วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1441

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  5  พฤศจิกายน  2023

เรื่อง “ยอมรับรู้พระเจ้าในทุกทาง”

ตอน 2 “มนุษย์ถูกสร้างมา ให้เป็นมนุษย์ฝ่ายวิญญาณ”

โดย  ธิดารัตน์  ร่มพระคุณ

            วันนี้เราจะมาต่อจากครั้งที่แล้ว “ยอมรับรู้พระเจ้าในทุกทาง” รับรู้ในวิถีทางอันชอบธรรมของพระเจ้า วันนี้ก็จะมาในตอน 2 “มนุษย์ถูกสร้างมา ให้เป็นมนุษย์ฝ่ายวิญญาณ” เราก็มักจะคิดว่าเราเป็นมนุษย์ที่มีวิญญาณ  แต่จริงๆ แล้ว เราคือวิญญาณที่มีกายภาพ มีกระบอกนี้เป็นที่อาศัย  เมื่อไรก็ตามที่เราเกิดความเข้าใจผิด หรือการมองประเด็นผิด เราก็จะโฟกัสผิด หลายครั้งพระเยซูคริสต์มาในโลกนี้ พระองค์ก็มักจะมาบอกว่าให้เรามองดูสิ่งที่ตามองไม่เห็น สิ่งที่หูไม่ได้ยิน สิ่งที่นึกไม่ถึง นั่นคือสิ่งที่พระเจ้าจัดเตรียม สำหรับคนที่รักพระองค์

            เวลาเราอ่านพระวจนะของพระเจ้า  เราก็จะเข้าใจว่าพระองค์กำลังสอนเราว่าให้รักกัน อย่าทำร้ายกัน คือพระองค์ไม่ได้มาสอนศีลธรรม หรือมาสอนวิธีการดำเนินชีวิตว่าจะต้องเป็นคนดีอย่างไร?  ถึงจะได้ขึ้นสวรรค์ พระองค์ไม่ต้องสอนให้เราเป็นคนดี หรือเป็นคนชอบธรรม ดังนั้น ความชอบธรรมจึงเป็นบุคลิกภาพของเรา ไม่ต้องสอน เพราะว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นผู้ที่ขับเคลื่อนอยู่ภายในเรา  ให้กลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพระวิญญาณบริสุทธิ์  ดังนั้น ผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ จึงออกมาจากชีวิตของเรา  ได้อย่างธรรมชาติที่สุด  อย่างที่แบ่งปันไปในคราวที่แล้วว่าทำไมมันยังผุดๆ โผล่ๆ ล่ะ

            เรามาเริ่มต้นที่ปฐมกาล 1:26-27 …

        ปฐมกาล 1:26 THAKJV “และพระเจ้าตรัสว่า “จงให้พวกเราสร้างมนุษย์ตามแบบฉายาของพวกเรา”

            สังเกตไหมว่าพระองค์ใช้คำว่า “พวกเรา” นั่นหมายความว่าพระองค์ไม่ได้สร้างเพียงผู้เดียว  มีสภาวะของความเป็นตรีเอกานุภาพอยู่ ในขณะที่พระองค์ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก และทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งปวงในโลกนี้ ฉะนั้น ในหนังสือยอห์น บทที่ 1 จึงได้ทราบว่าพระวจนะได้อยู่กับพระเจ้า ณ เวลานั้น  และได้บอกถึงความเป็นตรีเอกานุภาพของพระบิดา พระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์ ในการทรงสร้างของพระเจ้า

            ดังนั้น เมื่อพูดถึงตรงนี้ในไทย คิงแจม จึงใช้คำว่า “พวกเรา” หรือในภาษาอังกฤษ จะใช้คำว่า “We” ซึ่งหมายถึงไม่ได้เอ่ยถึงพระบิดาเพียงผู้เดียว  พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า  และพระองค์บอกว่า …

        ปฐมกาล 1:26-27 THAKJV “26 และพระเจ้าตรัสว่า “จงให้พวกเราสร้างมนุษย์ตามแบบฉายาของพวกเรา ตามอย่างพวกเรา และให้พวกเขาครอบครองฝูงปลาในทะเล ฝูงนกในอากาศ และสัตว์ใช้งาน ให้ครอบครองทั่วทั้งแผ่นดินโลก และบรรดาสัตว์เลื้อยคลานที่คลานไปมาบนแผ่นดินโลก” 27 ดังนั้น พระเจ้าได้ทรงสร้างมนุษย์ตามแบบพระฉายของพระองค์ พระองค์ได้ทรงสร้างมนุษย์ขึ้นตามแบบพระฉายของพระเจ้า พระองค์ได้ทรงสร้างพวกเขาให้เป็นชายและหญิง”

            เมื่อเราอ่านพระวจนะแบบนี้ปุ๊บ  เวลาที่เราคิด เราก็จะคิดแบบกายภาพ  เราก็จะคิดว่าพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ตามพระฉายของพระเจ้า แสดงว่ารูปร่างของพระเจ้า ต้องเป็นแบบนี้ ถูกไหมค่ะ นั่นคือวิธีการคิดของเราในโลกนี้  เราก็จะเอาแบบโลกนี้ เป็นตัวยืนพื้น แท้ที่จริงแล้ว เรามาอ่านดู ย้อนกลับไป ในปฐมกาล 2:7 พระองค์ทรงตรัสอย่างนี้ว่า …

        ปฐมกาล 2:7 THAKJV “พระเยโฮวาห์พระเจ้าทรงปั้นมนุษย์ด้วยผงคลีดิน ทรงระบายลมปราณแห่งชีวิตเข้าทางจมูกของเขา และมนุษย์จึงเกิดเป็นจิตวิญญาณมีชีวิตอยู่”

            นึกถึงกระบอกๆ หนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมา สังเกตฉบับนี้ จึงเป็นวิญญาณที่มีชีวิต นั่นหมายความว่าพระองค์ทรงสร้าง เรานึกถึงภาพความเป็นจริง

        ปฐมกาล 2:27 TH 1971 “พระเจ้าจึงทรงสร้างมนุษย์ขึ้นตามพระฉายาของพระองค์”

            ถ้าเราอ่านพระคัมภีร์ตอนนี้ ในไทยคิงแจม เราจะเห็นสภาวะหนึ่งที่เกิดขึ้น นั่นหมายความว่าพระองค์ทรงสร้างก้อนดินหนึ่งขึ้นมา แล้วพระองค์ก็ทรงระบายลมหายใจของพระองค์ลงไปในก้อนดินนี้ รากศัพท์เดิม ในภาษาฮีบรู คำว่า “ลมปราณ” คือวิญญาณของพระเจ้า คือการได้ระบายลมปราณของพระองค์ลงมาในมนุษย์

            คำว่า “ระบายลมปราณของพระเจ้า” ในภาษาจีน คำว่า “ลมปราณ” คือ “ชี่” ซึ่งเป็นตัว Qi มันคือสสารชนิดหนึ่ง  ที่กระทำให้เกิดการขับเคลื่อนของระบบบางสิ่งบางอย่าง ให้เกิดการมีชีวิตขึ้นมา ซึ่งเราดูหนังจีน เราอาจจะได้ยินถึงเรื่องลมปราณ คือพลังบางสิ่งบางอย่างที่ถูกใส่เข้ามา แต่อยู่ในท้องของแม่ แล้วก็ถูกกระทำให้ขับเคลื่อน ผลิตความมีชีวิตขึ้นมา

            พระเจ้าทรงระบายลมปราณลงไปในมนุษย์  เป็นลมปราณที่มีชีวิตผสมอยู่ เป็นของพระเจ้า  ดังนั้น วิญญาณของพระเจ้าจึงถูกบรรจุในร่างกายนี้ ร่างกายนี้ถูกสร้างมาสำหรับใช้ในโลกนี้  เพราะว่าหูเรา มีไว้ เพื่อได้ยิน จมูกมีไว้เอาระบบหายใจเข้าไป เพื่อให้ชีวิตขับเคลื่อน  ทุกอย่างถูกทำให้เกิดการมีชีวิตขึ้น

            สัตว์ก็มีลมปราณเหมือนกัน  แต่ว่าสัตว์ไม่ใช่ลมปราณแบบเดียวกันกับเรา เป็นลมปราณที่ไม่ได้เกิดจากลมปราณของพระเจ้า  เป็นลมปราณที่ถูกบรรจุลงมาในชีวิตของสัตว์  แต่ไม่มีวิญญาณของพระเจ้าในนั้น ร่างกายนี้จึงถูกสร้างมา เพื่อใช้ในโลกนี้ เมื่อวิญญาณเราออกจากร่างนี้ เราจำเป็นต้องใช้ร่างนี้ไหม?  ไม่จำเป็น เพราะว่าในโลกวิญญาณ ไม่ต้องใช้ระบบต่างๆ เหล่านี้ พระเจ้าบอกว่าพระองค์ทรงจัดเตรียมร่างใหม่ให้กับเรานั้น เป็นแบบไหน?  เราไม่สามารถจินตนาการได้เลย  เราจะคิดแบบมนุษย์ ก็คงจะทรงนี้แหละ เราก็ไม่รู้อีก  แต่ในพระคัมภีร์ยืนยันว่างดงามมาก  เราก็ไม่ต้องมากลุ้มอกกลุ้มใจกับการเหี่ยวย่น หรือการสูญสลายต่อไปอีกแล้ว  ไม่ว่าจะวันนี้ พรุ่งนี้ มะรืนนี้ หรืออีก 120 ปีข้างหน้า เราจึงจะจากโลกนี้ไป  หรือเราต้องทิ้งร่างนี้ไป วิญญาณเราออกจากร่าง วิญญาณนี้จะอยู่นิรันดร์กาล

            วิญญาณที่เป็นนิรันดร์กาลนี้ ในหนังสือฉบับ 1971 จะพูดถึงลมปราณของสัตว์ด้วย  ในปฐมกาล 1:30 บอกว่า …

        ปฐมกาล 1:30 TH 1971 “ฝ่ายสัตว์ทั้งหลายบนแผ่นดิน นกทั้งปวงในอากาศและบรรดาสัตว์เลื้อยคลานบนแผ่นดินทุกสิ่งทุกอย่างที่มีลมปราณนั้น เราให้พืชเขียวสดทั้งปวงเป็นอาหาร” ก็เป็นดังนั้น”

            ลมปราณตัวนี้เป็นคนละรากศัพท์กับคำว่าลมปราณ ที่ในหนังสือพระคัมภีร์บอกว่าเป็นลมหายใจของพระเจ้า อันนี้เป็นลมปราณที่กระทำให้เกิดชีวิต ให้เกิดพลังงาน การขับเคลื่อนที่จะต้องถูกหล่อเลี้ยงด้วย อาหาร อากาศ การพักผ่อน การเลี้ยงดูที่ดี สิ่งเหล่านี้จะถูกหมุนเวียนไปด้วยกับเลือดของเรา ในการที่จะทำให้ร่างกายนี้ยังดำรงชีวิตอยู่ได้

            ในพระคัมภีร์ฉบับอื่นๆ นอกจาก 1971 จะไม่พูดถึง จะไม่ใช้คำว่าลมปราณ แต่ฉบับ 1971 กลับใช้คำว่าลมปราณ ซึ่งฉบับอื่นจะใช้คำว่าสัตว์ทั้งปวงที่มีชีวิตเท่านั้นเอง ดังนั้น บางคนอ่านพระคัมภีร์บางฉบับ ก็จะเกิดความสับสน อ้าว! สัตว์มีลมปราณ บางคนก็จะเข้าใจผิด เวลาสัตว์ตาย ก็จะเอาไปทำพิธีทางศาสนาเหมือนกัน เพราะเข้าใจว่าวิญญาณเขาจะไปอยู่อย่างนั้น อย่างนี้

            แน่นอน ในโลกสวรรค์ใหม่ พระคัมภีร์ก็พูดถึงสัตว์ด้วยเหมือนกัน บอกว่าสัตว์ต่างๆ ทั้งปวง ก็จะอยู่กับเรา จะอยู่โดยไม่ทะเลาะกัน ไม่กัดกินกัน ไม่ทำลายกันอีกแล้ว ก็คงจะมีแหละ เพราะพระคัมภีร์บอกมี แต่ว่าต้องบอกให้รู้อย่างชัดเจนว่าเราเป็นวิญญาณ และวิญญาณของเราเป็นวิญญาณที่มาจากพระเจ้า และเป็นวิญญาณที่เป็นนิรันดร์  ตอนที่พระเจ้าสร้างอาดัม พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ขึ้น ตามพระฉายาของพระเจ้า

            คำว่า “พระฉายา” ตรงนี้ จึงไม่ใช่ร่างกายนี้ แต่เป็นวิญญาณนี้ วิญญาณเหมือนกันกับพระเจ้า เป็นพระฉายาเดียวกันกับพระเจ้า  หมายความว่าเป็นเหมือนพระเจ้า แต่เกิดอะไรขึ้น อาดัมกับเอวาถูกสร้างมา ตามพระฉายของพระเจ้า เราฟังไม่รู้กี่รอบแล้ว ก็คืออาดัมกับเอวาก็ได้ตัดสินใจที่จะใช้ชีวิตในโลกนี้ ด้วยวิธีการของตัวเอง คือต้องการพึ่งพาตัวเอง โดยการไม่เชื่อฟังพระเจ้าว่า …

            “อย่ากินผลไม้ต้นนี้ เพราะถ้าเจ้ากินเมื่อไร เจ้าจะตาย”

            วิญญาณตาย ร่างกายถูกครอบงำ ฟังให้ดี วิญญาณตาย ร่างกายจึงถูกครอบงำด้วยความบาป ความตาย ก็เข้ามาครอบงำชีวิต นี่คือความจริง  อันนี้ก็คือตามที่ปฐมกาล 2:15-17 บอกว่า …

        ปฐมกาล 2:15-17 TH 1971 “15 พระเจ้าจึงทรงให้มนุษย์นั้นอยู่ในสวนเอเดน ให้ทำและรักษาสวน 16 พระเจ้าจึงทรงบัญชาแก่มนุษย์นั้นว่า “บรรดาผลไม้ทุกอย่างในสวนนี้ เจ้ากินได้ทั้งหมด 17 เว้นแต่ต้นไม้แห่งความสำนึกในความดีและความชั่ว ผลของต้นไม้นั้นอย่ากิน เพราะในวันใดที่เจ้าขืนกิน เจ้าจะต้องตายแน่”

            นั่นหมายความว่าวิญญาณได้ตาย … เมื่อมนุษย์ล้มลงในความบาป ในคนไทยมักจะบอกว่าในความคิด จิตใจ ในภาษาอังกฤษจะบอกว่า Soul ซึ่งมันรวมถึงความคิด จิตใจ และตัวเรา พระเจ้าสร้างมนุษย์ขึ้นแต่ละคน ไม่ใช่ว่าหลอมรวมกัน ทุกคนมีความเป็นปัจเจกบุคคล ทุกคนจะเป็นตัวเอง เราจะรู้ว่าใครเป็นใคร? แม้ว่าจะหลุดออกจากร่างนี้ไปแล้ว  เพราะมีความเป็นตัวเราอยู่

            แต่เมื่อเราล้มลงในความบาปปุ๊บ วิญญาณเราก็ยังเป็นวิญญาณเราอยู่ แล้วก็มีวิญญาณที่เป็นนิรันดร์กาลอยู่ แต่เป็นนิรันดร์กาลที่ตายไปแล้ว  เมื่อวิญญาณนิรันดร์กาลที่ตายไปแล้วนั้น ได้อยู่ในร่างกายนี้ ร่างกายนี้จึงถูกขับเคลื่อนและถูกครอบงำด้วยความบาป พฤติกรรมทั้งปวงของมนุษย์จึงผลิตออกมาแต่ความบาป เนื่องจากมนุษย์ถูกตัดขาดจากพระเจ้า ในโคโลสี 1:21 บอกว่า …

        โคโลสี 1:21 TH 1971 “และพวกท่าน ซึ่งเมื่อก่อนนี้ไม่ถูกกันกับพระเจ้า และเป็นศัตรูในใจด้วยการชั่วต่างๆ”

            เราถูกตัดขาดจากพระเจ้า ที่เราตาย ตรงนี้แหละ พระเจ้าจึงจำเป็นจะต้องมา เพื่อกอบกู้เรา โดยการบัพติศมา หรือการบังเกิดใหม่ มนุษย์จะต้องบังเกิดใหม่ เพื่อเอาความตายนี้ เปลี่ยนสภาพ กลายเป็นบังเกิดใหม่  ให้กลับสู่สภาพเดิม

            เมื่อมนุษย์เป็นวิญญาณ พระเยซูคริสต์เมื่อพระองค์ได้ทรงบังเกิดมาในโลกมนุษย์ใบนี้ พระองค์จึงไม่มาคุยเรื่องเนื้อหนัง พระองค์ไม่มาคุยถึงเรื่องกายภาพ  ทุกๆ เรื่องที่พระองค์พูดกับมนุษย์  พูดถึงเรื่องของโลกวิญญาณ

            เรามาเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อพระเยซูคริสต์อายุ 30 ปี พระองค์ได้เริ่มภารกิจของพระองค์ พระองค์ได้อดอาหาร ถ้าจะบอกสภาพของความเป็นจริงของร่างกายปกติ ในวัยที่ 30 ของมนุษย์ เป็นวัยที่กำลังแข็งแรงมากๆ คุณจะอดนอนกี่วันก็ได้ คุณจะไม่กินก็ได้  เพราะว่าร่างกายของคุณจะยังคงดำรงชีวิตอยู่อย่างแข็งแรง เพราะมันเป็นช่วงที่แข็งแรงที่สุด ถ้าหากเรากินอยู่ หลับนอน เป็นปกติดี หมายถึงว่าเราดูแลร่างกายนี้ ตั้งแต่เล็กจนโต กินถูกสุขอนามัย กินอาหารครบ 5 หมู่ นอนถูกเวลา ออกกำลังกาย ทำทุกอย่างตรงเวลา ทำให้เมื่ออายุ 30 ปุ๊บ สภาวะร่างกายของมนุษย์ จะเป็นสภาวะที่แข็งแรงที่สุด

            ดังนั้น ในช่วงเวลานี้  คุณจะทำอะไรก็ตาม  ไม่ว่าจะอดนอน ดูหนังทั้งคืน วนไปเวียนมา  มันจะไม่เกิดสภาวะที่ถูกทำลายอย่างรวดเร็ว เพราะว่ามันเป็นช่วงที่เราแข็งแรงที่สุด ฮอร์โมนในร่างกาย ก็ตีกันพลุ่งพล่าน แล้วก็แข็งแรงในการที่จะผลิตการกระทำที่รุนแรงออกไปได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร สามารถที่จะสร้างการงานที่เจริญรุ่งเรืองได้ สามารถที่จะทำสิ่งที่ชั่วร้ายอะไรก็ได้ ที่ค่อนข้างจะรุนแรงได้ทุกอย่าง ในช่วงอายุขนาดนี้  ดังนั้น สภาวะที่พระเยซูคริสต์ได้มาเกิดบนโลกมนุษย์นี้ พระองค์อยู่ในร่างกายที่เป็นกายภาพเนื้อหนังนี้ ฉะนั้น พระองค์ก็เหมือนมนุษย์ทุกคนที่มีฮอร์โมนปกติ  มีความปรารถนาทางด้านร่างกายปกติ เหมือนกับมนุษย์ทุกคน

            ดังนั้น พระองค์ก็เข้าสู่การอดอาหาร เพื่อให้สามารถที่จะมีสติ ในโลกวิญญาณดิฉันไม่รู้ว่าพระองค์ทรงกระทำแบบไหน? เพราะอะไร? แต่ว่าถ้ามาคิดถึงเรื่องกายภาพแล้ว การอดอาหาร มันเป็นส่วนหนึ่งของการแยก ให้เราสามารถมีสติหยั่งรู้ถึงความต้องการของร่างกายกับสิ่งที่เราต้องการทำภายใน คือข้างในของเรา หัวใจของเรา หรือการขับเคลื่อนที่อยู่ข้างในของเรา ได้อย่างแข็งแกร่ง ดังนั้น พระเยซูคริสต์ในช่วงที่พระองค์ทรงอดอาหารนั้น สภาพของกายภาพของพระองค์ก็อ่อนแอมากๆ มารก็เข้ามาทดลองพระองค์ ไม่ให้พระองค์ทำกิจการงานสำเร็จได้ พอเริ่มจะมองออกแล้วว่าคนนี้แหละ เป็นพระมาซีฮาห์  เพราะแต่ก่อนนี้ มารซาตานก็เดา ลูกหัวปีออกมากี่คน ก็พยายามฆ่า ถ้าเราไปอ่านพระคัมภีร์เดิม เราก็จะเห็น มันตามฆ่าลูกของคนอิสราเอลมาไม่รู้กี่ยุค กี่สมัย ยิ่งโดยเฉพาะลูกคนโต คนมีการเจิม มันก็ยิ่งจะตามเหมือนกับการให้เกิดการสูญเสีย ไม่สามารถดำเนินแผนการเหล่านั้นได้ แต่ปรากฏว่ามันก็ไม่เคยทำสำเร็จเลย เพราะว่าจริงๆ พระเจ้าก็ทรงจัดเตรียมแผนการไว้  แผนการของพระองค์เข้มแข็งและแข็งแกร่งมาก ก็ยังดำเนินสู่แผนงานและนำไปสู่ความสำเร็จ จนกระทั่งพระเยซูคริสต์ถูกตรึงที่ไม้กางเขนได้ ไม่มีใครสามารถล้มงานของพระเจ้าได้

            และมันก็พยายามอีก มันก็มาบอกว่าถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า เสกก้อนหินให้เป็นอาหารสิ พระเยซูคริสต์ก็ตอบไปในแง่ของฝ่ายวิญญาณ บอกว่า …

        มัทธิว 4:4 TH 1971 “ฝ่ายพระองค์ตรัสตอบว่า “มีพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า ‘มนุษย์จะบำรุงชีวิตด้วยอาหารสิ่งเดียวหามิได้ แต่บำรุงด้วยพระวจนะทุกคำ ซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า’”

            นั่นหมายความว่าวิญญาณของมนุษย์ ต้องการอาหาร แน่นอนเราต้องการอาหารฝ่ายวิญญาณ เราสังเกตดูเองว่าเมื่อไรก็ตามที่เรามาฟังพระวจนะของพระเจ้า แล้วให้พระวจนะนั้นเข้าไปในวิญญาณ เราจะรู้สึกอิ่มและเต็ม เราเปิดให้ถ้อยคำของพระเจ้าผ่านบทเพลง  วิญญาณของเราจะอิ่มและเต็ม เราจะมีความรู้สึกกระปรี้กระเปร่า วิญญาณของเราจะแข็งแรงขึ้น ดิฉันไม่ได้จะมาบอกว่าท่านต้องอ่านพระคัมภีร์ ท่านจึงจะแข็งแรง มันอยู่ที่ตัวท่านเอง ไม่มีใครที่ต่อให้มาบอกท่าน ท่านก็ไม่ทำหรอก  เรามาโบสถ์ เพราะเรากระหายฝ่ายวิญญาณใช่ไหม? เรานมัสการ เพราะเรากระหายฝ่ายวิญญาณถูกไหม? เราอยากจะฟังเรื่องราวของพระเจ้า เพราะเรากระหายฝ่ายวิญญาณ  ไม่ใช่มีกฎบังคับเรา ให้เราทำสิ่งนั้น  เพราะว่าวิญญาณของเรากระหายหาพระเจ้า กระหายหาการได้เติมเต็ม

            พระเยซูคริสต์เป็นผู้บอกเอง พระองค์เป็นน้ำแห่งชีวิต พระองค์ทรงพูดกับหญิงชาวสะมาเรีย พระองค์บอกกับทุกคน พระองค์ทรงเป็นพระวาทะ ฉะนั้น ถ้อยคำของพระเจ้า จึงเป็นอาหารฝ่ายวิญญาณของเรา แต่เราต้องอ่านให้ถูก ถ้าเรากินเข้าไป แล้วเราพยายามตีความ นั้นก็อีกเรื่อง แต่ถ้าเราอ่านไปเฉยๆ  เราไม่รู้ว่าความหมายคืออะไร? แล้วก็เอามาคุยกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ทุกวันๆ มีการขับเคลื่อน มีการไหลเคลื่อนในชีวิตของเรา ที่พูดแบบนี้ เพื่อให้เห็นถึงตัวอย่าง พระเยซูคริสต์พูดถึงวิญญาณ แล้ววิญญาณนั้น ก็ต้องการอาหารฝ่ายวิญญาณ

            พอตอนที่ 2 มารทำไม่สำเร็จ ตอนนี้พระเยซูคงจะอยู่ในที่สูง … “ท่านบอกว่าท่านเป็นลูกของพระเจ้า โดดลงไปสิ เพราะมีพระคัมภีร์” … มันก็ใช้พระคัมภีร์เหมือนกัน แต่มันชอบบิดเบือน บิดหน่อยๆ ตอนที่มันมาพูดกับเอวา มันก็บิดเหมือนกัน คำพูดของพระเจ้ามา แล้วมันก็บิด … ถ้าท่านเป็นลูกของพระเจ้า กระโจนลงไปสิ เพราะมีคำเขียนว่าพระเจ้าจะประคองชูเท้าของท่าน ไม่ให้พลาดไม่ใช่หรือ?” พระเยซูก็บอกว่า …

        มัทธิว 4:7 TH 1971 “พระเยซูจึงตรัสตอบว่า “พระคัมภีร์มีเขียนไว้อีกว่าอย่าทดลองพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าของท่าน”

            แล้วไม่พอ มันบอก … “ดูจักรวาลนี้ ถ้าท่านกราบนมัสการเรา เราจะยกทั้งหมดนี้ให้กับท่าน” เท่านั้นแหละ พระเยซูคริสต์บอกเลยว่า …

        มัทธิว 4:10 TH 1971 “พระเยซูจึงตรัสตอบว่า “อ้ายซาตาน จงไปเสียให้พ้น เพราะพระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่าจงกราบนมัสการพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าของท่าน และปรนนิบัติพระองค์แต่ผู้เดียว”

            นั่นหมายความว่าเนื้อหนัง ไม่สามารถครอบงำพระองค์ได้ พระองค์ยังทรงเป็นมนุษย์ฝ่ายวิญญาณที่อยู่เหนือร่างกายของพระองค์ เราเคยร้องเพลง

                        “เคยเดินที่เราเดิน     ได้ยืนที่เรายืน”

                        เคยรู้อย่างเราเป็น      พระองค์เข้าใจ”

            นั่นหมายความว่าพระองค์เป็นเหมือนเรา รู้สึกเหมือนเรานี่แหละ มีความอยาก มีความต้องการเหมือนกัน  แต่เมื่อถึงจุดหนึ่ง พระองค์ได้เข้าไปสู่การทำให้วิญญาณมีอำนาจเหนือกายภาพของพระองค์

            หลังจากนั้น พระองค์ก็ออกไปประกาศ พระองค์ประกาศแผ่นดินสวรรค์ การไถ่ถอนมนุษย์จากอำนาจของความบาปและความตาย การย้ายมนุษย์จากฝั่งของความตาย ไปสู่ชีวิต นำพามนุษย์กลับคืนดีกับพระเจ้า นั่นคือวิถีทางเดียวที่พระองค์มาพูดในโลกนี้  ดังนั้น สิ่งที่พระองค์พูด ส่วนใหญ่จึงเป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ พระองค์มาเพื่อกู้วิญญาณของมนุษย์ และพูดลงไปในจิตวิญญาณของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการบังเกิดใหม่ ซึ่งอยู่ในยอห์น 3:1-21 ซึ่งเป็นเรื่องที่พระองค์ทรงพูดกับนิโคเดมัส ถึงเรื่องของการบังเกิดใหม่ ถามว่านิโคเดมัสเข้าใจไหม?

            “โอ้! ท่าน คนแก่อย่างเราแล้ว จะเข้าไปในท้องแม่ แล้วเกิดใหม่ได้อย่างไร?”

            ถ้าหากเราใช้วิธีคิดแบบมนุษย์ เราไม่สามารถจะเข้าใจในเรื่องของสวรรค์ได้เลย  เราไม่สามารถจะเอาเรื่องของกายภาพไปบวกลบคูณหาร หรือคำนวณ หรือมาตีความให้มันออกมาเป็นชนิดเดียวกันได้เลย เพราะว่าสิ่งที่พระเยซูคริสต์พูดทุกอย่าง ในพระวจนะของพระองค์นั้น กำลังพูดถึงเรื่องของโลกวิญญาณ เพื่อให้วิญญาณที่ตายแล้วของมนุษย์ได้ยิน เพราะตอนนั้น วิญญาณของมนุษย์ยังตายอยู่ ถึงแม้พระเยซูคริสต์จะมาบังเกิดบนโลกมนุษย์นี้แล้วก็ตาม วิญญาณของมนุษย์ยังตายอยู่ แม้ว่าสาวกของพระองค์อยู่กับพระองค์ 12 คน แล้วก็มีคนแห่มาฟังพระองค์มากมาย พวกเขาได้ยิน โอ้! คำพูดของพระองค์ไม่เหมือนใครเลย รู้สึกแช่มชื่นวิญญาณ มีบางอย่างที่มันไม่เหมือนเขา แม้ว่จะไม่เข้าใจก็ตาม มันไม่เหมือนกับคำสอนของรับบี  ของอารัก ของอาจารย์ ของปุโรหิต ของใครก็ตามที่พูดถึงเรื่องพระวจนะของพระเจ้ามาก่อน ไม่มีใครพูดแบบนี้ วิญญาณของเขารู้สึกเหมือนกับได้รับการเยียวยารักษา เหมือนกับได้รับการจูนลงไปในวิญญาณ

            มนุษย์ตอนนั้น ยังไม่ได้รับการชำระล้าง วิญญาณยังไม่สามารถบังเกิดใหม่ได้  เพราะพระเยซูคริสต์ยังไม่ถูกตรึงบนไม้กางเขน แต่ว่าพระองค์ไม่หยุดพูด ไม่ว่าพระองค์จะพูดกับหญิงชาวสะมาเรีย พระองค์พูดถึงกายภาพ …

            “ขอน้ำนั้นให้ฉันดื่มหน่อย”

            แต่เมื่อถึงจุดหนึ่ง พระองค์พูดยิงลงไปในวิญญาณเลย … “ถ้าท่านรู้ว่าเราเป็นใคร ท่านจะขอน้ำนั้นจากเรา”

            พระองค์พูดถึงโลกวิญญาณทันที ลงไปในจิตวิญญาณของหญิงนั้น จนกระทั่งหญิงนั้น ถูกเปิดตาฝ่ายวิญญาณออก รู้ว่าคนนี้คือพระเมสิยาห์ หญิงคนนั้นจึงลืมไปว่าตนเอง เป็นที่รังเกียจของสังคม วิ่งเข้าไปในหมู่บ้าน แล้วบอกว่า …

            “มาดูสิ คนที่อยู่ที่บ่อน้ำ เขาพูดสิ่งหนึ่ง มาดูกับตาสิว่าเขาคือพระมาซีฮาห์ ที่เรารอคอยอยู่หรือเปล่า?”

            คนเหล่านั้น ก็แห่มา แล้วก็ฟังสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ  สิ่งที่เป็นคำพูดของโลกวิญญาณ  เขาเหล่านั้น ก็ได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์ แล้วก็เชื่อวางใจ แล้วก็บอกว่า

            “ฉันเชื่อ ไม่ใช่เพราะเธอพูดนะ แต่เพราะฉันได้ยินกับหูฉันเอง ฉันได้ยินเอง”

            ไม่ว่าพระองค์จะพูดอะไรกับสาวกก็ตาม พระองค์จะพูดถึงเรื่องของโลกวิญญาณ ไม่ว่าจะเป็นคำพูดในคำอุปมาอุปไมย ก็พูดเรื่องของโลกวิญญาณ ไม่ว่าพระองค์จะเดินเข้าไป ในวิหาร ไล่คนที่ขายของในวิหาร หลังจากนั้น ทุกคนก็ไม่เข้าใจการกระทำของพระองค์

            แล้วก็มีคนมาบอกว่า … “ท่านทำอย่างนี้ ด้วยสิทธิอำนาจใด”

            พระเยซูคริสต์บอกว่า … “วิหารนี้จะถูกทำลาย แล้ววันที่ 3 เราจะสร้างขึ้นมาใหม่”

             ทุกคนก็ยังไม่รู้จัก  ไม่เข้าใจ คนที่กำลังจะพินาศ ทุกวันนี้ก็ยังมืดบอดอยู่  ทำสงครามต่อสู้เยรูซาเล็ม  เพื่อจะแย่งชิงวิหารแห่งนี้ แท้ที่จริงวิหารแห่งนี้อยู่ที่ไหนแล้ว? พระเยซูคริสต์พูดกับหญิงสะมาเรียบอกว่า …

            “ต่อไปนี้ท่านจะไม่นมัสการเราที่เยรูซาเล็ม หรือภูเขาเกราซิมอีกแล้ว แต่ท่านจะนมัสการเรา ด้วยจิตวิญญาณและความจริง”

            นั่นหมายความว่าท่านทั้งหลายเป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่ท่านจะนมัสการตรงไหนก็ได้  ที่ไหนก็ได้  เพราะว่าพระเจ้าทรงอยู่ในเรา และหล่อหลอมเราเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เราเป็นมนุษย์วิญญาณที่ดำเนินชีวิตในโลกใบนี้ แต่อย่างที่บอกนั่นแหละ มนุษย์ถูกตัดขาดจากพระเจ้า วิญญาณมืดบอด อ้าว! แล้วจะเข้าใจหรือ? พระองค์คิดอย่างไร? ในเมื่อ เดินอยู่บนโลกนี้ ก็พูดแต่เรื่องนี้ เรื่องแบบโลกวิญญาณๆ คนจะเข้าใจหรือ? อย่าว่าแต่คนตอนนั้นเลย คนตอนนั้น ที่พระเยซูคริสต์ยังไม่ถูกตรึงบนไม้กางเขนใช่ไหม? ฉะนั้น มนุษย์จึงยังไม่สามารถบังเกิดใหม่ วิญญาณของพระเจ้ายังไม่สามารถหล่อหลอมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับเขาได้ เขาไม่เข้าใจ ก็อย่าว่าพวกเขาเลย ขนาดเรา พระเยซูคริสต์ถูกตรึงบนไม้กางเขนแล้ว  พระเจ้าไถ่ถอนมนุษย์จากอำนาจของความบาปและความตายแล้ว พระเจ้าซื้อเราออกมา มนุษย์ทุกคน ไม่ใช่เฉพาะคริสเตียนนะ พระองค์ทรงไถ่ถอนมนุษย์ทุกคน จากอำนาจของความบาปและความตายแล้ว แค่วางใจและรับเอา  ถ้าไม่วางใจและไม่รับเอา ก็ไม่ได้ แต่ไถ่ถอนแล้ว  เมื่อรับเอา จึงจะบังเกิดใหม่ ถ้าไม่รับเอา ก็ไม่บังเกิดใหม่ ขนาดบังเกิดใหม่แล้ว  อ่านแล้ว เรายังไม่เข้าใจเลย เพราะบางครั้งเราก็ไม่ได้ผสมกลมกลืนกับพระเจ้า เรายังไม่ยอมหลอมตัวเอง เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ขับเคลื่อนไปด้วยกันกับพระวิญญาณบริสุทธิ์  แล้วยังไม่ได้กลมกลืน เอาพระวจนะมาคิดใคร่ครวญ ตรึกตรองภาวนาวันยังค่ำ  เรายังไม่ตระหนักว่าเราเป็นมนุษย์ฝ่ายวิญญาณ ความคิดจิตใจเราจึงไปโฟกัสอยู่กับเรื่องของโลกนี้ เราไม่โฟกัสกับโลกวิญญาณ เพราะว่าเราให้ความสำคัญกับกายภาพมากกว่าเรื่องของวิญญาณ

            พระเจ้าบอกว่าไม่เป็นไร? ต่อให้ยังไม่ใช่เวลา พระองค์ก็จะพูด  พระเยซูคริสต์พูดอย่างหนึ่ง สาวกก็ถามเหมือนกันแหละ …

            “พระองค์เจ้าข้า พระองค์พูดแต่คำอุปมาอุปไมย”

            แม้แต่สาวกยังมาขอการแปลจากพระเยซู  แล้วสาวกก็บอกว่าอย่างนี้แล้วใครจะรู้เรื่องล่ะ แล้วใครจะเข้าใจล่ะ พระเยซูบอกว่าเดี๋ยวก็จะเข้าใจ …

        มาระโก 4:22 TH 1971 “เพราะว่าไม่มีสิ่งใดที่ซ่อนไว้ ซึ่งจะไม่ปรากฏแจ้ง และไม่มีสิ่งใดที่ปิดบังไว้ ซึ่งจะไม่ต้องแพร่งพราย”

            พระองค์บอกว่ามันจะต้องพูดเปิดเผย ไม่ว่ามารซาตานพยายามปิดบังครอบงำขนาดไหน? ความตายจะปิดบังครอบงำขนาดไหนก็ตาม ไม่มีใครที่จะปิดบังมันได้ สิ่งนี้จะถูกเปิดเผยขึ้นอย่างแน่นอน  เพราะว่าพระเจ้าทรงเป็นความสว่าง และความสว่างเข้ามาในความมืด ความมืดหามีชัยเหนือความสว่างนั้นไม่ ในหนังสือยอห์น  ดังนั้น ไม่มีสิ่งใดจะปิดบังซ่อนเร้นข่าวประเสริฐ หรือข่าวดี หรือความจริงว่าเราเป็นมนุษย์ฝ่ายวิญญาณและพระเยซูคริสต์มาตายบนไม้กางเขน เพื่อเราได้ ไม่มีใครจะปิดบังได้เลย แต่ถูกเผยแผ่ออกไปแน่นอน

            เอาเรื่องง่ายๆ คริสต์มาสเปิดเพลงอะไรค่ะ? เชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อพระเจ้าก็เปิดเพลงพระเยซูคริสต์บังเกิด ทั่วโลกเลย ทุกหนทุกแห่ง แต่ว่าคุณได้ยินหรือเปล่า? มีหู จงฟังเถิด ได้ยินไหม? เราได้ยิน แต่อาจจะไม่ได้ฟัง พระเยซูมักจะพูดคำหนึ่งว่า …

            “ใครมีหู จงฟังเถิด”

            พระองค์ไม่ได้บอกว่า … “ใครได้ยินคำพูดของเรา  แล้วฟัง ใครมีหูจงฟังเถิด”

            นั่นหมายความว่าได้ยินกับฟัง ไม่เหมือนกัน คนที่ฟังจะถูกเจาะเข้าไปในวิญญาณตลอดข้อในกระดูก และไขในกระดูก เป็นเครื่องวินิจฉัยความคิดและความมุ่งหมายในจิตใจ เพราะว่าเราเป็นวิญญาณ วิญญาณเราจะถูกดูดเข้าไป  แล้วก็ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเราได้ และสามารถทำให้เรารอดได้ ดังนั้น เปาโลจึงบอกว่าข่าวประเสริฐของพระเจ้าเป็นฤทธิ์เดช  เพราะเมื่อใดก็ตามที่ถูกยิงเข้าไปปุ๊บ ถ้ามนุษย์คนนั้น เปิดหู แล้วฟัง วิญญาณนั้นจะได้รับความรอด ในยอห์น 14:25-26 … ตอนนั้นพระวิญญาณบริสุทธิ์ยังไม่ได้เสด็จมา หมายถึงว่ามาอยู่ในโลกนี้ …

        ยอห์น 14:25-26 TH 1971 “25 “เราได้กล่าวคำเหล่านี้แก่ท่านทั้งหลาย เมื่อเรายังอยู่กับท่าน 26 แต่องค์ผู้ช่วย คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งพระบิดาจะทรงใช้มาในนามของเรานั้น จะทรงสอนท่านทั้งหลายทุกสิ่ง และจะให้ท่านระลึกถึงทุกสิ่งที่เราได้กล่าวไว้แก่ท่านแล้ว”

            นั่นหมายความว่าเมื่อเราบังเกิดใหม่ปุ๊บ วิญญาณของเรา  ได้ถูกเปลี่ยนแปลงไปเป็นเหมือนเดิม คือกลับคืนสู่สภาพเดิม คือวิญญาณของเราบังเกิดใหม่ สามารถที่จะให้พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาอยู่ในเราได้  และพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็กระทำการงาน โดยการเปิดเผยสำแดง สิ่งที่เราอ่านนั้น ให้กับเราเข้าใจ

            ในพระวจนะของพระเจ้าในบางตอน เราจึงได้พบว่าจะไม่มีใครสอนเราเรื่องพระเจ้าอีกแล้ว เพราะว่าพระวิญญาณซึ่งอยู่ในท่าน จะทรงสำแดงพระเจ้าในท่านเอง  แล้วทำไมเรายังมาฟังอยู่ล่ะ? มาเถอะ เพราะบางคนก็รู้ตรงนั้น รู้ตรงนี้  บางคนก็สำแดงตรงนั้น บางคนได้รับการสำแดงตรงนี้ เอามารวมกัน เอามาหากัน เอามาจูนกัน เอามาแบ่งปันกัน เราก็ถูกเสริมสร้าง และเติบโตไปด้วยกันในพระเยซูคริสต์ นั่นก็คือเติบโตขึ้นไป จนกว่าจะสู่ความไพบูลย์ของพระเยซูคริสต์ด้วยกัน เราจะได้รับการเสริมสร้าง คนหนึ่งพรวนดิน คนหนึ่งรดน้ำ  แต่พระเจ้าเป็นผู้ให้การเจริญเติบโตฝ่ายวิญญาณ

            ดังนั้น มนุษย์เป็นวิญญาณที่อาศัยอยู่ในร่างกาย ที่ต้องใช้ดำเนินชีวิตบนโลกนี้  และเป็นวิญญาณนิรันดร์  ไม่ว่าจะเป็นวิญญาณที่บังเกิดใหม่  หรือวิญญาณที่ตายแล้วนิรันดร์ วิญญาณที่บังเกิดใหม่ คือวิญญาณที่เชื่อและวางใจว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า  ได้เข้าส่วนในพระบิดา พระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์ ได้เป็นขึ้นมาใหม่กับพระเจ้า วิญญาณอยู่กับพระเจ้า ได้จูนกับพระเจ้าแล้ว กับวิญญาณที่กำลังจะพินาศ คือปฏิเสธพระเจ้าอย่างสิ้นเชิง  โลกนี้เป็นโลกที่ถูกเตรียมไว้ แค่เป็นตัวกรองว่าเมื่อพระองค์ทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมา และพระองค์ให้มนุษย์เลือกว่าจะอยู่กับพระเจ้านิรันดร์กาล หรือจะไม่ต้องการพระองค์

            พระองค์สร้างทูตสวรรค์ พระองค์ไม่ต้องให้เลือก  ทูตสวรรค์ก็ยังเป็นทูตสวรรค์ที่ต้องทำทุกสิ่งตามปกติของเขา ซึ่งเป็นหน้าที่ ซึ่งดิฉันก็ไม่รู้ เพราะว่ายังไม่ได้ล่วงหลับไป  ก็เลยยังมองไม่เห็นว่าทูตสวรรค์ทำอะไรอย่างไรบ้าง? หรือแม้แต่พวกมารซาตานทำอะไร? อย่างไรบ้าง?  ดิฉันไม่สน ดิฉันสนอย่างเดียวว่าพระเจ้าทำอะไรในชีวิตของดิฉัน?

            วิญญาณที่บังเกิดใหม่นี้ เมื่อหลุดจากร่างนี้ ก็จะต้องรอสวมร่างใหม่ อย่างที่เคยบอกไปแล้วว่าเราไม่รู้หรอกว่าร่างใหม่เป็นอย่างไร? ร่างกายสวรรค์ ก็ต้องไม่ใช่ร่างกายแบบเดียวกันกับที่ต้องใช้ในโลกนี้ ถูกไหม? ไม่เป็นไร เพราะพระคัมภีร์บอกว่างามสง่า งดงาม ดิฉันก็มั่นใจว่าดิฉันจะไม่ขาสั้น ดิฉันก็จะไม่แก่ ดิฉันก็ไม่ต้องพะวงว่าจะต้องกินอะไรและดื่มอะไร การใช้เวลาในการกิน มันเยอะจริงๆ นะ กินเพื่อให้ร่างกายอยู่ได้ แล้วก็ต้องทำ ต้องกิน ต้องนอนให้ถูก ต้องดูแลดีๆ ถ้าดูแลไม่ดี ก็กินผลของมัน  เราก็ต้องเก็บเกี่ยวสุขภาพร่างกายที่ไม่ดีในอนาคต คือต้องดูแล แต่ว่าร่างกายใหม่ ไม่ต้องดูแล เป็นร่างกายที่สมบูรณ์แน่นอน

            แล้ววิญญาณของมนุษย์ที่อยู่ในร่างของผู้ที่ปฏิเสธพระเจ้าล่ะ  ก็นิรันดร์เหมือนกัน แต่เป็นวิญญาณที่ตายแล้ว ก็ได้อยู่ในนรกนิรันดร์ ซึ่งไม่มีร่ายกาย

            ดังนั้น เราจำไว้ให้ดีว่าจริงๆ แล้วเราเป็นมนุษย์ที่มีร่างกาย ที่เอาไว้ใช้กับโลกนี้ ร่างกายของเราที่มีวิญญาณอยู่ในนี้  และวิญญาณในนี้แหละที่เป็นนิรันดร์กาล ดังนั้น เรามาคิดดูจริงๆ แล้วอะไรสำคัญกว่ากัน  เราอยู่ในโลกนี้ เรามักจะโฟกัสอยู่แค่ร่างกายนี้ แต่เราลืมไปว่าร่างกายนี้ มีอายุอยู่แค่ 80 ปี 90 ปี 100 ปี 110 ปี บางคนอายุยืนมาก  ดูแลร่างกายนี้ดี ก็อยู่ถึง 100 ปี 110 ปีได้ ไม่ผิดแปลกอะไร?  แต่บางคนเกิดมาก็จากไปแล้ว ดีไม่ดี ดิฉันเทศนาวันนี้ พรุ่งนี้อาจจะจากไปก็ได้ เราไม่สามารถที่จะรู้ล่วงหน้าว่าเราจะจากโลกนี้ไปเมื่อไร?  ในพระคัมภีร์บอกว่าสั้นเหมือนหญ้า สั้นมาก คือถ้าเป็นลมหายใจพระเจ้า พระองค์หายใจเข้าและหายใจออก มนุษย์ก็ล่วงหลับแล้ว  คือเป็นเวลาที่สั้นมาก  แต่วิญญาณของมนุษย์จริงๆ อยู่นิรันดร์กาล

            เมื่อวันก่อนไปงานไว้อาลัยให้กับคุณย่าของข้าวโอ๊ต ข้าวโอ๊ตก็ล่วงหลับไปอยู่กับพระเจ้า ทั้งๆ ที่ตอนนั้นก็อายุ 20 กว่าๆ แต่ว่าเรามั่นใจว่าโอ๊ต ร่างกายของเขา วิญญาณของเขาได้ไปอยู่กับพระเจ้า และเตรียมร่างกายใหม่ พร้อมๆ กับพวกเรา โอ๊ตอายุ 20 กว่าๆ ก็จากไปแล้ว ในขณะที่คุณย่าของโอ๊ต  90 ปี วันที่ท่านจะล่วงหลับไป ท่านนั่งคุยแบบสบายมาก คุยกับลูกหลานบอกว่า …

            “เดี๋ยวฉันก็จะไปเจอโอ๊ตแล้ว จะไปแล้วนะ” คือออนไลน์ แล้วบอกกับทุกคน แบบมีความมั่นใจในความรอด  มีความมั่นใจในความเป็นวิญญาณของตัวเองว่าเรากำลังจะถอดจากร่างที่สภาพ อายุ 90 สภาพก็ไม่ได้จะแข็งแรง เข่าก็ไปหมดแล้ว เวลาจะนั่งจะลุก ก็ลำบาก

            ดิฉันก็ 56 ตอนนี้หลังก็เริ่มไปแล้ว เพราะช่วงย้ายโบสถ์ ก็ยกของหนัก แล้วก็มาอยู่โบสถ์แล้วก็ยิ่งต้องยกของหนักอยู่ ก่อนหน้านั้น ไปตรวจสุขภาพ กระดูกก็เริ่มพรุนแล้ว ความกระดูกพรุนคงจะเป็นเพราะยกไปยกมา เดี๋ยวย้ายเดี๋ยวยก ถ้ารวมหมดก็คงประมาณ 2 ปี ทั้งๆ ที่รักษาทรงกระดูกไว้ตลอดเวลา พยายามมากๆ ที่จะไม่ยกของหนัก แต่มันก็ขาดคน ก็ต้องดูแลกันเอง  ก็ยกกันเอง ตอนนี้ก็อุ้มหลานด้วย มั่นใจว่าตอนนี้กระดูกคงทรุด ตอนนี้เจ็บมาก นั่งนานๆ อย่างนี้ พอขยับ หรือก้ม ก็จะเจ็บมาก

            คือร่างกายเรา มันจะไม่เที่ยงมากๆ เลย  เรามักจะคิดถึงแต่เรื่องของร่างกายนี้ แต่เราลืมไปว่าจริงๆ แล้ว ความเป็นนิรันดร์กาลนั้น อยู่ในเราเต็มขนาดมาก แล้วเป็นตัวตนที่แท้จริงของเรา  ตัวตนที่แท้จริงของเรา ไม่ใช่ร่างกายนี้  แต่ทุกวันนี้ ในโลกนี้ เราโฟกัสแต่เรื่องร่างกายนี้ จะเอาอะไรกิน จะเอาอะไรดื่ม เราโฟกัสแต่เรื่องนี้ โฟกัสว่าเราจะมีชื่อเสียง เกียรติยศ  เงินทอง เราโฟกัสแต่เรื่องนี้ ใครทำไม่ดีกับเรา ทำไมต้องทำแบบนั้น ทำไมต้องทำแบบนี้  ทำไมไม่ขอโทษ ทำไมต้องอย่างนั้น ต้องอย่างนี้ เราโฟกัสแต่เรื่องนี้ แท้ที่จริงแล้ว เราเป็นมนุษย์ฝ่ายวิญญาณ  พระเยซูจึงบอกเราไว้ในมัทธิว 6:33 ว่า …

        มัทธิว 6:33 TH 1971 “แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้”

            ตอนนั้น พระเยซูคริสต์ได้มาเทศนาบนภูเขา พระองค์ก็ได้อ้างถึงพระบัญญัติของพระเจ้าที่คนอิสราเอลนับถือ และยึดถืออยู่ พระองค์ก็จะบอกให้เห็นว่าบัญญัติพูดอย่างนี้  แต่เราบอกว่าต้องทำอย่างนี้ บัญญัติพูดอย่างนี้ แต่เราบอกความจริงว่า

            เช่น พระองค์จะบอกอย่างนี้ เอาอันที่จำได้ ง่ายๆ คือ “อย่าล่วงประเวณีผัวเมียคนอื่น แต่เราบอกความจริงว่าแค่มอง แล้วเกิดความกำหนัด ท่านก็บาปแล้ว”

            ไม่ต้องลงมือทำ ท่านก็บาปเรียบร้อยแล้ว พระเยซูคริสต์กำลังจะบอกเราอย่างหนึ่งว่าไม่มีใครที่จะทำตามพระบัญญัติได้ เพราะว่าเกณฑ์มาตรฐานของพระเจ้าสูงมาก เกณฑ์จะขึ้นสวรรค์สูงมาก บัญญัติมีไว้ เพื่อให้พวกคุณประพฤติหยุดยั้งบาปที่มันครอบงำคุณ บัญญัติ 600 กว่าข้อที่คุณชี้ออกมา ตอนแรกมี 10 ข้อ อยู่ไปอยู่มา ทำนั่นทำนี่ ก็เลยเพิ่มบัญญัติขึ้น เหมือนกฎหมาย เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะว่ามันทำไปเรื่อยๆ มันก็ต้องมีข้อบังคับไว้

            ฉะนั้น บัญญัติก็ถูกเขียนๆ ขึ้นมา จนของยิวมี 600 กว่าข้อ  พระบัญญัตินี้ต้องถือรักษาให้มั่น  ถึงจะสามารถรอดได้ แต่พระเยซูคริสต์มาพูดตอนเทศนาบนภูเขา เพื่อมาชี้ให้เห็นว่าคุณทำไม่ได้หรอก เพราะว่ามาตรฐานจริงๆ แล้วที่จะขึ้นสวรรค์ มันละเอียดขนาดไหน? แค่คิดในใจ ก็บาปได้  แต่จริงๆ แล้วให้ทำแบบไหน ถ้ามีใครขออะไรจากท่าน ให้ถอดเสื้อคลุมให้เขา เอาเสื้อในให้ด้วย แล้วเดินไปส่งเขาที่บ้านด้วย ใครทำอย่างนี้ได้บ้าง ถ้ามีใครมาเอ่ยปากขอนะ ต้องทำอย่างนี้ทุกครั้งนะ สมมติว่าเขาขอ 10 บาท คุณต้องให้พอที่เขาจะอยู่ได้ สร้างบ้านให้เขาได้ด้วย  มันเป็นอารมณ์นั้น  พระเยซูกำลังจะบอกถึงจุดที่ว่ามันต้องละเอียดและมาตรฐานสูงขนาดนั้น ถึงจะรอด แล้วใครจะทำได้ แล้วพระเยซูจึงบอกว่า …

            “ฝ่ายมนุษย์ก็เหลือกำลังที่จะทำได้ แต่พระเจ้าทรงกระทำได้ทุกสิ่ง”

            บอกว่า … “อูฐลอดรูเข็ม ก็ง่ายกว่านะ มันยากจริงๆ นะ ที่จะรอด ถ้าจะต้องพึ่งพระบัญญัติ”

            แต่พระเยซูก็บอกว่า … “ฝ่ายมนุษย์ก็เหลือกำลังที่จะทำได้ แต่พระเจ้าทรงกระทำได้ทุกสิ่ง”

            เพราะว่าความรอดนั้น ไม่ได้มาจากมนุษย์ แต่มาจากพระเจ้า ท่านทั้งหลายรอด ก็รอดโดยพระคุณ เพราะความเชื่อ ไม่ใช่ด้วยตัวของท่านทำเอง ฉะนั้น บัญญัติจึงหุบไว้ ไม่เกี่ยวแล้วตอนนี้ พระเยซูคริสต์มาทำให้ท่านชอบธรรม โดยที่ไม่ต้องพึ่งพาบัญญัติแล้ว ท่านรอดแล้ว โดยพระคุณ เพราะความเชื่อ ไม่ต้องพึ่งการกระทำของตัวเอง  เพื่อจะบอกว่าความรอดของท่านพึ่งพาพระเจ้า

            ดังนั้น เรื่องร่างกายนี้ล่ะ ไม่ต้องห่วง พระเยซูบอกว่าแสวงหาเรื่องของโลกวิญญาณก่อน แล้วเรื่องอื่น ไม่ต้องห่วง แม้นกในอากาศ พระองค์ก็เลี้ยงดูไม่ใช่หรือ?  ท่านประเสริฐกว่านกอีก แม้ว่าดอกไม้ที่ทุ่งหญ้า ก็สวยงามกว่าเครื่องทรงของกษัตริย์ซาโลมอนอีก พระเจ้าจะไม่ดูแลท่านขนาดนั้นหรือ? พระคัมภีร์บอกว่าพระองค์จะทรงประทานตามความจำเป็นของท่านทุกอย่าง  ไม่ว่าจะเรื่องอะไร?  ยากดี มีจน ความทุกข์ เจ็บป่วย ทุกอย่าง พระองค์จะตอบคำอธิษฐานของคุณ พระองค์จะอยู่กับคุณ และพระองค์อยู่ในคุณ พระองค์ช่วยคุณ พระองค์จะดูแลกายนี้ จนกว่าท่านจะล่วงหลับไปอยู่กับพระเจ้า ดังนั้น ไม่ต้องห่วง จงโฟกัสให้ดีว่าท่านนั้นเป็นมนุษย์ฝ่ายวิญญาณ

            เหมือนดิฉันรู้จักพี่น้องก็หลายคน แต่ยกตัวอย่างให้คนหนึ่ง  เขาเป็นมะเร็ง เมื่อเขารู้แล้วว่าเขาเป็นมนุษย์ฝ่ายวิญญาณ หมอก็บอกจะตัดอย่างนี้ เอาถุงใส่อย่างนี้ ทุกอย่างขับของเสียออกทางถุง เขาก็ต้องถือถุงนี้ไปทุกที่ทุกแห่งด้วย  เขาตัดสินใจเลย ไม่ทำอะไรทั้งสิ้น อยู่ก็ได้ ตายก็ได้  แต่ไม่ทำอะไรทั้งสิ้น รักษา แล้วแต่พระวิญญาณบริสุทธิ์จะพาไป เลือกอย่างนี้ พอมาถึงจุดหนึ่ง เราก็กล้าที่จะเลือก ถ้าเป็นสมัยก่อน ถ้าเราไม่รู้ว่ามนุษย์ คือวิญญาณ เราไปโฟกัสที่ร่างกาย เราก็ต้องพยายามที่จะรักษาร่างนี้ไว้ แต่เมื่อเรารู้แล้วว่าเราเป็นวิญญาณ ที่อยู่ในร่างกายนี้ ทำเท่ากำลังเราไหว เวลาเราเผชิญอะไรก็ตาม มันไม่ยากอีกต่อไป ใน 2 โครินธ์ 4:16-18 …

        2 โครินธ์ 4:16-18 TH 1971 “16 เหตุฉะนั้น เราจึงไม่ย่อท้อ ถึงแม้ว่ากายภายนอกของเรากำลังทรุดโทรมไป แต่จิตใจภายในนั้นก็ยังคงจำเริญขึ้นใหม่ทุกวัน 17 เพราะว่าการทุกข์ยากเล็กๆ น้อยๆ ของเรา ซึ่งเรารับอยู่ประเดี๋ยวเดียวนั้น จะทำให้เรามีศักดิ์ศรีถาวรมากหาที่เปรียบมิได้ 18 เพราะว่าเราไม่ได้เห็นแก่สิ่งของที่เรามองเห็นอยู่ แต่เห็นแก่สิ่งของที่มองไม่เห็น เพราะว่าสิ่งของซึ่งมองเห็นอยู่นั้นเป็นของไม่ยั่งยืน แต่สิ่งซึ่งมองไม่เห็นนั้นก็ถาวรนิรันดร์”

            อันนี้กำลังพูดถึงกายจริงๆ ไม่ได้พูดถึงเรื่องอื่นเลย  พูดถึงกายที่มองเห็นกับกายที่มองไม่เห็น

            ดังนั้น ในเช้าวันนี้ดิฉันก็อยากจะหนุนใจพี่น้องว่าอย่ากลัวเลย พระเยซูตรัสว่า …

            “อย่ากลัวเลย เพราะเราอยู่กับเจ้า อย่าขยาด เพราะเราเป็นพระเจ้าของเจ้า  เออ! เราจะช่วยเจ้า เออ! เราจะชูเจ้าด้วยมือขวาอันมีชัยของเรา”

            พระองค์กำลังพูดกับวิญญาณของเราว่าไม่ว่าร่างกายนี้จะต้องเผชิญกับสิ่งใดๆ ในโลกนี้ พระเจ้าที่อยู่ในท่าน เต็มไปด้วยฤทธานุภาพ  เป็นฤทธิ์เดช  ไม่ใช่ด้วยฤทธิ์ ไม่ใช่ด้วยแรง แต่แข็งแกร่งด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์  จะขับเคลื่อนภายในท่าน

        1 ยอห์น 4:18 “ไม่มีความกลัวในความรัก (อากาเป้ แบบพระเจ้า) แต่ความรัก (อากาเป้ แบบพระเจ้า) ที่สมบูรณ์ครบถ้วน (ภายในเรา) ขจัดความกลัวออกไปจนหมดสิ้น  เพราะความกลัวทุกเรื่อง (ไม่มั่นใจในความชอบธรรมของตนเอง) ทำให้เกิดความคิดฟ้องผิด (ว่าถูกตัดสินลงโทษ) ดังนั้น ผู้ที่ยังกลัวอยู่ (ไม่มั่นใจในความชอบธรรมของตนเอง กลัวการถูกลงโทษในวันพิพากษา ครั้งสุดท้ายหลังความตาย) คือผู้ที่ยังไม่มีความรัก (อากาเป้ แบบพระเจ้า) ที่สมบูรณ์ครบถ้วน ภายในเขา”

            นี่คือความจริง เมื่อเรามีพระวิญญาณของพระเจ้าอยู่ข้างใน เราจะสังเกตตัวเราว่าทุกวันนี้ เราไม่ค่อยกลัวเรื่องความตาย ความตายเป็นแค่ประตูผ่านไปสู่ชีวิตนิรันดร์ ไม่ว่าจะตายในรูปแบบไหน? ตายสวย ตายไม่สวย ตายเร็ว ตายช้า แต่เรามีข่าวดีอย่างหนึ่งว่าท่านไม่ได้ตาย พระคัมภีร์ใช้คำว่า “ล่วงหลับ” นั่นหมายความว่ากายนี้ปิดสวิตซ์ เพื่อให้ตัวจริงๆ ของท่านออกไป ถ้าสวิตซ์ไม่ปิด ตัวจริงๆ ของท่านก็ออกไปไม่ได้

            ดังนั้น เมื่อร่างกายนี้ ปิดสวิตซ์ ด้วยเหตุผลใดก็ตาม วิญญาณท่านก็กำลังถูกวางไว้ เพื่อเตรียมพร้อม สำหรับร่างกายใหม่ ซึ่งพระเจ้าทรงจัดเตรียมให้ท่าน ดังนั้น เมื่อท่านรู้ความจริงนี้ว่าท่านเป็นวิญญาณที่อยู่ในร่างกายนี้ ไม่ใช่มนุษย์ที่มีวิญญาณ แต่เป็นวิญญาณที่อยู่ในเรา ต่างกันนะ เราเป็นมนุษย์วิญญาณ ที่อยู่ในร่างนี้ เราไม่ใช่มนุษย์ที่มีวิญญาณ เผอิญว่ามีวิญญาณ ไม่ใช่ เราเป็นวิญญาณที่อาศัยอยู่ในร่างกายนี้

            พระคัมภีร์จึงใช้คำว่า … “ท่านทั้งหลายเป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งขับเคลื่อนอยู่ภายในท่าน”

            พระเจ้าจึงได้บอกว่า … “มีบุตรชายคนหนึ่งจะบังเกิดขึ้น จงเรียกนามของท่านว่าอิมมานูเอล พระเจ้าสถิตอยู่กับเรา”

            พระวิญญาณของพระเจ้ากับวิญญาณของเรา ถูกหลอมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ถูกแก้ไขจากความตาย มาสู่ชีวิตแล้ว แก้ไขจากวิญญาณที่มืดบอด  เป็นวิญญาณนิรันดร์ กลับคืนสู่สภาพเดิม วิญญาณนี้จะดำรงอยู่กับพระเจ้านิรันดร์กาล

            ดังนั้น ดิฉันขอจบคำเทศนาด้วยข้อพระคัมภีร์ 2 ทิโมธี 2:7 …

        2 ทิโมธี 2:7 TH 1971 “จงใคร่ครวญถึงสิ่งที่ข้าพเจ้าได้พูดเถิด ด้วยองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงประทานความเข้าใจให้แก่ท่านในทุกสิ่ง”

            พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเป็นพยานยืนยันในสิ่งที่ข้าพเจ้าได้แบ่งปันในวันนี้ อาจจะมีความไม่สมบูรณ์ในความสวยงามของภาษา ก็เพราะบุคลิกแบบนี้แหละ แต่เชื่อว่าเนื้อความใดๆ ที่เป็นของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็จะบรรจุอยู่ในจิตวิญญาณของท่าน เพื่อให้ท่านรู้ว่าวิญญาณของท่านนั้น คือตัวตนที่แท้จริง ไม่ใช่ร่างกายนี้

        ฟีลิปปี 4:23 TH 1971 “ขอให้พระคุณแห่งพระเยซูคริสตเจ้า ดำรงอยู่กับวิญญาณจิตของท่านทั้งหลายเถิด”

            พระเจ้าอวยพรค่ะ

********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            พระเจ้าบอก … “มนุษย์เป็นวิญญาณ”

            พระเจ้าถาม  … “วิญญาณของเจ้าอยู่ที่ไหน?ในขณะนี้”

             มนุษย์ตอบ   … “…………….”

            (พิจารณาให้รอบคอบแล้ว เขียนคำตอบในช่องว่าง หรือในใจก็ได้)

            มัทธิว 5:10 … “ความสุข (พระพรทางวิญญาณ) มีแก่ผู้ที่ถูกข่มเหงเพราะความชอบธรรม เพราะอาณาจักรสวรรค์เป็นของเขาแล้ว”

            ผู้ที่กลับใจใหม่ หันมาพึ่งพระเยซู แทนที่จะพึ่งการกระทำดีของตนเอง เพื่อจะได้เข้าไปอยู่ในอาณาจักรสวรรค์หลังความตาย ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดจากบาป

            ก็ได้รับการบัพติศมาในวิญญาณ เข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันในวิญญาณกับพระเยซูคริสต์ วิญญาณเก่าที่เป็นคนบาปนั้น ได้ตายพร้อมกับพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขนแล้ว

            ถูกฝังไว้อยู่ในอุโมงค์ และได้เป็นขึ้นจากความตาย ร่วมกับพระเยซูคริสต์

            ได้บังเกิดใหม่ในวิญญาณเข้าสู่สวรรค์ทันที ได้เป็นผู้ชอบธรรม ได้อยู่ในอาณาจักรสวรรค์ของพระเจ้า

            ได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์ ผู้นั้นก็จะเป็นศัตรูกับโลกนี้ทันทีในฝ่ายวิญญาณ

            เพราะอาณาจักรฝ่ายวิญญาณ ที่ปกคลุมอยู่บนโลกนี้ พินาศอยู่ในนรก ปกคลุมไปด้วยความมืด ไม่มีพระเจ้าซึ่งเป็นความสว่าง จึงเป็นศัตรูต่อต้านพระเจ้า และอยู่ภายใต้อำนาจของความบาปและความตาย

            แต่ผู้เชื่อ คือคริสเตียนที่ได้บังเกิดใหม่แล้วนั้น ได้ถูกย้ายออกมา เป็นผู้ชอบธรรมในสวรรค์แล้ว

            เขากับโลกเข้ากันไม่ได้อีกต่อไป ความสว่างกับความมืดจะเข้ากันได้อย่างไร และท่านทั้งหลายเป็นความสว่างท่ามกลางความมืดของโลกนี้

            พระเยซูตรัสว่า “โลกจะเกลียดชังท่าน เพราะความจงรักภักดี ที่ท่านมีต่อเรา”

            แต่ขอบคุณพระเจ้าท่านชนะโลกนี้แล้ว

            1 ยอห์น 4:2-4 … “2 โดยข้อนี้ท่านทั้งหลายก็จะรู้จักพระวิญญาณของพระเจ้า คือวิญญาณทั้งปวงของคนที่ยอมรับว่า พระเยซู​คริสต์​ (เป็นพระเจ้า) ได้​เสด็จมาเกิดเป็นมนุษย์ วิญญาณนั้​นก็มาจากพระเจ้า 3 และวิญญาณทั้งปวงที่​ไม่​ยอมรับว่าพระเยซู​คริสต์ ​(เป็นพระเจ้า) ได้​เสด็จมาเป็นมนุษย์ วิญญาณนั้​น  ก็ไม่ได้​มาจากพระเจ้า วิญญาณนั้นแหละเป็นปฏิ​ปักษ์​ต่อพระคริสต์  ซึ่งท่านทั้งหลายได้ยิ​นว่าจะมา และบัดนี้​ก็​อยู่​ในโลกแล้ว 4 ลูกเล็กๆ ทั้งหลายเอ๋ย ท่านเป็นฝ่ายพระเจ้า และได้ชนะเขาเหล่านั้น เพราะว่าพระองค์​ผู้​สถิตอยู่ในท่านทั้งหลาย เป็นใหญ่กว่าผู้นั้นที่อยู่​ในโลก”

            พระเจ้าอวยพรครับ