วารสาร Holy News ฉบับที่ 1379

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  21  สิงหาคม  2022

เรื่อง “หนังสือเอเฟซัส” ตอน 17

โดย พาสเตอร์ วราพร  คงล้วน

 

วันนี้เรามาต่อในหนังสือเอเฟซัส บทที่ 3 ที่เราต้องย้ำกันบ่อยๆ เพราะอยากจะให้ความล้ำลึกของพระเจ้า  ถูกสถาปนาลงไปในวิญญาณของพวกเรา เพื่อเราจะได้มีความมั่นคงในการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ไม่หันไปเหมา ไม่ผวา พอมีอะไรเกิดขึ้นในชีวิตของเรา ก็ผวาไปผวามา ตอนนี้เราอยู่ในสถานะแบบไหน? อย่างไร? อะไรแบบนี้ ให้เรารับรู้ความจริงว่า ณ เวลานี้ ผู้เชื่อทุกคนอยู่ในสถานะแบบไหนในพระเยซูคริสต์ ถ้อยคำของพระเจ้าบอกว่าพระเยซูทรงสถิตอยู่ในเรา หมายความว่าพระเจ้าทั้ง 3 พระภาคสถิตอยู่ในเรา พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาสถิตอยู่ในเรา ผู้เชื่อทั้งหลาย

พระเจ้าจะเข้ามาสถิตอยู่ในเราได้ ก็ต่อเมื่อเราเข้ามาอยู่ในพระองค์ก่อน เราเข้ามาอยู่ในพระองค์ได้อย่างไร? ก็เกิดจากการได้ยินได้ฟังเรื่องราวข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ในสิ่งที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว บนไม้กางเขน แล้วเราก็เปิดใจยอมรับความช่วยเหลือจากพระเจ้า พอเราเปิดใจปุ๊บ พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ก็เข้ามาในวิญญาณของเรา  เขาเรียกว่าบัพติศมาวิญญาณของเรา เอาวิญญาณเก่าที่เต็มไปด้วยความบาปและความตาย อยู่ในคำสาปแช่ง อยู่ใน DNA ของอาดัมไปตายพร้อมกับพระเยซูคริสต์ ถูกฝังพร้อมกับพระเยซูคริสต์ และเป็นขึ้นมาใหม่พร้อมกับพระเยซูคริสต์ ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจชนิดเดียวกันกับที่พระเจ้าได้ชุบพระเยซูคริสต์ให้เป็นขึ้นมาจากความตาย

ดังนั้น ฤทธิ์เดชอำนาจนี้ คือยิ่งใหญ่มหาศาลมาก เหมือนระเบิดปรมาณูที่มันระเบิดออกมา แล้วทำให้เราได้บังเกิดใหม่ เข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้าเลย แล้วเมื่อเราบังเกิดใหม่ปุ๊บ เราเป็นผู้ชอบธรรมเลย เป็นนะ โดยที่เราไม่ต้องพยายามทำ เกิดมาเป็นผู้ชอบธรรมเลย เกิดมาเป็นความรักเลย เกิดมาเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลย ฉะนั้น พอวิญญาณเราได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่ ความคิดจิตใจเราเปลี่ยนแปลงใหม่ แต่เหตุที่เรายังต้องอยู่ในโลกใบนี้ เพราะร่างกายเรายังไม่สูญสิ้นไป ร่างกายเรายังอยู่ในร่างกายเก่าที่ยังอยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตายอยู่

แต่ร่างกายที่อยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตายตรงนี้ ในพระคัมภีร์บอกว่าได้รับการชำระให้บริสุทธิ์เหมือนกัน ทำไมเรารู้ว่าเราถูกชำระให้บริสุทธิ์ เพราะพระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าทั้ง 3 พระภาค พระเจ้าพระบิดา พระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาสถิตอยู่ในเรา ก็คือพอเราเข้าไปอยู่ในพระคริสต์ ผ่านทางความเชื่อ ผ่านทางการบัพติศมาในพระวิญญาณ บังเกิดใหม่ เข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้าปุ๊บ เราเข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์ พอเข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์ปุ๊บ ถ้าพูดตามภาษาพวกเรา หอบผ้าหอบผ่อนเข้ามาอยู่กับเราเลย  พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคแพ๊คกระเป๋าเรียบร้อย หิ้วกระเป๋าเข้ามาอยู่ในเราเลย

มองภาพตรงนี้ แล้วเราจะเห็นชัดว่า ณ เวลานี้ พวกเราผู้เชื่อ เราไม่สามารถสัมผัสจับต้องได้ ไม่สามารถที่จะมองด้วยตาเรา แต่ในวิญญาณ ถ้อยคำของพระเจ้าบอกอย่างนั้นว่าเมื่อเราเข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ ผ่านการบัพติศมาในวิญญาณปุ๊บ พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคก็แพ๊คกระเป๋า เดินทางเข้ามาอยู่ในเราเลย ณ เวลานี้  เราจะรู้สึกหรือไม่รู้สึก เข้าใจหรือไม่เข้าใจ อะไรก็แล้วแต่ แต่ถ้อยคำของพระเจ้าบอกว่า ณ เวลานี้ ร่างกายเราเป็นวิหารของพระเจ้า เป็นที่สถิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์

อย่างที่บอก พระวิญญาณบริสุทธิ์เหมือนเป็นตัวแทน พอบอกพระวิญญาณบริสุทธิ์ปุ๊บ ให้พี่น้องนึกถึงทั้ง 3 พระภาคเลย คือพระเจ้าพระบิดา พระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในเรา นี่คือความยิ่งใหญ่ที่พระเจ้าได้กระทำการงานของพระองค์ผ่านทางชีวิตของพวกเรา เมื่อเราได้บังเกิดใหม่ เรามาดูเอเฟซัส 3:1

เอเฟซัส 3:1 “ด้วยเหตุนี้ข้าพเจ้าเปาโลผู้เป็นนักโทษ เพราะเห็นแก่พระเยซูคริสต์ เพื่อท่านผู้เป็นคนต่างชาติ”

 

ทำไมอาจารย์เปาโลถึงเป็นนักโทษได้? จริงๆ อาจารย์เปาโลเดิมทีเป็นกลุ่มเดียวกับพวกฟาริสี เป็นพวกที่มีความรู้เยอะมาก อยู่ในธรรมศาลา อยู่ในกฎบัญญัติเคร่งครัดมากๆ เรารู้ได้อย่างไรว่าอาจารย์เปาโลเคร่งครัด เพราะว่าอาจารย์เปาโลตอนที่พระเยซูคริสต์ประกาศ เรื่องราวความจริง ข่าวประเสริฐของพระเจ้า แล้วมีผู้คนติดตามพระองค์ หลังจากที่พระเยซูคริสต์ได้สิ้นพระชนม์ ถูกฝัง และเป็นขึ้นมาจากความตายปุ๊บ ก็จะมีกลุ่มคน เชื่อว่ากลุ่มคนกลุ่มแรก ก็คือพวกสาวกนั่นแหละ ที่ก่อนหน้านั้น ที่พระเยซูยังไม่ทำภารกิจของพระองค์สำเร็จ ก็ตามพระองค์อยู่แล้ว ติดตามมาตลอด เชื่อในพันธสัญญาที่พระเจ้าเขียนไว้ตั้งแต่ในอดีตว่าอนาคตข้างหน้า พระเจ้าจะส่งพระมาซีฮาห์ พระผู้ช่วยให้รอด มาช่วยพวกเขา ให้รอดพ้นจากการถูกพิพากษา  เขาก็ตามมาตลอด ที่เขาตามมา เขาก็ทำตามกฎบัญญัติที่พระเจ้าตั้งไว้ ก็คือบัญญัติเดิม พระเจ้าบอกว่าคนที่จะมาเป็นของพระเจ้า ก็ให้ทำตามบัญญัติเดิม ที่พระเจ้าตั้งไว้ เริ่มแรกจริงๆ พระเจ้าตั้งสัญญาตรงนี้ ตั้งแต่สมัยปฐมกาล คือตอนที่อาดัม เอวาล้มลงในความบาปปุ๊บ พระเจ้าก็ฆ่าสัตว์ตัวหนึ่ง เพื่อเอาหนังมาห่อหุ้มร่างกายของเขา ก็คือใช้เลือด

หลังจากอาดัม ก็จะมีคาอินกับอาเบลที่ถวายเครื่องบูชา แล้วเราจะเห็นว่าอาเบลถวายเครื่องบูชา คือเอาแกะ ที่ไม่มีตำหนิมาถวายให้กับพระเจ้า ก็คือตามพันธสัญญาที่พระเจ้าบอก คือเอาเลือดมาถวาย ก็เป็นที่พอใจของพระเจ้า มันไม่เกี่ยวกับการประพฤติอะไรเลยนะ ส่วนคาอินก็เอาผลผลิตของเขา ก็คือพืช ผัก ผลไม้ ถามว่าคาอินเอาสิ่งที่ดีที่สุดมาถวายไหม? ดีที่สุดเลยนะ พืช ผัก ผลไม้ ปัจจุบันอาจจะบอกว่าเป็นพวกปลอดสารพิษ ทำอย่างดี ใส่ตะกร้า กระเช้า จัดสวยงามเลย เอามาถวายให้พระเจ้า แต่พระเจ้าไม่รับ เหตุที่ไม่รับ เพราะไม่ได้เป็นไปตามเงื่อนไขแห่งพันธสัญญาของพระเจ้า ต่อให้คาอินทำดีขนาดไหน พระเจ้าก็ไม่รับ เหมือนกับมนุษย์ทุกวันนี้ ต่อให้เราประพฤติปฏิบัติดีขนาดไหน? ถ้าไม่ได้ตามเงื่อนไขที่พระเจ้าตั้งไว้ พระเจ้าก็ไม่รับ รักษากฎบัญญัติเป็นร้อยๆ ข้อ พระเจ้าก็ไม่รับ เพราะว่าเงื่อนไขใหม่ที่พระเจ้าจะรับมนุษย์ได้ ก็คือมาเชื่อ วางใจในพระเยซูคริสต์ มาเชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ เพื่อเราบนไม้กางเขนเท่านั้น แล้วเราก็ได้รับความรอดผ่านทางพระคุณ ไม่ได้ผ่านทางการประพฤติใดๆ เลย ไม่ว่าเราจะประพฤติดี ไม่ดี ก็แล้วแต่ พระเจ้าแค่ดูว่าเราเชื่อในสิ่งที่พระองค์ทำไหม? ก็เป็นลักษณะเหมือนกับเอาเลือดพระเยซูมา พระองค์ก็รับ ถ้าไม่มีเลือดพระเยซู พระองค์ก็ไม่รับ นั่นคือปัจจุบันนะ

แล้วเลือดของพระเยซูมาจากไหน? ก็มาจากเราเชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ เพื่อเราบนไม้กางเขน ยอมรับการช่วยเหลือจากพระเจ้า พระโลหิตของพระเยซูคริสต์ก็มาชำระเรา ให้สะอาดบริสุทธิ์ ก็คือทำให้เราไม่มีบาปเลย ชำระเราให้สะอาดเลย แล้วโลหิตนี้ พระเจ้าหลั่งมาครั้งเดียว  ก็มีผลบังคับใช้ ตั้งแต่อดีต เมื่อ 2,000 ปีที่แล้วจนถึงปัจจุบัน อนาคตข้างหน้า ก็คือใครก็ตามที่เชื่อในสิ่งนี้ เดินเข้ามาบอกพระเจ้าว่า …

“พระองค์ ลูกต้องการความช่วยเหลือ”

แค่นั้นเอง เขาก็จะได้รับการชำระให้สะอาดบริสุทธิ์ แล้วจากนั้น ผู้เชื่อได้รับความรอด ผ่านทางพระคุณ ได้รับการชำระให้สะอาดบริสุทธิ์แล้วใช่ไหม? ได้เข้าบัพติศมาในวิญญาณกับพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว ก็คือวิญญาณเก่าที่เป็นบาป ไปตรึงพร้อมกับพระเยซูคริสต์ ฝังพร้อมกับพระเยซูคริสต์ และเป็นขึ้นมาใหม่พร้อมกับพระเยซูคริสต์ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจ ก็คือที่เราเรียกว่าบังเกิดใหม่

พอเราบังเกิดใหม่ เข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้าปุ๊บ ตอนนี้เราเป็นคนใหม่ คนใหม่ที่อยู่ในร่างกายเก่า มันยากดีเนอะ ซึ่งเราต้องทำความเข้าใจตรงนี้ ถ้าเราไม่เข้าใจตรงนี้ เราก็จะงงว่าพระคัมภีร์ว่าอย่างไร? บอกว่าเราสะอาดบริสุทธิ์แล้วไง แต่เรายังทำสิ่งที่ไม่ดีอยู่ แล้วยังไง เราจะสะอาดยังไง แต่ว่าสิ่งที่พระเจ้าบอก คือเรื่องของวิญญาณ

วิญญาณเรา ณ เวลานี้ สะอาดบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า วิญญาณของเรา เป็นวิญญาณที่เชื่อฟังเลย พอเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ปุ๊บ บังเกิดใหม่ปุ๊บ วิญญาณเราเชื่อฟังเลย คือไม่ต้องทำนะ ไม่ต้องพยายามที่จะเชื่อฟัง วิญญาณเก่าที่ไม่มีพระเจ้า ต่อให้เราทำดีแค่ไหน เราก็เชื่อฟังพระเจ้าไม่ได้ เพราะเป็นวิญญาณที่ดื้อและกบฏกับพระเจ้า เชื่อแป๊บๆ ก็ดื้อ ไม่สามารถทำได้ตลอดรอดฝั่ง แต่พอเรามาเชื่อวางใจในพระเจ้าปุ๊บ วิญญาณใหม่เราเป็นวิญญาณที่เชื่อฟังเลย แต่ว่าวิญญาณส่วนวิญญาณ ความประพฤติส่วนความประพฤติ วิญญาณเราเชื่อฟังพระเจ้าเลย แต่ว่าการประพฤติของเรา บางครั้งอาจจะไม่เชื่อฟังก็ได้ อันนี้ คือพระเจ้าไม่ได้สนใจ จะว่าพระเจ้าไม่สนเลย ก็ได้ พระเจ้าแค่ดูว่าตอนนี้เธอเชื่อในพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ เธอเข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว เป็นลูกของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว ต่อแต่นี้ไป ความรอดนี้ เธอไม่ได้พึ่งการกระทำของตัวเอง ไม่ได้พึ่งการประพฤติใดๆ เลย แต่เป็นพระคุณของพระเจ้า เขาเรียกว่าเป็นของขวัญที่พระเจ้าให้กับมนุษยชาติเปล่าๆ แค่เดินมารับเท่านั้นเอง แล้วคนที่เดินมารับ ก็คือพวกเราทั้งหลายนั่นแหละ ไม่ว่าแต่ละคนมารับตอนไหน? อย่างไร? ก็คือเปิดใจ ยอมรับความช่วยเหลือจากพระเจ้าปุ๊บ ของขวัญชิ้นนี้เป็นของเรา พอจากนั้น เป็นลูกพระเจ้าแล้ว ช่วงนี้เราย้ำบ่อยๆ มาก จำตรงนี้ไว้ เป็นแล้วเป็นเลย เชื่อแล้วเชื่อเลย เกิดแล้วเกิดเลย เกิดเข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้า จะไม่มีการเข้าๆ ออกๆ เกิดแล้ว พอทำผิดปุ๊บ เราหลุดออกจากการเป็นลูกของพระเจ้า ไม่มีนะ เกิดแล้วเกิดเลย เป็นลูกของพระเจ้าก็เป็นเลย

ส่วนประพฤติในขณะที่เรายังอยู่บนโลกใบนี้ ร่างกายเรายังอยู่ภายใต้อิทธิพลของความบาปและความตาย เรามีโอกาสที่จะเผลอ ถูกอิทธิพลข้างนอก ที่ส่งเข้ามา พยายามที่จะดึงความคิดของเราให้คิดตามมัน พอคิดตามมันปุ๊บ คิดเยอะๆ มันก็จะสั่งร่างกายให้ทำตามมันด้วย

เพราะฉะนั้น เหตุผลที่พระเจ้าบอกว่าให้จดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ก็คือจดจ่อว่า ณ เวลานี้ เราบังเกิดใหม่แล้ว เราได้รับวิญญาณใหม่ เราเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว พระเยซูคริสต์ให้เราเป็นอะไรบ้าง? เป็นความสว่าง เป็นเกลือ เป็นความดีงาม เป็นคนที่เชื่อฟังเลย เราเป็นอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น พอเป็นอยู่แล้ว แค่ทำอย่างเดียว คือยอมให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ใช้อวัยวะทุกส่วนในร่างกายของเรา ก็คือตา หู จมูก ลิ้น กาย ความคิด สมอง แค่นั้นเอง

ทุกอย่างมันเริ่มที่ความคิด ถ้าความคิดเราเปลี่ยน พฤติกรรมเราจะเปลี่ยนแปลงเอง ถ้าความคิดเราไม่เปลี่ยน ความคิดเรายังหมกมุ่นกับสิ่งที่มันวนเวียน แค้นนี้ต้องชำระๆ ความประพฤติเราไม่เปลี่ยนแน่นอน  พอวันดีคืนดี แค้นนี้ต้องชำระจริงๆ มันก็ส่งออกมาเป็นผลของการประพฤติ คือเอาไม้หน้าสาม ไปฟาดหัวคนที่เราบอกว่าแค้นนี้ต้องชำระ นึกออกไหม? ความคิดมันจดจ่ออยู่กับสิ่งที่โลกนี้ส่งเข้ามา  แต่ถ้าความคิดเราจดจ่ออยู่ที่ความเป็นจริง ธรรมชาติใหม่ที่เราเป็นแล้ว  เมื่อเราเชื่อวางใจในพระเจ้าแล้ว ก็คือพระเจ้าบอกว่าตอนนี้เราเป็นความรัก เราเป็นความดีงาม เราเป็นผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ทั้งหมดที่อยู่ในเราแล้ว คือเป็นความรักที่อดทนนาน เป็นความรักที่กระทำคุณให้ ความรักที่ไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง อะไรอย่างนี้ นี่คือธรรมชาติใหม่ของผู้เชื่อ ทุกคนเป็นแบบนี้ คือเป็นอยู่แล้วนะ แค่อนุญาตให้พระเจ้านำสิ่งที่เรามีอยู่ เป็นอยู่ ใช้ออกไป แค่นั้นเอง

ตรงนี้พระคัมภีร์ใช้คำว่า “ให้มันฉายแสงออกไป” พระเจ้าจุดตะเกียงแล้ว เราอย่าเอาฝามาครอบ หรืออย่าเอาถังมาครอบ วิธีครอบ มีเราคนเดียวที่ครอบได้ พระเจ้าไม่ครอบอยู่แล้ว พระเจ้าจุด พระเจ้าต้องการให้แสงสว่างที่เป็นอยู่ในชีวิตใหม่ของเราฉายแสงออกไป ก็คือความดีงามของพระเจ้าฉายแสงออกไป แต่คนที่จะครอบแสงนี้ได้ ก็คือเรา เราเป็นผู้ตัดสินใจ อย่างที่บอก เมื่อเราเชื่อวางใจในพระเจ้าแล้ว ชีวิตเราถูกซื้อโดยพระเจ้าแล้ว แต่พระเจ้าไม่บังคับเรา อยากให้พระเจ้าบังคับเนอะ  เราจะได้ไม่ต้องมาตัดสินใจถูก ผิด แต่ว่าพระเจ้าไม่ฝืนธรรมชาติของพระองค์เอง คือพระเจ้าสร้างมนุษย์ทุกคนเหมือนลูก สร้างให้มีอิสรภาพในการตัดสินใจ พระเจ้าไม่บังคับ เราต้องตัดสินใจทุกวันว่าในเหตุการณ์เรื่องนี้ เราจะอนุญาตให้พระเจ้าทำงานในคาวมคิดของเรา คือคิดตามพระเจ้าว่าเหตุการณ์เรื่องนี้ ให้อภัยเขาเถอะ เขามาเหยียบขาเราเจ็บ เจ็บแต่ให้อภัยเขาเถอะ เขาไม่ได้ตั้งใจ หรือเราจะให้ความคิดจดจ่อ …

“ได้อย่างไร มาเหยียบขาเรา มันเจ็บนะ ไปเหยียบตอบแล้วกัน”

อะไรแบบนี้ มันจะมี 2 อย่าง ที่เราจะตัดสินใจ แล้วอยู่ที่เรา ถ้าเราตัดสินใจตามพระวิญญาณ ก็คือตามธรรมชาติใหม่ของเรา …

“โอเค ไม่เป็นไร เจ็บนิดหนึ่ง เดี๋ยวก็หาย อภัยให้เขา”

นั่นแหละ เราก็ฉายแสงแห่งความเมตตาออกไป คนที่เหยียบเรา เขาก็ไม่ได้ตั้งใจ เขาขอโทษแล้ว ขอโทษอีก ถ้าเรา …

“ไม่เป็นไรค่ะๆ”

มันก็เท่ากับตามพระวิญญาณ แต่ถ้าเราไม่ตามพระวิญญาณ เราตามอิทธิพลของเนื้อหนัง

“ขอโทษแค่นี้ จะจบได้อย่างไร? มันเจ็บนะ” ต้องทำคืน อะไรอย่างนี้

นึกภาพนะพี่น้อง พยายามจะให้เห็นภาพชัดๆ ว่าตามพระวิญญาณกับตามอิทธิพลของเนื้อหนัง มันออกมาเป็นแบบไหน? แล้วคนที่จะตัดสินใจ ก็คือตัวเรา ซึ่งพระเจ้าบอกว่านี่แหละ คือผลที่เราทำตามพระวิญญาณ มันก็จะออกมาเป็นแบบนี้ เพราะว่ามันเป็นธรรมชาติจริงๆ ของเราเลยออกมา แต่ถ้าเราไม่ยอมทำตามพระวิญญาณ เรายังเป็นลูกของพระเจ้าอยู่ไหม? เป็น ยังได้รับความรอดอยู่ไหม? ได้รับ ยังเป็นผู้ชอบธรรมอยู่ไหม? เป็น แต่เป็นผู้ชอบธรรมที่หม่นๆ นิดหนึ่ง ทำสิ่งที่ไม่ค่อยโอเคเท่าไร? แล้วเราก็จะรับผลของโลกใบนี้ ก็คือผลของการหว่านและการเก็บเกี่ยว เป็นผลนะ แต่เฉพาะบนโลกใบนี้เท่านั้น

พอเรารู้ความจริงเหล่านี้ เราก็จะไม่โดนหลอก เราก็จะชั่งใจ เวลาเห็นเหตุการณ์ที่เข้ามาในชีวิตของเราปุ๊บ อย่าเพิ่งรีบ นิ่งๆ แป๊บหนึ่ง แล้วคิดดูว่า ณ เวลานี้ เรื่องนี้ เราจะยอมให้พระเจ้าทำงานในชีวิตของเรา หรือจะยอมให้อิทธิพลของโลกใบนี้เขี่ยเราให้ทำตามเท่านั้นเอง

พออาจารย์เปาโลบอกว่าด้วยเหตุนี้ อาจารย์เปาโลเป็นนักโทษ เพื่อเห็นแก่พระเยซูคริสต์ เพื่อคนต่างชาติ

อาจารย์เปาโลถูกเรียกมา เพื่อไปประกาศกับคนต่างชาติ  คนต่างชาติ ก็คือพวกเรา ใครก็ได้ ชนชาติไหนก็ได้ ที่ไม่ใช่ยิว ไม่ใช่คนอิสราเอล เขาเรียกว่าคนต่างชาติ ฉะนั้น พออาจารย์เปาโลถูกเรียกให้ไปประกาศกับคนต่างชาติปุ๊บ เหมือนกับทรยศ สมัยก่อนอยู่ในวิหาร ยังเป็นพวกเดียวกัน ยังข่มเหงคริสเตียนอยู่เลย ยังไล่ล่าคนที่เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์อยู่เลย ขอทหารด้วย ตามไป ใครที่เชื่อทางนั้น เขาเรียกว่าทางนั้น คือทางพระเยซูคริสต์ เชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำปุ๊บ ไปไล่ล่า ลากมา เอาไปติดคุก เอาไปโบยตี เอาไปทรมาน แล้วอาจารย์เปาโล ก็คือตัวสำคัญเลย ในลักษณะตอนที่อาจารย์เปาโลทำแบบนั้น เขามีความรู้สึกว่าเขากำลังรับใช้พระเจ้าอยู่ ทำไมเขารู้สึกอย่างนั้น

“ได้อย่างไร ฉันรักษากฎบัญญัติ พระเจ้าพระบิดาบอกให้เราทำอย่างนี้ เราต้องรักษากฎบัญญัติ ต้องทำตามธรรมเนียม ประเพณีทุกอย่าง ต้องเป๊ะๆ อยู่ดีๆ นายคนนี้ ชื่อเยซู มาประกาศว่าให้มาเชื่อฉัน แค่นั้นเอง เธอรอดแล้ว อะไรง่ายขนาดนั้น”

รับไม่ได้ พอรับไม่ได้ อาจารย์เปาโลก็ต้องไล่ล่า หาว่าพระเยซูมาลบล้างบทบัญญัติ หาว่าพระเยซูมาทำให้บัญญัติที่พระเจ้าพูดมาตั้งแต่ในอดีต ให้คนยิวทำ มันเสื่อมเสีย ทำให้มีผู้คนเยอะแยะมากมาย แทนที่จะมาเชื่อวางใจในพระเจ้า มาทำพิธีกรรมในพระวิหาร คนพวกนี้ เดี๋ยวนี้ไม่ทำแล้ว ตามพระเยซูไป ไม่ทำซะอย่างนั้น พอตามพระเยซูไป ก็คือไม่ต้องทำแล้วไง

พระเยซูบอกว่าพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ที่หลั่งออก ก็คือชำระแล้ว แล้วหลังจากที่พระเยซูทำภารกิจของพระองค์สำเร็จ เรื่องของการถวายเครื่องบูชาในพระวิหาร ก็คือถูกยกเลิกแล้ว ไม่ต้องทำ  ทำไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะพระเจ้าไม่รับแล้ว พระเจ้ารับอันใหม่ ก็คือพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ พอเป็นอย่างนี้ อาจารย์เปาโลจึงรับไม่ได้

ตอนที่สตีเฟ่นประกาศข่าวประเสริฐ เรื่องของพระเยซูคริสต์ แล้วถูกหินขว้างตาย ในพระคัมภีร์บอกเปาโลอยู่ที่นั่นด้วย แปลว่าเปาโลอยู่ในกลุ่มเดียวกันที่ …

“สะใจ พวกนี้สมควรตาย เพราะว่ามาทำให้พระเจ้าด้อยค่าลง มาเชื่ออะไรก็ไม่รู้ คนที่ชื่อเยซู”

อะไรอย่างนี้ เปาโลอยู่ที่นั่น แต่พอถึงวันที่พระเจ้าทำงาน พระเจ้าได้มาพบอาจารย์เปาโลระหว่างทางที่เดินทางไปดามัสกัส เดินทางนี้ควบม้าอย่างแรง ขอทหารเป็นกองทัพเลย เพื่อที่จะไปจับผู้เชื่อ ผู้ที่ติดตามพระเยซูคริสต์ ไปจับมาติดคุก ระหว่างเดินทาง พระเยซูมาพบเขา ตกหลังม้าเลย แล้วพระเยซูก็ถามเขาว่า … (ตอนนั้น ชื่อ “เซาโล”)

“เซาโลๆ เจ้าข่มเหงเราทำไม?”

เซาโลตกใจ เฮ้ย! ข่มเหงพระเจ้าตั้งแต่เมื่อไร? พระเยซูบอกว่าถ้าใครข่มเหงผู้เชื่อ ก็เท่ากับข่มเหงพระองค์ ทำไมเป็นอย่างนั้น นี่พูดถึงตอนที่พระเยซูคริสต์ได้เป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว ในยุคที่สาวกไปประกาศ ข่าวประเสริฐแล้ว

หลังจากที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เรากับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน จำได้ใช่ไหม? บัพติศมาเป็นหนึ่งเดียวกัน พระเยซูคริสต์อยู่ในเรา ถ้าใครข่มเหงเรา ก็เท่ากับข่มเหงพระเยซูคริสต์ เพราะว่าพระเยซูคริสต์อยู่ในเรา ฉะนั้น พระเยซูคริสต์ถามเปาโลว่า …

“ข่มเหงเราทำไม?”

เซาโลก็ตกใจ “ข่มเหงตอนไหน? อย่างไร?”

อะไรอย่างนี้ เขายังมีความรู้สึกว่าตัวเองกำลังทำเพื่อพระเจ้าอยู่ กำลังจะไปจัดการกับพวกนอกรีด พวกที่ละเมิดกฎอยู่ แต่พระเยซูกลับมาพบเปาโล แล้วเปาโลก็ตาบอดไป 3 วัน แล้วพระเยซูก็บอกว่าเปาโลเป็นภาชนะที่พระเจ้าเลือกไว้แล้ว เพื่อเขาจะได้ออกไปประกาศกับคนต่างชาติ  แล้วก็เจอความทุกข์ทรมาน เปาโลทุกข์เยอะมากเลย ไปประกาศกับคนต่างชาติ มันเหมือนกับเป็นศัตรูกับพวกคนยิวเลย ได้อย่างไร? เขามีความรู้สึกว่าพระเจ้าเป็นของเขาผู้เดียว เป็นของชนชาติเดียว คนอื่นห้ามยุ่ง

พอเปาโลเลิกทำตามกฎบัญญัติ ไม่พอ ไปติดตามพระเยซูคริสต์ก็ยังไม่พอ  ยังไปประกาศกับคนต่างชาติอีก ยิ่งเคืองใหญ่เลยตอนนี้ ก็เลยไล่ล่าฆ่า จากการที่เป็นที่เคารพ ให้เกียรติของคนยิวในวิหาร ณ เวลานั้น กลายเป็นว่าตอนนี้ไม่ให้เกียรติแล้ว ตอนนี้ไล่ฆ่าเลย ไล่ฆ่าขนาดที่คนต้องเอาเปาโลใส่เข่ง แล้วก็หย่อนให้ลงข้างกำแพง แล้วก็หนีไป แต่ว่าเปาโลก็ไม่ลดละ ต่อให้เปาโลถูกเฆี่ยนตี ถูกโบยตี ถูกทำทุกอย่าง ถูกจับติดคุก สารพัดสารเพที่คนจับอาจารย์เปาโล ไปทำทุกๆ วิถีทาง เพราะเหตุเดียว คืออาจารย์เปาโลไปประกาศกับคนต่างชาติ แค่นั้นเอง นี่คือสิ่งที่อาจารย์เปาโลพูดถึง เพื่อท่านผู้เป็นคนต่างชาติ ฉันก็เลยถูกจับเป็นนักโทษ นี่คือที่มาที่ไป เป็นอย่างนั้น

เอเฟซัส 3:2 “แน่ทีเดียวท่านทั้งหลาย ย่อมได้ยินถึงภารกิจแห่งพระคุณของพระเจ้า ซึ่งประทานแก่ข้าพเจ้า เพื่อท่านแล้ว”

 

“ภารกิจแห่งพระคุณของพระเจ้า ที่ทรงประทานจากพระเจ้า” ก็คือภารกิจนี้แหละ ภารกิจที่ไปประกาศข่าวดี ข่าวประเสริฐ เรื่องของพระเยซูคริสต์ ข่าวดี ต้องเป็นข่าวประเสริฐ เรื่องราวของพระเยซูคริสต์ว่าพระเยซูคริสต์เป็นใคร? มาทำอะไรเพื่อมนุษยชาติ? มาสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนทำไม? หลั่งพระโลหิตเพื่ออะไร? ถูกฝังเพื่ออะไร? ถูกฝัง เพื่อยืนยันว่าพระองค์เป็นมนุษย์จริงๆ ตายเป็น และตายจริงๆ ด้วย และเป็นขึ้นมาจากความตาย ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นขึ้นมาใหม่จริงๆ อยู่กับสาวก ณ เวลานั้น ที่ติดตามพระเยซูคริสต์ อยู่กัน 40 วัน ให้เห็นจะๆ เลยว่าพระเยซูเดินอยู่ท่ามกลางผู้คนเป็นร้อยๆ คน ฉะนั้น ยืนยันว่าพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาจากความตายจริงๆ นี่คือข่าวประเสริฐ เรื่องราวของพระเยซูคริสต์ และเป็นข่าวประเสริฐแห่งพระคุณ ทำไมเราต้องใช้คำว่า “ข่าวประเสริฐแห่งพระคุณ” เพราะว่าเป็นข่าวประเสริฐที่พระเจ้าให้เราเปล่าๆ โดยไม่เกี่ยวอะไรกับการประพฤติของมนุษย์เลยแม้แต่นิดเดียว ไม่ว่าจะประพฤติดีหรือชั่ว นึกออกไหม?

ความรอดนั้น เกิดจากพระคุณของพระเจ้า ไม่เกี่ยวกับการประพฤติของมนุษย์คนหนึ่งคนใด เพื่อไม่ให้ใครอวดอ้างได้ คืออวดไม่ได้เลยว่า …

“ฉันทำดีกว่าเธอ ฉันรักษาบทบัญญัติได้มากกว่าเธอ ฉันถึงได้รับความรอด ฉันถึงเป็นประชากรของพระเจ้า พระเจ้าถึงยอมรับฉัน”

ไม่ใช่ ต่อให้ทำดีขนาดไหน? พระเจ้ายอมรับเราไม่ได้ ถ้าเราไม่มาเชื่อวางใจในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ เพื่อเราบนไม้กางเขน นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ แล้วก็เป็นความจริงในข่าวประเสริฐแท้ๆ ของพระเยซูคริสต์

หลังจากนั้น เมื่อเราเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ เราได้รับความรอดผ่านทางพระคุณปุ๊บ เรามาเป็นลูกของพระเจ้าปุ๊บ จากนั้น ไม่ต้องทำอะไรเลย

คำว่า “ไม่ต้องทำอะไร” มนุษย์รับไม่ได้ ทำไมมนุษย์ถึงรับไม่ได้ เพราะว่ามนุษย์ตั้งแต่เริ่มต้นอาดัม เอวา คือเป็นธรรมชาติอยู่ในกฎของความบาปและความตาย มีความรู้สึกว่าเราต้องทำอะไรบางอย่าง เพื่อที่จะรับอะไรบางอย่างเข้ามา ทำดี เพื่อจะได้รับผลดีเข้ามา ถ้าเราทำชั่ว เราก็จะได้รับผลชั่วเข้ามา นั่นคือกฎของบนโลกใบนี้ กฎของความบาปและความตาย แต่พอเรามาเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ปุ๊บ เราพ้นจากกฎของความบาปและความตาย  แต่เราเข้ามาสู่กฎของพระวิญญาณแห่งชีวิตในพระเยซูคริสต์ แล้วกฎนี้ ทำให้เราหลุดพ้นจากกฎของความบาปและความตายในวิญญาณ ไม่เกี่ยวกับโลกนี้นะ  ในวิญญาณ เราหลุดแล้ว เพราะว่าวิญญาณเก่าที่เป็นธรรมชาติเดิม ที่เป็นบาปอยู่ในอาดัมได้ตายไปพร้อมกับพระเยซูคริสต์แล้ว

วิญญาณเราตายจากกฎ วิญญาณใหม่ของเราไม่ได้อยู่ภายใต้กฎบัญญัติบนโลกใบนี้ วิญญาณใหม่เรานะ แต่วิญญาณใหม่เราอยู่ภายใต้พระคุณ พออยู่ภายใต้พระคุณปุ๊บ ก็จะไม่มีการลงโทษใดๆ สำหรับผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ ค่อยๆ ลำดับภาพ ช้าๆ พี่น้องจะได้เห็นภาพชัดๆ ว่า ณ เวลานี้ พวกเราผู้เชื่อ อยู่ภายใต้กฎของพระวิญญาณแห่งชีวิตในพระเยซูคริสต์ เราไม่ได้อยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตาย พอเราไม่ได้อยู่ภายใต้กฎตรงนี้แล้ว เราสะอาดบริสุทธิ์ เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว จากนั้น ในขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เรายังอยู่ภายใต้กฎ อันนี้ไม่ใช่เรื่องของวิญญาณแล้วนะ อันนี้เป็นเรื่องของวัตถุ ร่างกายเรายังอยู่ในโลกใบนี้ เรายังอยู่ภายใต้กฎนี้อยู่ พออยู่ภายใต้กฎนี้อยู่ หว่านอะไร จะเก็บเกี่ยวสิ่งนั้น อันนี้ชัดเจน พี่น้องต้องแยกให้ชัดเจน แยกระหว่างวิญญาณกับร่างกาย

พอร่างกายที่อยู่บนโลกใบนี้ ยังอยู่ในกฎเดิมปุ๊บ ยังสามารถรับเอาอิทธิพลจากภายนอก อิทธิพลที่โลกใบนี้ อย่างที่พระเยซูบอก โลกใบนี้มันเป็นความมืด เป็นศัตรูกับพระเจ้า อยู่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า อยู่ในลักษณะของกฎของการดำเนินชีวิตที่ต่อต้านพระเจ้า ฉะนั้น พออิทธิพลเหล่านี้มันแฝงมากับข่าวสารต่างๆ เยอะแยะมากมาย ทีวี ที่ทุกวันนี้เด็กๆ ก้าวร้าวขึ้น เพราะว่าดูทีวีเยอะ มีสื่อ เรื่องฆ่ารันฟันแทง คือมันเป็นเรื่องของหนัง แต่เด็กแยกแยะไม่ได้ว่านี่คือหนัง นี่คืออยู่ในภาพ ไม่ได้เป็นความจริง พอเด็กแยกแยะไม่ได้ ก็เลยเอาภาพที่เขาเห็นมาใช้ในชีวิตประจำวัน ที่เขาจะมีขึ้นก่อนฉายว่า …

“สารคดีนี้ หรือหนังเรื่องนี้ ถ้าเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีให้พ่อแม่อยู่ด้วย จะได้อธิบายให้เขาฟังว่าอันนี้เอามาใช้ไม่ได้”

หรือในทีวี ปีนขึ้นไปบนขื่อ แล้วกระโดดลงมา นั่นเป็นหนัง แต่เด็กไม่เข้าใจ ดูแล้วก็ สุดยอดเลย ปีนขึ้นไปบนขื่อ เอาผ้ามาพันเป็นซุปเปอร์แมน กระโดดลงมา ตายเลย นึกภาพออกไหมค่ะ

ดังนั้น สื่อพวกนี้ มันสามารถเข้ามาได้ แต่ว่าเราขอบคุณพระเจ้า เรามีฤทธิ์อำนาจที่ยิ่งใหญ่กว่าสื่อพวกนี้ ก็คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในเรา ที่จะให้กำลังเราสามารถต่อสู้ขัดขืนมันได้  เราไม่ยอมมันได้ เมื่อก่อนที่เราไม่มีพระเจ้า เราไม่ยอมมันไม่ได้ เพราะเราอยู่ภายใต้กฎของเขา เราเป็นเบี้ยล่างให้เขาปั่นเราให้ทำอะไรตามมันได้หมด เมื่อก่อน ตอนที่เรายังไม่ได้เชื่อพระเจ้า แต่พอเราเชื่อพระเจ้าแล้ว  เราพ้นจากกฎตรงนี้ เราสามารถที่จะปฏิเสธ ไม่ยอมมันได้ ก็คือเมื่อความคิดชั่วๆ ถูกส่งเข้ามาในความคิดของเราปุ๊บ เราสามารถที่จะตัดสินใจว่าจะเชื่อตามมัน หรือเราจะปฏิเสธ

เขาส่งมาว่า … “โกงเขาสิ ใครๆ เขาก็ทำแบบนั้น จะได้ไม่ลำบากไง นิดเดียวเอง”

นั่นแหละ คือความคิดชั่วร้าย แต่ว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็จะส่งข้อมูลมา บอกเราว่าอันนี้ คือสิ่งที่ไม่ดี เราเป็นความรัก เราเป็นความดี ถ้าเราไปโกงเขา เราก็ไม่มีความรัก เราไปทำให้เขาเดือดร้อน

ฉะนั้น ตรงนี้แหละ ป้อมปราการหรือสนามรบ คือความคิดตรงนี้ ที่เราจะอนุญาตให้พระวิญญาณบริสุทธิ์นำเรา ตอนนี้เราเป็นคนใหม่ เราเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ เราเป็นความดีงาม เราเป็นความสัตย์ซื่อ อะไรทุกอย่าง ที่เป็นเหมือนพระเจ้า เราเป็นแล้วนะ เราอย่าไปยอมมัน มันหลอกเรา เราไม่ต้องยอม เราสามารถไม่ยอมมันได้ พอความคิดเรารับรู้ตรงนี้ เราไม่ยอมมันได้นี่นา เราก็ปฏิเสธ ปฏิเสธข้อเสนอที่ส่งมา แม้จะเป็นข้อเสนอที่สวยงามก็ตาม ไม่เอา อย่างที่บอกไง ของฟรีไม่มีในโลก นอกจากของฟรีที่พระเจ้าให้เราในโลกวิญญาณ  ของฟรีที่มนุษย์ทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นผู้เชื่อหรือไม่เชื่อ ถูกหลอก ก็เพราะเรื่องของฟรีนี่แหละ นำเสนอมาอย่างดีเลย ทำโน่นทำนี่ แล้วก็ลงทุนแค่นี้ ได้กำไรเป็นร้อยเท่า มันไม่มีทาง มันเป็นไปไม่ได้ ถ้าเป็นรูปแบบนี้อย่าไปหลงเชื่อ เชื่อแล้วคนก็ล้มละลายไป มันมีมาเรื่อยๆ ฉะนั้น ถ้าคนไม่โลภ ก็จะไม่ถูกหลอก อันนี้เรื่องจริง แต่ถ้าคนโลภ มักจะถูกหลอก เพราะเขาจับจุดอ่อนของมนุษย์ได้ว่ามนุษย์ทุกคนโลภ เราไม่ปฏิเสธนะว่าพื้นฐานของมนุษย์อยู่ในความบาป โลภทั้งนั้น ไม่ว่าโลภเยอะโลภน้อย นิดหน่อยมันมี พอเรามาเชื่อพระเจ้าปุ๊บ มันก็ยังมีอยู่นะ แต่ว่าถ้อยคำของพระเจ้า ความจริงในเรื่องราวของพระเจ้าจะค่อยๆ เปลี่ยนความคิดของเรา

ฉะนั้น ในพระคัมภีร์บอกว่าให้เราพอใจในสิ่งที่เรามีอยู่ เป็นอยู่ ความพอใจ ก็คือไม่โลภ โลภเมื่อไร ก็พัง พังแค่โลกวัตถุเท่านั้นเองนะ เราก็จะอยู่อย่างยากลำบาก ก็คือถูกหลอกให้ไปลงทุนอะไรก็ตาม แล้วก็ทั้งต้นทั้งดอกหายไป เราก็ทุกข์ทรมาน แต่ว่าไม่ว่าเราจะทุกข์ทรมานในโลกใบนี้แบบไหน? วิญญาณเรายังรอดอยู่นะ ตรงนี้พี่น้องต้องจำให้มั่นๆ …

เอเฟซัส 3:3 “อันได้แก่ข้อลี้ลับ ซึ่งทรงสำแดงแก่ข้าพเจ้า  ตามที่ข้าพเจ้าได้เขียนไว้ก่อนหน้านี้อย่างย่อๆ”

 

ที่อาจารย์เปาโลเขียนไว้ก่อนหน้านี้ ก็คือในเอเฟซัส บทที่ 1 ที่อาจารย์เปาโลแยกแยะให้เห็นว่าแผนการที่ลี้ลับ คือความลับสุดยอดของพระเจ้า ไม่ได้ไปเปิดเผยให้ใครรู้ แต่เปิดเผยให้คริสตจักรรู้ จำได้ใช่ไหม? ตั้งแต่วันแรกที่มนุษย์ล้มลงในความบาป พระเจ้าก็วางแผนลี้ลับตรงนี้แล้ว ซ่อนไว้ แล้วก็ค่อยๆ เผยพระวจนะให้กับมนุษย์ได้รับรู้ แผนการนี้ ก็คือพระเจ้าจะเลือกกลุ่มคน กลุ่มแรกที่จะเป็นต้นแบบของการรับพระคุณของพระเจ้า การรับการช่วยเหลือจากพระเจ้า ก็คือชนชาติยิว จากอดีต ก็คือพระเจ้าเรียกชนชาติยิวมาเป็นประชากรของพระองค์ ให้กฎบัญญัติให้กับคนยิว สำหรับคนต่างชาติพระเจ้าจารึกไว้ในใจ แต่สำหรับคนยิวมีลายลักษณ์อักษร ก็คือเลือกคนยิวไว้ก่อน ให้มารักษากฎบัญญัติเหล่านี้ แล้วก็ให้คนยิวเหมือนเป็นเงา ในอนาคตข้างหน้าว่าพระเยซูคริสต์จะมาเกิดบนโลกใบนี้ แล้วก็มาเป็นแพะรับบาปให้กับมนุษยชาติ ก็คือเริ่มต้นตั้งแต่ใช้พันธสัญญาเลือดในอดีต ที่พระเจ้าบอกว่าให้เอาเลือด ทุกอย่างจะถูกปะพรมด้วยเลือดหมด คือเข้ามาในพระวิหารของพระเจ้า จะต้องเอาเลือดเข้ามา

ฉะนั้น ทุกคนในยุคนั้น เชื่อในสิ่งที่พระเจ้าพระบิดาบอก ก็คือเอาเลือดของแพะ ของแกะ ของนกพิราบ พอทำผิดทำบาป ก็เข้ามา เอาสิ่งต่างๆ เหล่านี้มาถวายให้พระเจ้า ปุโรหิตก็จะเอาเลือดไปปะพรมแท่นบูชา ถือว่าทำตามกฎระเบียบที่พระเจ้าตั้งไว้

พอมาถึงยุคของพระเยซูคริสต์ ก็ยังคงใช้เลือด แต่เที่ยวนี้จะไม่เหมือนกัน จะไม่ใช้เลือดแพะเลือดแกะ แต่ใช้เลือดของพระเยซูคริสต์ เป็นมนุษย์ผู้เดียวที่ไม่มีเชื้อบาป เป็นมนุษย์ผู้เดียวที่เป็นทั้งมนุษย์และพระเจ้า ฉะนั้น เลือดของพระเยซูคริสต์ คือพันธสัญญาใหม่ ที่พระเจ้าได้ให้กับชนชาติอิสราเอล และอนาคตข้างหน้า ก็ให้คนต่างชาติ

แผนการลี้ลับตรงนี้ ที่พระเจ้าได้วางไว้ ก็คือข่าวประเสริฐ หรือความรอดที่พระเจ้าได้เตรียมไว้ตั้งแต่อดีต ตั้งแต่ปฐมกาล ที่มีการเผยพระวจนะมาตลอด ได้เตรียมไว้ให้กับทั้งคนยิว คือเลือกคนยิวก่อน หลังจากนั้น ข่าวประเสริฐ ข่าวดีนี้ ก็จะถูกเตรียมไว้ให้กับคนต่างชาติ  หลังจากที่พระเยซูคริสต์ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย

ตอนที่พระเยซูคริสต์ยังมีชีวิตอยู่ พระเยซูคริสต์ประกาศกับคนยิวเท่านั้น แต่จะมีคนต่างชาติที่ประปรายมา แต่เป้าหมายหลักของพระเยซูคริสต์ คือประกาศกับคนยิว หลังจากที่พระเยซูคริสต์ได้ทำภารกิจสำเร็จ เป็นขึ้นมาจากความตายปุ๊บ ข่าวประเสริฐตรงนี้ ก็ถูกประกาศออกไปให้กับคนต่างชาติผ่านทางอาจารย์เปาโล

นี่คือสาเหตุที่ทำให้พวกคนยิวเคือง เหมือนกับอาจารย์เปาโลทรยศ กบฏ ไปประกาศเรื่องของพระเจ้า ไม่พอ เป็นเรื่องพระเจ้าที่เขาไม่ยอมรับด้วย เรื่องของพระเยซูคริสต์ ไปประกาศกับคนต่างชาติ ซึ่งคนต่างชาติ คนยิวถือว่าเป็นคนไม่มีระดับ เป็นคนละชั้นกับเขา จะมาเป็นลูกของพระเจ้าด้วยกัน มันไม่ได้ ยังไงก็ไม่ได้ มามีศักดิ์ศรีเทียบเท่ากันยิ่งไม่ได้ใหญ่เลย แต่อาจารย์เปาโลประกาศว่า …

“ใครก็ตาม ที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดปุ๊บ เขาจะเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า อยู่ในฐานะลูกของพระเจ้าเท่ากัน ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นยิวหรือคนต่างชาติ”

รับไม่ได้เลย  นึกภาพออกไหม? อาจารย์เปาโลก็เลยถูกไล่ล่ามาตลอดเวลา

นี่คือแผนการที่พระเจ้าได้วางไว้ แล้วแผนการนี้ก็สำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว หลังจากที่พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นมาจากความตาย ไม่ใช่เฉพาะคนยิวเท่านั้น ที่จะได้รับข่าวประเสริฐของพระเจ้า ที่จะได้รับความรอดผ่านทางพระคุณที่พระเจ้าทำให้ แต่พระเจ้าได้เล็งเป้าหมายไว้แล้ว ก็คือข่าวประเสริฐได้ไปถึงมนุษยชาติทั้งหมดบนโลกใบนี้ ณ เวลานี้ ทุกคนมีสิทธิ์ได้รับหมด  พระเยซูทำให้เสร็จหมดแล้ว อยู่ตรงที่ว่าใครได้ยินได้ฟังแล้ว เชื่อก็มารับของขวัญนี้ไป แค่นั้นเอง พระเจ้าอวยพรค่ะ

 

************************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

เมื่อต้อนรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว เราก็ไม่จำเป็นต้องทำอะไรอีกแล้ว เพราะความรอดที่เราได้รับมานั้น เรารอดโดยพระคุณ เป็นของประทานจากพระเจ้า ไม่ใช่การกระทำของเราเอง   ซึ่งเป็นสิ่งที่เราได้รับทันที เมื่อเราถ่อมใจยอมรับ ต้อนรับพระเยซูมาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด

 

ความรอดทางฝ่ายจิตวิญญาณ  มันเกิดขึ้นทันทีกับเราเลย  เมื่อเรารับด้วยปากและเชื่อด้วยใจ  ในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ว่าพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เป็นพระบุตรของพระเจ้า  เป็นพระเจ้าที่เกิดมาเป็นมนุษย์  มาไถ่บาปให้กับมนุษยชาติ  รวมทั้งฉันด้วย  และวันที่ 3 พระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตาย  นี่แหละเชื่อด้วยปากและรับด้วยใจแล้ว …

“ขอต้อนรับสิทธิที่พระเยซูทำให้กับฉัน”

 

แค่นั้นเอง เราก็จะได้รับความรอด ได้บังเกิดใหม่ ได้รับฐานะเป็นบุตรของพระเจ้า (ทันที) เลย  ได้รับความรอดเปล่าๆ ไม่ต้องทำอะไรเลย เรารอดจากบาป รอดจากการเป็นทาสของมาร รอดจากอาณาจักรของความมืด หรือเราเรียกกันว่านรก รอดจากการถูกพิพากษาลงโทษ ในสิ่งที่เราทำไม่ดี บาปเยอะแยะมากมาย ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และในอนาคตอีก นี่เรารอดหมดเลย หลุดพ้นจากสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด ย้ายเข้ามาอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า มาเป็นลูกของพระเจ้า เกิดขึ้นทันที ในโลกวิญญาณ

 

แต่พระคัมภีร์ก็มีสอนไว้ แนะนำไว้ว่าหลังจากเชื่อแล้ว ได้รับความรอดอย่างที่บอกเมื่อสักครู่นี้แล้ว พ่อซึ่งเป็นพระเจ้าก็บอก …

“ลูกๆ เอ๋ย เมื่อเป็นลูกแล้ว ควรจะทำอะไรบ้าง? เมื่อดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ หลังจากได้รับความรอด โดยเปล่าๆ ฟรีๆ ควรจะทำอะไรให้เป็นประโยชน์กับตัวเอง”

 

และเมื่อเกิดประโยชน์กับตัวเองแล้ว มันก็จะเกิดประโยชน์กับผู้คนรอบข้าง ก็คือโลกใบนี้ทั้งใบ ซึ่งพระเยซูใช้คำว่าให้แสงสว่างฉายแสงออกไป ที่โลกใบนี้ นั่นคือสิ่งที่พระเจ้าอยากให้เราทำ แล้วเราก็ควรทำ เพื่อประโยชน์ของตัวเราเอง ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้

 

และสิ่งที่เราควรทำ มี 3 ควรกับ 1 ต้อง … ก็คือ “ต้องเชื่อในข่าวดีของพระเจ้า”

ซึ่งเราเชื่อแล้ว  เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว 3 ควร …  ก็คือ “รับรู้  วางใจ  และอธิษฐาน”

ทั้งหมดมี 4 ขั้นตอน สำหรับชีวิตผู้เชื่อ …

ขั้นตอนแรก คือเชื่อแล้ว เป็นผู้เชื่อในข่าวดี เสร็จแล้ว….

–  ควรจะรับรู้

–  ควรจะวางใจ

–  และควรจะอธิษฐาน

ควรจะเป็นอย่างนั้น …

“ต้องเชื่อแล้ว” ก็คือรับด้วยปากและเชื่อด้วยใจแล้วว่าพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราก็ได้รับการบังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้าทันทีในวิญญาณ

“ควรจะรับรู้” ก็คือจดจ่อไปที่ฝ่ายวิญญาณในสวรรค์ว่าเราเป็นใครตอนนี้ เราเป็นลูกพระเจ้าจริงๆ พระคัมภีร์เขียนว่าพระเจ้ารักเรามากเลย เราเป็นลูกแล้ว อยู่ในสวรรค์แล้ว

“ควรวางใจ” พอรับรู้เสร็จ ก็ให้เราวางใจ วางภาระลงที่พระเจ้า ให้พระเจ้านำไปตลอด เพราะพระเจ้ารู้มากกว่าเยอะ ไม่ต้องกลัวอะไร? คือพักสงบ พักผ่อนได้แล้ว ทำมาเยอะแล้ว กังวลมาเยอะแล้ว

และสุดท้าย ก็คือ “ควรอธิษฐาน” ควรจะเริ่มต้นอธิษฐาน อธิษฐาน คือการสร้างความสัมพันธ์กับพระเจ้า เรียนรู้จักพระเจ้า และรู้ว่าเราเป็นใครในสวรรค์ ในโลกวิญญาณมันเป็นอย่างไร? เขาดำเนินชีวิตกันอย่างไร? นี่เขาเรียกว่าอธิษฐานทั้งสิ้น

 

เชื่อในข่าวดีของพระเยซูว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า  ผู้ช่วยให้รอดได้ แค่เชื่อตรงนี้ ก็เกิดประโยชน์แล้ว คือได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าทันทีทันใดเลย นี่คือผลประโยชน์ที่ได้เกิดขึ้น และเมื่อเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราก็ไม่ต้องไปกังวลอีกแล้วว่าหลังจากเราจากโลกนี้ไป เราจะไปอยู่ไหน? ก็เราเป็นลูกของพระเจ้า อยู่ในสวรรค์แล้วทันที จากโลกนี้ไป เราก็อยู่ที่เดิม อยู่ในสวรรค์เหมือนเดิม ชีวิตหลังความตายของเราจะเป็นอย่างไร? เราก็ไม่ต้องกลัว ไม่กังวลอีกแล้ว เพราะเรารู้แล้วว่าตัวจริงๆ ของเรา วิญญาณของเราอยู่กับพระเจ้า บังเกิดใหม่ อยู่ในพระเจ้า อยู่ในสวรรค์เรียบร้อยแล้ว เดี๋ยวนี้ เมื่อเราเชื่อแล้ว มันจะเป็นอย่างนี้

พระเจ้าอวยพรครับ