วารสาร Holy News ฉบับที่ 1356

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  20  มีนาคม  2022

เรื่อง “การปลอบประโลมจากพระเจ้า ท่ามกลางความทุกข์ลำบาก” ตอน 2

“ผลของความเชื่อ ล้ำค่ายิ่งกว่าทองคำบริสุทธิ์”

โดย นคร   เวชสุภาพร

 

“การปลอบประโลมจากพระเจ้า ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก” ตอนที่ 2 ผมให้ชื่อว่า “ผลของความเชื่อ ล้ำค่ายิ่งกว่าทองคำบริสุทธิ์” สัปดาห์ที่แล้ว ผมได้เริ่มซีรี่ย์นี้ ซีรี่ย์ใหม่  เรื่องการปลอบประโลมจากพระเจ้า   ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก ซึ่งจะอธิบายถ้อยคำพระเจ้า ในหนังสือ 1 เปโตร ทั้งเล่มเลย ซึ่งเป็นจดหมายที่เขียนโดยอัครทูตเปโตร ซึ่งเขียนหนุนใจผู้เชื่อทั้งหลายที่เป็นชาวยิว ส่วนใหญ่ ที่กำลังเผชิญกับความทุกข์ทรมาน จากการถูกข่มเหง รังแกอย่างหนัก จากจักรพรรดิเนโร แห่งจักรวรรดิโรมัน มหาอำนาจสมัยนั้น

อย่างที่ได้เกริ่นไว้ในครั้งที่แล้วว่าคำหนุนใจของพระเยซูผ่านทางเปโตร ที่เรากำลังเรียนรู้กันอยู่นี้ ได้ให้กำลังใจกับผู้เชื่อที่ต้องทนทุกข์ ทรมานอย่างแสนสาหัส ในยุคนั้นมาแล้ว และเราก็ได้ใช้คำหนุนใจนี้ มาหนุนใจผู้เชื่อในยุคปัจจุบัน ในการเผชิญกับวิกฤต ปัญหาที่เกิดขึ้นกับเราในทุกวันนี้ได้เช่นเดียวกัน แม้จะเป็นความทุกข์ยากลำบากที่ต่างชนิดกันก็ตาม

ต่างชนิด อย่างที่ครั้งที่แล้วได้อธิบายให้ฟังว่าหนังสือนี้เขียนถึงชาวยิว ร่วมชาติของเปโตร ที่เขามาเชื่อพระเจ้าแล้ว เป็นคริสเตียนแล้ว ถูกข่มเหงรังแก เพราะเป็นคริสเตียน  แต่ของเราในปัจจุบันนี้ การทนทุกข์เพราะเป็นคริสเตียน มีเหมือนกัน แต่มันมีน้อย เมื่อเทียบกับทั้งโลก มีอยู่บ้าง โดยเฉพาะในคนไทย แทบจะไม่มีเลย ที่เห็นชัดๆ นะ แต่เราทนทุกข์อย่างอื่นแทน ซึ่งเป็นการทนทุกข์เหมือนกัน แล้วเราค่อยเรียนรู้กันต่อไป  แต่เอามาใช้ได้ เป็นคำหนุนใจ เพราะว่าเขาทนทุกข์มาก และเห็นชัดเจน

ถ้อยคำพระเจ้าเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เราทวนนิดหนึ่ง 1 เปโตร 1:1-4 ที่เราเรียนรู้ไป ถ้าให้ดี พยายามย้อนไปฟังคำบรรยายเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว จะได้จำได้ชัดๆ …

1 เปโตร 1:1-4 “1 เปโตร  อัครทูตของพระเยซูคริสต์  ถึงบรรดาผู้เชื่อ  ที่ทรงเลือกสรรไว้  ซึ่งได้เร่ร่อน ลี้ภัย กระจัดกระจายไป ทั่วแคว้นปอนทัส กาลาเทีย คัปปาโดเซีย เอเชีย และ บิธีเนีย 2 พระเจ้าพระบิดา ได้ทรงเลือกสรรพวกท่าน  ตามที่พระองค์ทรงทราบล่วงหน้าแล้ว  ผ่านทางการทรงชำระให้บริสุทธิ์ของพระวิญญาณ เพื่อให้พวกท่าน มาเชื่อฟังพระเยซูคริสต์ และรับการประพรม ด้วยพระโลหิตของพระองค์ ขอพระคุณ และสันติสุข มีแด่พวกท่าน อย่างล้นเหลือ 3 สรรเสริญพระเจ้า พระบิดาขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา ด้วยพระเมตตายิ่งใหญ่ พระองค์ทรงให้เราทั้งหลาย บังเกิดใหม่ เข้าในความหวังอันยืนยง โดยการเป็นขึ้นจากตายของพระเยซูคริสต์  4 และ (ได้เป็นทายาท) เข้าในมรดก อันไม่มีวันเสื่อมสลาย เน่าเสีย หรือเลือนหายไป ซึ่งได้ทรงเตรียมไว้ในสวรรค์แล้ว เพื่อพวกท่าน”

 

ข้อ 3 กับข้อ 4 “สรรเสริญพระเจ้า พระบิดาขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา ด้วยพระเมตตาอันยิ่งใหญ่ พระองค์ทรงให้เราทั้งหลาย คือผู้เชื่อทั้งหลายนั้นแหละ บังเกิดใหม่ เข้าในความหวังอันยืนยง โดยการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์ และได้เป็นทายาทเข้าในมรดก คือรับมรดก อันไม่มีวันเสื่อมสลาย เน่าเสีย หรือเลือนหายไป ซึ่งได้ทรงเตรียมไว้ในสวรรคสถาน พร้อมแล้ว เพื่อพวกท่าน ที่ได้เชื่อแล้วนั้น” … สิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งที่ได้บังเกิดแล้ว ได้ทำให้แล้ว ผู้เชื่อได้เรียบร้อยแล้ว

ถามเป็นการทดสอบว่าครั้งที่แล้ว เข้าใจไหม? ทั้งหมดนี้ได้แล้วทางโลกวิญญาณ มองเห็นไหม? ไม่เห็น ผ่านความเชื่อ เราจึงใช้ตาฝ่ายวิญญาณ ที่ถูกเปิดออก จึงเห็นและเข้าใจ  และสัมผัสได้ เพราะรู้อยู่ในใจ มันเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น อย่างที่บอก พระเยซูประกาศ พระเยซูชี้แนะทั้งหมดนั้น เรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ ชี้ให้เราเห็น เพราะเราไม่เห็น  พระองค์ต้องมาเปิดเผยให้เราเห็นว่าในโลกวิญญาณนั้นเป็นเช่นไร?

ไม่ว่าเราจะต้องเผชิญกับปัญหาอะไรก็ตาม บนโลกใบนี้  ต้องเผชิญกับความทุกข์ทรมานขนาดไหนก็ตาม อันนี้พูดถึงโลกวัตถุ ถูกไหม? เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เราจะเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากแบบไหน? แบบ 1 แบบ 2 แบบทนทุกข์อย่างไร? ก็ตาม เราเห็นๆ อยู่ แต่ผู้เชื่อนั้น มีอะไรบางอย่างในวิญญาณของเขา ตามที่ตะกี้ที่พระเยซูบอก พระเยซูบอกว่าเราเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้น ผู้เชื่อทั้งหลายจึงมีความหวังใจอย่างนี้ ความหวังใจในสิ่งที่จะเกิดขึ้น  ที่ตะกี้ที่เราอ่านในข้อ 3 ข้อ 4 ที่บอกบังเกิดใหม่ ได้รับมรดกนิรันดร์ โดยไม่มีการเสื่อมสลาย พร้อมแล้วในสวรรค์ เตรียมไว้ให้กับเราเรียบร้อยแล้ว สิ่งเหล่านี้ พระเยซูบอกเพื่ออะไร? เพื่อให้เรามีความหวังใจ จากสิ่งที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงกระทำให้เราเรียบร้อยไปแล้ว ที่ไม้กางเขน ที่พระองค์บอกสำเร็จแล้ว ที่เราอ่านข้อ 3 ข้อ 4 เมื่อสักครู่นี้ เราได้ไปเรียบร้อยแล้ว โดยการกระทำของพระเยซูคริสต์ ให้เรามั่นใจอย่างแน่นอน 100% แม้จะมองไม่เห็นก็ตามว่าเราได้เป็นทายาทแล้ว

เมื่อเป็นทายาทแล้ว เราก็ได้รับมรดก ที่เตรียมไว้ให้กับเราเรียบร้อยแล้วเช่นเดียวกัน ในสวรรค์ จัดเตรียมไว้ให้เราเรียบร้อยแล้ว ในโลกวิญญาณนั่นเอง ในสวรรค์ ก็คือในโลกวิญญาณ ใครเป็นคนบอกเราตรงนี้? พระเยซูบอกเราอย่างนั้น แล้วเราเชื่อไหม? เชื่อ เพราะว่าความเชื่อ มันเกิดขึ้นเมื่อตอนเราบังเกิดใหม่ พระเจ้าประทานความเชื่อนี้ให้กับเรา ให้เชื่อใคร? เชื่อพระเยซู เราเป็นลูกแห่งความเชื่อฟัง ทั้งหมดนี้ กำลังพูดถึงเรื่องโลกวิญญาณ แต่โลกวัตถุ ตามเนื้อหนังเรา ตามความประพฤติของเรา นี่โลกวัตถุแล้ว การดำเนินชีวิตของเราเชื่อบ้าง? ไม่เชื่อบ้าง? เดี๋ยวรู้สึก เชื่อบ้าง? ไม่เชื่อบ้าง? มันคนละเรื่องกัน คนละโลกกัน เห็นไหม? ถ้าเราสลับที่กัน ยุ่งวุ่นวายเลย สิ่งที่เราได้แล้ว เราก็บอกเรายังไม่ได้ สิ่งที่เรายังไม่ได้ สิ่งที่เป็นความจริง โลกวัตถุ ที่ไม่ได้บอกว่าเราได้ เราก็บอกว่าเราได้ มันก็เละตุ้มเป๊ะ มันก็ถูกหลอก

และสิ่งที่เราได้รับมาแล้วนั้น มันเป็นสิ่งที่ตะกี้เราอ่าน มันไม่มีเสื่อมสูญ มันถาวรนิรันดร์ มันเป็นอย่างไร? มันเป็นอย่างนั้นเลย เป็นอยู่ตลอด ชั่วอายุขัย No ไม่ใช่ ชั่วนิรันดรกาลเลย ตลอดไปเลย มันเป็นสิ่งถาวรนิรันดร์ ไม่มีวันเสื่อมสลาย ไม่มีวันสูญสิ้น ไม่มีวันหายไป มันไม่มีคำว่าได้มาแล้ว ต้องรักษาให้ดีๆ คุ้นๆ ไหม บังเกิดใหม่แล้ว ต้องรักษาให้ดีๆ ไม่อย่างนั้นมันหายไป แต่เราอ่านเมื่อสักครู่นี้ พระเยซูสอนเรา ชี้ให้เรา บอกว่ามันไม่มีวันหายไปไหนเลย มันไม่มีวันสูญเสีย สูญสิ้น ความรอด เป็นความรอดนิรันดร์ ไม่ใช่นิรันดร์ เฉพาะไปตลอดชั่วนิรันดร์อย่างเดียว แต่เป็นความรอดที่ไม่มีการเสื่อมเสียนิรันดร์ ก็คือเราไม่มีวันสูญเสียสถานะการบังเกิดใหม่นี้ไปได้เลย แม้แต่นิดเดียว คำว่านิรันดร์แปลว่าอย่างนี้ ด้วย ไม่มีคำว่าสูญเสียหมด หรือแม้กระทั่งสูญเสียครึ่งเดียว

บางคนไม่เข้าใจตรงนี้ พระเยซูบอกได้หมด ครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว ได้มรดกนิรันดร์แล้ว ความรอดนิรันดร์ บังเกิดใหม่นิรันดร์แล้ว นิรันดร์ คือสมบูรณ์ครบถ้วนบริบูรณ์ด้วย

บางคนบอกว่าต้องดูแลให้ดีๆ นะ เพราะอาจจะสูญเสียส่วนหนึ่งของความรอดนี้ไป คือได้รับความรอด แต่มรดกไม่ได้ ในนี้บอกมรดกได้อะไร? ได้นิรันดร์ ไม่มีสูญหายไปไหนเลย มรดกได้แล้ว

บางคนบอกได้รับความรอดแล้ว ไปอยู่ในสวรรค์แล้ว มรดกหายไป ก็คือได้อยู่ในสวรรค์ แต่อยู่ในบ้านเล็กๆ บ้านไม่ใหญ่ อะไรประมาณนั้น แต่นี่ไม่ใช่เลย พระเยซูบอกว่าเป็นความรอด อย่างครบถ้วนบริบูรณ์นิรันดร์

เพราะฉะนั้น เมื่อเป็นนิรันดร์และครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว เราก็ไม่ต้องทำเพิ่ม เราไม่ต้องกระทำอะไรต่างๆ บนโลกใบนี้ เพื่อจะเพิ่มมรดกนี้ เพื่อจะเพิ่มความเป็นลูกพระเจ้าให้มากขึ้น ทำได้ไหม? ทำไม่ได้ แต่มีบางคน อยากจะทำอย่างนั้น เมื่อเป็นลูกพระเจ้าแล้ว ตั้งใจจะประพฤติให้ดีๆ ให้เป็นลูกพระเจ้ามากขึ้นใช่ไหม? ไม่ใช่ มันต้องเป็นลูกพระเจ้าแล้ว ครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว ตั้งใจจะประพฤติให้ดีๆ เพื่อให้สมกับเป็นลูกพระเจ้า อย่างนี้ค่อยเป็นไปตามเหตุและผลมากกว่า

พระเยซูกำลังชี้ให้เราเห็นว่าในโลกวิญญาณเป็นอย่างนี้ ส่วนการประพฤติ ปฏิบัติในการดำเนินชีวิตในโลกนี้ ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป ตามความเป็นจริงของโลกวิญญาณ ที่พระเยซูบอก ความรอดที่เราได้รับมาแล้ว ก็คือการเป็นบุตรของพระเจ้า มีมรดกนิรันดร์ในโลกวิญญาณ ผ่านทางการชำระให้บริสุทธิ์ของพระวิญญาณ เรียบร้อยแล้วนั้น เป็นความรอดที่ครบถ้วนสมบูรณ์ 100% เป็นความรอดที่เป็นถาวรนิรันดร์ ไม่มีวันเสื่อมสลาย ไม่มีวันสูญสิ้น ในฝ่ายวิญญาณ ในโลกวิญญาณเป็นอย่างนี้ ไม่มีการเสื่อมสลายแล้ว

เพราะฉะนั้น ความจริงตรงนี้แหละ คือสิ่งที่หนุนใจ และเป็นสิ่งที่ยึดเหนี่ยวของผู้เชื่อ คือคริสเตียนในสมัยนั้น ที่เรากำลังอ่านจดหมายฉบับนี้อยู่ ที่เขาอ่านจดหมายฉบับนี้อยู่ ในขณะที่ถูกข่มเหงรังแกอยู่ อย่างแสนสาหัส ความจริงตรงนี้ ที่พระเยซูกำลังหนุนใจเขา ทำให้เขามีกำลังใจ สามารถยืนหยัด และเผชิญกับความทุกข์ทรมาน จากการถูกข่มเหง รังแกอย่างแสนสาหัสได้ เพราะฉะนั้น ตรงนี้ เราก็สามารถเอามาใช้ได้กับความทุกข์ยากลำบากของเราในยุคปัจจุบันด้วยเช่นเดียวกัน

ก็คือพระเยซูกำลังบอกเขา ให้มองไปที่โลกวิญญาณว่าเป็นเช่นไร? ในตัวเขา เป็นอย่างไรแล้ว? ไม่มีการเปลี่ยนแปลงแล้ว ก็คือให้เขามองไปที่เบื้องบน คือในสวรรค์ ในวิญญาณว่าเขาเป็นลูกพระเจ้า บังเกิดใหม่แล้ว ไม่มีการเปลี่ยนแปลง พระเจ้าโอบกอดเขาไว้ตลอดเวลา

นี่การรู้ความจริงเหล่านี้ ทำให้เขาเป็นไท คือรู้ความจริง เขาก็มีความหวัง ยึดแน่นอยู่ตรงนั้น เขาก็สามารถผ่านความทุกข์ยากลำบาก อย่างแสนสาหัสนั้นไปได้ โดยเต็มไปด้วยสันติสุข

1 เปโตร 1:5 วันนี้เราจะต่อตรงนี้ …

1 เปโตร 1:5 “โดยความเชื่อ (ในพระเยซู) พระเจ้าได้ทรงปกป้องพวกท่านไว้ ด้วยฤทธานุภาพของพระองค์ จนถึงความรอดอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ซึ่งพร้อมแล้ว ที่จะปรากฏในวาระสุดท้าย”

 

“และโดยความเชื่อ” ถามว่าโดยความเชื่ออะไร? ก็คือเชื่อพระเยซู โดยการบังเกิดใหม่ พระเจ้าประทานการบังเกิดใหม่ให้กับเรา ถูกไหม?  “และโดยพระเจ้าให้ของขวัญเรา ประทานให้เราเชื่อในพระเยซู ด้วยความเชื่อและได้บังเกิดใหม่นี้ พระเจ้าได้ทรงปกป้องพวกท่านไว้ ด้วยฤทธิ์อำนาจของพระองค์ จนถึงความรอด อย่างครบถ้วนบริบูรณ์” หมายถึงอะไร?

หมายถึงตะกี้ที่ผมบอกว่าท่านบังเกิดใหม่  เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว โดยความเชื่อในพระเยซู ที่พระองค์ทรงกระทำให้ท่านทั้งหมดแล้ว แค่นั้นไม่พอ พระองค์ยังทรงปกปักษ์คุ้มครองวิญญาณที่พระองค์ทรงไถ่ให้เป็นลูกของพระองค์แล้วนั้น ด้วยตัวท่านเอง ด้วยความประพฤติของท่าน ด้วยความพยายามของท่านต่อไป ไม่ใช่ ด้วยฤทธานุภาพของพระเจ้า พระองค์ให้เราเกิดเป็นลูกของพระองค์แล้ว ได้บังเกิดใหม่ ให้เชื่อพระเยซูแล้ว แล้วพระองค์ก็เข้ามา ปกป้องดูแลวิญญาณของเราที่ทรงไถ่ไว้นั้น เป็นลูกของพระองค์ และเชื่อในพระเยซูคริสต์นั้น ให้มันเป็นอย่างนั้น อย่าให้ใครมายุ่งนะ ท่านจำเป็นต้องพยายามปกป้องความเชื่อของตัวเองไว้ เมื่อท่านเชื่อในพระเยซูจริงๆ แล้ว ไม่ต้อง นี่กำลังพูดถึงโลกวิญญาณ ไม่ต้องแล้ว เคยได้ยินเพลงนี้ไหม? …

“พระองค์ทรงดูแลวิญญาณที่ทรงไถ่  ทรงรักษาความปลอดภัย

พระองค์ทรงเฝ้าดูอย่างระมัดระวัง พระองค์ไม่เคยง่วงหรือหลับเลย”

ในหนังสือสดุดีบอกไว้ เอามาร้องเป็นเพลงเลย ก็คือพระองค์ทรงไถ่เราแล้ว แล้วพระองค์ทรงปกปักษ์คุ้มครองดูแลวิญญาณที่ทรงไถ่ เป็นลูกเรา เหมือนเรามีลูก เหมือนพ่อแม่ แล้วแม่คลอดลูกออกมา แล้วชีวิตของเด็กคนนี้มาจากแม่และพ่อจริงๆ เลย แล้วพ่อและแม่ปกป้องดูแลทารกนี้ ที่เขารัก ด้วยตัวของเขาเอง และคนๆ นี้ คือพระเจ้า ผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ไม่มีใครมาเอา เราออกไปจากมือของพระองค์ได้ นี่หมายถึงความรอดนิรันดร์มันเป็นเช่นนี้ในโลกวิญญาณ พระเยซูพยายามชี้ให้เราเห็นว่าความรอดอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ที่เราพูดในข้อ 3 และ 4 เมื่อสักครู่นี้ พระเจ้าทำให้ด้วย และไม่ใช่ทำอย่างเดียว ปกปักษ์คุ้มครองดูแลให้มันเป็นอย่างนั้น อย่ามีใครมายุ่งเด็ดขาด ซึ่งพร้อมแล้วที่จะปรากฏในวาระสุดท้าย

วาระสุดท้าย คืออะไร? พร้อมแล้วที่จะปรากฏในวันสุดท้ายของชีวิต ของคนๆ นั้น จะเป็นพระเยซูคริสต์กลับมาใหม่ ก็คือวันสิ้นโลก หรือจะเป็นวันที่เขาสิ้นใจไปหาพระเยซูคริสต์ก็ตาม ก็คือวาระสุดท้าย เช่นเดียวกัน  พระองค์สามารถปกปักษ์คุ้มครองดูแล จนกระทั่งไปถึงโลกวิญญาณ ไปถึงสวรรค์นิรันดร์กาล ให้มันเป็นเช่นนั้น ให้เป็นลูกที่พระองค์ทรงรัก ให้ท่านได้บังเกิดใหม่ แล้วก็บังเกิดใหม่อยู่อย่างนั้น ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย มันหมายถึงอย่างนั้น มาดูข้อ 6 ต่อ …

1 เปโตร 1:6 “พวกท่านชื่นชมยินดียิ่งนัก ในเรื่องนี้ แม้ขณะนี้ ท่านต้องท้อใจ เครียด และทนความทุกข์โศกชั่วระยะหนึ่ง จากการทดลองสารพัดอย่าง”

 

“พวกท่านชื่นชมยินดียิ่งนัก” ต่อมาจากเมื่อสักครู่นี้ บังเกิดใหม่เป็นลูกพระเจ้าแล้ว ได้รับมรดกนิรันดร์แล้ว พระเจ้าเข้ามาปกปักษ์คุ้มครอง ดูแลสถานะนั้นไว้ ไม่มีใครมายุ่ง ไม่มีเปลี่ยนแปลงไปตลอดชั่วนิรันดร์เช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้น ในวิญญาณของท่านจึงเต็มไปด้วยความชื่นชมยินดี ไม่ใช่ชื่นชมยินดีธรรมดา ชื่นชมยินดียิ่งนัก เหมือนเด็กทารก เจอพ่อแม่ เห็นหน้าเห็นตา ดีใจเลยพ่อแม่อยู่ตรงนั้นแหละ กำลังเล่น ไม่ละทิ้งไปไหน? ไม่ง่วง ไม่หลับ  อยู่ตลอดเวลาเลย คล้ายๆ อย่างนั้น ในโลกวิญญาณ เป็นเช่นนั้น  เป็นเหมือนทารกที่บังเกิดใหม่ในโลกวิญญาณ ที่เป็นลูกพระเจ้า เต็มไปด้วยความชื่นชมยินดี ถามอีกครั้ง ความชื่นชมยินดีอยู่ที่ไหน? อยู่ในวิญญาณ หรือเรียกว่าอยู่ในใจก็ได้  ที่เขาร้องเพลง

“ฉันมีความสุข สุข สุข สุขในใจของฉัน ในใจของฉัน”

เพราะถ้าเราไม่รู้เรื่องความจริง เรามานั่งคิด พวกท่านมีความปิติยินดี ไม่เห็นมียินดีเลย ยินดีที่ไหนล่ะ ก็เห็นเครียดอย่างนี้ ยินดีที่ไหน? มันคนละโลกกัน ได้อ่านข้อนี้ ได้เห็นชัดเลย

“พวกท่านชื่นชมยินดีนัก” ก็คือท่านชื่นชมยินดีนัก ในวิญญาณของท่านที่ได้บังเกิดแล้ว ที่เป็นลูกของพระเจ้า ที่ได้รับมรดกไปแล้วนั้น เขารู้ “เขา” คือตัวท่านเอง วิญญาณเขารู้ ภายในเขาชื่นชมยินดี

“แม้ขณะนี้ ท่านต้องท้อใจ เครียด และทนทุกข์ เศร้าโศกช่วงระยะหนึ่ง” ประโยคนี้ กำลังพูดถึงที่ไหน? เมื่อกี้พูดถึงโลกวิญญาณ

“ฉันมีความสุข สุข สุข สุข ในใจของฉัน  ในใจของฉัน”

ตอนนี้ ออกมาบนโลกใบนี้ ในร่างกายที่สัมผัสกับโลกใบนี้ ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย จับต้องมองเห็นได้ แม้ในขณะนี้ ในโลกวัตถุ ที่มองเห็นได้นั้น ท่านต้องท้อใจ เขาตามล่า ตามฆ่า เพราะเป็น คริสเตียน ใส่ร้ายป้ายสีว่าเป็นพวกกบฎ เป็นพวกเผาเมือง ต้องตามฆ่า จับไปลงโทษ เห็นญาติพี่น้อง เห็นเพื่อนถูกฆ่าตาย อย่างไม่ยุติธรรม ยินดีไหม? ไม่ยินดี ยินดีอะไรเล่า นี่คือโลกวัตถุที่มองเห็น มันเห็นๆ อยู่ มันก็ต้องเกิดความกลัว และเครียด และท้อใจ โศกเศร้า เป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์บนโลกใบนี้ แต่ขณะที่โศกเศร้าเสียใจ ข้างในวิญญาณ เต็มไปด้วยความชื่นชมยินดี แต่ขอบคุณพระเจ้า ท่านต้องท้อใจ เครียด กลัว และทนทุกข์โศก แค่ชั่วระยะหนึ่ง ขอบคุณพระเจ้า ชั่วระยะหนึ่ง มันนิดเดียว กับสิ่งที่โลกวิญญาณที่เราได้รับแล้ว

ที่เราอ่านพร้อมกันว่ามันเป็นมรดกจากพระเจ้า ฐานะเป็นบุตรของพระเจ้า เป็นทายาทของพระเจ้านั้น เป็นนิรันดร์ แต่ความทุกข์ยากลำบาก ความกลัว ความโศกเศร้า การถูกข่มเหงรังแกเหล่านี้ การทนทุกข์ เหล่านี้ มันแค่แป๊บเดียว เปาโลจึงพูดเหมือนกันว่าเราไม่มองไปที่สิ่งที่มองเห็น  แต่เรามองไปที่สิ่งที่มองไม่เห็น เพราะสิ่งที่มองเห็น มันอยู่แค่ชั่วคราว แป๊บเดียว แต่สิ่งที่มองไม่เห็น ในโลกวิญญาณ ที่เราได้รับความรอดอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ในพระเยซูคริสต์แล้ว มันอยู่ถาวรนิรันดร์ มันไม่มีวันสูญสิ้น เสียหายไปเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะใครเป็นคนปกป้องดูแลอยู่ ไม่ให้มันสูญสิ้น ใครนะ? พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด  เป็นผู้ปกป้องไว้ทั้งสิ้น

เพราะฉะนั้น ไม่ว่าความทุกข์ยากลำบากที่มองเห็นบนโลกใบนี้ มันจะเป็นความทุกข์ชนิดไหน? แบบไหน? มาจากการถูกข่มเหงรังแก หรือมาจากธรรมชาติของโลกใบนี้ที่ตกอยู่ในความบาป ตกอยู่ในคำสาปแช่งแล้ว หรือจะเป็นเพราะเราประพฤติตัว หว่านลงไปทำเอง เกิดความทุกข์ หรือความทุกข์ที่คนอื่นเขาไม่ได้ตั้งใจ แต่ทำให้เราเกิดความทุกข์ ไม่ว่าจะทุกข์อะไรก็ตาม มันเป็นสิ่งที่อยู่แค่ชั่วระยะหนึ่งเท่านั้น ถูกไหม? มันเทียบไม่ได้กับศักดิ์ศรีนิรันดร์ มรดกใหม่ที่เราได้รับเรียบร้อยไปแล้ว โดยการเชื่อในพระเยซูคริสต์ เอเมน

ย้ำอีกครั้งว่าช่วงเวลาที่เปโตรเขียนจดหมายฉบับนี้ เป็นช่วงที่บรรดาผู้เชื่อกำลังถูกข่มเหงรังแกอย่างหนัก แต่เปโตรกำลังบอก ในข้อ 5 ที้เมื่อกี้เราอ่าน เมื่อสักครู่นี้ และถอยไปจนถึงข้อที่ 1 ที่เราเรียนไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

ใน 5 ข้อที่ผ่านมาทั้งหมด ที่เราได้รับจากพระเจ้าเรียบร้อยแล้วนั้น สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมด ใน 5 ข้อนั้น มันน่าจะเพียงพอแล้วนะ พระเยซูพูดชี้ให้เห็น เพื่อให้เขาได้รับการหนุนใจ มีกำลังขึ้น แค่นี้น่าจะเพียงพอในการหนุนใจ ที่จะทำให้พวกเขา คือผู้เชื่อทั้งหลาย สามารถมีความชื่นชมยินดี และมีสันติสุขกับพระเจ้าได้ ในวิญญาณของเขา นึกออกใช่ไหมครับ ซึ่งในขณะเดียวกัน ทางร่างกาย กำลังตกอยู่ในสภาพของความตกใจกลัว อยู่ท่ามกลางอันตราย ถูกจับ ถูกฆ่า ถูกทรมาน จะตายเมื่อไร? จะทรมานเมื่อไร? ก็ไม่รู้ หนีหัวซุกหัวซุน ซึ่งทั้งหมดนี้อยู่ในโลกปัจจุบัน ที่เขากำลังดำเนินชีวิติอยู่ ถ้าเขาเห็นความจริงทั้ง 2 อย่าง เขาก็จะมีกำลังใจในการอดทนต่อความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้น เพราะมันอยู่เพียงแค่ชั่วระยะหนึ่งเท่านั้น มันเทียบอะไรกับสิ่งล้ำค่า ที่เขาได้รับ เป็นผลจากความเชื่อในพระเยซูคริสต์ ที่ได้ตั้งชื่อเรื่องวันนี้ “ผลของความเชื่อ ล้ำค่ายิ่งกว่าทองคำบริสุทธิ์”

เพราะฉะนั้น เอามาใช้กับชีวิตของเราตอนนี้  เราก็ควรมองไปที่ 5 ข้อเมื่อสักครู่นี้ ที่บอก 1 เปโตร 1 ตั้งแต่ข้อ 1 – ข้อ 5 ว่าพระเจ้าได้กระทำอะไรให้เราเรียบร้อยไปแล้ว ในโลกวิญญาณ แล้วมาเทียบกับในโลกวัตถุ ที่เราเผชิญอยู่ ในปัจจุบันที่จับต้องมองเห็นได้ชัดๆ มันเห็นเลย มันรู้สึกได้ มันรู้สึกชัดๆ ติดโควิด มันชัด ไปตรวจ ATK มันขึ้น 2 ขีด มันชัดๆ มันไม่ต้องมานั่งใช้ความเชื่อเลย เห็นชัดๆ นี่มันความทุกข์ยากชัดๆ เลย อาการมันเจ็บคอ หายใจไม่ออก เข้าโรงพยาบาล มันชัดๆ เป็นลูกพระเจ้า อธิษฐานตลอดเวลา ทำไมยังติดโควิด มันชัดๆ ติดโควิด คนอื่นไปฉีดวัคซีนไม่เป็นอะไร? ทำไมเราไปฉีดวัคซีนมีผลข้างเคียง เป็นโน่นเป็นนี่ ผลของโควิด  คนอื่นเขาก็ไม่กระทบ บางคนไม่เชื่อพระเจ้า ผลของโควิด ทำให้ค้าขายดีขึ้นด้วย ไปส่งเสริมค้าขายเขา แต่เราเชื่อพระเจ้า ไหนพระเจ้าบอกจะช่วยไง ผลของโควิด ทำให้เราค้าขายไม่ได้  ทำงานไม่ได้เกิดผล ไม่มีเงินใช้สอยเพียงพอ อย่างนี้เป็นต้น หรือเราถูกโกง ถูกเอาเปรียบอะไรต่างๆ เราเอามาใช้กับเราได้ สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น เพียงชั่วคราว

และข้อสำคัญ ก็คืออย่าคิดว่ามันเกิดขึ้น เพราะพระเจ้าให้เกิด เพื่อจะมาทดสอบความเชื่อเรา ไม่ใช่พระเจ้าให้เกิด พระเจ้าอนุญาตให้เกิดขึ้นตามกฎระเบียบของโลกใบนี้ ซึ่งมันตกอยู่ในคำสาปแช่ง มันเป็นเรื่องธรรมดา แต่พระองค์ไม่ประสงค์

“พระเจ้าอนุญาตให้เกิดขึ้น แต่พระองค์ไม่ประสงค์”

พระองค์ให้สิทธิ์เราเลือก แล้วเมื่อมนุษย์เลือกที่จะทำบาป และคำสาปแช่งลงมาบนโลกใบนี้ พระองค์ก็ต้องปล่อยให้เป็นไปตามนั้น แล้วมาช่วยเหลือทีหลัง มาดูข้อต่อไป 1 เปโตร 1:7 …

1 เปโตร 1:7 “เพื่อทดสอบความเชื่อแท้ของท่าน (ทดสอบผลของความเชื่อนี้) ว่าล้ำค่ายิ่งกว่าทองคำบริสุทธิ์ ซึ่งสามารถเสื่อมสลายไปได้ แม้ได้หลอมให้บริสุทธิ์แล้วด้วยไฟ ผลของความเชื่อนี้ ก่อให้เกิดคำสรรเสริญ เกียรติและศักดิ์ศรี ในการดำเนินชีวิตของท่านเมื่อพระเยซูคริสต์ (ผู้สถิตอยู่ในท่าน) ปรากฏ (ผ่านทางความประพฤติของท่าน)”

 

คำว่า “ทดสอบความเชื่อแท้” หมายถึงการทดสอบผลของความเชื่อนี้

ผลของความเชื่อนี้อยู่ที่ไหน? ข้อ 2, 3, 4, 5 นั่นแหละ ที่ตะกี้บอกให้กลับไปดู ทดสอบผลของความเชื่อนี้ ทดสอบว่าอย่างไร? ว่ามันล้ำค่ายิ่งกว่าทองคำบริสุทธิ์ ซึ่งสามารถเสื่อมสลายไปได้ แม้ได้หลอมให้บริสุทธิ์แล้ว ด้วยไฟ พูดง่ายๆ ว่าทองคำบริสุทธิ์ในสมัยนั้น มันถือว่าเป็นสิ่งที่มีค่ามากมายมหาศาล ผลของความเชื่อของท่าน มีค่าอย่างนั้นจริงหรือไม่

คำว่า “ทดสอบความเชื่อแท้” ไม่ได้หมายความว่าพระเจ้ากำลังทดสอบความเชื่อของท่าน เหมือนที่บางคนเข้าใจ พระเจ้าดูว่าความเชื่อของท่านสูงพอไหม? ไม่ใช่อย่างนั้น แต่ข้อความตรงนี้ พระเยซูกำลังบอกกับผู้เชื่อ ลูกๆ ของพระองค์ทั้งหลาย นึกถึงภาพพระเยซูยืนอยู่บนโลกใบนี้ แล้วก็พูดสิ่งนี้ ท่านจะเห็นภาพเลยว่าตอนที่พระองค์เดินอยู่บนโลกใบนี้ ท่านก็พูดสิ่งนี้เหมือนกัน พระองค์กำลังบอกกับผู้เชื่อทั้งหลายว่าเมื่อเราทั้งหลายมาเชื่อพระเจ้าแล้ว มาเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว ได้บังเกิดใหม่เป็นของพระเจ้าแล้ว เรากำลังอยู่ตรงกันข้ามกับระบบของโลกนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นนี้อยู่ที่ไหน? พระเยซูพูดที่ไหน? เรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ

พอเรามาเชื่อพระเจ้าปุ๊บ ในวิญญาณเราอยู่ตรงกันข้ามกับวิญญาณที่ดำเนินอยู่บนโลกใบนี้ ก็คือวิญญาณของความไม่เชื่อ เรากำลังอยู่ตรงกันข้ามกับเหล่ามารซาตานและสมุนของมัน ที่เป็นศัตรูกับพระเจ้า ในโลกวิญญาณ ซึ่งนั่นหมายความว่าเราจะต้องเผชิญกับการถูกข่มเหงรังแก การต่อต้าน ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง อย่างไม่ยุติธรรมในสายตาของมนุษย์ทั่วๆ ไป เป็นพิเศษ เพราะเป็นผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ พูดง่ายๆ ว่าเป็นคริสเตียนนั่นเอง ตรงนี้กำลังจะบอกผู้เชื่อ ในสมัยนั้น เพราะผู้เชื่อสมัยนั้น อย่างที่บอกมันชัดเจน เขาถูกข่มเหงรังแก เขาต้องทนทุกข์ทรมาน เพราะเขาเป็น คริสเตียน เขาเป็นผู้ที่เชื่อแล้ว

เมื่อเราเชื่อพระเจ้าและบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้วในโลกวิญญาณ แน่นอน มันก็ไม่เหมือนกับระบบของโลกใบนี้แล้ว ที่ถูกนำโดยความบาป ด้วยความผิด โดยการต่อต้านพระเจ้า  ก็คือต่อต้านเราไปด้วย เหมือนที่พระเยซูคริสต์บอกว่า …

“เขาเกลียดชังเรา เขาก็จะเกลียดชังท่านเช่นเดียวกัน”

ตรงนี้กำลังพูดถึงโลกวิญญาณ เพราะฉะนั้น เราจึงจำเป็นต้องเผชิญกับความทุกข์ จากการถูกต่อต้านของระบบโลกใบนี้ และสิ่งนี้จะเกิดขึ้นกับผู้เชื่อในทุกยุคทุกสมัย  (ในโลกวิญญาณ) ส่วนในโลกวัตถุ จะถูกข่มเหงเหมือนกับสมัยจักรวรรดิโรมันหรือไม่? มีปัจจัยเยอะแยะมากมาย ทั้งหมดเลยว่ามันจะเกิดขึ้นอย่างไร? แต่มันเกิดขึ้นแน่นอน

ยกตัวอย่าง อย่างเช่นผู้เชื่อทุกวันนี้ คริสเตียนทุกวันนี้ ก็ยังมีหลายแห่งที่ยังถูกข่มเหงรังแกแบบนี้อยู่ คือถูกข่มเหงรังแก เพราะเป็นคริสเตียนเท่านั้นเอง มีอยู่บ้าง เมื่อเทียบกับประชากรบนโลกใบนี้ ผู้เชื่อบางคนก็ต้องเผชิญกับปัญหาในครอบครัว อันนี้ชัดเจนเลยนะ บางคนเจอปัญหาในสังคม มีความอึดอัดที่จะบอกใครๆ ว่า …

“ฉันเชื่อพระเจ้า ฉันเป็นคริสเตียน”

กลัว ไม่ต่างอะไรกันกับที่คริสเตียนในสมัยโรมัน ที่กำลังอ่านจดหมายฉบับนี้อยู่ มีความกลัวเหมือนกัน เห็นไหม? แต่มันคนละลักษณะ ในปัจจุบันบางคนเป็นคริสเตียน ถูกมองเป็นตัวตลก เป็นคนโง่งมงาย อะไรอย่างนี้เป็นต้น

นี่คือการทดสอบความเชื่อ  ทดสอบผลของความเชื่อของท่านว่ามันล้ำค่าจริงไหม? ถ้ามันล้ำค่า ท่านจะรักษาเอาไว้ ดั่งชีวิตเลย มันล้ำค่าจริงหรือเปล่า?  ล้ำค่ายิ่งกว่าทองคำบริสุทธิ์ ซึ่งสามารถเสื่อมสลายไปได้ แม้ได้หลอมด้วยไฟ ผลของความเชื่อนี้ ก่อให้เกิดคำสรรเสริญ เกียรติและศักดิ์ศรี ผลของความเชื่อนี้ ผลของการบังเกิดใหม่ ได้รับชีวิตนิรันดร์ เป็นลูกของพระเจ้าได้รับมรดกนิรันดร์ ผลตรงนี้ ก่อให้เกิดคำสรรเสริญ เกียรติและศักดิ์ศรี ในการดำเนินชีวิตของท่าน เมื่อพระเยซูผู้สถิตในท่านปรากฏ ก็หมายถึงผลของความเชื่อของท่านที่ได้บังเกิดใหม่ในโลกวิญญาณนี้ มันจะทำให้เกิดสง่าราศี เกียรติและศักดิ์ศรี ในการดำเนินชีวิต ก็คือในโลกวัตถุนี้ เห็นไหม? ในการประพฤติของท่าน เมื่อพระเยซูคริสต์สถิตอยู่ในท่าน เมื่อท่านบังเกิดใหม่ พระเยซูเข้ามาสถิตอยู่ในท่าน

เมื่อพระเยซูคริสต์ปรากฏ “ปรากฏ” ตรงนี้หมายถึงเมื่อพระเยซูคริสต์สำแดง จากวิญญาณของท่านที่อยู่ในข้าง ออกมาทางร่างกายภายนอก เป็นความประพฤติ เมื่อพระเยซูคริสต์ฉายแสงของพระองค์ออกมา ผ่านทางร่างกาย ตา หู จมูก ลิ้น กาย ความคิดของท่าน ก็คือปฏิบัติออกมา เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลย ตรงนี้ก็หมายถึงถ้าพูดถึงบริบทตรงนี้เลย ชัดๆ ก็คือเมื่อเขาข่มเหงรังแกท่าน เพราะท่านเป็นคริสเตียน เขาใส่ร้ายป้ายสีท่านว่าท่านเผาเมือง กบฎ เขาจะตามล่าท่าน ฆ่าท่านให้ตาย แต่ความประพฤติของท่าน หนีไหม? หนี กลัวไหม? กลัว แต่ไม่โต้ตอบ สงบ เต็มไปด้วยความชื่นชมยินดี ภายในจิตวิญญาณของท่าน เต็มไปด้วยสันติสุข ที่เกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ มันหมายถึงอย่างนั้น

นี่แหละ คือการทดสอบความเชื่อและทดสอบผลของความเชื่อว่ามันมีค่าเท่าไร?  มันมีค่ามากมายมหาศาล ในชีวิตของท่าน ในจิตใจของท่าน และมันจะโผล่ออกมาเป็นการปฏิบัติ 1 เปโตร 1:8 …

1 เปโตร 1:8 “แม้ท่านไม่เห็นพระองค์ แต่ก็รักพระองค์ แม้ขณะนี้ ท่านไม่ได้เห็นพระองค์ แต่ก็เชื่อในพระองค์ และเปี่ยมด้วยความชื่นชมยินดี ในชัยชนะอันยิ่งใหญ่ มหัศจรรย์สุดจะพรรณนา”

 

“แม้ท่านไม่เห็นพระองค์” นี่โลกอะไร? โลกวัตถุ ถูกไหม? ตาเนื้อเราไม่เห็นพระองค์ แต่ก็รักพระองค์ รักพระองค์ทางไหน? ในวิญญาณ ที่เกิดใหม่ เป็นลูก ในวิญญาณท่านเห็นไหม? มี 2 โลก

แม้ท่านไม่เห็นพระองค์ ก็คือในฝ่ายโลก ฝ่ายวัตถุ แต่ในโลกวิญญาณ ท่านรักพระองค์ พระองค์ใส่ความรักลงไปในวิญญาณของท่าน ตอนที่บังเกิดใหม่ พอท่านเชื่อพระเยซูและบังเกิดใหม่ปั๊บ การบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า มันมีลักษณะของความรัก ชนิดที่เป็นของพระเจ้าอยู่ในนั้น ท่านจะรักพระเจ้าโดยอัตโนมัติ เป็นธรรมชาติ อุแว้ออกมา รักพระเจ้า เหมือนกับเรามีลูก ทารกออกมา เขารักใครนะ? แม่ที่คลอดเขาออกมา เขาออกมา เขารักใคร เขารู้ แม่เขา ไม่ต้องมีใครไปสอน เป็นธรรมชาติของเขา ในโลกวิญญาณ ก็เป็นเช่นนั้น

เป็นทารกในวิญญาณ ออกมา ก็รักพ่อ ผู้ให้กำเนิด  ก็รักพระเจ้า และพระองค์ก็ทรงปกปักษ์ความรักนั้นไว้ ด้วยฤทธิ์อำนาจของพระองค์ แม้ท่านไม่เห็นพระองค์ ก็รักพระองค์ เข้าใจแล้วนะ

“แม้ขณะนี้ ท่านไม่ได้เห็นพระองค์” นี่โลกอะไร? โลกวัตถุที่ตามองเห็น  แม้ขณะนี้ ท่านดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ตอนนี้ ท่านเชื่อแล้วก็จริง  แต่ท่านก็ไม่ได้เห็นพระองค์ด้วยตาเนื้อของท่าน แต่ก็เชื่อในพระองค์ เชื่อในวิญญาณของท่าน เพราะว่าพระเจ้าเรียกท่านมา ให้ท่านบังเกิดใหม่ และเรียกท่านมา เพื่อท่านจะได้เชื่อในพระบุตร  ในวิญญาณของท่าน  ไม่มีเปลี่ยนแปลงแล้ว  ยังไงก็ต้องเชื่อ เพราะว่าเกิดมาเป็นโดยธรรมชาติ เป็นลูกแห่งความเชื่อฟัง ลูกที่เชื่อฟังพระเยซูคริสต์

“และเปี่ยมด้วยความชื่นชมยินดีในชัยชนะอันยิ่งใหญ่ มหัศจรรย์ สุดจะพรรณนา” ถามว่าที่ไหน? โลกวัตถุหรือโลกวิญญาณ? โลกวิญญาณ เรารู้ได้อย่างไร? สุดจะพรรณนาเป็นภาษามนุษย์ สุดจะพรรณนา หาคำพูดมนุษย์มาพูดไม่ได้เลยว่า …

“ฉันปิติยินดีในพระเจ้าขนาดไหน? ฉันปิติยินดีในชัยชนะที่พระเจ้าประทานให้กับฉัน ผ่านทางพระเยซูคริสต์ขนาดไหน? ฉันปิติยินดีขนาดไหน? ฉันพูดไม่ออก บอกไม่ถูก เพราะมันอยู่ในวิญญาณของฉัน ฉันชนะนรก ฉันชนะความพิพากษาลงนรกแล้ว ฉันเป็นลูกพระเจ้า ฉันจะอยู่กับพระเจ้านิรันดร์กาลในสวรรค์สถาน ฉันมีมรดกมากมาย เต็มไปด้วยของล้ำค่ามากมาย ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้เรียบร้อยแล้วในสวรรค์ วันหนึ่ง เมื่อจากโลกนี้ไป ฉันจะได้ไปรับร่างกายใหม่ในพระเจ้าและไปอยู่ในสวรรค์ใหม่ อยู่ในโลกใหม่ที่พระเจ้าจัดเตรียมให้กับฉัน และในปัจจุบัน ฉันก็อยู่กับพระองค์อยู่แล้ว พระเจ้าสถิตอยู่ในฉัน”

อะไรต่างๆ เหล่านี้ มันคือความชื่นชมยินดี ในชัยชนะ ในโลกวิญญาณ ที่ไม่สามารถที่จะเอาสมอง แบบเนื้อหนัง มาคิดว่ามันคืออะไร? ได้ขนาดไหน? นี่คือพูด ได้แค่นี้ แต่จริงๆ ในวิญญาณ ฉันรับรู้ มันเยอะกว่านี้ตั้งเยอะเลย เปี่ยมด้วยความชื่นชมยินดีในวิญญาณ ในชัยชนะอันยิ่งใหญ่ มหัศจรรย์สุดจะพรรณนา ก็คือการได้บังเกิดใหม่ ได้รับชีวิตนิรันดร์จากพระเจ้า  ด้วยความเชื่อ เปี่ยมด้วยความชื่นชมยินดีในสิ่งนี้ ในโลกวิญญาณ ต้องย้ำอยู่บ่อยๆ ในโลกวิญญาณ ไม่ใช่ในโลกวัตถุ ก็คือไม่ได้เปี่ยมล้นไปด้วยความปิติยินดี ในทางความประพฤติตลอดเวลา

บางคนพยายามบอกผู้เชื่อ มาหนุนใจผู้เชื่อ รถถูกชน เกิดไฟไหม้บ้าน ปิติยินดีสิ  พูดมาเลย สรรเสริญพระเจ้า พระเจ้าบอกให้ชื่นชมยินดี หมายถึงให้ชื่นชมยินดีในใจ …

“ในวิญญาณฉันชื่นชมยินดี แต่ข้างนอก มันเป็นไปตามนี่แหละ ฉันยังรับไม่ได้ ชื่นชมยินดีได้อย่างไร? ยกตัวอย่างในบริบทนี้ ชื่นชมยินดีสิ ชื่นชมยินดีได้อย่างไร? ก็ฉันเห็นสามีของฉัน ลูกของฉัน ถูกทหารจับไป เสียบประจานที่ไม้กางเขน”

“ฉันเห็นเพื่อนของฉัน ผู้เชื่อที่รู้จักกัน ถูกนำไปให้สิงโตกิน”

“ปิติยินดีสิ ปิติยินดี”

“ไม่ใช่ ฉันกลัว ฉันเครียด เป็นเรื่องธรรมดา แต่ข้างในใจฉัน เต็มไปด้วยความยินดี เพราะพระเจ้าปกป้องสันติสุข และพระคุณความรอดของฉันไว้ ด้วยฤทธิ์อำนาจของพระองค์ ซึ่งฉันไม่สามารถที่จะพูดออกมาเป็นภาษามนุษย์ ได้เลยว่าทำไมมันถึงเป็นอย่างนั้น”

นี่มันแปลว่าอย่างนั้นมากกว่า ต่อไป 1 เปโตร 1:9 …

1 เปโตร 1:9 “ท่านได้รับผลของความเชื่อของท่าน คือวิญญาณของท่านได้รับความรอดแล้ว”

 

ซึ่งผลของความเชื่อของท่าน สรุป ก็คือวิญญาณของท่าน ได้รับความรอดอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ เรียบร้อยแล้ว พร้อมทั้งมรดกนิรันดร์ ที่ได้พร้อมแล้ว

เวลาใครจะมีลูก  กำลังจะคลอด  ก็จะไปซื้อโน่นซื้อนี่ให้กับลูก พร้อมก่อนคลอด แล้วพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ผู้ทรงรักมนุษย์ และสามารถทำทุกสิ่งทุกอย่างได้  พระองค์ทรงเตรียมอะไรให้กับมนุษย์บ้าง เมื่อให้มนุษย์บังเกิดใหม่ นั่นแหละ พร้อมแล้วสำหรับท่าน สิ่งเหล่านี้เป็นผลของความเชื่อของท่าน ทำให้เกิดสิ่งนี้ และสิ่งนี้ ก็คือสิ่งล้ำค่าอันประเสริฐยิ่งกว่าทองคำบริสุทธิ์อีก ซึ่งสิ่งเหล่านี้ อยู่ในเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น ไม่ใช่เกี่ยวกับความประพฤติ ที่แสดงออกถึงการดำเนินชีวิต บนโลกใบนี้ ซึ่งมันขึ้นๆ ลงๆ

“ในโลกวิญญาณ ฉันรู้ ฉันเข้าใจ ฉันบอกว่าฉันรู้”

“รู้อะไร?”

“รู้ว่าพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย รู้ว่าพระเจ้าทำให้ฉันบังเกิดใหม่ รู้ว่าฉันเป็นลูกพระเจ้า”

นั่นคือทางวิญญาณ  ไม่มีขึ้นๆ ลงๆ นิ่งเลย เพราะพระเจ้าเป็นผู้ปกป้อง ความเชื่อนี้ แต่ในโลกวัตถุ ในเรื่องร่างกาย การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ในความประพฤติที่แสดงออกมา มันขึ้นๆ ลงๆ เชื่อบ้าง ไม่เชื่อบ้าง เพราะฉะนั้นความจริง ไม่ได้อยู่ตรงเชื่อบ้าง ไม่เชื่อบ้าง หรือว่าขึ้นๆ ลงๆ เป็นไปตามความรู้สึก ความจริงในโลกวิญญาณ มันคือความจริงที่พระเยซูบอกว่าความจริงนี้จะไม่เปลี่ยนแปลง จะไม่มี อะไรมาลบล้างความจริงนี้ได้เลย  แต่ความประพฤติของเรา อาจจะเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ มันเป็นความรู้สึก

พูดง่ายๆ ว่าเราจะรู้สึกเศร้าอย่างไร แต่ในวิญญาณของเราเต็มไปด้วยความชื่นชมยินดี เราจะรู้สึกว่าเราเป็นคนบาปอย่างไร? ในวิญญาณเรารู้ว่าเราเป็นคนชอบธรรม เรารู้สึกว่าเรากลัวอย่างไรก็ตาม แต่ในวิญญาณเราเต็มไปด้วยความกล้าหาญ เรารู้สึกว่าเราเป็นคนสกปรกอย่างไร แต่ในวิญญาณเรารู้ว่าเราเป็นคนบริสุทธิ์สะอาดหมดจด  เรามีความรู้สึกว่าอะไรก็ตาม ที่เรากระทำ แล้วมันไม่ถูกต้อง แต่ในวิญญาณเรารู้ว่าเราได้รับการอภัยเรียบร้อย ครบถ้วนบริบูรณ์ ตั้งแต่ก่อนทำแล้ว

เราจะรู้สึกว่าเราขาดแคลนขัดสน เงินทองก็ไม่มี อะไรต่างๆ ก็ไม่มี นี่เรารู้สึก แต่ในวิญญาณ เรารู้ว่าเรามั่งมี ถ้อยคำพระเจ้าบอกไว้อย่างนั้น เราเพียงพอ อะไรประมาณนั้น

ผลของความเชื่อของท่าน คือวิญญาณของท่านนั้นได้รับความรอดนิรันดร์ พร้อมด้วยมรดกอะไรต่างๆ ที่พระเจ้าทรงเตรียมไว้ให้กับท่านเรียบร้อยแล้ว ที่ในสวรรค์ เตรียมไว้ที่ไหน? ในสวรรค์ ในสวรรค์ คือในโลกวิญญาณที่มองไม่เห็น พระเยซูจึงบอกไง …

“ใครมีตา จงมองให้เห็นเถิด  เพราะมันมองไม่เห็น ต้องเปิดตาฝ่ายวิญญาณ ถึงจะมองเห็น”

1 เปโตร 1:10 “บรรดาผู้เผยพระวจนะ ผู้ได้กล่าวล่วงหน้าถึงพระคุณ ที่จะมีมาถึงท่านนั้น ได้ตั้งใจสืบเสาะค้นหาอย่างถี่ถ้วนที่สุด เกี่ยวกับพระคุณความรอดนี้”

 

ถามว่ามันมีค่า ล้ำค่ามากยิ่งกว่าทองคำ และความยิ่งใหญ่ของความรอด ซึ่งเป็นผลของความเชื่อศรัทธา มันมีค่าเท่าไร? มันมีราคามากมายเท่าไร? เป็นของที่ใครๆ อยากได้มากเท่าไร? พระเยซูก็เลยอธิบายให้ฟัง

พระเยซูอธิบายให้ฟังผ่านทางเปโตรว่าอย่างนี้ รู้ไหม? ที่ท่านได้ไป เราเล่าให้ฟังตั้งแต่ข้อที่ 1 – ข้อที่ 9 ความรอดนิรันดร์ในวิญญาณของท่าน มรดกนิรันดร์ ที่พระเจ้าจัดเตรียมให้ในสวรรคสถาน ให้เรียบร้อย สำหรับท่านนั้น ท่านรู้ไหมมีค่าเท่าไร? ไม่รู้ใช่ไหม? พระเยซูก็ชี้ให้เห็น

บรรดาผู้เผยพระวจนะ  หมายถึงอดีตในพระคัมภีร์เดิม หลายๆ พันปีก่อน คนที่เป็นผู้เผยพระวจนะ ที่พระเจ้าใช้ในการบอกล่วงหน้า ถึงอะไรต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น เขาได้กล่าวล่วงหน้า ถึงพระคุณ ก็คือถึงข่าวดี ข่าวประเสริฐนี้ ที่บังเกิดใหม่ ได้รับมรดกนิรันดร์ ความรอดนิรันดร์ เขาได้พูดถึงข่าวประเสริฐ ที่เป็นยุคของท่าน “ท่าน” คือผู้เชื่อตอนนั้น ก็คือผู้เชื่อยุคสมัยพระเยซู เขาได้เผยพระวจนะถึงเรื่องข่าวประเสริฐ ความรอดแบบนี้ แบบในพระเยซูคริสต์นี้ เกี่ยวกับพวกท่าน และเขายังได้ตั้งใจที่จะสืบค้นหา อย่างถ้วนถี่ เกี่ยวกับพระคุณความรอดนี้ คือพอเขาได้รับถ้อยคำจากพระเจ้า ถึงเรื่องเกี่ยวกับข่าวประเสริฐ พระเยซูคริสต์เป็นพระมาซีฮาห์ จะมาบนโลกใบนี้ จะช่วยมนุษย์ให้รอด ยกตัวอย่างเช่น เอลียาห์  เยเรมีย์  กษัตริย์ดาวิด อะไรต่างๆ เหล่านี้ เขาได้รับถ้อยคำจากพระเจ้า ซึ่งก็คือพระเยซูนั่นเอง เป็นวิญญาณของพระเยซูนั่นเอง ในนี้เขียนไว้เลย เขาได้รับถ้อยคำจากพระเจ้า เขาก็จดบันทึกไว้ แล้วเขาก็เอาไปประกาศกับคนอิสราเอล ที่เชื่อพระเจ้าในสมัยนั้นว่าอนาคตจะเป็นอย่างนี้ เขาเรียกว่าเผยพระวจนะ บอกล่วงหน้า พอเขาจดเสร็จ เผยพระวจนะเสร็จ เขาเองอยากจะรู้ว่าสิ่งเหล่านี้ พระเยซู พระมาซีฮาห์จะมาเริ่มต้นข่าวดีตรงนี้ เมื่อไร? กับใคร? เขาสืบหา ค้น พยายามจะคำนวณเอย คิดเอย พยายามจะหาให้ได้ว่าสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้น เมื่อไร? ที่บอกว่าพระเจ้าจะเสด็จมาอยู่ด้วย มีนามว่าอิมานูเอล จะเกิดขึ้นเมื่อไร ที่บอกว่าพระองค์จะเกิดที่เมืองเบธเลเฮมเมื่อไร? ในยุคไหน?  เขาคิดอย่างนั้น

พระเยซูกำลังบอกว่ามันมีค่าเท่าไร? ขนาดผู้เผยพระวจนะในอดีต เป็นพันๆ ปีมาแล้ว เผยถึงเรื่องพระเยซูคริสต์ ก็อยากจะรู้ว่าพระองค์เกิดมาในยุคใคร? เพื่อใคร? และเมื่อไรจะมา? มาดูข้อ 11 ต่อ …

1 เปโตร 1:11 “พวกเขาพยายามพิเคราะห์หาดูว่าสิ่งที่พระวิญญาณของพระคริสต์ในพวกเขา ได้บอกบ่งชี้ไว้นั้น จะเกิดขึ้นกับใคร และจะเกิดขึ้นเมื่อใด เมื่อพระองค์ได้บอกล่วงหน้า ถึงการทนทุกข์ของพระคริสต์ และบรรดาพระเกียรติสิริที่จะตามมา”

 

“พวกเขา” ก็คือพวกผู้เผยพระวจนะเหล่านั้นในอดีต เขาพยายามพิเคราะห์หาดู ดูแล้วดูอีก ดูคำเผยพระวจนะของตนเอง ที่พระเยซูพูดให้ฟัง คิดต่อ อธิษฐานต่อ พิเคราะห์ดูว่าสิ่งที่พระวิญญาณของพระคริสต์เผยพระวจนะ บอกล่วงหน้า  ใครเป็นคนบอกล่วงหน้า ที่เขาจดเอาไว้ ที่เขาเขียนออกมาบอกกับประชากรสมัยนั้น พระคัมภีร์เดิม ก็คือพระเยซูเอง

ผมถึงบอกไงว่าพระเยซูเป็นผู้เริ่มต้นทุกอย่าง จนกระทั่งพระองค์มาประกาศเอง ด้วยการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ 33 ปี เสร็จแล้วพระองค์ก็เข้ามาสถิตอยู่กับมนุษย์ผู้เชื่อ พระองค์ก็เป็นผู้พูด ตอนนี้พระองค์ก็พูดผ่านทางเปโตร  แต่ที่กำลังบันทึกอยู่นี้ พระองค์เป็นผู้พูดผ่านทางผู้เผยพระวจนะ ในอดีต เอลียาห์  เอลีชา  เยเรมีย์  ดาเนียล  กษัตริย์ดาวิด อะไรประมาณนี้  เยอะแยะ

ถามอีกที ใครเป็นผู้พูดผ่านทางผู้เผยพระวจนะ? พระเยซูคริสต์

ซึ่งพระวิญญาณของพระเยซูคริสต์ในพวกเขา มันไม่ใช่ “ใน” นะ ตรงนี้ ภาษาเดิมสามารถแปลได้ 3 อย่าง คือใน  บน และท่ามกลาง มันไม่ใช่ในแน่นอน เรารู้แล้ว คำว่า “ใน” คือต้องเกิดที่ด้านในวิญญาณ  นี่ไม่ใช่ในวิญญาณ  ในอดีตนั้น เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์มาปกคลุม มาอยู่บน พระคัมภีร์จะใช้คำนี้หมดเลย  พระวิญญาณของพระคริสต์มาหนือหรือบนเขา แล้วเขาก็เผยพระวจนะ ต้องเป็น “บน”  “ใน” นี้ คือเกิดใหม่แล้ว อย่างพวกเรา สมัยยุคพระเยซูคริสต์มาเกิดแล้ว ทำสำเร็จแล้วที่ไม้กางเขน เรียกว่าใน พระองค์ทรงสถิตอยู่ในเรา ซึ่งมันมีค่ามากมายมหาศาล ซึ่งผู้เผยพระวจนะในอดีต เขาอยากจะรู้ อยากจะพิเคราะห์ดู มันจะเกิดขึ้นเมื่อไร?

“พระวิญญาณของพระคริสต์บน” ต้องเปลี่ยนเป็นบนนะ “บนพวกเขา ได้บ่งบอกชี้ไว้นั้น จะเกิดขึ้นกับใคร?  ดาเนียลอยากรู้ว่ามันจะเกิดขึ้นกับใครน๊า ที่บอกว่าพระองค์จะมาเป็นพระมาซีฮาห์ ช่วยมนุษย์ให้รอด ที่พระเจ้าสัญญาว่าเราจะให้ใจใหม่กับเจ้า เราจะประทานวิญญาณใหม่ให้กับเจ้า มันจะเกิดขึ้นเมื่อไรน๊า ให้กับใคร? ยุคไหน? มันแปลว่าอย่างนั้น

จะเกิดขึ้นกับใคร? เกิดขึ้นเมื่อไร? เมื่อพระองค์ได้บอกล่วงหน้า ก็คือพระวิญญาณของพระคริสต์ เมื่อพระวิญญาณของพระคริสต์ปกคลุมอยู่เหนือเขา และพระวิญญาณของพระคริสต์ได้บอกล่วงหน้า ถึงการทนทุกข์ของพระคริสต์ การทุกข์ทรมานของพระมาซีฮาห์ คือพระคริสต์ตรงนี้ เน้นถึงการที่พระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ และตายที่ไม้กางเขน ก็คือพระมาซีฮาห์

เมื่อพระวิญญาณของพระคริสต์ได้บอกล่วงหน้า ถึงเกี่ยวกับเรื่องการทนทุกข์ของพระเยซูคริสต์ พระมาซีฮาห์ ผู้ช่วยให้รอด และบรรดาพระเกียรติสิริที่จะตามมา หมายถึงเผยพระวจนะล่วงหน้าถึงการทนทุกข์ของพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน และพระเกียรติสิริ ที่จะตามมาของการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์นั่นแหละ มันหมายถึงอย่างนั้น

ใครบอกล่วงหน้า? บอกอีกที พระเยซู บอกล่วงหน้าถึงใคร? บอกล่วงหน้าถึงพระมาซีฮาห์

“พระเยซู” ในพระคัมภีร์ใช้คำว่า “พระวิญญาณของพระคริสต์” ในหลายๆ แห่ง ในลักษณะเดียวใช้คำว่า “พระวิญญาณของพระคริสต์” เพราะฉะนั้น พระวิญญาณของพระคริสต์ ก็คือตัวพระคริสต์ ได้บอกถึงการทนทุกข์ของพระมาซีฮาห์ ผู้ที่พระเจ้าเลือกตั้ง เจิมไว้แล้ว  เพื่อมาช่วยให้รอดว่าพระองค์จะทรงทนทุกข์ทรมาน ถูกตรึงกางเขนอย่างไร? และพระองค์จะทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 อย่างไร? และสง่าราศีเหล่านั้น มีไปถึงคนที่เชื่อในการทนทุกข์ ทรมานของพระเยซูคริสต์ ในการตายของพระเยซูคริสต์  และการเป็นขึ้นจากความตาย  ผู้เชื่อก็จะได้ตายกับพระเยซูคริสต์ และเป็นขึ้นจากความตายเหมือนพระองค์ ได้บังเกิดใหม่ นี่คือผลของความเชื่อศรัทธาที่เรากำลังคุยกันตอนนี้อยู่ ในยุคปัจจุบันนี้ ในยุคของพระคัมภีร์ใหม่นี้ 1 เปโตร 1:12 ต่อเนื่องมา …

1 เปโตร 1:12 “พวกเขาได้รับการสำแดงว่าสิ่งต่างๆ ที่ได้พยากรณ์ถึงนั้น ไม่ใช่เพื่อพวกเขาเอง (ไม่ใช่ในยุคของพวกเขา) แต่เพื่อพวกท่าน บัดนี้ บรรดาผู้ประกาศข่าวประเสริฐได้แจ้งสิ่งต่างๆ เหล่านี้แก่ท่านแล้ว โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ (องค์เดียวกัน) ซึ่งส่งมาจากสวรรค์ แม้แต่ทูตสวรรค์ ยังปรารถนาจะเข้าใจสิ่งเหล่านี้”

 

พวกเขาพยายามพิเคราะห์ดู หาดูแล้ว จึงได้รู้ว่าสิ่งที่เขาพยากรณ์นั้น ไม่ได้เกิดขึ้นในช่วงเขา ไม่ได้เกิดขึ้นในช่วงเอลียาห์หรอก ไม่ได้เกิดขึ้นในช่วงกษัตริย์ดาวิดหรอก ไม่ได้เกิดในช่วงดาเนียลหรอก แต่มันจะเกิดขึ้นในช่วงยุคของท่าน “ท่าน” ในที่นี้ คือผู้เชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ก็คือชาวยิวที่เป็นคริสเตียน ในยุคโรมันเรืองอำนาจนั้น

ในยุคของพวกเขา แต่พวกท่าน “ท่าน” ในที่นี้ หมายถึงผู้เชื่อนั่นเอง ในยุคพระคัมภีร์ใหม่  ไม่ใช่ในยุคของพวกเขา ก็คือในยุคพระคัมภีร์เดิม ในผู้เผยพระวจนะ ชาวอิสราเอล บรรพบุรุษนั้น

บัดนี้ บรรดาผู้ประกาศข่าวประเสริฐ ได้แจ้งสิ่งต่างๆ เหล่านี้ แก่ท่านแล้ว  บรรดาผู้ประกาศข่าวประเสริฐ ก็คือเปโตร ก็คือผู้เชื่อทั้งหลาย อัครทูต และผู้ประกาศข่าวประเสริฐ ในยุคพระคัมภีร์ใหม่ที่เชื่อพระเยซู แล้วพระองค์ทรงใช้ ให้เป็นนักประกาศ ออกไปประกาศข่าวดี เหมือนศิษยาภิบาลไปประกาศข่าวดี ท่านเชื่อพระเจ้า แล้วท่านไปประกาศข่าวดีนั้น

ท่านลองสังเกตตรงนี้นะ บรรดาผู้ประกาศข่าวประเสริฐ ได้แจ้งสิ่งต่างๆ เหล่านี้แก่ท่านแล้ว ถ้าพูดถึงในยุคกำลังอ่านอยู่นี้ ก็คือพวกบรรดาอัครทูต ตั้งแต่เปโตรไป ได้ประกาศถึงข่าวดี ได้แจ้งถึงสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ให้แก่ท่านแล้ว โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ องค์เดียวกัน ซึ่งส่งมาจากสวรรค์ ก็คือโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเยซูคริสต์ ที่ได้เข้ามาสถิตอยู่กับท่าน ตอนที่ท่านได้บัพติศมาด้วยไฟจากพระวิญญาณ ตอนที่ท่านมาเชื่อพระเจ้า แล้วได้บังเกิดใหม่นั้น พระเจ้าได้ลงมาสถิตอยู่กับท่าน พระวิญญาณนั้นจะเป็นผู้ประกาศผ่านทางชีวิตของท่าน ผ่านทางเปาโล เปโตร เพื่อให้ท่านทั้งหลาย ได้รับทราบว่านี่คือสิ่งที่พระเจ้าได้สัญญาไว้ คือพระเยซูคริสต์ต้องทนทุกข์ที่ไม้กางเขน  และเป็นขึ้นจากความตาย ในวันที่ 3 เพื่อบรรดาผู้คนทั้งหลายในโลกใบนี้ ที่เชื่อในพระองค์ จะได้รับความรอด

ดูสิ มีค่ามากเท่าไร? ประโยคสุดท้าย “แม้แต่ทูตสวรรค์ยังปรารถนาจะเข้าใจสิ่งเหล่านี้” ขนาดทูตสวรรค์ยังตื่นเต้น ไม่แพ้ผู้เผยพระวจนะในอดีต ที่เผยถึงสิ่งเหล่านี้  แต่ไม่รู้ว่ามันจะเกิดขึ้นเมื่อไร? เกิดขึ้นกับใคร? ทูตสวรรค์ก็ตื่นเต้นไม่แพ้กัน พระองค์ทรงกระทำยิ่งใหญ่ขนาดนี้  ทำให้ใคร? เมื่อไรจะมา ไหนพระเยซูจะมาเกิดเป็นมนุษย์ พระเจ้าจะมาเป็นมนุษย์เองเลยเหรอ จะมาช่วยมนุษย์ง่ายๆ แบบนี้เลย เป็นพระคุณ ให้ฟรีๆ อย่างนี้เลยเหรอ ถึงขนาดนี้เลยเหรอ เกิดขึ้นเมื่อไร? เกิดขึ้นอย่างไร? ตื่นเต้นไปด้วย นี่คือสิ่งที่บอกว่ามีค่ามากมายมหาศาล  ก็คือข่าวประเสริฐ ความรอด การบังเกิดใหม่ การเป็นลูกของพระเจ้า โดยไม่ต้องทำอะไร พระเจ้าทำให้ฟรีๆ ในเรื่องราวของข่าวประเสริฐ ข่าวประเสริฐนี้ จึงเรียกว่าข่าวประเสริฐแห่งพระคุณ

“พระคุณ” คือเราไม่ต้องทำอะไรเลย พระองค์ทรงทำให้ฟรีๆ เป็นของขวัญ ไม่ใช่ข่าวประเสริฐที่เราต้องทำเองนิดหนึ่ง ข่าวประเสริฐที่ต้องทำเอง หน่อยหนึ่ง ข่าวประเสริฐ ที่เราต้องทำเองเยอะขึ้น ไม่ใช่ข่าวประเสริฐที่จะมาบอกเราว่าเมื่อเรารอดแล้ว ช่วยพระเจ้าอีกหน่อยหนึ่ง รักษาความรอดให้ดีๆ ไม่ใช่ พระองค์ทรงกระทำเองผู้เดียว และปกป้องคุ้มครอง ดูแล ผู้เดียว และดูแลจนถึงความสำเร็จ แต่เพียงผู้เดียว  ข้อที่ 13 …

1 เปโตร 1:13 “เพราะฉะนั้น (เมื่อรู้ตัวตนที่แท้จริงในวิญญาณของท่านแล้ว และฐานะอันสูงส่ง คือเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงเป็นอื่น) จงเตรียมความคิดจิตใจให้พร้อม จงรู้จักบังคับตนเอง จงตั้งความหวังแน่วแน่ ในพระคุณความรอด ที่ครบถ้วนบริบูรณ์ ซึ่งจะประทานแก่ท่าน เมื่อพระเยซูคริสต์เสด็จมาปรากฏ”

 

“เพราะฉะนั้น” แปลว่าอะไร? ที่ได้รับรู้ความจริงในเรื่องโลกวิญญาณ มาตั้งแต่บทที่ 1  ข้อที่ 1 จนถึงเดี๋ยวนี้ 12 ข้อ เพราะฉะนั้น 12 ข้อที่ท่านอ่านดูแล้ว ท่านพิจารณาดูหลายวัน หลายปีแล้ว เข้าใจบ้างเรียบร้อยแล้ว ถึงเรื่องข่าวประเสริฐ และอะไรเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ? ท่านเป็นใครในวิญญาณของท่าน? ท่านเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว มีมรดกอย่างไร มากมายมหาศาล มีค่ามากขนาดนั้น  สรุปทั้งหมด 12 ข้อ

เพราะฉะนั้น เมื่อรู้ตัวตนแท้จริงของท่านแล้วว่าในโลกวิญญาณ ท่านมีฐานะอันสูงส่ง เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง เป็นอื่นเลย ก็จงเตรียมความคิด ก็คือหมายถึงความประพฤติแล้ว แต่ท่านต้องรู้ก่อนว่าในโลกวิญญาณ ท่านเป็นใคร? ตอนนี้หมายถึงว่าท่านต้องเตรียมความประพฤติของท่าน รู้แล้ว ความจริงเป็นอย่างนี้ปุ๊บ การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ใครมาทำอะไรต่างๆ ฉันจะต้องมีปฏิกิริยาพร้อมที่จะแสดงออก พร้อมที่จะโต้ตอบ พร้อมที่จะทำการยอมรับ หรือโต้ตอบด้วยวิธีใด?

“จงเตรียมความคิดจิตใจให้พร้อม” ที่ไหน? ก็โลกวัตถุแล้ว  มาร่างกายเราแล้ว จงเตรียมความคิดจิตใจให้พร้อม

“จงรู้จักบังคับตน” คือบังคับให้มันทำตามความเป็นจริงในโลกวิญญาณ ที่ฉันเป็นใครในพระเยซูคริสต์อยู่

“จงตั้งความหวังแน่วแน่ในพระคุณ ความรอด ที่ครบถ้วนบริบูรณ์” ก็คือด้านวัตถุเหมือนกัน ตั้งความหวัง ก็คือตั้งความคิด ที่มันมีความรู้สึกแย่บ้าง?  ไม่ดีบ้าง? กลัวบ้าง? ไม่มีความหวังบ้าง? นั่นแหละ มาเริ่มตั้งใหม่ พอมันเสียใจปุ๊บ ก็ตั้งใหม่ ตั้งความคิดนั้น ให้มีความหวังในความรอดบริบูรณ์ ซึ่งจะประทานแก่ท่าน เมื่อพระเยซูคริสต์เสด็จมาปรากฏ ก็คือตั้งความประพฤติของท่านให้ดีงาม จนกว่าวันที่พระเยซูคริสต์กลับมา ก็คือสิ้นสุดวันในโลกใบนี้ วันที่พระคริสต์กลับมา หรืออีกนัยหนึ่ง ก็คือวันที่ท่านไปหาพระเยซู มันเหมือนกัน วันที่ท่านตาย จากโลกนี้ไป หรือวันที่พระเยซูกลับมาอีกที อันใดอันหนึ่ง

จะเห็นว่าให้เตรียมตัวให้พร้อม ในโลกวัตุที่ตามองเห็น คือเตรียมความประพฤติตามวิญญาณที่ได้เกิดใหม่แล้วนั่นเอง ในโลกมองเห็น ความประพฤติต้องทำอย่างไร? ตั้งความคิด จิตใจไว้ว่าจะดำเนินชีวิต ประพฤติตัวให้สมกับการเป็นลูกของพระเจ้าที่ได้เกิดใหม่แล้วนั่นเอง ซึ่งเมื่อเราใคร่ครวญความจริงใน 12 ข้อนี้ทั้งหมด ที่บอกมา จดจ่ออยู่ที่ข่าวประเสริฐในความจริงนี้ เรื่องราวของโลกวิญญาณ  ที่ได้เรียนรู้โดยพระเยซูคริสต์เป็นผู้บอกเรานี่แหละ เกี่ยวกับพระคุณของพระเจ้า เกี่ยวกับสวรรค์ ให้เราใคร่ครวญสิ่งต่างๆ เหล่านี้อยู่ตลอดเวลา เสมอๆ

ความจริงในเรื่องเกี่ยวกับข่าวประเสริฐ ในเรื่องโลกวิญญาณนี้  ก็จะค่อยๆ เปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจเดิมของเรา ก่อนที่เราจะเชื่อพระเจ้านั่นแหละ แบบเนื้อหนังร่างกาย แบบระบบของโลกนี้  ก็คือเราจะเริ่มเปลี่ยนแปลงโปรแกรมเก่า ที่เคยดำเนินชีวิตก่อนมาเชื่อพระเจ้า ที่เคยชินกับโลกใบนี้ การตัดสินอะไรต่างๆ การประพฤติต่างๆ ตามที่เคยทำ

ความจริงเหล่านี้ก็จะมาเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจ ตรงนี้เสียใหม่ ในโลกวัตถุที่มองเห็น ตามองเห็นปุ๊บ มันจะคิดไปเหมือนเดิม เอาความคิดจิตใจแบบใหม่  ให้สมกับเป็นลูกพระเจ้า  มาเปลี่ยนแปลงความคิด ให้ความคิดมันคล้อยตามความจริงของข่าวประเสริฐ  ที่เราได้เรียนรู้ 12 ข้อนั้น ให้ 12 ข้อนั้น มาเปลี่ยนแปลงความคิดเดิมเสียใหม่ และพระสิริของพระเจ้า ฤทธิ์เดชอำนาจของพระองค์ในวิญญาณของเรา  ก็จะสำแดงออกมาชัดเจน มากขึ้นเรื่อยๆ  ผ่านทางการดำเนินชีวิต การประพฤติในร่างกายนี้ คือตา หู จมูก ลิ้น กาย สมองนั่นเอง คือมันเปลี่ยนแปลงความคิด พระคัมภีร์บอกในโรม 12:1, 2 บอกว่า … “เมื่อท่านเปลี่ยนแปลงความคิดของท่าน ความคิดที่เปลี่ยนไป จะทำให้ความประพฤติเปลี่ยน”

ความประพฤติท่านไม่มีทางเปลี่ยนหรอก ต้องเปลี่ยนแปลงความคิดก่อน ความคิดเปลี่ยนแปลง โดยเอาถ้อยคำพระเจ้า ที่บอกว่าท่านเป็นใครในโลกวิญญาณแล้ว เมื่อมาเชื่อพระเจ้า  12 ข้อ เมื่อตะกี้ที่บอก แล้วเอาความจริงเหล่านี้ มาเปลี่ยนแปลงความคิด พอเปลี่ยนแปลงความคิดได้มากเท่าไร? ความประพฤติทางร่างกาย มันก็จะเป็นไปตาม สมกับเป็นลูกของพระเจ้าเท่านั้น เปลี่ยนมาก ก็ ทำได้มาก เปลี่ยนน้อย ก็ทำได้น้อย  แต่ไม่ว่าจะเปลี่ยนมากหรือเปลี่ยนน้อย ข้อ 1-12 ก็ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ไม่มีวันเสื่อมสลาย  ไม่มีวันสูญสิ้น เพราะพระเจ้าปกปักษ์ คุ้มครอง ดูแลความจริงเหล่านั้น ให้เป็นของท่าน ในโลกวิญญาณ และมันจะเป็นอย่างนั้น ตลอดเลย ไม่ได้เกี่ยวอะไรกันกับความประพฤติของท่าน ที่ท่านจะเปลี่ยนแปลงได้เยอะหรือน้อยก็ตาม ไม่สำคัญ สำหรับพระเจ้าเลย เพราะตัวจริงๆ ของท่าน คือวิญญาณและจิตใจของท่านนั้น เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว เป็นลูกของพระองค์แล้ว และเป็นตัวตนที่แท้จริง ที่ท่านจะไปอยู่ในสวรรค์กับพระองค์เท่านั้น เมื่อวันที่ท่านจากโลกนี้ไป ท่านทิ้งร่างกาย ความประพฤติ ทุกอย่าง บนโลกใบนี้ จบไปแล้ว ท่านไม่ได้เอาร่างกายไปด้วย  นั่นคือความจริงที่พระเจ้าจึงสามารถอภัยให้กับท่านได้ทุกอย่าง เพราะวิญญาณของท่านรอดแล้วนั่นเอง

พระเจ้าทรงเลือกมนุษย์ทุกคนให้มาเชื่อในพระเยซูคริสต์ ให้มาเชื่อในการกระทำการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ ที่ไม้กางเขน เชื่อในข่าวดี เพื่อจะได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า ลูกแห่งการเชื่อฟัง ทั้งหมดนี้ เรามนุษย์ทั้งหลายทุกคน ไม่ต้องทำอะไรเลย แค่ตอบรับคำเชื้อเชิญของพระเจ้าเท่านั้น ก็สามารถได้บังเกิดใหม่ มาเป็นลูกพระเจ้า  ลูกแห่งการเชื่อฟัง ในวิญญาณ ซึ่งบางครั้งทางร่างกายอาจจะประพฤติไม่เชื่อบ้างก็ตาม พูดง่ายๆ ว่าเมื่อเราเชื่อในพระเจ้า เราก็จะกลายเป็นผู้ชอบธรรม ที่บางครั้งทำบาป เป็นผู้ชอบธรรมโดยวิญญาณ  ที่บางครั้งมีความประพฤติ ไม่ชอบธรรมบ้าง คนละเรื่องกัน

พระเจ้ากำลังเคาะประตูใจของเรา มนุษย์ทั้งหลายตลอดเวลา เพื่อให้มนุษย์ทั้งหลายได้รับรู้ความจริงเหล่านี้ คือข่าวดีแห่งพระคุณของพระเจ้า  เพื่อให้มนุษย์ทั้งหลาย เปิดใจต้อนรับคำเชิญของพระองค์ รับความช่วยเหลือจากพระองค์ ด้วยการรับพระคุณนี้ “พระคุณ” แปลว่าไม่ต้องทำอะไรเลย มารับของขวัญฟรีๆ จากพระองค์ และเมื่อใครก็ตามที่เปิดใจ ขบวนการการบังเกิดใหม่ ผ่านทางความเชื่อ ก็เกิดขึ้น โดยฤทธิ์เดชอำนาจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นอัศจรรย์ จากพระวิญญาณของพระเจ้าเท่านั้น มนุษย์ไม่สามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้เลย แต่พระเจ้าทำสิ่งอัศจรรย์เหล่านี้ โดยตัวของพระองค์เอง ทุกสิ่งเป็นขบวนการของพระเจ้า อย่างเดียวเลย ไม่เกี่ยวอะไรกับมนุษย์เลยแม้แต่นิดหนึ่ง เราจึงเรียกว่าข่าวดีแห่งพระคุณ เราจึงเรียกว่าพระคุณความรอด  โดยไม่ต้องทำอะไร ไม่ทำอะไร คือไม่ทำจริงๆ ไม่ทำอะไร คือพักผ่อนจริงๆ ในพระองค์

พระคุณของพระองค์ คือตรงนี้ นี่คือความจริงในข่าวประเสริฐ ข่าวดีของพระเยซูคริสต์ และวิธีการที่จะถวายเกียรติแด่พระองค์ ก็คือนำความจริงนี้ไปใคร่ครวญตลอดเวลา แล้วความคิดของท่านจะเปลี่ยน พอความคิดของท่านเปลี่ยน แล้วความประพฤติของท่านจะค่อยๆ เปลี่ยนไป ขอบคุณพระเจ้า ในนามพระเยซู เอเมน  พระเจ้าอวยพรครับ

 

 

***********************

 

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

2 โคริธ์ 5:6-8 “6 เพราะฉะนั้น เรามั่นใจอยู่เสมอ และรู้แล้วว่าขณะที่อาศัยอยู่ในร่างกายนี้ เราอยู่ห่างจากองค์พระผู้เป็นเจ้า 7  เพราะว่าเราดำเนินโดยความเชื่อ ไม่ใช่โดยสิ่งที่มองเห็น 8 และเรามั่นใจและพอใจ ที่จะไปจากร่างกายนี้ และอาศัยอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้ามากกว่า”

 

แม้ความจริงของพระเจ้าจะบอกเราว่าทันทีที่เราบังเกิดใหม่   วิญญาณของเราได้เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลย สะอาด บริสุทธิ์เต็มด้วยสง่าราศีของพระเจ้า พระเจ้าพระบิดา พระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ในเรา เราได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าแล้ว สิ่งเหล่านี้เป็นความจริงในโลกวิญญาณ ซึ่งเกิดขึ้นเรียบร้อยแล้ว ทันทีที่เราเชื่อ แต่เนื่องจากตาเนื้อเรามองไม่เห็น มือเราสัมผัสไม่ได้ แต่เรารับรู้ในวิญญาณ เราจึงต้องใช้ความเชื่อ

 

เชื่อตามที่พระเจ้าบอกเราในถ้อยคำของพระองค์ แน่นอน เมื่อเรารู้ความจริงเหล่านี้ ถ้าเลือกได้ เราก็อยากกลับไปอยู่กับพระเจ้า ซึ่งดีกว่าเยอะเลย แต่ที่พระเจ้ายังให้เราอยู่บนโลกนี้ ก็เพื่อรับใช้พระองค์ สำแดงความรักของพระองค์ที่อยู่ภายในเราเรียบร้อยแล้วออกมา ประกาศฤทธานุภาพแห่งข่าวดีของพระเยซู ดำเนินชีวิตให้เป็นไปด้วยกันกับความจริงที่เราเป็นอยู่ มอบอวัยวะทุกส่วนในร่างกายให้พระเจ้าใช้ เปลี่ยนโปรมแกรมความคิดเดิมที่เราเคยชิน มาเป็นโปรแกรมความคิดใหม่ตามถ้อยคำพระเจ้า แล้วบุคลิกลักษณะของเราก็จะถูกเปลี่ยนใหม่ เป็นเหมีอนพระเจ้า พ่อของเรามากขึ้น

 

1 ยอห์น 4:17-18 “17 ในการได้เข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์นี้ ความรัก​​ (อากาเป้ แบบพระเจ้า) จึงได้เกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ครบถ้วนในตัวเรา เรา​จึง​มี​ความ​มั่นใจ​ใน​วัน​พิพากษา ที่​เรา​มี​ความ​มั่นใจ​อย่าง​เต็มเปี่ยม​  ก็​เพราะชีวิตจิตวิญญาณที่​เรา​มี​ขณะที่อยู่ในโลก​นี้นั้น   เป็นชีวิตจิตวิญญาณที่​เหมือน​กับ​ชีวิตจิตวิญญาณของ​พระคริสต์ 18 ไม่มีความกลัวในความรัก (อากาเป้ แบบพระเจ้า) แต่ความรัก (อากาเป้ แบบพระเจ้า) ที่สมบูรณ์ครบถ้วน (ภายในเรา) ขจัดความกลัวออกไปจนหมดสิ้น”

เพราะความกลัว (ไม่มั่นใจในความชอบธรรมของตนเอง) ทำให้เกิดความคิดฟ้องผิด (ว่าถูกตัดสินลงโทษ) ดังนั้นผู้ที่ยังกลัวอยู่ (ไม่มั่นใจในความชอบธรรมของตนเอง กลัวการถูกลงโทษในวันพิพากษา) คือผู้ที่ยังไม่มีความรัก (อากาเป้ แบบพระเจ้า) ที่สมบูรณ์ครบถ้วนภายในเขา

 

พระเจ้าอวยพรครับ