คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 3 เมษายน 2016 เรื่อง “การเป็นขึ้นมาใหม่” โดย นคร เวชสุภาพร

วันนี้ก็เป็นวันครบรอบหนึ่งสัปดาห์ของการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์ ซึ่งเรามาเริ่มต้นด้วยถ้อยคำในพระคัมภีร์  ที่จะตอกย้ำให้เราเห็นถึงความสำคัญของวันศุกร์ประเสริฐ  และวันอีสเตอร์ ที่เราได้รับพระพรจากพระเจ้าร่วมกัน ที่เราได้มาร่วมกันระลึกถึงสิ่งนี้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และได้เฉลิมฉลองกันไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

และวันนี้จะใช้หัวข้อเรื่อง ชื่อว่า “การเป็นขึ้นมาใหม่” เรียนเพื่ออะไร?  เพื่อเราทั้งหลายจะได้รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เมื่อเกือบ 2,000 ปีที่ผ่านมา วันศุกร์ประเสริฐและวันอีสเตอร์ วันสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ ที่ไม้กางเขนและวันเป็นขึ้นมาใหม่นั้น มันเกี่ยวข้องโดยตรงกับชีวิตของเราอย่างไร?  เป็นเรื่องสำคัญสำหรับเราอย่างไร? เราในที่นี่ ไม่ได้หมายถึงเราทั้งหลายที่นั่งอยู่ที่นี้  ที่รู้จักพระเยซูแล้ว ที่รู้ว่าข่าวดีนี้ เป็นอย่างไรแล้ว ไม่ใช่แค่นั้น  เราหมายถึงมนุษยชาติทั้งปวงด้วย

เราจะเริ่มต้นจากหนังสือโรมนะครับ เปิดไปที่หนังสือโรม 6:5-9

โรม 6:5-9 “5 ถ้าเราได้มีส่วนร่วมกับพระองค์ ในการตายเหมือนพระองค์ แน่นอน เราจะมีส่วนร่วมในการเป็นขึ้นจากตายเหมือนพระองค์ 6 เพราะเรารู้ว่าตัวเก่าของเรา ถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว เพื่อกายบาปนั้นจะถูกขจัดไป เพื่อเราจะไม่เป็นทาสบาปอีกต่อไป 7 เพราะว่าผู้ใดที่ตายแล้ว ก็เป็นอิสระจากบาป 8 ถ้าเราตายกับพระคริสต์แล้ว เราเชื่อว่าเราจะมีชีวิตกับพระองค์ด้วย 9 เพราะเรารู้ว่าในเมื่อทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตายแล้ว พระองค์จะไม่มีวันตายอีก ความตายไม่มีอำนาจเหนือพระองค์อีกต่อไป”

 

ถ้อยคำตรงนี้ พูดถึงทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับพระเยซูในวันศุกร์ประเสริฐและวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ได้เกิดขึ้นแล้ว และมันเป็นผลมาถึงชีวิตของพวกเราทุกคนด้วย มันได้เกิดขึ้นแล้วกับชีวิตของเราด้วย แต่ข้อพระคัมภีร์ได้บอกไว้ว่าถ้าเราได้มีส่วนร่วมกับพระองค์ ในการตายเหมือนพระองค์ และแน่นอน เราจะมีส่วนร่วมในการเป็นขึ้นจากการตายเหมือนพระองค์ด้วย พระองค์เป็นตัวแทนใช่ไหมครับ? เราตายกับพระคริสต์แล้ว เราเชื่อว่าเราจะมีชีวิตกับพระองค์ด้วย ทั้งหมดนี้ พระเยซูคริสต์เป็นตัวแทนให้กับพระองค์

คำแรก คือคำว่า “ถ้า” ถ้า ก็คือถ้าท่านเชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นใคร? เชื่อข่าวดีของพระเยซูคริสต์ เชื่อว่าที่พระองค์ทรงพูดมาทั้งหมดนั้น เป็นความจริง พระองค์เป็นตัวแทนของมนุษยชาติ เพื่อเป็นแพะรับบาป รับโทษแทนพวกเราทุกคน ถ้าท่านเชื่ออย่างนี้ ท่านก็มีส่วนร่วม ในการตายของพระองค์บนไม้กางเขน เมื่อวันศุกร์ และได้เป็นขึ้นจากความตายร่วมกับพระเยซูคริสต์ในวันอาทิตย์ด้วย เราตายและเราเป็นขึ้นมาใหม่ร่วมกับพระเยซูคริสต์ ถ้าเราเชื่ออย่างนี้ บรรทัดสุดท้ายเขียนว่าอย่างไร?  เราเชื่อว่าเราจะมีชีวิตนิรันดร์กับพระองค์ด้วย ถ้าเราเชื่ออย่างนี้ การเป็นขึ้นมาจากความตายในวันที่ 3 เราก็เป็นด้วย  และเรามีชีวิตร่วมอยู่กับพระองค์ ก็คือเราเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์นั่นเอง

เชื่อในนี้ คืออะไร?  ก็คือข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ที่พระเยซูบอกให้เราประกาศออกไป เรื่องพระเยซู ถ้าใครเชื่อสิ่งนี้เกิดขึ้นกับเขา ถ้าไม่เชื่อ ก็ไม่เกิด เพราะในนั้นเขียนว่า “ถ้า” พระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน และพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ผ่านมา 2,000 ปีแล้ว ก็เป็นเรื่องของพระองค์ เราก็อยู่ส่วนเรา เพราะเราไม่เชื่อไง แค่นี้เอง และเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว ที่พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน  เราเองก็ถูกตรึงและตายไปพร้อมกับพระองค์ด้วย และเมื่อวันอาทิตย์ พระเยซูทรงเป็นขึ้นจากความตาย  เราก็เป็นขึ้นจากความตาย เหมือนกับพระองค์ด้วย นี่ตามพระคัมภีร์เป๊ะเลย หลายคนเริ่มงงว่าตายอย่างไร? เป็นขึ้นมาอย่างไร? อาทิตย์ที่แล้วก็นั่งอยู่ วันนี้ก็นั่งอยู่เหมือนเดิม ถูกไหม?

ตามที่พระคัมภีร์บอกว่ามนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป และต้องได้รับโทษของความบาป คือความตาย ความตายตรงนี้ หมายถึงตายและตาย ตาย 2 อัน วันนี้เราจะมาขยายความตรงนี้นะครับ ให้ละเอียดเลย ให้ทุกคนเข้าใจว่าความหมายตามพระคัมภีร์ของการตายและตาย คืออะไร? การเป็นขึ้นจากความตายของเรา มีลักษณะเป็นอย่างไร? ร่วมกับพระเยซูคริสต์เป็นอย่างไร? วันนี้ท่านจะเห็นทะลุปุโปร่ง เรื่องข่าวประเสริฐตรงนี้

เรามาเริ่มต้นดูถ้อยคำพระเจ้าที่บอกเราว่าแผนการของพระเจ้า ในเรื่องการตายและการเป็นขึ้นมาใหม่ของพระเยซูคริสต์นั้น จริงๆ แล้ว เป็นแผนการสำหรับเราทั้งหมดเลย ที่พระเยซูต้องตาย ก็เพราะเรา คือมวลมนุษยชาติได้ตายไปก่อนแล้ว และเพราะพระเจ้าต้องการให้เราได้เป็นขึ้นจากความตาย คือมวลมนุษยชาติเป็นขึ้นจากความตาย  จึงทรงให้พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากตายก่อน เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ ที่ต้องเกิดขึ้น ก็เพราะเรา ก็คือมวลมนุษยชาติ จึงจำเป็นต้องให้มีอย่างนี้เกิดขึ้น  1 โครินธ์ 15:15-20

1 โครินธ์ 15:15-20 “15 ความจริง คือถ้าพระเจ้าไม่ได้ทรงให้คนตายเป็นขึ้นมา พระองค์ก็ไม่ได้ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นมา 16 เพราะถ้าพระเจ้าไม่ทรงให้คนตายเป็นขึ้นแล้ว พระองค์ย่อมไม่ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นเช่นกัน 17 และถ้าพระองค์ไม่ได้ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย ความเชื่อของท่านก็ไร้ผล ท่านยังคงอยู่ในบาปของตน 18 แล้วบรรดาผู้ที่ล่วงลับไป ในพระคริสต์ก็พินาศไปด้วย 19 ถ้าเรามีความหวังในพระคริสต์เพียงเพื่อชีวิตนี้ เราก็น่าสมเพชกว่าคนทั้งปวง 20 แต่นี่ ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตายจริงๆ เป็นผลแรกของบรรดาผู้ที่ล่วงลับไป”

 

พวกเรามักจะคุ้นเคยกับคำสอนที่บอกว่า …

“เหตุเพราะพระคริสต์ตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นจากความตาย พวกเราจึงได้รับความรอดและเป็นขึ้นมาใหม่ด้วย”

ฟังดูเหมือนกัน การตายของพระเยซูเป็นเหตุ และความรอดที่เราได้รับ เป็นผล ใช่ไหม?  มันก็ไม่ได้ผิดอะไรนะครับ เพียงแต่วันนี้ผมจะพาท่านไปดูอีกมุมหนึ่ง ถ้อยคำที่เราอ่านไปเมื่อกี้นี้บอก นี่พระคัมภีร์เขียนไว้อย่างนี้นะ

“ถ้าพระเจ้าไม่ได้ทรงให้คนตาย เป็นขึ้นมา พระองค์ก็ไม่ได้ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นมา”

อ่านประโยคนี้แล้ว ท่านลองคิดตามดูว่าอันไหนเป็นเหตุ และอันไหนเป็นผล

“ถ้าพระเจ้าไม่ได้ให้คนตายเป็นขึ้นมา”

“คนตาย” ตรงนี้หมายถึงเรา มวลมนุษยชาตินั่นเอง เพราะผลของความบาป เพราะโทษของความบาป คือความตาย มนุษย์อยู่ในความตายทุกคน ซึ่งรวมทั้งเราทั้งหลายที่นั่งอยู่ที่นี่ด้วย ถ้าพระเจ้าไม่ได้ทรงให้คนตายเป็นขึ้นมา พระคัมภีร์บันทึกอย่างนั้น พระองค์ก็ไม่ได้ให้พระคริสต์เป็นขึ้นมา พูดง่ายๆ ถ้าพระเจ้าไม่ได้ทรงให้มวลมนุษยชาติมีโอกาสเป็นขึ้นจากความตาย พระองค์ก็ไม่ได้ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นมา ก็แสดงว่าเหตุเพราะพระเจ้าทรงต้องการให้มนุษย์ทุกคนที่ตายไป เนื่องจากโทษของความบาป ได้เป็นขึ้นจากความตาย เพราะฉะนั้น ผล ก็คือพระคริสต์จึงต้องมาตาย ที่ไม้กางเขนและเป็นขึ้นมาจากความตาย ในวันที่สามไง

ถ้าตัดคำว่า “ไม่” ออกไปนะ ถ้อยคำตรงนี้ก็จะได้เป็นแบบนี้ว่า …

“เพราะพระเจ้าทรงต้องการให้คนตายเป็นขึ้นมา พระองค์จึงทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นมา”

เพราะฉะนั้น เหตุการณ์ ก็คือพระองค์ต้องการให้เราเป็นขึ้นจากความตาย พระเยซูคริสต์จึงต้องเป็นขึ้นจากตาย เมื่อวันอีสเตอร์ สัปดาห์ที่ผ่านมา เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว

มาดูต่อกันข้อ 20 บอกว่า “แต่นี่ ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตายจริงๆ เป็นผลแรกของบรรดาผู้ที่ล่วงลับไป”

คำว่า “บรรดาผู้ที่ล่วงลับไป” ตรงนี้จริงๆ แล้ว ในพระคัมภีร์ภาษาเดิม ภาษาอังกฤษ ส่วนใหญ่เขาจะใช้คำว่า sleep ที่แปลว่า “นอนหลับ” พระคัมภีร์ภาษาไทยบางฉบับ ก็ใช้คำว่า “ล่วงหลับ” ก็คือหลับ เหมือนกลางคืน เราหลับไปอย่างนั่นแหละ เมื่อพูดถึงคำว่าตาย พวกเราทุกคนก็นึกถึงโลงศพ คิดถึงสุสาน คิดถึงร่างกายที่หมดลมหายใจ คิดถึงงานศพ  คิดถึงงานไว้อาลัย คิดถึงความเน่าของร่างกายนี้ไป หยุดทำงาน

แต่จริงๆ แล้ว ในพระคัมภีร์ที่เราใช้คำว่าตายตรงนี้ หมายถึงทางฝ่ายวิญญาณ อย่างเดียวเลย ถ้าพระเยซูพูดคำว่า “ตาย” ในพระคัมภีร์หมายถึงตายทางด้านวิญญาณ มิได้หมายถึงร่างกายหยุดลมหายใจ  ไม่ทำงานอีกต่อไป สมองไม่ทำงาน เน่า เฟะ อะไรอย่างนี้

ส่วนการสิ้นสุดชีวิต ทางร่างกาย การหยุดทำงานของอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย  สมองไม่ทำงาน หัวใจหยุดเต้น นี่เห็นชัด เราเรียกกันว่าตาย  ถูกไหม? พระคัมภีร์จะใช้คำว่า “ล่วงหลับ” ไม่ใช้คำว่า “ตาย” เพื่อให้มันแยกกัน มัทธิว 9:23-26

มัทธิว 9:23-26 “23 เมื่อพระเยซูมาถึงบ้านของหัวหน้าที่ประชุมชาวยิว ก็เห็นคนเป่าปี่ และคนมากมายกำลังร้องไห้กันอยู่ 24 พระองค์บอกว่า “ออกไปให้หมด เด็กคนนี้ยังไม่ตาย แต่กำลังหลับอยู่” พวกนั้นต่างพากันหัวเราะเยาะพระองค์ 25 เมื่อคนพวกนั้น ถูกไล่ออกไปหมดแล้ว พระเยซูเข้าไปในห้องของเด็ก จับมือเธอ แล้วเธอก็ลุกขึ้นมา 26 เรื่องนี้ได้เลื่องลือกันไปทั่วแคว้นนั้น”

 

นี่คือหลักฐานชัดเจน  คนทั่วไปบอกว่าตาย ก็คือตายจริงๆ เด็กคนนี้หยุดลมหายใจแล้ว แต่พระเยซูบอกว่าหลับ

ดูอีกตอนหนึ่ง พระเยซูเสด็จไปรักษาลาซารัส คือลาซารัสกำลังป่วย และพระเยซูซึ่งขณะนั้นอยู่คนละเมือง ได้ข่าว แต่ทรงทราบแล้วว่าร่างกายของลาซารัสหยุดการทำงานไปแล้ว ภาษามนุษย์ก็คือตายไปแล้ว  และพระองค์จะไปทำการปลุกร่างกายนั้นให้เป็นขึ้นมาใหม่ คือพูดง่ายๆ ว่าจะไปชุบชีวิตลาซารัสที่ตายไปแล้ว อยู่ในหลุมฝังศพ มาดูว่าพระเยซูใช้คำว่าอะไร? ยอห์น 11:11-14

ยอห์น 11:11-14 “11 หลังจากที่พระองค์พูดอย่างนั้นแล้ว ก็บอกพวกศิษย์ว่า “ลาซารัสเพื่อนของพวกเรากำลังหลับอยู่ แต่เราจะไปที่นั่น เพื่อปลุกเขาขึ้นมา 12 เหล่าสาวกของพระองค์ทูลตอบว่า “พระองค์เจ้าข้า หากเขาหลับ อาการก็คงจะดีขึ้น” 13 พระเยซูได้ตรัสถึงความตายของลาซารัส แต่พวกสาวกคิดว่าทรงหมายถึงการนอนหลับธรรมดา 14 ดังนั้น พระองค์จึงทรงบอกพวกเขาตรงๆ ว่า “ลาซารัสตายแล้ว”

 

พวกสาวกไม่รู้ เพราะเหตุการณ์อยู่คนละเมือง ไกลกัน แต่พระเยซูรู้แล้ว ตอนที่พูดนั้น ลาซารัสอยู่ในอุโมงค์ฝังศพแล้ว ภาษามนุษย์ก็คือตายนั่นเอง  แต่พระองค์ใช้คำว่า “หลับ”

อีกตัวอย่างหนึ่งในพระคัมภีร์เดิม ก็มีพูดถึงคนที่ตายทางฝ่ายร่างกาย ก็คือร่างกายหยุดทำงาน หยุดหายใจแล้ว สมองเริ่มไม่ทำงาน หายใจเฮือกสุดท้าย  หมดไปแล้ว  พระคัมภีร์ใช้คำว่า “ล่วงหลับไป” 1 พงศ์กษัตริย์ 2:10

1 พงศ์กษัตริย์ 2:10 “จากนั้น ดาวิดก็ทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษ และถูกฝังไว้ในเมืองดาวิด”

 

หลับอะไรไปอยู่กับบรรพบุรุษ ตามมนุษย์เรียกว่าตาย แต่พระคัมภีร์ใช้คำว่า “หลับ” เดี๋ยวจะรู้ว่าทำไมพระคัมภีร์ แยกให้เห็นชัดเจน เพื่อเล็งไปถึงเมื่อพระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ในวันศุกร์ และเป็นขึ้นมาใหม่ ในวันที่สาม อีสเตอร์

ถ้อยคำของอาจารย์เปาโล ที่เราได้ยินกันบ่อยๆ ในการทำพิธีไว้อาลัย ก็เรียกคนที่จากไปอยู่กับพระเจ้า ก็คือจากไปอยู่ก่อนแล้ว ก็คือเจ้าของงานศพ ก็คือคนที่มนุษย์เราเรียกว่าตายแล้ว  ดูสิว่าเปาโลใช้คำว่าอะไร?  1 เธสะโลนิกา 4:13

1 เธสะโลนิกา 4:13 “พวกเราอยากให้พี่น้องเข้าใจเรื่องเกี่ยวกับคนที่ล่วงหลับไปแล้ว ท่านจะได้ไม่เศร้าโศกเสียใจ เหมือนกับคนอื่นๆ ที่ไม่มีความหวัง”

 

สมองหยุดทำงาน ร่างกายหยุดทำงานทั้งหมด นิ่งเลย ตัวเริ่มแข็ง เพราะว่าหัวใจก็ไม่เต้นแล้ว พระคัมภีร์ทั้งหมดใช้คำว่า “หลับ”

พระเยซูเก็บคำว่า “ตาย” ไว้ใช้กับสิ่งที่เลวร้ายกว่านั้นเยอะ ก็คือการตาย ทางวิญญาณ ที่ต้องถูกตัดขาดจากพระเจ้า ถูกพระเจ้าทอดทิ้ง แยกกับพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า  เป็นคนละข้างกับพระเจ้า อย่างนี้แหละเรียกว่า หลับกับตายมันแตกต่างกันอย่างนี้แหละ

ตอนที่พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน  ก่อนที่จะหมดลมหายใจ พระองค์ได้ตะโกนร้องเสียงดังว่า

“เอลี เอลี ลามาสะบักธานี”  ซึ่งแปลว่า “พระเจ้าของข้าพระองค์  ไฉนทรงทอดทิ้ง ข้าพระองค์เสีย”

ก็คือไฉนพระองค์ทรงให้ข้าพระองค์ตาย … ตาย แปลว่าถูกทอดทิ้ง แยกออกจากพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้าแล้วตอนนั้น  ตะโกนแบบนี้ ก็เพราะพระเยซูได้กลายเป็นคนบาปแล้ว เพราะได้แบกรับเอาบาปทั้งหลายของมนุษยชาติไว้ ที่ตัวของพระองค์ ที่บนไม้กางเขน และเมื่อเป็นคนบาป  ก็ต้องได้รับโทษของความบาป โทษความบาป คือความตาย

 

ตายตรงนี้ ก็คือตายทางวิญญาณ  ไม่ได้เกี่ยวกับการหลับอะไรเลย   ท่านเห็นชัดแล้วใช่ไหม?  คือวิญญาณของพระเยซูได้ตายไปแล้ว ถูกตัดขาดจากพระเจ้า ถูกพระเจ้าทอดทิ้ง ติดต่อกับพระเจ้าไม่ได้แล้ว  เป็นศัตรูกับพระเจ้าอีกต่างหาก ตาบอด ไม่รู้จักพระเจ้าแล้ว  ตลอดชีวิตของพระเยซูที่เดินบนโลกใบนี้  ก็มีครั้งนี้แหละ ที่พระเยซูไม่สามารถติดต่อกับพระเจ้าได้ พระเจ้าอยู่ห่างไกลเหลือเกิน  เพราะวิญญาณของพระเยซูได้ตายไปแล้ว

นี่คือตั้งแต่ก่อนที่พระเยซูจะสิ้นลมหายใจ วิญญาณตายก่อนแล้ว และถึงตายทางร่างกายทีหลัง ถ้าเราศึกษาในพระคัมภีร์จะพบว่าอันที่จริงแล้ว อาจจะพูดได้ว่าพระเยซูได้รับโทษของความบาป  ตั้งแต่ก่อนหน้าที่อยู่บนไม้กางเขนแล้ว พระเยซูติดต่อกับพระเจ้าไม่ได้ตั้งหลายชั่วโมง พระเจ้าออกห่างพระเยซูตั้งแต่คืนวันพฤหัสแล้ว วิญญาณของพระเยซูเริ่มตายไปแล้ว ตั้งแต่ก่อนที่จะถูกตรึงบนไม้กางเขนเสียอีก เรารู้ได้ไง? ในพระคัมภีร์ได้บันทึกว่าตั้งแต่คืนวันพฤหัส ก่อนที่พระเยซูจะถูกจับไปตรึงไม้กางเขน ที่พระเยซูไปอธิฐานกับพระเจ้าที่สวนเกเสมเน พระองค์อธิษฐาน 3 ครั้ง ทำไมต้อง 3 ครั้ง ? เพราะพระเจ้าหายไปแล้ว ตลอด 33 ปี พระเยซูเกิดเป็นมนุษย์แล้วเดินบนโลกใบนี้ มาถึงเหตุการณ์ในสวนเกเสมเน พระเยซูคุยกับพระเจ้าตลอด พระเยซูทรงบอกเสมอว่า …

“สิ่งที่เราพูด เราพูดตามพระบิดาของเรา พระบิดาบอก เราก็พูด”

แต่ตอนนี้ทำไมต้องอธิฐาน 3 ครั้ง เพราะว่าพระองค์ถูกทอดทิ้งแล้ว พอมาถึงคืนวันพฤหัสก่อน วันศุกร์ประเสริฐ พอเริ่มแผนการชำระบาปให้กับมวลมนุษยชาติ โทษแห่งความบาปทั้งหมดของมวลมนุษยชาติ ก็ต้องมาตกอยู่ที่พระเยซูคริสต์ เพียงผู้เดียวเท่านั้น พระองค์จึงต้องรับโทษของความบาป คือความตายทางวิญญาณ ในขณะที่ร่างกายบนโลกนี้ พระองค์ยังคงมีชีวิตอยู่ พระคัมภีร์บอกค่าจ้างของความบาป คือความตายทางฝ่ายวิญญาณ ร่างกายของพระองค์ยังเดินอยู่บนโลกนี้ แต่วิญญาณพระองค์ถูกทอดทิ้งแล้ว พระเจ้าละพระองค์แล้ว พระองค์เริ่มเป็นศัตรูกับพระเจ้าแล้ว ตั้งแต่คืนวันพฤหัสแล้ว และพอมาถึงวันที่ 3 ที่พระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตาย การเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์ ในวันอีสเตอร์ เป็นการเป็นขึ้นมาใหม่ ทั้งจากความตายทางฝ่ายวิญญาณ และเป็นการเป็นขึ้นใหม่จากการตายแบบล่วงลับไป คือตายฝ่ายร่างกายด้วย หลับไปแล้วก็ฟื้นขึ้นมาด้วย และวิญญาณที่ตายไปเป็นศัตรูกับพระเจ้า กลับมาคืนดีกับพระเจ้า ยอห์น 6:39-40

ยอห์น 6:39-40 “39 พระประสงค์ของพระบิดา ผู้ทรงใช้เรามานั้น ก็คือให้เรารักษาบรรดาผู้ที่พระองค์ได้ทรงมอบไว้กับเรา มิให้หายไปสักคนเดียว แต่ให้ฟื้นขึ้นมา ในวันที่สุด 40 เพราะนี่แหละ เป็นพระประสงค์ของผู้ที่ทรงใช้เรามานั้น ที่จะให้ทุกคนที่เห็นพระบุตร และเชื่อในพระบุตร ได้มีชีวิตนิรันดร์ และเราจะ ให้ผู้นั้น ฟื้นขึ้นมาในวันสุดท้าย” เอเมน

 

แผนการพระเจ้า ยิ่งเรียนรู้มากปีเท่าไร ไม่จบสิ้นเลย สนุกสนาน ลึกซึ้งเท่าไร เราจะเห็นความยิ่งใหญ่ ความอัศจรรย์ ความเหลือเชื่อในสิ่งที่พระเจ้าทำให้กับเรา คือเมื่อพระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม พระคัมภีร์พูดอย่างไร? นี่แหละเป็นพระประสงค์ของผู้ที่ใช้เรามา ก็หมายถึงพระเจ้า เป็นพระประสงค์ของพระเจ้า ที่ใช้เรามานั้น ที่จะให้ทุกคน

“ทุกคน” หมายถึงทุกคนที่เป็นมนุษย์ ที่เห็นพระบุตร ก็คือเชื่อในเรื่องพระเยซู ได้มีชีวิตนิรันดร์ และเราจะให้ผู้นั้นฟื้นคืนมาในวันสุดท้ายด้วย เอเมน 2 อย่างเลย พระประสงค์ของพระเจ้า คือผู้ที่เชื่อในพระบุตรจะได้มีชีวิตนิรันดร์ และฟื้นขึ้นมาในวันสุดท้าย

สรุปว่าผู้ที่เชื่อในพระบุตร จะได้ 2 อย่าง

(1) คือจะได้มีชีวิตนิรันดร์ คือทางวิญญาณ ไม่มีการตายอีกต่อไป ซึ่งตายตรงนี้แปลว่าถูกทอดทิ้ง เป็นศัตรูกับพระเจ้า ถูกแยกกับพระเจ้า ถูกสาป ลงโทษ กบฏต่อพระเจ้า พวกกบฏทั้งหลาย  นี่คือตำแหน่งของเรา  แต่ถ้าเราเชื่อพระบุตร เชื่อในพระเยซูคริสต์ ในการตายของพระองค์บนไม้กางเขน และการเป็นขึ้นมาใหม่ของพระองค์ในวันที่สาม สิ่งนี้เป็นของเรา คือชีวิตนิรันดร์เป็นของเรา ต่อไปนี้ เราจะไม่ได้เป็นศัตรูกับพระเจ้าตลอดกาล เราจะไม่ถูกแยกจากพระเจ้า จะไม่ถูกพระเจ้าทอดทิ้งตลอดกาล เราจะไม่ถูกสาปแช่งตลอดกาล ยอห์น บทที่ 11 จึงบันทึกไว้อย่างนี้ ยอห์น 11:25-26

ยอห์น 11:25-26 “25 ทุกคนที่ไว้วางใจเรา แม้จะตายไปแล้ว ก็จะกลับมีชีวิตขึ้นมาใหม่อีก 26 และทุกคนที่ยังมีชีวิตอยู่ และไว้วางใจในเรา ก็จะไม่มีวันตาย” เอเมน

 

เอาใหม่ ไม่พอ อ่านไม่ค่อยได้อารมณ์เท่าไร? อ่านอีกทีหนึ่ง แหม! มันควรจะค่อยๆ

คำว่า “ไม่มีวัน” หมายถึงนิรันดร์ ไม่ได้หมายถึง 80 ปี 100 ปี 120 ปี ที่อยู่บนโลกใบนี้ ขอบคุณพระเจ้า

(2) สิ่งที่ผู้เชื่อในพระบุตรจะได้รับอย่างที่ 2 คือผู้นั้น เมื่อล่วงหลับไปแล้ว หมายถึงเมื่อร่างกายหยุดการทำงานทั้งปวง ลมหายใจสุดท้ายแล้ว ก็จะได้ฟื้นขึ้นมาใหม่ หรือเป็นขึ้นมาใหม่ ในวันสุดท้าย คือได้รับร่างกายใหม่ ร่างกายฝ่ายวิญญาณ ที่เต็มไปด้วยพระสิริของพระเจ้า ที่พระคัมภีร์บันทึกไว้ สะอาดหมดจด เมื่อถึงวันสุดท้ายของโลกนี้ เข้าสู่โลกหน้า โลกใหม่ เมื่อพระเยซูคริสต์ เสด็จกลับมาอีกครั้งหนึ่ง เอเมน ซึ่งในวิวรณ์บันทึกไว้ วิวรณ์ 11:3-4

วิวรณ์ 11:3-4 “3 บัดนี้ ที่ประทับของพระเจ้า มาอยู่กับมนุษย์แล้ว พระองค์จะสถิตกับพวกเขา    เขาทั้งหลายจะเป็นประชากรของพระองค์ และพระเจ้าเอง จะทรงอยู่กับพวกเขา และเป็นพระเจ้าของพวกเขา 4 พระองค์จะทรงซับน้ำตาทุกๆ หยดของพวกเขา จะไม่มีความตาย หรือการคร่ำครวญ หรือการร่ำไห้ หรือความเจ็บปวดรวดร้าวอีกต่อไป เพราะระบบเก่าได้ผ่านพ้นไปแล้ว”

 

วิวรณ์ คือหนังสือที่บอกถึงเหตุการณ์อนาคต เมื่อโลกใหม่ของพระเจ้ามา เมื่อสิ้นสุดของโลกนี้แล้ว สมมติ เมื่อแกนของโลก มันเอียง แตกหมดแล้ว สมมติ เมื่อดวงอาทิตย์มันดับไปหมดแล้ว โลกไม่สามารถอยู่ได้  สมมติ เมื่อดวงหางวิ่งมาชนโลก หมดเลย สิ่งนี้จะเกิดขึ้น เมื่อตะกี้ท่านอ่าน จะเกิดขึ้น

“เมื่อวันที่โลกมันแตกไปแล้ว บัดนี้ ที่ประทับพระเจ้ามาอยู่กับมนุษย์”

“บัดนี้ ที่ประทับของพระเจ้ามาอยู่กับ … (ใส่ชื่อท่าน) แล้ว พระองค์จะสถิตกับพวกสมาชิกของคริสตจักรโฮลี่ที่เชื่อในพระเจ้าทั้งหมด รวมทั้งคนอื่นด้วย ตุ๊กจะเป็นประชากรของพระเจ้า และพระเจ้าเองจะทรงอยู่กับเบิร์ดและครอบครัว และเป็นพระเจ้าของนครและครอบครัว พระองค์ทรงซับน้ำตาทุกหยดของ … (ใส่ชื่อเอง ตอนที่คิดว่ามันทุกข์นะ) จะไม่มีความตายอีกต่อไป”

ไม่ต้องมาลุ้นแล้วว่า “ฉันจะอยู่กับพระเจ้าอีกนานเท่าไร?”

ไม่ต้องมาลุ้นว่า “ฉันจะมีนิสัยเป็นอย่างไร? แล้วพระเจ้าจะทอดทิ้งหรือไม่?”

ไม่ต้องมาลุ้น เพราะในนี้บอกว่า “จะไม่มีความตายอีกต่อไป”

เมื่อไม่มีความตายอีกต่อไป พระคัมภีร์ตรงนี้ จึงบันทึกว่าผลของการไม่มีความตาย คือผลของการไม่ถูกละทิ้งจากพระเจ้า ก็คืออยู่กับพระเจ้าตลอดกาล แล้วเกิดอะไรขึ้น  ผลของมัน ก็คือจะไม่มีการคร่ำครวญ การร่ำไห้ หรือการเจ็บรวดร้าวอีกต่อไป เพราะระบบเก่าๆ คือบนโลกใบนี้ ที่เราอยู่กันมาตลอด  มันจบหมดแล้ว  เพราะระบบที่พระเยซูบอกว่าเมื่ออยู่บนโลกใบนี้ มันก็ต้องมีความทุกข์เป็นธรรมดา มีความลำบากเป็นธรรมดา มันจบไปแล้ว เอเมน นี่คือความหวังของความเชื่อ ในเรื่องพระเจ้า มันมีเหตุ มีผลอย่างชัดเจน พระคัมภีร์ได้พูดไว้อย่างละเอียดยิ๊บเลย

1 เธสะโลนิกา 5:9-10 “9 เพราะพระเจ้าไม่ได้เลือกพวกเราให้มาถูกพระองค์ลงโทษ แต่ให้มารับความรอด ผ่านทางพระเยซูคริสต์เจ้าของพวกเรา 10 พระเยซูตายเพื่อพวกเรา ดังนั้น เมื่อพระองค์มา ไม่ว่าพวกเราจะตื่นอยู่ หรือล่วงหลับไปแล้ว พวกเราก็จะมีชีวิตอยู่กับพระองค์”

 

“ไม่ว่าพวกเราที่เชื่ออยู่ในขณะนี้จะตื่นอยู่ หรือหลับไป”

พวกเราที่เชื่อในพระเยซูจึงไม่กลัวตาย แต่อาจจะกลัววิธีตาย ตอนนี้วิธีตายก็ไม่กลัวแล้ว เพราะมั่นใจขึ้น ตามถ้อยคำพระเจ้า เพราะพระเยซูอยู่กับเราด้วย ขณะที่อยู่ในห้อง ICU เราอาจจะสงสารเขา ปรากฏว่าเขาอาจจะนั่งคุยกับพระเยซูทุกคืน ยิ้มอยู่ เพราะพระเยซูอยู่ด้วยตลอดเวลา ไม่ว่าเขาจะตื่นอยู่หรือหลับ

เพราะเรารู้ว่าการตาย ทางฝ่ายร่างกาย หรือการหมดลมหายใจบนโลกใบนี้ เป็นเพียงแค่การหลับไปเท่านั้น หลังจากอวัยวะทุกส่วนในร่างกายนี้ ถึงเวลาหยุดการทำงานแล้ว แล้วเรา ก็ไปอยู่กับพระเยซูนิรันดร์ ไปอยู่ในสวรรค์นิรันดร์ของพ่อของเรา

นี่คือเหตุที่คนที่เชื่อในพระเยซูคริสต์จริงๆ แล้ว เมื่อถึงวันนั้นจริงๆ ยิ้มอยู่ข้างใน เขาไม่อยากจะอยู่หรอก แต่เขาก็ขอให้เป็นตามน้ำพระทัย เขาไม่รู้ว่าพระเยซูจะใช้อะไรเขาต่อไป ขณะที่เขายังมีลมหายใจ ก็คือขณะที่ร่างกายยังไม่เน่าเปื่อย ยังทำงานอยู่บ้าง พระเจ้าสามารถใช้ร่างกายนั้นให้เป็นประโยชน์ ในการประกาศข่าวดีได้ เพราะสิ่งเดียวเท่านั้น ที่พระเจ้าต้องการให้มนุษย์ทำ ก็คือประกาศข่าวดี

 

“แล้วประกาศได้อย่างไร? เขาหลับอยู่ แล้วก็ใส่สายยางเยอะแยะ”

พระเจ้าทำได้ หลายคนที่มาเชื่อพระเจ้า เพราะว่าญาติผู้ใหญ่ คุณพ่อ คุณแม่ที่เชื่อในพระเจ้าแล้ว พูดอะไรไม่ได้แล้ว อยู่ในห้อง ICU มา 2 ปีแล้ว ลูกมาเชื่อเอาไม่กี่วัน ก่อนที่พ่อจะจากโลกนี้ จะหยุดลมหายใจ ไม่ได้พูดอะไรเลย แต่สิ่งที่เกิดขึ้น ที่พระเจ้าทำงานในครอบครัวคนนั้น ลูกของเราได้เห็นอะไรบางอย่าง ที่พระเจ้าต้องการให้เขาเห็น ผ่านทางพ่อของเขาเอง ที่นอนป่วยอยู่โรงพยาบาล ท่านเห็นอะไรไหม? นั่นเป็นการประกาศข่าวดี ถ้าไม่ใช้ ท่านก็ไม่ต้องห่วงหรอก พระเยซูพาท่านไปพักผ่อน เขาถึงเรียกว่าไปพักไง การล่วงหลับไป ก็คือการไปพักผ่อนนิรันดร์ พอเห็นภาพหรือยัง? ต้องกลัวอีกไหม? นิดหนึ่ง ก็ค่อยๆ เรียนรู้กันไป

คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับเรา ถ้าเราเชื่อในเรื่องนี้ มันมีแต่พระพรตลอดเวลา อยู่บนโลกใบนี้ พอมาเชื่อพระเจ้า ตายทางฝ่ายวิญญาณ ไม่ตายแล้ว  แฮปปี้แล้ว แค่นี้ยกภูเขาออกจากอกแล้ว

“ฉันไปอยู่ในสวรรค์นิรันดร์ ใครถามฉัน จากโลกนี้ไป ฉันไปอยู่ที่ในสวรรค์แน่นอน”

แค่นี้ก็หลับสบายแล้ว แค่นี้ไม่พอ  ขณะที่ยังไม่ตาย  ทางร่างกายนี้ ขณะที่ยังดำเนินชีวิตอยู่ ยังมีลมหายใจอยู่ พระเยซูสถิตอยู่ด้วย ไปไหน ไปด้วยกันตลอดเวลา แล้วกลัวขัดสนไหม? กลัวไม่มีเงินไหม? จบไปแล้ว เรื่องนี้ กลายเป็นเรื่องเล็กๆ ขี้ประติ๋วเลย  พรุ่งนี้ทำงาน เขาไล่ออก กลัวไหม?  ไม่กลัว พระเยซูอยู่ด้วย เขาไม่ได้ไล่เราออก พระเยซูพาเราออกเอง ท่านกลัวอะไรอีกล่ะ พรุ่งนี้ไปหาหมอ … หมอบอกเป็นมะเร็ง

“ไม่ใช่ฉันเป็นคนเดียว”

“พระเยซูเป็นด้วย พระเยซูอยู่ในฉัน”

ถ้าเรารู้เรื่องนี้ โอกาสที่เราจะกลัวอะไรบนโลกใบนี้ มันหมดไป เพราะพระเยซูอยู่ด้วยเดี๋ยวนี้ และอยู่ด้วยนิรันดร์เลย กำลังเดินอยู่บนโลกใบนี้  เผชิญปัญหาอะไร? พระเยซูก็ไปกับเราด้วย ไม่ใช่พระเยซูจะพาเราไปแฮปปี้ เดินห้างตลอด ไม่ใช่ อาจให้เราเดินแดดร้อนอะไรต่างๆ มากมาย พระเยซูบอกสาวก

“เราไปก่อน ให้ไปทางนี้”

พระเยซูทราบแล้วว่าเดี๋ยวไปทางนี้ เจอพายุ แล้วใครเป็นคนบอกให้เขาไป พระเยซูสั่งให้เขาไปเจอพายุ แล้วพระเยซูมาสถิตอยู่ด้วย แล้วพาผ่านพายุนั้นไป พวกนั้นตื่นเต้นกันใหญ่

ถ้าท่านเชื่อในข่าวประเสริฐพระเยซู ท่านไม่ได้เดินคนเดียวอีกต่อไป พระเจ้า พระเยซูคริสต์อยู่กับท่าน แต่ไม่ต้องไปคิดว่าอยู่แล้ว ทำไมยังเกิดขึ้น แสดงว่าท่านไม่ได้เชื่อจริงๆ จังๆ ถ้าถามว่าง่ายๆ

“เชื่อ แล้วทำไมสิ่งเลวร้ายเกิดขึ้นกับฉัน”

“ไปถามพระเยซูเอง พระเยซูอยู่กับเธอจะมาถามฉันทำไมเหล่า ไปถามพระเยซูเอง”

พูดตรงๆ ถ้าท่านไปถามพระเยซู … พระเยซูตอบไหม? ตอบ แต่บางทีส่วนใหญ่เราไม่ได้ถามพระเยซู ถามคนโน้นคนนี้  ก็เลยลืมถามพระเยซู แต่พอเราถามพระเยซู เราก็จะไม่ถามคนอื่นแล้ว เราจะนิ่งๆ เดี๋ยวพระเยซูก็คุยกับเราเอง เราก็โอเค รับได้ กิจการจะเจ๊งสักหน่อย โอเค เขาไล่ออกจากงาน โอเค

นี่แหละการอยู่บนโลกนี้ ผมถึงบอกว่าผู้ที่ได้รับเลือก หรือผู้ที่เลือก เชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ มันสบายกว่าทุกอย่างเลย ชีวิตได้พักหายเหนื่อยและเป็นสุข ตั้งแต่เดี๋ยวนี้  ไม่ใช่รอตายแล้ว ถึงได้รับ

“ใครที่แบกภาระหนัก และเหน็ดเหนื่อย จงมาหาเรา เราจะให้ท่านหายเหนื่อยและเป็นสุข”

เป็นสุขทั้งสองอย่าง ไม่ต้องวิตกกังวล ไม่ต้องกระวนกระวายในเรื่องอื่นๆ ขอบคุณพระเจ้าลูกเดียว พระเจ้าอยู่ด้วย  ติดขัดตรงนี้  เดี๋ยวพระองค์ก็มาแก้ตรงนี้  เผชิญกันไป เดินไปกับพระเยซูตลอดเวลา ถ้าเรามีความเชื่อเต็มๆ อย่างนี้  ไม่ต้องรอไปสวรรค์ข้างหน้าแล้ว สวรรค์อยู่บนโลกใบนี้ เพราะพระคัมภีร์บอกว่าสวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ นี่สวรรค์อยู่ในเราแล้ว รอวันที่เรารับใช้พระเจ้า ให้เสร็จก่อน  เสร็จปุ๊บ เราก็ไปอยู่ในสวรรค์เหมือนเดิม ที่เดิม แล้วก็รอรับร่างกายใหม่
นี่คือความเชื่อและความหวังใจสุดๆ ของผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงตายที่ไม้กางเขน  เพื่อเราทั้งหลาย เราก็ตายร่วมกับพระองค์ … พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม เราก็เป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม พร้อมกับพระองค์ เพื่อว่าเราจะได้อยู่กับพระองค์ในสวรรค์สถานนิรันดร์กาล ร่วมกับพระบิดาของเรา ผู้เป็นพ่อแห่งฟ้าสวรรค์ เจ้าของสวรรค์ทั้งปวงนั่นเอง  เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ