คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 28 กรกฎาคม 2019 เรื่อง “สำเร็จแล้ว … จงให้ความคิดของท่านจดจ่อ กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก” ตอน 8.2 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  28  กรกฎาคม  2019

เรื่อง “สำเร็จแล้ว … จงให้ความคิดของท่านจดจ่อกับสิ่งเบื้องบน  ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก” ตอน 8.2

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

วันนี้จะเป็นการบรรยายต่อจากสัปดาห์ที่แล้ว เป็นเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ ที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า จึงต้องมาเรียนรู้กัน พระเจ้าจึงบอกลายแทงอยู่ที่ไหน? หน้าตาเป็นอย่างไร? และมนุษย์ทุกคนสามารถอยู่ในสวรรค์ได้อย่างไร? โดยผ่านทางหนังสือพระคัมภีร์ไบเบิ้ล นี่แหละคือสิ่งที่เราเรียนรู้กัน ตั้งแต่หน้าแรก จนหน้าสุดท้าย ตั้งแต่พระคัมภีร์เดิมเลย  และหัวข้อการบรรยายในวันนี้ ก็คือหัวข้อเดิมจากสัปดาห์ที่แล้ว “จงให้ความคิดของท่านจดจ่อกับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก” ตอนที่ 2 พระเจ้าจะช่วยเรา ให้เราจดจ่อตรงนี้แหละ เราเองแหละ คอยจะหนีไป แต่พระเจ้าพยายามนำพาเรากลับมาตรงนี้ให้ได้ เพราะตรงนี้คือเวทีของเรา เวทีที่เราได้รับชัยชนะนิรันดร์ ตรงนี้แหละที่พระเยซูประกาศว่าเราชนะแล้ว แม้ว่าท่านอยู่บนโลกนี้จะประสบกับความทุกข์ยากลำบาก แต่เราชนะโลกนี้แล้ว ชนะตรงเวทีตรงนี้

สัปดาห์ที่แล้วเราเริ่มที่โคโลสี บทที่ 3 ซึ่งเป็นถ้อยคำที่ย้ำยืนยันกับเราว่าตัวตนที่แท้จริงของเรา ที่เราเชื่อพระเยซูเป็นใคร? แล้วผลจากการกระทำที่พระเยซูบอกว่าสำเร็จแล้ว ที่ไม้กางเขนทำให้เกิดอะไรขึ้นบ้างในโลกวิญญาณ โลกวัตถุไม่ต้องบอกนะ เห็นๆ อยู่แล้วว่าเป็นอย่างไร? แต่ในโลกวิญญาณ มันเกิดอะไรขึ้นบ้าง ตัวเก่า คือวิญญาณเก่าของเราได้ตายไปแล้ว พร้อมกับพระเยซูคริสต์ เราเป็นขึ้นมาใหม่ร่วมกับพระเยซูคริสต์แล้ว เป็นแล้วนะ วิญญาณใหม่ของเรา จิตใจใหม่ที่พระเจ้าประทานให้กับเรา ที่เป็นขึ้นมาใหม่นั้น ลักษณะหน้าตาเป็นอย่างไร? ธรรมชาติของวิญญาณใหม่ของเรา จิตใจใหม่ของเรา ที่เกิดใหม่นั้น หรือเรียกว่าวิสัย หรือเรียกว่าสันดานใหม่ของเรา เป็นลักษณะอย่างไร? เราเรียนไปแล้ว

หลังจากที่เราได้รับรู้ และเชื่อในสิ่งทั้งหลายทั้งปวงนี้แล้ว ในพระคัมภีร์บอกว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเรา ในตัวตนใหม่ของเรานั้น พระคัมภีร์ได้สอนเราอย่างไรในเรื่องแนวทางในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้บ้าง เพื่อให้เราได้สงบ ได้รับผลประโยชน์ มีสันติสุข มีความสุขมากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้บนโลกใบนี้ ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ 100% แต่อย่างน้อย ก็ยังได้เยอะกว่าไม่รู้เรื่องเลย เยอะกว่าคนตาบอดมองไม่เห็นเลย เยอะกว่าคนที่ไม่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์มาชี้ทางให้ เพราะว่าการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ถ้าเรารู้ว่ามันมีอะไรเป็นจริงฝ่ายวิญญาณบ้าง ก็จะทำให้เรามีสันติสุข มีความสุขมากขึ้น ในระหว่างการที่ต้องดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้อยู่ ในระหว่างที่ยังรอคอยวันเวลาที่เราจะได้กลับไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถานถาวรนิรันดร์ เห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า ซึ่งเราก็รู้อยู่แล้วว่าทุกวันนี้เราก็อยู่ในสวรรค์แล้วล่ะ เราเรียนรู้ตามพระคัมภีร์บอก เรานั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า นั่งอยู่ในสวรรค์สถานเดี๋ยวนี้แล้ว แต่มันยังเห็นลางๆ เห็นไม่ชัด เห็นจากถ้อยคำพระเจ้าที่บอกเรา เห็นจากความเชื่อที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ประทานให้กับเรา อยู่ในจิตใจเรา … เรารู้ เหมือนที่บทเพลงที่เราร้อง …

“ข้ารู้ เพราะอยู่ในใจ”

มันเกิดขึ้นที่ถ้อยคำก่อน เกิดขึ้นที่ตาดู หูฟัง และปากพูดถ้อยคำพระเจ้า มันออกมาจากใจ นั่นแหละ ตรงนั้นมันรู้ มันเห็นไหม? ไม่เห็น แต่มีไหม? มี พระคัมภีร์เขาเรียกว่าเห็นแบบลางๆ แต่พระคัมภีร์สัญญาไว้ว่าวันหนึ่งที่เราออกจากร่างนี้ ตัวตนที่แท้จริงของเรา คือวิญญาณของเราออกจากร่างนี้เมื่อไร? เราก็อยู่ที่เดิม แต่คราวนี้จะไม่มีอะไรบังเราอีกแล้ว เราจะเห็นพระองค์หน้าต่อหน้า ชัดเจนแจ่มใส เหมือนที่ผมเห็นท่าน หรือท่านเห็นผมในตอนนี้เลย นี่คือความหวังใจนิรันดร์ของผู้ที่เชื่อในพระเยซู ว่าโลกที่มองไม่เห็นนั้น เป็นจริง ตามที่พระคัมภีร์ได้บอกไว้ ตามที่พระเจ้าได้ชี้แจงเอาไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล เป็นตัวอักษร และพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นผู้ยืนยันให้กับเรา ในวิญญาณข้างในของเรา

หัวใจที่สำคัญที่สุด ที่จะทำให้เราได้พบกับความสุข ความสงบ  และสันติสุขที่แท้จริงบนโลกใบนี้ ท่ามกลางโลกที่สับสนวุ่นวายวิปริตวิปลาส ที่เรียกว่าโลกบาป โลกที่ถูกสาปแช่งไปแล้ว พระเจ้ารอวันเวลาของพระองค์ที่จะฟื้นฟูใหม่ แต่ตอนนี้ยังไม่ฟื้นฟู เมื่อยัง ก็วุ่นวายอย่างนี้ จะเอาแน่เอานอนกับมันไม่ได้ แล้วมันก็เป็นโลกแห่งความชั่วร้าย ทำอย่างไรเราจะอยู่บนโลกแห่งความชั่วร้ายนี้ได้ โดยมีความทุกข์น้อยที่สุดเท่าที่ทำได้ มีความสุข มีสันติสุข มีความสงบสุขมากที่สุดเท่าที่ทำได้ คือจงให้ความคิดของท่านจดจ่อกับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก

“สิ่งเบื้องบน” ก็คือโลกที่มองไม่เห็น  โลกวิญญาณ ซึ่งมันเหนือกว่า เขาจึงใช้คำว่าเบื้องบน มิได้หมายถึงให้มองไปที่ข้างบน แต่ให้มองทะลุไปที่โลกวิญญาณ มิติหนึ่งที่อยู่ในโลกวิญญาณ ตามหลักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน มีคำว่า “มิติ” ซึ่งสมัยก่อนไม่มี สมัยก่อนเขาบอกมองไปที่เบื้องบน หมายถึงมองไปอีกมิติหนึ่ง แต่เดี๋ยวนี้นักวิทยาศาสตร์คิดค้น รู้ว่ามี 3 มิติ, 4 มิติ ให้มองไปอีกมิติหนึ่ง มิตินั้น เรียกว่ามิติโลกวิญญาณที่ตามนุษย์ธรรมดามองไม่เห็น จับต้องไม่ได้ ดมกลิ่นก็ไม่มี แต่มันมีอยู่จริงๆ พระคัมภีร์บอก และที่นั่นแหละที่พระเจ้าสถิตอยู่ เรียกว่าสวรรค์สถาน และที่นั่นแหละ ไม่มีการเปลี่ยนแปลง และที่นั่นไม่มีทั้งอดีต ไม่ทั้งปัจจุบัน และไม่มีทั้งอนาคต เป็นอยู่อย่างไร? เป็นอย่างนั้น เหมือนที่พระคัมภีร์บอก พระเยซูเป็นอยู่อย่างไรในอดีต พระองค์จะเป็นอยู่ในปัจจุบัน และจะเป็นอย่างนี้ตลอดไปเป็นนิตย์ มันหมายถึงว่าที่นั่น มันเป็นอย่างนั้นเอง ไม่มีอดีต … อดีตคือโลกใบนี้เราคิดกัน เราคิดตัวเลขกันว่า 2,000 ปีผ่านไปแล้ว วันนี้หนึ่งวัน ดวงอาทิตย์ขึ้น จดไว้ แต่ในโลกวิญญาณ มันไม่มีวันเวลาใดๆ ทั้งสิ้น ถึงเรียกว่านิรันดร์ … นิรันดร์อยู่กับพระเจ้า ดังนั้น ทุกวันนี้เราก็อยู่แล้ว เพียงแต่เรายังอยู่ในร่างกายที่เต็มไปด้วยความบาป และยังต้องดำเนินชีวิตอยู่ ซึ่งมันก็ต้องใช้วิธีการที่ทำอย่างไร ถึงจะฉลาดในการอยู่

เคยได้ยินคำนี้ไหม? เวลาคนทำอะไร แล้วรู้จักประจบประแจง อะไรต่างๆ สมมติอยู่ในบ้าน รู้ว่าคนนี้ มีอิทธิพลสูงสุด มีอำนาจสูงสุด ทำอะไรก็ประจบคนนี้  เพื่อว่าจะได้สิ่งที่ดีๆ จากคนนี้ เขาเรียกว่า “อยู่เป็น” อยู่บ้านอยู่เป็นไหม?  อยู่เมืองไทย อยู่เป็นไหม? รู้จักเส้นสายไหมว่าให้อยู่เมืองไทย ต้องอย่างนี้ จึงจะอยู่ดี อยู่เมืองนอก อยู่อเมริกาอยู่อย่างไร?  เขาเรียกว่าอยู่เป็น ไม่ใช่ไปที่ไหน ไปฝืนเขาหมด อย่างนี้เขาเรียกว่าอยู่ไม่เป็น ทำให้เกิดทุกข์ สุภาษิตโบราณไทยบอกว่า …

“อยู่บ้านท่านอย่านิ่งดูดาย ปั้นวัว ปั้นควายให้ลูกท่านเล่น”

นั่นแหละ เขาเรียกว่าอยู่เป็น เจ้าของบ้านเขาจะได้รักเรา ในทำนองเดียวกัน ถ้ามาเชื่อในพระเจ้าแล้ว รู้ว่ามีโลกวิญญาณแล้ว ต้องอยู่เป็นด้วย วิธีอยู่เป็น ก็คือให้เอาความคิดของเราไปจดจ่ออยู่ที่โลกวิญญาณว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้างในโลกวิญญาณ เพื่อจะได้ดำเนินชีวิตได้ถูกต้อง เหมือนลายแทง เหมือนพระคัมภีร์บอกว่า …

“ถ้อยคำของพระองค์ เป็นโคมส่องเท้าให้ข้าพระองค์เดินไป”

มีโคมตลอดเลยว่าจะเดินซ้ายกี่องศา ขวากี่องศา จะได้สะดุดมันน้อยหน่อย โลกใบนี้มันมืดมาก มันเดินไม่ไหวหรอก ถ้าเราไม่มีโคม เราก็เดินแบบคนหลับตา ทุกข์ตลอด เจ็บปวดตลอด แต่ถ้ามีโคมมันชนไหม? ชน บางทีเราไม่เชื่อ เขาบอกเราอย่างนี้ เราทดลองดูอย่างนี้ มันคุ้นๆ เคยเดินอย่างนี้ เที่ยวนี้เดินไป เจอก้อนหิน เจอตะปู จำไว้ให้ดี อย่าเดินตรงนี้อีก อันใหม่แล้ว ให้เดินทางนี้ 40 องศา เอียงซ้ายนิดหนึ่ง ขวานิดหนึ่ง โอเค ผ่านพ้น ไม่เจ็บ มันเคยชิน ขอลองสักที ลองไปทีไร มันเจ็บทุกที พอเจ็บนานๆ ชักชิน นี่แหละ คือการมองทะลุในโลกวิญญาณ มองไปที่เบื้องบน มันก็ค่อยๆ ฝึกฝนไปทีละนิดๆ มันก็จะเดินถูกมากขึ้นเรื่อยๆ ก็จะทุกข์น้อยลงเรื่อยๆ  ถูกน้อยลงเรื่อยๆ ก็บาดเจ็บมากขึ้น มันก็ทุกข์มาก จะเอาอย่างไร? นี่พระคัมภีร์ พระเจ้าสอนเราหมด เพื่อจะให้เราเชื่อพระเจ้า แล้วก็เกิดใหม่ รอคอยวันเวลาในการไปอยู่บนสวรรค์อย่างเดียว แล้วพระเจ้าบอกตัวใครตัวมัน รออย่างเดียว ไม่ใช่ บอกเรา สอนเราว่าอะไรเหมาะสม อะไรดีงาม อะไรที่เราควรทำ และหัวใจในการที่จะสอนเรา อันดับแรก ก็คือการต้องผ่านตรงนี้ก่อน คือให้ความคิดของเราจดจ่อกับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่ฝ่ายโลก ก็คือไม่ใช่ที่ตามองเห็น ตามองเห็น มันเป็นจริงเลย  แต่ในโลกวิญญาณเขาว่าอย่างไร? ตรงนั้นมากกว่า

เราจะมาทบทวนข้อพระคัมภีร์ที่เราเรียนรู้เรื่องนี้ โคโลสี 3:1-6 “1 ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลายเป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว ก็จงให้ใจของท่านจดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า 2 จงให้ความคิดของท่านจดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก 3 เพราะท่านตายแล้ว และบัดนี้ ชีวิตของท่านถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ ในพระเจ้า 4 เมื่อพระคริสต์ผู้ทรงเป็นชีวิตของท่านปรากฏ เมื่อนั้น ท่านก็จะปรากฏพร้อมกับพระองค์ ในพระเกียรติสิริด้วย 5 เหตุฉะนั้น จงประหารโลกียวิสัยของท่าน คือการผิดศีลธรรมทางเพศ ความโสมม ราคะตัณหา ความปรารถนาชั่ว และความโลภ ซึ่งเป็นการบูชารูปเคารพ 6 เนื่องด้วย สิ่งเหล่านี้ พระพิโรธของพระเจ้ากำลังจะมาถึง”

 

นี่คือสิ่งที่เราเรียนรู้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หวังว่าทุกคนคงเข้าใจหมด นี่เป็นการทบทวนสั้นๆ เฉยๆ เห็นไหม? บอกว่าเราเป็นขึ้นมากับพระคริสต์แล้ว เป็นขึ้นมาเมื่อไร? โน้น 2,000 ปีเราก็เป็นขึ้นมาแล้ว ในโลกวิญญาณ เขาบอกอย่างนี้ว่าเราเป็นพร้อมกับพระองค์ อย่างที่ผมบอก ไม่มีอดีต ไม่มีปัจจุบัน ไม่มีอนาคต ไม่มีวันเวลา สำหรับโลกวิญญาณ ใครมาเชื่อในพระเยซู ยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เขาเป็นขึ้นมาใหม่พร้อมพระองค์ ณ เดี๋ยวนั้นแหละ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว  แต่ในโลกวิญญาณ เป็นจริงๆ มันเป็นเดี๋ยวนี้ เป็นอยู่เลย

ผมนึกตรงนี้ได้ ยกตัวอย่างให้ท่านดู ตอนไปต่างประเทศ ได้เห็นภาพตรงนี้จริงๆ ว่าเมื่อเราคิดอะไรบางอย่าง ความเป็นจริง มันไม่เหมือนที่เรามองเห็น  ผมเคยไปนั่งรถไฟฟ้าความเร็วสูง ประมาณ 300 กว่ากิโลเมตรต่อชั่วโมง รถมันวิ่งเร็วมาก จนเรามีความรู้สึกว่าเรานั่งเฉยๆ ถ้าเผื่อช้ากว่านี้ เราอาจจะรู้สึกว่าเรากำลังวิ่งอยู่ เรากำลังนั่งอยู่ นี่มันเร็วมาก จนกระทั่ง เรารู้สึกเหมือนกับเราผ่านไป เหมือนเราลอยๆ มันเร็วมาก มันนิ่งมาก จนกระทั่ง แก้วน้ำบนโต๊ะไม่สะเทือนเลย น้ำที่อยู่ในนั้นไม่ขยับ มันอยู่นิ่งเลย ผมก็มองดู ถ้าแก้วน้ำพูดได้ หรือขวดน้ำพูดได้ มันไม่ได้เดินทางอะไรเลย มันอยู่เฉยๆ แต่ในขณะเดียวกัน เรารู้อยู่ว่าเรานั่งอยู่ที่ไหน?  เรามองดูอยู่ รถไฟฟ้ากำลังพาแก้วน้ำวิ่งด้วยความเร็ว 300 กว่ากิโลเมตรต่อชั่วโมง ตามภาษามนุษย์ มันเร็วมาก แต่มองดูแล้ว สำหรับแก้วน้ำ แก้วน้ำบอก …

“ฉันไม่ได้ไปไหนเลย ฉันอยู่ที่เดิม ฉันไม่ได้ขยับขาเลยแม้แต่นิดหนึ่ง”

มันก็จริง ผมก็ไม่ได้ขยับอะไรเลย แต่มันกำลังวิ่ง เร็วมาก รู้เรื่องไหมเนี้ย ผมยังไม่รู้เรื่องเลยเล่าอะไรให้ท่านฟัง แต่อยากจะบอกว่าอะไรบางอย่าง มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ  แต่พระคัมภีร์บอก เราก็เชื่อฟัง บางอย่าง นักวิทยาศาสตร์ยังค้นพบไปไม่ถึง แต่เรารู้ เราเชื่อฟังพระเจ้า เป็นหลักการ ถ้อยคำพระเจ้าในนี้ บอกว่าในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลาย เป็นขึ้นกับพระเยซูแล้ว เป็นขึ้นอะไรล่ะ ฉันเพิ่งจะเกิด พระเยซูเป็นขึ้นใหม่ตั้ง 2,000 ปีผ่านไปแล้ว นี่ปัญญามนุษย์จะคิดอย่างนั้น

ฝ่ายโลก คือฝ่ายปัญญาของโลก บอกเป็นไปได้อย่างไร? ฉันเพิ่งจะเกิดมา ไม่ถึง 80 ปี แล้วพระเยซูเป็นขึ้นมาใหม่ตั้ง 2,000 ปี ในนี้บอกว่าเมื่อทรงให้ท่านเป็นขึ้นมาใหม่ พร้อมกับพระเยซู ร่วมกับพระเยซูเลย พระเยซูเป็น เราเป็นด้วย เป็นอย่างไร? ฉันยังไม่เกิดเลย เห็นไหม? เราก็เชื่อตามนั้นว่าเราเป็นขึ้นมาใหม่แล้ว ก็จงให้จิตใจท่านจดจ่ออยู่ที่เบื้องบน ที่พระคริสต์ประทับอยู่ ณ เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า จงให้ความคิดของท่านจดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก อันนี้ชัดเลย

จดจ่อสิ่งเบื้องบน คืออะไร?  สิ่งที่เบื้องบน ที่พระเยซูเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน มีสิทธิทั้งหมดอยู่กับพระเจ้า ทั้งสิ้น ให้เราจดจ่ออยู่ตรงนั้น  เพราะว่าเรานั่งกับพระองค์แล้วตรงนั้น เรามองไป เพ่งไป เราก็นั่งอยู่ที่นั่นด้วย มันก็ยากนะ แต่เชื่อไปเรื่อย ตามถ้อยคำพระเจ้าไปเรื่อยๆ คิดอยู่เรื่อยๆ มันก็จะเป็นจริง เป็นจังขึ้นมา เหมือนถ้อยคำพระเจ้า ในหนังสือฮีบรู บทที่ 11 บอกว่าความเชื่อ คือร่องรอยหลักฐาน และสิ่งที่จับต้องมองเห็นได้ในสิ่งที่มองไม่เห็น งงไหม? พูดง่ายๆ ว่าพอเราคิดไปเรื่อยๆ และเชื่อในถ้อยคำพระเจ้าไปเรื่อยๆ ความเชื่อในถ้อยคำพระเจ้า ทำให้สิ่งที่มองไม่เห็นในโลกวิญญาณ มันกลายเป็นสิ่งที่มองเห็น จับต้องได้ทันที มีร่องรอยหลักฐานว่าใช่ ตรงนี้มีหนังสือเล่มหนึ่งสีดำ เห็นชัด อย่างนี้ไม่ต้องใช้ความเชื่อ

“ตรงนี้ในพระคริสต์ ฉันนั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระเจ้า ในพระเยซูคริสต์ อยู่ในสวรรค์สถานแล้วตอนนี้”

เห็นไหม? จับต้องได้ไหม? มีหลักฐานไหม? ไม่มี แต่ผมเชื่อ เพราะว่าพระวิญญาณสถิตอยู่กับผม และสอนผมให้เชื่อว่าถ้อยคำพระเจ้าเป็นจริง พอผมเชื่อปุ๊บ เรานั่งอยู่ที่นี่ พระเยซูยิ้มหน่อย เราก็ยิ้ม โอเค อยู่ด้วยกันนะ เป็นหนึ่งเดียวกัน สำหรับในฝ่ายโลก เขาบอกคนนี้บ้า แต่ทางเราเรียกว่าความเชื่อ นี่คือถ้อยคำพระเจ้า นี่คือความจริง เราบอกว่าฮาเลลูยา ไม่ใช่บ้า จะเอาอะไรล่ะ จะเอาโลก หรือจะเอาเบื้องบน จะเอาโลก หรือเอาทางฝ่ายวิญญาณทางพระเจ้า  มันไม่สามารถมาผสมกันได้  คุณต้องเอาอย่างหนึ่ง ถ้าคุณคิดว่าคุณเชื่อในถ้อยคำพระเจ้า คุณไม่มีทางคุยกับผู้คนบนโลกใบนี้รู้เรื่องหรอก มันไม่รู้เรื่องแน่นอน คุณเตรียมตัวไว้เลย เป็นศัตรูกันแน่นอน เพราะถ้าคุณเชื่อ แสดงว่าคุณอยู่ในทางพระเจ้า อยู่ฝ่ายพระเจ้า พระเจ้ากับความมืดจะอยู่ด้วยกันได้อย่างไร? คนละขั้วกันอยู่แล้ว เอเมน นี่คือสิ่งที่เอามาเสริมกับสัปดาห์ที่แล้ว

สัปดาห์ที่แล้ว ที่ข้อ 5, 6 บอกว่า “5 เหตุฉะนั้น จงประหารโลกียวิสัยของท่าน คือการผิดศีลธรรมทางเพศ ความโสมม ราคะตัณหา ความปรารถนาชั่ว และความโลภ ซึ่งเป็นการบูชารูปเคารพ 6 เนื่องด้วย สิ่งเหล่านี้ พระพิโรธของพระเจ้ากำลังจะมาถึง”

ตรงนี้ที่ผมบอกว่าอยู่เฉยๆ หมายถึงความบาป ที่ก่อให้เกิดการกระทำสิ่งที่ชั่วร้าย มันไม่ใช่มีแค่ 1, 2, 3, 4, 5 อย่างเท่านั้น มันรวมถึงความโกรธ ความเกลียด ความอาฆาต ความชั่วร้ายต่างๆ ทุกอย่าง  ซึ่งเป็นการบูชารูปเคารพ ทำไมเขาใช้คำนี้ว่า “ซึ่งเป็นการบูชารูปเคารพ” เขาเปรียบเทียบกับคนยิวในสมัยนั้น คนยิวจะรู้ทันทีเลย เชื่อพระเจ้ากับรูปเคารพ หมายถึงอยู่ด้วยกันไม่ได้ บูชารูปเคารพ คืออยู่คนละขั้วกับพระเจ้า เข้ากันไม่ได้ เป็นศัตรูกับพระเจ้า กบฏต่อพระเจ้า จะเจอพระพิโรธของพระเจ้า เพราะว่าอยู่คนละขั้วกัน เข้ากันไม่ได้ คนจะรู้ทันทีว่าเป็นการบูชารูปเคารพ คือพระเจ้ารังเกียจ ถามว่าอยู่ดีๆ พระเจ้าไปรังเกียจคนเหรอ ไม่ใช่ มันเข้ากันไม่ได้ เวลาอ่านพระคัมภีร์ พระเจ้าลงโทษ พระเจ้าพิโรธ พระเจ้ารังเกียจ ให้จำไว้เลยว่าเป็นธรรมชาติของพระเจ้า ที่บริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ ปราศจากบาป ไม่สามารถเข้ากับความสกปรกได้เลย แม้แต่นิดเดียว เป็นธรรมชาติ มีนิสัยเกลียด ไม่ใช่ เข้าใจนะ ครั้งที่แล้วเรายกตัวอย่างไฟฟ้าแรงสูง ใช่ไหม? ถ้าคนไม่มีชนวนเอามือเปล่าๆ ไปจับ ไฟฟ้ามันก็วิ่งมาสู่เรา จริงๆ ไฟฟ้าไม่ได้เกลียดเราหรอก แต่เราไม่รู้เรื่อง อะไรประมาณนั้นแหละ

คราวนี้ เนื่องด้วยสิ่งเหล่านี้ พระพิโรธของพระเจ้ากำลังจะมาถึง อย่างที่บอกว่ากำลังพูดถึงคนที่ไม่เชื่อ อยู่ในรูปเคารพอย่างนี้  มิได้หมายถึงคนที่ไม่ได้เชื่อ ต้องไปไหว้รูปเคารพ ไม่ใช่ อันนั้น เป็นเงา เป็นตัวสำแดงให้เราเห็นว่าในอดีต ก่อนพระเยซูจะเป็นขึ้นจากความตาย มันเป็นอย่างนั้น เป็นภาพรางๆ พระเจ้าวาดให้เห็นว่านี่คือสิ่งที่พระเจ้ารังเกียจ มันอยู่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า ปัจจุบันไม่ต้อง ไหว้รูปเคารพ คือการไม่เชื่อในถ้อยคำพระเจ้า ไม่เชื่อพระเยซู นี่ไหว้รูปเคารพแล้ว ไม่เชื่อพระเยซูว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระผู้ไถ่บาป ไม่ต้องเอาอะไรมาไหว้เลย ก็เป็นคนไหว้รูปเคารพแล้ว มันหมายถึงอย่างนั้น โปรดเข้าใจ

และถ้ายังเป็นอย่างนั้นอยู่เกิดอะไรขึ้น เมื่อไม่เชื่อในพระเยซู พระพิโรธของพระเจ้า ก็มาถึง หนังสือยอห์น 3:16 ก็เขียนไว้ว่าพระเจ้าทรงรักโลกยิ่งนัก  คือรักมนุษย์ยิ่งนัก จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ลงมา คือพระเยซูคริสต์ เพื่อผู้คนเหล่านั้น มนุษย์เหล่านั้น ที่เชื่อวางใจในพระเยซู จะไม่พินาศ และได้รับชีวิตนิรันดร์ ก็ได้ไปอยู่ในสวรรค์

และข้อต่อมา บอกว่าพระเยซูไม่ได้มา เพื่อตัดสิน เพราะว่าเขาอยู่ในความพินาศอยู่แล้ว แต่พระเยซูมา เพื่อเป็นพระผู้ช่วย ไม่ใช่พระผู้พิพากษา พระองค์มา เพื่อช่วยให้รอด พระองค์ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต เพื่อมาช่วยคนที่อยู่ในความพินาศ ให้ได้รับความรอด เห็นไหม? มันต่างกันเยอะเลย  เพราะฉะนั้น คนที่ไม่เชื่อในพระเยซู ก็อยู่ในความพินาศอยู่แล้ว อยู่ในการไหว้รูปเคารพอยู่แล้ว  มันเป็นอย่างนั้น มันไม่ได้หมายถึงการกระทำ

วันนี้เรามาต่อข้อ 7 …

โคโลสี 3:7-9 “7 ครั้งหนึ่ง ท่านเคยดำเนินชีวิตในทางเหล่านี้ 8 แต่บัดนี้ ท่านจงกำจัดสิ่งทั้งปวงต่อไปนี้ ให้หมดจากตัวท่าน คือความโกรธ ความเกรี้ยวกราด การคิดปองร้าย การกล่าวร้าย และวาจาหยาบช้า จากปากของท่าน 9 อย่าโกหกกัน ในเมื่อท่านสลัดทิ้งตัวตนเก่าๆ พร้อมกับความประพฤติเดิมๆ แล้ว”

 

“ครั้งหนึ่ง ท่านเคยดำเนินชีวิตในทางเหล่านี้ แต่บัดนี้ ท่านจงกำจัดสิ่งทั้งปวงต่อไปนี้ ให้หมดจากตัวท่าน”

ก็คือเมื่อก่อนนี้ เมื่อสมัยที่ท่านยังไม่ได้ตายกับพระคริสต์ ก็คือตอนสมัยที่ท่านยังไม่เชื่อ หรือไม่รู้ว่าพระเจ้าประทานพระเยซูคริสต์มา เพื่อเป็นหัวหน้ามนุษย์ มาช่วยเหลือมนุษย์ให้หลุดพ้นจากความบาป ท่านยังไม่เชื่อ ตอนนั้นท่านเคยดำเนินชีวิตอยู่กับสิ่งสกปรกเหล่านั้น ก็คือวิญญาณท่าน มันสกปรก วิญญาณเต็มไปด้วยความบาป เนเจอร์ ธรรมชาติในวิญญาณ เป็นความบาป เป็นนะ ไม่ใช่มีความบาป … มีความบาป นั่นเป็นผลจากการเป็นนั่นแหละ เพราะวิญญาณข้างใน ใจข้างใน เป็นใจบาป ตรงกันข้ามกับเนเจอร์ของพระเจ้า เพราะฉะนั้น เลยออกมาทำบาปข้างนอก เช่น มีความโกรธ มีความเกรี้ยวกราด คิดปองร้าย มีการกล่าวร้าย และพูดจาหยาบช้า การโกหก แต่ตอนนี้ ท่านรับเชื่อแล้ว พระเจ้าประทานวิญญาณใหม่ และใจใหม่ให้กับท่านเรียบร้อยไปแล้ว

“ใช่ๆ ฉันจะรับสิทธิของฉัน ฉันจะรับผลประโยชน์ที่พระเยซูทำให้กับฉัน ที่ไม้กางเขน … (นี่เขาเรียกกลับใจใหม่) … ตอนนี้ ฉันเป็นลูกพระเจ้าแล้ว  มีวิญญาณใหม่ที่เป็นเหมือนพระเยซู เหมือนพระเจ้าเลย”

พระคัมภีร์พูดอย่างนั้นเลยนะ ไม่รู้กี่ครั้งแล้ว ที่เอาพระคัมภีร์ให้ท่านดู เพราะฉะนั้น ก็จงประพฤติตัวให้เหมาะสมกับการเป็นลูกพระเจ้าหน่อยสิ แค่นี้เอง ตะกี้นี้บอกว่าเราได้เป็นขึ้นมาใหม่พร้อมกับพระเยซูอย่างไร? ขอบคุณพระเจ้า จงให้ความคิดของท่านจดจ่อกับเบื้องบน

ตอนนี้มาบอกว่าเราเกิดใหม่แล้วนะ วิญญาณเรา เนเจอร์ข้างใน ธรรมชาติข้างใน สันดานเป็นใหม่หมด เพราะฉะนั้น การกระทำข้างนอก ให้มันเป็นไปด้วยกันกับข้างในหน่อย อย่าให้มันฝืนมากนัก อะไรต่างๆ เหล่านี้ พระเจ้าต้องการให้เราได้เห็นภาพตรงนี้ จริงๆ ว่าอะไรเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ

โคโลสี 3:10 “ในเมื่อท่านสลัดทิ้งตัวตนเก่าๆ พร้อมกับความประพฤติเดิมๆ แล้ว และสวมตัวตนใหม่ ซึ่งกำลังทรงสร้างขึ้นใหม่ ตามพระฉายขององค์พระผู้สร้าง ขณะที่ท่านเรียนรู้จักพระองค์มากขึ้น”

 

ในเมื่อท่านสลัดทิ้งตัวตนเก่าๆ สลัดไปแล้ว เมื่อตอนที่ท่านเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด แล้วท่านรับเชื่อ ท่านได้ประหารตัวเก่าไปแล้ว คือสลัดทิ้งตัวเก่า สิ่งทั้งหมดนี้ กำลังพูดถึงโลกวิญญาณ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเนื้อหนังร่างกาย แล้วสวมตัวตนใหม่ ซึ่งกำลังทรงสร้างขึ้น มองไปก็หน้าเดิมทั้งนั้น ไม่เห็นตัวตนใหม่เลย แล้วในนี้บอกตัวตนใหม่ เจริญเติบโตขึ้นทุกวัน ผมเห็นทุกคนก็แก่ลงทุกวัน ไม่เห็นมีใหม่ขึ้นเลย มีแต่เก่าลงๆ แก่ลง เพราะกำลังพูดถึงโลกวิญญาณ จงให้ใจจดจ่อ ความคิดไปที่เบื้องบน ในโลกวิญญาณ  มันจะเห็นชัดขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งตัววิญญาณของเรา ที่เรามองไม่เห็น มันเจริญเติบโตใหม่ขึ้นทุกวัน เหมือนพระฉายขององค์พระผู้สร้าง พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น ตัวตนเก่าที่เต็มไปด้วยความบาป ความชั่วร้าย เต็มไปด้วยความประพฤติเดิมๆ ได้ถูกประหารเรียบร้อยไปแล้ว โดยผ่านความเชื่อในพระเยซูคริสต์ว่าพระเยซูคริสต์ตายที่ไม้กางเขน มนุษย์ทุกคน ก็มีสิทธิ์ตายพร้อมกับพระเยซูที่ไม้กางเขนด้วย เอเมน

ตายอย่างไร? ถูกประหารอย่างไร? คราวนี้เอาแบบสายตามนุษย์ก็ได้ แบบที่ตามองเห็นบ้าง? เช่น แต่ก่อนนี้ ก่อนที่เราจะรับเชื่อ วิญญาณเราเป็นวิญญาณแห่งความเกลียดชัง วิญญาณแห่งการฆ่าทำลาย วิญญาณของมาร เราไม่มีวิญญาณแห่งความรักเลย แต่พอเรามาเชื่อพระเจ้า  เรามีพระฉายพระเจ้า เป็นลูกพระเจ้า เราเป็นวิญญาณแห่งความรัก แต่ก่อนนี้เราไม่ได้เป็นวิญญาณแห่งความรัก เราเป็นทุกอย่างที่ตรงกันข้ามกับความรัก จะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม เช่น ขี้ทั้งหลาย เป็นคนขี้อิจฉา ไม่เคยกระทำคุณให้ใคร? เป็นคนไม่รักใคร? เป็นคนอวดตัว หยิ่งผยอง พูดง่ายๆ ตรงกันข้ามกับ 1 โครินธ์ 13:4 …

“ความรักก็อดทนนาน กระทำคุณให้ ไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ไม่หยาบคาย”

แต่ก่อนนี้ เราเป็นความเกลียดชัง ไม่อดทนนาน ไม่กระทำคุณให้ อิจฉา อวดตัว หยิ่งผยอง แต่ตอนนี้เราประหารตัวตนเก่านี้ทิ้งไปแล้ว ตัวตนที่มันอิจฉาริษยาเขา น้อยใจเขา โกงเขา  เอาเปรียบเขา เห็นแก่ตัว ทนไม่ได้ โมโหง่าย ตัวนี้มันตายไปแล้ว มันได้ถูกประหารทิ้งไปแล้ว แล้วเราได้รับวิญญาณใหม่ หรือตัวตนใหม่เข้ามาแล้ว ตัวตนใหม่ของเรา เป็นวิญญาณเหมือนพระเจ้า สะอาดบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า เป็นวิญญาณแห่งความรัก อดทนนาน เหมือนพระเจ้าไม่มีผิดเลย อินโนเซ้นต์กับเรื่องของความบาปเลย ไม่รู้เลย ความบาป เหมือนที่อาดัมและเอวาถูกสร้างขึ้นมาใหม่  สมัยที่ยังไม่ล้มลงไปในความบาป แก้ผ้ายังไม่รู้เลย ต้องอายใคร? มันอินโนเซ้นต์ในความบาป ท่านเข้าใจไหม? เราก็ไม่เข้าใจหรอก พระคัมภีร์บอกอย่างนั้น เราก็ว่าตามนั้น ผมก็ไม่เข้าใจ ไม่ใช่ว่าผมพูด แล้วผมเข้าใจ นี่ผมพูดตามถ้อยคำพระเจ้า ตัวตนใหม่ของเรา เป็นเหมือนพระเจ้า สะอาดบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า เป็นวิญญาณแห่งความรัก

“ฉันเป็นวิญญาณ วิญญาณฉันเป็นความรัก วิญญาณฉันเป็นความสว่าง วิญญาณฉันสะอาดบริสุทธิ์ ไร้บาป อินโนเซ้นต์ต่อบาปทั้งปวง”

นี่ตัวตนเราจริงๆ เป็นอย่างนี้ มองทะลุให้เห็น ใครที่ชอบหงุดหงิดยกมือขึ้น พูดอย่างนี้แล้วหายหงุดหงิดไหม? ไม่หายหรอก มันอาจจะค่อยๆ หาย แต่มันไม่หายไปหมดหรอก ถามว่าตัวหงุดหงิด ใครหงุดหงิด ตัวจริงๆ ท่านหงุดหงิดไหม? ไม่เลย เห็นหรือยัง?

ใครชอบขี้โกรธบ้าง อารมณ์เสียๆ ตะกี้ที่บอกว่า … “วิญญาณฉันเป็นความรัก วิญญาณฉันบริสุทธิ์” พูดด้วยจริงใจหรือเปล่า? จริงใจ เพราะฉันรู้ว่านั่นคือวิญญาณของฉัน แต่ที่ฉันหงุดหงิด มันอยู่ในร่างกายนี้ เราค่อยว่ากันไปเรื่อยๆ ว่าจะสู้กับมันอย่างไร?

เพราะฉะนั้น พระคัมภีร์จึงเตือนว่าจงฝึกฝน ประพฤติตัว ภายนอก ให้เป็นไปกับตัวแท้จริงข้างในของเรา ข้างในเรามีธรรมชาติอย่างนี้ แล้วเราจะไปทำทำไม? วิญญาณเราเป็นความรัก แล้วเราไปโกรธ มันไม่น่าดูเลย แค่นั้นเอง แล้วถามว่าเราทำได้ครบไหมตอนนี้ เป็นไปไม่ได้เลย เพราะเป็นไปไม่ได้ พระเยซูจึงต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน เพื่อเรา ช่วยเราทางวิญญาณ ที่เป็นตัวจริงๆ ของเรา  ให้มันสะอาดหมดจด ผุดผ่องไปเลย แต่ยังไงก็ตาม ถ้าเราทำตามถ้อยคำพระเจ้า เราจะมีความสุขมากขึ้น มันจะค่อยๆ เปลี่ยนนิสัยเราข้างนอก ถ้าเราจดจ่ออยู่ที่มัน ไม่ใช่จดจ่อฝ่ายโลก คือวันนี้ชอบหงุดหงิด แล้วคนมาเตือน แทนที่จะเราเป็นวิญญาณแห่งความรัก ค่อยๆ ฝึกฝน มองไปที่โลกวิญญาณ ในเบื้องบน เราเป็นวิญญาณแห่งความรัก เราควรจะฝึกฝนตนเอง ให้อภัยและอดทนนานขึ้น เปล่า กลับไปจดจ่อฝ่ายโลก ให้อภัยได้อย่างไร 30 ครั้งแล้ว มัวแต่จดจ่อที่ฝ่ายโลก มันก็ไม่มีวันที่จะดีขึ้น แต่ถ้าฝ่ายวิญญาณ มันไม่มีข้อยุติเลยว่าจะเถียงอะไรกับพระเจ้า เพราะว่ามันเป็นเนเจอร์ เป็นธรรมชาติ เราไม่ได้เป็นอย่างนั้น เราต้องจดจ่ออยู่ที่ธรรมชาติ ไม่อย่างนั้น เราก็จะปกป้องตัวเราเอง ไม่ได้ บางคนก็บอกไม่ได้  อย่างนี้ต้องปกป้องศักดิ์ศรี … ศักดิ์ศรีอะไร? ศักดิ์ศรีฝ่ายโลก ไม่ใช่ศักดิ์ศรีฝ่ายพระเจ้า … ศักดิ์ศรีของพระเจ้าใหญ่กว่าตั้งเยอะ ศักดิ์ศรีฝ่ายพระเจ้า ก็คือเราเป็นลูกพระเจ้า แต่ศักดิ์ศรีฝ่ายโลก เขากล่าวหาเรา เราไม่ได้เป็นจริงตามนั้น บอกทุกคนว่าฉันไม่ได้เป็น เรากำลังอยู่บนเวทีโลก กำลังป้องกันตัวเอง แบบโลก เราถูกล่อไปแล้ว ถ้าเราไม่สนใจ เรามองไปที่โลกวิญญาณอย่างเดียว  เราก็จะสงบ เห็นไหม? ความทุกข์ก็จะน้อย ปัญหาที่จะเกิดขึ้นตามมา ก็จะน้อยลง นี่คือความสุขที่พระเจ้าสามารถให้เราได้ โดยแค่เราเราจดจ่อที่เบื้องบน จดจ่อที่โลกวิญญาณ มันจะไม่เหมือนกับฝ่ายโลก แล้วถ้าเราทำอย่างนี้บ่อยๆ นิสัยข้างนอก เราก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป จากคนที่หงุดหงิดมากๆ ก็หงุดหงิดน้อยลง จากคนที่ไม่ค่อยให้อภัยใคร ก็สามารถให้อภัยได้ จากคนที่ทนอะไรไม่ค่อยได้ ก็สามารถทนได้มากขึ้น นี่แหละ คือความสุข

เราถูกรับตัวจากอาณาจักรของความมืด มาอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่าง ตัวตนที่แท้จริงของเรา เปลี่ยนไปแล้ว จากลูกสมุนแห่งความชั่วร้าย คือมาร กลายมาเป็นลูกของพระเจ้า อยู่ในบ้านพระเจ้า แล้วเรายังจะคงทำตัวเหมือนเดิมอีกหรือ? เรามีวิญญาณใหม่ เป็นวิญญาณที่เรียกว่าวิญญาณแห่งความรัก พระวิญญาณก็จะค่อยๆ สอนเรา ให้ประพฤติปฏิบัติตัวภายนอก ให้มันสอดคล้องกับภายใน ให้มันเป็นความรักด้วย มันจะไม่ได้ 100% หรอก แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้เลย แต่เป็นประโยชน์ มันทำให้ชีวิตเราดีขึ้น บนโลกใบนี้ ทำให้ท่านมีความสุขมากขึ้น มีสันติสุขมากขึ้นในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพระองค์เลย บางคนบอก เพื่อจะได้ถวายเกียรติพระองค์ พระองค์บอก ..

“ไม่ใช่ อันนั้นถวายเกียรติ เดี๋ยวฉันทำเองได้ ฉันห่วงเธอมากกว่า ฉันอยากให้เธอมีความสุขในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ฉันจะใช้เธอเป็นตัวอย่าง เป็นคำพยานในชีวิตต่อไป” อย่างนี้มากกว่า

ความรักตามพระคัมภีร์ คืออดทนนาน กระทำคุณให้ มีเมตตา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ไม่หยาบคาย ไม่เห็นแก่ตัว ไม่ฉุนเฉียว ไม่ช่างจดจำความผิด ไม่ชื่นชมยินดี เมื่อประพฤติชั่ว แต่ชื่นชมยินดีในความจริง ไว้วางใจเสมอ มีความหวังอยู่เสมอ อดทนบากบั่นอยู่เสมอ วันนี้ยังทำไม่ได้ ไม่เป็นไร ก็ค่อยๆ ฝึกฝนไป พระวิญญาณก็จะนำพาเราไปทีละนิดทีละหน่อย ได้มากเท่าไรก็เป็นประโยชน์ต่อตัวเองมากเท่านั้น  ไม่ได้เป็นประโยชน์ต่ออะไรอย่างอื่นเลย นึกถึงเวลาเราเลี้ยงลูก เราอยากให้ลูกมีความสุข เพราะเราจะมีความสุขหรือ? เปล่า เราคิดอย่างเดียว ให้เขา เขาจะได้ดีๆ ใช่ไหม? มีใครมานั่งเลี้ยงลูก เขาจะได้มาเลี้ยงเรา  อันนั้นมันลงทุนแล้ว ใช่ไหม?

นี่คือความหมายที่บอกว่า “จงสวมตัวตนใหม่ ที่พระเจ้าได้ทรงสร้างขึ้นใหม่ ตามพระฉายของพระองค์ ในขณะที่ท่านเรียนรู้จักพระองค์มากขึ้น”

นี่คือความหมายรวม สวมตัวตนใหม่ ก็คือฝึกฝน ทำตามที่ธรรมชาติในวิญญาณของเรา ที่เป็นขึ้นมาใหม่แล้ว ธรรมชาติวิญญาณของเราที่เป็นแบบสวรรค์ เป็นของสวรรค์ ไม่ได้เป็นฝ่ายโลก พระคัมภีร์จึงเตือนย้ำให้เราจดจ่อไปยังสิ่งที่อยู่เบื้องบน คือสวรรค์ มันก็จะเป็นผลดีต่อตัวเราก่อนเลย ในระหว่างที่เรายังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เพราะจะทำให้เราได้เห็นความชัดเจนเลยทีเดียวว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ มันไม่ได้จีรังยั่งยืนเลย แต่ที่ยั่งยืนถาวรนั้น คือในสวรรค์ ในโลกวิญญาณต่างหาก พระเจ้ากำลังพาเรามาถูกทางแล้ว อะไรอย่างนี้เป็นต้น และถ้าเราไปยึดติดอยู่กับอะไรที่เกี่ยวกับโลกใบนี้อยู่ วันหนึ่งก็จะมีการเปลี่ยนแปลง สูญสิ้นไป ดับสูญไป แล้วชีวิตเราก็จะไม่มีวันที่จะพบกับความสงบสุข สันติสุขได้เลย เพราะเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย แต่ถ้าเรามองไปในสิ่งที่อยู่เบื้องบน สิ่งที่ตามองไม่เห็น แต่เรามีความหวังใจอยู่ตรงโน้น และความหวังใจตรงนั้น มันไม่มีการเปลี่ยนแปลง มันนิ่งเลย มันถาวรนิรันดร์ แล้วมันก็เป็นของเราจริงๆ ด้วย แค่พูดแค่นี้ ท่านคิดดู ท่านจะมีความสุขขนาดไหน? ถ้าใครจดจ่ออย่างนั้นได้ ตลอด 24 ชั่วโมง มันจะมีความสุขมาก จดจ่อได้แค่ 1 ชั่วโมง ก็จะมีความทุกข์อยู่อีก 23 ชั่วโมง ท่านไปคิดคำนวณดูแล้วกัน 2 โครินธ์ บทที่ 4 เกี่ยวกับเรื่องนี้ ซึ่งสอดคล้องกัน เรื่องเกี่ยวกับการจดจ่อ ชัดเจนมากเลยว่ามันเกิดประโยชน์อะไรกับชีวิตของเรา

2 โครินธ์ 4:16-18 “16 เพราะฉะนั้น เราจึงไม่ท้อใจ ถึงแม้กายภายนอกของเรากำลังทรุดโทรมไป แต่จิตใจภายในของเรา กำลังฟื้นขึ้นใหม่ทุกวัน 17 เพราะความทุกข์ลำบากเล็กๆ น้อยๆ เพียงชั่วคราวของเรา  ทำให้เราได้รับศักดิ์ศรีนิรันดร์  ซึ่งเหนือกว่าสิ่งเหล่านั้นทั้งหมดมากมายนัก 18 ดังนั้น เราจึงไม่จับจ้องอยู่กับสิ่งที่มองเห็น แต่อยู่กับสิ่งที่มองไม่เห็น เพราะสิ่งที่เรามองเห็นนั้นไม่จีรังยั่งยืน แต่สิ่งที่เรามองไม่เห็นนั้น ถาวรนิรันดร์”

 

นี่คือความหมายที่บอกว่าการจดจ่อความคิดของเราไปยังสิ่งที่อยู่เบื้องบน จะเป็นผลดีต่อตัวเราเอง ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เพราะจะทำให้เราไม่ท้อใจ ไม่กังวล ไม่กลัว ไม่เครียด ท่านคิดว่าชีวิตคนเราที่มีความทุกข์เกิดจากอะไร?

ต้นเหตุที่แท้จริงในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ที่ทำให้เกิดทุกข์ ไม่ได้อยู่ที่ปัญหานั้นๆ แต่อยู่ที่ … ในพระคัมภีร์ 2 โครินธ์ 10:3-5 บอกว่าเพราะศาสตราอาวุธของเรา ผู้ที่เชื่อในพระเจ้า ไม่ใช่เป็นวัตถุสิ่งของที่จับต้องมองเห็นได้ แต่เป็นโลกฝ่ายวิญญาณ ที่จะทำลายป้อมปราการ ข้อต่อมาบอกว่าจงจับความคิดทั้งหมด ให้มันเชื่อฟังต่อพระคริสต์ ต้นเหตุของปัญหาทั้งหมด ความทุกข์ทั้งหมด มันอยู่ที่ความคิด ถ้าคิดถูกมันก็มีสุข ถ้าคิดไม่ถูก ก็มีทุกข์  คิดไม่ถูกยิ่งหนักใหญ่ หนักเข้าไปเรื่อยๆ ความท้อใจ ความกังวล ความกลัว วันนี้ไม่มีเงิน เป็นทุกข์ เพราะกลัวจะไม่มีกิน ถูกไหม? ใช่ความคิดไหม?

ฟังให้ดี วันนี้ไม่มีเงิน ก็เป็นทุกข์ เพราะกลัวจะไม่มีกิน  กลัว คือคิดกลัวแล้ว

วันนี้มีเงินเยอะ ก็เป็นทุกข์ เพราะกลัวว่าเงินมันจะหมด  มันจะลดลง เพราะกลัวว่าใครจะมาขโมยไป หรือกลัวว่าที่มีอยู่มันไม่พอ เดี๋ยวมันไม่พอ จะทำอย่างไร?

วันนี้เจ็บป่วย ก็ท้อใจ กลัวเจ็บมากขึ้น กลัวตาย

วันนี้มีปัญหาเรื่องงาน ก็ทุกข์ เพราะกังวลว่าเดี๋ยวจะตกงานหรือเปล่า? ตอนนี้ทำงานอยู่นะ แต่ไปคิดล่วงหน้าว่าพรุ่งนี้เขาจะไล่เราออก

อย่างนี้เป็นต้น นี่คือผลของการจดจ่ออยู่กับสิ่งฝ่ายโลก คือสิ่งที่ตามองเห็น จับต้องได้ ซึ่งจะทำให้เราเป็นทุกข์แน่นอน เพียงแต่จะทุกข์มาก หรือทุกข์น้อยเท่านั้น แต่ถ้าเราจดจ่ออยู่กับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ในโลกวิญญาณ ความกลัว กังวล ความท้อใจ ก็น้อยลง ความทุกข์ก็จะน้อยลงไป สันติสุข ความสุขมันก็เข้ามาแทนที่ได้มากขึ้น จะบอกว่าสุขเลยนะ ไม่ใช่สันติสุขอย่างเดียว  นี่แหละ คือที่เรียกว่าเป็นการถวายเกียรติแด่พระเจ้า และเป็นประโยชน์ต่อตัวเราเอง พระเจ้าต้องการให้เราได้รับอย่างนี้ มันไม่ง่าย แต่มันก็ไม่ยาก เพราะว่ามีแสงสว่างให้เราเดิน

ไม่กลัวความลำบากอีกแล้ว แม้ว่ากายภายนอกของเราจะทรุดโทรมไป แม้ว่า … ก็แสดงว่าต่อให้มันเป็น  ฉันก็ไม่ท้อใจ

เหตุฉะนั้น เราจึงไม่ท้อใจ

เหตุฉะนั้น เราจึงไม่กลัว

เหตุฉะนั้น เราจึงไม่กังวล

เหตุฉะนั้น เราจึงไม่เครียด

เหตุฉะนั้น เราจึงไม่ซึมเศร้า

ถึงแม้ว่ากายภายนอก นี่พูดถึงกายจริงๆ แล้วนะ มันจะทรุดโทรมลงไปทุกวันๆ แก่แล้ว เหี่ยวแล้ว มันเดินทางไปสู่ความตาย ตามธรรมชาติของมัน ซึ่งมันต้องตาย เพราะบาป แต่ถ้าเราจดจ่อ จดจ้องไปที่โลกวิญญาณ และเรารู้ว่าวิญญาณข้างในเราเจริญเติบโตใหม่ขึ้นทุกวัน มันก็จะมีความสุข มีชีวิตที่เป็นสุขบนโลกใบนี้ เพราะความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ มันเปรียบอะไรไม่ได้เลยกับศักดิ์ศรีถาวรนิรันดร์ ที่เราได้รับจากพระเจ้าในโลกวิญญาณ ถ้าเราเปรียบตรงนี้มันจะเห็นชัด มันก็ยิ้มแย้มแจ่มใสได้ จดจ่อได้มาก ก็ยิ้มแย้มแจ่มใสได้มาก จดจ่อได้น้อย ก็ยิ้มแย้มแจ่มใสได้น้อย ต้องจดจ่อ เอาเรื่องนี้ ไปท่องทุกวัน ตามที่ผมเคยแนะนำไปครั้งที่แล้ว ให้ใช้การใคร่ครวญถ้อยคำพระเจ้า

อย่างถ้อยคำนี้ “เพราะฉะนั้น ฉันจึงไม่ท้อถอย ไม่ท้อแท้ แม้ว่าตอนนี้เป็นไมเกรนอยู่ แม้ว่าตอนนี้แก่แล้ว เดินไม่ไหว แม้ว่าตอนนี้ เป็นโรคภูมิแพ้ รักษาไม่หาย แม้ว่าตอนนี้เป็นอะไรก็แล้วแต่ ทุกข์ยากลำบากเหลือเกิน เดี๋ยวก็โน่น เดี๋ยวก็นี่ กำลังทรุดโทรมไป แต่ว่าวิญญาณใหม่ข้างใน ที่ฉันได้รับจากพระเจ้า วิญญาณใหม่ที่เหมือนพระเยซู ใจใหม่ที่สะอาด บริสุทธิ์ ที่อยู่กับพระเจ้าแล้ว มันกำลังเจริญเติบโตใหม่ขึ้นทุกวันๆ เพราะฉันเห็นแล้วว่าความทุกข์ลำบากในร่างกายที่เจ็บป่วย เดินเหินลำบาก มันเพียงชั่วคราว เดี๋ยวไม่กี่ปี มันก็ต้องจบ แต่ศักดิ์ศรีถาวรนิรันดร์ที่ฉันจะได้รับในโลกวิญญาณ ฉันเป็นลูกพระเจ้า ฉันจะไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถาน และพระเจ้าเตรียมร่างกายใหม่ ร่างกายสวรรค์ให้กับฉัน ที่ไม่ต้องมีน้ำตาอีกต่อไป ไม่ต้องมีความทุกข์อีกต่อไป ไม่ต้องเป็นไมเกรนอีกต่อไป ไม่ต้องกังวลอีกต่อไป นั่นถาวรนิรันดร์เลย  อีกไม่นาน ก็จะได้รับแล้ว”

แบบนี้มีกำลังขึ้นมาเยอะเลย “ฉันไม่ต้องหาเช้ากินค่ำ ลำบากลำบนต่างๆ ทุกวันเหนื่อยเหลือเกิน แต่มีวันหยุด มีวันสิ้นสุด แต่สิ่งที่ฉันหวังไว้ในชีวิตนิรันดร์ มันไม่มีสิ้นสุด ฉันจะครอบครองร่วมกับพระเยซูคริสต์นิรันดร์ ร่างกายใหม่ฉันจะอยู่อย่างนั้นนิรันดร์ ไม่มีน้ำตา พระองค์จะเช็ดน้ำตาทุกหยด ไม่มีโรคอีกแล้ว ตลอดไป นิรันดร์”

ความหมายมันแปลอย่างนี้เมื่อเทียบกับความทุกข์ลำบากบนโลกใบนี้ พรุ่งนี้จะต้องไปทำมาหากินเหน็ดเหนื่อยเหลือเกิน เงินก็ไม่พอใช้ อะไรก็ว่ากันไป แต่มาเทียบกับชีวิตนิรันดร์ที่ฉันหวังไว้ มันขี้ประติ๋ว ก็ทำให้มีพลังอยู่ต่อ

และนี่คือน้ำพระทัยพระเจ้าที่ให้เราดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้อย่างมีสันติสุข มีความสุขที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้ สำหรับทุกคน พระเจ้าวางแผนไว้ให้เสร็จเรียบร้อย ผมจะจบลงที่ 1 เปโตร 1:3-4

“เราจึงสรรเสริญพระเจ้าตลอดเวลา ขอบคุณพระเจ้าตลอดเวลา ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ มันไม่สามารถเทียบกับสิ่งที่ฉันได้รับเรียบร้อยไปแล้ว ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้กับฉันในสวรรค์สถาน และสัญญาว่าจะให้ร่างกายใหม่กับฉันในสวรรค์สถาน ไม่มีอะไรเทียบแล้ว”

1 เปโตร 1:3-4 “3 สรรเสริญพระเจ้า พระบิดาขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา ด้วยพระเมตตายิ่งใหญ่ พระองค์ทรงให้เราทั้งหลายบังเกิดใหม่ เข้าในความหวังอันยืนยง โดยการเป็นขึ้นจากตายของพระเยซูคริสต์ 4 และเข้าในมรดก อันไม่มีวันเสื่อมสลาย เน่าเสีย หรือเลือนหายไป ซึ่งทรงเตรียมไว้ในสวรรค์ เพื่อพวกท่าน”

 

พระเจ้าได้ทรงประทานของประทานทางฝ่ายวิญญาณ พระพรทางฝ่ายวิญญาณ นานัปการ ไม่มีวันหมดสิ้นเลยจริงๆ เยอะแยะไปเลย ให้กับเราทั้งหลายที่เชื่อในพระเยซู เรียบร้อยไปแล้ว จบหมดแล้ว ในพระเยซูคริสต์ ในโลกวิญญาณ ไม่ใช่โลกวัตถุนี้

ให้เราฝึกฝนใคร่ครวญถ้อยคำนี้ เพื่อเราจะได้รู้จริงๆ ว่าอะไร คือความจริงที่เรามองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน จับต้องไม่ได้ แต่มันมีอยู่จริงๆ ให้พูดตามผมนะครับ

“เหตุฉะนั้น ฉันจะไม่ท้อใจ ไม่กังวล ไม่เครียด ไม่วิตก แม้ว่าร่างกายนี้ จะทรุดโทรมไปทุกวัน จะเจ็บปวด เจ็บป่วย แก่ลงทุกวัน แต่วิญญาณของฉัน วิญญาณใหม่ ที่พระเจ้าได้ให้บังเกิดใหม่ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์และใจใหม่ที่ทรงประทานให้ ที่เป็นใจที่เหมือนพระเยซู บริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ เป็นลูกของพระเจ้า ที่ไร้มลทิน ไร้บาปทุกชนิด กำลังเจริญเติบโตใหม่ขึ้นทุกวันและทุกวัน และฉันเห็นว่าความทุกข์ลำบาก ปัญหาต่างๆ ในการดำเนินชีวิตในร่างกายบนโลกใบนี้ ในขณะนี้ มันเล็กน้อยมาก เมื่อเทียบกับศักดิ์ศรีถาวรนิรันดร์ ที่ฉันจะได้รับ จากพระเจ้า คือร่างกายใหม่ ร่างกายสวรรค์ที่ไม่ต้องเจ็บปวด เจ็บป่วย ไม่มีน้ำตา ไม่มีความทุกข์เศร้าโศก ที่ทรงจดเตรียมไว้ให้กับฉันวันหนึ่งข้างหน้า และนี่คือความหวังใจของฉันที่จะอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถาน ครอบครองร่วมกับพระเยซูคริสต์ ในสวรรค์นี้ ไม่ใช่ 100 ปี ไม่ใช่ 200 ปี และไม่ใช่ 1,000 ปี แต่จะมีความสุขอย่างนี้นิรันดร์ นี่คือความหวังใจของฉัน”

ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

************************