คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 5 มีนาคม 2023
เรื่อง “หนังสือเอเฟซัส” ตอน 22
โดย วราพร คงล้วน
ขอบคุณพระเจ้า สำหรับถ้อยคำของพระองค์ สัปดาห์ที่แล้วเราก็เรียนไปแล้วในเอเฟซัส 3:9-10 อาจารย์เปาโลพูดถึงพระพรของพระเจ้าที่ได้จัดเตรียมไว้สำหรับคนต่างชาติ มันเป็นแผนการลี้ลับของพระเจ้า ตั้งแต่วันแรกที่มนุษย์ล้มลงในความบาป พระองค์ก็เตรียมแผนว่าวันหนึ่งข้างหน้าพระเจ้าจะทำให้ชนชาติอิสราเอลกับชนต่างชาติที่ไม่ใช่อิสราเอล ให้มาเป็นหนึ่งเดียวกัน ในพระเยซูคริสต์
ฉะนั้น จดหมายฉบับนี้ อาจารย์เปาโลเขียนไปถึงคนต่างชาติ เขาไม่กล้าที่จะเสนอตัวว่าเขาเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เขามีความรู้สึกว่า …
“ฉันเป็นลูกของพระเจ้าแล้วหรือ? ฉันสามารถเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับคนยิวหรือ?”
เพราะชนชาติยิวใครๆ ก็รู้ว่าเป็นชนชาติของพระเจ้า เป็นชนชาติพิเศษที่พระองค์เลือกไว้ แต่อาจารย์เปาโลก็ยังคงย้ำยืนยันว่าเป็นเรื่องจริง พระเจ้าได้เตรียมไว้ตั้งแต่วันแรกที่มนุษย์ล้มลงในความบาปแล้ว แล้วแผนการนี้ก็ค่อยๆ ต่อเนื่องมาจนถึงวันที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำภารกิจของพระองค์สำเร็จ ได้สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ถูกฝัง และเป็นขึ้นมาจากความตาย อยู่กับคนอิสราเอล 40 วัน แล้วก็ลอยขึ้นไปบนฟ้าเลย ให้คนอิสราเอลได้เห็นกับตาเลยว่าพระองค์เสด็จขึ้นสู่สวรรค์ แล้วอีก 10 วัน พระเจ้าส่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ลงมา เป็นครั้งแรกที่พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่กับมนุษย์
แล้วจากวันนั้น ก็มีจุดเริ่มต้นที่พระองค์วางแผนที่จะประกาศความรอด ให้กับคนต่างชาติ แล้วพระองค์ก็ทรงเลือกอาจารย์เปาโลให้ทำอย่างนั้น พี่น้องนึกดูว่าแผนการลี้ลับนี้ พระเจ้าปิดซ่อนไว้ ไม่มีใครรับรู้เรื่องนี้เลย ทุกคนก็มีความรู้สึกว่าเฉพาะชนชาติยิวเท่านั้นที่พระเจ้าเลือกสรร เฉพาะชนชาติยิวเท่านั้น ที่เป็นประชากรของพระเจ้า
เราพูดถึงคำว่า “ประชากร” สมัยก่อนคนยิวภูมิใจในการเป็นประชากรของพระเจ้า ประชากร หมายถึงเป็นพลเมืองของพระเจ้า ถ้าเปรียบประเทศไทย เราเป็นพลเมืองของประเทศไทย เราเป็นคนไทย โดยชอบธรรม เราสามารถที่จะรับสิทธิต่างๆ ที่ถูกกำหนดไว้ในประเทศไทย อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ แต่ว่าเรายังเป็นแค่พลเมืองเท่านั้น เป็นประชาชนเท่านั้น แต่พิเศษกว่านั้น คือพระเจ้าได้เตรียม ไม่ใช่เฉพาะเราเป็นพลเมืองของประเทศไทยเท่านั้น หรือพลเมืองของพระเจ้าเท่านั้น แต่พระเจ้าเตรียมให้เราเข้ามาเป็นลูกของพระองค์ เป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์ มันวิ่งขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง กับการที่เป็นคนไทย กับการถูกรับให้เป็นลูกของกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ นึกภาพออกไหมค่ะ? จะเป็นภาพที่ให้เราเห็นชัดเจนว่าพระเจ้าไม่เพียงแต่ชำระความผิดบาป ให้กับมนุษยชาติเท่านั้น พระองค์ยังเตรียมแผนการให้มนุษย์ได้บังเกิดใหม่ เข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้า เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของพระเยซูคริสต์ เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรพระเจ้า ที่พระเยซูคริสต์บอกว่า … “เรารู้จักเจ้า” รู้จักตั้งแต่ตอนที่เรายังอยู่บนโลกใบนี้ คือเราได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกัน โดยการบัพติศมาในวิญญาณ
นี่คือขบวนการทั้งหมด สิ่งเหล่านี้ เราไม่สามารถมองเห็นด้วยตาของเรา ต้องใช้ความเชื่อเอา เชื่อตามที่พระเจ้าบอกเรา เชื่อตามที่พระองค์บอกว่าวันที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ทันที เราได้บังเกิดใหม่ ขบวนการในโลกวิญญาณได้กระทำการงานของพระองค์ สำเร็จตั้งแต่วันแรก แล้ววิญญาณเราก็ได้รับการเปลี่ยนใหม่ เป็นวิญญาณใหม่เอี่ยมอ่อง เหมือนกับพระเยซูคริสต์ ความคิดจิตใจเราก็ถูกเปลี่ยนใหม่ ร่างกายเราถูกชำระให้สะอาดบริสุทธิ์ เป็นที่สถิตของพระเจ้าทั้งสามพระภาคได้ นี่คือความจริงที่เราต้องรับรู้และกระแทกมันเข้าไป ให้ถ้อยคำเหล่านี้ กระแทกเข้าไปในวิญญาณ เข้าไปในความคิด เข้าไปในจิตใจ ทุกอนูเนื้อของเรา ให้รับรู้ความจริงตรงนี้ เพื่อมารจะได้หลอกเราไม่ได้ ไม่อย่างนั้นมารก็จะคอยหลอกเรา ในขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ มีโอกาสเผลอตัว ไปทำตามระบบของโลกนี้
ฉะนั้น ความจริงตรงนี้แหละ จะทำให้เราสามารถมีอิสรภาพในการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ยืนกราน ตามถ้อยคำของพระเจ้าที่พระเยซูคริสต์บอกเราว่าเราสะอาด เราบริสุทธิ์ เราชอบธรรมแล้ว เราเป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่ เหมือนกับพระเยซูคริสต์แล้ว ร่างกายของเราสะอาด บริสุทธิ์ เหมือนกับพระเยซูคริสต์เลย ร่างกายเราก็สะอาดนะ มันยากตรงที่ร่างกายเรามองเห็น แล้วระบบของโลกใบนี้ก็ส่งข้อมูล สะอาดตรงไหน? ยังทำผิดอยู่เลย ฉะนั้น เราต้องยืนกรานตามถ้อยคำของพระเจ้า ที่บอกเราว่าร่างกายเราได้รับการชำระให้สะอาดจริงๆ พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคเข้ามาอยู่ในเราจริงๆ แล้ววิญญาณเรา เป็นวิญญาณที่ถูกเปลี่ยนใหม่จริงๆ
นี่คือแผนการตั้งแต่เริ่มต้น จนถึงทุกวันนี้ ที่คนต่างชาติ อาจารย์เปาโลบอกว่าให้รับรู้ตรงนี้เอาไว้ แล้วกล้าๆ หน่อยที่จะเข้ามารับพระคุณตรงนี้ คือเขาเชื่อพระเจ้าแล้วล่ะ แต่เขาไม่กล้าไง มีความรู้สึกว่า …
“ได้เหรอ ฉันได้เป็นลูกของพระเจ้าจริงหรือ? แค่รับเชื่อ ฉันได้รับมรดกจากพระเจ้าจริงหรือ?”
ดังนั้น อาจารย์เปาโลย้ำยืนยันตามที่พระเยซูคริสต์ได้ตรัสไว้ว่าเขาได้รับจริงๆ ตามนั้น ให้กล้าที่จะเข้ามารับเอา รับรู้ความจริงว่าเขาสามารถเข้ามาเป็นลูกของพระเจ้า ตอนนี้ไม่ใช่ประชากรแล้วนะ เป็นลูกของพระเจ้าร่วมกับคนยิว เป็นหนึ่งเดียวกันร่วมกับคนยิว
แล้วในข้อ 10 สัปดาห์ที่แล้วเราอ่านไปไม่ได้อธิบาย เดี๋ยวอธิบายก่อนนะ ในข้อ 10 บอกว่า …
เอเฟซัส 3:10 “เพื่อบัดนี้เหล่าเทพผู้ครองและเทพผู้ทรงอำนาจในสวรรคสถาน จะได้เห็นถึงพระปรีชาญาณอันลึกซึ้งของพระเจ้าผ่านทางคริสตจักร”
ตรงนี้หลายคนอาจจะเข้าใจผิด คิดว่าเป็นพวกผู้ครอง ศักดิเทพ อิทธิเทพ เป็นพวกผี หรืออะไร? ไม่ใช่นะ เทพผู้ครองกับเทพผู้ทรงอำนาจในสวรรคสถาน มารซาตาน เขาไม่มีสิทธิ์ขึ้นสวรรค์นะ เขาขึ้นไปก็เฉียดๆ ไปฟ้องเรากับพระเจ้าตลอดเวลา แต่ว่าตรงนี้พูดถึงผู้คนในอดีต ที่เชื่อ วางใจในสิ่งที่พระเจ้า พระบิดาบอกไว้ ตอนนั้นพระเยซูคริสต์ยังไม่มา แต่ว่าใครก็ตามที่เชื่อตามที่พระเจ้าตั้งกฎไว้ อย่างเช่น อับราฮัม โมเสส เขาเชื่อตามที่พระเจ้าบอกว่าให้นำแพะ หรือแกะ มาถวายเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป ปีต่อปี ทุกปี คนอิสราเอลต้องทำแบบนี้ เพื่อเป็นพันธสัญญาระหว่างคนอิสราเอลกับพระเจ้า ตอนนั้นเป็นพระเจ้านะ พระเจ้า พระบิดา พระยะโฮวาห์ พระคัมภีร์เดิม พอพระเจ้าทำพันธสัญญากับคนอิสราเอล ณ เวลานั้น พระเจ้าไม่ได้เข้ามาอยู่ในชนชาติอิสราเอล ไม่ได้เข้ามาอยู่ในคนกลุ่มนั้น แค่อยู่รอบๆ ปกคลุมอยู่ เวลาที่ต้องการจะใช้ใคร? ทำอะไร? พระองค์ก็มาสถิตอยู่ด้วย แล้วก็ให้กำลัง ให้เขาทำ พอทำเสร็จ พระเจ้าก็ออกไป คนสมัยเดิม เป็นอย่างนั้น ไม่อย่างนั้น กษัตริย์ดาวิดจะอธิษฐานว่า …
“พระองค์เจ้าข้า โปรดอย่าละข้าพระองค์ไป เวลาข้าพระองค์ทำบาป พระองค์ก็ละข้าพระองค์ไป”
นึกออกไหม? มันเป็นภาพ เพราะว่าพระเจ้าไม่ได้อยู่ในชนชาติอิสราเอล ในอดีต พระเจ้าก็จะทำการงานของพระองค์ และพระสัญญาที่พระเจ้าให้กับชนชาติอิสราเอลเป็นเงาในอนาคตข้างหน้าที่จะเล็งถึงพระผู้ช่วยให้รอด แกะปัสกาตัวสุดท้าย ซึ่งเต็มไปด้วยฤทธิ์เดชอำนาจที่พระเจ้าเตรียมไว้ ตั้งแต่เริ่มต้นปฐมกาล คือพระเยซูคริสต์ ที่ปฐมกาล 3:15 บอกว่า …
“พงศ์พันธุ์ของหญิงจะทำให้หัวของเจ้าแหลก”
พงศ์พันธุ์ของหญิงเล็งถึงพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงมาเกิดเป็นมนุษย์ แต่เป็นมนุษย์ผู้เดียวที่ไม่มีเชื้อบาป แล้วเป็นมนุษย์ผู้เดียวที่สามารถมาตายแทนมนุษยชาติทั้งหลายได้ มาใช้หนี้แทนได้ มนุษย์บนโลกใบนี้ ไม่มีใครใช้หนี้แทนใครได้ เพราะว่าเป็นคนบาปหมดเลย อยู่ใน DNA บาป เกิดมาก็บาปเลย ไม่มีใครมีความสามารถพอที่จะใช้หนี้ให้ใคร?
ฉะนั้น พระเจ้าได้เตรียมพระเยซูคริสต์ ผู้เดียวเท่านั้น เป็นแกะ ในอนาคตข้างหน้า เมื่อถึงกำหนดเวลา พระเยซูคริสต์ก็เดินทางไปที่แดนประหาร ตอนที่พระเยซูคริสต์ถูกจัดเตรียมให้มาเกิดบนโลกใบนี้ พระเจ้าก็ไม่ได้บังคับพระเยซูคริสต์ว่าต้องทำตามที่พระเจ้าต้องการ พระเจ้าของเราไม่เคยบังคับใครให้ทำตามที่พระองค์ต้องการ พระองค์ให้อิสรภาพในการตัดสินใจ ในการเลือกตั้งแต่พระเยซูคริสต์ มาจนถึงคนอิสราเอลในยุคก่อน พระเจ้าก็ให้อิสรภาพ ถ้าคนอิสราเอล คนไหนได้ยิน ที่พระเจ้าบอกว่าให้มาทำพันธสัญญากับเราด้วยเลือด เราจำคำนี้ไว้ “เลือดแห่งพันธสัญญา” ถ้าไม่มีการหลั่งโลหิต ก็จะไม่มีการอภัยโทษบาป ในพระคัมภีร์เขียนไว้อย่างนั้น
ฉะนั้น เลือด คือชีวิต เลือด คือสัญลักษณ์ที่พระเจ้าได้ทำกับคนอิสราเอล เมื่อคนอิสราเอลคนหนึ่งคนใดเชื่อตามนี้ เมื่อถึงปี เขาก็เอาแกะที่ไร้ตำหนิมาให้กับปุโรหิต แล้วปุโรหิตก็ทำพิธีฆ่าแกะนั้น แล้วก็เอาเลือดไปปะพรมแท่นบูชา เท่ากับว่าเขาได้มาถวายเครื่องบูชา แล้วคนๆ นั้น ที่ทำตามกฎที่พระเจ้าบอก เขาก็จะได้รับการปกคลุม คือได้รับการลบล้างบาปชั่วคราว ก็คือตลอดปีนี้ พระเจ้าคลุมเขาอยู่ แล้วปีหน้า คนอิสราเอลคนนั้น ไม่ใช่สบาย ฉลุย ไม่ต้องทำอะไร? มาใหม่ ปีหน้า ก็ต้องไปหาแกะตัวใหม่ที่ไร้ตำหนิ มาถวายให้พระเจ้า ปีแล้วปีเล่า ครั้งแล้วครั้งเล่า ที่ปุโรหิตต้องยืนถวายเครื่องบูชา อยู่ตรงนั้นแหละตลอด ทำไมถึงต้องถวายเครื่องบูชาตลอด เพราะว่าการลบล้างบาปด้วยเลือดของสัตว์ ไม่ทำให้ใจข้างในเรารู้สึกบริสุทธิ์สะอาด เรายังรู้สึกว่าเรายังบาปอยู่เลย ปีหน้าเราก็มาทำใหม่
พอมาถึงพระเยซูคริสต์ เลือดของพระเยซูคริสต์ที่สะอาดบริสุทธิ์ ชำระเรา ในพระคัมภีร์บอกว่าครั้งเดียวเป็นพอ ก็คือหลั่งพระโลหิตครั้งเดียว เราได้รับการชำระปุ๊บ ข้างในวิญญาณเรารู้สึกเราเป็นไทเลย เราไม่ต้องมาคอยชำระบาปทุกปีๆ ไม่ต้อง ดังนั้น วิญญาณข้างในเราจะรับรู้ว่าเราหยุดที่จะแสวงหา พี่น้องสังเกตไหมก่อนหน้าที่เราจะมาเชื่อพระเจ้า เราจะคอยแสวงหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพื่อทำให้เรารู้สึกว่าเราจะได้หลุดพ้นจากกฎแห่งกรรม กฎที่มันฝังอยู่ในความคิดของเราว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เราทำดีกับชั่วมันก้ำกึ่งกันมาก แล้วต่อให้ทำดีมากกว่าทำชั่ว ต่อให้ก้ำกึ่งกัน เราก็ยังมีความรู้สึกข้างในมันฟ้องผิด นี่คือปกติ เพราะว่าตัวตนข้างในเรายังเป็นบาปอยู่ ดังนั้น พอเรามาเชื่อพระเจ้าปุ๊บ ข้างในเราไม่บาปแล้วนะ เราถูกเปลี่ยนจากสถานะเดิม ก็คือเป็นคนบาป มาเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า เปลี่ยนจากอยู่ในอาณาจักรของความมืดเข้ามาอยู่ในอาณาจักรแห่งแสงสว่างของพระเจ้า เปลี่ยนจากการเป็นคนบาป มาเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ
ฉะนั้น ในข้อ 10 ที่บอกว่าเทพผู้ทรงอำนาจในสวรรคสถาน หมายถึงบุคคลต่างๆ ที่เชื่อในพันธสัญญาเดิม ที่พระเจ้าบอกไว้ว่าให้ถวายแกะเป็นเครื่องบูชา เอาเลือดมาถวาย คนเหล่านั้น แม้พระเยซูคริสต์ยังไม่มาเกิดเป็นมนุษย์ แต่เขาเชื่อตามพันธสัญญาเดิม พอเชื่อตามพันธสัญญาเดิมปุ๊บ พระเจ้าบอกว่าเขาชอบธรรม
อับราฮัมมีความเชื่อ พระเจ้าถือว่าเขาเป็นผู้ชอบธรรม ในพระคัมภีร์ไม่ได้บอกว่าอับราฮัมประพฤติดี พระเจ้าถือว่าเขาเป็นผู้ชอบธรรม มันต่างกันเนอะ การประพฤติกับความเชื่อให้แยกจากกัน มนุษย์ไม่สามารถประพฤติดี จนทำให้ตัวเองเป็นผู้ชอบธรรมได้ มีเพียงวิธีเดียวเท่านั้น คือเชื่อตามพระสัญญาของพระเจ้า ฉะนั้น บุคคลต่างๆ ในอดีต เขาได้เชื่อตามที่พระยะโฮวาห์บอก แล้วเขาก็เป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า เมื่อเขาตายจากไป เขาก็ไปอยู่กับพระเจ้าบนสวรรค์ เพราะว่าเขาได้ทำตามเงื่อนไขของพระคัมภีร์เดิม ก่อนที่พระเยซูคริสต์มาเกิด ตรงนี้พี่น้องเอาให้ชัดๆ
หลังจากนั้น คนเหล่านี้อยู่ข้างบน เขาเชียร์เรา เขาไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าพระเจ้าวางแผนไว้อย่างไร? พอถึงเวลา ก็ตื่นเต้นว่าพระเจ้าเลือกชนชาติอิสราเอลใช่ไหม? พอพระเยซูคริสต์ได้มาเกิดเป็นมนุษย์ มาสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน แล้วพระองค์ได้เป็นขึ้นมาจากความตาย ข่าวประเสริฐของพระองค์ไปถึงคนต่างชาติ เขาก็ตื่นเต้นมากเลย ไม่ใช่เฉพาะคนยิวเท่านั้น แต่คนต่างชาติที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เขาสามารถเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพวกเรา พวกเรา ก็คือพวกธรรมิกชนทั้งหลาย ที่จากโลกนี้ไปแล้ว เขาก็ตื่นเต้นไง เชียร์ใหญ่ เชียร์อยู่บนสวรรค์
นี่คือภาพให้เราเห็นว่าคนที่จากโลกนี้ไป ก่อนที่พระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ คนเหล่านั้น ถ้าทำตามเงื่อนไข พันธสัญญาเดิม เขาได้ไปอยู่กับพระเจ้า ฉะนั้น พอมาถึงยุคพระคัมภีร์ใหม่ ยุคที่พระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ และทำภารกิจของพระองค์สำเร็จ ตอนนี้เปลี่ยนแล้วนะ พระเยซูมาประกาศกับคนยิวว่าเขาไม่สามารถรักษากฎบัญญัติ ที่พระเจ้าตั้งไว้ให้ครบถ้วนสมบูรณ์ ทุกจุด ทุกขีด ถ้าเขาต้องการที่จะพึ่งพากำลังของตนเอง ที่จะประพฤติ ทำให้เป็นผู้ชอบธรรมได้ มีวิธีเดียว คือให้ดีพร้อม เหมือนพระเจ้า
ดีพร้อมเหมือนพระเจ้า หมายความว่าเขาต้องทำตามกฎที่พระเจ้าตั้งไว้ แม้แต่จุดนิดหนึ่งก็ไม่ให้พลาด ตลอด 24 ชั่วโมง คิดก็ไม่ได้ พระเยซูบอกแค่คิดชั่ว ก็บาปแล้ว แล้วพระคัมภีร์ก็บอกว่าต่อให้มนุษย์ผู้นั้น ทำดีมาเป็นพันครั้ง หมื่นครั้ง ล้านครั้ง แต่ถ้าเขาทำผิดแค่ครั้งเดียว ถือว่าเขาผิด ถือว่าเขาบาป นี่คือกฎ ที่พระเจ้าตั้งไว้
ฉะนั้น ไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถใช้กำลังของตนเอง ที่จะทำให้ตนเองชอบธรรมได้ นี่คือเหตุผล ที่พระเจ้าส่งพระเยซูคริสต์มา แล้วตอนที่พระเยซูคริสต์ยังอยู่บนโลกใบนี้ พระเยซูคริสต์ก็บอกกับคนยิวว่าพวกท่านทำไม่ได้หรอก ไม่ได้มาสอนให้ทำนะ เมื่อก่อนเราเข้าใจผิด ดิฉันก็เข้าใจผิดมาเป็น 30 กว่าปีนะ คิดว่าพระเยซูมาสอนให้เราทำ แล้วเราก็พยายามทำ ทำแล้วทำอีก เรียกว่าหัวชนฝาทำ แต่ทำเสร็จ มันก็ไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ แล้วเราทำไม่พอ เราก็ไปสอนคนอื่นให้ทำ แต่ความจริงคือ …
พระเยซูบอก … “ไม่ได้มาสอนให้เธอทำ ฉันกำลังมาบอกเธอว่าเธอทำไม่ไหว ฉันมาทำให้สำเร็จ เธอแค่มาเชื่อฉัน” จบ
ง่ายไหม? ง่าย แต่เรื่องง่ายๆ มนุษย์รับไม่ค่อยได้ ฉะนั้น เมื่อพระเยซูคริสต์บอกว่ามนุษย์ไม่สามารถทำได้ พระองค์มา วันที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน วันที่พระองค์ถูกฝังในอุโมงค์ แล้ววันที่พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย พระเยซูว่าอย่างไร?
พี่น้องจำวันที่พระเยซูอยู่บนไม้กางเขน ตอนบ่าย 3 โมงได้ไหม? พระเยซูตะโกนคำว่า … “สำเร็จแล้ว” นั่นหมายความว่าทุกอย่างที่พระเจ้า พระบิดาเตรียมไว้ สำหรับมนุษยชาติ ความรอดนิรันดร์ได้สำเร็จแล้วในพระเยซูคริสต์ และในพระคัมภีร์ยังบอกอีกว่าขณะที่พระองค์ตะโกนว่า “สำเร็จแล้ว” ม่านในวิหารขาดเป็น 2 ท่อน ม่านในวิหารตรงนี้ เป็นม่านที่กั้นระหว่างวิสุทธิสถานกับอภิสุทธิสถาน อภิสุทธิสถาน คือสถานที่ที่มนุษย์ธรรมดาเข้าไปไม่ได้ เข้าไปปุ๊บ ตายเลย แล้วไม่ใช่ปุโรหิตทุกคนเข้าไปได้ด้วย ต้องมหาปุโรหิต ผู้เดียวเท่านั้นที่พระเจ้าเจิมตั้งไว้ แล้วมหาปุโรหิตในยุคของพระคัมภีร์เดิม ก็จะเป็นเผ่าพันธุ์ของอาโรน พระเจ้าก็จะมีส่งไม้ต่อ ไม้ผลัด เขาจะมีเวรว่าปีหนึ่งครั้งหนึ่ง เข้าไปถวายเครื่องบูชา
ฉะนั้น มหาปุโรหิตผู้เดียวเท่านั้นสามารถเข้าไปในอภิสุทธิสถาน เพื่อถวายเลือดให้กับพระเจ้า เพื่อเป็นการชำระบาปให้ชนชาติอิสราเอล แล้วมหาปุโรหิตคนนั้น ถ้าถึงเวรที่เขาต้องทำ จากเริ่มต้น คือมหาปุโรหิตต้องชำระความผิดบาปของตัวเองก่อน คือต้องถวายเครื่องบูชาสำหรับตัวเองก่อน ต้องสารภาพบาปกับพระเจ้าก่อน แล้วก็เอาแกะที่ไร้ตำหนิมาฆ่าถวาย เอาเลือดมาปะพรมที่แท่นบูชา ให้ตัวเองสะอาดพอที่จะเข้าไปหาพระเจ้าได้ นี่คือกฎสมัยเดิม ถ้ามหาปุโรหิตคนนั้น ลืมชำระตัวเอง ให้สะอาด มีบาปติดตัว เข้าไปปุ๊บ เขาตายเลยนะ เพราะว่าความสะอาดของพระเจ้ากับความสกปรกของมนุษย์อยู่ด้วยกันไม่ได้ เข้าไปปุ๊บ ตาย
นี่คือเหตุผลหนึ่งในพระคัมภีร์บอกว่ามหาปุโรหิตทุกคน ก่อนที่เข้าไปหลังม่าน ก็คืออภิสุทธิสถาน เขาจะเอาเชือกผูกข้อเท้าเขาไว้ แล้วชุดของมหาปุโรหิต ที่พระเจ้าสั่งให้โมเสสทำ ก็คือมีกระพรวนอยู่รอบตัวเลย เวลาเดินไปไหนมาไหน เหมือนเราทำพิธี เราเดินไปเดินมา กุ๊งกิ๊งๆ ตลอดเวลา เหมือนเด็กรุ่นใหม่ ใส่รองเท้าดังปี๊บๆ เวลาเด็กมาวิ่งๆ เราจะได้ยินเสียงปี๊บๆ พ่อแม่ก็รู้ว่ายังอยู่ใกล้ๆ เรา ถ้าปี๊บๆ หายไป เราก็มอง ลูกเราเดินหายไปไหน? ประมาณนั้น
เพราะฉะนั้น มหาปุโรหิตก็ต้องชำระตัวเองให้สะอาด พอไม่สะอาด เข้าไปปุ๊บตาย แล้วเกิดอะไรขึ้น คือเสียงกุ๊งกิ๊งมันจะหายไปไง นิ่งเงียบ ถ้ามีการเดินไปเดินมา ถวายเครื่องบูชา มันต้องเสียงกุ๊งกิ๊งๆ ตลอดเวลา พอเงียบปุ๊บ แปลว่ามหาปุโรหิตคนนั้นตายเรียบร้อย คนข้างนอก ก็ต้องดึงเชือกออกมา เข้าไปไม่ได้นะ เข้าไปก็ตาย ดึงออกมา แล้วส่งคนใหม่เข้าไป มันเป็นภาพอย่างนี้จริงๆ นะ ในสมัยเดิม ในพระคัมภีร์ก็เขียนว่าปุโรหิต ต้องถวายเครื่องบูชาวันแล้ววันเล่า ไม่จบสิ้น เพราะว่าถวายอย่างไร บาปของมนุษย์ก็ไม่ถูกลบล้างให้หมดไป ดังนั้น วันที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์ ที่พระองค์บอกสำเร็จแล้ว ก็คือม่านขาดออกมา มนุษย์ทุกคนสามารถเข้าไปที่หลังม่านได้ สามารถเข้าไปในอภิสุทธิสถานได้ พวกเราผู้เชื่อทุกคน ทุกวันนี้ เราเข้าไปเฝ้าพระเจ้าที่สถานที่ลึกที่สุด ก็คือในวิญญาณของเราเป็นอภิสุทธิสถาน เป็นที่ที่พระเจ้าทรงสถิตอยู่
นี่คือความแตกต่างระหว่างพระคัมภีร์ใหม่กับพระคัมภีร์เดิม ณ ยุคปัจจุบัน เมื่อพระเยซูคริสต์ทรงกระทำ การงานของพระองค์สำเร็จแล้ว จึงไม่ต้องมีปุโรหิตอีกต่อไป ไม่ต้องหาคนมาช่วยถวายเครื่องบูชา เพื่อพวกเรา เพราะว่าพระเยซูคริสต์มาถวายเครื่องบูชาให้กับพวกเราครั้งเดียว จบ ในพระคัมภีร์บอกครั้งเดียวเป็นพอ หลั่งพระโลหิต ครั้งเดียวก็พอ ชำระล้างความผิดบาปของเราตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน จนถึงอนาคต ก็คือจบสิ้นขบวนการ นี่คือสิ่งที่เราจำเป็นจะต้องรับรู้ นี่คือความจริง ไม่อย่างนั้น เราก็จะถูกหลอก ผู้เชื่อที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ บังเกิดใหม่จริงๆ ถูกหลอก แล้ววิญญาณเขากระเทือนไหม? ไม่กระเทือน วิญญาณเขายังอยู่กับพระเจ้าอยู่ ถ้าเขาจากโลกนี้ไป เขาก็ยังไปอยู่กับพระเจ้าอยู่ แต่ถ้าเราถูกหลอกบนโลกใบนี้ เราก็อยู่แบบผวาอยู่ตลอดเวลา นึกภาพออกไหม? อยู่แบบไม่เป็นอิสระ
อยู่แบบ … “วันนี้ฉันทำอย่างนี้ ตกลงฉันจะรอดหรือไม่รอด”
มารก็คอยส่งข้อมูล … “เธอไม่รอดแล้ว เธอทำอย่างนี้ เธอตายแน่ๆ พระเจ้าไม่เอาเธอ”
ความจริง คือเราต้องยืนกราน … “ฉันเกิดแล้วเกิดเลย ฉันรอดแล้ว รอดเลย ไม่มีมนุษย์คนไหนแยกฉันไปจากพระหัตถ์ของพระเจ้าได้” นี่คือความจริง
พวกที่จากไปก่อน เขาก็เชียร์เรา ฉะนั้น แผนการที่พระเจ้าเตรียมไว้ สำหรับมนุษย์ในยุคนี้ เลิศสุดแล้ว เราขอบคุณพระเจ้า ที่เราได้รับสิ่งที่ดีที่สุด แล้วเมื่อมีพันธสัญญาใหม่ปุ๊บ พระเยซูก็บอกกับคนยิว เพราะคนยิวรับพันธสัญญาเดิมเต็มๆ พวกเราคนต่างชาติไม่รู้เรื่องพันธสัญญาเดิม เพราะคนต่างชาติ เราไม่เคยเอาแกะไปถวาย เป็นเครื่องบูชาให้กับพระเจ้า ฉะนั้น คนต่างชาติไม่เกี่ยวเลย พอรับรู้ความจริงในข่าวประเสริฐของพระเจ้า เราก็รับมาเลย แต่คนยิว เหมือนข้อมูลในสมองเขา เขามีความรู้สึกว่าพระเจ้าให้เขาทำตามกฎ และทุกวันนี้ ก็ยังมีคนเข้าไปในวิหาร เพื่อถวายเครื่องบูชาเหมือนเดิม แล้วคิดว่าสิ่งที่เขาทำ สามารถที่จะลบล้างความผิดบาปของเขาได้ สามารถที่จะเป็นคนชอบธรรมในสายพระเนตรของพระเจ้าได้ แต่พระเยซูบอกไม่ได้ กฎเก่า พระเจ้ายกเลิกไปแล้ว ตอนนี้เป็นกฎใหม่
กฎใหม่มีทางเดียวที่พวกเธอจะเป็นผู้ชอบธรรม แล้วสามารถเข้าไปอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้ ก็คือเธอต้องเปลี่ยนจากการพึ่งพาในการกระทำของตนเอง คือพึ่งพาในการถวายเครื่องบูชา พึ่งพาในการกระทำตามกฎบัญญัติที่พระเจ้าตั้งไว้ ให้เปลี่ยนจากการพึ่งพาตรงนั้น ให้มาพึ่งพาสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำเพื่อเราบนไม้กางเขน สำเร็จแล้ว แค่นั้นเอง เปิดใจต้อนรับ เชื่อปุ๊บ ได้ทุกอย่างเลย มาเป็นขบวนเลย มาเป็นหีบ มาเป็นห่อ มาเยอะแยะ ที่พระองค์บอกว่าพระองค์ทำให้สำเร็จแล้ว
ฉะนั้น คริสเตียนทุกคนมีหน้าที่อย่างเดียว คือมาชื่นชมยินดีในผลสำเร็จที่พระเจ้าได้กระทำให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว ฮาเลลูยา นี่คือความจริง แล้วเราต้องเอเมนตามนั้น พระเจ้าบอกเราอย่างนั้น ในโลกวิญญาณมันเป็นอย่างนั้น ฉะนั้น อย่าให้ระบบของโลกนี้ หรือการหลอกลวงทุกรูปแบบที่ส่งข้อมูลเข้ามา โดยผ่านทางมาร มันพยายามลัก ฆ่า ทำลาย มันพยายามหลอกคริสเตียนให้เชื่อตามมัน หลอกเรา บอกว่า …
“พระเยซูยังทำไม่สำเร็จหรอก พวกเธอต้องทำเพิ่ม ต้องทำอีก ถ้าไม่ทำนะ ไม่สำเร็จแน่ๆ เลย พระเยซูไม่ได้ชำระบาปของเธอตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน อนาคตหรอก ชำระแค่ในอดีตเท่านั้น ในปัจจุบัน ถ้าเธอทำ เธอต้องไปสารภาพกับพระเจ้านะ”
แต่ถ้อยคำของพระเจ้าบอกว่าทันทีที่เราเผลอ ต้องใช้คำว่าเผลอนะ เพราะว่าตอนนี้ธรรมชาติใหม่ วิญญาณใหม่ของคริสเตียน คือทำบาปไม่เป็น คิดชั่วไม่เป็น ร่างกายเราก็สะอาดบริสุทธิ์ ไม่ทำชั่วอยู่แล้ว เราพร้อมที่จะเชื่อฟังพระเจ้า แต่เหตุผล คือเรายังอยู่ในระบบของโลกนี้ อยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตาย มีโอกาสเผลอที่จะไปทำตาม ถ้าเผลอเมื่อไร การประพฤติของเรา ไม่ได้เป็นไปตาม คือให้สมกับที่เป็นลูกของพระเจ้า ในพระคัมภีร์อาจารย์เปาโลบอกว่าให้เราประพฤติตนให้สมกับที่เป็นลูกของพระเจ้า หรืออีกนัยหนึ่ง เหมือนกับเวลาที่เราว่าเด็กๆ ทำตัวให้เหมือนมนุษย์มนาหน่อย เด็กบางคน เดินก็ไม่เดิน ชอบคลานๆ คือโตแล้ว ก็ยังอยากเล่น อยากคลาน พ่อแม่ดูแล้วก็ โอ้โห ทำตัวให้เหมือนมนุษย์มนาหน่อย ตอนนี้ไม่คลานแล้ว ให้ลุกขึ้นมาเดิน แต่ว่าถ้าเขายังพอใจที่จะคลาน เขาก็ยังเป็นลูกเราอยู่นะ นึกภาพออกไหม? คริสเตียนเหมือนกัน บางทีเราก็เผลอ ไปทำอะไรที่มันไม่เหมือนกับพระเจ้า เราเป็นลูกพระเจ้า เราก็ทำเหมือนพระเจ้านั่นแหละ
ฉะนั้น ในพระคัมภีร์ทุกบททุกตอน ที่เขียนไว้ เล็งถึงเรื่องของโลกวิญญาณ บอกเราว่าธรรมชาติใหม่ของเราเป็นแบบนี้ เราเป็นความรักแล้ว ไม่ได้สอนเราว่าเราต้องพยายามประพฤติให้รักคนอื่น แต่บอกเราว่าธรรมชาติใหม่ เราเป็นความรักแล้ว แล้วเราก็รับรู้ความจริงตรงนี้ แล้วความรักที่อยู่ในเราจะเจริญเติบโต พอเราโตมากเท่าไร ความรักมันจะส่งผลออกไปเอง เป็นธรรมชาติ ไม่ได้ให้เราต้องพยายามไปจ้องว่า …
“ฉันเป็นความรัก ฉันต้องๆ”
ไม่ใช่นะ ถ้าเราฝืนทำด้วยกำลังของเราเอง เราก็พลาด เราทำไม่ได้อยู่แล้ว ฉะนั้น พระเจ้าบอกเราว่าธรรมชาติใหม่เราเป็นแบบนี้ รับรู้เอาไว้นะลูก ลูกเป็นความรักนะ พอรับรู้ โตๆ ขึ้น ธรรมชาตินี้มันก็จะออกไป แบบอัตโนมัตินั่นแหละ ที่พระวิญญาณบริสุทธิ์จะโน้มนำเรา พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะบอกเราว่าลูกเอ๋ย ตอนนี้ ลูกเป็นความรักนะ เมื่อกี้ถ้าลูกประพฤติ เกลียดอันนั้น ไม่ใช่ตัวลูกนะ เราก็ใช่ๆ อันนั้นไม่ใช่ฉัน ฉันก็กลับลำมา
ฉะนั้น การอยู่ในพระเจ้า มันมีสงครามที่สู้กันอยู่ตรงความคิดที่เราคุยกัน ความคิดเป็นสิ่งที่สำคัญ ความคิดของมนุษย์ที่เชื่อ วางใจในพระเจ้าแล้ว เราสามารถคิดตามพระวิญญาณได้ หรือเราจะคิดตามระบบของโลกนี้ ก็ได้ พี่น้องสังเกตสิ ความคิดเราอยู่ไม่นิ่ง มันจะคิดไปเรื่อยๆ ข้อมูลมันจะเข้ามาเรื่อยๆ ฉะนั้น ความคิดตามแบบของพระเจ้า เมื่อเราคิดตามพระวิญญาณนำ ความคิดจะสั่งร่างกายเรา ให้ทำตามนั้น เราอาจจะคิดว่าไม่จริงหรอก บางคนด่าไป ฉันยังไม่ทันคิดเลย ไม่จริงหรอก คือความคิดมันเป็นอัตโนมัติ ความคิดจากความคิดเดิมๆ ที่มีความรู้สึกว่าใครมาทำเราปุ๊บ เราต้องโต้กลับไปทันที นั่นคือความคิดเดิมๆ ที่มันอัตโนมัติไปแล้ว แต่พระเจ้าให้เราจดจ่อในถ้อยคำของพระเจ้า ที่ความคิดใหม่ แนวใหม่ที่เราเป็นไปแล้ว เราเป็นเหมือนพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว แค่เราจดจ่อ รับรู้ความจริงว่าเราเป็นอย่างไรในพระเยซูคริสต์ แล้วเมื่อความคิดเราจดจ่ออยู่ที่ถ้อยคำของพระเจ้าปุ๊บ ความคิดมันก็จะสั่งสมอง สั่งลงมาที่ร่างกายของเรา ให้เราทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า แต่ถ้าเราไม่ได้จดจ่อกับธรรมชาติใหม่ว่าเป็นแบบไหน แล้วเราก็ปล่อยให้ระบบของโลกนี้ อิทธิพล อะไรเยอะแยะมากมาย ส่งเข้ามาๆ แล้วเราก็คิดตามด้วย พอส่งเข้ามาเยอะๆ เราคิดตาม
สมมติว่าเรากับนาย ก. ไม่เคยมีเรื่องกันเลยนะ เราเป็นเพื่อนรักกัน แต่ถ้ามีคนใดคนหนึ่งพยายามสร้างสถานการณ์ทำให้เรากับนาย ก. ผิดใจกัน เขาใช้วิธีไหน? ส่งข้อมูลไง ส่งข้อมูลเข้ามา พยายามบอกเราว่า …
“เธอรู้ไหม นาย ก. เนี้ย เวลาลับหลังเธอ เขานินทาเธอให้ฉันฟัง นินทาทุกวันเลย ทุกครั้งด้วย เจอหน้ากัน นินทาทุกทีเลย”
จากความคิดที่เรากับนาย ก. รักกันอยู่ พอข้อมูลเข้ามาเยอะๆ เราเริ่มคล้อยตาม ความคิดคล้อยตามปุ๊บ ใช่ ทำไมนิสัยอย่างนี้ แอบนินทาฉันลับหลังได้อย่างไร? นั่นแหละ ความคิดก็สั่ง ร่างกายให้ทำงาน ตอนนี้ประพฤติ ปฏิบัติแบบไหน? พอมองหน้านาย ก. จากเดิมที เจอหน้าปุ๊บ โผเข้าใส่เลย ไปกอด คิดถึงจังเลย กลายเป็นมองหน้า อย่ามายุ่งกับฉันนะ ไปไกลๆ เลย ความคิดมันเริ่มสั่งนึกออกไหม? มันเป็นการทำงาน แค่นี้เอง มารไม่มีอำนาจนะ แค่ใช้อิทธิพลของความบาป และความตาย ส่งเข้ามาในความคิดของเรา แล้วมันก็จะแย่งชิงตรงนี้แหละ สนามรบ ว่าเราจะคิดคล้อยตามมัน หรือคิดคล้อยตามพระเจ้า แค่นั้นเอง ง่ายๆ แต่มันไม่ง่าย ในขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ รอบข้างเราเป็นความบาปหมดเลย
อาจารย์นครยกตัวอย่าง เวลาเราเปิดไลน์กลุ่ม พี่น้องเห็นไหม? หน้าเราจะอยู่ในวงกลม แล้วข้างๆ เป็นสีดำหมดเลย เป็นภาพที่ให้เราเห็นชัดเจนในโลกวิญญาณว่าเราอยู่ในวงกลม คืออยู่ในการปกป้องคุ้มครองของพระเจ้า เมื่อเราเชื่อวางใจในพระเจ้าแล้ว พระเจ้าปกป้องคุ้มครองวิญญาณเรา ความคิดจิตใจ และร่างกายเรา ปกคลุมอยู่แล้ว แต่รอบข้างเราเป็นสีดำหมดเลย ก็คือระบบของโลกนี้ ตราบใดที่เรายังอยู่ในวงกลมนี้ อยู่ในการดูแลของพระเจ้า ไม่หลุดออกไปไหน? เราก็ยังได้รับการคุ้มครองอยู่ ระบบของโลกนี้ ก็เข้ามาแตะเราไม่ได้ นอกจากเราเปิดโอกาสให้มันทะลุทะลวงเข้ามา หรือบางทีเราอยู่ในพระเจ้า เราก็แอบออกไป
พอเราเห็นภาพนี้ เรามาเปรียบเทียบกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ที่อยู่ในเรา พระองค์ปกคลุมเราอยู่แล้ว เราอยู่ในพระองค์ หรือบางครั้งเราเผลอออกนอกวง ถูกหลอกล่อ หลอกลวง ให้เราเผลอไปทำตามระบบของโลกใบนี้ เราก็ยังคงเป็นลูกของพระเจ้าอยู่ พระเจ้ายังทรงมาช่วยเราทันอยู่แล้ว พระองค์ก็ทรงชำระเราทันที ในพระคัมภีร์บอกว่าโลหิตของพระเยซูคริสต์หลั่งมาครั้งเดียว คือทุกอย่างจบ ทันทีที่ผู้เชื่อทำบาป หรือทำผิดปุ๊บ พระโลหิตชำระเลย ทันทีแหมือนกัน มันเป็นสิ่งที่พระเจ้าบอกเราไว้ในพระคัมภีร์ แล้วเราจำเป็นจะต้องรับรู้ ไม่อย่างนั้น เราก็จะไม่สามารถมีสันติสุข ในขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้
อย่างที่บอกมารพยายามหลอกล่อให้เราไปทำผิด พอเราทำผิดปุ๊บ มันก็มาชี้หน้าว่าเรา …
“แกๆ ไม่ดี แกชั่ว แกคิดไม่ดี แกทำผิด เห็นไหมพระเจ้าไม่รักแก”
อะไรอย่างนี้ ก็คือซ้ำเติม … พระเจ้ากับมารต่างกันมากเลย เวลาเราทำผิด พระเจ้าเล้าโลมเรา พระเจ้าปลอบโยนเรา พระเจ้าให้กำลังใจเรา …
“พระเจ้าบอกไม่เป็นไรนะลูก ลุกขึ้นมาสู้ใหม่”
แต่ถ้าเป็นมาร จะเหยียบซ้ำให้ตายเลย
นี่คือระบบในการทำงานจริงๆ ในโลกวิญญาณที่เรามองไม่เห็น แต่ว่ามันเป็นเรื่องจริง ฉะนั้น ตราบใดที่เรายังอยู่ในการดูแลของพระเจ้า ที่พระเจ้าบอกเรา หลุดไป ก็ไม่เป็นไร พระเจ้าคุ้มครองเราอยู่แล้ว แล้วพระองค์จะนำพาเราไปจนถึงจุดหมายปลายทาง ในพระคัมภีร์บอกพระเจ้าผู้ทรงเริ่มต้นการงานดีของพระองค์ พระองค์จะทรงนำพาเราไปจนถึงวินาทีสุดท้าย จนถึงผลสำเร็จ
ฉะนั้น ล้มลุกคลุกคลานบ้างไม่เป็นไร ในขณะที่เราอยู่บนโลกใบนี้ โลกที่สกปรก ยังไง เผลอๆ เราออกไปข้างนอก แบบเดินออกไปไม่ทันระวัง รถวิ่งมาอย่างแรง ขี้โคลนก็สาดใส่ตัวเรา เลี่ยงไม่ได้ แต่เราสามารถกลับไปบ้าน ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า อาบน้ำ กลับมาเหมือนเดิม นี่คือสิ่งที่ถ้อยคำของพระเจ้าบอกไว้
เอเฟซัส 3:11 “ตามพระประสงค์นิรันดร์ของพระองค์ ซึ่งได้ทรงกระทำให้สำเร็จในพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา”
พระประสงค์นิรันดร์ของพระเจ้าคืออะไร? พระประสงค์ของพระเจ้า อยู่ในยอห์น 3:16-18 ที่พระเจ้าบอกว่าเพราะพระเจ้าทรงรักโลกนี้ยิ่งนัก จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อผู้ที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์ ใครก็ตามที่วางใจในพระบุตรของพระองค์ คือวางใจในพระเยซูคริสต์ เขาจะไม่พินาศ เพราะว่ามนุษย์ทุกคนอยู่ในความพินาศอยู่แล้ว เมื่อเขาเปลี่ยนขั้วมาเชื่อ วางใจในพระเยซูปุ๊บ เขาไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์ คือพระเจ้าให้ชีวิตนิรันดร์ ให้กับผู้เชื่อ เราได้รับชีวิตที่ครบถ้วนบริบูรณ์ เป็นเหมือนพระเจ้าเป๊ะๆ ในโลกวิญญาณ ขณะนี้เราได้รับเรียบร้อยไปแล้ว แล้วพระประสงค์นี้แหละ ที่พระองค์ได้ทรงวางแผนไว้ แล้วพระเยซูคริสต์ก็ได้ทำให้สำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว ที่บนไม้กางเขน วันที่พระเยซูคริสต์ได้เป็นขึ้นมาจากความตาย นี่แหละทำให้พระประสงค์ของพระองค์สำเร็จนิรันดร์
อนาคตข้างหน้าใครก็ตามที่ได้ยินได้ฟังข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ แล้วเขาเปิดใจต้อนรับพระองค์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เขาก็จะได้รับเหมือนพวกเรา
ฉะนั้น ถ้าคริสเตียนถูกหลอก ข่าวประเสริฐถูกปิดบังมากเท่าไร? เราก็ใช้ชีวิตบนโลกใบนี้แบบถูลู่ถูกังมากเลย สันติสุขก็ไม่เต็มเปี่ยม ไม่สามารถชื่นชมยินดีกับความสำเร็จที่พระเจ้าทำให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว ได้อย่างเต็มที่ ถ้าเรารับรู้ความจริง เราก็สามารถสรรเสริญ ขอบคุณพระเจ้า สำหรับผลสำเร็จเหล่านั้นได้อย่างเต็มที่
เอเฟซัส 3:12 “ในพระองค์และโดยความเชื่อในพระองค์ เราจึงเข้ามาหาพระเจ้าได้ด้วยเสรีภาพและความมั่นใจ”
อันนี้อาจารย์เปาโลยังยืนยันกับคนต่างชาติ แล้วก็ยืนยันกับพวกเราทุกคน พวกเราทุกคนก็เป็นคนต่างชาติ ใช่ไหม? ให้เรามั่นใจในความเชื่อของเรา แล้วกล้าที่จะเข้ามาหาพระเจ้า
หลายคน เวลาทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ไม่กล้าเข้ามาหาพระเจ้า กลัวพระเจ้าด่า กลัวพระเจ้าดุ กลัวพระเจ้าตี กลัวพระเจ้าทำโทษ มารก็หลอกเราไปเรื่อยๆ แหละ …
“นี่ๆ พระเจ้าไม่เอาเธอแล้ว”
ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่เลย ห่างจากพระเจ้าไปเรื่อยๆ แต่คำว่าห่างจากพระเจ้าไปเรื่อยๆ ก็ไม่ได้หมายความว่าทำให้ความรอดของเราหายไปนะ ความรอดยังอยู่ แต่ชีวิตเรารันทด นึกออกไหม? แทนที่เราพลั้งไป เราวิ่งเข้ามาหาพระเจ้า พระเจ้าก็ให้กำลังเรา เราถูกหลอกว่าพระเจ้าไม่เอาเธอแล้ว เธอต้องหนีไปไกล ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ มารมันก็ซ้ำเติมเราได้
ฉะนั้น อาจารย์เปาโลยังยืนยันกับคนต่างชาติว่าให้กล้าๆ หน่อยที่จะเข้ามาหาพระเจ้า ที่ประทานเสรีภาพให้กับพวกเรา มนุษยชาติผู้ที่ได้เปิดใจต้อนรับพระองค์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด และให้มีความมั่นใจในความรักที่พระเจ้ามีให้กับเรา มั่นใจในพระสัญญาที่พระองค์ได้ทรงกระทำเรียบร้อยไปแล้วบนไม้กางเขน มั่นใจว่าสิ่งที่พระองค์ทรงสัญญาไว้ มันเป็นจริงแน่นอน ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไม่ว่าเราจะไปประพฤติอะไรก็ตาม ก็ไม่สามารถทำให้เราหลุดจากความรักของพระเจ้าได้ แค่ประพฤติไม่ดี ก็กินผลของมันบนโลกใบนี้เท่านั้น เท่านั้นจริงๆ ตรงนี้แหละ คือความจริงในโลกวิญญาณ ที่พระเยซูและถ้อยคำของพระองค์พยายามบอกเรา
การที่เราบอกว่าการประพฤติไม่เกี่ยว ไม่สำคัญ ไม่ได้หมายความว่าเราไปส่งเสริมให้คนไปทำสิ่งที่ชั่ว ไม่ใช่เลยนะ แต่พี่น้องนึกภาพออกไหม? พอเราเป็นลูกพระเจ้าปุ๊บ ใจข้างในเราไม่อยากทำสิ่งที่ชั่วอยู่แล้ว จริงหรือไม่จริง? สมัยก่อนเราไม่เชื่อพระเจ้า บางทีเราทำสิ่งที่ไม่ดี เราก็เฉยๆ เนอะ แต่พอเรามาเชื่อพระเจ้า ทำสิ่งที่ไม่ดีปุ๊บ ข้างในทุกข์ เรารู้สึกไม่สบายกาย ไม่สบายใจ เพราะว่าข้างใน วิญญาณเราสะอาดบริสุทธิ์ เหมือนพระเจ้าแล้ว พอเราไปทำสิ่งสกปรกปุ๊บ ข้างในเรารู้สึกไม่สบาย มันแพ้ นึกออกไหม? คริสเตียนแพ้ความบาปนะ ทำบาปไม่ขึ้น อะไรประมาณนั้นแหละ แค่ว่าเราลืม เผลอ หลงไปทำมันปุ๊บ เราจะเด้งขึ้นมาทันทีเลย เด้งกลับมา แล้วเราก็มาตั้งต้นใหม่กับพระเจ้า
ดังนั้น ธรรมชาติใหม่ของผู้เชื่อ คือความดีงาม เราพร้อมที่จะทำดี ตามธรรมชาติใหม่ที่พระเจ้าใส่ให้กับเรา ไม่ใช่ทำดี เพราะเราพยายามด้วยกำลังของเราเอง ไม่ใช่ เราไม่พยายามพึ่งพาการกระทำของเราเอง แต่เราเชื่อวางใจในพระเจ้า แล้วไม่ว่าผลออกมา เราจะทำดีได้มากน้อยแค่ไหน? ก็ตาม ก็ไม่เป็นไร พระเจ้าบอกไม่เป็นไรเลย ทำเท่าที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์นำ พระเจ้าไม่ได้ให้เราว่าเราต้องไปช่วยเหลือคนทั้งโลก ไม่ใช่
บอกว่าพระเจ้าเป็นความรัก เราต้องไปสรรหา ไปช่วยทุกคน บนโลกใบนี้ มันไม่ใช่นะ เรากำลังถูกหลอก พระเจ้าเป็นความรัก แล้วความรักมันอยู่ข้างในเรา ถ้าพระเจ้าจะให้เราสำแดงความรักให้กับผู้ใด พระองค์จะบอกเราเองข้างในวิญญาณ พระเจ้าไม่ได้ให้เราต้องไปพยายามทำให้ตัวเองเดือดร้อน เพื่อไปช่วยเหลือคนอื่น มันไม่ใช่แล้วล่ะ ถ้าพระเจ้าจะให้เราทำอะไรก็ตาม หรือช่วยเหลือใครก็ตาม หมายความว่ากำลังเรามีพอ เราทำไป แล้วเรามีความสุข ที่พระวิญญาณนำเรา แล้วเราทำเสร็จ เราจบ เพราะว่าพระเจ้าเป็นผู้นำเรา แล้วไม่เดือดร้อนถึงเราด้วย ถึงตัวเรา ถึงครอบครัวของเรา สามีของเรา ลูกของเรา ต้องไม่เดือดร้อนด้วย ถ้าเมื่อไรที่เราทำๆ แล้วทำให้ทุกคนในครอบครัว เดือดร้อนอันนั้น เราไม่ได้ทำตามพระวิญญาณ แต่เราทำตามเนื้อหนัง ทำตามความอยากของเราเอง ที่เราอยากทำ ทำแล้วมันได้หน้า นึกออกไหม? แต่ถ้าตามพระวิญญาณ เราไม่อยากได้หน้า เราทำ แล้วเราก็จบ ขอบคุณพระเจ้าที่ให้โอกาสเรา แค่นั้นเอง
นี่คือความแตกต่าง ซึ่งมันเล็กน้อยมาก แต่ว่าพี่น้องลองสังเกตดีๆ จากตัวเรา เราจะรู้เลย ถ้าเราทำเพราะตัวเราเอง เวลาทำ ไม่มีผลตอบสนองกลับมา เราจะเคืองอยู่ข้างใน เราจะอะไรอ่ะ แต่โดยพระวิญญาณนำ ไม่ว่าผลตอบสนองเป็นอย่างไร คนจะชื่นชมเรา ไม่ชื่นชมเรา เราก็แฮปปี้ มีความสุข สันติสุขเปี่ยมล้น นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ พี่น้องลองสังเกตตัวเองดีๆ อย่าให้ระบบโลกนี้หลอกเรา ให้เราคิดว่าสิ่งนี้มาจากพระเจ้า แล้วเราพยายามทำดีกับทุกคน เพื่อจะได้ผลตอบแทนกลับมา อันนั้นไม่ใช่แน่นอน พระเจ้าอวยพรค่ะ
*********************
จากใจคณะศิษยาภิบาล
คำถาม : “ต้องทำบาปกี่ครั้ง พระเจ้าถึงจะนับว่าเป็นคนบาป?”
คำตอบ : “0 ครั้ง”
โรม 5:12 … “12 ฉันนั้น เช่นเดียวกับที่บาปเข้ามาในโลก เพราะมนุษย์คนเดียว และบาปนำความตายมา และโดยทางนี้เอง ความตายจึงมาถึงมวลมนุษย์ เพราะทุกคนได้ทำบาป”
มวลมนุษย์มีรหัสพันธุกรรม (DNA) จากอาดัมบรรพบุรุษที่ติดเชื้อบาป
ดังนั้น อยู่ในครรภ์มารดาก็เป็นคนบาปแล้ว
โรม 5:15-16 “15 แต่ของขวัญที่พระเจ้าให้เปล่าๆ นั้น มันแตกต่างกัน เพราะในทางหนึ่ง ขณะที่ความผิดของคนๆ หนึ่ง คืออาดัม ทำให้คนจำนวนมากต้องตาย แต่ในอีกทางหนึ่ง ความเมตตากรุณาของพระเจ้าและของขวัญ ที่ผ่านมาทางความเมตตาของคนๆ เดียว คือพระเยซูคริสต์นั้น ก็เป็นประโยชน์กับคนมากมาย 16 แน่นอน ผลจากของขวัญนั้น แตกต่างอย่างมาก จากผลของความผิดที่อาดัมได้ทำ เพราะการทำผิดเพียงครั้งเดียว (ของอาดัม) ทำให้ทุกคนต้องถูกตัดสินว่าผิด แต่ของขวัญ (การบังเกิดใหม่) นั้น ทำให้คนเราได้รับการตัดสินว่าไม่ผิด ทั้งๆ ที่ทำผิดหลายครั้ง”
เพราะอาดัมบรรพบุรุษต้นกำเนิดของมนุษยชาติไม่เชื่อฟังพระเจ้า เรียกว่าทำบาปเพียงครั้งเดียว ผลคือมวลมนุษย์ทั้งปวงตกลงไปในความบาป เป็นคนบาป ตายจากความสัมพันธ์กับพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า ไม่มีชีวิตของพระเจ้าในวิญญาณ
มนุษย์ทุกคนที่เกิดมาจึงเป็นเชื้อสายของคนบาป เป็นศัตรูกับพระเจ้า โดยยังไม่ได้กระทำบาปเลยสักอย่าง และต้องอยู่ในสภาพเช่นนี้ คือตายจากวิญญาณนิรันดร์ของพระเจ้า
แต่ด้วยพระคุณความรักเมตตาของพระเจ้า ได้โปรดประทานของขวัญ คือพระบุตรพระเยซูคริสต์มา เพื่อมนุษย์ทั้งหลาย จะได้ย้ายตัวเองมารับการบังเกิดใหม่ในวิญญาณในพระเยซูคริสต์โดยผ่านทางความเชื่อ ในการไถ่บาปมวลมนุษย์ของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน และบังเกิดใหม่เป็นขึ้นจากความตายในวันที่สาม
มนุษย์ผู้ใดที่เชื่อในการกระทำของพระเยซูคริสต์ ก็ได้รับความรอดพ้นจากการเป็นคนบาป และการตายนิรันดร์ในวิญญาณ ทันทีที่ตัดสินใจเชื่อตอนดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้ โดยยังไม่ได้ทำดีอะไรเลยสักอย่าง
และแน่นอน ผลจากความเชื่อและรับของขวัญนี้ แตกต่างอย่างมาก จากผลของความผิดบาปที่อาดัมได้ทำ เพราะการทำผิดบาปเพียงครั้งเดียว (ของอาดัม) ทำให้มวลมนุษยชาติต้องถูกตัดสินว่าเป็นคนบาป ต้องได้รับโทษในวิญญาณในวันพิพากษามนุษย์หลังความตาย แต่ของขวัญ (การบังเกิดใหม่) นั้น ทำให้คนที่เชื่อ ในการกระทำการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ ได้รับการตัดสินว่าไม่ได้เป็นคนบาป แต่เป็นคนชอบธรรม ไม่ต้องได้รับโทษในวิญญาณในวันพิพากษามนุษย์หลังความตาย ทั้งๆ ที่ขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้ ได้ทำผิดบาปหลายครั้ง ทั้งก่อนเชื่อ ก่อนบังเกิดใหม่ และหลังเชื่อ หลังบังเกิดใหม่ก็ตาม
อย่างนี้แหละเรียกว่าโอ้….! พระคุณความรักของพระเจ้านั้นยิ่งใหญ่ มหึมา มโหฬารมากมาย กว้างขวาง ไม่มีขอบเขตเหลือคณานับ ดีมาก เลิศ ยอดเยี่ยม เกินกว่ามนุษย์จะเข้าใจ
พระเจ้าอวยพรครับ