คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 29 ตุลาคม 2017 เรื่อง “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท” ตอน 5 “สองอาณาจักรแห่งโลกวิญญาณ” ตอน 2 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  29  ตุลาคม  2017

 เรื่อง “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท”

ตอน 5 “สองอาณาจักรแห่งโลกวิญญาณ” ตอน 2

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

สวัสดีครับพี่น้อง วันนี้ “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท” ตอน 5 เรื่อง “สองอาณาจักรแห่งโลกวิญญาณ” ตอน 2 จะย้ำอยู่อย่างนี้ เพราะต้องการจะให้ทุกท่านได้เข้าใจ ได้เชื่อ ได้มั่นใจ เขาเรียกว่าได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่ง รู้สึกลึกซึ้งจริงๆ ว่าโลกวิญญาณมีอยู่จริงๆ

เพราะฉะนั้น พระเยซูมักพูดเสมอๆ ในเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณว่า Behold แปลว่าจงมองให้เห็นเถิด

ท่านรู้ไหมคำนี้ โมเสสใช้ตอนที่คนอิสราเอลตกใจกลัว หนีมาชนทะเลแดง ตายแน่ ลงไปก็จมน้ำตาย หันไปข้างหลัง กองทัพเต็มไปด้วยอาวุธเต็มขนาดมา ฆ่าเราตายแน่ๆ โมเสสได้รับคำสั่งจากพระเจ้า ทำอย่างไรจึงจะสยบความกลัวของประชาชนเยอะแยะมากมาย เป็นล้านๆ โมเสสขึ้นไปบนก้อนหินสูงๆ ยกไม้เท้าขึ้น แล้วบอกว่า …

“Behold”

ตะโกนดังลั่นเลย  “จงมองให้เห็นเถิด”

ทางโลกฝ่ายวิญญาณว่า “Behold ความช่วยให้รอด พระหัตถ์พระเจ้ามาแล้ว”

ท่านนึกภาพ เห็นโมเสสตอนนั้น ที่อยู่บนก้อนหิน แล้วตะโกนไปเห็นคนเป็นล้าน แล้วทุกคนกำลังกลัว โมเสสต้องเรียกเอาความสนใจของเขามาที่นี่ให้หมด พระเจ้าตรัสว่า …

“จงมองให้เห็นเถิด”

เริ่มต้นตั้งแต่โลกวิญญาณทั้งหมด มีพระเจ้าเป็นผู้ควบคุม และครอบครองยิ่งใหญ่สูงสุด จงมองให้เห็นในโลกฝ่ายวิญญาณ จำไว้ว่าทั้งหมดนี้ เกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น และอาณาจักรแห่งโลกวิญญาณที่ซ้อนหรือคลุมโลกอยู่ในเวลานั้น ก็มีเพียงอาณาจักรเดียว คืออาณาจักรแห่งความสว่าง ที่มีมนุษย์ยังคงเป็นมนุษย์ที่เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า สามารถติดต่อกับพระเจ้าได้สนิทสนมเป็นมิตร เป็นลูกเป็นพ่อกัน นี่ปฐมกาล

แล้วต่อมามนุษย์คู่แรก ที่พระเจ้าทรงสร้าง คืออาดัมและเอวาก็กบฏต่อพระเจ้า ไม่เชื่อฟังพระเจ้า หันไปเชื่อฟังคำพูดของมาร ซาตาน ขัดคำสั่งพระเจ้า จึงล้มลงในความบาป จากนั้น โลกวิญญาณ ที่เคยเป็นอาณาจักรแห่งความสว่าง ก็กลับกลายเป็นอาณาจักรแห่งความมืด จากการถูกลงโทษ ถูกสาปแช่ง ต้องตกอยู่ภายใต้การควบคุมของมาร และมนุษย์ทั้งหลาย ก็ได้รับเชื้อบาป มาจากบรรพบุรุษ คืออาดัม กลายเป็นคนบาป ที่ถูกตัดขาดความสัมพันธ์กับพระเจ้า ถูกลงโทษ ถูกสาปแช่ง ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา และจนมาถึงเมื่อประมาณ 2,000 ปีที่ผ่านมาแล้ว แผนการของพระเจ้าที่ได้ทรงเตรียมไว้ ตั้งแต่ก่อนสร้างโลกก็เกิดขึ้น คือพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้าได้มาเกิดเป็นมนุษย์ มาเป็นตัวแทนมนุษย์ รับโทษของความบาปทั้งหลายทั้งมวลของมนุษย์ โดยผ่านทางการตาย และหลั่งพระโลหิตของพระองค์บนไม้กางเขน เอาโทษออกไป และจากวันนั้น 2,000 ปีที่แล้ว จนถึงวันนี้ เดี๋ยวนี้ โลกวิญญาณที่ซ้อนอยู่ หรือครอบคลุมโลกวัตถุนี้อยู่ ก็เกิดเป็น 2 อาณาจักรขึ้นทันที คืออาณาจักรแห่งความสว่างกับอาณาจักรแห่งความมืด โดยทั้ง 2 อาณาจักร ก็เปรียบได้ เท่ากับครอบครัวใหญ่ๆ 2 ครอบครัวของมนุษยชาติ บนโลกใบนี้ นั่นเอง

อาณาจักรแห่งความสว่าง ก็คืออาณาจักรของพระเจ้า ซึ่งมีพระเยซูคริสต์ เป็นหัวหน้าครอบครัว แล้วก็มีมนุษย์ เป็นสมาชิกในครอบครัวนี้ ครอบครัวนี้ มีชื่อเรียกว่าครอบครัวพระคริสต์ ผู้ที่อยู่อาศัยในครอบครัวนี้ จึงถูกเรียกว่าอยู่ในพระคริสต์

สำหรับอาณาจักรแห่งความมืด ก็คืออาณาจักรของมาร ซึ่งมีอาดัมเป็นบรรพบุรุษ หรือเป็นหัวหน้าครอบครัวเดิม ตั้งแต่สมัยโน้นอยู่ แล้วก็มีมนุษย์เป็นสมาชิกในครอบครัวนี้ ครอบครัวนี้มีชื่อว่าครอบครัวอาดัม ผู้ที่อาศัยอยู่ในครอบครัวนี้  ได้ชื่อว่าอยู่ในอาดัม

และจากที่เราได้เรียนรู้จากข้อพระคัมภีร์ ถ้อยคำต่างๆ ที่อยู่ในพระคัมภีร์ ที่อธิบายถึงลักษณะ สภาพ และความเป็นอยู่ พอสังเขปได้ของอาณาจักรแห่งความมืด ก็จะมีคำต่างๆ เหล่านี้ ในพระคัมภีร์ ที่บอกถึงสภาพ ลักษณะในอาณาจักรนี้ว่าเขาอยู่อย่างไร? เป็นอย่างไร? พอจะเข้าใจได้บ้าง พอสังเขป   เช่น ความมืด, ตายนิรันดร์, คนบาป, คนอธรรม, ถูกสาปแช่ง, ความเกลียดชัง, ความพิโรธของพระเจ้า, กดขี่ข่มเหง, ข่มขู่, ลูกแห่งการกบฏ เป็นต้น เหล่านี้ คือถ้อยคำ หรือลักษณะของพระคัมภีร์ที่อธิบายถึงสภาพของอาณาจักรแห่งความมืด

และในพระคัมภีร์ที่อธิบายถึงสภาพและลักษณะของอาณาจักรแห่งความสว่าง ก็จะมีคำต่างๆ เหล่านี้ ท่านจะคุ้นๆ มาก  เช่น  ความสว่าง, อาณาจักรสวรรค์, ชีวิตนิรันดร์, ผู้ชอบธรรม, บริสุทธิ์,  ความรัก, พระเกียรติสิริ, พระคุณ, สง่าราศี, ลูกของพระเจ้า เป็นต้น ถ้อยคำเหล่านี้  จะบอกลักษณะสภาพของผู้ที่อยู่ในอาณาจักรนี้ ซึ่งเราได้ยินบ่อยๆ เพราะเราเรียนรู้แล้ว อย่างเช่นพระเยซูบอก ตอนที่พระองค์ทรงเดินอยู่บนโลกนี้ พระองค์บอกว่า …

“สวรรค์กำลังมา และอยู่ที่นี่แล้ว”

ตอนนี้สวรรค์อยู่ที่นี่ และพระองค์ทรงเป็นผู้นำเอาสวรรค์มา ตอนนี้พระองค์บอกว่าพระองค์เป็นแสงสว่าง เอาแสงสว่างเข้ามาบนโลกแล้ว พระองค์กำลังจะพูดถึงว่าอีกไม่นาน พระองค์จะตายที่ไม้กางเขน และสถาปนาอาณาจักรแห่งแสงสว่างนี้ขึ้นมา ยกตัวอย่างให้ท่านฟัง ใครที่เชื่อเรา (พระเยซู) เขาจะได้รับชีวิตนิรันดร์ แปลว่าชีวิตที่เหมือนพระเจ้า อะไรอย่างนี้เป็นต้น ตอนนี้ท่านเริ่มอ๋อ! แล้วท่านฟังไปเรื่อยๆ พระวิญญาณจะย่อยสลายถ้อยคำเหล่านี้ ลงไปในวิญญาณของท่าน เกิดเป็นสติปัญญา เกิดเป็นการรับรู้ในเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้าว่าพระเจ้า คือใคร? และทำอะไรให้ฉันบ้าง? ให้มนุษยชาติบนโลกใบนี้บ้าง?

ฝั่งอาณาจักรของความสว่าง ที่มีพระเยซูเป็นหัวหน้าครอบครัว ก็จะปกครองอยู่ในอาณาจักรนี้ ด้วยความรักฉันท์พี่น้อง แบบครอบครัว เรียกว่าครอบครัวพระคริสต์ เหมือนที่เราชอบลงท้ายจดหมายหรืออะไรต่างๆ ว่า “รักในพระคริสต์” “ความรักในพระคริสต์” แปลว่าอย่างนี้  ในครอบครัวของความสว่าง ในโลกวิญญาณ

ส่วนฝั่งของอาณาจักรแห่งความมืด มีอาดัมอยู่ อาดัมมอบอำนาจให้มารไปแล้ว ก็เท่ากับว่ามีหัวหน้าครอบครัวเป็นอาดัม แต่เซ็นต์มอบอำนาจให้มารเป็นใหญ่ ก็จะปกครองด้วยการกดขี่ข่มขู่ ให้หวาดกลัวตลอดเวลา ตกนรก เธอแย่ เธอเลว เธออะไรต่างๆ เหล่านั้น เธอสมควรตาย เหมือนอยู่ในคุก เหมือนที่กักขังทาส ทุกคนเป็นเหมือนทาส เป็นเหมือนเชลย

นี่คือสิ่งที่พระคัมภีร์ได้อธิบายให้เราฟัง ถึงสภาพของ 2 อาณาจักรนี้  ซึ่งในโลกวิญญาณบอกว่ามนุษย์ทุกคน จะต้องเป็นสมาชิกในครอบครัวใด  ครอบครัวหนึ่งอย่างแน่นอน หนีไม่พ้น ตราบใดที่ท่านเป็นมนุษย์ และเดินอยู่บนโลกใบนี้ ท่านต้องอยู่ในอันใดอันหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นสว่างหรือมืด พระเยซู หรืออาดัม

ยกตัวอย่างว่าท่านเดินออกไปข้างนอก กลางวัน ที่มีดวงอาทิตย์ ทุกคนก็แดดร้อนเท่าๆ กันหมด เหมือนที่บอกว่าโลกกลม ไม่ว่าท่านจะบอกว่าโลกแบนหรืออย่างไร? แต่ในที่สุด มันก็คือโลกกลม

แผนการของพระเจ้าที่ได้ทรงส่งพระบุตร คือพระเยซูคริสต์มาไถ่บาปให้กับมนุษย์นั้น เพื่อมนุษย์จะได้มีโอกาสเลือกและสามารถย้ายสำมโนครัว จากครอบครัวเดิม สู่ครอบครัวใหม่ที่ดีกว่าได้ แค่นั้นเอง พระเจ้าทำสำเร็จไปเรียบร้อยแล้ว บนไม้กางเขน พระเยซูตรัสชัดเจนว่าสำเร็จแล้ว เริ่มต้นปฐมกาล พระเจ้าบอกว่าจะทำ จะส่งพระบุตรลงมาบนโลกใบนี้ เพื่อจัดการไถ่บาปให้กับมนุษย์ และเตรียมโลกใหม่ให้กับมนุษย์ เตรียมครอบครัวใหม่ให้กับมนุษย์ จะได้พ้นจากบาป จากเวร จากกรรมเสียทีหนึ่ง เวลาผ่านมาเนิ่นนานมากมาย จนกระทั่งพระเยซูที่ไม้กางเขน พระองค์บอกทำแล้ว เสร็จแล้ว จบแล้ว ต่อไปนี้ ไม่ต้องทำอะไรแล้ว เพราะทำให้เสร็จแล้ว ไปบอกข่าวดีนี้ให้กับทุกคน มนุษยชาติ ที่เกิดมาบนโลกใบนี้ว่ามันมีที่ที่ดีกว่าแล้ว ย้ายเถอะๆ ท่านต้องมีความรู้อะไรมากมายไหม? ไปประกาศข่าวดีนี้ โลกวิญญาณมี 2 อาณาจักร มีอาณาจักรแห่งความมืด และตอนนี้มีอาณาจักรแห่งความสว่าง ดีกว่าตั้งเยอะแยะมากมายเลย  พระเยซูมาทำให้แล้ว พระเจ้าส่งพระบุตรมาให้เรียบร้อยแล้ว ตายที่ไม้กางเขนเรียบร้อยแล้ว เปลี่ยนเลย รับสิทธิท่านไป เปลี่ยนทันที ไม่ต้องทำอะไรเลย ทำให้ท่านเรียบร้อยแล้ว แค่นี้ ฮีบรู 2:11

ฮีบรู 2:11 “พระองค์ผู้ที่ทำให้มนุษย์ทั้งหลายบริสุทธิ์กับบรรดาผู้ที่ทรงทำให้บริสุทธิ์นั้น เป็นครอบครัวเดียวกัน ฉะนั้น พระเยซูจึงไม่ทรงละอาย ที่จะเรียกเขาเหล่านั้นว่าพี่น้อง”

 

พระเยซูเรียกท่านว่า “พี่น้อง” แล้วทำไมท่านเรียกพระเยซูว่าพระองค์ล่ะ อ้าว! ท่านต้องเรียกพระองค์ว่าพี่ กล้าเรียกไหม? เขินอ่ะ เพราะว่าเราไม่รู้จักพระองค์จริงๆ แต่พระองค์รู้จักเรา ถูกไหม? พระเยซูเจอทัศนัย

“น้องนัยว่าอย่างไร?”

น้องนัยหันกลับมา “ข้าพระองค์”

รู้สึกห่างเหินจริงๆ พระเยซูบอกอยากจะเข้าไปกอด “อย่ากอดหม่อนฉันเลย”

มันเป็นอย่างนี้จริงๆ วิธีแก้ไขทำอย่างไร? เรียนรู้จักพระองค์มากขึ้น เรียนรู้จักวิธีใด ก็พยายามอธิษฐานขอพระเจ้า ขอพระวิญญาณบริสุทธิ์สำแดงให้เรารู้ว่าพระองค์คือใคร? แล้วเราเป็นใคร? นี่แหละ เรากำลังเรียนรู้ ตอนนี้เราสนิทขึ้นตั้งเยอะแล้ว สมัยก่อนเราสนิทอย่างนี้ไหม? เราก็ไม่ได้สนิทถึงขนาดนี้ แต่ถามว่าสนิทขนาดนี้ มากขนาดนี้ได้ไหม? เรียกพระเยซูว่าพี่ได้ไหม? ยังไม่ได้ใช่ไหม?  แต่วันหนึ่งจะได้ ถูกไหม? แต่ตอนนี้ก็เริ่มสนิทแล้วนะ ตอนก่อนหน้านี้ แย่กว่านี้ หลายคนเชื่อใหม่ๆ ไม่กล้าอธิษฐาน ต้องคุกเข่า พอไม่คุกเข่า รู้สึกมันไม่ถ่อมใจ ยืนอธิษฐานไม่ได้ บางคนยืนอยู่บนรถเมล์ไม่กล้าอธิษฐาน บางคนอยู่ในห้องน้ำไม่กล้าอธิษฐานเลย นี่เรื่องจริง ผมก็คือหนึ่งในนั้น เข้าห้องน้ำรู้สึกเขินๆ มีความรู้สึกว่าจะอธิษฐาน ต้องหาที่สงบๆ ห้องเงียบๆ ปิดประตูหมด รู้สึกพระเยซูอยู่ใกล้เหลือเกิน จริงๆ ก็ใกล้เหมือนเดิมนั่นแหละ ที่เดียวกัน ในห้องน้ำเหมือนกัน แต่ตัวเราเอง รู้จักพระองค์ไม่พอ พอเข้าห้องน้ำ เขินพระเยซู ไม่กล้าอธิษฐาน รู้สึกโป๊ ไม่สุภาพ จะอธิษฐานต้องไปเตรียมชุดให้ดีๆ ใส่ชุดให้เรียบร้อย เข้าไปสง่างาม คุกเข่าลง  ท่านเห็นภาพหรือยัง? ฮีบรู 2:14-15

ฮีบรู 2:14-15 “14 ในเมื่อบุตรทั้งหลายมีเลือดและเนื้อ พระองค์จึงทรงร่วมในความเป็นมนุษย์ของพวกเขา เพื่อว่าโดยการสิ้นพระชนม์ พระองค์จะได้ทรงทำลายผู้กุมอำนาจแห่งความตายคือมาร 15 และปลดปล่อยบรรดา ผู้ซึ่งตลอดชั่วชีวิต ตกเป็นทาสเนื่องจากกลัวความตาย”

 

“ในเมื่อบุตรทั้งหลายมีเลือดและเนื้อ” บุตรทั้งหลาย ก็คือพวกเราทั้งหลายที่เชื่อพระองค์ มนุษย์ทั้งหลาย ในเมื่อน้องๆ ทั้งหลาย เป็นมนุษย์ พี่ก็ต้องเกิดมาเป็นมนุษย์เหมือนกัน เพื่อจะได้เป็นตัวแทนของน้องๆ ได้ พี่เป็นพระเจ้า เป็นวิญญาณเฉยๆ มาช่วยน้องๆ ไม่ได้ พี่ก็เลยต้องยอมสละสภาพพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์เหมือนน้องๆ ต้องมาอยู่ในเนื้อหนัง ร่างกายที่มองเห็น ต่ำต้อยมาก ยอมมาอยู่ในนี้ เพื่อว่าพี่จะได้สามารถตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตชำระบาปให้กับน้องๆ ทั้งหลายได้  เรื่องพระเจ้า คือเรื่องครอบครัวแค่นี้เอง ถ้าท่านเห็นภาพในโลกวิญญาณ เห็นชัดเจน ท่านเข้าใจ ท่านจะสามารถพูด อย่างที่ผมพูดอย่างง่ายๆ เลยว่ามันเป็นครอบครัว กำลังเล่าให้ฟังว่าพี่ไปทำอะไรมา? มาช่วยน้องๆ อย่างไร? พ่อส่งพี่มาช่วย พ่อให้พี่มาช่วย  แล้ววิธีช่วยของพี่ คือพี่ต้องเข้ามาอยู่กับน้องๆ อยู่ท่ามกลางน้องๆ เพื่อจะได้เป็นพวกเดียวกันกับน้องๆ เพราะว่าถ้าพี่ยังเป็นพระเจ้าอยู่ พี่ตายไม่ได้ ไม่สามารถหมดลมหายใจได้ ไม่สามารถมีเลือดหลั่งออกมาชำระบาปได้ เพราะฉะนั้น พี่ต้องมาในสภาพเหมือนน้องๆ คือเป็นร่างกายที่มีเนื้อหนัง มีเลือด เพื่อว่าจะได้ตายได้ จะได้เลือดหลั่งได้  เพื่อการตายและหลั่งเลือดนั่น ชำระบาป ตามกฎกติกาของพระเจ้า เพื่อช่วยให้น้องๆ ได้หลุดพ้น จากการถูกลงโทษได้ หลุดพ้นจากคำสาปได้ ก็แค่นี้เอง

อ่านแล้วมันศาสนาเหลือเกิน มันไม่เข้าใจเลย เราคิดมากไป เราคิดเยอะไป ไม่มีอะไร มีอยู่แค่นี้  พอเรามาแกะเปลือกออกปุ๊บ เหลือแต่แก่นเท่านั้น แก่นมันไม่มีอะไรเลย ง่ายขนาดนี้เลยเหรอ ขอบคุณพี่พระเยซูมากเลย พี่ดีกับเรามากจริงๆ

การถ่อมใจ คือการยอมรับในสิ่งที่พระเยซูบอกว่ามันเป็นจริง พระเยซูบอกว่าเป็นพี่น้อง ถ้าเราบอกเป็นพี่น้อง พี่พระเยซู … พระเยซูเรียกอย่างนี้ว่าถ่อมใจ แต่ถ้าพระเยซูบอกเราเป็นพี่น้อง แล้วเราบอกเราต้องคุกเข่าลง พระเยซูบอกไม่ถ่อมใจเลย  มันกลับกัน นั่นคือความถ่อมใจแบบมนุษย์ … มนุษย์ถ่อมใจ คือต้องคุกเข่า พระเยซูบอกเราเป็นพี่น้องกัน คุกเข่าทำไม? เพราะเราไม่เชื่อ เพราะความรู้เราไม่พอ หรือไม่เชื่อ เพราะการรับรู้ของเราไปไม่ถึง แต่รวมความแล้ว เรายังไม่ถ่อมใจจริงๆ การถ่อมใจในฝ่ายวิญญาณ ในทางพระเจ้า คืออย่างนี้ รับรู้ในสิ่งที่พระองค์ทรงบอกว่าเป็น เราก็บอกว่าเป็นอย่างนั้น นั่นแหละคือการถ่อมใจ ถ้าพระองค์บอกว่าเป็นอย่างนี้ แล้วเราบอกไม่ใช่ อย่างนี้เขาเรียกว่าไม่ถ่อมใจ เขาเรียกว่าเย่อหยิ่ง พระเยซูบอกเราเป็นพี่น้องกัน เราบอกไม่ใช่ พระองค์ยังเป็นเจ้านายอยู่เหมือนเดิม อย่างนี้ไม่ถ่อมใจ แต่ถ้าพระองค์บอกเราเป็นพี่น้องกัน แล้วเราบอก อ้าว! พี่ว่าอย่างไร? พระเยซูบอกนี่ คนถ่อมใจเป็นคนนี้

พระองค์จึงชอบว่าพวกฟาริสีที่ชอบทำตัวเป็นเคร่งครัดทางศาสนา ดูเหมือนถ่อมใจ พระเยซูบอกถ่อมใจไม่ใช่อย่างนั้น ลองดูว่าเรากล้าพูดมั๊ย

“พี่ รถเมล์ไม่มาเลย รอนานแล้ว ฝนจะตกแล้วพี่ พี่ขอรถเมล์ด่วนจี๋มาสักคันได้ไหมพี่ ช่วยหน่อย”

อันนี้คิดในใจนะ สมมติ “พี่ ช่วยน้องหน่อยเถอะ วันนี้ เห็นเขาบรรยายว่าให้เรียกพี่ เรียกน้อง … น้องก็ไม่ค่อยกล้าเรียกมาก ทดลองเรียก พี่ช่วยหน่อยนะพี่นะ”

ท่านคิดในใจอย่างนี้ ท่านคิดว่าพี่ แต่ท่านรู้ว่าคำว่าพี่ของท่าน คือใคร? ท่านคิดแต่ว่าพระเยซูบอกว่าไม่ได้ เธอต้องบอกว่าพระเยซูช่วยน้องด้วย อย่างนี้เหรอ ท่านบอกว่าพี่ แต่ในใจท่านคิดว่าใคร ก็คือท่านนั่นแหละ คนนั้นแหละ คำว่าเยซู … พระเยซู แปลเป็นภาษาของมนุษย์แล้วไม่รู้กี่พันภาษานะ มันไม่ได้สำคัญตรงชื่อนั้น ทุกวันนี้ยังมีคนใช้ชื่อเยซู … เยซู โยชูวา มันไม่ได้สำคัญตรงคำพูดของคน แต่สำคัญตรงคนที่พูด แล้วรู้ความหมายว่า …

“ฉันกำลังพูดถึงใคร?  ฉันบอกว่าโยชูวา หรือฉันบอกว่าเยซู แต่ฉันหมายถึงคนนั้นแหละที่เกิดมาจากพระเจ้า มาตายที่ไม้กางเขน เพื่อฉัน หลั่งพระโลหิตชำระบาปให้กับฉัน และมนุษย์ทั้งหลายบนโลกใบนี้ ฉันหมายถึงคนนี้ ต่อให้ท่านพูดเพี้ยนๆ เป็นเยซูๆๆๆ ก็ถูก”

หรือท่านไม่ต้องกล่าวถึงชื่อเลย แค่ระลึกถึง เรียกเขาว่าพี่ พอเข้าใจใช่ไหม? จึงต้องอธิบายในทางของพระเจ้า ที่บอกว่ามาเชื่อพระเจ้า แล้วท่านจะหายเหนื่อยและเป็นสุข ท่านเดือดร้อนอะไร?  ก็คุยกับพระเยซู คุยเลย คุยกับพี่เราอย่างนี้

“พี่ช่วยน้องหน่อยนะ ไม่ไหวแล้ววันนี้ ช่วยหน่อย”

ฝึกไปเรื่อยๆ จนคล่อง มันก็จะชิน จนเกิดการรับรู้ว่าเราสนิทกัน ท่านกำลังทำสิ่งที่พระเจ้าพอพระทัยมากที่สุด ท่านกำลังถ่อมใจมากๆ พระเจ้าพอใจคนถ่อมใจมากๆ ก็ด้วยวิธีนี้แหละ เอเมน พอถึงพระเจ้า ก็บอก …

“พ่อจ๋า วันนี้”

เรายังชินมากนะ พระเยซูเรียกเป็นพี่ มันไม่เคย ในนี้จึงบอกว่าพระเยซูไม่ทรงละอาย ที่จะเรียกเขาเหล่านั้นว่าพี่น้อง พระองค์เป็นพี่ เราเป็นน้อง

วิญญาณของมนุษย์ผู้ใดที่ได้เข้ามาอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่างแล้ว เขาอยู่กับพระเยซูแล้ว เขาจะอยู่ในความสว่างอย่างนี้ตลอดไป  แม้ว่าวันหนึ่ง ร่างกายที่เห็นอยู่นี้ อายุ 80 ปี 70 ปี หรือ 90 ปี 100 ปี จะต้องกลับไปสู่ดิน จะต้องสูญสิ้นไป  ทรุดโทรมไป  หมดไป แต่วิญญาณเขาไม่ได้ไปไหน เขายังอยู่กับพระเจ้าเหมือนเดิม และเมื่อใครก็ตามเข้ามาอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่างนี้ มาอยู่กับพระเยซูคริสต์ ย้ายจากครอบครัวเดิม คือครอบครัวอาดัม มาอยู่นครอบครัวพระเยซู อยู่ในความสว่างกับพระเจ้า กับพระเยซู เขาจะอยู่ที่นี่ตลอดไป และในพระคัมภีร์บอกว่าขณะที่เขาอยู่ ไม่มีใครที่ไหน แม้กระทั่งตัวเขาเอง จะสามารถเอาเขาออกไปจากอาณาจักรแห่งความสว่าง กลับมาอยู่ในความมืดนี้ได้ ไม่มีทางเด็ดขาด เพราะเขาได้อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ทรงฤทธิ์อำนาจยิ่งใหญ่สูงสุดนี้แล้ว เอเมน

นี่คือความสบายใจและการหายเหนื่อยและเป็นสุข ที่พระเยซูบอก หลายคนไม่เข้าใจ กลัว ฉันจะได้รับความรอดไหม? วันนี้ ถ้าฉันทำไม่ดีไป ฉันจะตกกลับมาอยู่ที่นี่เหมือนเดิม  ปรากฏว่าวันทั้งวันย้ายไปก็ย้ายมา เมื่อตะกี้นี้ขับรถมา ทนไม่ไหว คนขับรถตัดหน้า ด่าไปแบบสุดๆ เลย ท่านมีความเชื่อว่าถ้าไม่สารภาพบาป ท่านยังต้องตกนรกอยู่ เพราะฉะนั้น ท่านก็ยังตกนรกอยู่ ถ้าผมไม่ได้เตือนท่าน แล้วท่านต้องคอยจำว่าตั้งแต่เช้ามาท่านทำอะไรผิดไปบ้าง แล้วสารภาพหรือยัง?

เพราะฉะนั้น ถ้าใช้ความเชื่อแบบเดิมๆ ท่านเดินไปเดินมา ทำผิด ท่านก็ต้องสารภาพผิด ขอโทษพระเจ้า ไปไหนมาไหน ก็ต้องขอโทษพระเจ้า หนักกว่าเดิม ไม่ใช่หายเหนื่อยแล้วเป็นสุข พระคัมภีร์บอกว่าท่านเป็นนิวครีเอชั่น ได้เป็นสิ่งที่ถูกสร้างใหม่แล้ว พระเจ้าสร้างท่านใหม่ ก่อนจะเชื่อพระเยซู ท่านอยู่ในอาดัม อยู่ในอาณาจักรแห่งความมืด เหนื่อย ทุกอย่างต้องทำด้วยตัวเอง ไม่รู้จะไปพึ่งใคร? เมื่อท่านได้ยินข่าวประเสริฐ ท่านบอก …

“ข่าวประเสริฐดีจริง ฉันเชื่อแล้ว ฉันเอาด้วย ฉันจะใช้สิทธิของฉันในพระเยซูคริสต์ ที่พระเยซูทำให้ฉัน คือตายแทนฉันที่ไม้กางเขน เป็นพี่ชายให้กับฉัน มารับโทษบาปแทนฉัน ฉันเอาด้วยคน ฉันใช้สิทธิของฉันแล้ว ฉันรับแล้ว”

พระคัมภีร์บอกว่าเมื่อท่านพูดด้วยปาก และเชื่อด้วยใจว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต ชำระบาปให้กับท่าน … ท่านจะรอด พอท่านพูด ท่านเชื่อปุ๊บ พระคัมภีร์บอกว่าโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า กระทำการงาน โดยวินาทีนั้นทันที 2 โครินธ์ บทที่ 17 สร้างท่านขึ้นใหม่ เป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ นิวครีเอชั่น  คำเดียวกับปฐมกาลเลย ถูกสร้างขึ้นใหม่ ในพระเยซูคริสต์ สิ่งเก่าๆ ๆก็ล่วงไป นี่แหละ Behold อันเดียวกัน แปลว่าจงมองให้เห็นเถิด ทุกสิ่งทุกอย่างใหม่เอี่ยมทั้งสิ้น วิญญาณเก่าเอาออกไป เราให้ใจใหม่กับเจ้า เอเมน พระเจ้าบอกไม่มีฤทธิ์อำนาจใดๆ เอาท่านออกไป จากความรักของพระเจ้าได้อีกแล้ว ไม่ยอมให้ใครมาเอาไปเด็ดขาด ท่านว่าพระเจ้าทำได้ไหม? ทำได้แล้ว และทำไปแล้ว นี่คือความสบายใจ ไม่ต้องกลัวอะไรอีกแล้ว เมื่ออยู่กับพระเจ้า

พูดถึงเรื่องนี้ ผมเคยตกใจ ผมว่าหลายคนก็เคยตกใจเหมือนผม มีอยู่ครั้งหนึ่ง ไปบ้านเพื่อน คนรู้จัก เลี้ยงหมาดุเอาไว้ แต่จำเป็นต้องไป เพื่อนก็ไม่บอกเรานะว่าหมามันดุมาก

“ไม่เป็นไร มันไม่ได้ดุอะไรมาก”

เราก็เดินจะเข้าประตู ปุ๊บ มันกระโจนมาเลย ดุมาก หมาไทย ขอบคุณพระเจ้า โซ่มันพอดี คือเขาผูกไว้พอดี ให้แขกสามารถเดินเข้าบ้านเขาได้ ด้วยความตกใจกลัวสุดขีด มันบอกไม่เป็นไร เพราะมันผูกไว้แล้ว  ตัวเจ้าของเขารู้ว่าไม่กัดแน่ แต่ผมไม่รู้ หัวใจแทบหล่นไปอยู่ตาตุ่ม มันกระโจนมา เรารู้สึกเฉียดนิดเดียว แต่จริงๆ ไม่นิด ก็ 3 – 4 คืบ คือสุดปลายโซ่ ถ้าขึ้นบันได มันก็สุดปลายโซ่ แต่ทำไมเรากลัว ใจหายเลย  ถามว่ามันดุจริงไหม? จริง ถามว่ามันจะกัดจริงหรือเปล่า? จริง ถ้าไม่มีใครผูกไว้ มันกัดผมแน่ ฉันใดก็ฉันนั้น พระคัมภีร์บอกว่ามารมันเป็นเหมือนสิงคำรามรอบตัวท่าน มันคอยจะกัดท่าน ถ้ามันทำได้ แต่มันทำไม่ได้หรอก เพราะว่าพระเจ้าผูกมันไว้ ถ้าท่านอยู่ฝั่งอาดัม มันกัดท่านอยู่ทั้งวัน แต่ท่านย้ายมา มันกัดท่านไม่ได้แล้ว มันได้แต่ทำให้เรากลัว สะดุ้งตกใจ แต่พอนานๆ เริ่มชิน มันทำอะไรเราไม่ได้นี่หน่า มันจะทำเราได้ต่อเมื่อเราไม่ได้อยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่าง แต่ตราบใดที่เราย้ายมาแล้ว มันทำอะไรเราไม่ได้อีกต่อไปแล้ว

เพราะฉะนั้น คนที่ย้ายมาอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่าง อยู่กับพระเยซูคริสต์แล้ว ควรจะทำเหมือนที่พระเยซูบอก คือถ่อมใจ บอกว่า …

“ฉันหายเหนื่อย และเป็นสุขแล้ว”

ก็คือนั่ง แล้วไข่วห้างด้วย มันสบาย ไม่ใช่นั่งไป กลัวไป  เมื่อไรจะมา ขู่ได้ไหม? ได้ เข้าใจไหม?  พระองค์มีชัยชนะเหนือทุกสิ่ง เราอยู่ที่นี่แล้ว ได้แต่ขู่เรา

“แน่ใจได้อย่างไรว่าไม่ได้ทำอะไรผิดบาปแล้ว แน่ใจได้อย่างไร? เมื่อวานยังมีความรู้สึกโลภ”

พระเยซูบอกแค่โลภก็แย่แล้ว เมื่อวานนี้ยังดูการประกวดนางงามอยู่เลย พระเยซูบอกแค่คิดกำหนัด ก็บาป ตกนรกแล้วนะ ชักไปใหญ่แล้ว แล้วสิบลดยังไม่ได้ถวาย ศิษยาภิบาลบอกตกนรกอีก ฉันอยากกลับไปเหมือนเดิม นี่แหละถูกมารมันเห่าตลอดเวลา ตกลงชักจะกลับไปเหมือนเดิมแล้วนะ ท่านดีอย่างไร? ท่านจึงสามารถอยู่ในอาณาจักรสวรรค์ได้ ฉันไม่ได้ทำอะไรดีเลย พระเยซูบอกฟรี แล้วไปให้เขาขู่ว่าไม่ได้ทำอะไรดีเลย  แล้วสมควรจะอยู่ในสวรรค์เหรอ คนนั้นทำดีกว่า คนนี้ทำดีกว่า ทำไมเธอมั่นใจตัวเองไปสวรรค์แน่นอน

นี่คือการขู่ ฤทธิ์อำนาจของพระเยซู คือมั่นใจในถ้อยคำพระเจ้า ถ้อยคำพระเจ้าบอกอย่างนี้ ฉันก็บอกอย่างนี้ จบ กัดฉันไม่ได้แน่นอน ได้แต่ขู่ไป ไม่มีประโยชน์ เห็นหรือยัง? พอท่านมาอยู่ที่นี่ พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะนำท่าน พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะสอนท่านในการดำเนินชีวิต แบบใหม่ แบบคนที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ ให้ระลึกถึงพระคุณของพระเยซูคริสต์ที่ไถ่บาปให้กับเรา ให้ระลึกถึงความดีงามของพระองค์ พ่อเรา ที่รักเรามาก เป็นครอบครัว ไม่ใช่ให้กลัว ให้ระลึกถึง แล้วตั้งใจจะทำชีวิตให้ดีงาม ให้เป็นที่พอพระทัยของพ่อของเรา ทำได้ครบบ้าง ไม่ครบบ้าง แต่ไม่กลัว เพราะพ่อเราไม่ได้ว่าอะไรหรอก เราก็ตั้งใจของเราได้แค่นี้ หล่นบ้าง ตกบ้าง ไม่สนใจ เพราะได้แค่ขู่ฉัน ทำอะไรฉันไม่ได้ ชัยชนะแปลว่าอย่างนี้

ชนะความบาป ก็หมายถึงอย่างนี้ ชนะหมดเลย เกลี้ยงเลย เธอทำอะไรฉันไม่ได้อีกแล้ว จบ

“เธอทำบาป จะได้รับความรอดได้อย่างไร? เธอมาเชื่อพระเจ้า เธอยังโกหกอยู่เลย เธอจะได้รับความรอดได้อย่างไร?”

บอกมันเลย  “ต่อให้โกหกฉันก็ได้รับความรอด ฉันได้รับการชำระโดยโลหิตของพระเยซูคริสต์ไปแล้ว ฉันไม่ได้ชำระตัวเองด้วยความดีของฉัน ฉันได้รับการชำระ ฉันมาอยู่ตรงนี้ เพราะว่าพระเยซูทำให้ ฉันได้มาฟรีๆ เพราะฉะนั้น ต่อให้ฉันเผลอไปโกหก ฉันก็รอดอยู่ดี”

นี่แหละ คือคำที่สยบมารที่คำรามใส่เรา แล้วพระวิญญาณก็นำพาเรา ให้เราทำสิ่งที่ดีๆ ที่สุด เพื่อพ่อเรา เพื่อพระเจ้าที่ทำดีกับเรา เรารักพ่อ เราเลยอยากทำสิ่งที่ดี สิ่งที่พลาดไป

“ขอโทษทีพ่อ ลูกพลาดไป ลูกขอโทษ”

จบ ไม่ต้องไปคิดมันแล้ว ต่อไปก็อยู่กับพ่อเหมือนเดิม ผมนึกถึงสมัยที่ผมจบใหม่ๆ ผมไปเล่นดนตรีอยู่ที่แคมป์ทหาร ที่นครพนม ตอนนั้น ทหารอเมริกันไปรบ แล้วกลับมาพักที่แคมป์ เขาไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะตายหรือไม่?  เที่ยวหน้าต่อไป เขาอาจจะไม่ได้กลับมาก็ได้ เขาก็ใช้เงิน ใช้ทอง เสพความสุขต่างๆ ให้มากที่สุด หนึ่งในจำนวนนั้น ก็คือเรื่องของยาเสพติด มีหมดทุกชนิดเลย แล้วผมเป็นนักดนตรีก็ต้องคลุกคลีกับพวกทหารเหล่านี้ เป็นเพื่อนกัน ถามว่ารอดจากยาเสพติดเหล่านั้นได้อย่างไร? คือพ่อแม่ไม่ได้บังคับผมเลยนะ พ่อแม่อยู่กรุงเทพ ผมก็รู้ว่าท่านเป็นห่วง แต่ด้วยความรักของพ่อแม่  ผมรู้ว่าพ่อแม่รัก อะไรที่ไม่ดี พยายามที่จะรู้ตัวว่ามีคนที่รักเราอยู่ เราก็ไม่อยากทำ ความรักเป็นพลังให้กับเรา  แต่เราทำได้ 100% ไหม? ไม่ได้ 100% แต่ผมรู้ถึงไม่ได้ 100% แต่ถ้าพ่อผมได้ยิน ได้ฟัง ได้รู้ แม่ได้ยิน ได้ฟัง ได้รู้ แม่คงไม่เอาหวายมาเฆี่ยนผม  แม่ก็คงเข้าใจผม พ่อก็คงเข้าใจ ไม่คิด ไม่ถือสาตรงนั้น ให้ลูกได้รอด ก็แล้วกัน ผมรอด เพราะความรักของพ่อแม่ เป็นพลังให้กับเรา ในการที่เราจะเป็นคนที่ดี แต่เราไม่สามารถเป็นคนที่ดีพร้อมได้ แต่เราสามารถเป็นคนดีได้  ด้วยพลังที่พ่อให้เรา  ในทำนองเดียวกัน พระเจ้าเป็นพลัง พระเยซูเป็นพลัง พระคุณเป็นพลัง เมื่อเห็นแก่พระคุณของพระองค์ เราตั้งใจที่จะทำสิ่งที่ดีที่สุด ถวายร่างกายนี้ ให้พระองค์ใช้ดีที่สุด ส่วนจะผิดพลาดพลั้งไป ตามสัญชาตญาณบาปที่ทำงานอยู่ในเนื้อหนังนี้ ก็ว่ากันไป แต่ในใจ ผมไม่เคยคิดเลย ที่จะไปทำอะไรให้พ่อแม่ไม่สบายใจ ในหนังสือโรม บทที่ 12 จึงบอกว่า …

“ท่านรู้ในเหตุการณ์ที่พระเจ้า  ทำให้ท่านได้รับความรอดอย่างนี้แล้ว โดยท่านไม่ต้องทำอะไร? ข้าพเจ้าขอวิงวอนท่านให้เห็นแก่พระคุณของพระเจ้า ที่ทำให้ท่านมานั่งตรงนี้ ทำให้เห็นแก่พระคุณของพระเจ้า ผู้เป็นพ่อที่รักท่านมากๆ ให้ดำเนินชีวิตในทางที่เป็นที่ถวายเกียรติ ให้พระเจ้าพอใจ”

ให้ทดแทนพระคุณพระเจ้า ดำเนินชีวิตให้ดีๆ ตั้งใจ พลาดไป ก็ไม่เป็นไร แต่ให้ท่านตั้งใจตรงนี้  นี่คือความสบายใจของผู้ที่ย้ายตัวเองมาอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่าง มาอยู่ในพระเยซูคริสต์ หายเหนื่อยและเป็นสุข พระเยซูบอกสวรรค์มาแล้ว ก็คืออาณาจักรแห่งแสงสว่าง ที่พระองค์จะทรงนำเข้ามา กำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว เมื่อพระองค์ทรงตายที่ไม้กางเขน มันเริ่มสถาปนาแล้ว เมื่อพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม อาณาจักรแห่งสวรรค์ อาณาจักรแห่งความสว่างได้ลงมาบนโลกนี้แล้ว มนุษย์ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเข้ามาอยู่ในนี้ได้ ง่ายนิดเดียว เพราะพระเยซูทำให้แล้ว เปิดให้แล้ว เพียงแต่เดินก้าวเข้ามา แล้วบอกว่า …

“ฉันเชื่อ”

จบ พระเยซูตอนที่เดินอยู่บนโลกนี้ บอกว่าบุตรมนุษย์ คือพระองค์จะถูกตรึงที่ไม้กางเขน และพระองค์จะถูกยกขึ้นมา แล้วพระองค์จะทรงรอ คือดึงเอามนุษย์ทั้งหมดบนโลกใบนี้ เข้ามาหาพระองค์ด้วยวิธีนี้แหละ ผมก็ถูกดึงเข้ามาหาพระองค์ ทุกคนก็ถูกดึงเข้ามาหาพระองค์ คือเข้ามาสู่อาณาจักรแห่งความสว่าง เข้ามาสู่ความสงบ เข้ามาสู่การพักผ่อน จบแล้ว ต่อไปนี้ ก็ให้พระวิญญาณบริสุทธิ์นำพาเรา วันต่อวันไปเรื่อยๆ ไม่ต้องไปกังวล ไม่ต้องไปกลัวอะไรเลย เราอยู่เหนือทุกสิ่งแล้วในพระเยซูคริสต์ พระคัมภีร์พูดไว้อย่างนั้น ทุกอย่าง ทุกสิ่ง ทั้งโลกฝ่ายวิญญาณ โลกฝ่ายวัตถุอยู่ใต้เท้าพระเยซูคริสต์ แล้วเราไปกลัวอะไร? เอเมน เรากำลังอยู่ในสวรรค์ รอเพียงแค่ ให้มันชัดเจน มองได้ง่ายขึ้น ไม่ต้องพยายามเหมือนทุกวันนี้ จงมองให้เห็นเถิด โลกฝ่ายวิญญาณเป็นอย่างไร? เพราะเรายังติดอยู่ในร่างกายเก่านี้ พระเจ้ายังต้องใช้ร่างกายเก่าของเรานี้ ให้เป็นประโยชน์ในการประกาศข่าวดีให้กับมนุษย์ เพราะเราต้องเป็นมนุษย์ ถึงจะประกาศได้

เพราะฉะนั้น ถ้าพระเจ้าเลิกใช้เราเมื่อไร? ร่างกายนี้หมดลมหายใจ เมื่อไร? เป็นวันที่เราเป็นอิสระ เราอยู่ในสวรรค์ที่เดิม แต่เราเห็นชัดเจน ตาต่อตา เห็นชัดแจ๋ว ทุกวันนี้ พระคัมภีร์ไบเบิ้ล เปาโลบอกว่าเราเห็นเพียงรางๆ จึงต้องมาอธิษฐาน ขอพระเจ้าช่วยเรา จงมองให้เห็นเถิด แต่วันนั้น ถ้าร่างกายเราทิ้งไปแล้ว เป็นอิสระแล้ว เราจะเห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้าเลย ไม่ต้องใช้ความเชื่ออีกต่อไปแล้ว เอเมน แล้ววันนั้น มันก็ใกล้เข้ามา พระเจ้าจะใช้เราอีกนานต่อไปเท่าไร? ก็อยู่ที่พระองค์ เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*************************