วารสาร Holy News ฉบับที่ 1357

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  27  มีนาคม  2022

เรื่อง “การปลอบประโลมจากพระเจ้า  ท่ามกลางความทุกข์ลำบาก” ตอน 3

“เจ้าจะบริสุทธิ์ (ดีพร้อม) เพราะเราบริสุทธิ์ (ดีพร้อม)”

โดย นคร   เวชสุภาพร

 

วันนี้การบรรยาย ตอนที่ 3 ของซีรี่ย์นี้ คือซีรี่ย์ “การปลอบประโลมจากพระเจ้า ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก” ตอน 3 ผมให้ชื่อเรื่องว่า “เจ้าจะบริสุทธิ์ดีพร้อม เพราะเราบริสุทธิ์ดีพร้อม” เราจะมาเรียนรู้กันต่อ ถึงถ้อยคำพระเจ้าในหนังสือ 1 เปโตร ซึ่งเป็นถ้อยคำแห่งการหนุนใจ ให้กำลังใจอย่างมาก สำหรับผู้เชื่อทั้งหลาย 2 ตอน เรียนรู้ไปแค่ 13 ข้อ

13 ข้อมาแล้ว เรียนรู้ถึงเรื่องของความเชื่อ ความหวังใจ ในความรอดนิรันดร์ การได้รับการบังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ ได้เป็นลูกของพระเจ้า ที่พระเจ้าได้ประทานให้แล้ว ซึ่งเป็นความหวังเดียว ที่เหลืออยู่ของคริสเตียนทุกสมัย โดยพระเจ้าเป็นผู้กระทำทุกสิ่ง ทุกอย่าง ทั้งหมด ทั้งความเชื่อ ก็ประทานให้ การบังเกิดใหม่ ก็ประทานให้ ทุกอย่าง เป็นผู้ประทานให้เพียงผู้เดียว เราไม่ทำอะไรเลย เราเรียนรู้กันไปแล้วนะ จาก 13 ข้อ ในบทที่ 1 ประทานให้หมดเลย แม้กระทั่ง พอได้รับความรอดนิรันดร์ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ได้รับชีวิตนิรันดร์ ไปอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าแล้ว ก็ยังปกปักษ์คุ้มครอง ดูแล วิญญาณที่พระองค์ไถ่ไว้ ก็คือเราทั้งหลาย ด้วยฤทธานุภาพอำนาจอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ที่ไม่มีวันสูญสิ้นไปได้เลย แสดงว่าผลของการบังเกิดใหม่นั้น ความรอดนนิรันดร์นั้น ไม่มีวันสูญสิ้น พูดพร้อมกันว่า “เอเมน”

พระเจ้ามีพระนามว่าพระเจ้าแห่งเอเมน คือพระองค์ทรงกระทำให้ทุกอย่าง เรามีหน้าที่เอเมน อย่างเดียว เอเมน คือรับเอา ภาษาพระคัมภีร์ว่าอย่างไร? นั่นแหละๆ เพราะฉะนั้น เวลาใครพูดถ้อยคำพระเจ้า อะไรที่เกี่ยวกับโลกวิญญาณ เกี่ยวกับผลของข่าวประเสริฐที่เราได้รับเรียบร้อยแล้ว มันตรงกับผลนั้น ใน 13 ข้อที่อ่าน เราก็บอกว่า …

“มันใช่ เอเมนเอา”

แม้กระทั่งคนไม่เชื่อ ก็สามารถเอเมนได้นะ คนที่ยังไม่รู้จัก ยังไม่ได้รับผลของข่าวประเสริฐ ข่าวประเสริฐก็มีไปถึงเขาเหมือนกัน เขาเพียงแค่รับเอา ทำอะไร? ทำ “เอเมน” คือรับเอาเฉยๆ ที่เหลือพระองค์ทรงกระทำทั้งหมด

เพราะฉะนั้น เมื่อเราได้รับผลตามความรอดนิรันดร์นี้แล้ว 13 ข้อ ที่อ่านมา ที่ศึกษามาก่อนหน้านี้แล้ว ก็จะไม่มีใครมาทำร้ายเรา ไม่มีใครมาเอาเราออกจากมืออันทรงฤทธิ์ของพระเจ้าไปได้เลย แม้แต่นิดเดียว  นี่กำลังพูดถึงโลกวิญญาณ ไม่เกี่ยวอะไรกับความปลอดภัย กำลังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ คำว่าไม่มีใครมาทำร้ายเรา ไม่มีใครมาขโมยเรา หรือเอาเราออกไปจากมือของพระเจ้าได้ นี่เกี่ยวกับโลกวิญญาณ ที่เราบังเกิดเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว พระคัมภีร์ได้บันทึกเอาไว้ เยอะแยะมากมาย บอกว่าเมื่อเราบังเกิดใหม่แล้ว เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว พระเจ้าจะไม่ทอดทิ้งเราให้เราอยู่เพียงลำพัง เป็นเหมือนเด็กกำพร้า แต่พระองค์จะคอยปกปักษ์คุ้มครองดูแล อยู่กับเราตลอดเวลา เพราะฉะนั้น ไม่ต้องกลัว พูดอย่างนี้เสมอ ไม่มีใครสามารถขโมยแกะออกไปจากคอกของเราได้ พระเยซูบอกไม่มีใครมายุ่งกับท่านได้อีกต่อไปแล้ว เพราะท่านเข้ามาอยู่ในคอก อยู่ในครอบครัวของพระเจ้าแล้ว

เพราะฉะนั้น เราทั้งหลายปลอดภัยอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว เอเมน ปลอดภัยโดยใคร? โดยที่ตัวเราเองเป็นผู้ปกปักษ์คุ้มครองดูแลความปลอดภัยนั้นหรือ? ไม่ใช่ ใครดูแล? พระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ โดยพระเจ้าเองเป็นผู้ปกปักษ์คุ้มครองดูแลเรา ด้วยพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระองค์ มีเพลงภาษาอังกฤษอยู่เพลงหนึ่ง ที่เขาชอบให้เด็กๆ ร้อง จะเอามาร้องตรงนี้เลย แปลเป็นไทยดีกว่า คือท่านอยู่ในพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระเจ้า พระเจ้ามีท่านอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ กำท่านไว้ แล้วท่านไปกลัวอะไร?

เพราะฉะนั้น เราจึงไม่ต้องกลัวอะไรเลย นี่กำลังพูดถึงโลกวิญญาณ ซึ่งเป็นตัวตนของเราแท้ๆ ของมนุษย์ทุกคนที่จะอยู่นิรันดร์กาล เราอยู่ในพระเจ้าแล้ว ไม่มีการเปลี่ยนแปลง เพราะฉะนั้น ไม่ต้องกลัว แม้ความตายทางฝ่ายร่างกาย การทุกข์ทรมาน การถูกคมดาบ การถูกข่มเหงรังแก ไม่ต้องกลัวสิ่งเหล่านี้ เพราะสิ่งเหล่านี้ที่เกิดขึ้น ไม่สามารถมาทำอันตรายเราได้เลย ไม่สามารถมาทำร้ายวิญญาณของเราที่อยู่ในพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระเจ้าได้เลย ไม่มีทางที่จะมาเอาเรา กระชากเรา ออกไปจากพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระเจ้าได้เลย เพราะเราอยู่ในพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์นี้แล้ว และในพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์นี้ คือในพระเยซูคริสต์ เราได้ถูกย้ายเข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว

นี่คือความเป็นจริงของโลกวิญญาณ ที่พระเยซูชี้ให้เราเห็น บอกให้เราผู้เชื่อทั้งหลายว่าเมื่อท่านเข้ามาอยู่ในพระองค์แล้ว 13 ข้อนี้เกิดขึ้นในชีวิตของท่านเรียบร้อยแล้ว ความจริงในโลกวิญญาณเป็นเช่นนั้น ท่านจะได้ไม่ต้องกลัว ในวิญญาณท่านถึงแม้ตอนนี้ ต้องทนทุกข์ทรมานชั่วขณะหนึ่ง คือวิ่งหนี เอาตัวรอด หัวซุกหัวซุน ก็ตาม ไม่ต้องกลัว พระเยซูหนุนใจ ให้กำลังใจ ชี้ความจริงในโลกวิญญาณว่าเกิดอะไรขึ้นกับท่านแล้วจริงๆ โดยผ่านทางการเผยพระวจนะของเปโตร เราปลอดภัยแน่นอน

“เรา” ในที่นี้ คือเฉพาะผู้เชื่อสมัยที่พระคัมภีร์นี้เขียนไปถึงหรือ? คือผู้เชื่อชาวยิวที่หนีระเหเร่ร่อน กลัวเขาตามล่า ข่มเหง รังแก เปล่าเลย?  เขียนถึงผู้เชื่อทุกๆ คน เพราะมีผลแห่งความรอด คือความเชื่อนี้ เหมือนกัน คือเชื่อในพระเยซูคริสต์ ผู้เดียวกัน

แล้วลองคิดดูสิ คริสเตียนในสมัยนั้น หมายถึงคริสเตียนที่อยู่ในยุคโรมันเรืองอำนาจ ที่อยู่ในยุคที่ถูกข่มเหงรังแก จากจักรพรรดิเนโร ถูกทดลองความเชื่อต่างๆ นานามากมาย ที่เราได้เรียนรู้ไปแล้ว ทดลองความเชื่อของเขาว่าเขาเชื่อจริงไหม? เชื่อจริงต้องโดนแน่ โดนข่มเหงรังแก เพราะอยู่คนละพวกกัน ในทางวิญญาณ ถูกใส่ร้าย ป้ายสี ถูกตามล่า ตามฆ่า ในสมัยนั้น คริสเตียน ผู้คนเหล่านี้ ถูกทดลอง ด้วยความทุกข์ทรมานต่างๆ ต้องโดนความทุกข์ลำบากในใจด้วย ไม่ใช่ความทุกข์ลำบากในกายว่าวิ่งหนีเขาอย่างเดียว หรือว่าถูกทรมานอย่างเดียว ถูกตามล่า ตามฆ่าอย่างเดียว ไม่ใช่แค่นั้น แต่ในใจทุกข์ทรมาน เพราะว่าถูกจับได้ ต้องพูดความจริง มีสักกี่คนที่พูดความจริง

“ท่านเป็นคริสเตียนหรือเปล่า?”

การทดลองในใจ เขาต้องโกหก ปฏิเสธว่าไม่ใช่คริสเตียน เรารู้ได้อย่างไร? หนี ก็แสดงว่ากลัว นี่เป็นความประพฤติด้านนอก เขาต้องถูกทดลอง ถูกความทุกข์ทรมานในใจ ต้องปฏิเสธว่าไม่ใช่คริสเตียน ไม่รู้จักพระเยซู เพราะไม่อยากทนทุกข์ ทรมาน เป็นเรื่องธรรมดา เห็นไหม? พระเยซูจึงได้ให้กำลังใจด้วยถ้อยคำใน 1 เปโตร บทที่ 1 ที่เราได้เรียนรู้ไป 13 ข้อนั้น  13 ข้อ ทำให้เกิดความมั่นใจว่าที่เขาทุกข์ในใจ นอกเหนือจากทุกข์ทางกายแล้วว่าเขาได้รับความรอด เขาปฏิเสธพระเยซู เขาแย่แล้ว เขาเหมือนเปโตรเลย ปฏิเสธพระเยซูตั้ง 3 ครั้ง เขาหนีพระเยซูไป พระเยซูกำลังบอกอะไร? บอกไม่เกี่ยวเลย คนละเรื่องเลย วิญญาณเขาได้รับการไถ่ อยู่ในเราเรียบร้อยแล้ว เขาได้รับชีวิตนิรันดร์แล้ว ยังไง เขาก็อยู่ในความรอดนิรันดร์ ให้เขาสบายใจว่าต่อให้เขาปฏิเสธพระเยซู ไม่เชื่อพระเยซู บอกผู้คนว่าไม่ได้เป็นคริสเตียน แล้วถูกจับได้จริงๆ ถูกประหารชีวิต เขาอยู่ในสวรรค์หรือเปล่า? อยู่ เขาอยู่ก่อนปฏิเสธอีก เพราะเขาถูกย้ายมาตั้งแต่เริ่มเชื่อพระเยซูแล้ว เห็นไหม? ใน 12 ข้อนี้บอกความจริง  ทำให้เขาเป็นอิสระจากความกลัว ความทุกข์ใจ แทนที่จะทุกข์กายอย่างเดียว ทุกข์ใจด้วย ในใจเขาจะเกิดความรู้สึกอย่างไร? อ่าน 12 ข้อนี้บ่อยๆ เขาจะรู้สึก “เฮ้อๆ”

นึกถึงภาพสิว่าคนเหล่านั้น ต้องหนี ขณะที่หนี ไม่เชื่อพระเยซูหรือ? เชื่อ แต่กลัว กลัวถูกจับ กลัวเหมือนกับเพื่อน หรือญาติพี่น้องที่ถูกจับไปแล้ว ถูกทรมาน ต้องหนี จะเห็นภาพในความเป็นจริงในโลกวิญญาณ เป็นเช่นไร?

ดังนั้น กำลังใจจากถ้อยคำพระเจ้าในหนังสือ 1 เปโตร บทที่ 1 ทั้ง 13 ข้อที่เราได้เรียนรู้กันไป 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมาก และสำคัญมาก และเป็นความหวังเดียวของคริสเตียน ที่กำลังเร่ร่อนหนีเอาตัวรอด จากการถูกข่มเหงรังแกอย่างหนักใช่หรือไม่? เขาอาจจะต้องทนทุกข์ทรมานกับทางร่างกาย ความทุกข์ ที่ถูกข่มเหงรังแก แต่ในวิญญาณ ในใจของเขา เป็นอิสระ มีสันติสุข ที่เต็มล้นไปด้วยพระคุณและสันติสุขของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์ใช่หรือไม่? และมันจะล้นด้วยพระคุณ และล้นด้วยสันติสุขในพระเยซูคริสต์ที่เกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจได้ ก็ต่อเมื่อเขาได้เรียนรู้ว่าข่าวประเสริฐ มันเกิดผลอะไรกับเขา เมื่อเขาเชื่อ และผลของข่าวประเสริฐล้ำค่านั้นเป็นเช่นไร? ใน 13 ข้อนี้ใช่หรือไม่? ถึงบอกว่ามันสำคัญมาก

ซึ่งถึงแม้พวกเขาต้องมีชีวิตอยู่ท่ามกลางความหวาดระแวง ท่ามกลางภัยอันตรายต่างๆ รอบด้าน แต่เขาเหล่านั้น ก็มีความมั่นใจว่าเขายังคงอยู่ในความรอด ยังอยู่ในการบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว  เขาได้อยู่ในพระคริสต์ ในพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ ได้รับความรอดของพระเจ้าตลอดเวลานิรันดร์แล้ว อยู่ในสวรรค์แล้วกับพระเจ้าตลอดนิรันดร์กาล เดี๋ยวนี้ก็อยู่ และเมื่อตายจากโลกใบนี้ เขาก็อยู่ในสวรรค์ พ้นจากการพิพากษาให้พินาศในนรก  เขาอยู่ในสวรรค์กับพระองค์อย่างแน่นอน ตลอดชั่วนิรันดร์  เอเมน

เขาก็มีกำลังใจ มีความหวังตรงนี้แหละ ที่จะเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก ความน่ากลัว ความหวาดเสียวกับการถูกข่มเหงรังแกอย่างรุนแรง อย่างนั้นได้ ซึ่งเราสามารถเอาตรงนี้ มาใช้กับชีวิตของเรา ผู้เชื่อทั้งหลายบนโลกใบนี้ได้ เราได้เรียนรู้กันไป 2 ตอนที่แล้ว เพราะว่าเมื่อเขารู้อย่างนี้ เขาก็รู้ว่าผู้คนทั้งหลาย ทำร้ายเขา ข่มเหงรังแกเขาเพียงแค่ร่างกายนี้ บนโลกใบนี้เท่านั้น ซึ่งพระเยซูบอกว่ามันเพียงแค่ชั่วขณะหนึ่ง แป๊บเดียว เหมือนจุดฟูลสต๊อปจุดหนึ่งของหนังสือพระคัมภีร์ทั้งเล่ม นึกถึงภาพ  ความทุกข์ยากลำบากเหมือนจุดๆ หนึ่ง หนังสือพระคัมภีร์ทั้งเล่มมีประโยคเยอะแยะขนาดไหน?  มีตัวหนังสือเยอะแยะ ความทุกข์ยากลำบากนี้เหมือนจุดๆ หนึ่งในนั้น มันนิดเดียว แป๊บเดียว มันเทียบกับชีวิตนิรันดร์ ที่เรามีชัยชนะนั้น ไม่ได้เลย พวกเขาสามารถทำร้ายเรา ข่มเหงเราแค่เฉพาะร่างกาย ทุกข์ทรมานเท่านั้น แต่ทางวิญญาณ เราได้รับความรอด ได้รับการปกปักษ์คุ้มครองดูแลรักษาความรอดนั้น โดยพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ เอเมน เขาจึงสามารถมีสันติสุขในพระเยซูคริสต์ที่เกินกว่าความคิดของมนุษย์จะเข้าใจ มีเงื่อนไขว่าเขาต้องรู้ตรงนี้ก่อน รู้ 12 ข้อนี้ ที่พระเยซูชี้แจง ให้เห็นก่อน

เพราะฉะนั้น สรุป ก็คือคริสเตียน ผู้เชื่อ ไม่ว่าจะอยู่ในยุคไหน? สมัยไหน? ที่ได้เป็นคริสเตียน ที่ได้รับการบังเกิดใหม่ เชื่อจากการบังเกิดใหม่ ได้รับผลของความเชื่อ ใน 12 ข้อ ใน 1 เปโตร บทที่ 1 เขาจะไม่มีวันสูญเสียความรอด หรือสูญเสียฐานะความเป็นลูกของพระเจ้าไปได้เลย แม้แต่นิดเดียว พูดง่ายๆ คือ …

“รอดแล้ว รอดเลย”

รอดตั้งแต่เมื่อไร? รอด คือผลของ 1 เปโตร 1:1-12 จะได้จำได้ พอบอกความรอดปุ๊บ ก็นึกถึง 12 ข้อนี้เลย มันมีอะไรบ้าง? แจงเป็นอะไรบ้าง? ถ้าให้ชัดเจนกว่านั้น ก็คืออ่านจากพระคัมภีร์ แล้วก็ฟังจาก 2 ตอนที่แล้ว ที่ผมได้บรรยายในซีรี่ย์นี้

ฉะนั้น ผลของความรอด คือ 12 ข้อนี้ นี่เป็นผล ได้แล้วได้เลย ไม่มีเปลี่ยนแปลง คือรอดแล้วรอดเลย ตั้งแต่วินาทีแรกที่ตอบรับคำเชิญ กลับมาหาพระเจ้า และขอพระเจ้า ให้ช่วย  คือร้องเรียก ออกพระนามของพระเจ้า พระผู้ช่วยให้รอด ที่เรียกพระมาซีฮาห์ พระคริสต์เท่านั้น

“โอ้! พระมาซีฮาห์ ช่วยข้าด้วย”

นี่คือสิ่งที่มนุษย์ทุกคนต้องทำ เรียกกันว่าเปิดใจ เรียกว่ากลับใจ เท่านั้นเอง ไม่ใช่เชื่อพระเยซูเป็นพระเจ้า ไม่ใช่นะ เพราะไม่มีใครสามารถเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระมาซีฮาห์ได้ ถ้าเขาไม่ได้บังเกิดใหม่

ย้ำอีกทีก็ได้ ไม่มีมนุษย์คนใด ที่ตายอยู่ในอาดัม พินาศอยู่ในความบาปของตนเอง แล้วสามารถที่จะเรียกพระเยซูว่าพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระคริสต์ สามารถเชื่อ วางใจในพระเยซู ไม่มีทางเป็นไปได้เลย  เขาต้องได้รับการช่วยเหลือจากพระเจ้า ให้เขาบังเกิดใหม่เสียก่อน เขาจึงสามารถที่จะเชื่อได้ พูดง่ายๆ พระเจ้าประทานความเชื่อ เราเรียนรู้ไปแล้วนะ 2 ตอนที่แล้ว เป็นอย่างนี้นะ

เพราะฉะนั้น สิ่งเดียวที่มนุษย์ทั้งหลายต้องทำ ก็คือเปิดใจ รับคำเชื้อเชิญของพระเจ้า ที่ได้กระทำให้สำเร็จเรียบร้อยแล้วทุกอย่าง โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน แล้วบอกว่า …

“มนุษย์ทุกคนเอ๋ย เราเรียกท่านเรียบร้อยแล้ว เราเชิญท่าน เข้ามารับเอา 12 ข้อนี้ไป”

มนุษย์ทำอะไร? 12 ข้อ 1 ในนั้น ก็คือเชื่อว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้า ความเชื่อในพระเยซูด้วย รับไหม 12 ข้อ? รับครับ รับแล้วทำอย่างไร? ก็รับคำเชิญสิ หันหลังกลับ แล้วมาหา บอก …

“พระเจ้าช่วยด้วย”

ช่วย เพราะอะไร? … “เพราะข้าพเจ้าเป็นคนบาป ไม่สามารถที่จะช่วยเหลือตัวเองได้ ที่จะได้รับ 12 ข้อนี้ เพราะฉะนั้น พระเจ้าช่วยข้าพเจ้าด้วย”

ออกพระนามของพระเจ้า พระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอด ก็คือเปิดใจต้อนรับพระเยซูเท่านั้น สิ่งเดียวที่มนุษย์จะทำ ก็คือแค่นั้น และหลังจากนั้น ทั้งหมด เกิดการ ตูม อัศจรรย์ใหญ่เกิดขึ้น ในวิญญาณของคนๆ นั้น จนกระทั่ง ไปถึงชีวิตนิรันดร์ หลังความตาย เป็นหน้าที่ของพระเจ้าทั้งสิ้น แค่กลับมาหาพระเจ้า แล้วก็บอกว่า …

“ไม่ไหวแล้ว ทำด้วยตัวเองไม่ไหวแล้ว เหนื่อยเหลือเกิน คงไปไม่รอดแน่ พระเจ้าช่วยด้วยเถิด”

แค่นี้เอง ที่เหลือจากนั้น เป็นหน้าที่ของพระเจ้า กระทำทั้งหมด ทุกอย่าง 12 ข้อนี้ และข้อสำคัญ คือพระองค์กระทำทั้งหมด และพระองค์กระทำให้แล้ว มันสำเร็จเรียบร้อยแล้ว ที่ในพระเยซูคริสต์

12 ข้อนั้น ถ้านับเป็นอาหาร 12 จาน … 12 จานนั้น วางอยู่บนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว ทำให้หรือยัง? ทำให้แล้ว ปรุงรสหรือยัง ปรุงรสเรียบร้อยแล้ว เชฟ คือพระเจ้า ปรุงรสผ่านทางพระเยซูให้เรียบร้อยแล้ว วางเสิร์ฟบนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว จัดเตรียมไว้ให้หมดเลย มีอะไรบ้างในนั้น 12 ข้อนี้บอกให้จบเลย ไปอ่านดูอีกทีก็ได้ และผู้ที่ดูแลโต๊ะอาหารนั้น ก็คือพระเจ้าเอง มองดูอยู่ แล้วพระเจ้าก็ส่งการ์ดไปเชิญมนุษย์ทุกคนเลย มาเข้างานเลี้ยงนี้ 1 ในจานนั้น ก็มีความเชื่อในพระเยซูคริสต์ด้วย เพราะฉะนั้น มนุษย์ที่เดินอยู่ข้างนอก ได้ยินคำเชิญของพระเจ้า มีงานเลี้ยงที่นี่ …

“ไม่เอา หากินเองดีกว่า ยังช่วยตัวเองได้”

คนที่ช่วยตัวเองไม่ได้ แล้วก็หิวกระหายในโลกวิญญาณมาก ไม่ไหวแล้ว ก็หันหลังกลับมา รับคำเชิญ แค่นั้น คือเปิดประตูเข้าบ้านพระเจ้า เปิดใจต้อนรับพระเยซู คือเปิดใจให้พระเจ้าเข้ามา หรือเปิดใจเข้าไปสู่บ้านของพระเจ้าที่จัดเลี้ยงอยู่นั้น เข้าไปกินเลี้ยงด้วย จบ 12 ข้อนี้ก็เป็นของเขา เขาก็กินพร้อมกันเที่ยวเดียวเลย นี่ยกตัวอย่างให้เห็นแบบง่ายๆ เพราะฉะนั้น พระเจ้ากระทำให้สำเร็จแล้ว วางอยู่บนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว

ใน 1 เปโตร 1:13 ที่เราได้จบไปเมื่อตอนที่แล้ว จะอ่านทวนสักนิดหนึ่ง …

1 เปโตร 1:13 “เพราะฉะนั้น (เมื่อรู้ตัวตนที่แท้จริงในวิญญาณของท่านแล้ว และฐานะอันสูงส่ง คือเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงเป็นอื่น) จงเตรียมความคิดจิตใจให้พร้อม   จงรู้จักบังคับตนเอง (เตรียมความประพฤติ ที่จะมีต่อทุกสถานการณ์ ที่เผชิญบนโลกวัตถุที่จับต้องมองเห็นได้นี้ อ่อนโยน อ่อนสุภาพ เต็มไปด้วยความรัก การอภัย) จงตั้งความหวังแน่วแน่ ในพระคุณความรอด ที่ครบถ้วนบริบูรณ์ (ในโลกวิญญาณ) ซึ่งจะประทานแก่ท่าน เมื่อพระเยซูคริสต์ เสด็จมาปรากฏ”

 

“เพราะฉะนั้น” หมายถึงอะไร? สังเกตคำว่า “เพราะฉะนั้น” หรือคำว่า “เหตุฉะนั้น” ในพระคัมภีร์สำคัญมากเลยนะ “เพราะฉะนั้น” หรือ “เหตุฉะนั้น” หรือคำว่า “ดังนั้น” หรือคำว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว” เราจะได้ยินบ่อยๆ “เมื่อเป็นเช่นนี้” “เมื่อเป็นอย่างนี้” หรือ “ดังนั้น” หรือ “เหตุฉะนั้น”

แล้วเราลองอ่านเมื่อสักครู่นี้ ขึ้นต้นด้วยคำว่าเพราะฉะนั้น แล้วต่อด้วยคำว่าอะไร?  จงให้ธรรมชาติที่อยู่ภายในสำแดง ฉายแสงออกมาภายนอกนั่นเอง

เพราะฉะนั้น คืออะไร? คือเพราะว่าใน 12 ข้อ ที่พูดถึงท่านเป็นใครในพระเยซูคริสต์ ที่ท่านบังเกิดใหม่แล้ว ท่านเป็นอย่างไรเรียบร้อยแล้ว เพราะฉะนั้น เมื่อท่านรู้แล้วใช่ไหม? เมื่อรู้ตัวตนที่แท้จริงในวิญญาณของท่านแล้ว และรู้ฐานะอันสูงส่งว่าเป็นลูกพระเจ้าแล้ว ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงเป็นอื่นอีกแล้ว จาก 12 ข้อนั้น ก็จงเตรียมความคิด จิตใจให้พร้อม จงรู้จักบังคับตน

12 ข้อนี้ เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ ในวิญญาณ เราเป็นลูกพระเจ้า พอรู้แล้วว่าเป็นลูกพระเจ้าแล้ว ตอนนี้มาถึงโลกวัตถุแล้ว รู้แล้วใช่ไหม? ก็จง ก็คือมาถึงโลกวัตถุ มาถึงความประพฤติบนโลกใบนี้แล้ว จงเตรียมความคิดจิตใจให้พร้อม จงรู้จักบังคับตน เตรียมความประพฤติที่จะมีต่อทุกสถานการณ์บนโลกใบนี้ ที่กำลังเผชิญ และต้องเผชิญ จนถึงวันตาย บนโลกวัตถุที่จับต้องมองเห็นได้นี้ ด้วยความอ่อนโยน อ่อนสุภาพ เต็มไปด้วยความรัก และการอภัย นี่หมายถึงเตรียมจิตใจให้พร้อม ให้เป็นไปด้วยกันกับที่ท่านได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าข้างในเรียบร้อยแล้ว มันหมายถึงอย่างนี้

เตรียมให้พร้อม เพราะถ้าท่านรู้ความจริงใน 12 ข้อนี้ ก็คือจดจ่ออยู่กับความจริง 12 ข้อนี้ตลอดเวลา รู้ว่าท่านเป็นใครในพระเยซูคริสต์ ท่านก็จะมีจิตใจที่พร้อม พร้อมที่จะมีปฏิกิริยาตอบโต้ กับปัญหาในชีวิต หรืออะไรต่างๆ ที่เข้ามา

ยกตัวอย่างเช่น ถูกเขาข่มเหงรังแก ถูกเขากล่าวหาว่าเผากรุงโรม ถูกเขาตามล่าอะไรต่างๆ เมื่อรู้จัก 12 ข้อนี้แล้วใช่ไหม? เตรียมพร้อมในจิตใจ ก็คือเมื่อถูกข่มเหงรังแก ทำอะไร?  อภัยให้เขา อภัยให้ จะอภัยให้ได้ต่อเมื่อ มีคนสอนให้อภัยหรือ? ไม่ใช่ อภัยเมื่อรู้ว่า …

“ฉันเป็นใครในพระเยซูคริสต์ ฉันเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เขาทำอย่างนั้นลงไป เพราะเขาไม่รู้ว่าเขาทำอะไรลงไป ฉันรู้แล้ว ฉันได้รับความรอดแล้ว ฉันกลับสงสารคนที่ทำฉันมากกว่า”

เหมือนพระเยซูไหม? เหมือนพระเยซูถูกเฆี่ยน ถูกตี ถูกทนทุกข์ทรมาน พระองค์บอกว่า …

“อภัยให้เขาเถิดพระบิดา เพราะเขาไม่รู้ว่าเขาทำอะไรลงไป”

พระองค์ทรงรักมนุษย์ทุกคน เพราะว่ารู้ความเป็นจริงแล้วไง เพราะฉะนั้น ตอนนี้พูดถึงผู้เชื่อ ที่รู้ความเป็นจริงแล้ว มันก็จะเห็น นี่คือคำว่า “เตรียมความคิด จิตใจให้พร้อม”

“จงตั้งความหวังแน่วแน่ ในพระคุณ ความรอดที่ครบถ้วนบริบูรณ์ สมบูรณ์เรียบร้อยแล้ว เห็นไหมครับ? เพราะว่าเราตั้งความหวังไว้ ที่ความจริงในโลกวิญญาณ ในความรอด โดยพระคุณของพระเจ้า ใน 12 ข้อนี้ ซึ่งพระเจ้าได้กระทำให้ทั้งหมดใน 12 ข้อนี้ เมื่อพระเยซูคริสต์เสด็จมา ก็คือตั้งความคิด มีความหวังไว้แน่วแน่ในความจริงในโลกวิญญาณ ใน 12 ข้อนี้ จนกว่าพระเยซูคริสต์จะปรากฏ คือจนกว่าพระเยซูคริสต์จะเสด็จมาพิพากษา หรือจนกว่าเราจะไปพบกับพระเยซูคริสต์ หรือจนกว่าเราจะตายนั่นเอง

เพราะฉะนั้น เราจึงเห็นว่าพระเยซูกำลังชี้ให้เราเห็นธรรมชาติ ที่อยู่ภายในของเราว่าเป็นใคร ในพระเยซูคริสต์ แล้วทำอะไร? ให้เราปล่อย ให้เราฉายแสงตรงนั้นออกมา ภายนอก คือพระองค์กำลังชี้ให้เราเห็นตัวตนที่แท้จริงในวิญญาณ ที่ได้บังเกิดใหม่แล้วของเรานั่นแหละ พอชี้ให้เห็นแล้วจึงทำอะไร? อ่อนโยนมาก ค่อยๆ แนะนำให้เราประพฤติ ปฏิบัติ กระทำตามธรรมชาติที่อยู่ข้างใน ตัวของเรานั่นแหละ ภาษาพระคัมภีร์เขาเรียกว่าให้มันสำแดงออกมา ฉายแสงออกมา ให้สมกันกับที่เป็นลูกของพระเจ้า ที่ได้รับความรอด บังเกิดใหม่ ได้รับ 12 ข้อนั้นไปเรียบร้อยแล้วในโลกวิญญาณนั่นเอง

พูดง่ายๆ ว่าเมื่อบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ก็ให้สวมเสื้อผ้าให้มันสมกับเป็นลูกของกษัตริย์อันยิ่งใหญ่ จอมราชาของเรา คือพระเยซูคริสต์ว่าเราเป็นลูกของพระองค์แล้ว เราควรจะสวมเสื้ออะไรในแต่ละวัน ตื่นเช้ามา ก็ไปที่ตู้เสื้อผ้าฝ่ายวิญญาณ แล้วก็เลือกสวม วันนี้จะสวมอะไรดี สวมความรัก สวมการให้อภัย สวมความอดทน สวมความปิติยินดีใน 12 ข้อนี้ หรือจะสวมความเกลียดชัง ความอิจฉา ริษยา เลือกสวมเอา ทั้งที่เราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว ควรจะเลือกเอา อยู่ในการตัดสินใจของเรา ตามที่พระเจ้าบอกมา

วันนี้เราจะมาต่อในข้อ 14 “การปลอบประโลมจากพระเจ้า ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก” ตอนที่ 3 “เจ้าจะบริสุทธิ์ ดีพร้อม เพราะเราบริสุทธิ์ ดีพร้อม” 1 เปโตร 1:14-16 …

1 เปโตร 1:14-16 “14 ในฐานะที่ได้รับการบังเกิดใหม่ ได้เป็นลูกที่เชื่อฟังพระเจ้าแล้ว อย่ายอมกระทำตามตัณหาชั่ว ซึ่งในอดีตเคยครอบครองท่าน ให้ท่านทำตาม ด้วยความโง่เขลา ในขณะที่ท่านยังไม่รู้ความจริงของข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ 15 แต่ท่านทั้งหลาย จงหมั่นฝึกฝน ประพฤติตนให้บริสุทธิ์ (ดีพร้อม) ในการทุกอย่างที่ท่านทำ เหมือนที่พระองค์ ผู้ทรงเรียกท่านนั้น บริสุทธิ์ (ดีพร้อม) 16 เพราะมีเขียน เผยพระวจนะไว้ว่า “เจ้าจะบริสุทธิ์ เพราะเราบริสุทธิ์” (เลวีนิติ11:45)

 

ข่าวประเสริฐ ข่าวดีของพระเจ้า ที่เราเรียนรู้กันในพระคัมภีร์ทั้งหมด เป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น จำได้ใช่ไหมครับ? ต้องระลึกอยู่ในใจเสมอนะ

ในข้อ 14 “ในฐานะที่ได้รับการบังเกิดใหม่ ได้เป็นลูกที่เชื่อฟังพระเจ้าแล้ว” อันนี้พูดถึงโลกวิญญาณนะ ได้เกิดใหม่แล้ว “อย่ายอมกระทำตามตัณหาชั่ว” ก็หมายถึงการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกวัตถุ ที่ตาจับต้องมองเห็นได้ ก็คือความประพฤติบนโลกใบนี้แล้วนะ เห็นไหม? มันคนละอัน กลับมาตามธรรมชาติของบนโลกใบนี้ เขาเรียกว่าความประพฤติบนโลกใบนี้

ความประพฤติบนโลกใบนี้บอกว่า … “อย่ายอมประพฤติตามตัณหาชั่ว” ประพฤติตามตัณหาชั่ว “ซึ่งในอดีต เคยครอบครองท่าน ให้ท่านทำตาม ด้วยความโง่เขลา” ตัณหาชั่ว ก็คือกิเลสตัณหาชั่ว ในการทำสิ่งที่ไม่ดีต่างๆ เหล่านั้น ซึ่งในอดีตก่อนที่เราจะเปิดใจต้อนรับพระเยซู ได้รับผลของความเชื่อนี้ 12 ข้อ ได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ในอดีต เราเคยถูกครอบครอง เป็นทาสของความชั่วร้ายเหล่านี้ อิทธิพลของความชั่วเหล่านี้ ครอบครองเรา บังคับเรา ข่มขู่เรา ชักจูงเรา ให้เราทำตามมันด้วยความโง่เขลา

“โง่เขลา” คือรู้ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ยังพึ่งพาตนเองอยู่ ยังนึกว่าตนเองสามารถทำดี ได้แล้ว เป็นผู้ชอบธรรมด้วยการกระทำของตนเองได้ อย่างนี้เขาเรียกว่าโง่เขลา

“ให้ท่านทำตามด้วยความโง่เขลา” ไม่รู้ว่านั่น คือความชั่วร้าย ที่จะทำให้เราได้รับผลที่ไม่ดี แต่เรามีทางชนะ โดยผ่านข่าวดีของพระเยซูคริสต์ เรายังไม่รู้

“ในขณะที่ท่านยังไม่รู้จักความจริงของข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์” คือในขณะที่ท่านยังไม่ได้เชื่อ ยังไม่ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ยังไม่ได้เปิดใจต้อนรับคำเชิญของพระเจ้า นั่นแหละ ก่อนหน้านั้น ท่านเป็นทาสของความชั่วร้ายนี้ มันหมายถึงอย่างนั้น

ในข้อ 15 อันนี้ต้องตั้งใจอธิบายยาวหน่อย ในข้อ 15 บอกว่า … “แต่ท่านทั้งหลาย จงหมั่นฝึกฝน ประพฤติตนให้บริสุทธิ์ ดีพร้อม ในทุกอย่างที่ท่านกระทำ” แต่ตอนนี้ท่านบังเกิดใหม่แล้ว ในโลกวิญญาณ เป็นลูกพระเจ้าแล้ว จงหมั่นฝึกฝน ประพฤติตน ก็คือมาบนโลกวัตถุแล้ว ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ทั้งๆ ที่รู้จักพระเจ้า ทั้งๆ ที่เป็นลูกพระเจ้าแล้ว ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้อยู่ แต่ท่านทั้งหลายจงหมั่นฝึกฝน ประพฤติตนให้บริสุทธิ์ ดีพร้อม ในการทุกอย่างที่ท่านทำ เหมือนที่พระองค์ผู้ทรงเรียกท่านนั้นบริสุทธิ์ และดีพร้อม

ในข้อ 16 ย้ำยืนยันว่า … “เพราะมีเขียนเผยพระวจนะไว้ว่า ‘เจ้าจะบริสุทธิ์ เพราะเราบริสุทธิ์’” ซึ่งมาจากเลวีนิติ 11:45

ท่านทั้งหลายต้องหมั่นประพฤติตน ให้ดีพร้อม ในทุกอย่างที่ท่านทำ เหมือนที่พระองค์ ผู้ทรงเรียกท่านนั้น บริสุทธิ์และดีพร้อม

ผมจะอธิบายตั้งแต่ข้อ 16 ก่อน เพื่อท่านจะได้เข้าใจ ตรงนี้ว่าเจ้าจะบริสุทธิ์ หมายถึงอะไร? เพราะมีการเข้าใจผิด ตีความในข้อนี้ผิด พอผิด มันจะขัดแย้งกับ 12 ข้อ ที่เราได้รับเรียบร้อยแล้ว  ซึ่งเป็นความจริงในโลกวิญญาณ ที่พระเยซูอธิบายให้ฟังว่าเราบังเกิดใหม่แล้ว เป็นเช่นไร ไม่เปลี่ยนแปลงแล้ว

ผมจะเริ่มจากข้อ 16 … “เพราะมีเขียนเผยพระวจนะไว้ว่า ‘เจ้าจะบริสุทธิ์ เพราะเราบริสุทธิ์’ ท่านว่าแปลว่าอะไร? เพราะมีเขียนเผยพระวจนะไว้  ใครเป็นคนเผย? จำได้ไหม? นี่คือพระคัมภีร์เดิม ใครเป็นคนเผย? พูดพร้อมกัน “พระเยซูคริสต์” “วิญญาณของพระคริสต์” เป็นผู้เผย เรารู้แล้วนะ พระเยซูคริสต์เป็นผู้เผย วิญญาณพระเยซูคริสต์เป็นผู้เผยในอดีต เผยพระวจนะ คือบอกล่วงหน้า จะเกิดอะไรขึ้น บอกว่าอย่างไร? …

“เจ้าจะบริสุทธิ์ เพราะเราบริสุทธิ์”

เจ้าจะบริสุทธิ์ นี่เผยล่วงหน้า บอกล่วงหน้าว่าเจ้าจะบริสุทธิ์ ตอนนี้บริสุทธิ์หรือยัง? ยัง ถูกไหม? “เจ้า” คือใคร? คือมนุษย์ทั้งหลาย มนุษย์ทั้งหลายจะบริสุทธิ์ กำลังพูดถึงโลกวัตถุ หรือโลกวิญญาณ? พอพื้นฐานถูก มันก็จะไป กำลังพูดถึงโลกวิญญาณ เจ้าจะมีวิญญาณ ที่บริสุทธิ์  มีหรือยัง? เผยพระวจนะ คือบอกล่วงหน้า เพราะว่าเราบริสุทธิ์ “เรา” ในที่นี้ ก็คือพระเจ้า  พระเจ้าบริสุทธิ์แล้ว แต่พวกเจ้าจะบริสุทธิ์ ก็คือบอกล่วงหน้าว่าวันหนึ่ง เราจะมาทำให้เจ้าบริสุทธิ์ และวันนั้น สำเร็จแล้ว ก็คือพระเยซูคริสต์ ตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นจากความตาย แล้วก็ตะโกนบอกว่า … “สำเร็จแล้ว” … ในตอนที่ถูกตรึงที่ไม้กางเขน

สำเร็จแล้ว คือเจ้าจะบริสุทธิ์ นั้นก็คือเจ้าได้บริสุทธิ์แล้ว เหมือนเราเลย เราเหมือนพระเจ้า เราเหมือนพระเยซูคริสต์ เราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ได้ มันแปลว่าอย่างนั้น

ในการเผยพระวจนะนี้บอกว่าเจ้าจะบริสุทธิ์ และเราบริสุทธิ์ จำได้ใช่ไหม? จำได้ ตอนนี้ เจ้าบริสุทธิ์แล้ว ก็คือตอนนี้ พวกท่านที่เชื่อ ในพระเยซูคริสต์ ท่านได้ 12 ข้อไปแล้วนั้น  12 ข้อนั้น บ่งบอกว่าท่านบริสุทธิ์ ตามคำเผยพระวจนะนี้แล้ว

เพราะฉะนั้น มาข้อ 15 ได้แล้ว เมื่อท่านเป็นผู้บริสุทธิ์ สะอาดแล้ว พระเจ้าปกปักษ์คุ้มครองดูแลความบริสุทธิ์นี้ ความดีพร้อมนี้ ไว้ด้วยตัวของพระองค์เองแล้ว ในวิญญาณของท่านแล้ว ถูกไหม? เพราะฉะนั้น ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ท่านก็หมั่นฝึกฝน ประพฤติตนให้บริสุทธิ์ ดีพร้อม ทุกอย่าง เหมือนที่ในวิญญาณท่านที่บังเกิดใหม่ เป็นผู้บริสุทธิ์แล้วนั่นแหละ เป็นผู้ดีพร้อมแล้วนั่นแหละ จำพระเยซูคริสต์พูดได้ไหม? พระเยซูมาเผยพระวจนะเหมือน อันนี้เผยด้วยตัวของพระองค์เอง ที่เดินอยู่บนโลกใบนี้ ในหนังสือมัทธิว บทที่ 5 ยุคที่พระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว ประกาศเรื่องนี้เหมือนกัน ด้วยตัวของพระองค์เอง บนโลกใบนี้เลย ในมัทธิว 5:48 พระองค์เผยพระวจนะไว้อย่างนี้ว่า …

มัทธิว 5:48 (เผยพระวจนะ)  “เพราะฉะนั้น  พวกท่านต้องเป็นคนดีพร้อม  เหมือนอย่างที่พระบิดาของท่าน  ผู้สถิตในสวรรค์ทรงดีพร้อม”

 

ตอนที่พระองค์พูดอยู่นี้ ทรงกระทำให้สำเร็จหรือยังคำเผยพระวจนะนี้ ยัง ตอนที่พูดอยู่นี้ ยังนะ แม้จะเกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว แต่ยังไม่ได้ตายที่ไม้กางเขน พระองค์ก็เป็นผู้เผยพระวจนะ ใครเป็นผู้พูด? พระเยซู อันนี้ ไม่ต้องถามนะ เพราะพระเยซูเกิดมาเป็นพระเยซูอยู่ร่างมนุษย์เลย  พระเยซูเผยพระวจนะเหมือนกันบอกว่า …

“เพราะฉะนั้น พวกท่านต้องเป็นคนดีพร้อม เหมือนอย่างที่พระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์ ทรงดีพร้อม” ก็คือท่านต้องบริสุทธิ์ และดีพร้อม เหมือนอย่างที่พระบิดาของท่าน ผู้สถิตในสวรรค์ทรงดีพร้อม กำลังพูดถึงเรื่องเดียวกัน คือวิญญาณของท่าน จะต้องดี ครบถ้วนบริบูรณ์ เหมือนกับวิญญาณของพระเจ้า ที่ดี ครบถ้วนบริบูรณ์แล้วนั้น เพื่อท่านจะได้เข้ากับพระเจ้าได้ ถ้าท่านไม่ดีเหมือนพระเจ้า ท่านจะเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าไม่ได้ ท่านจะบังเกิดใหม่ก็ไม่ได้ มันหมายถึงอย่างนั้น

เพราะฉะนั้น พวกท่านต้องเป็นคนดีพร้อม  เพราะฉะนั้น ก็แสดงว่าก่อนหน้านี้  บทที่ 5 ก่อนมาถึงข้อ 48 พระเยซูพูดอะไร? อย่างที่ผมบอก คอยสังเกตคำว่า “เพราะฉะนั้น” “เหตุฉะนั้น” “เมื่อเป็นเช่นนี้” ก็ต้องดูก่อนหน้านั้นว่าเขาพูดถึงอะไร? เพราะฉะนั้น ก็หมายถึงพระเยซูกำลังสอน ตั้งแต่บทที่ 5 มา จนถึงเดี๋ยวนี้ สอนเกี่ยวกับอะไร? ท่านทั้งหลายไม่ได้เป็นคนล่วงประเวณี ไม่ได้เป็นคนฆ่าคน ท่านทั้งหลายภูมิใจมาก …

“ฉันไม่ได้ฆ่าคนตามกฎโมเสส บอกว่าไม่ให้ฆ่าคน ฉันก็ไม่ได้ฆ่า โมเสสบอกว่าไม่ให้ล่วงประเวณี ฉันก็ไม่ล่วง เพราะฉะนั้น ฉันเป็นผู้ชอบธรรม”

พระเยซูกำลังชี้ว่าในวิญญาณของท่าน มันเป็นคนบาปอยู่ วิญญาณของท่านมันสกปรก วิญญาณของท่านมันตายอยู่ ชี้ให้เห็นด้วยวิธีอะไร? พระเยซูรู้ไหมถ้าท่านจะดีพร้อม แบบพระเจ้าบริสุทธิ์ ท่านบอกท่านไม่ได้ฆ่าคน แค่คิดว่าเขาว่าไอ้บ้า แค่นี้ก็เท่ากับฆ่าคนตายแล้ว ท่านเย่อหยิ่งตัวเอง บอกว่า “ฉันไม่ได้ล่วงประเวณี” เลยใช่ไหม? จะบอกให้ฟัง ถ้าให้ดีพร้อม เหมือนพระเจ้า ที่ดีพร้อมนั้น  คือแค่ท่านคิดในใจ ก็เท่ากับทำแล้ว มีใครบ้างไม่คิด ไม่อะไรเลยสักอย่างหนึ่ง นี่พูดเยอะแยะ ยาวใน 47 ข้อมานี้ กำลังบอกว่าเพราะฉะนั้น ท่านทำดีอย่างไร มันก็ไม่สามารถเป็นคนดีพร้อม ในวิญญาณท่านดีพร้อม เป็นไปไม่ได้

ข้อ 48 จึงบอกว่าเพราะฉะนั้น พวกท่านต้องเป็นวิญญาณที่ดีพร้อม ที่บริสุทธิ์เท่านั้น เหมือนพ่อของท่าน ที่เป็นความบริสุทธิ์  ดีพร้อมนั่นเอง  เห็นชัดไหม?  เพราะฉะนั้น เมื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซู ได้รับผลของความเชื่อในพระองค์ คือได้รับการบังเกิดใหม่และ 12 ข้อ ใน 1 เปโตร บทที่ 1 แล้วนั้น เมื่อเกิดมาแล้ว เกิดใหม่เรียบร้อยแล้ว เราก็สามารถที่จะบอกได้ว่าในพระคัมภีร์ได้บอกชัดเจน ในโลกวิญญาณว่าเราดีพร้อม บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า ถ้าไม่เหมือน เราไม่สามารถมาอยู่กับพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกันได้ พระเจ้าไม่สามารถเข้ามาสถิตอยู่กับเราได้ เราไม่สามารถที่จะเรียกพระเจ้าว่าเป็นหนึ่งเดียวกันได้เลย เราไม่สามารถคืนดีกับพระเจ้าได้เลย ถ้าไม่ดีพร้อม สะอาด บริสุทธิ์เท่าๆ กันกับพระเจ้า พระเจ้ารับเราไม่ได้ พูดง่ายๆ

ผลของความรอด ที่ไม่เปลี่ยนแปลง ยกตัวอย่างให้ท่านเห็นชัดๆ เมื่อเราบังเกิดมาเป็นคน เมื่อเราเกิดมาเป็นมนุษย์ เราก็เป็นมนุษย์เลย ใช่หรือไม่? พอเราเกิดเป็นคน เราก็เป็นคนเลย เปลี่ยนแปลงไหม? ไม่เปลี่ยนแปลงแล้ว แต่บางครั้ง อาจจะประพฤติ ปฏิบัติตนไม่สมกับการเป็นคน เป็นไปได้ไหม? เป็นไปได้ บางครั้งประพฤติตน ดูเหมือนสัตว์ เป็นไปได้ไหม? อย่างเช่น คนเขาเดิน แต่เราคลาน ได้ไหม? คลานก็ไม่เหมือนคนนะ ยกตัวอย่าง

หรือเราเปลือยกายอยู่ได้ไหม?  เราไม่ใส่อะไรเลย  เราเป็นคนนะ ไม่ใช่ เป็นคนก็ต้องสวมใส่อะไรบางอย่าง เช่นเดียวกัน เมื่อบังเกิดมาเป็นลูกของพระเจ้าที่บริสุทธิ์ ก็เป็นลูกของพระเจ้าที่บริสุทธิ์ ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงอีกเลย แต่ในบางครั้ง อาจจะประพฤติตัวไม่เหมาะสมกับการเป็นลูกของพระเจ้าที่บริสุทธิ์ คือเป็นเหมือนคนบาปนั่นเอง

ให้ท่านเห็นภาพ เพื่อท่านจะได้รู้ว่าสิ่งเหล่านี้ พระเจ้าเป็นผู้ปกปักษ์ คุ้มครองดูแล ความบริสุทธิ์ ความดีพร้อมของท่าน โดยการบังเกิดใหม่  พร้อมพระเยซูคริสต์ ที่ไม้กางเขน มนุษย์ที่บางครั้งทำตัวเหมือนสัตว์ ก็ยังคงมีสถานะ ลักษณะในตัวตนแท้จริงของเขา เป็นมนุษย์อยู่ เพียงแต่ประพฤติตัวเหมือนอย่างสัตว์ ลูกพระเจ้าที่บริสุทธิ์  ที่บางครั้ง ทำตัวเป็นเหมือนคนบาป ก็ยังคงมีสถานะเป็นลูกของพระเจ้าที่บริสุทธิ์อยู่เช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

เพราะฉะนั้น ลักษณะ สถานะของตัวตนที่แท้จริงนั้น เป็นอยู่เช่นไร? มันต่างกันกับความประพฤติ มันคนละเรื่องกัน คือการเป็นกับการประพฤติ มันคนละเรื่องกัน

“การเป็นกับการกระทำ มันคนละเรื่องกัน มันอาจจะไม่สัมพันธ์กันก็ได้”

ลักษณะตัวตนที่เป็นอยู่กับความประพฤติ เป็นคนละเรื่องกัน มีลักษณะตัวตนที่แท้จริง เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เป็นผู้บริสุทธิ์แล้ว เป็นความรัก เป็นความสว่าง แต่ประพฤติตัวไม่เหมาะสม เป็นไปได้ไหม? เป็นไปได้ แต่ประพฤติตัวให้สมสถานะกับเป็นหรือไม่นั้น มันคนละเรื่องกัน เป็นลูกพระเจ้าแล้ว เป็นอยู่แล้วล่ะ แต่ประพฤติตัวภายนอกไม่เหมือนลูกพระเจ้า โกรธ โมโหโกธาอะไรต่างๆ เหล่านั้น มันคนละเรื่องกัน อย่าเอามาสลับที่กัน เพราะว่าเห็นเขามีความประพฤติไม่ดี เลยบอกว่าเขาไม่ใช่ลูกพระเจ้า อาจจะตัดสินผิดไปก็ได้ เพราะไม่ได้มองดูที่วิญญาณ

เพราะฉะนั้น ถามว่าที่เราเคยได้ยินกันบ่อยๆ ว่าให้รักษาความดีงาม ความดีพร้อม ฟังให้ดีๆ นะ นี่เป็นคำเล่นคำ ให้รักษาความดีพร้อม ให้รักษาความบริสุทธิ์ ด้วยตนเอง ถูกหรือผิด?

เราต้องรักษาความบริสุทธิ์ ความดีพร้อมของตนเอง ด้วยตนเองอีกหรือไม่?

เราต้องรักษาความบริสุทธิ์ ด้วยตนเองหรือไม่? ถ้าเราบอกว่าต้องรักษา ก็แสดงว่าเรายังไม่เกิดใหม่ไง ก็เราจะทำด้วยตนเอง เรายังไม่พึ่งพาในพระเยซูคริสต์ ก็แสดงว่าเรายังไม่ได้เกิดใหม่ เราไม่ใช่คริสเตียน เพราะฉะนั้น อาจจะใช่ สำหรับคนที่ไม่ใช่คริสเตียน ยังไม่บังเกิดใหม่ แต่สำหรับคนที่เป็นคริสเตียน ได้เชื่อแล้ว ได้รับผลของความเชื่อใน 12 ข้อนั้นแล้ว ไม่ต้องรักษาความบริสุทธิ์ของตนเองอีกแล้ว ไม่ต้องเลย มันเป็นถาวรนิรันดร์ ไม่ต้องรักษาความเป็นคนอีกแล้ว แค่ฝึกฝน ให้เป็นไปตามธรรมชาติที่เกิดมาเท่านั้นแหละ ให้ฝึกฝนความประพฤติ ให้เป็นไปตาม ที่เราเป็นอยู่ ที่เราเกิดมาเป็นนั่นแหละ ซึ่งพระเจ้า พ่อผู้ให้กำเนิดเรา  ก็จะเป็นผู้ฝึกฝนเรา ผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งสถิตอยู่ข้างในเรา คอยจูงมือเราตลอดเวลา ทุกวันทุกคืน คอยสอนเราตลอดเวลา สอนวิธีไหน? ก็มีชีวิตไปกับเรา ทั้งวันทั้งคืน ตลอดเวลา ประสบการณ์จะเป็นตัวสอนเราจากข้างใน  เดินกับพระองค์ทุกวัน ไม่ยอมเดินกับพระองค์ได้ไหม? ไม่ได้ เพราะพระองค์เข้ามาสถิตอยู่แล้ว

เหมือนผมเห็นหลานอยู่บ้าน หลาน 2 ขวบวิ่งเล่น เด็กๆ ก็ต้องการเจริญเติบโต พี่เลี้ยงต้องทำอย่างไร? หมายถึงทั้งพี่เลี้ยง พ่อแม่เลี้ยง ก็ลักษณะเดียวกันนะ วิ่งๆ แล้วก็ลื่นล้ม หัวโน ร้องไห้ ก็บอกอย่าวิ่งเร็วสิ  ก็ต้องดูให้ดี มันเจ็บนะ เดี๋ยวก็วิ่งอีกเหมือนเดิม ต้องล้มอีกกี่ครั้งถึงจะเลิก เขาก็ล้มลงไป พี่เลี้ยงก็สอน ล้มลงไป แม่ก็สอน ล้มลงไป พ่อก็สอน เขาก็พยายามอยู่ แต่ยังล้มอีก เคยชิน สนุกสนาน คราวนี้เริ่มจำได้ เพราะมันเจ็บ ธรรมชาติ มันบอกเอง ไม่เอาแล้ว …

“อ๋อ! ทุกทีเดินอย่างนี้ อ๋อ! มิน่า บอกอย่าวิ่งเร็วๆ อ๋อ! เราเร็วเกินไป” เหมือนกัน พระวิญญาณก็ใช้วิธีการเดียวกันนี้

1 เปโตร 1:17  “ในเมื่อท่านได้เรียกพระเจ้าว่าพ่อ ผู้ทรงเป็นผู้พิพากษาตัดสินการกระทำของแต่ละคน โดยไม่ลำเอียง ก็จงดำเนินชีวิตด้วยความเคารพยำเกรง (เคารพกฎที่พระเจ้า พ่อของท่าน ทรงตั้งไว้ ทั้งทางโลกวิญญาณและโลกวัตถุ พระองค์ทรงพิพากษาด้วยความสัตย์ซื่อยุติธรรม) ในฐานะที่เป็นคนแปลกหน้า ที่ดำเนินชีวิตอยู่ในระบบของโลกนี้ (อยู่ในโลกบาป แต่ไม่ได้เป็นของโลกบาป)”

 

ในเมื่อท่านได้เรียกพระเจ้าว่าพ่อ ผู้ทรงเป็นผู้พิพากษา ตัดสินการกระทำของแต่ละคน มนุษย์บนโลกใบนี้ มนุษย์ทุกคน โดยไม่ลำเอียง โดยยุติธรรม ก็จงดำเนินชีวิตด้วยความเคารพยำเกรง คือกลัวพระเจ้าหรือ?  ไม่ใช่ เคารพยำเกรงต่อความเป็นผู้พิพากษาของพระเจ้า เคารพยำเกรงต่อกฎต่างๆ ที่พระเจ้าวางไว้ และเป็นผู้ดูแลกฎเหล่านั้นให้มันเป็นไปตามนั้น ไม่มีลำเอียง ด้วยท่าทีที่รู้ว่าผู้พิพากษาผู้นั้น เป็นพ่อของเราเอง เป็นพ่อของท่าน

เคารพยำเกรงในกฎ ที่พ่อของเรา พระเจ้าเป็นผู้ตั้งไว้ ทั้งกฎทางฝ่ายโลกวิญญาณ และโลกวัตถุ พระองค์จะพิพากษาอย่างยุติธรรม ไม่มีลำเอียงอะไรเลย แม้แต่นิดเดียว ไม่ว่าจะเป็นลูกหรือไม่เป็นลูก พระองค์ไม่ลำเอียงเลย ในฐานะเป็นคนแปลกหน้า ที่ดำเนินชีวิตอยู่ในระบบของโลกนี้ คือพูดง่ายๆ ให้เคารพยำเกรงกฎของโลกวิญญาณและโลกวัตถุนี้ แม้ท่านจะเป็นลูกของพระเจ้า ที่ได้ถูกช่วยหลุดพ้นออกมาจากอาณาจักรของความมืดในอาดัมเรียบร้อยแล้ว ก็คือเป็นคนแปลกหน้าของโลกใบนี้ โลกใบนี้มีแต่ความมืด โลกใบนี้มนุษย์ทั้งหลายตกลงไปในความบาป ตั้งแต่สมัยในอาดัมมาแล้ว บรรพบุรุษมาแล้ว ท่านถูกช่วยให้หลุดออกมาแล้ว ท่านเป็นคนแปลกหน้า ท่านไม่ใช่อยู่ในอาดัม ไม่ได้อยู่ในความมืด ไม่ได้เป็นคนบาปอีกต่อไปแล้ว  เพราะฉะนั้น ท่านดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ก็จริงอยู่ แต่ท่าเหมือนคนแปลกหน้า ท่านเป็นพลเมืองสวรรค์ ไม่ใช่เป็นพลเมืองของคนบาป แม้ว่าท่านดำเนินอยู่บนโลกนี้เหมือนกันก็ตาม แต่ในวิญญาณมันเป็นเช่นนั้น ท่านอยู่ในโลกของความบาป แต่ไม่ได้เป็นของความบาป  ท่านอยู่ในโลกนี้ที่เต็มไปด้วยความบาป แต่ในวิญญาณท่าน ไม่ได้เป็นของบาป  ท่านอยู่ในโลกที่อยู่ในความมืด แต่ท่านอยู่ในแสงสว่าง ท่านดำเนินอยู่บนโลกที่เต็มไปด้วยความมืด แต่วิญญาณท่านสว่าง พูดง่ายๆ

ความประพฤติและการกระทำของพวกเราทุกคน ที่เชื่อในขณะที่ยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ อยู่บนกฎแห่งการกระทำ กฎแห่งการหว่านและการเก็บเกี่ยว กฎแห่งการทำดี ทำชั่ว ไม่มีการเปลี่ยนแปลง นี่พระเจ้าพ่อของเราเป็นผู้ดูแลกฎเหล่านี้ทั้งหมด เพราะฉะนั้น จงเคารพยำเกรงกฎเหล่านี้ เหมือนกับกฎของแรงดึงดูดโลก ท่านโยนของขึ้นไป มันก็ตกลงมา ทุกครั้งหรือไม่? มีบางครั้งโยนไป แล้วมันหายไปเลย มีไหม? ไม่มี มีแต่ถูกหลอก โยนไป ก็ตกลงมา ใครเป็นคนดูแลกฎของแรงดึงดูดของโลก? พระเจ้า … พระเจ้าสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย และดูแลกฎต่างๆ ระเบียบต่างๆ เหล่านั้น ให้เราเคารพยำเกรง แปลว่านี่แหละ เวลาเราขึ้นไปที่สูง แล้วเราเอาเซฟตี้เบลท์ที่เกาะไว้ เพื่อป้องกันการตกลงมา เรากำลังเคารพยำเกรงพระเจ้านะ เรากำลังเคารพยำเกรงต่อกฎ

เวลาเราลงไปอยู่ในทะเลเวิ้งว้างมาก เรามีชูชีพอยู่ ป้องกันไม่ให้จมน้ำ นั่นแหละ เราเคารพยำเกรง พระเจ้าทรงยุติธรรม ถ้าเราประพฤติชั่ว กระทำชั่ว คือหว่านในสิ่งชั่วร้าย ในสิ่งที่ไม่ดี เราก็ต้องเก็บเกี่ยวความทุกข์ยากลำบาก เกี่ยวเก็บการสูญเสีย ความเสียใจ เก็บเกี่ยวความเดือดร้อนเข้ามาในชีวิต และทำให้คนอื่นเดือดร้อนด้วย จากความประพฤติ การกระทำ การหว่านของเรา อย่างแน่นอน เหมือนโยนอะไรขึ้นไปข้างบน อย่านึกว่ามันไม่ตก มันตกแน่ๆ ตกมากตกน้อยเท่านั้นเอง แม้ว่าเราจะเป็นลูกของพระเจ้า ที่พระเจ้าทรงรักก็ตาม ที่อยู่ในพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระเจ้าก็ตาม อย่างไร เราก็หนีจากกฎอีกกฎหนึ่ง ที่เราดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ไม่ได้ ก็คือกฎแห่งการกระทำ กฎแห่งศีลธรรม กฎแห่งการทำดีทำชั่ว มันยังอยู่ เพราะเรากำลังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้เช่นเดียวกัน เพราะเราถึงแม้จะเป็นลูกพระเจ้าในโลกวิญญาณก็ตาม แต่ในโลกวัตถุ เรายังคงดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ตามกฎของโลกวัตถุ เหมือนแรงดึงดูดของโลกเช่นเดียวกัน

เช่นเดียวกันกับในกฎวิญญาณ เราก็ต้องเคารพยำเกรงเหมือนกัน ดูท่าทีของเขา การเคารพยำเกรงในกฎวิญญาณ ในพระเยซูคริสต์ เมื่อเราวางใจในพระเยซูคริสต์ เราถูกย้ายเข้ามาอยู่ในกฎของวิญญาณแห่งชีวิต ในพระเยซูคริสต์แล้ว เราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว เราดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้แล้วก็จริง แต่เราไม่ได้ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ในกฎของความบาปและความตาย แต่เราดำเนินชีวิตในกฎของวิญญาณแห่งชีวิตในองค์พระเยซูคริสต์ ในโลกวิญญาณใช่หรือไม่? เราอยู่ในกฎของโลกวิญญาณ

กฎของโลกวิญญาณ คือเราได้รับความรอดแล้ว เมื่อเราเป็นผู้เชื่อ เรากำลังดำเนินชีวิตอยู่ในกฎของวิญญาณ คือผลของความเชื่อของเรา 12 ข้อที่ได้แจงมาเรียบร้อยแล้วนั่นนะ เราอยู่ในผลของ 12 ข้อ เราได้บังเกิดใหม่แล้ว เราได้เป็นลูกของพระเจ้าที่บริสุทธิ์แล้ว นี่คือกฎของวิญญาณ และกฎของวิญญาณนี้ เราก็รอดจากความพินาศในวิญญาณ ไม่มีการเปลี่ยนแปลง รอดจากการพินาศในวิญญาณ คือรอดจากการพิพากษาในวันสุดท้ายว่าเราจะไปสวรรค์หรือไปนรก

เราต้องเคารพยำเกรง ก็คือพ่อของเราเป็นผู้ดูแลกฎเหล่านี้เช่นเดียวกัน ไม่มีใคร แม้แต่ตัวเราเอง ก็ไม่สามารถที่จะละเมิดกฎนี้ได้ คือเมื่อเชื่อพระเยซูคริสต์แล้ว ได้รับความรอด ก็คือได้รับความรอด  เมื่อเชื่อพระเยซู ได้เป็นลูกพระเจ้า ก็ได้เป็นลูกพระเจ้าเลย ใครเป็นคนดูแล พระเจ้าเป็นผู้ดูแลกฎเหล่านี้ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เลย เราจึงสามารถมั่นใจ แน่ใจ ด้วยความเคารพยำเกรง ในการไม่เปลี่ยนแปลง ในความสัตย์ซื่อของพระเจ้า ผู้เป็นพ่อของเรา ผู้เป็นผู้พิพากษา ทั้งคนตายและคนเป็น เขาหมายถึงอย่างนี้ ไม่ใช่เคารพยำเกรง ให้กลัวพระเจ้า ไม่ใช่ เคารพยำเกรง พ่อของเรา เป็นผู้พิพากษา พ่อเราดูแลกฎทุกอย่าง ไม่ลำเอียงเลย  ทางโลกวิญญาณ เราจึงฮาเลลูยา สบายใจแล้ว อย่างไรก็ไม่มีเปลี่ยนแปลงแล้ว พ่อเราบอกแล้วว่าเราได้รับความรอดแล้ว ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามบนโลกใบนี้ เราก็ได้รับความรอดแล้ว เป็นลูกพระเจ้าอยู่แน่นอน 100% แล้ว สบายใจ

ขณะเดียวกัน เราต้องรู้ว่ากฎของพระเจ้า บนโลกใบนี้เราทำอะไรไม่ดี ก็ต้องได้รับโทษเหล่านั้น ตามกฎของการกระทำเช่นเดียวกัน นี่คือการเชื่อ เคารพยำเกรงในถ้อยคำของพระเจ้า พระองค์บอกในโลกวัตถุ มีกฎเป็นอย่างไร? หว่าน ก็ให้หว่านในโลกวิญญาณ หว่านในสิ่งที่ดี ก็เก็บเกี่ยวสิ่งที่ดี เราก็เชื่อฟัง สำหรับโลกวิญญาณ พระเจ้าเป็นผู้ดูแลให้กับเรา เป็นผู้พิพากษาที่เราควรเคารพยำเกรง คือเชื่อฟัง ในฐานะเป็นพ่อของเราด้วย เพราะฉะนั้น เราบริสุทธิ์ สะอาด ดีพร้อมเรียบร้อยแล้ว  ไม่ว่าความประพฤติภายนอกของเรา จะประพฤติดีหรือชั่วเท่าไร? อย่างไรก็ตาม? นี่คือการพิพากษาของพระเจ้า พ่อของเรา ผู้เป็นผู้พิพากษา ผู้สัตย์ซื่อเที่ยงตรง ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ไม่มีลำเอียง ไม่มีการเข้าข้างผู้ใด ใครดำเนินตามกฎต่างๆ เหล่านี้ก็จะได้รับตามกฎต่างๆ เหล่านี้ เราได้ถูกย้ายเข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ อยู่ในกฎของวิญญาณแห่งชีวิตในองค์พระเยซูคริสต์แล้ว ไม่มีการลงโทษใดๆ สำหรับผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์เลยแม้แต่นิดเดียว

นี่คือกฎ กฎหนึ่ง ซึ่งเรียกว่ากฎของโลกวิญญาณ เรารอดนิรันดร์ เรารอดจากการพิพากษานิรันดร์ ส่วนการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ความประพฤติ เรายังอยู่ในกฎของการหว่านและเก็บเกี่ยว ถ้าเราหว่านในสิ่งที่ไม่ดี เราก็ต้องเก็บเกี่ยวสิ่งที่ไม่ดี เราหว่านในสิ่งที่ดี เราก็เก็บเกี่ยวในสิ่งที่ดี นี่คือความประพฤติ คนละเรื่องกัน

สิ่งเหล่านี้ ทำให้ความจริงเหล่านี้ ทั้งหมด เสริมเข้าไปใน 12 ข้อที่เราได้เรียนรู้ไปเมื่อ 2 ครั้งที่แล้ว ในซีรี่ย์นี้ ทำให้รู้ว่าถอนหายใจ สำหรับผู้เชื่อ แล้วถามว่าที่เขียนมานี้ เพื่ออะไร? เพื่อผู้เชื่อที่กำลังทนทุกข์ทรมานเหล่านั้น ที่กำลังหนีหัวซุกหัวซุนนั้น เกิดการเคารพยำเกรงต่อพระเจ้าว่าเขาหรือเรา ผู้เชื่อ ในโลกวิญญาณ ได้รับความรอด อย่างถูกสถาปนา ไม่เปลี่ยนแปลง เรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องกลัว สบายใจ ส่วนบนโลกใบนี้ ประพฤติตน อย่าหาเรื่องให้มันเจ็บตัวมากขึ้น อย่าหาเรื่องให้ทุกข์ทรมานมากขึ้น เวลาถูกข่มเหงรังแกมา อย่างไม่ยุติธรรม พอมองเห็นเลยว่าคนที่ทำอยู่ เขาเหมือนถีบประตัก เขากำลังต่อต้านกับกฎของพระเจ้า บนโลกใบนี้ เขาจะได้รับสิ่งที่ไม่ดีแน่นอน และโดยเฉพาะโลกวิญญาณนี้มองเห็น เขายังเห็น เขายังไม่เชื่อในพระเยซู เขาอยู่ในความพินาศ แค่นี้ก็สงสารแล้ว เสร็จแล้ว มาถึงตัวเอง เมื่อรู้ความจริงเหล่านี้แล้ว ปฏิบัติตัวอย่างไร? ก็อ๋อ มันเป็นอย่างนี้เอง เพราะฉะนั้น ก็พยายามประพฤติตัว ฝึกฝนในการหว่านในสิ่งที่ดี

หว่านในสิ่งที่ดี ยกตัวอย่างเช่น พอถูกเขาใส่ร้าย เอาเปรียบ ฆ่าเพื่อนเรา ฆ่าญาติพี่น้องเราอย่างไม่ยุติธรรม แล้วเราต้องหนีเตลิดเปิดเปิง แทนที่จะแค้น โกรธ ไม่ให้อภัย รวมหัวกัน ถ้าอย่างนั้น เราต้องต่อต้านแล้ว เราต้องสู้กับมัน ตั้งเป็นกองโจร สู้กับมัน อันนั้นมันยิ่งหนักใหญ่เลย ยิ่งได้รับเก็บเกี่ยว แม้ว่าเราจะได้ความรอดเป็นลูกของพระเจ้าแล้วก็ตาม แต่เรากำลังหว่าน ประพฤติในสิ่งที่เป็นของโลกอยู่  ไม่ถูกต้อง ใช้ดาบ ก็ต้องตายด้วยดาบ พระเยซูบอก ใช้ความรุนแรง ตัวท่านเอง ก็จะเจ็บ จะทุกข์ ทรมาน ใช้ความโกรธ ความเกลียด การฆ่ากัน การทำลายกัน ตัวท่านก็จะย่อยยับ ไปด้วย จะเอาอย่างนั้นไหม? พระวิญญาณก็จะสอน  ถ้าท่านยังเอาอยู่ ท่านก็จงยอมรับว่าเคารพยำเกรงต่อพระเจ้านั้น  ท่านได้รับสิ่งนั้นแน่นอน  ท่านก็จะได้รับความรอด เป็นลูกของพระเจ้า แต่ทุกข์ทรมาน ไม่มีสันติสุขเลย หลบๆ ซ่อนๆ ก็จริง แต่หลบๆ ซ่อนๆ ในใจเต็มไปด้วยความเกลียดชัง ฆ่าคนตาย คือต่อสู้กับศัตรู ด้วยตัวของท่านเอง แทนที่จะพึ่งพระเจ้า วางใจในพระองค์ ท่านก็จะเป็นกองโจร และเมื่อเป็นกองโจร ท่านก็จะถูกปราบหนักขึ้น แรงขึ้น รุนแรงกว่าเก่าอีก นี่ไง มันก็เห็นชัดๆ

ถ้าเอามาใช้ในยุคปัจจุบัน ง่ายนิดเดียว เห็นชัดเลย ท่านขับรถไป ถูกเขาเอาเปรียบ ถูกเขาเฉี่ยวชนอะไรต่างๆ แทนที่ท่านจะไม่เป็นไรนิดๆ หน่อยๆ เราพอรับได้  ก็ไม่ต้องยุ่งอะไร? ปรากฏว่าเขาหนีไป เราไม่ได้ ทำอย่างนี้ไม่ยุติธรรม ชนแล้วยังไม่ยอมลงมาอีก หนีไปเลย เราต้องตามล่า เรียกร้องความยุติธรรม ขับรถไล่ตาม ปาดหน้าเขา ให้เขาจอด ลงมาให้ได้ เขาลงมาพร้อมปืน แทนที่ท่านจะเสีย 5,000 บาทไปซ่อมเอง หรือ 2,000 บาท หรือเป็นหมื่นก็ได้ แต่ท่านต้องเสียอวัยวะ เขาลงมาถึง เอาปืนยิงเข้ามา เป็นไปได้ไหม? เป็นไปได้อย่างมาก แล้วเกิดเหตุอย่างนี้บ่อยๆ ด้วย แล้วท่านก็บอกว่า …

“พระเจ้าไม่ปกปักษ์คุ้มครองดูแลเราเลย พระเจ้าไม่ยุติธรรมเลย”

นี่แหละ คืออุทาหรณ์ในสิ่งที่กำลังพูดถึงในข้อ 17 นี่แหละ

สรุปวันนี้ ก็คือพระเยซูกำลังหนุนใจเราว่าเราบริสุทธิ์และดีพร้อมในวิญญาณแล้ว เหมือนพระเจ้าไม่มีผิดเลย ไม่ต้องห่วงนะลูก แต่ความประพฤติก็ฝึกฝนไปนะ ก็ไม่ต้องห่วงเช่นเดียวกัน เพราะพระวิญญาณเป็นผู้สอนเราอยู่ คอยเงี่ยหูฟังให้ดีๆ ประพฤติตัว ฝึกฝนให้ดีพร้อม เหมือนกับในวิญญาณ แต่พักผ่อนได้แล้ว เพราะเรานั้นบริสุทธิ์ ดีพร้อม ถูกแยกส่วนออกมา เป็นทรัพย์สมบัติ ส่วนของพระองค์ แต่เพียงผู้เดียว และพระองค์ปกปักษ์คุ้มครองดูแลเรา ยิ่งกว่าทรัพย์สมบัติมีค่าใดๆ ทั้งหมด เพราะรักเรายิ่งกว่า ดังแก้วตา ดวงใจของพระองค์ด้วยซ้ำ  พระเจ้าอวยพรครับ

 

******************

 

จากใจคณะศิษยาภิบาล

1 ยอห์น 1:8-10 “8  ถ้าเราปฏิเสธไม่ยอมรับความจริงว่าเราเป็นคนบาป เราก็หลอกลวงตนเอง และไม่มีความจริงอยู่ในตัวเราเลย 9 ถ้าเรายอมจำนน รับว่าเราเป็นคนบาป และเราสารภาพบาปของเรา พระองค์เป็นผู้รักษาคำมั่นสัญญา และมีความเที่ยงธรรม พระองค์จะยกโทษบาปทั้งหมดแก่เรา และชำระเราให้บริสุทธิ์ พ้นจากความไม่ชอบธรรมทั้งปวง 10 ถ้าเราพูดว่าเราไม่เคยทำบาปเลย ก็เท่ากับเราทำให้พระองค์เป็นผู้โกหก และถ้อยคำของพระองค์ (คือพระเยซู) ก็ไม่ได้อยู่ในตัวเรา”

 

หนังสือ 1 ยอห์น บทที่ 1 อาจารย์ยอห์นเริ่มต้นด้วยการประกาศข่าวดีของพระเยซูคริสต์ว่ามนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป  และพระเยซูมา เพื่อช่วยมนุษย์ให้หลุดพ้นจากการเป็นคนบาป มาเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้าได้โดยผ่านทางความเชื่อ

 

แปลว่าในบทที่ 1 นี้ อาจารย์ยอห์น กำลังประกาศกับผู้ที่ยังไม่เชื่อในพระเยซูคริสต์ ซึ่งไม่เกี่ยวกับผู้เชื่อเลย

 

หลักการ คือมนุษย์จำเป็นต้องรับรู้ว่าตัวเองเป็นคนบาป ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เราป่วยอยู่ เราต้องการหมอ แต่ถ้าเขาปฏิเสธว่าเขาไม่ใช่คนบาป เท่ากับเขาไม่ยอมรับความจริง  ที่พระเจ้าบอกว่ามนุษย์ทุกคนเป็นคนบาปและเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า (โรม 3:23)

 

ข้อ 9 บอกว่าถ้าเรายอมรับว่าเราเป็นคนบาป และเข้ามาสารภาพบาปกับพระเจ้า ขอความช่วยเหลือจากพระองค์ พระองค์ทรงรักษาคำมั่นสัญญา ก็จะทรงยกโทษบาปทั้งหมดของเรา (ฮีบรู 10:14)

 

โดยนำวิญญาณบาปของเรา บัพติศมาเข้าส่วนในการตายพร้อมกับพระเยซู ถูกฝังพร้อมกับพระเยซู และเป็นขึ้นมาใหม่ด้วยฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่สูงสุด ทำให้เราบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าที่สะอาด บริสุทธิ์ เป็นผู้ชอบธรรม ไม่มีบาปอีกเลย

 

หมายความว่าเมื่อเราเชื่อแล้ว เราสะอาดหมดจดไม่มีบาปแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องสารภาพบาปกับพระเจ้าทุกวันอีก ตามที่ถูกสอนมา

 

1 ยอห์น 1:9 มีไว้สำหรับคนที่ยังไม่เชื่อเท่านั้น และเมื่อคนนั้นตัดสินใจเชื่อ เขาก็สารภาพบาปกับพระเจ้าครั้งเดียวเท่านั้นก็พอ

 

ฉะนั้น ผู้เชื่อที่ได้รับการชำระให้สะอาดแล้ว  จึงไม่ต้องสารภาพบาปกับพระเจ้าอีก เพราะเราไม่มีบาปแล้ว นี่คือความจริงตามถ้อยคำที่พระเจ้าบอกไว้ แต่เราเข้าใจผิด เอาข้อนี้มาใช้กับคริสเตียนว่าเราต้องสารบาปกับพระเจ้าทุกวัน ถ้าเราทำอย่างนั้น เท่ากับเรากำลังบอกว่าที่พระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน   หลั่งพระโลหิต   ชำระล้างบาปเราจนหมดสิ้นแล้วนั้น   ไม่เป็นความจริง   พระเยซูยังทำไม่สำเร็จเลย เราผู้เชื่อยังต้องสารภาปบาปอยู่เลย

 

พระเจ้าอวยพรครับ