คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 24 กรกฎาคม 2016 เรื่อง “ข้าเชื่อ … หลักข้อเชื่อของอัครทูต” ตอน 4 “ข้าเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ พระบุตร” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  24  กรกฎาคม  2016

 เรื่อง “ข้าเชื่อ … หลักข้อเชื่อของอัครทูต”

ตอน 4 “ข้าเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ พระบุตร”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            เรายังอยู่ในหัวข้อคำบรรยายเรื่องหลักข้อเชื่อของอัครทูตอยู่นะครับ ครั้งนี้เป็นตอนที่ 4 มีชื่อเรื่องว่า “ข้าเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ พระบุตร” ต่อจากครั้งที่แล้ว

ก่อนที่จะเข้าเรื่องของวันนี้ ให้เรามาทบทวน หลักข้อเชื่อของอัครทูต ซึ่งเป็นแก่น เป็นสาระสำคัญของข่าวประเสริฐ ของข่าวดีของพระเจ้า พระคัมภีร์ทั้งเล่มเลย รวบรวมมาเป็น 12 ข้อ มีอะไรบ้าง?

  1. ข้าพเจ้าเชื่อวางใจในพระเจ้าพระบิดาผู้ทรงฤทธิ์สูงสุด ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์ และแผ่นดินโลก
  2. ข้าพเจ้าเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระบิดาเจ้า
  3. พระเยซูคริสต์ทรงปฏิสนธิ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทรงกำเนิดจากมารีย์ หญิงสาวพรหมจารี
  4. ทรงทนทุกข์ทรมาน ในสมัยที่ปอนทิอัส ปิลาต ปกครอง ทรงถูกตรึงที่กางเขน  จนถึงมรณา  ทรงถูกบรรจุไว้ในอุโมงค์
  5. ทรงเสด็จลงสู่แดนมรณา (นรก)  และในวันที่สาม ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย
  6. พระองค์เสด็จขึ้นสวรรค์  ประทับ ณ เบื้องขวาของพระเจ้า ผู้ทรงฤทธิ์สูงสุด
  7. ข้าพเจ้าเชื่อและวางใจว่าจากที่นั่น (สวรรค์)  พระองค์จะเสด็จมา  พิพากษา ทั้งคนเป็นและคนตาย
  8. ข้าพเจ้าเชื่อวางใจ ในพระวิญญาณบริสุทธิ์
  9. และเชื่อมั่นในสากลคริสตจักรบริสุทธิ์ (Holy Church) ในการร่วมสมานฉันท์ระหว่างธรรมิกชน (คือผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ทั้งหลายทั่วโลก)
  10. ข้าพเจ้าเชื่อในการอภัยโทษบาปทั้งสิ้น (มั่นใจในการอภัยโทษจากบาปทั้งหลาย)
  11. ข้าพเจ้าเชื่อในร่างกายที่เป็นขึ้นมาจากความตาย (ร่างกายใหม่)
  12. ข้าพเจ้าเชื่อในชีวิตนิรันดร์ … อาเมน

 

และสัปดาห์ที่แล้ว ผมก็ได้สรุปไว้ว่าในหลักข้อเชื่อทั้ง 12 ข้อนี้ ถ้าเรามาจัดเป็นกลุ่มๆ สามารถจัดได้เป็นทั้งหมด 4 กลุ่มด้วยกัน คือ …

กลุ่ม 1 เกี่ยวกับพระเจ้า พระบิดา

กลุ่ม 2 เกี่ยวกับพระเยซูคริสต์

กลุ่ม 3 เกี่ยวกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ และสากลคริสตจักร

กลุ่ม 4 เกี่ยวกับความรอด หรือผลจากความเชื่อ ที่เราได้รับ

ใน 4 กลุ่มนี้ เรื่องความเชื่อในพระเยซูคริสต์มีมากที่สุด ซึ่งมีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 6 ข้อ คือ …

  1. ข้าพเจ้าเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระบิดาเจ้า
  2. พระเยซูคริสต์ทรงปฏิสนธิ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทรงกำเนิดจากมารีย์ หญิงสาวพรหมจารี
  3. ทรงทนทุกข์ทรมาน ในสมัยที่ปอนทิอัส ปิลาต ปกครอง ทรงถูกตรึงที่กางเขน  จนถึงมรณา  ทรงถูกบรรจุไว้ในอุโมงค์
  4. ทรงเสด็จลงสู่แดนมรณา (นรก)  และในวันที่สาม ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย
  5. พระองค์เสด็จขึ้นสวรรค์  ประทับ ณ เบื้องขวาของพระเจ้า ผู้ทรงฤทธิ์สูงสุด
  6. ข้าพเจ้าเชื่อและวางใจว่าจากที่นั่น (สวรรค์)  พระองค์จะเสด็จมา  พิพากษา ทั้งคนเป็นและคนตาย

 

วันนี้เราจะมาดูในแต่ละหัวข้อว่าพระคัมภีร์มีกล่าวถึงหลักข้อเชื่อเหล่านี้ไว้ตรงไหนบ้าง? เราไม่สามารถบอกได้ว่า …

“ผมเชื่อไปแล้วจริงๆ 5 ข้อ อีกข้อไม่เชื่อ”

ทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะมันโยงกันหมด ถ้าท่านไม่เชื่อข้อหนึ่ง แปลว่าท่านไม่ได้เชื่อจริง

เรามาเริ่มจากข้อแรก … ข้าพเจ้าเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระบิดา

“เชื่อไหมว่าพระเยซู เป็นพระบุตรองค์เดียวของพระบิดา พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด”

แต่ไหนแต่ไรมาแล้ว เรื่องนี้เป็นเรื่องที่มีการถกเถียงกันมากที่สุด จะเชื่อหรือไม่เชื่อเรื่องพระเจ้า ก็เถียงกันอยู่แค่นี้ว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้าจริงหรือเปล่า? ถ้าผ่านตรงไป ตรงอื่นง่ายขึ้นแล้ว เชื่อว่าพระเยซู เป็นพระเจ้าจริงไหม?

นึกถึงภาพ 2,000 ปีย้อนกลับไป ยุคสมัยไม่มีคอมพิวเตอร์ นึกถึงรถราก็ไม่มี มีบุคคลหนึ่ง เป็นชาวยิวลุกขึ้นยืนท่ามกลางชนชาวยิวด้วยกัน ประกาศว่า …

“เรา คือพระเจ้า”

ท่านลองนึกภาพสิว่าจะเกิดอะไรขึ้น? บุคคลผู้นี้ คือพระเยซู ทรงตะโกนออกไปว่า …

“เรากับพระบิดา เป็นหนึ่งเดียวกัน”

คำว่า “พระบิดา” ตรงนี้ ก็หมายถึงพระเจ้านั่นเอง ซึ่งพระเจ้าของชาวยิว เป็นที่เทิดทูนของเขามาก แค่พูดชื่อ ก็ไม่ได้แล้ว นี่ยังมาบอกว่าเป็นลูกของพระเจ้าอีก พระเยซูกำลังประกาศให้ทุกคนรับรู้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า ก็แปลว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า นั่นเอง พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนี้  ยอห์น 10:36-38

ยอห์น 10:36-38 “36 เราเป็นบุตรของพระเจ้า ในเมื่อพระบิดาเป็นผู้เลือก และส่งเราเข้ามาในโลกนี้? 37 ถ้าเราไม่ได้ทำ สิ่งที่พระบิดาของเราทรงกระทำ ก็อย่าเชื่อเราเลย 38 แต่ถ้าเราทำสิ่งนั้น แม้ท่านไม่เชื่อเรา ก็จงเชื่อสิ่งที่เราทำเถิด เพื่อท่านจะได้รู้ และเข้าใจว่าพระบิดาทรงอยู่ในเรา และเราอยู่ในพระบิดา”

 

คำว่า “พระเจ้า พระบิดา” หมายถึงผู้ที่เขาเทิดทูนสูงมาก แล้วมนุษย์ คือพวกเขา ต่ำต้อยมากเลย ตอนนี้มีมนุษย์คนหนึ่งอยู่ท่ามกลางพวกเขา เป็นพี่น้อง มีฐานะเป็นลูกของพ่อที่ชื่อโยเซฟ เป็นช่างไม้ และแม่ชื่อแมรี่ อายุประมาณ 30 กว่า แล้วมาพูดอย่างนี้ ท่านลองนึกถึงภาพ 2,000 ปีแล้ว เป็นอย่างนี้ ถ้าเรื่องนี้โกหก เป็นเรื่องไม่จริง จะมีคนเชื่อ หรือจนถึงทุกวันนี้ 2,000 กว่าปี คนเชื่อเยอะมาก

หลักข้อเชื่อที่บอกว่าพระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า และเป็นพระเจ้าเป็นความเชื่อที่ถือเป็นพื้นฐานสำคัญข้อแรกเลย ในเรื่องเกี่ยวกับพระเยซู เพราะถ้าท่านจะเชื่อเรื่องพระเยซูทั้งหมด 6 ข้อที่เป็นสาระสำคัญ ท่านต้องมีความเชื่อและวางใจ ในข้อนี้ก่อน แล้วข้ออื่นๆ ถึงตามมาได้ เป็นเหมือนออโต้เลย มันจะมาเอง

การประกาศข่าวประเสริฐ ข้อมูลแรกๆ ต้องบอกเขาเลยว่าพระเยซู คือพระเจ้า

ถามว่า “คริสตมาส คือวันอะไร?”

“วันที่พระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์”

และนี่คือเหตุผลที่บอกว่าหลักข้อเชื่อข้อนี้ เป็นที่ถกเถียงกันมากที่สุด ก็เพราะมันสำคัญที่สุด เพราะพวกที่อยู่ตรงข้ามกับพระเจ้า ไม่อยากให้มนุษย์รู้จักพระเจ้า ไม่อยากให้มนุษย์กลับไปสู่อ้อมกอดของพ่อของเขา คือพระเจ้า ไม่อยากให้มนุษย์กลับคืนดีกับพ่อผู้ให้กำเนิดเขา คือพระเจ้า พวกที่อยู่ตรงข้ามกับพระเจ้า ก็คือมารซาตาน มันรู้ดีเรื่องนี้ มันพยายามให้คนรู้เรื่องนี้น้อยที่สุด ป้องกันเรื่องนี้ มากที่สุด ไม่อยากให้คนรู้ว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้ามากที่สุด เพราะรู้ว่าถ้าใครหลุดตรงนี้ไป รู้ตรงนี้ทันที เชื่อตรงนี้ทันที อย่างอื่นไม่ยากแล้ว จะตามมาเอง

เพราะฉะนั้น มันจึงพยายามทุกวิถีทางที่จะหาข้อโต้แย้งว่าพระเยซูไม่ได้เป็นพระเจ้า เรามาเชื่อพระเจ้า เพราะพระเจ้าช่วยให้เราเชื่อ ไม่ใช่เราเชื่อเอง หรือคนนี้สอนดีมาก จนเราเชื่อ ไม่ใช่ บางคนฟังคำบรรยายตั้งเยอะ ค้นคว้าตั้งเยอะ ก็ยังไม่เชื่อสักที บางคนยังไม่ทันฟังคำบรรยายเลย แค่ได้ยินเพื่อนพูด 2-3 คำ รุ่งขึ้นเชื่อแล้ว

ถามว่าทำไมไม่เหมือนกัน ก็ขึ้นอยู่กับผู้ที่กำความรอดของมนุษย์ไว้ ก็คือพระเจ้า พระบิดา ความรอดเป็นของพระองค์ พระคัมภีร์บอก พระเจ้าทรงเปิดตาใจฝ่ายวิญญาณ ให้เรา เราถึงได้เห็น  ใช่จริงๆ พระองค์เป็นพระเจ้า เชื่อตรงนั้น จนเรายอมคุกเข่าลง ไม่ได้หมายถึงคุกเข่าจริงๆ นะ หมายถึงยอมถ่อมใจลง ยอมรับว่าเราเป็นคนบาป  และต้องการความช่วยเหลือ ต้อนรับพระเยซูคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา เชื่อว่าพระองค์เป็นพระเจ้า ช่วยเราได้

สรุปแล้ว ก็คือพระเจ้าเปิดตาฝ่ายวิญญาณ เราจึงสามารถเชื่อและวางใจในพระองค์ได้ คือเราเชื่อ แม้จะไม่เข้าใจก็ตาม ไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานอะไรมาพิสูจน์

การมีหลักฐานพิสูจน์ ก็เป็นเพียงแค่การเพิ่มพูนความรู้ เพิ่มพูนสติปัญญา เพื่อเราจะได้มีความลึกซึ้งในพระคุณของพระเจ้า ที่มอบให้กับเราทั้งหลาย รู้จักพระองค์มากขึ้นนั่นเอง และสามารถมีความรู้ที่จะไปประกาศข่าวประเสริฐได้มากขึ้น ได้มันขึ้น  มันก็ตื่นเต้นขึ้นนิดหน่อย แต่ไม่ได้เป็นสาระสำคัญที่ท่านต้องพยายามพิสูจน์ให้เขาเห็น โดยการหาหลักฐานมาให้เขาดู ไม่ต้องถึงขนาดนั้น อธิษฐานให้เขาดีกว่า

หลักข้อเชื่อข้อที่ 2 เกี่ยวกับพระเยซู คือ “ทรงปฏิสนธิ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทรงกำเนิดจากแมรี่ หญิงสาวพรหมจารี”

ทำไมต้องใส่ตรงนี้ เป็นข้อที่ 2 ทำไมตรงนี้เป็นสาระสำคัญ เป็นคริสเตียนต้องเชื่อตรงนี้ เมื่อกี้ เราบอกว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า และเป็นพระเจ้าใช่ไหม? มาข้อนี้ ก็ขยายความขึ้นไปอีกว่าที่พระองค์เป็นพระเจ้า และมาเกิดเป็นมนุษย์ ก็เพราะพระองค์ปฏิสนธิ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ และทรงกำเนิดจากแมรี่ หญิงสาวพรหมจารีไง  เป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ว่าพระองค์ไม่ใช่มนุษย์ ที่เกิดแบบพวกเรา มาดูในลูกา 1:31-35

ลูกา 1:31-35 “31 เธอจะตั้งครรภ์และคลอดบุตรชาย จงตั้งชื่อบุตรนั้นว่าเยซู  32 พระองค์จะทรงยิ่งใหญ่ และได้ชื่อว่าพระบุตรของพระเจ้าสูงสุด พระเจ้าจะประทานบัลลังก์ของดาวิด บรรพบุรุษของพระองค์แก่พระองค์ 33 และพระองค์จะทรงครอบครองพงศ์พันธุ์ของยาโคบตลอดไป อาณาจักรของพระองค์จะไม่มีวันสิ้นสุดเลย” 34 มารีย์ถามทูตสวรรค์นั้นว่า “จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร ในเมื่อข้าพเจ้าเป็นสาวพรหมจารี?” 35 ทูตนั้นตอบว่า “พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเสด็จลงมาเหนือเธอ และฤทธิ์อำนาจขององค์ผู้สูงสุดจะปกคลุมเธอ ดังนั้น องค์บริสุทธิ์ที่ประสูติมา จะได้ชื่อว่าพระบุตรของพระเจ้า”

 

พระคัมภีร์จดไว้อย่างนี้ ทูตสวรรค์ตอบว่าอย่างไร?

“พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเสด็จลงมาเหนือเธอ แมรี่ และฤทธิ์อำนาจขององค์ผู้สูงสุดจะปกคลุมอยู่เหนือเธอ ดังนั้น องค์บริสุทธิ์ที่ประสูติมา จะได้ชื่อว่าพระบุตรของพระเจ้า”

นี่แหละเหตุผล แต่สมัยนั้น ไม่มีใครรู้เรื่อง อะไร? งง เพราะเทคโนโลยียังไปไม่ถึง ได้แต่เชื่อเฉยๆ ว่านั่นแหละ พระคัมภีร์บอกอย่างนี้ องค์บริสุทธิ์มาบังเกิด หลายคนเชื่อ หลายคนไม่เชื่อ มันจะเป็นไปได้อย่างไร? ที่ผู้หญิงไม่แต่งงาน แล้วจะมีท้อง จะตั้งครรภ์

นึกถึงภาพตอนนั้น 2,000 กว่าปี นานมาก การที่หญิงสาวพรหมจารีจะตั้งครรภ์ และคลอดลูก เรียกว่ายิ่งกว่าอัศจรรย์อีก เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย ไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นได้เลย พูดง่ายๆ ถ้าไปพูดกับใคร เขาจะบอกว่าบ้าหรือเปล่า? มันเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าเป็นสมัยนี้  ผ่านมา 2,000 กว่าปี ด้วยเทคโนโลยี และวิวัฒนาการทางการแพทย์ในปัจจุบัน การที่หญิงสาวพรหมจารีจะตั้งครรภ์และให้กำเนิดทารกได้ หนังสือพิมพ์ลงเยอะแยะ เสีย 300,000 … 400, 000 … 500,000 … 600,000 เป็นไปได้ ไม่ยากด้วย ถ้ามีเงิน ชาวบ้านเรียกว่าอุ้มบุญ

ข้อต่อไป “พระองค์ทรงทนทุกข์ทรมาน ในสมัยที่ปอนทิอัส ปิลาต ปกครอง ทรงถูกตรึงที่กางเขน  จนถึงมรณา  ทรงถูกบรรจุไว้ในอุโมงค์”

ต้องเชื่อตรงนี้  นี่คือข้อที่ 3  เกี่ยวกับเรื่องข่าวประเสริฐของพระเยซู หลักข้อเชื่อข้อนี้ ไม่ต้องพูดเยอะนะ เพราะศุกร์ประเสริฐก็พูด อีสเตอร์ก็ต้องพูดตรงนี้ ดวงใจของข่าวประเสริฐ ก็คือตรงนี้แหละ คือมนุษย์จะได้รับความรอด จะต้องเชื่อตรงนี้ คือเชื่อว่าพระเยซูที่เป็นพระบุตรของพระเจ้า องค์เดียว ได้มาเกิดเป็นมนุษย์ โดยกำเนิดจากหญิงพรหมจารี ทรงต้องทนทุกข์ทรมาน ถูกตรึงที่กางเขน และสิ้นพระชนม์ที่ไม้กางเขน เพื่อไถ่บาปให้กับเรา และมวลมนุษยชาติ คือต้องเชื่อว่าพระเยซูตายจริงๆ ไม่ตายจริง เขาไม่เอาไปใส่ในอุโมงค์ฝังศพ เห็นไหม? มันต่อเนื่องกันหมดเลย ที่พระเยซูต้องอยู่ในอุโมงค์นั้นจริง ตายจริงๆ หมดลมจริงๆ เริ่มเน่านิดหนึ่งแล้ว มีกลิ่นแล้ว ผมคิดว่า 3 วันต้องมีกลิ่นบ้างแหละ

ถามว่าทำไมต้องเขียนไว้ว่าถูกบรรจุไว้ในอุโมงค์ ก็เป็นการพิสูจน์ว่าถ้าเราเชื่อว่าพระองค์บรรจุไว้ในอุโมงค์จริงๆ แสดงว่าพระองค์เป็นขึ้นมาใหม่จริงๆ ไม่ได้แกล้งตาย ไม่ใช่ไม่ตาย … ตายจริงๆ และถูกบรรจุไว้ในอุโมงค์จริงๆ

ข้อที่ 4 “พระองค์ทรงเสด็จลงสู่แดนมรณา และในวันที่สาม ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย

เรื่องการเป็นขึ้นจากความตาย ในวันที่ 3 เป็นเรื่องที่เราฟังมาจนคุ้นหู แต่เรื่องที่บอกว่าพระองค์เสด็จลงสู่แดนมรณา อาจยังเป็นเรื่องใหม่สำหรับเราบางคน เพราะไม่ค่อยได้พูดถึงเรื่องนี้กัน ผมจะพยายามสรุปให้เข้าใจง่ายๆ

ในช่วงหลังจากสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน และก่อนที่จะเป็นขึ้นจากตาย  ในวันที่สาม คือช่วงหลังวันศุกร์ประเสริฐ ก่อนวันอีสเตอร์

พระคัมภีร์บอกว่าพระเยซูเสด็จลงสู่แดนมรณา คำว่า “ตาย” ตรงนี้ ไม่ได้หมายถึงร่างกายตาย เพียงอย่างเดียว แต่หมายถึงวิญญาณของพระองค์ตายด้วย วิญญาณของพระเยซูถูกทอดทิ้ง ตายทางวิญญาณ คือถูกทอดทิ้ง เป็นกบฏต่อพระเจ้า อยู่ตรงข้ามกับพระเจ้า ถูกตัดขาดออกจากพระเจ้า ซึ่งมีผู้ค้นคว้าหลายท่านเชื่อว่าจากพระคัมภีร์ที่บันทึกไว้ ในเรื่องเกี่ยวกับความตายของพระเยซู … พระเยซูตายฝ่ายวิญญาณ ไม่ใช่ตายที่ไม้กางเขน เมื่อวันศุกร์หรอก แต่เริ่มจากคืนวันพฤหัสฯ แล้ว ตอนที่พระเยซูสอนสาวกครั้งสุดท้ายว่า …

“พระบิดาอยู่ในเรา … เราอยู่กับพระบิดา เราเป็นหนึ่งเดียวกัน สิ่งที่เราทำ สิ่งที่เราพูด เราไม่ได้ทำ เราไม่ได้พูดเอง พระบิดาเป็นผู้บอกเรา บอกที่ไหน จากในเรา คุยกันตลอด”

แต่อีกไม่กี่ชั่วโมง ต่อมาที่สวนเกเสมนี พระเยซูบอกว่า …

“เรากลัว … กลัวจนแทบจะขาดใจ”

เกิดมา พระองค์ไม่เคยพูดคำนี้เลย อยู่ดีๆ พระองค์บอกพระองค์กลัวจนแทบจะขาดใจ ต้องเดินไปหาสาวก บอกมาเป็นเพื่อนเราหน่อยได้ไหม? พระเจ้าอยู่ด้วย แล้วจะมาเรียกให้มาเป็นเพื่อน เคยไหม ครั้งก่อนๆ เคยเรียกเปโตร ยอห์น ยากอบไปเป็นเพื่อนไหม? ไม่มี ตอนนี้บอก

“มาเป็นเพื่อนเราหน่อย”

มิหนำซ้ำ ไปอธิษฐาน พระเจ้า พระบิดาให้จอกนี้ คือหน้าที่นี้ คือการถูกตรึงตาย ที่ไม้กางเขน เลื่อนไปได้ไหม? คือไม่ทำได้ไหม?  ไม่เข้าไปได้ไหม?

อธิษฐานถึง 3 ครั้ง แสดงว่าไม่ได้ยินอะไร? คุยกันไม่ได้แล้ว แสดงว่าพระองค์ทรงถูกทอดทิ้งตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว เพราะเริ่มจะรับบาปแทนมนุษยชาติ มาเป็นคนบาปเหมือนเรา เมื่อพระองค์ทรงอธิษฐาน 3 ครั้ง ทรุดตัวลงไป ไม่มีกำลัง เหมือนเราทั้งหลายที่เจอความทุกข์ยากลำบาก บางครั้ง เราไม่ไหวแล้ว ช่วยด้วยพระเจ้า เหมือนกันเลย ครั้งที่สาม เมื่อพระองค์ทรงอธิษฐานบอกว่า …

“ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ ถ้าเผื่อไม่มีทางอื่นให้เลือก”

ในพระคัมภีร์เขียนว่าทูตสวรรค์มาเสริมกำลังให้กับพระองค์ พระบุตรของพระเจ้า ต้องมีทูตสวรรค์มาเสริมกำลังเหรอ ไม่ใช่บุตรของพระเจ้าแล้วตอนนั้น แต่เป็นคนบาป เหมือนพวกเราทั้งหลาย ทูตสวรรค์ต้องมาเสริมกำลัง เพื่อให้ไปทำภารกิจในวันรุ่งขึ้น คือต้องถูกทุบตี ถูกเฆี่ยนตี ทรมาน เพื่อให้น้ำพระทัยพระเจ้าสำเร็จ เขาจึงเชื่อกันว่าพระเยซูตายทางฝ่ายวิญญาณ ตั้งแต่ก่อนไปไม้กางเขน คือถูกตัดขาดจากพระเจ้า ถูกทอดทิ้งจากพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า เป็นกบฏต่อพระเจ้า เป็นอะไรก็ตามที่อยู่ตรงข้ามกับพระเจ้าทุกอย่างเลย ก่อนที่พระองค์จะล่วงหลับที่ไม้กางเขนนั้น ร่างกายของพระองค์หมดลมหายใจ หัวใจจะหยุดเต้น สมองหยุดทำงาน พระองค์ตะโกนว่า …

“พระเจ้าอยู่ไหน? พระเจ้าอยู่ไหน? ทำไมถึงทอดทิ้ง”

ก็คือตาย … ตายทางวิญญาณ พระเจ้าอยู่ไหน?

คือพระเจ้าต้องละพระองค์ เพราะพระองค์เป็นบาปแล้ว  รับบาป ซึ่งการรับโทษบาปเหล่านี้ของพระเยซู เพื่อเรา มันเป็นผลของความบาป

พระคัมภีร์บันทึกว่าผลของความบาป คือความตายและตาย … ตาย 2 อย่างเลย ตายทางร่างกาย ตายอยู่แล้ว ตายทางวิญญาณด้วย

ผลของความบาป คือความตาย

ผลของความบาป คือการอยู่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า

ผลของความบาป คือเข้ากับพระเจ้าไม่ได้

ผลของความบาป คือเป็นศัตรูกับพระเจ้า

ผลของความบาป คือเป็นกบฏกับพระเจ้า

ผลของความบาปเหล่านี้ โทษ ก็คือตายและตาย  เพราะพระองค์มารับบาปแทนเรา พระองค์ก็เลยได้รับผล

เมื่อถูกตัดขาดจากพระเจ้า หมดลมหายใจแล้ว วิญญาณออกจากร่าง วิญญาณพระองค์ไม่รู้จักพระเจ้า ก็ต้องไปอยู่ที่ที่เรียกว่า “แดนมรณา” หรือ “นรก” พระคัมภีร์ก็อธิบายว่าเป็นที่แห้งแล้ง เป็นที่พระเจ้าไม่อยู่ พระเจ้าทอดทิ้ง เป็นที่ที่มีการขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เป็นที่ที่แย่

สำหรับคนที่ล่วงหลับไป หรือวิญญาณออกจากร่าง โดยที่ยังเป็นคนบาปอยู่ ยังไม่รู้จักพระเจ้า ก็ต้องไปอยู่ในที่ที่เรียกว่า “แดนมรณา” แต่สำหรับผู้ที่รู้จักพระเจ้า ก็จะไปอยู่ในที่ที่พระเจ้าสถิตอยู่ เพราะรู้จักกัน เป็นลูกเจ้าของสวรรค์ เราก็เลยพลอยไปอยู่ในสวรรค์ด้วย

พระคัมภีร์บอกว่าพระเยซูเสด็จไปที่แดนมรณา เพื่อช่วยคนเหล่านั้น ที่ถูกกักกัน เหมือนประกาศข่าวดีให้กับบรรดาผู้ที่ตายไปก่อนหน้าที่พระเยซูจะเกิด ไม่มีโอกาสได้รับความรอด ไม่มีโอกาสได้เจอพระเยซู พระเยซูก็เลยถือโอกาสไปพูดเรื่องข่าวประเสริฐด้วย เราขอบคุณพระเจ้า บางทีเราบอกว่า …

“เธอไม่เชื่อพระเยซู เธอจะต้องลงไปในนรก”

มีความรู้สึก รับไม่ได้ แต่นี่ง่ายๆ เอง ไม่ต้องพูดถึงเชื่อพระเยซู หรือไม่เชื่อพระเยซู ถ้าท่านรู้จักเจ้าของสวรรค์ ท่านก็ไปอยู่ในสวรรค์ได้ สมมติว่ามีเจ้าของสวรรค์จริงๆ  แล้วเราไม่รู้จัก เราออกจากร่างไป ก็ไปอยู่ในที่ไม่รู้จักพระเจ้าสิ มันก็ธรรมดา เรียกว่าบึงไฟนรก ที่ที่มีพระเจ้าอยู่ เรียกว่าสวรรค์

ถ้าพระเจ้าผู้นี้ ที่เราเชื่อตั้งแต่ข้อแรก บอกว่าพระองค์มีผู้เดียวเท่านั้น ที่สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ทรงฤทธานุภาพและอำนาจที่ยิ่งใหญ่สูงสุด ที่มีชื่อว่าพระเจ้าจริงๆ แท้ๆ ที่มีอยู่เพียงผู้เดียว และถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ตามที่เราเชื่อ แล้วคนไม่เชื่อตามนี้ เขาก็ต้องไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ที่ไม่มีพระเจ้าอยู่ นึกภาพน่ากลัวนะ โหดร้ายไหม?

ข้อที่ 5 พระองค์เสด็จขึ้นสวรรค์  ประทับ ณ เบื้องขวาของพระเจ้า ผู้ทรงฤทธิ์สูงสุด”

อันนี้ท่านก็ต้องเชื่อ กิจการ 1:8-9

กิจการ 1:8-9 “8 ท่านทั้งหลายจะได้รับพระราชทานฤทธิ์เดช เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเสด็จมาเหนือท่าน และท่านทั้งหลายจะเป็นพยานฝ่ายเรา ในกรุงเยรูซาเล็ม ทั่วแคว้นยูเดีย แคว้นสะมาเรีย และจนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก 9 เมื่อพระองค์ตรัสเช่นนั้นแล้ว พระเจ้าก็ทรงรับพระองค์ขึ้นไป  ต่อหน้าต่อตาเขา และมีเมฆคลุมพระองค์ให้พ้นสายตาของเขา”

 

บันทึกไว้อย่างชัดเจน ให้เราเชื่อตามนั้น ขึ้นไปต่อหน้าต่อตาผู้คนมากหลาย ลอยขึ้นไปเลย พระเจ้าทรงรับพระเยซูขึ้นไป ชัดๆ เลย อยู่ที่เบื้องขวา โคโลสี 3:1 บันทึกไว้

โคโลสี 3:1 “ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลาย  เป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว  ก็จงให้ใจของท่านจดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า”

 

อยู่ที่พระหัตถ์ขวาของพระเจ้า แล้วในนั้นยังบอกต่อไปอีกว่าอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า ไม่ได้อยู่เฉยๆ แต่อยู่เพื่อครอบครองทั้งหมดเลย ในมหาจักรวาล ทรงฤทธิ์อำนาจสูงสุดเลย เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระเจ้าไปเลย  และพระองค์เป็นพี่ชายของเรา  รับโทษบาปแทนเรา สำแดงความรักให้กับเราถึงขนาดยอมตาย ยอมทุกข์ทรมาน ยอมเป็นคนบาป ลงไปนรกแทนเราเลย  สนิทกันอย่างนี้เลย ไม่น่าเชื่อ แต่มันเป็นไปแล้วจริงๆ พอคนมาเชื่อพระเจ้าจริงๆ ต้องรู้สิ่งเหล่านี้ แล้วต้องเชื่อสิ่งเหล่านี้ ทำให้เกิดความลึกซึ้งในพระคุณความเมตตาของพระเจ้า ในนี้บอกว่าให้ท่านทั้งหลายจดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ให้ท่านคิดแต่เรื่องนี้เรื่องเดียว เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง คิดแล้วสบายใจ คิดแล้วสนุกสนาน คิดแล้วมีกำลังใจในชีวิต คิดแล้วสามารถต่อสู้กับทุกอย่างในชีวิตได้ ยืนหยัดอยู่ในทุกเหตุการณ์ได้ เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้าได้ มีสันติสุขได้ มีความสงบสุข เพราะรู้ว่าเรามาถูกทางแล้ว ตอนนี้เหมือนนั่งรถไฟ หรือนั่งรถเมล์ แล้วรู้ปลายทางแล้ว จะหลับ น้ำลายยืดก็ได้ เพราะพระเยซูจะนำพาเราไปเอง ให้ใจจดจ่ออยู่ตรงนี้ ที่เบื้องบน

ข้อที่ 6 “จากที่นั่น (ที่ประทับเบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน)  พระองค์จะเสด็จมา  พิพากษาทั้งคนเป็นและคนตาย”

เพราะว่าพระองค์ทรงฤทธิ์อำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด พระเจ้าให้เป็นผู้สำเร็จราชการแล้ว พระองค์ก็เลยมาพิพากษาได้ไง

ถามว่า “คนเป็นและคนตาย” คือใคร? คนตาย คือคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า ไม่รู้จักพระเจ้า กบฏต่อพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า เกลียดพระเจ้า อยู่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า

คนเป็น ก็คือคนที่เป็นขึ้นมาใหม่ ร่วมกับพระเยซูคริสต์ เชื่อในการกระทำของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน  เชื่อในการเป็นขึ้นมาใหม่ของพระเยซูคริสต์ว่าพระองค์เป็นตัวแทนเรา เมื่อพระองค์ทำ เราทำด้วย เมื่อพระองค์ตาย รับบาปที่ไม้กางเขน บาปของเราถูกรับไปแล้ว เมื่อพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ เราเป็นขึ้นมาใหม่ด้วย  เมื่อพระองค์นั่งที่เบื้องขวา เราก็นั่งอยู่ที่เบื้องขวาด้วยกับพระองค์

เพราะฉะนั้น คนเป็น ก็คือคนที่รู้จักพระเจ้า วันหนึ่งข้างหน้า พระองค์จะเสด็จกลับมา แล้วก็มาดูว่าใครอยู่ซ้าย? ใครอยู่ขวา? ใครรู้จักพระเจ้า ก็ว่ากันไป รู้จักพระเจ้า รู้จักสวรรค์ รู้จักพระเยซู ผ่านทางพระเยซู บาปก็ไม่มีแล้ว สมมติเรียกคนหนึ่งออกมา นาย ก. แล้วถามว่า …

“มีบาปไหม?”

“มีครับ แต่พระโลหิตพระเยซูชำระสะอาดหมดจด เรียบร้อยแล้ว ขอบคุณพระเจ้า”

อ้าว! ไป

เพราะรู้จักพระเจ้า อีกคนหนึ่งมา

“ฉันทำอันโน้นดี ฉันทำอันนี้ดี ฉันไปบริจาค ฉันช่วยคนนั้น ช่วยคนนี้”

ไม่ได้ถามว่าไปทำอะไรมา? ถามว่าบาปหรือเปล่า? ไม่ได้ถามว่าทำดีตรงไหน?  ถามว่าทำบาปหรือเปล่า? มีใครสักคนหนึ่งสามารถยืนกับพระเจ้า แล้วบอกได้ว่า …

“ผมเป็นผู้บริสุทธิ์”

มีใครกล้าพูด นอกจากคนนั้นเชื่อในการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์เท่านั้น เอเมน สมัยก่อนเรายังไม่กล้า พูดอย่างนี้เลย เดี๋ยวนี้ยังพูด

“ข้าแต่พระเจ้า ลูกขอบคุณพระองค์ ลูกบริสุทธิ์ เพราะพระเยซูคริสต์ เพราะพระโลหิต พระเยซูชำระข้าพระองค์ ไม่ใช่ตัวเราเอง”

พระคัมภีร์ยังมีเขียนไว้ว่าวันที่พระเยซูกลับมา มีบัญชีจดเอาไว้ เป็นหนังสือสำหรับผู้ที่จะได้รับชีวิตนิรันดร์ คือได้รับความรอดจากบาป ผู้ที่จะได้เข้าไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถาน เป็นบุตรของพระเจ้าได้ หนังสือจดไว้ เรียกว่าหนังสือชีวิตนิรันดร์ “The book of life” จดว่ามีชื่อคนๆ นี้อยู่หรือเปล่า? นอกจากจะถามเมื่อตะกี้ คนนั้นอาจจะบอกว่า …

“ฉันทำโน่น ฉันทำนี่”

“ไม่มีนะ ในหนังสือไม่มีชื่อเธอ”

แล้วหนังสือพวกนี้ ไม่ใช่คนเขียน เพราะฉะนั้นไม่ต้องกลัวว่าจะตกหล่น หรือใช้เส้น จ่าย สตังค์ แล้วก็เขียนชื่อเราเข้าไป พระเจ้าให้ทูตสวรรค์บันทึกเอาไว้ วันที่ 18 มิถุนายน 1988 ได้บันทึกไว้แล้วว่าคนนี้ได้ขึ้นทะเบียนไว้แล้วว่าเป็นคนของพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้า ได้รับการชำระบาปแล้ว วิญญาณเขาได้เป็นขึ้นมาใหม่ เกิดขึ้นมาใหม่ ณ วันนั้น ขณะที่เขาเดินอยู่บนโลกนี้ อยู่เมืองไทย อยู่ในกรุงเทพนี้ แต่วิญญาณเขาเกิดใหม่แล้ว เขาเป็นลูกของพระเจ้า เขาพ้นจากบาป สะอาดหมดจดแล้ว จดเข้าไปเลยในหนังสือ คนๆ นั้นมีชื่อว่า …. (ใส่ชื่อท่านลงไป ใส่วันที่ที่ท่านเชื่อลงไปเลย) ท่านไปคิดดูวันไหนไม่รู้ ถูกจดไว้แล้วในหนังสือแห่งชีวิต วันหนึ่งข้างหน้า หนังสือนี้มีความหมาย พระคัมภีร์บันทึกไว้แล้ว  จะถูกเปิดออกมา จะถูกอ่าน ชื่อของเราจะถูกเรียกว่าเราสมควรไปอยู่ในสวรรค์หรือไม่? เอเมน

นี่คือความหมายของคำว่า “เชื่อ” ในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ แก่นสาร สาระสำคัญในข่าวประเสริฐนี้ คือเรื่องเกี่ยวกับพระเยซูใน 6 ข้อนี้ จำให้แม่น แล้วเอาไปเล่าให้คนอื่นฟัง  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

********************