชื่อถ้อยคำพระองค์บอกเราอย่างนี้ บอกว่าตอนนี้เราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว เราเป็นแสงสว่างแล้ว เราเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว เราไม่ได้อยู่ภายใต้อิทธิพลของมารอีกแล้ว เราไม่ต้องไปเชื่อมันแล้ว นี่คือความจริงทั้งหมดในโลกวิญญาณที่พระเจ้าบอกเรา พอเรารับรู้ความจริงในเรื่องนี้ปุ๊บ คำอธิษฐานของเรา ก็จะเปลี่ยน ท่าทีในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ก็จะเปลี่ยน เมื่อก่อนเราอธิษฐาน …
“พระองค์เจ้าข้า ขอความรอดให้กับ 1, 2, 3, 4 นาย ก. นาย ข. เพื่อนที่เรารัก ญาติพี่น้องเราที่ยังไม่เชื่อพระเจ้า เราอธิษฐานขอความรอดให้กับเขา”
แต่ ณ เวลานี้ ความจริงที่พระเยซูคริสต์บอกเรา คือไม่ต้องขอแล้ว พระเจ้าทำให้เสร็จแล้ว ถ้าพระเจ้าทำให้เสร็จแล้ว เราต้องอธิษฐานแบบไหน? คือตอนนี้ไม่ได้ขอความรอดให้กับคนที่เขายังไม่เปิดใจ เราก็อธิษฐานขอพระเจ้าเมตตาเปิดตาใจ ให้คนที่เรารัก สามารถรับรู้ความจริง ในเรื่องข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ที่พระเยซูได้ทำให้เราสำเร็จแล้วบนไม้กางเขน
เมื่อเขารับรู้ความจริงเหล่านี้ เราไม่รู้ว่าเมื่อไร? อย่างไร? เมื่อความจริงถูกพูดออกไป แล้วเขาได้ยินได้ฟัง ถี่ขึ้นๆ วันหนึ่ง ข้างในเกิดความรู้สึกว่าเหนื่อยแล้ว เขาทำเองไม่ไหว เขาอยากจะมารับของขวัญชิ้นนี้จากพระเจ้า แล้วก็แค่บอกพระเจ้าว่า …
“พระองค์เจ้าข้า ลูกอยากได้ ลูกเอา รับเอา”
แค่นั้นเอง เขาก็เข้ามารับเอาสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ เพื่อเขาบนไม้กางเขน เหมือนตอนที่เรามาเชื่อใหม่ๆ เราก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเรามาเชื่อได้อย่างไร? งง เหมือนกัน และเชื่อว่าทุกคนที่มาเชื่อพระเจ้า ก็ประมาณงงๆ เหมือนกันว่าเราฟังเขาเล่าเรื่องพระเยซูคริสต์ ฟังไปฟังมา เอ๊ะ! ทำไมข้างในเราเกิดความรู้สึกว่าเราอยากได้ อยากได้สิ่งที่คนนั้นเขามาบอกเราว่าพระเยซูทำอะไร เพื่อเขาเรียบร้อยไปแล้ว บนไม้กางเขน ตอนนี้เขาได้รับอะไร ตอนนี้ข้างในวิญญาณเขา เป็น้ผูชอบธรรมแล้ว เขาไม่ได้อยู่ในความบาปอีกเลย นั่นคือความจริงในโลกวิญญาณ
พอเรารับรู้ความจริง อธิษฐานใหม่ ขอพระเจ้าทรงเมตตา ให้ผู้คนที่เรารัก ผู้คนที่เรารู้จัก ให้เขาสามารถรับรู้ความจริง เมื่อเขารับรู้ความจริงถึงจุดหนึ่ง ที่เขารู้สึกว่าตัวเองช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ อยากจะขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า เขาก็จะเข้ามาในสถานะเดียวกันกับพวกเรา ก็คือวันที่เราบอกพระเจ้าว่า …
“พระองค์เจ้าข้าช่วยลูกด้วย ลูกไม่ไหวแล้ว ลูกทำเองไม่ได้ ลูกต้องการความช่วยเหลือ”
นั่นแหละ พอถึงจุดนั้นปุ๊บ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเริ่มต้นทำงาน ทำไมพระวิญญาณบริสุทธิ์ต้องรอจนคนๆ นั้นเข้ามาหาพระเจ้า แล้วบอกว่า …
“ไม่ไหวแล้ว พระองค์เจ้าข้าช่วยลูกด้วย”
พระองค์ถึงทำงาน เพราะพระองค์อ่อนสุภาพ พระองค์ไม่บังคับ พระองค์รอ เหมือนกับที่พระเยซูบอกว่า …
“นี่แน่ะ เรายืนเคาะอยู่ที่ประตูใจของท่าน ถ้าใครเปิดประตูมา เราก็จะเจ้าไปหาผู้นั้น”
ก็คือรอจังหวะ รอเวลา รอคนที่เขาได้ยินได้ฟังข่าวประเสริฐของพระเจ้า เขาเปิดใจ เขาต้องการความช่วยเหลือจากพระเจ้า พระองค์ก็เริ่มต้นทำงาน พอพระองค์เริ่มต้นทำงาน พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทำให้เราสามารถบังเกิดใหม่ หลังจากบังเกิดใหม่ ในโลกวิญญาณปุ๊บ พระองค์ก็เริ่มต้นทำงาน เริ่มต้นพาเรา อย่างในหนังสือฟิลิปปีบอกว่าพระองค์ผู้ทรงเริ่มต้นการงานดี ไว้ในชีวิตของพวกเราทั้งหลาย พระองค์จะทรงนำพาเรา จนถึงวันของพระเยซูคริสต์
หมายความว่าพระองค์ก็จะเริ่มต้นทำงาน ช่วยเหลือเรา คอยแนะแนวทางเรา คอยบอกเรา คอยให้กำลังใจเรา ในการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ไม่ว่าเราจะทุกข์ยากลำบากขนาดไหน? พระเยซูบอกว่าไม่เป็นไร พระองค์อยู่ด้วย พระองค์สถิตอยู่ในเรา พระองค์จะจูงมือเราเดิน ไม่ว่าจะผ่านด้วยวิธีแบบไหนก็ตาม หรือบางครั้ง มันไม่ได้ผ่านตามที่เราอยากได้หรอก แต่พระเจ้าก็พาเราผ่าน แล้วพระเจ้าก็บอกว่าส่วนเรื่องของวิญญาณ เราไม่ต้องห่วงแล้ว วิญญาณเรารอดแล้ว อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้าแล้ว ส่วนบนโลกใบนี้ พระองค์ก็พาเราไป จนถึงวันสุดท้าย อย่างที่บอก วันสุดท้ายของชีวิตของเรา ที่วิญญาณเราออกจากร่าง แล้วไปอยู่กับพระเจ้า หรือวันที่เรายังอยู่เป็นๆ อย่างนี้ แล้วพระเยซูเสด็จกลับมารับเรา แล้วเราก็ถูกรับไปพร้อมกับพระเยซู ไม่ว่าวันไหนก็ตาม วิญญาณเรารอด เราก็ได้ไปอยู่กับพระเจ้า
นี่คือสิ่งที่พระเยซูคริสต์บอกเราว่าในโลกวิญญาณ มันเป็นอย่างนั้น แล้วเราผู้เชื่อ เมื่อเจอกับปัญหาอุปสรรคมากมาย พระองค์ก็เล้าโลมใจเรา พระองค์ไม่ทิ้งเรานะพี่น้อง ให้รับรู้ว่าพระองค์ไม่เคยทิ้งเรา พระองค์รักเรามาก มากถึงมากที่สุด มากกว่าตัวเราเองอีก แล้วพระองค์ก็เตรียมสิ่งที่ดีที่สุด ให้กับลูกของพระองค์ แล้วพระเจ้าทรงรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ดีที่สุด สำหรับพวกเราแต่ละคนด้วย ซึ่งดีของคนหนึ่ง ก็ไม่ใช่ดีของอีกคนหนึ่ง นึกออกไหมค่ะ คนนี้ พระเจ้าบอกว่าอย่างนี้ดี แต่ส่วนใหญ่ พอเราได้อะไร? เราไม่ค่อยพอใจเท่าไรหรอก เราจะไปชะเง้อมองคนอื่น …
“ทำไมคนนี้ได้อย่างนี้ เราอยากได้เหมือนเขาจังเลย”
พระเจ้าบอก … “อย่าไปอยากได้เหมือนเขาเลย เพราะว่าถ้าเธอได้ตรงนั้น เธอไม่มีความสุขหรอก” นึกออกไหมค่ะ
พระเจ้ารู้ดีกว่าเราเยอะ แล้วพระองค์ก็จะนำพาเรา ให้เราสามารถมีกำลังผ่านไปได้ ในแต่ละวันๆ ด้วยพระคุณ ด้วยความรัก ซึ่งมาจากพระเจ้า … นี่คือเรื่องที่พระเจ้าหนุนใจเรา ในโลกวิญญาณ
เอเฟซัส 2:3 “ครั้งหนึ่ง เราเคยมีชีวิตเหมือนกับผู้คนเหล่านั้น (ไม่เชื่อ ไม่ได้ใช้สิทธิ์ในการไถ่บาปของพระเยซู) ที่ทำตามตัณหาของวิสัยบาปของเรา สนองความอยากกับความคิดของมัน ตามธรรมชาติบาปของวิญญาณที่ตายของเรา (ซึ่งไม่บริสุทธิ์ ไม่มีพระลักษณะของพระเจ้า) เราจึงควรแก่การถูกลงโทษ สาปแช่งเหมือนคนอื่นๆ (ที่ไม่เชื่อ ไม่ได้ใช้สิทธิ์ในการไถ่บาปที่พระเยซูได้กระทำให้)”
ในนี้ อาจารย์เปาโลพูดถึงผู้เชื่อที่ครั้งหนึ่ง ก่อนที่เรามาเชื่อพระเจ้า เราเคยเป็นแบบนี้ เราอยู่ในบาป เราเป็นทาสของบาป เราประพฤติตนตรงกันข้ามกับพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า
ฉะนั้น คำว่า “เรา” ในข้อที่ 3 ตรงนี้ อาจารย์เปาโล หมายถึงคนยิว ซึ่งเป็นบุคคล พวกแรกที่พระเจ้าได้ทรงเลือกไว้ เพื่อเป็นผู้รักษากฎระเบียบที่ถูกถ่ายทอดมาทางอับราฮัม คนยิวจะมีบทบัญญัติของพระเจ้าที่ถูกสอน ต่อๆ กันมา ตั้งแต่สมัยพระคัมภีร์เดิม ที่พระเจ้าให้กฎบัญญัติ ให้กับโมเสส แล้วคนยิว ก็เอากฎบัญญัติ เหล่านี้มายึดเอาไว้ เมื่อก่อน ก่อนที่พระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ มาตายแทนเราบนไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาจากความตาย มนุษย์ทุกคนจำเป็นต้องพึ่งพากำลังของตนเอง ในการดำเนินชีวิต ในแต่ละวัน
แล้วคนยิว พระเจ้าก็เลือกเป็นกลุ่มคนพิเศษ ออกมาก่อน แล้วพระเจ้าก็ให้บทบัญญัติไว้ แล้วคนยิว เขาก็จะสอนบทบัญญัตินี้ ต่อเนื่องไปเรื่อยๆ โมเสสก็จะบอกกับคนอิสราเอลว่าอย่าให้หนังสือธรรมบัญญัตินี้ ห่างไกลจากท่าน ท่านจงตรึกตรองหนังสือนี้ ทั้งกลางวันและกลางคืน ให้ผูกไว้ที่ข้อมือ ให้แปะไว้ที่หน้าผาก ให้แปะไว้ที่เสาเรือน ให้แปะไว้ข้างฝา ถ้าพูดถึงปัจจุบัน ก็แปะไว้ที่ตู้เย็น แปะไว้ที่ตู้กับข้าว แปะไว้ที่ตู้น้ำดื่ม ก็คือเดินไปที่ไหนก็เจอถ้อยคำพระเจ้าเลย มันเป็นอย่างนั้น สมัยก่อนโมเสสก็สั่งอย่างนี้ แล้วคนอิสราเอลเขาก็ท่องบทบัญญัติ พอท่องบทบัญญัติ แล้วเขามีความรู้สึกภาคภูมิใจในความเป็นชนชาติของพระเจ้า ที่พระองค์เลือกสรรไว้
พอมีความภาคภูมิใจในความเป็นชนชาติของพระเจ้า ที่พระเจ้าเลือกสรรไว้ปุ๊บ คนอิสราเอลเขาก็จะเอาหางตามองชาติอื่น ที่ในพระคัมภีร์ใช้คำว่า “คนต่างชาติ” ไม่ว่าจะเป็นชาติไหน? ประเทศไทย ประเทศจีน ประเทศอินเดีย ประเทศอะไรก็แล้วแต่ คนยิวเขาเรียกคนต่างชาติหมดเลย แล้วเขาถือว่าคนต่างชาติ เป็นคนละระดับกับเขา ไม่ได้เป็นคนของพระเจ้า เขาไม่อยากจะเสวนาด้วย อะไรประมาณนั้น แต่พระเจ้าบอกความจริงให้กับคนอิสราเอลรับรู้ ว่าจริงๆ แล้วพระเจ้าแค่เลือกเขามาก่อน ให้มารักษาบทบัญญัติของพระเจ้า แต่ในอนาคตข้างหน้า เมื่อพระเยซูคริสต์เสด็จมา พระองค์ก็จะเลือกคนต่างชาติด้วย หมายความว่าข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์จะถูกประกาศไปถึงคนต่างชาติด้วย
คนอิสราเอล สมัยก่อน คิดว่า … “ฉันเป็นคนของพระเจ้า คนอื่นไม่สามารถเป็นคนของพระเจ้าได้”
แต่พระเจ้าบอกว่า … “แผนการนี้ ฉันเตรียมไว้ ตั้งแต่โน้น สมัยอดีตเลย ตั้งแต่ปฐมกาล ฉันเตรียมไว้แล้วแหละว่าความรอดนี้ เมื่อพระเยซูมาทำสำเร็จ คนยิวก็จะได้ก่อน”
คือมีสิทธิพิเศษ ที่พระเจ้าให้ จะได้ก่อน แต่เป็นเรื่องแปลกและก็เรื่องจริงด้วย คนยิวควรจะได้ก่อน แต่คนยิวก็ไม่เชื่อพระเจ้า อย่างที่เราเรียนไปเมื่อเช้าหนังสือยอห์น พระเยซูมาเดินอยู่ท่ามกลางเขา เขาก็ไม่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระมาซีฮาห์ เขาก็ไม่เอา ไม่เข้ามาขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า ยังคงภาคภูมิใจในการกระทำของตนเอง คิดว่าตัวเองสุดยอด เลอเลิศมาก สามารถรักษาบทบัญญัติของโมเสสได้เยอะแยะมากมาย ต่างกับพวกคนต่างชาติ ซึ่งไม่มีวัฒนธรรม ไม่เหมือนเขาหรอก เขาสุดยอดแล้ว
แต่พระเยซูกำลังบอกกับคนยิวว่ามันเท่ากัน ไม่ว่าเธอที่ถูกเลือกสรรมา หรือคนต่างชาติที่ไม่ได้มีบทบัญญัติของพระเจ้า เธออยู่ในกลุ่มเดียวกัน กลุ่มอะไร? ที่เราคุยกัน กลุ่มของคนบาป ถ้าพูดเหมือนอาจารย์นครพูด ก็คืออยู่ในต้นไม้ ต้นเดียวกัน เขาเรียกว่าต้นอาดัม อาดัมเป็นต้นพันธุ์ เป็นลำต้นบาป เป็นต้นไม้ที่เสียหายไปแล้ว ไม่สามารถจะผลิตผลดีอะไรเลย ไม่ว่าทั้งกิ่ง ทั้งใบ ทั้งดอก ทั้งผลจะออกมาดูสวยงามขนาดไหน? ในโลกวิญญาณ ก็คือมันเน่า พระเจ้ามองแล้ว มันเน่า ต่อให้ดูด้วยตาของมนุษย์ว่าสุดยอดเลย เขาเก่ง แต่พระเจ้าบอกว่ามันเสียหายไปแล้ว เขาเป็นเผ่าพันธุ์ที่ถูกสาปแช่ง เป็นเผ่าพันธุ์ที่จะต้องเดินทางไปสู่ความพินาศ ซึ่งจริงๆ แล้วเขาถูกตัดสินว่าพินาศไปแล้ว มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ถูกพระเจ้าตัดสินให้พินาศไปแล้วในวิญญาณ เพราะว่ามนุษย์เมื่อล้มลงในความบาปปุ๊บ ถูกตัดขาดจากพระเจ้า ไม่สามารถคืนดีกับพระเจ้าได้ ความสกปรกกับความบริสุทธิ์ของพระเจ้าอยู่ด้วยกันไม่ได้ แล้วมนุษย์ก็เป็นวิญญาณนิรันดร์ด้วย ที่แน่ๆ ที่น่ากลัวที่สุด คือวิญญาณของมนุษย์ทุกคน เป็นวิญญาณนิรันดร์ เพราะเป็นวิญญาณที่มาจากพระพระเจ้า
พอเป็นวิญญาณนิรันดร์ปุ๊บ พอถูกตัดสินว่าอยู่ในความพินาศ วิญญาณเขาก็อยู่ในความพินาศนิรันดร์นั่นเอง พระเจ้าวางแผนไว้ส่งพระเยซูคริสต์มา เพื่อที่จะมาช่วยมนุษยชาติทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นคนยิวหรือคนต่างชาติ เป็นความลี้ลับของพระเจ้า ที่พระองค์ได้วางแผนการไว้ล่วงหน้า ซึ่งมนุษย์ไม่สามารถเข้าใจได้
ตอนที่ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ไปถึงคนต่างชาติ ที่พระเจ้าให้เปาโลเป็นผู้ไปประกาศกับคนต่างชาติ ให้เขากลับใจใหม่ คนยิวเคืองมาก มีความรู้สึกได้อย่างไร? คนต่างชาติที่แบบไม่มีระดับ ไม่มีสกุลรุนชาติ จะมาเป็นลูกของพระเจ้าเหมือนเรา ได้อย่างไร? อะไรประมาณนั้น แต่พระเจ้าบอกว่าสามารถ
ใครก็ตามที่เข้ามาหาพระเจ้า ขอความช่วยเหลือจากพระเยซูคริสต์ คนนั้นก็ได้เข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้าเลย ส่วนคนยิวที่ถือตัวว่าตัวเองสามารถรักษาบทบัญญัติได้ ก็เย่อหยิ่ง ไม่ยอมเข้ามาขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า เป็นกลุ่มน้อยมากที่จะยอมรับ อย่างกลุ่มน้อยที่สุด ที่ในพระคัมภีร์บันทึก ก็คือพวกกลุ่มของสาวก และกลุ่มคนที่ติดตามพระเยซู ตอนที่พระเยซูยังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ แล้วจากนั้นข่าวประเสริฐของพระองค์ประกาศออกไป ก็จะมีกลุ่มน้อยมาก ในคนยิวที่เปิดใจมาต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด
พระเยซูบอกว่าไม่ใช่โดยปริยาย ที่คนอิสราเอลทั้งหมด จะได้รับความรอด เพราะเขาถือว่าเขาเป็นชนชาติของพระเจ้า ไม่ใช่ พอถึงเงื่อนไขใหม่ ที่พระเจ้าตั้งไว้ คือวันที่พระเยซูคริสต์เสด็จมาเกิดบนโลกใบนี้ มาสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ถูกฝัง และเป็นขึ้นมาจากความตาย ในวันที่ 3 เป็นเงื่อนไขใหม่ที่พระเจ้าบอกให้มนุษย์ทั้งหมด ทั้งคนยิวกับคนไม่ยิวว่า …
“ตอนนี้ฉันให้เงื่อนไขใหม่แล้วนะ ตามในหนังสือกิจการ ที่บอกว่าในผู้อื่น ความรอดไม่มี”
ในอะไรก็ได้ นาย ก. นาย ข. นาย A – นาย Z ที่บอกว่าเขาสามารถช่วยมนุษย์ให้รอดได้ ไม่มี ไม่สามารถทำได้ โกหก มีนามเดียวเท่านั้น ในพระคัมภีร์ที่บันทึกไว้ ก็คือนามของพระเยซูคริสต์ ทุกคนต้องเข้ามาหานามของพระเยซูคริสต์ เข้ามารับความช่วยเหลือจากพระเยซูคริสต์ นี่คือกฎ เงื่อนไขใหม่
แล้วในพระคัมภีร์ พระเจ้าได้บันทึกว่าในยุคของพระเยซูคริสต์นี้ พระเจ้าจะประทานบัญญัติใหม่ให้กับมนุษย์ ก็คือเปลี่ยนใจใหม่ให้กับมนุษย์ แล้วการเปลี่ยนใจใหม่ให้กับมนุษย์ พระเจ้าก็ทำไปแล้ว เมื่อมนุษย์คนหนึ่งคนใด เข้ามาขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า พระเยซูคริสต์ว่า …
“ฉันช่วยตัวเองไม่ได้ พระองค์เจ้าข้าช่วยด้วยๆ ลูกขอความช่วยเหลือ”
ปุ๊บ พระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็ทำการผ่าตัดวิญญาณ ผ่าตัดเอาใจหิน ใจข้างใน ที่เป็นใจหยาบ ใจบาป ใจที่ถูกพิพากษาไปแล้ว ใจที่อยู่ในความพินาศ พระองค์ก็ผ่าตัดเอาใจนั้นออกไป แล้วก็เอาใจใหม่ใส่เข้ามาในวิญญาณของเรา เมื่อใส่ใจใหม่เข้ามาในวิญญาณของเรา เป็นเหมือนพระเจ้าไม่มีผิด เป็นวิญญาณแห่งความรัก ทันทีที่เราบังเกิดใหม่ ข้างในวิญญาณเรา เป็นความรักเลย เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า ได้สามัคคีธรรมกับพระเจ้า
สมัยก่อน เราก็คิดอีก เราคิดจนพระเจ้าเปิดให้เห็นเยอะแยะมากมาย ซึ่งมันเหนื่อยเรา คือพอเราคิดด้วยกำลังของเราเอง เราก็ต้องทำด้วยตัวของเราเองใช่ไหม? สามัคคีธรรมกับพระเจ้า เราก็ว่าสามัคคีธรรม ต้องทำอย่างไร? เราต้องมาอยู่รวมตัวกัน เราต้องมาเรียนพระคัมภีร์ด้วยกัน เราต้องมาร้องเพลงด้วยกัน เยอะแยะมากมาย คือต้องๆ คือเราต้องทำหมด แต่ความจริงในโลกวิญญาณ พระเจ้าบอกว่าทันทีที่เราเข้ามาหาพระเยซูคริสต์ ขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า ทันทีที่เราบอกพระเจ้าว่า …
“พระองค์ช่วยด้วย”
พระเจ้าเปลี่ยนวิญญาณเราใหม่ พอเปลี่ยนปุ๊บ เราสามัคคีธรรมกับพระเจ้าเลย เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า และเป็นหนึ่งเดียวกันกับพี่น้องด้วย พี่น้องในพระคริสต์ ทุกคนที่เชื่อวางใจในพระเจ้า เราจะเป็นหนึ่งเดียวกัน แล้วเราก็รักกันเลย ในวิญญาณ ไม่เกี่ยวอะไรกับการประพฤตินะ เราจะรักกันเลยในวิญญาณ พี่น้องในโบสถ์ของเราเอง พี่น้องโบสถ์อื่น พี่น้องที่เป็นคริสเตียนทั่วโลกใบนี้ เรารักเขาเลย ในวิญญาณ แล้วเราก็สามัคคีธรรมกับเขา เป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นขนมปังก้อนเดียวกัน พระเยซูทำให้เห็น ตอนที่กินอาหารมื้อสุดท้าย ที่พระเยซูบอกว่า … “นี่คือกายของเรา” ขนมปังก้อนนี้ แบ่งๆ ให้ทุกคนกิน
“นี่คือกายของเรา จงกระทำอย่างนี้ ให้เป็นที่ระลึกถึงเรา”
ก็คือวันหนึ่งพระเยซูคริสต์จะเดินไปที่ไม้กางเขน พระกายของพระองค์จะแตกหัก ถูกเฆี่ยนตี ถูกโบยตี ถูกสวมมงกุฎหนาม ถูกเยาะเย้ยถากถาง เพื่อพวกเราจะได้รับการอภัยโทษบาปหมดเลย อดีต ปัจจุบัน อนาคต แล้วโดยโลหิตของพระเยซูคริสต์ ที่หลั่งออก ที่เราดื่มน้ำองุ่น
พระเยซูบอก … “นี่เป็นโลหิตของเรา เมื่อเจ้าดื่มจากถ้วยนี้เวลาใด ให้ระลึกถึงเรา”
ระลึกถึงอะไร? ระลึกถึงสิ่งที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำ เพื่อเราเรียบร้อยไปแล้ว บนไม้กางเขน
ฉะนั้น การทำมหาสนิท เราสามารถทำด้วยตัวเอง ที่บ้านได้ ระลึกถึง มันเป็นสัญลักษณ์ที่พระเยซูคริสต์บอกว่าทำเป็นแบบอย่างให้เราดูว่าทุกครั้ง ที่เราดื่มหรือกิน ให้ระลึกถึงสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ เพื่อเรา บนไม้กางเขน ก็คือระลึกถึงข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์แหละว่าพระองค์ทำอะไรให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว หลังจากที่พระองค์เป็นขึ้นมาจากความตาย พระเยซูคริสต์ได้ให้อะไรกับเราเรียบร้อยไปแล้วในโลกวิญญาณ ที่เราเรียนมาตลอดเลย ทันทีที่เราบังเกิดใหม่ เราเป็นผู้ชอบธรรม เราเป็นผู้บริสุทธิ์ เราเป็นลูกของพระเจ้า เราได้นั่งอยู่ที่เดียวกันกับพระเยซูคริสต์ เราอยู่ที่สวรรคสถานนิรันดร์กาลร่วมกับพระเยซูคริสต์ ในโลกวิญญาณ คือทุกอย่างได้หมดแล้ว
แล้วแถมสิ่งที่เราได้ ก็คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในเรา พอพระเจ้าชำระร่างกาย ความคิดจิตใจ วิญญาณเราสะอาด พระองค์ก็เข้ามาอยู่ในเรา พอพระเจ้าเข้ามาอยู่ในเรา เราต้องรับรู้ความจริงตรงนี้เลยว่าเราเดินไปไหน? พระเจ้าไปด้วย สมัยก่อนเราถูกหลอกอีกว่าอย่าไปทำอะไรไม่ดีนะ ถ้าทำบาป พระเยซูก็จะวิ่งออกจากตัวเราไป สมัยก่อน ดิฉันยังเคยสอน แบบนี้ เพราะถูกสอนมาแบบนี้ แล้วก็เข้าใจว่าเป็นแบบนี้
“ถ้าเธอทำบาป พระเยซูก็จะวิ่งออกจากตัวเธอไป แล้วถ้าเธอทำดี พระเยซูก็จะวิ่งเข้ามา”
แล้วเราก็เชื่อด้วย แต่ความเป็นจริง พระเยซูไม่วิ่งไปไหน พระเยซูบอกว่าพระองค์อยู่ในเรา ไม่ว่าเราจะทำอะไร ทำดี ทำไม่ดีก็ตาม พระเยซูก็อยู่ด้วยกับเรา แล้วพระเยซูก็ให้คำแนะนำ คอยช่วยเหลือเรา เวลาเราทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ตรงกันข้ามกับธรรมชาติใหม่ ที่เราเป็น
ธรรมชาติใหม่ที่เราเป็น คือความรัก ถ้าเกิดเราทำอะไร ข้างในวิญญาณเราถูกหลอกให้เกลียด มันตรงกันข้ามแล้วนะ ถูกหลอกให้เกลียดปุ๊บ พระวิญญาณข้างในก็จะบอกเรา …
“ลูกเอ๋ย ตอนนี้ลูกเป็นวิญญาณแห่งความรักแล้วนะ ไม่ใช่วิญญาณแห่งความเกลียด ลูกสามารถขัดขืน ไม่ทำตามระบบของโลกนี้ ที่มันหลอกลูกนะว่าให้ไปเกลียดชัง”
ข้างในวิญญาณเราจะรับรู้ พอพระเจ้าบอก เราก็ใช่ๆ ตอนนี้วิญญาณเราเป็นวิญญาณแห่งความรัก เราก็เริ่มต้นพัฒนา เขาเรียกว่าพัฒนาการเจริญเติบโต รับรู้ความจริงว่าตอนนี้ข้างในวิญญาณเรา ตัวจริงๆ ของเราเป็นอย่างไร?
จะเห็นภาพของมนุษย์ มนุษย์ที่เกิดมา เราเห็นเด็กๆ ที่คลอดออกมาใหม่ๆ คุณพ่อคุณแม่ก็จะคอยดูแลอย่างดี เช้า สาย บ่าย เย็น ถึงเวลาหิว ก็หาข้าวหาปลา ให้กิน ยิ่งเด็กทารก กินเก่งมาก ร้องปุ๊บ ได้กินนม แล้วเด็กคนนั้น ก็จะค่อยๆ เจริญเติบโต พอค่อยๆ เจริญเติบโต เด็กคนนั้น เขาจะมองที่คุณพ่อคุณแม่ เขาจะพัฒนาการเป็นมนุษย์ เขาเกิดมาเป็นมนุษย์แล้วนะ ไม่ต้องไปพยายามทำอะไร เพื่อให้เป็นมนุษย์มากขึ้น ไม่ต้อง แต่ว่าเขาจะพัฒนาความเป็นมนุษย์ของเขา ให้เจริญขึ้น
เด็กทุกคนจะมีพัฒนาการ เริ่มจากเป็นทารกยังทำอะไรไม่ได้ พอไม่กี่เดือน เขาก็ฝึกคว่ำตัว ฝึกกระดื๊บๆ ฝึกคลาน ฝึกตั้งไข่ ฝึกเดิน ฝึกวิ่ง แล้วก็เริ่มมอง มองดูคุณพ่อคุณแม่ว่าทำอะไร? เขาก็จะมอง แล้วเขาก็จะทำตาม เขาก็จะรับรู้ว่าอันนี้ คือลักษณะของมนุษย์ ลักษณะของคน เขาเป็นคน ไม่มีเด็กคนไหน โตจนวิ่งได้แล้ว 5-6 ขวบ ยังคลาน คลานอยู่นั่นแหละ พ่อแม่ก็จะบอกว่า …
“ลูกเอ๋ย ตอนนี้ลูกเดินได้แล้ว ลูกอย่าคลานนะ มันเป็นวัยที่ลูกไม่ควรคลานแล้ว”
ถ้าจะเล่นไม่เป็นไร? คลานเล่นแป๊บๆ ไม่เป็นไร แต่ไม่ได้หมายความว่าลูกจะคลานตลอดทั้งวัน ทั้งคืน ทุกวี่ทุกวัน มันไม่ได้ ลูกก็ควรฝึกพัฒนาตัวเองว่าตอนนี้ลูกควรฝึกเดิน พอโตอีกระดับหนึ่ง ลูกต้องฝึกอาบน้ำเอง ลูกฝึกใส่กางเกงเอง ฝึกใส่เสื้อเอง ตอนนี้ลูกฝึกกินข้าวเอง อาจจะกินข้าวใหม่ๆ ลูกเอาไม่เข้าปาก นึกภาพออกไหม? ใหม่ๆ จับช้อนไปซ้ายไปขวา แล้วก็จะเลอะเทอะหมดเลย แต่พ่อแม่ก็จะให้เขาฝึก แล้วเขาก็จะค่อยๆ ฝึก เล็งๆ ว่าปากเราอยู่ตรงนี้ เล็งๆ ก็เข้าปากไปเลย ค่อยๆ พัฒนาฝึกฝน นี่คือพัฒนาการของมนุษย์คนหนึ่ง
พระเจ้าก็จะฝึกฝนเราเหมือนกันในโลกวิญญาณ พัฒนาให้เราเจริญเติบโต ให้เรารับรู้ความจริงว่าตอนนี้เราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว พระเจ้าให้อะไรเราบ้าง เราเป็นอย่างไรในพระเยซูคริสต์ ตอนนี้เราเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลย เราเป็นความรัก เราเป็นความปลาบปลื้มใจ เราก็ค่อยๆ พัฒนา พอเรารู้ว่าเราเป็นอย่างนี้นี่เอง เราก็ฝึกฝน แล้วเราก็ค่อยๆ พอเรารับรู้ความจริงมากๆ ข้างในวิญญาณ หรือความคิด สมองของเรา ก็เริ่มยอมให้พระเจ้าใช้เรา ยอมให้พระเจ้าผลักดันจากข้างในนะ ไม่ใช่พยายามทำจากข้างนอก ผลักดันจากข้างใน ความเป็นจริงในการเป็นลูกของพระเจ้าออกมา เขาเรียกว่าส่งผลออกมา ผลของธรรมชาติใหม่ ที่เราเป็นออกมา นี่คือสิ่งที่เราจะทำ
ทุกวันนี้ ทำไมเราต้องมารับรู้ความจริง คุยอยู่นั่นแหละ เรื่องเดิม คุยเรื่องวิญญาณๆ วิญญาณต้องมาก่อน ความประพฤติมาทีหลัง เมื่อวิญญาณเรารับรู้ความจริงปุ๊บ การประพฤติมันจะออกมาเอง โดยธรรมชาติจริงๆ จากข้างในวิญญาณของเรา
ตรงนี้ อาจารย์เปาโลก็บอกว่า “ครั้งหนึ่ง” ก่อนที่เรามาเชื่อพระเจ้า พูดกับ 2 กลุ่มนะ กลุ่มคนยิวกับกลุ่มคนต่างชาติว่า …
“เมื่อก่อน พวกเธอยังไม่มาเชื่อพระเจ้า เธอก็อยู่ในต้นไม้เดียวกัน เธออยู่ในธรรมชาติบาป แต่ ณ วันนี้ เธอบริสุทธิ์แล้ว เมื่อก่อนเธอเป็นศัตรูกับพระเจ้า แต่ตอนนี้ ณ เวลานี้ เธอเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เธออยู่พวกเดียวกันกับพระเจ้า เธอไม่ได้เป็นศัตรูกับพระเจ้า เธออยู่ในพระคุณของพระเจ้า ฉะนั้น รับรู้ความจริงตรงนี้ว่าตอนนี้เธอเป็นอย่างนี้แล้วนะ ฉะนั้น ให้ความจริงตรงนี้ได้ปรากฏออกไป”
เมื่อเรารู้ว่าเราไม่ได้อยู่ในบาป เราไม่มีธรรมชาติบาปแล้ว พี่น้องต้องจำตรงนี้ คริสเตียนทุกคน ณ เวลานี้ ธรรมชาติใหม่ของเราไม่มีบาปแล้ว วิญญาณเราสะอาด บริสุทธิ์ หมดจด ไม่มีบาปเลย นั่นคือธรรมชาติใหม่ของเรา พอเรารับรู้ความจริง แต่อย่างที่บอกไง ความจริงตรงนี้ คือเรายังอยู่ในโลกของกฎความบาปและความตาย ร่างกายเรายังเป็นร่างกายเดิมใช่ไหม? สมองเรา ถูกชำระให้สะอาดแล้ว แต่ยังมีโอกาสที่จะรับสื่อที่อยู่ภายนอกเข้ามาได้ ดังนั้น สื่อที่ส่งเข้ามา จากข้างนอก พยายามที่จะโน้มน้าวเราไปทำตามวิถีเดิม คือความเคยชินเก่าๆ ที่เราเคยทำ สิ่งที่ไม่ถูกต้อง แล้วเราก็ไม่ได้รู้สึกอะไร? ทำไปก็รู้สึกโอเค สะใจดี เหมือนกับสมมติถ้ามีคนมาทำร้ายเรา เราก็โต้ตอบกลับไปให้ร้ายกว่าเดิม แล้วเราก็สะใจดี แต่พอ ณ เวลานี้ เราเชื่อพระเจ้าแล้ว มันไม่สะใจ ถ้าเราตอบโต้ไปแบบนี้ ข้างในเราจะรู้สึกทรมาน พอเราเป็นคริสเตียนแล้ว เราแพ้ความบาป
สมัยก่อน มีพี่น้องคนหนึ่ง เขาบอกว่าคริสเตียนทำบาปไม่ขึ้น ทำบาปปุ๊บ ข้างในเราจะทรมาน คำว่า “แพ้” พี่น้องนึกภาพนะ เดี๋ยวนี้เขามีการแพ้อาหาร ถ้าบอกว่าแพ้เฉยๆ แพ้ความบาป เราอาจจะไม่เข้าใจ ยังไง แพ้ความบาป คืออะไร? เราดูภาพนะ มีบางคนแพ้อาหารทะเล บางคนอาหารเป็นพิษ กินปุ๊บ มันผะอืดผะอม ไม่ไหวแล้ว ออกอาการทุกอย่าง คริสเตียนเหมือนกัน แพ้ความบาป เราสะอาดบริสุทธิ์แล้ว วิญญาณเราเป็นเหมือนพระเจ้าแล้ว พอเราทำบาปปุ๊บ เกิดอาการแพ้ ผะอืดผะอม แล้วเราก็ทรมาน
เมื่อก่อน ยังไม่เชื่อพระเจ้า เราทำบาป ไม่ทรมานขนาดนี้ แต่พอเรามาเชื่อพระเจ้าปุ๊บ ทำบาปปุ๊บ ข้างในเราทรมาน ผะอืดผะอม ข้างในเราไม่ไหว เราแพ้ ถ้าแพ้แล้วเราไม่เข็ด เรายังไปทำอีก อาการแพ้มันจะสำแดงออกอีก พอแพ้เยอะๆ ไม่ไหวแล้ว มันแพ้เยอะไป เราไม่เอาดีกว่า ไม่ทำดีกว่า อะไรประมาณนั้น
แล้วอาจารย์เปาโลก็จะสอนว่า “ตอนนี้เธอไม่ได้เป็นทาสของบาปแล้ว เธอจะยังไปทำบาปอีกทำไม?” ประมาณนี้
ซึ่งเราก็รับรู้ความจริงตรงนี้ว่าตอนนี้เราไม่ได้อยู่ในธรรมชาติบาปแล้ว เราไม่ได้เป็นทาสของบาปอีกต่อไป เราไม่จำเป็นจะต้องไปเชื่อฟังอิทธิพลของบาป ที่ส่งเข้ามา พยายามที่จะโน้มน้าว พยายามที่จะหลอกล่อ หลอกลวงให้เราไปหลงกล แล้วก็ทำตามมัน ทำทีไร เราก็ทุกข์ทุกที แต่ไม่ได้หมายความว่าพอเราไม่ยอม แล้วเราไม่ทำ คริสเตียนยังทำบาปอยู่ไหม? ยังทำบาปอยู่ นี่คือความจริงในโลกวัตถุ แต่ในโลกวิญญาณคริสเตียนทำบาปไม่เป็น พอความจริงในโลกวัตถุ คริสเตียนยังทำบาปอีก ถ้าทำบาปอีกแล้วทำอย่างไร? ทำบาปอีก เราก็ลุกขึ้นมาใหม่ แล้วก็รับรู้ความจริงใหม่ เราพลาดไปแล้ว เราก็ปรับปรุงใหม่
เหมือนคนแพ้อาหารทะเล เผลอลืมไปกิน กินปุ๊บ อาการมันออก บวมๆ เรารับรู้แล้ว ตรงนี้เราแพ้ เราลืม เราเผลอ ทำอย่างล่ะ คราวหน้าก็ระวังมากขึ้น พอเจออาหารทะเล แม้เราจะน้ำลายสอ เราก็จะพยายามไม่ไปยุ่ง ไม่ไปแตะ ไม่ไปกิน อะไรอย่างนี้ แต่โอกาสเผลอมีไหม? โอกาสเผลอมี บางคนไม่ได้เผลอเฉยๆ บางคนอยากมาก อยากกิน ไปกินยาแก้แพ้ก่อน แล้วก็ไปกินมันนิดหนึ่ง อะไรประมาณนั้น มันก็ทรมาน
ฉะนั้น ความจริงในโลกวิญญาณมันเป็นอย่างนี้ พอเรารับรู้ความจริงปุ๊บ เราก็จะสามารถมีกำลังในการที่จะต่อต้าน พอทำบาปเยอะๆ เราก็เหนื่อย เหนื่อยมากๆ เราก็เลิกไปเอง เลิกไปเอง หมายความว่าทำน้อยลง ไม่ได้เลิกแบบ 100% คริสเตียนจะเลิกทำบาป 100% ตอนไหนพี่น้องรู้ไหม? ตอนวิญญาณเราออกจากร่าง คือตอนเราตายนั่นแหละ ตายเมื่อไร? เราก็ไม่ทำบาปแล้ว เพราะร่างกายนี้ถูกทิ้งแล้ว วิญญาณที่สะอาดบริสุทธิ์ของเรา ก็ไปอยู่กับพระเจ้า คือ ณ เวลานั้น อยู่ที่สวรรคสถาน อยู่จริงๆ ไม่ใช่เหมือนตอนนี้ที่เราต้องใช้ความเชื่อเอา แต่นั่น เราไปอยู่จริงๆ ไปเจอพระเจ้าหน้าต่อหน้าจริงๆ เลย แล้วก็ไปรับร่างกายใหม่ ที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้กับเราจริงๆ ด้วย อันนี้ คือความเป็นจริงในโลกวิญญาณ ความหวังใจตรงนี้แหละ ทำให้เรามีกำลังในการเดินบนโลกใบนี้ แล้วก็มั่นใจว่าพระองค์ไม่ทิ้งเราแน่นอน เจออะไรที่ทุกข์ยากลำบาก อธิษฐานขอพระเจ้าได้นะพี่น้อง
“พระองค์เจ้าข้า ยากเหลือเกิน ลำบากเหลือเกิน ช่วยลูกด้วย”
แต่หลายครั้ง “ช่วยลูกด้วย” พระเจ้าก็ไม่ได้ให้ผ่านไปเนอะ แต่พระเจ้าบอกว่าพระคุณของพระองค์มีมากเพียงพอ สำหรับพวกเราทุกๆ คน ให้เราสามารถผ่านได้
ยกตัวอย่าง 2 ตัวอย่างแล้วเราจะจบ ตัวอย่างคำอธิษฐานขอ แล้วพระเจ้าบอก “ไม่” พระเจ้าบอกอย่างไรเธอก็ต้องเจอ อะไรประมาณนั้น
ตัวอย่างแรก คือพระเยซูคริสต์ พี่น้องจำได้ใช่ไหม? พระเยซูคริสต์ตอนก่อนที่จะเดินไปที่ไม้กางเขน สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน พระเยซูรู้หมด เพราะพระองค์เป็นพระเจ้า รู้ว่าพระองค์จะต้องไปเจออะไร? จะต้องถูกจับ ถูกโบยตี ถูกเฆี่ยนตี ถูกสวมมงกุฎหนาม ถูกตรึงบนไม้กางเขน จนเลือดหยดสุดท้าย แล้วพระองค์ก็สิ้นพระชนม์ พระองค์สละวิญญาณของพระองค์เอง จริงๆ พระองค์เป็นพระเจ้า ไม่มีใครฆ่าพระองค์ได้หรอก แต่พระองค์ยอมยกเลิกวิญญาณ เพื่อมนุษยชาติ
ตอนที่พระเยซูไปที่สวนเกทเสมเน พระเยซูก็อธิษฐานขอพระเจ้า มันทุกข์มาก ทุกข์ทรมาน รู้ว่าจะไปเจออะไร? ในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า แล้วสิ่งที่พระเยซูคริสต์อธิษฐาน คือ …
“พระองค์เจ้าข้า ให้ถ้วยนี้เลื่อนผ่านไปได้ไหม?”
“ถ้วยนี้” หมายความว่าภารกิจ หรืออะไรที่ต้องไปเผชิญ ตรงนี้ไม่อยากเจอ ให้ผ่านไปได้ไหม? แต่อย่างไรก็ตาม ให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ พระเยซูอธิษฐานถึง 3 ครั้ง แล้วพระเยซูจบลง ประโยคเดียวกัน คือ …
“ให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์”
พอหลังจากนั้น ทูตสวรรค์ก็มาเล้าโลมใจ แล้วพระเยซูก็เดินไปที่แดนประหาร ถูกตรึงบนไม้กางเขน ตอนที่พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน พระองค์เป็นมนุษย์จริงๆ มีเลือด มีเนื้อ เจ็บเป็น ทุกข์เป็น กลัวเป็น เหมือนมนุษย์ไม่มีผิดเลย แล้วพระเยซูยอมเดินไปที่ไม้กางเขน แล้วถูกตรึงที่นั่น จนสิ้นพระชนม์ ตอนที่พระเยซูสิ้นพระชนม์ พระเยซูบอกว่า …
“สำเร็จแล้ว”
ก็คือภารกิจทั้งหมด ที่พระเยซูบอกไม่ไปได้ไหม? แต่จบ พระเยซูก็ไป ทำให้สำเร็จ คือการไถ่ถอนมนุษยชาติ ให้สามารถมาคืนดีกับพระเจ้า จนถึงทุกวันนี้ พระเยซูทำสำเร็จแล้ว ครั้งเดียว จบ
แล้วจากนั้น คนที่ 2 คือเปาโล อาจจะมีคนเยอะกว่านั้น แต่ในพระคัมภีร์บันทึกชัดเจนมาก 2 คน ในพระคัมภีร์ใช้คำว่า “เปาโลมีหนามในเนื้อ” ไม่รู้ว่าหนามในเนื้อ คืออะไร? อาจจะเป็นโรคภัยไข้เจ็บ ที่หนักหนาสาหัสสากัน ถ้าเป็นปัจจุบัน อาจจะเป็นโรคมะเร็ง ที่พอปวด คือปวดจนทนไม่ไหว
“พระองค์เจ้าข้า ทนไม่ไหว ช่วยด้วย ให้หายเลยได้ไหม?” อะไรประมาณนั้น
เปาโลอธิษฐาน 3 ครั้งเหมือนกัน แต่พระเจ้าพูดกับเปาโลว่า …
“การที่มีคุณของเราอยู่กับเจ้า ก็เพียงพอแล้ว”
ก็คือไม่ตอบคำอธิษฐานขอของเปาโล แต่ว่าพระเจ้ามีพระคุณเพียงพอ สำหรับเปาโล ที่จะสามารถผ่านมันไปได้ พร้อมๆ กับหนามในเนื้อนี่แหละ ความทุกข์ยากลำบาก ทั้งร่างกาย ทั้งจิตใจ ทั้งสิ่งแวดล้อม ทั้งอะไรทั้งหมด พระเจ้าก็ให้เปาโลสามารถผ่านไปได้ มีพระคุณ
พวกเราเหมือนกัน ก็เผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก ในแต่ละคน ไม่เหมือนกัน ความทุกข์ของคนหนึ่ง กับความทุกข์ของอีกคนหนึ่ง เทียบกันไม่ได้ เพราะขนาดของความทุกข์ หรือกำลังของแต่ละคน ที่จะแบก มันไม่เท่ากัน บางคนแค่ไม่มีข้าวกินวันหนึ่ง ทุกข์จะเป็นจะตาย แต่บางคนอดมา 5 วัน 10 วันแล้ว ไม่มีข้าวกิน เขายังสามารถแบกได้ ประมาณนั้นแหละ หรือเป็นความทุกข์แบบที่เขาเปรียบเทียบพระราชากับประชาชน
พระราชาไม่เคยทุกข์ ไม่เคยหิวข้าว เพราะว่ากินอิ่มทุกมื้อ วันหนึ่งออกไปข้างนอก เดินทาง
แล้วมีคนมาบอก … “พระราชาพักหน่อยเถอะ หิวมาก ลูกน้องทุกคนหิวมาก ขอพักกินข้าวหน่อยได้ไหม?”
พระราชาบอก … “หิวคืออะไร? ไม่ต้องพักหรอก ไปเถอะ หิวนิดเดียวเอง”
เขาก็เลยไม่รู้จะอธิบายให้พระราชาฟังได้อย่างไรว่าความหิวมันคืออะไร?
เขาก็เลยบอกพระราชาว่า … “ความหิวมันเหมือนคนปวดฟันเลย”
ต่อให้เป็นพระราชาก็ปวดฟันเป็น พอพระราชาฟังอย่างนี้ พระราชารีบสั่งว่า … “หยุดๆ หยุดเกี้ยวเลย ให้ทุกคนไปกินข้าวก่อน”
เพราะรู้พิษสงของความปวดฟันว่าเวลาปวด แทบตาย ประมาณนั้น นึกภาพออกไหม?
ฉะนั้น ขนาดของความทุกข์ของแต่ละคนไม่เท่ากัน แต่พระเจ้ารู้ว่าแต่ละคนสามารถรับได้แค่ไหน? อย่างไร?
พระเจ้าอวยพรค่ะ
*********************
จากใจคณะศิษยาภิบาล
“จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าเสมอ ข้าพเจ้าขอย้ำอีกครั้งว่าจงชื่นชมยินดีเถิด! ให้ความสุภาพอ่อนโยนของท่าน เป็นที่ประจักษ์แก่คนทั้งปวง องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ใกล้แล้ว อย่ากระวนกระวายในเรื่องใดๆ เลย แต่จงทูลขอทุกสิ่งต่อพระเจ้า ด้วยการอธิษฐานและการอ้อนวอน พร้อมกับการขอบพระคุณ แล้วสันติสุขของพระเจ้า ซึ่งเกินความเข้าใจจะปกป้องความคิดจิตใจของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์ สุดท้ายนี้พี่น้องทั้งหลาย จงใคร่ครวญถึงสิ่งที่เลอเลิศ หรือสิ่งที่ควรสรรเสริญ คือสิ่งที่จริง สิ่งที่น่านับถือ สิ่งที่ถูกต้อง สิ่งที่บริสุทธิ์ สิ่งที่น่ารัก สิ่งที่น่ายกย่อง” ฟีลิปปี 4:4-8 TNCV
สิ่งที่เรามองเห็นทุกวันนี้ ที่เกิดขึ้นรอบตัวเรา มีแต่สิ่งที่ทำให้เราตกใจกลัว ท้อแท้ หมดกำลังใจ ไม่ว่าจะเป็นโควิด 19 ที่เพิ่มความรุนแรงมากขึ้นทุกวัน มีคนติดเชื้อเพิ่มขึ้นทุกวัน มีคนตายเพิ่มขึ้นทุกวัน ไหนจะปัญหาเรื่องการกิน การอยู่ การงานที่ต้องหยุดชะงัก ความหวาดกลัวที่ประดังเข้ามาผ่านทางข่าวสารต่างๆ ที่ถูกส่งผ่านเข้ามา ตาเราได้เห็น หูเราได้ยิน ล้วนทำให้เราขาดกำลังใจ
ทำอย่างไรจึงจะสามารถทำให้เราหลุดจากความวุ่นวายเหล่านี้ได้ ถ้อยคำพระเจ้าบอกเราว่าสิ่งที่ตาเรามองเห็นนั้น เป็นสิ่งชั่วคราว เกิดขึ้นแล้ว มีวันจบ ฉะนั้น เราไม่ควรให้ความยากลำบาก ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น หรือความกระวนกระวาย เข้ามายึดพื้นที่ในชีวิตของเราจนหมด โดยการจดจ่อกับปัญหาที่เรามองเห็น ซึ่งอยู่เพียงชั่วคราวเท่านั้น
แต่ให้เราจับตาดูสิ่งที่มองไม่เห็นในโลกวิญญาณ ที่พระเจ้าทรงประทานให้เราเรียบร้อยไปแล้ว ซึ่งจะอยู่กับเราถาวรนิรันดร์ ซึ่งเทียบกันไม่ได้เลย อาจารย์เปาโลบอกว่าความทุกข์ยากเล็กๆ น้อยๆ ที่เราเผชิญอยู่นี้ ไม่สามารถเทียบกับศักดิ์ศรีนิรันดร์ที่พระเจ้าให้กับเราได้เลย
พระเจ้าอวยพรค่ะ