คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 3 มกราคม 2021
เรื่อง “เชื่อข่าวดีแล้ว ต้องทำอะไรต่อ”
โดย นคร เวชสุภาพร
สวัสดีครับ เราได้ฟังบรรยายไปหลายตอนแล้ว ในเรื่องของข่าวดี หรือของขวัญของพระเจ้าที่มาเป็นเกิดบนโลกใบนี้ ซึ่งข่าวดีที่เราได้เรียนรู้กันไป สรุปสั้นๆ ก็คือเราได้รู้ว่าของขวัญจากพระเจ้า ซึ่งเป็นข่าวดีนั้น มาสู่โลกใบนี้ 2,000 ปีแล้ว ข่าวดีนี้เป็นฤทธิ์เดช เป็นอำนาจ เป็นพลัง ทำให้คนเชื่อ เกิดการเปลี่ยนแปลง ได้รับการบังเกิดใหม่ บังเกิดใหม่ในวิญญาณ และยังได้รับรู้ว่าข่าวดีนี้ คือพระเยซูเป็นทางเดียวที่จะได้ไปสวรรค์ และเป็นของขวัญจากพระเจ้า ซึ่งเราได้เรียนรู้อีกด้วยว่าเป้าหมายหลักของพระเจ้าที่ประทานของขวัญให้กับมนุษยชาติ ก็คือการเข้ามาอาศัยอยู่ร่วมกับเรา ในวิญญาณ ในร่างกายของเรานี้ เป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา ก็คือเป้าหมายหลักเลย พระเจ้าให้พระเยซูคริสต์เข้ามาอยู่กับเรา คอยดูแล ควบคุมดูแล ปกป้องคุ้มครอง จูงมือเราเดินบนโลกใบนี้ ตั้งแต่อยู่บนโลกนี้เลยนะ
ข่าวดี คือเริ่มต้นอยู่บนโลกใบนี้เลย ไม่ต้องรอให้ตายแล้ว ตั้งแต่เดี๋ยวนี้ มีลมหายใจอยู่บนโลกใบนี้ พาเราเดินไปจนกระทั่งถึงชีวิตหลังความตาย ก็คืออยู่กับเราไปชั่วนิรันดร์
และเราได้เรียนรู้ไปแล้วด้วยว่าผู้ที่มีสิทธิ์จะได้ของขวัญจากพระเจ้า ก็คือมนุษย์ทุกคน แล้วการใช้สิทธิ์ในการรับของขวัญจากพระเจ้า ในฐานะเป็นมนุษย์นั้น ก็ง่ายนิดเดียว ก็คือใช้รหัส หรือพาสเวิร์ค ซึ่งพระคัมภีร์ได้บันทึกเอาไว้อย่างนี้ ในหนังสือโรม 10:9-10 ได้บันทึกอย่างนี้ ซึ่งเป็นพาสเวิร์คที่มนุษย์ทุกคนควรจะทราบข่าวดีเหลือเกิน สำหรับมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้
โรม 10:9-10 “9 นั่นคือถ้าท่านยอมรับด้วยปากของท่านว่า “พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า” และเชื่อในใจของท่านว่าพระเจ้าทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตาย ท่านก็จะได้รับความรอด 10 เพราะท่านเชื่อด้วยใจ จึงทรงให้ท่านเป็นผู้ชอบธรรม และเพราะท่านยอมรับด้วยปาก จึงทรงให้ท่านรอด”
วิธีการใช้สิทธิ์ในการรับของขวัญจากพระเจ้า ตามที่ได้บันทึกไว้ในหนังสือโรม บทที่ 10 นั่น ได้บอกง่ายนิดเดียว ก็คือให้เรารับด้วยปากและเชื่อด้วยใจ
“รับด้วยปาก” … ว่าพระเยซูเป็นใคร? เป็นทางรอดไปสู่สวรรค์ จากพระเจ้า นี่เรียกว่ารับด้วยปาก
แล้ว “เชื่อด้วยใจ” … ในทางปฏิบัตินั้น เรียกการรับด้วยปาก มันก็ดูง่ายว่าพูดออกจากปากเท่านั้น ในทางปฏิบัตินั้น ในการรับด้วยปาก ง่ายๆ ก็คือการพูดด้วยปาก แต่พอมาถึงเรื่องของการเชื่อด้วยใจนี้ จับต้องมองไม่เห็น เป็นนามอธรรม ซึ่งจะพิสูจน์อย่างไร? เป็นเรื่องที่จับต้องมองไม่เห็น แต่ถึงแม้จะจับต้อง มองไม่เห็นได้ หรือไม่สามารถจะได้ยินกับหู แต่พระคัมภีร์ก็บอกว่าการใช้พาสเวิร์ค หรือรหัสต้อนรับพระเยซูคริสต์ ในการรับของขวัญวันคริสตมาสนี้ จะเกิดผลได้ ต้องการกระทำเกิดขึ้นด้วย
เคยสอนกันมาโดยตลอด ยืนยันมาตลอดว่าความรอด หรือของขวัญจากพระเจ้า คือพระเยซูคริสต์ คือทางของความรอด ไปสู่สวรรค์นั้น มนุษย์ทุกคนสามารถได้รับมาโดยฟรีๆ โดยพระคุณของพระเจ้าที่ให้เราเปล่าๆ ฟรีๆ โดยไม่ต้องทำอะไรเลย เรายืนยันมาหลายครั้งแล้ว ไม่ต้องพึ่งพาการกระทำใดๆ ทั้งสิ้นเลย แล้วคราวนี้เกิดอะไรขึ้น จึงบอกว่าความเชื่อจะเกิดผลได้นั้น ต้องมีการกระทำต่อมาด้วย หลายคนเริ่มสงสัยว่าแล้วจะเอาอย่างไร? ฟังบรรยายในวันนี้ให้จบ ค่อยๆ ติดตามไป แล้วท่านจะทราบคำตอบ เป็นคำตอบที่ตรงตามพระคัมภีร์ เป็นความจริงตามพระคัมภีร์ จะทำให้เราเป็นอิสระ เป็นไทจริงๆ
ข้อพระคัมภีร์ที่บอกว่าความเชื่อเพียงอย่างเดียวไม่พอ ต้องมีการกระทำด้วยนั้น อยู่ในหนังสือยากอบ 2:14-17 ที่เราจะอ่านร่วมกัน
ยากอบ 2:14-17 “14 พี่น้องทั้งหลาย ถ้าคนหนึ่งอ้างว่ามีความเชื่อ แต่ไม่สำแดงเป็นการกระทำจะมีประโยชน์อะไร? ความเชื่อแบบนี้ จะช่วยเขาให้รอดได้หรือ? 15 สมมติว่าพี่น้องชายหญิงคนใดขาดแคลนเสื้อผ้าและอาหารประจำวัน 16 ถ้าผู้ใดในพวกท่านพูดกับเขาว่า “ไปเถิด ขอให้ท่านเป็นสุข รักษาตัวให้อบอุ่น และอิ่มหนำเถิด” แต่ไม่เอื้อเฟื้อปัจจัยเลี้ยงชีพแก่เขาจะมีประโยชน์อันใด? 17 ฉันใดก็ฉันนั้น ความเชื่อเพียงอย่างเดียว โดยไม่มีการกระทำ ก็เป็นความเชื่อที่ไร้ประโยชน์”
ยากอบ 2:14-17 พระคัมภีร์ตรงนี้ เป็นอีกหนึ่งในจำนวนอีกหลายๆ แห่งที่ถูกนำไปใช้ ไปตีความ แล้วก็สอนกันต่อๆ มานานแล้ว โดยที่ไม่ได้ทำความเข้าใจกับวัตถุประสงค์ ตามบริบทของข้อพระคัมภีร์นี้ว่าหมายถึงอะไร? หลายคนอ่านแค่นี้ แล้วไม่ได้ทำความเข้าใจที่มาที่ไปบริบท แล้วก็ตีความว่าความเชื่อที่จะเกิดผลได้นั้น ต้องมีการกระทำด้วย คือเข้าใจว่าต้องมีการกระทำ คือต้องมีความรัก มีความเมตตา มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับพี่น้องผู้เชื่อด้วยกัน แล้วบางคนบอกว่าเหมือนกับว่าต้องรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง คิดถึงขนาดนี้
เพราะฉะนั้น ถ้าใครไม่ทำตามสิ่งเหล่านี้ ใครที่ไม่ยอมช่วยเหลือพี่น้อง ก็แปลว่าความเชื่อไม่เกิดผล แปลว่าไม่ได้รับความรอด ในพระเยซูคริสต์ ไม่ได้ไปสวรรค์นะสิ
คิดดีๆ ว่าจริงหรือไม่? แล้วถ้ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ต้องทำอย่างนั้นจริงๆ ถามว่าแล้วต้องทำมากแค่ไหน? ถึงจะพอ ต้องรักเพื่อนบ้านเท่ากับเราเองแค่ไหน ถึงจะพิสูจน์ได้ว่าเราได้รับความรอด ท่านลองคิดตามนะครับ จะเห็นว่ามันขัดแย้งนะ ขัดแย้งกับหัวใจของข่าวประเสริฐ ที่บอกว่าความเชื่อเท่านั้นที่จะนำเราไปสู่ความรอด ไม่สามารถมีใครโอ้อวดว่าตัวเองทำเยอะขนาดไหน? ทำดีขนาดไหนถึงจะสามารถรอดจากความบาป รอดจากนรกมาสู่สวรรค์ได้ มันขัดแย้งกันหลายอย่างเลยในความเชื่อในพระคัมภีร์บอกว่า …
“ความรอดได้มาถึงทุกคน โดยไม่ต้องพึ่งการกระทำ”
ในหนังสือเอเฟซัส บทที่ 2 ในหนังสือโรม บทที่ 5 ได้พูดชัดเจน ความชอบธรรม ความรอด ได้รับโดยเปล่าๆ เป็นพระคุณของพระเจ้า ไม่ใช่การกระทำ ซึ่งผมได้ย้ำอยู่บ่อยๆ ใช่ไหมครับว่าการจะตีความในพระคัมภีร์ ต้องเรียนรู้บริบทว่าเรื่องราวที่กำลังพูดถึง พูดถึงใคร? เขียนถึงใคร? บอกใคร? และตอนต้นกำลังพูดถึงอะไรอยู่ ในยุคสมัยไหน? เพื่ออะไร? จะได้เรียนรู้ว่าเขาหมายถึงอย่างนั้น ไม่ใช่ไปจับมาแค่ประโยคเดียว หรือสองประโยคแล้วก็ตีความ แล้วถูกหลอก เข้าใจผิดมากมาย
พระคัมภีร์ยากอบตรงนี้เป็นจดหมายฝากของอาจารย์ยากอบ ที่เขียนในช่วงที่มีศาสนามานำการปกครองของชาวยิว ก็คือมีศาสนาเป็นกฎระเบียบสูงสุดนั้นเอง เพราะฉะนั้น จึงเขียนขึ้นในช่วงที่ผู้นำทางศาสนามีอำนาจเหนือผู้เชื่อ เหนือคริสตจักร คือในราวปี ค.ศ.48-50 ซึ่งเนื้อหาในจดหมาย เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับชาวยิว อย่างเห็นชัด ไม่ได้กล่าวถึงคนต่างชาติ ซึ่งหมายถึงพวกเราผู้เชื่อทั้งหลายที่ไม่ใช่ชาวยิวเลยสักนิดเดียว ซึ่งชาวยิวในยุคนั้น ซึ่งถึงแม้จะบอกว่าเชื่อพระเจ้า ชาวยิวเขาก็เชื่อว่ามีพระเจ้าจริง พระเจ้าทรงพระชนม์ เขาเชื่อพระเจ้า มีบางราย สมัยนั้น ก็อ้างว่าเชื่อพระเยซู แต่การดำเนินชีวิต ก็ยังคงใช้ชีวิตแบบเดิมๆ ทำตามประเพณีเดิมๆ ด้วยความเชื่อแบบเดิมๆ อย่างเช่น มีการแบ่งชนชั้น ระหว่างชาวยิวกับไม่ใช่ชาวยิว ไม่ให้มาคบชาวต่างชาติอะไรต่างๆ เหล่านี้ เป็นต้น
อาจารย์ยากอบ จึงได้เขียนมาเตือนชาวยิวเหล่านี้ว่าท่านเชื่อพระเจ้าจริงหรือ? ถ้าท่านเชื่อพระเจ้าจริง ทำไมท่านไม่เชื่อพระเยซู ที่พระเจ้าทรงประทานให้ ถ้าท่านเชื่อพระเยซูจริง ทำไมท่านไม่ต้อนรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ยังคงพึ่งพาตนเองอยู่ ซึ่งมันเป็นเรื่องเกี่ยวกับความรอดทางฝ่ายวิญญาณนั้นเอง ซึ่งอาจารย์ยากอบเขียนไปถึงชาวยิว ความรอดไปสู่สวรรค์ มันมาถึงตรงนี้
ในข้อที่ 14 ได้บันทึกไว้ เมื่อสักครู่นี้ ที่เราได้อ่าน บอกว่า … “พี่น้องทั้งหลาย ถ้าคนหนึ่งอ้างว่ามีความเชื่อ แต่ไม่สำแดงเป็นการกระทำจะมีประโยชน์อะไร? ความเชื่อแบบนี้ จะช่วยเขาให้รอดได้หรือ?”
จำได้ไหมครับว่า “รอด” นี้หมายถึงรอดทางฝ่ายวิญญาณ ไปสู่สวรรค์ได้
คำว่า “การกระทำ” ตรงนี้ หมายถึงการแสดงออกในความเชื่อนั้น
ยากอบได้ยกตัวอย่างในข้อที่ 15 กับ 16 อ่านไปแล้วว่า … “สมมติว่าพี่น้องชายหญิงคนใดขาดแคลนเสื้อผ้าและอาหารประจำวัน ถ้าผู้ใดในพวกท่านพูดกับเขาว่า “ไปเถิด ขอให้ท่านเป็นสุข รักษาตัวให้อบอุ่น และอิ่มหนำเถิด” แต่ไม่เอื้อเฟื้อปัจจัยเลี้ยงชีพแก่เขาจะมีประโยชน์อันใด?”
เหมือนเราได้ยินเรื่องราวของคนกำลังลำบากเรื่องการกินการอยู่ ขาดแคลน แล้วเราก็ได้แต่พูดด้วยปากว่า …
“น่าสงสารจัง น่าจะมีคนช่วยเขานะ”
ในขณะที่ตัวเราไม่ได้ช่วยอะไรเลย สักนิดหนึ่ง มีแต่ความสงสาร ความเห็นใจแบบนี้ ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรเลยกับคนที่กำลังลำบาก ดีแต่ปาก แต่ไม่ได้ทำอะไรเลย คนเดือดร้อน ก็ยังเดือดร้อนอยู่ หมายถึงอย่างนี้ ตรงนี้
นี่คือข้อ 15, 16 จึงเป็นตัวอย่าง สมมติที่อาจารย์ยากอบได้ยกตัวอย่างให้เราฟัง เหมือนผมบอกว่ากินก๋วยเตี๋ยวร้านนี้สิ ก๋วยเตี๋ยวอร่อย อร่อยอย่างโน้นอย่างนี้ อธิบายละเอียด ท่านอาจจะเชื่อผม อร่อยจริงๆ เหรอ แล้วท่านไม่ไปชิม ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไร ท่านก็ได้แต่จินตนาการไปเรื่อยเปื่อย อย่างนั้น เพราะว่ามันเป็นเพียงแค่คำพูด ไม่มีการกระทำ ได้แต่หวังว่าเชื่อ เชื่อว่าอร่อย แต่ถามว่าไปกินไหม? ไม่ได้กิน เหมือนข้อ 15, 16 ที่เป็นตัวอย่างสมมติให้เราเห็นภาพชัดเจนว่าความเห็นใจ ความมีเมตตา ที่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น โดยไม่มีการกระทำอะไรเลย ไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย เช่นเดียวกัน
พอมาข้อ 17 ชัดเจนใหญ่เลย ก็เลยสรุปบอกว่า … “ฉันใดก็ฉันนั้น ความเชื่อเพียงอย่างเดียว โดยไม่มีการกระทำ ก็เป็นความเชื่อที่ไร้ประโยชน์”
ก็เหมือนกันแหละว่าความเชื่อเพียงอย่างเดียว โดยไม่มีการกระทำ ก็เป็นความเชื่อที่ไร้ประโยชน์ เห็นไหมชัดเจน ความเชื่อในพระเจ้า ว่ามีพระเจ้า พระเจ้าส่งพระบุตรองค์เดียวของพระองค์มาเป็นของขวัญให้กับมนุษยชาติ กลับไม่รับพระเยซูคริสต์ อย่างนี้เขาเรียกว่าเชื่อเปล่าๆ ไม่มีประโยชน์ หมายถึงอย่างนี้
พูดรวมๆ ก็คือความเอื้อเฟือเผื่อแผ่ ที่มีแต่คำพูด แต่ไม่มีการกระทำ ไม่เกิดประโยชน์ฉันใด ความเชื่อในเรื่องมีพระเจ้า ในข่าวดีของพระเจ้า เพียงอย่างเดียว โดยไม่มีการกระทำ ก็ไม่มีประโยชน์ฉันนั้น ซึ่งไม่ได้หมายความว่าถ้าเราไม่มีการกระทำในเรื่องนี้ คือเอื้อเฟือเผื่อแผ่พี่น้อง แสดงว่าความเชื่อนั้น ไม่รอด มันคนละเรื่องกัน เห็นไหม? เข้าใจใช่ไหม?
ไม่ได้หมายความว่าถ้าเราไม่กระทำสิ่งที่เป็นความดี ตามที่พระเจ้าบอก ไม่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่พี่น้อง ไม่มีความรักเพื่อนบ้าน เหมือนรักตนเอง หรือรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเองไม่มากพอ แสดงว่าความเชื่อเราไร้ประโยชน์ ไม่ใช่อย่างนั้น คนละเรื่องกัน ชัดเจนนะครับ
ถ้าอย่างนั้น ที่บอกว่า … “ความเชื่อ ต้องมีการกระทำด้วย จึงจะเกิดผล” … หมายความว่าอะไร? การกระทำตรงนี้ คือการกระทำอะไร? เรามาค้นหาในข้อพระคัมภีร์นะ อาจารย์ยากอบพูดถึงเรื่องอะไรต่อไป ยากอบ 2:18-19 บันทึกไว้อย่างนี้ …
ยากอบ 2:18-19 “18 แต่บางคนจะกล่าวว่า “ท่านมีความเชื่อส่วนข้าพเจ้ามีการกระทำ” จงแสดงความเชื่อของท่านที่ไม่มีการกระทำมา แล้วข้าพเจ้าจะแสดงความเชื่อของข้าพเจ้าด้วยสิ่งที่ข้าพเจ้ากระทำ 19 ท่านเชื่อว่ามีพระเจ้าองค์เดียวก็ดีแล้ว! แม้พวกผีมารก็ยังเชื่อเช่นนั้น และกลัวจนตัวสั่น”
ข้อ 19 บอกว่า … “ท่านเชื่อว่ามีพระเจ้าองค์เดียวก็ดีแล้ว”
ชาวยิวเชื่อว่ามีพระเจ้าองค์เดียว มีพระเจ้าเที่ยงแท้แต่เพียงผู้เดียว นอกจากพระเจ้า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดแล้ว นอกนั้น โกหกทั้งนั้น ท่านเชื่ออย่างนั้นก็ดีแล้ว
“แม้พวกผีมารก็เชื่อเช่นนั้น และกลัวจนตัวสั่น”
พวกมารซาตานที่ตกกระป๋อง ที่กบฏต่อพระเจ้า ที่ไม่เชื่อฟังพระเจ้า ดื้อต่อพระเจ้า พวกนั้นก็เชื่อว่าพระเจ้าเป็นพระเจ้าองค์เดียว ยิ่งใหญ่ เหมือนกับท่าน เชื่อว่ามีพระเจ้า เชื่อมากกว่าอีก เพราะว่ามีวิญญาณเดียวกัน ในโลกวิญญาณเหมือนกัน ชัดเจนเลยว่าพระเจ้าเป็นผู้ใด เป็นพระผู้สร้าง เป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด เพียงองค์เดียวเท่านั้น มารซาตานก็เชื่อ แล้วเชื่อฟังพระเจ้าไหม? ไม่เชื่อ กบฏต่อพระเจ้า
ฉะนั้น ที่เราพูดว่าเชื่อพระเจ้า มีพระเจ้า เราเชื่อพระเจ้าแบบไหน? เชื่อว่ามีพระเจ้า เชื่อแค่ไหน? ขนาดไหน? ถ้าเราเชื่อว่าพระเจ้ามีจริง พระเจ้ายิ่งใหญ่ พระเจ้ามีฤทธิ์อำนาจสูงสุด แบบสากลที่เขาเชื่อกัน …
“ฉันเชื่อแล้วว่ามีพระเจ้า”
ความเชื่อแบบนี้ มันไม่มีประโยชน์ เพราะว่าแม้พวกผีมารซาตาน ก็ยังเชื่ออย่างนี้เลยว่ามีพระเจ้าจริงๆ ซึ่งไม่ได้ทำให้เกิดผลประโยชน์อะไรทั้งสิ้นเลย นึกภาพออกไหม? ตอนเชื่อพระเจ้า โอ๊ย! มีพระเจ้า พอพระเจ้าประทานพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระองค์มา เพื่อช่วยให้มนุษย์ได้รอด ไม่เอา ไม่เชื่อ
แต่ความเชื่อที่จะนำไปสู่ความรอดนิรันดร์ ตามพระคัมภีร์บอก ที่จะได้บังเกิดใหม่ เป็นความเชื่อข่าวดี ข่าวประเสริฐของพระเจ้าที่ส่งมาให้กับมนุษยชาติทั้งปวง เป็นความเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเจ้า ที่พระเจ้าบอกว่าเมื่อเชื่อในพระองค์แล้ว ตอนนี้ ยุคนี้ พระองค์ทรงกระทำอะไร? เหมือนในยอห์น 3:16 พระเจ้าประกาศบอกว่า …
“ถ้าเชื่อในเรา ต้องเชื่อในพระเยซู เพราะเราเป็นผู้ประทานพระเยซูคริสต์ พระเจ้าทรงรักมนุษย์ยิ่งนัก จึงได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์มาเป็นมนุษย์ เพื่อตายบนไม้กางเขน เพื่อช่วยชำระบาปให้กับมนุษย์ทั้งปวง ช่วยให้มนุษย์ได้รับความรอด ไปสู่นิรันดร์ ไม่ไปสู่ความพินาศ” นี่คือยอห์น 3:16 ได้บอกไว้ นี่คือข่าวดี
ท่านเชื่อว่าพระเจ้ามีจริง แต่ก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย ถ้าเชื่อในพระเจ้า แล้วไม่เชื่อฟังพระเจ้า บอกว่าพระเยซูคือพระบุตร ที่พระเจ้าทรงประทานให้กับมนุษย์ เพื่อไถ่บาป ให้กับมนุษย์ทุกคน ที่จะสามารถเกิดใหม่ได้ ความเชื่อนี้ เป็นความเชื่อที่เชื่อจริงๆ จากใจจริง คือเชื่อในข่าวดี ข่าวประเสริฐของพระเจ้า เชื่อว่ามีพระเจ้า แล้วก็ทำตามที่พระเจ้าเสนอมา บอกมา คือต้อนรับข่าวประเสริฐ ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นผู้ช่วยให้รอด เปิดประตูใจให้กับพระเยซู เข้ามาอยู่ในใจ ความเชื่ออย่างนี้ เป็นความเชื่อที่เกิดผล เป็นพาสเวิร์ค ข้อพระคัมภีร์ ที่เป็นรหัส ที่พูดด้วยปากและเชื่อด้วยใจ มาเชื่อว่ามีพระเจ้า ดีแล้ว เชื่อพระเยซูปุ๊บ ความเชื่อนี้ลงไปใจเลย พูดด้วยปาก และเชื่อด้วยใจ พูดด้วยปาก คือเชื่อด้วยคำพูด และความเชื่อนั้นหล่นลงมาในใจ เป็นความเชื่อในใจ เกิดเป็นผล คือการเกิดใหม่
ความเชื่อที่หล่นลงมาในใจ คือเชื่อว่ามีพระเจ้า และพระเจ้าบอกว่าพระองค์ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์มา เพื่อคนที่วางใจในพระเยซูจะไม่ได้รับความพินาศ แต่ได้รับชีวิตนิรันดร์ ให้ท่านเชื่อฟังตรงนี้ด้วย จึงเปิดใจต้อนรับข่าวดีพระเจ้า ด้วยความเชื่อนี้ ลงมาในใจ เป็นส่วนตัว
แรกๆ เราอาจจะบอกว่าพระเจ้ามีจริง เสร็จแล้ว เราได้ยินข่าวประเสริฐ พระเยซูคือของขวัญจากพระเจ้า แด่มนุษยชาติทุกคน ก็เป็นจริง อย่างนี้ยังไม่ถือว่ายังไม่ได้ลงมาในใจ
จะลงมาที่ใจต่อเมื่อ พระเยซูเป็นของขวัญจากพระเจ้า ที่พระเจ้าประทานให้กับมนุษยชาติทุกคนจะไปสู่สวรรค์ได้ แล้วรวมทั้งฉันด้วย เป็นส่วนบุคคลเลย รวมทั้งตัวฉันด้วย ฉันก็เป็นคนๆ นั้น แหละ พระเยซูตายที่ไม้กางเขน เพื่อฉัน พระเจ้าประทานให้กับฉัน นี่ลงมาที่ใจเรา อย่างนี้เขาเรียกว่าการกระทำ คือเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด การกระทำตรงนี้เขาเรียกว่าเปิดประตูหัวใจ ซึ่งเชื่อมกันกับที่อาจารย์ยากอบได้พูดตรงนี้
และการกระทำของความเชื่อ ตรงนี้ว่ามีพระเจ้า ก็คือการแสดงออกมาว่าเราเชื่อพระเจ้าจริงๆ เกิดผลจากชีวิตจากข้างในวิญญาณของเรา จากข้างในใจของเราเลย นี่คือสิ่งที่อาจารย์ยากอบพยายามที่จะอธิบาย เตือนบรรดาพี่น้องชาวยิว
ซึ่งชาวยิวในยุคนั้น จำนวนมากที่ได้ฟังเรื่องราวข่าวดีของพระเยซูคริสต์ บางท่าน บางคนในพวกเขา เคยเห็นพระเยซูแล้ว พวกอายุมากๆ ก็ยังเดินกับพระเยซู ตอนที่เดินอยู่บนโลกใบนี้ เคยเห็นการอัศจรรย์ที่พระเยซูทำ ท่ามกลางชาวยิวและผู้เชื่อทั้งหลาย หมายถึงผู้ที่วางใจในพระเยซู ก่อนที่พระองค์จะถูกตรึงที่ไม้กางเขน ซึ่งเขาก็บอกว่าเขาเชื่อ ไม่ต่อต้าน แต่อย่างที่บอก ความเชื่อนั้นไม่ได้ลงไปที่ใจเขา เพราะเขายังไม่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ตามรหัสพระคัมภีร์บอกไว้ ความเชื่อแบบนี้จึงไม่เกิดผล เอาของขวัญมาให้ เชื่อว่ามีของขวัญ แต่ยังไม่ได้ออกไปรับ ก็มีค่าเท่ากับไม่เชื่อเลย ซึ่งในมัทธิว บทที่ 21 พระเยซูก็ได้ยกตัวอย่างให้เห็น เราลองอ่านด้วยกันนะครับ
มัทธิว 21:28-32 “28 “พวกท่านคิดอย่างไร? ชายคนหนึ่งมีบุตรสองคน เขาไปหาบุตรคนโตและพูดว่า ‘ลูกเอ๋ย วันนี้จงไปทำงานในสวนองุ่นเถิด’ 29 “บุตรคนนั้นตอบว่า ‘ไม่ไป’ แต่ตอนหลังเปลี่ยนใจ และไปทำงาน 30 “แล้วบิดาไปหาบุตรอีกคนบอกอย่างเดียวกัน บุตรนั้นตอบว่า ‘จะไปขอรับ’ แต่เขาไม่ได้ไป 31 “ถามว่าบุตรคนไหนทำตามใจบิดา?” พวกเขาทูลว่า “คนแรก” พระเยซูตรัสว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่าคนเก็บภาษีและหญิงโสเภณี พากันเข้าอาณาจักรของพระเจ้าก่อนหน้าพวกท่าน 32 เพราะยอห์นมา เพื่อชี้ทางชอบธรรมแก่ท่าน และท่านไม่เชื่อ แต่คนเก็บภาษีและหญิงโสเภณีเชื่อ และแม้ได้เห็นสิ่งนี้แล้ว พวกท่านก็ยังไม่ยอมกลับใจมาเชื่อเขา”
พระเยซูยกตัวอย่าง พวกที่พึ่งพาตนเอง พึ่งพาในการกระทำของตนเอง ทำความชอบธรรมของตนเอง ซึ่งก็คือพวกเคร่งศาสนา ฟาริสี สะดูสี พวกธรรมาจารย์ เคร่งในการกระทำ ว่าการกระทำ ซึ่งการแสดงออกว่าเชื่อว่ามีพระเจ้า ไม่เหมือนความเชื่อของเหล่าโสเภณีและคนเก็บภาษี ดูเหมือนเขาไม่เชื่อพระเจ้า ถ้าเชื่อพระเจ้า แล้วทำไมทำผิดศีลธรรมเล่า
นี่เป็นการยกตัวอย่าง คนเชื่อและเคร่งในการกระทำ พึ่งในตนเองว่ามีพระเจ้า เชื่อในพระเจ้า หรือเชื่อในการกระทำของตนเอง ถ้าเชื่อในพระเจ้าจริง ตอนนี้ พระเจ้าบอกว่าส่งพระเยซูคริสต์มา พระบุตรองค์เดียวของพระองค์มา เพื่อช่วยมนุษย์ให้ได้รับความรอด มาพึ่งพระเยซูสิ กลับไม่มา ไม่ยอมเชื่อในพระเยซู บอกว่าเชื่อพระเจ้า พระเยซูก็คือพระเจ้า พูดง่ายๆ
ตรงกันข้ามกับเหล่าผู้ที่เขาเรียกว่าชั่วร้าย ก็คือคนชั่วและคนบาป คนเก็บภาษี โสเภณี ดูภายนอก เหมือนไม่เชื่อในพระเจ้าใช่ไหม? แต่พระเจ้าทรงประทานพระบุตร คือพระเยซูคริสต์มาบนโลก เพื่อมนุษยชาติ ก็คือพระเจ้าเองกำหนดให้มนุษย์มาเชื่อในพระเยซู กลับใจใหม่ นี่แหละ เขาเชื่อว่าเชื่อในพระเจ้าจริงๆ เชื่อแล้วมีการกระทำ เชื่อในพระเจ้าว่ามีอยู่จริงๆ มีการกระทำ คือได้รับความรอดจริงๆ เมื่อพระเจ้าประทานพระเยซูมา ก็เปิดใจต้อนรับพระเยซู เป็นพระผู้ช่วยให้รอด
ในยุคนั้น จดหมายของอาจารย์ยากอบเขียนไป มีชาวยิวจำนวนไม่น้อยเลย ที่ปฏิเสธพระเยซูคริสต์ ไม่ยอมรับของขวัญนี้จากพระเจ้า ไม่เอาด้วย ทั้งๆ ที่บอกว่าเชื่อในพระเจ้า แต่ไม่เอาของขวัญ คือไม่เอาตัวพระเจ้า เชื่อว่ามีพระเจ้า แต่พระเจ้ามา บอกไม่เอา แล้วเขาเหล่านั้น ก็ทำตัวเหมือนเดิม วนเวียน การปฏิบัติตัวเหมือนเดิม พึ่งพาตนเองเหมือนเดิม พึ่งพาในการกระทำของตนเองเหมือนเดิม จะเดินทางไปสู่สวรรค์ด้วยตนเอง เพื่อจะเป็นผู้ชอบธรรมด้วยตนเอง นี่พระเยซูยกตัวอย่างอย่างนี้ เขาเชื่อในพระเยซู แต่ไม่ได้เชื่อด้วยใจ ไม่ได้กระทำตามเชื่อ ซึ่งเขาไม่ได้กระทำ มันก็มีสาเหตุหลายอย่าง
อย่างเช่น ตะกี้นี้บอกไว้ หลายคนไม่กล้าต้อนรับพระเยซู เพราะกลัว กลัวอำนาจ อิทธิพลทางศาสนายิว ซึ่งมีอำนาจครอบงำเหนือประชาชน หรือประชากรชาวยิว กลัวการข่มเหง กลัวการต่อต้าน กลัวจะถูกขับไล่ ออกไปจากสังคมชาวยิว กลัวจะไม่ได้สวัสดิการ ความช่วยเหลืออีกต่อไป กลัวถูกกลั้นแกล้ง ตกงาน อะไรต่างๆ นี่คือเวลาศึกษา เรื่องเล่านี้ เราจะได้เห็นภาพชัดเจน
ในยากอบยังมียกตัวอย่าง เรื่องเกี่ยวกับของอับราฮัม ซึ่งเป็นบิดาแห่งความเชื่อของชาวยิว ให้พวกเขาฟัง ในเรื่องของอับราฮัมจะเล่าให้ฟัง อับราฮัม เป็นบิดาของชนชาติยิว เขาเรียกว่าเป็นผู้ให้กำเนิดชนชาติยิว ต้นบรรพบุรุษเริ่มต้นของชาวยิว ก็คืออับราฮัม พวกเขาอยากจะทำตามอับราฮัม อับราฮัมบอกอย่างไร? เขาเชื่อตามนั้น เขานับถืออับราฮัม สิ่งหนึ่งที่เขาเชื่อตามอับราฮัม ก็คือเชื่อว่ามีพระเจ้า
อับราฮัมเป็นผู้เริ่มต้น เชื่อว่ามีพระเจ้า พระเจ้ามีชีวิตอยู่ ถึงแม้มองไม่เห็น แล้วอับราฮัมก็ทำตามด้วย ทำตามด้วยวิธีสละ ทำอะไรบางอย่าง ซึ่งเกี่ยวกับชีวิตของตนเอง สูญเสียอะไรบางอย่างกับสิ่งที่ตนเองรักที่สุด เพื่อพิสูจน์ความเชื่อว่าพระเจ้ามีจริง
พระเจ้าบอกให้อับราฮัมถวาย ฆ่าลูกชายของตนเอง เพื่อเป็นเครื่องบูชาแด่พระเจ้า และอับราฮัมก็ทำ ลองอ่านดูนะครับว่าพระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างไร?
ยากอบ 2:20-24 “20 คนเขลาเอ๋ย ท่านต้องการหลักฐานว่าความเชื่อ โดยปราศจากการกระทำนั้น เปล่าประโยชน์ใช่ไหม? 21 พระเจ้าทรงถือว่าอับราฮัมบรรพบุรุษของเรา เป็นผู้ชอบธรรม ก็เพราะการกระทำของเขาที่ ถวายอิสอัคบุตรชายบนแท่นบูชาไม่ใช่หรือ? 22 ท่านก็เห็นแล้วว่าความเชื่อและการกระทำของเขาทำงานควบคู่กัน ความเชื่อของเขาครบถ้วนสมบูรณ์ โดยสิ่งที่เขาได้ทำ 23 และเป็นจริงตามพระคัมภีร์ที่ว่า “อับราฮัมเชื่อพระเจ้า และความเชื่อนี้พระองค์ทรงถือว่าเป็นความชอบธรรมของเขา” และเขาได้ชื่อว่าเป็นสหายของพระเจ้า 24 จะเห็นได้ว่าผู้ใดจะถูกนับว่าชอบธรรมก็ด้วยการกระทำของเขา ไม่ใช่ด้วยความเชื่ออย่างเดียว”
ในข้อที่ 22 … “ท่านก็เห็นแล้วว่าความเชื่อและการกระทำของเขา ทำงานควบคู่กัน ความเชื่อของเขาครบถ้วนสมบูรณ์ โดยสิ่งที่เขาได้ทำ”
เขาเชื่อว่ามีพระเจ้า ที่มองไม่เห็น แต่พระเจ้าบอกเขาบอกว่าให้ถวายบุตรชาย บนแท่นบูชา เขาก็ทำ
ในนี้บอกว่า … “ท่านก็เห็นแล้วว่าความเชื่อและการกระทำของเขา ทำงานควบคู่กัน”
ความเชื่อและการกระทำของเขา คือการถวายบุตรชายบนแท่นบูชา ให้ท่านสังเกตนิดหนึ่ง จำไว้ ความเชื่อและการกระทำของเขา ความเชื่อและการถวายบุตรชายคนเดียว บนแท่นบูชาของเขา ถามว่าการกระทำ ถวายบุตรของเขานั้น ทำทุกๆ วันไหม? วันละกี่ครั้ง? ทำทุกๆ ปีหรือเปล่า? หรือทำแค่ครั้งเดียว? ก็ได้รับความเชื่อเลย
ในข้อที่ 23 … และความเชื่อนี้ ความเชื่ออย่างนี้ พระองค์ทรงถือว่าเป็นความชอบธรรม ได้รับความรอด ความชอบธรรม ได้รับความรอดในวิญญาณ เราจึงเห็นภาพชัดเจนว่ายากอบกำลังพูดถึงเรื่องโลกวิญญาณ ความรอดในโลกวิญญาณ ข่าวดีของพระเยซูคริสต์ คือข่าวดีมา เพื่อมนุษย์จะได้รับความรอดในโลกวิญญาณ ของขวัญ คือพระเยซูคริสต์ วันคริสตมาสที่พระเจ้าประทานให้กับมนุษยชาติ คือทางไปสู่สวรรค์ เข้าสู่สวรรค์ ก็เข้าเลย เข้ามาทุกวันๆ ตอนนี้ออกมาอยู่นรก พรุ่งนี้เข้าสวรรค์ อีกวันอยู่นรก ไม่ใช่ ทำครั้งเดียว เข้าสวรรค์ก็เข้าสวรรค์เลย ข่าวดีของพระเยซูคริสต์ คือเมื่อเชื่อในพระเจ้า ก็ทำตาม ต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว จะได้บังเกิดใหม่ … บังเกิดใหม่ ก็เกิดครั้งเดียวเหมือนกัน
จะเห็นว่าผู้ใดถูกนับว่าเป็นผู้ชอบธรรม ก็โดยการกระทำของเขา ชัดเจน จะเห็นว่าผู้ใดถูกนับว่าเป็นผู้ชอบธรรม จะได้รับความรอด ในโลกวิญญาณ ผู้ชอบธรรม คือคนดีพร้อม เข้าไปอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้ ก็ด้วยการกระทำของเขา ไม่ใช่ด้วยความเชื่ออย่างเดียว เชื่อแล้วไม่กระทำ เชื่อว่ามีพระเจ้า แต่ไม่กระทำตาม ก็ไม่มีประโยชน์
ข้อ 23, 24 จึงบอกว่า … “และพระคัมภีร์ก็สำเร็จที่ว่า อับราฮัมเชื่อพระเจ้า และพระองค์ทรงถือว่า ความเชื่อนั้นเป็นความชอบธรรมแก่ท่าน และท่านได้ชื่อว่า เป็นสหายของพระเจ้า ท่านทั้งหลายก็เห็นแล้วว่า ผู้ใดจะเป็นคนชอบธรรมได้ ก็เนื่องด้วยการประพฤติ และมิใช่ด้วยความเชื่อเพียงอย่างเดียว”
อับราฮัมได้ทำแล้ว แล้วทำครั้งเดียว รับความรอด เป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า ทำแค่ครั้งเดียวเอง หลังจากที่อับราฮัมทำสิ่งที่เรียกว่าความเชื่อนี้ ครั้งเดียว ได้รับเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว หลังจากนั้น อับราฮัมทำบาปอีกเยอะแยะ หลายครั้งเลย ครั้งหนึ่งที่รุนแรงมาก พระเจ้าบอกว่าสัญญาว่าจะให้บุตร มีทายาทตอนอายุ 99 ปี อับราฮัมกับซาร่าไม่เชื่อ ช่วยพระเจ้า โดยการวางแผนให้ตัวเองมีลูก โดยไม่ต้องพึ่งพระเจ้า อะไรอย่างนี้ ค่อยๆ เรียนรู้
นี่คือทำให้เห็นว่าการกระทำด้วยความเชื่อ ตรงนี้ หมายถึงการกระทำครั้งเดียว เปิดใจต้อนรับเพียงครั้งเดียว ในสิ่งที่พระเจ้าทรงบอกให้ทำ คือตอนนี้พระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว คือพระเยซูคริสต์ นี่ชัดเจน
นอกจากนี้ยังมีเรื่องของราหับ หญิงโสเภณี ที่ยากอบได้ยกตัวอย่างใน บทที่ 2 ข้อ 25-26
ยากอบ 2:25-26 “25 เช่นเดียวกัน ราหับหญิงแพศยาก็ได้ความชอบธรรม เนื่องด้วยความประพฤติมิใช่หรือ เมื่อนางได้รับรองผู้ส่งข่าวเหล่านั้น และส่งเขาไปเสียทางอื่น 26 เพราะกายที่ปราศจากจิตวิญญาณนั้นไร้ชีพแล้วฉันใด ความเชื่อที่ปราศจากการประพฤติตามก็ไร้ผลฉันนั้น”
พูดง่ายๆ ว่าการกระทำของนางราหับ หญิงโสเภณี ทำครั้งเดียว คือเปิดประตู ได้ยินข่าวมาว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่ พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่ ตอนนี้คนของพระเจ้ามาที่นี่แล้ว เชื่อไหม? เชื่อว่ามีพระเจ้าไหม? เชื่อ ไม่ได้เชื่ออย่างเดียว แต่เปิดประตูต้อนรับสายรับชาวยิว เข้าไปในเยรีโค เสี่ยงกับชีวิตของตนเอง ราหับกำลังทำอะไรบางอย่างที่เสี่ยงกับชีวิตของตนเอง ในการเชื่อในพระเจ้ากับการกระทำสิ่งนี้ เป็นการช่วยเหลือคนของพระเจ้า ให้หนีรอด ออกไปทางหน้าต่าง ในเวลาต่อมา เสี่ยงชีวิตตัวเองในการจะถูกเจ้าหน้าจับได้ และประหารชีวิต การกระทำนี้ เปิดประตู ยอมรับในสิ่งที่ข่าวดีมาถึงเขาแล้ว คือพระเจ้ามาถึงบ้านพักเขาแล้ว เปิดประตูต้อนรับเลย เขาทำเลย นี่คือการกระทำของเขา เปิดประตูต้อนรับข่าวดีของพระเจ้า ครั้งเดียวเหมือนกัน เห็นไหม?
ราหับมาเปิดประตู จากนั้นเปิดประตูทุกวันๆ ไม่ใช่นะ แล้วไม่ใช่ว่าราหับเปิดประตูต้อนรับข่าวดี เชื่อในพระเจ้าแล้ว จากนี้ต่อไป ราหับไม่ได้ทำอะไรสิ่งชั่วร้าย หรือทำบาปต่อพระเจ้าเลย ไม่ใช่อย่างนั้น
เราจึงเห็นอย่างชัดเจนว่าบริบทของยากอบ บทที่ 2 นี้ มันคือความรอดในโลกวิญญาณ ความรอดทางวิญญาณ ความรอดไปสู่สวรรค์นิรันดร์กาล การได้เกิดใหม่ เหตุการณ์เกิดขึ้นจากข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ที่ต้อนรับข่าวประเสริฐของพระเยซู ต้อนรับข่าวดีนี้ แล้วพระเจ้าได้ทำให้เราบังเกิดใหม่เข้าสู่สวรรค์ได้ ทำครั้งเดียวพอ
เพราะฉะนั้น สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซู เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ซึ่งได้ยินได้ฟัง ได้เรียนรู้มา ถึงเรื่องราวของพระเยซูว่าเป็นข่าวประเสริฐของพระองค์ พระเจ้าส่งมาให้กับมนุษย์ทุกคน ถึงแม้ว่าท่านเคยได้ยินมาตั้งนานแล้ว ไม่เคยแย้ง ไม่เคยต่อต้าน ปากท่านก็พูดว่าเชื่อ แต่การกระทำท่านไม่ได้เป็นเช่นนั้น ความเชื่ออย่างนี้จะเกิดผลไหม? ท่านลองคิดดู ความเชื่อนี้จะไม่เกิดประโยชน์อย่างไรเลย ถ้าท่านไม่ทำการเปิดประตู เหมือนราหับเปิดประตูต้อนรับข่าวดี เหมือนกับอับราฮัมเปิดประตูเสี่ยงชีวิตให้ลูกชายของตนเองรักแก่พระเจ้า เสี่ยงเลยว่าพระองค์มีจริง ถ้าท่านไม่ต้อนรับพระเยซูคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ประจำตัวของท่าน เท่ากับท่านไม่เชื่อ มันก็ไม่เกิดผลอะไรกับการที่ท่านเชื่อว่ามีพระเจ้านะ ข่าวดีนี้เป็นเรื่องจริง ถูกไหม?
สมมติว่าผมพูดว่า …
“เคล็ดลับในการที่มีสุขภาพดีนั้น ต้องออกกำลังกายเป็นประจำ สม่ำเสมอ ลดการกินแป้งและน้ำตาล อย่าให้อ้วนจนเกินไป” …
อะไรอย่างนี้ ลดอาหารที่เป็นพิษ ยกตัวอย่างอะไรต่างๆ ท่านก็ได้ยินได้ฟัง เชื่อ … เชื่อคุณนครได้พูด ถูกแล้ว แล้วทำหรือเปล่า? ไม่ได้ทำ มันก็มีผลเท่ากับไม่เชื่อ คนที่บอกว่าไม่เชื่อ เขาได้ผลอย่างไร? ท่านที่บอกว่าเชื่อ แต่ไม่ได้ทำ ก็มีผลเช่นนั้น เหมือนกัน เหมือนผมบอกว่า …
“ไปกินก๋วยเตี๋ยวเรือร้านนี้สิ อร่อยมากเลย อร่อยจริงๆ”
มีสองคน คนหนึ่งเขาบอก … “ไม่เชื่อหรอก ไม่กิน”
อีกคนหนึ่งบอก … “เชื่อ เชื่อคุณนครพูด เขาพูดมาทั้งหมดถูกต้อง อร่อย มากเลย กินแล้วรสชาดเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ เขาพูดถูก มีเหตุมีผล ถูกหมด”
แต่ไปชิมหรือเปล่า? ไม่ได้ไป เพราะฉะนั้น ทั้งสองคนนี้ มีค่าเท่ากับไม่เชื่อทั้งสองคน เพราะไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรเลย ในการที่ผมพูดออกไป ไม่ได้เกิดผลอะไรเลยสักนิดเดียว อย่างนี้เป็นต้น
ดังนั้น ในเรา ในพวกเราที่มีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน ไม่เหมือนกับชาวยิว ในอดีต เราได้ยินข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ถ้าเราจะเปิดใจต้อนรับเชื่อในพระเยซูคริสต์ เชื่อว่ามีพระเจ้า และสิ่งที่พระเจ้าส่งมา ก็คือพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ลงมา เป็นเรื่องจริง แล้วเราต้อนรับเข้ามาเป็นส่วนตัวในชีวิตของเรา ในปัจจุบันนี้ เราไม่ต้องเสี่ยงอะไรเลย สังเกตไหม? เราไม่ต้องเสี่ยงเลย ไม่มีใครมา ต้องเสี่ยงชีวิตกับเรื่องนี้ ในสมัยยุคปัจจุบันนี้ อาจจะถูกต่อต้านบ้าง เป็นเรื่องธรรมดา อย่างเช่นตัวผมเอง เคยได้ยินข่าวดีนี้ ถามว่าเชื่อไหมตอนนั้น ก็นับว่าเชื่อนะ เชื่อว่ามีพระเจ้า ผมเชื่อ มาตั้งนานแล้ว ว่ามีพระเจ้า แต่เชื่อไหมว่าพระเจ้า ส่งพระเยซูคริสต์มา ไม่เชื่อ ก็เท่ากับไม่เชื่อว่ามีพระเจ้า มาตอนหลังท้ายๆ ได้ยินข่าวดีมามากๆ เกิดความทุกข์ใจมากๆ ไม่มีที่พึ่ง เริ่มต้นเชื่อว่าพระเจ้าส่งพระเยซูคริสต์มา เป็นจริง เยอะขึ้น มากขึ้น แต่ก็ยังมีค่าเท่ากับไม่เชื่อ เพราะยังไม่ได้ทำสิ่งหนึ่ง ตามที่พระคัมภีร์บอก คือยังไม่เปิดใจ เปิดปาก ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ลงไปในใจของผม คือให้เกิดเป็นส่วนตัวในชีวิตของเรา ยังไม่เคยทำ ก็ยังเท่ากับไม่เคยทำ
ครั้งเดียวที่จำเป็นต้องทำ ก็ยังไม่ได้ทำ ก็คือเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด แต่พอเริ่มศึกษาไปเรื่อยๆ เริ่มต้นแสวงหา อธิษฐาน แล้วในทันทีทันใด เมื่อเริ่มเปิดใจ ต้อนรับข่าวประเสริฐ ต้อนรับพระเยซูคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ส่วนตัวแล้ว มาเกิดทันที คือได้บังเกิดใหม่ ได้รู้จักพระเจ้า ได้มาเป็นลูกพระเจ้าทันที นี่แหละ คือสิ่งที่เรียกว่าความเชื่อ ต้องบวกด้วยการกระทำ
เงื่อนไขที่จะเข้าสู่สวรรค์ได้ เงื่อนไข คือการเปิดประตูใจของเรา รับของขวัญ คือพระเยซูคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด คิดถึงราหับ หญิงโสเภณีที่เปิดประตู ต้อนรับข่าวดี คิดถึงอับราฮัม คิดถึงก๋วยเตี๋ยวเรือ ยังไม่ชิม ก็เดินทางไปชิมสิครับ พระคัมภีร์บอก ท่านชิมพระเจ้า แล้วท่านจะรู้ว่าพระองค์ทรงดีขนาดไหน?
เพราะฉะนั้น เงื่อนไขที่จะเข้าสวรรค์ ได้รับความรอด ก็มีเพียงแค่แสวงหา เคาะ แล้วก็จะทรงประทานให้กับท่าน เคาะ ก็คืออยากได้ แสดงความจำนง คืออยากได้ … อยากได้ ก็คือการเปิดใจ ต้อนรับข่าวดีของพระเยซู ต้องยอมรับด้วยปาก และเชื่อด้วยใจจริงๆ ซึ่งแสดงอาการอยากได้จริงๆ ด้วยการขอ หา แล้วก็จะถูกเปิดให้กับท่าน เคาะ
พระเยซูบอกว่า … “เราอยู่ที่ประตูใจของท่าน ไปเคาะประตูใจของท่าน เมื่อไรท่านเปิดออกมา เราจะเข้าไป”
คือพระเจ้าได้ทำให้ท่านได้เกิดใหม่นั่นเอง พระเยซูบอกอย่างนั้น เมื่อท่านเชื่อและยอมรับข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ทำแค่ครั้งเดียว ท่านจะได้รับการเกิดใหม่ เข้าสู่สวรรค์ทันที เป็นลูกของพระเจ้าทันที และยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่าง ที่เกิดขึ้น หลังจากที่ท่านเกิดใหม่ คือเกิดในทางวิญญาณของท่านในพระเยซูคริสต์ เราจะค่อยมาเรียนรู้กันต่อไปว่ามันเกิดอะไรขึ้น ในวิญญาณของท่าน เมื่อท่านกระทำเพียงครั้งเดียว สิ่งเดียว คือต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ต้อนรับจากใจจริงๆ เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดจริงๆ พระเจ้าอวยพรครับ
************************