คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 11 กันยายน 2016 เรื่อง “จงนิ่งเสีย และรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า” ตอน 2 “โลกนี้คือละคร” ตอน 1 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  11  กันยายน  2016

 เรื่อง “จงนิ่งเสีย และรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า”

ตอน 2 “โลกนี้คือละคร” ตอน 1

โดย นคร  เวชสุภาพร

            ซีรี่ย์นี้มีชื่อ “จงนิ่งเสีย และรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า” ตอนที่ 2 “โลกนี้ คือละคร” สดุดี 46:10

สดุดี 46:10 “จงนิ่งเสีย และรู้ว่าเราเป็นพระเจ้า เราจะได้รับการยกย่อง ท่ามกลางประชาชาติ”

 

นี่เป็นประโยคที่พระเจ้าพูด  เราได้คุยกันไปแล้วใช่ไหม? ถ้าพระเจ้าพูดอย่างนี้กับเรา แสดงว่าเรากำลังสับสนวุ่นวาย วิตก กังวล กลัว เราคงไม่นิ่ง ถ้าเราไม่นิ่ง แล้วพระเจ้าจะให้เรานิ่ง พระเจ้าจึงตรัสว่า …

“จงนิ่งเสีย และรู้ว่าเราเป็นพระเจ้า เราจะได้รับการยกย่อง ท่ามกลางประชาชาติ”

ผมได้ยิน ผมยังเอเมน น้ำหูน้ำตาไหล

เราได้ย้ำความหมายของคำว่า “จงนิ่งเสีย” ว่าหมายถึงให้เราวางใจในทุกๆ สิ่ง ในทุกพื้นที่ชีวิตของเรา ไม่ใช่บางสิ่ง ไม่ใช่เฉพาะสิ่งที่เราเข้าใจ ทุกๆ สิ่ง หมายถึงรวมทั้งสิ่งที่เราไม่เข้าใจด้วย ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไม่ว่าต้องเผชิญความทุกข์ยากขนาดไหน? จงวางใจในพระองค์ และรับรู้ว่าพระองค์เป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ผู้ทรงกระทำได้ทุกสิ่ง และทุกสิ่งเป็นไปได้สำหรับพระองค์เสมอ เอเมน

และที่พระคัมภีร์เตือนแล้วเตือนอีกว่าจงนิ่งเสียและรับรู้ว่าพระองค์ คือพระเจ้า สอนแล้วสอนอีกว่าให้วางใจในพระเจ้า จุดมุ่งหมาย ก็คือเพื่อให้เราทุกคนได้พบกับสันติสุขที่แท้จริง ไม่ใช่ความสุขนะ สันติสุขที่แท้จริง ความสงบสุขที่แท้จริงในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ คือสามารถมีสันติสุข มีความสงบสุขได้ ในท่ามกลางทุกสถานการณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานการณ์แห่งความทุกข์ใจ ความเจ็บปวด คงไม่ต้องบอกว่าให้พยายามสงบนิ่ง ในสถานการณ์แห่งความชื่นชมยินดี

และครั้งที่แล้ว เราได้เรียนรู้จากเรื่องราวของดาเนียล ผู้เผยพระวจนะของพระเจ้า ซึ่งเป็นตัวอย่างของการดำเนินชีวิต แบบที่เรากำลังพูดถึงนี้ คือแบบวางใจในพระเจ้าสุดๆ ในทุกพื้นที่ชีวิตของเขาจริงๆ เรามาทบทวนนิดหนึ่ง

เรากำลังคุยกันถึงเรื่องดาเนียล ถึงเหตุการณ์ตอนที่เยรูซาเล็มอยู่ภายใต้การยึดครองของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ แห่งอาณาจักรบาบิโลน ประมาณ 600 ปีก่อน ที่พระเยซูจะมาบังเกิดเป็นมนุษย์ เนบูคัดเนสซาร์ กษัตริย์แห่งอาณาจักรบาบิโลน ได้กวาดต้อนชาวยิวเป็นเชลย แล้วตอนที่อยู่บาบิโลน ดาเนียลกับเพื่อนอีก 3 คน ซึ่งเป็นตัวเอกในเรื่องนี้ เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง ที่เรากำลังศึกษาประวัติศาสตร์ของโลก ที่ได้บันทึกไว้ ดาเนียลกับเพื่อนอีก 3 คน ก็ได้ถูกกวาดต้อนมาด้วย ได้รับการคัดเลือกให้อยู่ในกลุ่มของคนที่มีหน่วยก้านดี เป็นคนฉลาด สอนได้ ถูกนำไปอบรมความรู้ด้านโหราศาสตร์ ด้านไสยศาสตร์ วิทยาคม อาคม  เพื่อเตรียมตัวให้เขาไปรับใช้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในการบรรยายครั้งที่แล้ว คือพวกคนหนุ่มเหล่านี้ ให้รับการดูแล เลี้ยงดูอย่างดี อาหารก็ถูกส่งมาจากวัง ซึ่งปกติแล้ว จะไม่มีใครกล้าที่จะปฏิเสธอาหารที่สั่ง โดยกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์เลย เพราะทุกคนรู้ว่ากษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์เป็นกษัตริย์ที่โหดเหี้ยมมาก ไม่มีใครกล้าขัดคำสั่ง แต่ดาเนียลและเพื่อนกล้าที่จะปฏิเสธอาหารจากกษัตริย์ และอาหารที่ส่งมาให้นั้น ตามหลักของชาวยิวแล้ว ถือว่าเป็นอาหารที่มีมลทิน โดยจะขอกินเพียงแค่ไม่ใช่มังสวิรัติ แต่มากกว่านั้น คือกินเฉพาะผักกับน้ำ และจะพิสูจน์ให้เห็นว่าเพียงแค่ผักกับน้ำนี่แหละ จะทำให้เขามีสุขภาพแข็งแรง ดีกว่าคนอื่นได้

พระเจ้าก็เริ่มดลบันดาลใจหัวหน้ากรมวัง ให้เกิดมีความโปรดปราน หรือเรียกว่าความชอบพอ พอใจในดาเนียลและเพื่อน ยอมให้ดาเนียลและเพื่อนทำตามที่ขอ คือให้กินแต่ผักและน้ำ ลองดู 10 วัน แล้วผลก็คือหน้าตา ผิวพรรณ และกำลังของดาเนียล ดูดีกว่าคนหนุ่มอื่นๆ ที่กินอาหารฮ่องเต้

นี่คือหนึ่งในตัวอย่าง ที่พระคัมภีร์บอกว่าดาเนียลเป็นคนที่ซื่อสัตย์ต่อพระเจ้า และวางใจในพระเจ้ามากถึงมากที่สุด ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เขาก็จะยืนหยัดมั่นคงในทางของพระเจ้าของเขา และวางใจในพระเจ้าว่าพระองค์จะสามารถทรงช่วยเหลือ ช่วยกู้เขาและพรรคพวกได้ ในทุกๆ สถานการณ์ที่เขาเผชิญอยู่ แบบที่ผมย้ำอยู่เสมอว่าวางใจในพระเจ้าแบบตายเป็นตาย

“แม้ใครไม่ไปด้วย ฉันก็จะตามไป             แม้ใครไม่ไปด้วย  ฉันก็จะตายไป

แม้ใครไม่ไปด้วย  ฉันก็จะตามไป”

ตอนนี้ร้องได้ ตอนที่เราเป็นวัยรุ่น มาเชื่อพระเจ้า แล้วถูกไล่ออกจากบ้าน มันร้องยากนะ นี่ไม่ได้หมายถึงเป็นอย่างนี้ทุกวัน แต่พูดให้เห็นว่าถึงเวลา ถึงสถานการณ์ที่เราจะต้องร้องเพลงนี้ โดยประสบกับความลำบาก มันยากที่จะร้อง ไม่ได้ร้องง่ายๆ เหมือนตอนนี้ที่ร้องนะ

กลับมาที่บาบิโลน หลายครั้งที่ดาเนียลกับเพื่อนต้องเผชิญกับการทดลอง ต้องเรียนเรื่องเวทมนต์คาถา ท่านลองคิดดูสิ เราเชื่อพระเจ้าสุดๆ เราซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าสุดๆ วางใจในพระเจ้าสุดๆ แต่พระเจ้ากำลังนำเรามา เรียนวิชาที่เราไม่อยากเรียนเลย คือวิชาวิทยาคม ไสยศาสตร์ หมอผี โหราศาสตร์ ต้องถูกฝึกให้ยอมรับวิถีชีวิตและขนบธรรมเนียมของชาวบาบิโลน  ซึ่งตรงกันข้ามกับทางของพระเจ้า  100% เลย  คุ้นๆ ไหม? เหมือนเรามาเชื่อพระเจ้าปุ๊บ เรากลับไปที่ทำงาน แปลกไปหมดเลย  ให้เราทำอะไรหลายอย่าง ที่มันไม่ตรงตามที่ผู้เชื่อทำ แล้วเราจะทำไหม? คิดไว้ในใจก่อน เรียนไปเรื่อยๆ ท่านจะรู้ว่าแล้วเราจะทำไหม?  ตอบว่า …

“แล้วแต่พระเจ้า”

ไม่ใช่เรา อย่าไปคิดสิ ฉันไม่ได้คิดอย่างนี้ คนข้างๆ บอก ศิษยาภิบาลก็บอก ไม่ใช่เราไม่เชื่อศิษยาภิบาลนะ แต่สุดท้ายแล้ว ผู้ที่จะตัดสินให้เราทำหรือไม่ทำ คือพระเจ้า เราต้องไปคุยกับพระเจ้า  เหมือนกับดาเนียล โดยบัญญัติ ดาเนียลทำไม่ได้หรอก สิ่งเหล่านี้  อาหารเป็นมลทินยังไม่กินเลย แล้วให้ไปเรียนไสยศาสตร์ จะไปเรียนได้อย่างไร? พระเจ้าอนุญาตให้เรียน เขารู้ เขาก็เลย ยอมหมด ยอมผ่อนตาม เห็นความแตกต่างไหม? ในขณะที่ภายนอก ดูเหมือนเขาจะยอมโอนอ่อนผ่อนตาม ในการศึกษาเรียนรู้ต่างๆ เหล่านี้ แต่ภายในนั้น ดาเนียลยังยืนหยัดในความเชื่อ และคงวางใจและสัตย์ซื่อต่อพระเจ้าไม่เปลี่ยนแปลง เป็นตัวอย่างของการยืนหยัด ในความเชื่ออย่างมีสติปัญญา และให้พระเจ้าเป็นผู้นำแท้จริง ไม่ใช่เชื่อแบบไร้สติ เชื่อแบบจริงๆ ต้องเป็นอย่างนี้ พูดเรื่องนี้ ทำให้ผมนึกถึงพระเยซูพูดเรื่อง

“จงฉลาดเท่าทันงู แต่จงรักษาความสงบ เหมือนนกพิราบ”

ให้ท่านไปคิดเอง ผมไม่รู้ว่าแปลว่าอะไร?  จงฉลาดให้เท่าทันงู  ก็คือเราต้องเฉลียวฉลาด เพราะงูมันเล่ห์กลเยอะ เล่ห์กลเราต้องเหนือกว่างู เพราะฉะนั้น คริสเตียนต้องมีเล่ห์กล ไม่ใช่ซื่ออย่างเดียวนะ ท่านไปคิดดูก็แล้วกัน ที่ผมพูดเป็นทางบวกทั้งนั้น ไม่ใช่เล่ห์กลในทางลบ ไม่ใช่ดำเนินด้วยความรักๆ อย่างเดียว ยอมทุกอย่าง ซื่อๆ ทื่อๆ อย่างนั้น พระเจ้าไม่ได้ใช้ท่านซื่อๆ ทื่อๆ ตลอดเวลา บางครั้งพระเจ้าก็ใช้คนของพระองค์ คริสเตียนนะ ที่วางแผนเก่งเหมือนกัน เขาเรียกว่ามีกลยุทธอะไรบางอย่างเหมือนกัน แบบคล้ายๆ โลกนี้เขาทำ เขาไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง เขาทำเพื่อแผนการพระเจ้าที่กำลังช่วยบรรดาผู้คน ที่เรียกร้องขอความช่วยเหลือ จากพระองค์ ในโลกนี้มีเยอะแยะเต็มไปหมดเลย นี่คือการมีสติ

ก่อนที่จะเข้าเรื่องในวันนี้ ผมจะขอเสริมจากครั้งที่แล้วอีกสักนิด เพราะเป็นเรื่องสำคัญ เป็นเรื่องที่ยังมีหลายคนเข้าใจไม่ถูกต้อง คือเรื่องที่ดาเนียลและเพื่อนๆ กินผักและน้ำ อธิษฐานกับพระเจ้า หลายคนก็เลยเข้าใจว่าเป็นวิธีที่พระคัมภีร์สอนให้ทำ เวลาที่จะอธิษฐาน ทูลขออะไรจากพระเจ้า สำคัญๆ มากๆ ต้องอดอาหารเหลือแต่ผักและน้ำ อย่างน้อย 10 วัน แต่ดาเนียลและเพื่อนไม่ใช่แค่ 10 วันนะ เขากินอย่างนี้ไปอีก 3 ปี แต่หลังจากนี้ยังกินอย่างนี้อีกหรือเปล่าไม่รู้ ไม่ได้บันทึกไว้ จริงๆ แล้ว ที่ดาเนียลกับเพื่อนทำนั้น เป็นเรื่องส่วนตัวของเขา เฉพาะครั้งนั้น เพียงครั้งเดียวที่พระเจ้าให้ทำ คือทั้งหมดเกิดจากการวางแผนของพระเจ้า  เกิดจากการดลใจของพระเจ้า ดาเนียลเป็นผู้บันทึกเรื่องนี้ว่าพระเจ้าเป็นผู้กำหนดทุกอย่าง พระเจ้าเป็นผู้มอบให้ชาวยิวมาเป็นเชลยในบาบิโลน พระองค์ทั้งสิ้น ดาเนียลรู้หมด

เพราะฉะนั้น พระเจ้าดลใจให้เกิดสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด พระเจ้าดลใจให้ดาเนียลมีความกล้า ที่จะขัดคำสั่งกษัตริย์ในครั้งนั้นครั้งเดียว ไม่ทานอาหารที่ส่งมาให้ ซึ่งอ้างว่าเป็นมลทิน แต่การไปเรียนไสยศาสตร์ เรียนโหราศาสตร์ ก็เป็นมลทินเหมือนกัน แล้วทำไมไม่อ้างว่าไม่เรียน พอจะเห็นหรือยัง? นี่คือสติปัญญาที่มาจากพระเจ้า และพระเจ้าดลใจให้หัวหน้ากรมวังที่ดูแลอยู่ เห็นใจ และยอมตามที่ดาเนียลขอ ถ้าพระเจ้าไม่ดลใจ กรมวังไม่มีทางยอมแน่ เพราะถ้าเกิดดาเนียลและพวกล้มป่วยลง หรือผอมแห้งแรงน้อย ครบ 10 วัน กรมวังตายก่อน กษัตริย์คงถามว่า …

“ทำไมไม่ให้เขากิน ไปเชื่อเขาทำไม? ทำไมไม่เชื่อฉัน”

ตัดหัวกรมวังก่อนเลย แสดงว่าพระเจ้าเป็นผู้ควบคุมสิ่งนี้อีกแล้ว ดลใจให้กรมวังทำสิ่งนี้ ซึ่งเสี่ยงกับชีวิตของเขา เพื่อบางอย่าง ซึ่งเขาไม่ได้อะไรเลย เห็นไหม? เพราะเป็นแผนการของพระเจ้า พระองค์ทรงควบคุมอยู่ นี่คืออัศจรรย์เหมือนกัน ดาเนียลกับเพื่อน เป็นหนุ่มๆ อายุ 14, 15 ต้องการโปรตีนมาก เพราะกำลังเจริญเติบโต กล้ามเนื้อกำลังจะสร้าง แทนที่จะกินโปรตีน ถั่วก็ไม่ได้กิน โปรตีนมันอยู่ในถั่ว แต่กินผักกับน้ำ 2 อย่างเอง  10 วัน ถ้าใครอายุ 14, 15 ท่านทดลองดู ถ้าท่านกินอย่างนี้ ไม่ต้อง 10 วัน ผมว่า 3 วันก็เห็นผลแล้ว เหี่ยวแห้ง หัวโตแน่ แต่นี่กินไป 10 วัน มีหน้าตา ผิวพรรณ และกำลังดีกว่าคนอื่นๆ ที่กินอาหารฮ่องเต้ ทั้งๆ ที่เขา 4 คนกินแต่ผักกับน้ำ ไม่ได้บำรุงอะไรเลย  แต่คนอื่นบำรุงเต็มที่เลย นี่คืออัศจรรย์

ที่ผมจะเน้น ก็คือหลายครั้งที่พระเจ้าให้เกิดอัศจรรย์ขึ้นนั้น  เป็นส่วนตัวของคนๆ นั้น เพียงครั้งเดียว หรือเรียกว่าเรื่องเฉพาะ สำหรับเหตุการณ์นั้นๆ เพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น  เพื่ออะไรบางอย่าง ที่เป็นพระประสงค์หรือน้ำพระทัย หรือแผนการของพระองค์ ไม่ใช่เป็นเรื่องปกติวิสัยที่จะทำกัน อย่างที่มนุษย์อย่างเราคิด พอเห็นพระเจ้าทำอย่างนั้น อยากได้บ้าง ก็ต้องทำอย่างนี้ ไม่ใช่ ต้องสังเกตดูให้ดีๆ ว่าอย่างนี้เป็นปกติวิสัยที่พระเจ้าสอนเราทำหรือไม่? อย่างความรัก คือการให้ อย่างนี้สิเป็นปกติวิสัย ที่ทุกคนต้องเรียนรู้และฝึกฝนทุกวัน

ถ้าเราจะดูในอดีต เหมือนกษัตริย์ดาวิด อัศจรรย์ใหญ่ที่สุด ที่เขาเรียกว่าเป็นประกาศนียบัตรของกษัตริย์ดาวิด ทำให้ใครๆ ทั้งโลกรู้จักกษัตริย์ดาวิด ก็คือออกไปสู้กับยักษ์โกไลอัท แล้วชนะ แค่ก้อนหินเพียงก้อนเดียว ก็เป็นอัศจรรย์เพียงครั้งเดียวของกษัตริย์ดาวิดที่ใหญ่ๆ แบบนั้น ไม่ใช่พระเจ้าประทานกำลังวิเศษให้กับดาวิด ไปที่ไหนก็เอาแค่ก้อนหิน ก้อนเดียว ดาบไม่ต้องใช้ เป็นอัศจรรย์เพียงครั้งเดียว เพื่อให้แผนการของพระองค์บางอย่าง สำเร็จเป็นไปตามน้ำพระทัย ก็คือให้ทุกคนเริ่มสนับสนุน ซึ่งจะมาเป็นผู้นำของอิสราเอลแทนซาอูลในสมัยนั้น  นี่แค่คิดตามมนุษย์ครั้งเดียวเท่านั้นเอง หลังจากนั้นมา เราอ่านดูประวัติ เรื่องของกษัตริย์ดาวิด หนีหัวซุกหัวซุนเลย ไม่กล้าเหมือนตอนสู้กับโกไลอัทเลย เข้าใจไหม?

ตอนของโมเสสก็เหมือนกัน อัศจรรย์ใหญ่ของโมเสส คือพาอิสราเอลอพยพออกจากอียิปต์ แหวกทะเลแดง หนีกองทัพอียิปต์ พระเจ้าก็ให้เกิดอัศจรรย์ แค่ครั้งนั้น ไม่ใช่ว่าพระเจ้าจะให้ไม้เท้ากับโมเสส แล้วจากนี้พาอิสราเอลไป ใช้ไม้เท้าลูกเดียว ใครมาก็เอาไม้เท้าตีหัวตลอด ไม่ใช่

หลังจากที่แหวกทะเลแดง ก็มีข้าวมาจากฟ้า เรียกว่ามานา มีนกคุ่มตกลงมา มีน้ำออกมาจากหิน หลังจากนั้นเป็นปกติ เป็นชาวสวน ชาวไร่ ชาวปศุสัตว์ เลี้ยงสัตว์ เหมือนคนธรรมดา เห็นไหม? เรื่องพวกนั้น เป็นเรื่องที่ไม่ปกติวิสัยของคน ที่จะมาแหวกทะเลแดงตลอดเวลา ไม่ใช่ปกติวิสัยของคนที่จะมาฆ่าโกไลอัทด้วยก้อนหิน เพียงก้อนเดียวตลอดเวลา

กลับมาเรื่องของดาเนียลต่อ ไม่ใช่คนที่เชื่อพระเจ้าทุกคน ต้องทำแบบนี้ คือพอเจอสถานการณ์เช่นเดียวกันกับดาเนียล ต้องกินผักและกินน้ำอย่างเดียว เพื่อว่าพระเจ้าจะได้ตอบคำอธิษฐาน ไม่ใช่หน้าที่ของเรา ก็คือไปหาพระเจ้า แล้วดูสิว่าพระเจ้ามีแผนการสำหรับเรา ในตอนนั้น อย่างไร ซึ่งไม่เหมือนใคร

พระเจ้าเตรียมอัศจรรย์บางอย่างให้กับสถานการณ์บางอย่าง เหมือนคำพูดที่บอกว่า  …

“สถานการณ์สร้างฮีโร่”

พระเจ้าเตรียมเหตุการณ์อะไรบางอย่าง เพื่อแผนการของพระองค์ เป็นพิเศษ ไม่ใช่เรื่องปกติ พระเจ้าต้องการสร้างฮีโร่คนไหน? พระองค์ทรงเตรียมสถานการณ์ชงไว้เรียบร้อยแล้ว คนนี้เข้าไป เป็นฮีโร่ทันที

เพราะฉะนั้น พระคัมภีร์จึงบอกว่าเวลาเรารับเกียรติจากพระเจ้า จงถวายคืนแด่พระองค์ อย่าเว่อร์ไปรับ แล้วก็เย่อหยิ่งจองหอง จนเกินตัว ไปแย่งพระสิริจากพระเจ้า  ไม่ใช่ว่าพระเจ้าหวงพระสิริของพระองค์ แต่กลัวลูกของพระองค์ลำบาก เพราะทำผิดกฎ ไปเอาตรงนั้นมา แล้วในที่สุด ก็จะล้มพินาศลง ผู้ที่เย่อหยิ่งเขาก็จะล้มและพินาศลง พอเกิดอัศจรรย์ขึ้น เป็นฮีโร่ขึ้นมา จงรู้ว่าที่เป็นฮีโร่นั้น พระเจ้าเป็นผู้ทำ

“พระเจ้าวางแผนให้ฉันเป็นฮีโร่ เพราะฉะนั้น ฉันไม่ได้เก่งอะไรเลย พระเจ้าวางทั้งสิ้น อย่าให้มนุษย์มายกเรา เก่งอย่างนั้น เก่งอย่างนี้ ฉันไม่ได้เป็นอะไรเลย ฉันก็เป็นคนธรรมดา พระเจ้าวางทุกอย่างไว้ให้ ใครมาตรงนั้น ก็จะได้ตรงนี้”

พอเข้าใจใช่ไหม? ใครที่พระเจ้าจับวาง เขาเป็นฮีโร่ เขาเห็นภาพเหล่านี้ได้หมดแหละ ไม่ใช่ฉัน ต้องคิดอย่างนี้ เวลาเราได้อะไรดีๆ อย่านึกว่าฉันดี ฉันเก่ง ฉันทำเอง ฉันโน่น ฉันนี่ วันหนึ่งท่านก็จะรู้สึกว่ามันไม่ใช่ วันนั้นอาจจะสายไป ก็ได้ เพราะฉะนั้น เตือนไว้ก่อน พระคัมภีร์ก็จะเตือนอย่างนี้เสมอ

เราต้องเข้าใจเรื่องนี้ เพราะนี่คือพื้นฐานของความเชื่อศรัทธาที่เรากำลังพูดถึง ที่บอกว่าเชื่อและวางใจในพระเจ้า รู้ว่าพระเจ้าทรงยิ่งใหญ่สูงสุด และทรงอยู่เบื้องหลังทุกสิ่ง ทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าในสายตาเราจะดูว่าดีหรือไม่ดีก็ตาม ถ้าดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับเรา เราเป็นฮีโร่ขึ้นมา ได้รับเกียรติขึ้นมา จงรับรู้ว่าไม่มีใครเก่ง เราก็ไม่เก่ง ไม่มีใครเป็นผู้วิเศษ เราก็ไม่ได้วิเศษ พระองค์ชงไว้แล้วว่าถ้าเราวางมือวันนั้น คนป่วยคนนี้ คนที่เป็นง่อยเดินได้ อย่านึกว่าตัวเองมีความเชื่อมากกว่าคนอื่น เพราะว่าเราอธิษฐานเยอะ เพราะว่าเราอดอาหาร เพราะเรามีความรู้เยอะ เพราะเรามีความเชื่อเยอะกว่า เดี๋ยวก็รู้สึก พระเจ้าจับวางเราไว้ ให้เราเป็นดาวิดในวันนั้น ให้เราเป็นโมเสสในวันนั้น  แล้วเราก็อยากจะเป็นวันนั้นตลอดไป เดี๋ยวเราก็รู้สึก

ไม่ว่าจะเป็นดาวิดตัวเล็กๆ ชนะยักษ์โกไลอัท โมเสสแหวกทะเลแดง พาคนอิสราเอลอพยพ ดาเนียลกินแต่ผักกับน้ำ แล้วมีกำลังที่ดี หน้าตาดี ทั้งหมดนี้มาจากพระเจ้าชงเอาไว้ วางเอาไว้ทุกอย่าง ปั้นคนนี้ให้ดัง คล้ายๆ อย่างนี้ เพราะฉะนั้น อย่าซ่าส์ๆ พระองค์เป็นผู้อนุญาตให้เกิดขึ้น เป็นผู้สร้างขึ้น ทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของพระเจ้าทั้งสิ้น เคยได้ยินเพลงนี้ไหม?

“โลกนี้นี่ดู ยิ่งดูยอกย้อน                  เปรียบเหมือนละคร ถึงบทเมื่อตอนเร้าใจ

บทบาทลีลาแตกต่างกันไป             ถึงสูงเพียงใด ต่างจบลงไปเหมือนกัน”

โลกนี้นี่ดู ยิ่งดูยอกย้อน เปรียบเหมือนละคร ถึงบทเมื่อตอนเร้าใจ มีความสุข บทบาทลีลาแตกต่างกันไป ไม่เหมือนกัน ถึงสูงเพียงใด จะดีขนาดไหน ยอดเยี่ยมขนาดไหน ต่างจบลงไปเหมือนกัน คือตายเหมือนกัน ไม่เห็นมีใครเก่งสักคน

ตอนนี้ มีชื่อว่า “โลกนี้ คือละคร” ทำไมผมถึงใช้คำว่าโลกนี้ คือละคร แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องที่เราพูดมา

พูดถึงละครทุกเรื่อง มีเวที มีนักแสดง มีแนวทางของละครว่าจะเป็นอย่างไร? เรื่องจะไปทางทิศไหน? นักแสดงแต่ละคนจะต้องทำอะไรบ้าง? ต้องทำท่าทางอะไรบ้าง? เป็นหน้าที่ของผู้กำกับการแสดง หรือเราเรียกว่าผู้กำกับ สั้นๆ ถูกไหม?

เพราะฉะนั้น ถ้าเราเปรียบว่าโลกนี้ คือละครเวทีใหญ่ มนุษย์ทุกคน ที่อยู่บนโลกนี้ ก็คือนักแสดงแต่ละคน ที่มีบทบาทเยอะแยะไปหมด ไม่เหมือนกัน คล้ายๆ กันบ้าง แล้วผู้กำกับการแสดงของเวทีของละครโลกใบนี้  คือพระเจ้า เพราะเรารู้แล้วว่าพระเจ้าทรงควบคุมครอบครองทุกสิ่งทุกอย่างในมหาจักรวาลนี้ ทุกสิ่งทุกอย่าง พระองค์เป็นผู้สร้าง เรารู้เลย เหมือนนักแสดงทุกคน ที่ต้องเรียน เล่น และรู้บทที่ได้รับมา ที่ผู้กำกับการแสดงบอกมา สั่งมาว่าเธอต้องรับบทนี้

มีนักแสดงคนไหนไหมครับ ที่พอผู้กำกับสั่งให้ร้องไห้เยอะๆ ก็บอกว่าทำไมต้องร้องด้วย  บทนี้น่าจะหัวเราะ แย้งกับผู้กำกับ ผู้กำกับบอกบทนี้ทำหน้าเศร้าหน่อย ฉันจะยิ้ม คนนั้นคงถูกไล่ออก ไล่ออกแล้วทุกข์ใจไหม? ทุกข์ใจ ตกงาน ไม่มีอะไรกิน เหมือนกันแหละ ถ้าเราไม่ยอมรับบทแสดงนั้น เราก็จะทุกข์ บทแสดงของโลกใบนี้ มันมีอยู่ พระเจ้าเป็นผู้กำกับการแสดงบนโลกใบนี้ทั้งหมด

นี่คือสิ่งหนึ่งที่เป็นหัวใจที่บอกครั้งที่แล้ว แล้วหัวใจของการเชื่อศรัทธานั้น คนนั้น ต้องเชื่อว่าสิ่งที่มองไม่เห็น มีอะไรบางอย่างที่ควบคุมโลกใบนี้อยู่ ควบคุมสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้อยู่ ถ้าไม่เชื่อตรงนี้  ก็เหมือนไม่มีสติปัญญา เพราะนี่คือความจริง ก็เหมือนคนตาบอดเดิน ไม่รู้เรื่องอะไรเลย โอกาสที่จะเดินตกโน่น ตกนี่ ชนนั่น ชนนี่ ล้มหัวฟาด มีเยอะไหม? เยอะกว่าคนที่รู้ว่ามีอะไรบางอย่างอยู่ คอยหลบคอยหลีก นี่ยังไม่ได้พูดถึงพระเจ้า แค่ให้รู้ว่ามีอะไรบางอย่างในโลกฝ่ายวิญญาณที่เรามองไม่เห็นควบคุมสถานการณ์อยู่ แค่นี้เอง ก็ยังมีประโยชน์มากกว่าคนที่ไม่รู้

ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกนี้ หรือบนเวที โลกนี้นั้น พระเจ้าเป็นผู้กำกับทั้งสิ้น พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น ถ้าเราสามารถเชื่อและวางใจในการควบคุมหรือกำกับของพระเจ้าแบบนี้ได้ คือเชื่อทั้งหมด เชื่อเหมือนนักแสดงที่เชื่อฟังผู้กำกับการแสดง เราก็สามารถวางใจในพระเจ้าได้ในทุกสถานการณ์ ทุกแห่งหน พระเจ้าเป็นผู้กำกับโรงละคร โรงใหญ่ทั้งโลกใบนี้ ตัวแสดงทุกตัวบนโลกนี้ ก็ถูกกำกับโดยพระเจ้าทั้งสิ้น พระเจ้าสามารถดลใจมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ให้ทำดีกับเราก็ได้ ให้ทำไม่ดีกับเราก็ได้ ให้รักเราก็ได้  ดลใจให้เขาเกลียดเราก็ได้ ประทานให้ใครบางคน คอยช่วยเหลือเราก็ได้ หรือให้คอยกลั่นแกล้งเลื่อยขาเราได้ไหม? ได้ พระองค์เป็นผู้กำกับการแสดงทุกคน ทุกคนเลย ถ้าเราคิดได้อย่างนี้ เราก็จะเข้าใจและยอมรับสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้โดยดี ไม่โกรธ ไม่เสียใจ ไม่น้อยใจ ไม่คิดแค้นใคร สามารถอภัยให้ทุกคนได้ เพราะรู้ว่าทุกอย่างเป็นการแสดงของตัวละครที่พระเจ้าได้กำหนดเอาไว้เรียบร้อยแล้ว แล้วพระเจ้าบอกว่าเมื่อเราเชื่อในพระองค์ เรารู้จักพระองค์ ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ทรงกระทำจะเป็นผลดีสำหรับเราเสมอ ไม่ใช่ทำให้เรามีความสุขนะ แต่เป็นผลดีสำหรับเรา เหตุการณ์นั้น อาจจะทำให้เราไม่มีความสุข แต่ผลดี สำหรับเรา และเป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้าเสมอ เป็นแผนการของพระองค์ แผนการใหญ่ๆ เราเป็นส่วนหนึ่งในแผนการนั้น

ท่านนึกถึงแผนการทั้งหมด บนโลกใบนี้ สมมติมีมนุษย์บนโลกใบนี้อยู่ล้านๆๆๆ คน สมมติ เราเป็นเศษเล็กๆ ในแผนการนั้น เราเป็นจิ๊กซอตัวหนึ่งในภาพใหญ่ๆ ภาพนั้น เท่านั้นเอง แต่เมื่อสิ้นสุดแล้ว พระองค์ก็จะทำจิ๊กซอตัวเล็กๆ นี้ให้ลงตำแหน่งของมันให้ได้ เพราะพระเจ้าทำได้ทุกสิ่ง หน้าที่ของเรา ในฐานะนักแสดงคนหนึ่งบนเวทีใหญ่ คือเชื่อและวางใจในผู้กำกับ ถึงแม้ว่าเราไม่เคยเห็นหน้าผู้กำกับเลย รูปของพระเยซู เป็นเพียงแค่จินตนาการ หรือว่าใครเคยเห็น แม้บางคนบอกเคยเห็นในความฝัน ก็เป็นจินตนาการ ไม่มีใครรู้ พระคัมภีร์ก็บอก ไม่มีใครรู้ เราไม่เคยเห็นหน้าผู้กำกับของเราเลย แต่เราก็เชื่อว่ามีผู้กำกับอยู่ เหมือนพระคัมภีร์บอกว่าความเชื่อ คือการเชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็น นี่คือสติปัญญา ความเฉลียวฉลาดที่พระเจ้าประทานให้กับเรา ไม่ใช่เราเก่ง ถ้าพระเจ้าไม่ประทานให้กับเรา เราอาจจะไม่ได้เชื่อมั่นคงจริงๆ ว่าบนโลกฝ่ายวิญญาณที่มองไม่เห็น มีผู้หนึ่งที่ดูเราอยู่ และคุ้มครอง ปกปักษ์เราอยู่ เป็นพ่อของเรา ยิ่งใหญ่สูงสุด คือพระเจ้า เมื่อก่อนเราอาจจะไม่รู้ เพียงแค่เขาบอกว่ามีพระเจ้า เราก็เชื่อ แต่ไม่ได้เชื่อจริงๆ แต่ทุกวันนี้ เราเชื่อจริงๆ ฮีบรู 11:1-3 บันทึกไว้อย่างนี้ ชัดมาก นี่คือสัจจะธรรมของการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ และความจริงที่พระเจ้าสำแดงให้พวกเราได้เห็น ถ้าคนที่มารู้จักพระเยซูแล้ว บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์แล้ว ก็อาจจะรู้ว่าความเชื่อนี้หมายถึงอะไร? แต่ถ้าอ่านแล้ว อาจจะยังพอเข้าใจบ้าง แต่อาจจะไม่รู้เรื่องว่ามันหมายความว่าอย่างไร? ลองอ่านดู ฮีบรู 11:1-3

ฮีบรู 11:1-3 “1 ความเชื่อ คือความแน่ใจในสิ่งที่เราหวังไว้ และมั่นใจในสิ่งที่เรามองไม่เห็น 2 เพราะความเชื่อนี้เอง ที่คนในสมัยก่อน ได้รับโดยความเชื่อ เราจึงเข้าใจว่าจักรวาลมีขึ้น 3 โดยพระบัญชาของพระเจ้า ดังนั้น สิ่งที่มองเห็นอยู่ จึงไม่ได้เกิดจากสิ่งที่เราเห็นได้ด้วยตา”

 

ความเชื่อ คือความแน่ใจในสิ่งที่เราหวังไว้ และมั่นใจในสิ่งที่เรามองไม่เห็น พอเชื่อปุ๊บ สิ่งที่จับต้องมองไม่เห็น มันมองเห็นได้ปุ๊บ มันหมายความว่าอย่างนั้น พอมีความเชื่อแบบนี้ขึ้นมา สิ่งที่เราไม่เคยเห็น จับต้องมองไม่เห็น แต่กลายเป็นจับต้องมองเห็น มีอยู่จริงๆ มันหมายถึงอย่างนั้น

เพราะความเชื่ออย่างนี้เอง ที่คนสมัยก่อนได้รับการชมเชย โดยความเชื่อ เราจึงเข้าใจว่า … สมัยก่อน ก็คือที่เรากำลังคุยกันอยู่นี้ คือดาเนียล โมเสส ดาวิด สมัยนั้น คนเหล่านี้ เขาเชื่อว่าจักรวาล มีขึ้นโดยพระบัญชาของพระเจ้า เห็นไหม? จักรวาลนี้ คือดวงดาวที่เขาเห็นบ้าง ไม่เห็นบ้าง ดวงอาทิตย์ อะไรต่างๆ เขามองทุกอย่างเลย พระเจ้าสร้างด้วยความเชื่อแบบนี้ จะเกิดอย่างนี้ขึ้น คือเชื่อว่ามีพระเจ้า และพระเจ้าควบคุมทุกอย่างอยู่ คือเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่มองเห็นนั้น เกิดขึ้นโดยพระเจ้า

ดังนั้น สิ่งที่มองเห็นอยู่ อะไรต่างๆ ที่มองเห็นอยู่ จึงไม่ได้เกิดจากสิ่งที่เราเห็นได้ด้วยตา คือสิ่งที่เกิดจากสิ่งที่มองไม่เห็น จากโลกวิญญาณนั้นเอง เอเมน แค่นี้ก็เป็นสติปัญญาอันยิ่งใหญ่แล้วนะ พูดแค่ 2-3 ประโยคแค่นี้เอง ล้ำลึกมากเลย ใครที่มีความเชื่ออย่างนี้ ไปรอดแล้ว เพราะเขารู้ความจริง พอรู้ความจริง ตาสว่าง ก็อ๋อ! รู้ความจริง ก็ได้เปรียบกว่าคนที่ไม่รู้ ถ้าคนที่ไม่รู้ความจริงว่าโลกใบนี้ ที่กำลังเกิดอะไรขึ้น มีบางอย่าง ที่บนโลกที่เรามองไม่เห็น ควบคุมทุกอย่างอยู่ แล้วมันเป็นจริงตามนั้น แล้วเขาไม่รู้ ท่านคิดดู ทำอะไรก็ผิดหมดเลย แต่สำหรับเราที่รู้ ทำอะไร ก็ถูกหมด เพราะเรารู้จักข้างบนแล้ว เอเมน ชัดไหม?

ผู้ที่จะมาหาพระเจ้าได้ ต้องเชื่อว่าพระองค์ทรงมีชีวิตอยู่ พระองค์ทรงกระทำทุกสิ่งทุกอย่างได้ ต้องเชื่อตรงนี้ว่าพระเจ้าทรงควบคุม พระเจ้าทรงพระชนมอยู่ และพระเจ้าทรงกำกับการแสดงเวที โรงละครโรงใหญ่ คือโลกใบนี้ทั้งหมด เอเมน ต้องเป็นอย่างนั้น ดาเนียลก็เป็นอย่างนั้น โมเสสก็เป็นอย่างนั้น ดาวิดและคนอื่นๆ มีมากหลาย ก็เป็นอย่างนั้น

ทุกวันนี้ ที่เราอยู่ในบ้านเมืองนี้ ในประเทศไทย เหตุการณ์หลายๆ อย่างเกิดขึ้น ไม่ได้เป็นอย่างที่เราอยากให้เป็นใช่ไหม? หลายอย่างเราคิด อันนี้น่าจะเป็นอย่างนี้ อันนั้นน่าจะเป็นอย่างนี้ ลุ้นกันใหญ่นะครับ ถามว่าเราเคยเอะอะโวยวายไหม? ที่มันไม่เป็นไปตามที่เราคิด บางครั้งเราหงุดหงิดนิดหน่อย บางครั้งเราหงุดหงิดมาก บางครั้งเราฟังข่าวเขาประกาศออกมา มันน่าจะเป็นอย่างนี้ ที่ดีต่อประเทศชาติ เราก็คิดของเราไปเรื่อย ถ้าคิดตามเหตุผลของมนุษย์ บางครั้งที่เราหงุดหงิดนั้น มันใช่จริงๆ มันไม่ดีจริงๆ ถูกไหม?  เราเคยบ่นว่าไหม? มันไม่ดีจริงๆ ทำไมทำอย่างนี้นะ เคยหรือไม่เคย?  เคย เราเคยสงบนิ่งไหม? เมื่อเขาพูดถึงบ้านเมือง แล้วเราไม่ชอบ เรารู้ว่ามันไม่ดีจริงๆ ด้วย เราเคยสงบนิ่งไหม? มันเกิดอะไรไม่ดี พระเจ้าควบคุมอยู่ ก่อนที่จะบ่น เราบอก พระเจ้าควบคุมอยู่ พระเจ้าดูแลอยู่ พระเจ้าเป็นผู้กำกับทุกอย่าง พระเจ้ามองเห็น พระองค์ทรงอนุญาตให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น เราเคยพูด ละไว้ในฐานที่เข้าใจไหม? ไปคิดดู แล้วเอาตามที่เราสบายใจก็แล้วกัน เราคิดอยากจะทำอย่างไรก็เชิญเลย พระเจ้าควบคุมอยู่นะ อยากจะบ่น ก็บ่น พระเจ้าฟังคำบ่นของท่าน แล้วอ้าว! เปลี่ยนแผน ไปคิดดูแล้วกัน

นี่เป็นประสบการณ์จริงของพวกเราเองเลย แล้วเรื่องเกี่ยวกับบ้านเมืองมันชัด เขาบอกว่าห้ามคุยกันเรื่องศาสนากับเรื่องบ้านเมือง เดี๋ยวตีกันตาย อย่าว่าแต่วงเพื่อนเลย ขนาดวงครอบครัวยังแตกแยกกัน เพราะคุยกันเรื่องนี้ เพราะเขาไม่รู้มี หรือรู้ว่ามี แต่ละเลยไม่สนใจเพิกเฉยต่อความเป็นจริงว่ามีผู้กำกับการแสดงอยู่ข้างบน ถ้าเขารู้อย่างนั้น เขาก็คงไม่ทะเลาะกัน เขาคงไม่ใช้อารมณ์และความคิดของตนเองว่า …

“ฉันยอด ฉันเยี่ยม ฉันดี” อะไรต่างๆ เหล่านั้น

แม้ว่าตามเหตุผลเราถูกต้องด้วยซ้ำ หรือตามเหตุผลบางกลุ่มจะถูกต้องด้วยซ้ำ แต่แม้ว่าจะถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง ถ้าเรารู้ว่าข้างบนมีการควบคุมดูแลอยู่ เราก็สามารถนิ่งเสีย และรู้ว่าพระองค์ คือพระเจ้า จงเงียบเสีย เลิกบ่นสักทีหนึ่ง (พูดกับตัวเองนะ)

หรือเวลาที่เราถูกใครเขาเอารัดเอาเปรียบ แก่งแย่งสิ่งที่เรามีอยู่ เราโวยวาย หรือท้อใจว่าไม่ยุติธรรม เราโวยวายไหม? ในสถานการณ์ที่เราไม่ชอบ เราเชื่อและวางใจในพระเจ้าหรือเปล่าว่าพระองค์กำลังนำเราเข้าไปในเหตุการณ์นั้น เพื่อสิ่งดีสำหรับเรา และเพื่อแผนการของพระองค์ และเพื่อพระองค์จะได้รับเกียรติในแผนการนั้น เราเคยคิดอย่างนี้ไหม? มันคิดยากมาก โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่เราต้องเจ็บปวด หรือต้องเสียหาย หรือต้องสูญเสียอะไรบางอย่างไป มันเจ็บปวดมาก ที่จะต้องเข้าใจถึงคำว่าพระเจ้าทรงควบคุมอยู่

เราสามารถสงบนิ่ง วางใจในพระเจ้าได้แค่ไหน? ชีวิตที่วางใจในพระเจ้า ก็คือเชื่อว่าไม่ว่าจะทุกข์ สุข ลำบาก หรือสบาย พระเจ้าทรงควบคุมทุกสถานการณ์อยู่ และพระองค์ทรงรักเรา และจะทำให้เกิดผลดีสำหรับเรา ในทุกสิ่งเหล่านั้น และให้เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระองค์ เป็นไปตามแผนการของพระองค์ ต้องจำตรงนี้ไว้ให้ได้ ถึงแม้ตอนนั้นมันรับยากขนาดไหนก็ตาม แต่ขอให้ประโยค ถ้อยคำเหล่านี้ที่พระคัมภีร์บอกเรานั้น มันฝังหัวเราตลอดเวลา แล้วขอพระเจ้าเมตตา ช่วยให้เราผ่านพ้นไปได้ด้วยดีเถิด

กลับมาเรื่องดาเนียลต่อ สิ่งที่ดาเนียลกับเพื่อนทำอยู่ ก็คือการทำตัวเป็นหนึ่งในนักแสดงละครเวทีโลกแห่งนี้ และยอมเชื่อผู้กำกับที่อยู่เบื้องหลังทุกอย่าง ยอมแสดงตามในบทบาททุกอย่าง ด้วยความบากบั่น มั่นคง และอดทน นี่คือตัวอย่าง

ในต้นของหนังสือดาเนียล ได้กล่าวถึง การควบคุมสถานการณ์ของพระเจ้าว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น ตั้งแต่ทรงมอบอิสราเอลให้อยู่ภายใต้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ พระเจ้าทรงมอบชาวยิวทั้งหมด ให้มาเป็นเชลยของบาบิโลน ทรงให้ดาเนียลมาเรียนรู้วิชาอาคม วิทยาคม ไสยศาสตร์ของบาบิโลน

พระคัมภีร์ใช้คำว่า “พระเจ้าเป็นผู้มอบให้” ด้วยพระองค์เองทั้งสิ้น ถ้าท่านไปอ่านพระคัมภีร์เดิมทั้งเล่ม ท่านจะเห็นคำนี้เยอะไปหมดเลย ดาวิดก็ใช่ โมเสสก็ใช่ ดาเนียล 1:1-2

ดาเนียล 1:1-2 “1 ปีที่สามของรัชกาลกษัตริย์เยโฮยาคิมแห่งยูดาห์ กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์แห่งบาบิโลนทรงกรีธาทัพมาล้อมกรุงเยรูซาเล็ม 2 และองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงมอบกษัตริย์เยโฮยาคิมแห่งยูดาห์ พร้อมทั้งภาชนะบางอย่างในพระวิหารของพระเจ้า ไว้ในมือเนบูคัดเนสซาร์ เนบูคัดเนสซาร์ ทรงนำสิ่งเหล่านี้ ไปเก็บไว้ที่คลังของวิหารเทพเจ้าของตน ในบาบิโลน”

 

ทั้งหมดนี้ เป็นเพราะอิสราเอลอ่อนแอกว่าบาบิโลนใช่หรือไม่? เป็นเพราะกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์เก่งใช่ไหม? เป็นไสยศาสตร์ คาถาอาคมหรือเทพเจ้าของบาบิโลนใหญ่กว่าพระเจ้าของอิสราเอลใช่หรือเปล่า? ไม่ใช่เลยทั้งหมด แต่เป็นเพราะพระเจ้าทรงเป็นผู้ให้ หรือมอบให้ พระเจ้าเป็นผู้กำกับ ควบคุมทุกสิ่ง พระองค์เป็นผู้อนุญาตให้สิ่งเหล่านี้ เกิดขึ้นนั่นเอง ชัดแจ๋วเลย

ไหนพระองค์บอกพระองค์ทรงรักประชากรของพระองค์ไง? ไหนบอกว่าอิสราเอลเป็นประชากรที่พระองค์ทรงรักมากไง? แล้วพระองค์ไม่รู้หรือว่าลูกหลานเหล่านั้นที่เกิดมาหลังจากนั้น ในอิสราเอลจะทุกข์มากขนาดไหน? ดาเนียลอายุ 13-15 ไม่ได้ทำอะไรผิดเลยตอนนั้น ทำไมต้องมารับกรรมเหล่านี้ ถูกเนรเทศ ไม่ได้รับเกียรติ แถมถูกบังคับต่างๆ นานา มารับใช้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ที่โหดเหี้ยม และเป็นผู้ทำลายประเทศของตัวเอง กัดฟันอยู่ตรงนั้น ไม่ยุติธรรมเลย เพราะฉะนั้น ต้องลงไลน์ เฟสบุ๊คว่ากันหน่อยแล้วอย่างนี้ ต้องเยาะเย้ย ต้องแก้ไข บางทีเราก็ทำอย่างนั้นในปัจจุบัน  สมัยก่อนไม่มีโอกาส แต่เดี๋ยวนี้ ไปได้ทั่วโลก พระเจ้ายอดเยี่ยมเลย เพื่อให้เราได้เห็นว่าเชื้อบาปมันอยู่ในเราจริงๆ ไม่ว่าจะมีเครื่องมือหรือไม่มีเครื่องมือ เราก็เป็นคนบาปคนนั้นแหละ เพียงแต่ว่ามีเครื่องมือเยอะๆ มีเทคโนโลยีเยอะๆ ทำบาปได้มากขึ้นเท่านั้นเอง

บาปนี้หมายถึงการไม่ทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า ไม่ใช่เรื่องผิดศีลธรรมนะ อะไรไม่ตามใจเราหน่อย เราคิดต่างปุ๊บ เราก็จะบ่น แทนที่เราจะคิด มีพระเจ้าอยู่ ดาเนียลคงไม่ได้คิดตามที่ผมกำลังพูดนะ เพราะดาเนียลรู้ความจริงว่ามีผู้กำกับอยู่ และผู้กำกับผู้นี้เก่งมากเลย ก็คือพระเจ้าของอิสราเอล พระเจ้าของเขา เป็นผู้ควบคุมอยู่ พระเจ้าทรงอนุญาตให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น  พระเจ้านำพาเขามาแล้ว จะแก้ไขสิ่งต่างๆ เหล่านี้ด้วยตัวของพระองค์เอง

ในบทที่ 2 หลังจากเหตุการณ์กินผักแล้ว ดาเนียลกับเพื่อนก็ได้เรียนรู้วิชาการต่างๆ ของบาบิโลน เรียนรู้ขนบธรรมเนียม วิชาไสยศาสตร์ เทพเจ้าก็ว่ากันไป  โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิชาทำนายฝัน แปลความฝัน เขาจะมีหนังสือเลย ในสมัยนั้น บาบิโลนเฟื่องฟูมาก เรื่องวิชาการทำนายฝัน มีหนังสือ เป็นตำรา ในนั้นเปิดเข้ามาจะมีตำราว่าถ้าเผื่อฝันอย่างนี้ หมายถึงอย่างนั้น อย่างนี้ แปลว่าอย่างนั้น คนต้องไปเรียนรู้จริงๆ ถึงมีความสามารถในการทำนายฝันได้อย่างละเอียด และได้ทุกเรื่อง และค่อนข้างตรง จะตรงหรือไม่ตรง ผมไม่รู้ ขึ้นอยู่กับผู้กำกับอีกแหละ ดาเนียลก็ต้องไปเรียนรู้กับพวกเขาอย่างนั้น  นี่คือหนึ่งในวิชานั้น ที่ดาเนียลต้องไปทำ

อยู่มาวันหนึ่ง กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ก็ฝันประหลาด ก็เรียกให้เหล่าโหราจารย์ คือพวกอาจารย์ต่างๆ ที่เรียนรู้เรื่องเหล่านี้ และนักปราชญ์ในวัง พวกมีสติปัญญาเฉลียวฉลาดมาก นักปราชญ์กับเหล่าโหราจารย์นี้  ก็คือพวกที่ฉลาดที่สุดในประเทศบาบิโลน ในตอนนั้น ซึ่งเป็นมหาอำนาจ ท่านลองคิดดู ถือว่าฉลาดที่สุดของโลกในสมัยนั้น เพราะเป็นประเทศที่เจริญที่สุด กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ก็เรียกคนเหล่านี้มาทำนายฝันหน่อย ตื่นขึ้นมาเหงื่อแตก ให้มาช่วยทำนายฝัน แล้วบอกว่าถ้าทำนายฝันไม่ได้ ตาย แต่ถ้าทำนายฝันถูกต้องได้ ให้รางวัลใหญ่โตเลย พอเหล่าโหราจารย์เข้าร่วมกันประชุม ที่ท้องพระโรง กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ไม่ยอมเล่าว่าเขาฝันอะไร? ท่านเข้าใจความรู้สึกไหม? มาทำนายฝัน ทุกคนก็เข้าไป สติปัญญา ทำนายมาหลายครั้งแล้ว มีชื่อเสียงในเรื่องทำนายฝัน เอาตำรามาเต็มเลย

“กษัตริย์มีอะไรให้ข้าพระบาททำนาย พระองค์ฝันว่าอะไร?”

ต้องเริ่มต้นอย่างนี้ใช่ไหม? บอกมาสิว่าฝันว่าอะไร?  แต่กษัตริย์บอกว่า …

“ไม่บอก ทำนายมาสิว่าฉันฝันว่าอะไร?”

พวกโหราจารย์ พวกนักปราชญ์ สะดุ้งเลย แล้วก็ตอบกษัตริย์ว่า …

“ไม่มีกษัตริย์องค์ใดทำอย่างนี้นะ เรียกคนมีสติปัญญา นักปราชญ์ นักทำนายฝันมา แล้วบอกว่า “ฉันไม่รู้ ฉันฝันอะไร ทำนายสิว่าฉันฝันว่าอะไร? มีแต่บอกว่าฉันฝันว่าอะไร? เดี๋ยวพวกข้าพระบาทจะเปิดหนังสือช่วยกัน”

อยู่ดีๆ มาบอกว่า “ช่วยทำนายทีว่าฉันฝันว่าอะไร?”

นี่ขนาดยอดสติปัญญา ก็ยังทำไม่ได้  ผมบอกท่านตอนแรกว่าสถานการณ์สร้างวีรบุรุษ  พระเจ้าเป็นผู้ควบคุมสถานการณ์ พระเจ้าอยากให้ใครเป็นวีรบุรุษ เดี๋ยวพระเจ้าสร้างเอง

ดาเนียล 2:10-16 “10 โหราจารย์ทั้งหลายทูลว่าไม่มีใครในโลกนี้ สามารถทำอย่างที่ฝ่าพระบาทประสงค์ได้ ไม่มีกษัตริย์องค์ใดจะถามเช่นนี้ จากผู้เล่นอาคม นักเวทมนตร์ หรือโหราจารย์ได้ ไม่ว่ากษัตริย์องค์นั้น จะยิ่งใหญ่เกรียงไกรเพียงใด 11 สิ่งที่ฝ่าพระบาทให้ทำนี้ยากเกินวิสัยมนุษย์จะทำได้มีแต่เทพเจ้าเท่านั้นจะบอกได้ และเทพเจ้าก็ไม่ได้อยู่ในหมู่มนุษย์ 12 เมื่อได้ยินเช่นนี้ กษัตริย์ทรงพระพิโรธยิ่งนัก และตรัสสั่งให้ประหารชีวิตปราชญ์ทั้งหมดในกรุงบาบิโลน 13 ดังนั้น จึงมีพระราชกฤษฎีกาออกมา ให้ประหารชีวิตพวกนักปราชญ์ แล้วก็มีคนไปตามตัวดาเนียลกับเพื่อน เพื่อนำตัวไปประหาร 14 เมื่ออารีโอค ผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ออกไป เพื่อประหารปราชญ์ของบาบิโลน ดาเนียลจึงเจรจากับเขา ด้วยสติปัญญาและปฏิภาณ 15 ดาเนียลถามเขาว่า “เหตุใดกษัตริย์ทรงออกพระราชกฤษฎีการุนแรงถึงเพียงนี้?” อารีโอคก็อธิบายให้ฟัง 16 ดาเนียลจึงเข้าเฝ้ากษัตริย์ เพื่อทูลขอเวลา  เพื่อจะทูลความหมายของความฝัน ให้ทรงทราบ”

 

พวกโหราจารย์ นักปราชญ์เจออย่างนี้ ไม่รู้จะทำอย่างไรดี ในข้อ 11 บอกว่ามีแต่เทพเจ้าเท่านั้น … เทพเจ้า หมายถึงเทพเจ้าของพวกเขานะ พวกบาบิโลน มีแต่เทพเจ้าเท่านั้น ที่จะบอกได้ แล้วเทพเจ้าก็ไม่ได้อยู่ในหมู่มนุษย์ หมายถึงเทพเจ้าก็ไม่ได้คุยกับมนุษย์อย่างนี้ ใกล้ชิดกันอย่างนี้ ซึ่งมนุษย์ไม่สามารถติดต่อได้ พูดคุยไม่ได้ มีแต่บนได้ บนกับอธิษฐาน คนละเรื่องกันนะ บนแล้วแต่เวรแต่กรรม ไม่รู้จะเกิดขึ้น  หรือไม่เกิด ในการพูดกับพระเจ้า คนละเรื่องกัน

พอโหราจารย์ตอบไม่ได้ กษัตริย์ก็โกรธมาก เรียกให้เอาตัวโหราจารย์และนักปราชญ์ทั้งหมด ไปประหารชีวิต คือเหมือนกับว่าเลี้ยงเสียข้าวสุก เสียโต๊ะฮ่องเต้ไปตั้งหลาย ใช้อะไรไม่ได้เลย เปล่าประโยชน์ และในบรรดานักปราชญ์ที่จะต้องถูกประหารชีวิต ดาเนียลและเพื่อน ซึ่งเป็นนักปราชญ์ หัวกะทิเหมือนกัน แต่ไม่ได้อยู่ในท้องพระโรงนั้น ก็ต้องถูกลงโทษด้วยเช่นเดียวกัน

ตอนที่ทหารจะมาจับตัวดาเนียล เพื่อนำไปประหารชีวิต ดาเนียลก็ได้พูดคุย บอกกับหัวหน้าให้พาไปหากษัตริย์หน่อยจะขอเวลากลับไปทำนายฝัน ขอเวลาหน่อย เรื่องนี้มันจะเกี่ยวพันมาถึงเรื่องเราทุกวันนี้ เกี่ยวข้องหมดเลย 2,600 ปีและจะเกี่ยวข้องมาถึงเราที่นั่งอยู่ที่นี่ จนกระทั่ง ไม่รู้เมื่อไร พระเยซูกลับมาใหม่ และจนกระทั่งเราไปอยู่ในสวรรค์นิรันดร์กาล ขอพระเจ้าอวยพร

 

********************