วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1448

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  24  ธันวาคม  2023 (ช่วงเช้า)

เรื่อง “ทำไมพระเยซูผู้ทรงเป็นพระเจ้า ต้องมาเกิดเป็นมนุษย์”

โดย  นคร  เวชสุภาพร

            ชื่อเรื่อง “ทำไมพระเยซูผู้ทรงเป็นพระเจ้า ต้องมาเกิดเป็นมนุษย์” เราลองคิดดูสิว่าทำไมพระเยซู ผู้ทรงเป็นพระเจ้า ต้องมาเกิดเป็นมนุษย์

            ความจริงเกี่ยวกับความเป็นมาของมนุษย์และโลกที่พระเจ้าทรงสร้าง และให้กำเนิดขึ้น เอาแบบคร่าวๆ พอนะ ความจริง ก็คือพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ ให้กำเนิดมนุษย์ตามพระฉายาของพระองค์ ให้เหมือนพระองค์ มนุษย์ที่พระเจ้าสร้าง เหมือนพระองค์ คือเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเจ้า  เกิดจากหน่อเชื้อ หรือเลือดเนื้อเชื้อไข ทางฝ่ายวิญญาณจากพระเจ้า  ที่บริสุทธิ์ เรียกว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า  เกิดจากตรงนี้แหละ ความบริสุทธิ์  ก็คือเกิดจากวิญญาณนิรันดร์ของพระเจ้า มาเป็นวิญญาณของมนุษย์ แล้ววิญญาณของมนุษย์ก็อาศัยอยู่ในร่างกายที่เรามองเห็นกันอยู่นี้ ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลได้บันทึกว่าเป็นร่างกายที่พระองค์ทรงเอามาจากธาตุทั้ง 4 ของโลกใบนี้ ก็คือดิน ธาตุทั้ง 4 นี้มาปั้น  มาสร้างเป็นร่างกาย แต่วิญญาณที่อยู่ข้างในนั้น เป็นวิญญาณที่มาจากพระเจ้า  อาศัยในร่างกาย เรือนดินนี้ ซึ่งดิน ภาษาเดิม ใช้คำที่เราได้รู้กันหมด  ลูกพระเจ้ารู้คำนี้ คือคำว่า “อาดัม”

            อาดัม แปลว่าดิน  อาดัม แปลว่ามาจากดิน  ต้นกำเนิด คือบรรพบุรุษของเรานั้น ก็คืออาดัม คือมาจากดิน  แต่มีพระสิริของพระเจ้า คือพระวิญญาณของพระเจ้า เป็นหน่อเชื้อในวิญญาณที่บังเกิด เริ่มสร้าง แล้ววิญญาณที่อยู่ภายในเรือนดินนี้ ก็เต็มด้วยพระสิริของพระเจ้า  พระสิริของพระเจ้าก็ปกคลุมทั้งหมด ทั้งวิญญาณ ซึ่งมีจิตใจอยู่ในนั้น และปกคลุมไปถึงร่างกายที่เป็นเรือนดินนั้น นึกภาพนะ นี่คือความจริงคร่าวๆ ของต้นกำเนิดของสรีระ ร่างกายของมนุษย์

            แล้วพระเจ้าก็ประทานสิทธิ อิสรภาพในการตัดสินใจ ในทุกเรื่อง ให้กับมนุษย์ที่ทรงสร้างขึ้นมา ให้ครอบครอง มีความสุขกับทุกสิ่งสารพัด ทุกอย่างที่พระองค์ทรงสร้างอย่างดี สมบูรณ์ครบถ้วน พระองค์บอกว่าทุกสิ่งล้วนเป็นสิ่งที่ดีทั้งสิ้น และให้เชื่อฟัง พระองค์ว่าทุกสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำนั้น ดี สมบูรณ์ ครบถ้วนแล้ว  พระเจ้าตรัสอย่างนั้นแหละ บอกมนุษย์ว่ามันดี สมบูรณ์ ครบถ้วนแล้ว  ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติมอีกเลย

            นึกถึงภาพว่าพระเจ้าสร้างเสร็จ แล้วบอกมนุษย์อย่างนี้แหละ  เราคุ้นๆ กับชีวิตของเราปัจจุบันไหม? ความรู้สึกคุ้นๆ ไหม?  ทำให้ดี ครบถ้วนบริบูรณ์เลย  ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติมแล้ว เวลาเรามีลูก เราพูดกับลูกเราอย่างนี้แหละ  ลูกเราไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติมแล้ว  เขาก็เป็นลูกเรา  เกิดมาปุ๊บ เป็นลูกเรา เกิดมาจากครรภ์มารดา ก็เป็นลูกเราแล้ว แล้วเราก็บอกเขาว่าไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติมที่จะเป็นลูกเราหรอก เพราะเป็นแล้ว ถูกไหม? ซึ่งเราเรียกกันว่า “พระคุณ” ถ้าเผื่อเป็นมนุษย์ธรรมดา เราก็เรียกกันว่า “บุญคุณ” บุญคุณของพ่อแม่  ให้ความรักกับเราอย่างนี้ คือให้ลูกเดียวเลย

            นี่คือความจริงของการเริ่มต้นครอบครัวของพระเจ้า ซึ่งมีมนุษย์เป็นลูกของพระองค์ แล้วก็สั่งลูก สอนลูก  โดยสั่งว่า …

            “อย่ากินผลไม้จากต้นแห่งความดีและความชั่ว เพราะถ้าวันใดฝืนคำสั่ง ไม่เชื่อฟังกินผลไม้นั้น เจ้าจะต้องตาย และพระสิริของเรา ก็จะหลุดออกไปจากเจ้า คือเจ้าจะต้องตาย จากเราออกไป”

            พูดง่ายๆ ว่าอย่าทำนะ อย่าออกจากบ้านนะ ออกไปจากบ้าน ตายแน่เลย สั่งไว้อย่างนั้น ไม่ต้องไปรู้หรอกความดี ความชั่ว ให้เชื่อฟังพระองค์อย่างเดียว ไม่ต้องรับผิดชอบในการพึ่งพาการทำความดี ความชั่วด้วยตนเอง ไม่ต้องพึ่งพาความคิดของตนเอง เป็นลูกของเรา เราทำให้ทุกอย่างดีเรียบร้อยแล้ว ให้กำเนิดมา เพื่อว่ามนุษย์จะพึ่งในพระองค์เพียงอย่างเดียว และได้รับสิ่งที่ดีๆ เรียกว่ากฎแห่งพระคุณ ไม่ต้องออกไป 0เจ้าออกไปนอกบ้าน ออกจากสวรรค์ไป ไม่มีพ่ออยู่ เจ้าอยู่ด้วยตัวเองไม่ได้หรอก เตือนอย่างนั้นแหละ

            บันทึกไว้ในปฐมกาล บทที่ 1 ข้อ 27 กับข้อ 31 อย่างนี้นะ ลองอ่านดู คือตัวยืนยันว่าพระองค์ทรงสร้างมนุษย์อย่างไร? …

        ปฐมกาล 1:27, 31 “27 พระเจ้าจึงทรงสร้างมนุษย์ขึ้น  ตามพระฉายาของพระองค์  ตามพระฉายาของพระเจ้านั้น  พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ขึ้น  และทรงสร้างให้เป็นชายและหญิง 31 พระเจ้าทอดพระเนตรสิ่งทั้งปวงที่พระองค์ทรงสร้างไว้ ดูสิ ทรงเห็นว่าดียิ่งนัก มีเวลาเย็นและเวลาเช้า เป็นวันที่หก”

            พระเจ้าทอดพระเนตรสิ่งทั้งปวง ที่พระองค์ทรงสร้างไว้  โดยเฉพาะอย่างยิ่งมนุษย์ …

            “ดูสิ ลูกเราน่ารักมากเลย คลอดออกมาแล้ว ดูสิ พระองค์เห็นว่าดียิ่งนัก”

            ไม่ใช่ดีธรรมดา ดียิ่งนัก หมายถึงดีเลิศ ประเสริฐศรีเลย นี่คือความรู้สึก สายตาของพระเจ้า  ที่มีต่อลูกของพระองค์ ที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมา ที่เรียกว่ามนุษย์ มวลมนุษย์ เริ่มต้นจากบรรพบุรุษ คืออาดัม ปฐมกาล 2:7 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        ปฐมกาล 2:7 “พระยาห์เวห์ พระเจ้า ทรงปั้นมนุษย์ ด้วยผงคลีจากพื้นดิน ระบายลมปราณเข้าทางจมูกของเขา  มนุษย์จึงกลายเป็นผู้มีชีวิตอยู่”

            ตรงนี้เป็นความจริงอันดับแรกเลยของมวลมนุษยชาติ  ที่จะรู้เรื่องพระเยซูคริสต์ รู้เรื่องสวรรค์ที่แท้จริง  รู้เรื่องพระเจ้าผู้ทรงเที่ยงแท้แต่เพียงพระองค์เดียว แม้ว่าจะมีเรื่องอยู่แค่บรรทัดเดียว แค่นี้เอง แต่เป็นสิ่งสำคัญมากเลย ที่ไม่ค่อยมีใครได้พูดกัน และเป็นเรื่องจริงที่สั้นๆ  แต่ยากเหลือเกินที่มนุษย์จะเข้าใจเรื่องนี้  เป็นกระดุมเม็ดแรกของมนุษยชาติ  ถ้าอยากจะรู้เรื่องพระเจ้า  อยากจะรู้ว่าพระเยซูเป็นใคร?  อยากจะรู้ว่าสวรรค์เป็นอย่างไร? ต้องเรียนรู้ความจริงอันดับแรก กระดุมเม็ดนี้ก่อนเลย คือว่าพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ ด้วยผงคลี จากพื้นดิน พวกเราก็รู้ คือร่างกาย และระบายลมปราณ  “ลมปราณ” นี้คือพระวิญญาณของพระเจ้า เข้าไปในจมูกของเขา คือเข้าไปในตัวของเขา มนุษย์จึงกลายเป็นผู้มีชีวิต ก็คือเป็นสิ่งที่มีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์

            เพราะฉะนั้น มนุษย์เป็นวิญญาณ  เรามัวแต่ใช้เวลาศึกษากันเยอะแยะ ทั้งวิทยาศาสตร์ ทั้งปรัชญา ทั้งอะไรต่างๆ  เพื่อจะศึกษาหาความจริงของโลกวัตถุ คือโลกใบนี้ คือดิน เยอะแยะไปหมดเลย ซึ่งเป็นประโยชน์ไหม? เป็นประโยชน์  แต่พระเยซูบอกเป็นประโยชน์น้อยกว่ามากเลย ที่จะรู้ความจริงเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ ตัวท่านเป็นใคร? ตรงนี้ ลึกซึ้งกว่าเยอะ  ปฐมกาล 2:16-17 …

        ปฐมกาล 2:16-17 “16 พระยาห์เวห์ พระเจ้า จึงตรัสสั่งมนุษย์นั้นว่า “ผลไม้ทุกอย่างในสวนนี้ เจ้ากินได้ตามใจชอบ 17 แต่ผลของต้นไม้แห่งการรู้ถึงความดีและความชั่วนั้น ห้ามเจ้ากิน เพราะในวันใดที่เจ้ากิน เจ้าจะต้องตายแน่”

            พูดง่ายๆ ก็คืออย่างตะกี้นี้ที่บอก … “ลูกอย่าไปเชื่อฟัง อย่าไปคิดออกจากบ้าน ถ้าออกจากบ้านไปนะ  เจ้าจะลำบาก เจ้าอย่าออกไปจากสวรรค์ พ่อทำไว้อย่างดี เรียบร้อยแล้วทั้งหมดเลย เจ้าออกไป รับผิดชอบตนเองไม่ได้หรอก”

            พูดง่ายๆ คือแค่นี้ สิ่งที่พ่อทำให้ ดียอดเยี่ยมทั้งหมดแล้ว คิดดูสิ ผลไม้ทุกอย่างในสวนนี้ เจ้ากินตามชอบใจได้  เล็งให้เห็นถึงสิ่งสารพัดมันเยอะมากเลย ที่พระองค์ทรงสร้าง  โลกทั้งใบ สรรพสิ่ง ธรรมชาติทุกอย่าง ดวงดาว ดวงจันทร์ มหาจักรวาลนี้ สร้างเพื่อโลกทั้งนั้น แล้วโลก สร้างเพื่อมนุษย์ เป็นบ้านของมนุษย์ ดีงาม ครอบครองไปเลย  ขออย่างเดียว คือเชื่อฟังพ่อนะ  อย่าหลงไปเชื่อใครอื่น ที่เขาหลอกลวง อย่าออกจากสวรรค์ อย่าพึ่งตนเอง  อย่าไปรับผิดชอบว่า …

            “ฉันทำดี ฉันทำยอดเยี่ยม”

            พ่อทำไว้ดี ครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว และบันทึกไว้ว่าความจริงก็เกิดขึ้น  ก็คือมนุษย์ถูกล่อลวงจริงๆ โดยมาร  และเราก็รู้กันอยู่แล้ว มนุษย์ตัดสินใจ เชื่อคำล่อลวงเหล่านั้น ก็คือฝืน  ไม่เชื่อคำเตือนของพระเจ้า ที่บอกไว้  ก็คือการตัดขาดตนเองออกจากการเป็นลูกของพระเจ้า  ออกจากสวรรค์ ออกจากบ้านไป กลายมาเป็น ไม่อยากจะบอกว่าเป็นลูกมาร ในพระคัมภีร์ใช้คำว่า “ทาสมาร” จากการเป็นลูกพระเจ้า กลายมาเป็นทาสมาร

            คำว่า “ทาสมาร” อย่าไปนึกว่ามารมีฤทธิ์อำนาจยิ่งใหญ่ มาเป็นทาส ไม่ใช่นะ มารก็คงไม่มีอำนาจอยู่เหมือนเดิม ใช้คำหลอกลวงเหมือนเดิม ล่อลวงเหมือนเดิม มนุษย์ออกจากสวรรค์มา ออกจากบ้านมา จากอยู่ในกฎแห่งพระคุณ ไม่ต้องรับผิดชอบ ไม่ต้องทำอะไรเลย ออกมาดูแลชีวิตด้วยตนเอง จะมาทำดีด้วยตนเอง ละชั่วด้วยตนเอง  ก็คือมารับผิดชอบด้วยตนเอง  มาอยู่ในกฎแห่งกรรม แทนที่จะเป็นกฎแห่งพระคุณ ไม่ต้องทำอะไรเลย พระเจ้าจะดูแลให้หมด ฉันจะออกมาดูแลตัวฉันเอง  ฉันจะอยู่ในกฎแห่งกรรม

            “กฎแห่งกรรม” คือฉันทำ ฉันได้ ฉันจะพยายามทำดี ด้วยตัวฉันเอง ฉันจะเท่ห์แล้วล่ะ  ซึ่งความคิดนี้ มันเริ่มต้นจากสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง ก็คือวิญญาณที่เป็นทูตสวรรค์ที่ชื่อ ลูซีเฟอร์ ก็คือตัวของมารนั่นเอง มันเกิดขึ้นในมารก่อน  เรียกว่าไม่เชื่อฟัง เรียกว่ากบฏ คิดว่าตัวเองแน่  และมาล่อลวงอาดัม บรรพบุรุษของเรา ตกลงไปในสิ่งที่เรียกว่ากฎแห่งความบาปและความตาย ฉันจะอยู่ในกฎแห่งความบาปและความตาย ฉันจะดูแลตัวฉันเอง  ฉันจะพึ่งพาตัวฉันเองในการกระทำดี ละชั่ว ที่เรียกว่ากฎแห่งกรรม

            กฎแห่งกรรม คือกฎแห่งการกระทำ เราทำดี เราได้ดี เราทำชั่ว เราได้ชั่ว ถามว่าอาดัมและเอวาตัดสินใจ เป็นสิ่งที่ดีไหม? ดีนะ ตามความคิดของมนุษย์ เห็นว่าดี มารมีสติปัญญาในการหลอกลวง ล่อลวงอย่างแนบเนียนมาก  มันไม่ได้ล่อลวงเราทำไม่ดีนะ มันล่อลวง ดูเหมือนทำดี  แต่มันทำไม่ได้ เพราะว่าในความเป็นจริงแล้ว  ไม่มีมนุษย์ผู้ใดที่จะสามารถทำดี ละชั่วได้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ไม่มีทางที่มนุษย์จะสามารถทำตัวเองให้สะอาดบริสุทธิ์เหมือนเดิม  คือเหมือนพระเจ้าได้  เพราะว่าเมื่อออกจากบ้านไป  พระสิริของพระเจ้าได้จากมนุษย์ไปเรียบร้อยแล้ว  วิญญาณของมนุษย์ที่พระเจ้าบอกว่าอย่าออกไปนะ ออกไปเจ้าจะตายนะ  เจ้าดูแลตัวเองไม่ได้หรอก  มนุษย์สลัดเอาพระสิริของพระเจ้าออกไป จากชีวิตของตน เขาได้ทำผิดจากเป้าหมาย ความประสงค์ของพ่อ ที่สร้างเขามา ให้เขามีความสุข อยู่ในพระคุณ  อยู่ในความดีงาม สิ่งต่างๆ ที่พระองค์ทรงสร้าง เขาตัดสินใจออกไปจากพระคุณ ออกไปจากสิ่งดีงามต่างๆ เหล่านั้น ผิดจากเป้าหมายที่พระเจ้าได้วางไว้ สำหรับเขา การผิดเป้าหมาย ภาษาพระคัมภีร์เรียกว่า “บาป”

            มนุษย์ตกไปในความบาป ก็คือมนุษย์ตกลงไปในการดำเนินชีวิต อยู่ในกฎแห่งกรรม กฎแห่งการกระทำรับดีรับชั่วด้วยตัวเอง ซึ่งผิดเป้าหมายจากพระประสงค์ของพระเจ้า เรียกว่าบาปนั่นเอง

            มนุษย์ทำชั่ว คืออะไร?  กระทำชั่ว คือทำบาป คือคนบอกว่าทำชั่ว คือทำสิ่งที่ไม่ดีอะไรต่างๆ เหล่านั้น จะบอกให้ ทำชั่ว คือทำอะไรก็ตามที่ไม่ได้อยู่ในความประสงค์ของพระเจ้า เป้าหมายของพระเจ้า ไม่มีชั่วมาก ชั่วน้อย  มีแต่ว่าไม่ใช่พระประสงค์ของพระเจ้า พระประสงค์ของพระเจ้าไม่ใช่อย่างนั้น  พระประสงค์ของพระเจ้า ให้เราอภัยให้คนอื่น เราทำไม่ได้ เท่ากับเราทำบาป แค่นั้นเอง นี่คือพระประสงค์ของพระเจ้า

            และเมื่อมนุษย์ไม่สามารถทำตัวเองให้บริสุทธิ์ดีพร้อมเหมือนเดิมได้ ได้อำนาจของความบาปและความตายนั่นแหละ นึกภาพออกไหม?  เพราะทำไม่ได้

            แรกๆ บอก … “ฉันจะทำด้วยตัวเอง ฉันทำได้ๆ”

            พระเจ้าบอก … “ทำไม่ได้”

            “ฉันจะทำให้ได้”

            พอทำไม่ได้ ก็เกิดการฟ้องผิด  ก็อยู่ในกฎของความบาปและความตาย ต้องรับโทษ การรับโทษ เรียกว่าถูกพิพากษา ตามมาด้วยอะไร? พอโดดเข้ามาอยู่ในกฎแห่งกรรม  กระทำดี กระทำชั่วปุ๊บ สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้น เป็นผล ก็คือคำสาปแช่ง  เกิดตามกฎที่บอกไว้ เมื่อทำไม่ได้ ทำชั่ว ไม่ทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า  ไม่ตามกฎที่พระเจ้าวางไว้  ก็ได้สิ่งที่ไม่ดีเข้ามา สิ่งที่ไม่ดีเหล่านี้ เขาเรียกว่า “คำสาปแช่ง” ก็คือพูดง่ายๆ ตรงกันข้ามกับพระพร เมื่อเชื่อฟังพระเจ้า  ได้พร ได้สิ่งที่ดีๆ พรต่างๆ เหล่านั้น ก็หายไป กลายเป็นคำสาปแช่ง ถูกพิพากษาลงโทษ ให้อยู่ในคำสาปแช่งนี้ ซึ่งเป็นไปตามกฎที่พระเจ้าได้วางไว้ และเตือนไว้ล่วงหน้าแล้วว่าอย่า พูดง่ายๆ เหมือนที่เราบอกลูกว่าอย่าออกจากบ้านไปนะ เจ้าออกไป เจ้าเละแน่เลย  ผู้คนหลอกลวง ล่อลวง บอกอย่าติดยาเสพติด อย่าไปเชื่อเขา อย่าไปลองเสพนะ  แล้วลูกเราไปเสพ แล้วก็เละตุ้มเป๊ะ ชีวิตล้มไปทั้งชีวิตเลย ทุกข์ทรมาน เหมือนกัน คล้ายๆ กัน

            ความจริง ตามกฎของพระเจ้าบอกว่าค่าจ้างของความบาป คือความตาย แทนที่จะอยู่ในพระคุณของพระเจ้า พระคุณของพระเจ้าได้มาเปล่าๆ  เป็นของขวัญที่พระเจ้าให้  ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลย แต่นี่มนุษย์อยากจะเข้าไปอยู่ในนี้  อยากจะทำด้วยตนเอง ค่าจ้างของความบาป ก็คือเมื่อไม่เป็นไปตามพระประสงค์ของพระเจ้า  ไม่เป็นไปตามเป้าหมายของพระเจ้า อยากออกมาทำเองใช่ไหม? อยู่ในพระคุณสบายๆ ไม่เอา ออกมาเหนื่อยด้วย เหนื่อยแล้วได้อะไร? ค่าจ้างของความบาป ก็คือเหนื่อยในการไม่เชื่อฟังพระเจ้า ทำด้วยตนเอง เกิดความตาย นี่คือสัจจธรรม ไม่ได้พระพร มีแต่คำสาปแช่ง จนถึงนิรันดร์เลย ที่ผมใช้อยู่บ่อยๆ คือมนุษย์แทนที่จะอยู่ในที่สบายๆ กลับตัดสินใจมาอยู่ในกฎของคำสาปแช่ง กฎของความบาป พึ่งพาตนเอง อยู่ในกฎของความพยายามอยู่ที่ไหน? แล้วก็บอกว่าความสำเร็จอยู่ที่นั่น  ซึ่งมันไม่มีจริง ถูกมารหลอก มนุษย์ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาให้พึ่งพาในตนเอง แต่มนุษย์ถูกสร้างให้พึ่งพาในพระเจ้า

            เพราะฉะนั้น เป้าหมายของพระเจ้า ก็คือถ้าลูกจะมีความสุขได้ ลูกต้องพึ่งพาในพ่อเท่านั้นเอง เพราะถูกสร้างมาอย่างนั้น รถมอไซด์ เขาออกแบบมา มี 2 ล้อ ก็ต้องใช้แบบมอไซด์ 2 ล้อ  รถที่สร้างมาแบบ 4 ล้อ ก็ใช้แบบ 4 ล้อ จะเอา 2 ล้อมาจอด แล้วก็ลอยๆ ยืนเฉยๆ ให้มันเหมือนรถ 4 ล้อ ไม่ได้ มันก็ล้มสิ มันต้องเอาขายันไว้ ในทำนองเดียวกัน มนุษย์ถูกสร้างมาให้สุขสบาย แต่ต้องอยู่ในน้ำพระทัยพระเจ้า คือเชื่อฟัง อยู่ในพระคุณ เมื่อไม่เชื่อฟัง อยากมาอยู่ด้วยตนเอง มนุษย์ก็จะตกอยู่ในคำสาปแช่ง จนเคยชิน แล้วให้คติกับตัวเองว่า …

            “ความพยายามอยู่ที่ไหน? ความสำเร็จก็อยู่ที่นั่น”

            พระเจ้าบอกไม่ใช่หรอก ไม่จริงหรอก  พระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์บอกว่าความพยายามอยู่ที่ไหน? ความพยายามก็อยู่ที่นั่นแหละ  ก็ทำต่อไป  เหมือนหนูถีบจักร อยู่ในวัฏจักรแห่งกรรม  ทำไปเถอะ ถีบไปๆ  ค่าแรงค่าจ้างในการถีบจักรอย่างดี  จะไปให้ถึงเป้าหมาย อยู่ที่เดิม เหนื่อยเปล่า อยู่ในความตาย แต่ถ้าอยู่ในพระคุณของพระเจ้า คือออกจากกฎแห่งกรรม วัฏจักรแห่งกรรม แล้วมานอนอยู่ที่บันไดเลื่อนแล้วกัน บันไดเลื่อน ชื่อพระเยซูคริสต์ บันไดเลื่อนมันจะเลื่อนไปเองนั่นแหละ เอเมนไหม? มองเห็นภาพไหม?

            โอเค กลับมาที่ ตั้งแต่มนุษย์ตกลงไปในความบาป พระเจ้ากับมนุษย์ก็อยู่ตรงกันข้าม  เป็นศัตรูกัน  คนหนึ่งอยู่ในสวรรค์ อีกคนหนึ่งอยู่บนโลก ที่ไม่มีพระเจ้าอยู่ อยู่คนละกฎกัน  ก็เป็นศัตรูกัน เข้ากันไม่ได้ พูดง่ายๆ ว่าพระเจ้าเป็นความสว่าง มนุษย์และโลก ก็อยู่ในความมืด เข้ากันไม่ได้  พระเจ้าเป็นความชอบธรรม เป็นความบริสุทธิ์ ก็เข้ากันไม่ได้ มนุษย์กับโลกก็เป็นความบาป  ความบาป คือการผิดเป้าหมาย โลกที่ถูกสร้างมาดีๆ เสียหายหมดเลย บ้านเละตุ้มเป๊ะ มนุษย์ก็เสียหายไปหมด อยู่ในคำสาปแช่ง มนุษย์จึงกลายเป็นคนบาป คนชั่ว โดยกำเนิดเกิดมาเป็น ทั้งโลกเป็นหมด  รวมทั้งหมนุษย์เกิดมาก็เป็น  เพราะว่ามนุษย์ทุกคนก็เกิดมาจากบรรพบุรุษ เราก็เกิดมาจากปู่ของเรา  ปู่เราก็เกิดมาจากทวด ทวดก็ไล่มาเรื่อยๆ  จนกระทั่งมนุษย์เกิดมาจากอาดัมนั่นแหละ อาดัมที่เราเรียนรู้เมื่อตะกี้นี้ว่า เป็นวิญญาณที่มาจากพระเจ้า พระเจ้าไม่ได้อยู่ในอาดัมแล้ว วิญญาณของอาดัม ไม่มีพระเจ้าอยู่ ไม่มีพระสิริของพระเจ้าอยู่แล้ว มีอะไรแทน มีบาป มีตัวตนของตัวเองอยู่ในนั้น ไม่ใช่มีมารนะ มีตัวตนของตัวเอง ทำด้วยตัวเอง เย่อหยิ่ง จองหอง เห็นแก่ตัว ทุกอย่าง ฉันเป็นใหญ่

            นี่แหละ คือสิ่งที่เกิดขึ้นของมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้  เพราะฉะนั้น มนุษย์ทุกคนจึงกลายเป็นคนบาป คนชั่วโดยกำเนิด เกิดมาเป็น  ไม่ใช่ไปทำชั่ว แต่วิญญาณข้างในมันชั่ว เพราะไม่ได้อยู่ในน้ำพระทัยพระเจ้า เดี๋ยวมันทำอะไรต่างๆ เป็นอาการ การประพฤติออกมา ก็จะเป็นการประพฤติที่ไม่ตรงกับน้ำพระทัยพระเจ้า ยกตัวอย่างน้ำพระทัยพระเจ้า พระเจ้าต้องการให้เขารู้ว่าเขามาจากไหน? เขามาจากพระเจ้าผู้เที่ยงแท้แต่เพียงพระองค์เดียว  แต่เขาไปกราบไหว้ภูเขาไฟ แล้วคิดว่าภูเขาไฟให้กำเนิดเขามา  แค่นี้เขาเรียกว่าทำชั่วแล้ว

            เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ทำอย่างไร? ความจริงแล้วพระเจ้าก็วางแผน ช่วยกู้มนุษย์ ให้รอดพ้นจากความพินาศนี้ จากสถานะนี้  จากการพิพากษาลงโทษ จากการเป็นคนบาป จะช่วยกู้เรา จึงวางแผนการ และแผนการนั้น ก็คือทรงให้พระบุตร คือพระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์  เป็นตัวแทนของมนุษย์พันธุ์ใหม่ พันธุ์ที่ไม่ใช่อาดัม ที่ล้มลงไปในความบาป ปฐมกาล 3:15 จึงได้บันทึกไว้อย่างนี้เลยว่าหลังจากที่มนุษย์ล้มลงในความบาป เชื่อมาร เกิดเหตุขึ้นในครอบครัวของพระเจ้า มนุษย์หลุดออกจากบ้านพระเจ้า หลุดออกจากสวรรค์ไปแล้ว หลุดออกจากพระสิริไปแล้ว อะไรเกิดขึ้น พระเจ้าวางแผนการอย่างไร? …

        ปฐมกาล 3:15 “เราจะให้​เจ้​ากับหญิงนี้​ เป็นปฏิปักษ์​กัน ทั้งเชื้อสายของเจ้ากับเชื้อสายของนาง เชื้อสายของนาง จะกระทำให้หัวของเจ้าแหลก และเจ้าจะกระทำให้ส้นเท้าของท่านฟกช้ำ”

            นี่เล็งให้เห็นถึงพระเยซูคริสต์ที่จะมาเกิดเป็นมนุษย์  เพื่อเป็นตัวแทนมนุษย์พันธุ์ใหม่ “ทั้งเชื้อสายของเจ้าและเชื้อสายของนาง” เชื้อสายของเจ้า เล็งถึงเชื้อสายของอาดัม ที่มารล่อลวงให้เชื่อฟัง เมื่อเชื่อมาร ก็เหมือนกับเป็นลูกหลานของมาร จริงๆ ไม่ใช่เป็นลูกหลาน แต่ไปเชื่อเขาไง ในพระคัมภีร์บอกว่าถ้าเชื่อใคร ก็เป็นทาสคนนั้น  ก็คือเชื่อฟังเขา

            เพราะฉะนั้น “เชื้อสายของเจ้า” ก็คือเชื้อสายของมนุษย์ทุกคน ที่อยู่ในอาดัม ซึ่งตกอยู่ใต้ความบาป โดนหลอกลวง โดยมารนั้น จะเป็นศัตรู อยู่ตรงกันข้ามกับเชื้อสายของนาง

            “เชื้อสายของนาง” ตรงนี้ หมายถึงหน่อเชื้อ  หน่อเชื้อตรงนี้หมายถึงพระเยซูคริสต์ เพราะภาษาเดิม หน่อเชื้อ ตรงนี้ เป็นเอกพจน์  ไม่ใช่เป็นพหูพจน์  ไม่ใช่หมายถึงหน่อเชื้อต่างๆ แต่หน่อเชื้อตรงนี้ หมายถึง 1 เดียว ที่เกิดจากหญิง  ปกติแล้ว พระเจ้าให้กฎเกณฑ์ไว้ว่ามนุษย์สืบเผ่าพันธุ์มาจากผู้ชายเป็นหลัก DNA ทางวิญญาณมาจากผู้ชายเป็นหลัก

            ฉะนั้น คำว่า “สืบเชื้อสาย” เขาจึงสืบเชื้อสายผ่านทางผู้ชายเท่านั้น แต่นี่บอกไว้เลยว่าเชื้อสายของนาง ก็คือเชื้อสายที่มาจากผู้หญิง ในโลกนี้ไม่มีใครเลยที่เกิดมาจากผู้หญิง  เกิดจากผู้ชายทั้งสิ้น  นี่คือกฎทางวิญญาณที่ในพระคัมภีร์บันทึกไว้

            เพราะฉะนั้น หมายถึงหน่อเชื้อ ก็คือมนุษย์คนเดียวในโลกใบนี้ ที่จะเกิดจากหญิง  โดยไม่มีชายเกี่ยวข้อง ก็คือแมรี่ หญิงพรหมจารี เกิดโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า  ก็คือพูดง่ายๆ วางแผนก่อนเลยว่าพระเยซูจะมาเกิดเป็นมนุษย์  ในหญิงพรหมจารี เพื่อจะช่วยเหลือมนุษย์ โดยการเหยียบหัวของเจ้าให้แหลก  “เจ้า” พูดง่ายๆ เล็งถึงมารที่จะมาหลอกลวง ล่อลวง  ให้มนุษย์ทำบาปนั่นเอง เหยียบหัวให้แหลก ก็คือทำลายความบาปและความตายออกไป เพราะถ้าเราเข้าใจอย่างนี้ จะได้ไม่ต้องกลัวมารมันมีอำนาจอะไร? ไม่มีอะไรเลย มันหลอกลวงทั้งสิ้น  โดยใช้กฎหมายนี้ มันเป็นตัวหลอกลวง  เหมือนกับมนุษย์ในปัจจุบัน  ที่เรามีลูก ลูกเราไม่รู้เรื่อง  ถูกคนข้างนอก หลอกลวง ล่อลวง บอกให้เซ็นอันนี้นะ เซ็นอันนั้นนะ ไปเชื่อฟังอะไรเขาต่างๆ ล่อลวง เช่นเดียวกัน มนุษย์ถูกล่อลวง แล้วพระเจ้าก็จะส่งพระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์  เพื่อจะได้พามวลมนุษย์ กลับคืนมาสู่สถานะเดิม

            เราจะมาดูว่าเมื่อพระเจ้าวางแผนการเริ่มต้นไว้อย่างนั้นแล้ว  แล้วในพระคัมภีร์จากนั้นมา มนุษย์ที่รู้ความจริง เรื่องเหล่านี้ ในตอนเริ่มต้น คืออาดัมและเอวา และมนุษย์รุ่นแรกๆ หลายพันปีก่อนโน้น  ก็เฝ้ารอ รอว่าเมื่อไรเด็กคนนี้  หน่อเชื้อจากหญิงนี้ จะมาสักทีหนึ่ง พระคัมภีร์เดิมใช้คำว่าพระเมสิยาห์ แปลว่าผู้ช่วยให้รอด  ทุกคนก็เฝ้ามอง  เมื่อไรพระเมสิยาห์จะมา  พระเจ้าสัญญา ท่านลองคิดดูสิ เขาจะมานั่งคิดหรือว่าต้องมานั่งรอไปอีก 1,000 ปี อีก 3,000 ปี อีก 5,000 ปี 8,000 ปี เขาไม่ได้คิดหรอก เขาก็คิดว่าพระเจ้าทำวันพรุ่งนี้แหละ มะรืนนี้แหละ แต่ละรุ่นๆ ของมนุษย์มา น่าจะเป็นพรุ่งนี้มั้ง พอมีลูกชายคนหนึ่ง ก็ดีใจ ใช่มั้งๆ ก็ไม่ใช่ แต่ที่ไม่ใช่ ตัวเขาเองก็เสียชีวิตไปแล้ว คนรุ่นใหม่ก็รอต่อไป คนนี้อาจจะใช่ ก็เลยดีใจ เมื่อมีลูกชาย แค่นั้นเอง

            เรามาดูตั้งแต่เริ่มต้นว่าในปฐมกาล พระเยซูคริสต์เป็นใคร? เป็นพระเจ้าจริงหรือไม่? พระคัมภีร์บันทึกไว้ชัดเจนว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า  แล้วมาเกิดเป็นมนุษย์อย่างไร? ยอห์น 1:1-5 ได้บันทึกอย่างนี้ว่าพระเยซูเป็นพระวาทะ คือถ้อยคำพระเจ้า  เป็นพระเจ้า เป็นพระบุตรของพระเจ้า  อยู่กับพระเจ้าตั้งแต่เริ่มต้น ก่อนที่จะสร้างอะไรทั้งหลายทุกสิ่งทุกอย่าง  เริ่มต้นขึ้นมา ก็มีพระเจ้าแล้ว  และพระเจ้าผู้นั้น ก็มีพระบุตร ชื่อว่าพระเยซูคริสต์ เพิ่งให้ชื่อทีหลัง ตอนที่ส่งลงมาช่วยมนุษย์ จึงตั้งชื่อตามหน้าที่ คือมาช่วยมนุษย์ให้รอด จึงตั้งชื่อว่าพระเยซู ซึ่งแปลว่าผู้ช่วยให้รอด เติม “คริสต์” เข้าไป ก็คือผู้ที่ถูกแต่งตั้ง เจิมไว้ให้เป็นผู้ช่วยให้รอด เรียกว่าพระเยซูคริสต์ แต่ก่อนหน้านั้น พระองค์ไม่มีชื่อ พระองค์มีนามว่าพระวาทะ ตามหน้าที่ของพระองค์ ก็คือเป็นถ้อยคำของพระเจ้า  พระเจ้าเป็นผู้วางแผน เป็นผู้คิดว่าอยากจะทำอะไร?

            ยกตัวอย่าง พระเจ้าคิดอยากจะสร้างโลก พระเจ้าก็ปรึกษา บอกพระเยซู พระเยซู คือถ้อยคำ พระเจ้าก็ตรัสออกมา “จงมีโลกเกิดขึ้น” นึกภาพนะ คำพูดนี้ คือพระเยซู แล้วพระเยซูก็ออกไป ไปถึงที่ว่างเปล่า ที่จะเกิดโลกนั้น พระเยซูไปถึงปุ๊บ ก็กดปุ่ม ให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งเป็นฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้า ทำการสร้างโลกนี้ขึ้นมา  เป็นอย่างนั้น อ่านยอห์น 1:1-5 …

        ยอห์น 1:1-5 “1 ในปฐมกาล พระวาทะ (พระเยซูคริสต์) ทรงดำรงอยู่ และพระวาทะทรงอยู่กับพระเจ้า และพระวาทะทรงเป็นพระเจ้า 2 พระองค์ทรงอยู่กับพระเจ้า ตั้งแต่ปฐมกาล 3 สรรพสิ่งถูกสร้างขึ้น โดยทางพระองค์ ในบรรดาสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมานั้น ไม่มีสักสิ่งเดียว ที่ไม่ได้ถูกสร้างขึ้น โดยทางพระองค์ 4 ในพระองค์ คือชีวิต และชีวิตนั้น เป็นความสว่างของมนุษย์  5 ความสว่างส่องเข้ามาในความมืด แต่ความมืดไม่ได้เข้าใจความสว่างนั้น”

            พระองค์เป็นชีวิต พระองค์สร้างทุกสิ่ง พระองค์มีส่วนในทุกอย่าง ที่ทรงสร้าง ส่วนหนึ่งของพระองค์เป็นต้นไม้อยู่ สร้างต้นไม้ สร้างมนุษย์ พระองค์ก็อยู่ในส่วนของมนุษย์ เมื่อไม่มีพระเยซู ก็ไม่มีชีวิตอยู่  ก็คือตายอยู่นั่นเอง  พระองค์ทรงเข้ามาในโลกใบนี้ โลกใบนี้เป็นความมืด  อย่างที่ตะกี้นี้บอก  โลกใบนี้เป็นศัตรูกับพระเจ้า พระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า เพราะฉะนั้น มาบนโลกใบนี้ โลกไม่รู้จักพระองค์ จะรู้จักได้อย่างไร? ในเมื่ออยู่คนละขั้ว ความมืดกับความสว่าง อ่านข้อที่ 10-14 ต่อ …

        ยอห์น 1:10-14 “10 พระองค์ทรงอยู่ในโลก และแม้ว่าโลกถูกสร้างขึ้น โดยทางพระองค์ แต่โลกก็ไม่ได้รู้จักพระองค์ 11 พระองค์ทรงเข้ามาในดินแดนของพระองค์เอง แต่คนของพระองค์เอง ไม่ยอมรับพระองค์ 12 ส่วนคนทั้งปวงที่ยอมรับพระองค์ ผู้ที่เชื่อในพระนามของพระองค์ พระองค์ก็ประทานสิทธิให้เป็นบุตรของพระเจ้า 13 คือเป็นบุตรที่ไม่ได้เกิดจากการสืบเชื้อสายตามธรรมชาติ หรือจากการตัดสินใจของมนุษย์  หรือจากเจตจำนงของสามี แต่เกิดจากพระเจ้า 14 พระวาทะทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ และประทับอยู่ท่ามกลางเรา พระองค์ทรงเปี่ยมด้วยพระคุณและความจริง  เราได้เห็นพระเกียรติสิริของพระองค์ คือพระเกียรติสิริของพระบุตรองค์เดียว ผู้ทรงมาจากพระบิดา”

            พระเยซูทรงอยู่ในโลก มาเกิดเป็นมนุษย์ในโลกนะ แม้ว่าโลกถูกสร้างขึ้นโดยทางพระองค์ เห็นไหมครับ?  แต่โลกไม่ได้รู้จักพระองค์ เพราะว่าตกอยู่ในความบาป  คำสาปแช่ง พระองค์ทรงเข้ามาในดินแดนของพระองค์เอง  แต่คนของพระองค์ไม่ยอมรับพระองค์ ดินแดนของพระองค์ หมายถึงชนชาติอิสราเอล ชนชาติยิวที่พระเจ้าส่งพระเยซูมาบังเกิดในหญิงพรหมจารีนี้ อยู่ในตระกูล อยู่ในเผ่าพันธุ์ของชาวยิว  ชาวอิสราเอล  แผนการของพระองค์ เริ่มต้นจากชาวอิสราเอลก่อน  แล้วข่าวดีนี้ถึงจะแพร่หลายมาถึงชาวที่ไม่ใช่ยิว ก็คือชาวต่างชาติ ใครก็ตามมนุษย์ทุกคน

            ปรากฏว่าในอิสราเอล พี่น้องแท้ๆ ตามสายเลือดของมนุษย์ ที่พระเยซูเกิดจากชาวยิว ชาวยิวไม่ยอมรับพระองค์ว่าเป็นพระเมสิยาห์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์

            ข้อ 12 จึงบันทึกว่าส่วนคนทั้งปวงที่ยอมรับพระองค์ ส่วนคนต่างชาติอื่นๆ ที่ข่าวดีถูกประกาศออกไป หมายความว่าพระเยซูมาบังเกิดแล้ว  วันคริสต์มาส คือพระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน เพื่อท่านทั้งหลาย  คนเหล่านั้นที่ยอมรับพระองค์ ยอมรับพระเยซู ผู้ที่เชื่อในนามของพระองค์ คือในนามของพระเมสิยาห์  พระผู้ช่วยให้รอด พระเจ้าองค์เดียวที่พระเจ้าพระบิดาส่งมาช่วยเหลือมนุษย์  ใครที่เชื่อในนามของพระเยซูว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระองค์ก็ประทานสิทธิ

            สิทธินี้ แปลว่าฤทธิ์อำนาจ พระองค์ก็ทรงประทานฤทธิ์อำนาจจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ ให้เขาได้บังเกิดใหม่  เป็นลูกของพระเจ้าเลย

            ข้อ 13 คือเป็นลูกที่ไม่ได้เกิดจากการสืบเชื้อสายตามธรรมชาติ  หรือจากการตัดสินใจของมนุษย์ หรือจากเจตจำนงของสามี แต่เกิดจากพระเจ้า

            เห็นอะไรบางอย่างหรือยัง? ได้เกิดใหม่ทันทีเลย  พระวาทะทรงบังเกิดเป็นมนุษย์  และประทับอยู่ท่ามกลางเรา พระองค์ทรงเปี่ยมด้วยพระคุณ และความจริง เราได้เห็น พระเกียรติสิริของพระองค์ คือพระเกียรติสิริของพระบุตรองค์เดียว ผู้ทรงมาจากพระบิดา  ก็คือผู้ที่พระเจ้าได้เจิมตั้งไว้ ตั้งแต่เมื่อตะกี้นี้ ที่เราอ่านกันในปฐมกาล

            ฟีลิปปี 2:5-7 ได้ยืนยันอีก อย่างชัดเจนว่าพระเยซูเป็นพระเจ้าจริงๆ และยอมสละสถานะพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ที่ต่ำต้อยเหมือนเราทั้งหลาย …

        ฟีลิปปี 2:5-7 ”5 จงมีจิตใจเช่นนี้ในพวกท่าน เหมือนอย่างที่มี ในพระเยซูคริสต์ 6 ผู้ทรงสภาพเป็นพระเจ้า ไม่ทรงถือว่าความทัดเทียมกับพระเจ้า เป็นสิ่งที่จะต้องยึดไว้ 7 แต่ทรงสละพระองค์เอง และทรงรับสภาพทาส ทรงถือกำเนิดเป็นมนุษย์ และทรงปรากฏอยู่ในสภาพมนุษย์”

            ยืนยันอย่างชัดเจนว่าพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงสภาพเป็นพระเจ้า ไม่ทรงถือว่าความทัดเทียมกับพระเจ้า เป็นสิ่งที่น่ายึดถือไว้ ก็คือไม่เสียดาย ไม่นึกถึงสถานะของตนเองที่เป็นพระเจ้า แต่ทรงยอมสละพระองค์เอง คือสละตำแหน่งพระบุตรของพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่ มาอยู่ในสภาพทาส ทาสคืออะไร?  ทาสของกฎของความบาปและความตาย กฎแห่งกรรม พูดง่ายๆ ว่าลงมาเกิดเป็นมนุษย์  และอยู่ภายใต้กฎแห่งกรรม  กฎแห่งการทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เรียกว่ากฎของความบาปความตาย ร่วมกับเราทั้งหลาย เหมือนกับเราเลย ไม่เหมือนเพียงอย่างเดียว คือพระองค์ทำได้ พระองค์ไม่ได้ประพฤติชั่ว ทำดีตลอดเลย แต่อยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตาย อยู่ภายใต้กฎแห่งกรรม กฎของพระองค์ คือทำแต่สิ่งที่ดีตลอด เพราะว่าวิญญาณข้างในพระองค์ เป็นวิญญาณที่มาจากพระเจ้า  แต่วิญญาณของเราเป็นวิญญาณที่หล่นหายไปจากพระเจ้าแล้ว เป็นวิญญาณบาปนั่นเอง

            กาลาเทีย 4:4-7 จึงบอกว่าสิ่งที่มนุษย์รอมา รอให้เกิดขึ้น ก็คือที่พระเจ้าสัญญาไว้ว่าจะส่งพระบุตรของพระองค์ ส่งพระมาซิฮาห์มาช่วยเหลือมนุษย์ ให้รอด ให้พ้นจากกฎของความบาปและความตาย รอจนกระทั่งลืมไปแล้ว รอจนกระทั่งนึกว่าถึงอาทิตย์หนึ่ง  อีก 2 อาทิตย์ อีกปีหนึ่ง อีก 5 ปี รอจนหลายพันปี จนในที่สุด สิ่งที่พระองค์ทรงสัญญาไว้ และบอกมาทุกรุ่นๆ 500 ปีก็บอก  200 ปีก็บอก 100 ปีก็บอก พันปีก็บอก บอกมาเรื่อยๆ เลย หนึ่งในจำนวนนั้น คือเจ็ดร้อยปีที่แล้ว  บอกไว้เหมือนกันว่าเด็กที่จะมาเกิด ที่จะมาช่วยเหลือเขาจะตั้งชื่อให้ว่าอิมมานูเอล แปลว่าพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย อ้าว! พอถึงวันเวลาจริงๆ เมื่อ 2,000 ปีผ่านมา วันคริสต์มาสแรกของโลก 2,000 ปีมาแล้ว เกิดขึ้นจริงๆ กาลาเทีย 4:4-7 ได้บันทึกไว้ …

        กาลาเทีย 4:4-7 “4 แต่เมื่อถึงกำหนด พระเจ้าได้ทรงส่งพระบุตรของพระองค์ (พระเยซู) มาประสูติจากครรภ์ของผู้หญิง ถือกำเนิดภายใต้บทบัญญัติ 5 เพื่อไถ่คนทั้งปวง ซึ่งอยู่ใต้บทบัญญัติ เพื่อเราจะได้รับสิทธิของบุตร (เป็นลูกของพระเจ้าได้) อย่างสมบูรณ์” 6 และเพราะท่านเป็นบุตรของพระเจ้าแล้ว พระองค์จึงทรงใช้พระวิญญาณแห่งพระบุตรของพระองค์ เข้ามาในใจของเรา ร้องว่าอาบา คือพระบิดา 7 เหตุฉะนั้น โดยพระเจ้า ท่านจึงไม่ใช่ทาสอีกต่อไป แต่เป็นบุตร และถ้าเป็นบุตรแล้ว ท่านก็เป็นทายาท”

            แต่เมื่อถึงวันคริสต์มาสแรกของโลก  เมื่อ 2,000 ปีที่ผ่านมา ถึงเวลาที่พระเจ้าได้ส่งพระบุตรของพระองค์ ก็คือพระเยซูคริสต์ มาประสูติจากครรภ์ของผู้หญิง  เห็นหรือยังหน่อเชื้อของหญิงพรหมจารี ไม่เกี่ยวกับผู้ชาย ถือกำเนิดภายใต้บทบัญญัตินี่แหละ คือกฎแห่งกรรม กฎแห่งการกระทำ  กฎของการทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ที่อาดัมเอาเข้ามา  ในเผ่าพันธุ์ของอาดัม มนุษย์บนโลกใบนี้ อยู่ใต้กฎนี้อยู่ พระเยซูลงมาอยู่บนโลกใบนี้  อยู่ใต้กฎนี้เหมือนกัน ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง  เหมือนกับเราทั้งหลาย เพื่อไถ่คนทั้งปวง ที่อยู่ใต้กฎบัญญัติ

            คนทั้งปวงที่อยู่ใต้กฎบัญญัติ ก็คือมนุษย์บนโลกใบนี้ทั้งหมด ที่เป็นลูกหลานของอาดัม  คือมนุษย์ทั้งปวงที่เกิดมาแล้ว  และที่ยังไม่เกิดอีก เรายังไม่รู้ว่าจะมีถึงเมื่อไร?  พระเจ้าก็ไม่ได้บอกไว้ เพื่อไถ่คนทั้งปวงที่อยู่ใต้บทบัญญัติ  ก็คืออยู่ใต้ความบาป กฎแห่งกรรม กฎแห่งความพยายามอยู่ที่ไหน? ความพยายามอยู่ที่นั่น ทำไปๆ กฎแห่งหนูถีบจักร วัฏจักรแห่งการกระทำ ทำดีทำชั่ว อยู่ที่เดิม ไม่ได้ไปไหนเลย ไถ่คนทั้งปวงที่อยู่ใต้บทบัญญัติ เพื่อเราจะได้รับสิทธิเป็นบุตร  เป็นลูกของพระเจ้า อย่างสมบูรณ์

            “เรา” คือมนุษยชาติทั้งปวงเลย  เพื่อว่ามนุษยชาติที่อยู่ใต้บัญญัตินั้น จะได้กลับมาสู่บ้านของพระเจ้า  กลับมาเป็นลูกของพระเจ้าเหมือนเดิม  และเพราะท่านเป็นบุตรของพระเจ้าแล้ว หมายถึงว่าถ้าท่านเชื่อและวางใจในพระบุตร เพราะพระเยซูบังเกิดแล้ว ท่านต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว ด้วยความเชื่อของท่าน ท่านจะเป็นบุตรของพระเจ้า พระองค์จึงใช้พระวิญญาณแห่งพระบุตรของพระองค์เข้ามาในใจของเรา ให้เรียกพระเจ้าว่า “พ่อ” เพราะท่านจะเกิดเป็นบุตร โดยวิญญาณของท่านจะบังเกิดใหม่ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเข้ามาสถิตอยู่ด้วย และจะนำท่าน ภายในวิญญาณของท่าน จะเรียกพระเจ้าว่า “พระบิดา” หรือ “พ่อ”

            เมื่อเป็นเช่นนั้น โดยพระเจ้า ท่านจึงไม่ใช่ทาสอีกต่อไป แต่เป็นบุตร ก็หมายถึงถ้าท่านเชื่อและวางใจ และได้บังเกิดใหม่แล้ว ท่านจะรู้ในใจของท่าน ท่านไม่ได้เป็นทาสของความบาปและความตายอีกต่อไปแล้ว ไม่ต้องอยู่ใต้อำนาจของความบาปและความตาย  ไม่อยู่ใต้อำนาจของการกระทำดี กระทำชั่ว  ไม่ได้อยู่ใต้อำนาจของกฎแห่งกรรม ไม่มีเจ้ากรรมนายเวรมาคอยชี้ท่านว่าท่านต้องชดใช้ๆ ไม่ต้องอีกแล้ว ท่านไม่ได้เป็นทาสใครทั้งสิ้น แต่ท่านเป็นผู้ที่บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า อยู่ใต้พระคุณ กลับมาเป็นลูกเหมือนเดิม โดยเกิดใหม่ อยู่ใต้พระคุณแล้ว อยู่ใต้พระคุณ ก็คือไม่ต้องรับผิดชอบอะไรทั้งสิ้น เป็นลูกเลย ทำอะไรต่างๆ ก็เป็นลูก เมื่อเป็นลูกแล้ว เป็นเลย ออกมาไม่เชื่อฟัง เดินไปที่นั่น เดินไป ก็ยังเป็นลูกอยู่ นี่เรียกว่าใต้พระคุณ

            เพราะฉะนั้น ข่าวดีวันคริสต์มาส ก็คือพระเยซูผู้ทรงเป็นพระเจ้า ได้สละสถานะพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์  เพื่อมนุษย์จะได้สามารถบังเกิดใหม่ในวิญญาณ มาเป็นลูกของพระเจ้าได้เหมือนเดิม ตามพระประสงค์ของพระองค์ ที่วางไว้ ตั้งแต่ก่อนสร้างโลกแล้วว่าจะมีครอบครัว และจะมีมนุษย์เป็นลูกของพระองค์ นี่คือน้ำพระทัยของพระเจ้า

            นี่คือคำตอบของเรื่องนี้  ทำไมพระเยซูต้องมาเกิดเป็นมนุษย์  ก็เพื่อเป็นตัวแทนของมวลมนุษยชาติ  เป็นมนุษย์ผู้เดียวที่อยู่ใต้กฎบัญญัติ แห่งการกระทำดีกระทำชั่ว และเป็นผู้เดียวที่ทำได้จริงๆ คือไม่ได้ทำชั่วเลย เพราะไม่ได้เป็นคนบาป แต่เป็นมนุษย์ เป็นตัวแทนของเรา จึงสามารถเป็นหัวหน้าของเรา ในการนำพามวลมนุษยชาติ ให้เข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับสภาวะของพระเจ้าได้ วิญญาณเรากลับคืนสู่สภาวะเป็นเหมือนพระเจ้าได้ โดยการบังเกิดใหม่ ร่วมกับพระองค์ การเข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ในการบังเกิดใหม่นี้ พระคัมภีร์ใช้คำ ตามศัพท์ของภาษาสมัยนั้นว่า “บัพติศมา” แปลเป็นไทยว่า “เข้าส่วนร่วม” พูดง่ายๆ ว่าจากเดิมที่มนุษย์เกิดมาบนโลกใบนี้ อยู่ใต้บาป ได้บัพติศมาเข้าส่วนร่วมในความบาปกับบรรพบุรุษ คืออาดัม ได้ย้ายบัพติศมาเข้าส่วนร่วม ในความชอบธรรม ในความบริสุทธิ์ เหมือนพระเยซูคริสต์ ในการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์

            “จากเดิม มนุษย์เกิดมาบนโลกนี้ ได้บัพติศมาเข้าส่วนร่วม ในความบาปกับบรรพบุรุษ คืออาดัม ได้ย้ายมาบัพติศมาเข้าส่วนร่วม ในความชอบธรรม  ในความบริสุทธิ์  เหมือนพระเยซูคริสต์ ขอบคุณพระเจ้า”

             พระเยซูมาทำให้มนุษย์ที่เชื่อในพระองค์ ทำให้มนุษย์ตัวตนเดิม คือวิญญาณ ที่อยู่ใน DNA บาปของอาดัม ให้มันตายไป แล้วให้เราบังเกิดใหม่  เข้ามาอยู่ใน DNA ทางวิญญาณ เป็นผู้บริสุทธิ์ ชอบธรรม ดีพร้อมเหมือนพระเยซูคริสต์ ตามที่ได้บันทึกไว้ในหนังสือโรม 6:3-6 …

        โรม 6:3-6 “3 ท่านไม่รู้หรือว่าเราทั้งปวงที่เชื่อ (พระเยซู) ก็ได้ (รับบัพติศมา โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า) ถูกนำเข้าไป เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ก็ได้เข้าส่วนร่วม ในความตายของพระองค์ (ที่ไม้กางเขน) ในการบัพติศมานั้น 4 ดังนั้น เราจึงได้ถูกฝังไว้กับพระองค์ โดยการได้บัพติศมาเข้าส่วนร่วมในความตาย เพื่อว่าเราเองก็จะได้มีชีวิตใหม่ (บังเกิดใหม่) เช่นเดียวกับที่พระเจ้าได้ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย (บังเกิดใหม่) โดยฤทธิ์อำนาจ แห่งพระวิญญาณ และพระเกียรติสิริของพระบิดา 5 ฉะนั้น ถ้าเราได้มีส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ในการตาย แน่นอน เราจะมีส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ในการเป็นขึ้นจากตาย(บังเกิดใหม่) ด้วยเช่นกัน 6 เพราะเรารู้ว่าตัวเก่าของเรา (ที่อยู่ในบาปในอาดัม) ได้ถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว เพื่อตัวบาปเก่านั้นจะได้ถูกขจัดไป (ตายจากบาป) เพื่อเราจะไม่เป็นทาสบาปอีกต่อไป”

            ข้อ 6 ที่บอกว่า “เพราะเรารู้ว่าตัวเก่าของเราที่อยู่ในบาป ในอาดัมนั้น ได้ถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว  เพื่อตัวบาปเก่านั้น จะได้ถูกขจัดไป คือตายไป ก็คือตัวบาปเราตายไปแล้ว เพื่อเราจะไม่เป็นทาสบาปอีกต่อไป”

            เพราะฉะนั้น ก็เท่ากับว่าเราได้บังเกิดใหม่ เช่นเดียวกับพระเยซู เพราะว่าเมื่อเราเชื่อในพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระเจ้าจะกำจัดวิญญาณบาปของเรา ที่ในอาดัมนั้น ให้หลุดไป แล้วก็ย้ายเราเข้ามาบัพติศมา อยู่ในพระเยซูคริสต์ เข้าส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ คือการเป็นขึ้นจากความตาย  คือการบังเกิดใหม่ นี่คือข่าวดีวันคริสต์มาส คือพระเยซู ผู้ทรงเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์  เพื่อมนุษย์จะได้กลับสู่สวรรค์ บังเกิดใหม่ มาเป็นลูกของพระเจ้าได้เหมือนเดิม ตามน้ำพระทัยของพระเจ้า โดยแค่เชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ เพียงอย่างเดียวเท่านั้น มันง่ายเหลือเกิน เพียงแค่เชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์เท่านั้น ทุกสิ่งที่เราพูดกันมาทั้งวันนี้ ทั้งชั่วโมงนี้ มันเกิดขึ้นกับเขาคนนั้น ใครก็ตามที่เชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าอวยพรครับ

********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            ทันที! ทันที! ย้ำอีกครั้ง ทันที! ผู้ใดเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดจากบาป ผู้นั้นจะบังเกิดใหม่ เป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่ เหมือนพระเยซูคริสต์ทันที

            2 โครินธ์ 5:17 … “เหตุฉะนั้น ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ การทรงสร้างใหม่ได้เกิดขึ้นแล้ว สิ่งเก่าได้ล่วงไป สิ่งใหม่ได้เข้ามา!”

            ดังนั้น ถ้าผู้ใดได้อยู่ในพระคริสต์ ผู้นั้นก็ได้รับบัพติศมาเข้าเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ด้วยความเชื่อในพระองค์ ผู้เป็นพระผู้ช่วยให้รอด คนนั้นจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้างขึ้น เป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่ บังเกิดใหม่โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า สิ่งเก่าๆ ทั้งหมดก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็นศีลธรรม ที่พยายามรักษาได้บ้างไม่ได้บ้าง หรือการกระทำการงานใดๆ ที่เราภาคภูมิใจ หรือว่าสถานะในวิญญาณที่มืดบอดนั้น คือตัวเก่าของเรา ได้ตายไปแล้ว มันได้ถูกยกเลิกลบล้างไปแล้ว ได้ผ่านไปแล้ว จงมอง ด้วยตาฝ่ายวิญญาณให้เห็นเถิด สิ่งใหม่ๆ ทั้งสิ้นได้ปรากฏขึ้นมา เพราะการบังเกิดใหม่นี้ นำมาซึ่งชีวิตใหม่ ในพระเยซูคริสต์

            วิญญาณใหม่เอี่ยมเหมือนพระคริสต์ จิตใจใหม่เอี่ยมเหมือนพระคริสต์ ร่างกายเดิมแต่ได้รับการชำระด้วยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ และได้รับชีวิตจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตภายใน ร่างกายสะอาดหมดจด เป็นที่พอใจของพระเจ้าแล้ว

            เหลือเพียงแค่ความคิดในสมอง ที่ยังมีข้อมูลเดิมอยู่ ซึ่งเป็นข้อมูลจากอิทธิพลของความบาป ที่เรียกว่ากิเลสตัณหาของเนื้อหนัง ซึ่งเป็น ป้อมปราการที่เป็นศัตรู เป็นปฏิปักษ์ต่อต้านพระเจ้า ความคิดเนื้อหนังนี้มันคอยรับสื่อการกระตุ้น จากพลังอำนาจของความบาปและความตาย และอิทธิพลของหลักการพื้นฐาน ของระบบการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ที่เป็นความมืด ไม่มีพระเจ้า ซึ่งปกคลุมอยู่เหนือทุกสิ่งในโลกใบนี้ทั้งหมด ที่ควบคุมโดยมาร ที่คอยยุแหย่หลอกลวง ขโมย ฆ่า และทำลาย

            ข้อมูลความคิดเดิมที่อยู่ในสมอง ที่เป็นป้อมปราการนี้ กำลังอยู่ในกระบวนการการเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจใหม่ อยู่ในกระบวนการการทำลายล้างป้อมปราการนี้ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้สถิตอยู่ภายในร่างกาย แต่จะทำการงานได้ดี ต้องได้รับความร่วมมือจากตัวเรา เจ้าของร่างกายนี้ด้วย ซึ่งเราเรียกกันว่ายอมให้พระเจ้าเปลี่ยนแปลงความคิด โดยการฝึกฝนความคิดให้เชื่อฟัง และจดจ่อไปที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่อยู่ภายในเสมอๆ  ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ในแต่ละวัน แต่ละนาที ด้วยถ้อยคำ ความจริงในข่าวประเสริฐในพระคริสต์ ที่บอกว่าในโลกวิญญาณนั้นเราได้บังเกิดใหม่ เราได้เป็นใครในพระคริสต์แล้ว

            ซึ่งถ้อยคำแห่งความจริงนี้ จะเป็นอาวุธไปทำลายป้อมปราการความคิดเดิมนั้น ให้ค่อยๆเบาบางลง แต่ไม่มีวันสูญสิ้นไป สงครามนี้ยังคงดำเนินต่อเนื่อง ตราบใดที่เรายังหายใจอยู่ในร่างกายนี้ อยู่บนโลกใบนี้ ข้อมูลความคิดในสมองเดิม ป้อมปราการนี้ อิทธิพลของกิเลสตันหาของเนื้อหนังนี้ มันยังคงซ่อนตัวอยู่ในเราตลอดไป จนกว่าเราจะได้รับร่างกายใหม่ ร่างกายสวรรค์มาแทนที่ร่างกายเดิมนี้

            ฉะนั้น โปรแกรมข้อมูลในความคิดชั่ว ที่เป็นป้อมปราการนี้ จึงไม่ใช่ตัวเรา แต่มันเป็นศัตรูที่คอยทำลายชีวิตของเรา ที่แอบซ่อนอยู่ในตัวของเรานั่นเอง เหมือนปรสิต เหมือนเชื้อไวรัส ที่แอบอาศัยอยู่ในร่างกายของมนุษย์

            พรเจ้าอวยพรครับ