คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2016 เรื่อง “ตัวตนในพระคริสต์ (Identity in Christ)” ตอน 6 “สำแดงความรักของพระเจ้า” โดย นคร เวชสุภาพร

วันนี้ก็เป็นวันอะไร? วันแห่งความรัก นอกจากเป็นวันแห่งความรัก แล้วเป็นวันอะไรอีก? เป็นวันที่พระเจ้าจัดไว้ เราจะยินดีและเบิกบานในใจ เป็นชั่วโมงที่พระเจ้าจัดไว้ ก็จะเป็นชั่วโมงที่ไม่หลับ เราจะยินดีและเบิกบานในใจ เป็น 45 นาทีที่พระเจ้าจัดไว้ เราจะฟังด้วยความชื่นชมยินดีและเบิกบานในใจ  นอกเหนือจากนี้แล้ว วันนี้เป็นวันวาเลนไทน์ ตรงเลยนะครับ วันแห่งความรักของพระเจ้า ที่ประกาศให้โลกได้รู้

เพราะฉะนั้น ทุกคนคงทายได้แล้วว่าบรรยากาศวันนี้ การบรรยายวันนี้ ต้องเต็มเปี่ยมไปด้วยอะไรที่เกี่ยวกับความรักทั้งสิ้น ใช่ไหม?  หลายคนยังใส่สีแดงมาเลย ตั้งใจหรือเปล่า? ตั้งใจ ยอดเยี่ยมเลย สีแดงไม่ใช่หนุ่มๆ สาวๆ อย่างเดียว บางท่านอายุมาก 70 ยังสีแดงอยู่เลย อย่างนี้รักแท้ … รักแท้แพ้อายุขัยเนอะ เรารักแท้หรือยัง?

เพราะฉะนั้น   เราจะบรรยายเรื่องความรักกันในวันนี้  แต่ยังเป็นเรื่องของความรัก  ที่ยังอยู่ในซีรี่ย์ชุดเดิม คือเรื่อง “ตัวตนในพระคริสต์” วันนี้ก็จะมาคุยกันต่อในตอนที่ 6 ที่มีชื่อตอนว่า “สำแดงความรักของพระเจ้า”

พูดพร้อมกันนะครับ “สำแดงความรักของพระเจ้า”

ทบทวนกันสักนิดหนึ่งนะครับ ใน 4 – 5 ตอนที่ผ่านมา เราก็ย้ำกันอยู่ที่ข้อพระคัมภีร์ ในเอเฟซัส 2:10 จำได้ไหมครับที่บอกว่าเราทั้งหลายเป็นฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า ที่พระองค์ตั้งใจสร้างเราขึ้นมาให้เป็น Masterpiece หรือภาษาไทยแปลว่าเป็นผลงานชิ้นเอกของพระองค์ ที่มีเอกลักษณะเฉพาะตัว ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร ที่เราพูดต่อหน้ากระจกมาตั้งหลายเดือนแล้ว ยังพูดอยู่หรือเปล่าทุกวันนี้ มีใครทำตามบ้าง? หลายท่าน ทำหรือเปล่าครับ? ทำ แล้วทำคนเดียวหรือมีคนเห็นอยู่ด้วย แอบทำคนเดียว ไม่เป็นไร?

เอเฟซัส 2:10 “เพราะเราทั้งหลาย เป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ซึ่งทรงสร้างในพระเยซูคริสต์  เพื่อให้ทำการดี ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ล่วงหน้า  ให้เราทำ”

 

และเมื่อเราได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเราอย่างนี้นะครับว่าเราเป็นใครในพระคริสต์ เราเป็นการฝีมือ ที่พระเจ้าสร้างขึ้นอย่างบรรจง ประณีตมาก เป็นผลงานชิ้นเอกของพระองค์ ถ้าเราทราบอย่างนี้ มีความมั่นใจอย่างนี้ว่าเรามีคุณค่ามากมายมหาศาล เราภูมิใจที่สุดแล้ว ที่ได้ชื่อว่าเป็นฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า เราก็จะดำเนินชีวิตด้วยความมั่นใจ และยึดอกได้อย่างสง่าผ่าเผย ที่เราได้เรียนรู้กันมา แล้วบอกต่อๆ ไปว่าถ้าเรามีความมั่นใจตรงนี้ ชีวิตเราไม่ต้องกลัวอะไรเลย  เราจะสง่าผ่าเผยในตัวของเราเอง ไม่ว่าท่านจะเป็นใคร มีสถานะอย่างไร? มีฐานะอะไรบนโลกใบนี้ จำไว้ได้เลยนะครับว่าคุณค่าของท่าน ในสายพระเนตรของพระเจ้า ไม่ได้วัดกันตามแบบที่โลกนี้ เขาวัดกัน

โลกนี้เขาวัดกันว่าอย่างไร? เรียนหนังสือได้คะแนนเท่าไร? คุณมีฐานะมั่งมี ร่ำรวยขนาดไหน? มีอาชีพอะไร? ทำงานตำแหน่งอะไร? เหล่านี้ คือมาตรฐาน ที่โลกนี้เขากำหนด มาตรฐานของพระเจ้าในพระคัมภีร์บอกว่าอย่างไร? มาตรฐานของพระเจ้าในพระคัมภีร์บอกว่าเมื่อไรก็ตาม ที่ท่านอยู่ในพระเยซูคริสต์ หรือเรียกว่าท่านอยู่ในพระคริสต์ ท่านเชื่อในพระเยซู ในการไถ่บาปของพระเยซู ท่านได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ ท่านเป็นการฝีมือของพระเจ้า ที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ ในพระเยซูคริสต์ เป็นผลงานชิ้นเอก จงมั่นใจและภูมิใจเถิด เอเมน เพราะเราในที่นี่เราเชื่อในพระเจ้าแล้ว นี่คือเป็นอย่างนั้น นี่คือมาตรฐานของพระเจ้า ในการวัดผู้คนบนโลกใบนี้

จำได้ไหมครับครั้งที่แล้ว เราได้ย้ำกันว่าเราทุกคน เป็นผลงานชิ้นเอกที่พระเจ้าทรงสร้างให้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว

พูดพร้อมกันนะ “ฉันมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว”

เพราะอะไร? เพราะพระองค์มีพระประสงค์ ที่เฉพาะเจาะจงสำหรับฉันหรือเราแต่ละคน ไม่เหมือนกัน เราไม่จำเป็นต้องไปเปรียบเทียบกันใคร? ท่านไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน

พูดพร้อมกัน “ฉันไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน”

เชื่อไหม? เพราะว่าอะไร? เพราะพระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น ต้องเชื่อ เพราะพระคัมภีร์บอกอย่างนั้น

“ไม่มีใครเหมือนฉัน และฉันก็ไม่เหมือนใคร ฉันเท่ห์แบบของฉัน”

ในลักษณะของท่าน เขาเรียกว่าสมบูรณ์สูงสุดในทุกด้าน สวยงามที่สุด ดีที่สุด ในสายพระเนตรของพระเจ้า ไม่มีใครสามารถมาว่าท่านได้ว่าท่านด้อยกว่าคนอื่นเขา จงมั่นใจเถิดว่าสำหรับพระเจ้าแล้ว ท่านไม่ได้ด้อยกว่าใครเลย

จงมั่นใจเถิดว่าในสายพระเนตรของพระเจ้า ท่านไม่มีด้อยกว่าใครเลย เอเมน ไม่ด้อยกว่าใครเลย  พูดดังๆ เลย  ไม่ด้อยกว่าใครเลย ต้องฝึกแล้ว ไม่กลัวแล้ว เขาว่าเรามาตลอด ไม่เก่ง ไม่โน่น ไม่นี่ ตอนนี้มั่นใจหรือยัง? ใครบอก? พระเจ้าบอก ไม่ใช่ผมมาบอกท่านนะ นี่อ่านจากพระคัมภีร์ และถ้าเราได้เรียนรู้ ได้มั่นใจอย่างนี้ เราก็จะไม่เปรียบเทียบกับคนอื่น เหมือนกัน เราเองก็ไม่เปรียบเทียบกับคนอื่น เพราะรู้ว่าแต่ละคนก็มีเอกลักษณ์ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน เหมือนที่ผมได้ยกตัวอย่างไปแล้วว่าจะเอารูปของโมนาลิซ่า ของดาวินชี ไปเปรียบเทียบกับรูปของไมเคิล แองเจโล่ ที่ผนังโบสถ์ของวิหารเซนต์ปีเตอร์ได้ไหม? ไม่ได้ ทั้งสองภาพต่างมีคุณค่ามหาศาล จนประเมินค่าไม่ได้ เพราะไม่สามารถมาเปรียบเทียบกันได้ เลิศทั้งคู่

นั่นแหละ ท่านอาจจะเป็นโมนาลิซ่า ท่านอาจจะเป็นรูปภาพในผนังโบสถ์ เซนต์ปีเตอร์ ใครจะรู้ ท่านเป็นตรงไหนไม่รู้ ท่านจะเทียบกันไม่ได้ เข้าใจใช่ไหม

เช่นเดียวกัน ผลงานชิ้นเอกของพระเจ้าทุกชิ้น ก็มีคุณค่ามากมายมหาศาล จะประเมินค่าไม่ได้ ก็คือมนุษย์ทุกคน ที่อยู่ในพระคริสต์ ได้ถูกสร้างขึ้นใหม่ในพระคริสต์ เพราะฉะนั้น จึงเปรียบเทียบกันไม่ได้ แต่ละคนมีความสวย มีความหล่อ ตามแบบฉบับของตัวเอง มีลักษณะเฉพาะของตัวเอง ในสายพระเนตรของพระเจ้าทุกคน หล่อสุด ทุกคน สวยสุด  สมบูรณ์แบบที่สุด  ไม่มีใครสวยกว่าฉัน ไม่กล้าพูดอีกล่ะ

พูดพร้อมกันสิ ต้องผู้หญิงก่อน “ไม่มีใครสวยกว่าฉันอีกแล้ว”

ไม่กล้าพูดอีกเหรอ ไม่ชัด ไม่มั่นใจ เอาใหม่

“ไม่มีใครสวยกว่าฉันอีกแล้ว จงมั่นใจเถิด”

เอาผู้ชาย จะให้ผมเป็นคนนำใช่ไหม? ผมรู้ ไม่กล้าพูด นี่เป็นเรื่องจริงๆ ท่านต้องพูด คำว่า “หล่อ” ของเรา .. เราไม่ได้ตามมาตรฐานของโลกนี้ใช่ไหม? ไม่ใช่ หล่อตามมาตรฐานของพระเจ้า ท่านหล่อเพราะอะไร?  เพราะท่านอยู่ในพระคริสต์ เอเมน ไม่ใช่หล่อ เพราะท่านดูในทีวี ไม่ใช่ หล่ออยู่ในภาพยนตร์

“ไม่ใช่ ฉันหล่อ เพราะฉันอยู่ในพระคริสต์”

เอ๊า! พูดพร้อมกัน “ฉันหล่อ เพราะฉันอยู่ในพระคริสต์ ฉันสมบูรณ์แบบกว่าใคร เพราะฉันอยู่ในพระคริสต์”

คือสมบูรณ์แบบกว่าใคร? เราไม่ได้เทียบกับใคร ตามแบบของเรา มีชิ้นเดียว

เท่ห์ไหมล่ะ ชิ้นเดียว มีชิ้นเดียว งานประณีตมาก มีชิ้นเดียว ไม่ใช่ก๊อปปี้มาเยอะแยะ มาเปรียบเทียบกันได้ นี่เปรียบไม่ได้ มันชิ้นเดียว

วันนี้เป็นวันวาเลนไทน์ วันแห่งความรัก สำหรับเราหลายคน ที่เป็นหนุ่มๆ สาวๆ นะครับ ก็คงชอบวันนี้ เป็นพิเศษ สำหรับหลายคนก็เป็นหนุ่มน้อย สาวน้อย คือหนุ่มเหลือน้อย ก็ยังสามารถเรียนรู้จักวันวาเลนไทน์ได้

มีบางคนเขากำลังคิดว่าอาจจะคิดว่าวันนี้วันวาเลนไทน์ คำว่า “บางคน” ไม่ใช่ว่าเฉพาะสาวๆ หนุ่มๆ อย่างเดียวนะ แม้กระทั่งผู้ที่มีอายุบ้างแล้วก็ตาม เพราะวันนี้เป็นวันแห่งความรัก บางทีเราได้ยินเขาโปรโมทกันเยอะๆ ว่าวันแห่งความรักมากๆ บางทีไม่ว่าหนุ่มน้อย สาวน้อย หรือหนุ่มจริงๆ สาวจริงๆ ก็ตาม ก็มีปัญหาตรงนี้ เกิดความคิดว่าอย่างไรรู้ไหมครับ? เกิดความคิดว่าตัวเองไม่ประสบความสำเร็จ ในเรื่องความรัก หรือไม่ประสบความสำเร็จในเรื่องชีวิตคู่ บางคนอาจจะคิด กำลังเสียใจ น้อยใจ หรือคิดว่าตัวเองไม่มีค่า ตัวเองไม่ดีพอ ไม่หล่อ หรือสวยพอ ไม่มีใครต้องการ ไม่มีใครรัก ช่วงวันวาเลนไทน์ จึงเป็นช่วงที่เศร้าที่สุด มันซึ้งเหลือเกิน มันเศร้าเหลือเกิน จริงหรือไม่จริง? หลายคนพยักหน้าหรือสั่นหน้าก็ไม่รู้ จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง แต่มันเรื่องจริง … เรื่องจริงเป็นอย่างนี้ เนี้ยเรื่องจริงๆ เป็นอย่างนี้  มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ไม่ใช่เรานั่งที่นี่ มันจะเป็นอย่างนี้  พอเขาโปรโมทเรื่องวันแห่งความรักขึ้นมามากๆ เราก็จะคิดอย่างนี้แหละ นี่คือเรื่องธรรมดา เรื่องความเป็นจริงธรรมดาของมนุษย์

เพราะฉะนั้น วันนี้ จึงเอาข้อความนี้ เอาเรื่องราวในพระคัมภีร์มาช่วยท่านให้เป็นอิสระซะ จำไว้เลยนะครับ มั่นใจในตัวเองว่าเรานั่น หล่อที่สุด สวยที่สุด ตามฉบับที่พระเจ้าได้สร้างเราขึ้นมา ตามลักษณะนี้แหละ และเราเป็นผู้ … จำได้ไหมสัปดาห์ที่แล้ว สัปดาห์ก่อนโน่นที่ผมสอน เราเป็นผู้เลือกคู่ของเราเอง

ฟังให้ดีๆ จงจำไว้ว่าเราดีที่สุดในแบบฉบับของเราแล้ว … แล้วเราเป็นผู้เลือกคู่ของเราเอง ภายใต้การนำของพระเจ้า เราไม่ใช่คนที่ต้องรอให้เขามาเลือกเรา

พูดสิ “เราไม่ใช่คนที่รอให้เขามาเลือกเรา”

เฉพาะหนุ่มๆ สาวๆ พูดก็ได้ ไม่เป็นไรๆ พูดเล่นๆ เข้าใจใช่ไหมครับ? ถ้าพระเจ้าจะอนุญาตให้เราได้คู่กับใคร? พระองค์ก็จะนำเราให้ไปพบผู้นั้น และนำผู้นั้นให้มาพบกับเรา เอเมน … เอเมนไหม? แต่ถ้าพระองค์ไม่อนุญาต ก็ไม่ได้แปลว่าไม่มีใครเลือกเราสักหน่อย คิดให้ดี ถูกหรือไม่ถูก? นี่เป็นตรรกะเหตุผล โดยเฉพาะเลยนะ ถูกไหม? หรือถ้าได้คบหาดูใจกันแล้ว แต่ต้องมีการเลิกรากันไป ก็เป็นเพราะพระเจ้ายังไม่อนุญาต หรือไม่ใช่น้ำพระทัยพระเจ้า  ไม่ใช่เพราะเขาทิ้งเราไป

พูดพร้อมกัน “ไม่ใช่ เพราะเขาทิ้งฉันไป”

ฝึกไว้เลย นี่มันจริงไหมล่ะ อุตส่าห์คิดขึ้นมานะเนี้ย ไม่ใช่คิดตามเหตุผล ตามเรื่องจริง เรื่องเกี่ยวกับพระเจ้าอย่างไร? แล้วเอามาประยุกต์กับปัจจุบันอย่างไร? อยากจะให้ท่านเห็นความเป็นจริง มันเป็นจริงอย่างนี้จริงๆ ถ้าเราเปลี่ยนความคิดของเราเสียใหม่ เรามีความมั่นใจในเรื่องถ้อยคำ เราเป็นอิสระจริงๆ

และถ้าพระเจ้าจะให้ท่านเป็นโสด  กรุณาฟังทางนี้นะครับ ถ้าพระเจ้าจะให้ท่านอยู่เป็นโสด ไม่ต้องมีคู่ ก็ไม่ได้แปลว่าท่านไม่มีคุณค่า หรือไม่มีใครรัก ใช่หรือไม่ใช่? เอเมน แปลว่าใช่ … ถ้าท่านต้องเป็นโสด ไม่ได้หมายความว่าท่านไม่มีคุณค่า หรือไม่มีใครรัก แต่เป็นเพราะว่าพระเจ้า ต้องการให้ท่านรับใช้ ด้วยสถานะอย่างนี้  มีอะไรไหม?  พระองค์สร้างสิ่งนี้ มีสิ่งเดียวในโลกเลย  ไม่ใช่สิ่ง คนนี้คนเดียว ในโลกเลย  และพระองค์ทรงสร้างว่า …

“จะให้เขาไม่ต้องมีคู่หรอก เขาจะมารับใช้เราอย่างเดียว อย่างนี้แหละ”

มีไหม? เปาโลเป็นตัวอย่าง เยอะแยะเลย แม่ชีเทเรซ่า ไม่ใช่หมายถึงทุกคนจะเป็นแม่ชีหมด ไม่ใช่นะครับ ผมกำลังยกตัวอย่างให้ท่านฟัง เข้าใจใช่ไหมครับ?

เพราะฉะนั้น ยึดมั่นในตัวตนที่แท้จริงของเราให้ได้ว่าเราเป็นฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า  เป็นผลงานชิ้นเอกที่พระองค์ทรงรัก และหวงแหน และภูมิใจที่สุด ทุกสิ่งทุกอย่าง เกิดขึ้นกับเราอยู่ภายใต้การควบคุม ดูแลของพระเจ้าทั้งสิ้น  เหมือนที่เรามีพ่อแม่คอยดูแลเราตั้งแต่เล็กๆ ทุกฝีก้าวในชีวิตของเรา ท่านคอยมองเราตลอดเลย  และทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา ที่พระองค์อนุญาต เกิดภายใต้ความรักของพระองค์ทั้งสิ้น  จึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด สำหรับเราเสมอ เอเมน ต้องมั่นใจตรงนี้นะครับ

และเมื่อเราได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเราอย่างนี้ มั่นใจได้อย่างนี้ เราก็จะไม่เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับใคร? เราก็จะไม่รู้สึกอิจฉาใคร? เราก็จะไม่รู้สึกอยากจะไปว่าร้ายใคร? ไม่น้อยใจใคร? ไม่รู้สึกกระวนกระวายใจ ไม่รู้สึกขาดความรัก และมีความชื่นชมยินดีตลอดเวลา แล้วถ้าเราสามารถทำได้ตามคุณสมบัติเหล่านี้ สิ่งที่ตามมา คืออะไรครับ? ก็คือการทำทุกวันให้เป็นวันวาเลนไทน์ วันแห่งความรักของเราทุกวันเลย เอเมน

นี่แหละวันแห่งความรักที่แท้จริง มันเป็นอย่างนี้  นี่คือวันวาเลนไทน์ คุณสมบัติทั้งหลายที่ผมพูดเมื่อกี้ ก็คือลักษณะของความรักของพระเจ้า ที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ 1 โครินธ์ 13:4-7 นั่นเอง ซึ่งวันนี้เป็นวันแห่งความรัก ถ้าไม่อ่านข้อพระคัมภีร์นี้ ไม่ได้เลย เพราะเป็นข้อพระคัมภีร์หลัก ที่อธิบายถึงความรักแท้ของพระเจ้า และความรักแท้ที่พระเจ้าต้องการให้มนุษย์รู้จักวาเลนไทน์ ก็คือความรักแท้ตรงนี้แหละ 1 โครินธ์ 13:4-7

1 โครินธ์ 13:4-7 “4 ความรักย่อมอดทนนาน ความรัก คือความเมตตา ไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง 5 ไม่หยาบคาย ไม่เห็นแก่ตัว ไม่ฉุนเฉียว ไม่จดจำความผิดของผู้อื่น 6 ความรักไม่ปีติยินดี ในความชั่ว แต่ชื่นชมยินดีในความจริง 7 ความรักปกป้องคุ้มครองเสมอ ไว้วางใจเสมอ มีความหวังอยู่เสมอ และอดทนบากบั่นอยู่เสมอ

 

นี่คือสิ่งที่ผมย้ำมาตลอดว่าทำไมเราจึงจำเป็นต้องรู้จักตัวตนที่แท้จริงของเรา ในพระเยซูคริสต์ว่าเราเป็นใคร? และมีคุณค่ามากมายขนาดไหน? เพื่อเราจะได้ซาบซึ้งถึงความรักของพระเจ้า แบบนี้ ที่มีต่อเราแบบนี้ และเมื่อเราซาบซึ้ง ถึงความรักของพระเจ้า ในชีวิตของเราอย่างนี้แล้ว เราก็จะพร้อมที่จะมอบความรัก และส่งต่อความรักนี้ เผื่อแผ่ไปถึงคนอื่นได้อย่างไร? เพราะตัวเราเองเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักจากพระเจ้าแล้ว เรารู้แล้วว่าตัวเราเองมีคุณค่าขนาดไหน? พระเจ้าภูมิใจและรักเรามากขนาดไหน? เราจึงมีความมั่นใจในความรักที่พระเจ้าให้กับเรา และเราจึงมีทุนในการที่จะให้ออกไป การให้ออกไป ถ้าคุณไม่มี คุณจะให้อะไรล่ะ คุณไม่มีความรัก คุณก็ให้ไม่ได้ คุณไม่มีเงิน คุณจะให้เงินได้อย่างไร?  คุณแม่ไม่มีแรง คุณจะให้แรงได้อย่างไร?  ถ้าคุณไม่มีความรักแท้เลย คุณจะเอาความรักแท้ที่ไหนไปให้ใครล่ะ นี่เป็นตรรกะธรรมดา

เพราะฉะนั้น อยากได้ความรักแท้นี้ ความรักแท้จากพระเจ้าซึมซับผ่านเข้ามา พอเราได้รับรักแท้พระเจ้า เราก็มีทุนในความรักนี้ เราจึงสามารถให้รักแท้กับคนอื่นได้ ตราบใดที่ท่านยังไม่ได้สัมผัสถึงความรักแท้ของพระเจ้า ท่านไม่มีวันที่จะให้ความรักแท้ออกไปได้เลย แม้แต่นิดเดียว

และความมั่นใจตรงนี้จะก่อให้เกิดแรงผลักดัน ถ้าท่านเรียนรู้จักความรักแท้ของพระเจ้าอย่างนี้ จะเป็นแรงผลักดันให้กับเรา ที่จะให้ความรักกับคนอื่นๆ รอบข้างเราอย่างมากมาย ไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีหมดเลย เพราะว่าเรามีแหล่งแห่งความรักซับเข้ามาตลอดเวลา คือความรักแท้ของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์ เอเมน และการดำเนินชีวิตของเราบนโลกใบนี้ ก็จะสำแดงออกมา เป็นคุณลักษณะตามแบบที่เราอ่านใน 1 โครินธ์ที่ตะกี้ ที่เราอ่านไป มันเป็นไปได้จริงๆ แต่เป็นไปได้ โดยซึมซับเอาความรักของพระเจ้าเข้ามา และมันจะเป็นไปตามนั้นเลย คืออะไร? คือท่านก็จะมีชีวิตที่อดทนนาน มีความเมตตา ไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ไม่หยาบคาย ไม่เห็นแก่ตัว ไม่ฉุนเฉียว ไม่จดจำความผิดของผู้อื่น อภัยได้เสมอ เห็นไหม? ทำได้โดยวิธีใด … วิธีรับความรักแท้ของพระเจ้าเข้ามา ให้พระเจ้าช่วยนั่นเอง

รวมความก็คือเป็นการสำแดงความรักของพระเจ้า ตามแบบอย่างที่พระองค์ทรงมอบความรักอย่างนี้ให้กับเราก่อน เป็นความรักที่ไม่มีเงื่อนไข เป็นต้นแบบของความรักที่โลกนี้ ต้องการมากที่สุด และกำลังต้องการมากที่สุด และต้องการในอนาคตมากที่สุด  และในขณะเดียวกัน เราก็รู้ว่าสังคมโลกกำลังขาดแคลนความรักอย่างนี้ มากมาย ขึ้นทุกวันๆ พระคัมภีร์จึงย้ำกับเราไว้อย่างนี้นะครับ 1 ยอห์น 3:18

1 ยอห์น 3:18 “อย่าให้เรารักกันด้วยคำพูด หรือด้วยลิ้นเท่านั้น แต่จงรักด้วยการกระทำ และความจริง”

 

คำว่า “ด้วยการกระทำและความจริง” ก็คือด้วยความจริงแท้ ความรักแท้ เมื่อตะกี้นี้ ด้วยการกระทำ ก็คือพฤติกรรมทุกอย่าง การดำเนินชีวิตทุกประการ ปกคลุมไปด้วยความรักแท้อย่างนี้ตลอด คือรักที่ต้องการให้ ไม่ใช่รักที่เห็นแก่ตัว ไม่ใช่รักที่อยากจะเอา แต่เป็นรักที่ให้ ฝึกการให้ ให้ ให้ อย่างนี้

คือคนส่วนใหญ่ในสังคม โดยเฉพาะปัจจุบัน มักจะรักกันด้วยคำพูด ในแต่ละวัน เรามักจะได้ยินคำว่า “รัก” เต็มไปหมดเลยนะครับ แต่การกระทำที่เต็มไปด้วยความรักที่แท้จริง มีให้เห็นน้อยมาก นับวันยิ่งน้อยมากๆ สังคมทุกวันนี้ ที่พูดคำว่ารักมาก รักที่สุด ส่วนใหญ่ที่ยังคงสามารถมีความรัก มีความห่วงใยกันได้ ก็เพราะอะไรรู้ไหมครับ? ก็เพราะยังไม่เคยผ่านการทดลอง

ให้พูดพร้อมกัน “ยังไม่ผ่านการทดลอง”

อย่างเช่น เราคิดว่าเรารักคนนี้อย่างมากมายเลย เหลือเกิน ห่วงใย  ห่วงหาอาทรต่อกันมากเลย  แต่พอวันหนึ่ง เขาเกิดทำอะไรให้เราขุ่นข้องหมองใจ เราก็กลับรู้สึกเจ็บปวด ไม่สามารถให้อภัยได้  ถึงขนาดตัดญาติขาดมิตรกันเลย  มีไหม? ฆ่ากันตายยังมีเลย อย่างนั้นใช่รักไหมล่ะ เราเห็นหน้าหนังสือพิมพ์บ่อยๆ รักมากเลย ฆ่าให้ตายเลย สับเป็นชิ้นๆ เลย เพราะอะไร? เพราะรัก ในหนังสือพิมพ์บอกไว้อย่างนั้น แต่ในพระคัมภีร์บอกว่าเพราะรัก พระเจ้าจึงทรงประทานพระบุตร เพราะรัก พระเจ้าจึงให้พระเยซูมาตายที่ไม้กางเขน เพื่อเราทั้งหลาย ไม่ใช่บอก เพราะรัก ฉันจะเอา เพราะรัก ฉันจึงทำลาย ไม่ใช่

ที่พูดนี้ ไม่ได้หมายถึงแค่ความรักแบบหนุ่มๆ สาวๆ หรือแบบคู่รักเท่านั้นนะครับ แม้กระทั่งคนที่รักกันแบบเพื่อน แบบญาติ ก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน นี่ประสบการณ์เองนะครับ จริงๆ ประสบการณ์ผม ก็เหมือนประสบการณ์ท่านทั้งหลายในนี้

ใครเล่นไลน์บ้างในนี้ ก็เล่นกันเกือบทุกคนในนี้ สังคมออนไลน์ ก็ส่งข้อความ ก็เป็นเพื่อนสนิทสมัยเรียนหนังสือมาเก่าแก่ รักกัน คิดถึง ทุกคนก็ส่งข้อความในไลน์ใช่ไหม? ทุกวันนี้เราส่งอะไรกัน?

“คิดถึงนะ”

“ห่วงใยมากเลย”

“รักนะจุ๊บๆๆ”

“เมื่อไรจะเจอกันอีก”

“กินข้าวหรือยัง?”

“กินด้วยคนสิ”

“เมื่อไรจะเจอ”

“คิดถึงมากเลย”

“คิดถึงเราไหม?”

“เราอยากเห็นหน้าเธอ”

แต่วันดี คืนดี ก็มีเพื่อนผมบางคน ไปเขียนอะไรบางอย่างที่ผิดใจบางคนที่อยู่ในนั้น เป็นข้อความ พูดตรงๆ นะ ไร้สาระมากเลย  สำหรับผมนะ ผมก็ดู ปรากฏว่าคนที่ถูกพาดพิงถึง โกรธแค้นมาก ไม่เผาผีกันเลย  จากเมื่อวานนี้ ยัง จุ๊บๆๆๆ ท่านลองคิดดูสิ แบบแล้วมันคืออะไร? ทุกวันนี้ยิ่งเห็นชัดกว่าแต่ก่อน มีไลน์มันเร็ว นึกจะใส่ตามอารมณ์ ก็ใส่ แต่ความรักแท้ มันไม่ตามอารมณ์นะครับ มันตามความจริงที่อยู่ข้างใน เอเมน ไม่ว่าจะอารมณ์อย่างไร? ก็เป็นรักแท้ที่พระเจ้าให้มา มันต้องเป็นอย่างนั้น  ไม่ว่าจะอารมณ์อย่างไร พระเจ้าก็รักเรา  รักแท้ รักที่ไม่มีเงื่อนไข ไม่มีอารมณ์ ถูกหรือไม่ถูก? โดนไปหลายคนเลยนะครับ

ความจริงนะ ใครที่ใช้ไลน์อยู่ตอนนี้  หรือใช้อะไรประเภทนี้ พวกส่งข้อความไปส่งข้อความมา มันเร็วดี น่าจะทำการทดลองสักนิดหนึ่งนะ  เดี๋ยวผมจะสร้างเรื่องให้ท่านดีไหม? ทดลองดูว่าเพื่อนท่านรักแท้ ท่านจริงหรือเปล่า? เอาเปล่า? เอาไหม? สมมติว่าปกติเขาชอบโพสต์อะไรกัน? เขาชอบโพสต์เวลาทานอาหาร ก็ชอบถ่ายรูป ส่งมาให้เราดู หรือก็ส่งเสื้อมา

“เสื้อนี้สวยไหม?”

ใช่หรือเปล่า? ท่านก็เขียนตอบไปเลย  สมมติว่าเป็นเสื้อก็แล้วกัน

“เสื้อผ้านี้สวยไหม?”

ท่านก็ตอบไปว่า “เสื้อถูกๆ อย่างนี้ ฉันไม่ใช้หรอก ดูแล้วเชยๆ”

ท่านลองทดลองดูสิว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น?  กล้าหรือเปล่า? หรือไม่ลงอาหารมา บอก …

“อาหารแย่อย่างนี้ ที่บ้านฉันกินแพงกว่านี้ตั้งเยอะ”

กล้าหรือเปล่า? ทดลองไง  ท่านลองเอาความจริงเชฟไว้ ไปฝากธนาคารก่อนวันวันโพสต์ พอเกิดเรื่องมา

“ไปดูในธนาคารเลย ฉันพูดแกล้งหลอก ทดสอบเธอเท่านั้นเอง”

กล้าหรือเปล่า?  เข้าใจไหม? นี่มันทดสอบได้จริงๆ นะ เดี๋ยว คนที่ไม่ได้เล่นไลน์ จะหาว่าเสียเปรียบ เขาไม่สามารถเล่นได้ ก็ทดสอบได้ สัปดาห์หน้าวันอาทิตย์ มาโบสถ์นี้ จำไว้นะ พอมาโบสถ์ปุ๊บ พอเขาทักเรา เชิดเลย  ดูสิว่าเขาจะว่าอย่างไร? กล้าหรือเปล่า? สมมติว่า …

“สวัสดีค่ะ”

วันนี้ไม่พูดด้วย มีอะไรไหม?  หน้าบึ้งสักวันหนึ่ง แล้วดูสิว่าเป็นอย่างไร? ไม่ต้องดูมากหรอก ดูแค่ 2 อาทิตย์ก็จะรู้แล้วว่าเขาไปพูดอะไรไหม? ใช่ไหม? หรือไม่ก็เอาหนักกว่านั้น ถ้ายังเห็นไม่ชัด พูดแรงๆ กับเขาเลย หันมาปุ๊บ ถามเลย

“มองอะไร?”

เอาลองดูสิ หันไปหาคนข้างๆ แล้วให้คนหนึ่งตอบสิ

“มองอะไร?”

ฝึกไว้ไง ฝึกไว้เราจะได้ชิน เกิดอะไรขึ้นมา  เราได้โอโห้ ทดสอบ ถามสิ ลอง

“มองอะไร?”

อย่ายิ้มสิ ยิ้มไม่ได้ หรือไม่ก็หันไป

“ฉันเบื่อเธอเหลือเกิน”

พูดสิ คือบางครั้ง เราต้องฝึกเหล่านี้ให้มันคุ้นหูของเรา เราจะคุ้นหูแต่

“ดีนะ”

“ยอดเยี่ยม”

“ดีจริง”

ไม่มีใครนินทาเราสักคน ให้เราได้ยินเลย  เพราะถ้าได้ยินปุ๊บ มันก็ไม่เรียกว่านินทาไง? นินทา แปลว่าเราไม่ได้ยิน ลองฟังคนเขาว่าเรามากๆ ให้มันชินหูหน่อย เราจะได้มีความอดทนนานๆ เป็นการฝึกความรักของพระเจ้า อันนี้ผมนึกขึ้นมาเองนะ ไม่มี อย่าให้ใครไปเรียนแบบนะ ผมว่ามันใช้ได้นะ ไปฝึก ถ้าเผื่อท่านไม่กล้าฝึก ท่านกลับไปบ้าน มองที่กระจกก็ได้

“แกเป็นคนไม่ดี แกน่าเกลียด”

พูดกับกระจกนะ ให้ตัวเองคุ้นกับคำที่คนเขาว่าเราบ้าง? เราจะได้ชิน ใช่ไหม?

“ฉันรำคาญเธอเหลือเกิน” อะไรแบบนี้

ที่เป็นแบบนี้ เพราะอะไรรู้ไหมครับ? เพราะว่าคุณสมบัติข้อแรก ในรักแท้ของพระเจ้า  ที่ตะกี้เราอ่านในพระคัมภีร์ มันไม่สำเร็จในชีวิตของคนๆ นั้น มันไม่ผ่าน  ความรักแท้จริงนั้น ต้องอดทนนาน ข้อแรกก็ไม่ผ่านแล้ว จบแล้ว แล้วยังจะไปบอกว่า

“ฉันมีความรัก”

มันไม่ใช่ความรัก มันเป็นความเห็นแก่ตัว

พูดพร้อมกัน “เห็นแก่ตัว”

พูดให้คนข้างๆ ฟังสิ “เห็นแก่ตัว”

“ฉันเอง ไม่ใช่คุณ คนอื่นฉันไม่รู้ แต่ฉันเองนั่นแหละ ฉันจะฝึกในการลดความเห็นแก่ตัวลง ก็คือฝึกในการดำเนินชีวิตแบบส่งต่อความรักแท้ของพระเจ้าออกไป ส่งต่อวันวาเลนไทน์ในชีวิตฉันออกไป”

และความอดทนจะนานได้นั้น ก็ต้องอาศัยความรู้จริง ความเข้าใจจริง ในคุณค่าของตัวเรา ที่พระเจ้าได้สร้างและใส่เข้ามาในชีวิตของเรา ยิ่งรู้ความจริงมากเท่าไรว่าพระเจ้ารักเราขนาดไหน? และสร้างให้เรามีคุณค่ามากเท่าไร? รู้ว่าพระเจ้าภูมิใจในตัวเราเท่าไร? รู้ว่าเราเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้ามากเท่าไร? เราก็ยิ่งมีความรักแท้ที่อดทนนาน และนาน และนาน และนานมากๆ ได้

 

เห็นไหมครับ? มันฝึกได้ ฝึกด้วยวิธีอะไร? ตอนนี้รู้แล้วใช่ไหมครับ? ฝึกด้วยวิธีการเรียนรู้ว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ พูดทุกวัน อ่านทุกวัน เรียนรู้ทุกวัน ฝึกทุกวัน อย่างที่ตะกี้ที่พูดมา ฝึกจริงๆ นะ ไม่ใช่พูดเล่นนะ แต่ทำให้ท่านสนุก หัวเราะ แต่จริงๆ เอาไปฝึกได้จริงๆ พูดกับกระจกทุกวัน

“ฉันไม่มีใครเหมือน ฉันไม่เหมือนใคร ฉันหล่อจริงๆ แล้ว”

ไม่ได้พูด เพื่อเราจะไปอะไร บ้าตัวเอง แต่พูดให้มีความมั่นใจตรงนั้นว่าตัวตนเราเป็นใคร? และเราจะได้รู้ว่าพระเจ้ารักเราอย่างไร? เราจะได้ถ่ายทอดความรักนี้ไปสู่ผู้อื่นได้ เอเมน

การสำแดงความรักให้กับบุคคลรอบข้าง ตามแบบอย่างในพระคัมภีร์ตะกี้นี้ 1 โครินธ์ 13 เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงคุณค่าที่แท้จริง ของการเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า โดยไม่ทำให้ผู้สร้างหรือพระเจ้าต้องขายหน้า หรือเสียใจ พูดง่ายๆ เราปฏิบัติตัวสมฐานะ … สมฐานะที่เราเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า มันต้องเป็นอย่างนี้

ท่านคิดดูสิ พระเจ้าสร้างท่านไม่เหมือนใคร? ท่านยังไปอิจฉาคนอื่น เข้าใจไหม? ท่านไม่รู้ตัว เรามีลูก เราให้ลูกเราเต็มที่ ไปโรงเรียน ลูกไปอิจฉาคนอื่น

“โธ่ ลูก พ่อทำ สร้างเจ้า แต่งเจ้าเต็มที่แล้ว”

เข้าใจไหม? มันเป็นลักษณะอย่างนั้น เพราะฉะนั้น เราจึงจำเป็นต้องเรียนรู้ตรงนี้

และการสำแดงความรักให้กับผู้อื่น ไม่ได้หมายถึงเฉพาะวันวาเลนไทน์เท่านั้นนะ ที่พูดเป็นเพราะวันวาเลนไทน์ แต่ปีหนึ่งท่านจะมาฝึกอย่างนี้ทีหนึ่ง ไม่ใช่ มันต้องทุกวัน สำหรับคริสเตียนแล้ว วันอะไร ก็เป็นวันแห่งความรักเสมอ ทุกๆ วัน เป็นวันแห่งความรัก เพราะชีวิตคริสเตียน คือชีวิตแห่งความรักนั่นเอง พระเจ้า คือความรัก (แท้) ต้องใส่ เพราะถูกเอาไปแอบอ้างเยอะแยะมากมาย จริงๆ ไม่ต้องใช่คำว่าแท้ จริงๆ ความรัก คือความรัก แต่ถูกเอาไปแอบอ้าง จนเป็นรักปลอม จากความเห็นแก่ตัว เป็นรักปลอมไป เราจึงกลายเป็นมาเน้นว่าพระเจ้าเป็นความรักแท้ กลายเป็นอย่างนี้

ตามที่พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ว่าไม่ว่าเราจะทำอะไร? ยิ่งใหญ่ขนาดไหนก็ตาม เก่งขนาดไหนก็ทำ … ทำดีขนาดไหนก็ตาม ทำอัศจรรย์ขนาดไหนก็ตาม แต่ถ้าปราศจากความรัก ทุกสิ่งทุกอย่าง ก็จะไม่มีค่า ไม่มีความหมายเลย ในหนังสือ 1 โครินธ์ 13:1-3 ลองอ่านดูนะครับ

1 โครินธ์ 13:1-3 “1 แม้ข้าพเจ้าพูดภาษาแปลกๆ ได้  ทั้งภาษามนุษย์และภาษาทูตสวรรค์ แต่ถ้าปราศจากความรัก ข้าพเจ้าก็เป็นแค่ฆ้อง หรือฉิ่งฉาบ ที่กำลังส่งเสียง 2 หากข้าพเจ้ามีของประทานในการเผยพระวจนะ สามารถหยั่งถึงข้อล้ำลึกทั้งปวง และความรู้ทั้งสิ้น และถ้าข้าพเจ้ามีความเชื่อ ที่เคลื่อนภูเขาได้ แต่ไม่มีความรัก ข้าพเจ้าก็ไม่มีค่าอะไร 3 แม้ข้าพเจ้ายกทรัพย์สินทั้งหมดให้คนยากไร้  และยอมพลีกายให้เอาไปเผาไฟ แต่ไม่มีความรัก  ก็เปล่าประโยชน์”

 

ต่อให้เราพูดภาษาแปลกๆ ได้ ภาษาสวรรค์ มีความรู้มากมาย เผยพระวจนะได้  สามารถทำนายเหตุการณ์ล่วงหน้าได้  ก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย ถ้าเราไม่ได้ทำออกมาจากใจจริง  ทำบนพื้นฐานของความรักแท้จริง ต่อให้เราวางมืออธิษฐานให้คนป่วย รักษาโรค ช่วยคนป่วยหายโรค หรือนำคนมาเชื่อพระเจ้าอย่างมากมาย แต่ถ้าสิ่งนี้ ไม่ได้ทำบนพื้นฐานของความรักแท้ ไม่ได้ทำเพราะต้องการช่วยผู้อื่นอย่างแท้จริง อย่างจริงใจ แต่อาจจะทำ เพราะต้องการความเด่นดัง ต้องการทรัพย์สินเงินทอง สิ่งนี้ก็ไม่มีคุณค่าอะไรเลย เปล่าประโยชน์ทั้งสิ้น

 

หรือในเรื่องทรัพย์สินเงินทอง คนที่ถวาย 10 บาท แต่ถวายด้วยความรักที่แท้จริง เทียบกับคนที่ถวายเป็นล้าน แต่ไม่ได้ออกมาจากความรักจากข้างในที่แท้จริง แต่มาจากความเย่อหยิ่ง จองหอง หรือความอวดดี อวดตัว หรือเพราะต้องการคำยกย่อง สรรเสริญ หรือเพราะต้องการได้พรมากขึ้น หรือกลับคืนอีก หรือทรัพย์สินเยอะขึ้น แบบนี้ เงิน 10 บาท ก็มีค่ามากกว่าเงินล้านเยอะเลย จริงไหม? เป็นไปได้ไหม? เป็นไปได้ ต้องระมัดระวัง ไม่ต้องไปดูใคร? ดูเราเองนั่นแหละ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำ จะเกิดคุณค่า และเกิดประโยชน์ในทางพระเจ้าได้ ก็ต่อเมื่อสิ่งที่เรากระทำนั้น เกิดจากแรงจูงใจ แห่งความรักที่แท้จริงเท่านั้น รักที่อยู่ใน 1 โครินธ์ 13 นี่แหละ ทำมาก ทำน้อย ไม่ใช่เรื่องสำคัญ ให้มาก ให้น้อย ไม่เป็นเรื่องสำคัญ สิ่งที่สำคัญ คือมันออกมาจากความรักแท้จริงหรือเปล่า? มันอยู่ในเกณฑ์ของ 1 โครินธ์ 13 หรืออยู่ในเกณฑ์ของ 1 โครินธ์ 13:1-3 ต่อให้ทำแค่นิดเดียว  ทำเรื่องเล็กๆ  แต่ถ้าออกมาจากความรักที่แท้จริง สิ่งนั้น ก็จะมีค่ามากกว่าการทำมากๆ ทำเรื่องใหญ่ๆ แต่ปราศจากความรักเลย เป็นไปได้ไหม?  เป็นไปได้ มันหลอกล่อเราเต็มไปหมดเลย

ให้กิเลสตัณหาและระบบของโลกนี้หลอกล่อเราทั้งหมด ต้องระมัดระวังและคอยพิสูจน์ใจของเราเอง ไม่ต้องไปมองคนอื่นเขา ไม่เกี่ยวเลย เกี่ยวกับตัวเราเอง คนอื่น เราไม่รู้หรอก ข้างนอกเห็นอย่างนี้ เราไม่รู้ข้างในเป็นอย่างไร? แต่ข้างในตัวเราเอง เราย่อมรู้ว่าเราให้ไป เพราะอะไร? คนอื่นเราไม่รู้หรอก แต่ข้างในเรารู้ว่าเราอยากให้ศิษยาภิบาล  พูดชื่อเรานิดหนึ่ง เมื่อเราถวายออกไปเยอะๆ คนอื่นไม่รู้หรอก แต่เรารู้ของเราเองว่าเราอยากให้ที่โบสถ์เขียนชื่อเราข้างหน้าได้ไหมว่า …

“ประตูนี้ เราถวาย  ไม้กางเขนนี้ ฉันให้”

ขอนิดหนึ่งได้ไหม?  ไม่มีใครรู้ มีเรารู้เท่านั้นเอง เขาถึงเอาไว้สำหรับเขาเรียกว่าฝึกสอนตัวเอง เอาไว้ชำระตัวเอง ไม่ได้เกี่ยวกับคนอื่น ไม่ได้ว่าคนอื่น ไม่ใช่นะ เอาไว้สำหรับชำระตัวเอง แก้ไขตัวเอง แก้ไขข้อบกพร่องของตัวเอง ถ้อยคำพระเจ้ามีไว้ทำไม? มีไว้แก้ไขข้อบกพร่องในการดำเนินชีวิตของใคร? ของคนข้างบ้าน ไม่ใช่ ของคนข้างๆ ที่นั่ง ไม่ใช่ ของใคร? ของตัวเราเองนะ ไม่ใช่เอาไปชี้คนนั้น ชี้คนนี้ ไม่ใช่ เพราะไม่มีใครรู้เลย เพราะทั้งหมดนี้ อยู่ในใจของเขา  แค่คิดก็บาปแล้ว พระเยซูบอกข้างในนั้นแหละ มีคนรู้ผู้เดียว คือใคร? ก็คือคุณนั่นแหละ  แล้วก็พระเจ้า ถ้าเราเปิดเผย ถ่อมใจต่อพระเจ้าเลยว่า …

“ฉันเป็นอย่างนี้ๆ พระเจ้าช่วยด้วย ช่วยด้วย”

เราก็จะค่อยๆ ลดสิ่งที่น่าสกปรกนั้น ลดน้อยลง เอเมน นี่คือเคล็ดลับ

รวมความ ก็คือการที่เราทั้งหลาย เป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า และรู้ว่าเราเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า จะสามารถทำตัวให้เราเป็นที่ภาคภูมิใจของพระเจ้าได้นั่นเอง ถ้าเรารู้ตัวว่าเราเป็นที่ภูมิใจของพระเจ้า เราก็สามารถทำตัวเราเองให้เป็นอย่างนั้น ตามที่พระเจ้าสร้างมา เพื่อให้พระเจ้ามีความภูมิใจในเราจริงๆ ไม่ใช่พระเจ้าสร้างเราให้มีความภูมิใจ แต่เราไม่ภูมิใจ มันก็ขวางกันใช่ไหมครับ? ท่านจะเห็นภาพเลยนะครับ

วิธีการ ก็คือให้เราซึมซับ รับเอาความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ที่มีต่อเราอย่างมากมายมหาศาลนั้น เอาเข้ามาใส่ตัวเรา แล้วก็แบ่งปันความรักที่เปี่ยมล้นนี้ ออกไปให้คนข้างๆ เริ่มฝึก

คำว่า “ออกไป” ไม่ได้หมายความว่าพอมารู้จักพระเจ้าปุ๊บ วันนี้ พรุ่งนี้ ท่านก็ได้ 100% ไม่ใช่ ตายไปก็ไม่ครบ 100 หรอก แต่ว่ามันมากขึ้นทุกวันๆ ดีขึ้นทุกวัน วันนี้ก็ดีกว่าเมื่อวาน  ปีนี้ก็ดีกว่าปีที่แล้ว เอเมน

แบ่งปันความรักให้กับผู้คนรอบข้าง รับจากพระเจ้ามาอย่างไร? ฝึกฝนในการเรียนรู้ แล้วก็ส่งต่อให้กับผู้คนรอบข้างอย่างนั้น อย่างที่ผมบอกไงว่าถ้าท่านไม่รับมาจากพระเจ้า ท่านจะไม่มีให้ออกไป อย่าพยายามด้วยตัวเอง อย่าพยายามด้วยกำลังของตัวเอง อย่าพยายามด้วยตัวเอง หลายคนพยายามด้วยตัวเอง ในที่สุด ก็ล้มลง เพราะว่ามันเป็นไปไม่ได้ ในที่สุด เราก็ทนไม่ไหว เพราะเรานึกว่าเราให้ความรักที่แท้จริง ในที่สุด เราก็ทนไม่ไหว และเราก็โกรธ และเราก็โมโห แล้วอารมณ์ก็เสีย เพราะเรานึกว่าเราทำด้วยตัวเราเองได้ ไม่ได้นะครับ มนุษย์ไม่มีความรักแท้นี้อยู่ในตัวเลยแม้แต่นิดเดียว  จำเป็นต้องรับสิ่งนี้มาจากพระเจ้า พระเจ้าจะช่วยเรา เอเมน นี่ตามหลักพระคัมภีร์เป็นอย่างนั้นนะ พระคัมภีร์บอก มนุษย์ทุกคนบาป บาปอยู่ตรงข้ามกับความรักแล้ว บาป ก็คือเห็นแก่ตัวแล้ว ไม่ว่าจะมากหรือน้อยก็ตาม

และลักษณะความรักของพระเจ้า ซึ่งเป็นความรักแบบไม่มีเงื่อนไข พระองค์ก็ได้ทำให้เป็นตัวอย่างกับเราแล้ว ตามที่พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ว่าพระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์ โดยขณะที่เราเป็นคนบาปอยู่นั้น สกปรกอยู่นั้น พระคริสต์ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา รับโทษ ผิดบาปทั้งหมดแทนเรา นี่ยกตัวอย่างพระคัมภีร์ให้เห็นชัดๆ เลยว่าพระเจ้าสำแดงความรักของพระองค์ด้วยวิธีใด พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์ ด้วยการเสียสละพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ มาเกิดเป็นมนุษย์ ทนทุกข์ทรมาน และตายที่ไม้กางเขน รับโทษบาปผิดทั้งหลายของมวลมนุษยชาติไว้ที่พระองค์ ด้วยความทุกข์ทรมาน คือพระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์ที่ไม้กางเขนนั่นเอง เพื่ออะไร? เพื่อคนดีเหรอ ไม่ใช่ เพื่อคนบาปสกปรกอย่างเรา คือมนุษย์ทุกคน

นี่เป็นตัวอย่างของความรักที่แท้จริง ที่มีแต่การเสียสละ ตัวอย่างให้กับเรามนุษย์ทุกคนเห็น และเราก็ทำตาม รักแท้จริงที่มีการเสียสละ ไม่มีการเห็นแก่ตัว ไม่มีเงื่อนไข และพระเจ้าก็ต้องการให้เราทั้งหลาย ที่เป็นผลงานชิ้นเอกของพระองค์ ได้ดำเนินชีวิตตามแบบอย่าง อย่างนี้แหละ 1 ยอห์น 4:9-10 บันทึกไว้อย่างนี้นะครับ

1 ยอห์น 4:9-10 “9 นี่คือวิธีที่พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์ ท่ามกลางเราทั้งหลาย คือพระองค์ทรงส่งพระบุตรองค์เดียวของพระองค์เข้ามาในโลก เพื่อเราจะได้มีชีวิต โดยทางพระบุตรนั้น 10 นี่คือความรัก ไม่ใช่ที่เรารักพระเจ้า แต่ที่พระเจ้าทรงรักเรา และทรงส่งพระบุตรของพระองค์มาเป็นเครื่องบูชา ลบบาปของเรา”

 

อยากให้ท่านเน้นตามผมตรงนี้นิดหนึ่งนะครับ “นี่คือวิธีที่พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์ ท่ามกลางเราทั้งหลาย คือพระองค์ทรงให้พระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เข้ามาในโลก เพื่อเราจะได้มีชีวิต โดยทางพระบุตรนั้น”

อยากให้ท่านเน้นตรงนี้ เพราะอะไร? เพราะพระเจ้าบอกว่าพระเจ้าสำแดงความรักของพระองค์ โดยการส่งพระบุตร ก็คือการให้ ต้องจำตรงนี้ไว้ นี่คือเคล็ดลับ นี่คือเคล็ดลับว่ารักแท้ต้องให้ ไม่ใช่เอา รักแท้ต้องให้ ไม่ใช่เห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัว ก็คือเอานะครับ

นี่คือตัวอย่าง และได้เห็นตัวอย่าง และรับความรักตามแบบอย่างของพระเจ้าแล้ว เข้ามาในตัวเรา เพราะเราเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว เราได้สัมผัสกับความรักแล้ว บัดนี้ เราเป็นการฝีมือชิ้นเอกของพระเจ้า ในพระเยซูคริสต์แล้ว เพราะเราเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ เชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรของพระเจ้าที่ทรงประทานให้กับเรา มาตายที่ไม้กางเขน เพื่อเราทั้งหลาย ชำระบาปให้กับเรา เป็นแพะรับบาปแทนเรา

“พระองค์ไม่ได้ทำผิดบาปอะไรเลย แต่ต้องมารับบาปแทนฉัน ทำให้ฉันเป็นอิสรภาพ ไม่ต้องไปชดใช้บาปเวรกรรมอีกต่อไป นี่ฉันรับเอาความรักนี้ ที่พระเจ้าเมตตาให้กับฉันมา”

นี่คือพอเรารู้อย่างนี้ปุ๊บ เราก็จะเริ่มทดแทนพระคุณของพระเจ้า ด้วยการดำเนินชีวิต ด้วยความรักแบบเดียวกัน สำแดงความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ที่พระองค์ทรงกระทำในชีวิตของเรา ให้ปรากฏกับคนอื่นๆ รอบข้างเราแบบนี้เหมือนกัน นี่คือเป้าหมาย จะให้

“เพราะฉันได้รับมาจากพระเจ้าแล้ว ฉันเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์แล้ว ฉันเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ในพระเยซูคริสต์แล้ว บัดนี้ สิ่งที่ฉันต้องทำ ก็คือฉันต้องให้ความรักอย่างนี้ออกไป มากเท่าที่ฉันจะสามารถทำได้ โดยการที่ฉันขอจากพระเจ้า”

ต้องตระหนักอยู่เสมอ และวิธีเดียวที่จะทำให้ผู้คนรอบข้างเห็นถึงความยิ่งใหญ่ของผู้สร้าง หรือพระเจ้าของเราได้ ก็คือผ่านการดำเนินชีวิตของเรา โดยผ่านความรักแท้อย่างนี้แหละ วาเลนไทน์ทุกวัน วันแห่งความรักทุกวัน และทุกคน ถ้าทำได้แบบนี้ ลองคิดดูนะ ถ้าทุกคนทำได้ตามแบบอย่างนี้ ท่านลองนึกภาพสิครับ แค่วันนี้เราคุยกันไม่ถึงชั่วโมง ถ้าทุกคนบนโลกใบนี้ มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ทำได้แบบนี้ ไม่ยากเลยนะครับ โลกนี้จะสวยงามมากขึ้นสักแค่ไหน? รับรองได้เลยว่าปัญหาต่างๆ ที่เราอ่านดูในหน้าหนังสือพิมพ์หรือข่าวต่างๆ ความสับสนวุ่นวายต่างๆ มันจะหมด ลดน้อยลงไปอย่างแน่นอน

ให้วันวาเลนไทน์ วันแห่งความรักนี้ เป็นวันที่เราจะได้ใคร่ครวญสิ่งที่เราได้รับมาแล้วจากพระเจ้า คือความรักแท้ และความเสียสละที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ที่พระเจ้ามอบให้กับเรา และมีหน้าที่ส่งต่อความรักของพระเจ้า ที่มีอยู่ในเรานี้ ไปยังผู้คนรอบข้าง ต้องหมั่นฝึกฝนตนเอง ในความรักนี้ แบบนี้นะครับ มันต้องฝึกฝนนะครับ ไม่ใช่มาเรียนวันนี้ แล้ว

“ฉันรู้แล้ว ไปทำได้”

ไม่ใช่ แล้วไม่ใช่ว่าท่านจะสอบผ่านเสมอ มันต้องมีการสอบตกบ้าง  ทำไม่ผ่านบ้าง โดนการทดลอง ไม่ผ่านการทดลอง แต่อย่าท้อใจ อธิษฐานกับพระเจ้า แล้วก็ทำต่อไปๆ ท่านจะดีขึ้นเรื่อยๆ ท่านจะสอบผ่านขึ้นเรื่อยๆ ท่านจะดำเนินชีวิตด้วยความรักแท้ของพระเจ้าได้มากขึ้นเรื่อยๆ ท่านจะเป็นหนึ่งเหมือนพระเยซูได้มากขึ้นเรื่อยๆ เอเมน

ทำให้กับใครผู้คนรอบข้าง พ่อ แม่ ญาติ พี่น้อง ผู้คนรอบข้าง สังคมโลกใบนี้ทั้งหมดเลย รวมทั้งหมดบนโลกใบนี้เลย แต่เริ่มต้น ที่ไหน? วันนี้พระเจ้าพาท่านไปไหน? คบกับใคร? นั่นแหละ คนนั้นแหละ คือคนที่พระเจ้าบอก

เพราะฉะนั้น ทุกเช้าของเรา จะเป็นเช้าแห่งการเรียนหนังสือทุกเช้า พระเจ้าก็จะพาเราเดินไป วันนี้ไปเรียนกัน เรียนวิชาเดียว วิชารักแท้ของพระองค์ ไม่มีเรื่องอะไรเลยนะ อาหารการกินไม่ต้องห่วง เดี๋ยวพระเจ้าเลี้ยงดูให้เรา ความปลอดภัยทุกอย่างพระเจ้าดูแลให้เรา อะไรอีกแหละ ดูแลให้หมดเลย สติปัญญา เดี๋ยวประทานให้ สิ่งเดียวที่พระเจ้าทำให้เราไม่ได้ ก็คือจะนำ บังคับให้เรามีความรักแท้ เหมือนพระองค์ ไม่ได้ ไป ไปด้วยกันเลย วันนี้จะไปฝึกฝนความรักแท้ด้วยกัน พร้อมไหม? ตื่นแต่เช้ามา พระเจ้าถาม …

“พร้อมไหม?”

“พร้อม”

ออกไป โดนรถชนเลย รถเมล์ก็ไม่ยอมจอดให้เรา โมโหไหม?  ถูกแล้ว ต้องการพูดอย่างนี้  มันต้องพูดตรงๆ เลย โมโหสิ แต่พระเจ้ากำลังสอนเรา

“โอเคๆ ครับ / ค่ะ พระเจ้า ดีแล้ว พระเจ้าต้องมีอะไรดีกว่านั้น อาจจะให้เราไปคันที่สอง ซึ่งดีกว่า”

ได้ฝึก อย่างนี้ ฝึกทุกวัน แล้วยังมีหลายๆ เรื่องอีก วันนี้เปิดไลน์ไปเจออะไร? จะมีใครมาพูดว่าอะไรเราหรือเปล่า? หาข้อความที่อ่านแล้วกระแทกจิตใจเราหน่อย อย่าอ่านคำชมมาก พออ่านคำกระแทก พระเจ้าพามาวันนี้

“จะสอนอะไรลูกอีกล่ะพระเจ้า”

อันนี้เตรียมไว้ก่อน แล้วก็คุยอย่างนี้ได้ แต่พอจ๊ะเอ๋มาทีหนึ่ง มันไม่ทำอย่างนี้นะ มันไม่ไหวเหมือนกันนะ มันเอะอะโวยวายเหมือนกันใช่ไหม? เพราะฉะนั้น เราต้องเตรียมไว้ แล้วก็รู้ตัวตลอดเวลา ให้ทุกอย่างก้าวในชีวิตของเรา สะท้อนให้เห็นถึงคุณค่าแห่งการเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก เอเมน  ขอพระเจ้าอวยพรครับ