วารสาร Holy News ฉบับที่ 1336

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  31  ตุลาคม  2021

 เรื่อง “หนังสือเอเฟซัส” ตอน 4

โดย วราพร  คงล้วน

 

วันนี้เรามาต่อในหนังสือเอเฟซัส ยังอยู่บทที่ 1 ข้อที่ 15

เอเฟซัส 1:15 “ด้วยเหตุนี้  ตั้งแต่ข้าพเจ้าได้ยินถึงความเชื่อของท่าน  ในพระเยซูเจ้า และความรักของท่านที่มีต่อประชากรทุกคนของพระเจ้า”

 

คราวที่แล้ว เราเรียนรู้ถึงสิ่งที่เราได้รับเชื่อ วางใจในพระเจ้า  พระวิญญาณบริสุทธิ์ประทับตรา เป็นมัดจำว่าเราเป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์  ฉะนั้น เมื่อเราเป็นผู้เชื่อแล้ว

ข้อที่ 15 อาจารย์เปาโลบอกว่า “ด้วยเหตุนี้ ตั้งแต่ข้าพเจ้าได้ยินถึงความเชื่อของท่าน”

ก็คือความเชื่อของชาวเอเฟซัส ถูกเลื่องลือไป กว้างมาก ไปจนถึงหูของอาจารย์เปาโล โดยปกติ พอพูดถึงความเชื่อ  เรามักจะคิดถึงอะไร?

พอพูดถึงความเชื่อ เรามักจะคิดว่าเชื่อในเรื่องของฤทธานุภาพของพระเจ้า เชื่อในเรื่องของการวางมืออธิษฐานให้คนป่วยได้รับการหายโรค เชื่อเรื่องเจริญรุ่งเรือง มั่งคั่งทางฝ่ายวัตถุที่พระเจ้าจะประทานให้กับเรา  เชื่อว่าเราสามารถที่จะสั่งเลื่อนภูเขาให้ลงทะเลได้  ปกติเราเชื่อกันแบบนี้  แต่ความเชื่อจริงๆ ในถ้อยคำของพระเจ้า  ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพวกนี้เลย  เรื่องทั้งหมดที่ได้พูดมาเมื่อตะกี้ มันไม่เกี่ยวอะไรกับความเชื่อในโลกวิญญาณ มันเป็นเรื่องโลกวัตถุ หรือแม้แต่เมื่อเราเป็นผู้เชื่อ  เราไปวางมือรักษาโรค มันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเรา เพราะว่าฤทธิ์เดชอำนาจ ไม่ได้อยู่ที่เรา แต่อยู่ที่พระเจ้า

ถามว่าเรื่องของการรักษาโรค ยังมีอยู่ไหม? มีอยู่ พระเยซูสามารถรักษาโรคได้  พระเยซูสามารถทำงานผ่านทางชีวิตของเราได้ แต่ว่าไม่ได้ขึ้นอยู่กับเราว่าอยากจะทำ แล้วพระเจ้าต้องทำตามเรา  แต่ขึ้นอยู่กับจังหวะเวลา หรือชั่วโมงนั้นๆ ที่พระเจ้าอยากจะใช้เราทำอะไรบางอย่าง  เกี่ยวกับเรื่องของโลกวัตถุนี้ เพื่อให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์

สิ่งต่างๆ ที่พูดมาทั้งหมด มันไม่ได้อยู่ในพระสัญญาของพระเจ้า ที่พระเยซูคริสต์ได้ทำสำเร็จแล้ว บนไม้กางเขน  ฉะนั้น พระสัญญาของพระเจ้าที่พระเยซูคริสต์ทำสำเร็จแล้ว บนไม้กางเขน เป็นเรื่องของโลกวิญญาณ ซึ่งเราไม่สามารถสัมผัสจับต้องได้ แต่เรารับเอาด้วยความเชื่อ ตามถ้อยคำที่พระเจ้าบอก  พอเราเชื่อปุ๊บ สิ่งที่สำแดงออกของความเชื่อนี้ ในพระคัมภีร์ข้อนี้ สิ่งที่สำแดงออก คือความรักของผู้เชื่อ ที่มีต่อประชากรของพระองค์ทุกคน

ความรักตรงนี้ เกิดขึ้นทันทีเมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เพราะพระเจ้าทรงเป็นความรัก  ทันทีที่เราเชื่อ  วิญญาณของเราได้ถูกผ่าตัดใหม่ เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์  พระเยซูคริสต์เป็นความรัก เราก็เป็นความรักด้วย  ดังนั้น ความเชื่อที่สำแดงออก เมื่อเราเชื่อวางใจในพระเจ้าปุ๊บ มันจะเกิดการสำแดงความเชื่อตรงนี้ คือธรรมชาติใหม่ของผู้เชื่อ คือความรัก  ที่จะถูกสำแดงออกมา

ฉะนั้น ความเชื่อที่เพิ่มพูนมากขึ้น  คือความเชื่อในเรื่องราวความรู้ของพระเจ้า เกี่ยวกับโลกวิญญาณว่าเมื่อเราเข้ามาอยู่ในพระเจ้าแล้ว เราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ และเราได้รับอะไรจากพระเจ้าบ้าง ความรู้ตรงนี้ ทำให้เราสำแดง ธรรมชาติใหม่ออกมา  โดยอัตโนมัติ เพราะว่าเราเป็นความรัก ความรักของพระเจ้าอยู่ในเราเลย รอเวลา เมื่อเราเจริญเติบโตมากขึ้น ความรักนี้จะถูกสำแดงออกไปมากขึ้น

ตรงนี้แหละ คือสิ่งที่เราจำเป็นจะต้องรับรู้ ไม่อย่างนั้น คริสเตียนก็จะโดนหลอก หลอกว่าถ้าเรามีความเชื่อเยอะ เราก็ต้องทำหมายสำคัญการอัศจรรย์  เพื่อสำแดงว่าเรามีความเชื่อในพระเยซูคริสต์ ซึ่งหมายสำคัญและการอัศจรรย์ ไม่เกี่ยวอะไรกับเราเลย  เป็นเรื่องของพระเจ้า พระเจ้าจะใช้เราเมื่อไรก็ได้ เวลาไหนก็ได้  ใช้ใครก็ได้  แม้แต่คนเล็กน้อยคนหนึ่ง ผู้เชื่อคนหนึ่ง  ที่เพิ่งรับเชื่อ แล้วพระเจ้าอยากจะใช้เขา  ให้เดินไปวางมือให้กับคนเจ็บคนป่วย แล้วคนเหล่านั้นหายโรค พระเจ้าก็ใช้เขาได้ มันไม่ได้ขึ้นอยู่ที่เราจะพยายามทำความเชื่อตรงนี้ให้เกิดขึ้น  ดังนั้น ความเชื่อที่แท้จริง คือเชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำเพื่อเราเรียบร้อยไปแล้ว บนไม้กางเขน  และโดยความเชื่อนี้ ทำให้บุคลิกลักษณะของเรา  ที่เป็นธรรมชาติใหม่  ที่เป็นเหมือนพระเจ้า ถูกสำแดงออกไป เมื่อความเชื่อนั้น เจริญเติบโตขึ้น

เอเฟซัส 1:16 “ข้าพเจ้าจึงขอบพระคุณพระเจ้าอย่างไม่หยุดยั้ง   เพราะท่าน  และเฝ้าอธิษฐานเผื่อท่าน”

 

เมื่อได้ยินถึงความเชื่อที่เจริญขึ้น โดยการสำแดงออกเป็นความรักปุ๊บ อาจารย์เปาโลก็เลยบอกว่าพอได้ยินอย่างนี้ มีความสุข เลยไม่หยุดที่จะอธิษฐานให้กับผู้เชื่อเหล่านี้ เรามาดูว่าอาจารย์เปาโลอธิษฐานเรื่องอะไร?

ปกติถ้าเราอธิษฐานให้คนอื่น เราก็มักจะอธิษฐานว่าอะไร? อธิษฐานขอพระเจ้าอวยพรให้เขามีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง ขอพระเจ้าอวยพรให้เขามีความเจริญรุ่งเรืองมั่งคั่งในเรื่องของการเงิน การงาน อวยพรให้เขามีครอบครัวที่ดี นี่เป็นพื้นฐาน ไม่ได้หมายความว่าเราอธิษฐานไม่ได้ เราอธิษฐานได้ แล้วก็แล้วแต่ว่าพระเจ้าจะทรงเมตตา ตอบคำอธิษฐานของเราอย่างไร? ขึ้นตามน้ำพระทัยของพระองค์ แต่หลักของการอธิษฐานให้ผู้เชื่อจริงๆ  ต้องตามนี้เลย  ก็คืออธิษฐานเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ  ไม่เกี่ยวกับโลกวัตถุเลย  โลกวัตถุไม่ได้อยู่ในพันธสัญญา แต่ว่าพระเจ้ายังคงทำการงานของพระองค์อยู่ พระองค์พอพระทัยที่จะอวยพรใคร พระองค์ก็จะอวยพรผู้นั้น  นี่คือหลักการที่ชัดเจน ที่พวกเราจำเป็นจะต้องรับรู้ มาดูว่าอาจารย์เปาโลอธิษฐานอย่างไร? …

เอเฟซัส 1:17 “ข้าพเจ้าเพียรทูลขอให้พระเจ้าขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา   คือพระบิดาผู้ทรงพระเกียรติสิริ ทรงให้ท่านมีวิญญาณแห่งสติปัญญา  และการสำแดง  เพื่อท่านจะรู้จักพระองค์ดียิ่งขึ้น

 

อธิษฐาน  ขอให้พระเจ้าได้สำแดงความรู้เรื่องของพระเจ้า  เพื่อว่าเราจะได้รู้เรื่องราวของพระเจ้าดียิ่งขึ้น รู้ถึงสิ่งที่พระเจ้าได้ประทานให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว บนไม้กางเขน ทำสำเร็จแล้ว  เรื่องเหล่านี้ คือเราจำเป็นจะต้องรู้ รับรู้ว่าเราได้รับอะไรแล้ว  ผ่านทางความรอด  ที่พระเจ้าได้ประทานให้กับพวกเรา  เมื่อเราเรียนรู้มากขึ้น เราก็จะสามารถเข้าใจถึงหลักการของพระเจ้ามากขึ้น เข้าใจถึงน้ำพระทัยของพระเจ้ามากขึ้น  รับรู้ถึงความจริงในโลกวิญญาณมากขึ้น ฉะนั้น การมีวิญญาณแห่งสติปัญญา และการสำแดง เป็นส่วนหนึ่งของพระวิญญาณ ที่พระเจ้าประทานให้กับพวกเรา ก็คือพระเจ้าให้กับเรา แล้วเราก็ขอพระเจ้า ให้เพิ่มพูนมากขึ้นๆ  เพื่อเราจะได้สามารถเข้าใจถ้อยคำ หรือน้ำพระทัยที่พระองค์ทรงมีไว้ สำหรับผู้เชื่อทุกๆ คนมากขึ้น

เอเฟซัส 1:18 “ข้าพเจ้ายังอธิษฐานขอพระเจ้าให้ตาของวิญญาณ (ซึ่งเป็นตัวจริงๆ ของท่าน) สว่าง เพื่อจะได้รับการสำแดงความรู้ จากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เพื่อท่านจะได้รับรู้ถึงความหวัง และมีความมั่นใจในเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ของพระเจ้า ที่พระองค์ได้เรียกท่านเข้ามานั้น และรับรู้เรื่อง มรดกที่เต็มไปด้วยสง่าราศีอันยิ่งใหญ่รุ่งเรือง  และมีค่าที่สุดของพระองค์ ที่ได้ทรงจัดเตรียมไว้ให้กับท่าน  ผู้ซึ่งได้เป็นประชากรที่บริสุทธิ์ชอบธรรมของพระเจ้าแล้ว (โดยผ่านทางการเชื่อ  และรับสิทธิ์ของท่านที่พระเยซูได้ไถ่บาปให้)”

 

“ข้าพเจ้ายังอธิษฐานขอพระเจ้าให้ตาวิญญาณ ซึ่งเป็นตัวจริงๆ ของท่าน” ตาฝ่ายวิญญาณที่เป็นตัวตนจริงๆ ของเรา ร่างกายนี้ ไม่ได้เป็นตัวตนจริงๆ ของเรา ร่างกายนี้ยังเป็นร่างกายที่อยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตาย ฉะนั้น วันหนึ่งข้างหน้า เราก็จะต้องทิ้งร่างกายนี้ แต่ตัวตนจริงๆ ของมนุษย์ ก็คือวิญญาณข้างใน เราเคยได้ยินบ่อยๆ ที่พระเยซูคริสต์จะบอกว่า …

“จงมองให้เห็นเถิด”

คนนี้ตาบอด ก็คือมีตา แต่มองไม่เห็น  มีหู แต่ไม่ได้ยิน  ที่พระเยซูพูด ก็คือตาฝ่ายเนื้อหนังเขามีอยู่นะ แต่ตาฝ่ายวิญญาณ เขาไม่เปิด เขาเลย มองไม่เห็น

หูที่เรามองเห็นอยู่  ก็คือหูฝ่ายเนื้อหนัง  ที่อยู่บนโลกใบนี้ แต่หูฝ่ายวิญญาณของมนุษย์ ไม่ได้ยินเสียงของพระเจ้า เพราะฉะนั้น ขอพระเจ้าทรงเมตตาเปิดหูตาฝ่ายวิญญาณของพวกเรา ผู้เชื่อแล้ว ให้สามารถได้เห็นถึงสิ่งที่พระเจ้าจัดเตรียม สำหรับผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ และให้เราได้ยินสิ่งที่พระเจ้าต้องการตรัสกับเราในพระเยซูคริสต์ อาจารย์เปาโลจึงอธิษฐานขอให้พระเจ้าทรงสำแดง ให้เราสามารถรับรู้และได้ยินถึงเรื่องจริงๆ ของพระเจ้า ดังนั้น ตาของเรา ซึ่งเป็นตาจริงๆ  คือฝ่ายวิญญาณ  ให้เปิดออก และสว่าง

คำว่า “สว่าง” คือพออะไรสว่าง เราจะเห็นได้ชัด พี่น้องนึกภาพออกไหมค่ะ ถ้าเราเข้าไปในห้องมืด แล้วเราก็ไม่ยอมเปิดไฟ เราก็ต้องคลำเอา  บางทีมีเก้าอี้ มีโต๊ะขวางอยู่ เราก็จะไปเตะเก้าอี้ เตะโต๊ะ บางทีชนปุ๊บ เขียวเลย  ก็คือเรามองไม่เห็น เราก็เดินสะเปะสะปะ แต่ถ้าเราอยู่ในความสว่าง เราก็จะมองเห็น  เปิดไฟในห้องปุ๊บ เราจะเห็นตำแหน่งนี้ เก้าอี้วางอยู่ ตำแหน่งนี้โต๊ะวางอยู่  ตำแหน่งนี้มีต้นไม้วางอยู่ อย่าเดินไปเตะ แล้วเราจะเจ็บตัวเปล่าๆ มันเป็นภาพเดียวกัน  เมื่อตาใจฝ่ายวิญญาณเราสว่างขึ้น เราก็จะเห็นสิ่งที่พระเจ้าสำแดงให้กับเราได้รับรู้

“เพื่อจะได้รับการสำแดงความรู้ จากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เพื่อท่านจะได้รับรู้ถึงความหวัง” … ความหวังของคริสเตียนอยู่ตรงไหน?  ความหวังของคริสเตียน ไม่ได้อยู่ตรงที่หวังว่าพระเจ้าจะทรงอำนวยพระพรธุรกิจของเรา หวังว่าพระเจ้าจะอวยพรให้เรามีสุขภาพแข็งแรงจนวันตาย  ไม่ได้หวังว่าพระเจ้าจะทรงดูแลครอบครัวของเราให้อยู่ดี มีสุข ความหวังนี้ คือทุกคนหวังได้นะ แต่ว่าเป็นความหวัง ที่ไม่ได้อยู่ในวิญญาณ ซึ่งความหวังเหล่านี้ พระเจ้าสามารถให้เราได้แหละ แล้วแต่น้ำพระทัย แต่ว่ามันไม่ได้เป็นประเด็นหลักในเรื่องของวิญญาณที่อาจารย์เปาโลพูดถึง

ความหวังของคริสเตียน คือเป็นความหวังที่เราสามารถสัมผัสจับต้องได้ ด้วยความเชื่อ  เมื่อเราเชื่อวางใจในพระเจ้าปุ๊บ พระเจ้าบอกว่าพระพรนานัปการฝ่ายวิญญาณ  เราได้รับเรียบร้อยไปแล้ว  เราได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าแล้ว พระเจ้าทรงสถิตอยู่ในเราเรียบร้อยไปแล้ว สิ่งต่างๆ เหล่านี้เราได้รับแล้ว เราได้ไปนั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ร่วมกับพระเยซูคริสต์บนสวรรคสถาน เราก็ได้รับแล้ว  เมื่อได้รับแล้ว แล้วเราหวังอะไรอีก

หวังอีกเรื่องเดียวเลย คือเรื่องร่างกายใหม่ที่พระเจ้าสัญญากับเรา ตอนนี้เรายังไม่ได้รับนะ ผู้เชื่อยังอยู่ในร่างกายเก่า ซึ่งอยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตาย ฉะนั้น เรามีความหวังใจ เรารับรู้ เป็นความหวังที่มันเป็นจริง  คือรู้เลยว่าพระเจ้าเตรียมให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว ผู้เชื่อทุกคน ร่างกายใหม่ที่เต็มไปด้วยสง่าราศี  ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลย เมื่อวิญญาณเราออกจากร่างปุ๊บ เราก็จะไปสวมร่างกายใหม่นี้ทันทีเลย นี่คือความหวังใจที่ผู้เชื่อทุกคน เฝ้ารอคอย

“และมีความมั่นใจในเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ของพระเจ้า” มีความมั่นใจตรงไหน? ตรงที่ตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้  เมื่อเราบังเกิดใหม่  เราก็ได้ไปอยู่ที่สวรรค์เรียบร้อยไปแล้ว  พระคัมภีร์บอกเราอย่างนั้น  เมื่อเราบังเกิดใหม่ พระเจ้าได้ผ่าตัดวิญญาณเราใหม่ วิญญาณเข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ปุ๊บ พระเยซูอยู่ที่ไหน? เราอยู่ที่นั่นด้วย พระเยซูนั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า เราก็อยู่ที่นั่นด้วย  แปลว่า ณ เวลานี้ ร่างกายเราอยู่บนโลกใบนี้  แต่วิญญาณของเรา ได้อยู่ที่สวรรคสถานร่วมกับพระเยซูคริสต์ ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว ก็คือผู้เชื่อได้ไปอยู่ที่สวรรค์ เรียบร้อยแล้ว เมื่อเราอยู่ที่สวรรค์แล้ว เราก็ไม่ต้องมานั่งกังวลว่าตกลง เกิดเราตายไป เราจะได้ไปสวรรค์ไหม?  เราได้อยู่ในบ้านของพระเจ้า เรียบร้อยไปแล้ว

“ที่พระองค์ได้ทรงเรียกท่านเข้ามานั้น และรับรู้เรื่องมรดกที่เต็มไปด้วยสง่าราศีอันยิ่งใหญ่รุ่งเรือง” มรดกเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ผู้คนบนโลกใบนี้ มักจะเข้าใจผิด พอพูดถึงมรดก หลับตานึกภาพถึงวัตถุสิ่งของ อะไรเยอะแยะมากมาย แต่ว่ามรดกที่พระเจ้าพูดถึงในโลกวิญญาณ คือความรอดในพระเยซูคริสต์ การรอดพ้นจากบาป ที่เราไม่ต้องถูกพิพากษาลงโทษอีกต่อไป เราได้เป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า  เป็นลูกของพระเจ้า ร่วมกับพระเยซูคริสต์ เป็นผู้บริสุทธิ์ สะอาดหมดจดจำเพาะพระพักตร์ของพระเจ้า  นี่เป็นมรดกที่พระเจ้าได้ให้กับพวกเราทั้งหมด เราเป็นทายาทของพระเยซูคริสต์ มรดกเหล่านี้  มันเป็นมรดกที่ยิ่งใหญ่ ที่เราได้รับเรียบร้อยไปแล้ว  ฉะนั้น  เราจำเป็นต้องเข้ามารับรู้ว่ามรดกของเรา คืออะไร? มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรื่องของโลกวัตถุอีกเหมือนเดิม

ถ้าผู้เชื่อหรือคริสเตียน  พยายามไปจ้องที่โลกวัตถุ เราก็จะไม่สามารถมองเห็นความสำคัญ หรือความยิ่งใหญ่ หรือสิ่งที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับเรา ในโลกวิญญาณจริงๆ  เพราะว่าเรามัวแต่ไปจับจ้อง มองที่สิ่งที่ตาเรามองเห็น  แต่เรื่องของพระเจ้า ต้องใช้ความเชื่อ หลับตาเอา สิ่งที่มองเห็น มันไม่จริง  สิ่งที่มองไม่เห็น ที่พระเจ้าบอกว่าพระองค์ทรงให้กับพวกเราแล้ว คือเรื่องจริงๆ

“และมีค่าที่สุดของพระองค์ ที่ได้ทรงจัดเตรียมไว้ให้กับท่าน” คือเตรียมไว้เรียบร้อยไปแล้ว อย่างที่บอกพระเจ้าบอกว่าวันที่พระเยซูคริสต์ได้มาเกิดบนโลกใบนี้ ได้มาสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ได้ถูกฝังในอุโมงค์ ได้เป็นขึ้นมาจากความตาย ในวันที่สาม  พอพระเยซูคริสต์ได้เป็นขึ้นมาจากความตายปุ๊บ มรดกได้สำเร็จแล้ว สำหรับมนุษยชาติทั้งหมด บนโลกใบนี้ มรดกนี้มีแล้วนะ เป็นของขวัญที่พระเจ้าได้เตรียมไว้ให้กับทุกคนบนโลกใบนี้  แค่ว่าใครก็ตามที่เชื่อว่าของขวัญชิ้นนี้มีจริง  แล้วก็เดินเข้ามารับเอาไป เขาก็ได้ไปเลย  แต่ถ้าคนที่ได้ยิน ได้ฟัง แต่ยังไม่เชื่อ จะมีของขวัญอะไรดีขนาดนั้น ไม่เชื่อหรอก ไม่เอา ก็แล้วไป ไม่เอา ก็ไม่ได้ ก็ยังคงอยู่ที่เดิม แต่ว่าของขวัญ พระเจ้าจัดเตรียมให้เรียบร้อยไปแล้ว ผูกโบว์ไว้เรียบร้อยไปแล้วด้วย รอแค่เจ้าของมารับไปเท่านั้นเอง

“ผู้ซึ่งได้เป็นประชากรที่บริสุทธิ์ชอบธรรมของพระเจ้าแล้ว (โดยผ่านทางเชื่อ  และรับสิทธิ์ของท่านที่พระเยซูได้ไถ่บาปให้)”  ของขวัญนี้ พระเจ้าเตรียมไว้เรียบร้อยไปแล้ว  ใครที่เข้ามารับเอาด้วยความเชื่อ ก็ได้รับไปเลย

เอเฟซัส 1:19 “เพื่อท่านจะได้เริ่มต้นเรียนรู้ถึงฤทธิ์เดชอำนาจยิ่งใหญ่มหาศาล  ที่ไม่มีขีดจำกัดและหาที่เปรียบไม่ได้ของพระเจ้า ซึ่งเป็นฤทธิ์เดชอำนาจพลังที่ยิ่งใหญ่มหาศาลทางฝ่ายวิญญาณ  ที่กระทำการงานอยู่ภายในเรา  และเพื่อเราผู้ซึ่งได้เชื่อ (รับสิทธิ์ของเราที่พระเยซูได้ไถ่บาปให้)”

 

ฤทธิ์เดชอำนาจตรงนี้ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับโลกวัตถุอีกเหมือนเดิม แต่ฤทธิ์เดชอำนาจในข้อที่ 19 นี้ พูดถึงฤทธิ์เดชอำนาจในวันที่พระเจ้าได้ให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ชุบพระเยซูคริสต์ให้เป็นขึ้นมาจากความตาย แล้วพวกเราผู้เชื่อที่ได้ถูกนำเข้าไปบัพติศมาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ เมื่อเราตายพร้อมกับพระเยซู ถูกฝังพร้อมกับพระเยซู เราก็จะเป็นขึ้นมาใหม่พร้อมกับพระเยซู นี่คือฤทธิ์เดชอำนาจที่ยิ่งใหญ่สูงสุด  เขาเรียกว่าการบังเกิดใหม่

การบังเกิดใหม่ของผู้เชื่อ เราทำเองไม่ได้ มนุษย์เกิดเองไม่ได้  มนุษย์จะเกิดก็ต้องมีคนนำ  มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ เกิดเองไม่ได้  ก็ต้องเกิดจากท้องแม่ จริงหรือไม่จริง? อยู่ดีๆ บอกว่า …

“ฉันขอเกิดเอง”

มันเป็นไปไม่ได้ ก็คือคนที่เกิดใหม่  ไม่สามารถทำด้วยตัวเองได้ ในโลกวัตถุเป็นอย่างนี้  โลกวิญญาณก็เหมือนกัน การบังเกิดใหม่ ไม่มีมนุษย์คนไหนทำเองได้ โดยผ่านทางการประพฤติของตัวเอง แต่การบังเกิดใหม่นี้ พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นผู้กระทำ ขบวนการนี้ พระเจ้าเป็นผู้ทำ ไม่เกี่ยวอะไรกับเราเลย  เราทำไม่ได้ เราทำอย่างเดียว คือเดินเข้ามารับสิทธิ์นั้น ก็คือเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ต้อนรับสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ เพื่อเราบนไม้กางเขน  เปิดใจปุ๊บ  พระเจ้าก็จะทำการงาน ขบวนการที่พระเจ้าจะเปลี่ยนวิญญาณบาปอันเก่าของเรา  มาเป็นวิญญาณใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเจ้า คือเป็นผู้ชอบธรรม ฉะนั้น พวกเราที่เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ เราก็จะเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะนำวิญญาณของเราใส่เข้าไปในพระเยซูคริสต์ แล้วก็เอาไปตรึงพร้อมกับพระเยซูคริสต์ ฉะนั้น เรากับพระเยซูคริสต์จะเป็นหนึ่งเดียวกัน เมื่อเราบังเกิดใหม่ มีชีวิตใหม่ เป็นผู้ชอบธรรมในพระคริสต์แล้ว  เรากับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน โดยที่เราไม่สามารถทำด้วยตัวเองได้

พระคำของพระเจ้า จึงบอกว่าความรอดนี้ ไม่ได้เกิดขึ้น จากผลของการกระทำใดๆ ของมนุษย์ แต่เกิดขึ้นจากความเชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ เพื่อเราบนไม้กางเขน เพื่อไม่ให้ใครอวดได้เลยว่า …

“ฉันทำเยอะกว่าเธอ ฉันทำได้ตั้งเยอะ ฉันถึงได้รับความรอด”

ไม่มีใครทำเยอะ ขนาดที่ทำให้ตัวเองรอดได้  ฉะนั้น ความรอดนี้ ต้องพึ่งพระเจ้าเพียงผู้เดียวเท่านั้น  ผ่านทางความเชื่อ พอผ่านทางความเชื่อปุ๊บ ฤทธิ์เดชอำนาจตรงนี้  ที่พระเจ้าให้กับพวกเรา  พลังอำนาจที่พระเจ้าให้กับเรา  ที่เราได้บังเกิดใหม่ เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ เป๊ะเลย วิญญาณของเรากับวิญญาณของพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกัน  ร่างกายเราเป็นวิหารของพระเจ้า  พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคเข้ามาสถิตอยู่ในเราปุ๊บ  พลังนี้มันอยู่ในเราเรียบร้อยไปแล้ว  คือเราไม่ต้องไปหาเพิ่มจากที่ไหน?หรือไปพยายามไขว่คว้า พยายามหาวิธีว่าเราจะทำอย่างไร?  เพื่อให้เรามีพลังอำนาจ ฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่สูงสุด เข้ามาเพิ่มพูนมากขึ้น ในชีวิตของเรา  มันไม่มี มันเป็นไปไม่ได้  และทำไม่ได้ด้วย  เพราะว่าพลังอำนาจนี้ เกิดขึ้นตอนที่เราบังเกิดใหม่ ตอนที่เราเป็นขึ้นมาจากความตาย  พร้อมกับพระเยซูคริสต์ พลังอำนาจนี้มันเกิดขึ้นเลยในชีวิตของเรา  ฉะนั้น พลังอำนาจนี้มีอยู่แล้ว  แค่เราเข้าไปรับรู้  เพื่อเราจะได้สามารถทำให้พลังอำนาจนี้ ที่พระเจ้าใส่เข้าไปในชีวิตของเรา ที่เป็นธรรมชาติใหม่เหมือนพระเยซูคริสต์ ได้สำแดงออกมา และส่วนหนึ่งที่สำแดงออกมา ที่ชัดเจนที่สุด คือความรักที่ถูกสำแดงออก เพราะพระเจ้าเป็นความรัก จากนั้น ก็จะมีอีกเยอะแยะมากมาย ที่เป็นธรรมชาติของพระเจ้า ที่จะถูกสำแดง ค่อยๆ พัฒนาจากการรับรู้ ความจริงของพระเจ้ามากขึ้นเท่าไร? การสำแดงคุณลักษณะ หรือพระลักษณะของพระเจ้า ก็จะมากขึ้นเท่านั้น

มาคุยเรื่องเกร็ดความรู้นิดหนึ่ง แล้วเราจะจบ … เรามาพูดถึงพลังอำนาจนี้ ที่พระเจ้าทรงให้เราบังเกิดใหม่ บังเกิดใหม่ปุ๊บ เราเป็นลูกพระเจ้าทันทีเลย โดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติมอีก  เป็นผู้ชอบธรรมทันที  พระเจ้าสถิตอยู่ในเราทันที  โดยที่เราไม่ต้องไปทำอะไรเพิ่ม เพื่อให้พระเจ้าสถิตกับเรามากขึ้น พระเจ้าสนิทสนมกับเราทันที ก็คือพระเจ้าทั้ง 3 พระภาค พระเจ้าพระบิดา พระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาหลอมกับวิญญาณของเรา เป็นหนึ่งเดียวกัน  เรียบร้อยไปแล้ว  สนิทยิ่งกว่าสนิทอีก คือแกะกันไม่ออกเลย เป็นหนึ่งเดียวกัน  ฉะนั้น เราไม่จำเป็นต้องพยายามทำอะไรก็ตาม เพื่อทำให้เราติดสนิทกับพระเจ้ามากขึ้น

ดังนั้น คำว่า “ติดสนิทกับพระเจ้า” เราทำได้อย่างเดียว คือเมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดปุ๊บ เราเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าปุ๊บ เราสนิทเลย คือเป็นขึ้นมาเลย โดยที่เป็นแล้วเป็นเลย มันจะไม่หายไปไหน มันจะทำให้มากขึ้น หรือน้อยลงไม่ได้ เราเป็นลูกพระเจ้าก็เป็นเลย  คือไม่ได้ว่าเราต้องพยายามทำอะไรบางอย่าง เพื่อทำให้เราเป็นลูกของพระเจ้าเพิ่มขึ้น ไม่ต้องนะ คือเป็นแล้ว

เรามาดู คำๆ หนึ่ง ในภาษากรีก ที่ใช้กันเยอะมากในพระคัมภีร์เดิม  ก็ใช้คำนี้บ่อยมาก คำนี้อ่านว่า “koinonia” (koy-nohn-ee’-ah อ่านว่า “คอยโนเนีย”)  ถ้าเป็นภาษาอังกฤษเขาใช้คำว่า “Fellowship” คือการรวมตัวกัน

ความหมายของภาษาไทย คำว่า Fellowship มาจากรากศัพท์คำนี้แหละ koinonia” (koy-nohn-ee’-ah) หมายความว่าการเข้าส่วนร่วม เข้ามาร่วมเป็นหนึ่งเดียวกัน มีความสัมพันธ์ลึกซึ้ง เป็นเนื้อเดียวกัน  เป็นครอบครัวเดียวกันทางวิญญาณ  ไม่เกี่ยวกับร่างกายอีกเหมือนเดิม

ทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา วิญญาณเราถูกนำไปบัพติศมาในพระเยซูคริสต์ และได้บังเกิดใหม่ ทันทีที่เราบัพติศมาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ปุ๊บ เท่ากับเราได้มีส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันในพระเยซูคริสต์ โดยที่เราไม่ต้องทำอะไรอีกแล้ว มันเป็นโดยอัตโนมัติ ในโลกวิญญาณ เฉพาะผู้เชื่อเท่านั้นนะ ถ้าเราไม่เชื่อ เราไม่สามารถมาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าได้เลย ไม่ว่าเราจะเข้ามาที่โบสถ์ เรามาร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า เรามาอ่านพระคัมภีร์ เรามาฟังเทศน์ แล้วเราก็บอกว่าเราเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า พระเจ้าบอกว่าไม่ใช่  จำพระคัมภีร์ที่พระเยซูบอกว่าเราไม่รู้จักเจ้าได้ไหม? เพราะว่าเจ้าไม่ได้อยู่ในครอบครัวของเรา คนที่เข้ามาอยู่ในครอบครัวของพระเจ้าได้ คือคนที่เปิดใจต้อนรับเอาสิ่งที่พระเยซูคริสต์ กระทำเพื่อเขาบนไม้กางเขน  แล้วก็รับเอา  เป็นผู้เชื่อ  เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าในวิญญาณ พอเป็นหนึ่งเดียวกันปุ๊บ ก็เป็นการสามัคคีธรรมกับพระเจ้า

คำว่า “สามัคคีธรรมกับพระเจ้า” ส่วนใหญ่เราก็จะเข้าใจอันเดิม พอพูดถึงการสามัคคีธรรมกัน เราก็จะนึกว่าเรามาโบสถ์ร่วมกัน เรามาทำกิจกรรมร่วมกัน เรามาฟังเทศน์ด้วยกัน  เรามาอธิษฐานด้วยกัน ร้องเพลงด้วยกัน อันนั้น เป็นการเข้ามาชุมนุมกัน ซึ่งไม่เกี่ยวกับคำนี้ที่พระเจ้าพูดถึง

คำนี้ที่พระเจ้าพูดถึง ก็คือในโลกวิญญาณ ทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ปุ๊บ เราได้สามัคคีธรรมกับพระเจ้าทันทีเลย ก็คือเราเข้ามาในโลกวิญญาณ  เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นประชากรของพระเจ้าร่วมกัน ผูกพันกัน สนิทสนมกัน  ตรงนี้เกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งหมด คือเราไม่ต้องพยายามทำอะไรก็ตาม เพื่อให้เราสนิทสนมกับพระเจ้ามากขึ้น ย้ำอีกครั้ง เราไม่ต้องทำอะไร เพื่อทำให้เราสนิทสนมกับพระเจ้ามากขึ้น ทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราได้เข้าขบวนการการบังเกิดใหม่ปุ๊บ เข้าไปในแผ่นดินของพระเจ้า เข้าไปในอาณาจักรของพระเจ้า  เข้าไปในครอบครัวของพระเจ้าปุ๊บ เราเป็นหนึ่งเดียวกันทันที เราได้สามัคคีธรรมกับพระเจ้าทันทีเลย

เรามาประชุมกันในคริสตจักรเพื่ออะไร? การมาประชุมกัน หมายถึงเมื่อวิญญาณเราได้เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว เราก็จะฝึกฝนในการอยู่ร่วมกัน เป็นหนึ่งเดียวกันกับพี่น้องในคริสตจักร ก็คือเราเป็นหนึ่งเดียวกันในโลกวิญญาณแล้ว จากนั้น เราก็มาฝึกฝนการอยู่ร่วมกันกับพี่น้องในคริสตจักร นึกภาพออกไหมค่ะ วิญญาณมาก่อน การประพฤติจะตามมา

ฉะนั้น การเข้ามาประชุม ซึ่งเป็นผลจากการเป็นหนึ่งเดียวกันทางวิญญาณ แล้วเราก็มาอยู่ร่วมกัน

นี่คือคำจำกัดความทั้งหมด ที่เมื่อก่อนเราถูกบล็อค หรือเราเข้าใจผิด  ให้เราเข้าใจใหม่  พอพูดถึงคำเหล่านี้ ให้เรารับรู้เลยว่ามันเป็นเรื่องของโลกวิญญาณ ฉะนั้น การที่เราได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า เราได้รับมาฟรีๆ โดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเพิ่มขึ้น  ทันทีที่เราเชื่อพระเจ้า ของประทานนานับประการของพระเจ้า ที่ได้ประทานให้กับพวกเราผู้เชื่อ คือให้เราเรียบร้อยไปแล้ว หนึ่งในนั้นที่พระเจ้าให้ คือการบังเกิดใหม่ เข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้า มาเป็นลูกของพระเจ้า  มาเป็นทายาทของพระเจ้า มาสามัคคีธรรมกับพระเจ้าเลย มาเป็นส่วนหนึ่งกับพระเจ้าเลย ตรงนี้ เราต้องรับรู้ และอย่าให้ใครหลอกว่าเราจำเป็นจะต้องพยายาม คือ …

“ให้เรามาติดสนิทกับพระเจ้ามากขึ้นพี่น้องเอ๋ย”

“ให้เรามาอธิษฐานเพิ่มขึ้น เพื่อเราจะได้ติดสนิทกับพระเจ้ามากขึ้น”

มันไม่ใช่นะ การติดสนิทกับพระเจ้าไม่มีการเพิ่มขึ้นอีกแล้ว เพราะว่าสนิทแล้ว สนิทเลย สนิทมาก เหมือนในพระธรรมยอห์นที่พระเยซูคริสต์ยกตัวอย่างเถาองุ่น ว่าท่านต้องเข้ามาอาศัยอยู่ในเรา และเราอยู่ในท่าน  เราจะได้เป็นหนึ่งเดียวกัน  เพื่อว่าเราจะได้เกิดผลตามที่พระเจ้าได้เตรียมไว้ สำหรับพวกเรา ไม่ใช่ผลผลิตที่เราเคยรับรู้มา …

“เกิดผลในงานรับใช้”

มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกันเลย แล้วแต่ว่าพระเจ้าจะใช้ใครอย่างไร?

พอเราเข้าใจเนื้อหาจริงๆ ของถ้อยคำตรงนี้  เราก็จะเข้าใจเรื่องของพิธีมหาสนิท ซึ่งพิธีมหาสนิทจริงๆ ในพระคัมภีร์ก็บอกว่าเราทำ เพื่อระลึกถึงสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ เพื่อเราบนไม้กางเขนเรียบร้อยไปแล้ว ก็คือที่พระเยซูคริสต์ได้หลั่งพระโลหิตเพื่อเรา ได้ชำระล้างความบาปของเรา เรากินขนมปัง เหมือนเราได้กินเนื้อของพระองค์ คือเรากับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน  เหมือนกับที่พระเยซูคริสต์บอกว่า …

“ถ้าเจ้าไม่กินเลือดและเนื้อของเรา เจ้าจะเป็นหนึ่งเดียวกันกับเราไม่ได้ ความหมายตรงนี้ ในโลกวิญญาณ คือถ้าเราไม่เข้ามาอาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ หรือเปลี่ยนจากความเชื่อเดิม คือพึ่งในการกระทำของตัวเอง เข้ามาในความเชื่อใหม่ คือพึ่งในการกระทำของพระเยซูคริสต์ท่านจะเป็นหนึ่งเดียวกันกับเราไม่ได้ ท่านจะมาสามัคคีธรรมกับเราไม่ได้ ท่านจะเป็นครอบครัวเดียวกันกับเราไม่ได้เลย

พอเราพูดถึงพิธีมหาสนิท เรานึกเลย เราสนิทกับพระเจ้าแล้ว เราเป็นหนึ่งเดียวกัน เราสามารถที่จะระลึกถึง ขอบคุณพระเจ้า แต่ไม่ได้หมายความว่าเราต้องทำพิธีนี้ มันศักดิ์สิทธิ์มากเลย ไม่ใช่ ความหมายก็คือเราระลึกถึงสิ่งที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว และ ณ บัดนี้  เราเป็นหนึ่งเดียวกัน สนิทยิ่งกว่าสนิทกับพระเจ้าซะอีก คือแยกจากกันไม่ได้ เรากับพระเจ้า 3 พระภาคอยู่กลมกลืนกัน เป็นหนึ่งเดียวกัน

แล้วพอพูดถึงคำว่า “บัพติศมา” ให้เรานึกถึงเรื่องของโลกวิญญาณ ฉะนั้น การบัพติศมาในน้ำ มันเป็นเพียงเงาที่พระคัมภีร์เขียนไว้ เพื่อให้เราเห็นภาพว่าในวันที่พระเยซูคริสต์เสด็จมา แล้วพระองค์ถูกตรึงบนไม้กางเขน  และเป็นขึ้นมาจากความตาย พระองค์ไม่ได้บัพติศมาเราด้วยน้ำอีกแล้ว เหมือนที่ยอห์นบอก เราให้บัพติศมาท่านด้วยน้ำ แต่ไม่ช้าไม่นานจะมีพระอีกผู้หนึ่ง บัพติศมาท่านด้วยไฟ เล็งถึงพระวิญญาณ ก็คือผู้เชื่อได้บัพติศมา เข้าไปในพระวิญญาณเรียบร้อยไปแล้ว

พอบอกว่าการบัพติศมาปุ๊บ คิดเลยว่าหมายถึงการรวมเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า เป็นครอบครัวเดียวกัน ผูกพันกัน สนิทสนมกัน มีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งต่อกัน

ความหมายเหล่านี้ ให้พี่น้องรับรู้ มันเป็นเรื่องของโลกวิญญาณ  ฉะนั้น ถ้าพี่น้องนำเอาสิ่งต่างๆ เหล่านี้เข้ามาเป็นการกระทำ เป็นการประพฤติ เพื่อทำให้เราสนิทกับพระเจ้ามากขึ้น มันก็ผิดไปแล้ว เราถูกหลอกในสิ่งที่พระเจ้าบอกว่าพระองค์ทำให้เราสำเร็จแล้ว  คือ …

(1) พระเจ้าให้เราเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว

(2) พระเจ้าสถิตอยู่ในเราเรียบร้อยไปแล้ว

(3) พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคเข้ามาอยู่ในเราเรียบร้อยไปแล้ว

(4) ร่างกายของเรา เป็นวิหารของพระเจ้า เป็นที่สถิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์เรียบร้อยไปแล้ว

สิ่งต่างๆ เหล่านี้ คือพระเจ้าทำเสร็จเรียบร้อยไปแล้ว ไม่ต้องให้เรามาทำอะไรเพิ่มเติมอีกเลย เพื่อให้เราเป็นลูกของพระเจ้า ไม่ต้องให้เราประพฤติ ปฏิบัติทำให้พระเจ้าพอพระทัย พระเจ้าพอพระทัยเราอยู่แล้ว  ถ้าไม่พอพระทัย พระเจ้าคงไม่ส่งพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระองค์มาตายที่ไม้กางเขน เพื่อเรา

ภาพพวกนี้ พี่น้องจำ แล้วก็ขมวดปม เป็นภาพที่เรารับรู้ว่านี่คือความจริง ที่พระเจ้าบอกเรา อย่าให้ใครหลอกเราว่าเราจำเป็นต้องทำโน่นทำนี่ เพื่อให้พระเจ้าพอพระทัย  ไม่ต้อง พระเจ้าพอพระทัยอยู่แล้ว  แต่หลังจากที่เราเชื่อและวางใจในพระเจ้าแล้ว หลังจากที่เรารับรู้ความจริงของถ้อยคำของพระเจ้า เราเชื่อแล้ว หลังจากนั้น ผลของการประพฤติมันจะออกมาเองตามธรรมชาติ ก็คือรับรู้ว่าตอนนี้ เราเป็นลูกกษัตริย์แล้วนะ ตอนนี้ พระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในเรา  ธรรมชาติใหม่ของเราเป็นอย่างไร? ธรรมชาติใหม่ของเรา เป็นความรักใช่ไหม? เราก็จะสำแดงความรักออกมา  ธรรมชาติใหม่ของเราไม่ใช่ความอิจฉาริษยา ไม่ใช่ อันนี้หลอกเรา

“ฉันไม่ยอมแก อย่ามาหลอกฉัน ฉันไม่ทำตามแกหรอก”

เรามีสิทธิ์ไง  พอเราเชื่อพระเจ้าปุ๊บ เรามีสิทธิ์ที่จะเลือกว่าเราจะทำตามพระวิญญาณหรือทำตามเนื้อหนัง ในทุกวันเลย ทุกเวลา ทุกวินาที  เราเลือกได้หมดเลย ถ้าเราทำอะไรก็ตาม ที่เป็นไปตามที่ถ้อยคำพระเจ้าบอก เราก็เดินตามวิญญาณ แต่ถ้าเมื่อไรที่เราทำอะไรที่โลกนี้ส่งมา ก็คือไปอิจฉาเขาเอย พูดจาไม่ดีเอย เราก็ทำตามเนื้อหนัง  มันมีแค่นี้เอง

แต่ไม่ว่าเราจะเผลอไปทำตามการล่อลวงของเนื้อหนัง  ให้พี่น้องรับรู้ตรงนี้ว่าเมื่อเราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เป็นแล้วเป็นเลย  ไม่มีการตกกระป๋องไปเป็นลูกมารอีก แค่ว่าถ้าเราอนุญาตให้เนื้อหนัง หรือสิ่งล่อลวงบนโลกใบนี้ ดึงเราไปแถทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่พระเจ้าบอก เราก็เจ็บตัว ตรงที่เราต้องรับผลไง หว่านอะไร เกี่ยวอันนั้น  แต่เฉพาะบนโลกนี้เท่านั้น พี่น้องรับรู้ความจริงตรงนี้  พยายามรับรู้ให้ได้ว่าพระเจ้าได้ให้อะไรกับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว  อย่าให้ใครมาหลอกเราว่า …

“ฉันยังไม่ได้เลย ฉันต้องขอ ฉันยังไม่ได้เลย ฉันต้องทำ เพื่อฉันจะได้”

โดนหลอก เท่ากับเรากำลังบอกว่าพระเจ้าโกหก

พระเจ้าบอก “ฉันทำให้เธอเสร็จแล้ว”

“ยังไม่เสร็จหรอก พระองค์เจ้าข้า ลูกต้องทำเพิ่ม”

เท่ากับเรากำลังทำให้ข่าวประเสริฐของพระเจ้า ลดน้อยถอยลง ชีวิตของเราจะไม่เป็นพร ก็คือไม่ได้สามารถที่จะประกาศข่าวประเสริฐที่ทำให้คนอื่นสามารถรับรู้ว่า …

“นี่คือข่าวดีจริงๆ นะ”

คนอื่นเขาดู … “ข่าวดีตรงไหน? พวกเธอเชื่อพระเจ้าแล้ว พวกเธอยังต้องงกๆ ทำอย่างนี้เลย  ทำโน่นทำนี่ๆ เพื่อให้พระเจ้าพอใจ”

อะไรอย่างนี้ มันก็เหมือนกับดิสเครดิตของพระเจ้าไป โดยที่เราไม่ได้ตั้งใจ หรือไม่รับรู้ความจริง ก็มีโอกาสที่จะทำให้เราแถไปได้   พระเจ้าอวยพรค่ะ

 

******************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

พระเจ้าตอบ … “อย่ากลัวเลย เพราะเราอยู่กับเจ้า อย่าท้อแท้ เพราะเราเป็นพระเจ้าของเจ้า เราจะทำให้เจ้าเข้มแข็งขึ้นและจะช่วยเจ้า เราจะชูเจ้าไว้ด้วยมือขวาอันชอบธรรมของเรา”

 

อิสยาห์ 41:10  … “จงพอใจในสิ่งที่ ลูกมีลูกเป็นอยู่ในขณะนี้ พ่อสัญญากับลูกว่า “พ่อจะไม่มีวันทอดทิ้งลูกเหมือนเด็กกำพร้าพ่อจะไม่มีวันละทิ้ง ลูกให้อยู่ตามลำพัง”

 

เมื่อได้ยินพ่อพูดดังนั้นแล้ว ลูกตอบอย่างมั่นใจว่า … “องค์พระผู้เป็นเจ้า พ่อของลูกทรงเป็นผู้ช่วยเหลือลูก ลูกจะไม่กลัว ความทุกข์ทรมานที่เกิดขึ้นจะทำอะไรฉันได้เล่า?”

 

ฮีบรู 13:5-6  … “สรรเสริญและขอบพระคุณพระบิดาผู้ทรงสถิตยในสวรรคสถาน พระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก พระเจ้าผู้ทรงยิ่งใหญ่สูงสุด พระเจ้าเที่ยงแท้ แต่เพียงพระองค์เดียวผู้ทรงประกอบกิจการงานใดใด ไม่มีใครขวางพระองค์ได้”

 

หนังสือโรม 5:1-5 …  “1 เหตุฉะนั้น เมื่อเราได้เป็นคนชอบธรรม (ได้บังเกิดใหม่ในพระคริสต์) โดยความเชื่อแล้ว ก็ให้เราชื่นชมยินดี มีสันติสุข (ที่ได้กลับคืนดีกัน) กับพระเจ้าผ่านทางพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา  2 โดยทางพระองค์ เราจึงได้เข้าในร่มพระคุณที่เรายืนอยู่โดยความเชื่อ ให้เราชื่นชมยินดีในความหวังใจ (ที่มีหลักฐานประกันที่มั่นคงแน่ใจ) ว่าเราได้มีส่วนในสง่าราศี (มีส่วนในพระสิริของพระเยซูคริสต์ มีส่วนในชีวิตนิรันดร์ของพระองค์) 3 และไม่ใช่เพียงเท่านี้ แต่ให้เราชื่นชมยินดีในความทุกข์ยากลำบากด้วย เพราะเรารู้ว่าความทุกข์ยาก (ความกดดัน ท้อแท้ ลำบาก เครียด)นั้นทำให้เกิดความอดทน และความอดทนทำให้เกิด ความทรหด  4 ความทรหดผ่านประสบการณ์ ความทุกข์ยากต่างๆ ทำให้เกิดอุปนิสัยที่เจริญเติบโต เป็นผู้ใหญ่ในฝ่ายวิญญาณ ที่ผ่านการทดสอบแล้ว ทำให้ความหวังใจในความรอดนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์ที่ได้รับแล้วนั้น มีหลักฐานที่มั่นคงชัดเจนแน่ใจ 5 และความหวังใจนี้ ไม่เคยทำให้เราผิดหวังเลย เพราะว่าเราได้รับความรักของพระเจ้าอย่างเหลือล้นท่วมท้นอยู่ในวิญญาณและจิตใจของเราแล้ว โดยผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งพระองค์ได้ประทานให้แก่เราแล้ว (ตั้งแต่เริ่มเชื่อและได้บังเกิดใหม่)”

 

พระเจ้าอวยพรครับ

 

 

วารสาร Holy News ฉบับที่ 1335

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  24  ตุลาคม  2021

 เรื่อง “ความเชื่อที่ปราศจากการกระทำ ก็ไร้ประโยชน์”

ตอน 1  “ความเชื่อเฉยๆ โดยปราศจากการกระทำ  ก็ไร้ประโยชน์

โดย นคร เวชสุภาพร

 

วันนี้เราจะมาเรียนรู้ความจริงจากถ้อยคำพระเจ้าในหนังสือยากอบ บทที่ 2 ซึ่งเป็นถ้อยคำที่ถ้าอ่านแบบเพลินๆ และใช้ความคิด ความเข้าใจแบบธรรมดาๆ คือความเข้าใจ ความคิดแบบทั่วๆ ไป ตามมาตรฐาน ระบบของโลกใบนี้ ซึ่งจะเชื่อกันอย่างนี้แหละ  เป็นระบบพื้นฐานของความรู้ในเรื่องของความประพฤติ การกระทำบนโลกใบนี้  ฟังดูแล้วเพลิน แต่เพลินไปได้ไม่เยอะหรอก เพราะผู้ที่รู้ความจริงในเรื่องข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์แล้ว ซึ่งหมายถึงเป็นผู้ที่เชื่อในข่าวประเสริฐ องค์พระเยซูคริสต์แล้ว พอฟัง ไม่เพลิน ก็เกิดความขัดแย้งกัน  ไม่ใช่ขัดแย้งธรรมดา ฟังดูแล้วขัดกันอย่างมากเลยกับแก่นแท้ของความจริงของข่าวประเสริฐ ที่ทำให้เราได้รับความรอดจากบาปในองค์พระเยซูคริสต์ มันไม่เพลินแล้วล่ะ ถ้าคิดตามหลักการของความจริงของข่าวประเสริฐของพระเจ้า ซึ่งมาถึงเรา เพื่อให้เราได้รับความรอดจากบาป ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ถ้าเราสนใจตรงนี้ วางรากฐานความเชื่อเราไว้ตรงนี้ เราจะอ่านไม่เพลินแล้วล่ะ

ยากอบ บทที่ 2 ที่เราจะเรียนกันในวันนี้  ก็เป็นอีกหนึ่งในหลายๆ แห่งในข้อพระคัมภีร์ ที่มีการตีความสอนต่อๆ กันมา แบบขัดแย้งกับความเป็นจริง ในข่าวประเสริฐของพระเจ้า คริสเตียนหลายคนก็สับสนกับถ้อยคำในบทนี้  ไม่ใช่สับสนธรรมดา ถ้าใครมีความคิดที่ผมบอกเมื่อสักครู่นี้  ไม่เพลินกับข้อนี้ ก็จะสับสนมาก ว่าอะไรมันถูกกันแน่ ทำไมมันแย้งกันอย่างนี้

มาติน ลูเธอร์ บิดาแห่งคริสเตียน  ที่เป็นต้นกำเนิดของความรอด  ด้วยความเชื่อ ไม่ใช่ด้วยการกระทำ บิดาแห่งโปรเตสแตนต์ ยังเคยกล่าวด้วยความสงสัย ในยากอบ บทที่ 2 นี้ว่าจริงๆ แล้ว  ไม่ควรจะเป็นส่วนหนึ่งของพระคัมภีร์ นี่ประมาณ 500 กว่าปีก่อน มาติน ลูเธอร์ ผู้ซึ่งศึกษาถ้อยคำพระเจ้า และเรียนรู้ถ้อยคำพระเจ้าจนรู้แก่นแท้ของถ้อยคำพระเจ้าว่าความรอด มาจากความเชื่อ  ไม่ใช่การกระทำ ได้พูดอย่างนี้  ได้มีความคิดอย่างนี้ว่าไม่น่าจะเอายากอบ บทที่ 2 เข้ามาอยู่ในหนังสือพระคัมภีร์ของคริสเตียนที่ถือกันอยู่เลย ไม่น่าจะเอามาสอนเลย  เพราะว่าถ้อยคำตรงนี้  ถ้าอ่านด้วยความไม่เข้าใจ และไม่หนักแน่นมั่นคง ในพื้นฐานความจริงของข่าวประเสริฐเพียงพอ ก็ทำให้เกิดความสับสน เกิดความสงสัย เกิดความไม่เพลินกับถ้อยคำนี้  มันขัดแย้งอยู่ตลอดเวลา นี่ขนาดมาติน ลูเธอร์ยังตัดสินใจอย่างนี้  ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ถูกนะ  เพราะว่ามาติน ลูเธอร์ไม่เข้าใจว่ายากอบบทนี้มันหมายถึงอะไร? แต่มันขัดแย้งกับถ้อยคำพระเจ้า  โดยส่วนรวมทั้งเล่มของข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ในพระคัมภีร์ใหม่  ก็มีความรู้สึกว่ามันขัดแย้งกัน  ไม่น่าจะใช่แล้วล่ะ

เพราะฉะนั้น ถึงแม้จะอธิบายไม่ได้ ไม่รู้ว่าทำไมมันถึงขัดแย้ง  แต่ตีความไว้ในใจว่ามันผิดแล้ว มันไม่ใช่ เพราะฉะนั้น ไม่พูดถึงมันเลยดีกว่า อะไรประมาณนี้ ผมว่าการตัดสินใจอย่างนั้นยังเป็นประโยชน์ เป็นโทษน้อยกว่าไม่รู้แล้วไปตีความผิด แล้วสอนต่อมาผิดๆ มันก็แย้งกันตลอด เข้าใจใช่ไหมว่าที่ผมอธิบายหมายถึงอะไร?

เนื้อหา หลักของยากอบ บทที่ 2 ที่ผมบอกว่าทำให้คริสเตียนหลายคนสับสน ก็คือถ้อยคำที่เป็นเนื้อหาสำคัญของยากอบ บทที่ 2 นี่แหละ ถ้อยคำที่บอกว่า … “ความเชื่อที่ปราศจากการกระทำ ก็ไร้ประโยชน์”  ซึ่งผมใช้เป็นชื่อเรื่องของการบรรยายในวันนี้แหละ คือ “ความเชื่อที่ปราศจากการกระทำ ก็ไร้ประโยชน์” และคงใช้หัวข้อนี้ไปอีกหลายตอน เพราะอยากให้ท่านมาศึกษาร่วมกัน ให้ลึกซึ้งจริงๆ จังๆ ว่ามันขัดแย้งกัน หรือว่ามันหมายความว่าอะไร?  ความเชื่อที่ปราศจากการกระทำ ก็ไร้ประโยชน์ มาลองเริ่มอ่านถ้อยคำตรงนี้ดู จากยากอบ 2:14 ดูสิว่าจะทำให้ท่านเพลินอีกไหม?  หรือทำให้ท่านสะดุ้งขึ้นมาว่ามันมีอะไรบางอย่างแล้วล่ะ ที่ไม่ตรงกับพื้นฐานของความเชื่อ ที่เราวางอยู่ในความรอด ในพระเยซูคริสต์ ยากอบ 2:14 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

ยากอบ 2:14 “พี่น้องทั้งหลาย  ถ้าคนหนึ่งอ้างว่ามีความเชื่อ  แต่ไม่สำแดงเป็นการกระทำ จะมีประโยชน์อะไร  ความเชื่อแบบนี้จะช่วยเขาให้รอดได้หรือ?”

 

“ความเชื่อแบบนี้จะช่วยให้เขารอดได้หรือ?” ก็คือความเชื่อแบบนี้ ไม่ได้รับความรอด  ความเชื่อแบบไม่สำแดง การกระทำ ไม่มีการกระทำ  ตั้งแต่วันแรกที่มาเชื่อพระเจ้า จนเจริญเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในฝ่ายวิญญาณ เราได้เรียนรู้กัน ไปตั้งแต่ตอนต้น และตลอดเวลาแล้วว่าความรอดที่ได้รับ เริ่มต้นด้วยความเชื่อและดำเนินด้วยความเชื่อต่อไป ความรอดที่ได้รับมานั้น มาโดยความเชื่อในพระคุณ เป็นพระคุณจากพระเจ้า  เป็นของขวัญจากพระเจ้า  ของขวัญ คือฟรีๆ เราไม่ต้องทำอะไรเลย เป็นสิ่งที่เราได้รับมาจากพระเจ้าโดยตรง ไม่ต้องเสียอะไรเลยสักนิดหนึ่ง ผ่านทางความเชื่อ ในความดีของพระเยซูคริสต์ที่ได้กระทำให้กับเราทั้งหลาย  โดยที่ไม่ต้องมีการกระทำอะไรใดๆ เลยแม้แต่นิดหนึ่ง  ในการทดแทนสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำให้เรา ที่พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น เรียกว่าความรอด ในพระเยซูคริสต์ ซึ่งมีมาถึงมนุษย์ทั้งปวงบนโลกใบนี้เลย มนุษย์ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะใช้สิทธินี้  ในการรับของขวัญนี้จากพระเจ้า โดยไม่ต้องจ่ายค่าอะไรตอบแทนเลย คือไม่ต้องทำอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว

นี่คือหัวใจของข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ที่ได้ให้กับมนุษย์ทั้งปวง เราลองมาอ่านดู เพื่อจะยืนยันในพื้นฐานที่เราเชื่อในพระเยซูคริสต์ว่าเราเชื่อว่าอะไร? เชื่อข่าวดีของพระเยซูคริสต์อย่างนี้ใช่หรือไม่? โรม 3:24-28 ซึ่งเป็นบทรวมที่เห็นชัดมาก ว่ากันตามจริงแล้วหนังสือพระคัมภีร์ใหม่ ในหนังสือจดหมายฝาก ที่พูดถึงเรื่องความรอดในพระเยซูคริสต์นี้ ข่าวประเสริฐนี้ เหมือนกันหมดทั้งเล่ม ทุกเล่ม ทุกหนังสือจดหมายฝาก แบบนี้แหละ แต่ว่าวันนี้ยกขึ้นมาเพียงเล่มเดียว  ช่วงเดียวเท่านั้นเอง คือโรม 3:24-28 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

โรม 3:24-28 “24 และโดยพระคุณของพระเจ้า พระองค์ทรงนับว่าพวกเขาเป็นผู้ชอบธรรมโดยไม่คิดมูลค่า ด้วยการที่พระเยซูคริสต์ทรงไถ่พวกเขา 25 พระเจ้าทรงให้พระเยซูเป็นเครื่องบูชาลบบาปแก่ผู้ที่มีความเชื่อ ในพระโลหิตของพระเยซู พระเจ้าทรงกระทำเช่นนี้ เพื่อสำแดงความยุติธรรมของพระองค์ เพราะโดยความอดกลั้นพระทัย พระองค์จึงไม่ได้ทรงลงโทษบาป ที่ทำไปก่อนหน้านั้น 26 พระองค์ทรงกระทำเช่นนี้ เพื่อสำแดงความยุติธรรมของพระองค์ในกาลปัจจุบัน  เพื่อว่าพระองค์จะทรงเป็นผู้เที่ยงธรรม และเป็นผู้ที่ให้บรรดาคนที่มีความเชื่อในพระเยซู ถูกนับเป็นผู้ชอบธรรมด้วย 27 เช่นนี้แล้ว เรามีอะไรที่จะอวดได้? ไม่มีเลย จะอ้างอะไรเป็นหลัก? อ้างว่าโดยการรักษาบทบัญญัติหรือ? ไม่เลย แต่โดยการอ้างความเชื่อเป็นหลักต่างหาก 28 เพราะเรายืนยันว่ามนุษย์นับว่าเป็นคนชอบธรรมได้ ก็โดยความเชื่อ ไม่ใช่โดยการรักษาบทบัญญัติ”

 

เพราะเรายืนยันว่ามนุษย์ได้รับความรอดจากบาป ได้รับความรอดจากความพินาศ ในบึงไฟนรก ได้รับความรอดจากการลงโทษ เนื่องจากเป็นคนบาป  โดยผ่านทางความเชื่อ ในสิ่งที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงกระทำให้เท่านั้น คือเชื่อในพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ที่หลั่งที่ไม้กางเขน  เชื่อในการถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และเชื่อการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์ในวันที่ 3 ความเชื่อตรงนี้ ทำให้คนนั้นได้รับความรอดจากบาป ไม่ใช่การกระทำ ไม่ใช่การประพฤติดีต่างๆ ไม่ใช่ นี่คือพื้นฐานของข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ใช่หรือไม่? ต้องถาม ใช่ ใช่ไหม?

เราเรียนรู้กันมาตลอด จนหยั่งรากลึกฝังในเรียบร้อยแล้ว ในความจริงในข้อนี้ว่ามาตรฐานของพระเจ้าในการได้ชื่อว่าเป็นผู้ชอบธรรม หมายถึงเป็นลูกของพระเจ้า อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า เป็นผู้สะอาด บริสุทธิ์ขนาดไหน? 100% เท่าพระเยซูคริสต์เลย สมบูรณ์พร้อม 100% เลย ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ที่มนุษย์จะทำให้ตัวเองสมบูรณ์แบบ สะอาด บริสุทธิ์อย่างนั้น โดยความประพฤติ รักษาความดีอย่างนั้น เป็นไปได้ไหม? มันไม่ได้ ข่าวดี ก็คือต้องพึ่งในพระเยซูคริสต์ เป็นผู้กระทำให้เรา  ความหมายมันมีอยู่แค่นี้เอง เราฝังรากลึกตรงนี้มาเยอะแล้ว มากแล้ว พูดซ้ำไปซ้ำมา ในข่าวประเสริฐตรงนี้  เหมือนกับเปาโลพูด เหมือนกับเปโตรพูด เหมือนกับยอห์นพูด ซ้ำไปซ้ำมา ซ้ำแต่เรื่องข่าวประเสริฐของพระเจ้า ข่าวดีของพระเยซูคริสต์คืออะไร? คือพระคุณของพระองค์ที่ทำให้กับเรามนุษยชาติฟรีๆ โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์ ที่ตายที่ไม้กางเขน  หลั่งพระโลหิตของพระองค์ และเป็นขึ้นมาใหม่ ในวันที่สามนั่นเอง

แต่พอมาเมื่อสักครู่นี้ เรามาอ่านพระคัมภีร์ในยากอบ 2:14 สะดุ้งเลยนะ ไม่เพลินแล้ว อ่านเพลินๆ ก็โอเค พออ่านอย่างนี้ สะดุ้งเลย …

“ถ้าคนหนึ่งอ้างว่ามีความเชื่อ แต่ไม่สำแดงเป็นการกระทำ จะมีประโยชน์อะไร? ความเชื่อแบบนี้จะช่วยให้เขารอดได้หรือ?”

อ้าว! แย้งกันนี่ ขวางกันชัดๆ เลย  ถามตัวเองดูสิว่าเริ่มรู้สึกไขว้เขวไหม? ถ้าเราอ่านจริงๆ ไม่อ่านเพลินๆ แล้วนะ  อ่านแบบเอาเรื่องเอาราว ชักไขว้เขวใช่ไหม?  ชัก เอ๊ะ! แล้วอะไรมันถูกกันแน่

ท่านคิดว่ามันหมายความว่าอย่างไร?  ท่านลองนึกด้วยตัวเองตอนนี้ก่อน ผมยังไม่ให้คำตอบท่าน ท่านลองคิดว่าท่านเข้าใจยากอบ บทที่ 2 นี้อย่างไร? ว่ามันขัดแย้งกันหรือไม่ขัดแย้งกันอย่างไร? สาระสำคัญของข่าวประเสริฐที่ได้เรียนรู้มากับตรงนี้ มันแย้งกันหรือเปล่า? แย้งกันอย่างไร?  คิดในใจก่อน เดี๋ยวค่อยบอกว่ามันแย้งกับโรมที่ตะกี้เราอ่านไหม? แล้วใครผิด ใครถูก โรมพูดอย่างหนึ่ง ยา กอบ 2 :14 พูดอีกอย่าง  ทำไมแย้งกันเอง

จริงๆ  แล้วถ้าเรามีพื้นฐานความจริงที่มั่นคง แข็งแกร่งในเรื่องข่าวประเสริฐ ในความคิดของเราอย่างหนักแน่นว่าเราได้รับความรอด ผ่านทางความเชื่อเท่านั้น ทำด้วยตัวเองไม่ได้แน่นอน ไม่เกี่ยวอะไรกับความประพฤติของเราเลยแม้แต่นิดเดียว  เพราะเราทำเองไม่ได้อยู่แล้ว เราต้องพึ่งพระเยซูแน่นอน เพราะฉะนั้น เมื่อไรก็ตามที่เราได้ฟังคำสอนอะไรก็ตามที่มาถึงเรา แล้วตีความขัดแย้งกับสิ่งที่เราวางรากฐานของความเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว  เราก็ต้องตัดสินใจไว้ก่อนเลยว่ามันผิดแน่นอน

อะไรผิด? ถ้อยคำพระเจ้าผิดหรือ? ถ้อยคำพระเจ้าไม่ผิดหรอก  ต้องมีใครผิดสักคน ท่านคิดว่าควรจะยกความผิดนี้ไปให้ใคร? ให้ถ้อยคำพระเจ้า หรือเราเข้าใจผิดเอง?  หรือเราถูกสอนมาผิด หรือเราผิดเองที่ไปตีความหมายผิด  ท่านคิดในใจแล้วกัน

เราต้องคิดแล้วว่ามันมีอะไรบางอย่างที่ผิด แล้วเราควรจะตัดสินใจว่าเราผิดแน่นอน ถ้อยคำพระเจ้าไม่ผิดหรอก เรายังไม่เข้าใจ มันต้องมีอะไรบางอย่าง แอบแฝงไว้แน่นอน  ที่ถูกเป็นอย่างไร? เราอาจยังไม่รู้ แต่เราละไว้ก่อนว่า อันนี้เก็บไว้ก่อน อย่าไปตีความเลยดีกว่า ถ้าตีความ มันแย้งเมื่อไร ก็คือเราผิด  เพราะฉะนั้น ถ้าเราไม่อยากผิด  เราก็เว้นไว้ก่อน ไม่ต้องไปตีความ ไม่ต้องไปเข้าใจมัน ใส่เกียร์ว่างไว้  แล้วค่อยๆ อธิษฐานกับพระเจ้า  ค่อยๆ สืบเสาะหา ความหมายที่แท้จริง  เพื่อจะได้รับความจริง และความจริงจะได้ทำให้เราเป็นอิสระ เหมือนกับถ้อยคำพระเจ้าอื่นๆ ที่เราได้เรียนรู้ถูกต้อง ทั้งเล่มของพระคัมภีร์ใหม่  และพระคัมภีร์เดิม มันจะได้สอดคล้องกัน ตามถ้อยคำของพระเจ้า  นี่คือสิ่งที่เราควรทำ ถูกไหมครับ?

พระคัมภีร์ทั้งเล่ม คือถ้อยคำที่ได้รับการดลใจจากพระเจ้า ให้เขียนขึ้นมา เป็นสติปัญญาที่ได้มาจากพระเจ้าผู้เดียว พระเจ้าเที่ยงแท้แต่เพียงผู้เดียว  องค์เดียวกันทั้งเล่ม  พระคัมภีร์ใหม่ พระคัมภีร์เก่า  ตั้งแต่ปฐมกาลถึงวิวรณ์สุดท้าย  เพราะฉะนั้น ต้องไม่มีการขัดแย้งกันในพระคัมภีร์ทั้งเล่มเด็ดขาด เพราะว่าเป็นพระเจ้าองค์เดียวกัน  ขัดแย้งกันเมื่อไร?  แปลว่าใครผิด? มนุษย์ผิด คือมนุษย์ไปตีความผิด  จะด้วยเหตุผลอะไรไม่รู้ล่ะ

ต้องสรุปอย่างนี้ก่อน จึงจะได้เห็นชัดเจนว่าทิศทางที่เราควรจะไป มันคือทิศทางไหน? เพราะฉะนั้น มีพี่น้องของเราบางคน ก็มีความสงสัยในข้อนี้ แล้วมาถามว่าถ้อยคำตรงนี้ หมายความว่าอย่างไร? ในยากอบนี้ ซึ่งผมก็ดีใจมากเลยนะ ที่ได้ยินเขามาถามอย่างนี้  เพราะอยากรู้ อยากสนใจ เขาไม่อ่านเพลินๆ อย่างแต่ก่อนนี้แล้ว เขาอ่านอย่างเจาะลึก และพยายามที่จะเข้าใจ ให้ถูกต้อง  เพราะอะไรถึงดีใจที่เขาถามอย่างนี้ ก็เพราะแปลว่าพวกเราเริ่มมีพื้นฐานของความเชื่อ ที่แข็งแกร่ง แข็งแรงขึ้นแล้ว  พออ่านเจออะไรที่ขัดแย้งกับความเชื่อที่ถูกต้อง ในหลักข้อพระคัมภีร์  ที่เราทิ้งสมอ วางรากไว้แล้ว คือความรอด โดยพระคุณของพระเจ้า  ชัดเจนเลย  พอมีอะไรขัดแย้งกับตรงนี้ ก็เกิดความสงสัย เกิดคำถามขึ้นมา  ไม่ยอมรับอะไรง่ายๆ ที่มันตรงกันข้ามกับแก่นแท้ของข่าวประเสริฐ ที่ได้รับมาเรียบร้อยแล้ว  อย่างนี้ต้องบอกว่าเอเมน ขอบคุณพระเจ้า  แสดงว่าเจริญเติบโตแล้ว เพราะฉะนั้น ใครที่อยากจะเจริญเติบโต ก็คือเมื่อใดก็ตาม ที่ท่านได้ยิน ได้ฟังข่าวสาร  เกี่ยวกับเรื่องพระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอด  พูดง่ายๆ ว่าได้ยินถ้อยคำ ที่อ้างบอกว่ามาจากพระคัมภีร์ แล้วข้อมูลเหล่านั้น ข่าวสารเหล่านั้น แย้งกับถ้อยคำของพระเจ้า ในเรื่องเกี่ยวกับความรอดที่มาโดยพระคุณ เมื่อไรก็ตาม ให้ท่านตั้งข้อสังเกตไว้เลยว่านั่นคือสิ่งที่ไม่ใช่ ไม่ถูกต้อง  ต้องมีอะไรบางอย่างผิดแน่นอน  ไม่รับ ตรงนี้สำคัญมาก

เพราะฉะนั้น สรุปถ้อยคำพระเจ้าในหนังสือยากอบ บทที่ 2 ที่บอกว่า … “ถ้าคนหนึ่งอ้างว่ามีความเชื่อ แต่ไม่สำแดงเป็นการกระทำ จะมีประโยชน์อะไร ความเชื่อแบบนี้ จะช่วยให้เขารอดได้หรือ?” อ่านแล้ว ขัดแย้งกับข่าวประเสริฐไหม? ลองมาอ่านต่อนะว่ายากอบพูดอะไรต่อ  เพื่อจะเจาะหาความลึกซึ้งของถ้อยคำตรงนี้ว่าจริงๆ แล้วมันหมายถึงอะไร?  เราต้องเรียนรู้ในบริบทของถ้อยคำ ไม่ใช่เอาข้อเดียวมา แล้วมาตีความตามที่เราคิด  อย่าลืมว่าเราศึกษาพระคัมภีร์ เราอ่าน คือจดหมายฉบับหนึ่ง เรื่องๆ หนึ่งที่มีบุคคลผู้หนึ่ง ชื่อยากอบ เขียนไปถึงชาวยิว แล้วพี่น้องที่ไม่เชื่อก็ได้อ่านด้วย เรากำลังเข้าไปอ่านหนังสือของเขา

เพราะฉะนั้น เราเอาข้อความข้อเดียวมาตีความตามที่ความคิดของเราปัจจุบัน เราอาจจะตีความผิดเยอะแยะมากมายก็ได้ เราควรจะไปดูต้นตอเลย ผู้เขียน เขาเขียนถึงใคร?  และเขาหมายถึงอะไร?  และกำลังจะคุยถึงเรื่องอะไร? ตรงนี้จะทำให้เราไม่หลุดจากความจริง  และความจริงตรงนี้ จะทำให้เราเห็นว่ามันตรงกันหมดเลยกับอัครสาวกทุกคน  ที่ได้เขียนข่าวประเสริฐของพระเจ้า ในหนังสือจดหมายฝาก พระคัมภีร์ใหม่ทั้งเล่ม  ตรงกันหมด แล้วโยงไปจนถึงในพระคัมภีร์เดิม ก็ตรงกันหมดอีกต่างหาก ยากอบ 2:14-19  จะได้มองเห็นภาพรวมๆ ได้ …

ยากอบ 2:14-19  “14 พี่น้องทั้งหลาย ถ้าคนหนึ่งอ้างว่ามีความเชื่อ แต่ไม่สำแดงเป็นการกระทำ จะมีประโยชน์อะไร ความเชื่อแบบนี้ จะช่วยเขาให้รอดได้หรือ 15 สมมุติว่าพี่น้องชายหญิงคนใดขาดแคลนเสื้อผ้าและอาหารประจำวัน 16 ถ้าผู้ใดในพวกท่านพูดกับเขาว่า “ไปเถิด ขอให้ท่านเป็นสุข รักษาตัวให้อบอุ่นและอิ่มหนำเถิด”  แต่ไม่เอื้อเฟื้อปัจจัยเลี้ยงชีพแก่เขา จะมีประโยชน์อันใด? 17 เช่นกัน ความเชื่อเพียงอย่างเดียว โดยไม่มีการกระทำ ก็เป็นความเชื่อที่ไร้ประโยชน์  18 แต่บางคนจะกล่าวว่าท่านมีความเชื่อ ส่วนข้าพเจ้ามีการกระทำ จงแสดงความเชื่อของท่าน ที่ไม่มีการกระทำมา แล้วข้าพเจ้า จะแสดงความเชื่อของข้าพเจ้า ด้วยสิ่งที่ข้าพเจ้ากระทำ 19 ท่านเชื่อว่ามีพระเจ้าองค์เดียวก็ดีแล้ว แม้พวกผีมารก็ยังเชื่อเช่นนั้น และกลัวจนตัวสั่น”

 

ในข้อ 14 ที่ตะกี้นี้เราอ่านกันบอกว่าความเชื่อต้องมีการสำแดงออกมา เป็นการกระทำด้วย  จึงจะมีประโยชน์

ข้อ 15-16 อธิบายเป็นตัวอย่างว่า … “ถ้ามีพี่น้องคนใดคนหนึ่ง ขาดแคลนเสื้อผ้าและอาหาร แล้วมาขอความช่วยเหลือจากท่าน แล้วท่านก็พูดกับเขาว่า ‘ดูแลตัวเองให้ดีๆ นะ รักษาตัวเองให้อบอุ่น ทานข้าวให้อิ่มๆ นะ’ โดยไม่ได้ให้ความช่วยเหลืออะไร? คือโดยที่ไม่ได้ทำอะไรที่เป็นการช่วยเหลือเขาเลยตามที่พูด ลักษณะอย่างนี้เรียกว่าความเชื่อ ที่ไม่มีการกระทำ คือเชื่อว่าพี่น้องขาดแคลน ตามที่เขาบอก เขาบอกว่าเขาขาดแคลน แล้วเราเชื่อไหม? เราเชื่อ เชื่อว่าเขาขาดแคลน  เชื่อว่าพี่น้องต้องการความช่วยเหลือ เชื่อไหม? เชื่อ  แต่เชื่อด้วยปาก  แค่พูดด้วยวาจา ไม่มีการกระทำ ช่วยเหลืออะไรเลย ตามที่พูด แบบนี้ไม่เกิดประโยชน์อันใดเลย  มันไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องของความรอดเลย  มันเกี่ยวกับเรื่องของความเชื่อด้วยปาก แต่ไม่มีการกระทำ

ตรงนี้ยากอบไม่ได้กำลังมาสอนศีลธรรม ให้คนมีเมตตา กรุณาช่วยเหลือคนจน เราอย่าเข้าใจผิดตรงนี้ ตรงนี้ยากอบกำลังยกตัวอย่าง เพื่อให้เราเห็นถึงความเชื่อด้วยปากเฉยๆ แต่ไม่ได้ทำตามที่พูดนั้น   พูดง่ายๆ ว่าดีแต่ปาก   กำลังอธิบายตรงนี้มากกว่าใช่หรือไม่?  เพราะเราอ่านเพลินๆ เราก็นึกว่ายากอบกำลังสอนเราให้เมตตา กรุณา เจอคนจนมา เราต้องช่วยคนจน ในฐานะเป็นคริสเตียน แหม ฟังอย่างนี้มันเพลิน มันง่ายดี แต่มันไม่ใช่บริบท ถ้าเราไปทำอย่างนั้น  เดี๋ยวเราก็จะถูกล่อลวงให้หลงไป เข้าใจบริบทและถ้อยคำเหล่านี้ผิด  พอผิด มันก็จะขัดแย้งกับข่าวประเสริฐของพระเจ้าจริงๆ นั่นเอง

ถ้ามีคนจนอยู่ในความทุกข์ยากลำบาก มาเล่าเรื่องความทุกข์ยากลำบากของเขา ให้ท่านฟัง เพื่อขอความช่วยเหลือ  และท่านก็เชื่อในสิ่งที่เขาเล่าว่าเขาลำบากจริงๆ และบอกเขาว่าจะช่วยนะ แต่ไม่ได้ทำอะไรสักอย่างหนึ่ง อย่างนี้เขาเรียกว่าเชื่อเฉยๆ (อันนี้ผมตั้งขึ้นมาเองนะ) ไม่มีการตัดสินใจ ไม่มีการกระทำอะไรตามที่เชื่อนั้น  ไม่อยากจะบอกว่าดีแต่ปาก มันแรงไปนะ เอาเป็นว่าเชื่อเฉยๆ  แต่ไม่ทำ

ความเชื่ออย่างนี้  คือสิ่งที่ข้อ 17 บอกไว้ชัดเจน บอกว่า … “เช่นกัน ความเชื่อเพียงอย่างเดียว โดยไม่มีการกระทำ ก็เป็นความเชื่อที่ไร้ประโยชน์ ไม่เกิดผลอะไรเลยสักนิดเดียว ดีแต่ปาก” อันนี้แถมให้ ใช่หรือไม่?  ปัจจุบันเราก็ยังทำอย่างนี้กันอยู่ ปัจจุบันเราก็ยังพูดอย่างนี้กันอยู่เลย

“โอ๊ย! เธอดีแต่ปาก”

“น่าสงสาร”

ทำอะไรไหม? ไม่ทำอะไรสักอย่าง ดีแต่ปาก

ถ้าท่านเชื่อจริงๆ ว่าเขาทุกข์ยากลำบาก  และขอความช่วยเหลือท่าน  ท่านรู้ว่าเขากำลังเดือดร้อน  กำลังจำเป็นต้องมีอะไรบางอย่าง ท่านก็ต้องรีบขวนขวายแล้ว  ถ้าท่านเชื่อเขาจริง  นั่นแหละ ของจริง คือเชื่อและมีการกระทำอะไรบางอย่าง เพื่อลดความทุกข์ยากลำบากของเขา ตามที่เขาขอร้อง และท่านเชื่อด้วย  ถูกไหม? อย่างนี้เขาเรียกว่าเชื่อจริงๆ  คือมีการกระทำ  ตามที่เชื่อ  ไม่ใช่เชื่อเฉยๆ

ข้อ 19 บอกว่า … “ท่านเชื่อว่ามีพระเจ้าองค์เดียวก็ดีแล้ว” ฟังให้ดีๆ นะ อันนี้ก็มันมากเหมือนกัน  “แม้พวกผีมาร ก็ยังเชื่อเช่นนั้น และกลัวจนตัวสั่น”

พวกมารซาตาน พวกผี วิญญาณชั่ว รู้จักพระเจ้าดี ดีกว่าเราอีก  เห็นพระเจ้าเลย  เพราะอยู่ในโลกวิญญาณเช่นเดียวกัน  เรายังมองไม่เห็น เรายังเห็นพระเจ้าแบบลางๆ  เห็นวิญญาณชั่วก็ลางๆ ได้แต่ใช้ความเชื่อ ตามที่พระเจ้าบอกเรา  จริงหรือไม่?  บอกว่าในโลกวิญญาณ มีวิญญาณชั่วอยู่ มีมารซาตานอยู่  เราเห็นหรือ? เราไม่เห็น แต่เราใช้ความเชื่อจากถ้อยคำพระเจ้า ที่บอกเรา พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่  พระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า อะไรต่างๆ เหล่านี้ มีทูตสวรรค์เป็นพวกเราอยู่ 2 ใน 3 เราเห็นไหม? เราไม่เห็น  เราก็ใช้ความเชื่อจากถ้อยคำของพระเจ้าเหล่านี้เช่นเดียวกัน ส่วนมารนั้น อยู่ในโลกวิญญาณ เห็นพระเจ้าอยู่ รู้จักพระเจ้ามากกว่าเราตั้งเยอะ รู้เรื่องราวข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์เป็นอย่างดี  รู้ว่าพระเยซูคริสต์เป็นใคร?  รู้ว่าพระองค์ทรงยิ่งใหญ่ขนาดไหน?  รู้ว่าพระองค์เป็นอัลฟาและโอเมก้ารู้ไหม? รู้มากกว่าเราไหม? เรารู้ว่าพระองค์เป็นเริ่มต้นและเบื้องปลาย ตามที่พระคัมภีร์บอกเรา  เราได้รู้ตามถ้อยคำพระเจ้า  แล้วเราเชื่อเอา แต่วิญญาณชั่ว พวกมารซาตานมันรู้จริงๆ มันเห็นจริงๆ เลย พระเยซูคือใคร? มันรู้ รู้แล้วทำไม? มารมันก็เชื่อ  มันเห็น แต่มันเชื่อเฉยๆ  แต่พวกมันไม่มีการตอบสนองต่อความเชื่อนั้นเลยว่าพระองค์ยิ่งใหญ่ขนาดไหน?  และควรจะสยบต่อความยิ่งใหญ่ของพระองค์ขนาดไหน? สิ่งที่มันกระทำออกมา ตรงกันข้ามกับความเชื่อนั้นใช่หรือไม่? ชัดไหม? ชัด มันรู้ว่าพระองค์เป็นพระเจ้าองค์เดียว ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย  สร้างมันเองด้วย มันเชื่อ แต่มันไม่ทำ  ถ้าเชื่อจริง มันต้องยอมสยบแล้ว  เป็นผู้สร้างเรา นี่คือสิ่งที่ยากอบพยายามจะอธิบายให้พี่น้องเข้าใจว่าความเชื่อเฉยๆ เป็นอย่างไร?

ผมจะยกตัวอย่างเอาปัจจุบันง่ายๆ เลย ท่านไปซุปเปอร์มาเก็ต เดินเข้าไปถึง มีพนักงานขายแยม แยมสูตรใหม่ รุ่นใหม่  กินแล้วมีสุขภาพดีอย่างนั้น เป็นออร์แกนนิค เป็นอินทรีย์ ไม่มีผสมสารเคมีใดๆ  กินแล้วมีประโยชน์ ราคาไม่แพงด้วย ท่านเดินไปถึง เขาอธิบาย ก็ไปยืนฟังเขา  ท่านเริ่มเชื่อ เขาก็ให้ท่านชิม ท่านชิมปุ๊บ อร่อยจริง ดีจริงๆ ท่านเชื่อ เขาก็บอกท่านว่าดีไหม? ท่านก็บอกว่าดี ปากท่านบอกว่าดี ก็คือเชื่อ ตามสรรพคุณเขาแล้ว  ดี เสร็จปุ๊บ เรียบร้อย ท่านชิม แล้วก็เดินไป ไม่ซื้อหรอก เดินไปที่อีกชั้นวางของหนึ่ง  ไปซื้อแยมยี่ห้อเก่าที่ท่านกินเป็นประจำนั่นแหละ ที่ใส่สารกันบูด สารอะไรเยอะแยะ เป็นพิษ ตามที่เขาพูดเมื่อตะกี้นี้ เขาบอกของเก่าที่เรากินนั้น มันเป็นภัยต่อสุขภาพของเรา  ไม่ควรกินต่อไป มากินของใหม่ดีกว่า เราบอกดี ใช่ ถูก เห็นด้วย แต่เราไม่ซื้อ เราไม่เอา  เราก็กลับไปกินของเดิม  แสดงว่าที่เราบอกดี เชื่อเขา มันเป็นการเชื่อแบบเฉยๆ ไม่ทำ

ขอยกตัวอย่างอีกอันหนึ่ง เคยเห็นนักแสดงยิมนาสติก ที่เขามาแสดงโลดโผนไหม? เขาสามารถที่จะเดินบนสลิงเส้นเดียว ข้ามหุบผาสูงชัน ตกลงไปตายเลยนะ ระหว่างยอดเขา 2 ลูก เขาสามารถเดินไป โดยใช้ไม้อันเดียว  เป็นตัวทำสมดุล พยุงตัวและเดินไป เขาเดินไป เดินมา ประกาศให้คนมาดู คนมาดูเยอะแยะ ตะโกนกัน เก่งมาก ยอดมาก เดินไปเดินมา เดินมาเดินไป  หลายเที่ยวเลย จนคนปรบมือ ชัดเจนมากเลยว่าเขาทำได้ เสร็จปุ๊บ หลังจากเดินมาหลายเที่ยวแล้ว เที่ยวสุดท้าย เขาบอกว่าพี่น้องคนที่บอกว่าเชื่อว่าเขาเดินได้ ให้ออกมา เขาจะเดินไป โดยที่มีพี่น้องคนนั้น ที่บอกว่าเชื่อ ขี่คอเขาไป เขาถามว่าถ้ามีคนขี่คอเขา เขาสามารถเดินไปได้ไหม? คนนั้นบอกได้ แต่ปรากฎว่าเขาบอกว่าคนไหนที่บอกว่าได้ ให้ออกมา เป็นอาสาสมัคร มาขี่คอเขา แล้วก็เดินไปด้วยกัน  ปรากฏว่าไม่มีใครออกมาสักคนหนึ่งเลย คนที่ยกมือเมื่อตะกี้ว่าเชื่อๆ เชื่อว่าคุณทำได้ๆ ไม่มีใครออกมาสักคนหนึ่งเลย ทุกคนพูดคำว่าเชื่อนั้น  คือเชื่อเฉยๆ  พอถึงเวลาทำจริงๆ ไม่เอา ก็คือไม่เชื่อจริงๆ นั่นเอง ถูกไหม?

นี่คือความแตกต่างระหว่างการเชื่อเฉยๆ กับเชื่อจริงๆ  … เชื่อจริงๆ ต้องมีการตอบสนอง มีการตัดสินใจ กระทำอะไรบางอย่าง ตามข้อมูลข่าวสารที่ได้รับ  และเชื่อจริงๆ (เชื่อด้วยความศรัทธาว่านั่นใช่จริงๆ และก็ทำตามนั้น ตามที่ได้ยินได้ฟังมา แล้วตัวเองบอกว่าเชื่อนั่นแหละ) อย่างนี้เขาเรียกว่าเชื่อจริงๆ  หรือเชื่อจริงๆ แบบเชื่อศรัทธานั่นเอง ชัดเจนเลย

ในหนังสือยากอบ ยังได้ยกตัวอย่างของอับราฮัม ที่ได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งความเชื่อ  ซึ่งความเชื่อของอับราฮัมมีการกระทำของเขาอยู่ในความเชื่อนั้นด้วย ทำอะไรบางอย่าง ควบคู่ไปกับที่เขาบอกว่าเขาเชื่อในพระเจ้า  จึงเป็นความเชื่อที่ครบถ้วนบริบูรณ์ และเกิดผล  ตามที่ยากอบได้อธิบายถึงว่าความเชื่อต้องมีการกระทำ ถึงไม่ไร้ประโยชน์

พูดง่ายๆ ว่าความเชื่อที่มีการกระทำ ถึงจะเกิดผล อับราฮัมเป็นตัวอย่างที่เขายกขึ้นมา ดูสิว่ายากอบยกตัวอย่างของอับราฮัม หมายถึงอะไร? เกี่ยวข้องอะไรกับบริบทที่เรากำลังเรียนรู้อยู่นี้ เกี่ยวกับความเชื่อเฉยๆ กับความเชื่อจริงๆ ความเชื่อที่ไม่มีการกระทำกับความเชื่อที่มีการกระทำด้วย มันคืออะไรกันแน่ มันแย้งกับข่าวประเสริฐของพระเจ้าหรือไม่? ยากอบ 2:20-24 …

ยากอบ 2:20-24 “20 คนเขลาเอ๋ย ท่านต้องการหลักฐานว่าความเชื่อโดยปราศจากการกระทำนั้น  เปล่าประโยชน์ ใช่ไหม? 21 พระเจ้าทรงถือว่าอับราฮัม บรรพบุรุษของเรา เป็นผู้ชอบธรรม ก็เพราะการกระทำของเขา ที่ถวายอิสอัคบุตรชาย บนแท่นบูชาไม่ใช่หรือ? 22 ท่านก็เห็นแล้วว่าความเชื่อและการกระทำของเขา ทำงานควบคู่กัน  ความเชื่อของเขาครบถ้วนสมบูรณ์  โดยสิ่งที่เขาได้ทำ 23 และเป็นจริงตามพระคัมภีร์ที่ว่า “อับราฮัมเชื่อพระเจ้า และความเชื่อนี้ พระองค์ทรงถือว่าเป็นความชอบธรรมของเขา และเขาได้ชื่อว่าเป็นสหายของพระเจ้า 24 จะเห็นได้ว่าผู้ใดจะถูกนับว่าชอบธรรม ก็ด้วยการกระทำของเขา  ไม่ใช่ด้วยความเชื่ออย่างเดียว”

 

ข้อ 24 เป็นหัวใจ … “จะเห็นได้ว่าผู้ใดจะถูกนับว่าชอบธรรม ก็ด้วยการกระทำของเขา ไม่ใช่ด้วยความเชื่ออย่างเดียว” ใครนับ? พระเจ้านับ  พระเจ้านับว่าเป็นผู้ชอบธรรม ก็คือนับว่าเป็นลูกของพระเจ้า  ตามพันธสัญญา  บริสุทธิ์ สะอาด พ้นจากบาป จะนับว่าคนนั้นเป็นผู้ชอบธรรม  ก็ด้วยการกระทำของเขา  ไม่ใช่ด้วยความเชื่ออย่างเดียว  คือความเชื่อต้องบวกการกระทำด้วย หมายถึงอับราฮัมเชื่อว่ามีพระเจ้า ซึ่งแม้จะเป็นพระเจ้าที่ตาอับราฮัมมองไม่เห็น  แต่อับราฮัมเชื่อว่ามีอยู่จริงๆ ตรงนี้มากกว่าความเชื่อของอับราฮัมหมายถึงอะไร?

เขาเชื่อว่ามีพระเจ้าจริงๆ  พระเจ้าที่ได้ทรงตรัสกับเขาว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้แต่เพียงองค์เดียว  นอกจากพระองค์ ไม่มีพระเจ้าอื่นใดอีกแล้ว  ไม่มีพระเจ้าอื่นใด ไม่ใช่พระเจ้าเป็นพระเจ้าหนึ่งองค์ในจำนวนหลายๆ องค์ ที่ยิ่งใหญ่กว่าองค์อื่นๆ ไม่ใช่  ความหมายตรงนี้ หมายถึงพระเจ้า ผู้ยิ่งใหญ่เที่ยงแท้แต่เพียงพระองค์เดียว คือมีพระเจ้าจริงๆ อยู่เพียงผู้เดียว คือพระเจ้าองค์นี้  ที่ไม่มีชื่อ ที่เรียกว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่สูงสุด นอกจากนั้น ไม่มีพระเจ้าอื่นใด ที่อ้างตัวเป็นพระเจ้า เป็นพระเจ้าปลอมทั้งสิ้น  และอับราฮัมก็เชื่อว่าพระเจ้าองค์นี้มีอยู่จริงๆ ทั้งที่ตามองไม่เห็น หูได้ยิน ได้ยินแต่เสียง  จับต้องไม่ได้  แต่เชื่อว่ามีพระเจ้า  เชื่อถึงขนาดพระเจ้าองค์นี้ ที่มองไม่เห็นนี้ แต่รู้ว่ามีจริงๆ  ได้บอกอับราฮัมเป็นพันธสัญญาว่าจะอวยพรเจ้านะ  ถ้าเจ้ากระทำสิ่งนี้  ก็คือถวาย มอบลูกชายของตัวเอง ให้เป็นเครื่องบูชากับพระเจ้า  คือให้ประหารบุตรของตนเองนั่นเอง

เชื่อว่ามีพระเจ้า พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด  พระองค์ทรงสามารถที่จะทำอะไรก็ได้ทุกสิ่ง  เป็นผู้ให้กำเนิดทุกอย่าง  เพราะฉะนั้น เป็นผู้มอบลูกชายคนนี้ให้กับอับราฮัม อับราฮัมก็เลยบอกว่าเชื่อ ถึงขนาดว่าถ้าพระเจ้าจะเอาบุตรชายคนนี้ที่ให้มากับเขา เอากลับไป  พระองค์ก็สามารถให้ใหม่ได้  สามารถชุบให้คนตายเป็นขึ้นมาใหม่ได้ ชุบให้ลูกชายของเขาอิสอัคเป็นขึ้นจากความตายได้เช่นเดียวกัน เชื่อถึงขนาดนี้  นี่เขาเรียกว่าความเชื่อ  จึงสามารถที่จะทำความเชื่อนั้น  โดยการเชื่อและก็ทำตามที่พระเจ้าบอก คือจะถวายบุตรของตัวเอง  ซึ่งท่านก็ทราบเรื่องนี้อยู่แล้วว่าพระเจ้าทดลองใจเขา พอเขาจะทำ ตัดสินใจฆ่าจริงๆ ปุ๊บ พระเจ้าบอกพอแล้วๆ  เข้าใจ  รู้แล้วว่าเชื่อจริงๆ ไม่ได้ตั้งใจให้ฆ่าหรอก ทดลองใจว่าเชื่อจริงๆ หรือไม่? อย่างนี้แหละ เขาไม่ได้เรียกว่าเชื่อเฉยๆ  เขาเรียกว่าเชื่อจริงๆ เชื่อในสิ่งที่พระเจ้าพูด เชื่อว่าพระองค์เป็นพระเจ้าจริงๆ ทั้งๆ ที่มองไม่เห็น แต่เชื่อ

อีกตัวอย่างหนึ่ง ที่ยากอบยกขึ้นมา ก็คือเรื่องของราหับ หญิงโสเภณี ที่ยอมเสี่ยงชีวิต ช่วยชีวิตสายลับชาวยิวหรือชาวอิสราเอลนั่นเอง ยากอบ 2:25-26 ต่อมาของบริบทนี้ …

ยากอบ 2:25-26  “25 เช่นกัน แม้แต่ราหับ หญิงโสเภณี ยังถูกนับว่าชอบธรรม เพราะการกระทำของนางไม่ใช่หรือ? เมื่อนางให้ที่พักแก่คนสอดแนม และช่วยส่งพวกเขาไปอีกทางหนึ่ง  26 ร่างกายที่ปราศจากวิญญาณ ตายแล้วฉันใด  ความเชื่อที่ปราศจากการกระทำ ก็ตายแล้วฉันนั้น”

 

ต่อจากอับราฮัม ยากอบก็ยกตัวอย่างราหับ ในพระคัมภีร์เดิม ราหับเคยได้ยินกิตติศัพท์ของพระเจ้า ของอิสราเอลมา ซึ่งก่อนหน้านี้ พระเจ้าทำการอัศจรรย์ใหญ่มาก ตอนก่อนที่จะถึงเรื่องของราหับ ในหนังสือยากอบที่เขียนถึงนี้ ราหับได้ยินได้ฟัง คือคนในยุคนั้น ต้องได้ยินได้ฟังตรงนี้หมด ก็คือช่วงที่พระเจ้าได้แยกน้ำทะเลออกเป็น 2 ข้าง และให้ชาวยิวเป็นล้าน เดินผ่านดินแห้ง พอเดินผ่านไปกันหมดแล้ว ก็ให้น้ำกลบทับกองทัพของอียิปต์  ซึ่งเป็นมหาอำนาจในตอนนั้น เกลี้ยงเลย เรื่องนี้กระฉ่อนไปทั้งโลกในขณะนั้น  เพราะฉะนั้น ราหับก็ต้องได้ยินตรงนี้ด้วย รู้ว่าพระเจ้าของอิสราเอล เป็นพระเจ้าเที่ยงแท้แต่เพียงพระองค์เดียว นอกจากพระองค์ ไม่มีพระเจ้าอื่นใด  พระองค์ทรงยิ่งใหญ่สูงสุด สามารถกระทำทุกสิ่งทุกอย่างได้ เชื่อเหมือนอับราฮัมเชื่อเลย เชื่อว่าพระเจ้าองค์นี้มีจริงๆ ทั้งที่มองไม่เห็น  จับต้องได้ไหม? จับต้องไม่ได้ แต่รู้ว่ามีพระเจ้า รู้ เชื่อว่าพระองค์เป็นพระเจ้า ยิ่งใหญ่ แต่เพียงผู้เดียว และทำอะไร?

ราหับพอได้ยินสายลับของชาวยิว ชาวอิสราเอล ประชากรของพระเจ้ามาเคาะประตู ขอความช่วยเหลือ เพราะถ้าเจ้าเมืองจับได้  ก็ถูกประหาร ต้องหลบหนี เคาะประตูขอให้ช่วยเหลือ แล้วก็บอกว่าเขาเป็นชาวยิว เป็นประชากรของพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดที่ราหับเคยได้ยิน  และบอกในใจว่าเชื่อว่าเป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด สามารถทำทุกสิ่งทุกอย่างได้ ช่วยคนให้รอดจากทุกสิ่งทุกอย่างได้  เขาสามารถที่จะเชื่อเฉยๆ  เคาะก็เคาะสิ ไม่เปิด  สายลับ 2 คนนั้นอาจจะพูดว่า …

“พระเจ้าของเรายิ่งใหญ่สูงสุด”

“เหรอ! ดีนะ” … เดินทำกับข้าวต่อ ไม่เปิดประตู อย่างนี้เขาเรียกเชื่อเฉยๆ

แต่ราหับไม่ใช่อย่างนั้น ในหนังสือยากอบตะกี้บอกว่าแต่ราหับ ไม่ได้เชื่ออย่างเดียว  แต่เชื่อจริงๆ  พอเชื่อว่ามีพระเจ้าจริงๆ จึงกล้าเปิดประตู ตามที่พระเจ้าบอกให้ทำ  พระเจ้าบอกให้ทำตอนไหน? ก็บอกให้ทำโดยผ่านทางคนของพระเจ้า ก็คือสายลับ 2 คนที่เคาะที่ประตูนั้น แล้วบอกว่า …

“เปิดประตู ช่วยที”

เสียงของพระเจ้ามาบอกเขา บอกว่า … “เปิดประตูให้เราเข้าไป”

เหมือนกับอับราฮัมที่ได้ยินพระเจ้าทดลองใจว่า … “ถวายบุตรของเจ้า ถ้าเจ้าเชื่อจริงๆ” แล้วอับราฮัมก็ทำ

ราหับก็ทำ  … “ถ้าเจ้าเชื่อเราจริงๆ เปิดประตู” เพราะว่าการเปิดประตูของราหับ มันหมายถึงเสี่ยงชีวิตของเขา ถ้าเขาถูกจับได้ ถูกทหารของเจ้าเมืองเยรีโคฆ่าตายแน่นอน เขาเสี่ยงชีวิต เปิด เพราะเขาเชื่อจริงๆ เขาจึงกระทำอะไรบางอย่าง ทำสิ่งนี้ คือเปิดประตูรับสายลับเข้ามา แล้วก็ส่งสายลับทั้งสองคนนี้ ออกไปทางหน้าต่าง หนีออกไปได้

นี่คือสิ่งที่เรียกว่าไม่ใช่เชื่อเฉยๆ แต่เชื่อจริงๆ และมีการกระทำตามที่พระเจ้าได้บอกให้เขาทำ พระเจ้าบอกให้เขาทำอะไร ให้เขาเปิดประตูต้อนรับคนของพระองค์

เหมือนที่ผมเคยเล่าประสบการณ์ในการบรรยายเรื่องความเชื่อบ่อยๆ ว่าเชื่อเฉยๆ เป็นลักษณะอย่างไร? ง่ายๆ เลย ผมเล่าให้ท่านฟังเรื่องร้านก๋วยเตี๋ยวเรืออร่อยมาก เล่าทีไร ท่านน้ำลายหกทุกที  อยากจะกินจัง ท่านก็ถามอยู่นั่นแหละว่าร้านอยู่ตรงไหน? ผมก็บอกให้ จนกระทั่งเขามี Google map ผมก็ปักหมุดให้เลย เชื่อๆ พาสเตอร์ส่งปักหมุดมาให้เลย  ส่งให้เสร็จเรียบร้อย ง่ายนิดเดียว ถ้าจะไป เปิดมือถือ กดเป้าหมาย ไปตามนั้น ก็ได้แล้ว แต่ปรากฏว่าเจอกันทีไร ถามว่า …

“ไปมาหรือยัง?”

“ยังไม่ไป” ไม่ไปไม่พอ ถามต่อ … “แล้วมันอร่อยอย่างไร?”

ผมก็ต้องเล่าต่ออีก … “อร่อยอย่างนั้น พูดไม่ถูกเลย  อร่อยมากเลยจริงๆ”

“โอเค จะไปๆ”

พอเจออีกครั้งหนึ่ง ไปมาหรือยัง? ยังไม่ไป  จนแล้วจนรอด จนถึงวันนี้ ก็ยังไม่ไปอยู่ดี แล้วถามว่าเขาเชื่อในผมไหม? ที่ผมเล่าให้เขาฟัง เรื่องร้านก๋วยเตี๋ยวเรือนี้ มันอร่อยมาก ถ้ายังไม่เชื่อ เขาคงไม่ใส่ปักหมุดลงไปในมือถือเขาใช่ไหม? ใช่ แต่ต่อให้เชื่อผมอย่างไร ก็ไม่มีประโยชน์ ถ้าปราศจากการกระทำตามที่เชื่อ ตามที่ได้ข่าวสารมาว่าร้านนี้อร่อยๆ ปักหมุด แล้วก็ไป แค่นั้นเอง ถ้าปราศจากการกระทำตามข้อมูลข่าวสาร  ที่เป็นจริง ที่บอกให้แล้ว ตัวเองบอกว่าเชื่อแล้ว ไม่ทำตามนั้น ไม่มีประโยชน์เลย

คุ้นๆ ไหมว่านอกจากเรื่องร้านก๋วยเตี๋ยวแล้ว ผมชอบพูดเรื่องอะไรอีก? มากกว่าเรื่องร้านก๋วยเตี๋ยว มากกว่าเรื่องร้านอร่อย ชอบพูดเรื่องอะไร? เรื่องข่าวดีของพระเยซูคริสต์ไง  เพราะพาสเตอร์พูดอยู่นั่นแหละ ซ้ำๆ กันอยู่ตลอดเวลาเลยว่า …

“มนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป ต้องรับการช่วยเหลือจากพระเจ้า ช่วยเหลือตัวเองให้พ้นจากบาป เป็นไปไม่ได้หรอก ไม่มีใครเลยที่จะไม่ทำบาปเลยแม้แต่ครั้งเดียว เกิดมาก็เป็นคนบาปแล้ว แล้วก็ทำบาป เป็นเรื่องธรรมชาติ ธรรมดา เพราะฉะนั้น ต้องพึ่งในพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ที่พระเจ้าส่งมา เป็นพระมาซีฮาห์ มาตายที่ไม้กางเขน  หลั่งพระโลหิต ชำระบาปให้กับท่าน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม เพื่อให้ท่านเป็นขึ้นมาใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าได้ด้วย  ท่านจะได้เข้าสู่สวรรค์เดี๋ยวนี้ทันทีเลย”

ตาค้างเลย … “พาสเตอร์พูดใช่เลย มีเหตุมีผล ยอดเยี่ยมเลย ฉันก็ต้องการ”

แล้วใช้สิทธิของท่านในการที่พระเจ้าทรงไถ่ท่านเรียบร้อยแล้ว โดยการเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดหรือยัง?

เจออีกทีหนึ่ง เปิดใจหรือยัง? ยังเลย เพราะอันโน้น เพราะอันนี้  งานเยอะ เลยไม่ได้ไปร้านก๋วยเตี๋ยวสักที เพราะอันโน้น อันนี้  ทั้งๆ ที่รู้ว่ามันอร่อย แต่ไม่ไปกินสักที ฉันใดฉันนั้นแหละ รู้ว่ามันจำเป็น แต่มันยังติดอันโน้น อันนี้อยู่  คนนั้นทักท้วงไว้ เพราะฉะนั้น ไม่ตัดสินใจสักทีหนึ่ง ความเชื่อเฉยๆ อย่างนี้ ไม่มีประโยชน์ ตามบริบทของยากอบกำลังอธิบายให้เราฟังอย่างนี้

วันนี้เราจะสรุปทิ้งท้ายกันแค่นี้ก่อนว่าความเชื่อเฉยๆ ไม่มีการกระทำนั้น เป็นความเชื่อที่ไร้ประโยชน์ ไม่เกิดผล ส่วนคำตอบที่ว่าแล้วการกระทำของความเชื่อคืออะไร? หมายความว่าอย่างไร? เราจะมาฟังคำตอบในคราวหน้า  อธิบายกันอย่างละเอียดๆ อย่างนี้อีก และมีคำถามอะไร? ก็ถามกันเข้ามานะ บอกกันเข้ามา เพื่อเราจะได้ช่วยกันวิเคราะห์ และเจาะลึกความจริงของถ้อยคำพระเจ้าเหล่านี้ว่ามันไม่ได้ขัดแย้งกันเลย มันเป็นสิ่งที่เราไม่เข้าใจต่างหาก

ขอบคุณพระเยซูคริสต์ สำหรับความจริงของพระองค์ ขอบคุณในพระเมตตาของพระองค์ ที่ทรงช่วยเหลือเราทั้งหลาย ให้เข้ามาสู่ความจริงของพระองค์ และสามารถที่จะให้ความจริงเหล่านี้ ผลักดันให้เราสามารถกระทำตามที่เราบอกว่าเราเชื่อจริงๆ  ในข่าวสาร ในถ้อยคำข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ที่มาถึงเรา โดยการประกาศของผู้รับใช้ของพระองค์ จะด้วยวิธีใดก็ตามที่เราได้ยินได้ฟังข่าวประเสริฐเหล่านั้นแล้ว และเราก็เริ่มต้นเชื่อ และเมื่อเชื่อแล้วจริงๆ  เรายังไม่สามารถที่จะกระทำตามความเชื่อนั้นได้ อาจจะมีเหตุติดโน่นติดนี่อะไรต่างๆ เหล่านั้น  แต่ขอบคุณพระเจ้าที่ความจริงของพระองค์มีฤทธิ์เดชอำนาจ เมื่อเรารักษาความจริงนี้ไปเรื่อยๆ วันหนึ่งมันจะเกิดผลแน่นอน และผลนั้นจะเกิดขึ้นตามมา จากการตัดสินใจกระทำตามข้อมูล ที่เราได้ยินได้ฟังมา แล้วเราบอกเราเชื่อจริงๆ นั่นแหละ เชื่อจริงๆ มันจึงเกิดการกระทำ ตามที่เชื่อนั้น และพอกระทำ ก็เกิดผลตามความเป็นจริงของถ้อยคำข่าวสารที่เราได้รับมานั้นเลยทีเดียว ขอบคุณพระองค์ ในนามพระเยซู เอเมน

 

*******************

 

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

มัทธิว 7:24-27 พระเยซูบอกว่า … “เหตุฉะนั้น ผู้ใดที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเราและกระทำตาม เขาก็เปรียบเสมือนผู้ที่มีสติปัญญาสร้างเรือนของตนไว้บนศิลา ฝนก็ตกและน้ำก็ไหลท่วม ลมก็พัดปะทะเรือนนั้น แต่เรือนมิได้พังลง เพราะว่ารากตั้งอยู่บนศิลา แต่ผู้ที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเราและไม่กระทำตาม เขาก็เปรียบเสมือนผู้ที่โง่เขลาสร้างเรือนของตนไว้บนทราย ฝนก็ตกและน้ำก็ไหลท่วม ลมก็พัดปะทะเรือนนั้น เรือนนั้นก็พังทลายลง และการซึ่งพังทลายนั้นก็ใหญ่ยิ่งนัก”

 

“เหตุฉะนั้น  ผู้ใดที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเราและประพฤติตาม”  แล้ว … คำเหล่านี้คืออะไร? พระเยซูกำลังประกาศกับชาวยิวที่อยู่ในพันธสัญญาเดิม ก่อนมีพันธะสัญญาใหม่ คำเหล่านี้ คือคำประกาศเรื่องอาณาจักรสวรรค์ ที่พระองค์กำลังนำเข้ามาในโลกในไม่ช้านี้ และวิธีที่จะเข้าสวรรค์ได้ คือพึ่งพาในการกระทำของพระองค์ และความชอบธรรมของพระเจ้า โดยความเชื่อในพระองค์เท่านั้น เป็นทางไปสู่สวรรค์ของพระบิดา อย่าพึ่งพาในการกระทำดีตามกฎบัญญัติ ของโมเสสและบรรพบุรุษ เพื่อสร้างความชอบธรรมของตนเอง  ท่านไม่มีทางที่จะรักษากฎบัญญัติได้ครบถ้วนบริบูรณ์ทุกจุดทุกขีดหรอก จะบอกให้! ท่านผู้โง่เขลา! ท่านผู้เคร่งศาสนา! ท่านรู้แก่ใจดี! อย่าหลอกตัวเองเลย! เชื่อและกระทำตามคำแนะนำของเราเถิด เรารักเจ้าและห่วงใยเจ้ามากนะ

 

โรม 12:1 “พี่น้อง เพื่อเห็นแก่พระคุณความเมตตาของพระเจ้า ที่มีต่อเราทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอร้องท่าน ให้ยอมมอบอวัยวะทุกส่วนในร่างกาย พร้อมทั้ง (สมอง) ความคิด และสติปัญญา ของท่าน ให้เป็นเหมือนเครื่องบูชาที่มีชีวิตอยู่ ที่บริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ (เป็นสมบัติส่วนตัวของพระเจ้า) และเป็นที่พอใจพระเจ้าแล้ว ซึ่งเป็นการกตัญญูต่อพระเจ้า ที่สมควรในวิญญาณของเรา ที่ได้บังเกิดใหม่ โดยพระคุณพระเจ้า ซึ่งเป็นการนมัสการพระเจ้า ด้วยวิญญาณ และความจริง”

 

สังเกต “ขอร้องท่าน ให้ยอมมอบ” แสดงถึงความเป็นอิสระในการตัดสินใจว่าจะยอมเชื่อฟังหรือไม่เชื่อฟังก็ได้ จะดื้อต่อพระเจ้าหรือไม่ดื้อก็ได้  แต่ถ้าดื้อก็จะได้รับความทุกข์ลำบาก เจ็บตัวซึ่งพระเจ้าผู้เป็นพ่อไม่ประสงค์เช่นนั้นเลย  พ่ออยากให้เรามีความสุขมากที่สุด  พระองค์จึงกระทำทุกอย่างที่เราตัดสินใจผิดหรือถูกดื้อหรือไม่ดื้อรวมกันนั้นให้เกิดเป็นผลที่ดี สำหรับเราได้ตามพระประสงค์ของพระองค์ในพระเยซูคริสต์

 

โรม 8:28 “เรารู้ว่าพระเจ้าผู้ทรงรักเรามากนั้น พระองค์จะกระทำทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา ไม่ว่าดีหรือร้าย  ทำงานร่วมกันเพื่อให้เกิดเป็นผลดี  สำหรับเราผู้ที่รักพระองค์  ผู้ซึ่งพระองค์ทรงเรียกมาเป็นลูกของพระองค์  ตามพระประสงค์ของพระองค์”

 

เพราะฉะนั้น ในทุกสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับเรา  ไม่ต้องพะวงหน้าพะวงหลัง  มั่นใจ  เชื่อในพระเจ้าพระเยซูคริสต์  พระองค์ทรงสถิตอยู่  และกำลังทำงานของพระองค์ในเรา  กำลังจูงมือเราเดินอยู่ด้วย  ฤทธิ์เดชความรักอันยิ่งใหญ่ของพระองค์  พระเจ้ามั่นใจในท่าน  แล้วท่านล่ะมั่นใจในพระองค์ไหม?

 

พระเจ้าอวยพรครับ

 

 

 

วารสาร Holy News ฉบับที่ 1334

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  17  ตุลาคม  2021

 เรื่อง “พี่น้อง … อย่าเข็นครกขึ้นสวรรค์เลย” ตอน 2

“ด้วยรอยแผลเฆี่ยนของพระเยซู หรือของเรากันแน่”

โดย นคร เวชสุภาพร

 

วันนี้ต่อจากครั้งที่แล้ว ในเรื่อง “พี่น้อง … อย่าเข็นครกขึ้นสวรรค์เลย” ตอนที่ 2 ผมใช้ชื่อตอนว่า “ด้วยรอยแผลเฆี่ยนของพระเยซู หรือของเรากันแน่” ครั้งที่แล้วเราเริ่มต้นไว้ว่ารู้กันว่าแก่นแท้ของข่าวประเสริฐมีเพียงแค่นี้เอง  คือเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์แล้วท่านจะได้รับชีวิตนิรันดร์ ได้รับความรอด จากความพินาศต่างๆ  มีแค่นี้จริงๆ คือเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ นี่คือเนื้อหาแท้ๆ  เนื้อหาสั้นๆ แต่เต็มด้วยฤทธิ์อำนาจที่พระเยซูประกาศ  คำแรก ก็คือ …

“เราคือผู้นั้นที่พระเจ้าส่งมาช่วยเหลือมนุษย์ทั้งหลาย  จงเชื่อและวางใจในเรา แล้วท่านจะได้รับความรอด  จงเชื่อและวางใจในเรา ท่านจะได้ไม่ตาย และรับชีวิตนิรันดร์”

เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ พึ่งในพระเยซูคริสต์เท่านั้น  และได้รับชีวิตนิรันดร์ เราก็ได้เรียนรู้ไปจากครั้งที่แล้ว แต่ว่าความจริงนี้ ในชีวิตจริงๆ ของคนหลายๆ คนที่มาเชื่อพระเจ้าแล้ว วางใจในพระเยซูแล้ว พึ่งพาในพระเยซูแล้ว ได้รับความรอดแล้ว แต่ก็ยังไม่หยุดที่จะหาอะไรเพิ่มเติม คือพยายามที่จะพึ่งการกระทำของตัวเองเพิ่มเติมเข้าไป  กลัวว่าพึ่งพระเยซูผู้เดียวจะไม่รอด  เลยพึ่งการกระทำของตนเองบวกเข้าไปด้วย บวกเข้าไปมากๆ พึ่งตัวเองเข้าไปเยอะๆ มากๆ ก็เลยเหนื่อย  และเป็นทุกข์ในการดำเนินชีวิตโดยไม่จำเป็น ก็คือการเข็นครกขึ้นสวรรค์นั่นแหละ ซึ่งมันไม่จำเป็น เราเรียนรู้แล้ว ซึ่งแทนที่จะได้หายเหนื่อยและเป็นสุข ตามถ้อยคำของพระเยซูคริสต์ ตามความเป็นจริง ซึ่งพระองค์บอกไว้เรียบร้อยไปแล้ว  มาพบพระองค์ มาเจอพระองค์ มาวางใจในพระองค์ แล้วจะหายเหนื่อยและเป็นสุข เลยกลายเป็นว่าพึ่งในพระองค์แล้ว วางใจในพระองค์แล้ว เป็นคริสเตียนแล้ว แต่ยังเหน็ดเหนื่อย  และเป็นทุกข์กับการไปสวรรค์อยู่ เปรียบเหมือนการเข็นครกขึ้นสวรรค์ ซึ่งมันเปล่าประโยชน์ แต่ยังทำอยู่  ไม่ต้องทำก็ได้ อะไรอย่างนี้

ด้วยรอยแผลเฆี่ยนของพระเยซูหรือของเรากันแน่ ตอนที่ 2 วันนี้มาจากข้อพระคัมภีร์ ใน 1 เปโตร 2:24 ซึ่งบันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

1 เปโตร 2:24 “พระองค์เองได้ทรงรับแบกบาปของเราไว้ในพระกายของพระองค์  ที่ต้นไม้นั้น เพื่อว่าเราทั้งหลาย ซึ่งตายจากบาปแล้ว จะได้ดำเนินชีวิตตามความชอบธรรม ด้วยรอยเฆี่ยนของพระองค์ ท่านทั้งหลายจึงได้รับการรักษาให้หาย”

 

พระองค์เอง คือพระเยซูคริสต์เอง ได้ทรงแบกรับความบาปของเราไว้ในพระกายของพระองค์ ที่ต้นไม้ ก็คือที่ไม้กางเขนนั้น แบกรับเอาโทษของความบาป แบกรับเอาโทษของความไม่ดี  ความชั่ว เลวทราม  การกระทำชั่วของเรานั้น ไว้ที่ร่างกายของพระองค์ บนไม้กางเขนนั้น เพื่อว่าเราทั้งหลาย ซึ่งตายจากบาปแล้ว จะได้ดำเนินชีวิตตามความชอบธรรม ด้วยรอยแผลเฆี่ยนของพระเยซู ท่านทั้งหลายจึงได้รับการรักษาให้หายแล้ว

“ด้วยรอยแผลเฆี่ยนของพระเยซู เราทั้งหลายจึงได้รับการรักษาให้หาย หายจากความชั่ว หายจากการเป็นคนบาป หายจากการถูกลงโทษ เนื่องจากเป็นคนบาปไปเรียบร้อยแล้ว”

เพราะฉะนั้น ย้อนกลับมาที่หัวข้อเรื่องในวันนี้ อย่าเข็นครกขึ้นสวรรค์เลย  ตอน 2 ด้วยรอยแผลเฆี่ยนของพระเยซูหรือของเรากันแน่? ตอบว่า … “ของพระเยซู”  เหมือนกับถามว่านั่นต้นไม้หรือเสาไฟฟ้า อยู่ดีๆ ก็ถามว่าต้นไม้หรือเสาไฟฟ้า ใครจะไปตอบได้ ก็ยังไม่บอกเลยว่าถามเรื่องอะไร?

อันนี้ด้วยรอยแผลเฆี่ยนของใคร?  ของพระเยซู พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนี้ ชัดเจนเลย ด้วยรอยแผลเฆี่ยนของพระเยซู

“แผลเฆี่ยน” คือการถูกลงโทษ เนื่องจากบาป พระองค์ไม่ได้เป็นคนบาป แต่พระองค์ยอมรับโทษของความบาปแทนมนุษย์ทั้งปวงนั่นเอง

ความจริง ก็คือเรา คริสเตียนที่ต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว  เราเคยเป็นคนบาป  “เคยเป็น” ก่อนที่เราจะมารับสิทธิของเรานั้น  เราเคยเป็นคนบาป  แต่เดี๋ยวนี้ เมื่อเรารับเชื่อแล้ว  เราใช้สิทธิของเราแล้ว  เราได้กลายเป็นคนชอบธรรม  ได้รับการอภัยโทษจากบาป ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ไม่ว่าจะเป็นบาปเล็ก บาปใหญ่  บาปปัจจุบัน บาปอนาคต และบาปตลอดไป  พระเจ้าก็จะไม่จดจำบาปของเราอีกเลย บันทึกไว้อย่างนั้นชัดเจนเลย เอาออกไปแล้ว เพราะว่าการลงโทษ เนื่องจากเป็นคนบาป เนื่องจากเราทำบาป  เนื่องจากเราทำชั่ว  ทั้งปัจจุบันและอนาคตก็ตาม การถูกลงโทษนั้น ได้ลงไปที่พระเยซูคริสต์ ที่ไม้กางเขนเรียบร้อยแล้วนั่นเอง  และเราก็ไม่ควรจะจดจำบาปนั้นอีกเลย พระเยซูก็ไม่จดจำ พระเจ้ายิ่งไม่จดจำใหญ่เลย  แล้วเราไปจดจำทำไม?  ให้มันเหนื่อยเปล่าๆ  อย่าเข็นครกขึ้นสวรรค์เลย  เราสะอาดหมดจดแล้ว

เพราะฉะนั้น เราก็ไม่ควรจะจดจำความบาปผิดอะไรต่างๆ เหล่านั้นเช่นเดียวกัน  แต่วางใจในการไถ่บาปและพระคุณของพระเจ้า ซึ่งสถิตอยู่ในเรา เมื่อไถ่บาปเราแล้ว  ให้เราเป็นลูกของพระองค์  จงวางใจในความรอดจากบาป  โดยพระคุณของพระเจ้า  ซึ่งหมายถึงเราไม่ต้องทำอะไรเลย แม้แต่นิดเดียว คือพึ่งในการกระทำของพระเยซูคริสต์เท่านั้น เรียกกันว่าพระคุณ ไม่ต้องทำอะไร ผ่านทางการกระทำของพระเยซูคริสต์เพียงเท่านั้น  เราก็ไม่ต้องไปจดจำ จดจำอย่างเดียวว่าพระเยซูคริสต์ได้ไถ่บาปเราแล้ว รอยแผลเฆี่ยนของพระเยซูคริสต์ถูกเฆี่ยน เพื่อให้เราหายดี เราไม่ต้องถูกเฆี่ยน  ไม่ต้องถูกลงโทษ เนื่องจากบาปอีกต่อไป มองไปที่พระเยซูคริสต์ ผู้เป็นความชอบธรรมของเรานั่นเอง เป้าหมายของเราจดจ่อไปที่พระเยซูคริสต์ ผู้เป็นความชอบธรรมของเรา  เป็นสง่าราศีของเรา เป็นสิริของเรา เป็นชีวิตของเรา เป็นเป้าหมายของเรา เป็นนิมิตของเรา เป็นทุกสิ่งทุกอย่างของเรา  เป็นผู้เริ่มต้นความเชื่อว่าเราได้รับความรอดแล้วในพระองค์ วางใจในพระองค์ คือเริ่มต้นความเชื่อแล้ว ก็จงเชื่อพระองค์ต่อไป เชื่อในพระองค์ว่าพระองค์ทรงกระทำสำเร็จแล้ว  และพระองค์กำลังดำเนินชีวิตของพระองค์ไปพร้อมๆ กับเรา คือสถิตอยู่กับเรา ในร่างกายเรานี่แหละ  และก็วิ่งไปสู่หลักชัย  เพื่อรับรางวัล คือมรดก ชีวิตนิรันดร์ในวันสุดท้าย บนโลกใบนี้นั่นเอง  คือการได้ไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์นิรันดร์กาล และได้รับร่างกายใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์

การวิ่งไปสู่หลักชัยตรงนี้ อยากจะแถมให้นิดหนึ่ง  ไม่เหนื่อยเลย เพราะเมื่อเปิดใจต้อนรับสิทธิของเราในพระเยซูคริสต์ ที่พระองค์ทรงกระทำให้เรียบร้อยแล้วนั้น พระเจ้าจะย้ายเราเข้ามาในลู่วิ่งนี้ทันที ลู่วิ่งนี้ชื่อลู่วิ่งทางพระเยซูคริสต์ เกิดอะไรขึ้น วิ่งไป เดินไป  อย่างไรมันก็ไป เพราะว่าเป็นลู่วิ่งแบบออโตเมติก … ออโต้ฯ เคยเดินทางไปต่างประเทศ ทางเดินไกลๆ ที่เขาไม่อยากให้เดิน เป็นทางเดินแบบเลื่อน  ยืนเฉยๆ มันก็เลื่อนไปเรื่อยๆ นี่เราได้ถูกวางไว้บนลู่ทางเดินของพระเยซูคริสต์ ลู่นี้ออโต้ฯ วิ่งไปสู่สวรรค์ พอวางไว้ตรงนั้น ต่อให้ท่านไม่วิ่ง ต่อให้ท่านยืนอยู่เฉยๆ สายพานนี้ก็กำลังเคลื่อนไปสู่สวรรค์ นั่นแหละ มันถึงหายเหนื่อยและเป็นสุข  ในพระเยซูจึงบอกว่า …

“จงมาวางใจในเรา เข้ามาอยู่ในทางของเรา เข้ามาอยู่ในสายพานนี้ สายพานสู่สวรรค์นี้  ท่านจะได้หายเหนื่อยและเป็นสุข”

เพราะว่าอย่างไรก็ไปสวรรค์อยู่ดี และผู้ที่ควบคุมออโต้ฯ สายพานอยู่นี้ คือพระเจ้าผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก เป็นไปไม่ได้ ที่จะมีการเสื่อมเสีย  เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่เคลื่อนที่ เป็นไม่ได้ที่จะไม่เกิดผลตามนั้น นี่คือความจริง  ที่เราได้เรียนรู้กัน

เพราะฉะนั้น  อย่าให้มารมาหลอกเรา มารตัวสำคัญ  มันจะมาหลอกเราว่าสิ่งเหล่านี้ ที่เรากำลังพูดถึงความจริงในโลกวิญญาณ  ที่พระเจ้าบอกเรา ทำให้เราสงสัย ไม่เชื่อว่ามันจริง อย่าให้มารมาใช้ความทุกข์ยากลำบาก ซึ่งเกิดจากความเสียหาย คำสาปแช่งที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ ซึ่งความวิปริต ความเสียหายบนโลกใบนี้ที่เกิดขึ้น มันก็มาจากตัวมารเองนั่นแหละ เป็นต้นเหตุ ล่อลวงให้บรรพบุรุษของเรา ก็คืออาดัมและเอวาหลงไปทำผิดบาป และนำเอาสิ่งเสียหายเหล่านี้ ความชั่วร้าย  ความวิปริต ความทุกข์ทรมาน ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้เข้ามาสู่โลกใบนี้  เข้ามาสู่ในร่างกายของเรา  ซึ่งเราเรียกว่าคำสาปแช่ง ที่มีมาถึงมวลมนุษยชาติ  และโลกใบนี้  อย่าให้มารมันใช้ความทุกข์ยากลำบากที่เกิดขึ้นนี้ การกิน การอยู่ การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยความลำบาก เพราะว่าถูกสาปแช่งไปแล้ว แม้กระทั่งสุขภาพ ร่างกายของเรา ก็ทรุดโทรม เป็นโรคภัยไข้เจ็บ  ความวิปริตรของธรรมชาติต่างๆ เชื้อโรคต่างๆ

อย่าให้มันเอาสิ่งเหล่านี้มาบอกเราว่าสิ่งที่เสียหายเหล่านี้ สิ่งที่ทำให้เราเกิดความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้ ความตายเหล่านี้ พระเจ้าใช้สิ่งเหล่านี้มาตีสอนเรา  อย่าให้มันมาหลอกเราอย่างนี้  หรืออย่าให้มันมาบอกว่าพระเจ้าเป็นผู้กระทำสิ่งเหล่านี้ให้เกิดขึ้น ความวิปริต ความชั่วร้ายต่างๆ บนโลกใบนี้ทุกอย่าง แผ่นดินไหว เชื้อโรค ไวรัส โควิด อย่าให้มารมาบอกว่าพระเจ้าเป็นผู้กระทำสิ่งเหล่านี้ให้เกิดขึ้นกับมวลมนุษยชาติ  เพื่อจะตีสอน เพื่อจะนำมนุษยชาติกลับมาหาพระองค์ เปล่าเลย พระองค์ทรงนำมนุษยชาติกลับมาหาพระองค์ โดยให้พระบุตรของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์มารับโทษแทนเรา ทรงรับการเฆี่ยนตี ทุบตีเรียบร้อยไปแล้ว จบไปแล้ว เสร็จไปแล้ว ที่ไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว พระเยซูบอกสำเร็จแล้วด้วย

เพราะฉะนั้น สรุป ก็คืออย่าให้มารมันมาเสี้ยมเรา  ให้เข้าใจพระเจ้าของเรา ผู้เป็นพ่อของเรา ผู้เป็นผู้สร้างเรา ผู้เป็นพระเจ้าที่ดี  อย่าให้มาเสี้ยมเราให้เข้าใจพระเจ้าผิดว่าพระเจ้าของเราโหดร้าย เกลียดเรา บังคับ ทรมานเรา อย่าให้มารมันโกหกเราว่าที่พระเยซูกระทำสำเร็จแล้ว ที่ไม้กางเขนนั้น  มันไม่จริงหรอก อย่าให้มันโกหกเราอย่างนั้น  จงมั่นใจ  เชื่อและวางใจในถ้อยคำของพระเยซูคริสต์ที่บอกว่าพระองค์ได้ทรงแบกรับบาปของเราไปเรียบร้อยแล้ว จบแล้ว เชื่อและวางใจในพระองค์ แล้วได้รับชีวิตนิรันดร์ตลอดไป วางใจในพระองค์อย่างเดียว

ในหนังสือทิตัส 2:11-12 ได้บอกถึงบุคลิกลักษณะของพระเจ้าอย่างชัดเจนว่าเป็นลักษณะเช่นใด? ลองมาอ่าน และลองใคร่ครวญกันดู …

ทิตัส 2:11-12 “11 เพราะว่าพระคุณของพระเจ้าที่นำไปถึงการปลดปล่อยให้เป็นอิสระ  จากการเป็นทาสของบาป และความรอดนิรันดร์ ได้ปรากฏแก่คนทั้งปวงแล้ว 12 พระคุณนี้สอนเรา (ด้วยความรัก ทะนุถนอม ดังแก้วตาดวงใจ) ที่จะฝึกฝน ปฏิเสธการทำบาป และไม่ทำตามโลกียตัณหา และดำเนินชีวิตในโลกปัจจุบันนี้ อย่างมีสติสัมปชัญญะ ตามทางพระเจ้า สมกับเป็นผู้ชอบธรรม (บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า)”

 

“เพราะว่าพระคุณของพระเจ้า” พระคุณของพระเจ้า คือเราเป็นคนบาป ทำชั่ว ทำบาป สมควรได้รับการลงโทษ  สมควรได้รับความไม่ดีในชีวิตของเรา สมควรอยู่ในบึงไฟนรก แต่พระเจ้ากลับให้โทษทั้งปวงนั้น ไปอยู่ที่พระบุตรของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ที่พระองค์ทรงประทานให้  มาแบกรับเอาโทษของความบาป ความผิดของเรา ความชั่วร้ายของเรานั้น ไว้ที่ตัวพระองค์บนไม้กางเขน  และแค่นั้นไม่พอ พระคุณ คือไม่ใช่อภัยในความบาปผิดของเราเท่านั้น  ให้เราพ้นจากโทษของความบาป พ้นจากการเป็นนักโทษ แล้วยังรับเรามาเป็นบุตรของพระองค์  โดยให้เราบังเกิดใหม่  พร้อมกับพระเยซูคริสต์

พระเยซูคริสต์บังเกิดใหม่ เป็นขึ้นมาจากความตายในวันที่ 3 เราที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ เราก็ได้เป็นขึ้นจากความตายพร้อมกับพระเยซูคริสต์เช่นเดียวกัน  เราได้มาบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า เพราะฉะนั้น พระคุณนี้ ก็คือนอกจากอภัยบาปเราเรียบร้อยแล้ว  ยังประทานสิทธิพิเศษให้เรา รับเรามาเป็นของพระองค์ รักเรามากเท่าๆ กันกับพระบุตร คือพระเยซูคริสต์เลยทีเดียว  นี่แหละคือพระคุณ

เมื่อไรก็ตามที่พระคัมภีร์พูดถึงพระคุณ  ให้นึกถึงตรงนี้แหละ พระคุณ คือความรักของพระเจ้าที่สำแดงออก ที่พระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน รับโทษบาปแทนเรา  และเป็นขึ้นจากความตาย เพื่อเราจะได้เป็นขึ้นจากความตาย  บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า ได้ด้วย นี่คือพระคุณ นึกถึงตรงนี้เลย

ดังนั้น พระคุณตรงนี้ ขบวนการตรงนี้ คือความรักของพระเจ้าทั้งหมด ที่พระเยซูทำสำเร็จ เรียบร้อยแล้วที่ไม้กางเขนนั้น ได้นำเราไปถึงการปลดปล่อยให้เป็นอิสระ จากการเป็นทาสบาป  การเป็นทาสบาป ก็คือการเป็นคนบาป  และนำเรามาถึงความรอดนิรันดร์ ได้ปรากฎแก่คนทั้งปวงแล้ว ปรากฏเมื่อพระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์ ตายที่ไม้กางเขน พระองค์บอกว่าสำเร็จแล้ว  และวันที่ 3 พระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตาย

ในข้อ 12 จึงบอกว่าพระคุณนี้  นึกออกแล้วนะพระคุณนี้ คือพระคุณ ความรักของพระเจ้า ที่สำแดงออก ที่พระเยซูคริสต์ ที่ไม้กางเขน พระคุณนี้ สอนเรา ด้วยความรัก ความทะนุถนอม ดังแก้วตาดวงใจของพระองค์เลย  ก็คือความรู้สึกที่พระองค์ทรงรักเรา  และกระทำความรักนี้ให้เราได้เห็นแล้ว  โดยการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน ขณะที่เราเป็นคนบาป เป็นศัตรูกับพระเจ้า  ไม่ชอบพระเจ้า เกลียดพระเจ้า  ต่อต้านพระเจ้า แต่พระองค์ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์มาตายที่ไม้กางเขน สำแดงความรักของพระองค์ต่อเราทั้งหลาย ตรงนี้แหละ คือความรักที่ทะนุถนอมดังแก้วตาดวงใจ

พระคุณนี้จะสอนเราด้วยความรัก ทะนุถนอมดังแก้วตาดวงใจ  ที่จะฝึกฝน ฝึกฝนใคร? ฝึกฝนเราที่เกิดใหม่ เป็นลูกของพระองค์แล้ว ให้ปฏิเสธการทำบาป  ก็คือฝึกฝนให้ดำเนินชีวิตในทางชอบธรรม ด้วยความรัก ด้วยความทะนุถนอม และสอนเราที่จะไม่ทำตามโลกียตัณหา ก็คือไม่ทำตามการหลอกลวง การล่อลวงของมารซาตาน และระบบของโลกนี้ ที่เป็นศัตรูกับพระเจ้า ที่จะมาล่อลวงเรา ไปทำในสิ่งที่ไม่ดี

และสอนเรา ฝึกฝนเรา ให้ดำเนินชีวิตในโลกปัจจุบันอย่างมีสติสัมปชัญญะ คือมีความรู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่าเราบริสุทธิ์สะอาดแล้ว เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ให้มีสติสัมปชัญญะ ตามทางพระเจ้า สมกับเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้า คือกำลังสอนเรา ที่เกิดมาเป็นลูกของพระองค์ อุแว้ๆ ออกมาแล้ว ให้ดำเนินชีวิตเหมือนพระองค์ คือบริสุทธิ์ สะอาด ชอบธรรมเหมือนพระองค์ ค่อยๆ เป็นไปตามธรรมชาติของเราที่เกิดใหม่นั่นเอง  เหมือนพ่อแม่ดูแลลูก ที่เป็นทารก จนกระทั่งเป็นเด็ก เป็นวัยรุ่น  และกระทั่งเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ลักษณะอย่างนั้น ด้วยความรัก ความเมตตา ความทะนุถนอม ดังแก้วตาดวงใจ  นี่คือถ้อยคำพระเจ้าที่ยืนยัน

อย่าให้มารทำลายความเป็นครอบครัวเดียวกัน เป็นหนึ่งเดียวกัน ความสามัคคีกัน ความรักกันและกันของเรากับพระเจ้า ไม่ใช่พระเจ้าเพียงผู้เดียว  พระเจ้าทั้ง 3 พระภาค พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตรพระเยซูคริสต์ พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้ทรงสถิตอยู่กับเรา ในเรา เมื่อเรารับเชื่อ เป็นหนึ่งเดียวกันกับเราแล้ว  เป็นครอบครัวเดียวกัน  เป็นฝ่ายเรา เป็นพวกเรา  เราเป็นฝ่ายเดียวกัน  ไม่ใช่เป็นหนึ่งเดียวกันเฉพาะพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตรพระเยซู พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้น  แต่เป็นหนึ่งเดียวกันในพี่น้องคริสเตียนด้วย เช่นเดียวกัน  ก็อย่าให้มารมันมาเสี้ยมพวกเราให้ทะเลาะกัน ขัดแย้งกันเอง กัดกินกันเอง ไม่เข้าใจซึ่งกันและกันเอง โดยเฉพาะที่วันนี้กำลังจะพูดถึง ก็คือผู้เชื่อที่กำลังอยู่ในสายพานสู่สวรรค์ ไม่เข้าใจพระเจ้า เข้าใจพระเจ้าผิด  นึกว่าอยู่คนละพวกกับเรา  แต่จริงๆ แล้ว พระเจ้าอยู่พวกเดียวกันกับเรา อยู่ข้างเรา เกินกว่าที่เราจะคิดและเข้าใจ  เกินกว่าที่เราจะคาดถึงด้วยซ้ำไปว่าอยู่ข้างเรา ถึงขนาดนี้หรือ? จริงๆ ตามถ้อยคำของพระองค์ที่บันทึกเอาไว้

ฮีบรู 12:5-6  ครั้งที่แล้ว เราได้เรียนรู้ว่าอะไรที่มาถ่วงเรา  ทำให้เราขึ้นสวรรค์แล้ว ไปไม่ได้คล่อง อะไรที่ทำให้เราเป็นเหมือนคนเข็นครกขึ้นสวรรค์ เรียกรู้ไปตั้งแต่บทที่ 12 ข้อ 1-4 ตอนนี้ มาดูดูว่าอะไรที่มันมีโอกาสที่จะมาถ่วงเราได้อีก …

ฮีบรู 12:5-6  “5 ท่านได้ลืมถ้อยคำให้กำลังใจ  ซึ่งมีมาถึงท่านในฐานะบุตรว่า “ลูกเอ๋ย อย่าละเลยการตีสอนขององค์พระผู้เป็นเจ้า อย่าท้อใจ เมื่อพระองค์ทรงตำหนิท่าน  6  เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงตีสอนผู้ที่พระองค์ทรงรัก  และทรงลงโทษทุกคนที่ทรงรับเป็นบุตร”

 

คำว่า “ตีสอน” ตรงนี้ ตกใจใช่ไหม? คำว่าตีสอน  พระคัมภีร์ภาษาอังกฤษส่วนใหญ่จะใช้คำนี้ว่า “Scourges” ที่มีความหมายว่า “เฆี่ยนตีให้ตาย”  และมักจะใช้กับการลงโทษในสมัยโรมัน  คือใช้แส้ที่ทำด้วยหนัง เป็นเส้นๆ คล้ายหางม้า  และก็มีกระดูกสัตว์ หรือของมีคมผูกติดอยู่กับเส้นเหล่านั้น  เพื่อเพิ่มบาดแผล และความเจ็บปวดให้มากยิ่งขึ้นกับนักโทษ นักโทษบางคน ตียังไม่ครบ 40 ทีตามกฎเกณฑ์ เสียชีวิตก่อนก็มี จากการถูกเฆี่ยน ด้วยแส้แบบนี้  คำนี้มันแปลว่าอย่างนั้น

“ท่านได้ลืมถ้อยคำให้กำลังใจ  ซึ่งมีมาถึงท่านในฐานะบุตรว่า “ลูกเอ๋ย อย่าละเลยการตีสอน ขององค์พระผู้เป็นเจ้า อย่าท้อใจ เมื่อพระองค์ทรงตำหนิท่าน เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงตีสอนท่านให้ตาย ให้เลือดออกชิบๆ เลย เพื่อว่าท่านผู้เป็นลูก ผู้ที่พระองค์ทรงรัก จะได้ดี” อย่างนั้นหรือ?

“และทรงลงโทษทุกคนที่ทรงรับเป็นบุตร” อย่างนั้นหรือ?

“ไหนบอกว่าเป็นบุตรพระเจ้าแล้ว ไม่มีการลงโทษใดๆ แล้ว”

วันนี้ เราจะมาเข้าใจถ้อยคำตรงนี้ ให้ถูกต้องตามบริบท ตามความเป็นจริงของถ้อยคำ ซึ่งแปลมาผิดนั้น  ทำให้เราเข้าใจผิด  เป็นการเสี้ยมเราโดยมาร ให้เราเข้าใจพระเจ้าผิด  กลัวพระเจ้า หรือตำหนิพระเจ้าด้วยซ้ำ และคำนี้  ที่บอกว่า “Scourges” นี้ เป็นศัพท์คำเดียวกันกับที่ทหารโรมันเฆี่ยนตีพระเยซูคริสต์ ก่อนที่จะจับไปตรึงที่ไม้กางเขน อย่างที่เราได้อ่านพระคัมภีร์ตอนต้น 1 เปโตร 2:24  “ด้วยรอยแผลเฆี่ยนของพระเยซู” รอยแผลเฆี่ยน คือคำๆ นี้แหละ คือ Scourges คือเฆี่ยนให้ได้รับโทษอย่างหนัก ถ้าเป็นไปได้ ให้ทรมานที่สุด เท่าที่ทำได้ ถึงตาย ก็ดี อะไรประมาณนั้น

เพราะฉะนั้น  เมื่อตะกี้ที่เราอ่านในข้อพระคัมภีร์ว่า “พระผู้เป็นเจ้าทรงตีสอน ผู้ที่พระองค์ทรงรัก และทรงลงโทษทุกคนที่รับเป็นบุตร” ถ้าคำว่า “ตีสอน” หมายถึงภาพการเฆี่ยนตี แบบที่ผมกำลังเล่าให้ฟัง  ที่พระเยซูได้รับไปเรียบร้อยแล้วนั้น  ที่ทหารโรมันทำกับพระเยซูนั้น ท่านลองนึกภาพดูว่าจะมีพ่อคนไหนที่รักลูกมากขนาดนั้น  ในนี้บอกอย่างนั้น ผู้ที่พระองค์ทรงรัก พระองค์ทรงตีสอนอย่างนี้ จะเฆี่ยนอย่างนี้ เป็นพ่อมนุษย์ยังไม่ทำอย่างนี้เลย เฆี่ยนตีลูก เพราะรักอย่างนี้หรือ? ให้ความทุกข์ทรมาน ให้ตายไปเลยได้ก็ดี พ่อที่เป็นมนุษย์ พ่อดีๆ แม่ดีๆ ที่ยังมีสติสัมปชัญญะ ซึ่งโดยทั่วไป ก็เป็นธรรมชาติอย่างนี้อยู่แล้ว  คือไม่มีใครเขาทำอย่างนี้หรอก

ในพระคัมภีร์เดิม หนังสือสุภาษิต ก็มีคำนี้อยู่เหมือนกัน  คำว่า “ตีสอน” เรามาหาดูว่ามันหมายถึงอะไร? ยกมาสักข้อหนึ่ง สุภาษิต 3:11-12 …

สุภาษิต 3:11-12 “11 ลูกเอ๋ย อย่าดูหมิ่นการตีสั่งสอนขององค์พระผู้เป็นเจ้า อย่าขุ่นข้องหมองใจ เมื่อพระองค์ทรงว่ากล่าวตักเตือน 12 เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงตีสั่งสอนผู้ที่พระองค์ทรงรัก ดั่งพ่อตีสั่งสอนลูกที่ตนชื่นชม”

 

เห็นไหมครับ มีคำว่าตีสั่งสอนเหมือนกัน  แต่คำว่าตีสั่งสอนในข้อพระคัมภีร์นี้ ในสุภาษิตข้อนี้  ภาษาอังกฤษใช้คำว่า “Correct” คือปรับปรุง แก้ไข ซึ่งก็มีรากศัพท์จากภาษาเดิมคำเดียวกันกับ “Scourges” ตะกี้ที่แปลผิด ซึ่งก็ควรที่จะเป็นปรับปรุงแก้ไข  ถึงจะถูกต้อง  ถ้าย้อนไปดูพระคัมภีร์ต้นฉบับ ภาษาเดิม คือภาษาฮีบรู คำว่าตีสอนตรงนี้ จะใช้คำที่มีความหมายว่า “Inquire Deeply”  หรือ  “Search Deeply” ซึ่งแปลได้ว่าการค้นหา หรือการชันสูตรอย่างลึกซึ้ง  เข้าไปในจิตใจของลูก ด้วยความเป็นห่วงเป็นใย  ด้วยมีความสัมพันธ์ รักมาก เข้าไปตรวจดูเลยว่าเขาเป็นอย่างไร?  เขานิสัยเป็นอย่างไร?  เขามีลักษณะเป็นอย่างไร? อะไรที่ช่วยเขาได้  ให้เขาได้ดีที่สุด  ค่อยๆ เข้าไป ด้วยความรัก ความทะนุถนอม ความระมัดระวัง

นี่คือคำว่า “ตีสอน” ที่แปลผิดความหมาย ไม่เข้าใจ … ด้วยความรัก ความทะนุถนอม เข้าไปชันสูตรว่าลูกคนนี้ถนัดอะไร จะบอกให้ บางคนเขาไม่เข้าใจว่าชันสูตร หรือเข้าไปค้นหาลึกๆ ด้วยความรักว่าลูกของเรา เป็นลักษณะอย่างไร? เพื่อจะไปสอนเขาให้ถูกต้อง คือความรักอันยิ่งใหญ่

ยกตัวอย่าง มีลูก 2 คน คนหนึ่งเป็นคนไม่ชอบพูด อีกคนหนึ่งเป็นคนชอบพูด อีกคนหนึ่ง ถ้าเราพูดเยอะๆ เขาฟังได้  อีกคนหนึ่งไม่ต้องพูดเยอะหรอก เขารู้จักคิดได้ เขาเป็นสไตล์เงียบๆ  เราต้องเข้าไปคุยกับเขาในลักษณะนี้ ด้วยความรัก ความอดทนของเรา ผู้เป็นพ่อ  พระเจ้าก็ทำอย่างนี้แหละ

คำว่า “ชันสูตร” คือเข้าไปล้วงลึกๆว่าในใจเขามีจุดอ่อน จุดแข็งอยู่ตรงไหน? อะไรที่เขารับได้  นิสัยใจคอเขาเป็นอย่างไร? DNA เขาเป็นอย่างไร? เข้าไป เพื่อปรับปรุงเขาให้ดีขึ้น  ให้เขารับได้ ไม่ใช่เข้าไปตวาดเอา ใช้อารมณ์ฉุนเฉียว มันหมายถึงอย่างนั้น

เพราะฉะนั้น ความหมายคือพระเจ้าทรงชันสูตรชีวิตและจิตใจของเรา มันควรจะเป็นอย่างนั้น เมื่อไรที่มีคำว่า “ตีสอน” พระเจ้าตีสอน ในพระคัมภีร์นั้นนะ จงนึกถึงคำนี้ว่า “Correct” คือปรับปรุง แก้ไข แบบชนิดที่ “Inquire Deeply”  ชันสูตร ลึกๆ เข้าไปในชีวิต เข้าไปในจิตใจของเรา ของลูกแต่ละคน ที่ไม่เหมือนกัน อย่างลึกซึ้งและฝึกฝนเราตามความถนัดของเรา ปรับปรุงแก้ไขเรา ลูกของพระองค์ เพื่อให้ลูกๆ หรือเราทั้งหลายที่เป็นลูกๆ ของพระองค์นั้น  ที่พระองค์ทรงรักดังแก้วตาดวงใจนั้น ได้เกิดผลตามธรรมชาติ วิสัยของเรา  ซึ่งเป็นลูกของพระองค์ ธรรมชาติ เป็นผู้ชอบธรรม เป็นตามธรรมชาติ เป็นลูกของพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ตามธรรมชาติที่ได้บังเกิดใหม่ ที่ได้เป็นลูกของพระองค์แล้ว ให้สมกับเป็นลูกของพระองค์ มีสง่าราศีของพระองค์ อยู่ในตัวเรานั่นเอง

เหมือนเราเป็นพ่อแม่ มีลูก คลอดออกมา  เราก็พยายามสอนทุกอย่าง พยายามคิดค้น ชันสูตรจิตใจเขา ส่วนลึกในจิตใจเขา เพื่อให้เขารับได้  เพื่อจะสอนเขา ให้เขาสมกับเป็นลูกของเรา เป็นลูกของมนุษย์ เป็นลูกคนที่ต้องเดิน ต้องคลาน ต้องมีชีวิตอยู่อย่างนี้ๆ  และให้สมเป็นลูกของเรา ที่เป็นคนดี อะไรประมาณนั้น

เพราะฉะนั้น ฮีบรูที่เราได้อ่านไปเมื่อกี้ ย้อนกลับมาที่ข้อ 5-6 ที่บอกว่า … “ท่านได้ลืมถ้อยคำที่ให้กำลังใจ ซึ่งมีมาถึงท่าน ในฐานะบุตร”

เห็นไหม? ท่านอย่าลืมนะ คืออย่าลืมถ้อยคำที่เป็นกำลังใจให้กับเรา  ในฐานะที่เราเป็นลูกของพระเจ้า

พระเจ้าบอกว่า … “ลูกเอ๋ย อย่าละเลยการตีสอนขององค์พระผู้เป็นเจ้า อย่าท้อใจ เมื่อพระองค์ทรงตำหนิท่าน”

ซึ่งก็ควรจะแปลเป็นอย่างนี้ว่า … “ในฐานะเป็นลูกแล้ว จำไม่ได้หรือ! ถ้อยคำแห่งกำลังใจ ที่พ่อบอกเรา คือพระเจ้าพูดกับเรา พระเจ้าตรัสกับเรา ลูกๆ ของพระองค์ว่าในฐานะบุตรนะ  ในฐานะที่เป็นลูกของเราแล้วนะ ลูกเอ๋ย จงอย่าละเลยต่อความรักของพ่อที่คอยฝึกฝน ปรับปรุง แก้ไข ชันสูตรเข้าไปในจิตใจลึกๆ ของลูกด้วยความรักนั้น เพื่อให้ลูกได้ดี สมกับที่เป็นลูกของพระเจ้า ให้ดีที่สุด มีความสุขที่สุด เท่าที่เป็นไปได้ บนโลกใบนี้  และตลอดไป  อย่าท้อใจนะ เวลาพ่อสอน พ่อบอก อย่าเข้าใจพ่อผิดนะ

อะไรประมาณนี้  อย่าเข้าใจพ่อผิด มันแปลว่าอย่างนั้น ฮีบรู 12:7-8 …

ฮีบรู 12:7-8  “7 จงทนความทุกข์ยาก โดยถือเสมือนว่าเป็นการตีสอน พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อท่านในฐานะบุตร เพราะบุตรคนไหนบ้างที่บิดาไม่เคยตีสอน 8 หากท่านไม่ถูกตีสอน (และทุกคนได้รับการตีสอน)  ท่านก็เป็นบุตรนอกกฎหมายและไม่ใช่บุตรแท้”

 

“จงทนความทุกข์ยาก โดยถือเสมือนว่าเป็นการตีสอน” เข้าใจแล้วใช่ไหมว่าตีสอน หมายถึงอะไร?  ตอนนี้เรารู้แล้วว่าคำว่า “ตีสอน” ตรงนี้ จริงๆ แล้วต้องใช้คำว่า “ฝึกฝน หรือปรับปรุง แก้ไข” ฝึกฝน ฝึกเรา

ความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้ ใครทำให้เกิดขึ้น?  ไม่ใช่พระเจ้าทำให้เกิดขึ้น  มันเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้อยู่แล้ว พระเจ้าใช้สิ่งเหล่านี้ที่มันเกิดขึ้น เพื่อมาฝึกสอนให้เรารู้จักวิธีการที่จะอยู่กับมันแบบเป็นลูกของพระเจ้า บนโลกใบนี้

เพราะฉะนั้น ข้อนี้ก็ต้องบอกว่า “จงทนความทุกข์ยาก โดยถือเสมือนว่าเป็นการฝึกฝน พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อท่าน ในฐานะท่านเป็นบุตร เพราะบุตรคนไหนบ้างที่พระบิดาไม่เคยสอน และฝึกฝน

นึกออกไหม?  มีลูกคนไหนที่พ่อรัก แล้วบอกว่าไม่สอนหรอก ปล่อยมันอย่างนั้นแหละ ไม่มี ถ้าเป็นลูก แล้วพ่อรัก พ่อก็ต้องสอนทุกคน ฝึกสอนเขาด้วยความรัก จงให้ความทุกข์ยากลำบากนั้น เป็นเสมือนว่าพระเจ้ากำลังฝึกเรา

ในหนังสือฮีบรู ในบริบทที่เรากำลังอ่านกันอยู่นี้  กำลังพูดถึงความทุกข์ยากลำบากที่ผู้เชื่อ ไม่ได้ทำให้เกิดขึ้น แต่ผู้เชื่อ คือคริสเตียนนั้น ถูกข่มเหงรังแกในสมัยนั้น ซึ่งทำให้ผู้เชื่อบางราย เกิดความกลัว และไม่กล้าจะเปิดเผยตัว เพราะกลัวถูกจับ กลัวถูกรังแก  กลัวถูกข่มเหง  นี่คือความทุกข์ยากลำบาก ที่เกิดขึ้น  บางรายก็ถูกอัปเปหิออกจากสังคม หรือสมาคมชาวยิว บางคนไม่ได้รับความช่วยเหลือจากสังคมคนยิวอีกต่อไป อะไรประมาณนั้น บางคนต้องถูกกลั่นแกล้งให้เสียตำแหน่ง หน้าที่การงานในสังคมเดิม  บางคนถูกจับ  ถูกตามล่า เพราะถูกใส่ร้าย

นี่คือบริบทที่เขียนให้คนที่ถูกข่มเหงรังแก แล้วเกิดความทุกข์ลำบาก  แล้วก็กลัวความทุกข์ลำบากด้วย  ขณะเดียวกัน มารก็จะใช้ความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้  มาบอกว่าพระเจ้าเป็นผู้กำหนดให้เกิดขึ้น เพราะอย่างนั้น เพราะอย่างนี้  ให้เขาเข้าใจพระเจ้าผิด  พระคัมภีร์ตรงนี้พูดชัดเจนเลยว่าจงถือว่าความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้น ที่เกิดขึ้น พระเจ้าจะใช้ให้เป็นประโยชน์ ในการสอนเรา ในการที่จะมีความอดทนและดำเนินชีวิตแบบใหม่ ให้มีความมั่นใจในพระองค์ว่าพระองค์เป็นพวกเดียวกับเรา พระองค์ทรงรักเรา และห่วงใยเรา และพระองค์ทรงสถิตอยู่กับเราด้วยตลอดเวลา

ซึ่งถ้อยคำตรงนี้ กำลังบอกว่าให้อดทนต่อความทุกข์นั้น และให้มั่นใจว่า … “ลูกเอ๋ย เดินถูกทางแล้ว มาทางนี้ ถูกแล้ว” ไม่ต้องหันรีหันขวางว่าเราทำผิดอะไร ถึงถูกข่มเหงรังแกแบบนี้  ไม่ใช่เลย พระเจ้ากำลังบอกว่ามันเป็นไปตามนั้นแหละ มันถูกต้องแล้ว  ความทุกข์ยากลำบากที่เกิดขึ้นกับเรา ให้ถือเสมือนว่าเป็นการฝึกฝนจากพระเจ้า เหมือนกับพ่อฝึกลูก เหมือนกับเราฝึกลูกเรา  สอนลูกเรา  ฝึกฝนลูกเราในการเจริญเติบโตเป็นมนุษย์ เป็นคนที่ดีต่อไปในอนาคต มีความอดทน เวลาเดินไปไหน เราก็บอกว่า …

“ออกนอกบ้าน ต้องใส่รองเท้านะ เพราะนอกบ้าน จะมีตะปู มีหินกลมๆ เดี๋ยวมันบาดเท้าเอา”

นี่คือความรัก ความห่วงใย ถูกไหม? และเมื่อเราเดินออกไปข้างนอก  เผลอไม่ใส่รองเท้า  ไปเหยียบตะปู เหยียบแก้ว เหยียบขวดอะไรต่างๆ บาดเจ็บมา ใครเป็นคนทำ  ข้างนอกบ้าน มีผู้ทิ้งสิ่งเหล่านี้ไว้ ให้เกิดความเสียหายกับร่างกายของเรา  เพราะโลกใบนี้มันเสียหายแล้วและเราไปเหยียบมาปุ๊บ กลับเข้าบ้านมา พระเจ้าจะมาโกรธเราไหม?  พระเจ้าก็พันแผลให้ ดูแลให้ แล้วก็สอนเราว่าออกไปข้างนอก จากนี้ต่อไป ต้องระมัดระวังตัว ใส่รองเท้าให้เรียบร้อย  เดินไป ก็ดูให้ดีๆ  ถูกไหม? พ่อที่ดี ก็ต้องเป็นอย่างนี้

มารมันจะมาใส่ข้อมูลผิดๆ มาว่าพ่อเป็นคนทำ ท่านลองนึกถึงภาพ ถ้าพระเจ้าเป็นคนทำสิ่งเหล่านี้ให้เกิดขึ้น แล้วมาสอนเรา ก็เท่ากับเราเป็นพ่อ แล้วสอนลูกบอกว่าอย่าออกไปข้างนอก ต้องใส่รองเท้า เสร็จแล้ว เราก็เป็นคนเอาตะปู เอากระจก เอาแก้วไปวางล่อไว้ ลูกเราเดินมา โดนแน่ พอลูกเราโดน กลับมา เราก็รีบมาสอนลูกเราว่า … “วันหลังอย่าทำอย่างนั้น  บอกแล้วไงว่าให้ใส่รองเท้าก่อนออกไป” อย่างนั้นหรือ?  ท่านยังหัวเราะเลย เป็นไปไม่ได้ ไม่ใช่อย่างนั้นแน่นอน

นั่นแหละ ในทางโลกวิญญาณ ในทางเรื่องราวเกี่ยวกับเรากับพระเจ้า ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับลูก ก็เป็นเช่นนั้นแหละ มากกว่านั้นสักเท่าใดที่พระเจ้าทรงเป็นต้นแบบของความรักของผู้เป็นพ่อ มากกว่านั้นอีกสักเท่าใด ที่พระองค์จะทรงรักและห่วงใย  ทะนุถนอมเรา ดังแก้วตาดวงใจ จะไม่ทำอะไรอย่างนั้นแน่นอน  ถูกไหมครับ? เห็นชัดเจน

ในบริบท หนังสือฮีบรูที่กำลังพูดถึงนี้  ความทุกข์ยากลำบาก อย่างที่บอกว่าเป็นความทุกข์ยากลำบากที่มันเกิดขึ้นจากความวิปริต ความเสียหายของโลกใบนี้ ก็คือผู้ที่มาเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ โลกใบนี้ไม่ได้เป็นสถานที่อยู่อาศัยของเราอีกต่อไป โลกใบนี้เป็นศัตรูทางฝ่ายวิญญาณกับเราเรียบร้อยไปแล้วนั่นเอง ฮีบรู 12:9-10 …

ฮีบรู 12:9-10  “9 ยิ่งไปกว่านั้น เราทั้งปวงล้วนมีบิดาซึ่งเป็นมนุษย์ผู้ตีสอนเรา  และเราเคารพนับถือท่าน ที่ทำเช่นนั้น ยิ่งกว่านั้นสักเพียงใด ที่เราควรอยู่ในโอวาทของพระบิดา แห่งจิตวิญญาณของเราและมีชีวิตอยู่  10  บิดาของเราตีสอนเราชั่วระยะหนึ่ง  ตามที่คิดเห็นว่าดีที่สุด  แต่พระเจ้าทรงตีสอนเรา เพื่อประโยชน์ของเรา  เพื่อเราจะได้มีส่วนในความบริสุทธิ์ของพระองค์”

 

ทราบแล้วนะว่าตีสอนหมายถึงอะไร?  เราทุกคนมีพ่อซึ่งเป็นมนุษย์ ที่คอยสั่งสอน อบรม ฝึกฝนเราด้วยความรัก  ห่วงใยเรา ดังแก้วตาดวงใจ  ซึ่งพ่อที่เป็นมนุษย์จะสั่งสอนเรา เพียงแค่ชั่วเวลาสั้นๆ ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  ไม่กี่ปีเท่านั้นเอง  ขนาดแค่นั้น เรายังให้ความเคารพ รักพ่อของเรามากขนาดไหน?  ยังเชื่อฟังท่าน แม้กระทั่งบางครั้ง ท่านไม่อยู่แล้ว ยังจำคำสอนท่านได้เลย ให้เป็นคนดีนะ อย่าโลภนะ แล้วมากกว่านั้นสักเท่าใด ที่พระเจ้า พระบิดาผู้ทรงสถิตในสวรรค์ เป็นพ่อแห่งจิตวิญญาณ  ที่คอยดูแล เอาใจใส่  สั่งสอน เข้ามาพิสูจน์ในจิตใจ ชันสูตรในจิตใจส่วนลึกของเราอย่างลึกซึ้งว่าเรานิสัยเป็นอย่างไร? อะไรรับได้ อะไรรับไม่ได้ เพื่อจะสั่งสอน ดูแลเรา ทะนุถนอมเรา ดังแก้วตาดวงใจ ไม่ใช่เฉพาะชีวิตที่อยู่บนโลกใบนี้เท่านั้น แต่ไปจนกระทั่งถึงชีวิตนิรันดร์ ในสวรรค์นิรันดร์กาลกับพระองค์เลย  มากกว่านี้อีกสักเท่าใดที่เราควรจะเชื่อฟัง เคารพ รักพระองค์มากกว่าพ่อที่เป็นมนุษย์มากกว่านั้นอีกสักเท่าใด  เรายิ่งควรจะอยู่ในโอวาทของพระเจ้าขนาดไหน? อยู่ในความเชื่อฟังและรักพระองค์ และกตัญญูต่อความรัก เข้าใจถึงความรัก ความห่วงใยของพระองค์มากกว่านั้นสักเท่าใด

การเชื่อฟังและการอยู่ในโอวาทของพระเจ้า คืออะไร? ท่านก็ยังถามว่าสำหรับพระเจ้าแล้ว การเชื่อฟังและการอยู่ในโอวาทของพระเจ้า ก็คือการยอมให้พระเจ้าเข้ามาฝึกฝน ปรับปรุง แก้ไขเรา  เพื่อประโยชน์ เพื่อสิ่งดีๆ จะได้เกิดขึ้นในชีวิตของเรานั่นเอง เพื่อให้ชีวิตของเราเป็นผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ซึ่งอยู่ในเรา ที่เราได้บังเกิดใหม่ในพระเยซู ผลของการเป็นผู้ชอบธรรม เป็นลูกของพระเจ้า ที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ให้ผลของความบริสุทธิ์ ความดีงาม และฤทธิ์เดชอำนาจในพระเยซูคริสต์ได้หลั่งไหลออกมาจากในชีวิตของเรา จะหลั่งไหลออกมาด้วยการสอน ฝึกฝน  อบรม ชันสูตรจิตใจของเรา ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงชีวิตของเรา ทีละเล็กทีละน้อย ด้วยความรัก ความห่วงใย  ดุจดังแก้วตาดวงใจของพระเจ้าผู้เป็นพ่อฝ่ายวิญญาณของเรา ผู้ให้กำเนิดเราในวิญญาณนั่นเอง …

ฮีบรู 12:11 “ไม่มีการตีสอนใดดูน่าชื่นใจในเวลานั้น มีแต่จะเจ็บปวด แต่ภายหลังจะเกิดผลเป็นความชอบธรรมและสันติสุขแก่บรรดาผู้รับการฝึกฝน โดยการตีสอนนั้น”

 

“ไม่มีการสอนใด ดูน่าชื่นใจ” แน่นอนถ้าพระเจ้าเข้ามาโอบกอดเรา ให้ความรักกับเรา แล้วค่อยๆ สอนเรา ฝึกฝนเราให้มีความอดทน แน่นอน ความอดทน แสดงว่าเรากำลังเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก  ความเจ็บปวด ซึ่งความเจ็บปวด ทุกข์ทรมานเหล่านั้น  มันจำเป็นต้องเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ ไม่ว่าเราจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อ มันเกิดขึ้นอยู่แล้ว เพราะว่ามันเป็นความจริงที่โลกได้ถูกสาปแช่ง โลกวิปริต ที่เราได้พูดกันตอนต้นเรียบร้อยว่าโลกมีแต่ความชั่วร้าย  โลกมีแต่ความทุกข์อยู่แล้ว  ไม่ได้เป็นบุตรพระเจ้า ไม่ได้มาเชื่อพระเจ้า  ก็อยู่ในความทุกข์นั้นอยู่แล้ว  พอมาเชื่อพระเจ้าก็อยู่ในความทุกข์เหล่านั้นเหมือนกัน   ไม่ต่างอะไรกันเลย  แต่ในขณะที่ตกอยู่ในความทุกข์ยากลำบาก พระเจ้าจะเข้ามาในลักษณะของการเป็นพ่อของเรา ดูแลจิตวิญญาณของเรา อยู่ในร่างกายของเรา จะเข้ามาโอบกอดเรา โอบอุ้มเรา ดูแลเอาใจใส่เราเป็นพิเศษ แล้วก็บอกเราว่า …

“อดทนนะลูก เดี๋ยวพ่อจะให้กำลังใจตรงนี้ เดี๋ยวพ่อจะช่วยตรงนี้  พ่อจะช่วยอย่างนั้น อย่างนี้”

ค่อยๆ ประคับประคองให้เราดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ผ่านอุปสรรค ปัญหาต่างๆ เหล่านั้นได้ เปาโลบอกว่าสามารถเผชิญกับทุกสถานการณ์ คือความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้นได้ โดยฤทธิ์อำนาจของพระเยซูคริสต์ผู้ทรงเสริมกำลังให้กับเราตลอดเวลา

เราจะได้เริ่มต้นเรียนรู้ พระเจ้าจะสอนให้เราได้เรียนรู้ เรียนรู้จักที่จะพึงพอใจในทุกสถานการณ์ ที่เผชิญอยู่บนโลกใบนี้ ซึ่งคือความทุกข์ยากลำบากนั่นเอง ถ้าใช้คำว่าเผชิญ คือความทุกข์ยากลำบาก  ถ้าใช้คำว่าทุกข์ยากลำบาก ก็คือสิ่งที่เจ็บปวด แต่สิ่งที่เจ็บปวดเหล่านี้ พระเจ้าจะใช้ให้เป็นประโยชน์ในการสอนลูก ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก ผ่านไปได้ด้วยดี เพราะอย่างไรก็ต้องผ่านอยู่แล้ว เหมือนพระคัมภีร์บอกว่าพระองค์จะทรงจูงมือเราผ่านหุบเขาเงามัจจุราช มันทำเราได้แค่ไหน? ก็แค่ความทุกข์ยากลำบาก ความเจ็บปวด ซึ่งพระเจ้าจะให้กำลังกับเราทนได้นั่นเอง

เพราะฉะนั้น ความอดทนตรงนี้แหละ คือสิ่งที่พระเจ้ากำลังจะค่อยๆ สอนเรา ให้เราได้เรียนรู้จากการผ่านความทุกข์ยากลำบาก เพื่อผลแห่งพระวิญญาณของพระเจ้า  คือความชื่นชมยินดี ความรัก ความชอบธรรม  ความดีงาม จะได้ออกมาจากชีวิตของเราบนโลกใบนี้ได้ ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาเหล่านั้น

พระคัมภีร์มีเปรียบการฝึกฝน การปรับปรุง การเทรน  ในการฝึกฝนให้เราดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  เป็นผู้ใหญ่ในฝ่ายวิญญาณ  อยู่ได้ในทุกสถานการณ์ไปพร้อมๆ กับพระองค์ ฝึกฝนเรา  มีเปรียบเทียบในข้อพระคัมภีร์ในนี้บอกว่าฝึกฝนเราด้วยความรัก ความทะนุถนอม โดยใช้คำว่า “Scourges” ที่แปลว่า “Inquire Deeply” ที่แปลว่าชันสูตรเข้าไปลึกซึ้งในชีวิตจิตใจของเราว่าเราเป็นคนเช่นไร?  สามารถแปลได้อีกความหมายหนึ่งว่า “การไถหว่าน”

พระเจ้าจะไถหว่านเรา คือชาวนาไถหว่าน เพื่อหวังผลเช่นเดียวกัน  พระเจ้าฝึกฝนเราเทรนเรา เพื่อให้เป็นผลของความชอบธรรมและสันติสุข ให้เกิดขึ้นกับชีวิตของเราทั้งหลาย  ที่เป็นลูกของพระองค์แล้ว

ท่านลองนึกถึงภาพการไถนาของชาวนา ไถลงไปในดิน ยิ่งลึกยิ่งดี  ดินจะได้สวย จะได้เก็บกินผลได้เต็มที่ ถ้าดินมันพูดได้ มันคงบอกว่า …

“โอ้โห! เจ็บ เจ็บ เจ็บ”

เพราะการไถลงลึกๆ เป็นทางยาว เพื่อให้มันเกิดผล เช่นเดียวกัน พระเจ้าใช้ความทุกข์ยากลำบากที่เกิดขึ้นกับเรา บนโลกใบนี้  ซึ่งเต็มไปด้วยความชั่วร้ายอยู่แล้ว  ซ้ำอีกทีหนึ่งก็ได้ว่าไม่ว่าจะเป็นคริสเตียนหรือไม่เป็นคริสเตียน ไม่ว่าจะเป็นลูกพระองค์หรือไม่เป็นลูกพระองค์ก็ตาม อยู่บนโลกใบนี้  อยู่ในความทุกข์ยากลำบาก  อยู่ในความชั่วร้าย  อยู่ในภัยพิบัติต่างๆ  ที่คาดไม่ถึง เกิดขึ้นเมื่อไรไม่รู้ตัวเลย ที่เรียกว่าตายเมื่อไร ก็ไม่รู้ตัว ความเจ็บปวด ความทุกข์ยากลำบาก ความชั่วร้ายเหล่านี้ มันมีอยู่แล้ว  แต่ถ้าท่านมาเชื่อในพระเจ้า วางใจในพระองค์ เชื่อในพระเยซูคริสต์ที่ได้ไถ่บาปให้กับท่าน ต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามาอยู่ในชีวิต ท่านก็จะได้รับสิทธิ์กลายเป็นลูกของพระเจ้า พอเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว พระเจ้ามาสถิตอยู่กับท่านข้างใน พระเจ้าจึงสามารถเข้ามาช่วยท่านได้  ในการดำเนินชีวิตท่ามกลางปัญหา ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้นได้  ถ้าท่านไม่ใช้สิทธิ์ของท่าน ไม่เชื่อ ไม่วางใจในพระเยซูคริสต์จะพึ่งตนเอง ท่านก็ต้องดำเนินชีวิตท่ามกลางความทุกข์ยากลำบากนี้ ด้วยตนเองเพียงผู้เดียว ไม่มีใครสามารถช่วยท่านได้ พระเจ้าผู้เป็นพ่อ ก็ไม่มาบังคับช่วยท่านได้เลย เพราะท่านไม่รับพระองค์ให้มาเป็นพ่อนั่นเอง

นี่คือความหมายของถ้อยคำเมื่อสักครู่ ถ้าท่านเป็นบุตร พระเจ้าก็จะเข้าไปช่วยเหลือทุกอย่าง แต่ถ้าท่านไม่เป็นบุตร พระองค์ก็อยากจะช่วย แต่ช่วยไม่ได้ เพราะการจะเป็นบุตรหรือไม่ ท่านต้องเป็นผู้ตัดสินใจเองว่าต้องการใช้สิทธิ์ที่พระเยซูคริสต์ทำให้กับท่าน พระเยซูมาตายที่ไม้กางเขน เป็นขึ้นมาจากความตายในวันที่ 3  เพื่อทำให้มนุษย์ทุกคนสามารถเข้ามาหาพระเจ้า เข้ามาเป็นบุตรของพระเจ้าได้ ทำไปเรียบร้อยแล้ว  ก็คือทำให้มนุษย์ทุกคนเป็นบุตรของพระเจ้าแล้ว พูดง่ายๆ คือพระเยซูได้กระทำให้มนุษย์ทุกคนเป็นบุตรของพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว  ที่ไม้กางเขน สำเร็จเรียบร้อยแล้ว

แต่ต้องได้รับอนุญาต หรือมนุษย์คนนั้นต้องเป็นผู้ใช้สิทธิ์ด้วยตนเอง เมื่อใช้สิทธิ์ เขาก็ได้สิทธิ์ของเขาไป เพราะพระเยซูคริสต์ทำให้สิทธิ์เขาเกิดขึ้นเรียบร้อยไปแล้ว เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว  ถ้าเขาไม่รับ ก็ไม่มีประโยชน์ สิทธิ์ในการเป็นบุตรของพระเจ้า ก็วางอยู่ตรงนั้น ไม่ได้ใช้  แต่สิทธิ์ในการเป็นบุตรของพระเจ้าที่พระเยซูคริสต์ทำให้นั้น ถ้าเขารู้ เขาเชื่อ และรับ จะใช้สิทธิ์นี้ เขาก็ได้สิทธิ์นั้นทันที เพราะเขาเป็นเจ้าของมรดก เจ้าของสิทธิ์นี้ในการเป็นลูกของพระเจ้าอยู่แล้ว  ไม่มีใครสามารถเอาไปได้เลย  แล้วไม่เกี่ยวข้องว่าเขาจะทำดีหรือไม่ดีขนาดไหน?  ทำชั่วขนาดไหน มันไม่เกี่ยวเลย พระเยซูคริสต์ได้ตายแล้ว  ได้เป็นขึ้นจากความตายแล้ว ได้กระทำการงานทั้งหมดนี้สำเร็จเรียบร้อยแล้ว ที่ไม้กางเขนนั้น  2,000 ปีเรียบร้อยแล้ว  ได้ถูกประกาศมาถึงทุกวันนี้  เพียงท่านเชื่อและวางใจเท่านั้น

กลับมาถึงคำว่า “ตีสอน” อีก หลายคนยังมีความเข้าใจผิด คิดว่าการสั่งสอน หรือการฝึกฝนของพระเจ้าเป็นเรื่องของการกระทำที่ผ่านมา เช่นเราทำอะไรผิดไป พระเจ้าจะได้สอนเรา  ตีเรา อะไรต่างๆ เหล่านั้น  เพราะเราไปทำผิด ไปทำบาปมา พระเจ้าก็เลยตีสอนเรา ซึ่งจริงๆ แล้ว เข้าใจผิด จริงๆ แล้วการตีสอน หรือการฝึกฝนของพระเจ้า  การปรับปรุงชีวิตของเรา  เป็นเรื่องของอนาคต ไม่ใช่เรื่องของอดีต ไม่ใช่ว่าเราไปทำอะไรไม่ดีมา พระเจ้าก็เลยสั่งสอนเรา แต่พระเจ้าสั่งสอน ฝึกฝนเรา เพื่อให้เราไปสู่อนาคตที่ดีขึ้นต่างหากล่ะ  อดีตไปทำอะไรผิดมา พระเจ้าบอกล้มแล้วลุก ไม่พูดถึงเลย  ป้องกันเราจากอนาคตต่างหาก จากการถูกล่อลวง หลอกลวงของโลกใบนี้  ซึ่งเป็นระบบที่มารใช้อยู่  ในการเป็นศัตรูกับพระเจ้า ให้เราดื้อต่อพระเจ้า แล้วเราก็จะได้รับสิ่งที่ไม่ดี แต่พระเจ้าต้องการให้เราเชื่อฟัง เพื่อเราจะได้รับสิ่งที่ดีต่างหากล่ะ

พระคัมภีร์ย้ำแล้วย้ำอีกว่าพระเจ้าไม่เคยจดจำความผิดบาปของเรา พระเจ้าไม่มีวันลงโทษ ในความบาปผิดของเรา เพราะบาปทั้งหมดของเราได้ถูกรับแทนไปเรียบร้อยแล้ว  โดยพระเยซูคริสต์ ที่ถูกตรึงอยู่ที่ไม้กางเขน  แบกรับเอาบาปของเราไปเรียบร้อยแล้ว ด้วยรอยแผลเฆี่ยนของพระเยซู เราได้รับการรักษาให้หายจากบาปทั้งปวง  เป็นอิสระจากโทษของความบาปและความตายเรียบร้อยไปแล้วนั่นเอง ไม่มีอีกต่อไป ไม่มีการลงโทษ และพระเจ้าก็ไม่จำด้วย

เพราะฉะนั้น อย่าให้สิ่งเหล่านี้มาถ่วงเราอยู่ อย่าพยายามให้มารมาเสี้ยมเรา เข้าใจพระเจ้าผิด แล้วก็กลัวพระเจ้า กลัวจนกระทั่งถึงขนาด เดินทางสู่สวรรค์ก็ไม่มั่นใจแล้วว่าวันนั้น วันที่จากโลกนี้ไป  พระเจ้าจะรับเราเป็นลูกหรือไม่? พระเจ้าจะให้เราเข้าสวรรค์ไหม?  เราทำอันนั้นผิด อันนี้ผิด เยอะแยะ เพราะเราเข้าใจพระเจ้าผิด  ในที่สุด เราก็ไปสวรรค์อยู่ดี แต่ไปสวรรค์ในขณะที่เราดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เหมือนไม่ได้อยู่ในสวรรค์ เหมือนเป็นคนไม่ได้เชื่อหนึ่งคน แล้วยังคงทำลายความจริงที่พระเยซูคริสต์บอกว่าพระองค์ทำสำเร็จแล้ว  เรายังคงเดินทางไปสู่สวรรค์ด้วยการชดใช้บาปของตนเองอยู่ โดยการพยายามพึ่งพาตนเอง พยายามทำความดี เพื่อชดใช้ความบาปอยู่ ซึ่งไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้นเลย เชื่อและวางใจในพระเยซู และให้พระเยซู พระวิญญาณบริสุทธิ์นำ สอนเราในการดำเนินชีวิตที่ถูกต้องต่อไป

เป็นเรื่องที่น่าเสียใจ น่าเศร้าใจอย่างยิ่งที่บางทีเราได้ยินคริสเตียนบางคนบอกว่าโอ้โห! กิจการงานเสียหายหมด ล้มละลายหมด  เศรษฐกิจล่ม ถูกฟ้องล้มละลาย เข้ามาอธิษฐานกับพระเจ้า แล้วก็บอกว่า …

“พระเจ้าลูกขออภัยด้วย เพราะว่าลูกไม่ได้ถวายสิบลด ลูกจึงเป็นอย่างนี้”

ท่านลองคิดดูสิ มารสามารถใช้ขนาดนี้ได้  บางคนยิ่งหนักกว่านั้นอีก …

“เพราะลูกถวายไม่ครบสิบลด พระองค์จึงทำให้กิจการงานลูกที่เจริญรุ่งเรืองแล้วล่มสลาย”

พี่น้อง ฟังทางนี้เลย พูดมาถึงตรงนี้แล้ว อยากจะให้ท่านเข้าใจพระเจ้าได้ถูกต้องจริงๆ ว่าบนโลกใบนี้นั้น ไม่มีอะไรแน่นอน  ระบบของโลกใบนี้นั้นวิปริต เสียหายไปแล้ว  เพราะฉะนั้น ต้มยำกุ้งมา เราก็อาจจะเป็นเหยื่อของต้มยำกุ้ง บางคนยังไม่เข้าใจ ต้มยำกุ้ง หมายถึงวิกฤตทางเศรษฐกิจสมัยต้มยำกุ้ง เกิดการล่มสลายของระบบการเงินของโลกใบนี้ทั้งโลกเลย มันก็กระทบเป็นโดมิโนไปหมดเลย ซึ่งรวมทั้งประเทศไทยก็ถูกกระทบไปด้วย  พอประเทศไทยถูกระทบ คนที่ทำธุรกิจต่างๆ  ก็โดนไปค่อนประเทศ อะไรประมาณนี้ แล้วเราก็เป็นหนึ่งในนั้น  แล้วมารก็จะมาหลอกเราว่า …

“นี่ เพราะแกทำ” เพื่อให้เรากับพระเจ้าเข้าใจกันผิด นี่ยังดี เข้าใจผิดยังมาอธิษฐานกับพระเจ้า บางคนเข้าใจผิด โกรธพระเจ้าไปอีก …

“อวยพรมาดีๆ ทำไมอยู่ดีๆ ลูกไม่ได้ถวายสิบลดแค่นี้ ทำให้ลูกเป็นอย่างนี้เลย”

งอนพระเจ้าไปก็มี อะไรประมาณนี้ แล้วมีลักษณะอย่างนี้อีกเยอะ

พยายามชี้ให้ท่านเห็นว่ามารพยายามเสี้ยมให้เราเป็นคนละพวกกับพระเจ้า ให้พระเจ้าแทนที่จะอยู่ฝ่ายเรา กลายเป็นอยู่ฝ่ายต่อต้านเรา แล้วเราจะดำเนินชีวิตไปสู่ชีวิตนิรันดร์ได้ผาสุกได้อย่างไร ในเมื่อพระเจ้าที่อยู่ในเราตั้งแต่วันแรกที่เราได้บังเกิดใหม่ ได้รับเชื่อในพระเยซูคริสต์ พระเจ้ามาสถิตอยู่กับเราแล้ว แล้วเรายังเดินไปด้วยกันกับพระองค์ ไม่เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ยังตะขิดตะขวางใจ รู้สึกว่าพระเจ้าเป็นคนละฝ่ายกับเรา พระเจ้าเป็นคนเอาไม้มาเคาะเราตลอด แทนที่จะมาคอยอวยพร โอบอุ้ม โอบกอดเราด้วยความรัก ด้วยความห่วงใย  เป็นคนคอยมาจับผิดเรา  ทำผิดนิดหนึ่ง โดนตี อย่างนี้ไม่เรียกเข็นครกขึ้นสวรรค์ แล้วจะเรียกว่าอะไร? ไม่รู้จะเข็นครกแบบทรมานตัวเองไปทำไม อย่างนี้เป็นต้น

เราต้องเข้าใจตรงนี้ พระคัมภีร์บอกว่า … “ถ้าพระเจ้าอยู่ฝ่ายเรา ใครจะขวางเราได้” พูดย้ำยืนยันอยู่นั่นแหละ พระเจ้าอยู่ฝ่ายเราๆ

พระเจ้าตรัสว่า … “เราจะไม่ละทิ้งเจ้าให้อยู่ตามลำพัง เราจะอยู่กับเจ้า เราจะไม่ละทิ้งเจ้า เหมือนเด็กกำพร้า เหมือนลูกกำพร้า เราจะไม่ให้เจ้าอยู่ตามลำพังเลย”

ก็คือไม่ทิ้งให้เราเป็นลูกที่ไม่มีพ่อ พ่อจะคอยดูแลอยู่ ไม่ละเราอยู่ตามลำพัง ไม่มีวันไหน คืนไหนที่จะปล่อยให้เรานอนคนเดียวเลย ไม่ให้เราอยู่เพียงคนเดียวชั่วโมงหนึ่ง ไม่มีเลย ทุกเสี้ยววินาที ตลอดเวลา ทุกลมหายใจเข้าออกของเรา เมื่อเราเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว พระเจ้าอยู่ด้วยตลอดเวลา อยู่ด้วย และเป็นพวกเรา อยู่ข้างเรา เข้าใจหมดเลย อภัยให้หมดเรียบร้อยแล้ว …

“มา ไปด้วยกันลูก ไปด้วยกัน”

ศัตรูมีผู้เดียว คือมารเท่านั้นเอง แล้วมารใช้ระบบของโลกใบนี้ เพราะฉะนั้น ศัตรูของเรา ก็คือมารและระบบของโลกใบนี้เท่านั้นเอง ที่เป็นศัตรูกับพระเจ้า ที่คอยยุแหย่ ดึงเราออกจากทางของพระเจ้า ดึงเราให้เข้าใจพระเจ้าผิด  ซึ่งถ้ามันทำได้  ก็คือไม่อยากให้เราเชื่อในพระเยซูคริสต์เลย  ไม่อยากให้เรามาเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ ไม่อยากให้เรามาใช้สิทธิ์ของเรา  ที่พระเยซูคริสต์ทำให้กับเรา ได้มีโอกาสเป็นลูกของพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว  ให้เราเพิกเฉยต่อสิทธิ์นี้ ถ้าเป็นไปได้ แต่ถ้าเป็นไปไม่ได้ เรามาใช้สิทธิ์แล้ว เป็นลูกของพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว เกิดใหม่แล้ว เกิดเลย อยู่กับพระเจ้า และพระเจ้ามาสถิตอยู่กับเราแล้ว มันก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว  มันก็ทำวิธีนี้แหละ ไหนๆ มาเชื่อพระเจ้าแล้ว รอดแล้ว เป็นลูกพระเจ้าแล้ว ก็ทำให้ลูกพระเจ้าดูเหมือนไม่ใช่ลูกพระเจ้าบนโลกใบนี้ ทุกข์ๆ ลำบากไปหมด  แล้วก็ตำหนิพระเจ้า

พอโควิดเกิดขึ้น แทนที่จะคิดว่าระบบของโลกมันเป็นเช่นนี้เอง ระบบของโลกใบนี้มันเสียหาย ความเจ็บป่วยมันเกิดขึ้น เป็นเรื่องธรรมดา พอโควิดเกิดขึ้น ก็บอกว่าพระเจ้าเอาโควิดมาตีสอนให้กับมนุษยชาติ เพื่อมนุษยชาติจะได้กลับคืนมาหาพระเจ้า โควิดเกิดขึ้นกับโลกใบนี้ไม่พอ โควิดเกิดขึ้นกับเรา  เพราะว่าวันก่อนนี้เราไปโกรธเขา  เราไปโมโหเขา เราไปโลภอะไรบางอย่าง เพราะฉะนั้น เลยเอาโควิดมาตีเรา สอนเรา เพื่อเราจะได้เป็นคนดีในสายพระเนตรของพระองค์ อะไรอย่างนี้ ควรจะหมด ควรจะไม่มีอยู่ในสมองของคริสเตียนอีกต่อไป เป็นศัตรูของเรา เป็นผู้ทำสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดให้เกิดขึ้น

เพราะฉะนั้น ในวันนี้ จงอยู่กับพระเจ้า เป็นพวกเดียวกันกับพระเจ้า  จงอยู่ด้วยความเชื่อและวางใจในความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า และอยู่ในฐานะที่เป็นบุตรของพระเจ้า  มีสิทธิที่เราใช้เรียบร้อยแล้ว สำหรับคนที่ยังไม่ใช้สิทธิ์นี้เป็นของท่าน ตัดสินใจวันนี้ เปิดใจในวันนี้  ต้อนรับสิทธิของท่าน ในฐานะเป็นลูกของพระเจ้า ที่พระเยซูคริสต์ทำให้กับท่านเรียบร้อยแล้ว ท่านเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เพียงแต่ใช้สิทธิของท่านเท่านั้นเอง แล้วท่านจะรู้ว่าความรักของพระองค์ที่มีต่อท่านมากสักเท่าใด ถึงขนาดเรียกท่านทั้งหลายว่าลูกของพระเจ้า เหมือนบทเพลงที่เขาร้องกันว่า …

“ดูเถิด ความรักของพระเจ้า มากยิ่งสักเท่าใดประทานให้แก่เรา

ดูเถิด ความรักของพระเจ้า มากยิ่งสักเท่าใดประทานให้แก่เรา

ที่เราได้ชื่อว่าเป็นบุตรของพระเจ้า    ที่เราได้ชื่อว่าเป็นบุตรของพระเจ้า”

พระเจ้าอวยพรครับ

 

********************

 

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

มัทธิว 7:13-14  พระเยซูบอกว่า … “จงเข้าไปทางประตูแคบ  เพราะว่าประตูใหญ่และทางกว้างนั้นนำไปถึงความพินาศ และคนที่เข้าไปทางนั้นมีมาก เพราะว่าประตูซึ่งนำไปถึงชีวิตนั้นก็คับและทางก็แคบ ผู้ที่หาพบก็มีน้อย”

คนที่เข้าประตูคับทางแคบ คือคนที่พึ่งการกระทำของพระเยซูคริสต์ ไม่พึ่งในการกระทำดีตามกฎด้วยตนเอง

ประตูคับทางแคบ คือคนโง่เขลา ถูกกดดัน ถูกดูหมิ่น ถูกหัวเราะเยาะถูกข่มเหงจากสังคมภายนอก แต่ภายในใจเต็มไปด้วยสันติสุขความสงบ พักผ่อน หายเหนื่อย หมดภาระ หมดเวรหมดกรรมแล้ว

 

คนที่เข้าประตูใหญ่ทางกว้าง คือคนที่พึ่งการกระทำดีตามกฎระเบียบด้วยตนเอง ไม่พึ่งในการกระทำของพระเยซูคริสต์

ประตูใหญ่ทางกว้าง คือคนมีปัญญา ได้รับเกียรติ ได้รับการยกย่องสรรเสริญสนับสนุนจากสังคมภายนอก แต่ภายในใจเต็มไปด้วย ความเหน็ดเหนื่อยแบกภาระหนัก ไม่รู้เมื่อไหร่จะหมดเวรหมดกรรมสักที

 

สร้างบ้านบนศิลา คือพึ่งพาวางใจในพระเยซูผู้ช่วยให้รอดจาก โทษของความบาป จากความพินาศ เป็นผู้บริสุทธิ์ครบถ้วนไร้ ตำหนิ และได้อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้านิรันดร์หลังความตาย

 

สร้างบ้านบนทราย คือพึ่งพาวางใจในตนเองในการกระทำของตนเอง ที่จะรักษาความดีตามกฎระเบียบที่ สติปัญญามนุษย์ คิดว่าดีเพื่อจะรอดจาก โทษของความบาป จากความพินาศ เพื่อจะเป็นผู้บริสุทธิ์ครบถ้วนไร้ตำหนิ เพื่อจะได้อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้านิรันดร์หลังความตาย

 

มัทธิว 7:24-27 พระเยซูบอกว่า … “เหตุฉะนั้น ผู้ใดที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเรา และประพฤติตาม  เขาก็เปรียบเสมือนผู้ที่มีสติปัญญา สร้างเรือนของตนไว้บนศิลา ฝนก็ตกและน้ำก็ไหลท่วม ลมก็พัดปะทะเรือนนั้น แต่เรือนมิได้พังลง เพราะว่ารากตั้งอยู่บนศิลา แต่ผู้ที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเรา และไม่ประพฤติตาม เขาก็เปรียบเสมือนผู้ที่โง่เขลา สร้างเรือนของตนไว้บนทราย ฝนก็ตกและน้ำก็ไหลท่วม ลมก็พัดปะทะเรือนนั้น เรือนนั้นก็พังทลายลง และการซึ่งพังทลายนั้นก็ใหญ่ยิ่งนัก”

 

พระเจ้าอวยพรครับ

 

 

วารสาร Holy News ฉบับที่ 1333

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  10  ตุลาคม  2021

 เรื่อง “ธรรมชาติเดียวกับพระคริสต์”

ตอน “เปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจเสียใหม่”

โดย ธิดารัตน์  ร่มพระคุณ

 

สวัสดีค่ะ เมื่อเราทั้งหลายได้รู้ว่าเราเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว เราก็ได้รับการชำระล้างใหม่ ร่างกาย จิตใจ และวิญญาณของเราได้ถูกกระทำให้เปลี่ยนใหม่  ได้บังเกิดใหม่ด้วยความเชื่อ โดยพระวิญญาณ ร่วมกันกับพระเยซูคริสต์ แต่ก่อนนี้เราอยู่ในฝั่งกฎแห่งความตาย แล้วเราย้ายฝั่งมาอยู่ฝั่งแห่งชีวิตในพระเยซูคริสต์

ดังนั้น เราไม่ต้องถูกพิพากษาลงโทษ ในการกระทำของเราอีกต่อไป วิญญาณของเราได้รับความรอดแล้ว  ในยอห์น 3:16 บอกว่า …

ยอห์น 3:16 “เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์”

 

พระองค์ไม่ได้มาพิพากษาโลก แต่มาช่วยโลกให้รอด  แต่บรรดาผู้ที่เชื่อและต้อนรับพระองค์ ผู้ที่วางใจในพระองค์ว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เขาทั้งหลายจะได้รับความรอด

ท่านเชื่อด้วยปาก และรับด้วยใจว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า ท่านก็รอด ไม่ต้องถูกพิพากษา ไม่ใช่ด้วยการกระทำดีของท่าน แต่ด้วยพระคุณ เพราะความเชื่อ

ฉะนั้น การกระทำของเราในโลกนี้ มันจะเป็นอย่างไรก็ตาม ถ้าข้างในเราเชื่อในพระเยซูคริสต์ เมื่อวิญญาณเราหลุดออกจากร่างกายนี้ วิญญาณของเราได้สวมร่างกายใหม่ เราก็จะไม่ใช่ผู้ที่ถูกพิพากษาให้ตกนรก แต่เป็นผู้ที่ผ่านพ้นการถูกพิพากษา นั่งร่วมกันกับพระเยซูคริสต์ บนสวรรคสถาน พิพากษาจักรวาลนี้ร่วมกับพระองค์

นี่คือสิ่งที่ล้ำลึกและอัศจรรย์ แต่ทำไมต้องมาแบ่งปันในเรื่องวันนี้ เพราะว่ามันเหมือนเป็นชีวิตประจำวันของเรา ที่เราเผชิญหน้าอยู่ทุกวัน แล้วเราก็รู้สึกมันอึดอัด มันมีการต่อสู้ มันมีการขัดขวาง เพราะว่าธรรมชาติใหม่ มันไม่ไปด้วยกันกับร่างกายเดิมของเรา หรือว่าตัวถังเราไม่ไปด้วยกัน มันขัดกัน มันก็ต่อสู้กัน เราก็ดำเนินชีวิตอย่างยากลำบาก จริงๆ เรามีชีวิตอยู่อย่างหายเหนื่อยและเป็นสุขแล้ว  แม้แต่ในโลกนี้ เราก็ควรจะหายเหนื่อยและเป็นสุขแล้ว เพราะว่าพระเจ้า พระเยซูได้บอกว่าผู้ใดก็ตาม ที่มาหาพระองค์ เรียนรู้จักพระองค์ พระองค์จะทำให้เราทั้งหลายหายเหนื่อยและเป็นสุข

พระเจ้าได้ทรงชำระล้างความบาปให้ท่านเรียบร้อยแล้ววันนี้ ไม่ได้มาสอน ให้ท่านต่อสู้ ด้วยกำลังของท่านเอง แต่มาแจ้งให้รู้ เหมือนที่อาจารย์นครได้พูดบ่อยๆ ว่ารับรู้ จดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจ ให้เรารับรู้ และรู้ แล้วสามารถที่จะเคลื่อนไป ด้วยกันกับพระเจ้า ซึ่งอยู่ภายในเรา เราจะสามารถเคลื่อนไปกับพระองค์ได้อย่างง่ายดาย โดยที่ไม่ต้องใช้กำลังอะไรเลย แค่เคล็ดลับอย่างเดียว คือยอม เพราะว่าเมื่อเราเชื่อในพระองค์แล้ว พระเจ้าได้เข้ามาสถิตอยู่ในเรา พระบิดา พระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ภายในเรา เราเป็นของพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว แต่พระเจ้าไม่ได้เข้ามาสิง พระองค์ไม่ได้เข้ามาครอบครอง ในลักษณะควบคุม หรือบังคับ ให้เราเป็นหุ่นยนต์ แล้วเคลื่อนไหวไปตามพระองค์ แต่พระองค์ให้เรามีอิสระในการตัดสินใจเหมือนกับตอนที่พระองค์ทรงสร้างอาดัมกับเอวา พระองค์ให้อิสระกับเขาว่าจะเชื่อฟังพระองค์หรือไม่เชื่อฟัง

ฉะนั้น เมื่ออาดัมล้มลงในความบาปปุ๊บ ทำให้พงศ์พันธุ์ของเราต่อมาจากอาดัม ติดเชื้อบาปไปด้วย  มี DNA ของความบาป  มีเชื้อสายของความบาป และกระทำความผิดบาป นั่นเป็นธรรมชาติในชีวิตของเขา พระเจ้ารู้แล้ว พระเยซูก็เลยมา เพื่อทำสิ่งนี้ให้กับเรา คือมาอยู่ในเรา เพื่อกระทำร่วมกับเรา

สมัยอาดัมกับเอวา พระองค์ไม่ได้อยู่ในเขา พระองค์ดำเนินกับเขา นั่นแสดงว่าพระองค์อยู่ข้างนอก แล้วพระองค์ก็คุย ดำเนินไปกับเขา แต่ในยุคของพระเยซูคริสต์ พระคริสต์ได้มาอยู่ในเรา พระเจ้าได้มาอยู่ในเรา พระคริสต์ได้ทำให้เรา มีสภาพเดียวกันกับพระเจ้า  เพื่อเราจะสามารถกลับคืนดีกับพระองค์ได้ และยังเป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ด้วย มีฤทธิ์อำนาจ มีสิทธิอำนาจเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ แต่พระองค์ยังคงเป็นพระเจ้าที่ทรงเต็มไปด้วยความรัก  สุภาพและอ่อนโยน

ในพระคัมภีร์บอกว่าคนชอบธรรมของพระเจ้าล้ม 7 ครั้ง เขาก็ลุกขึ้นได้ 7 ครั้ง ไม่มีอะไรมาทำลายเขาได้  เรียกว่าฆ่าไม่ตาย ความตายไม่มีชัยเหนือเขาอีกต่อไป นี่คือสิ่งที่พระคัมภีร์พูดถึง ท่านอาจจะล้มๆ ลุกๆ หรือทำบาปอีกไม่รู้กี่รอบ เพราะว่าขณะที่เรายังอยู่ในร่างกายเดิมนี้ เรายังต้องต่อสู้กันต่อไป จนกว่าเราจะหลุดออกจากร่างนี้ จำได้ไหมเรายังมีกฎของจักรวาล กฎของโลก กฎของชีวิตและความตาย เราผ่านพ้นกฎของความตาย มาอยู่กฎของชีวิตแล้วก็จริง แต่ร่างกายเรายังอยู่ในกฎของโลก เรายังต้องแก่ เจ็บ ตายเหมือนกันกับคนในโลกนี้ สมองเรายังสามารถรับรู้ สั่งการและผลิตออกไป ซึ่งพฤติกรรม การกระทำที่ทั้งดีและไม่ดีได้เท่ากันกับผู้อื่น

ฉะนั้น เราก็จะรู้สึกอึดอัด เมื่อเราเชื่อในพระเยซูคริสต์ ข้างในเราไม่เหมือนเดิมแล้ว หัวใจเราไม่เหมือนเดิม วิญญาณเปลี่ยนใหม่แล้ว แต่ทำไมล่ะ? เรายังเหมือนต้องต่อสู้กับความบาปที่เราต้องเผชิญหน้ากับมันอยู่ ทุกเมื่อเชื่อวัน อย่างพวกเรา ซึ่งเป็นผู้รับใช้ ก็ดีหน่อย อยู่แต่ในโบสถ์ ไม่ค่อยไปสู้รบกับใคร ไม่ได้ไปอยู่ในสังคม แต่พี่น้องที่อยู่ข้างนอก  ที่ต้องต่อสู้กับสังคมข้างนอก และโลกข้างนอก  และยังต้องเผชิญหน้ากับสิ่งที่ยั่วยวนและเย้ายวนเราอยู่ มันก็ยากสำหรับเรา เรามาดูที่โรม 12:1-2 ซึ่งเป็นการแจง เป็นลักษณะของการอธิบายเรียบร้อยแล้ว …

โรม 12:1-2 (NK-THV) “1 พี่น้องเห็นแก่พระคุณความเมตตาของพระเจ้าที่มีต่อเราทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอร้องท่าน ให้ยอมมอบอวัยวะทุกส่วนในร่างกาย พร้อมทั้ง (สมอง) ความคิด และสติปัญญาของท่าน เป็นเหมือนเครื่องบูชาที่มีชีวิตอยู่ ที่บริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ (เป็นสมบัติส่วนตัวของพระเจ้า) เป็นที่พอใจและพระเจ้าทรงรับได้แล้ว  เป็นการกตัญญูต่อพระเจ้า ที่สมควรในวิญญาณของเรา ที่ได้บังเกิดใหม่ โดยพระคุณพระเจ้า ซึ่งเป็นการนมัสการพระเจ้าด้วยวิญญาณและความจริง (โดยความถ่อมใจ ยอมรับ เต็มใจเชื่อฟังถ้อยคำที่พระเจ้าบอกว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์อย่างไม่มีเงื่อนไข) 2 ไม่ยอมประพฤติตามระบบของโลกนี้ แต่มายอมรับการเปลี่ยนแปลงความคิด สติปัญญา (โปรแกรมในสมอง) เสียใหม่ แล้วความประพฤติของท่านจะได้รับการเปลี่ยนแปลงให้เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า เพื่อท่านจะสามารถรับรู้ว่าอะไรที่เป็นความต้องการของพระเจ้า อะไรดียอดเยี่ยมสมบูรณ์แบบในสายตาของพระองค์ ตามแผนการของพระเจ้าที่วางไว้ให้กับท่านในพระเยซูคริสต์”

 

เมื่อเราทั้งหลายได้เชื่อในพระเยซูคริสต์ เราได้บัพติศมาในการตาย ในการถูกฝังไว้ ในการเป็นขึ้นมาใหม่ร่วมกันกับพระคริสต์ เราได้บังเกิดใหม่ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพระเจ้า สิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา ก็คือพระบิดา พระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้มาอยู่ภายในเรา เราได้หัวใจใหม่ ได้วิญญาณใหม่ เราได้การชำระล้างร่างกายใหม่ ความคิดจิตใจใหม่ แต่ทำไมพระคัมภีร์ข้อนี้ ยังบอกว่าให้เรามอบความคิด และอวัยวะทุกส่วนของเรา ให้กับพระเจ้าล่ะ?

เพราะว่าเรายังอยู่ในโลกใบนี้  เรายังต้องดำเนินชีวิตตามกฎของโลกนี้ เรายังอยู่ในกฎ ไม่ใช่ว่าเมื่อเชื่อพระเจ้าปุ๊บ เราเป็นมนุษย์อัศจรรย์ไปเลย ดูสวยงาม สง่า สดใส อันนั้นก็ไม่ใช่ธรรมชาติ พระเจ้าไม่แหกกฎของพระองค์เอง เมื่อพระองค์ตั้งสิ่งใดไว้ สิ่งนั้นจะดำรงอยู่ และยังต้องขับเคลื่อนต่อไป อย่างธรรมชาติ  ตามที่พระเจ้าตั้งไว้

ดังนั้น ร่างกายของมนุษย์ยังสามารถรับสิ่งที่อยู่ในโลกนี้เข้ามา ผ่านสมองของมนุษย์ แล้วเมื่อผ่านสมองของมนุษย์แล้ว มันก็จะเกิดออกมาเป็นการกระทำ สิ่งที่มันจะผ่านเข้ามาได้ ไม่ว่าจะเป็นความดี หรือไม่ดี ก็จะผ่านมาทางนี้ เป็นช่องทางเดียวกัน ก็คือการมองเห็น

ไม่ว่าเราจะมองเห็นอะไร? มองเห็นสิ่งที่ยั่วยวน ที่เป็นทางลบ หรือสิ่งที่เป็นของพระเจ้า เมื่อเรามองปุ๊บ สิ่งที่เกิดขึ้น ปฏิกิริยา กฎของร่างกาย ก็คือเรารับรู้ผ่านการมองเห็น หลังจากนั้น ก็จะเกิดการประมวล วิเคราะห์ ตัดสินใจ และส่งผลไปสู่การกระทำ แม้กระทั่งการรับรู้รส ก็เหมือนกัน หรือแม้แต่การได้กลิ่น ก็เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นการได้ฟัง หรือได้ยินอะไรมา เราก็จะเอามาประมวลผล วิเคราะห์ ตัดสินใจ และขับเคลื่อนไปสู่การกระทำ และผ่านการสัมผัส ในทางหลักวิทยาศาสตร์ การสัมผัส แต่ละส่วนของร่างกาย มีการรับรู้ที่ไวต่างกัน และการรับรู้เหล่านี้ ประมวลผลไปสู่ความคิด  จิตใจ และประมวลผลออกมาเป็นความปรารถนาที่อยากจะกระทำสิ่งนั้นๆ ออกมา ไม่ว่าจะเป็นตา เป็นปาก เป็นรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส สิ่งเหล่านี้ จะเป็นสิ่งที่ทั้งมารและพระเจ้าสามารถที่จะเข้ามาโน้มน้าว หรือเข้ามาสำแดง เพื่อให้เราได้ขับเคลื่อนไปในแต่ละทิศทางต่างๆ เหล่านั้นได้

แม้กระทั่งสิ่งที่ไม่อยากจะคาดคิดเลย ก็คือสมอง เราไม่ต้องมองเห็น เราอยู่ในห้องที่มืดๆ ไม่มีใคร เราปิดตา ไม่มีกลิ่น ไม่ต้องสัมผัส อยู่นิ่งๆ สมมติว่าเรานั่งสมาธิอยู่ สมองเราสามารถจะจินตนาการได้ไหมค่ะ? สมองเราสามารถจะทำชั่วได้ไหมค่ะ? สมองเรา ในพระคัมภีร์ใช้คำว่าป้อมปราการ เป็นตัวกำหนดขับเคลื่อนที่ใหญ่มาก  ที่จะทำให้เราผลิตการกระทำออกมา

แน่นอน เมื่อเราอยู่ในร่างกายที่ถูกชำระแล้ว สะอาด บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้าแล้ว แต่ยังอยู่บนโลก เหมือนเดิม ยังอยู่ในร่างเดิม ฉะนั้น ก็ยังเปิดโอกาสที่จะให้รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสและสมอง ความคิดสติปัญญา ยังสามารถที่จะไปจดจ่อ จดจำสิ่งที่อยู่ในโลกนี้ได้ สามารถที่จะไปรับสิ่งที่อยู่ในโลกนี้มาได้

การรับรู้เรื่องของโลก มันไม่ใช่เรื่องผิด แต่ถ้าการรับรู้นั้น มันต่อต้าน ขัดขืนความเป็นจริงของพระเจ้า หรือความรู้นั้น มาหักล้างความจริงของพระเจ้า หรือแม้กระทั่งข้อมูลดี ไม่ได้ทำอันตรายเลย   ค้นพบสิ่งหนึ่ง คือดูซีรี่ย์เกาหลีทั้งวันทั้งคืน ไม่เอาอะไรเข้าไปในหัวสมองเลย ท่านคิดว่าท่านจะเป็นอัลไซเมอร์ได้ไหมในอนาคต? เพราะสมองมันเป็นการรับรู้ฝ่ายเดียว ไม่ได้ผลิตอะไรออกไปเลย ฉะนั้น มันสามารถที่จะครอบครองสติปัญญา หรือความคิดของเราได้ มันสามารถที่จะกินพื้นที่ของการดำเนินชีวิตในทางของพระเจ้าได้ ฉะนั้น พระคัมภีร์จึงบอกว่าให้เราเปลี่ยนความคิด สติปัญญาใหม่ แล้วอุปนิสัยของเรา จึงจะเปลี่ยนใหม่

อันแรกเลยที่อาจารย์เปาโล ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในการดำเนินชีวิตในโลกนี้ ท่านค่อนข้างที่จะละเอียด เพราะว่าท่านเป็นบุคคลที่ยึดมั่น ในพระบัญญัติของพระเจ้า  613 ข้อ ปฏิบัติเป๊ะ เรียกว่าเป็นคนเคร่งเครียด ซีเรียสมาก ในการที่จะปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระเจ้า  เป็นคนที่ทุ่มเทต่อพระบัญญัติของพระเจ้าอย่างเคร่งครัด เมื่อท่านกลับใจใหม่มาเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ พอทุกอย่างกระจ่างปุ๊บ ทำให้ท่านมองเห็น ทะลุไปเลยว่าตัวท่านเองต่อต้านกับพระเจ้าอย่างไร? โดยพึ่งพากฎข้อบังคับที่จะไม่ให้มนุษย์ทำโน่นทำนี่ อย่าทำนั่นทำนี่ มันสามารถที่จะดึงท่านให้ตกลงไปในการพึ่งพาตัวเองได้ขนาดไหน?

สมัยก่อนเรายังไม่มีพระเจ้า พระเยซูคริสต์ยังไม่บังเกิดบนโลกมนุษย์ใบนี้ มนุษย์จำเป็นจะต้องพึ่งพาตัวเอง ที่จะต้องมีกฎระเบียบ เพื่อที่จะทำความดี  เพราะไม่อย่างนั้น สังคมจะวุ่นวาย  ความบาปก็จะเข้าครอบงำ แล้วความชั่วร้าย ยิ่งจะปกคลุมอยู่ในสังคมโลกมากขึ้น เพราะมนุษย์ที่เป็นคนบาป เดินป้วนเปื้อนอยู่เต็มโลกไปหมด แล้วเค้าโครงความคิดในใจเขาล้วนแต่ชั่วร้าย ดังนั้น จึงจำเป็นจะต้องมีบทบัญญัติขึ้นมา เพื่อที่จะให้เขากระทำด้วยตัวเอง เพราะว่าตอนนั้นยังไม่มีผู้ช่วยให้รอด เขาจำเป็นจะต้องทำ เขาจำเป็นจะต้องมี เพื่อช่วยเหลือตัวเองไม่ทำให้สังคมมันเน่าเฟะมากขึ้น หรือเต็มไปด้วยสิ่งที่ชั่วร้ายมากขึ้น มันต้องมีบรรทัดฐานและบัญญัติ แต่เมื่อพระเยซูคริสต์มาแล้ว เราไม่ต้องแบกสิ่งเหล่านั้นแล้ว เราไม่ต้องแบกบทบัญญัติ หรือข้อบังคับที่จะต้องทำแล้ว เพราะว่าพระคริสต์รู้ว่าต่อให้มีข้อบัญญัติเหลืออยู่ 2 ข้อ  คือรักพระเจ้าด้วยสิ้นสุดจิต สุดใจ สุดกำลัง สุดความคิด  และรักผู้อื่นเหมือนรักตัวเอง ท่านก็พลาด ต่อให้ 613 ข้อ หรือศีล 5 ข้อ หรือศีล 8 ข้อ หรือมีกี่ข้อ  ตามบทบัญญัติ ที่จะทำให้เราเป็นคนดี แม้แต่ศาสนาคริสต์ ที่เขาเรียกว่าศาสนาคริสต์บอกเหลือ 2 ข้อ ท่านก็ทำไม่ได้ เพราะท่านไม่สามารถที่จะทำด้วยกำลังของตัวเองได้ พระคริสต์จึงต้องเข้ามาอยู่ในท่าน ชำระล้าง แล้วมาช่วยท่าน พระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ไม่ต้องตะเกียกตะกาย เหมือนที่พาสเตอร์นครบอก เข็นครกขึ้นภูเขาก็ว่ายากแล้ว ท่านอย่าเข็นครกขึ้นสวรรค์เลย พระคริสต์มาบังเกิดเพื่อท่านแล้ว มาตายเพื่อท่านแล้ว มาแบกรับบาปแทนท่านแล้ว  มาซื้อท่านจากอำนาจของความบาปและความตายแล้ว ท่านเป็นของพระเยซูคริสต์แล้ว ท่านไม่ต้องตะเกียกตะกายทำอีกต่อไป ท่านแค่ยอม เปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจเสียใหม่ว่าท่านบังเกิดใหม่แล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ท่านสะอาด บริสุทธิ์แล้ว ท่านจะทำบาปกี่ร้อยครั้ง  ท่านก็รอดแล้ว ท่านผ่านพ้นจากการถูกพิพากษาไปสู่ชีวิตแล้ว ท่านเป็นคนใหม่แล้ว ท่านเป็นลูกของพระเจ้าที่ถูกชำระแล้ว พระบิดา พระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ภายในท่าน ท่านมีสง่าราศีร่วมกันกับพระเยซูคริสต์ และนั่งอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์บนสวรรคสถาน ไม่เป็นไร เดี๋ยวอีกไม่นานก็จะถอดร่างนี้ เมื่อร่างนี้กลับกลายเป็นดินปุ๊บ พระเจ้าได้เตรียมร่างใหม่ให้กับเรา พระเจ้าได้เตรียมโลกใหม่ให้กับเรา นั่นคือมรดกที่ถูกจัดเตรียมไว้ในสวรรคสถาน และเป็นความหวังใจที่เรามีในพระเยซูคริสต์ ซึ่งตรงนี้ ทุกคนแปลความหมายของมรดกผิดไป แต่ความจริงแล้ว พระเจ้าได้เตรียมร่างกายและโลกใหม่ให้กับเรา นั่นคือมรดกที่จัดเตรียมสำหรับเราทั้งหลายเรียบร้อยแล้ว ใน 2 โครินธ์ 10:5-6 บอกว่า …

2 โครินธ์ 10:5-6 “5 เพราะว่าถึงแม้เราอยู่ในโลกก็จริง แต่เราก็ไม่ได้สู้รบตามโลียวิสัย เพราะว่าศาสตราวุธของเราไม่เป็นฝ่ายโลกียวิสัย แต่มีฤทธิ์เดชจากพระเจ้า ที่สามารถทำลายป้อมปราการได้  คือทำลายความคิดที่มีเหตุผลจอมปลอม และทิฐิมานะทุกประการ ที่ตั้งตัวขึ้นขัดขวางความรู้ของพระเจ้า 6 และน้อมนำความคิดทุกประการให้เข้าอยู่ใต้บังคับ จนถึงรับฟังพระคริสต์”

 

เราแค่ยอม ยอมให้ถ้อยคำของพระเจ้า ให้ความจริงของพระเจ้า ที่พระเจ้ากระทำในชีวิตของเรามาอยู่ในเรา  ให้เราเชื่อว่าเราเป็นคนชอบธรรมแล้ว เรารอดแล้ว เราเชื่อในพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า ผู้ซึ่งรักเรา และได้ตายแทนเราบนไม้กางเขน เรามีพระวจนะของพระเจ้าไว้ต่อสู้ มีความจริงของพระเจ้าคาดเอวของเรา เราจะเดินไปไหนมาไหน เราพูดย้ำๆ ซ้ำๆ ถึงเรื่องข่าวประเสริฐของพระคริสต์ เพราะว่าข่าวประเสริฐของพระคริสต์ เป็นฤทธิ์เดชของพระเจ้า ไม่ใช่ด้วยสติปัญญา หรือความคิดของเราเอง เราแค่พูดออกไป คำพูดนี้ นอกจากจะทำให้เราหนักแน่น มั่นคง ซึ่งจริงๆ เราไม่ต้องหนักแน่นก็ได้ แต่มันก็ทำให้เรายืนอย่างมั่นคงได้ ก็คือเรารู้ว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์

และสิ่งต่อไป ก็คือยอมมอบอวัยวะทุกส่วนในร่างกาย ซึ่งเป็นร่างเดิมที่ถูกชำระแล้ว ให้กับพระเจ้า ไม่ยอมมอบอวัยวะใดๆ ของเราให้กับบาป

เปาโลได้พูดสิ่งหนึ่งไว้ ซึ่งจริงๆ ท่านน่าจะเป็นคนที่มีความดีงามประดับกายได้มากกว่าเรา แต่ท่านพูดสิ่งนี้ เราไปอ่านดูด้วยกัน ในโรม 7:15-25 …

โรม 7:15-24 “15 “ข้าพเจ้าไม่เข้าใจการกระทำของข้าพเจ้าเอง เพราะว่าข้าพเจ้าไม่ทำสิ่งที่ข้าพเจ้าปรารถนาที่จะทำ แต่กลับทำสิ่งที่ข้าพเจ้าเกลียดชังนั้น 16 เหตุฉะนั้น ถ้าข้าพเจ้าทำสิ่งที่ข้าพเจ้าไม่ปรารถนาที่จะทำ และข้าพเจ้ายอมรับว่าธรรมบัญญัตินั้นดี 17 ฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงมิใช่ผู้กระทำ แต่ว่าบาปซึ่งอยู่ในตัวข้าพเจ้านั่นเองเป็นผู้ทำ 18 ด้วยว่าในตัวข้าพเจ้า คือในตัวของข้าพเจ้าไม่มีความดีประการใดอยู่เลย เพราะว่าเจตนาดีข้าพเจ้าก็มีอยู่ แต่ซึ่งจะกระทำการดีนั้น ข้าพเจ้าหาได้กระทำไม่ 19 ด้วยว่าการดีนั้น ซึ่งข้าพเจ้าปรารถนาทำ ข้าพเจ้าทำไม่ได้ แต่การชั่วซึ่งข้าพเจ้ามิได้ปรารถนาทำ ข้าพเจ้ายังทำอยู่ 20 ถ้าแม้ข้าพเจ้ายังทำสิ่งซึ่งข้าพเจ้าไม่ปรารถนาจะทำ ก็ไม่ใช่ตัวข้าพเจ้าเป็นผู้กระทำ แต่บาปซึ่งอยู่ในตัวข้าพเจ้านั้นเองเป็นผู้กระทำ 21 ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงเห็นว่าเป็นกฎธรรมดาอย่างหนึ่ง คือเมื่อใดที่ข้าพเจ้าตั้งใจจะกระทำความดี ความชั่วก็พร้อมที่จะผุดขึ้น 22 เพราะว่าส่วนลึกในใจของข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้าชื่นชมในธรรมบัญญัติของพระเจ้า 23 แต่ข้าพเจ้าเห็นมีกฎอีกอย่างหนึ่งอยู่ในกายของข้าพเจ้า ซึ่งต่อสู้กับกฎแห่งจิตใจของข้าพเจ้า และชักนำให้ข้าพเจ้าอยู่ใต้บังคับกฎแห่งบาป ซึ่งอยู่ในกายของข้าพเจ้า 24 โอ๊ย! ข้าพเจ้าเป็นคนน่าสมเพชอะไรเช่นนี้ ใครจะช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากร่างกายนี้ ซึ่งเป็นของความตายได้”

 

สมัยก่อน ก็จะเป็นอย่างนี้ รู้ว่าอะไรดี อะไรไม่ดี รู้ดีรู้ชั่ว แต่ทำดีไม่ได้ มักจะหันไปทำชั่วตลอดเวลา เคยเป็นไหมค่ะ? สมัยที่เรายังไม่เชื่อพระเจ้า เป็นอย่างนั้นจริงๆ เมื่อมาเชื่อพระเจ้าแล้ว มันไม่มีอิทธิพลต่อไป อันนี้เปาโลกำลังพูดถึงตอนที่ท่านยังไม่เชื่อพระเจ้า แล้วท่านรู้สึกตัวอย่างนั้น  อะไรดี ก็รู้ อะไรไม่ดี ก็รู้ แต่สิ่งที่ทำส่วนใหญ่ 99% คือชั่ว คิดไม่ดี อิจฉาริษยา นินทาคนอื่น ตำหนิติเตียน ชี้คนอื่นต่ำต้อย เย่อหยิ่ง ทะนง มีทิฐิ โอ้อวด ยโส โอหัง หว่านความแตกแยก ข้างในรู้ดีไหม? รู้ดี แต่ทำไม่ได้ แล้วก็ขัดกัน ไม่รู้จะทำอย่างไร?

แล้วในตรงนี้บอก หลังจากที่เปาโลได้เชื่อแล้ว ท่านรู้เลยว่าความปรารถนาดีอยู่ข้างใน หัวใจเปลี่ยนใหม่ใช่ไหม? วิญญาณเราเปลี่ยนใหม่ใช่ไหม? เรามีกำลังใหม่ ซึ่งเรารู้ว่ามันไม่ดี เรามีธรรมชาติใหม่แล้ว แต่บางทีมันถูกบล็อก ในพระคัมภีร์บอกว่า …

โรม 7:25 “ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระเจ้า โดยทางพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ฉะนั้นทางด้านจิตใจของข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้าเชื่อฟังกฎของพระเจ้า แต่ด้านฝ่ายเนื้อหนังของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเป็นทาสของกฎแห่งบาป”

 

โรม 8:3-4 (TH1971) “3 เพราะว่าสิ่งซึ่งธรรมบัญญัติทำไม่ได้ เพราะเนื้อหนังทำให้อ่อนกำลังไปนั้น พระเจ้าได้ทรงกระทำแล้ว โดยพระองค์ทรงใช้พระบุตรของพระองค์มา ในสภาพเสมือนเนื้อหนังที่บาป และเพื่อไถ่บาป พระบุตรในเนื้อหนังจึงได้ทรงปรับโทษบาป 4 เพื่อสิ่งที่ธรรมบัญญัติสั่งไว้ จะได้สำเร็จในตัวเราทั้งหลาย ผู้ไม่ดำเนินตามฝ่ายเนื้อหนัง แต่ตามฝ่ายพระวิญญาณ”

 

เมื่อเราเชื่อพระเจ้าปุ๊บ สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นใหม่ คือข้างในเราเปลี่ยนใหม่ แล้วทำไมยังหลุดออกมาล่ะ เพราะอย่างที่บอก ก็คือเราปล่อยให้บางสิ่งบางอย่างกระตุ้นเราได้ หรือระบบของโลกนี้ เราให้มันมีอิทธิพลในชีวิตเรา

มารมันทำอะไรเราไม่ได้ มันตกกระป๋องไปเรียบร้อยแล้ว มันรอวันเวลาที่จะถูกโยนลงไปในบึงไฟนรก ฉะนั้น มันป้วนเปื้อนในโลกนี้ เหมือนเสือที่ถอดเขี้ยวไปเรียบร้อยแล้ว มันทำอะไรเราไม่ได้เลย มันครอบงำเราไม่ได้ มันอยู่ในเราไม่ได้ มันไม่มีอิทธิพลในการสั่งการให้เราทำอะไรต่อไปแล้ว สิ่งที่มันทำ ก็คือมันวนเวียนอยู่รอบๆ เรา เหมือนสิงห์ที่คอยคำราม ในยอห์น 10:10 บอกว่า …

ยอห์น 10:10 (TH1971) “ขโมยนั้นย่อมมาเพื่อจะลักและฆ่าและทำลายเสีย เราได้มาเพื่อเขาทั้งหลายจะได้ชีวิต และจะได้อย่างครบบริบูรณ์

 

สิ่งที่มันยังทำอยู่  และมันก็ยังทำอยู่ ตามนิสัยเดิมของมัน คือชอบมาขโมยความสุขของเรา มาลัก ฆ่า ทำลายความสุขของเรา  มันมาจ้องคอยเขมือบว่าเมื่อไร เราจะเปิดช่องให้มัน ใน 1 เปโตร 5:8 บอกว่า …

1 เปโตร 5:8 (TH1971) “ท่านทั้งหลายจงสงบใจจงระวังระไวให้ดี ด้วยว่าศัตรูของท่าน คือมารวนเวียนอยู่รอบๆ ดุจสิงห์คำราม เที่ยวไปเสาะหาคนที่มันจะกัดกินได้”

 

สมมติว่าเราเปิดตาออกไป แล้วเราก็มองเห็นว่าคนอื่นเขาแบบทำกิจการนั้น กิจการนี้ รู้สึกเขาดีกว่าเรา  รู้สึกอิจฉาริษยา เรายังไม่ให้มันไหลลงมาในความคิดจิตใจของเรา แค่คิด มารเห็นช่องแล้ว ก็วนเวียน แล้วเริ่มโน้มน้าวเรา ใส่ข้อมูลเข้ามา …

“ใช่สิ ดูสิ จริงๆ เธอสามารถทำอย่างนี้ได้ แต่ว่าอย่างโน้นอย่างนี้”

มันก็พยายามยกเขา  แล้วกดเรา  แล้วมันทำให้เราเกิดปฏิกิริยา   ก็คือความอิจฉาริษยาออกไป เมื่อเกิดความอิจฉาริษยาออกไปปุ๊บ เราก็ผลิตออกมาซึ่งคำพูดกระแนะกระแหน หรือการกระทำที่แดกดัน  หรือการกระทำที่เต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราดต่อบุคคลนั้น ข้างในเราอยากทำไหม? ไม่ได้อยากทำ ฉะนั้น ผู้ที่ทำ คือเนื้อหนังที่ยังมีอิทธิพล ล่อลวงเราจากภายนอก ทำให้เราคล้อยตาม และผู้ที่ทำ คือเรานั่นแหละ เราเป็นคนอนุญาต และทำออกไป

ง่ายๆ เลย หลายๆ คนอาจจะล้มลงในความบาปครั้งใหญ่ หรือทำผิดพลาดครั้งใหญ่ เสร็จแล้วปุ๊บ มารก็มาชี้หน้าใส่เรา ก็รู้สึกผิด รู้สึกไม่ดี เริ่มตีตัวออกห่างจากพระเจ้า แล้วก็เริ่มอยากจะปฏิเสธพระเจ้า มารมันมา เพื่อลัก ฆ่า และทำลาย สิ่งที่มันอยากจะทำ แต่มันแย่งชิงเราไปจากพระเจ้า ไม่ได้ เพราะในพระคัมภีร์ยอห์น พระเยซูบอกว่า …

“แกะของเราได้ยินเสียงของเรา ไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดแย่งชิงแกะเหล่านั้น ไปจากมือของเราได้”

มันอาจจะล่อลวงเรา หรือชักจูงเรา หรือทำอะไรก็ตาม ณ เวลานั้น เราอาจจะเกิดความทุกข์  เหมือนขุดหลุมฝังตัวเอง สุดท้าย สมมติว่าไปจนถึงวันนั้น ลุกขึ้นไม่ได้ อยู่ในหลุมนั้นแหละ  เมื่อเขาตายจากร่างนี้ไป ถอดวิญญาณปุ๊บ  ถามว่าเขายังเป็นของพระเจ้าไหม? เป็นของพระเจ้า แต่ทนทุกข์ในโลกนี้ เพราะว่าปล่อยตัวเอง ยอมตัวเองให้ลงไปใช้ชีวิต เหมือนบุตรน้อยหลงหาย เป็นลูกเศรษฐีมีเงิน แทนที่จะอยู่ในบ้านสุขสบาย ไม่ต้องทำอะไรก็ได้ แต่ …

“ฉันอยากจะช่วยตัวเอง  ฉันอยากจะมีชีวิตของตัวเอง ฉันออกไป”

ออกไป ก็ทุกข์ยากลำบาก อย่างที่เรารู้ สุดท้าย  กลับมาบ้าน ก็ยังเป็นลูกของเศรษฐีอยู่ เศรษฐีก็ยังอ้าแขนต้อนรับ เช่นเดียวกัน ไม่มีใครแย่งชิงเราออกไปจากพระเจ้าได้ ไม่ว่ามันจะล่อลวงเราอย่างไร? ไม่ว่าจะทำการอย่างไรก็ตาม

ฉะนั้น เมื่อเราเป็นของพระเจ้า จิตใจเราเป็นของพระเจ้า วิญญาณของเรา เป็นวิญญาณใหม่ เรามีพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งอยู่ภายในเรา แต่ความคิด สติปัญญาอาจจะดูดซับ ดูดซึมสิ่งอื่นได้ ไม่เป็นไร ต่อไปนี้ ก็คือเรายอมให้กับพระเจ้า เมื่อใดก็ตามที่เกิดเหตุการณ์บางสิ่งบางอย่างที่มันล่อลวงเรา สมมติว่ามันกำลังจะชักชวนเราให้เกิดความคิดอะไรก็ตาม ที่เป็นด้านติดลบ …

“Just say no ไม่ ฉันไม่ยอม”

ถ้า No แล้วมันยังไม่หยุด เราพูดออกไปเลยว่าเราเป็นใคร? ชักดาบแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ออกมา ไม่ต้องจำพระคัมภีร์เยอะหรอก จำแค่ว่าท่านเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว

“ฉันเป็นลูกของพระเจ้า สะอาด บริสุทธิ์แล้ว ฉันเป็นของพระเยซูคริสต์ มีสง่าราศี ฉันยืนอยู่ในความสว่าง ฉันไม่ได้ยืนอยู่ในความมืด”

แค่บอกว่าไม่ แล้วไม่ยอมให้มันเข้ามามีพื้นที่ใดๆ ในความคิดของเราเท่านั้น ใน 1 โครินธ์ 3:16 บอกว่า …

1 โครินธ์ 3:16 (TH1971) “ท่านทั้งหลายไม่รู้หรือว่าท่านเป็นวิหารของพระเจ้า และพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตอยู่ในท่าน”

 

รู้อยู่แล้ว บอกหลายรอบ โดยพระเยซูคริสต์เราชนะโลกแล้ว ผู้ที่อยู่ในตัวท่าน เป็นใหญ่กว่ามันที่อยู่ในโลกนี้  ท่านไม่จำเป็นต้องกลัวเลย มันตกกระป๋องไปเรียบร้อยแล้ว ใน 1 ยอห์น 4:4 บอกว่า …

1 ยอห์น 4:4 (TH1971) “ลูกทั้งหลายเอ๋ย ท่านเป็นฝ่ายพระเจ้า และได้ชนะเขาเหล่านั้น เพราะว่าพระองค์ผู้ทรงอยู่ในท่านทั้งหลาย  เป็นใหญ่กว่าผู้นั้นที่อยู่ในโลก”

 

1 ยอห์น 5:4-5 (TH1971) “4 เพราะทุกคนที่เกิดจากพระเจ้า ก็มีชัยต่อโลก และความเชื่อของเรานี่แหละเป็นชัยชนะที่ชนะโลก 5 ใครเล่าชนะโลก ไม่ใช่คนอื่น คือผู้ที่เชื่อว่าพระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้านั่นเอง”

 

ท่านทั้งหลายชนะโลกแล้ว แล้วท่านจะยอมให้มันขี่หัวท่านอยู่ทำไม? ท่านจะไปยอมเอาข้อมูล ความคิดของมันเข้ามาอยู่ในชีวิตของท่านทำไม? ท่านจะไปดูดซึมเอาสิ่งที่มันล่อลวงทำไม? เราชนะโลกแล้ว เราชนะไม่ได้หมายถึงเราต้องไปสั่งการโน่นนี่นั่น ไปสั่งการให้ไฟแดงเป็นไฟเขียว อันนี้ไม่ได้เกี่ยวกับการชนะแบบนั้น

แต่การชนะตรงนี้ ตามบริบทนี้ คือการที่เรามีชัยชนะเหนือความบาปและความตายแล้ว พระเยซูคริสต์อยู่ในเรา ผู้ที่อยู่ในเรา เป็นใหญ่กว่ามันผู้นั้นที่อยู่ในโลกนี้ มันล่อลวงเราไม่ได้แล้ว  เมื่อใดก็ตามที่มันชักจูงเรา นำเราไปสู่ความบาป หรือความตาย หรือวิถีแห่งความบาปและความตาย ให้เราบอกมันว่า … “ไม่” … เหมือนพระเยซูคริสต์ เราใช้พระวจนะอย่างผู้ที่เชี่ยวชาญในการที่จะต่อสู้กับมารซาตาน ถ้าคิดอะไรไม่ออก ก็บอกแค่ว่า …

“ฉันเป็นลูกพระเจ้า ฉันเชื่อในพระเจ้า ฉันไม่ต้องถูกพิพากษาให้ต้องตกนรกแล้ว ความบาปมีชัยเหนือฉันอีกต่อไปไม่ได้แล้ว”

เมื่อไรก็ตามที่ “ฉันล้มลงในความบาป ฉันยอมรับว่าฉันล้มลง ยังทำบาปอยู่ ก็แกนั่นแหละล่อลวงฉันทำบาป แต่ว่าฉันไม่ต้องถูกพิพากษา เดี๋ยวฉันจะลุกขึ้นใหม่”

“ลุกขึ้น” บอกตัวเอง

ไม่ต้องจำ ถ้าจำพระคัมภีร์เยอะไม่ได้  ก็จำแค่ว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ และมีชัยชนะเหนือมัน

ทำไม ในเมื่อเราเชื่อในพระเจ้าแล้ว บางทีถามพระเจ้าเหมือนกันนะ  ต่อสู้กับเนื้อหนัง ต่อสู้กับตัวเอง สิ่งที่น่ากลัวที่สุด คือตัวเอง และต้องต่อสู้กับตัวเอง มันยากกว่าอะไรทั้งหมดในการดำเนินชีวิต  บางทีถามพระเจ้าว่า …

“ทำไมพระองค์ไม่รับเราไปอยู่กับพระองค์เลยล่ะ”

อยากจะเหมือนกับนักโทษคนนั้น คือถูกตรึงบนไม้กางเขนร่วมกับพระเยซูคริสต์ พอพระเยซูบอกว่า …

“วันนี้ท่านจะได้ไปอยู่กับเราที่สวรรคสถาน” … อยากจะเป็นอย่างนั้นมากกว่า

ถ้าพระเจ้ายังให้เราดำรงชีวิตอยู่ เพราะว่าพระเจ้าได้ทรงประทานโลกนี้ให้กับเรา ตั้งแต่เริ่มสร้างโลก  พระเจ้าได้สร้างโลกนี้ไว้ สำหรับมนุษย์ ฉะนั้น ผู้ที่จะดำเนินการทั้งหมดในโลกนี้ คือมนุษย์ แต่ก่อนนี้พระองค์ยังต้องส่งทูตสวรรค์มาช่วย ส่งผู้เผยพระวจนะมาช่วย  แต่เมื่อพระเยซูคริสต์ได้มาบังเกิด และทำการงานทั้งปวงแล้ว วันสุดท้ายที่พระองค์จะเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ พระองค์ได้พูดกับสาวกของพระองค์ 12 คน และสาวกที่อยู่ในห้องชั้นบน ที่ได้บัพติศมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์ ในหนังสือกิจการ คนเหล่านี้ก่อนที่จะไปอยู่ในห้องชั้นบน พระเยซูคริสต์ได้พูดกับเขาก่อนที่จะเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ต่อหน้าต่อตาเขา เหตุการณ์มีอย่างนี้ว่า …

มัทธิว 28:18-20 (TH1971) “18 พระเยซูจึงเสด็จเข้ามาใกล้แล้วตรัสกับเขาว่า “ฤทธานุภาพทั้งสิ้นในสวรรค์ก็ดี ในแผ่นดินโลกก็ดีทรงมอบไว้แก่เราแล้ว 19 เหตุฉะนั้น เจ้าทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติ ให้เป็นสาวกของเรา ให้รับบัพติศมาในพระนามแห่งพระบิดา พระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์ 20 สอนเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัด ซึ่งเราได้สั่งพวกเจ้าไว้ นี่แหละ เราจะอยู่กับเจ้าทั้งหลายเสมอไป จนกว่าจะสิ้นยุค”

 

ตามกฎของโลกนี้ ผู้ที่จะประกาศข่าวดีได้  ก็คือมนุษย์ที่เชื่อเท่านั้น พระองค์จะไม่ใช้ทูตสวรรค์มาประกาศข่าวดีแล้ว เพราะว่าพระเจ้าอยู่ในมนุษย์แล้ว สิทธิอำนาจทั้งสิ้น อยู่ในมือของมนุษย์ที่เชื่อในพระเจ้าแล้ว พระเจ้าจึงให้สิทธิมนุษย์เท่านั้น ที่จะไปบอกข่าวดีกับผู้อื่น และเพื่อให้ผู้อื่น ซึ่งเป็นมนุษย์ด้วยกัน ได้รับความรอด

อย่างที่บอกว่าหากร่างกายของท่าน หลุดออกจากร่างนี้ เราไม่ประกาศแล้ว สิทธิ์ของท่านหมดแล้ว ก่อนที่ลมหายใจของท่านจะออกจากร่างนี้ จงเข้ามาหาพระเยซูคริสต์ ต้อนรับพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดบาป ไม่ต้องตะเกียกตะกายกับความบาปอีกต่อไป ไม่ต้องพยายามด้วยตัวเอง โดยการเข็นครกขึ้นสวรรค์ พยายามที่จะขึ้นสวรรค์ด้วยตัวเอง พยายามที่จะทำให้ตัวเองบริสุทธิ์ ซึ่งท่านไม่มีทางทำได้ พระเยซูคริสต์มาบังเกิดเพื่อท่านแล้ว มาแบกรับบาปแทนท่านแล้ว มาชำระล้างความผิดบาปให้ท่านเรียบร้อยแล้ว  แค่มารับเอา แล้วท่านก็จะได้รับความรอด หากท่านหลุดจากร่างนี้วันใด ท่านไม่มีสิทธิ์รับสิ่งนี้ และสิ่งเดียวที่ท่านจะได้รับ คือวิญญาณของท่านนจะถูกพิพากษา แล้วตกนรก

และสำหรับผู้ที่เชื่อในพระเจ้า ในวันนี้ ขบวนการเปลี่ยนแปลงและขบวนการไถ่ถอน พระเจ้าทำให้เราเสร็จสิ้นแล้ว เราทำแค่ยกอวัยวะในร่างกาย สมอง ความคิด สติปัญญาของเรา เพื่อจะเปลี่ยนแปลงใหม่ เป็นไปตามทิศทางเดียวกันกับพระเจ้า แล้วอุปนิสัยทั้งมวลของเราจะเปลี่ยนใหม่เอง โดยที่เราไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ

เหมือนกับดิฉันมีหลาน แม่เขาก็ป้อนข้าวทุกวัน หรือทุกคนมีลูกมีหลาน ก็ป้อนข้าว เลี้ยงดูไปทุกวัน หันมาอีกที โตถึงไหนแล้ว เหมือนน้องตะวัน (มือคีย์บอร์ดของทีมนมัสการ) ตอนนั้นยังตัวเล็กๆ อยู่เลย ตอนนี้ก็โต สูง เป็นหนุ่มแล้ว แล้วก็เจริญเติบโตขึ้นแล้ว จริงๆ แล้วไม่ได้ทำอะไรเลย ทุกอย่างมันถูกขับเคลื่อน เป็นไปตามธรรมชาติแห่งการเจริญเติบโตเอง

เช่นเดียวกัน ถ้าหากเรายกอวัยวะของเราให้กับพระเจ้า  เปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจของเราเสียใหม่ อุปนิสัยของเราจะเปลี่ยนไปเอง  โดยอัตโนมัติ ไม่เหนื่อยเลย  และไม่ยากเลยนะ ก็ฝากสิ่งนี้ไว้ พระเจ้าอวยพรค่ะ

 

********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

กาลาเทีย 2:20 … “ข้าพเจ้าถูกตรึงไว้กับพระคริสต์แล้ว ข้าพเจ้าจึงไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป พระคริสต์ต่างหากทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า ชีวิตที่ข้าพเจ้าดำเนินอยู่ในกายนี้ ข้าพเจ้าดำเนินด้วยความเชื่อในพระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงรักข้าพเจ้า  และประทานพระองค์เอง  เพื่อข้าพเจ้า”

 

เมื่อเราเชื่อและต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นผู้ช่วยให้รอด  วิญญาณและความคิดจิตใจเก่าที่เป็นบาปของเราได้ถูกตรึงตายร่วมกับพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขนแล้ว และเราได้บังเกิดใหม่พร้อมกับการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์   ดังนั้น ชีวิตเราที่ดำเนินอยู่ทุกวันนี้ จึงเป็นวิญญาณ และความคิดจิตใจที่บังเกิดใหม่ สะอาดบริสุทธิ์เหมือนพระเยซู คริสเตียนที่บังเกิดใหม่ฝึกฝนทำดีเหมือนพระเยซู

 

พระเยซูให้เราเลือกที่จะอยู่ในพันธสัญญาเดิม ที่เรียกว่า “กฎตาต่อตา ฟันต่อฟัน” พึ่งการกระทำของตนเอง ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ซึ่งเราไม่สามารถรักษาหรือว่า ทำได้ครบถ้วนสมบูรณ์ดีพร้อม  เช่นกฎในพันธสัญญาเดิม

 

มัทธิว 6:12-15 … “ขอทรงยกหนี้ให้ข้าพระองค์ทั้งหลาย เหมือนที่ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ยกหนี้ให้ผู้ที่เป็นหนี้ข้าพระองค์ทั้งหลายเช่นกัน และขออย่าให้ข้าพระองค์ทั้งหลายล้มลง  เมื่อถูกทดลอง แต่ขอทรงช่วยข้าพระองค์ทั้งหลายให้พ้นจากมารร้าย’ เพราะถ้าท่านอภัยให้ผู้ที่ทำผิดต่อท่าน   พระบิดาของท่านในสวรรค์จะทรงอภัยให้ท่านด้วย  แต่ถ้าท่านไม่ยอมอภัยบาปผิดของผู้อื่น  พระบิดาก็จะไม่อภัยบาปผิดของท่านเช่นกัน”

 

หรือ … ย้ายมาอยู่ในพันธสัญญาใหม่ที่เรียกว่า “กฎพระคุณ” พึ่งการกระทำของพระเยซู ผู้ได้กระทำให้เราเป็นคนดีพร้อมครบถ้วนสมบูรณ์  นี่คือกฎในพันธสัญญาใหม่

 

เอเฟซัส 4:32 … “ให้​เมตตา​ต่อกัน เห็นอก​เห็นใจ​กัน และ​อภัย​ให้กัน​และ​กัน​ เหมือนกับ​ที่​พระเจ้า​ได้​อภัย​ให้กับ​คุณแล้ว​ผ่านทาง​พระคริสต์”

 

พระเจ้าอวยพรครับ

 

วารสาร Holy News ฉบับที่ 1332

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  3  ตุลาคม  2021

 เรื่อง “หนังสือเอเฟซัส” ตอน 3

โดย วราพร  คงล้วน

 

วันนี้เรามาต่อในหนังสือเอเฟซัส บทที่ 1 เดือนที่แล้ว เราจบลงที่ข้อ 10 วันนี้เรามาต่อข้อ 11 …

เอเฟซัส 1:11 “ในพระองค์ เรายังได้รับการทรงเลือก ตามที่ทรงกำหนดไว้ล่วงหน้า ตามแผนการของพระองค์ผู้ทรงกระทำให้ทุกสิ่ง เป็นไปตามจุดมุ่งหมายของพระประสงค์ของพระองค์”

 

คราวที่แล้วเราได้พูดถึงพระเจ้าได้ให้พวกเราผู้เชื่อ หรือคริสตจักรรู้ความลี้ลับ แผนการที่พระเจ้าได้เตรียมไว้ ในวันที่มนุษย์ล้มลงในความบาป พระเจ้าก็ได้เตรียมแผนการนี้ไว้ โดยการเลือกชาวยิวมาเป็นผลแรก มาเป็นมรดก มาเป็นผู้นำเริ่มต้น ในการที่จะให้ข่าวประเสริฐของพระองค์ได้ประกาศออกไป พอเลือกชาวยิวแล้ว พระเจ้าก็ทรงติดต่อกับชาวยิวมาตลอด คนอิสราเอล เขาถือว่าเขาเป็นชนชาติพิเศษ ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรไว้ เขาเป็นบุคคลที่ถูกแยกเฉพาะเจาะจง เป็นของพระเจ้า  ถ้าคนที่ไม่ใช่ชาวยิว เป็นคนต่างชาติ ไม่ว่าเชื้อชาติใด สัญชาติใด ก็ไม่สามารถที่จะเป็นเหมือนพวกเขา เข้ามาเป็นพลเมืองของพระเจ้า

ฉะนั้น ความลี้ลับที่พระเจ้าเตรียมเอาไว้ ก็คือในอนาคตข้างหน้า เมื่อพระเยซูคริสต์เสด็จมาเกิดบนโลกใบนี้ แล้วพระองค์ได้ทรงทำภารกิจของพระองค์สำเร็จ โดยการเดินไปที่ไม้กางเขน แล้วสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตชำระบาปให้กับมนุษยชาติ ถูกฝังและเป็นขึ้นมาจากความตาย เมื่อพระเยซูคริสต์ทรงเป็นขึ้นมาจากความตายปุ๊บ ความลี้ลับนี้ ได้สำเร็จ ตรงที่พระเจ้าเตรียม ไม่เฉพาะพวกยิวเท่านั้น ที่จะเข้ามามีส่วนเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ เข้ามาเป็นวิญญาณเดียวกันกับพระองค์ พระองค์ทรงเตรียมคนต่างชาติด้วย คนต่างชาติ คือใครก็ได้ คนที่ไม่เป็นเชื้อสายอิสราเอล อย่างพวกเราทุกคน ก็ถือว่าเป็นคนต่างชาติ พระเจ้าเตรียมแผนการไว้ล่วงหน้าก่อนเรียบร้อยไปแล้ว เมื่อถึงเวลากำหนด พระเจ้าก็ทำให้สิ่งที่พระเจ้ากำหนดนั้นได้เกิดขึ้น โดยที่ข่าวประเสริฐของพระองค์ไม่เพียงไปเฉพาะชนชาติอิสราเอลเท่านั้น แต่มาถึงพวกเราทุกคนบนโลกใบนี้ด้วย ตามหนังสือยอห์น 3:16 ที่บอกว่า …

ยอห์น 3:16 “เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่เชื่อวางใจในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศแต่มีชีวิตนิรันดร์”

 

ถ้อยคำนี้หมายถึงปรารถนา ต้องการให้มนุษยชาติทั้งหมดบนโลกใบนี้ ไม่ว่าเชื้อชาติใด สัญชาติใด อยู่ประเทศไหน ที่เรียกว่ามนุษย์นั่นแหละ ถ้าเชื่อวางใจในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำเพื่อเขา บนไม้กางเขน แค่นั้น ย้ายจากการอยู่ในที่เดิม คือในธรรมชาติเดิมที่บรรพบุรุษเราล้มลงในความบาป ย้ายจากเผ่าพันธุ์ในอาดัม ที่เป็นคนบาป มาอยู่ในเผ่าพันธุ์ใหม่ ก็คือมาอยู่ในพระคริสต์ ก็คือย้ายวิญญาณเลย จากวิญญาณบาป ย้ายมา ต้องมีขบวนการ คือคนๆ นั้นจำเป็นจะต้องตัดสินใจ เปิดใจต้อนรับเอาสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำเพื่อเขาบนไม้กางเขน ทันทีที่มนุษย์คนนั้นได้เปิดใจปุ๊บ ขบวนการของการกลับใจใหม่ หรือการบังเกิดใหม่ ก็จะเกิดขึ้นทันทีในโลกวิญญาณ ที่เราคุยกันมาหลายรอบแล้ว

อยากจะให้พี่น้องได้เห็นทะลุเข้าไปจริงๆ ว่าขบวนการนี้ พระเจ้าได้ทำสำเร็จเสร็จสิ้นแล้ว เมื่อวันแรกที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา ทันทีพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ จะเอาวิญญาณเก่าที่เป็นวิญญาณบาปของเราเอาเข้าไปอยู่ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ก็คือเข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์เลย เมื่อพระเยซูคริสต์ถูกตรึงบนไม้กางเขน วิญญาณเราก็ถูกตรึงด้วย

หลายคนอาจจะไม่เข้าใจ เรื่องของพระเจ้า เราจะเข้าใจด้วยสติปัญญาของเราไม่ได้ แต่ต้องเข้าใจด้วยวิญญาณ หรือด้วยความเชื่อ ฉะนั้น ในโลกวิญญาณไม่มีเวลา ไม่มีมิติ ไม่มีว่าวันนี้ 2,000 ปีที่แล้ว พระเยซูถูกตรึง แล้วเราอยู่ในปัจจุบัน เราจะไม่อยู่ในที่เดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ที่ถูกตรึงได้อย่างไร? ถ้าเราใช้สมอง หรือสติปัญญาของเราคิด คิดให้หัวแตก เราก็คิดไม่ออกหรอก แต่ถ้อยคำของพระเจ้าบอกเราไว้อย่างนั้นว่าในมิติของโลกวิญญาณ ไม่มีเวลา คือทันทีที่ใครก็ตามมนุษย์บนโลกใบนี้ เปิดใจต้อนรับสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ เพื่อเขาบนไม้กางเขน  ก็คือยอมรับนั่นแหละ ถ่อมใจยอมรับว่าตัวเองเป็นคนบาป ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ต้องการความช่วยเหลือจากพระเจ้า ในโลกวิญญาณ ขบวนการนี้ จะเกิดขึ้นทันทีเลย

แล้วขบวนการนี้ เราไม่สามารถเข้าใจด้วยสติปัญญาของเรา ไม่สามารถสัมผัสด้วยมือ มองเห็นด้วยตา หรืออะไรทั้งหมด แต่ว่าเราสัมผัสได้ด้วยความเชื่อ  พระเจ้าบอกเราอย่างนั้น ในถ้อยคำของพระองค์ เมื่อวิญญาณเก่าของเรา ที่อยู่ในอาดัม อยู่ในบาป ถูกตรึงพร้อมกับพระเยซูคริสต์แล้ว ก็คือวิญญาณเก่าเราได้ตายไปแล้ว  เราไม่มีบาปอีกแล้ว พอเราถูกฝัง และเป็นขึ้นมาจากความตาย วิญญาณใหม่ที่ขณะนี้ พวกเราผู้เชื่อ ที่เป็นอยู่ ที่เรายังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ที่พระเจ้ายังไม่เอาเรากลับบ้าน ให้เราเป็นแสงสว่างให้กับผู้คนอีกมากมาย ในขณะนี้ ที่เรายืนตัวเป็นๆ อยู่นี้ วิญญาณข้างในที่เป็นตัวจริงๆ ของเรา เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ไม่มีผิดเลย เป็นเหมือนเป๊ะ สะอาด บริสุทธิ์ ชอบธรรมเป็นลูกของพระเจ้า เป็นวิญญาณใหม่ ที่ไม่มีบาปเลย แม้แต่นิดเดียว

ตรงนี้แหละ คือประเด็นสำคัญ ที่พวกเราผู้เชื่อทุกคนจำเป็นจะต้องรับรู้ในเรื่องนี้ พระเยซูคริสต์ไม่เคยบอกเราว่าเราต้องทำโน่นทำนี่ แต่บอกเราว่า ณ เวลานี้ วิญญาณใหม่เราเป็นอย่างไร?  เรามีธรรมชาติใหม่เป็นอย่างไร? พอเรารับรู้มากเท่าไร? ผลของข้างใน ที่เป็นตัวตนจริงๆ ของเราจะถูกสำแดงออกมา มากขึ้นเท่านั้น

พอเรามาเชื่อพระเจ้าปุ๊บ พระเยซูบอกว่าให้เราหายเหนื่อยเป็นสุข ไม่ต้องมาแบกบาปที่เดิมที  ความรู้สึกข้างในของมนุษย์ทุกคนเลย ไม่มีข้อยกเว้น ทุกชาติ ทุกภาษา จะมีความรู้สึกข้างในว่าตัวเองเป็นคนบาป เมื่อไรจะใช้เวร ใช้กรรมให้หมดไปสักที ความรู้สึกแบบนั้นเลยนะ แล้วมนุษย์พยายามที่จะทำทุกอย่าง ด้วยกำลังของตัวเอง ไม่ว่าจะส่ำสมความดีงาม ทำบุญ ทำทาน ทำโน่น ทำนี่ แต่ข้างในวิญญาณของมนุษย์คนนั้น ก็ยังไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองพ้นบาป ยิ่งทำมากเท่าไรก็ยังรู้สึกว่าเราบาปอยู่ ฉะนั้น พระเจ้าบอกมนุษย์ทำไม่ได้ ถ้ามนุษย์ทำได้ พระเจ้าไม่ต้องส่งพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระองค์มาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อจะช่วยเราทำ ทำแทนเรา แต่ว่าด้วยเหตุผลอะไรหลายอย่าง ตัวตนที่เย่อหยิ่งของมนุษย์ พยายามคิดเข้าข้างตัวเองว่า …

“ฉันทำได้สิ ฉันสามารถทำดี ทำโน่นทำนี่ ด้วยกำลังของฉันเอง  เพื่อฉันจะได้สามารถไปแตะสวรรค์ได้” … ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว

ดังนั้น เรื่องราวของพระเจ้า ข่าวดีของพระองค์ ที่พระเจ้าให้พวกเราประกาศในทุกวัน มันเป็นเรื่องที่ซ้ำซาก เรื่องเดิม แต่เป็นเรื่องเดิมที่มนุษย์ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร? ฟังอย่างไรก็ไม่เข้าใจ ด้วยสติปัญญา จำเป็นจะต้องใช้วิญญาณ ที่จะเข้ามาฟัง และรับรู้ด้วยวิญญาณ เชื่อตามที่พระเจ้าบอกเรา เชื่ออย่างที่ไม่ต้องคิดเยอะ  ไม่ต้องมานั่งคิดว่ามันจะเป็นไปได้อย่างไร? วิญญาณเราจะไปตายพร้อมกับพระเยซูได้อย่างไร? พระเยซูตายไปตั้ง 2,000 ปีแล้ว อยู่ดีๆ ผู้รับใช้มาบอกเราว่าทันทีที่เราเปิดใจรับเชื่อ วิญญาณเราได้ไปถูกฝังไว้ในตัวพระเยซูคริสต์ แล้วก็ถูกตรึงพร้อมกัน มันเชื่อไม่ได้ ใช้สติปัญญาเชื่อไม่ได้ แต่ว่าสิ่งที่เราจำเป็นจะต้องรับรู้ ก็คือนั่นคือถ้อยคำพระเจ้า  พระเจ้าบอกเราอย่างนั้น แล้วเราถ่อมใจ ตรงที่เมื่อพระเจ้าบอก เราเอเมน นั่นคือความถ่อมใจสุดๆ แล้ว

หลายคนบอกว่าเรารักพระเจ้า เราถ่อมใจ เราเชื่อฟังพระองค์ แต่หลายครั้ง เมื่อพระเจ้าบอกเราว่าความจริงในโลกวิญญาณ เป็นอย่างนั้น เรากลับขัดกับถ้อยคำพระเจ้า เรากลับสงสัย แล้วเราก็ว่ามันเป็นไปได้อย่างไร? พระเจ้าบอกว่าพอเราเชื่อพระเจ้าปุ๊บ เราบังเกิดใหม่ วิญญาณเราเป็นใหม่เหมือนพระเจ้า เป็นผู้ชอบธรรม ไม่มีบาปแล้ว บาปของเราถูกยกไปหมดแล้ว พระเยซูบอกบาปตั้งแต่ในอดีต ที่เราเคยทำ โลหิตของพระเยซูคริสต์ชำระเราแล้ว บาปในปัจจุบัน ที่เราเชื่อพระเจ้า แล้วเราทำอยู่ พระโลหิตของพระเยซูก็ชำระหมดแล้ว และบาปในอนาคตที่เรายังจะทำอีก ตราบใดที่เรายังอยู่บนโลกใบนี้  อยู่ในร่างกายเดิมนี้ ซึ่งเป็นร่างกายเก่า ที่อยู่ในโลกของความบาปและความตาย เราก็ยังทำอยู่ แต่ถ้อยคำของพระเจ้าบอกเราว่าพระเจ้ายกโทษให้หมดแล้ว วันที่พระเยซูคริสต์ถูกตรึงบนไม้กางเขน พระโลหิตของพระเยซูหลั่งลงมา วันนั้น พระเยซูบอกว่าสำเร็จแล้ว

“สำเร็จ” แปลว่าทุกอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ หมดสิ้น ไม่ต้องมาทำเพิ่มอีกแล้ว จบสิ้น ณ วันนั้นเลย บนไม้กางเขน

ฉะนั้น คริสเตียนทุกคนจำเป็น เราจำเป็นมากที่จะต้องถ่อมใจ และจะต้องเชื่อตามที่พระเจ้าบอกเรา เมื่อพระเจ้าบอกเราว่าเราสะอาด บริสุทธิ์ ชอบธรรม ไม่มีบาปแล้ว เราก็ต้องเอเมนตามนั้น เราอย่าให้ใครหลอก …

“แล้วตอนนี้เราทำบาป แล้วทำอย่างไร? เรายังบาปอยู่เลย”

พระเจ้าบอกว่าเราไม่บาปแล้ว การกระทำที่เรายังทำอยู่บนโลกใบนี้ มันไม่เกี่ยวกับตัวตนจริงๆ ของเราเลย วิญญาณใหม่ซึ่งเป็นตัวตนจริงๆ ของเราชอบธรรม บริสุทธิ์ สะอาด ทำบาปไม่เป็น ทำบาปไม่ได้ด้วย เพราะว่าวิญญาณเก่าที่เป็นบาปของเราตายไปแล้ว เราไม่สามารถที่จะไปปลุกคนตายให้ลุกขึ้นมาทำบาปได้ คือตายแล้วตายเลย ลุกขึ้นมาทำบาปไม่ได้ แต่ที่พวกเราผู้เชื่อ ยังติดอยู่ตรงที่ว่าไหนบอกว่าเราไม่ทำบาปแล้ว แต่ทุกวันนี้ ที่ตาเรามองเห็น ก็คือเรายังทำอยู่ เลยทำให้เกิดข้อสงสัยว่าตกลงมันจริงหรือไม่ ที่พระเจ้าบอกว่าเราชอบธรรม สะอาด บริสุทธิ์ หมดจดแล้ว

พี่น้องจำเป็นต้องรับรู้ความจริงตรงนี้เลย  ที่พระเจ้าบอกว่าวิญญาณเราสะอาด หมดจดเหมือนพระเยซูคริสต์ สะอาด ชอบธรรมเรียบร้อยไปแล้ว ความบาปของเรา ได้รับการอภัยหมดแล้ว ไม่มีบาปอีกแล้ว ต่อแต่นี้ไป เมื่อเราเชื่อพระเจ้า แล้วเราอนุญาตให้โปรแกรมเดิม หรือสิ่งที่หลอกล่อเรา ตามที่ตาเรามองเห็น มือเราสัมผัส หรืออะไรสักอย่าง ที่มันอยู่ข้างนอก หลอกล่อเราให้ทำตามตรงนั้น  มันไม่เกี่ยวอะไรกับวิญญาณเราเลยนะ ไม่เกี่ยวเลย ก็คือถ้าหลอกล่อเรา แล้วบังเอิญเราสู้ไม่ไหว เราล้มลงในความบาป  เราก็แค่ลุกขึ้นมา  แล้วเราก็เริ่มต้นใหม่กับพระเจ้า เพราะว่าจำเป็นที่เราจะต้องยืนยันตามถ้อยคำของพระเจ้าว่าเราไม่มีบาปเลย พระเจ้ายกโทษให้เราหมดแล้ว อย่าให้สิ่งที่เราทำ หรือความคิดเดิมของเราฟ้องผิดเราว่า …

“เธอเป็นคริสเตียน เธอยังทำบาปอยู่เลย  เธอจะรอดไหมเนี้ย พระเจ้าจะรับเธอได้ไหม? เธอยังทำโน่นทำนี่อยู่เลย”

อย่าให้ความคิดเหล่านี้ มาทำให้สิ่งที่พระเจ้าบอกเราว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์สั่นคลอน เด็ดขาด เรายังคงยืนยันตามถ้อยคำของพระเจ้า ตามที่พระเยซูคริสต์บอกเราว่าพระองค์ชำระบาปของเราเรียบร้อยไปแล้ว แค่เราอยู่บนโลกใบนี้ ที่อยู่ในร่างกายเก่านี้ เราอาจจะเผลอไผล ถูกล่อลวงให้ไปทำบาป ก็ไม่เป็นไร เราก็แค่ปัดฝุ่น แล้วลุกขึ้น แล้วเราก็เริ่มต้นใหม่ เริ่มต้นในแต่ละวัน โดยการเรียนรู้ธรรมชาติใหม่ของเรา ธรรมชาติใหม่ที่พระเจ้าให้กับเราว่าเราเป็นอย่างไรในพระเยซูคริสต์

พอเราเรียนรู้มากๆ ให้เรามอบอวัยวะของเรา ในร่างกายนี้ทั้งหมด ตา หู จมูก ลิ้น กาย สมองของเราให้กับพระเจ้า ฉะนั้น เมื่อเราเชื่อพระเจ้าแล้ว ขณะที่เรายังอยู่ในร่างกายเก่านี้ พระเจ้าไม่บังคับเรา เรายังมีสิทธิ์ที่จะเลือกว่าเราจะมอบอวัยวะในร่างกายของเราให้พระเจ้าใช้ หรือให้ระบบของโลกนี้ใช้  เรายังมีสิทธิ์นะ เพราะเราอยู่ตรงกลาง เราเป็นผู้ตัดสินใจ

ถ้าเราเลือกที่จะให้พระเจ้าใช้ ก็คือทำตามที่พระวิญญาณนำเรา พระเจ้าก็มีความสุข แต่ถ้าวันไหนเราไม่อยากให้พระเจ้าใช้ เราออกนอกลู่นอกทาง เราก็อนุญาตให้ระบบของโลกนี้ การล่อลวงทุกรูปแบบ ความคิดเดิมๆ ของเราใช้งาน เราก็เท่ากับทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับถ้อยคำของพระเจ้า แต่ต่อให้เราทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับถ้อยคำของพระเจ้า  ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับวิญญาณของเรา ตรงนี้จะย้ำตลอด พี่น้องจำเป็นต้องรับรู้ตรงนี้ ไม่เกี่ยวกับวิญญาณของเราเลย วิญญาณเราสะอาดแล้ว การประพฤติใดๆ ก็ตามที่เราทำบนโลกใบนี้ ไม่มีผลในอนาคตข้างหน้า หลังความตาย หลังความตาย วิญญาณก็ได้ไปอยู่กับพระเจ้า เพราะว่าจริงๆ แล้ว ขณะนี้ ที่เรายังมีชีวิตอยู่ วิญญาณเราก็นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า ร่วมกับพระเยซูคริสต์อยู่แล้ว ฉะนั้น อย่าให้ใครหลอกเราว่า …

“เธอทำผิดแล้ว เธอไม่รอดแล้ว พระเจ้าไม่รับเธอแล้ว”

เราต้องสวนกลับไปทันทีว่า … “ไม่จริง ต่อให้ฉันทำอะไรก็ตาม โดยการเผลอไผลทำไป วิญญาณฉันก็ยังสะอาด ฉันเป็นผู้ชอบธรรม ฉันเป็นลูกของพระเจ้า ฉันนั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า เมื่อวิญญาณฉันออกจากร่าง ฉันจะได้ไปอยู่ที่เดียวกันกับพระเจ้าแน่นอน และฉันจะไปรับร่างกายใหม่ ที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับฉัน”

นี่คือการรับรู้ความจริงในถ้อยคำของพระองค์ แล้วก็ภาวนา พูดความจริงในถ้อยคำของพระองค์ ถ้าเมื่อไรที่เราพูดความจริงในถ้อยคำของพระองค์ เท่ากับเรากำลังอาเมนกับพระเจ้า เพราะคำว่า “อาเมน” คือใช่ มันเป็นอย่างนั้น

พระเจ้าบอกว่า … “เธอสะอาดแล้ว”

เรา … “เอเมน” รับรู้ความจริงตรงนั้น

พระเจ้าบอกว่า … “ตอนนี้เธอบริสุทธิ์แล้ว”

“เอเมน”

พระเจ้าบอกว่า … “ตอนนี้เธอเป็นลูกของฉัน”

เราก็ … “เอเมน”

“เธอได้นั่งอยู่ที่เดียวกันกับพระเยซูคริสต์แล้วนะ”

เราก็ … “เอเมน”

นี่คือการนมัสการพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณและความจริง ซึ่งมันจะขัดกับความรู้สึกของเรามากๆ ในการที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ด้วยตาที่เรามองเห็น มันขัดกันมาก แต่อาจารย์เปาโลว่าอย่างไร?  ก็คือเมื่อเราเดินกับพระเจ้า ถ้าเราใช้ระบบสัมผัส ที่เราสามารถสัมผัสจับต้องได้ ตาเรามองเห็น เราจะไม่สามารถเห็นสิ่งที่พระเจ้าให้กับเราเลย ฉะนั้น การดำเนินชีวิตของเรา ที่บอกว่าให้เราดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ ความเชื่อตรงนี้หมายถึงเชื่อตามที่พระเจ้าบอกเราว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ แล้วเราก็เชื่อตามนั้น ไม่ว่าเราจะเข้าใจ ไม่เข้าใจ รู้สึกตะหงิดๆ มันไม่ค่อยอะไรเท่าไร แต่เราเชื่อไง เรายอมจำนนกับพระเจ้า เราเอเมนตามที่พระเจ้าบอกเรา นั่นแหละคือการถวาย การนมัสการพระองค์อย่างแท้จริง ด้วยวิญญาณ และด้วยความจริงของพระเจ้า

ฉะนั้น ตรงนี้ พระเจ้าบอกว่าพระองค์ได้ทรงเลือก พอเลือกคนยิว หลังจากที่พระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน แล้วทำภารกิจของพระองค์สำเร็จ พระเจ้าก็ให้คนต่างชาติได้เข้ามามีส่วนมาเป็นหนึ่งเดียวกันกับคนยิวในพระคริสต์ เหมือนกับพวกเราตอนนี้ เราเป็นหนึ่งเดียวกันในพระเยซูคริสต์ ตามที่พระเจ้าเตรียมไว้ล่วงหน้า แล้วให้น้ำพระทัยของพระองค์สำเร็จผ่านทางพวกเราทุกๆ คน ที่เปิดใจต้อนรับพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ฉะนั้น สิ่งที่พระองค์เตรียมไว้ แผนการลี้ลับที่ปิดซ่อนไว้ บัดนี้ได้ถูกเปิดเผยแล้ว ผ่านทางคริสตจักรของพระองค์ แล้วพวกเราทุกๆ คน ผู้เชื่อชาวต่างชาติ เราก็ได้มีสิทธิ์เข้ามารับพระคุณจากพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระองค์ ร่างกายของเราเป็นวิหารของพระเจ้า เป็นที่สถิตอยู่ของพระวิญญาณบริสุทธิ์

พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทั้ง 3 พระภาคเข้ามาอยู่ในร่างกายของเรา ในขณะนี้เลย ในวิญญาณของเรา หลอมเป็นหนึ่งเดียวกัน ซึ่งแยกจากกันไม่ได้ ไม่ว่าเราจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจ รู้สึกหรือไม่รู้สึกก็ตาม แต่ถ้อยคำของพระเจ้าบอกเราอย่างนี้ เราก็เอเมนตามนี้ พระเจ้าอยู่ในเรา เมื่อพระเจ้าทรงสถิตอยู่ในเราปุ๊บ ไม่ว่าเราทำอะไร ไม่ว่ายามหลับ ยามตื่น พระเจ้าก็อยู่กับเราตลอด

สมัยก่อน ตอนเชื่อใหม่ๆ ได้รับคำสอนมาว่าถ้าเราทำบาป พระเจ้าจะไม่อยู่ด้วยกับเรา พระเจ้าจะหนีเราไป จนกว่าเราจะเคลียร์ตัวเองให้เสร็จ แล้วก็เชิญพระเจ้ากลับมา ถ้าเราทำผิดอีก พระเจ้าก็จะหนีเราไปอีก เรารับคำสอนอย่างนี้นะ

แต่ความเป็นจริง คือถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าพระองค์สถิตอยู่กับเรา เป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา พี่น้องนึกถึงภาพเป็นหนึ่งไหม? ความเป็นหนึ่ง คือแบบเกาะกัน ติดกัน ติดกาวแน่นเลย แยกไม่ได้ เหมือนกับที่พระเจ้าเปรียบสามีกับภรรยาเป็นเนื้อเดียวกัน เป็นหนึ่งเดียวกัน ที่พระเยซูบอกว่า …

“ถ้าเจ้าไม่กินเนื้อและเลือดของเรา เจ้าก็จะเป็นหนึ่งเดียวกันกับเราไม่ได้”

ก็คือหลอมเป็นหนึ่งเดียวกันเลย  แปลว่าพระเจ้าจะไม่หนีเราไปไหนแน่นอน อยู่ที่เดียวกัน ถ้าพระเจ้าหนีเราไป แปลว่าวิญญาณเราออกจากร่าง พี่น้องนึกภาพตามนะ ถ้าเกิดเราทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องปุ๊บ พระเจ้าหนีออกจากตัวปุ๊บ แปลว่าวิญญาณของเรา ก็ต้องออกจากร่างด้วย มันเป็นก้อนเดียวกัน  ก็แปลว่าเราต้องตายแน่ๆ เลย ซึ่งความเป็นจริงมันไม่ใช่

ความเป็นจริงที่เราเห็น ก็คือเราก็ยังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ คริสเตียนทำบาป ก็ยังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เหมือนเดิม แปลว่าที่เรารับคำสอนมา มันไม่ใช่แล้วล่ะ

ฉะนั้น ไม่ว่าเราจะดำเนินชีวิตแบบไหนก็ตาม พระเจ้าไม่ทิ้งเรา แต่พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในเราจะคอยสอนเรา บอกเราว่า …

“ลูกอย่างนี้ไม่ดีนะ อย่าทำนะ มาทำตามพ่อดีกว่า พ่อสอนว่าให้เรารักกัน เรามารักกันดีกว่า อย่าไปเกลียดกันเลย เราเป็นคนเมตตาดีกว่า อย่าไปอิจฉาริษยาเลย ให้สำแดงสิ่งที่เป็นตัวตนของเราจริงๆ ออกมาดีกว่า”

หรือถ้าเราไม่เชื่อฟังสิ่งที่พระวิญญาณข้างในบอกเรา แล้วเราก็จะทำตามที่เนื้อหนังหลอกล่อเรา เราก็จะได้รับผลตามกฎที่พระเจ้าตั้งไว้บนโลกใบนี้  ไม่เกี่ยวอะไรกับวิญญาณแล้วนะ บนโลกใบนี้ เราจะได้รับผล ถ้าเราไปขโมยเขา ถูกจับ เราก็ไปเสียค่าปรับ ถ้าเราไปตีหัวเขา ถูกจับได้ เราก็ต้องไปเสียค่าปรับ หรือถ้าเผื่อเราเผลอไปฆ่าคนตาย เป็นคริสเตียนนะ ไปฆ่าคนตาย เราก็ต้องถูกจับ ถูกตัดสิน ให้ประหารชีวิต แต่ต่อให้เราถูกตัดสินให้ประหารชีวิต วิญญาณเรายังเป็นของพระเจ้าอยู่ คริสเตียนที่ถูกประหารชีวิต วิญญาณเขารอดนะ นี่คือความจริงในถ้อยคำของพระเจ้า ที่พี่น้องจำเป็นจะต้องรับรู้ เพื่อว่าเราจะได้สามารถยืนหยัดอยู่บนโลกใบนี้ เห็นพระคุณของพระเจ้า ให้พระองค์ทรงเป็นผู้นำเรา และถ้าพูดอีกนัยหนึ่ง ก็คือเมื่อเราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว มันเป็นไปไม่ได้หรอก เราอยากจะทำสิ่งที่พระเจ้าไม่ชอบ คือธรรมชาติใหม่เราไม่อยากทำแล้ว ธรรมชาติใหม่เราเป็นผู้บริสุทธิ์ เป็นผู้ชอบธรรม เป็นเหมือนพระเจ้า เป็นความดี เป็นแสงสว่าง เป็นความโอบอ้อมอารีย์ เป็นความเมตตา ธรรมชาติใหม่เราเป็นอย่างนั้นแล้ว ถ้าเราเผลอไปทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับธรรมชาติใหม่ของเราปุ๊บ  เราจะรู้สึกอึดอัด

พี่น้องเคยแพ้อาหารไหม? แพ้อย่างรุนแรง บางคนแพ้กุ้ง แพ้อาหารทะเลปุ๊บ แล้วถ้ายังดันทุรังไปกิน มันก็จะออกอาการ และถ้ากินเยอะขึ้น อาจจะถึงขนาดชีวิตด้วย ตายไม่รู้ตัว แต่ต่อให้แพ้ขนาดไหน เราเป็นลูกของพระเจ้า เราอยากกิน ไม่เป็นไร ตายเป็นตาย ยอมกิน แล้วก็แพ้ แล้วก็ตายไปเลย วิญญาณข้างในเรายังเป็นของพระเจ้าอยู่ เรายังอยู่ในที่เดิม ก็คือที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า เป็นภาพที่พี่น้องจำเป็นจะต้องเห็นให้ชัด ฉะนั้น คริสเตียนแพ้ความบาป มันเป็นอาหารแสลง เป็นพิษภัยกับร่างกายของเรา ธรรมชาติใหม่ของเราไม่ชอบขบวนการนี้ แล้วถ้าเมื่อไรที่เราเผลอไปทำปุ๊บ  มันจะออกอาการ เหมือนที่เขาบอกว่าปลาจะต้องอยู่ในน้ำ ถ้าวันดีคืนดีน้ำท่วม แล้วมันลอยขึ้นมาบนบก พอน้ำลด ปลาจะดิ้นผลั๊กๆ อยู่บนพื้นดิน มันผิดธรรมชาติ ไม่ใช่ปลาบอก …

“ดีใจจังเลย ได้ขึ้นบก อยู่ในน้ำทั้งชีวิต อยากขึ้นบก”

อยากขึ้นบก ก็ตาย ถ้าอยู่บนบกนานๆ ปลาตัวนั้นก็ตาย มันไม่ใช่ธรรมชาติของปลา ฉะนั้น ธรรมชาติของปลาต้องอยู่ในน้ำ อาจจะเผลอโผล่ขึ้นมา ใครเห็นรีบๆ เอาลงน้ำ  เขาก็มีชีวิตอยู่ต่อ  เป็นภาพเดียวกันเลย ธรรมชาติใหม่ที่เราเป็นของพระเจ้า เป็นธรรมชาติที่เป็นแบบพระเจ้าเลย มันจะไม่มีธรรมชาติเดิมที่เราอยากจะไปทำบาป อยากจะไปทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับที่พระเจ้าบอก แต่ถ้าเราเผลอไปทำมัน เราจะรู้สึกไม่ไหวแล้ว ผะอืดผะอม เราจะอาเจียนแล้ว  เราต้องรีบถอยตัวกลับมา เราต้องรีบหยุด นั่นคือธรรมชาติ

จริงๆ เราไม่ต้องสอนคริสเตียนให้ทำดีหรอก เพราะว่าข้างใน พระเจ้าใส่เข้าไปแล้วความดี แล้วจะมีคนบอกว่า …

“ไม่ได้สิ ถ้าไม่สอน เดี๋ยวคริสเตียนก็หลงระเริง ไปทำสิ่งชั่วร้ายได้ตามสบาย  พระเจ้าไม่เอาโทษแล้ว ไหนบอกว่าบาปอดีต บาปปัจจุบัน บาปอนาคต พระเจ้ายกให้หมดแล้ว งั้น เราก็ไปทำชั่วได้สบายนะสิ”

พี่น้องลองไปทำดูว่าสบายไหม? มันไม่สบายหรอก เพราะว่ามันขัดกับความเป็นจริงในธรรมชาติของผู้เชื่อ มันไม่ได้เลย ฉะนั้น ไม่ต้องไปห่วงแทนพระเจ้า พระเจ้าบอกว่าพระองค์ทรงยกโทษความผิดบาป พระเจ้าที่อยู่ในเรา พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในเรา จะคอยสอนเรา คอยบอกเรา คอยเตือนเรา คอยนำทางชีวิตของเรา เดินไปกับพระเจ้า แล้วเมื่อเราเข้าใจในความจริง ในเรื่องราวของพระเจ้ามากเท่าไร? เราไม่ต้องทำอะไรเลย คริสเตียนไม่ต้องทำอะไรเลย พระเจ้าจะเป็นผู้ทำ  เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม พระเจ้าก็จะให้ผลที่เป็นตัวตนจริงๆ ของเราผลิตออกมาให้ผู้คนเยอะแยะมากมายได้เห็นพระเยซูคริสต์ในชีวิตของเรา

นึกถึงภาพในหนังสือมัทธิว ที่พระเยซูบอกว่าเมื่อตะเกียงจุดแล้ว จะไม่มีใครเอาถังมาครอบไว้ ฉะนั้น พวกเราทุกคนที่เป็นผู้เชื่อ ที่บังเกิดใหม่แล้ว พระเจ้าเป็นผู้จุดตะเกียงดวงนี้ขึ้นมา เพราะว่าพระเจ้า ทรงเป็นแสงสว่าง เรามาเชื่อพระเจ้า เราก็เป็นแสงสว่าง ฉะนั้น ตะเกียงนี้ พี่น้องนึกภาพนะ เมื่อก่อนไม่เคยคิดถึงตรงนี้ แต่พระวิญญาณบริสุทธิ์เปิดให้เห็น ตะเกียงไม่สามารถย้ายตัวเองไปในที่ที่ตัวเองอยากไป แล้วไปตั้งเด่นตรงนั้น  แล้วให้แสงสว่างของตะเกียงฉายออกไป มันไม่ได้ แต่ตะเกียงจะถูกเจ้าของหยิบไปตั้งไว้ที่ไหน ตามที่เจ้าของต้องการ ถ้าบังเอิญบ้านเรามีตะเกียงแค่อันเดียว เจ้าของจะถือตะเกียง วันนี้เขาจะทำกับข้าว เขาก็จะถือตะเกียงเข้าไปในครัว  แล้วตะเกียงนั้น ก็จะทำงานของมัน คือเป็นแสงสว่าง  ทำให้เขาสามารถหยิบจับเครื่องปรุงมาทำกับข้าวได้  โดยที่ไม่เผลอหยิบผิด จะเอาน้ำตาลไปหยิบกระปุกเกลือ มันไม่ใช่ นั่นคือการส่องสว่าง หรือวันนี้เจ้าของจะเดินออกไปข้างนอก กลางคืน เขาจะไปทำธุระ เขาก็ถือตะเกียงดวงนั้น  แล้วก็เดินไป

คนสมัยก่อน เขาบอกว่าพระวจนะของพระเจ้า คือโคมส่องเท้า เขาเป็นอย่างนั้นแหละ  เดินไป เราจะได้รู้ว่ามีอะไรกีดขวางอยู่ข้างหน้า พวกเราผู้เชื่อเหมือนกัน เราเป็นตะเกียงที่พระเจ้าเป็นผู้จุดไฟขึ้นมา เมื่อเราบังเกิดใหม่ เมื่อเราเป็นลูกของพระเจ้า แล้วพระเจ้าเองจะเป็นผู้ถือตะเกียงแต่ละดวง ไปตามชอบพระทัยของพระองค์ว่าพระองค์จะเอาเราไปปักอยู่ตรงไหน? เพื่อให้ฉายแสงของพระองค์ออกไป อยู่ที่พระองค์ ไม่ใช่เรา แต่หลายครั้ง เราพยายามที่ทำด้วยกำลังของเราเอง เราอยาก อยากจะไปโน่นอยากจะไปนี่ เราอยากจะฉายแสงตรงโน้นตรงนี้ แต่พระเจ้าบอกว่า …

“ไม่ใช่ ไม่ใช่ความอยากของเธอ แต่เป็นฉัน ฉันเตรียมไว้แล้ว”

เตรียมไว้สำหรับแต่ละคนว่าพระองค์จะเอาเราไปปักไว้ที่ไหน? เพื่อให้แสงสว่างที่เป็นตัวตนจริงๆ ที่พระเจ้าใส่เข้ามาในวิญญาณของผู้เชื่อทุกคนฉายแสงออกไป ประกาศพระนามของพระองค์ออกไป นั่นคือขบวนการ การทำงานของพระเจ้า  พระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่จะทำงานในชีวิตของเรา ฉะนั้น ผู้เชื่อที่วางใจในพระเจ้า เราจำเป็นจะต้องรู้ความจริงเหล่านี้ เพื่อเราจะได้ไม่ไปทำอะไรตามใจตัวเราเอง

“ฉันอยากทำโน่น ฉันอยากทำนี่”

พระเจ้าบอก … “เธออยาก แต่มันไม่ใช่ความอยากของฉัน” … นึกภาพออกไหม? … “เธออยากทำโน่น แต่ฉันไม่ได้อยากให้เธอทำ เธอทำไป ก็เหนื่อยเปล่า เพราะว่ามันไม่ใช่เป็นพระประสงค์ของพระเจ้า”

นี่แหละ คือสิ่งที่เราจำเป็นจะต้องรับรู้ความจริงเหล่านี้

เอเฟซัส 1:12-13 “12 เพื่อเราทั้งหลาย  ซึ่งเป็นพวกแรกที่มีความหวังในพระคริสต์  จะได้สรรเสริญพระเกียรติสิริของพระองค์ 13 และท่านทั้งหลายก็ได้ร่วมอยู่ในพระคริสต์เช่นกัน เมื่อท่านได้ฟังพระวจนะแห่งความจริง คือข่าวประเสริฐแห่งความรอดของท่าน เมื่อท่านเชื่อก็ทรงประทับตราท่านไว้ ในพระองค์ด้วยดวงตรา คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทรงสัญญาไว้”

 

ข้อ 12 บอกว่าเพื่อพวกยิว ที่เป็นพวกแรกที่ได้รับความรอด จะได้สรรเสริญพระเจ้า

พอมาถึงข้อที่ 13 อาจารย์เปาโลบอกว่า … “และท่านทั้งหลาย” หมายถึงผู้เชื่อชาวต่างชาติ ที่แผนการของพระเจ้าเตรียมไว้ให้คนต่างชาติกับคนยิวมารวมกัน เป็นหนึ่งเดียวกันในพระคริสต์

อาจารย์เปาโลบอก … “พวกท่านที่เป็นคนต่างชาติ  ก็ได้มารวมกันเป็นหนึ่งเดียวกันในพระคริสต์”

รวมกันได้อย่างไร? เกิดขึ้นได้อย่างไร? เกิดจากที่ผู้คนเหล่านี้ ได้ยิน ได้ฟังถ้อยคำของพระเจ้า ความจริงของข่าวประเสริฐที่ถูกประกาศออกไป แล้วเขารับด้วยความเชื่อ พอเขารับด้วยความเชื่อปุ๊บ เขาก็ได้บังเกิดใหม่ ทันทีที่เขาบังเกิดใหม่ พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ประทับตราลงไป การประทับตรา หมายถึงการแสดงความเป็นเจ้าของ พระเจ้าจะประทับตรา ผู้เชื่อที่เป็นชาวต่างชาติ ที่บังเกิดใหม่ว่าคนนี้เป็นของฉันแล้วนะ ท่านเป็นกรรมสิทธิ์ของเรา ก็คือพระเจ้าบอกอย่างนี้

พระเจ้าให้เราเข้ามา ในครอบครัวเดียวกันกับพระองค์ในพระเยซูคริสต์ นี่คือพระพรมากจนไม่รู้จะมากอย่างไร? ที่พวกเราทั้งหลายได้รับผ่านทางแผนการความลี้ลับ ที่พระเจ้าได้ทรงเตรียมไว้ ตั้งแต่มนุษย์ล้มลงในความบาป หรือจะพูดว่าตั้งแต่ก่อนสร้างโลกก็ยังได้เลย นั่นคือสิ่งที่พระเจ้าเตรียมไว้

เอเฟซัส 1:14  “ผู้เป็นมัดจำค้ำประกันว่าเราจะได้รับกรรมสิทธิ์ของเรา  จนกว่าคนของพระเจ้าจะได้รับการไถ่ อันเป็นการสรรเสริญพระเกียรติสิริของพระองค์”

 

ตรงนี้บอกว่าเมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ประทับตราเรา เป็นมัดจำว่าเราเป็นกรรมสิทธิ์ของพระเจ้าแล้ว ก็รอเวลา ตรงที่ว่าจนกว่าแผนการของพระเจ้าจะครบจำนวน  เราไม่รู้ว่าแผนการของพระเจ้าจะครบเมื่อไร? อย่างไร? แต่ว่าแน่นอน พระเจ้าก็จะทำให้แผนการของพระองค์สำเร็จอย่างแน่นอน

หลายคนบอกว่าพระเจ้าเลือกคนยิวเป็นพวกแรกที่ได้รับกรรมสิทธิ์ แล้วก็มีคนบอกว่าคนยิวทุกคนจะได้รับความรอดโดยปริยาย แต่ความเป็นจริงแล้ว พระเจ้าไม่ได้บอกอย่างนั้น พระเจ้าไม่ได้สัญญาอย่างนั้นด้วย แต่ว่าความตั้งใจของพระเจ้า พี่น้องนึกภาพในหนังสือยอห์น 3:16 ที่พระเจ้าบอกว่า …

ยอห์น 3:16 “เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่เชื่อวางใจในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศแต่มีชีวิตนิรันดร์”

 

แปลว่าแผนการ หรือว่าน้ำพระทัยของพระเจ้าจริงๆ ที่มีไว้ สำหรับมนุษยชาติ ก็คืออยากจะให้ทุกคนได้รับความรอด อยากนะ พระองค์ต้องการ แต่ว่ากฎของพระเจ้ามีอยู่ ไม่ได้หมายความว่าพออยากปุ๊บ พระเจ้าก็ดีดนิ้ว แล้วทุกคนมาเชื่อพระเจ้าหมดเลย ไม่ใช่ พระเจ้าก็มีกฎไว้ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้น แปลว่ามนุษย์ต้องตัดสินใจด้วย ตัดสินใจที่จะเปิดใจต้อนรับสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ เพื่อเขาบนไม้กางเขน เมื่อต้อนรับปุ๊บ ก็ย้ายจากการเป็นคนบาป เข้ามาเป็นลูกของพระเจ้าทันทีเลยนะ เมื่อต้อนรับปุ๊บ เขาก็ไม่พินาศ ซึ่งมนุษย์ทุกคน ทุกวันนี้ อยู่ในความพินาศ อยู่ในอาดัม อยู่ในบาป  กำลังเดินทางไปสู่ความตาย แล้วมนุษย์ถ้าเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ปุ๊บ เขาก็จะหลุดจากความพินาศ  จากการอยู่ในครอบครัวของอาดัม เข้ามาอยู่ในครอบครัวของพระคริสต์ หลุดจากการเป็นทาสของมาร มาเป็นบุตรของพระเจ้า หลุดจากการที่จะต้องเดินทางไปสู่นรก เข้ามาสู่ชีวิตนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์

นี่คือสิ่งที่พระเจ้าบอกไว้ ตั้งแต่เริ่มต้น ฉะนั้น คนยิวทุกคนจึงจำเป็นจะต้องเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เหมือนกับพวกเราที่เป็นคนต่างชาติ ถ้าคนยิวหรือคนอิสราเอลคนไหนยังดื้อรั้น ยังไม่ยอมรับความช่วยเหลือจากพระเจ้า เขาก็ต้องเดินทางไปสู่นรก เหมือนเดิมนั่นแหละ เพราะว่าเกิดมา เขาก็อยู่ในความพินาศอยู่แล้ว มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ เกิดมา ก็อยู่ในความพินาศแล้ว ฉะนั้น พระเจ้าวางกฎนี้เอาไว้ สำหรับมนุษย์ เฉพาะมนุษย์เท่านั้น ที่จะสามารถมารับสิทธิ์นี้ สิทธิ์ของการบังเกิดใหม่ เพื่อจะได้เข้าแผ่นดินสวรรค์

ฉะนั้น มนุษย์ทุกคน ไม่ว่าชนชาติใด เชื้อชาติใดก็ตาม จำเป็นจะต้องตัดสินใจ ในขณะที่คนๆ นั้นยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น แต่ถ้าคนๆ นั้นตาย วิญญาณออกจากร่าง เท่ากับเขาสละสิทธิ์ หมดสิทธิ์ในการที่จะมีโอกาสเข้ามารับความช่วยเหลือจากพระเจ้า หรือไม่มีโอกาสอีกเลย ที่จะเข้ามาเป็นครอบครัวเดียวกันกับพระเจ้า คือไปรอถูกพิพากษาลงโทษแน่นอน

นั่นคือเหตุผลที่ทำไมพระเจ้าถึงยังไม่เอาเรากลับบ้าน จริงๆ แล้ว ถ้าพระเจ้าให้เราเชื่อปุ๊บ เอาเรากลับบ้าน เราก็ได้ความรอดครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว พระเจ้าไม่เอาเรากลับบ้าน เพราะพระเจ้าจะใช้งานเรา เราจะได้เป็นแสงสว่าง เป็นตะเกียงของพระเจ้า ที่จะไปปักอยู่ในที่ไหนก็ได้ที่พระเจ้าจะให้เราไป แล้วก็นำเอาความรอดไปสู่ผู้คนอีกมากมาย

นั่นคือสิ่งที่พระเจ้ากระทำในชีวิตของพวกเรา เราขอบคุณจริงๆ ขอพระคุณพระเจ้าทรงเปิดเผยสำแดง ให้พวกเราทุกๆ คนได้สามารถเห็น รับรู้ความจริงเหล่านั้น แล้วเราจะเป็นอิสระจริงๆ เป็นไทจริงๆ เราจะหายเหนื่อย เป็นสุข เราไม่ต้องมาแบกภาระอีก มาเชื่อพระเจ้าแล้ว เรายังต้องแบกภาระ ต้องทำโน่นทำนี่ ถ้าเธอไม่ทำ เธอก็จะไม่ได้รับความรอด พระเยซูจะไม่รักเธอ มันไม่จริง ถ้อยคำพระเจ้าบอกทันทีที่เราต้อนรับพระเจ้า เราได้รับความรอดแล้ว ต่อให้เราไม่ทำอะไรเลย เราก็เป็นลูกของพระเจ้า เหมือนกับบ้านใครคลอดลูกออกมาปุ๊บ ต่อให้ลูกคนนี้ขี้เกียจขนาดไหน? ไม่ยอมทำอะไรเลย  เขาก็ยังเป็นลูกเราอยู่ดี ไม่มีใครบอกว่าขี้เกียจ ตัดออกจากการเป็นลูก ต่อให้เราพูดด้วยคำพูดของเราว่าตัดออกจากการเป็นลูก เขาก็ยังเป็นลูกเราอยู่ดี

ภาพนี้ พี่น้องมองให้ชัด ถ้าพี่น้องมองชัดปุ๊บ พี่น้องจะเห็นโลกวิญญาณว่าพระเจ้าหมายความว่าอย่างนั้นจริงๆ เมื่อเรามาเป็นลูกของพระเจ้า ไม่ว่าเราจะทำหรือไม่ทำอะไรก็ตาม พระเจ้าจะไม่ตัดเราออกจากการเป็นลูก แต่เชื่อสิ เราอยู่เฉยๆ ไม่ได้หรอก ถึงเวลาพระเจ้าจะจับเราไป มันจะดันจากข้างในออกมา ไม่ใช่มองจากข้างนอก คนบอกว่ามาเชื่อพระเจ้าแล้วควรทำแบบนี้ ควรทำแบบนั้น แล้วเราไปทำ ไม่ใช่ แต่นิ่งๆ แล้วให้พระเจ้าตรัสกับเราจากข้างในออกมา เมื่อพระเจ้านำเราไปทำอะไร ก็ตาม แม้เรื่องนั้นเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่เป็นน้ำพระทัยของพระเจ้า พระเจ้าถือว่าโอเคนะ คนๆ นั้นโอเคมากเลย แต่ถ้าเราพยายามทำ ด้วยกำลังของเราเอง ด้วยการโน้มน้าวจากภายนอก แล้วทำๆ ต่อให้ทำเยอะแค่ไหน? แต่ถ้าไม่ใช่น้ำพระทัยของพระเจ้า พระเจ้าไม่ได้ให้เราทำเลย  พระเจ้าบอก …

“ไปทำทำไม ให้มันเหนื่อย ฉันไม่ได้ให้เธอทำเลย”

สิ่งที่เราทำทั้งหมด เหนื่อยแทบตาย ไม่ได้ผลอะไรเลย  เพราะว่ามันไม่ใช่น้ำพระทัยของพระเจ้า แต่ว่าไม่ว่าเราจะทำเหนื่อยแค่ไหน ด้วยความอยากของเราเอง ก็ไม่ได้ทำให้เราหลุดจากการเป็นลูกของพระเจ้าได้ เราก็แค่เหนื่อยฟรี พี่น้องนึกถึงภาพเหนื่อยฟรีไหม? พระเยซูบอก …

“ฉันให้เธอหายเหนื่อยเป็นสุข เธอจะไปทำให้มันเหนื่อยทำไม?” อะไรอย่างนี้

ขอพระวิญญาณของพระเจ้าทรงเปิดเผยให้เราสามารถเข้าใจ หยั่งรู้ถึงความจริงในถ้อยคำของพระองค์ เพื่อเราจะได้สามารถดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ทำให้พระเจ้าพอใจ ทำให้พระเจ้ามีความสุข จริงๆ แล้วพระเจ้าพอใจเราอยู่แล้วล่ะ ไม่มีอะไรที่พระเจ้าไม่พอใจ เมื่อพระองค์เลือกเราแล้ว แต่เราจะทำให้พระเจ้ามีความสุข เพราะว่าพระเจ้าไม่ต้องมานั่งผวา

“ลูกเราจะทำอะไรอีกแล้ว ทำอะไรที่มันผิดมันพลาดบนโลกใบนี้ ลูกเราก็จะเจ็บตัว”

แล้วการเจ็บตัวตรงนี้ ไม่ได้ทำให้เราหลุดจากการเป็นลูกของพระเจ้าได้เลย ตรงนี้คือความจริง และให้เราเอเมนตามนั้น พระเจ้าอวยพรค่ะ

 

 

*********************

 

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

พระเยซูตรัสว่าเราเป็นความสว่างเป็นความจริงและเป็นชีวิต

ยอห์น 1:12-13 “12 ส่วนคนที่ยอมจำนนต่อความจริง (พระเยซู) ผู้ที่สารภาพ เชื่อ (ความจริง) ในพระนามของพระองค์ (ว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอดจากบาป ที่พระเจ้าประทานให้กับมนุษย์ทุกคน) พระองค์ก็ทรงประทานฤทธิ์เดชให้คนนั้นได้บังเกิดใหม่เป็นบุตรของพระเจ้า 13 ซึ่งในฐานะบุตรนั้น เป็นผู้ที่มิได้เกิดจากเลือดเนื้อ หรือกาม หรือความประสงค์ของมนุษย์ แต่เกิดจากพระเจ้า”

 

ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไทหายเหนื่อยและเป็นสุข

ฮีบรู 13:5 “จงดูแลควบคุมลักษณะนิสัยของท่านให้หลุดพ้นจากการรักเงินทอง รวมทั้งความโลภ กิเลส ตัณหา และการรักสิ่งของบนโลก และจงพอใจในทุกสิ่ง ทุกสถานการณ์ที่มีอยู่ และเป็นอยู่ ในขณะนี้ (ทั้งในโลกวิญญาณและโลกวัตถุนี้) (เชื่อและวางใจในพระเจ้า) เพราะพระเจ้าได้ตรัสว่า “เราจะไม่มีวันทอดทิ้งเจ้า (เหมือนเป็นลูกกำพร้า) เราจะไม่มีวันละทิ้งเจ้า (ให้อยู่ลำพัง) เราจะไม่ทำให้เจ้าต้องผิดหวัง อย่างแน่นอน”

 

เอเฟซัส 1:3 “สรรเสริญ​พระ​เจ้า​ผู้​เป็น​พระ​บิดา​ของ​พระ​เยซู​คริสต์ องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​ของ​เรา ผู้ได้ให้​พระ​พร​ฝ่าย​วิญญาณ​นานัปการใน​อาณาจักรฝ่ายวิญญาณ (สวรรค์) ทั้งหลายแก่​เราแล้วในพระคริสต์”

 

เอเฟซัส 2:4-6 “4 แต่เนื่องด้วยความรักใหญ่หลวงที่ทรงมีต่อเรา พระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยพระเมตตาอันอุดม 5 จึงได้ทรงกระทำให้วิญญาณของเรากลับมีชีวิต (บังเกิดใหม่) อยู่กับพระคริสต์ แม้ในขณะที่ วิญญาณเราได้ตายแล้วในบาป คือท่านทั้งหลายได้รับความรอด (จากการลงโทษจากคำสาปแช่ง) โดยพระคุณ 6 และพระองค์ได้ทรงให้วิญญาณของเราเป็นขึ้นมา (บังเกิดใหม่) กับพระคริสต์  และในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ทรงให้เรานั่งในสวรรคสถานกับพระคริสต์แล้ว”

 

ฟังแล้วพอหรือยังครับที่จะหายเหนื่อยและเป็นสุข!

 

พระเจ้าอวยพรครับ